>….ตอนที่ 18 [100%]….<
รู้เลยว่าพี่พีอารมณ์ไม่ดี...แววตาแบบนั้นยิ่งกว่าเมื่อวานนี้อีก ท่านขุนรู้ว่าตัวเองควรหาเวลาคุยกับพี่พีให้รู้เรื่องว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้พี่พีรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่แล้วรักก็มาหา มีการบอกว่าเก็บแมวได้จากข้างถนนให้รีบเปิดร้านให้หน่อย...มันหิว
เมื่อท่านขุนรีบลงมาเปิด เห็นแมวเปอร์เซียร์ในวงแขนรักแล้วก็คิ้วขมวด เก็บได้จริงเหรอ...ใครเขามาปล่อยแมวสายพันธุ์แบบนี้เอาไว้กัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก เขาไม่อยากจะเชื่อแต่เจ้าเหมียวมันก็ร้องขออาหารจริงๆ นั่นแหละ ท่านขุนจึงต้องพารักมาที่ครัว เอาอาหารให้เหมียวน้อยที่น่าสงสาร
แล้ว...พี่พีก็ลงมาเจอ
บรรยากาศน่าอึดอัดเป็นบ้า รักยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่หรอก พี่พีนี่สิ...ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่แววตา ขนาดรักส่งเสียงเรียกแล้ว ปกติคนอย่างพี่พีจะทักตอบหรือส่งยิ้มให้เพื่อเป็นการทักทายกลับ ทว่านี่ไม่เลย...พี่พีแค่มองหน้ารักกับเขา
“สวัสดีครับ ไม่คิดว่าคุณพีจะค้างที่นี่ เอ...ผมมารบกวนเวลาของคุณสองคนหรือเปล่านะ” พูดเหมือนจะสำนึก แต่หน้าตานี่เริงร่าสุดๆ พีระพลดูออก ไม่ใช่ดูไม่ออก เหมือนกับว่าตั้งใจมาหาท่านขุน แจ็กพ็อตเจอเขาด้วยเลยได้ป่วนไปในตัว
“ไม่หรอกครับ” พีระพลจำต้องตอบ แค่ไม่ทักคืนนี่ก็ถือว่าเสียมารยาทแล้ว
แต่คนแบบนี้เขาต้องมีมารยาทด้วยจริงเหรอวะ?
คนในบ้านมักสอนเขาว่า ต่อให้คนอื่นจะทำตัวแย่ๆ ใส่เขายังไงก็ต้องทำดีกับเขา ต้องมีมารยาทอย่าทำตัวทรามกลับเพราะมันจะเป็นการลดค่าของตัวเอง อีกฝ่ายไม่มีใครสั่งสอนมาก็เลยเป็นแบบนั้น อย่าถือสาเลย
ชีวิตพพีระพลทำงานเจอคนมาเยอะ บางคนแย่ก็จริงแต่ไม่เท่านี้ อาจเพราะพวกเขาเองก็เป็นผู้ใหญ่และมีมารยาทในการเข้าสังคม ถ้าเป็นสมัยเรียนก็ว่าไปอย่าง สมัยนั้นพวกทรามๆ มีเยอะ พวกที่เห็นเขาทำตัวดีหน่อยก็แซะเขาลับหลัง หรือรุ่นน้องไม่ให้ความเคารพกันก็มีบ้างประปราย เขาดีใส่ทุกคน...สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ไม่กล้าทำตัวแย่ๆ ใส่เขาเพราะเกรงใจ
แล้วรักจะเกรงใจเหรอ...ไม่หรอกมั้ง ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น รักตั้งใจจะมาป่วนมากกว่า ไม่ได้เห็นหัวของเขาหรอก เพราะในสายตารักมีแค่ท่านขุนเท่านั้นเอง พีระพลบอกให้ตัวเองอดทน อย่ามาเสียเพราะคนอย่างรัก
“เอ่อ...พี่พีกินข้าวก่อนไปทำงานไหมครับ ผมไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมาทำอาหารให้กินดีกว่าเนาะ” อยากปฏิเสธนะ...เขาไม่อยากร่วมโต๊ะกับรัก แต่มันจะน่าเกลียดน่ะสิ
“เห งั้นฝากท้องด้วยคนสิ รักหิวมาก...” รักทำหน้าอ้อนแฟนของเขา เจ้าเหมียวอยู่บนโต๊ะกินอาหาร มันก้มหน้าก้มตากินอาหารของมณีอย่างเอร็ดอร่อย
