>…ปฏิบัติการณ์รักของพ่อเหมียว…< [ตอนที่ 24**TheEnd** 06-05-61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: >…ปฏิบัติการณ์รักของพ่อเหมียว…< [ตอนที่ 24**TheEnd** 06-05-61]  (อ่าน 44289 ครั้ง)

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
พี่พีเซ็กซี่แบบร้ายกาจมากกกก  :hao7:

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โง้ยยยยยยยยยยยยยอ่านรวดเดียวจบบอกเลยว่าฟินมากกกก :pighaun:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ GukakST

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +187/-5
>….ตอนที่ 7 [100%]….<

ความเครียดนี่มันอะไรกัน...

พีระพลเอาแว่นสายตามาใส่หลังตื่นนอน รู้แหละว่ามันโล่งแปลกๆ แถมยังจำภาพเมื่อคืนนี้ได้ดีอีก ถามว่าเมาไหมเขาก็ตอบว่าเมานั่นแหละ แต่ไม่ได้เมาขนาดจำอะไรไม่ได้ แล้วไอ้การใส่แว่นสายตามันก็เสือกทำให้เห็นความเป็นจริงชัดขึ้น

เขากุมขยับตัวเอง นวดและคลึงเบาๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียดที่สุมอยู่ ไหนจะอาการเมาค้างนี่อีก ท่านขุนนอนคว่ำอยู่บนที่นอน ผ้าห่มคลุมกายช่วงล่างเอาไว้ ท่อนบนอยู่นอกผืนผ้า ผิวกายติดคล้ำของท่านขุนเต็มไปด้วยรอยแดง...ไม่ต้องอธิบาย เขารู้ มันเป็นเพราะเขาเอง ยิ่งตรงคอยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้น่าเกลียดแต่ชัดเจนว่าเขาเป็นคนทำมันเอาไว้ อารมณ์บ้าอารมณ์บออะไรของเขาก็ไม่รู้...

ตั้งใจเบนสายตาหนีร่างกายชวนคิดมาก กลับมาเจอเศษซากอารยธรรมบนพื้นห้องอีกมากมาย ขวดเจลใช้แล้ว ฝายังไม่ปิดจนเจลสีชมพูอ่อนไหลออกมากองอยู่ด้านนอก ซองถุงยาง...และถุงยางที่ยังมีน้ำของเขาอยู่

ตาย...ตายแล้วแบบนี้

พีระพลค้ำศอกทั้งสองลงที่เข่าตนเองก่อนซบหน้ากับฝ่ามือ คิ้วสีน้ำตาลเข้มขมวดเป็นปมซ่อนอยู่ใต้เรียวนิ้วยาวขาวนวล เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ไม่ชอบที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้วเผลอลงมือทำสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ต่อให้ท่านขุนชอบเขา หรือเขาชอบท่านขุน แต่การเร่งรัดเอาร่างกายของกันและกันแบบนี้มัน...มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้สิวะ

ท่านขุนจะคิดยังไง...ท่านขุนจะหาว่าเขาเห็นแก่ตัวหรือเปล่า มันเหมือนเราไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย อย่างน้อยๆ เราควรจะศึกษาดูใจกันไปก่อน อะไรๆ ลงตัวแล้วจะถึงขั้นนี้มันก็ไม่ยังไม่เสียหายเท่าไหร่ แต่นี่...นี่มันมาตกลงเป็นอะไรกันแล้วเขาก็จับท่านขุนกดเนี่ยนะ

ลงโทษตัวเองเดี๋ยวนี้ไอ้พี!

“อืม...อะ...พี่พี” เขาสะดุ้งตัวเกือบลอยหมดมาดแล้วเมื่อกี้นี้ ตอนได้ยินเสียงครางเบาๆ ของท่านขุน ไม่กล้าหันไปมอง แต่ถ้าไม่หันไปมองมันก็จะน่าเกลียดไหม

“ครับ...”

“พี่พีเป็นอะไร ทำไมหน้าเครียดแบบนั้นละครับ” ท่านขุนขยับพลิกกายนอนตรง มีแอบเบ้หน้าเล็กน้อยซึ่งเขาคิดว่าท่านขุนน่าจะเจ็บแน่ๆ เลย

“คือ...” พูดไม่ออก ต้องพูดแบบไหนวะ เกิดมาสามสิบกว่าปียังเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เลยให้ตายสิ

“พี่พีปวดหัวเหรอ แน่เลยใช่ไหม...” เขาพยักหน้า ยังหาคำพูดที่ควรพูดไม่ออกก็เลยต้องยอมรับอะไรไปสักอย่าง

“ครับ พี่เมาค้าง”

“ฮ่าๆ แหงล่ะ พี่พีเมามากเลยนี่เมื่อคืนน่ะ” รอยยิ้มบางๆ ของท่านขุนทำให้เขารู้สึกผิด อีกฝ่ายดูไม่โกรธไม่เคืองเลย...ท่านขุนเป็นคนดีแบบนี้เขาไปทำแบบนั้นกับท่านขุนได้ยังไงนะ

ท่านขุนขยับตัวซ้ายขวาเล็กน้อย บิดขี้เกียจอีกทีก่อนจะลุกขึ้นมานั่งโดยยังมีผ้าห่มคลุมท่อนล่างเปล่าเปลือยเอาไว้ ท่านขุนโอบร่างใหญ่ของพีระพลด้วยท่อนแขนอ่อนแรงผ่านลำคอ ศีรษะวางลงบนบ่ากว้าง ท่าทางเหมือนอ้อนกันแบบนี้ทำเอาพีระพลลืมเรื่องเครียดไปชั่วแวบ เขาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหัวของท่านขุน

“พี่ขอโทษ...”

“พี่พีจะขอโทษทำไมล่ะ” ท่านขุนงยหน้าขึ้นมาถาม ระยะที่ใกล้ชิดทำให้ลมหายทั้งสองปะทะกันเบาๆ

“ก็พี่ทำร้ายขุน” เป็นท่านขุนเองเลิกคิ้วฉงน

“ทำร้าย บ้าเหอะ...มันเรียกว่าทำรัก”

“...” เป็นพีระพลที่พูดไม่ออกอีกเช่นเคย สมองของเขาบอกว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกต้อง เขาไม่ควรรุกรานร่างกายท่านขุนทั้งที่เขาทั้งคู่เพิ่งขอเป็นแฟนกันแบบนั้น อีกทั้งเขายังใช้กำลังทำจนท่านขุนมีแต่ร่องรอยแดงเต็มตัวไปหมด

“พี่พีจำเรื่องเมื่อคืนได้ใช่ไหมครับ...” ท่านขุนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่เงียบ ทั้งยังมีความสับสนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้น

“ครับ”

“งั้นพี่ก็จำได้ว่าเราเป็นแฟนกันแล้ว...” พีระพลพยักหน้า

“แต่พี่ว่ามันเร็วเกินไปที่พี่จะทำแบบนี้กับขุนนะ” ท่านขุนกระชับวงแขนแล้วซบหน้าลงกับไหล่อีกครั้ง

“ไม่เห็นเร็วเลย รักกันก็ต้องแสดงออกอะถูกแล้ว เสียก็แต่…พี่พีไม่ได้รักผม” คำนี้ทำเอาจุกขึ้นคอเหมือนกัน พีระพลยังไม่ชัดเจนกับตัวเองเลยว่าเขารักท่านขุนไหม ชอบอะใช่…แต่มันถึงขั้นว่ารักหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจ

บัดซบที่สุด...พีระพลอยากทึ้งหัวตัวเอง

“นั่นสิ พี่พีอาจจะไม่ได้รักผมก็ได้” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ไม่มีความสุขเจืออยู่อีก กลายเป็นความกังวลและเสียใจ พีระพลไม่สามารถทนมองแววตาแบบนั้นของท่านขุนได้ เขาตัดสินใจรั้งต้นคอของอีกคนเข้ามาใกล้ก่อนจะจูบปากนั้นเบาๆ

“พี่รักขุน...เพราะพี่รักพี่ถึงอยากให้เกียรติขุน ไม่ใช่ทำเหมือนกันขุนเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้” โกหก...พีระพลโกหกท่านขุนเข้าเต็มเปา ยังหาความชัดเจนให้ตัวเองไม่ได้เลย แล้วคำว่ารักนั้นมันใช่ของจริงเสียที่ไหน

เขาแค่ไม่อยากทำให้ท่านขุนรู้สึกแย่...ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่าย เพราะร่างกายนี้เขาก็ได้มาครองแล้ว เราเป็นของกันและกันแล้ว อาจจะข้ามขั้นหลายอย่างแต่พีระพลก็จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง

“จริงเหรอพี่”

“จริงสิครับ” เขาตอบย้ำชัดให้อีกฝ่ายเชื่อ แท้ที่จริงแล้ว...ย้ำเพื่อให้ตัวเองเชื่อต่างหากล่ะ ท่านขุนระบายยิ้มกว้างเต็มใบหน้า เขาจูบปากพีระพลอีกครั้งแล้วก็สวมกอดแน่นๆ

“ตอนแรกกลัวพี่พีรังเกียจผมแล้ว...”

“จะบ้าเหรอ พี่จะไปรังเกียจขุนได้ยังไง เราอย่าคิดมากนะ ขุนเป็นของพี่แล้ว...ยังไงพี่ก็จะรับผิดชอบท่านขุนเอง” พี่พีเป็นคนดี...ท่านขุนรู้ข้อนี้ และเขาใช้ข้อนี้ของพี่พีมาผูกมัดพี่พีนี่แหละ

ทั้งคู่กอดและปลอบกันอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ พีระพลตัดสินใจลุกไปอาบน้ำอาบท่าโดยให้ท่านขุนนอนพักผ่อนไปก่อน เดี๋ยววันนี้เขาจะทำอากหารให้ท่านขุนทานบ้าง หลังจากที่ท่านขุนเป็นฝ่ายทำให้เขามาโดยตลอด

มารู้ตัวอีกที...พีระพลก็ได้รับการดูแลจากท่านขุนมาสักระยะแล้วนี่นะ...

พีระพลใส่ชุดท่านขุนลงมาข้างล่าง ร้านยังไม่เปิดและไม่เห็นใครเลยนอกจากมณีที่อยู่ในกรงของเธอ ขนาดใหญ่แต่มันก็กักอิสรภาพ พีระพลตัดสินใจเปิดกรงให้มณีออกมาข้างนอก ทว่าครั้งนี้เธอไม่เป็นมิตรยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทันทีที่ออกมาจากกรง มณีกระโจนเข้าใส่พีระพลพร้อมกับเอาร่างกายเขาเป็นที่ระบายอารมณ์ฉุนเฉียว

ก็เพราะเจ้านี่...มณีถึงต้องโดนขัง

แล้วก็เพราะเจ้านี่อีก...ท่านขุนถึงไม่ลงมาดูดำดูดีเธอ

เพราะงั้น...เจ้านี่แหละคือคนผิด!

พีระพลพยายามดึงตัวมณีออกให้พ้นจากตัวเอง แต่ถึงแบบนั้นทั้งมือและเท้าของเธอก็ยังเฉี่ยวแขนและเสื้อยืดอยู่ดี เมื่อวานก็เจ็บ วันนี้เจ็บยิ่งกว่า พีระพลคิดว่า...นี่ไง...บทลงโทษของคนชิงสุกก่อนห่าม

“เจ็บแล้วครับมณี ขอโทษๆ...พี่ไปหาอะไรให้มณีกินนะ” เขารีบอ้อนมณีน้อยด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดแล้ววางมณีลงที่พื้น แต่มณีไม่ยอมง่ายดาย เธอตรงเข้าไปเข้งขาวๆ นั้นแล้วข่วนอย่างกับมันเป็นที่รับเล็บ

“แง่วๆ ม้าว...เหมี๊ยวววว” พีระพลแทบจะกระโดดตัวโยนเพราะมันเจ็บมาก เจ็บอย่างที่สุดของที่สุด ตอนนี้เลือดอาบไหลเต็มหน้าเข้งเขาไปหมดแล้ว

“โอ้ยๆ มณีเจ็บ...” เขาเอาขาตัวเองหลบ แต่มณีก็ไม่มีทีท่าจะถอยหนี

พีระพลช่างใจอยู่ครู่ เมื่อมณีอารมณ์ไม่ดีเสียทีเขาควรทำอย่างไร เอาออกก็ไม่ได้ ไล่ก็ไม่ไป จะตีก็ทำไม่ลง ดังนั้นเขาตัดสินใจเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นทั้งที่เสียงแมวน้อยยังคงดัง เธอตามเขาระยะประชิดมากๆ แล้วยังคงไล่กัด ไล่ข่วนเขาไม่เลิกอีกต่างหาก เจ็บแสนเจ็บ แต่ต้องยืนนิ่งแกะอาหารกระป๋องให้มณี

เจ็บกว่าแม่ตีก็มณีข่วนนี่แหละวะ!

พีระพลเอาชามอาหารสีสดสวยวางลงบนพื้นเบื้องหน้าแมวน้อย มณีชะงัก หันมองอาหารในชาม เธอโกรธเจ้านี่ แต่ก็หิว...กองทัพต้องเดินด้วยท้องใช่ไหมล่ะ ได้ เธอกินก่อนค่อยมาฆาตกรรมมนุษย์นี่ทีหลังก็ยังไม่เสียหาย มณีเบี่ยงความสนใจไปยังชามอาหารอย่างเสียดายขาขาวๆ อาบเลือดนั้น

 แผลเก่าตกสะเก็ดเล็กๆ บางแผลก็ยังไม่ตกสะเก็ด ตอนนี้...มีเพิ่ม เรียกว่าเพิ่มมาแบบนับไม่ถ้วน พีระพลได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้กับมณีและบาดแผลเหล่านั้น ตอนนี้ถ้ามองร่างกายเขาจริงๆ ไม่นับรอยเล็บของท่านขุนด้านหลังเขา มันก็จะมีแต่รอยเล็บของมณีเต็มไปหมด

ปกติมณีก็ไม่เป็นมิตรกับพีระพลอยู่แล้ว ยิ่งเขาเป็นต้นเหตุให้เธอโดนขัง เธอก็ยิ่งเกลียดขี้หน้าเขาไปใหญ่ พีระพลถอนใจ ไม่เคยเลี้ยงสัตว์ก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้เธอเชื่องกับเขาและเลิกทำร้ายเขาหนักหน่วงแบบนี้เสียที ทั้งแขน ทั้งมือและขา นี่มันยิ่งกว่าสมัยเขาเด็กน้อยวัยซนเสียอีก ตอนนั้นยังเป็นแผลแค่เข่าบ้าง ศอกบ้าง นี่หาที่ว่างยากเชียว...

พีระพลเอาน้ำไปเสิร์ฟมณีอีกชามก่อนไปล้างเลือดในห้องน้ำ จากนั้นกลับไปให้ความสนใจกับมื้อเช้าที่จะเตรียมให้ท่านขุนทาน ในตู้เย็นมีของสดอยู่เยอะ เขาเลือกเอาที่ตัวเองจะใช้แค่ไม่มาก กะว่าทำข้าวต้มง่ายๆ ก็คงจะดี ทั้งกับตัวเขาที่ยังแฮงก์และตัวท่านขุนที่รับศึกหนักไปเมื่อคืนนี้

“โอ้ย…” ยืนรอน้ำเดือดเพลินๆ มณีกินเสร็จแล้วเดินมาฝากรอยที่ขาอีกข้าง

“ม๊าวๆ...แง้ววว” ไม่รู้หรอกว่าพูดอะไร

“จ้า...เข้าใจแล้วจ้า” แต่พีระพลก็ขานรับขันแข็ง อะไรก็ได้ เลิกข่วนที เนื้อยุ่ยแล้วเนี่ย

“แม้วววว”

“จ้า” เธอหันหลังเดินออกจากครัว ไม่เหลืออาหารในชามแล้วนอกจากน้ำ พีระพลอยากจะปาดเหงื่อตัวเองด้วยความโล่งใจ มณีไปแล้ว สบายใจไปเปราะหนึ่งว่าจะไม่โดนข่วนอีกในตอนนี้

ระหว่างรอน้ำและข้าว พีระพลยืนพิงเคาน์เตอร์เลื่อนหน้าจอเฟซบุ๊กเล่น ส่วนใหญ่ที่เขาติดตามจะเป็นเพจของสำนักพิมพ์หรือพวกนักเขียนที่เขาชื่นชอบเป็นหลัก นอกนั้นก็จะเป็นเพจเกี่ยวกับข่าวบ้านข่าวเมืองต่างๆ ถึงจะรู้ว่าข่าวเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจรรโลงใจแต่ก็ต้องรู้เอาไว้บ้างไม่ใช่ละเลยมันจนไม่รู้เรื่องรู้เรื่องราวอะไรเลย ถึงตาจะมองหน้าจอแต่ในสมองของพีระพลตอนนี้กลับทำงานอย่างหนักเพราะท่านขุน

เข้าใจคำว่า...รักเริ่มจากการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

แต่ว่าแบบนี้ข้ามขั้นนั้นไปไกลจริงๆ ข้างในพีระพลค่อนข้างจะต่อต้านในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ใช่คนที่เสียหาย เขาเกรงใจท่านขุน...ห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง เป็นผู้ใหญ่แต่ทำตัวแบบนี้มันเหมาะสมหรือไงล่ะ...ไม่เลย นี่มันเหมือนคนไม่มีวุฒิภาวะเลยสักนิด อย่างกับเด็กวัยรุ่นที่ริรองมีรักครั้งแรกหรือเซ็กส์ครั้งแรกอย่างไงอย่างั้น

