>….ตอนที่ 8 [100%]….<
“พี่แจ็ก!” หลังพี่พีกลับบ้านไปแล้ว ท่านขุนนั่งลงตรงโซฟายาวพลางต่อสายหาผู้ช่วยมือพระการ
(อะไรวะ จะโทรมาขอบคุณกูช้ะ…ไม่เป็นไรๆ เสาร์นี้พากูไปเที่ยวอ่างอบนวดด้วยแล้วกัน) แจ็กเดาออกอยู่ ก็วันนั้นมอมเพื่อนตัวเองกับมือ มันเมาขนาดนั้น โดนท่านขุนลากไปอีก โหย...ไม่ต้องคิดต่อเลย ถ้ามันไม่กินตับกัน พวกมันก็ไร้น้ำยาทั้งคู่
“ขอบคุณอะใช่ แต่เลี้ยงอ่างอบนวดอะไม่เว้ยพี่” ท่านขุนยิ้มกว้าง
(อะไรว้า…)
“ไม่ต้องมาอะไรวะอะไรเว้ยเลย ผมจะโทรมาบอกว่าขอบใจพี่มาก...ผมคบกับพี่พีแล้วนะ” พูดแล้วก็เขิน
(ต้องพูดว่ากินกันไปแล้วครับพี่แจ็ก) อีกฝ่ายเปลี่ยนรูปประโยคที่ท่านขุนควรพูดมาให้
“ฮ่าๆ เออ…กินกันแล้ว อร่อยมาก พอใจไหมล่ะพี่”
(อร่อยจริงอ๋อวะ ไม่ใช่ไอ้พีนอนนิ่งเป็นปลาตายเหรอ) ก็สงสัยมานานแล้วไง ว่าเพื่อนเนิร์ดของตัวเองอาจจะลีลาไม่ดีก็เลยไม่ค่อยมีใครเอา
“พี่อย่าพูดแบบนั้นดิ พี่พีไม่เบานะครับ” อยากบอกไม่เล็กด้วย ขนาดเท่านี้! ท่านขุนหัวเราะเบาๆ ให้กับความคิดตัวเอง
(เฮ้ยจริงดิ ท่าทางแบบนั้นไม่เบา...ไม่เบานี่คือขนาดตัวใช่ไหมล่ะ แหงดิ มันตัวใหญ่ มันจะเบาได้ยังไงวะ มึงต้องเล่นท่าในแนวราบเท่านั้น) เป็นคำแนะนำที่ดี แต่ถ้าได้ลองแนวอื่นมันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ
“พี่แจ็กดูถูกพี่พีเกินไปแล้วเว้ย พี่พีแกไม่ได้จืดชืดนะ...” พี่พีแซ่บมาก!
(พูดจริงปะเนี่ย)
“พี่จะเถียงคนลองอย่างผมเหรอไงล่ะ เอ้อ…ข้ามๆ เรื่องนี้ไปเหอะ ว่าแต่พี่แจ็กอะ มอมพี่พียังไงวะ ทำไมพี่พีดูเมาขนาดนั้น ไม่ได้กินเยอะสักหน่อย” อันนี้ท่านขุนสงสัยเองเป็นการส่วนตัว
(ให้ไอ้จิมแอบเอาเหล้าใส่ลงไปสองฝาทุกกระป๋อง) ความจริงถูกเปิดเผย ท่านขุนร้องอ๋อทันที
“เชี่ย เมาตายห่าเลยดิ”
(เออดิ เพื่อนกูหมดสภาพเลย แต่ช่างมัน...เสร็จมึงก็ดีแล้ว)
“พี่เชียร์จัง ถามจริง...อยากได้ลดราคาขนาดนั้นเลยอ๋อวะ” เจ้าของร้านเอื้อมไปคว้าตัวมณีน้อยมานอนตัก เขาไม่ได้ซีเรียสที่พี่แจ็กเห็นของดีกว่าเพื่อนหรอก เพราะมันเข้าทางเขาไง ถ้าไม่ได้พี่แจ็ก ป่านนี้อะไรๆ ก็คงยากลำบากน่าดู
(เปล่าหรอก มันโสดมานานแล้ววะ...ก็เลยอยากให้มันมีคู่บ้าง อยากให้มันมีคนดูแลอะไรแบบเนี่ย นี่กูเจ้ากี้เจ้าการไปปะวะ) เพิ่งมานึกได้เอาตอนนี้หรือยังไงนะ