“เอ่อ…อื้อ” ปฏิเสธก็น่าเกลียดใช่ไหมล่ะ ก็เลยต้องตอบรับไป
“พี่พีรอผมแป๊บหนึ่งนะ แป๊บเดียวๆ…” ท่านขุนเดินเข้ามาหา ลูบแขนพี่พีนิดหน่อยก่อนรีบวิ่งขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่
เมื่อท่านขุนหายลับไป รอยยิ้มของรักก็หายไปเช่นกัน ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปั้นหน้ายิ้มใส่คนไม่เป็นมิตรอย่างพีระพลนี่นา ดูสีหน้าฝ่ายนั้นสิ...บึ้งตึงยิ่งกว่าอะไรดี อีกอย่าง...รักอยากได้ท่านขุนคืน เรื่องไรจะต้องทำตัวสนิทชิดเชื้อกับแฟนใหม่ของแฟนเก่าเราล่ะ
“โรคจิตนะที่ทำรอยแบบนั้นบนตัวท่านขุนน่ะ” รักเปรยเบาๆ แน่นอนว่าเข้าหูพีระพล
“เหรอครับ...” ผู้อาวุโสตอบด้วยการถามกลับ
“คุณคงไม่รู้ว่าท่านขุนไม่ชอบแบบนั้น มันเหมือนด็กไร้สกุลเขาทำกัน...หรือคุณว่าไม่จริง” สายตาของรักเหยียดหยันพีระพลเต็มที่
“เอ...หรือว่าที่เขาเคยพูดกันมันจะจริง ที่ว่าผู้ชายมาดเนี้ยบเนี่ยจริงๆ แล้วมักซาดิสม์” ไม่คุ้นเคยกับการสาดคำพูดแรงๆ ใส่เท่าไหร่นัก จะว่าสังคมที่พีระพลอยู่ค่อนข้างดีเลยก็ว่าได้ อาจมีด่ามีว่ากันเล็กๆ น้อยๆ แต่มันไม่ได้น่าเคืองเท่าที่รักพูด
“ถ้าแบบนั้นพวกเบดกายก็มักจืดชืดสิ...ใช่ไหมครับ อันนี้ผมก็ได้ยินมาน่ะ” ร่างสูงสวนกลับบ้าง เขาหน้านิ่งไม่มีรอยยิ้ม ไม่เหยียดอีกฝ่ายทั้งที่โกรธอยากเข้าไปต่อยมันสักที
“มันก็แค่ที่เขาพูดกัน...”
“นั่นสินะครับ” รักพอเข้าใจในสิ่งที่พีระพลตอบโต้ มันหมายถึงสิ่งที่รักกล่าวหาก่อนหน้านี้มันก็แค่ที่คนอื่นเขาพูดกันเหมือนกันนั่นแหละ
“แต่ท่านขุนก็ไม่ชอบ คุณเป็นแฟนเขา...ก็ควรรู้ว่าอะไรเขาชอบหรือไม่ชอบสิ ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าลูกค้าเขาจะมองยังไง เห็นรอยบนตัวท่านขุนแบบนั้นน่ะ มันดูไม่ดีเลยนะครับ” รอยจูบอยู่หลังคอและในร่มผ้า โอเค...หลังคอเห็นง่ายอยู่ แต่ไอ้ข้างในเนื้อตัวที่เป็นรอยแดงจางๆ นี่ไม่ถอดเสื้อก็ไม่เห็นหรอกนะ
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ แต่ว่า...คุณไม่คิดเหรอครับว่า บางทีที่เขาไม่ชอบให้ทำรอย อาจไม่ได้เพราะไม่ชอบรอยแต่ไม่ชอบคนทำ มันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคู่รักนะผมว่า ท่านขุนเองไม่เคยว่าที่ผมทำแบบนั้นเพราะว่าเขาชอบ...ที่ผมทำ” รอยยิ้มบางเบาเกิดขึ้นบนใบหน้าพีระพล เจ้าตัวเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับรักคล้ายท้าทายอารมณ์และความอดทนอีกฝ่าย แน่ล่ะ...รักโคตรเคือง เหมือนโดนด่ากลายๆ ว่าที่ผ่านมาท่านขุนไม่ชอบที่รักทำ แต่ชอบที่พีระพลทำ...มันเป็นความต่างที่รักเทียบไม่ติด