เสียงของท่านขุนดังลอยลงมาจากชั้นบน ดูเหมือนเจ้าของร้านกำลังปลุกลูกน้องผู้นอนกินบ้านกินเมืองจนไม่สนใจจะตื่นขึ้นมาเปิดร้าน บทโหดก็มีกับชาวบ้านเขาเหมือนกันเนาะ พีระพลคิดแบบนั้นขณะเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตัวเอง เขาหันกลับไปดูน้ำและหม้อข้าวที่เสร็จแทบจะพร้อมๆ กัน ถอดปลั๊กหม้อข้าวออก หันไปเปิดฝาหม้อน้ำ ใส่กระดูกหมูลงไปก่อนจะเริ่มหั่นผักต่างๆ ท่าทางคล่องว่องไวบ่งบอกว่าพีระพลเองก็อยู่ด้วยตัวคนเดียวจนชำนาญ

ตอนอยู่ต่างประเทศ เขาหาอาหารที่ถูกปากยาก และจะไปหากินทุกมื้อมันก็น่าเบื่อเกินไป ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำอาหารทานเองโดยการโทรมาขอสูตรและวิธีการทำจากแม่ แรกๆ พีระพลตวงแทบทุกอย่างตามแม่บอก กว่าจะเริ่มทำเองโดยไม่ต้องตวงเครื่องปรุงกับวัตถุดิบก็ปาไปเกือบปี

“ขาพี่พี....” ไม่ทันหันไปหา ท่านขุนเดินเข้ามาใกล้ซ้ำยังย่อตัวลงไปดูแผลตรงหน้าแข้งเขาเสียแล้ว

“ไม่ต้องท่านขุน” พีระพลรีบร้องบอก เขาดึงท่านขุนให้ยืนขึ้น การก้มลงไปดูขาให้กันแบบนั้นมันดูจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เขารู้สึกแปลกๆ...มันไม่ชิน

“ฝีมือมณีอีกแล้วใช่ไหม จะตีเธอ...” ไม่ว่าเปล่า ท่านขุนเตรียมเดินออกไปด้านนอก แมวน้อยนอนอยู่บนโซฟาที่เดิม

“อย่านะขุน ถ้าขุนตีมณี มณีก็จะยิ่งไม่ชอบพี่เข้าไปอีกนะ” พูดอย่างกับแมวน้อยเป็นคน ไม่รู้สิ...พีระพลคิดว่าสัตว์ก็มีหัวใจเหมือนมนุษย์นั่นแหละ

“แต่มณีทำร้ายพี่พีอีกแล้วนะ พี่พีดูสิ แผลเต็มตัวพี่พีไม่หมดเลย ทั้งแขน มือแล้วก็ขา...โหย ไม่ไหวหรอก มณีดุแบบนี้ต้องสั่งสอนมณีบ้าง ปล่อยไว้แบบนี้เธอก็จะทำร้ายพี่พีอีก” ท่านขุนบ่นไม่พอใจ มันเป็นอารมณ์หนึ่งซึ่งพีระพลเข้าใจเด็กหนุ่มตรงหน้า

“สอนให้กลัวแทนที่จะสอนให้รัก...มันให้ผลลัพธ์ต่างกันนะครับ ขุนลองคิดสิ ถ้าเราสอนให้มณีรู้จักรักและถนอมผู้อื่น หรือมีไมตรีต่อผู้อื่นมันจะดีกว่าไหม...ไม่สร้างบาดแผลให้จิตใจเธอด้วยนะ”

“แต่พี่พี...มณีเป็นแค่แมว” ตอนนี้ท่านขุนหัวเสีย พีระพลยิ้มบาง เขาดึงมือท่านขุนมาลูบหวังให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

“แมวก็มีหัวใจนะครับ...มีหัวใจเหมือนกับคนทุกอย่าง เธอเพียงบอกเราไม่ได้ และเธอแสดงออกได้ในแบบของเธอเท่านั้นเอง พี่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับมณี เป็นคนที่เข้ามาในอณาเขตของเธอโดยที่เธอไม่สามารถเอ่ยบอกอนุญาตได้ ไม่แปลกนะที่เธอจะไม่พอใจไปบ้าง ไหนจะโดนดุ ไหนจะโดนขัง ไหนจะโดนแย่งความรัก...เป็นพี่ พี่ก็ไม่พอใจเหมือนกันนั่นแหละ” น้ำเสียงอ่อนโยนของพีระพลทำให้คนฟังเริ่มอ่อนลงบ้าง

“แต่ก็ควรลงโทษบ้าง” ท่านขุนเอ่ยเบาๆ

“โดนขังมาทั้งคืนก็เหมือนโดนลงโทษแล้วนะ ไม่เอาหน่า...รอกินข้าวเช้ากับพี่ดีกว่า” อยากขัดขืน...แต่ท่านขุนทำไม่ลง เขาลังเลอยู่ชั่วอึดใจ

“ก็ได้...พี่พีอะใจดีเกินไปนะครับ” ท่านขุนบีบมือที่กุมอยู่ของพีระพล

“ไม่ชอบเหรอ”

“ชอบดิ” ไม่ชอบจะหลอกล่อให้มาหาทุกวันหรือไงล่ะ เห่อๆ...พูดไม่ได้

“ดีใจท่านขุนชอบนะขอรับ” เฮ้ ไม่เล่นบทแบบนี้สิ...ท่านขุนเกาจมูกตัวเองเล็กน้อย

“เล่นมุกก็เป็นนี่พี่”

“ก็เป็น แต่มุกไม่ฮามันพาเครียดน่ะนะ” เจ้าของร้านเริ่มยิ้มออก

“ไม่เห็นเครียดเลย พี่พีอะคิดไปเอง”

“งั้นเหรอ”

“ใช่สิ” พีระพลขำเบาๆ ท่านขุนเองก็เช่นกัน

น้ำเดือดแล้วเดือดอีก เกือบแห้งขอดไปแล้วหากคนริเริ่มตั้งน้ำไม่หันกลับมาสนใจใยดี ท่านขุนยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ช่วยมากนักนอกจากมองดูพี่พีสวมบทเป็นพ่อครัวประจำวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร...หยิบจับสิ่งใด ท่านขุนก็คิดว่าพี่พีน่ามองไปเสียหมด

ใช่สิ...คนรักทำอะไรก็น่าดูชมไปหมดนั่นแหละ!

ข้าวต้มร้อนๆ เสร็จโดยใช้เวลาแค่ไม่นาน พีระพลให้ท่านขุนไปนั่งรอขณะที่เขาตักใส่ชามแล้วเอาไปเสิร์ฟ เจ้าของร่างสูงผู้เป็นแขกไม่ลืมที่จะทำเผื่อเด็กในร้านอีกสองคน ที่น่าจะเข้ามากินมื้อเช้าต่อจากเขาทั้งคู่

คำแรกเข้าปากคือ...ร้อน เออ ท่านขุนลืมเป่าไปหน่อย อาการสะดุ้งโหยงของเขาทำให้พีระพลขำ คนโดนหัวเราะไม่เคือง อีกฝ่ายมีความสุขถือเป็นเรื่องดีแล้ว พีระพลหยิบน้ำเปล่าส่งมาให้เขาดื่ม พลางกำชับให้เขาเป่ามันก่อนจะใส่เข้าปาก ไม่งั้นลิ้นพองท่านขุนจะไม่สามารถรู้รสชาติของอาหารได้ ท่านขุนขานรับ ทำตามเคร่งครัดแล้วก็เริ่มชิมฝีมือพี่พี

พี่พีไม่ได้ทำอาหารเก่งขนาดนั้น ไม่ได้อร่อยเวอร์วังอย่างกับกินฝีมือเชฟระดับห้าดาว แต่ข้าวต้มหมูร้อนๆ ในสายวันนี้กลับอร่อยและทำให้ท่านขุนมีควาสุขได้ ยิ่งเครื่องเคียงคือพี่พีของเขา ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะซัดให้หมดหม้อไม่ต้องเหลือให้ไอ้ลูกน้องสองคนนั้น แต่พี่พีจะมองเขาไม่ดี ดังนั้น..ท่านขุนก็ต้องเลยต้องมีน้ำอกน้ำใจเผื่อแผ่ในลูกน้องตาดำๆ ทั้งสองคนได้กินอาหารฝีมือพี่พีด้วย

หลังจากมื้อเช้าตอนสายโด่งผ่านไป พี่พีสั่งให้ท่านขุนพักผ่อนเสีย โดยร่างสูงขึ้นมาอยู่บนห้องเป็นเพื่อน จากเคยเทคแคร์พี่พี ตอนนี้กลายเป็นพี่พีที่ดูแลและแทคแคร์เขา มันดีนะ...มันดีจริงๆ ท่านขุนนอนมองตาพี่พีอยู่บนเตียงนอนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปู ดูยังไงก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เบื่อสายตาอ่อนโยนคู่นี้ นึกขอบคุณแฟนเก่าพี่พีเบาๆ...ขอบคุณที่ปล่อยผู้คนนี้มาถึงมือผมนะคร้าบ...

….100%….

ชิงสุกก่อนห่ามต้องโดนลงโทษด้วยกงเล็บพิฆาตของมณีน้อย~

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่พีขาาาาาา  มาเป็นพ่อบ้านให้อิฉันเถอะค่ะ  ใจหล่อมากกกกก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ GukakST

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +187/-5
>….ตอนที่ 8 [100%]….<

“พี่แจ็ก!” หลังพี่พีกลับบ้านไปแล้ว ท่านขุนนั่งลงตรงโซฟายาวพลางต่อสายหาผู้ช่วยมือพระการ

(อะไรวะ จะโทรมาขอบคุณกูช้ะ…ไม่เป็นไรๆ เสาร์นี้พากูไปเที่ยวอ่างอบนวดด้วยแล้วกัน) แจ็กเดาออกอยู่ ก็วันนั้นมอมเพื่อนตัวเองกับมือ มันเมาขนาดนั้น โดนท่านขุนลากไปอีก โหย...ไม่ต้องคิดต่อเลย ถ้ามันไม่กินตับกัน พวกมันก็ไร้น้ำยาทั้งคู่

“ขอบคุณอะใช่ แต่เลี้ยงอ่างอบนวดอะไม่เว้ยพี่” ท่านขุนยิ้มกว้าง

(อะไรว้า…)

“ไม่ต้องมาอะไรวะอะไรเว้ยเลย ผมจะโทรมาบอกว่าขอบใจพี่มาก...ผมคบกับพี่พีแล้วนะ” พูดแล้วก็เขิน

(ต้องพูดว่ากินกันไปแล้วครับพี่แจ็ก) อีกฝ่ายเปลี่ยนรูปประโยคที่ท่านขุนควรพูดมาให้

“ฮ่าๆ เออ…กินกันแล้ว อร่อยมาก พอใจไหมล่ะพี่”

(อร่อยจริงอ๋อวะ ไม่ใช่ไอ้พีนอนนิ่งเป็นปลาตายเหรอ) ก็สงสัยมานานแล้วไง ว่าเพื่อนเนิร์ดของตัวเองอาจจะลีลาไม่ดีก็เลยไม่ค่อยมีใครเอา

“พี่อย่าพูดแบบนั้นดิ พี่พีไม่เบานะครับ” อยากบอกไม่เล็กด้วย ขนาดเท่านี้! ท่านขุนหัวเราะเบาๆ ให้กับความคิดตัวเอง

(เฮ้ยจริงดิ ท่าทางแบบนั้นไม่เบา...ไม่เบานี่คือขนาดตัวใช่ไหมล่ะ แหงดิ มันตัวใหญ่ มันจะเบาได้ยังไงวะ มึงต้องเล่นท่าในแนวราบเท่านั้น) เป็นคำแนะนำที่ดี แต่ถ้าได้ลองแนวอื่นมันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ

“พี่แจ็กดูถูกพี่พีเกินไปแล้วเว้ย พี่พีแกไม่ได้จืดชืดนะ...” พี่พีแซ่บมาก!

(พูดจริงปะเนี่ย)

“พี่จะเถียงคนลองอย่างผมเหรอไงล่ะ เอ้อ…ข้ามๆ เรื่องนี้ไปเหอะ ว่าแต่พี่แจ็กอะ มอมพี่พียังไงวะ ทำไมพี่พีดูเมาขนาดนั้น ไม่ได้กินเยอะสักหน่อย” อันนี้ท่านขุนสงสัยเองเป็นการส่วนตัว

(ให้ไอ้จิมแอบเอาเหล้าใส่ลงไปสองฝาทุกกระป๋อง) ความจริงถูกเปิดเผย ท่านขุนร้องอ๋อทันที

“เชี่ย เมาตายห่าเลยดิ”

(เออดิ เพื่อนกูหมดสภาพเลย แต่ช่างมัน...เสร็จมึงก็ดีแล้ว)

“พี่เชียร์จัง ถามจริง...อยากได้ลดราคาขนาดนั้นเลยอ๋อวะ” เจ้าของร้านเอื้อมไปคว้าตัวมณีน้อยมานอนตัก เขาไม่ได้ซีเรียสที่พี่แจ็กเห็นของดีกว่าเพื่อนหรอก เพราะมันเข้าทางเขาไง ถ้าไม่ได้พี่แจ็ก ป่านนี้อะไรๆ ก็คงยากลำบากน่าดู

(เปล่าหรอก มันโสดมานานแล้ววะ...ก็เลยอยากให้มันมีคู่บ้าง อยากให้มันมีคนดูแลอะไรแบบเนี่ย นี่กูเจ้ากี้เจ้าการไปปะวะ) เพิ่งมานึกได้เอาตอนนี้หรือยังไงนะ

“เออ เจ้ากี้เจ้าการมาก พี่พีรู้นะ พี่แจ็กคอขาด แล้วนี่…เราทำแบบนี้พี่พีแกจะไม่อึดอัดเหรอวะพี่” รู้ตัวว่าตนเองน่ะใช้วิธีการมากเล่ไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะตัวเองยังวัยรุ่นด้วยแหละ ก็เลยกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้

(ไม่อึดอัดแต่มันคงคิดมากอะ มึงลองนึกถึงผู้ชายหรือผู้หญิงในยุคสัก...อืม...กี่ปีดีวะ ห้าหกสิบปีก่อนเงี่ย ความคิดหรือการวางตัว ไอ้พีมันเป็นประมาณนั้นแหละ บ้านมันก็ผู้ดีเก่าอะนะ เขาก็สอนลูกเขาแบบ...เหมือนอยู่ในกรอบ ตอนเด็กๆ ไอ้พีนี่ไม่เข้าใกล้ผู้หญิงเลย กลัวทำเธอเสียหาย กลัวผิดผี ยิ่งมารู้ตัวว่าชอบผู้ชาย...ที่นี้แม่งก็ไม่ค่อยเข้าใกล้ผู้ชายอีก โอ้ย...เครียดกับมันสมัยนั้นมาก เด็กใสๆ ซื่อๆ อะมึง...นี่มันดูเป็นมนุษย์ยุคนี้มากขึ้นเพราะว่ามันไปทำงานที่ต่างประเทศมาหลายปี ไม่งั้นมันก็ยังคงเป็นแบบเดิมมั้ง) ท่านขุนนึกภาพแบบนั้นไม่ค่อยออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองกับพี่พีค่อนข้างต่างกัน

“ผมกับพี่เขาต่างกันมากเลยเนอะ”

(เออ ต่าง...ไอ้พีเป็นสีขาว มึงอะแม่งสีรุ้ง เติมๆ สีสันให้ชีวิตแม่งบ้างก็น่าจะดี สามสิบสี่จะสามสิบห้าแล้ว...มันยังใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบอยู่เลย) เรื่องนั้นท่านขุนไม่ค่อยรู้นัก เขาสัมผัสมันได้น้อยเพราะพี่พีมาที่นี่ก็แค่กินข้าวเที่ยง แต่เท่าที่ได้สัมผัสก็พอรู้ว่าพี่พีค่อยมีมารยาทแล้วก็ขี้เกรงใจมาก

“ไลฟ์สไตล์คนเรามันเปลี่ยนได้เหรอวะพี่”

(ไม่อะ มึงก็คงเปลี่ยนมันไม่ได้เหมือนมันเปลี่ยนมึงไม่ได้อะแหละ แต่ส่วนอื่นๆ มันก็น่าจะได้ปะวะ…ส่วนสิ่งนั้นมันจะคืออะไรอันนี้กูไม่รู้วะ)

“อืม...เคๆ” ท่านขุนยังคุยกับแจ็กเรื่องอื่นต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะวางสายแล้วเดินอุ้มมณีไปเอาเบียร์เย็นๆ

วันนี้เขาไม่ได้ทำงานซ่อมรถ นอนเป็นหลักแล้วก็นั่งอยู่กับพี่พีทั้งวัน พี่พีเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ได้ขอแค่มีหนังสือให้เขาอ่าน ส่วนท่านขุน...อยู่นิ่งไม่ได้เลย แค่นี้ก็ดูไปกันไม่รอดแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะเลิกชอบเพียงเพราะเราต่างกัน เขาพยายามเรียนรู้พี่พี เหมือนที่พีเองก็พยายามเรียนรู้เขาอยู่

ใช่สิ...วันนี้พีพีถามเรื่องเรียนของเขาด้วย เรานอนคุยกันอยู่บนที่นอน หลังท่านขุนตื่น พี่พีอาสาเปลี่ยนผ้าปูและเอาผ้าปูเปื้อนๆ นี้ไปซักให้ หลังจากนั้นก็มานอนคุยกัน พี่พีเรียนเอกชนตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ไม่เชิงบังคับเรียนแต่เขาตั้งใจเองว่าจะเป็นอะไรต่อในอนาคต พี่พีเป็นเด็กเนิร์ด เพื่อนน้อย ที่มีพี่แจ็กเป็นเพื่อนได้เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน พ่อแม่รู้จักกัน ซึ่งพ่อแม่พี่แจ็กก็ไม่ต่างจากพ่อแม่พี่พีมากนัก เพียงแค่เพื่อนคนนี้เลือกจะหนีออกจากกรอบเมื่อเขาโตพอจะคิดเอง ตัดสินใจและเลี้ยงตัวเองได้

พีระพลจบเคมีวิทยา คว้าปริญญามาได้ก็ได้รับโควตาไปทำงานอยู่ในแล็บวิจัยในอแมริกา ต่างกันมาก...ต่างกับท่านขุนมาก ท่านขุนเรียนจบแค่มอสาม จากนั้นไปต่อ ปวช. ปวส. แล้วก็เข้าเรียนคณะวิศวะกรรมในระดับมหาวิทยาลัยต่อ ตอนที่เรียนนั้นโคตรยาก...ไอ้เรียนกวิชาชีพเนี่ยมันไม่เน้นเรื่องวิชาหลักอย่างภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทหรือคณิตศาสตร์หนัก แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มันต้องเรียนไง เข้าไปแบบเราไม่ได้เรีนมามันก็เหมือนโง่งมคนเดียว

ตอนนั้นท่านขุนลำบากมาก จะไม่เข้ามหาลัยเลยถ้าพ่อไม่ได้บอกว่าอยากเปิดร้านกก็ต้องจบสาขานี้ให้ได้ก่อน ท่านขุนเอาเวลาว่างจากเรียน จากกิจกรรมของปีหนึ่งมาทำงานที่ร้านรุ่นพี่เพื่อหาเงินไปเรียนพิเศษวิชาหลักสี่วิชา ความลำบากของเด็กที่ไม่ได้เรียนสามัญมันอยู่ตรงนี้แหละหนา กว่าจะรอดมาเป็นไอ้ท่านขุนทุกวันนี้นี่เลือดตาแทบกระเด็นเลยทีเดียวเชียว

พี่พีเป็นผู้ฟังที่ดี ซ้ำยังเอ่ยชมเขาบ่อยๆ ว่าเขาเก่งมากที่สามารถเติบโตบนเส้นทางความฝันได้ถึงขนาดนี้ มันเป็นคำพูดที่สะกิดใจนิดหน่อย การที่พี่พีเรียนเอกเคมีนี่ไม่ได้หมายความว่าพี่พีชอบเคมีงั้นเหรอ ซึ่งพีระพลก็ตอบในส่วนนี้ว่าเขาชอบนะ...แต่เขาไม่เคยมีฝันแบบที่ท่านขุนฝัน

นั่นเป็นข้อเสียของเด็กในกรอบสินะ...