“เออ เจ้ากี้เจ้าการมาก พี่พีรู้นะ พี่แจ็กคอขาด แล้วนี่…เราทำแบบนี้พี่พีแกจะไม่อึดอัดเหรอวะพี่” รู้ตัวว่าตนเองน่ะใช้วิธีการมากเล่ไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะตัวเองยังวัยรุ่นด้วยแหละ ก็เลยกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้
(ไม่อึดอัดแต่มันคงคิดมากอะ มึงลองนึกถึงผู้ชายหรือผู้หญิงในยุคสัก...อืม...กี่ปีดีวะ ห้าหกสิบปีก่อนเงี่ย ความคิดหรือการวางตัว ไอ้พีมันเป็นประมาณนั้นแหละ บ้านมันก็ผู้ดีเก่าอะนะ เขาก็สอนลูกเขาแบบ...เหมือนอยู่ในกรอบ ตอนเด็กๆ ไอ้พีนี่ไม่เข้าใกล้ผู้หญิงเลย กลัวทำเธอเสียหาย กลัวผิดผี ยิ่งมารู้ตัวว่าชอบผู้ชาย...ที่นี้แม่งก็ไม่ค่อยเข้าใกล้ผู้ชายอีก โอ้ย...เครียดกับมันสมัยนั้นมาก เด็กใสๆ ซื่อๆ อะมึง...นี่มันดูเป็นมนุษย์ยุคนี้มากขึ้นเพราะว่ามันไปทำงานที่ต่างประเทศมาหลายปี ไม่งั้นมันก็ยังคงเป็นแบบเดิมมั้ง) ท่านขุนนึกภาพแบบนั้นไม่ค่อยออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองกับพี่พีค่อนข้างต่างกัน
“ผมกับพี่เขาต่างกันมากเลยเนอะ”
(เออ ต่าง...ไอ้พีเป็นสีขาว มึงอะแม่งสีรุ้ง เติมๆ สีสันให้ชีวิตแม่งบ้างก็น่าจะดี สามสิบสี่จะสามสิบห้าแล้ว...มันยังใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบอยู่เลย) เรื่องนั้นท่านขุนไม่ค่อยรู้นัก เขาสัมผัสมันได้น้อยเพราะพี่พีมาที่นี่ก็แค่กินข้าวเที่ยง แต่เท่าที่ได้สัมผัสก็พอรู้ว่าพี่พีค่อยมีมารยาทแล้วก็ขี้เกรงใจมาก
“ไลฟ์สไตล์คนเรามันเปลี่ยนได้เหรอวะพี่”
(ไม่อะ มึงก็คงเปลี่ยนมันไม่ได้เหมือนมันเปลี่ยนมึงไม่ได้อะแหละ แต่ส่วนอื่นๆ มันก็น่าจะได้ปะวะ…ส่วนสิ่งนั้นมันจะคืออะไรอันนี้กูไม่รู้วะ)
“อืม...เคๆ” ท่านขุนยังคุยกับแจ็กเรื่องอื่นต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะวางสายแล้วเดินอุ้มมณีไปเอาเบียร์เย็นๆ
วันนี้เขาไม่ได้ทำงานซ่อมรถ นอนเป็นหลักแล้วก็นั่งอยู่กับพี่พีทั้งวัน พี่พีเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ได้ขอแค่มีหนังสือให้เขาอ่าน ส่วนท่านขุน...อยู่นิ่งไม่ได้เลย แค่นี้ก็ดูไปกันไม่รอดแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะเลิกชอบเพียงเพราะเราต่างกัน เขาพยายามเรียนรู้พี่พี เหมือนที่พีเองก็พยายามเรียนรู้เขาอยู่