“รู้ไหมครับ...เมคเลิฟคือสิ่งที่คนสองคนต้องชอบมันไปด้วยกัน มีอารมณ์ร่วมไปพร้อมๆ กัน มีความสุขไปด้วยกัน...ไม่ใช่สักแต่จะเอาไอ้นั่นเสียบเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว” ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้คงดูหยาบคายไปบ้าง แต่กับพีระพลที่เป็นเด็กสายวิทมาตลอดถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ถึงเขาจะเน้นหนักทางด้านเคมี แต่อย่าลืมว่าในร่างกายคนก็มีสารเคมีมากมาย ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาในอารมณ์ที่แตกต่างกันไป
“เรื่องแบบนั้นผมคงไม่ต้องให้คนอย่างคุณมาสอนหรอกครับ หึ…ดูยังไงคุณก็ไม่มีน้ำยา” รักต่อคำท้ายเสียงเบาหวิว กะว่าพูดกับตัวเองแต่ก็มีเจตนาแฝงให้พีระพลได้ยิน
“ลองถามท่านขุนดูว่าผมไร้น้ำยาจริงไหม...” พีระพลกอดอกมองหน้ารักอย่างไม่เกรงกลัว
“ลองถามดูว่ายามที่ผมดูดคอเขา...เขารู้สึกอย่างไร” นี่มันยิ่งกว่าท้าทาย...รักกำหมัดที่อยู่ใต้โต๊ะแน่น
“ไม่ต้องถามหรอก ผมกับท่านขุนมีช่วงเวลาที่หวานชื่นร่วมกันมากมาย สีหน้าท่านขุนยามนั้นเป็นอย่างไรผมยังจำมันได้ดี...”
“อื้อ นั่นสิครับ...เชื่อว่าคุณคงจำได้แหละ มนุษย์เรามักโหยหาสิ่งที่หลุดมือไปแล้วเสมอ โดยเฉพาะคนรัก” ยิ่งฟังมันก็ยิ่งเจ็บใจ รักไม่ใช่คนความอดทนสูงนัก ดังนั้นเขาจึงโน้มหน้าเข้าใกล้พีระพล สบตาคมดุภายใต้แว่นไร้กรอบ
“คุณเป็นคนใหม่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ท่านขุนตลอดไป ผมจะแย่งท่านขุนกลับมาให้ดู...แล้วคุณจะได้เรียนรู้คำว่าการโหยหาคนรักที่สูญเสียไปมันเป็นยังไง ไม่ใช่รู้แค่ทฤษฎีแบบที่พูดอยู่ตอนนี้” ราวกับพีระพลได้รับชัยชนะแล้ว เด็กคนนี้ไร้ซึ่งความอดทนสิ้นดี
แต่คำพูดของรักเองก็สั่นสะเทือนความรู้สึกพีระพลไม่ใช่น้อย คำว่าคนรักเก่ามันอันตรายกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มอย่างเขากับท่านขุนมากๆ แล้วเขาเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าท่านขุนจะกลับไปหารักไหมหากรักตั้งใจมาง้อจริงๆ ยอมรับว่าสองคนนี้ดูเหมาะสมกัน เขาไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ชอบขับรถ ชอบเที่ยว ชอบอะไรที่ผาดโผนไม่เหมือนเขาที่ดูยังไงก็น่าเบื่อและจืดชืด หากท่านขุนเลือกกลับไป...เขาไม่แปลกใจเลยจริงๆ
แต่พีระพลไม่แสดงออกถึงความหวั่นวิตก กระทั่งสายตาของเขาก็ยังคงเด็ดเดี่ยว จ้องตากับรักไม่หลบหลีกไปไหน เขาเชื่อว่ายิ่งรักทำให้เขาหวั่นใจได้มากแค่ไหนก็จะยิ่งเพิ่มเปอร์เซ็นที่มันจะได้ท่านขุนกลับคืน เขาไม่ยอมหรอก...ท่านขุนเป็นของเขา
“รัก!” เสียงของท่านขุนดังขึ้นทางประตูครัว เจ้าของร้านรีบตรงดิ่งเข้ามาขณะที่รักรีบกลับไปยืนตัวตรง ยิ้มระรื่นประหนึ่งเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เสียงดัง เจ้าเหมี๊ยวตกใจหมดเลย...” ดูมันพูด แมวไม่ได้ตกใจอะไรสักนิดเดียว
“เมื่อกี้ทำอะไร...” ท่านขุนถาม เขายังเห็นพี่พีนิ่งสงบเช่นเดิม และอาจมากกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ารักไปพูดอะไรไม่ดีใส่พี่พีอีกแล้วเหรอ...