พีระพลทำผลการเรียนให้ดีเพื่อชดเชยที่เขาไม่สามารถเป็นผู้ชายธรรมดาได้ ไม่สามารถมีครอบครัว มีภรรยา มีลูกแบบที่ผู้ชายคนอื่นทำได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาหวังและหมั้นหมายให้เป็นไปคือการทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา และเพื่อให้เขาได้มีอนาคตรักในแบบที่เขาอยากมี ซึ่งพีระพลทำมันสำเร็จไปแล้ว...

ท่านขุนเห็นใจพี่พีของเขา แต่ก็ไม่รู้จะปลอบยังไง...พี่พีผ่านมันมาแล้ว และทุกวันนี้พี่พีก็มีความสุขดีอย่างที่พีเป็น

ถึงวิถีชีวิตจะต่างกันมาก...คนหนึ่งชอบอยู่นิ่งๆ แต่อีกคนชอบซนไปเรื่อย การนอนคุยกันที่คิดว่ามันจะน่าเบื่อ กลับไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด ท่านขุนมีเรื่องเล่าและวีรกรรมมากกว่าพี่พี เพราะว่าเขาเป็นเด็กแก่นๆ หัวโจกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เริ่มจากซิ่งจักรยานจนมามอเตอร์ไซก์แว้นๆ อย่างที่เด็กสมัยนี้เขาแว้นกัน มาเป็นบิ๊กไบก์ ทั้งเรื่องแต่งรถ ทั้งเรื่องรถล้ม สารพัดจะเล่า

ในความสุขก็มีความกังวลแหละ...เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวอีกคนเบื่อ

ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ชอบที่ได้นอนคุยกันแบบนี้

ท่านขุนกระดกเบียร์พลางเดินขึ้นห้องพร้อมมณี วันนี้พีพีอยู่ด้วยทั้งวัน ท่านขุนแอบเอาไม้ไปกั้นประตูแมวกันมณีเข้ามาในห้องด้วย แต่พี่พีไม่รู้ ดังนั้นเมื่อพี่พีกลับไป ท่านขุนจึงต้องตามใจมณีน้อยทุกอย่าง ตั้งแต่แกะปลาแซลม่อนให้กิน ยันขนมอีกสองซองและก็ต้องมานั่งลูบคาง เกาหัวให้เธอมีความสุข ท่านขุนไม่คิดดุมณีแล้ว เรียกว่าลืมไปแล้วว่ามณีทำร้ายแฟนมาดๆ ของท่านขุนจนเลือดไหลเป็นทาง...
.
.
.
.
ท่านขุนอาจไม่คิดมากเรื่องความสัมพันที่เกิดขึ้นฉับไวเช่นนั้น แต่นั่นไม่ใช่กับพีระพล...เขาเครียด

“ทำไมต้องหน้าเครียดแบบนั้นวะ” แจ็กเอ่ยทักเพื่อนสนิทตัวเองหลังอีกฝ่ายเอาค่าเคมีมาส่งเขา

“ก็เครียด” พีระพลไม่รู้จะพูดยังไงให้เพื่อนตัวเองเข้าใจดีเหมือนกัน

“เรื่องไรวะ หรือแอบไปได้เสียกับใครมา” แจ็กพูดเข้าประเด็นดังฉึก แต่พีระพลก็ไม่ได้สะทกสะท้านเท่าไหร่ เขาตัดสินใจนั่งลงตรงหน้าเพื่อนตัวดี พลางมองหน้าเสมียนอีกคนซึ่งอยู่โต๊ะถัดไป เป็นการเชิญให้ออกจากห้องนี้ก่อนกลายๆ ดีที่เธอรู้ว่าเธอควรอยู่ตรงไหนในเวลานี้

“กูถามมึงจริงๆ นะแจ็ก...มึงจับคู่กูกับท่านขุนใช่ไหมวะ” หน้าตาจริงจังของพีระพลเป็นสิ่งที่แจ็กเห็นบ่อย ก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ไม่ใช่หน้าตาตอนโกรธนี่นา

“เอาเป็นว่ากูไม่ปฏิเสธแล้วกัน ก็น้องเขาชอบมึง...กูก็เห็นว่ามึงโสดมานานแล้ว ทำไมวะ หรือมึงไม่ได้ชอบน้องเขาเลย” แจ็กมีท่าทีสบายๆ เรื่องทำตัวเป็นคิวปิดนี่ครั้งแรกที่ทำ แล้วทำเพราะรักเพื่อนนะเนี่ยนะ

“เปล่าหรอก แค่อยากแน่ใจว่าใช่แบบที่คิด” เป็นคนอื่นเขาคิดได้ตั้งแล้วเพื่อน แจ็กอยากสวนออกไปแบบนี้ แต่...ไม่ เขายังมีอะไรให้เล่นอีก

“ทำไมวะ อย่าบอกนะที่มึงเครียดเนี่ยเพราะมึงไปจิ้มน้องมันมาแล้ว...หรือว่าที่เมาวันนั้น” จี้เข้าจุดพอดีเป๊ะราวกับจับวาง ก็ใช่ไง...รู้เรื่องดี แค่ไม่รู้ท่าที่เล่นกันเท่านั้นแหละแหม่

“อืม” แล้วพีระพลก็ยอมรับง่ายๆ เขาเครียดเรื่องนี้

“เอ้า มึงก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับน้องเขา แล้วมึงจะมาเครียดทำไมวะ หืม...มันหมดยุคที่ว่ารัก แต่งแล้วก็เข้าหอแล้วนะเว้ย” แจ็กคิดแบบนั้นมันไม่ผิด แต่พีระพลไม่ได้คิดอย่างนั้นเนี่ยแหละประเด็นเลย

“กูไม่ควรทำแบบนั้นลงไปอะ น้องเขาจะรู้สึกยังไงวะ...ดูกูเหมือนพวกแบบ เห็นแก่ได้มากเลยนะเว้ย น้องเขาบอกชอบแล้วกูก็จับเขากด เฮ้ย...ไม่เครียดกูทำไม่ได้จริงๆ วะ” สรุปพีระพลเป็นฝ่ายกดขุน อันนี้ช็อกคนฟังนิดหน่อย พอดีมันทั้งคู่แยกยากว่าใครจะกดใคร หุ่นก็ต่างแหละ...แต่ฝ่ายรับตัวใหญ่กว่ามีถมเถไปนี่นา

“ที่มึงเครียดเพราะมึงห่วงความรู้สึกน้องเขาใช่ปะ” พีระพลพยักหน้า

“ก็ใช่สิวะ กูไม่มีอะไรเสียหายนี่”

“แต่น้องมันก็ไม่ท้องนะมึง” เหมือนได้ยินเสียงว่าเออ...ก็จริง ดังขึ้นในหัว

“แต่มันก็ไม่ควรปะวะ” โอ้ย...เบื่อความหัวดื้อ หัวโบราญของเพื่อนตัวเอง

“ไอ้พี...กูไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดกับมึงเลยวะ รัก ให้เกียรติ เข้าใจ...แต่มึงจะมาคิดมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วทำไมวะ ตอนนี้มึงกับน้องเป็นแฟนกันถูกปะ...เออ แฟนกันจะอะไรๆ กันมันก็ปกติ ปล่อยวางบ้างมึงอะ ยึดติดเกินไป ถ้ามึงห่วงความรู้สึกไอ้ขุน มึงก็ไปถามน้องมัน...ไปคุยกับน้องมันตรงๆ เลิกเอากรอบ เหตุผล ความสมเหตุสมผลบ้ามาบอมากำหนดชีวิต นี่อายุเท่าไหร่แล้ว...เอาตัวเองกับความรู้สึกเป็นหลักบ้างเว้ย” แจ็กสวดยับ เข้าหูบ้าง...ทะลุหูบ้าง

พวกยึดติด...ก็คือพวกยึดติด ถ้าปล่อยวางได้มันจะไปเรียกว่ายึดติดยังไงล่ะ พีระพลยังคงคิ้วขมวดแม้คำพูดของแจ็กจะดีเลิศเลอขนาดไหน แล้วสิ่งที่แจ็กพูดก็ควรเป็นสิ่งที่พีระพลควรทำ แต่เขากลับมองว่าแค่นั้นไม่พอ...มันไม่พอจริงๆ ต่อการรับผิดชอบคนคนหนึ่ง เขาอยากทำอะไรให้มันถูกที่ถูกทาง

“กูว่า...กูไปคุยกับพ่อแม่น้องเขาดีไหมวะ” คนฟังแทบอ้าปากค้าง

“มึงฟังที่กูพูดไหม”

“กูฟัง แต่กูไม่สบายใจวะ...”

“มึงไปคุยแล้วยังไง มึงยังไม่เริ่มดูใจกันจริงจังเลย รักขนาดเอามาเป็นคู่ชีวิตแล้วหรือเปล่า...ก็ยัง เฮ้ย นี่กูไม่ได้ยุให้แตกนะ แต่ก็อย่างที่บอกอะมึง...มันข้ามขั้นไปหน่อย แต่ย้อนกลับไปดูใจกัน ใช้เวลาร่วมกันได้นะเว้ย อีกอย่าง…มึงลองนึกดูนะ เดินเข้าไปบอกพ่อแม่น้องมันว่ามึงได้กับน้องเขาแล้ว เลยอยากจะรับผิดชอบ…งี้อะนะ โอ้ย เป็นกู กูก็ไม่ยอมหรอก” พีระพลส่ายหน้ากับคำพูดของแจ็ก

“คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเข้าไปพูดอะไรแบบนั้นน่ะ” อ่าว...โดนด่าโง่วะ แจ็กเจ็บที่ใจจี๊ดๆ เดี๋ยวสั่งมณีฆ่าปาดคอเลย

“เอางี้...มึงสองคนดูใจกันไปก่อน วางความรู้สึกที่ว่ามันไม่ดีกับการมีอะไรกันทั้งที่เพิ่งบอกคบกันไว้ในแล็บของมึงก่อน แล้วหลังจากนี้จะเอายังไงต่อก็ค่อยว่ากัน ดีมะ...หรือถ้ามึงไม่สบายใจมากนัก มึงก็หาของไปบรรณาการท่านขุนมึงสิ จองตัวไว้ก่อน”

“เออ...เข้าท่า” ว่าจบ พีระพลก็ลุกขึ้น ตบบ่าเพื่อนสนิทสองทีก่อนเดินออกไป ทิ้งให้แจ็กสงสัยว่า...อะไรคือเข้าท่า?

แนะนำไปตั้งเยอะตั้งแยะ สรุปมันเอาส่วนไหนในคำแนะนำของเขาไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วที่มันจะรับผิดชอบท่านขุนเนี่ย...คือรักเขาแล้วจริงๆ ใช่ไหม เพื่อนคนนี้ไม่ค่อยได้แสดงอะไรให้เขาเห็น ไม่เคยชมท่านขุนอย่างนั้นอย่างนี้หรือเอามาพูดถึงเลย ดังนั้นอีกสิ่งที่แจ็กคิดก็คือมันรักท่านขุนจริงๆ ใช่ไหม แต่คิดอีกแง่ ถ้ามันไม่จริงจัง...มันจะคิดถึงการรับผิดชอบท่านขุนแบบนี้เหรอ ตอนแฟนเก่ายังไม่ขนาดนี้เลยนี่นา

แจ็กปล่อยวางเรื่องเพื่อนตัวเองเมื่อหัวหน้าแผนกเดินเข้ามาบอกว่าเครื่องโม่มีปัญหา...

เมื่อวานนี้พีระพลกับท่านขุนได้แลกเบอร์โทรศัพท์และไลน์กันเอาไว้เรียบร้อย ทั้งที่รู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วแต่ก็เพิ่งจะแลกกัน ส่วนหนึ่งเพราะท่านขุนคิดว่าการไม่รุกล้ำอณาเขตมากเกินไป เว้นระยะให้เขาคิดถึงบ้างมันเป็นเรื่องดี แล้วก็เพราะเขาไม่ได้คิดว่าจะได้เสียกับพีระพลเร็วขนาดนี้เหมือนกันนั่นเอง

พีระพลส่งข้อความไปหาท่านขุนตอนสิบเอ็ดโมงเศษๆ ว่าอยากให้ออกมาเจอกันที่ห้างใกล้ๆ นี้ อยากชวนไปกินข้าวข้างนอกบ้าง แต่เขาไม่ได้บอกหรอกว่าเขาตั้งใจพาท่านขุนไปซื้ออะไรบางอย่าง อย่างน้อยๆ มันอาจจะทำให้เราทั้งคู่สบายใจ...

ก็แค่พีระพลเท่านั้นแหละที่คิดไปเองแบบนี้

หลังจากสับสนกับความรู้สึกของตัวเองเมื่อวานนี้…คำถามที่เขาถามย้ำตัวเองบ่อยครั้งว่าเขารักท่านขุนไหม ตอนนี้เขาตอบได้ว่าเขาชอบท่านขุน มันอาจจะไม่ใช่ความรักแบบทุ่มเททั้งกายใจไปเลย แต่มันก็คือพึงพอใจในตัวตนของอีกฝ่าย การที่เขาคิดแบบนี้ได้ก็เพราะเมื่อวานนี้พวกเขาได้นอนคุยกัน

พีระพลสบายใจที่จะอยู่กับท่านขุนแบบนั้น...ชอบที่จะฟังอีกฝ่ายเล่าถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ตนรับรู้ ชอบรอยยิ้มของเขา...และมันก็มีความสุขกับการได้ใกล้ชิดเขา พีระพลคิดไปถึงว่าถ้าหากมีคนมาเกาะแกะท่านขุนเขาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าตอนเช้าที่ตื่นมาท่านขุนบอกว่าระหว่างเราไม่ได้เป็นอะไรกันเขาจะรู้สึกแบบไหน เขาตอบกับตัวเองได้ทันทีเลยว่าแย่...มันคงแย่มากจริงๆ

แล้วเหตุผลที่ทำให้รู้สึกแย่ก็คงหนีไม่พ้นเขาชอบท่านขุนเข้าแล้วไงล่ะ...

ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้วสินะ ไม่ได้รู้สึกอยากกอดใครหรืออยากถนอมใครเอาไว้ข้างกายนานแล้ว หลังจากเลิกรากับรักเก่าที่เขาก็ไม่รู้เหตุผล ผ่านมาเกือบห้าปี เขาไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเลย...ไม่มีใครที่ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับที่รู้สึกกับท่านขุน

มันไม่ใช่เรื่องยาก…แต่มันก็ไม่ง่ายเมื่อเขาทำแบบนั้นลงไปก่อนที่จะได้บอกความรู้สึกของตัวเอง หรือว่าคบหาดูใจกันไปก่อนอย่างที่ควรเป็น ไอ้การยึดติดกับสิ่งที่เขาถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโตนี่แหละที่สร้างความสับสน สร้างกรอบ สร้างหลายสิ่งหลายอย่างในหัวของเขา มันช่างกระจัดกระจายเหลือเกิน ยากที่จะทำให้มันตกตะกอน

ทว่าการนอนคุยกันกับท่านขุน…ก็ทำให้มันเริ่มกระจ่างชัดขึ้น

โตแล้วนะพี…โตแล้วต้องรู้ใจตัวเองมากกว่าสิ่งใดๆ

พีระพลย้ำกับตัวเองแบบนั้น จะทำอะไรแบบเด็กๆ ทำแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมันไม่ได้...อย่างน้อยความรู้สึกของตัวเองต้องเป็นสิ่งที่เขารู้จักดีที่สุด ดังนั้นพีระพลจึงไม่ลังเลที่จะรับผิดชอบท่านขุน แม้ว่าคำบอกรักที่เขาได้บอกให้ท่านขุนนั้นจะเป็นคำโกหกไปเสียหน่อย แต่อีกไม่นาน มันจะเป็นคำโกหก หรือว่าความจริงนั้น ก็จะชัดเจนขึ้นเอง

คู่รักหลายคู่ ไม่ได้เริ่มจากรักกันก่อนที่จะลงเอยกัน หรือสร้างครอบครัวด้วยกัน คู่รักหลายคู่เริ่มจากชอบพอกัน ดูใจกัน และค่อยๆ สานต่อความสัมพันนั้นให้ยืนยาว แจ็กพูดถูก มันอาจข้ามขั้นไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะย้อนกลับไปทำในสิ่งที่เราข้ามมาไม่ได้

เมื่อรู้แล้วว่าจะจัดการกับความรู้สึกผิดของตัวเองอย่างไร พีระพลก็สบายใจขึ้นมาก เขานัดแนะท่านขุนเสร็จ ลุกขึ้นยืนแต่งตัวเล็กน้อย ก็แค่จัดผ้าจัดผมให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้นแหละ ไม่ได้ประทินโฉมอะไรเลย จากนั้นเขาออกจาห้องแล็บ ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ใกล้เที่ยงแบบนี้พีระพลเคลียร์ทุกอย่างเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว

เขาตรงไปที่รถเก๋งสีดำของตน ไม่รู้ท่านขุนจะออกจากร้านมาตอนไหน แต่เขาต้องไปก่อน รถใหญ่ไม่สามารถซอกแซกเหมือนรถเล็กได้ ดังนั้นเผื่อเวลารถติดเอาไว้หน่อยเป็นสิ่งที่ควรทำ เป็นผู้ใหญ่...จะไปให้เด็กมานั่งรอมันไม่ดี

พีระพลใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีจากที่ทำงานมาห้างสรรพสินค้า เวลาเที่ยงวันแบบนี้คนเยอะ ทว่าไม่มากเท่าช่วงเย็นหลังเลิกงาน เขาเลือกที่ว่างๆ จอดรถ เดินไกลหน่อยไม่เป็นไร ดีกว่าต้องวนไปวนมาหลายรอบเพื่อหาที่จอดใกล้กับประตูทางเข้า

สิ่งแรกที่พีระพลมองหาไม่ใช่ร้านอาหาร เขากำลังกวาดสายตามองร้านจิลเวอร์รี่ ท่านขุนรู้ต้องหาว่าพีระพลคนนี้เวอร์แสนเวอร์ แต่นี่แหละที่ทำให้พีระพลรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ไหนๆ...มันเกินเลยไปแล้วก็จับจองตัวเอาไว้ก่อน ได้แต่งไหมมันก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต ร่างสูงของหนุ่มลูกครึ่งเดินเข้าร้านนั้นที เข้าร้านนี้ที ราวกับได้กลายเป็นอาหารสายตาของสาวๆ พนักงานต้อนรับไปเสียแล้ว

พีระพลพบว่า...แต่ละร้านมีรูปแบบที่ไม่ต่างกันมากนัก คล้ายคลึงกันไปหมด แล้วคนที่ไม่รู้เรื่องพวกนนี้แบบเขาจะแยกแยะออกได้ยังไง ว่าอะไรดีกว่ากัน ดีกว่ายังไง แบบไหน มีสี่ตา...แต่เริ่มตาลาย เขาเห็นร้านอีกหลายร้านแล้วถอนหายใจ วางเรื่องแหวนก่อนดีไหม มาเลือกพร้อมท่านขุน...หรือว่าควรถามท่านขุนก่อนว่าชอบการใส่แหวนหรือเปล่า

ขณะตั้งคำถามเพื่อหาเรื่องหยุดดูแหวนทองคำขาว...พีระพลนึกขึ้นมาได้ว่าท่านขุนเป็นช่างซ่อมรถ ปกติ พวกช่างจะไม่ค่อยใส่จิลเวอร์รี่ นิ้วของท่านขุนไม่มีแหวนสักวน ไม่มีเครื่องประดับอะไรเลยด้วยซ้ำนอกจาก...ต่างหู

….100%….

พี่พีคนคิดมาก คิดเยอะ คิดแยะ คิดไปคิดมาเปย์ท่านขุนด้วยอัญมณีเสียเลย~  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่พีสายเปย์  5555 #ทีมเมียน้อย อยากโดนจับจ้องบ้างงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GukakST

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +187/-5
>….ตอนที่ 9 [100%]….<

นี่มันเรียกว่าเดตชัดๆ เลย!

ทันทีที่ได้รับข้อความจากพี่พีให้ออกไปเจอกันข้างนอก เขาจะพาไปเลี้ยงข้าวเที่ยงที่อื่นบ้าง มีการบอกด้วยว่าไม่ใช่เบื่ออาหารของท่านขุนแค่อยากพาท่านขุนออกมากินอะไรอย่างอื่นบ้าง สามีแห่งชาติยกให้พี่พีเลยวะ...ฮ่าๆ แต่ที่น่าเครียดคือท่านขุนไม่รู้จะใส่ชุดอะไรไปดี

อย่าคิดว่าผู้ชายจะไม่มีโมเมนต์สาวน้อยอย่างการเลือกเสื้อผ้าใส่ออกเดตสักชุดนะ ถึงไม่แสดงออกมากเท่าผู้หญิง แต่ผู้ชายก็มีการคิดหนักเหมือนกันแหละว่าจะใส่ชุดอะไรออกไปเดตดี เราอยากให้คนรักของเราประทับใจในรูปร่างหน้าตาเรากันทั้งนั้นแหละ ติดที่ท่านขุนไม่ค่อยมีชุดหล่อลากอะไรแบบนั้น ส่วนใหญ่มีกางเกงสามส่วนกับเสื้อยืดง่ายๆ ตอนนี้แหละคือช่วงเวลาแห่งการรื้อค้นเสื้อผ้าในตู้ตัวเอง

ท่านขุนมีกางกางยีนส์ขายาวสี่ตัว ไม่รวมกางเกงการ์ดสำหรับใส่เที่ยวทริป เขาหยิบขาเดฟขาดๆ ตัวโปรดมาวางพาดบนเตียง ต่อมาก็เสื้อยืด เขาค้นอยู่นานมาก รื้อแล้วรื้ออีกเพื่อหาเสื้อที่ถูกใจ ปรากฏว่าตัวเองมีเสื้อยืดแบบผ้าดิบเป็นจำนวนมากไปหน่อย สีเรียบๆ ไม่มีลวดลาย ไอ้ที่มีลายก็เป็นเสื้อคลับ ขณะที่คิดว่าคงจะใส่เสื้อคลับไป หางตาดันไปสะดุดเข้ากับเสื้อโปโลสีน้ำเงินตัวหนึ่งเข้า ไม่มีลายก็จริง...แต่เสื้อโปโลก็ทำให้ดูดีได้นะ ไม่ดูเด็กน้อยเกินไปด้วย

ใส่ชุดทั้งหมดเรียบร้อย ตรงไปหน้ากระจก กำลังจะหยิบแว็กส์ขึ้นมาเซทผมสั้นของตัวเองให้ดีอยู่แล้ว นึกขึ้นได้ว่าตัวเองขับมอเตอร์ไซก์ เซทไปก็บี้แบนอยู่ดี เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปที่น้ำหอม ท่านขุนไม่ได้มีน้ำหอมเยอะ ขวดเดียวเพียวๆ ราคายี่สิบเก้าบาทในเซเว่น เขาฉีดใส่เสื้อตัวเองโดยเฉพาะใต้รักแร้ ดมนิดๆ หน่อยๆ โอเค...ใช้ได้

เวลาเขาไปเที่ยวทริปกับเพื่อนกับฝูง เขาไม่มีมาใส่ใจเรื่องเสื้อผ้า การแต่งตัว กับแฟนเก่าที่เป็นไบก์เกอร์ด้วยกันเขายิ่งไม่ทำอะไรแบบนี้เลย แต่รอบนี้เป็นพี่พีไง...ก็อยากให้พี่พีประทับใจน่ะ

อุปกรณ์เซฟตี้ของท่านขุนนั้นอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ เขามักเอาไว้ในที่ที่สะดวกหยิบง่าย เวลาจะออกไปไหนมาไหนก็สามารถคว้าหมับได้ทันที หมวกกันน็อกลายงูสีเขียวพื้นหลังสีดำพาดด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษบ่งบอกยี่ห้อ รุ่นนี้ราคาสองหมื่นกว่าๆ ถือว่ายังเบาเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในแบรนด์นี้ ถุงมือหนังสีดำคาดเขียว ด้านบนหลังมือเป็นเซฟตี้อย่างหนึ่ง กันการกระแทกและการครูด ทำมาจากโลหะผสมที่แข็งแรง และที่ขาดไม่ได้ก็คือเสื้อการ์ด...เสื้อการ์ดท่านขุนเป็นแบบสั่งตัด ทำมาจากผ้ายีนส์ มีทั้งการ์ดแข็งและอ่อนปะปนกันในตัวเสื้อ ป้องกันห้าจุด ศอกทั้งสอง ไหล่ทั้งสองและแผ่นหลัง

โดยรวมก็จัดว่าของเหล่านี้มีราคาที่สูงเกินครึ่งแสน...มันเป็นของสิ้นเปลืองไหม มันจำเป็นหรือเปล่า ที่จริงแล้วในยุคคนขับรถไม่ระมัดระวังอย่างนี้ ของเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างมาก ยิ่งท่านขุนเป็นคนขับรถซีซีสูง หากปะทะ...ล้มหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น สิ่งที่จะเกิดในร่างกายของเขานั้นอันตรายยิ่งกว่าคนที่ขับรถซีซีต่ำ อีกอย่าง...หมวก ถุงมือและเสื้อการ์ดยังเป็นแค่พื้นฐานเซฟตี้ของไบก์เกอร์เท่านั้น หากต้องออกทริปหรือลงสนาม จะมีอุปกรณ์มากว่านี้และแข็งแรงทนทานมากกว่านี้

“โหย...หล่อเชียวพี่ ไปไหนเนี่ย” จิมทักลูกพี่ตนเอง ท่านขุนสวมใส่ของทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

“ไปเที่ยว” สั้นๆ แล้วเขาก็เดินออกมาพร้อมควงกุญแจรถมอเตอร์ไซก์ของตนเอง

รถของท่านขุนคือ Ducati 1299 Paligale S เรียกได้ว่า...ชีวิตธรรมดาของท่านขุนก็ดูธรรมดาจริงๆ เสื้อผ้าง่ายๆ ถูกๆ มีขายตามท้องตลาดนัด น้ำหอมราคาย่อมเยาว์ รองเท้าแตะ ดูเผินๆ เขาก็ไม่น่าจะมีเจ้าพาลิกาเล่อยู่ในครอบครองได้ แต่นี่แหละ...รถของท่านขุน แบรนด์ดังของอิตาลี ราคาหลักล้าน เครื่องยนต์สองสูบแอลทวินส์ เกือบๆ พันสามร้อยซีซี ดูคาติจัดเป็นแบรนด์รถที่คนไทยชื่นชอบแต่ไม่ค่อยเล่นกัน เพราะราคาสูง ไม่ใช่เครื่องสี่สูบเหมือนค่ายอื่นๆ ซ้ำเวลาเข้าศูนย์ยังแพงมาก อุปกรณ์ อะไหล่ รถล้มทีเป็นอันว่ารู้กัน...คุณสามารถเอาค่าซ่อมนั้นไปซื้อใหม่ได้คันหนึ่งเลย

แต่ท่านขุนไม่แคร์...ท่านขุนรักสีแดงแรงฤทธิ์ของมัน รักความเร็ว รักเสียงสองสูบที่กระหึ่มหูของมัน ทุกค่าย ทุกรุ่นต่างมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป…ไม่มีรถค่ายไหนทำออกมาดีเลิศเพอร์เฟกหรอก แล้วท่านขุนก็ชอบเจ้านี่

อันที่จริง...ท่านขุนยังมีรถอีกสองคัน แค่เจ้านี่คือคันที่รักที่สุด และวันนี้เขาจะพาลูกรักนอกเหนือจากมณีน้อยไปร่อนกัน

การจราจรของเมืองไทยในเขตปริมนฑณจัดว่าหนาแน่น แม้นี่จะตอนเที่ยงและเป็นวันธรรมดาก็ตาม ยิ่งตรงไหนมีตำรวจ...ตรงนั้นรถจะติดเป็นพิเศษ อากาศร้อนอบอ้าว ทั้งยังทำให้ท่านขุนผู้อยู่ใต้เสื้อการ์ดตัวหนาเหงื่อท่วม แต่เขาก็ยังคงมีความสุข ดูคาติคันงามเฉี่ยวไปทางซ้ายที ขวาที ซีซีสูงเครื่องยนต์ใหญ่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการซอกแซกไประหว่างรถเก๋งสองคัน เสียงท่ออันเป็นเอกลักษณ์ดึงดูสายตาของคนในรถข้างๆ มอเตอร์ไซก์คันอื่น หรือแม้แต่คนเดินถนน

ไม่มีใครกล้าวัดซีซีกับเจ้าแดงคันนี้...ด้วยรู้ดีว่าวัดไปก็มีแต่แพ้ ท่านขุนขับรถเร็ว เจ้าลูกรักเองก็ตอบสนองต่อการบิดของท่านขุนได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะผ่อน จะเร่ง จะหักซ้ายหรือปาดขวา ความหนึบของยางและสมถณะของเครื่องยนต์ทำให้ทุกอย่างราบรื่น ถึงแม้ใจท่านขุนจะร้อนเหมือนกับแดดเมืองไทย แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะขับอย่างมีมารยาท ด้วยประสบการณ์การซิ่งมาอย่างโชกโชน และเคยเป็นแค่คนมอง ทำให้ท่านขุนรู้ดีว่าหากขับรถแบบเอาแต่ใจตน คนอื่นจะมองอย่างไร

พวกบิ๊กไบก์ที่คับรถตามใจฉัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กแว้นอัปซีซีหรอก...

หลังจากเอารถเข้าจอด ท่านขุนรีบเดินไปยังจุดนัดหมายทันที พี่พีให้ไปเจอกันตรงชั้นโรงหนัง มันเป็นบริเวณเล็กๆ ไม่ต้องตามหากันนานนัก แต่ถ้ามาแล้วไม่เจอพี่พีก็ให้โทรหาได้เลย เผื่ออกมาช้าหรือว่าแวบไปที่อื่น แต่ท่านขุนไม่ต้องควักโทรศัพท์ออกมากด พี่พีนั่งไขว่ขาอ่านบทความในมือถือโดดเด่นดึงดูดสายตามาแต่ไกล

พี่พีแต่งกายเหมือนเดิม เสื้อเชิตสีเข้มกับกางเกงสแล็กดูเรียบร้อย ผมรองทรงสูงถูกเซทเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีฟูชี้แม้แต่เส้นเดียว ดูแล้วคล้ายมาคุยธุรกิจมากกว่าการมานั่งทานอาหารเที่ยงกับแฟน แต่ก็นี่แหละ...พี่พีของเขา พี่พีที่เขาชอบ

“รอนานไหมครับเนี่ย...” ท่านขุนโน้มกายเข้าไปหาพี่พีทั้งที่ยืนอยู่เพื่อทักทาย พี่พีเงยหน้ามองพร้อมยิ้ม

“ไม่นานเลยครับผม” พีระพลไม่ลังเลที่จะกดปิดหน้าจอมือถือ เขาเก็บเครื่องมือสื่อสารเข้ากระเป๋ากางเกงพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปที่หมวกใบโตในมือของอีกฝ่าย

“ไม่อยากเอาไว้ที่รถพี่ เดี๋ยวหายอะ” เข้าใจได้เองแม้พี่พีไม่เอ่ยถาม ก็ถ้าคนปกติไม่ใช่ไบก์เกอร์ก็จะสงสัยกันไงว่าทำไมต้องเดินถือหมวกไปมาแบบนี้ หมวกไม่ได้ราคาถูก มันเสี่ยงต่อการโดนโฉบได้ง่าย อีกทั้งของหายยังเป็นอะไรที่ตามได้ยากมากในประเทศไทย

“ครับ ไปหาข้าวกินกัน” พีระพลไม่แสดงความคิดเห็นอะไรออกไป

“พี่พีอยากกินอะไรครับ”

“พี่ต้องถามเรามากกว่า เราอะอยากกินอะไร” คนถูกถามเงยหน้าครุ่นคิด

“สปาร์เก็ตตี้...ไม่ได้กินนานแล้ว อยู่ร้านผมก็ขี้เกียจทำ” อันที่จริงพีระพลชอบกินอาหารไทย แต่ท่านขุนไม่มีอะไรตายตัว

“งั้นกินร้านไหนดี”

“ร้านนั้นไหมพี่ ชื่อนี้มีแต่ของอร่อย” ว่าแล้วท่านขุนก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย พีระพลยิ้มตามรอยยิ้มขำขันนั้น

“ปะ...พี่เลี้ยง” ทั้งคู่ออกเดินไปพร้อมกัน

ทว่า...สิ่งที่ท่านขุนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมือข้างที่ว่างถูกมือหนาของพี่พีคว้าเอาไปจับ เขาชะงักเล็กน้อย พอพี่พีหันกลับมามองเขาก็ยิ้มแล้วออกเดินไปพร้อมกับพี่พี ไม่คิดว่าพี่พีจะกล้าเดินจูงมือกับผู้ชายท่ามกลางสายตาคนมากมาย พี่พีดูเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ มีทั้งบ้าน รถ หน้าที่การงานและหน้าตาที่ดี ชั่วนาทีท่านขุนคิดว่าเขานี่เลือกจับผู้ชายได้ดีจริงๆ...

เลวไหมเนี่ย?