ใช่สิ...วันนี้พีพีถามเรื่องเรียนของเขาด้วย เรานอนคุยกันอยู่บนที่นอน หลังท่านขุนตื่น พี่พีอาสาเปลี่ยนผ้าปูและเอาผ้าปูเปื้อนๆ นี้ไปซักให้ หลังจากนั้นก็มานอนคุยกัน พี่พีเรียนเอกชนตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ไม่เชิงบังคับเรียนแต่เขาตั้งใจเองว่าจะเป็นอะไรต่อในอนาคต พี่พีเป็นเด็กเนิร์ด เพื่อนน้อย ที่มีพี่แจ็กเป็นเพื่อนได้เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน พ่อแม่รู้จักกัน ซึ่งพ่อแม่พี่แจ็กก็ไม่ต่างจากพ่อแม่พี่พีมากนัก เพียงแค่เพื่อนคนนี้เลือกจะหนีออกจากกรอบเมื่อเขาโตพอจะคิดเอง ตัดสินใจและเลี้ยงตัวเองได้
พีระพลจบเคมีวิทยา คว้าปริญญามาได้ก็ได้รับโควตาไปทำงานอยู่ในแล็บวิจัยในอแมริกา ต่างกันมาก...ต่างกับท่านขุนมาก ท่านขุนเรียนจบแค่มอสาม จากนั้นไปต่อ ปวช. ปวส. แล้วก็เข้าเรียนคณะวิศวะกรรมในระดับมหาวิทยาลัยต่อ ตอนที่เรียนนั้นโคตรยาก...ไอ้เรียนกวิชาชีพเนี่ยมันไม่เน้นเรื่องวิชาหลักอย่างภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทหรือคณิตศาสตร์หนัก แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มันต้องเรียนไง เข้าไปแบบเราไม่ได้เรีนมามันก็เหมือนโง่งมคนเดียว
ตอนนั้นท่านขุนลำบากมาก จะไม่เข้ามหาลัยเลยถ้าพ่อไม่ได้บอกว่าอยากเปิดร้านกก็ต้องจบสาขานี้ให้ได้ก่อน ท่านขุนเอาเวลาว่างจากเรียน จากกิจกรรมของปีหนึ่งมาทำงานที่ร้านรุ่นพี่เพื่อหาเงินไปเรียนพิเศษวิชาหลักสี่วิชา ความลำบากของเด็กที่ไม่ได้เรียนสามัญมันอยู่ตรงนี้แหละหนา กว่าจะรอดมาเป็นไอ้ท่านขุนทุกวันนี้นี่เลือดตาแทบกระเด็นเลยทีเดียวเชียว
พี่พีเป็นผู้ฟังที่ดี ซ้ำยังเอ่ยชมเขาบ่อยๆ ว่าเขาเก่งมากที่สามารถเติบโตบนเส้นทางความฝันได้ถึงขนาดนี้ มันเป็นคำพูดที่สะกิดใจนิดหน่อย การที่พี่พีเรียนเอกเคมีนี่ไม่ได้หมายความว่าพี่พีชอบเคมีงั้นเหรอ ซึ่งพีระพลก็ตอบในส่วนนี้ว่าเขาชอบนะ...แต่เขาไม่เคยมีฝันแบบที่ท่านขุนฝัน
นั่นเป็นข้อเสียของเด็กในกรอบสินะ...
พีระพลทำผลการเรียนให้ดีเพื่อชดเชยที่เขาไม่สามารถเป็นผู้ชายธรรมดาได้ ไม่สามารถมีครอบครัว มีภรรยา มีลูกแบบที่ผู้ชายคนอื่นทำได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาหวังและหมั้นหมายให้เป็นไปคือการทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา และเพื่อให้เขาได้มีอนาคตรักในแบบที่เขาอยากมี ซึ่งพีระพลทำมันสำเร็จไปแล้ว...