“เปล่านี่ เมื่อกี้มีอะไรติดแว่นคุณพีน่ะ ก็เลยเข้าไปดูให้...เนอะคุณพี” โกหกหน้าด้านๆ ต่อหน้าต่อตา และรักก็จ้องพีระพลเพื่อดูว่าผู้ใหญ่คนนี้จะกล้าแหกเขาต่อหน้าท่านขุนไหม
“จริงเหรอพี่พี...” ท่านขุนชะโงกหน้ามาดูแว่นให้ พีระพลมองสบตาแล้วเบี่ยงตาหนี
“พี่พี...”
“พี่ขอตัวก่อนดีกว่า” จะให้มาโกหกมันไม่ใช่นิสัย อีกอย่าง...คำพูดที่เรียกได้ว่าตอแหลเมื่อกี้ทำเอาพีระพลเดือดจัดจริงๆ
ครึก!!
เสียงดันเก้าอี้ออกดังสนั่นด้วยความไม่พอใจของพีระพล เมินกระทั่งท่านขุนแล้วเดินออกไปขึ้นรถที่อยู่ด้านนอก ปฏิกิรยาแบบนี้ของพีระพลทำให้ท่านขุนหายใจหายคอไม่ทัน เขารีบสาวเท้าออกไปหา ทว่ารักดันมารั้งแขนเอาไว้เสียก่อน
“คนงี่เง่าแบบนั้นไม่ต้องไปตามง้อก็ได้นะ” คำนี้น่าโมโหมาก
“ผมรู้ว่าใครกันแน่ที่งี่เง่า ปล่อย” ไม่ว่าเปล่า ท่านขุนกระชากแขนตัวเองออก
“ท่านขุน...”
“เป็นไปได้ก็กลับไปได้แล้ว” ท่านขุนไม่แคร์สายเศร้าสร้อยของรัก เขาสาวเท้าออกไปหาพี่พีของตนไวๆ แทบวิ่งออกไปหาเลยก็ว่าได้
เขาปรี่ไปคว้าประตูรถของพี่พีเอาไว้ ไม่อยากให้พี่พีไปทั้งที่โกรธเคืองกันแบบนี้...ตอนนี้ท่านขุนเชื่อว่าการที่พี่พีดูไม่พอใจต้องเป็นเพราะรัก ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง พี่พีอาจไม่ชอบที่รักใช้วาจาไม่ดีกับตนก็ได้
“พี่พีคุยกับผมก่อน” น้ำเสียงท่านขุนอ้อนวอนมาก
“ขอโทษนะครับขุน พี่อารมณ์ไม่ดีมากๆ เลยล่ะ...คุยตอนนี้คงไม่รู้เรื่อง” ขนาดพูดกับคนรัก สีหน้าพี่พีก็ยังไม่ดี...
“แต่...พี่พี...รักมันทำอะไรพี่พีของผม” ก็อยากปล่อยไปนะ ติดที่คาใจเรื่องนี้จริงๆ
“ไว้พี่เย็นแล้วเราค่อยคุยกัน”
“พี่...” ใจคนฟังสั่นไหวไปหมด
“พี่ขอตัว”
“เดี๋ยวสิพี่...เดี๋ยวได้ไหม ผม...ผมขอกอดได้ไหม” พี่พีเย็นชาจนท่านขุนกลัว ถ้าต้องทะเลาะกับพี่พีเพราะรักจนอะไรๆ บานปลายเขาจะทำยังไง...เขาไม่อยากเสียคนๆ นี้ไปเลย เขารักพี่พี...รักมาก
ถึงจะอารมณ์เสียรักโคตรๆ แต่พอท่านขุนบอกแบบนี้หัวใจพีระพลก็อ่อนยวบ นั่นสิ...ท่านขุนปกปิดเรื่องรักคือแฟนเก่าก็จริง แต่มันคนละเรื่องกับที่เขาอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ ดูก็รู้ว่าเขาได้ทำให้แฟนของเขาขวัญหายขนาดไหน พีระพลตัดสินใจเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วดึงมือท่านขุนเข้าหาตนเอง ค่อยๆ...สวมกอดอีกร่างเอาไว้ในอ้อมอก