ไม่มีใครรู้ความคิดเราก็จริง แต่ท่านขุนแอบละอายนิดหน่อยที่วางแผนจับพี่พีแบบนี้ พี่พีเป็นคนดี และเขาก็หลอกลวงคนดีๆ คนหนึ่งให้มาติดกับของตนเอง เพียงเพราะเขาชอบคนๆ นี้เท่านั้น มันเป็นความเลวที่ท่านขุนไม่ละอายต่อมันเลย

โอกาส...มันไม่ได้เดินเข้ามาหาเราได้ตลอด ถ้าเราอยากได้มัน เราก็ต้องเอื้อมมือไปคว้ามันเอาไว้

เข้ามาในร้าน พีระพลปล่อยให้ท่านขุนเลือกอาหารที่อยากทานเป็นมื้อกลางวันก่อน โดยเขานั่งมองท่านขุนดูเมนูเงียบๆ ทั้งคู่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน และข้างกายท่านขุนก็มีหมวกกันน็อกวางอยู่ หลังจากอีกฝ่ายสั่งอาหารเสร็จ พีระพลก็เอ่ยชื่อเมนูอาหารโดยไม่ได้ดูเมนู ปกติเขามากินบ่อย และเกือบทุกครั้งก็สั่งเมนูเดิม

“แล้วนี่มณีกินอะไรหรือยัง” พีระพลเอ่ยถามหลังจากพนักงานร้านเดินจากไป

“กินแล้วพี่ ผมให้อาหารมณีเรียบร้อย ไม่งั้นเดี๋ยวมณีโกรธฆาตกรรมผมหมกห้องนอน” ก็ว่าไปนั่น...ทำอย่างกับมณีโหดขนาดนั้น ไม่สิ...มณีก็โหดแบบนั้นแหละ

“เด็กๆ ในร้านละ” คำถามเหล่านี้ทำให้ท่านขุนคิดว่าพี่พีนี่นิสัยดีจังเนอะ เป็นห่วงคนอื่นขนาดนี้เชียว

“พวกนั้นหิวก็หาอะไรทำกินกันเองได้พี่ ผมมีของสดเตรียมเอาไว้ตลอด ช่วงนี้มันได้กินฝีมือผมทุกวัน ถึงเวลาต้องพึ่งพาตัวเองบ้างแล้วล่ะ สบายเกินไป”

“ก็จริง อย่างจิมนี่พี่อิจฉาเลยนะ...”

“คนอิจฉามันทั้งนั้นแหละพี่ ลูกน้องอะไรสบายกว่าเจ้าของร้านอย่างผมอีก แต่ก็นะ...อย่างน้อย จิมมันก็ดีกว่าเมื่อก่อน สมัยมันเรียน...มันเกเรมากพี่ เที่ยวแว้นสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ช่วงหนึ่งมันเล่นยาด้วย เห็นว่าเป็นรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันผมก็เลยดึงมันมาอยู่ที่ร้านพร้อมกับแอ้เพื่อนซี้มัน แอ้มันขยันกว่า มันชอบทำรถ แต่ไอ้จิมเนี่ย...มันเก่งเรื่องพวกตัวเลข ผมเลยให้มันจัดการบัญชี ทำสต็อกของร้านอะไรแบบนี้แหละ” สิ่งที่เคยคาใจเล็กๆ ของพีระพลกระจ่างแล้วในวันนี้ เขาสงสัยมานานแล้วว่าทำไมจิมดูสบาย ที่จริงเราก็แค่เห็นมุมตอนที่เขาไม่ได้ทำงานเท่านั้นเอง

“พี่นึกว่าเราเป็นคนจัดการเรื่องเงินในร้านเสียอีก”

“พี่พีก็รู้ ผมไม่เก่งคณิต ไม่เก่งเลข เจอบัญชีแล้วงงมาก ไม่ได้ไอ้จิมผมก็แย่นะ ต้องไปจ้างคนอื่นแทนมันอยู่ดี” พีระพลพยักหน้ารับเข้าใจ

ไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยมาเสิร์ฟ เขาผลัดกันชิมอาหารในจานของอีกฝ่าย โดยท่านขุนเป็นคนขอชิมแล้วพีระพลก็ขอบ้าง พีระพลว่าเขาค่อนข้างเบื่อพวกสปาร์เก็ตตี้หรืออาหารฟากยุโรป เพราะตอนที่ทำงานในต่างประเทศเขาต้องกินมันอยู่บ่อยๆ มันอร่อยแต่ไม่ถูกปากเขานัก ส่วนท่านขุนเองก็กินบ้างบางครั้ง เหมือนนานๆ ทีเราจะนึกอยากเปลี่ยนรสชาติอาหารประจำนั่นแหละ

มีเสียงพูดคุยเบาๆ ระหว่างมื้อ ถามไถ่กันไปมาเรื่องงาน อาจจะไม่ได้หัวเราะด้วยกันบ่อยนักแต่ก็ยิ้มด้วยกันอยู่ตลอดเวลา มันเป็นช่วงเวลาง่ายๆ เรียบๆ ที่มีความสุขดีสำหรับเขาทั้งคู่ เหมือนคำว่า... ถ้าเรารักใครสักคน เราจะสามารถอยู่กับเขาได้ตลอดแม้ไม่มีเรื่องคุย เราจะคิดถึงเขาแม้ว่าเราเพิ่งจะห่างกับเขาได้ไม่กี่ชั่วโมง เราจะเห็นความสุขของเขาเป็นความสุขของเรา

ในตอนนี้...พวกเขาเป็นแบบนั้น

“พี่มีของจะให้” เมื่ออาหารหมดจาน ท่านขุนเลิกคิ้วขณะดูดน้ำชามะนาวในแก้ว

“หือ อะไรอะพี่...” พีระพลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกข้างที่ไม่มีโทรศัพท์ ในนั้นมีกลองสีน้ำเงินกำมะหยี่เล็กๆ ไม่ต่างจากกล่องใส่แหวน

“นี่...” ทันทีที่กล่องเล็กๆ นั้นวางลงตรงหน้า ท่านขุนเลิกคิ้วเชิงคำถามไม่เข้าใจ

“คืออะไร”

“เปิดดูสิ พี่ซื้อมาให้...ซื้อมาจองตัว” หัวใจเต้นระรัวขึ้นมา ไม่ต้องถามหาสาเหตุเพราะมันก็คงหนีไม่พ้นเป็นเพราะผู้ชายตรงหน้านี้หรอก

ท่านขุนคว้ากล่องสีน้ำเงินเล็กๆ นั้นมาเปิดดูช้าๆ เหมือนกล่องแหวน...และคิดว่าข้างในน่าจะมีแหวน แต่ไม่ใช่ ท่านขุนคาดการณ์ผิดไป นิลดำน้ำดีทรงกลมขนาดประมาณสามมิลสองอันนอนอยู่ในนั้น เขาลองดึงมันออกมาจากฐาน ก้านทองคำขาวติดอยู่กับตัวเรือน...

“ต่างหู?”

“ครับ เห็นเราไม่ใส่แหวน ไม่ใส่เครื่องประดับอื่นเลยนอกจากต่างหู ชอบไหม...” พีระพลคาดหวังอยู่ เขาอยากให้ของขวัญชิ้นนี้ถูกใจท่านขุน เพราะเขาเดินเลือกนานมาก

แหวนคู่ แหวนแต่งงานก็ว่าเยอะอยู่แล้ว...แต่นี่ต่างหู มันเยอะยิ่งกว่า จากร้านแรกที่ดูแหวนไป เมื่อเปลี่ยนสิ่งที่อยากได้ พีระพลจึงต้องเดินย้อนกลับไปดูใหม่หมดทุกร้าน เครียดกว่าหาคำตอบที่ถูกต้องก็ตรงคำตอบไม่ตายตัวนี่แหละ

“พี่พีอ่า...” ท่านขุนเม้มปาก มองตาอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันไปทั้งอก ไม่แค่ต่างหูสวยแต่เพราะพี่พีใส่ใจเขาถึงขนาดสังเกตว่าเขาไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย

“ว่าไง...ชอบไหม”

“ผมต้องชอบดิ พี่พีซื้อให้ผมนี่นา...ไม่ดิ รักเลยอะ” คำตอบของท่านขุนทำให้พีระพลโล่งใจ คิดว่าท่านขุนจะไม่ชอบสิ่งที่เขาได้มอบให้

“พี่ดีใจที่เราชอบนะ ถือว่าเป็นของหมั้นหมาย...”

“โหยพี่...พี่แจ็กเคยบอกว่าพี่พีอะหัวโบราญ ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่ามันจริง แต่พี่พีครับ...มันไม่มากไปหน่อยเหรอกับสิ่งที่พี่ให้ผม” ไม่ใช่ดูไม่ออกว่านี่เป็นของมีราคา ต่อให้เอาป้ายราคามันออกไปแล้วก็ตาม ถ้าพี่พีรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องระหว่างเขาสองคนมันเป็นเพราะท่านขุนวางแผน พี่พีจะรู้สึกยังไง...พี่พีจะยังอยากทำแบบนี้ไหม ยังอยากรับผิดชอบหรืออเปล่า

“มันไม่มากหรอกถ้าเทียบกับสิ่งที่พีทำลงไป”

“พี่แค่อยากรับผิดชอบ...พี่มองมันเป็นวันไนท์สแตนด์ก็ได้ นี่มันยุคไหนแล้วพี่...” สีหน้าท่านขุนค่อนข้างลำบากใจ มันทำให้พีระพลคนมองอยู่ฝั่งนี้ใจไม่ดีนัก

“ท่านขุนไม่ชอบใช่ไหม ที่พี่ดูเหมือนจะผูกมัดเพียงเพราะเราเกินเลย...” เพราะพีระพลไม่ได้รู้แบบที่ท่านขุนรู้ ดังนั้นในสายตาพีระพลตอนนี้จึงเห็นเพียงความอึดอัดใจของท่านขุน เขาเข้าใจ...คนบางคนก็ไม่ชอบการผูกมัดแบบนี้

จากบรรยากาศดีๆ ตอนนี้มันเริ่มจะอึดอัดไปหมด...ท่านขุนเห็นว่าพี่พีรับผิดชอบต่อเขาแบบจริงใจและมากมายขนาดไหน แต่พี่พีไม่รู้เลยว่าที่พี่พีต้องมารับผิดชอบเนี่ยมันเป็นเพราะแผนการของท่านขุนกับพี่แจ็ก พี่พีกำลังโดนหลอก...พี่พีโดนหมัดมือชก แค่ได้รับความรักตอบ สำหรับท่านขุนมันก็มากพอแล้ว ตอนนี้ความผิดที่อยู่ในใจเขาก็เลยเริ่มพรั่งพรูออกมา เขาไม่กล้ารับมัน...ไม่กล้ารับของหมั้นหมายของพี่พีเลย

“ผม...มันไม่ใช่แบบนั้นอะพี่” ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่าไหร่...ก็รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายคนนี้มากเท่านั้น ตอนแรกยังไม่สะทกสะท้านเลย แต่พอเห็นพี่พีลงทุนขนาดนี้ ท่านขุนชักคิดมาก เขาไม่กล้าพูดความจริงที่ซ่อนอยู่ด้วยซ้ำ

“...” พีระพลอยากได้คำอธิบาย ตอนนี้เขารู้สึกแย่...แล้วความรู้สึกแย่เหล่านี้ทำให้สิ่งดีๆ ที่เรามีด้วยกันวันนี้หายไป...

ร่างสูงพูดไม่ออก ในขณะที่ท่านขุนจับกล่องต่างหูเอาไว้แน่น ตัวเรือนทำจากทองคำขาวประดับนิลดำแท้น้ำดีแบบนี้...เขาควรได้รับมันจริงๆ ใช่ไหม ความลังเลของเขาคงทำให้พีระพลรู้สึกแย่แต่เขาเองก็มีความวิตกกังวลอยู่ในตัวเองเช่นกัน

“ผมดีใจที่ได้สิ่งนี้นะ ผมดีใจจริงๆ...ผมแค่คิดว่าผมอาจไม่คู่ควรกับมันเท่านั้นเอง” ในสายตาพีระพลอาจมองว่ามูลค่ามันไม่ได้สูง แต่ในความหมายที่ได้มอบให้อีกฝ่ายนั้นแหละคือมูลค่าที่สูงมากในความรู้สึกของท่านขุน

“อะไรคือคำว่าไม่คู่ควร...การที่พี่ให้เพื่อหมายหมั้นเอาไว้นี่คือสิ่งที่ไม่คู่ควรต่อท่านขุนเหรอ” ถึงรู้สึกแย่ ถึงเจ็บอยู่ลึกๆ...แต่พีระพลก็ไม่ได้แสดงออก

“ผม...” มันพูดไม่ออก มันไม่กล้าบอกออกไปว่าที่พี่ต้องมารับผิดชอบผมเนี่ยเพราะแผนผม...พูดได้ที่ไหน ใครกล้าพูดบ้างล่ะ

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าขุนไม่สบายใจที่จะรับมันเอาไว้ ไม่สบายใจที่พี่จะผูกมัด พี่ก็ไม่บังคับนะ...พี่จะไม่ทำให้ท่านขุนอึดอัด เพราะงั้น...ลืมมันไปก็ได้ แล้วคิดเสียว่า พี่แค่ซื้อของมาฝาก แล้วเราก็เป็นแค่คนสองคนที่เพิ่งคบกัน ดีไหม...แบบนี้ท่านขุนโอเคหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนและสุภาพนั้นขยี้อารมณ์ท่านขุนอย่างแปลกประหลาด เขารู้ว่าพี่พีต้องการทำให้ตัวเขาเองสบายใจที่สุดถึงได้ยอมถอยให้ขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงแล้ว...การรับต่างหูเพื่อหมั้นหมายจองตัวของพี่พีนี่แหละ คือสิ่งที่ร่างสูงนั้นต้องการ

“มีคนเคยบอกไหม ว่าพี่พีดีเกินไป...” อย่างกับอยากร้องไห้แหนะ ท่านขุนกำกล่องนั้นแน่น...

“มีสิ พี่โดนบอกเลิกด้วยคำนั้นบ่อย หรือเราจะเป็นอีกคนที่พูดคำนั้น”

“พี่...ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะปล่อยคนดีๆ ไป ที่จริง...ที่ผมไม่กล้ารับมันเอาไว้ไม่ใช่เพราะผมไม่ชอบมัน หรือไม่ชอบพี่พี แต่ว่าเพราะชอบมาก...ก็เลยคิดว่า....” แล้วคำก็ขาดหายไป เขาไม่กล้าพูดจริงๆ ไม่กล้าบอก...ไม่กล้าสารภาพความจริง

เขากลัวว่าระหว่างเขาสองคนมันจะจบลงทั้งที่มันยังไม่ได้เริ่มเลย...

“ขุนทำใจให้สบายก่อนก็ได้ พี่รู้ บางอย่างมันก็ยากที่จะพูด พี่จะรอนะ...” พีระพลตัดสินใจเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ หวังให้ท่านขุนคลายความตึงเครียดลง ทั้งที่เขาเองไม่ได้ต่างอะไรกับท่านขุนเลย

ลึกๆ เขาก็เจ็บ...

ลึกๆ เขาก็รูสึกแย่...

และลึกๆ เขากลัวที่ความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มนี้จะจบลง...

“ผมขอโทษนะ แต่ผมมีอะไรจะบอกพี่...ผมขอเวลานิดหน่อย”

“ได้สิครับ พี่รอได้”

“ขอบคุณนะพี่...ผมรักพี่จัง” ก็เขินที่จะพูด แต่ก็อยากจะพูดไง...อยากบอกเพราะกลัวว่าจะไม่ได้บอกอีกในฐานะคนรัก

จากความหวานหอมละมุน...กลายเป็นความขมขุ่นมัว

ทั้งคู่เดินออกมาจากร้านโดยไม่ได้คุยกัน ต่างคน ต่างอยู่ในความคิดของตนเอง แต่พีระพลก็ยังจับมือท่านขุนเอาไว้...กำมันแน่นๆ แม้เหงื่อจะซึมอยู่ที่ฝ่ามือก็ตาม ไม่บ่อยนักที่เราจะเจอคนตรงใจ...เขาก็อยากจะรักษามันเอาไว้ ถึงเราจะเริ่มต้นกันแปลกๆ เริ่มแบบที่ไม่ควรเริ่ม แต่เขาก็อยากจะกลับไปทำให้มันดี...กลับไปเติมในส่วนที่เราก้าวข้ามมาด้วยกัน

….100%….