ท่านขุนเห็นใจพี่พีของเขา แต่ก็ไม่รู้จะปลอบยังไง...พี่พีผ่านมันมาแล้ว และทุกวันนี้พี่พีก็มีความสุขดีอย่างที่พีเป็น
ถึงวิถีชีวิตจะต่างกันมาก...คนหนึ่งชอบอยู่นิ่งๆ แต่อีกคนชอบซนไปเรื่อย การนอนคุยกันที่คิดว่ามันจะน่าเบื่อ กลับไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด ท่านขุนมีเรื่องเล่าและวีรกรรมมากกว่าพี่พี เพราะว่าเขาเป็นเด็กแก่นๆ หัวโจกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เริ่มจากซิ่งจักรยานจนมามอเตอร์ไซก์แว้นๆ อย่างที่เด็กสมัยนี้เขาแว้นกัน มาเป็นบิ๊กไบก์ ทั้งเรื่องแต่งรถ ทั้งเรื่องรถล้ม สารพัดจะเล่า
ในความสุขก็มีความกังวลแหละ...เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวอีกคนเบื่อ
ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ชอบที่ได้นอนคุยกันแบบนี้
ท่านขุนกระดกเบียร์พลางเดินขึ้นห้องพร้อมมณี วันนี้พีพีอยู่ด้วยทั้งวัน ท่านขุนแอบเอาไม้ไปกั้นประตูแมวกันมณีเข้ามาในห้องด้วย แต่พี่พีไม่รู้ ดังนั้นเมื่อพี่พีกลับไป ท่านขุนจึงต้องตามใจมณีน้อยทุกอย่าง ตั้งแต่แกะปลาแซลม่อนให้กิน ยันขนมอีกสองซองและก็ต้องมานั่งลูบคาง เกาหัวให้เธอมีความสุข ท่านขุนไม่คิดดุมณีแล้ว เรียกว่าลืมไปแล้วว่ามณีทำร้ายแฟนมาดๆ ของท่านขุนจนเลือดไหลเป็นทาง...
.
.
.
.
ท่านขุนอาจไม่คิดมากเรื่องความสัมพันที่เกิดขึ้นฉับไวเช่นนั้น แต่นั่นไม่ใช่กับพีระพล...เขาเครียด
“ทำไมต้องหน้าเครียดแบบนั้นวะ” แจ็กเอ่ยทักเพื่อนสนิทตัวเองหลังอีกฝ่ายเอาค่าเคมีมาส่งเขา
“ก็เครียด” พีระพลไม่รู้จะพูดยังไงให้เพื่อนตัวเองเข้าใจดีเหมือนกัน
“เรื่องไรวะ หรือแอบไปได้เสียกับใครมา” แจ็กพูดเข้าประเด็นดังฉึก แต่พีระพลก็ไม่ได้สะทกสะท้านเท่าไหร่ เขาตัดสินใจนั่งลงตรงหน้าเพื่อนตัวดี พลางมองหน้าเสมียนอีกคนซึ่งอยู่โต๊ะถัดไป เป็นการเชิญให้ออกจากห้องนี้ก่อนกลายๆ ดีที่เธอรู้ว่าเธอควรอยู่ตรงไหนในเวลานี้
“กูถามมึงจริงๆ นะแจ็ก...มึงจับคู่กูกับท่านขุนใช่ไหมวะ” หน้าตาจริงจังของพีระพลเป็นสิ่งที่แจ็กเห็นบ่อย ก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ไม่ใช่หน้าตาตอนโกรธนี่นา
“เอาเป็นว่ากูไม่ปฏิเสธแล้วกัน ก็น้องเขาชอบมึง...กูก็เห็นว่ามึงโสดมานานแล้ว ทำไมวะ หรือมึงไม่ได้ชอบน้องเขาเลย” แจ็กมีท่าทีสบายๆ เรื่องทำตัวเป็นคิวปิดนี่ครั้งแรกที่ทำ แล้วทำเพราะรักเพื่อนนะเนี่ยนะ