ท่านขุนเอาหน้าแนบลงไปกับแผงอกของพี่พี ฟังเสียงหายใจและเสียงหัวใจของคนรักตัวเอง ให้มันช่วยเยียวยาความวิตกกังวลที่กำลังฟุ้งอยู่ในสมองและความรู้สึกของเขา อย่างกับเราทะเลาะกันทั้งที่เราไม่ได้มีปากเสียงกันเลย สถานการณ์แบบนี้...อารมณ์แบบนี้มันน่าห่วงนะ ทว่าท่านขุนเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง...ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนในเวลานี้ พี่พีขอเวลาให้ตัวเองเย็น เขาต้องให้เวลาพี่พี
“ขอบคุณครับ” ท่านขุนเป็นฝ่ายคลายกอดเสียเอง เพราะพี่พีกอดเขาเอาไว้ไม่มีทีท่าจะปล่อย ไอ้อยากอยู่แบบนี้ต่อมันก็อยากอยู่ ถ้าไม่ติดว่าพี่พีมีงานต้องไปทำ
“พี่รักขุนนะ” พีระพลจูบที่หน้าผากคนรักของตนเบาๆ
“ผมรักพี่พี” ท่านขุนขานตอบพลางซึมซับความอบอุ่นที่แผ่เข้ามาสู่หัวใจ
“พี่ไปทำงานก่อน...” ก็ต้องยอม ท่านขุนถอยออกมา ปิดประตูให้พีระพลเสร็จสรรพ พี่พีอบอุ่น...พี่พียังดูรักเขา แต่พี่พีก็ยังโกรธเคืองอะไรบางอย่างอยู่ดี
ท่านขุนเฝ้ามองรถของพี่พีจนหายลับสายตา ข้างในยังหวิวๆ อยู่เลยกับอาการของคนรักในเช้าวันนี้ พอคิดไปคิดมา...ตัวต้นเหตุแม่งอยู่ในร้าน ท่านขุนสาวเท้ากลับเข้าร้านที่ยังไม่ได้เปิดของตนเอง มาถึงเขากระชากคอเสื้อของรักเลยเป็นอย่างแรก
“เฮ้....” รักรีบยกมือทั้งสองยอมจำนน
“รักพูดอะไรใส่พี่พี” เสียงเข้มมาก และหน้าตาเจ้าของร้านในตอนนี้ก็ดุดันเอาเรื่องเหมือนกัน
“เปล่านะ”
“ไม่เชื่อ พูดอะไรใส่พี่พี...บอกมาเดี๋ยวนี้” แววตาจริงของท่านขุนทำให้รักอ่อนลงหน่อย
“ท่านขุนรักเขามากเลยหรือขอรับ” ยังมามีหน้าพูดคำพวกนี้อีก
“ใช่ ผมรักเขามาก...บอกมาว่าพูดอะไรกับพี่พี”
“คุณพีเขาอาจยั่วโมโหกระผมก่อนที่กระผมจะพูดไม่ดีใส่เขาก็ได้นะขอรับ”
“รัก! อย่าให้กูหมดความอดอทน…” ถึงขึ้นกูมึงก็ไม่ใช่ว่ามีความอดทนแล้วแหละ เขาสบตากันนาน…มองกันอยู่อย่างนั้นโดยรักไม่ยอมเปิดปากพูด
“เออ! รักแค่บอกเขาว่าทำรอยแบบนี้ไม่ดีเลย ท่านขุนไม่ชอบ เขาก็ไม่พอใจ” รักต้องยอมอ่อน ไม่งั้นเขาก็จะพลาดหวังจากท่านขุน
“มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินล่ะว่าผมไม่ชอบ”
“ก็...เมื่อก่อนขุนไม่ชอบ”
“เมื่อก่อนปะ แล้วบอกแล้วไงให้พูดกับพี่พีดีๆ...สัญญาแล้วทำแบบนี้ ผมว่ารักไม่ต้องมาหรอก รถเสร็จแล้วจะโทรบอก”
“รักขอโทษ...”
“คนที่รักควรขอโทษคือพี่พี เมื่อวานก็บอกจะขอโทษพี่พีถ้าพี่เขามา แล้วไหน...ขอโทษหรือยัง” ยังไม่หายโกรธหรอก ไม่รู้ด้วยว่ารักใช้คำพูดแบบไหนถึงทำให้พี่พีโกรธขนาดนั้น ที่บอกมาแม่งต้องเป็นแบบรวบรัดแน่
“ครับ รักขอโทษจริงๆ”
“แล้วพูดว่าอะไรอีก แค่นั้นพี่พีคงไม่โกรธมากขนาดนั้นหรอก...”
“ไม่มีแล้ว ก็พูดทำนองนี้...แต่รักอาจพูดแรงไป อืม จะว่าไงดี...อาจจะดูเหมือนสั่งสอนพี่เขาล่ะมั้ง แต่ไอ้ที่โน้มหน้าไปหาคือดูแว่นให้พี่เขาจริงๆ นะ รักไม่ได้ทำอะไรพี่เขาเลย ก็กะว่าจะเช็ดออกให้แต่เขาแย่งเช็ดก่อนไปแล้ว สงสัยพี่พีของท่านขุนต้องเคืองรักมากแน่ๆ เลย” ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นแค่คำโกหก หรือเพราะอคติที่เคยมีกับรักเมื่อนานมาแล้ว คงใช่...รักโกหกเขามาตั้งเท่าไหร่
คิดแง่ดีนี่อาจจะพูดจริงแล้ว...แต่คงมีไม่จริงปนด้วย นึกแล้วเจ็บใจ อยากจะไปหาพี่พีตอนนี้...ไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง ดันทำไม่ได้ไง พี่พีเล่นพูดมาแบบนั้จะให้ตื๊อมันใช่ที่ พี่เขามีงานมีการต้องทำ
“แล้วออกมาจากบ้านอะไรมาตั้งแต่เช้า”
“อืม...ขับรถเล่นอะ” ใช่ วันนี้รักเอามอเตอร์ไซก์อีกคันมา เป็นตัวพันซีซีเหมือนกันแต่คนละรุ่น
“ว่างเนอะ” ท่านขุนยังคิดมากเรื่องพี่พีไม่หาย เขาไม่มองหน้ารักแต่มองหน้าแมวเหมียวตัวน้อย
เออ...มณีรู้ตัวนี้มีตาย!
“เหมี๊ยววววว” ไม่ทันไร เสียงมณีน้อยก็ดังขึ้นมา
“ฟ่ออออออ” โพล่เข้ามาในครัวปุ้บ เจ้าตัวขาวก็พองตัวฟูฟ่อง ไอ้ดำบนโต๊ะก็ขู่ไม่แพ้กันแม้จะเด็กกว่ามณี ทว่าด้วยสายพันธุ์ ถึงอายุน้อยกว่าแต่ตัวเท่ากันเลย
เสือสองตัวมันอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้!!!
เปอร์เซียร์น้อยปะทะขาวมณี ศึกนี้น่าปวดหัวยิ่งนัก...เจ้าถิ่นย่างสามขุมเข้าหา ผู้ท้าชิงก็เดินมาที่ขอบโต๊ะเพื่อชะโงกหน้ามองตัวต่ำกว่า รอยยิ้มหยันจากแมวเด็กทำให้มณีทนไม่ได้กระโจนขึ้นโต๊ะด้วยแรงโกรธ ทว่า...ตัวเธอเล็กเกินไปจึงกระโจนไม่ถึง ร่วงหล่นลงไปหนหนึ่ง เปอร์เซียร์ไร้ชื่อเสียงเรียงนามส่งเสียงเยาะหนึ่งที มณีไม่ยอม...เธอเปลี่ยนไปกระโดดขึ้นเก้าอี้ แล้วกระโดดอีกหนึ่งทีไปถึงเปอร์เซียร์น้อย...
ท่ามกลางความเกรี้ยวโกรธของแมวน้อย มนุษย์สองคนทำอะไรไม่ถูก ท่านขุนจะคว้ามณีเอาไว้แต่ไม่ทัน เธอตวัดฝ่ามือพิฆาตอันเลื่องชื่อของเธอใส่เจ้าตัวเล็กเป็นที่เรียบร้อย ขนฟูก็ใช่ว่ายอม...มันเด็กกว่าแต่มันสู้สุดใจ มันตบกลับทันทีเข้าหน้ามณีอย่างจัง
สงครามแมวเหมียวเริ่มขึ้นแล้ว...
ทว่าศึกนี้ยังไม่ทันได้ตัดสิน…มนุษย์อย่างรักและท่านขุนก็แยกทั้งคู่ออกมาจากกันได้สำเร็จ แต่ได้มาคนละแผลสองแผลไปเหมือนกัน ขนาดจับแยกออกมาแล้วยังไม่วายตะกุยขาใส่กันรัวๆ ไม่ถึงไม่เป็นไร...แต่ใครหยุดก่อนแม่งแพ้!
….100%….
เรื่องของคนก็ปวดหัวแล้ว ยังมีเรื่องของแมวตีกันอีก โถ…สงสารมนุษย์ที่ชื่อว่าท่านขุนจังเลย