เป็นไงล่ะ…เล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับพี่พีคนจริง เครียดดิ คนมีความมันเครียดเสมอแหละเนอะ  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ พันวา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-5
ง่อววววววว สงสารพี่พี วงวารท่านขุน
อยากเห็นความมุ้งมิ้งเข้าใจ แทนความอึดอัดแบบนั้นจัง รอต่อปายยยยยย

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มันก็จริงอย่างที่ท่านขุนรู้สึก เขินมาก ชอบมาก  ก็ใช่  แต่จะให้สุดเลยก็ไม่ได้  เฮ้อ....~

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
พี่พีเป็นคนดีมากอ่ะ ดีเกินไปจริงๆ :ling1:

ออฟไลน์ reborn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
หลงรักพี่พี :z10:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่พีเป็นคนดีมากๆเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ค่อยๆ จับมือกัน แล้วผ่านมันไปให้ได้ ^^

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
ตอนต่อมาเร็วๆหน่อยสิท่านข้าพเจ้าอยากอ่านล้าวววว

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เจอคนถูกใจแล้วก็ค่อยๆดูกันไป  แต่อย่าเครียดๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Victor.yuriyurio

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao5: อย่าดราม่าเฃยนะไรท์จ๋า /กอดขาไรท์ สงสารหนูเถอะ  :serius2:

ออฟไลน์ GukakST

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +187/-5
>….ตอนที่ 10 [100%]….<

พีระพลเดินทางกลับมาทำงานด้วยความห่อเหี่ยว ถึงจะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มอย่างที่ควรเป็น เขาเดินผ่านพนักงานคนอื่นตรงกลับไปที่แล็บของตนเอง ระหว่างทาง ไม่ว่าใครจะมองมาหรือส่งยิ้มให้ เขาก็แทบไม่สบตาใครเลย มาถึงที่ พีระพลเริ่มงานของตัวเองทันที ด้วยต้องการให้งานช่วยผ่อนคลายความหนักอึ้งในใจ

ระหว่างทางเดินกลับเข้าห้องแล็บอีกครั้ง เขาสวนทางกับแจ็ก เจ้าตัวไม่มองหน้าเพื่อนแม้แต่นิดเดียว เล่นเอาแจ็กเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที เพราะก่อนมันออกไปก็ดูกระตือรือร้น ไหงตอนกลับเข้ามาถึงได้ดูซึมๆ แบบนี้ไปได้

ขณะเดียวกัน ท่านขุนจอดรถได้ เขาถอดทุกอย่างวางทิ้งเอาไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ ปล่อยให้ลูกน้องเป็นคนเก็บข้าวของ ในกระเป๋าเสื้อของเขามีกล่องสีน้ำเงินกำมะหยี่นอนนิ่งอยู่ เจ้าตัวตรงเข้าไปเอาเบียร์เย็นๆ เต็มตู้แช่มาหนึ่งกระป๋อง เหลือบมองมณีที่เดินเข้ามาพันแข้งพันขาออดอ้อนเอาอาหารเล็กน้อย แล้วต่อให้ท่านขุนจะมีเรื่องให้คิดเยอะแยะในหัว เขาก็ยินดีวางมันลงเพื่อเอาขนมของโปรดมณีมาให้เธอ ขนมเหล่านี้ พี่พีเป็นคนซื้อมาเก็บเอาไว้ ปกติแล้วท่านขุนมีแค่อาหารหลักที่หลากหลายสำหรับมณีน้อยเท่านั้น

หลังจากให้ขนมมณีเสร็จ ท่านขุนเปิดเบียร์ป้อนตัวเองพลางเดินออกมานั่งตากแอร์บนโซฟายาวสีดำ มณีเดินหายไปไหนไม่รู้ ไม่ได้มานอนที่ประจำของเธอเหมือนอย่างเธอ กล่องต่างหูถูกหยิบออกมาเปิดดู พี่พีบอกให้คิดว่ามันเป็นแค่ของฝาก...มันเป็นไปไม่ได้ ท่านขุนว่ามันเป็นแค่ของฝากไม่ได้จริงๆ เมื่อเขารับรู้ถึงเจตนารมของพี่พีชัดเจนขนาดนั้น

สีหน้าของพี่พียังติดตาท่านขุนอยู่ รอยยิ้มอ่อนโยนยามที่ท่านขุนบอกว่าชอบของสิ่งนี้ และคำพูดหมายมาดจองตัวก็ยังชัดเจนอยู่ในหูของท่านขุนราวกับมันถูกเปิดซ้ำอยู่แค่ประโยคนั้นประโยคเดียว

ของชิ้นนี้มีความหมายมากเหลือเกิน...ในมือที่ถืออยู่รู้สึกหนักอึ้งไปหมด มันสมควรแล้วใช่ไหมที่เขาจะได้รับมัน ความรับผิดชอบที่เกินคาดนี้ทำให้ท่านขุนรับมือมันไม่ถูก ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เป็นคนวางแผนทุกอย่างเอาไว้เพื่อจับพี่พีมันคงง่ายกว่านี้ที่จะตัดสินใจรับมัน

คิดแล้วก็เครียด...เครียดแล้วก็ดื่ม

“แต่วันเลยอ๋อพี่” จิมส่งเสียงทัก

“เออหน่า”

“อะไรว้า...ไปเที่ยวแป๊บเดียวกลับมาซดเบียร์เสย ผมกินเป็นเพื่อนมะ” เห็นแล้วเปรี๊ยวปากอยากกินมั้ง จิมคิดแบบนี้ แต่เจ้านายตนกลับส่ายหน้า

“เล่นเกมไปเหอะมึงอะ” ท่านขุนบอกปัดไร้น้ำใจ ไม่สนเสียงแง้วๆ บ่นไปเรื่อยของลูกน้องตัวเองด้วยซ้ำ

ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ควรรับของมีราคาขนาดนี้จากพี่พี...แต่ท่านขุนไม่กล้าปล่อยกล่องต่างหูนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เขากำมันแน่นมากตอนอยู่ในร้าน รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่คู่ควรแต่ก็อยากจะได้มัน อยากจะครอบครองมัน เป็นความเห็นแก่ตัวที่ไม่สิ้นสุด...เขารู้ เขามันแย่ แต่เขาชอบพี่พีนี่

ทุกครั้งที่พีมาร้าน...เอาของมาฝาก ไม่ว่าจะขนม กับข้าวหรือของใช้ของมณี ท่านขุนไม่อยากจะหยิบพวกนั้นมาใช้เลยด้วยซ้ำ อยากจะเก็บเอาไว้...มันเป็นความบ้าเล็กๆ เหมือนพี่พีเป็นไอดอลที่ได้ให้ของเขามา ของของไอดอล เราแฟนคลับก็ไม่อยากใช้มันอะถูกไหม บางที...ยังแอบอิจฉามณีเลยที่พีให้ความสำคัญแล้วก็เอ็นดูมันมาก เฮ้อ...เป็นเอามากขนาดนี้ จะกล้าบอกความจริงกับพี่พีไหมเนี่ย

“จิมเอาเบียร์มาให้หน่อยดิ้” เผลอแป็บเดียว เบียร์กระป๋องแรกก็หมดลง

“พี่กินเร็วไปเปล่าวะ”

“เรื่องของกูหน่า” ท่านขุนบอกปัดอีกหน

ลูกน้องจำต้องวางมือถือลง เดินเข้าครัวคว้าเบียร์มาให้เจ้านายที่ดูเคร่งเครียดแปลกๆ ตอนออกนี่ตัวหอมฟุ้ง ดูตื่นเต้น ดูมีความสุข แล้วไหงกลับมาซึมแบนี้ได้ละเนี่ย แถมยังกินเบียร์อย่างกับน้ำเปล่าอีก

“พี่เป็นอะไรปะเนี่ย...” จิมอดถามไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่ท่านขุนดูซึมๆ ก็ตอนเลิกกับแฟนเก่า

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ท่านขุนค่อนข้างดื่มหนัก แล้วก็ดูเหมือนคนไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยสักอย่าง วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อ นอนดูนั่นดูนี่แล้วหาหนังสือมาอ่าน โอ้ย...อ่านนิยายก็แปลกตาพอแล้ว อ่านตอนเมาอีก ปกติต่อให้ท่านขุนมีเรื่องเครียดก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองนิ่ง การทำงาน ซ่อมรถหรือแต่งรถที่ชอบเป็นสิ่งที่เขามักทำอยู่เสมอ แล้วมันก็ทำให้เขาสมองปลอดโปร่ง ทว่าหนนี้อย่างกับคนอกหัก

“พี่พีทิ้งพี่เหรอ” จากไม่สนใจลูกน้อง ท่านขุนเงยหน้ามองจิมคิ้วขมวด

“อย่าสันนิฐานอะไรสั่วๆ ดิ้”

“อ่าว ก็จะไปรู้เหรอ ท่าทางอย่างกับคนโดนทิ้ง แล้วสรุปพี่เป็นอะไรล่ะ”

“เสือกนะมึงอะ” ไม่อยากพูดถึงสิ่งที่คิด ต่อให้ลูกน้องรู้ทันอยู่แล้วว่าเขาหลอกล่อพี่พีมาที่ร้านก็ตาม แต่เรื่องของความรู้สึกที่ซับซ้อนแบบนี้ คุยกับคนที่ไม่เข้าใจมันก็เท่านั้นแหละ ท่านขุนคิดแบบนั้น

“เออ ไม่ยุ่งแล้ว” จิมเดินกลับไปนั่งหลังเคาน์เตอร์ หยิบมือถือมาเล่นไปตามเรื่องตามราวทั้งที่ยังไม่ทิ้งความสงสัย

ท่านขุนเริ่มดื่มเบียร์กระป๋องที่สอง เขาตัดสินใจปิดฝากล่องต่างหู วางมันเอาไว้บนตักก่อนเอนกายพิงพนักหนักด้านหลัง ยังคงดื่มเบียร์เย็นๆ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท คบคิดเรื่องพีระพลจนเริ่มรู้สึกปวดหัว ที่จริงมันไม่มีอะไรยากเลย มันแค่ต้องใช้ความกล้าหน่อยเท่านั้นเอง ประเด็นอะมันก็อยู่ตรงที่เขาไม่กล้าเนี่ยแหละ...

ไม่เคยเจออะไรที่ต้องตัดสินใจยากขนาดนี้เลย เลิกกับแฟนเก่ายังตัดสินใจงง่ายกว่านี้อีก แหงสิ นั่นมันแค่ต้องเลือกว่าจะไปต่อหรือเลิกรา แต่นี่มันคืออยากไปต่อแต่ความจริงอาจทำให้เลิกราไงล่ะ ความต่างมากขนาดนี้ใครมันจะกล้าเสี่ยงล่ะจริงไหม ต่อให้ท่านขุนเป็นคนใจเด็ดเดี่ยวแค่ไหน มั่นคงกับความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่ก็ยังหวั่นไหวกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ส่วนหหนึ่งเพราะเขาเองก็ยังไม่ได้รู้ใจพี่พีดีขนาดนั้นด้วย

เบียร์กระป๋องที่สองถูกดื่มช้ากว่ากระป๋องแรกมาก เขาแค่จิบๆ เท่านั้นระหว่างที่ใช้ความคิด มันมีแค่จะเอาไงดี จะเอายังไงดีอยู่แค่เนี่ย ทางเลือกก็ไม่มีมากแต่แม่งไม่มีความกล้าเลยให้ตายสิ หรือจะมอมตัวเองแล้วค่อยไปพูดความจริง วัดกันไปเลยว่าพี่พีที่ได้รู้ความจริงจะว่ายังไงกับท่านขุนต่อไป

อ่าว...แล้วถ้าพี่พีไม่พอใจจนไม่อยากสานต่อล่ะ

จำได้ ท่านขุนจำได้เลยว่าพี่พีไม่ชอบการโดนหลอก ตอนพี่แจ็กหลอกพี่พีมาที่ร้านวันนั้น พี่พีค่อนข้างโกรธแล้วก็ถึงกับแสดงสีหน้าออกมา นั่นพี่แจ็กเพื่อนสนิทหลอกนะ...แล้วนี่เขาเป็นใคร คนมาที่หลังด้วยซ้ำ เกิดพี่พีรู้ความจริงยังไงก็ต้องโกรธกันบ้างแหละ ไม่มีทางจะเออออยอมความง่ายนักหรอก

RrrrRrrrr

เสียงโทรศัพท์คุ้นเคยดังขึ้น ท่านขุนปรือตาขึ้นมาพลางวางกระป๋องเบียร์ เขาล้วงเอามือถือตัวเองออกมาดูเบอร์บนหน้าจอ...พี่แจ็กงั้นเหรอ  เจ้าตัวถอนหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งหน กดรับสายเรียกเข้านั้นพร้อมกับซดเบียร์ที่เหลือจนหมดเพื่อลุกไปเอากระป๋องใหม่

“ว่าไงพี่”

(กูต่างหากต้องถามว่า ว่าไง เป็นอะไรกันหรือเปล่าวะ พี่เห็นไอ้พีมันซึมๆ ทะเลาะกันเหรอมึง) นั่นไง เขาทำให้พี่พีคิดมากไปด้วย ต่อให้พี่พีไม่แสดงออกอะไรเลย ก็เดาได้ว่าคงไม่มีใครรู้สึกดีหรอกหากต้องเจอสถานการณ์อย่างนี้

“ไม่ได้ทะเลาะพี่...แต่แบบ พี่พีเขาซื้อต่างหูมาให้ เอามาหมั้นงี้” ท่านขุนเปิดกระป๋องเบียร์ด้วยมือเดียว แล้วยืนพิงอ่างล้างจาน

(นั่นไง กูก็ว่า...มันบอกเข้าท่า อะไรเข้าท่าไม่รู้ ที่แท้คือเรื่องจองตัวไว้ก่อน ไอ้นี่มันหลงยุคปะวะหา...เออ แล้วยังไงวะ ก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ ทำไมมันถึงซึมไปได้ล่ะ หรือมึงไม่รับหมั้นมัน) คนฟังเผลอพยักหน้า อีกฝ่ายก็ไม่เห็นหรอก

“ใช่พี่ จะว่าไงดี...ผมไม่กล้ารับวะ”

(กลัวการผูกมัดเหรอวะ)

“เปล่าเว้ย ผมไม่กลัวหรอกเรื่องแบบนั้นอะ แต่ที่ผมคิดมากเนี่ยมันแบบ...พูดยังไงดีวะ ผมคิดว่าผมไม่ควรได้รับอะไรอย่างนี้อะ พี่ก็รู้ ผมแม่งวางแผนทุกอย่างเพื่อให้ได้พี่พีเลยนะเว้ย”

(ก็เออไง แล้วยังไงอะ...) แจ็กไม่เข้าใจความหมายของท่านขุน

“แต่พี่พีไม่เคยรู้ไงพี่ เขาคิดว่านั่นคือความผิดพลาดที่ตัวเขาก็เลยมารับผิดชอบผม ซึ่งเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ผมรู้สึกผิดวะ เหมือนไปหลอกเขาอะ” กระป๋องที่สามของท่านขุนหมดไปครึ่งกระป๋องด้วยความว่องไวราวกับระเหยหายไปได้

(อ๋อ...เกิดเป็นคนดีขึ้นมา ก็เลยคิดมาก) คำพูดแจ็กดูสบายๆ ท่านขุนสิ...เครียดจะตายแล้วเนี่ย

“เออ”

(ฮ่าๆ...กูก็นึกว่าเรื่องอะไรกัน นี่คิดว่าไอ้พีมันเกิดเปลี่ยนใจเทมึงทิ้งไปแล้วนะเนี่ย ไอ้ขุน...มึงจะคิดมากทำไม วัดใจไปดิ รู้สึกผิดก็สารภาพเลย...แล้วรอดูว่าไอ้พีมันจะว่ายังไง หรือไม่...เก็บความลับเอาไว้ต่อไป) เก็บอะเก็บได้ ติดที่ใจเขาเนี่ยแหละ...มันอึดอัด มันทรมานมากเลย ยิ่งพี่พีดีกับเขาเท่าไหร่ ความรู้สึกผิดก็จะยิ่งถาโถมใส่เขามากเท่านั้น

“ผมไม่กล้าไงพี่...”

(อ่าว ป๊อดเฉยเลยเว้ย)

“ก็ขนาดพี่หลอกพี่พีให้มากินข้าวกับผม พี่พียังโกรธพี่แจ็กเลย นี่ไม่ใช่หลอกกินข้าวนะเว้ยพี่...นี่มันมากกว่านั้น”

(แต่มันคนละอย่างกันเว้ย ไอ้พีมันไม่โกรธมึงหรอก...เชื่อกู) ก็อยากจะเชื่อ แต่มันยากจังแฮะ

“เออๆ ผมจะลองดูพี่”

(ดีๆ กูเอาใจช่วย)

“ขอบคุณครับ” เบียร์กระป๋องที่สามหมดพอดีตอนท่านขุนกดตัดสายพี่แจ็ก

การดื่มของท่านขุนไม่จบลงง่ายๆ เขาหยิบมาเปิดดื่มเงียบๆ คนเดียวให้ห้องครัว ลูกค้ามาแอ้ก็เป็นคนเข้าไปรับงานและเขียนใบรายการเอาไว้ บอกว่าเจ้าของร้านไม่ว่าง ติดธุระ บางคนรู้จักกัน แอ้ก็บอกไปตรงๆ ว่าพี่ขุนดูไม่อยากทำงานในวันนี้ ซึ่งคนรู้จักส่วนใหญ่เข้าใจกันดีเลยไม่มีปัญหาอะไรตามมา อีกทั้งแอ้เองก็ต้อนรับได้สุภาพนอบน้อม ลูกค้าชอบอะไรแบบนี้

มณีเดินเข้ามาในครัว นัยน์ตาสองสีฟ้าเหลืองเหลือบมองท่านขุนของเธอด้วยความฉงนใจ แม่นางน้อยเอ้อระเหยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่างเล็กปราดเปรียวสีขาวปอดก็ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะกินข้าว เธอก้าวย่างเชื่องช้าเข้าไปนั่งหน้าท่านขุน ซึ่งท่านขุนของเธอก็เงยหน้ามายิ้มให้

“ไงจ๊ะแม่มณี”

“เหมี๊ยวววว” เธอขานตอบ ก็ไม่ไง...แค่ตอบว่ารู้แล้วว่าเรียก เธอไม่มีอะไรทั้งนั้น การจะนั่งมองหน้าเจ้าของตัวเองต้องมีอะไรมากด้วยเหรอ

“หิวเหรอ ไม่เอาหน่า มณีเพิ่งกินไปเองนะครับ” ท่านขุนเอื้อมมือที่เช็ดไอน้ำจากกระป๋องอกแล้วไปลูบหัวเล็กนั้น

“แม้ว...” หิวอะไรล่ะ ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรแค่มานั่งมองหน้าเฉยๆ แต่ได้กินอีกก็ดี

“เป็นเด็กดีน้า...” ไม่ใช่เด็กแล้ว มณีอายุไม่ห่างจากท่านขุนมากหรอก เธอแก่พอจะรู้อะไรเป็นอะไรแล้วล่ะยะ แต่...เธอตอบอะไรท่านขุนไม่ได้นอกจากเสียงเหมียวเบาๆ