“เปล่าหรอก แค่อยากแน่ใจว่าใช่แบบที่คิด” เป็นคนอื่นเขาคิดได้ตั้งแล้วเพื่อน แจ็กอยากสวนออกไปแบบนี้ แต่...ไม่ เขายังมีอะไรให้เล่นอีก
“ทำไมวะ อย่าบอกนะที่มึงเครียดเนี่ยเพราะมึงไปจิ้มน้องมันมาแล้ว...หรือว่าที่เมาวันนั้น” จี้เข้าจุดพอดีเป๊ะราวกับจับวาง ก็ใช่ไง...รู้เรื่องดี แค่ไม่รู้ท่าที่เล่นกันเท่านั้นแหละแหม่
“อืม” แล้วพีระพลก็ยอมรับง่ายๆ เขาเครียดเรื่องนี้
“เอ้า มึงก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับน้องเขา แล้วมึงจะมาเครียดทำไมวะ หืม...มันหมดยุคที่ว่ารัก แต่งแล้วก็เข้าหอแล้วนะเว้ย” แจ็กคิดแบบนั้นมันไม่ผิด แต่พีระพลไม่ได้คิดอย่างนั้นเนี่ยแหละประเด็นเลย
“กูไม่ควรทำแบบนั้นลงไปอะ น้องเขาจะรู้สึกยังไงวะ...ดูกูเหมือนพวกแบบ เห็นแก่ได้มากเลยนะเว้ย น้องเขาบอกชอบแล้วกูก็จับเขากด เฮ้ย...ไม่เครียดกูทำไม่ได้จริงๆ วะ” สรุปพีระพลเป็นฝ่ายกดขุน อันนี้ช็อกคนฟังนิดหน่อย พอดีมันทั้งคู่แยกยากว่าใครจะกดใคร หุ่นก็ต่างแหละ...แต่ฝ่ายรับตัวใหญ่กว่ามีถมเถไปนี่นา
“ที่มึงเครียดเพราะมึงห่วงความรู้สึกน้องเขาใช่ปะ” พีระพลพยักหน้า
“ก็ใช่สิวะ กูไม่มีอะไรเสียหายนี่”
“แต่น้องมันก็ไม่ท้องนะมึง” เหมือนได้ยินเสียงว่าเออ...ก็จริง ดังขึ้นในหัว
“แต่มันก็ไม่ควรปะวะ” โอ้ย...เบื่อความหัวดื้อ หัวโบราญของเพื่อนตัวเอง
“ไอ้พี...กูไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดกับมึงเลยวะ รัก ให้เกียรติ เข้าใจ...แต่มึงจะมาคิดมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วทำไมวะ ตอนนี้มึงกับน้องเป็นแฟนกันถูกปะ...เออ แฟนกันจะอะไรๆ กันมันก็ปกติ ปล่อยวางบ้างมึงอะ ยึดติดเกินไป ถ้ามึงห่วงความรู้สึกไอ้ขุน มึงก็ไปถามน้องมัน...ไปคุยกับน้องมันตรงๆ เลิกเอากรอบ เหตุผล ความสมเหตุสมผลบ้ามาบอมากำหนดชีวิต นี่อายุเท่าไหร่แล้ว...เอาตัวเองกับความรู้สึกเป็นหลักบ้างเว้ย” แจ็กสวดยับ เข้าหูบ้าง...ทะลุหูบ้าง
พวกยึดติด...ก็คือพวกยึดติด ถ้าปล่อยวางได้มันจะไปเรียกว่ายึดติดยังไงล่ะ พีระพลยังคงคิ้วขมวดแม้คำพูดของแจ็กจะดีเลิศเลอขนาดไหน แล้วสิ่งที่แจ็กพูดก็ควรเป็นสิ่งที่พีระพลควรทำ แต่เขากลับมองว่าแค่นั้นไม่พอ...มันไม่พอจริงๆ ต่อการรับผิดชอบคนคนหนึ่ง เขาอยากทำอะไรให้มันถูกที่ถูกทาง
“กูว่า...กูไปคุยกับพ่อแม่น้องเขาดีไหมวะ” คนฟังแทบอ้าปากค้าง
“มึงฟังที่กูพูดไหม”
“กูฟัง แต่กูไม่สบายใจวะ...”
“มึงไปคุยแล้วยังไง มึงยังไม่เริ่มดูใจกันจริงจังเลย รักขนาดเอามาเป็นคู่ชีวิตแล้วหรือเปล่า...ก็ยัง เฮ้ย นี่กูไม่ได้ยุให้แตกนะ แต่ก็อย่างที่บอกอะมึง...มันข้ามขั้นไปหน่อย แต่ย้อนกลับไปดูใจกัน ใช้เวลาร่วมกันได้นะเว้ย อีกอย่าง…มึงลองนึกดูนะ เดินเข้าไปบอกพ่อแม่น้องมันว่ามึงได้กับน้องเขาแล้ว เลยอยากจะรับผิดชอบ…งี้อะนะ โอ้ย เป็นกู กูก็ไม่ยอมหรอก” พีระพลส่ายหน้ากับคำพูดของแจ็ก
“คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเข้าไปพูดอะไรแบบนั้นน่ะ” อ่าว...โดนด่าโง่วะ แจ็กเจ็บที่ใจจี๊ดๆ เดี๋ยวสั่งมณีฆ่าปาดคอเลย
“เอางี้...มึงสองคนดูใจกันไปก่อน วางความรู้สึกที่ว่ามันไม่ดีกับการมีอะไรกันทั้งที่เพิ่งบอกคบกันไว้ในแล็บของมึงก่อน แล้วหลังจากนี้จะเอายังไงต่อก็ค่อยว่ากัน ดีมะ...หรือถ้ามึงไม่สบายใจมากนัก มึงก็หาของไปบรรณาการท่านขุนมึงสิ จองตัวไว้ก่อน”
“เออ...เข้าท่า” ว่าจบ พีระพลก็ลุกขึ้น ตบบ่าเพื่อนสนิทสองทีก่อนเดินออกไป ทิ้งให้แจ็กสงสัยว่า...อะไรคือเข้าท่า?
แนะนำไปตั้งเยอะตั้งแยะ สรุปมันเอาส่วนไหนในคำแนะนำของเขาไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วที่มันจะรับผิดชอบท่านขุนเนี่ย...คือรักเขาแล้วจริงๆ ใช่ไหม เพื่อนคนนี้ไม่ค่อยได้แสดงอะไรให้เขาเห็น ไม่เคยชมท่านขุนอย่างนั้นอย่างนี้หรือเอามาพูดถึงเลย ดังนั้นอีกสิ่งที่แจ็กคิดก็คือมันรักท่านขุนจริงๆ ใช่ไหม แต่คิดอีกแง่ ถ้ามันไม่จริงจัง...มันจะคิดถึงการรับผิดชอบท่านขุนแบบนี้เหรอ ตอนแฟนเก่ายังไม่ขนาดนี้เลยนี่นา
แจ็กปล่อยวางเรื่องเพื่อนตัวเองเมื่อหัวหน้าแผนกเดินเข้ามาบอกว่าเครื่องโม่มีปัญหา...
เมื่อวานนี้พีระพลกับท่านขุนได้แลกเบอร์โทรศัพท์และไลน์กันเอาไว้เรียบร้อย ทั้งที่รู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วแต่ก็เพิ่งจะแลกกัน ส่วนหนึ่งเพราะท่านขุนคิดว่าการไม่รุกล้ำอณาเขตมากเกินไป เว้นระยะให้เขาคิดถึงบ้างมันเป็นเรื่องดี แล้วก็เพราะเขาไม่ได้คิดว่าจะได้เสียกับพีระพลเร็วขนาดนี้เหมือนกันนั่นเอง
พีระพลส่งข้อความไปหาท่านขุนตอนสิบเอ็ดโมงเศษๆ ว่าอยากให้ออกมาเจอกันที่ห้างใกล้ๆ นี้ อยากชวนไปกินข้าวข้างนอกบ้าง แต่เขาไม่ได้บอกหรอกว่าเขาตั้งใจพาท่านขุนไปซื้ออะไรบางอย่าง อย่างน้อยๆ มันอาจจะทำให้เราทั้งคู่สบายใจ...
ก็แค่พีระพลเท่านั้นแหละที่คิดไปเองแบบนี้
หลังจากสับสนกับความรู้สึกของตัวเองเมื่อวานนี้…คำถามที่เขาถามย้ำตัวเองบ่อยครั้งว่าเขารักท่านขุนไหม ตอนนี้เขาตอบได้ว่าเขาชอบท่านขุน มันอาจจะไม่ใช่ความรักแบบทุ่มเททั้งกายใจไปเลย แต่มันก็คือพึงพอใจในตัวตนของอีกฝ่าย การที่เขาคิดแบบนี้ได้ก็เพราะเมื่อวานนี้พวกเขาได้นอนคุยกัน
พีระพลสบายใจที่จะอยู่กับท่านขุนแบบนั้น...ชอบที่จะฟังอีกฝ่ายเล่าถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ตนรับรู้ ชอบรอยยิ้มของเขา...และมันก็มีความสุขกับการได้ใกล้ชิดเขา พีระพลคิดไปถึงว่าถ้าหากมีคนมาเกาะแกะท่านขุนเขาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าตอนเช้าที่ตื่นมาท่านขุนบอกว่าระหว่างเราไม่ได้เป็นอะไรกันเขาจะรู้สึกแบบไหน เขาตอบกับตัวเองได้ทันทีเลยว่าแย่...มันคงแย่มากจริงๆ
แล้วเหตุผลที่ทำให้รู้สึกแย่ก็คงหนีไม่พ้นเขาชอบท่านขุนเข้าแล้วไงล่ะ...
ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้วสินะ ไม่ได้รู้สึกอยากกอดใครหรืออยากถนอมใครเอาไว้ข้างกายนานแล้ว หลังจากเลิกรากับรักเก่าที่เขาก็ไม่รู้เหตุผล ผ่านมาเกือบห้าปี เขาไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเลย...ไม่มีใครที่ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับที่รู้สึกกับท่านขุน
มันไม่ใช่เรื่องยาก…แต่มันก็ไม่ง่ายเมื่อเขาทำแบบนั้นลงไปก่อนที่จะได้บอกความรู้สึกของตัวเอง หรือว่าคบหาดูใจกันไปก่อนอย่างที่ควรเป็น ไอ้การยึดติดกับสิ่งที่เขาถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโตนี่แหละที่สร้างความสับสน สร้างกรอบ สร้างหลายสิ่งหลายอย่างในหัวของเขา มันช่างกระจัดกระจายเหลือเกิน ยากที่จะทำให้มันตกตะกอน
ทว่าการนอนคุยกันกับท่านขุน…ก็ทำให้มันเริ่มกระจ่างชัดขึ้น
โตแล้วนะพี…โตแล้วต้องรู้ใจตัวเองมากกว่าสิ่งใดๆ
พีระพลย้ำกับตัวเองแบบนั้น จะทำอะไรแบบเด็กๆ ทำแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมันไม่ได้...อย่างน้อยความรู้สึกของตัวเองต้องเป็นสิ่งที่เขารู้จักดีที่สุด ดังนั้นพีระพลจึงไม่ลังเลที่จะรับผิดชอบท่านขุน แม้ว่าคำบอกรักที่เขาได้บอกให้ท่านขุนนั้นจะเป็นคำโกหกไปเสียหน่อย แต่อีกไม่นาน มันจะเป็นคำโกหก หรือว่าความจริงนั้น ก็จะชัดเจนขึ้นเอง
คู่รักหลายคู่ ไม่ได้เริ่มจากรักกันก่อนที่จะลงเอยกัน หรือสร้างครอบครัวด้วยกัน คู่รักหลายคู่เริ่มจากชอบพอกัน ดูใจกัน และค่อยๆ สานต่อความสัมพันนั้นให้ยืนยาว แจ็กพูดถูก มันอาจข้ามขั้นไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะย้อนกลับไปทำในสิ่งที่เราข้ามมาไม่ได้
เมื่อรู้แล้วว่าจะจัดการกับความรู้สึกผิดของตัวเองอย่างไร พีระพลก็สบายใจขึ้นมาก เขานัดแนะท่านขุนเสร็จ ลุกขึ้นยืนแต่งตัวเล็กน้อย ก็แค่จัดผ้าจัดผมให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้นแหละ ไม่ได้ประทินโฉมอะไรเลย จากนั้นเขาออกจาห้องแล็บ ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ใกล้เที่ยงแบบนี้พีระพลเคลียร์ทุกอย่างเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว
เขาตรงไปที่รถเก๋งสีดำของตน ไม่รู้ท่านขุนจะออกจากร้านมาตอนไหน แต่เขาต้องไปก่อน รถใหญ่ไม่สามารถซอกแซกเหมือนรถเล็กได้ ดังนั้นเผื่อเวลารถติดเอาไว้หน่อยเป็นสิ่งที่ควรทำ เป็นผู้ใหญ่...จะไปให้เด็กมานั่งรอมันไม่ดี
พีระพลใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีจากที่ทำงานมาห้างสรรพสินค้า เวลาเที่ยงวันแบบนี้คนเยอะ ทว่าไม่มากเท่าช่วงเย็นหลังเลิกงาน เขาเลือกที่ว่างๆ จอดรถ เดินไกลหน่อยไม่เป็นไร ดีกว่าต้องวนไปวนมาหลายรอบเพื่อหาที่จอดใกล้กับประตูทางเข้า
สิ่งแรกที่พีระพลมองหาไม่ใช่ร้านอาหาร เขากำลังกวาดสายตามองร้านจิลเวอร์รี่ ท่านขุนรู้ต้องหาว่าพีระพลคนนี้เวอร์แสนเวอร์ แต่นี่แหละที่ทำให้พีระพลรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ไหนๆ...มันเกินเลยไปแล้วก็จับจองตัวเอาไว้ก่อน ได้แต่งไหมมันก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต ร่างสูงของหนุ่มลูกครึ่งเดินเข้าร้านนั้นที เข้าร้านนี้ที ราวกับได้กลายเป็นอาหารสายตาของสาวๆ พนักงานต้อนรับไปเสียแล้ว
พีระพลพบว่า...แต่ละร้านมีรูปแบบที่ไม่ต่างกันมากนัก คล้ายคลึงกันไปหมด แล้วคนที่ไม่รู้เรื่องพวกนนี้แบบเขาจะแยกแยะออกได้ยังไง ว่าอะไรดีกว่ากัน ดีกว่ายังไง แบบไหน มีสี่ตา...แต่เริ่มตาลาย เขาเห็นร้านอีกหลายร้านแล้วถอนหายใจ วางเรื่องแหวนก่อนดีไหม มาเลือกพร้อมท่านขุน...หรือว่าควรถามท่านขุนก่อนว่าชอบการใส่แหวนหรือเปล่า
ขณะตั้งคำถามเพื่อหาเรื่องหยุดดูแหวนทองคำขาว...พีระพลนึกขึ้นมาได้ว่าท่านขุนเป็นช่างซ่อมรถ ปกติ พวกช่างจะไม่ค่อยใส่จิลเวอร์รี่ นิ้วของท่านขุนไม่มีแหวนสักวน ไม่มีเครื่องประดับอะไรเลยด้วยซ้ำนอกจาก...ต่างหู
….100%….
พี่พีคนคิดมาก คิดเยอะ คิดแยะ คิดไปคิดมาเปย์ท่านขุนด้วยอัญมณีเสียเลย~