ฝ่ามือท่านขุนมอบความอบอุ่นและสบายใจ มณีน้อยเริ่มเอนกายนอนหมอบลงตรงหน้า เอียงหัวถูไถไปกับมือของท่านขุนเป็นจังหวะจะโคน ยิ่งเรียวนิ้วนั้นลากตั้งแต่กลางศีรษะเธอไปถึงลำคอและปลายคาง เธอยิ่งรู้เคลิบเคลิ้มจนอยากจะนอนต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงเหมือนกัน

“ทำไมมณีไม่ชอบพี่พีเหรอ” แต่ความง่วงก็หายไปเมื่อเธอหูพึ่งได้ยินชื่อพีระพล เธอความจำดี...และแค่ได้ยินชื่อเธอก็นึกถึงกลิ่นตัวเจ้านั่นออก

“มิ้ว..มิ้ว..แม๊วววว” โอเค ท่านขุนไม่รู้เรื่อง มณีก็แค่ไม่พอใจเวลาเขาเข้าใกล้ท่านขุน…ไม่ชอบให้เขามาทำให้ท่านขุนให้ความสำคัญกับเขาไม่ใช่เธอ แม้ว่ามณีจะไม่ได้หวงอะไรท่านขุนเลย…แต่มณีก็ไม่อยากสูญเสียอณาเขตของตัวเองให้กับใคร

แล้ว…ท่านขุนก็คืออณาเขตหนึ่งของมณีนั่นเอง

อีกอย่าง…เจ้านั่นอะชอบเข้ามานั่งเบียดที่มณีอยู่เรื่อย ล้ำเส้นเข้ามาบ่อยๆ บางทีมณีน้อยนอนอยู่ก็เอานิ้วมาจิ้ม มายิ้มใส่ราวกับมีความสุขทั้งที่เจ้านั่นน่ะมันกำลังรบกวนการนอนของคนอื่นอยู่ มณีไม่ชอบ…เขาชอบแกล้ง ถึงจะชอบเอาใจแต่ก็แกล้งเธออยู่ดีในความรู้สึกของเจ้าเหมียว แถมอีก…แถมเข้าไปเยอะๆ ครั้งก่อนยังเป็นต้นเหตุให้มณีโดนจับขังกรงที่ตนเองเกลียด แล้วพอกลับขึ้นไปนอนบนที่นอนประจำในห้อง…ก็ยังมีกลิ่นตัวของเขาอีก นี่ไง…เหตุผลในการไม่ชอบขี้หน้าของมณีมีมากมาย

แต่…ท่านขุนไม่เข้าใจ

“พี่พีเขาเป็นคนดีนะมณี” ไม่ใช่แมวที่ดีหนิ...ไม่ๆ เป็นคนไม่ดี คนที่ดีคือคนที่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวต่อมณีอย่างไรต่างหาก ท่านขุนอะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“เมี๊ยวๆ”

“เฮ้อ...” แล้วท่านขุนก็ถอนหายใจ มือยังคงลูบไล้ขนนุ่มมือของมณีอยู่

เมื่อท่านขุนเงียบ มณีน้อยเริ่มเคลิ้มกับสัมผัสของท่านขุนต่อ เธอมีความสุข... เวลาที่เจ้านั่นไม่มา ท่านขุนใส่ใจเธอ เอ็นดูเธอ แล้วก็ตกเป็นทาสของเธออย่างไม่มีข้อแม้ เนี่ย...พอเจ้านั่นไม่มา ท่านขุนก็กลับมาเป็นท่านขุนคนเดิมของมณี แบบนี้ไม่ให้มณีไม่พอใจได้ยังไงกัน มันไม่ได้หรอก...

เวลาผ่านไป...มณีน้อยคล้อยหลับ ท่านขุนของมณีนั้นนั่งมองเธอด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยๆ ในความเครียดก็ยังมีเจ้าเหมียวช่วยผ่อนคลายอารมณ์ เขาเดินไปเอาเบียร์มาอีก ดื่มแล้วมองหน้าตาหลับพริ้มของลูกรักตัวเองด้วยจิตใจที่สงบลง

ปมเชือกนี้เขาเป็นคนมัด...ดังนั้นเขาก็ต้องเป็นคนแก้มันเอง

ท่านขุนคิดว่ายังไงเสีย...เขาก็อยากจะคบกับพี่พีของเขาต่อไป ไม่ว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหนเขาจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด วลีเด็ดดวงของพวกแว้นแวบเข้ามาในหัว ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก...ไม่เคยคิดจะทำอะไรน่ารำคาญอย่างการตื๊อคน แต่คิดเสียว่าเป็นการง้อแฟนมันก็ดูดีขึ้น ท่านขุนเชื่อในความรู้สึกตัวเอง และยึดมั่นกับความตั้งใจของตนเองเสมอ เมื่อเขารู้แล้วว่าควรทำอย่างไร...เขาจะทำมันไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดมาขวางก็ตาม

ท่านขุนนั่งทำใจอยู่นาน หมดเบียร์อีกสามกระป๋องเห็นจะได้ เขาตัดสินใจเดินไปเอาใหม่แล้วลากขาขึ้นห้อง ถึงแอลกอฮอล์ในเลือดจะสูงเกิดปริมาณที่ด่านกำหนด แต่ท่านขุนไม่มีอาการมึนเมาใดๆ ทั้งสิ้น ก็เขากินบ่อย...กินจนชิน คอเลยแข็ง ภาษาขี้เมาเขาเรียกคอทองแดง

ดูนาฬิกา...ตอนนี้แค่บ่ายสองกว่าๆ พี่พีคงจะทำงานอยู่ ยุ่งไหมก็ไม่รู้ แต่ไม่อยากจะรอแล้ว ท่านขุนนั่งพิงหัวเตียง ห้องเขาค่อนข้างมืด ไม่ได้เปิดผ้าม่านเอาไว้ ข้างล่างมันสว่างอยู่แล้วไม่อยากให้ห้องนอนสว่างอีก เขาหยิบมือถือขึ้นมาจิ้มสองสามทีหาเบอร์พี่พี จากนั้นยกเบียร์ซดย้อมใจก่อนหนึ่งอึกแล้วกดโทรหาอีกฝ่าย

(ครับขุน...) เสียงพี่พีนุ่มละมุนเหมือนเคย ท่านขุนกัดปากตัวเองเล็กน้อย...หัวใจเต้นแรงมากๆ ไม่ใช่เพราะเมานะ แต่ตื่นเต้นอย่างที่สุดของที่สุดเลยในเวลานี้

“พี่พียุ่งอยู่หรือเปล่าครับ” เสียงท่านขุนสั่นมาก เขาพยายามระงับแล้วแต่มัน...มันยากอะ

(ไม่นะ งานพี่เรียบร้อยหมดแล้ว...นั่นท่านขุนเป็นอะไรหรือเปล่าหืม ทำไมเสียงแปลกๆ เอ๊ะ หรือว่าท่านขุนของพี่เมาแล้วครับ) ท่านขุนของพี่...ท่านขุนของพี่

บอกตามตรง...คำนี้ทำร้ายหัวใจเขาจริงๆ

“ผมไม่เมานะ ผมยังเหมือนเดิม” ก็จิรง ไม่เมาแค่ตื่นเต้น

(เอ...แต่ก็ดื่มใช่ไหม) ทำไมพี่พีถึงรู้ล่ะ

“พี่รู้ได้ไง...”

(ก็เราบอกยังเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้กินนี่ครับ หมายความเราดื่มอยู่แค่ยังไม่เมา ถูกไหม) ท่านขุนระบายยิ้มออกมาหน่อยๆ

“อื้อ ถูกครับ...”

(แต่วันเลยนน้า)

“ย้อมใจนิดหน่อย”

(เรื่องอะไร ใช่เรื่อง...) พี่พีเงียบเสียงลงไป ท่านขุนหัวใจเต้นระรัวไปหมด...พี่พีรู้แล้วว่าเขาดื่มย้อมใจเรื่องอะไร พี่พีไม่ใช่คนโง่...นั่นยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว

“พี่พี...พี่พีสัญญากับผมก่อนว่า พี่พีจะไม่ทิ้งผมไป” ก็ยังเห็นแก่ตัว ท่านขุนคิดว่าตัวเองนั้นเห็นแก่ตัวเกินไป

(ยากจังครับ...มันร้ายแรงขนาดที่ต้องเลิกกับเราเลยเหรอ)

“ไม่รู้…ผมกลัว ผมกลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิม ผมกลัวพี่จะเกลียดผม…กลัวพี่จะโกรธผมจนไม่อยากคบกับผมอีก” พีระพลรับรู้ถึงความกลัวของท่านขุนได้ดีแม้ว่าจะอยู่อีกฟากของสาย เพราะน้ำเสียงของท่านขุนนั้นสั่นพล่าไปหมด...

(ครับ...พี่สัญญา) ไม่รู้จะทำได้ไหม แต่รู้ว่าตัวเองก็ไม่อยากจากลาจากเด็กคนนี้เหมือนกัน

….100%….

สารภาพเลยค่ะว่า…ลืมมาอัป ฮื่อ เราขอโทษ งานวุ่นๆ นิดหน่อยจนลืมไปเลยจริงๆ ค่ะ ในส่าวนของท่านขุนน้าน…ชี้เมาจังค่ะ ฮ่าๆ ซัดโฮ้กนะคะนั่น ไม่เรียกดื่มค่ะ!

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ชอบที่พี่พีเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย มีเหตุผล
แม้ว่าเหตุผลบางอย่างจะตรรกะแปลกๆก็เถอะ o13

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นกำลังใจให้ท่านขุนกับพี่พีนะ

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาต่อเถอะน๊าาาาาาา  ลุ้นอยู่จะเป็นไงต่อ  ใจเต้นระรัว

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
หวานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน :mew1:

ออฟไลน์ GukakST

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +187/-5
>….ตอนที่ 11 [100%]….<

“ที่...ที่ผมบอกว่ามีอะไรจะบอกน่ะครับ” ท่านขุนสูดลมหายใจลึก ดื่มเบียร์อีกอึกแล้วพยายามทำให้ตัวเองสั่นน้อยลง

(ครับ พี่รอฟังอยู่) พีระพลตอบกลับเสียงอ่อนโยน

“เพราะว่า...เพราะว่าผมรู้สึกผิด พี่พีดีกับผมแบบนี้ แต่ว่าผม...” มันยากจังวะ ยากที่จะพูดความจริง แม่งยากกว่าการโกหกเสียอีก

(...) อีกฝ่ายเงียบเพื่อรอฟังอย่างตั้งใจ

“ผมชอบพี่พี การที่พี่พีมากินข้าวที่ร้านผมทุกวัน...มันเป็นเพราะผมเอง ผม...ผมขอให้พี่แจ็กช่วย”

(อ๋อ...) มิน่าแจ็กถึงชงเขากับท่านขุน เพราะท่านขุนขอร้องนี่เอง

“แล้ว...แล้วที่...ที่เรา...ที่เรามีอะไรกัน ที่พี่เมาแบบนั้นก็เพราะว่าผมเอง...ผมฉวยโอกาส...ผมทำเพราะว่าผมชอบพี่พี ผม..ผมไม่คิดว่าพี่พีจะจริงจังขนาดนี้ ไม่คิดว่าพี่พีจะมารับผิดชอบทั้งที่ผมเองเป็นคนเริ่ม ผมขอโทษ...” มือเย็นเฉียบ...เย็นเกือบจะพอๆ กับกระป๋องเบียร์บุบๆ ในมือ ท่านขุนกลัวมาก กลัวว่าเมื่อพูดความจริงออกไปแล้วพี่พีจะโกรธ กลัวว่าถ้าพี่พีรู้แล้วพี่พีจะไม่ให้อภัยในสิ่งที่ท่านขุนทำ

(...) พีระพลเงียบ...มีแค่เสียงลมหายใจที่ลอดออกไปให้คนอีกฝากฝั่งได้ยิน

ในขณะที่ท่านขุนคิดมากเพราะเรื่องนี้ พีระพลกลับยิ้มบางๆ อยู่กับตัวเอง แปลก...เขาไม่โกรธเลย ความเจ้าเล่นิดๆ นี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมแจ็กถึงพยายามชวนเขาไปที่ร้านท่านขุนอยู่ตลอด ทั้งที่เขาค่อนข้างเกรงใจ เข้าใจว่าทำไมแจ็กถึงพยายามพูดในเชิงโน้มน้าวให้เขากับท่านขุนลงเอยกัน ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเพราะท่านขุนวางแผนนี่เอง

มันก็ไม่ได้ร้ายแรง...เพราะเขาไม่ได้รังเกียจมัน เขาไม่ได้ซื้อของให้ท่านขุนเพียงเพื่อรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ไม่...มันก็ใช่แหละที่เขารับผิดชอบ แต่เขาเต็มใจที่จะทำ เพราะอยากให้เกียรติอีกฝ่าย อยากให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าเขากำลังเล่นๆ กับความรู้สึก เขาไม่ได้เห็นท่านขุนเป็นวันไนท์แสตนด์ และเห็นเป็นแบบนั้นไม่ได้เลย

เราอาจรู้จักกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยะเวลาที่น้อยนิดนี่ก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่ ท่านขุนอาจไม่ได้แตกต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไปนัก ทว่าความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของท่านขุน และความเป็นมิตรที่ท่านขุนมีก็เป็นเสน่ห์ที่ทำให้เขาชื่นชอบ อยู่กับท่านขุนเขาสบายใจ ถึงไลฟ์สไตล์จะต่างกัน ท่านขุนไม่เคยยัดเยียดสิ่งที่ตนเป็นให้กับเขา ซ้ำยังคอยเรียนรู้ความเป็นเขาจากการพูดคุยอีก

ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะเจอคนที่ยังอายุน้อยแต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่ เด็กหลายคนอวดอ้างตนเองและพยายามชักจูงคนอื่นให้ไปในทิศทางของตนเอง เพราะจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นผู้นำที่สูง ท่านขุนไม่เป็นแบบนั้น ท่านขุนไม่พยายามนำพีระพล...แต่ก็ไม่ได้ตามจนหายไปจากสายตา

น่ารัก...พีระพละกำลังคิดแบบนั้น

การมีใครสักคนพยายามคว้าเขาเอาไว้ด้วยกำลังและความเจ้าเล่เจ้ากลมันก็น่าปลื้มใจดีเหมือนกัน เพราะคิดว่าตัวเองก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา จืดชืดและไม่ได้เร้าใจเหมือนคนอื่นๆ แต่ท่านขุนกลับวางแผนการณ์เพื่อคว้าเขาเอาไว้ แบบนี้ทำให้เขารู้สึกพิเศษ...รู้สึกดีกว่าการโกรธ

โอเค...มันหมายถึงท่านขุนหลอกเขา ด้วยสิ่งที่เขาเป็น ท่านขุนคงรู้จากแจ็กว่าเขาเป็นคนแบบไหน ก็เลยใช้ช่องว่างกว้างใหญ่นี่ในการมัดมือชก แต่แล้วยังไง...ในเมื่อพีระพลไม่รู้สึกแย่กับมันเลย ลำเอียงล่ะมั้ง ใช่...แจ็กหลอกเขา เขาโกรธมาก แต่พอเป็นท่านขุนเขาไม่เป็นเพราะเขาลำเอียงไปทางคนที่เขาชอบยังไงล่ะ

“พี่พี...” ความเงียบไร้จุดหมายทำให้คนคิดมากกังวลเข้าไปใหญ่

(ครับ...พี่อยู่) เขาตอบกลับ มัวแต่อิ่มใจอยู่ก็เลยหาคำพูดตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ

“พี่พีโกรธผมไหม” เขาควรตอบว่ายังไงล่ะ ควรบอกว่าโกรธไหมในเมื่อเขาไม่ได้โกรธ หรือว่าเขาควรหลอกท่านขุนกลับบ้านเพื่อแกล้งอีกฝ่าย

นี่เขาไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ...ทำไมถึงคิดว่าการแกล้งอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไปได้ล่ะ

(ถ้าพี่โกรธล่ะ...) พีระพลลองแหย่ดู ตอนนี้เขาเอาแต่ยิ้ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเองก็คิดมากเหมือนกัน เขากังวลไปว่าท่านขุนจะไม่ชอบสิ่งที่เขาทำ บางคนไม่ชอบการผูกมัดจริงๆ

“ผมขอโทษ...ผมจะขอโทษจนกว่าพี่จะหายโกรธ” เผลอแป๊บเดียว กระป๋องเบียร์ก็ว่างเปล่า ลำคอแห้งผากขึ้นมาทันใด  ตอนแรกมีเบียร์ช่วยทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยบ้าง ตอนนี้ไม่มีแล้ว...

(ถ้าทำแล้วต้องมาคอยขอโทษ ท่านขุนทำไปทำไมล่ะครับ) พีระพลไม่ได้ดุเลย แต่คนฟังคิดไปทางนั้น

“ก็ผม...ผมอยากได้พี่พี” มันเป็นคำดิบๆ ที่ตรงที่สุดแล้ว

(พี่เป็นสิ่งของเหรอครับ) พอโดนไปแบบนี้ท่านขุนถึงกับจุก...นั่นสินะ พี่พีไม่ใช่สิ่งของเสียหน่อย

“ผมขอโทษพี่ ผมขอโทษ...ผมมันคิดน้อยไปหน่อย ไม่ได้คิดเผื่อว่าพี่พีรู้แล้วจะเป็นยังไง...ตอนนั้นผมแค่คิดว่าผมชอบพี่พี ผมอยากคบกับพี่...” ท่านขุนจนปัญญาหาคำพูด ไม่รู้จะแก้ตัวแบบไหนพี่พีถึงจะให้อภัยเขา

ท่านขุนเครียด...พีระพลมีความสุข เขานั่งยิ้มและคิดไปด้วยว่าป่านนี้อีกฝ่ายร้องไห้ไปหรือยัง ความทรงจำพีระพลอาจรางเลือนไปบ้าง แต่เขายังจดจำใบหน้าของท่านขุนยามอยู่บนเตียงกับเขาได้ มันจะเหมือนกันไหม...ไม่หรอก มันคงไม่เหมือนหรอก เพราะตอนนี้ท่านขุนกำลังเครียดไม่ได้กำลังมีความสุขแบบนั้นนี่

แต่ไม่ว่ายังไง...พีระพลก็ยังรู้สึกดีอยู่ดี โมเมนต์แกล้งแฟนให้ร้องไห้งั้นเหรอ นี่เขาเป็นเด็กขนาดนั้นเลยหรือยังไงกันนะ แต่ต้องยอมรับแหละว่าตอนนี้มันก็สนุกดีอยู่เหมือนกัน เขาอยากจะแกล้งต่ออีกหน่อย ทว่าก็เลือกที่จะพอแค่นี้ดีกว่า เขาเองก็เป็นห่วงความรู้สึกท่านขุน

พีระพลตัดสายท่านขุนทิ้ง เล่นเอาหัวใจของท่านขุนร่วงลงพื้น พี่พีคงโกรธมาก...โกรธจนไม่อาจให้อภัยเขาได้ ด้วยความคิดมากและกังวลมากๆ ทำให้น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีใครอยู่...ไม่ต้องมานั่งอายใครทั้งนั้นหากเขาจะร้องไห้เพราะอีกฝ่ายเคืองเขา ทว่า...น้ำตายังไม่ทันไหลอาบหน้า สายเรียกเข้าเป็นวิดีโอคอลก็ดังขึ้น ท่านขุนตกใจรับสายกะทันหัน

(ร้องไห้เลยเหรอ...โอ๋ๆ เป็นถึงท่านขุนไม่ร้องไห้สิครับ) อีกฝากเป็นพี่พี พี่เขากำลังยิ้มอ่อนโยน

“พี่พี...”

(ครับ พี่เอง...อยากเห็นหน้าเลยโทรมาแบบนี้ ตกใจเหรอครับ)

“ก็ต้องตกจสิครับพี่ ผมคิดว่าพี่พีโกรธมาก...โกรธจนไม่อยากคุยกับผมต่อแล้ว” ท่านขุนสารภาพไปตรงๆ มีแอบเอากระป๋องเบียร์วางไว้ที่พื้นไม่ให้พี่พีเห็นอีกด้วย

(อะไรทำให้ท่านขุนกลัวพี่โกรธขนาดนั้นล่ะ) พีระพลเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานเบาๆ ขณะรออีกฝ่ายพูด เขาสำรวจใบหน้าท่านขุนแดงหน่อยๆ มีหยาดน้ำคลอดวงตานิดๆ ดูท่า เขาจะแกล้งจนอีกฝ่ายร้องไห้จริงๆ ด้วย

“ก็ตอนที่พี่แจ็กบอกว่าเขามารอที่ร้านผม แต่ความจริงเขาไปกินข้าวกับคนอื่น พี่พีดูโกรธมากที่พี่แจ็กหลอกพี่พี...ผมก็เลยกลัวผมก็หลอกพี่เหมือนกัน” สีหน้าแบบนั้นกลับทำให้พีระพลยิ้มมีความสุข การที่เราเป็นความสำคัญหนึ่งของใครอีกคนมันให้ความรู้สึกดีกับเราจริงๆ

(ใช่ พี่ไม่ชอบการหลอกลวงเลยล่ะขุน) พีระพลส่งเสียงเข้มดุไปให้อีกฝ่าย รอยยิ้มหายไป ท่านขุนไม่รู้จะทำยังไง...ปั้นหน้ายังไม่ถูกเลย

“ผมขอโทษที่ผมหลอกลวงพี่ ผมขอโทษที่ทำแบบนี้...ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมสัญญาว่าผมจะไม่หลอกพี่พีอีก...ให้อภัยผมเถอะนะพี่พี” น้ำเสียงอ้อนวอนดูน่ารักน่าชังเป็นที่สุด พีระพลแย้มยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

(พี่ไม่ชอบการโดนหลอกเลย...ไม่ชอบจริงๆ)

“...ผม.....”

(แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม การหลอกลวงของท่านขุนถึงไม่ทำให้พี่โกรธเลยล่ะครับ)

“เอ๊ะ...” ท่านขุนเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ

(ขุนรักพี่ไหม...)

“รัก ผมรักพี่พี...”

(รักพี่ก็เลิกเศร้าได้แล้ว พี่ไม่โกรธ...ไม่เลิกด้วย แล้วก็จะดีมากถ้ารับหมั้นพี่ไว้) รอยยิ้มพี่พีชโลมใจท่านขุนให้ชุ่มชื่นขึ้นมา เขาเริ่มยิ้มได้...และยิ้มกว้างขึ้น

“พี่พีไม่โกรธผมจริงๆ นะ”

(อื้อ พี่ไม่โกรธครับ แต่อย่าหลอกพี่อีกนะ...มีอะไรให้บอกกันนะครับ มันไม่ใช่ทุกเรื่องที่โดนหลอกแล้วจะรู้สึกดีนะ ขุนเองก็คงไม่ชอบเหมือนกันใช่ไหม...หากโดนหลอกบ้างน่ะ)

“ครับ ผมรู้แล้ว...ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอีก” ท่านขุนรีบพูด รีบรับปากทันที

(ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ตอนเย็นพี่เข้าไปหาเนอะ...ใส่ต่างหูด้วยจะดีมาก)

“ครับพี่พี...” ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันอีกครั้ง ก่อนพีระพลจะเป็นฝ่ายวางสายไป

ท่านขุนโล่งใจแล้ว...โล่งใจมากๆ เขาเอาต่างหูที่พีซื้อมาให้เดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนถอดคู่เก่าแล้วบรรจงใส่คู่ใหม่ด้วยใจที่พองฟู ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก โล่งอย่างที่ไม่เคยโล่งมาก่อนในชีวิต ทีนี้เขาก็จะไม่มีเรื่องปิดบังกับพี่พี ไม่ต้องมากังวลว่าพี่พีรู้ความจริงแล้วจะเป็นยังไง

แต่ว่า...รีบหมั้นกันเลยแบบนี้เขาก็ตื่นเต้นอยู่นะ

จริงที่มันไม่มีพิธีรีตองอะไร เพราะเรื่องแบบนั้นยังไงก็ต้องใช้เวลาและยุ่งยากอยู่หน่อย ไหนจะไปคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ พี่พีคงไม่รีบร้อนขนาดนั้นหรอก เขาเองก็ยังอยากดูใจกันไปก่อน เรายังมีอะไรหลายๆ อย่างต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันอีก ท่านขุนมั่นใจในตัวเองว่าจะไม่มีทางทิ้งพี่พีไปแน่นอน แต่พี่พีล่ะ...ใจของพี่พีท่านขุนยังไม่รู้มากขนาดนั้นนี่นะ ไม่เป็นไร ยังไงท่านขุนก็เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง เขาเชื่อว่าเขาเลือกคนไม่ผิดแน่ๆ...

ท่านขุนยืนส่องกระจกอยู่นาน มองต่างหูซ้ายขวาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า...มันสวยมาก และเขาก็ชอบมันมาก โดยเฉพาะความหมายมของมันเอง อันนี้ไม่รู้พี่พีจะรู้ไหม แต่การให้ต่างหูกันมันหมายถึงความคุ้มครอง ความต้องการปกป้องภัยต่างๆ หรือ...เพื่อแสดงออกถึงการครองคู่กันไปปตราบชั่วกาลนาน

ท่านขุนคว้ากระป๋องเบียร์เปล่าเดินลั้นลาลงมาข้างล่าง ลูกน้องนั่งหงอย จิมเล่นเกม แอ้นั่งซบหน้ากับเคาน์เตอร์เซื่องซึม คือมันเป็นคนดูซึมๆ อยู่แล้วอะนะ พอไม่มีอะไรทำมันก็เลยมีสภาพเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ

“อ่าว ไม่ทำงานกันเหรอพวกมึง” ท่านขุนเอ่ยถาม เขาเอากระป๋องเบียร์ไปทิ้งในครัวแล้วก็เอากระป๋องใหม่ออกมาดื่ม เมื่อกี้ดื่มเพราะเครียด ตอนนี้ดื่มเพราะมีความสุข...ง่ายๆ อารมณ์ไหนก็ลงกระป๋องหมดแหละ

“พี่ไม่อยู่ทำไงอะ” แอ้ถาม

“งานเยอะไหมล่ะ” ท่านขุนเท้าศอกกับเคาน์เตอร์

“ก่อนถามหางาน ถามว่าตัวเองทำงานไหวก่อนไหม...พี่กินไปจะหมดโหลแล้ว” จิมสวนขึ้น หมั่นไส้จนผลักหัวมันไปหนึ่งที

“กูไม่เมา แล้วงานเยอะไหมล่ะ”

“ก็มีสามคันที่เข้ามาวันนี้ ไอ้ตัวสามร้อยอะเอามาทำไฟโปรแทกเตอร์ ส่วนตัวพันสองตัวนั้นเอามาเปลี่ยนท่อ เขาเลือกท่อเอาไว้แล้วแหละแต่รอให้พี่มาทำ พรุ่งนี้จะมาเอารถ” ท่านขุนเดินออกไปดูรถสามคันหน้าร้าน ไม่ใช่งานยากอะไร

“โอเค...แล้วไมแอ้ไม่เปลี่ยนไฟก่อนอะ”

“ก็เขาจะให้พี่ทำอะ เป็นผู้หญิง...บอกว่าพี่ขุนต้องทำเท่านั้นไม่งั้นเธอไม่ยอม อะไรก็ไม่รู้” จิมเป็นคนตอบ ไม่ใช่แอ้ที่เอาแต่เงียบ

“เออนะ...คนเรา” บางทีก็มีลูกค้าประมาณนี้ ไม่เชื่อใจลูกจ้าง ต้องเป็นเจ้าของร้านหรือช่างเก่งๆ มาทำถึงจะยอม ซึ่งท่านขุนก็เจอมาหลายคนแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก ผู้ชายก็เยอะ

“เอาไงล่ะพี่”

“ไปทำดิปะ” เขาคล้องคอแอ้ลากออกไปทำรถด้วยกันข้างนอกก อีกมือยังคงยกกระป๋องเบียร์ซดอึกๆ สบายใจเฉิบ

หลอดไฟโปรแทกแตอร์หลากสีสันเปลี่ยนไม่ยาก ถึงลูกค้าจะให้ท่านขุนเป็นคนทำ แต่ท่านขุนก็ยกงานนี้ให้แอ้ทำเองอยู่ดี ลูกค้าไม่อยู่ก็ไม่ต้องซีเรียสมากนักหรอก ยังไงซะเขาก็อยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่ดี ท่านขุนมักกำชับเสมอว่าเราทำรถเขา เราต้องระวังอย่าทำให้รถเขาเป็นรอยเด็ดขาด รู้ว่าบางงานมันก็ยากที่จะระวังไปซะหมดแต่ก็ต้องระวังอย่างที่สุดถึงที่สุด ให้คิดว่ารถเขาคือรถของเรา...เรารักรถขนาดไหน เขาก็รักรถเขาขนาดนั้นเช่นกัน

ร่างสมส่วนไม่ได้เดินเข้าไปเอาเบียร์มาดื่มอีก เสร็จจากหลออดไฟที่ใช้เวลาไปแค่ไม่ถึงสามสิบนาที เขากับลูกน้องก็ช่วยกันเปลี่ยนท่อรถพันซีซีทั้งสองคัน จริงๆ มันก็ช่วยกันทำทีละคันเนี่ยแหละ สองคนสี่มือยังไงก็ไว คนนั้นจับคนนี้ขันน็อตอะไรก็ว่าไปตามเรื่องตามราว นี่ท่านขุนทำรถเพลินจนลืมไปแล้วด้วยว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ยังอยู่ในชุดที่ออกเดตกับพี่พีนี่แหละ

ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในตอนที่รถเก๋งสีดำคุ้นตาขับเข้ามาจอดด้านใน ท่านขุนปล่อยให้แอ้เก็บของทั้งหมด รวมถึงเช็ดรถให้สะอาดเรียบร้อย ส่วนตัวเขาเองเดินไปหาพี่พี เข้าไปพร้อมรอยยิ้มมีความสุข

“เลิกงานเร็วจังเลยครับ” เขาเอ่ยทักอีกฝ่าย

“อื้อ จริงๆ งานพี่เสร็จหมดแล้วล่ะ อยู่แค่ให้ครบเวลา เราเถอะ...ทำงานไม่เปลี่ยนชุดเลยเหรอ มอมแมมหมดแล้ว” พี่พีเอื้อมมือมาปัดคราบเล็กๆ ตรงปกคอเสื้อโปโลให้

“ผมลืมอะพี่ แฮ่ๆ...”

“มัวแต่คิดมากอะสิ ปะ...พี่ซื้อของกินมาเพียบเลย เอามาเผื่อมณีด้วย” พีระพลเอื้อมมือไปกุมมือเปื้อนคราบน้ำมันของท่านขุน อีกมือถือถุงอาหารหลายใบ

“หึงมณีนี่ผมจะน่าเกลียดไหม...” ดูเหมือนพูดเล่น แต่จริงๆ ท่านขุนก็แอบหึงตงิดๆ นะ

“ไม่หรอก ก็น่ารักดี...หึงแมว ไม่เห็นน่าหึงเลยนะ มณีเกลียดพี่จะตายไป”

“มณีเล่นตัวไปงั้นแหละ” แก้ตัวให้แมวน้อย

“เล่นตัวแรงเชียวนะ พี่เจ็บไปหมดเลย” แล้วพีระพลก็หัวเราะออกมาเบาๆ

เข้ามาในร้าน สิ่งแรกที่พีระพลมองหาก็คือมณี ท่านขุนรู้ว่าพี่พีจะเล่นกับเจ้าเหมียวก่อนก็เลยอาสาเอาอาหารในถุงเหล่านี้ไปจัดการจัดจานให้เรียบร้อย ส่วนพีระพลเอาไปแค่ของเล่นมณีที่เขาแวะซื้อมาตอนไปซื้ออาหาร เจ้าเหมียวเบี่ยงหน้าหนี เธอไม่ยอมมองสบตาคมใต้แว่นไร้กรอบนั้นแม้แต่น้อย

“ต้องทำยังไงมณีถึงเลิกเมินพี่น้า...” พีระพลไม่รู้สึกแย่ที่ต้องคุกเข่าอยู่หน้าโซฟาเพื่อให้ยื่นหน้าเข้าใกล้เจ้าเหมียวตัวขาว มันนอนนิ่ง ไม่กระดิกอย่างกับตุ๊กตามีชีวิต มองกี่ที...พีระพลก็ชอบมัน มันน่ารัก...ทั้งหยิ่งยโสและอ้อนแอ้นไปพร้อมกัน

“ซื้อไหมพรมมาฝากด้วยน้า สีแดงแรงฤทธิ์เลย...” น้ำเสียงนุ่มๆ กับรอยยิ้มอบอุ่นไม่ทำให้มณีน้อยหันมามองได้ จนกระทั่งพีระพลเอาไหมพรมออกมาจากถุงนั่นแหละ เธอถึงได้กวาดตางามๆ ของเธอมมามอง

“เหมี๊ยว...” แค่ส่งเสียงอ้อนนิดเดียว เจ้าลูกบอลกลมๆ นั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ มณีเอาอุ้งเท้าของตัวหมายจะตะปบ แต่...

“ดีกันก่อนแล้วจะให้” มันมีข้อแม้ มณีอาจตอบอะไรมนุษย์ไม่ได้ แต่เธอก็พอจะเข้าใจอยู่ ดังนั้นเจ้ามณีจึงหันหน้าหนี

“มิม้าวววว” ฟังดีๆ ก็คล้ายจะบอกว่าไม่เอา

“ไม่เอาจริงเหรอ สนุกนะ...มันกลิ้งได้ด้วย” รู้ว่ามันกลิ้งได้และเล่นสนุก แต่ให้ดีกัน...ไม่มีทาง

“มิม้าววว ม้าววว” คราวนี้เธอไม่หมายตะปบก้อนไหมพรม แต่เป็นมือขาวๆ มากด้วยรอยแผลของพีระพลแทน เจ้าของร่างสูงใส่แว่นชักมือหลบทัน รอยยิ้มเจ้าเล่ขึ้นทันควันในสายตาของมณี

“ไม่โดนหรอก” มันขำเธอ...ดูมันหัวเราะเยาะเธอสิ มณีไม่น้อยไม่ยอมง่ายๆ เธอลุกขึ้นโก่งตัวพองขนฟู หางชี้

“เมี๊ยววว...ฟู่ๆ” ดุยังไงก็ไม่น่ากลัว

“ฮ่าๆ...มณีน่ารักจังเลย” ไอ้โรคจิต...ไอ้มนุษย์โรคจิต!

“แง่ว!”

“โอ้ย” จังหวะที่พีระพลหัวเราะ เขาโดนกงแล็บพิฆาตที่คอไปอีกแผล...สมน้ำหน้า ไอ้มนุษย์บ้า!

“แง่ง…แง่ว” เธอคว้าก้อนไหมพรมกระโจนหนีพีระพลไป เพราะพีระพลมัวแต่เจ็บกับแผลที่คออยู่ แต่ก็นะ...เขาไม่โกรธมันเลย กลับยิ้มให้กับความดื้อรั้นนั้นอีกต่างหาก ก็...มันน่ารักดีนี่นา

….100%….

พี่พีผู้เป็นที่ลับเล็บของแม่มณี เป็นหญ้าแก่ที่โคละอ่อนอย่างท่านขุนชอบกินด้วย  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แหม นึกว่าจะมีดราม่าใหญ่โต  พ่อพีใจดี

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เมื่อไหร่แม่มณีจะเลิกข่วยพี่พี 5555555

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด