εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)  (อ่าน 49509 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 14 (update 28/05/2018)
«ตอบ #30 เมื่อ28-05-2018 23:04:24 »

โรคหลายบุคลิก  :z3: :z3: :z3:
ลุ้นมาก  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 15

หลายเดือนมานี้ผมยอมรับว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะมีปฏิกิริยาร่วมทางจิตใต้สำนึกกับคนไข้ ซึ่งปฏิกิริยาที่ว่านั้นมันคือการที่แพทย์หมกมุ่นหรือมีความรู้สึกต่อคนไข้ ทางด้านบวก ก็เช่น รัก ห่วงใย สงสาร หรือทางด้านลบ ก็เช่น หมั่นไส้ เกลียดชัง โดยเราจะต้องรู้เท่าทันมันให้ได้และจะต้องพยายามไม่ให้สิ่งเหล่านี้ส่งผลเสียต่อกระบวนการรักษาอย่างเด็ดขาด
เพราะอาจารย์เคยบอกไว้ว่าเราจะต้องค่อยๆ ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์เพื่อเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจต่อที่มาของความรู้สึกเหล่านั้น ซึ่งถ้าหากทำได้ดีก็จะช่วยให้กระบวนการรักษาประสบความสำเร็จ และนอกจากนี้ยังช่วยให้ตัวเรามีการเจริญเติบโตทางด้านบุคลิกภาพและจิตใจมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าหากพบว่าความรู้สึกด้านลบรุนแรงจนเราไม่สามารถปรับปรุงหรือแก้ไขได้..
การแจ้งเปลี่ยนผู้รักษาย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้

ซึ่งตัวผมยังก้าวไปไม่ถึงขั้นนั้น เพราะมันยังแค่อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถมอบความไว้วางใจให้กับคุณชลวิทย์ อีกทั้งยังนึกขุ่นเคืองใจต่อการกระทำหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการปิดบังความจริงเกี่ยวกับอาการป่วยของจันทร์ ที่ผมไม่เข้าใจว่าเจ้าของบ้านคนพี่จะปิดบังเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร แล้วไหนจะเรื่องเทียนหอมที่อีกฝ่ายเคยโกหกจันทร์อีก แถมปริศนาเรื่องพวงมาลัยดอกสโนว์ดรอปส์นั่นก็ด้วย ทำเอาผมนึกสงสัยว่าสรุปแล้วเขาหวังดีหรือหวังร้ายกับน้องชายของตัวเองกันแน่ และสาเหตุต่างๆ ที่ว่ามานั้นมันก็ทำให้ไม่พอใจและไม่สบายใจแม้แต่นิด
เพราะดันกลายเป็นว่า..
ตัวผมทำให้จันทร์ต้องตกที่นั่งลำบาก เพียงเพราะเปิดเผยว่าจันทร์มีอาการแพนิคอันเนื่องมาจากสเปซิฟิค โฟเบีย 

“ภัทร.. อย่าแช่น้ำนานนักนะลูก”
“ครับแม่” ผมตอบรับพลางเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่ที่กำลังยืนชะโงกหน้าอยู่ตรงระเบียงห้อง เพื่อมองมายังผมที่กำลังนอนแช่น้ำอย่างใช้ความคิด กระทั่งได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจ ท่านก็เดินเข้าไปในห้องนอน ผมจึงถูกดึงกลับเข้ามายังภวังค์แห่งความคิดพร้อมกับสายตาที่ยังคงจดจ้องดวงจันทร์อันสว่างไสวอย่างเลื่อนลอย

ผมคิดว่าหลังจากนี้สิ่งที่ผมยังพอจะทำได้ ก็คือการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จันทร์อาจจะป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกหรือเรียกสั้นๆ ว่าโรค ‘DID’ โดยโรคนี้เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะประสบกับการมีสองอัตลักษณ์หรือมากกว่านั้น ซึ่งถ้าหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ มันคือการที่คนคนหนึ่งมีบุคลิกภาพสองคนหรืออาจจะมากกว่านั้นแฝงอยู่ ซึ่งบุคลิกเหล่านี้มักจะเข้ามาควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วย และมักจะทำให้ผู้ป่วยประสบปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียความทรงจำในช่วงเวลาที่อีกหนึ่งบุคลิกถูกเปลี่ยนหรือถูกควบคุม
ซึ่งแต่ละบุคลิกที่เกิดขึ้นมักจะมีความแตกต่างกันตั้งแต่ เพศ อายุ ลักษณะนิสัย น้ำเสียงในการพูด และบางครั้งยังสามารถกระทำเรื่องราวอันแปลกประหลาดจนไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านั้นจะเกิดจากคนเดียวกัน

ส่วนสาเหตุใหญ่ๆ ที่ผู้ป่วยมักจะพบเจอก็คือ การประสบกับเหตุการณ์ที่มีความกระทบกระเทือนทางจิตใจและร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยโรค DID มักจะพบว่ามีอาการร่วมกันกับโรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (BPD) รวมไปถึงการมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก
สำหรับพัฒนาการของโรคหลายบุคลิกนั้น ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าบุคคลที่เป็นโรคหลายบุคลิก มักจะประสบกับการได้รับบาดแผลทางจิตใจและร่างกายอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดความเศร้าหมอง ความหวาดระแวง และความหวาดกลัวจนไม่สามารถจะรับมือไหว
จึงนำไปสู่การสร้างตัวตนในหลายๆ อัตลักษณ์ให้ออกมารับมือ

ถ้าหาก ‘น้องลี’ คือตัวตนแรกที่จันทร์สร้างขึ้น ก็น่าจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องราวในวัยเด็กที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของไฟไหม้ เพราะดอกสโนว์ดรอปส์คือหลักฐานชั้นดี เนื่องจากมันคือสาเหตุที่ทำให้จันทร์มีอาการสเปซิฟิคโฟเบียจนนำไปสู่อาการแพนิค เพราะดอกไม้ชนิดนี้คือดอกไม้ที่คุณแม่และน้องลียากรชื่นชอบ จึงทำให้ทุกครั้งที่จันทร์ได้เห็นก็มักจะมองเห็นภาพของเปลวไฟอยู่ในมโนแห่งความคิด ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะทำให้จันทร์ต้องสร้างตัวตนนี้ขึ้นมารับมือ อาจเป็นเพราะทั้งสองคนที่มีความสำคัญต่ออีกฝ่ายได้จากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งก็ตรงกับคำให้การของคุณชลวิทย์ด้วยส่วนหนึ่ง
ส่วนตัวตนที่สองก็น่าจะเป็น ‘คุณนักเขียน’ แต่ผมยังไม่กล้าฟันธงนักว่าเขาจะใช่อีกบุคลิกหนึ่งของจันทร์หรือเปล่า เพราะเรายังไม่เคยพูดคุยกันมากนัก แต่ที่แน่ๆ เขามีอคติบางอย่างกับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
และอีกนัยหนึ่งที่ผมจะลืมไม่ได้เลยก็คือ..
ผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกบางคน อาจจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นทั้งโรค DID และ BPD

ซึ่งอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง มักจะมีความหวาดระแวงว่าจะถูกทอดทิ้ง มีสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคง ประมาณว่าอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เปลี่ยนใจง่าย มีการแสดงออกที่ไม่ตรงกับความรู้สึก เช่น ต้องการจะใกล้ชิดแต่กลับพยายามทำตัวห่างเหิน และยังมักจะมีความรู้สึกผิดหวังหรือเกลียดชังต่อคนรักได้ง่าย มีมุมมองชีวิตที่บิดเบือนไป อย่างเช่น ช่วงเวลาหนึ่งอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนดีในอุดมคติ แต่บางวันก็อาจจะกลายเป็นคนที่แย่ที่สุดก็ได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมักจะมีความรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวเอง ประมาณว่าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และมีความเชื่อแบบไหน อีกทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนบนโลก และมีอารมณ์รุนแรง เช่น รู้สึกสนุกกับการจับจ่ายใช้สอย สำส่อนทางเพศ ขับรถโดยประมาท ติดยาหรือแอลกอฮอล์
มีพฤติกรรมจะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง มีอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง เช่น มีความรู้สึกในเชิงลบอย่างรุนแรงจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน มีความโศกเศร้า หงุดหงิดหรือโกรธอยู่นานหลายชั่วโมง มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อยู่บ่อยๆ มีความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว เช่น การรู้สึกว่างเปล่าหรืออยู่ในภาวะไร้อารมณ์ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมักจะมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เกินกว่าเหตุ เช่น โกรธอย่างรุนแรงเกินสถานการณ์จริง รวมไปถึงควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้ ซึ่งก็มีทั้งชอบตะโกนใส่ผู้อื่น ชอบเหน็บแนม ทำลายข้าวของ อีกทั้งยังมีอาการหวาดระแวงเพราะความเครียดมากจนเกินไป เช่น มีความรู้สึกว่าผู้อื่นเสแสร้ง ไม่จริงใจ
ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ ทำให้ผมต้องกลับมานั่งครุ่นคิดอย่างหนัก..
เพราะมันก็มีความเป็นไปได้ว่าจันทร์อาจจะไม่ได้เป็นโรค DID แต่อาจจะเป็นโรค BPD

แต่ทั้งนี้การจะวินิจฉัยโรคย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ซึ่งจะยึดหลักตาม DSM-5 หรือเกณฑ์การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชปี 2013 และโรคหลายบุคลิกเองก็มีกฎเกณฑ์ดังกล่าวถึง 5 ข้อด้วยกัน ซึ่งข้อแรกก็คือการเกิดขึ้นของแต่ละบุคลิกจะต้องมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังต้องไม่มีความต่อเนื่องกันในเรื่องของทัศนคติ ความชอบส่วนบุคคล เช่น อาหาร เสื้อผ้า
ในส่วนความเห็นของผมนั้น บุคลิกของ ‘จันทร์’ กับ ‘น้องลี’ ก็มีความแตกต่างกันมาก อาจเพราะการแสดงออกของหญิงและชายเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนก็ว่าได้ ส่วนบุคลิกของ ‘คุณนักเขียน’ ผมรู้สึกว่าเขามีทั้งความเหมือนและไม่เหมือนแอบแฝงอยู่ ซึ่งความเหมือนที่ว่าก็คือ เขามักจะหมกตัวอยู่กับสิ่งที่ชอบ และก็เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะชอบเขียนนิยายมานานแล้ว เพียงแต่ผมไม่เคยรับรู้ แต่ทว่าความแตกต่างที่สำคัญก็คือจันทร์ชอบผม แต่เขากลับรังเกียจผม และมันก็น่าแปลกที่ทุกๆ คนมีเทียนหอมเป็นไอเท็มคู่ใจ จะมีก็แต่จันทร์ที่ไม่มีไอเท็มดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งเจ้าตัวยังมักจะถูกกลั่นแกล้งจากพี่ชายคนสนิท ซึ่งมันก็มีแนวโน้มด้วยเหตุจูงใจที่ว่า ถ้าหากจันทร์เป็นโรคหลายบุคลิกจริง ใครบางคนที่แฝงอยู่ในตัวอาจก่อความวุ่นวายให้กับเจ้าของบ้านคนพี่ ซึ่งคนเดียวที่ผมมองเห็นก็คือน้องลี แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะสมมติฐานของผมก็ยังมีความไม่สอดคล้องต่อกันอยู่ดี เพราะถ้าหากคุณชลวิทย์มีเป้าหมายที่จะลงมือกับบุคลิกแอบแฝง เขาก็น่าจะค้นหาจุดอ่อนของบุคลิกนั้นๆ ไม่ใช่มาหาจุดอ่อนของจันทร์
หรือไม่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า..
คุณชลวิทย์กำลังอยู่ในขั้นที่ไม่อาจจะยอมรับความเป็นจริงได้.. 

แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาจะชักจูงให้ผมเข้ามายุ่งย่ามกับเกี่ยวเรื่องนี้ทำไม แถมการโกหกของเขาก็ราวกับเจ้าของบ้านคนนี้ไม่อยากให้ผมรับรู้ถึงอาการป่วยของจันทร์ หรือในทางกลับกันอาจเป็นไปได้ว่าที่เขาทำไปทั้งหมด มันเกิดขึ้นเพราะเขาอยากให้ผมสังเกตเห็นความผิดปกติด้วยตัวเอง
ซึ่งการที่ผมเอ่ยปากในฐานะจิตแพทย์..
ย่อมต้องมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการคิดวิเคราะห์ของตัวเอง

“เห้อ~” ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก เพราะต่อให้คิดยังไงก็มีแต่คำว่าไม่เข้าใจปรากฏอยู่ในหัว ผมเลยถือโอกาสขึ้นฝั่งแล้วไปอาบน้ำตรงห้องอาบน้ำข้างๆ สระ จากนั้นก็เริ่มดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งภวังค์เพื่อตกตะกอนความคิดในเรื่องเดิมๆ ท่ามกลางแสงสว่างของพระจันทร์ในยามราตรี ซึ่งเกณฑ์การวินิจฉัยในข้อถัดมาก็คือ ผู้ป่วยจะต้องสูญเสียความทรงจำ โดยจำกัดให้บุคลิกหลักจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ได้ และผมก็คิดว่ากฎเกณฑ์ในข้อนี้คงไม่มีทางหาคำตอบได้แน่ๆ
เพราะเท่าที่ผมคอยสังเกตอย่างเงียบๆ มาตลอด..
จะเห็นได้ว่าตัวตนอื่นๆ มักจะออกมามีบทบาทในช่วงเวลาที่จันทร์กำลังหลับใหล
 
ส่วนกฎข้อถัดมาก็คือผู้ป่วยจะต้องมีความยากลำบากในชีวิต ซึ่งในหัวของผมตอนนี้ก็เห็นจะมีแต่อาการแพนิคอันเนื่องมาจากดอกสโนว์ดรอปส์ แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าความยากลำบากที่ได้มาจากบุคลิกอื่นๆ ก็น่าจะมีอยู่จริง เพราะผมกำลังสงสัยเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างสองพี่น้องคู่นี้ เนื่องจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการเข้าสังคม การประกอบอาชีพ หรือเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจ
ซึ่งถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงก็เท่ากับว่าเจ้าของบ้านคนน้อง..
มีอาการเข้าข่ายตามกฎเกณฑ์ของ DSM-5 เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ

และกฎข้อต่อมาก็คือ อาการเหล่านี้จะต้องไม่เกี่ยวกับการกระทำตามหลักวัฒนธรรมหรือศาสนา ซึ่งผมสามารถฟันธงได้เลยว่าไม่เกี่ยวอย่างแน่นอน ส่วนกฎข้อสุดท้ายที่บอกว่าอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะต้องไม่ใช่ผลลัพธ์ของการใช้สารใดๆ ซึ่งสารที่ว่านั้นอาจจะเป็นยารักษาโรค สารเสพติด หรือแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังมีภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น การชัก ซึ่งจันทร์ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าตัวไม่ได้ใช้การรักษาด้วยยา และไม่น่าจะเคยดื่มเหล้า รวมไปถึงการใช้ยาเสพติดก็ด้วย แม้กระทั่งอาการชักเพราะเหตุผลอื่นก็ไม่มี เห็นจะมีก็แต่อาการแพนิคที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นเท่านั้น
เพียงแค่นี้ก็น่าจะบ่งบอกถึง ‘ความน่าจะเป็น’ ได้แล้ว..
ซึ่งความน่าจะเป็นที่ว่าดันเป็นเพียง ‘ความน่าจะเป็น’ ที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น!

ทั้งนี้โรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งก็มีการวินิจฉัยตามกฎเกณฑ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ป่วยที่กำลังตกอยู่ในสภาวะแบบนี้จะต้องมีอาการประมาณ 5-6 อย่างและจะต้องมีอาการดังกล่าวทุกวันหรืออาจจะเกือบทุกวันเป็นเวลานานหลายปี โดยที่อาการเหล่านั้นจะต้องมีบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยอาจจะมีปัญหากับคนหลายๆ คน ซึ่งถ้าหากผมโยนราวเรื่องเกี่ยวกับ DID ทิ้งไปก่อน จันทร์ก็ถือได้ว่ามีอาการเข้าข่ายอยู่เหมือนกัน เพราะเขากำลังมีปัญหากับผมและคุณชลวิทย์ โดยที่จันทร์ในคราบของนักเขียนมีแต่ความเกลียดชังส่งมาให้ผม ขณะที่จันทร์ในคราบของน้องลีก็มีแต่ความเกลียดชังส่งไปให้คุณชลวิทย์ โดยที่เรื่องราวความขัดแย้งของทั้งคู่ดูท่าทางจะบานปลายไม่น้อย เพราะว่ามีการเอาคืนกันไปมาอย่างรู้เท่าทัน
ซึ่งมันก็เท่ากับว่าจันทร์มีความสัมพันธ์ที่แปรปรวน
อีกทั้งการแสดงออกก็อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึก

ส่วนเรื่องการมีชีวิตบิดเบือนจนทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับตนเองก็มีความเป็นได้ เพราะตัวตนจริงๆ ของจันทร์มีความรู้สึกดีๆ ให้กับผมซึ่งเป็นผู้ชาย ดังนั้นเมื่อผมตกหลุมพรางของเจ้าตัวแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาพลักษณ์ของน้องลียากรเข้ามาพัวพัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังขัดกับท่าทางของคุณชลวิทย์ที่ไม่ค่อยอยากจะบอกเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนของเด็กสาวในชุดเดสสีขาวคนนั้นอยู่ดี
แถมตัวตนของนักเขียนคนนั้นนอกจากความเกลียดชังที่มีให้กันแล้ว ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขาอยู่ดี จำได้ว่าตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เขามักจะทำสีหน้าไม่พอใจจากนั้นก็เดินหนีไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ต่อมาเขาก็เริ่มมีอาการต่อว่าผมด้วยถ้อยคำรุนแรง เช่น ‘น่ารำคาญ’ และ ‘สิ่งที่คุณทำ มันน่าขยะแขยง’ ซึ่งถ้าหากคุณนักเขียนคือบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งของจันทร์ก็เท่ากับว่าการที่ผมเข้าไปยุ่งวุ่นวายจนทำให้อีกฝ่ายต้องสบถออกมานั้นกำลังเข้าข่ายในเรื่องของการมีความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง เพราะผู้ป่วยมักจะมอบความเกลียดชังให้กับคนรักได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็จะนำมาสู่การแตกหักเหมือนกับสถานการณ์ที่คุณชลวิทย์กำลังเผชิญ ส่วนอีกถ้อยคำหนึ่งที่ จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันนั้นจันทร์เป็นฝ่ายล่วงเกินผมด้วยการจุมพิตตรงข้างแก้ม ซึ่งลึกๆ แล้วเขาอาจจะไม่พอใจกับปฏิกิริยาของผมที่เอาแต่นิ่งเฉยหรือไม่ก็อาจจะ ‘อยากทำแบบนั้นอีก’ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมาตามตรง
แต่คิดไปคิดมา ผมว่าผมควรจะตัดโรค BPD ออกไปเลยจะดีกว่า..
เพราะจันทร์มีอาการที่เข้าข่ายอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น

การทำงานของผมยังคงทำให้ไม่มีเวลาเหมือนอย่างเคย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับอาการแคปกราส์ที่เคยเอาเข้าที่ประชุมไว้ตั้งแต่ต้น บัดนี้ถูกยุติลงด้วยดี จากนั้นผมก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปว่าบางทีเราอาจจะเจองานที่ยากกว่านั้น..มาก
เพราะการจะฟื้นฟูอัตลักษณ์และบุคลิกภาพได้..
จะต้องใช้จิตแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพเข้ามาร่วมในการดูแลรักษาด้วย

สำหรับการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนในช่วงครึ่งสัปดาห์แบบนี้ นอกจากผมจะมีเป้าหมายเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับโรค DID แล้ว ผมยังต้องการจะทดสอบด้วยว่า จันทร์จะมีอาการแพนิคเมื่อได้เห็นดอกสโนว์ดรอปส์แบบแห้งหรือเปล่า ซึ่งผมก็ได้เตรียมพวงมาลัยที่ครั้งหนึ่งน้องลีเคยเอามาทิ้งไว้พร้อมกับแสดงท่าทีโมโหโทโสอย่างหนัก

“จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้พี่ภัทรแล้วนะครับ” ทันทีที่ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เจ้าของบ้านตัวเล็กที่มักจะเป็นฝ่ายออกมาต้อนรับเสมอๆ ก็รีบพูดจาเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี
“ทุกวันเลยหรือเปล่า?” ผมแกล้งย้อนถามอย่างหยอกเอินพร้อมกับเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มจนเส้นผมกระจุยกระจาย

“…” ขณะที่จันทร์ไม่ยอมตอบแต่กลับยกยิ้มพร้อมทั้งย่นจมูกเพียงเล็กน้อย ทำเอาผมใจกระตุกไปพักใหญ่เพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กที่มีนิสัยน่ารักและยังมีความเป็นผู้ใหญ่เสียด้วย ตั้งแต่ที่เราได้รู้จักกันมา เขาไม่เคยเรียกร้องให้ผมต้องแบ่งเวลาให้มากกว่านี้
ซึ่งมันทำให้อีกฝ่ายได้ใจผมเต็มๆ

“จันทร์ไม่กลัวดอกสโนว์ดรอปส์แล้วเหรอ ? จันทร์ลองดูดีๆ สิ พวงมาลัยอันนี้.. มันทำมาจากสโนว์ดรอปส์นะ” พอเดินเข้ามาในห้องพักรับรองของตัวเองได้ ผมก็เอ่ยถามจันทร์อย่างนึกแปลกใจ เพราะตอนที่อีกฝ่ายอาสาจะช่วยถือของให้ เขากลับเลือกหยิบพวงมาลัยชิ้นดังกล่าวแทนกระเป๋าเสื้อผ้าของผม
“ไม่นี่ครับ” จันทร์เอ่ยพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางพิจารณาข้าวของในมืออย่างสงสัย เพราะในเวลานี้หัวคิ้วของเจ้าตัวกำลังผูกเป็นโบว์ใหญ่แล้ว

“แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว” ผมเอ่ยอย่างโล่งอกพลางยกยิ้มกว้าง เพราะมันเท่ากับว่าสิ่งที่ทำให้จันทร์รู้สึกฝังใจ คงจะเป็นเพียงรูปลักษณ์ของเจ้าดอกไม้ชนิดนี้เท่านั้น
ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ว่าจันทร์อาจจะเคยเห็นแต่แบบที่ยังไม่เหี่ยวเฉา
ดังนั้นสโนว์ดรอปส์ในรูปลักษณ์แบบนี้ จึงไม่อาจทำให้เกิดอาการแพนิค

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ จันทร์ก็รีบเข้านอนได้แล้วล่ะ” ผมเอ่ยพลางจัดแจงอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าไปยังห้องน้ำอันมืดมิด โดยที่ผมก็เริ่มจะจดจำได้แล้วว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน
ฉะนั้นความมืดจึงไม่อาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของผมที่นี่

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้าสู่ห้องพักรับรองอันว่างเปล่า เพราะเวลานี้จันทร์คงจะเข้านอนตามคำแนะนำของผมไปแล้ว ผมจึงได้แต่นั่งเช็ดผมพลางอมยิ้มอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง กระทั่งหันมาให้ความสนใจกับเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ในคืนนี้ก็มีอันต้องแปลกใจ เมื่อเสื้อนอนของผมมันยับยู่ยี่ไม่มีชิ้นดี
ราวกับถูกใครบางคนมายุ่งย่ามกับมัน..
ซึ่งใครคนนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ‘จันทร์’

คลิก!

ผมเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเหมือนกับหลายๆ คืนที่ผ่านมา เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่เสียงของประตูไม่ได้เกิดขึ้นจากภายนอกห้องพักรับรอง แต่ดันเกิดกับประตูห้องที่ผมกำลังนอนอยู่ ผมจึงแกล้งหรี่ตาเพียงเล็กน้อยเพื่อสอดส่องความเป็นไปรอบๆ กาย
พบว่าคนที่บุกเข้ามาในยามวิกาล คือ ‘จันทร์’
ไม่สิ บางทีคนๆ นี้อาจจะเป็น ‘จันทร์’ หรือว่า ‘คุณนักเขียน’ ก็ย่อมได้

ผมพยายามนอนนิ่งๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่า ณ ตอนนี้ผมมีสติครบถ้วน แม้ว่าจะเพิ่งตื่นนอนและเหนื่อยล้าจนลืมจุดประสงค์หลักก็ตาม เพราะเมื่อคืนมัวแต่ใช้ความคิดจนหนักสมอง อีกทั้งหน้าที่การงานก็ยังเหนื่อยล้า แล้วไหนจะต้องขับรถข้ามอำเภอมาอีก
แบบนี้จะไม่ให้ร่างกายของผมปิดสวิตช์ลงได้อย่างไร

อีกทั้งเวลานี้หัวใจของผมกำลังเต้นระรัวอย่างหนัก เพราะผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร และไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคือบุคลิกภาพไหน แต่พออีกฝ่ายล้มตัวลงนอนเคียงข้างผม โดยเลือกที่จะนอนตะแคงเพื่อให้เราหันหน้าเข้าหากัน ผมก็พอจะรับรู้ได้แล้วว่าคนๆ นี้คือจันทร์ เพราะถ้าเป็นใครอีกคน เขาน่าจะลอบทำร้ายผมมากกว่าการมานอนชื่นชมกันแบบนี้ ซึ่งระยะห่างระหว่างเรา มันทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่า..
เวลานี้เราอยู่ใกล้กันมาก..
ใกล้เสียจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมเผลอขยับตัวอีกสักนิด ริมฝีปากของเราจะแตะกันได้อย่างพอดีเลยหรือเปล่า

คลิก!

สิ้นเสียงปิดประตูราวกับผมถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ที่ใครอีกคนกำลังร่ายมนตร์ ซึ่งการร่ายมนตร์ของอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขาใช้ริมฝีปากของตัวเองแตะลงบนริมฝีปากของผมโดยไม่มีการล่วงล้ำ
แต่ทว่ามันกลับล่วงล้ำจิตใจของผมเข้าเต็มเปา
และตอนนี้ผมก็เริ่มจะตระหนักแล้วล่ะว่า การเผลอไปชอบเด็กอย่างจันทร์ มันช่างทรมานสิ้นดี


゚゚❀゚゚

edit 01/06/2018 : แก้คำเกินและคำที่เผลอพิมพ์ผิด
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง (ขอลงแค่บางเรื่อง เพราะมันจะสปอยเนื้อหา)
- ความรู้สึกที่คนไข้มีต่อหมอ vs ความรู้สึกที่หมอมีต่อคนไข้ https://www.facebook.com/D2JED/posts/717271578406078:0
- อาการของภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (BPD) https://www.honestdocs.co/borderline-personality-disorder-symptoms

ตอนนี้ทั้งตอนน่าจะวิชาการเยอะ แล้วก็มีฉากเซอร์วิสเล็กน้อย (มากๆ) คือน้องยังเด็ก เรายังไม่อยากเขียนอะไรมากมาย (เหรอ) แต่พี่หมออาจจะตายได้ 5555 ตอนนี้ก็เหลือแค่ว่าจันทร์จะเป็นทั้งสองโรคเลยหรือเปล่า แล้วก็คุณชลวิทย์สรุปคือยังไง เขาถูกกระทำก่อน เลยต้องมากระทำคืนหรือว่าอะไรยังไง โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า เป็นเรื่องที่ความรักจะเติบโตได้ช้า คือถึงจะชอบกัน แต่ว่าด้วยวัย และด้วยข้อจำกัดในเรื่องงานของพี่หมอ ก็จะทำให้มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังดีมากกว่าเชิงรักใคร่ แต่ถ้าเจอจันทร์บุกเข้ามาหนักเข้าก็อาจจะแย่ได้ (มั้ง)
ปล. 2 เราเห็นมีคนรีวิวเรื่องนี้ด้วยดีใจมาก เพราะเขียนยากมาก ใช้พลังชีวิตเกือบหมดเลยทีเดียว ยากจริงจัง เราไม่ถนัดเลย เหนื่อย แต่พอเห็นคนเดาเฉียดไปเฉียดมาแล้วเรามีแรงใจปั่นต่อมากๆ 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:07:11 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 16

ช่วงนี้ผมเอาแต่นอนคิดเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์จนหัวมันรู้สึกตื้อๆ อย่างบอกไม่ถูก ด้วยความที่พักผ่อนไม่เพียงพอก็ทำเอาหลงๆ ลืมๆ เรื่องบางเรื่องไป ซึ่งไอ้เรื่องที่ผมหลงลืมเนี่ย ดันเป็นเรื่องงานแต่งของญาติตัวเอง โชคดีหน่อยที่พี่แกแต่งที่โรงแรมในตัวเมือง แต่จะไม่ดีก็ตรงที่วันแต่งดันตรงกับวันที่ผมจะต้องเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน แล้วผมก็ดันลืมสนิททำให้ไม่ได้บอกคุณชลวิทย์ที่มารับการตรวจในช่วงเช้า เพราะกว่าจะรู้ตัวก็ตอนใกล้จะเลิกงานเข้าไปแล้ว ซึ่งคนที่เข้ามาเตือนความจำก็คือไอ้บาสญาติผู้น้องนี่แหละ อีกอย่างผมก็พยายามจะโทรหาเจ้าของบ้านคนพี่อยู่หลายสาย แต่เขาก็ไม่ยอมรับสักที ผมเลยต้องยอมแพ้และปล่อยเลยตามเลยอย่างช่วยไม่ได้ ทีนี้พอเดินทางไปถึงที่งานได้สักพักใหญ่ ไอ้น้องเวรก็ดันออกปากบอกพวกญาติๆ ว่าพรุ่งนี้ผมกับมันต้องรีบเข้างานกันแต่เช้า จึงทำให้ไม่สามารถอยู่ดึกได้เลยต้องขอตัวกลับก่อน แต่ทว่าประเด็นที่ทำให้มันตัดสินใจจะชิ่งหนี ก็คืออาหารของโรงแรมไม่ค่อยจะถูกปากนักและมันก็หิวมากๆ เลยต้องลากผมออกมานั่งแดกพิซซ่ารอบดึกด้วยกัน
คือแบบไอ้เชี่ย!
ผมจะเคืองก็ตรงที่แม่งไม่ยอมส่งซิกมาบอกกันก่อนนี่แหละ

“ช่วงนี้พี่ภัทรดูเครียดๆ เบลอๆ นะเว้ย ผิดปกติฉิบหาย เกิดอะไรขึ้นอีกวะ?” หลังจากสั่งเมนูที่ต้องการแล้ว ไอ้บาสก็ไม่คิดจะปล่อยให้เกิดช่องว่างในการสนทนา จึงเริ่มต้นซักไซ้อย่างรวดเร็ว
“จันทร์เหมือนจะเป็น DID” ผมเฉลยอย่างไม่มีอิดออด เพราะตั้งแต่ที่ผมเริ่มจับสังเกตได้ ผมก็ทั้งเครียดและเป็นกังวลเอามากๆ ยิ่งได้อ่านหนังสือนิยายจากนามปากกาของคุณ ‘อนธการ’  ซึ่งเป็นเล่มที่จันทร์ชอบมากที่สุด ผมก็ยิ่งรู้สึกเครียดไปกันใหญ่ เพราะเนื้อหาของนิยายออกแนวดราม่าและหดหู่ จนผมรู้สึกว่าหากเจ้าของนามปากกานามนี้เป็นคุณนักเขียนคนนั้นจริง เขาก็น่าจะเป็นบุคลิกที่สามของ ‘จันทร์’ และนั่นก็เท่ากับว่าสิ่งเขียนออกมา..
อาจถูกกลั่นกรองมาจากจิตไร้สำนึก
ซึ่งคำว่า ‘จิตไร้สำนึก’ มันเป็นที่ที่กักเก็บความคิดและความรู้สึกที่ถูกเก็บกดเอาไว้

“เฮ้ย! ตอนที่พี่พูดในที่ประชุมว่าอาจจะเจองานยาก ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็น..”
“…” พอไอ้บาสได้ยินคำตอบก็ถึงกับทำสีหน้าตกใจไปพักใหญ่ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
แล้วล่ะ.. ผมคนที่มีใจให้กับจันทร์ไปแล้ว..
จะรู้สึกเครียดมากมายขนาดไหน ?

“อืม แล้วประเทศไทยก็ยังไม่เคยเจอคนที่เป็นโรคนี้เลยด้วยซ้ำ” ผมประสานมือไว้ใต้ปลายคาง พร้อมสำทับเรื่องราวหนักอกให้ไอ้ญาติผู้น้องรับรู้ไปพร้อมกัน เพราะมันคือความจริงที่ว่าโรคนี้แทบจะมีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็มักจะอาศัยอยู่ในแถบอเมริกาเหนือ
ดังนั้นงานวิจัยต่างๆ ก็ย่อมต้องมีน้อยนิด

“แล้วพี่จะเอายังไงวะ จะพาน้องมารักษาที่โรงพยาบาลเลยหรือเปล่า ?” ไอ้บาสเอ่ยถามด้วยสีหน้าตึงเครียด แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากรอให้พนักงานเสิร์ฟจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

“ยังว่ะ คงต้องรอพิสูจน์อะไรให้แน่ใจก่อน เพราะเจ้าตัวคงไม่เคยรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ อีกอย่างสาเหตุที่ทำให้จันทร์ตัดขาดจากความเป็นตัวเอง น่าจะเกี่ยวกับเรื่องราวเลวร้ายในอดีต แล้วเรื่องที่ว่านี้ก็น่าจะเชื่อมโยงกับบุคลิกแรกของจันทร์” ผมอธิบายพลางหยิบ ‘Zucchini Fries’  ซึ่งเป็นเมนูที่หาทานได้ยาก ทั้งๆ ที่มันก็คือผักชุบแป้งทอดนี่แหละ เพียงแต่ผักที่ใช้มันคือผักซูกินี โดยเด็กเสิร์ฟบอกกับผมว่าเจ้าผักชนิดนี้คือพืชตระกูลแตง รสชาติคล้ายๆ กับแตงกวา เราก็เลยลองสั่งมากินดูและพบว่ามันก็อร่อยดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันอร่อยที่น้ำจิ้มหรือว่าเนื้อผักกันแน่
“บุคลิกแรก ?” ไอ้บาสเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่มือและปากก็ทำหน้าที่อย่างซื่อตรงต่ออาหารตรงหน้า

“เด็กผู้หญิงที่ชอบฮัมเพลงน่ะเหรอ ?”
“อืม” ผมตอบงึมงำในลำคอพลางพยักหน้าสำทับ ขณะที่พนักงานเสิร์ฟกำลังเอาพิซซ่ามาให้ ซึ่งเมนูที่เราสั่งเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านที่มีชื่อว่า ‘พิซซ่าหน้าวัด’ โดยส่วนประกอบของมันคือไส้กรอก เพียงแต่ไม่ใช่ไส้กรอกธรรมดา เพราะทางร้านจะให้เราเลือกว่าจะกินไส้กรอกกวางหรือไส้กรอกหมูป่าเก๋ๆ แต่ถ้าใครไม่กินทั้งสองอย่างก็สามารถเลือกเป็นไส้กรอกเบคอนธรรมดาได้
ซึ่งพวกผมก็ขอเลือกความธรรมดาแบบไม่ต้องหยุดคิด

“เออพี่ อย่าบอกนะว่ายังมีอีกบุคลิกนึงน่ะ ?” หลังจากพากันลิ้มลองพิซซ่าในยามดึกอย่างไม่กลัวอ้วนแล้ว ไอ้บาสก็เริ่มเอ่ยถามอย่างหน้าตาตื่น
“กูคิดว่าน่าจะเป็นนักเขียน”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งง่ายเลยพี่ เพราะจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เขาบอกว่าจิตไร้สำนึกสามารถแสดงออกทางด้านจินตนาการได้ อย่างพวกงานวรรณคดี งานศิลป์อะไรแบบนี้”
“อืม ตอนนี้กูก็กำลังอ่านๆ อยู่ แต่อาจจะช้าหน่อย เพราะมันไม่ใช่แนวที่กูชอบ” ผมเอ่ยพลางหยิบแก้วชาเย็นขึ้นมาดูดแก้กระหายจากนั้นก็หันมาสนใจสลัดผักที่เราสั่งมากินแก้เลี่ยน

“ว่าแต่มันคือแนวอะไรวะพี่ ?” ไอ้บาสเอ่ยถามอย่างสนใจ เพราะไอ้นี่มันรู้ดีว่าผมชอบอ่านหนังสือแนวประเทืองปัญญาหรือไม่ก็พวกหนังสือให้กำลังใจการใช้ชีวิต แต่ถ้าเป็นหนังสือนิยายก็ขอให้เป็นนิยายที่เรียบง่าย ซึ่งแนวที่ผมอ่านมันก็แตกต่างกับแนวที่คุณอนธการเขียน ผมถึงได้เอามาดองอยู่นี่ไง แล้วผมก็ไม่ทันคิดว่าหนังสือเล่มนี้ จะมีเหตุให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับจันทร์ เพราะเดิมทีผมกะจะอ่านเพียงคร่าวๆ พอให้รู้เนื้อเรื่องบางส่วน แล้วค่อยไปสารภาพกับจันทร์ว่าเรื่องแนวนี้ไม่ค่อยเหมาะกับผม แต่ด้วยความที่มีเรื่องให้ต้องทำและต้องคิดเยอะเกินไปหน่อย ผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไป
“ดราม่าหดหู่ชิบหายเลยว่ะ คือแบบพระเอกนางเอกมีใจให้กันเว้ย แต่น้องสาวนางเอกแม่งดันชอบพระเอกไง ง่ายๆ คืออิจฉาพี่สาวตัวเอง เพราะพี่สาวเป็นคนโปรดของครอบครัว แล้วพระเอกยังเสือกมาตกหลุมรักนางเอกเข้าให้ ความอิจฉาเลยผลักดันให้น้องสาวทำเรื่องที่โคตรเหี้ย!” ผมเล่าอย่างใส่อารมณ์ เพราะมันสุดๆ จริงๆ ไม่รู้ทำไมนักเขียนที่แสนจะเงียบเชียบคนนั้น ถึงได้มาสายโหดขนาดนี้ เพราะขนาดผมเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านนิยายแนวนี้ ยังรู้สึกอินและเจ็บปวดไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แถมสำนวนของเขายังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกดูดลงไปอยู่ในโลกของนิยายที่มีชื่อว่า ‘สิเน่หา’

“ใจเย็นเว้ยพี่ จะอินอะไรขนาดนั้น” ไอ้บาสเอ่ยแกมขำคล้ายกับมันไม่อยากให้ผมเครียด แต่ผมดันไม่คล้อยตามนี่สิ เพราะการอ่านในครั้งนี้ไม่ใช่การอ่านเพื่อความบันเทิงหรือต้องการจะเสพดราม่าเหมือนกับนักอ่านท่านอื่นๆ เนื่องจากทุก ๆ ตัวอักษรจะต้องนำมาใช้ในการคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของจิตไร้สำนึกที่แอบแฝงอยู่ และผมก็ไม่อยากจะกระโตกกระตากมากจนเกินไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทางการแพทย์สามารถรักษาโรคนี้พร้อมกับค้นหาความจริงจากการบอกเล่าผ่านการสะกดจิต ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ผมต้องแน่ใจว่าจันทร์ป่วยเป็นโรคนี้จริงๆ และอย่างน้อยผมก็ต้องผูกมิตรกับแต่ละบุคลิกให้ได้ จากนั้นถึงค่อยหาทางเอาจันทร์ออกมาจากบ้านหลังนั้น
ซึ่งผมก็ต้องล่วงรู้ความต้องการที่แท้จริงของคุณชลวิทย์ด้วย
 
“น้องสาวแม่งจ้างคนมากระทำชำเราพี่สาวตัวเองน่ะสิวะ คือแบบมึงต้องเหี้ยขนาดไหนวะนั่น แล้วแม่งมั่นใจได้ยังไงว่าทำไปแล้วพระเอกจะหันมาชอบตัวเอง กูล่ะงงใจ” ผมระบายความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมดเปลือก เพราะมันหดหู่มากเกินไป อีกอย่างเรื่องที่ได้อ่านก็คล้ายกับเรื่องของน้องพราวที่เป็นผู้ป่วยประจำวอร์ดจิตเวช
เนื่องจากเด็กหญิงคนนี้ ถูกพ่อเลี้ยงกระทำชำเราโดยมีคุณแม่คอยให้ความร่วมมือ

“ที่น่าเศร้ากว่านั้น นางเอกท้องด้วยมึง แต่พระเอกก็ยอมรับเป็นพ่อเด็กนะ ด้วยความที่รักมากก็เลยไม่อยากให้นางเอกรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ แต่นางเอกก็ยังเสียใจแล้วก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น พอคลอดลูกออกมาก็ไม่สนใจใยดีอะไรเลย ใช้ชีวิตเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก แล้วก็เริ่มคิดจะฆ่าตัวตาย อาการคล้ายๆ กับโรคซึมเศร้าน่ะมึง แต่ทุกครั้งที่คิดจะทำแบบนั้น เหมือนพระเอกยังสามารถฉุดรั้งเอาไว้ได้ แถมลูกที่เกิดมาก็น่าสงสารมาก เพราะแม่แท้ๆ ไม่เคยสนใจ ซึ่งในกรณีแบบนี้ถ้าอยากจะทำแท้งก็ได้นะ แต่กูคิดว่าลึกๆ นางเอกคงจะทั้งรักทั้งเกลียดลูกตัวเองน่ะแหละ ทีนี้การเก็บเด็กไว้ดันกลายเป็นดาบสองคม เพราะเวลาที่เห็นหน้าลูกก็เหมือนกับต้องเจอฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นเธอก็ฆ่าตัวตายสำเร็จ” ผมเล่าให้ไอ้บาสฟังเท่าที่อ่านถึง เพราะวิธีการฆ่าตัวตายของเธอทั้งโหดและใจเด็ดมาก เนื่องจากเธอตัดสินใจเผาเรือนไทยจนวอดวายตอนช่วงที่พระเอกไปทำงาน
แต่ทว่าในความหดหู่ก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีอยู่อีกเรื่อง..
เพราะเด็กรับใช้สามารถช่วยเหลือเด็กน้อยที่ยังไม่ทันจะรู้ความเอาไว้ได้

“เนื้อเรื่องโหดจริงว่ะ ถ้าเริ่มศึกษาจากนิยายน่าจะทำให้พี่เข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้นแน่ๆ เพราะผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันดูไม่ธรรมดาเลยว่ะ แต่ถ้าจะให้ฟันธงเน้นๆ พี่ต้องลองดูเรื่องอื่นด้วยว่ามันมีเหตุการณ์หรือจุดสังเกตเด่นๆ ที่เหมือนกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
“อืม ว่างๆ กูก็ว่าจะไปหารีวิวอ่านอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้กูคงต้องขอพักยกชั่วคราวก่อนว่ะ” ผมเอ่ยอย่างยอมแพ้เพราะการอ่านนิยายในครั้งนี้ มันก็เหมือนกับการที่ผมต้องมานั่งรับฟังเรื่องราวของคนไข้ ซึ่งปกติแล้วผมจะสามารถกำจัดความรู้สึกของการมีจิตใต้สำนึกร่วมกับคนไข้ได้เสมอ
แต่พอเป็นจันทร์..
มันกลับยากที่จะไม่มีความรู้สึกร่วมในทิศทางดังกล่าว

วันนี้เป็นวันเสาร์แรกที่อาจจะเรียกได้ว่าการพักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะผมไม่ต้องเข้าเวรและไม่มีเหตุฉุกเฉินให้ต้องอยู่ลากยาว ทำให้มีเวลาว่างตั้งแต่ช่วงเที่ยงเป็นต้นไป แต่ถึงจะออกปากว่าว่างตั้งแต่เที่ยง แต่ในความเป็นจริงกว่าผมจะเคลียร์อะไรหลายๆ อย่างลงตัวก็ปาเข้าไปตั้งบ่ายโมงกว่า ผมจึงถือโอกาสหอบหิ้วท้องไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารมีชื่อสักหน่อย เพราะทุกวันนี้ผมต้องเลือกกินแบบตามมีตามเกิด
ร้านดังหรือร้านแนะนำอะไรก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปกินกับเขาหรอก

กระทั่งกินจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ผมก็มุ่งหน้ากลับบ้านของตัวเองเพราะถ้าหากผมเลือกจะเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนในตอนนี้ก็จะไม่มีข้ออ้างให้ต้องพักค้างคืนที่นั่น ผมเลยถือโอกาสนี้รีบใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่
เพื่อที่คืนนี้ผมจะได้ไม่พลาดพลั้งแบบคืนก่อน!

ไม่ว่าผมจะเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความรู้สึกก็ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน เพราะรอบๆ กายมันดูมืดมนไปหมด ยิ่งไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์ประดับประดาจนเต็มทุ่ง สีสันของความสวยงามในยามค่ำคืนตอนที่แสงไฟหน้ารถตกกระทบลงไปยังสิ่งๆ นั้น ก็ยิ่งทำให้ความมืดมนที่ว่า.. แผ่กระจายไปมากกว่าเดิม
แต่อีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกว่า..
ไอ้ดอกไม้บ้าๆ นั่น ไม่มีมันก็ดีแล้ว

“จันทร์ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ?” หลังจากดับเครื่องยนต์จนเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบเดินเข้ามาหาจันทร์ที่กำลังนั่งเหม่อมองไปยังลำธารเล็กๆ ที่เราเคยไปนั่งเล่นด้วยกัน ขณะที่เทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ยังคงตลบอบอวนอยู่รอบๆ เนื้อตัวของอีกฝ่าย
“เป็นอะไร หืม ?” ผมย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าจันทร์พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับเลื่อนมือของตัวเองไปกอบกุมฝ่ามือเล็กที่วางแหมะอยู่บนหน้าตัก

“…” จันทร์ไม่ตอบด้วยคำพูดแต่กลับตอบด้วยการกระทำ ซึ่งการส่ายหน้ามันก็คือการปฏิเสธ แต่ทว่าสีหน้ากลับบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวกำลังมีเรื่องให้เป็นกังวล
“พี่ไม่ทิ้งจันทร์หรอก” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็แฝงความอ่อนโยนอย่างรู้ทัน พร้อมทั้งค่อยๆ โน้มศีรษะของจันทร์มาวางพักไว้ตรงลาดไหล่

“อื้อ” จันทร์ส่งเสียงอู้อี้ตอบรับ ขณะที่สองมือก็โอบรอบลำคอของผมไว้เพียงหลวมๆ ซึ่งอาการหวาดระแวงว่าจะถูกทอดทิ้ง
มันก็เข้าข่ายโรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ

“เราเอาเท้าไปแช่น้ำเล่นกันดีไหม ?” หลังจากจันทร์ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมก็รีบก้มหน้าพับขากางเกงนอนของอีกฝ่ายให้ขึ้นมาอยู่เหนือบริเวณหัวเข่าเพื่อที่เวลาไปนั่งแช่น้ำจะได้ไม่เปียก
“…” สิ้นคำถามกลับมีแต่ความเงียบเชียบก่อเกิดขึ้น ผมเลยเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อน จึงเห็นว่าจันทร์กำลังส่งยิ้มรอผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลยอดที่จะยกยิ้มตามไม่ได้ จากนั้นก็เผลอเอื้อมมือไปยีหัวคนตรงหน้าเสียจนยุ่งเหยิง

“พี่ซื้อของมาไถ่โทษด้วย แต่มันคงไม่อร่อยแล้วล่ะ” ผมกล่าวพลางเดินนำไปที่รถ ขณะที่จันทร์ก็เอาแต่เดินตามหลังมาเงียบๆ โดยในมือของเจ้าตัวยังคงมีเทียนหอมแท่งใหญ่ที่ผมซื้อให้เป็นไอเท็มประจำตัว
“หนังสือ ?”

“อื้ม ส่วนนี่ก็ซูกินีชุบแป้งทอด” ผมเอ่ยพลางยื่นกล่องของฝากที่ตัวเองเพิ่งจะได้ลิ้มลองไปเมื่อวาน จากนั้นก็อาสาจะถือเทียนหอมแทนอีกฝ่าย ขณะที่จันทร์ก็แบมือขอหนังสือในมือผมไปถือไว้
“ไอ้นี่พี่ซื้อมาจากร้านที่ไปกินกับพี่บาสหลังกลับจากงานแต่งของญาติพี่เมื่อวานนี้ จันทร์ยังจำนักจิตวิทยาคนนั้นได้ใช่ไหม ?” ผมอธิบายความเป็นมาเป็นไปอย่างแยบยลพร้อมกับย้อนถามอีกฝ่ายไปด้วย จากนั้นก็พากันเดินลัดเลาะโขดหินเปื้อนตะไคร่น้ำอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพากันมานั่งปักหลักที่โขดหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่เราเคยมานั่งด้วยกันเมื่อคราวก่อน
โดยที่ปลายเท้าของเราต่างก็ละผิวน้ำอันเย็นเฉียบไปด้วย

“ครับ” จันทร์ตอบเพียงสั้นๆ พลางก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับเมนูของทานเล่นที่ผมซื้อมาฝากอย่างตื่นเต้น คงเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยจะได้กินอะไรแบบนี้บ่อยนัก
“ถ้าชอบ ไว้พี่จะแวะซื้อมาให้จันทร์อีก” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มและเฝ้ามองจันทร์ค่อยๆ กินเจ้าผักชุบแป้งทอดที่ในตอนนี้คงจะไม่กรอบสักเท่าไหร่

“จันทร์ชอบ อร่อยดี” พออีกฝ่ายอ้อมแอ้มตอบเพียงเบาๆ ผมก็เผลอยกมือขึ้นยีหัวคนข้างๆ ด้วยความเอ็นดู
“ทำไมจันทร์ถึงชอบอ่านนิยายเรื่องสิเน่หาล่ะ พี่ว่ามันหดหู่เกินไปหน่อย” ผมเอ่ยถามความคิดเห็นพร้อมบอกกล่าวความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านนิยายเล่มดังกล่าว

“ไม่รู้สิครับ จันทร์รู้แค่ว่าตอนที่ได้อ่านครั้งแรก มันสามารถกระตุกใจจันทร์ได้”
“…” ผมได้แต่นิ่งเงียบและเฝ้ามองคนข้างๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เนื่องจากผมไม่รู้จะตีความคำตอบที่ได้รับอย่างไร เพราะการที่คนเราจะประทับใจหนังสือสักเล่ม  มันต้องมีอะไรสักอย่างที่มากระตุกใจเรา ไม่ว่าจะเป็นพล็อต หรือแม้กระทั่งคำพูดของตัวละคร
ซึ่งคำว่า ‘กระตุกใจ’ ในที่นี้
ก็หมายถึงความประทับใจนั่นแหละ

“แต่พี่ว่าจันทร์เหมาะจะอ่านหนังสือเล่มนี้มากกว่าอีก” ผมกล่าวพลางเอื้อมมืออ้อมช่วงตัวของจันทร์เพื่อไปหยิบหนังสือที่ตัวเองนำติดตัวมาด้วย จำได้ว่าเล่มนี้ผมเพิ่งจะได้มาสดๆ ร้อนๆ ก็เลยอ่านสลับกับนิยายของคุณอนธการ
ซึ่งการไม่มีเวลาของผม ก็ใช่ว่าจะทำให้ไม่ค่อยได้ใช้เงินอย่างที่คิด เพราะส่วนใหญ่ผมมักจะช็อปปิ้งหนังสือจากทางออนไลน์เสียมากกว่า อีกอย่างเจ้าหนังสือพวกนี้ก็ช่วยคลายความเครียดได้ดี เนื่องจากว่าคนเราก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากจะว่ายน้ำแก้เครียดตลอดเวลา ผมเลยต้องหากิจกรรมอย่างอื่นเอาไว้ทำแก้เครียดบ้าง

“12 นิทานบันดาลใจ ?”
“…”

“จันทร์โตจนเลิกฟังนิทานแล้วนะครับ”
“พี่ก็โตแล้ว แต่พี่ยังอ่านเลย พี่ว่ามันให้ข้อคิดดีๆ หลายอย่างเลยนะ อีกอย่างจันทร์ไม่อยากรู้เหรอว่าพี่อ่านอะไรบ้าง?”

“อื้อ จันทร์จะลองอ่านดู”
“นี่..” ผมเรียกอีกฝ่ายพลางเอนตัวไปข้างหลังและเงยหน้ามองดาวบนฟ้าที่กำลังส่องแสงระยิบระยับอย่างสวยงาม

“พี่เคยไปนอนพักที่บ้านระเบียงดาวมา จำได้ว่าดาวสวยมากๆ ทั้งแผ่นฟ้ามีแต่ดาวแล้วก็ดาวทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากหาโอกาสไปอีกครั้งเหมือนกัน” ผมกล่าวนำร่องพลางหันไปมองจันทร์ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเหมือนกับที่ผมทำเมื่อครู่
“สวยกว่าที่นี่อีกเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามพลางหันมองผมเพื่อรอคอยคำตอบ

“อื้ม”
“…” เมื่อผมตอบรับเพียงสั้นๆ จันทร์ก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวบนฟากฟ้าอีกครั้ง

“สักวันเราต้องไปที่นั่นด้วยกันนะจันทร์” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางเอนศีรษะลงบนลาดไหล่เล็กของคนข้างกายในเชิงออดอ้อน
“ครับ” สิ้นคำตอบรับอย่างไม่นึกลังเลของอีกฝ่าย ริมฝีปากของผมก็วาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอีกพักใหญ่ แล้วพากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน ซึ่งคราวนี้ผมต้องสละให้เจ้าของบ้านตัวเล็กยึดครองห้องน้ำไว้เพียงชั่วคราว เพราะเจ้าตัวจะต้องแปรงฟัน กระทั่งห้องน้ำว่างก็ถึงคิวที่ผมจะต้องจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย
จะได้มานั่งเตรียมตัวนับถอยหลังในการพบเจอกับนักเขียนคนนั้นเป็นครั้งที่สาม

เมื่อผมออกจากห้องน้ำก็พบว่าเสื้อนอนมันยับยู่ยี้เหมือนกับคืนก่อน เพียงแต่คืนนี้ผมจับได้ว่าจันทร์เป็นคนนำมันไปกอดไว้ ซึ่งพอจับได้อีกฝ่ายยังมีหน้ามายื่นเสื้อตัวดังกล่าวให้ผมอีก ช่างไม่ได้รู้อะไรบ้างเลยว่าการทำแบบนี้ มันเหมือนกับเจ้าตัวกำลังจะบอกผมกลายๆ ว่า..
เขาต้องการผมมากกว่าที่เคย

“จันทร์ เอ่อ.. ไปนอนแล้วนะครับ” หลังจากรับชุดนอนของตัวเองมาสวมใส่จนเสร็จสิ้น จันทร์ก็เอาแต่หันรีหันขวาง จากนั้นก็เอ่ยขอตัวด้วยท่าทีไม่ปกติจนผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความไร้เดียงสานั่น ก่อนจะจัดการล็อกประตูห้องให้เรียบร้อย
เพื่อรอลุ้นว่าในคืนนี้..
ใครบางคนจะไขกุญแจแล้วบุกเข้ามาในห้องนอนของผมอีกหรือเปล่า

คลิก!

เสียงเปิดประตูห้องนอนของผมดังขึ้นมาอีกแล้วและครั้งนี้ผมก็ต้องนอนลุ้นต่อไปว่าใครคนนั้นที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้คือ ‘จันทร์’ หรือว่า ‘นักเขียน’ ผู้ที่มีแต่ความเกลียดชัง กระทั่งพื้นเตียงอีกฝั่งยวบลงและตามติดมาด้วยไออุ่นจากใครบางคนก็ทำให้ผมทราบแล้วว่า..
วันนี้บุคลิกที่ผมต้องการพบหน้า..
ยังไม่ยอมปรากฏตัวให้ผมเห็น

และการกระทำของจันทร์ในวันนี้ก็ดูแตกต่างจากวันวาน เพราะเขากำลังใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายของผมอย่างเชื่องช้า
คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังมีความรู้สึกทางเพศ..

ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าจันทร์ กำลังจะเข้าข่ายอาการของโรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ เพราะเขาเริ่มจะมีความต้องการทางเพศที่มากขึ้นและในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะนำไปสู่การสำส่อนตามอาการของตัวโรคด้วยหรือไม่
เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง..
ผมควรจะรับมือและหักห้ามตัวเองอย่างไรดี ?


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

[edit คำผิด : รังเกลียด > รังเกียจ]
[08/06/2018 แก้ไขจากแถบยุโรปเป็นอเมริกาเหนือ]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory)
http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=567315
http://www.nana-bio.com/phychology/Psychoanalytic%20theory.htm


ถ้ายังมีคำผิดอยู่ เดี๋ยวเรามาตามแก้ทีหลังนะคะ เพราะมันคงจะเล็ดรอดสายตาตอนอ่านทวนแน่ๆ อ่า สรุปแล้วมันอะไรยังไง มีใครสังเกตอะไรได้บ้างหรือเปล่า 55 จริงๆ คาดว่าทั้งตอนเหมือนจะมีฉากเซอร์วิส แต่จริงๆ มันก็ไม่เชิงนั้นหรอกเนอะ เพราะคำตอบพี่หมอก็เฉลยไปแล้ว
ปล . ว่าแต่ว่า คุณนักเขียนจะใช่อีกบุคลิกนึงจริงๆ หรือไม่ ทำไมช่วงนี้น้องจันทร์ไม่เปลี่ยนไปเป็นคุณนักเขียนเลย ?
ปล. 2 เราเห็นมีคนแนะนำนิยายเรื่องนี้เพิ่ม ขอบคุณจริงๆ นะคะ การแต่งเรื่องนี้ เอาจริงๆ เหมือนเราได้ฝึกเขียนไปด้วยเลย 555 เพราะมันยากมาก แล้วเป็นแนวที่แบบว่าต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกอาจจะมีผิดพลาดไปบ้างก็ต้องขออภัย เราพยายามที่จะเขียนให้สมจริงในความคิดเราที่สุดแล้วกันนะ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:13:48 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
จันทร์จะหื่นแล้ว >///<

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 17

ผมยังจำเหตุการณ์ในที่ประชุมเมื่อวันก่อนได้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่พวกเราชาวบุคลากรการแพทย์ ต่างก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างฉะฉาน จึงทำให้ผมทราบข้อมูลอัพเดตเกี่ยวกับตัวโรคมากมาย เช่น ปัจจุบันโรคหลายบุคลิกมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยว่า ‘โรคหลายอัตลักษณ์’ โดยมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Dissociative Identity Disorder (DID) ซึ่งแต่เดิมโรคดังกล่าวเคยถูกเรียกว่า ‘โรคหลายบุคลิก’ และมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Multiple Personality Disorder
เพราะคำว่า ‘อัตลักษณ์’ มีความหมายแตกต่างกับคำว่า ‘บุคลิก’

เนื่องจากมนุษย์เราสามารถมีความหลากหลายทางบุคลิกภาพได้และไม่จัดว่าเป็น ‘โรค’ เช่น เวลาอยู่กับเพื่อนจะมีความกล้าแสดงออก แต่เวลาอยู่กับผู้ใหญ่อาจจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันคือบุคลิกภาพของคนคนเดียวกัน เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่พบเจอ
นับว่าเป็นเรื่องปกติไม่ใช่อาการ ‘ป่วย’

แต่ ‘อาการป่วย’ ที่แท้จริงก็คือ ‘ความหลากหลายของอัตลักษณ์’ ซึ่งอัตลักษณ์จะเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ภายในตัวตนของคนคนนั้น และในคนปกติก็จะมีเพียงแค่อัตลักษณ์เดียว แต่ในผู้ป่วยมักจะมีมากกว่าหนึ่ง โดยความเกี่ยวข้องกับสติ ความทรงจำ เอกลักษณ์ของตัวเอง รวมไปถึงการรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวมักจะมีความผิดเพี้ยน เพราะตัวตนของพวกเขามีความไม่ต่อเนื่องกัน หรือเรียกง่ายๆ ก็คือตัวตนของพวกเขาจะถูกจับแยกออกเป็นหลายๆ ส่วน ทำให้อารมณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกไม่มีความต่อเนื่องและไม่มีความเหมือนกัน
เช่น บางครั้งพวกเขาก็รู้สึกรักตัวเอง แต่บางครั้งก็อาจจะเกลียดตัวเอง รวมไปถึงการมีความรู้สึกกดดันเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง และเมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น กลไกการป้องกันตัวจึงเกิดขึ้น และส่งผลต่อการตัดขาดจากความเป็นตัวเอง ตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง เพราะผู้ป่วยมีความรู้สึกไม่ชอบและไม่ยอมรับในตัวตนของตัวเอง ทำให้มีการแสดงออกโดยผ่านอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปและบางครั้งก็พบว่าผู้ป่วยมักจะมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย โดยคนไข้มักจะแสดงออกก็ต่อเมื่อเกิดความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ
เนื่องจากพวกเขากำลังเกิดความรู้สึกว่า..
ตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย

ซึ่งในงานวิจัยก็มีการพูดถึงสาเหตุหลักๆ ของการกำเนิดโรคไว้ว่า สาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการมีสภาพแวดล้อมของการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก
และมักจะเกิดก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอายุครบ 6 ปี

นอกจากนี้การขาดการส่งเสริมสัมพันธภาพกับมารดาและทารก ก็ถูกตั้งเป็นสมมุติฐานว่าสาเหตุดังกล่าวคือปัจจัยเพิ่มเติมของการเกิดโรคหลายอัตลักษณ์ ซึ่งก็ตรงกับเนื้อหาของนิยายในเรื่องที่จันทร์ชื่นชอบ เพราะลูกชายของนางเอกก็ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากคนเป็นแม่ อีกทั้งเรื่องราวในตอนที่คุณชลวิทย์เคยโกหกหน้าตายว่าน้องชายมีอาการแคปกราส์ ยังเชื่อมโยงกับแต่ละอัตลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้น ผมจึงเริ่มไขว้เขว
เพราะมันก็มีความเป็นไปได้ในระดับ ‘50 : 50’ ว่า..
‘แม่’ คือใจความสำคัญของจิตใจที่แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ

ทั้งนี้โรคหลายอัตลักษณ์ก็มีกรณีศึกษาอันโด่งดังอยู่ 5 เคสด้วยกัน โดยเคสที่โด่งดังที่สุดคือเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน ชายชาวอเมริกันที่เคยก่อคดีสะเทือนขวัญในยุค 70 ซึ่งอาชญากรรายนี้มีอัตลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ในตัวเองมากกว่า 24 อัตลักษณ์ โดยเขาถูกจับกุมหลังจากก่อเหตุข่มขืนสาวมหา’ลัยถึง 3 คนด้วยกัน และหนึ่งในเหยื่อของคดีสะเทือนขวัญในครั้งนี้ กล่าวเอาไว้ว่า ‘ท่าทีที่เขาแสดงออกมา ดูเหมือนเด็กสาวอายุ 3 ขวบ’ หลังจากนั้นเขาก็ถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทแบบเฉียบพลัน (acute schizophrenia) ขณะที่นักจิตวิทยากลับให้ข้อสรุปว่าเขาเป็นโรคหลายอัตลักษณ์ จึงทำให้เขาไม่ต้องรับโทษที่ก่อ แต่กลับต้องเข้ารับการบำบัดแทน
โดยสาเหตุที่ทำให้เขาสร้างความหลากหลายทางอัตลักษณ์ขึ้นมานั้น เชื่อกันว่าเป็นผลพวงมาจากช่วงชีวิตในวัยเด็กอันเปรียบเสมือน ‘ฝันร้าย’
เนื่องจากเขาถูกพ่อเลี้ยงกลั่นแกล้งและทำร้ายอยู่เป็นประจำ

ดังนั้นเมื่อลองใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในการครุ่นคิด ก็ทำให้เข้าใจได้ว่ามนุษย์เราเมื่อเกิดปมขัดแย้งในจิตใจ พอทำอะไรที่ตัวเองรับไม่ได้ ก็จะมีทางเลือกให้ตัวเองอยู่สองทาง
คือ..
การยอมรับหรือปฏิเสธ

ยกตัวอย่าง เช่น การมีความต้องการทางเพศจึงไปก่อเหตุข่มขืน เมื่อรู้สึกรับไม่ได้กับการกระทำดังกล่าว ก็เริ่มมองหาทางออกโดยแบ่งออกเป็นสองทาง
คือ..
การไปสารภาพผิดและมอบตัว หรือปฏิเสธเสียงแข็งออกไปว่าตนเองไม่ได้ทำ

ดังนั้นแต่ละอัตลักษณ์ที่เกิดขึ้น มักจะถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้จิตไร้สำนึก ซึ่งอัตลักษณ์ดังกล่าวจะยังมีความเชื่อมโยงกับตัวตนของเจ้าของร่างได้อยู่ แต่ถ้าหากเริ่มมีการใช้วิธีป้องกันตนเองอย่างแน่นหนา
ผู้ป่วยก็อาจจะลืมเลือนไปว่าอัตลักษณ์เหล่านั้น..
เกิดขึ้นจากตัวเราเอง

ซึ่งมันก็ตรงกับท่าทีของจันทร์ เพราะอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ ยังมีความเชื่อมโยงกับเจ้าของร่างนั้น แต่ในทางกลับกัน อัตลักษณ์ของ ‘คุณนักเขียน’ น่าจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกันได้ และสาเหตุที่ทำให้ผมกล้าฟันธงออกมาอย่างมั่นใจว่านักเขียนคนนั้นคืออีกหนึ่งอัตลักษณ์ของจันทร์ ก็เพราะว่าสองคืนที่ผมไปเยือนยังบ้านกลางป่าสน จันทร์คือบุคคลที่มักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่อัตลักษณ์อื่นๆ ออกมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
อีกทั้งงานเขียนของคุณ ‘อนธการ’ ก็ยังสามารถบ่งบอกได้ดี ว่าเขาคืออีกหนึ่งอัตลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากอ้างอิงตามหลักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เมื่อผู้ป่วยเกิดความขัดแย้งในตนเอง ก็มักจะมีทางเลือกอยู่เพียงสองทาง ซึ่งทางเลือกของจันทร์ก็คือ การเลือกที่จะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นด้วยการตัดขาดจากความเป็นตัวเอง และด้วยความที่แต่ละอัตลักษณ์เกิดขึ้นจากตัวตนของจันทร์ ดังนั้นสิ่งที่เคยถูกเก็บซ่อน จึงถูกถ่ายทอดผ่านทางอัตลักษณ์ของ ‘นักเขียน’ ที่อาจจะเป็นบุคคลแปลกหน้า
เพราะครั้งหนึ่งจันทร์เคยให้คำนิยามเจ้าของนามปากกาอย่างคุณ ‘อนธการ’ ว่า..
‘เขา’ คือเพื่อนของคุณชลวิทย์

แล้วไหนจะยังมีข้อความภาษาอังกฤษที่มีใจความว่า ‘Where flowers bloom, so does hope.[1]’ ที่แปลความหมายได้ว่า..
ที่ใดมีดอกไม้เบ่งบาน ที่นั่นย่อมมีความหวัง..
ซึ่งความหวังที่ว่า มันคือการได้รับการปลดปล่อย

เท่ากับว่าอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ อาจจะหมายถึงการมีความหวัง ซึ่งความหวังนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับการขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ โดยสองพี่น้องในช่วงเวลานั้น คงจะต้องพึ่งพาความรักความอบอุ่นจากกันและกัน จึงส่งผลให้การจากลาอย่างไม่วันหวนกลับของน้องลี ถือเป็นข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง
มิหนำซ้ำ ‘แม่’ ก็อาจจะเป็นสาเหตุของการสูญเสียในครั้งนี้

มันจึงบ่งบอกได้ว่าลึกๆ แล้วในใจของจันทร์ คงไม่สามารถยอมรับการจากลาในครั้งนี้ได้ อีกทั้งยังไม่อาจยอมรับในสาเหตุของการสูญเสียได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตัดขาดจากความทรงจำอันโหดร้ายนั่น ด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของน้องลีที่มีความหมายกับเจ้าตัวมากที่สุด
และการมีอยู่ของน้องลี..
ก็แสดงถึง ‘การเบ่งบานของดอกไม้’

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นเพียงแค่การสันนิษฐานจากผม ซึ่งการวิเคราะห์ในครั้งนี้บวกกับข้อมูลจากงานวิจัยเริ่มทำให้ผมคิดคำนวณถึงช่วงเวลาของการเกิดเหตุอีกครั้ง เพราะในงานวิจัยระบุไว้ว่า ‘เรื่องราวในวัยเด็กมักจะเกิดก่อนอายุ 6 ปี’ เท่ากับว่าสาเหตุของไฟไหม้อาจจะผ่านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 13 ปี โดยที่ตอนนั้นจันทร์น่าจะอายุประมาณ 5 ขวบ ซึ่งก็แน่นอนว่าผมจะต้องหาข่าวนั้นไม่เจอ
เพราะปีที่เกิดเรื่องมันดันคลาดเคลื่อนนี่ไง
 
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นก็เถอะ ข้อสงสัยของความคลาดเคลื่อนก็ยังมีอยู่อีกว่า ทำไมตอนที่จันทร์กำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา ถึงมีตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า ในเมื่ออัตลักษณ์ของน้องลีน่าจะออกมาใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดเหตุได้ไม่นาน
ซึ่งอัตลักษณ์ของน้องลีนั้น ก็ดูเป็นเด็กสาวที่สู้คนและยังมีความร่าเริงสดใส
ส่วนตัวตนของจันทร์นั้น ดูจะเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความสดใสแบบเด็กๆ

เมื่อคิดวิเคราะห์ได้สักพักก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเสิร์ชหาข้อมูลลงในกูเกิลเพื่อนยาก ด้วยคำว่า ‘ไฟไหม้ + สะเมิง’ พร้อมปีพุทธศักราชที่คาดว่าน่าจะเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ซึ่งในปีนั้นจันทร์น่าจะอายุได้เพียง 5 ขวบ แต่กลับไม่พบข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้เลย เพราะสิ่งที่ผมเจอดันเซอร์ไพรส์กว่านั้น ซึ่งไอ้สิ่งก็คือกระทู้การพูดคุยเกี่ยวกับนิยายเรื่อง ‘สิเน่หา’ ผมจึงกดเข้าไปอ่านแล้วพบว่านิยายเรื่องดังกล่าว มันคือนิยายจากนามปากกาของคุณ ‘อนธการ’
ซึ่งแฟนนิยายได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า สถานการณ์บางอย่างจากในนิยายเรื่อง ทำไมมันเหมือนกับเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ของตระกูลธีรบดินทร์เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว
และเหตุการณ์ที่ว่านั้นก็เกิดขึ้นที่ ‘อำเภอสะเมิง’

หากถามว่าทำไมผมถึงสะดุดใจ ‘สะเมิง’ มากเป็นพิเศษ เพราะผมบังเอิญนึกไปถึงภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นคุณแม่ของสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ มิหนำซ้ำนิยายของคุณอนธการยังมายืนยันสมมุติฐานที่ผมตั้งขึ้น
ถ้าหากผมจำไม่ผิด ตระกูลธีบดินทร์ดูเหมือนจะเป็นตระกูลผู้ดีเก่าประจำจังหวัด

ซึ่งผู้อ่านก็เท้าความถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าในปีที่จันทร์อายุได้เพียง 4 ขวบ เกิดเหตุไฟไหม้จนเรือนไทยทั้งหลังวอดวาย ซึ่งเรือนไทยหลังที่ว่าคือบ้านของใครสักคนในตระกูลธีรบดินทร์
และที่ตั้งของมัน..
ก็อยู่ที่อำเภอสะเมิง สถานที่อันขึ้นชื่อของทุ่งดอกเก๊กฮวย

โดยผู้อ่านอีกท่านก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่านิยายเรื่อง ‘ลวงรัก’ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งข่าวนั้นจะรู้กันแค่คนในอำเภอสะเมิงเท่านั้น
และเธอก็คือลูกหลานของคนในท้องถิ่น 

ต่างเล่ากันปากต่อปากว่า ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ ลูกสาวของตระกูลดังกล่าว ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุไฟไหม้ ลือกันว่าอาจจะเป็นการฆ่าตัวตาย โดยผู้อ่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ทำการหยิบยกย่อหน้าดังกล่าวจากนิยายเรื่อง ‘ลวงรัก’ ว่านักเขียนมีการเขียนถึงการถูกล่วงละเมิดทางเพศผ่านตัวละครของเด็กสาวจากอำเภอสะเมิงที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็คือเพื่อนของนางเอก
และเรื่องก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการปิดเทอม
ดังนั้นเหล่านักอ่านจึงฟันธงว่าคุณอนธการน่าจะเป็นคนอำเภอสะเมิง

ผมวางแมคบุ๊กลงบนที่นอน จากนั้นก็เอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยใจ พลางครุ่นคิดถึงนามสกุลของจันทร์อีกครั้ง เพราะผมยังจดจำได้ดีว่าในเวชระเบียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า..
‘นายเพียงจันทร์ เกิดกวี’

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังปักใจเชื่ออยู่ดีว่าต้นตอของการแตกสลาย คือเหตุการณ์ที่สะเมิง เพราะหนึ่งคือรูปของผู้หญิงคนนั้นที่วางตั้งอยู่ในห้องของน้องลี และสองคือดอกเดซี่ที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอัตลักษณ์ดังกล่าว เนื่องจากน้องลีมักจะสวมใส่ชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ อีกทั้งในห้องนอนของเธอก็ยังมีแต่ดอกเดซี่ประดับอยู่
ซึ่งดอกไม้ชนิดดังกล่าวก็มีความคล้ายคลึงกับดอกเก๊กฮวยอยู่บ้าง
และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมงุนงงก็คือ ทำไมจันทร์ถึงได้หวาดกลัวดอกสโนว์ดรอปส์

ผมหยิบแมคบุ๊กมาเสิร์ชหาความหมายของดอกสโนว์ดรอปส์ จึงทำให้ทราบว่าดอกไม้ชนิดนี้ นอกจากมันจะเป็นดอกไม้แห่งความหวังแล้ว ทว่ายังเป็นดอกไม้แห่งความตายอีกด้วย เพราะเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ แรกเริ่มเดิมทีถูกค้นพบตามโบสถ์หรือหลุมฝังศพ
ดังนั้นคำจำกัดความของดอกไม้ชนิดนี้ก็คือ..
ความหวังและความตาย

แต่ทว่าไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะทันทีที่ผมเสิร์ชคีย์เวิร์ดลงในกูเกิลว่า ‘สโนว์ดรอปส์ + อนธการ’ รายละเอียดเกี่ยวกับนิยายเรื่อง ‘ความหวังอันแสนบริสุทธิ์’ ก็ปรากฏขึ้น โดยเนื้อหาของเรื่องดังกล่าวจะมีดอกไม้ชนิดนี้เป็นสื่อกลางระหว่างพระเอกนางเอก โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส เท่ากับว่าการเขียนนิยายของคุณอนธการจะต้องมีการค้นคว้าข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต
ถ้าอย่างนั้นในอดีตจะเคยเกิดเหตุการณ์ทำนองว่า จันทร์ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักบ้างหรือเปล่า เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็ไม่แปลกใจว่าทำไมคุณชลวิทย์ถึงมั่นใจว่าจันทร์จะปลอดภัยถ้าหากอยู่ที่บ้านกลางป่าสน แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังงงๆ อยู่ดี เพราะทุกตารางนิ้วในบ้านหลังนี้ จันทร์ได้รับอิสรภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้นหากคุณอนธการมีการเดินทางออกไปข้างนอก คุณชลวิทย์ที่เอาแต่เก็บตัวจะทันรู้ตัวหรือเปล่า
หรือว่าที่ผ่านมา..
คุณชลวิทย์ไม่ได้เก็บตัวเหมือนอย่างทุกวันนี้ ?

บอกตรงๆ ผมค่อนข้างไม่เข้าใจในการกระทำของคุณชลวิทย์ เพราะเขาเป็นคนชักนำให้ผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่บางครั้งก็ทำเหมือนเจ้าตัวคิดอยากจะปิดบัง ราวกับมีความปรารถนาอะไรบางอย่าง ที่เขาอาจจะยังลังเลว่าจะเอาอย่างไรกับมันดี
และคนที่จะช่วยให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงได้
ก็คือผมคนที่ทำหน้าที่เป็นจิตแพทย์

และถ้าหากสมมุติฐานเรื่องที่จันทร์อาจจะตื่นไปเจอกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่ก็อาจจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงไปยืนอยู่ในจุดนั้นได้ หรืออาจจะไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่เจ้าตัวกำลังคิดจะทำอะไร แล้วทำไมความทรงจำมันถึงขาดๆ หายๆ
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า
ความเครียดที่เกิดขึ้น กำลังส่งผลให้อีกฝ่ายมีความต้องการทางเพศที่สูงขึ้น

ซึ่งในทางจิตวิทยาได้มีการอธิบายเอาไว้ว่า การกระทำดังกล่าวคือวิธีการหนึ่งที่จะสามารถลดความตึงเครียดทางอารมณ์ที่มันอาจจะมีมากจนเกินไป โดยที่ความตึงเครียดเหล่านั้นไม่จำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ หรือในอีกกรณีหนึ่งก็คือจิตไร้สำนึกกำลังหวาดกลัวต่อการเป็นรักร่วมเพศ เลยมีความพยายามจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการแสดงออกแบบนั้น แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ ก็คือเจ้าตัวอาจจะมีความต้องการอย่างมากที่จะเป็นที่รักและได้รับการยอมรับ บวกกับมีทัศนคติว่าร่างกายสามารถใช้เป็นเครื่องดึงดูดความสนใจและยังสามารถทำให้เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยอมรับได้
มันจึงทำให้ผมเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า..
แท้จริงแล้ว.. คนที่เข้ามาล่วงเกินผม จะใช่จันทร์จริงๆ หรือเปล่า

เพราะจากที่ผมคิดไปคิดมา อัตลักษณ์ของคุณนักเขียน ดูเหมือนจะแอบแฝงความไม่พึงพอใจในรักร่วมเพศ ซึ่งการกระทำของเจ้าของตัวตนอย่าง ‘จันทร์’ นั้น
อัตลักษณ์อื่นๆ ที่แอบแฝงอยู่ ก็สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด
จะมีก็แต่เจ้าของร่างกายที่ไม่มีวันรับรู้ได้เลย ว่าร่างกายของเขากำลังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่


゚゚❀゚゚

[1] Where flowers bloom, so does hope คำพูดของคุณ Lady Bird Johnson

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- โรคหลายอัตลักษณ์ Dissociative Identity Disorder (DID) (จริงๆ ยังมีอีกค่ะ แต่ขอไว้ลงในตอนที่เขียนถึงจะดีกว่า)
https://www.dailynews.co.th/article/598497
https://www.honestdocs.co/multiple-personality-disorder
https://goo.gl/7owrKc 
- 23 บุคลิกใน 1 คน เรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อผิดๆ
https://themomentum.co/momentum-feature-split-movie-dissociative-identity-disorder/
- ความผิดปกติทางอารมณ์
https://board.postjung.com/706874.html
- Snowdrop ดอกไม้แห่งความหวัง
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=fasaiwonmai&month=03-2012&date=17&group=2&gblog=263

ตอนนี้พี่หมอวิเคราะห์ทั้งตอน ไม่ได้เจอแม้แต่น้องจันทร์ 5555 แต่เราว่าหลายๆ อย่างน่าจะคลี่คลายลงบ้างหรือเปล่า ? เราเห็นมีคนแซวว่าน้องจันทร์หื่น 555 ในความหื่นก็ยังมีความน่าเห็นใจอยู่นะคะ คือจะบอกว่าเราลังเลมากว่าจะเขียนด้านนี้ของน้องออกไปดีมั้ย คือแบบน้องน่าเอ็นดูอ่ะ แต่ด้วยความที่มันจะต้องเชื่อมกับอีกหลายๆ อย่าง เราเลยตัดสินใจเขียนลงไป เพราะจริงๆ แล้วผู้ป่วยจิตเภทบางรายก็จะมีความต้องการทางเพศที่สูงขึ้นจริงๆ แต่บางรายก็จะไม่มีความต้องการเลย
ตอนนี้ปั่นได้เร็วเฉย พอดีเรายังไม่ง่วงนอนก็เลยเอามาลงไว้ก่อน 55
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:21:35 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 18

หลังจากที่เมื่อคืนมัวแต่เสียเวลาไปกับการคิดวิเคราะห์พร้อมทั้งหาข้อมูลที่น่าจะเชื่อมโยงไปถึงจิตใจอันแตกสลายของดวงจันทร์ท่ามกลางป่าสน เช้าวันนี้เพื่อนร่วมงานต่างพากันทักทายอย่างสงสัยว่าเหตุใดสภาพของหมอภัทรที่มักจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีถึงได้ย่ำแย่มากมายขนาดนี้ ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ให้กับทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตาถามราวกับนัดแนะกันไว้
แต่พอถึงเวลาเข้าประชุมตามคำร้องขอจากผม ท่าทีขี้เล่นทั้งหลายก็มลายหายไป ผมจึงเริ่มบอกกล่าวข้อมูลเกี่ยวกับจันทร์เท่าที่สังเกตได้ เพราะถ้าหากมันเป็นไปตามข้อสมมุติฐานแล้วล่ะก็ พวกเราก็ควรจะต้องวางแผนอะไรๆ อย่างจริงๆ จังๆ สักที เพราะการรักษาด้วยการสะกดจิตจำเป็นจะต้องเชิญแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้เข้ามารับหน้าที่ ดังนั้นบุคลากรในตำแหน่งดังกล่าวเราอาจจะต้องอิมพอร์ตมาจากกรุงเทพ ซึ่งผมคิดว่าเคสใหญ่ๆ แบบนี้ จิตแพทย์มากฝีมือหลายท่านก็น่าจะให้ความสนใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
และในคืนนี้ผมจะต้องค้นหาคำตอบให้ได้ว่า..
จันทร์มีความทรงจำที่ขาดหาย ในระหว่างที่มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์จริงหรือไม่

เนื่องจากวันรุ่งขึ้นผมได้รับการอนุมัติให้ไปทำงานนอกสถานที่เป็นเวลาสองวัน ซึ่งงานนอกสถานที่ในครั้งนี้คือการออกไปตามหาความจริงที่บ้านอมลอง ในเขตอำเภอสะเมิง โดยเป้าหมายก็คือการยืนยันเกี่ยวกับเรื่องเล่าที่กำลังแพร่หลายอยู่ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อที่จะได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเรื่องราวในวรรณกรรมเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดผ่านทางจิตไร้สำนึกของนักเขียนท่านนี้จริงหรือไม่ เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ผมจะต้องพบกับพื้นที่รกร้างจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อหลายปีก่อน
ดังนั้นก่อนที่ผมจะไปเยือนยังสถานที่แห่งนั้น ผมควรจะหยิบนิยายเรื่องดังกล่าวติดมือไปด้วย เนื่องจากคุณนักเขียนบรรยายสภาพแวดล้อมของที่นั่นอย่างละเอียด
ราวกับเขาไม่เคยลืมเลือนช่วงเวลาเหล่านั้น
ซึ่งมันก็แน่นอนว่าความทรงจำอันเลวร้ายในอดีต ปัจจุบันถูกฝากฝังไว้กับ ‘น้องลี’ และ ‘คุณนักเขียน’

โดยผู้ป่วยจะสร้างอัตลักษณ์เหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อให้แต่ละอัตลักษณ์เข้ามารองรับหรือกระทำการในสิ่งที่ตนเองไม่อาจกระทำได้ เช่น ทนเหงา ทนเศร้า ทนเจ็บปวด ทนที่จะถูกกระทำชำเรา กระทำการฆ่าตัวตาย หรือแม้กระทั่งการใช้กำลังข่มขู่ 
ซึ่งในกรณีของจันทร์ อัตลักษณ์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการถูกกระทำอันแสนเจ็บปวดจากเหตุการณ์ในอดีต โดยที่ความเจ็บปวดดังกล่าวอาจจะเป็นการทนต่อความเจ็บปวดจากการไม่ได้รับความรักจากผู้เป็นแม่
รวมถึงการทนที่จะมีชีวิตอยู่หลังจากเกิดเหตุสูญเสีย

เมื่อได้ข้อสรุปสำหรับการเตรียมความพร้อมในการรับมือแล้ว พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ ซึ่งการออกตรวจ OPD ในวันนี้ ผมมีโอกาสพบกับผู้ป่วย Bipolar Disorder หรือโรคอารมณ์สองขั้วเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งราย ซึ่งโรคไบโพลาร์เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง คือผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะทางอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างช่วงซึมเศร้า (Depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ
ซึ่งในทางการแพทย์จะเรียกว่าภาวะเมเนีย (Mania episode)

และในช่วงที่กำลังซึมเศร้า ผู้ป่วยจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง อ่อนเพลีย หมดพลังงาน ไม่สดชื่น เก็บตัว เสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย เบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง ขาดความมั่นใจในตนเอง มีปัญหาด้านความทรงจำ เพราะไม่สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้ เนื่องจากไม่มีสมาธิในการทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จ อีกทั้งยังไม่รู้สึกอยากจะทำกิจกรรมใดๆ และยังมีปัญหาในเรื่องของการกินและการนอน โดยบางทีอาจจะกินและนอนมากเกินไปหรือน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มในการใช้สารเสพติด และมองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความรู้สึกในแง่ลบ
ส่วนช่วงเมเนีย ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีพลังงานสูงมากจนผิดปกติ อารมณ์ดี ร่าเริงเกินไปอย่างไม่สมเหตุสมผล มีการโต้ตอบต่อสิ่งเร้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อารมณ์ไม่คงที่อย่างไม่มีเหตุผล และมักจะทำกิจกรรมต่างๆ ทีละมากๆ ในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังมีความหุนหันพลันแล่น เช่น คิดเร็ว พูดเร็ว พูดมาก ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีความต้องการทางเพศสูง โดยอาจจะมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าแบบไม่ยอมป้องกันได้ง่าย อีกทั้งยังมีความประมาท และยังตัดสินใจได้ไม่ดีพอ จึงทำให้เกิดความผิดพลาดสูง หรือเรียกง่ายๆ ก็คือการใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง มิหนำซ้ำยังมีการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งในแต่ละช่วงอารมณ์อาจจะเป็นอยู่ประมาณสองอาทิตย์หรืออาจจะหลายเดือนก็ย่อมได้ โดยที่อาการเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และการดูแลตนเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอาการของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจว่าอารมณ์จะต้องเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบปัจจุบันทันด่วน
ประมาณว่าเดี๋ยวก็อยากจะหัวเราะ เดี๋ยวก็อยากจะร้องไห้
ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ควรจะเอามาเป็นคำพูดฮิตติดปากเลยด้วยซ้ำ

ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์คนไข้ที่ตกค้างมาจากช่วงเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถือโอกาสแวะไปดูคนไข้ประจำวอร์ดจิตเวชที่กำลังทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมในวันนี้คือการดูหนัง แต่เห็นจะมีก็แค่น้องพราวที่ไม่ยอมสนใจเรื่องราวภายในกรอบสี่เหลี่ยม ผมจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เด็กหญิงผู้นั้น จึงเห็นว่าในมือของเธอกำลังโอบอุ้มลูกสนขนาดพอเหมาะเอาไว้ ขณะที่ริมฝีปากเล็กๆ ก็ออกแรงเป่าลม ฟู่วๆ อยู่หลายหน

“น้องพราวกำลังทำอะไรอยู่คะ ?” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบอย่างสงสัย
“หนูกำลังจะทำให้เปลือกของลูกสนมันบานออกค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพยายามตอบคำถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบไม่ต่างกัน จากนั้นเธอก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกสนในมือร้างไร้ซึ่งความอับชื้น ด้วยการเป่ากระไอร้อนจากริมฝีปากของตัวเอง

“หืม ?” ผมส่งเสียงถามในลำคออย่างไม่ค่อยเข้าใจในคำตอบนัก
“พี่เบลบอกหนูว่าถ้าหากลูกสนเปียกน้ำ เปลือกของมันจะหุบเข้าหากันแบบนี้ แต่ถ้าหากมันแห้งก็จะบานออกเหมือนอย่างที่หนูเคยเห็น สวยมากๆ เลยนะคะพี่หมอ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ยังคงแผ่วเบาด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“พี่หมอว่าน้องพราวต้องเอามันไปตากแดดไว้ตรงข้างหน้าต่างสักพักนึง ระหว่างนี้หนูก็มานั่งดูหนังรอไปก่อนดีไหมคะ?” ผมแนะนำอย่างหลอกล่อ เพื่อให้เด็กน้อยสมปรารถนาและยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นด้วย
“ดีค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็รีบเดินเตาะแตะไปยังหน้าต่างบานใหญ่ แล้วค่อยวางลูกสนในมือลงบนหลังตู้ไม้ขนาดไม่สูงนัก ก่อนจะกลับมานั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ผม เพื่อเตรียมตัวดูหนังเหมือนกับผู้ป่วยรายอื่น

กระทั่งเวลาเลิกงานเดินทางมาถึง ผมก็มุ่งตรงกลับสู่บ้านพักเพื่อไปจัดเตรียมกระเป๋าสำหรับเดินทางในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการลงพื้นที่ น่าจะช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตตั้งแต่ที่จันทร์ยังเด็กได้บ้าง ทั้งนี้ผมเลยจองห้องพักแถวๆ ตัวอำเภอสะเมิงไว้ เพราะคาดว่าการเสาะหาข้อมูลไม่น่าจะนานนัก เนื่องจากผมเพียงแค่อยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลเหล่านั้นมันออกมาจากจิตไร้สำนึกจริงหรือเปล่า อีกทั้งผมยังไม่รู้ว่าจะหาทางบอกจันทร์เกี่ยวกับอาการป่วยของเจ้าตัวอย่างไรดี และที่หนักหนาที่สุดก็คือเรื่องของคุณชลวิทย์ เพราะผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรและหวังดีกับจันทร์มากแค่ไหน เนื่องจากทุกวันนี้ผมยังไม่ให้ความไว้วางใจต่อเขามากนัก แต่ทว่าการมาเยือนยังบ้านกลางป่าสนทุกวัน มันทำให้ผมเกรงว่าเจ้าของบ้านคนพี่จะผิดสังเกต และสาเหตุสำคัญอีกอย่างก็คือร่างของผมอาจมีการผุพังก่อนเวลาอันควรผมจึงทำได้แค่เลือกเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนตามกำหนดการเดิม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากพอสมควร เพราะคุณชลวิทย์เขายังไม่รู้ตัวว่าผมกำลังมีเป้าหมายใหม่
ดังนั้นผมจึงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น
เพราะ ‘งู’ ตัวนี้ มันมีความสามารถในการหลอกล่อได้อย่างดีเยี่ยม

กลางดึกวันพุธกับบรรยากาศท่ามกลางป่าสนยังคงเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้ว่าตลอดสัปดาห์ผมจะมีโอกาสมาเยือนที่นี่แค่เพียงสองวัน
แต่ทว่า.. ในค่ำคืนนี้..
ป่าสนไม่ได้มีแต่ความเงียบเหงาและวังเวงอีกต่อไป..

“ความลับของป่าสน ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแห่งความสงสัย ขณะที่สองมือก็คอยโอบประคองเทียนหอมแท่งใหญ่อย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ตลอดเวลาที่เราสองคนก้าวเดินไปข้างหน้าตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมของลาเวนเดอร์
“ใช่แล้ว” ผมตอบรับอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ลูกสน ?” จันทร์เอ่ยอย่างงุนงง เมื่อเห็นผมก้มลงไปเก็บลูกสนแห้งที่กำลังเบ่งบานเป็นชั้นๆ อยู่บนพื้นดิน ซึ่งคำอุทานแกมซักถามแบบนั้นมันบ่งบอกได้ดีว่าจันทร์กำลังสงสัยว่า ‘ความลับของป่าสน’ กับ ‘ลูกสน’ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
“จริงๆ พี่ก็ไม่เคยสังเกตมันหรอก เพิ่งจะรู้ก็ตอนที่คนไข้ในวอร์ดพูดถึงนี่แหละ” ผมอธิบายขณะที่พาจันทร์กลับไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลอ่อน เพียงแต่จุดมุ่งหมายไม่ใช่การเข้าไปเก็บตัวอยู่ในบ้าน เนื่องจากผมตั้งใจจะพาจันทร์มาค้นหาความจริงตรงลำธารใกล้ๆ ตัวบ้าน

“จริงๆ แล้ว ลูกสนสามารถบ่งบอกถึงสภาพอากาศในบริเวณนี้ได้”
“ยังไงเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น เพราะหัวข้อสนทนาคือสิ่งที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน

“ก็เวลาที่ลูกสนมันเปียกน้ำ เปลือกของมันจะหุบลง บ่งบอกถึงความชื้นของสภาพอากาศ แต่ถ้าเปลือกของมันแห้งก็จะคลายตัวออกมาแบบนี้ บ่งบอกถึงสภาพอากาศอันแห้งแล้ง” ผมอธิบายขณะก้าวเดินมาจนถึงโขดหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับผิวน้ำมากที่สุด จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งและฝากฝังลูกสนอีกหนึ่งลูกไว้กับจันทร์ ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งวักน้ำจากลำธารสาดกระเซ็นใส่ลูกสนที่อยู่ในมือของตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกสนแห้งที่เคยผลิบานราวกับดอกไม้ก็ค่อยๆ หุบตัวลง

“นี่แหละมหัศจรรย์ของธรรมชาติ” ผมเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มและชูผลงานการทดลองให้จันทร์ได้ชื่นชม ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ถึงได้เอื้อมมาหยิบลูกสนไปจากมือผม เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับลูกสนในมือของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ สังเกตลักษณะของลูกสนแต่ละลูกว่ามันมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน ขณะที่ผมก็ได้แต่อมยิ้มให้กับภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
เพราะจันทร์ในเวลานี้กำลังน่ามองอย่างไม่รู้เบื่อ

“จันทร์ให้” หลังจากชื่นชมความมหัศจรรย์ของสิ่งรอบตัวจนพอใจแล้ว อีกฝ่ายก็ยื่นลูกสนแห้งอีกลูกหนึ่งส่งมาให้
“เพราะอะไร ?” ผมเอ่ยถามพลางยื่นมือข้างที่มีลูกสนวางอยู่บนนั้นประกอบคำพูด

“เวลาที่พี่ภัทรทำงานจนเหนื่อยจะได้รู้ว่ามีจันทร์คอยอยู่ตรงนี้” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมเก้อเขิน แต่ผมกลับหัวใจกระตุกไหว ภายในอกพลันรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างอบอุ่น เพราะการมีใครสักคนมอบความรักและความหวังดีมาให้ มันเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะวิเศษ แต่กระนั้นความรู้สึกอุ่นร้อนในกระบอกตาก็ตีตื้นขึ้นมาด้วย ซึ่งปฏิกิริยาแบบนั้นคงจะมีสาเหตุมาจากการที่ผมล่วงรู้ว่าภายในตัวตนของจันทร์กำลังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจ แม้มันจะเป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจ
เพราะผมกำลังตกอยู่ในห้วงของการมีจิตใต้สำนึกร่วมกันกับจันทร์

“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอพลางยกลูกสนในมือจรดตรงริมฝีปาก พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าของจันทร์แน่นิ่ง ส่งผลให้ใครคนนั้นออกอาการแก้มแดงจนเห็นได้ชัด
เพราะในเวลานี้แสงจากดวงจันทร์อีกดวงกำลังสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง

หลังจากนั่งเล่นตรงริมลำธารจนเพลิดเพลินแล้ว ผมก็ชักชวนให้จันทร์รีบเข้านอน เพื่อที่คืนนี้จะได้ลองพิสูจน์ดูอีกครั้งว่าคนที่ล่วงล้ำเข้ามายังห้องพักรับรองของผมจะใช่จันทร์อีกหรือเปล่า เพราะถ้าหากใครคนนั้นคืออีกฝ่ายจริงๆ ผมคิดว่าผมจะแสดงตัวในคืนนี้ เนื่องจากมันง่ายต่อการซักถามมากกว่าจะเปิดปากพูดออกไปโต้งๆ ในช่วงเวลาอื่น
กระทั่งอาบน้ำเสร็จก็ออกมาพบเจอกับความว่างเปล่า เพราะหลังจากที่ผมแสดงท่าทีในเชิงกระลิ้มกระเหลี่ยมากกว่าปกติ จันทร์ก็รีบขึ้นไปหลบซ่อนตัวอยู่บนห้องใต้หลังคา
คล้ายกับว่า..
ต่อให้มีเวลาทำใจ แต่ความเก้อเขินก็ยังคงอยู่

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มจากนั้นก็คว้าลูกสนที่จันทร์มอบให้ขึ้นมาดู พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเพราะท่าทีเก้อเขินของอีกฝ่ายอดจะทำให้หัวใจฟูฟ่องไม่ได้
ยอมรับเลยว่า..
การที่ผมได้อยู่ใกล้ๆ จันทร์ มันทำให้ผมเหมือนได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ซึ่งคำว่า ‘เด็ก’ ในที่นี้ก็คือบุคคลที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว อยากรักก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา หรือแม้กระทั่งในตอนนี้กำลังรู้สึกแบบไหนก็สามารถพูดมันออกไปได้ เหนื่อยก็แสดงออกว่าเหนื่อย เพราะความสบายใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ มันทำให้หัวใจอันแห้งแล้งรู้สึกอบอุ่น
แต่มันคงจะอบอุ่นมากกว่านี้
ถ้าหากเสี้ยวหนึ่งของความคิดไม่ได้ย้อนกลับไปโฟกัสที่ ‘โรคหลายอัตลักษณ์’

ทั้งนี้อาการที่ผมกำลังเป็นไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพียงแต่ถ้าหากเลือกได้ ผมก็อยากจะเลือกให้จันทร์เป็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอย่างสวยงามมากกว่าจะเป็นดวงจันทร์ที่จะหม่นแสงหรือสว่างไสวก็ไม่เชิงแบบนี้ ดังนั้นต่อให้ใจของผมคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรให้เป็นไปตามความต้องการ แต่ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ และ ‘การยอมรับ’ ในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น ก็สามารถช่วยให้คนที่มีหลายอัตลักษณ์อย่างจันทร์ เกิดการยอมรับในตัวเองได้
ซึ่งผมก็คาดหวังว่าถ้าหากวันนั้นมาถึง..
‘ความเป็นจริง’ จะตรงกับ ‘ทฤษฎี’ ที่ผมเชื่อมั่น..

เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งเลอะเทอะ ผมจึงเลือกที่จะนอนพักเพื่อรอเวลาที่หมายตา แต่กระนั้นลูกสนที่ได้รับมาจากจันทร์ก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ในมือ และกว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็เผลอหลับไปอย่างเหนื่อยล้าทางความคิด แต่ทว่าผมกลับต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อในเวลานี้ริมฝีปากของผมกำลังถูกครอบครองด้วยริมฝีปากของใครอีกคน
ซึ่งในครั้งนี้.. มันไม่ใช่แค่การแตะต้องแบบผิวเผิน
แต่มันคือการสอดใส่อย่างจาบจ้วง

ราวกับสัญชาตญาณดิบถูกปลุกขึ้นอย่างโหมกระพือ ผมจึงตอบโต้อีกฝ่ายด้วยความไม่ยั้งคิด จากนั้นร่างกายก็พลิกขึ้นเหนือร่างของคนใจกล้าภายในเสี้ยววินาที ขณะที่ริมฝีปากก็ทำหน้าที่บดคลึงรุกไล่ลิ้นเล็กช่ำชองอย่างหื่นกระหาย แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไรนัก เพราะวินาทีนี้ความคิดของผมกำลังมุ่งโฟกัสไปยังความหอมหวานที่เคยวาดฝันไว้ ตั้งแต่ตอนที่จันทร์เข้ามาล่วงเกินผมครั้งแล้วครั้งเล่า
ซึ่งผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน
ความอดทนถึงได้ขาดสะบั้นลงอย่างนี้

แต่สุดท้ายสติกลับถูกปลุกขึ้นจากความหลับใหล เมื่อเสียงหอบหายใจที่ไม่ใช่การเหนื่อยหอบเพราะการถูกจูบย้ำอย่างจาบจ้วง แต่มันคือเสียงหอบหายใจจากอาการ ‘แพนิค’ ที่จู่ๆ ก็กำเริบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งยังไม่ทราบด้วยว่ามันเกิดขึ้นมานานแค่ไหน
เพราะผมมัวแต่หลงระเริงอยู่ในห้วงแห่งความปรารถนามากจนเกินไป

“จันทร์..” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายพลางแตะปลายนิ้วลงตรงข้างแก้มที่เปื้อนหยดน้ำตาเพียงเบาๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่ดิ้นรนอย่างเหนื่อยหอบด้วยท่าทางน่าสงสาร
“เดี๋ยวจันทร์ค่อยๆ หายใจเข้าตามจังหวะที่พี่นับนะ” ผมเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับรู้สึกถึงความอุ่นร้อนของกระบอกตาที่ค่อยๆ ส่งผลให้ภาพตรงหน้าเริ่มจะพร่าเบลอลงเรื่อยๆ

“หนึ่ง”
“…”

“สอง”
“…”

“สาม” เสียงของผมเริ่มสั่นเครือและแหบแห้งลงทุกขณะ ราวกับการนับตัวเลขแต่ละตัวค่อยๆ พรากความสุขไปจากผม เพราะอะไรบางอย่างสะกิดใจจนผมพร้อมจะแตกสลายไปกับคนตรงหน้า
“สี่” กระทั่งนับถึงสี่อาการของจันทร์ก็ยังไม่ดีขึ้น ผมจึงส่งสัญญาณให้เขากลั้นหายใจเป็นเวลา 7 วินาที จากนั้นก็ต่อด้วยการหายใจออกอีก 8 วินาที แล้วก็ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอาการของจันทร์เริ่มดีขึ้น ผมก็นอนหลับตาอยู่ข้างๆ จันทร์พลางกุมมือของเขาเอาไว้ ส่วนในหัวก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าผมจะเริ่มสอบถามประเด็นไหนก่อนดี

“ขอโทษนะจันทร์” ผมเอ่ยพลางพลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนข้างกาย
“จันทร์..” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบจากนั้นก็หยุดบทสนทนาลง คล้ายกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี

“…”
“จันทร์เริ่มก่อนเอง พี่ภัทรอย่าคิดมากนะครับ” เด็กชายตรงหน้ากล่าวพลางขยับใบหน้าเข้ามาชิดใกล้

“อื้อ” ผมตอบรับพลางครุ่นคิดต่อไปว่าผมควรจะถามในสิ่งที่อยากจะรู้ต่อไปดีหรือเปล่า
“…”

“ที่จริงแล้ว.. พี่รู้สึกตัวทุกครั้งที่จันทร์เข้ามาในห้องนี้”
“…”

“จันทร์กำลังเครียดอะไรอยู่ หืม? พอจะบอกพี่ได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามพลางจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาอันสั่นไหวของคนตรงหน้า ฝ่ามืออันไร้เรี่ยวแรงของผมจึงค่อยๆ เลื่อนเข้าไปลูบไล้เรือนผมนุ่มอย่างปลอบใจ
“จันทร์จำได้ว่าหลายๆ ครั้ง ที่จันทร์ตื่นขึ้นมากลางดึก จันทร์จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง”

“หมายถึงยังไงเหรอจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามเพื่อให้อีกฝ่ายขยายความให้มากกว่านี้
“บางครั้งจันทร์ก็ใส่ชุดนอนของใครก็ไม่รู้ บางครั้งจันทร์ก็ขึ้นไปซุกตัวอยู่บนเตียงเล็กๆ ตรงหัวเตียง ทั้งๆ ที่จันทร์จำได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงข้างล่าง แล้วบางคืนจันทร์ก็หยิบโน๊ตบุ๊กจากที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาพิมพ์ จันทร์แต่งนิยายไม่เป็นด้วยซ้ำพี่หมอ แถมบางครั้งจันทร์ก็เจ็บตัวแบบไม่รู้สาเหตุ จันทร์ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เกิดจากอะไร จันทร์กลัว จันทร์สับสน จันทร์นอนไม่หลับ แล้วจันทร์ก็เครียดมากๆ” อีกฝ่ายพูดระบายออกมาอย่างหมดเปลือก ขณะที่สีหน้าก็บ่งบอกชัดเจนว่า ณ เวลานี้ เขากำลังเคร่งเครียดกับเรื่องราวเหล่านี้มากแค่ไหน ขณะที่ผมก็ได้รับคำตอบอย่างกระจ่างแจ้งโดยไม่ต้องถามหาเอาความอะไรอีก เพราะผมเข้าใจดีแล้วว่าจันทร์กำลังประสบปัญหาในเรื่องของความทรงจำ อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากมายแค่ไหน
ซึ่งอัตลักษณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบดังกล่าว ก็คืออัตลักษณ์ของ ‘คุณนักเขียน’ ที่ช่วงนี้มักจะออกมามีบทบาทมากกว่าน้องลี

“จันทร์พี่ขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหม ?” ผมนิ่งคิดอยู่นานจากนั้นก็เริ่มเกริ่นนำอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะประเด็นต่อไปมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของจันทร์และตัวผมเอง
“ครับ”

“ตอนที่พี่จูบ จันทร์รู้สึกยังไงเหรอ ?”
“…”

“รังเกียจแล้วก็ขยะแขยงใช่หรือเปล่า?” เมื่อจันทร์ไม่ยอมตอบคำถามผมสักที ผมก็ต้องเป็นฝ่ายกลั้นใจถามขึ้นมาอีกครั้ง
“อื้อ” จันทร์ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในลำคอ คล้ายกับอีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ในคราแรกเลือกจะพูดปดออกมาเพื่อให้ผมสบายใจ

“แล้วจันทร์เห็นภาพเหมือนคนกำลังร่วมรักอยู่ในหัวด้วยหรือเปล่า ?” ผมตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยหัวใจที่กำลังเต้นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้
เพราะผมเฝ้าแต่ภาวนาว่าคำตอบที่จะได้ฟังต่อจากนี้คือคำว่า ‘ไม่’

“ครับ”

สิ้นคำตอบรับอันแผ่วหวิวก็ราวกับหัวใจของผมเริ่มจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เหตุเพราะคำตอบนั้น คือคำตอบที่ยืนยันได้ดีว่า..
ในอดีต..
จันทร์อาจเคยถูกใครสักคนล่วงละเมิดทางเพศ


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคไบโพลาร์
 https://goo.gl/jPDB5D
- เทคนิคการหายใจบรรเทาแพนิค
 https://goo.gl/vbc12S
- วิธีการพยากรอากาศโดยไม่ต้องพึ่งกรมอุตุ
 https://goo.gl/cyrxBR

ในที่สุดก็เขียนมาจนถึงครึ่งทางแล้วจ้า ปรบมือให้ตัวเอง คิดว่าจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ยากมาก 555 จริงๆ ประเด็นหลักของตอนนี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้เราเลือกที่จะเขียนน้องจันทร์ออกมาแบบนี้ เพราะไม่อย่างนั้นหมอจะจับสังเกตได้ยาก เพราะหมอไม่มีทางเริ่มก่อนแน่นอน เนื่องจากหมอคิดว่าน้องยังเด็ก จะเห็นได้จากการที่หมอจูบลูกสนแทนการจูบน้องนั่นแหละ และที่สำคัญคือประเด็นนี้เราได้เขียนปล่อยมาหลายตอนแล้วว่า DID มันเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง รวมไปถึงเหตุผลของการสร้างอัตลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมา ก็ย่อมมีความหมายด้วยเช่นกัน
เราขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาคอมเมนต์มากๆ เลยค่ะ กำลังใจชั้นดีในการปั่นเลยทีเดียว และมันช่วยให้เราเขียนสนุกขึ้นด้วย เพราะเรื่องนี้เราต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ 555 และถ้าหากใครสนใจเรื่องราวแนวจิตวิทยา ก็สามารถติดตามได้ที่เรื่อง fall in you นะคะ ช่วงตอนพิเศษเรามีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิทยาเอาไว้บ้าง แต่ไม่ได้ลึกซึ้งมากเท่ากับเรื่องในป่าสน
ส่วนสาเหตุที่เราเลือกที่จะเขียนใส่รายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ มันเป็นเพราะโรคนี้หลายๆ คนน่าจะเข้าใจลักษณะอาการของมันแบบผิดๆ เยอะเลยแหละ

เปลือกของลูกสนในเวลาที่มันแห้งก็จะบานแบบซ้ายมือ แต่ถ้าเปียกก็จะหุบแบบขวามือค่ะ


ที่มา : https://bhoomplay.wordpress.com/2010/09/08/pinecone/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:27:10 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 19

เช้าวันเดินทางแบบนี้ แม้ผมจะไม่ต้องรีบร้อนมากนัก แต่ก็เหมือนร่างกายจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี ผมถึงได้มานอนลืมตามองเพดานอยู่แบบนี้ ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนไม่ได้นอนอยู่คนเดียว สายตาจึงหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของคนที่ในตอนนี้กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย ซึ่งผมลองคาดคะเนความน่าจะเป็นดูแล้ว ว่าเมื่อคืนนี้กว่าอีกฝ่ายจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราก็คงใช้เวลาไม่นานนัก เนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเป็นเวลานานทำให้จันทร์ไม่อาจจะต้านทานได้
ผมขยับตัวเพียงเล็กน้อย จึงทราบว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันแน่น คล้ายกับมันคือความอุ่นใจเดียวที่สามารถปลอบขวัญจากเรื่องราวเลวร้ายให้กลายเป็นฝันร้ายเพียงชั่วข้ามคืน
และนั่นก็ถือเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า..
เมื่อคืนนี้ ไม่มีอัตลักษณ์ใดถือโอกาสตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเอง

ผมเบนสายตาออกไปยังนอกหน้าต่างพบว่าท้องฟ้ายังคงมืดมิด บ่งบอกถึงช่วงเวลาเช้ามืดของวันใหม่ ผมจึงถือโอกาสนี้เริ่มใช้สมองคิดวิเคราะห์เหตุการณ์เมื่อตอนกลางดึกอย่างละเอียด โดยคิดย้อนไปถึงคืนวันที่จันทร์ล่วงล้ำเข้ามายังห้องนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งในคืนดังกล่าวผมยังจดจำความรู้สึกของตัวเองได้ดีว่ากำลังลุ้นระทึกมากแค่ไหน
และในคืนนั้นจันทร์ก็เอาแต่นอนมองหน้าผมอย่างชื่นชม
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแตะสัมผัสลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

ส่วนครั้งถัดมาก็เป็นอีกครั้งที่จันทร์สร้างความระทึกใจในยามค่ำคืน แต่กระนั้นผมก็ยังทำเนียนใส่อีกฝ่ายได้อย่างแยบยล ส่งผลให้ใครบางคนใจกล้าจนถึงขั้นใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
จนผมคิดดีไม่ได้เลย..
แต่ถึงอย่างนั้น เสี้ยวหนึ่งของความคิดก็สั่งให้ผมมองหาวิธีในการรับมือ

กระทั่งกลางดึกคืนวาน เกิดเหตุการณ์ที่อดีตเด็กชายผู้แสนขี้อาย บุกเดี่ยวเข้ามาหาผมถึงห้องพักเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้ก็อาจหาญมากกว่าครั้งใด
ส่งผลให้กว่าจะรู้ตัวอีกที..
ผมก็ถูกรุกไล่จนสัญชาตญาณดิบพลุ่งพล่าน

ทว่าสถานการณ์เมื่อคืนวานนี้แตกต่างกับคืนก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยรุกไล่อีกฝ่ายจนสุดตัว แต่เมื่อคืนสติสตังขาดสะบั้นจนเกินจะควบคุม ทำให้ผมมองเห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ผมจึงรีบมุ่งประเด็นไปยังเรื่องราวอันน่าเศร้าสลด เนื่องจากหากจันทร์เป็นฝ่ายเริ่ม อาการแพนิคก็จะไม่เกิด แต่ถ้าหากผมคือฝ่ายเริ่มหรือตอบสนอง อาการแพนิคกลับทวีคูณอย่างรวดเร็ว
โดยที่เสี้ยววินาทีหลังจากการซักถามเสร็จสิ้น..
ภาพของคุณชลวิทย์ก็แจ่มชัดอยู่ในหัว

แต่กระนั้นกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์จะมีประสิทธิภาพเพียงแค่นี้เหรอ? ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะเท่าที่ศึกษาจากเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน เขาจะมีอัตลักษณ์สำหรับ ‘ควบคุมการออกโรง’ หรือพูดให้เห็นภาพก็คงจะเป็น.. การกำหนดให้ใครสักคนที่อาศัยอยู่ในร่างเดียวกันออกมารับมือกับเหตุการณ์ในขณะนั้น
ซึ่งอัตลักษณ์ของ ‘คุณอาเธอร์’ จะรับหน้าที่ดังกล่าวร่วมกับอัตลักษณ์ของ ‘คุณเรเกน’ ที่เป็นผู้พิทักษ์ปกป้อง ดังนั้นหากร่างกายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อันตราย รวมถึงต้องใช้ความฉลาดและเหตุผลเป็นสิ่งสำคัญ คุณอาเธอร์จะเป็นคนออกโรงควบคุมสถานการณ์ด้วยการเลือกสรรอัตลักษณ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ให้ออกมารับมือ แต่ถ้าหากเป็นสถานการณ์ที่อันตราย เช่น การใช้ชีวิตในคุก คุณเรเกนจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด

ดังนั้นในกรณีของจันทร์ ผมคิดว่าถ้าหากผู้กระทำคือคุณชลวิทย์จริงๆ เขาน่าจะโดนคุณนักเขียนจัดการไปนานแล้ว เพราะรายนั้นน่ะ แค่จันทร์ล่วงเกินผมด้วยการหอมแก้มเพียงครู่เดียวก็ถึงกับด่าทอผมจนเสียหาย
แต่ถ้าหากเป็นการข่มขืนกระทำชำเราล่ะ?
คุณนักเขียนไม่กระทืบคู่กรณีจนตายเลยเหรอ ?

พอคิดได้แบบนี้ผมก็อดจะนึกไปถึงช่วงเวลาที่น้องลีออกมาสู้รบปรบมือกับคุณชลวิทย์ไม่ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความหวาดกลัว ดังนั้นอัตลักษณ์ผู้พิทักษ์ จึงถูกโยนมาให้สาวน้อยในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่
แต่ก็แปลกอยู่อย่าง.. เพราะหลายวันที่ผ่านมา จันทร์สามารถควบคุมอัตลักษณ์ต่างๆ ไม่ให้ออกมาใช้ชีวิตได้

“เฮ้ย!” ความคิดทั้งหลายพลันกระจัดกระจายในทันที เมื่อใครบางคน จู่ๆ ก็แหกปากลั่น จนผมต้องออกท่าทางพร้อมกับส่งเสียง ชู่วๆ เพียงเบาๆ เพื่อให้เขาหยุดการกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในภายหลัง เพราะเวลานี้ร่างกายของจันทร์กำลังล่วงล้ำเข้ามายังห้องนอนของผม อีกทั้งยังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเดียวกัน
หากคุณชลวิทย์ตื่นตกใจเพราะเสียงเมื่อครู่ขึ้นมา..
เกรงว่าทุกอย่างคงจบเห่แน่!

“คุณนักเขียน ใจเย็นๆ นะครับ ไม่ต้องตกใจนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก สัญญาเลยครับ” ผมกล่าวพลางขยับตัวออกห่างจากอีกฝ่ายที่มีท่าทีแปลกไปจากเดิม ซึ่งท่าทีที่ว่าก็คือ ‘ความตกใจ’ และนั่นก็เป็นข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ราวกับเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวตรงหน้า ดังนั้นผมจึงอาศัยความเชื่อบางอย่างที่ได้มาจากการศึกษาเคสของคุณบิลลี่
เพราะเท่าที่ผมจำได้..
‘คำสัญญา’ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออัตลักษณ์อื่นๆ ค่อนข้างมาก 

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแตกต่างกับจันทร์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งน้ำเสียงดังกล่าวคล้ายกับน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ เดาว่าเขาน่าจะอายุมากกว่าจันทร์พอสมควร แต่อาจจะน้อยกว่าผมไม่มากนัก
เนื่องจากสำนวนการเขียนดูสละสลวยเกินกว่าจะเป็นฝีมือของเด็กอายุ 15

ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด เพราะเคสของ ‘คุณคิมโนเบล’ ยังมีอัตลักษณ์หนึ่งที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่กลับพูดภาษาฝรั่งเศส และยังเขียนเป็นภาษาลาตินได้ ทั้งๆ ที่ตัวตนหลักสามารถพูดได้แค่ภาษาอังกฤษ
ดังนั้นสำนวนของคุณนักเขียน ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด

“เพราะทุกอย่างที่เป็นคุณ..”
“…”

“ไม่เหมือนกับจันทร์ที่ผมรู้จัก” ผมตอบพลางอมยิ้ม ขณะที่จ้องมองไปยังเพดานอันมืดสนิท เพื่อทดแทนการเฝ้ามองใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง
“…”

“คุณชื่ออะไรครับ ? ผมจิรภัทรนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เมื่อสบโอกาสเหมาะ ผมก็เริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“พีรวัตร” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ห้วนๆ ไม่มีความนุ่มนวลเหมือนกับจันทร์ ซึ่งคำตอบของเขาทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่จันทร์เคยพูดถึงนักเขียนที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณชลวิทย์
และในวันนั้นจันทร์ก็เอ่ยเรียกใครคนนั้นว่า..
‘พี่พี’

“คุณอายุเท่าไหร่ครับ ? ผม 30 แต่ก็ใกล้จะ 31 แล้วล่ะ”
“27”

“คุณมีพี่น้องหรือเปล่า ส่วนผมเป็นลูกคนเดียว แต่ก็ไม่ค่อยจะเหงาสักเท่าไหร่” ผมเริ่มถามคำถามต่อไป ขณะที่ตัวเองก็ต้องยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอีกฝ่าย
“ทำไม ?”

“ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทอยู่หนึ่งคน มันชอบกวนตีนแล้วก็ชอบวุ่นวายกวนประสาทอยู่บ่อยๆ” ผมเฉลยพร้อมกับอมยิ้ม เมื่อนึกไปถึงไอ้บาสญาติผู้น้องที่สนิทสนมกันมาก จะมีก็แต่ช่วงนี้ที่เราห่างๆ กัน ซึ่งสาเหตุก็มาจากตัวผมที่เป็นฝ่ายปลีกตัวออกห่าง เพราะต้องการใช้เวลาทั้งหมดไปกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านกลางป่าสน
“ผมก็ลูกคนเดียวเหมือนกัน”

“แล้วคุณเหงาหรือเปล่า ?”
“ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาไปกับการเขียนนิยายมากกว่า” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการยกมือทั้งสองข้างสอดเข้าใต้ศีรษะ ขณะที่สายตาก็มองตรงไปยังเพดานกว้างที่สะท้อนแสงสว่างจากภายนอกมากขึ้นทุกที ทุกที..

“แล้วเรื่องที่คุณเขียนมาจากประสบการณ์ของคุณเองหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น
“ไม่หรอก ผมก็เขียนไปตามเรื่องราวที่เคยได้ยิน” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมนึกฉงนใจ

“หมายถึงยังไงครับ คุณได้ยินมาจากใคร ?”
“ก็หลายๆ คน” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่คิดจะขยายความ ซึ่งคำว่า ‘หลายๆ คน’ ในที่นี้ ผมสามารถตีความได้ไหมว่า..
เรื่องราวที่เขาเขียน..
มันคือเรื่องราวที่ได้ยินมาจากอัตลักษณ์อื่นๆ

“น้องลีน่ะเหรอ ?”
“อืม” เขาตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ โดยไม่แสดงอาการสงสัยว่าทำไมผมถึงล่วงรู้การมีอยู่ของอัตลักษณ์น้องลี ดังนั้นจึงเป็นคำตอบได้ดีว่าพวกเขารับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ.. ‘หลายๆ คน’ ในที่นี้ สามารถตีความได้ว่า..
ยังมีอีกหลายอัตลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ และมันก็มากกว่า ‘สอง’ ใช่หรือไม่?

การพบกันครั้งแรกที่นานที่สุดของผมกับคุณนักเขียนทำให้ผมยังไม่กล้าละลาบละล้วงมากนัก เพราะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขายอมพูดดีกับผม ดังนั้นผมอยากจะอาศัยช่วงเวลานี้ ทำความรู้จักกับเขาก่อน
เพื่อที่ในอนาคต เขาจะได้ให้ความวางไว้ใจในตัวผม

“คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าตัวตนของคุณ อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยใครสักคน ?” ผมเลือกถามอ้อมโลก แต่คนฉลาดอย่างเขาน่าจะเข้าใจความหมายทางตรงได้ไม่ยาก
“ผมเป็นนักเขียนและนักเขียนก็มีจรรยาบรรณ” คำตอบของเขาเล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก

“คุณหมายถึงยังไง พูดตามตรง ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“การหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนจะเขียนนิยายสักเรื่อง ผมคิดว่ามันคือความรับผิดชอบและเป็นจรรยาบรรณที่นักเขียนควรจะมี” คำตอบของเขาทำให้ผมเริ่มกระจ่างแจ้งและเห็นด้วยกับความคิดของเขา เพราะส่วนใหญ่นักอ่านจะจดจำได้ดีก็ต่อเมื่อ เรื่องนั้นๆ ถูกสอดแทรกอยู่ในหนังสือประเภทนิยาย

“แสดงว่าคุณก็เข้าใจโรค DID ?” ผมเลือกใช้ชื่อย่อของตัวโรคในการตั้งคำถาม เพื่อทดสอบว่าเขาเข้าใจสถานภาพของตัวเองดีแค่ไหน
“อืม” และคำตอบสั้นๆ ก็ไขความกระจ่างให้ผมได้อีกครั้ง

“ครั้งแรกที่คุณมีโอกาสออกมาใช้ชีวิตในแบบของคุณ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ?”
“หลังจากที่เกิดเรื่องนั้น.. เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด” เขาตอบอย่างเลื่อนลอยจนใจของผมรู้สึกเคว้งคว้างตามไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือคนที่ได้รับความเจ็บปวดมากที่สุดใช่หรือเปล่า?” ผมทอดเสียงถามอย่างสั่นไหว เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่อาจรู้แน่ชัด กลับทำให้ผมสะเทือนใจ ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างที่ว่า ก็คือภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังคงปะปนอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัด และทุกครั้งที่ได้นึกถึงผมก็มักเจ็บแปลบอยู่ในอก
เนื่องจากผมล่วงล้ำเข้าสู่อาณาเขตแห่งจิตใต้สำนึกของจันทร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว

“ไม่หรอก ยังมีคนที่เจ็บปวดมากกว่านั้น” เขาปฏิเสธอย่างฉะฉาน
“คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเขาเป็นใคร ?”

“คุณเคยเจอเขาแล้ว” คุณนักเขียนเฉลยเพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไป คล้ายกับไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ ขณะที่ผมกำลังนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
เพราะเท่าที่ผมจำได้ นอกจาก ‘น้องลี’ และ ‘คุณพีรวัตร’ ผมก็ยังไม่เคยเจอะเจอใครอีก
แล้วทำไม..? เขาถึงบอกว่าผมเคยเผชิญหน้ากับใครคนนั้นแล้ว?

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่จะไปถามหาเอาความในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจู่ๆ คุณนักเขียนก็ตีจากไป และนั่นก็ทำให้การพักผ่อนของจันทร์เป็นไปอย่างเงียบสงบ คล้ายกับทุกๆ ตัวตนกำลังต้องการช่วงเวลาของการหลับใหล ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งคุณชลวิทย์ขับรถออกไปตั้งแต่ไก่โห่ จากนั้นเวลาในแต่ละวินาทีก็ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไป ส่งผลให้ผมไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป จึงเดินออกไปหยิบโพสต์อิทตรงคอนโซลรถเพื่อเขียนข้อความบอกใครอีกคนที่คงจะใช้เวลาพักผ่อนอย่างยาวนาน
ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว..
อาจเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเจ้าตัวก็เป็นได้

ทว่าหลังจากผมได้พูดคุยกับคุณพีรวัตร ผมกลับรู้สึกว่า ‘คำสัญญา’ มีอานุภาพแรงกล้ามากจริงๆ เพราะมันทำให้ความเชื่อใจก่อเกิดขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยการเปิดใจ จึงทำให้ผมสามารถยอมรับกับตัวเองได้ว่า ผมเริ่มรู้สึกเบาใจในเรื่องความปลอดภัยของจันทร์ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีใครอีกหลายคนพร้อมจะปกป้องจันทร์อยู่
และผมก็คิดว่าผม น่าจะเชื่อใจพวกเขาได้..
หรืออย่างน้อย ก็ ‘เชื่อใจ’ จนกว่าผมจะสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่

การเดินทางไปยังอำเภอสะเมิงกว่าจะถึงก็ประมาณบ่ายโมงกว่า เพราะผมออกจากบ้านกลางป่าสนช้ากว่าที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถือโอกาสเข้าไปเช็คอินและนำสัมภาระไปเก็บที่ห้องพัก จากนั้นก็แวะหาอะไรกินรองท้อง เพราะช่วงสายผมซื้อแต่ของกินกระจุกกระจิกจำพวกแซนวิชที่มันโคตรไม่อิ่ม แต่ทว่าตอนนั้นผมกินอะไรไม่ค่อยลงถึงได้ละเลยตัวเอง
หรือพูดง่ายๆ ก็คือผมเครียดจนไม่อยากกินอะไรสักอย่าง
แต่ที่ต้องกินก็เพื่อความอยู่รอด

กระทั่งอิ่มท้องในยามบ่าย ผมก็มุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่บ้านวัดจันทร์ ซึ่งเป็นถนนลาดยางตัดผ่านป่าสน ท้องนา และลำห้วย โดยการเดินทางท่ามกลางธรรมชาติเคล้าเสียงเพลงบรรเลง นับว่าช่วยลดความตึงเครียดไปได้มาก
เมื่อถึงเขตบ้านอมลอง ผมกลับมองไม่เห็นแม้แต่เก๊กฮวยสักดอก เนื่องจากฤดูกาลของมันเริ่มตั้งแต่ปลายตุลาคมจนถึงกลางเดือนธันวาคม แต่เดือนที่บานเยอะที่สุดคือเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนที่ผมเคยมาเยือนที่นี่เมื่อนานมาแล้ว และอะไรๆ ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะ พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดจะวาดภาพแห่งจินตนาการขึ้นมาไม่ได้ว่าในช่วงเวลานั้นผมกับจันทร์เคยเจอกันโดยบังเอิญบ้างหรือเปล่า แต่ถึงจะเคยผมก็คิดว่าอย่างไรแล้วเราคงจำกันไม่ได้
เพราะเวลามันก็ผันผ่านมาหลายปีแล้ว 
ตอนนี้ผมถึงได้หลงทางเพราะความมั่นหน้าอยู่นี่ไง

ผมปาดเข้าข้างทางพลางกางแผนที่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน เนื่องจากแผนที่ที่ดีที่สุดคือหนังสือนิยายของคุณพีรวัตร ซึ่งผมถ่ายข้อความสำคัญที่บ่งบอกเส้นทางเอาไว้ในโทรศัพท์ตอนก่อนจะออกจากโรงแรม จากนั้นผมก็เริ่มจับสังเกตทีละจุด แต่ทว่าบริเวณนี้กลับมีแต่ไร่เก๊กฮวยที่ยังไม่ออกดอก รวมไปถึงไร่นาอีกหลายแปลง และยังมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าตลอดข้างทาง มิหนำซ้ำหากมองไกลออกไปจะเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ทางขวามือ เพราะเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่นักท่องเที่ยวนิยม ซึ่งทุกอย่างมันก็เหมือนๆ กันหมด จนผมเริ่มตะแยกไม่ออกแล้ว ว่าผมควรจะเพ่งเล็งไปยังจุดใด เนื่องจากทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ซ้ำยังเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่าเรื่องเล่าจากความทรงจำของใครคนนั้น เกิดจากจิตไร้สำนึกที่ยังถูกกักขังอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน
และเรื่องเล่าที่ว่า..
ก็มาจากอัตลักษณ์ของน้องลี

ผมถอดใจต่อการเทียบเคียงใดๆ เลยตัดสินใจขับวนต่อไปเรื่อยๆ เพราะถึงอย่างไรถนนมันก็ต้องมีทางออกอยู่แล้ว และนั่นก็ทำให้ผมได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์
ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่าก็คือ..
ทุ่งดอกเก๊กฮวย 

ใช่แล้ว เดือนกรกฎาคมแบบนี้จะต้องไม่มีไร่เก๊กฮวยที่กำลังบานสะพรั่ง ซึ่งแวบแรกที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด และความคุ้นเคยที่ว่าก็ไม่ใช่เพราะไร่นี้คือไร่ที่ผมเคยมา แต่มันคือการเชื่อมโยงกับทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ ที่จู่ๆ ก็มาขยายพันธุ์ในประเทศไทย และจากคำให้การของคุณชลวิทย์ตอนสารภาพเรื่องแคปกราส์แบบจอมปลอม
ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า..
ไร่เก๊กฮวยแห่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ท่ามกลางป่าสนเป็นแน่

“คุณป้าครับ ผมรบกวนสอบถามทางหน่อยครับ” ผมลงจากรถพลางเดินลุยแปลงเก๊กฮวยสีขาวที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ
“ว่าไงรึพ่อหนุ่ม หลงทางมาอีกรายแล้วสิ” คุณป้าที่ในคราแรกกำลังก้มหน้าเก็บดอกเก๊กฮวยลงตะกร้า ลุกขึ้นยืนพลางเช็ดมือบนเสื้อผ้าปอนๆ ของเธอ

“ผมมาหาคนในรูปน่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหลงทางเข้าให้แล้ว แถมผมก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอด้วย” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มบางๆ ขณะที่คุณป้าแน่นิ่งไปหลังจากเพ่งพิจารณารูปที่ผมแอบเข้าไปถ่ายในห้องของน้องลี
“พ่อหนุ่ม คนในรูปเธอเสียไปนานแล้วล่ะ ส่วนที่ดินตรงนั้นกลายเป็นที่นาของใครป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” คุณป้าตอบพลางตั้งท่าจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ขณะที่ผมก็ไม่รู้จะเอ่ยถามออกไปอย่างไรเพื่อให้ทราบว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้น อีกทั้งยังต้องงุนงงหนักมากที่พื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นที่นาของใครก็ไม่รู้
ทั้งๆ ที่ในอินเตอร์เน็ตต่างก็พูดกันว่า..
ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้พื้นที่ตรงบริเวณนั้นเลย

“ผมขอซื้อดอกเก๊กฮวยกลับไปฝากคนที่บ้านได้ไหมครับ ?”
“เอาสิพ่อหนุ่ม” คุณป้ากล่าวพลางกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นท่านก็สาธิตการเก็บดอกเก๊กฮวยให้ผมดู ซึ่งท่านจะย้ำเสมอๆ ว่าต้องเก็บทีละดอก กระทั่งหลักสูตรเร่งรัดที่ไม่ได้ยากเย็นผ่านพ้นไป ผมก็เลือกมุมเหมาะๆ เป็นมุมฝั่งตรงข้ามของท่าน เพื่อที่เวลาถามจะได้คอยสังเกตปฏิกิริยาไปด้วย

“คุณป้าครับ ไม่ทราบว่าท่านเสียเพราะอะไรหรือครับ พอดีผมเพิ่งจะย้ายกลับมาอยู่ไทยได้ไม่นานก็เลยไม่ทราบข่าวนี้”
“ไฟไหม้น่ะ” สิ้นคำตอบของคุณป้า หัวใจของผมก็เต้นระรัวคล้ายกับเจอขุมทรัพย์ที่กำลังค้นหา

“แล้วลูกๆ ของเธอล่ะครับ ผมอยากติดต่อกับพวกเขา” ผมเอ่ยถามพลางก้มเก็บดอกเก๊กฮวยไปเรื่อยๆ ขณะที่หางตาก็คอยเหลือบมองท่าทางของคุณป้าที่ดูชะงักงันไปพักหนึ่ง
“ก็..”

“เสียยกครอบครัวนั่นแหละจ้ะ” ท่านกล่าวอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย บ่งบอกถึงท่าทีที่ไม่ค่อยอยากจะปริปากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก อีกทั้งยังส่อแววพิรุธแบบแปลกๆ คล้ายกับว่ายังมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่ที่แน่ๆ สองบ้านนี้จะต้องรู้จักแบบไปมาหาสู่กัน

“…” ผมยกยิ้มแกนๆ ส่งไปให้คุณป้าด้วยไม่รู้จะต่อบทสนทนาอย่างไร เนื่องจากผมมั่นใจว่าภาพของผู้หญิงสวยๆ คนนั้นจะต้องเป็นภาพของคุณแม่ของจันทร์กับน้องลีแน่ๆ ซึ่งคนที่เสียไปก็มีแค่น้องลีกับคุณแม่
ส่วนจันทร์ในตอนนั้นล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่!

“คุณป้าปลูกต้นเก๊กฮวยยังไงหรือครับ ทำไมถึงออกดอกก่อนฤดูกาลเยอะขนาดนี้ ?” ผมเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ยังคงเป็นคำถามที่น่าจะช่วยให้ผมรับรู้อะไรไม่มากก็น้อย
“ความลับจ้ะ” คุณป้าตอบอย่างขี้เล่น ผมจึงย่นจมูกเพียงเล็กน้อยพร้อมกับยกยิ้มให้ท่านเพียงเบาๆ

“จริงๆ พี่ชายของป้าเป็นคนคิดค้นสูตรลับนี้ขึ้นมา”
“เก่งจังเลยครับ” ผมกล่าวชมจากใจจริง เพราะผมคิดว่ามันน่าจะทำได้ยาก ไม่อย่างนั้นเมืองไทยคงจะมีดอกไม้สวยๆ ทุกฤดูกาลไปแล้ว

“ใช่จ้ะ แต่ก่อนพี่ชายป้าเคยทำงานอยู่ที่ไร่ปานรวี”
“ไร่ในตัวเมืองเชียงใหม่ที่เปิดร้านอาหารด้วยใช่ไหมครับ ?” ผมเอ่ยถามพิกัดเนื่องจากชื่อไร่มันคุ้นหูเอามากๆ แล้วอีกอย่างไร่นี้ก็เหมือนจะเป็นไร่ของครอบครัวไอ้แนน
ซึ่งเพื่อนผมคนนี้ก็เป็นลูกผู้ดีเก่าเหมือนกับคุณแม่ของจันทร์

“ป้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันจ้ะ แต่เขาไปทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ อีกอย่างสูตรนี้พี่ชายป้าก็ช่วยกันคิดกับพวกหลานๆ” สิ้นคำอธิบายเรียบเรื่อยหัวใจของผมก็เต้นระส่ำไม่หยุด เมื่อตัวเองเริ่มเข้าใกล้เส้นชัยขึ้นมาอีกขั้น
“หลานของคุณป้าต้องเก่งมากแน่ๆ เลยครับ ไม่เหมือนกับหลานของผม วันๆ ไม่ค่อยอยู่กับบ้านสักเท่าไหร่ โน่นแน่ะไปตามหาได้จากในห้าง” ผมกล่าวพลางยกยิ้มซึ่งเรื่องที่ผมพูดล้วนมีแต่ความจริง เพราะหลานของผมมันดื้อจริงๆ แต่ก็ดีที่มันไม่ได้ทำตัวเหลวไหล เพราะอย่างน้อยก็หายหัวไปเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำเอาเจอหน้าพี่พลอยทีไรพี่แกบ่นให้ผมฟังตลอด

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะ เจ้าวิทย์มันหัวดีแค่เรื่องเกี่ยวกับดอกไม้นี่แหละ” คุณป้ากล่าวอย่างถ่อมตัว
“แล้วหลานของคุณป้าไปไหนล่ะครับ ผมอยากจะเห็นหน้าคนเก่งสักหน่อย เผื่อจะได้ประจบขอสูตรลับกับเขาบ้าง”

“ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วล่ะจ้ะ ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่หรอก” สิ้นคำตอบของคุณป้า ก็เหมือนกับว่าทุกความสงสัยถูกลากเส้นเชื่อมโยงเข้าหากันโดยที่ผมแทบไม่ต้องเอ่ยถามอะไรอีก
เพราะผมมั่นใจว่า ‘วิทย์’ ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการเพาะพันธุ์ดอกไม้
จะต้องเป็น ‘คุณชลวิทย์’ ที่ผมรู้จักอย่างแน่นอน


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

สรุปใครทำน้องจันทร์ แล้วใครคือคนที่รับความเจ็บปวดของทุกๆ คน แล้วออกมาตั้งแต่ตอนไหนนะ ?
ปล. สำหรับข้อมูลในตอนนี้ บางอย่างเราหาอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณบิลลี มิลลิแกน เราเพิ่งไปซื้อมาได้เมื่อวานนี้สดๆ ร้อนๆ เพราะเราเพิ่งรู้ว่ามันมีหนังสือเล่มนี้อยู่ เอาไว้เราเขียนเรื่องนี้จบค่อยให้เครดิตและแนะนำคนที่สนใจอีกที ส่วนสาเหตุที่เราซื้อมาอ่านเพราะเราอยากรู้บางอย่างที่ทางเน็ตไม่มีบอก และเราก็ได้ข้อมูลยิบย่อยมาเยอะแยะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่อยู่ลึกลงไปจากบทความที่หาอ่านมา แต่ทั้งนี้ตัวละครของเราก็ดีไซน์ขึ้นมาเอง ที่แตกต่างกันคือบิลลีจะจดจำเรื่องราวเลวร้ายได้ (แต่เรายังอ่านไม่จบเล่ม ไม่แน่อาจจะคดีพลิกได้) แต่ช่วงเวลาของเขาจะหยุดอยู่แค่ความทรงจำครั้งสุดท้าย คือมันจะไม่ปะติดปะต่อกัน เพราะบุคลิกอื่นได้เอาเวลาของเขาไป แต่ของน้องจันทร์ เราตีความเอาจากบทความหนึ่ง (med.mahidol.ac.th) ที่เขียนเอาไว้ 'เมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์ที่รุนแรงจึงมีกลไกป้องกันตัวเองเกิดขึ้น และตัดขาดจากตัวเอง ตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง เพราะรู้สึกไม่ชอบและไม่ยอมรับในตัวตนของตัวเอง จึงแสดงออกในอัตลักษณ์ที่แตกต่างออกไป' ส่วนการพูดคุยกันของแต่ละบุคลิก เดี๋ยวไว้เราจะเขียนถึงในตอนต่อๆ ไป แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาพูดคุยกันได้ โดยที่บุคลิกหลักจะไม่รู้เรื่องด้วยเลย และไม่เคยรู้ว่ามีอัตลักษณ์อื่นๆ ซุกซ่อนอยู่
และเราก็คิดว่า ช่วงตั้งแต่การรักษาเป็นต้นไป เราอาจจะขอไล่อ่านหนังสือให้จบก่อน ตอนนี้เราอ่านของบิลลีอยู่ แต่กะว่าจะอ่านของคิมโนเบลด้วย แต่หนังสือยังสั่งมาไม่ได้เลย เพราะตอนนี้ข้อมูลที่เราได้มาบางส่วนยังไม่กระจ่างมากเท่าไหร่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:38:01 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 20

เมื่อวานผมขลุกตัวอยู่ที่ไร่เก๊กฮวยของคุณป้าจนกระทั่งทราบว่าบ้านทั้งหลังมีเพียงคุณป้าอาศัยอยู่ และท่านก็ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพอย่างหนัก เพราะดอกเก๊กฮวยกว่าจะเก็บได้แต่ละที ก็ต้องเก็บแค่ทีละดอก ส่งผลให้วันๆ หนึ่ง คุณป้าสามารถเก็บได้มากสุดเพียงสองตะกร้า พอวันนี้ได้ผมมาช่วยอีกแรง เลยได้เพิ่มเป็นสามตะกร้า ซึ่งเราตกลงกันว่าจะซื้อขายตามราคาปลีก คุณป้าก็เลยแนะนำให้ผมซื้อแบบที่อบแห้งแล้ว พร้อมกับมอบดอกสดๆ ให้ผมมาอีกหนึ่งกำมือ เพื่อเอาไปใส่รถ หรือไม่ก็วางไว้ในห้องนอน กลิ่นจะได้หอมๆ
หลังจากนั้นเราก็คุยกันด้วยเรื่องทั่วไป ทำให้ผมทราบว่าอันที่จริงแล้ว ต้นเก๊กฮวยปลูกไม่ยากนัก เพราะบางทีฝนตกใส่หน่อย มันก็ออกดอกเสียเยอะแยะ เลยทำให้พี่ชายและหลานชายของคุณป้าสามารถทำให้มันออกดอกนอกฤดูกาลได้ทีละมากๆ ซึ่งคุณป้ายังบอกอีกว่าสูตรนี้ป้าไม่ค่อยได้ใช้ เพราะการจะทำทั้งนาข้าวและไร่เก๊กฮวยในเวลาเดียวกันมันเป็นงานที่หนักเกินไป ผมจึงสอบถามไปว่าทำไมคุณป้าไม่ให้เพื่อนบ้านหรือจ้างใครมาช่วยทำดูแล เผื่อจะทุ่นแรงได้บ้าง ซึ่งท่านก็ส่งยิ้มบางๆ เป็นคำตอบ จึงทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะดูเหมือนว่าคุณป้าจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวซ้ำยังไร้ปฏิสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าคนในเขตบ้านอมลองไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้พื้นที่ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ คาดว่ามีสาเหตุมาจากการฆ่าตัวตายของหญิงสาวตระกูลผู้ดี
ผมจึงเริ่มเชื่อมโยงอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น..

โดยเริ่มจากข้อสันนิษฐานว่า พื้นที่ที่ผมกำลังตามหาอาจจะอยู่ในละแวกนี้ เพราะนาข้าวก็มีอยู่เยอะแยะพอๆ กับไร่เก๊กฮวย ประการที่สองคือผู้คนในละแวกนี้ไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่ดังกล่าว จึงทำให้คุณป้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนนาข้าวบนพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ จะเป็นของใครไปได้หากไม่ใช่ของคุณป้า
แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ อะไรทำให้ท่านเลี่ยงจะพูดความจริง?
หรือเป็นเพราะคุณชลวิทย์หลานชายของท่านและจันทร์ที่เป็นคนเคยรู้จัก?

อันที่จริงผมยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถามออกไป แต่ก็พอจะรู้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะ เลยตัดสินใจว่าอาจจะต้องกลับมาตามหาความทรงจำที่หล่นหายไปด้วยวิธีทางการแพทย์ เพราะถึงอย่างไรการหลอมรวมอัตลักษณ์ต่างๆ ก็ต้องแลกมาด้วยการปะติดปะต่อความทรงจำให้สมบูรณ์ โดยผ่านความร่วมมือของอัตลักษณ์ต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เมื่อตัวตนที่อาศัยอยู่ในร่างของจันทร์ ไม่ใช่ตัวตนนอกคอกสุดแสนจะดุร้ายหรือว่าดื้อดึงเหมือนกับเคสอื่นๆ สาเหตุก็เพราะการมีอยู่ของพวกเขายังไม่ได้สร้างความยากลำบากให้กับจันทร์
โดยสังเกตได้จาก.. การที่จันทร์เพิ่งจะทราบถึงความผิดปกติของตัวเอง
ดังนั้นปัญหาใหญ่ก็น่าจะอยู่ที่ความทรงจำเหล่านั้น เจ้าตัวพร้อมจะยอมรับมันหรือไม่

ขณะที่ตัวผมก็ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ให้มาก เพราะเอาเข้าจริงโรคนี้ยังเป็นโรคที่ทำให้จิตแพทย์แบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย
โดยฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อ และอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเชื่อ
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการบัญญัติหลักเกณฑ์การวินิจฉัยออกมาแล้วก็ตาม..

ด้วยความที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานนอกสถานที่ ซึ่งอันที่จริงมันคือวันที่ทางโรงพยาบาลให้โอกาสผมได้หยุดพักผ่อนจากการเดินทาง ทำให้ผมไม่ต้องรีบร้อนอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรข้อมูลที่ได้มาก็ถือว่ายืนยันได้มากพอแล้ว ดังนั้นผมจึงมีเวลาหลงเหลืออยู่อีกมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรีบเช็คเอาท์ เพราะผมอยากไปฝากท้องไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลำไยเจ้าดังของอำเภอสะเมิงสักหน่อย จากนั้นก็ค่อยแวะไปที่บ้านกลางป่าสน แล้วค่อยกลับเข้าบ้านตัวเองสักช่วงหัวค่ำ
กระทั่งเดินทางมาจนถึงอำเภอฮอด บรรยากาศรอบๆ บ้านกลางป่าสนในช่วงกลางวัน ดูไม่ค่อยจะคุ้นเคยสักเท่าไหร่ เพราะทัศนวิสัยรอบๆ กาย มันชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ได้มาเยือนยังสถานที่แห่งนี้ 

หลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว ผมก็ลงจากรถพร้อมกับปรายตามองไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ จึงทราบว่าเวลานี้สองคนพี่น้องกำลังอยู่ด้วยกันตามลำพัง จากนั้นผมก็ตั้งท่าจะเคาะประตู แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ โดยเลือกจะทดสอบดูว่าประตูบานนี้ล็อกกลอนเอาไว้หรือไม่
ซึ่งคำตอบก็คือ ‘ไม่’
เวลานี้ผมจึงก้าวเข้ามาพบเจอกับความว่างเปล่า..

ที่ไม่ได้ว่างเปล่าอย่างตาเห็น เพราะสุ้มเสียงของคนสองคนกำลังดังเล็ดลอดออกมาจากประตูที่เปิดแง้มไว้ บ่งบอกได้ดีว่าบ้านหลังนี้มีผู้อาศัยอยู่จริงๆ
และกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกัน..
ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผม ‘ช็อก’

เพราะผมมองเห็นจันทร์กำลังไหวเอนอยู่บนร่างของคนคนหนึ่ง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของใครคนนั้น แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร ซึ่งมันทำให้ร่างของผมราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยอะไรสักอย่าง และมันก็เจ็บปวดตรงที่ๆ ถูกตรึงไว้
ซึ่งตำแหน่งที่ว่า..
ก็คือ ‘หัวใจ’

สีหน้าสะท้อนความสุขพร้อมกับน้ำเสียงแห่งความพึงพอใจ ทำเอาผมหน้าชาอีกทั้งสมองยังว่างเปล่า แต่ทว่าจนแล้วจนรอดผมก็ยังยืนมองภาพดังกล่าวจนกระทั่งทุกฝ่ายสุขสม
ยกเว้นผม..
ที่กำลังยืนใจแตกสลายอยู่ตรงนี้..

“พี่ภัทร” เสียงเรียกของจันทร์ส่งผลให้ผมตื่นจากภวังค์และมันก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังเสียน้ำตาให้กับความรักที่เคยวาดฝันว่ามันจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากผมครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างดีและดีกว่าทุกครั้ง แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง แม้ว่าที่ผ่านมา ผมจะเป็นคนใจเย็น อีกทั้งยังมีสติมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นเพราะผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายและความเป็นจิตแพทย์ก็คอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่าคนคนนี้ต้องการกำลังใจและการยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ทว่าเรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไป เพราะผมไม่ทันคาดคิดว่าคนที่ทำร้ายจันทร์อาจจะเป็นคนอื่น และคนที่ทำให้จันทร์ห่างหายจากความหวาดกลัว
ก็เห็นๆ กันอยู่..
ว่าใครคนนั้น คือ ‘คุณชลวิทย์’

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ” ผมเอ่ยแค่นั้นแล้วก็เดินหนีออกมา แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังแอบหวังว่าจันทร์จะออกมาอธิบายให้ผมเข้าใจ หรือไม่ก็ตามมากระชากประตูรถให้เปิดออก
ทว่าทุกสิ่งที่หวัง มันกลับว่างเปล่า..
ว่างเปล่าไปหมด..

กระทั่งผมขับรถห่างไกลออกมาจากบ้านหลังนั้นจนเกือบจะถึงครึ่งทางของป่าสนด้วยท่าทีใจลอยกว่าปกติ ฉับพลันคำพูดหนึ่งของคุณพีรวัตรก็ย้อนคืนกลับมา
ซึ่งมันเป็นคำพูดที่บ่งบอกได้ว่า..
ภายในร่างกายของจันทร์ ยังมีใครอีกคนที่ผมเคยรู้จัก.. 

ผมเหยียบเบรกพลางนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน โดยนึกย้อนไปถึงสีหน้าของใครคนนั้นที่ดูมีความสุขกับกิจกรรมที่ตัวเองกระทำ อีกทั้งท่าทางร่าเริงดังกล่าวก็ยังคล้ายคลึงกับความร่าเริงของจันทร์ในครั้งแรกที่พบเห็น
แต่พอครั้งต่อๆ มา..
จันทร์ที่ผมรู้จัก กลับเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าวันวาน..

ผมยังจดจำท่าทางโหวกเหวกเพื่อให้คุณชลวิทย์รีบออกมาดูแขกคนสำคัญได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังสามารถจดจำอากัปกิริยาที่ทำให้ผมต้องหลุดยิ้มออกมาเพียงครู่ ทว่าทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มันก็แค่ความรู้สึกเอ็นดู ไร้ซึ่งความสนใจในเชิงอื่นใด เพราะเท่าที่จำได้ หลังจากอีกฝ่ายขึ้นไปเก็บตัวอยู่บนห้องใต้หลังคา
ทุกความสนใจของผมที่มีต่อจันทร์คนนั้นก็หมดสิ้นลง..
และเมื่อลองเทียบเคียงกับจันทร์ของผมที่ค่อนข้างนิ่งๆ เรียบๆ ก็เริ่มมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ผมไม่รีรอที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่เคยทำให้เสียน้ำตาอีกต่อไป เพราะอย่างน้อยคนที่ทำแบบนั้นก็คืออัตลักษณ์อื่นที่อาศัยอยู่ในร่างของจันทร์ และวันข้างหน้าเขาก็ต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่าย อีกทั้งก่อนหน้าที่ผมจะได้มารู้จักกับจันทร์ ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีใครมาก่อน
ส่วนภาพพวกนั้น ผมคิดว่าสักวันผมคงจะลืมมันได้..
แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ผมควรจะโฟกัสในตอนนี้ก็คือการพาตัวจันทร์ออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เพราะมันไม่ปลอดภัยสำหรับอีกฝ่ายที่เป็นตัวตนจริงๆ ของร่างกายนั้นเลย เนื่องจากเราไม่มีทางล่วงรู้ได้ว่าอัตลักษณ์ต่างๆ จะปรากฏตัวออกมาตอนไหน เพราะการที่จันทร์อีกคนสามารถปรากฏตัวในตอนนี้ได้ ก็แสดงว่าอันที่จริงการสลับตัวจะต้องเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และสักวันหนึ่งอาจจะเกิดการสลับตัวในขณะที่ใครบางคนสร้างเรื่องเอาไว้
ซึ่งถ้าหากมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง..
ผมคิดว่าการจะนำตัวตนจริงๆ ของจันทร์กลับคืนมา คงจะ ‘ยาก’ มากแน่ๆ

“ไอ้บาสมึงมาที่บ้านกลางป่าสนด่วนเลย” ผมโทรหาไอ้บาสและทันทีที่มันรับสายก็รีบพูดใจความสำคัญส่งไปให้ จากนั้นก็รีบวางสายและดับเครื่องยนต์ แล้วก้าวเดินเข้าไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลอันคุ้นเคยที่บรรยากาศในเวลานี้ แตกต่างจากช่วงเวลาก่อนหน้าอยู่มากโข
“ผมจะพาตัวจันทร์ไปรักษา” ทันทีที่คุณชลวิทย์เดินออกมาจากห้องนอนที่ยังคงมีร่างของจันทร์ผู้ซึ่งถูกใครสักคนครอบครองอยู่ ผมก็ออกปากบอกความประสงค์ให้อีกฝ่ายทราบอย่างชัดแจ้ง

“แน่นอนครับว่าผมอยากให้คุณหมอพาตัวเขาไปรักษา” คุณชลวิทย์กล่าวพลางยกยิ้มเล็กน้อย ซึ่งมันไม่ควรจะเรียกว่าการแย้มยิ้มสักเท่าไหร่ ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มอย่างใจเย็น ขณะที่ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ผมมั่นใจว่าคุณรู้.. ว่าจันทร์ป่วยเป็นโรค DID”

“แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือคุณต้องการอะไรกันแน่ ?”
“ผมก็ต้องการให้คุณหมอรักษาเขานี่แหละครับ แต่ก่อนจะรักษาผมอยากได้ความมั่นใจว่ามันคือเรื่องจริง”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ถามผมตรงๆ ครับ แต่ผมว่าเราอย่าเพิ่งเสียเวลาจะดีกว่า เราควรเข้าเรื่องเมื่อครู่ที่ผมถามคุณออกไป เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องให้ความร่วมมือกัน และการกระทำเมื่อครู่ของคุณมันสามารถทำร้ายจิตใจของจันทร์ที่เป็นตัวตนจริงๆ ทางอ้อมได้นะครับ คุณรู้จักเขา แล้วก็อยู่กับเขามานาน ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

“ครับ ผมรู้.. เพราะสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือการช่วยยื้อเขาไว้”
“คุณหมายความว่ายังไง ?”

“แล้วคุณหมอคิดว่าจันทร์คนไหนคือตัวตนจริงๆ ของเขาล่ะครับ ถ้าหากคุณหมอเข้าใจตรงกันกับผม สิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมดก็จะกระจ่าง”
“…” สิ้นคำพูดของอีกฝ่ายก็เหมือนกับว่าสมองของผมกำลังถูกค้อนทุบตีอย่างรุนแรง
เพราะคำพูดของเขามันคือความจริงที่ผมลืมนึกถึง

“ที่ผมดึงหมอเข้ามา เพราะผมอยากให้หมอช่วยยืนยันว่าเขาป่วยเป็นโรคนั้นจริงๆ เพราะการที่หมอได้เห็นด้วยตาตัวเอง โดยที่ผมไม่ได้ชี้นำ ในความคิดของผมมันน่าเชื่อถือมากกว่า และผมก็ยอมรับว่าผมยังทำใจยอมรับกับอาการป่วยของเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริง..”
“…”

“ก่อนหน้านี้.. ผมเคยพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้จันทร์เลิกทำตัวแบบที่ผ่านมา แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปไม่ได้..”
“…”

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม และนับวันตัวตนจริงๆ ของจันทร์ก็ยิ่งตื่นขึ้นมาน้อยลง”
“…” คำพูดเมื่อครู่ของคุณชลวิทย์ตรงเข้ากระแทกใจของผมเต็มๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดันแย่กว่าที่ผมคิดไว้ เนื่องจากมันไม่ใช่แค่การได้เห็นภาพบาดตาบาดใจ
แต่ดันกลายเป็นว่า..
‘จันทร์’ ของผม อาจเป็นเพียงอัตลักษณ์หนึ่ง ที่ ‘จันทร์’ อีกคนสร้างขึ้น..

   
゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้น่าจะเรียกว่าเคลียร์ปมตั้งแต่ต้นเรื่องพฤติกรรมของคุณชลวิทย์ได้บางส่วน แหะๆ เราเขียนดราม่าไม่เก่ง มันก็จะมาในรูปนี้นี่แหละ จริงๆ ปมตรงนี้คืออันดับแรกของเรื่องที่เราคิดได้เลย เป็นเรื่องที่ดาร์กและยากที่สุดสำหรับเราแล้วจริงๆ

อีกเรื่องคือ วันนี้เราอ่านเคสของบิลลีมาได้หลายบท แต่เหมือนถูกหลอกมาหลายตลบมาก คือเราเคยบอกว่าบุคลิกหลักจะไม่ได้ยินเสียงของบุคลิกอื่นใช่มั้ยคะ (ตอนที่เราอ่านคือมันพีคตรงที่บิลลีตัวจริง ไม่เคยออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเลย) ดังนั้นผลตรวจก็คือของบุคลิกอื่นนั่นแหละ แต่พอช่วงที่เค้าออกมาตอนที่ได้รับการบำบัดทางจิตวิทยา เขาบอกกับหมอว่าได้ยินเสียงแบบอยู่ที่ไกลๆ เลยค่ะ เสียงเบาเหมือนอยู่นอกประเทศ แต่เขาไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกัน รู้แค่ว่าเหมือนพยายามจะพูดคุยกับตัวเอง เขาเลยถามหมอว่าคนพวกนี้คือคนที่อยู่ในตัวเขาตามที่มีคนเคยบอกใช่หรือเปล่า

แต่ที่เราได้ข้อมูลมาจากจิตแพทย์ ซึ่งเพื่อนเราเคยไปขอข้อมูล (คนที่เป็นโรคนี้ในไทยก็มีค่ะ) มาเล่าให้ฟังว่า บุคลิกหลักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีหลายบุคลิก เขาจะรู้ก็ต่อเมื่อมีคนบอกค่ะ ซึ่งตรงนี้มันเท่ากับว่าเขาจะต้องไม่ได้ยินเสียงด้วย เราก็เลยไปอ่านเคสของคุณคิมโนเบลมาประมาณ 50 กว่าหน้าที่เป็นตัวอย่างให้โหลด เพราะหนังสือเรายังไม่มา ทีนี้เลยพอจะเข้าใจว่า บุคลิกทั้งหมดของเธอจะไม่รู้จักกันเลยค่ะ และเธอก็ไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของตัวตนอื่นๆด้วย ส่วนของบิลลีคือจะรู้จักกัน คุยกันได้ แต่บางบุคลิกก็จะใช้พลังจิตซ่อนตัว ทำให้บุคลิกอื่นไม่รู้จักเขา แต่เท่าที่เพื่อนเราที่ไปถามจิตแพทย์ บอกมาว่า ทุกตัวตนจะรู้จักกันหมดค่ะ และถ้ามีบุคลิกเกิดใหม่ พวกเขาก็จะรู้ค่ะ แล้วเราก็บังเอิญไปเจอข้อมูลจากงานของนักศึกษาท่านนึงเขาได้มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับ DID และโรคจิตเภทว่ามีความเหมือนและคล้ายยังไงบ้าง ก็พบว่าบุคลิกหลักจะได้ยินเสียงเหมือนกันค่ะ

เราเลยคิดว่ามันน่าจะแล้วแต่เคสมากกว่า แต่เราได้ลองถามไปทางเฟซของนักจิตวิทยาแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบเรากลับมาหรือเปล่า  ถ้ายังไงเราอาจจะอ้างถึงเคสใดเคสหนึ่งเพื่อความชัวร์ดีกว่าค่ะ หรือถ้าใครมีข้อมูลก็อาจจะแย้งได้นะ เราเองก็เริ่มงงแล้ว 55 เพราะจริงๆ เริ่มแรกที่คิดจะเขียนคือเรามั่นใจข้อมูลที่ได้มาจากเพื่อนเลยแหละค่ะ เพราะว่าเพื่อนไปสัมภาษณ์มาเองเลย แต่พอเจอหลายๆ เคสก็สับสนเหมือนกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:44:54 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
โดนทำร้ายจิตใจ T-T

#ไม่ใช่เพราะสลับคู่
#แต่เพราะNCสั้นไป 5555

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 21

“มีแต่น้ำเกลือล้างแผล พอไหวหรือเปล่าคุณ ?” ผมเอ่ยถามคุณพีรวัตรที่ได้โอกาสออกมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง โดยเขาเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นอย่างเด็ดขาดว่าจันทร์ควรจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง พร้อมกับไปยืนรออยู่ตรงข้างรถอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าสีหน้าของคุณนักเขียนกลับดูไม่ค่อยจะโอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งผมคิดว่าพอจะทราบสาเหตุที่ทำให้เขาออกอาการไม่สบอารมณ์ขนาดนั้น เพราะเท่าที่ผมรู้เขามีอคติกับรักร่วมเพศ จากนั้นตัวเขาก็ดันตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่กำลังตกอยู่ในสภาพราวกับเพิ่งเสร็จกิจ
หากไม่ช็อกก็คงจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งน่าดู

“ดื่มกาแฟร้อนๆ สักหน่อยนะครับ” ไอ้บาสกล่าวพลางยื่นแก้วกาแฟใบเล็กส่งให้กับคุณนักเขียนที่ไม่มีวี่แววจะสนใจของกินในมือมันสักเท่าไหร่ ผมเลยเป็นฝ่ายรับหน้าที่นั้น โดยวางแก้วกาแฟลงบนที่นั่งข้างๆ อีกฝ่าย เพราะเวลานี้คุณพีรวัตรกำลังก้มหน้าก้มตาใช้น้ำเกลือเช็ดไปตามเนื้อตัวอย่างรุนแรง จนมันขึ้นสีแดงเป็นปื้นๆ บ่งบอกท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ต่อสิ่งที่ตัวเองพบเจอ
เนื่องจากร่องรอยในที่ลับ คงจะมากพอให้เข้าใจอะไรง่ายๆ ว่า..
ในระหว่างที่เจ้าตัวกำลังหลับใหล มันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“พี่โอเคนะ ?” พอเห็นว่าใครบางคนดูจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากการทำความสะอาดร่างกายของตัวเอง ไอ้บาสก็หันมาถามความเห็นจากผม เพราะมันเดินบังเอิญได้ยินบทสนทนาอันเข้มข้นเข้าพอดี
ซึ่งบทสนทนาที่ว่า..
ก็คือการย้ำเตือนซ้ำๆ ว่าจันทร์ของผม ไม่ใช่จันทร์ที่มีตัวตนอยู่จริง

“แล้วมึงคิดว่ายังไง ?” ผมย้อนถาม เพราะตอนนี้บอกตามตรงว่าผมสับสน และไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าตัวตนที่อาศัยอยู่ในร่างของจันทร์ มีทั้งหมดกี่ตัวตน และแต่ละคนเป็นใครกันบ้าง
“ก่อนอื่นพี่ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดที่พี่เจอในบ้านหลังนั้นให้ผมรู้ ผมถึงจะวิเคราะห์ได้”

“ไว้เราค่อยคุยกันที่บ้านก็แล้วกัน เรื่องมันยาวว่ะ”
“ไม่มีปัญหา” ไอ้บาสว่าพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย

“เบาๆ หน่อยสิคุณ ไม่เจ็บหรือไง?” ผมเอ่ยถามคุณนักเขียนที่ยังคงนั่งเอาน้ำเกลือเช็ดผิวไม่ยอมหยุด
“ถ้าตอนนี้ผมใช้มันอาบตัวได้ ผมคงทำไปแล้ว” คุณพีรวัตรเอ่ยราวกับประชด แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูด มันคือความต้องการอย่างแท้จริง

“ว่าแต่คุณตื่นมาเจออะไรแบบนี้บ่อยหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ดูจะใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย เพราะถ้าหากจันทร์ตัวจริงมีความสัมพันธ์กับคุณชลวิทย์ในเชิงนั้น มันต้องเกิดปัญหากับเขาอย่างแน่นอน
“ไม่บ่อยเท่าไหร่..”

“เพราะในบรรดาพวกเรา เขาคือคนที่เข้มแข็งที่สุดแล้วก็อ่อนแอที่สุด แต่เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้นานที่สุด”
“คุณหมายถึง.. จันทร์ที่มีความสัมพันธ์กับคุณชลวิทย์ ?”

“อืม คนคนนั้นที่ผมเคยบอก.. อันที่จริงก็คือเขานั่นแหละ”
“แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าเขาอ่อนแอที่สุด ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เพราะจากสีหน้าและพฤติกรรมอันร่าเริงของคนคนนั้น มองยังไงก็ไม่มีวี่แววของความเศร้าหมอง แต่ที่คุณพีรวัตรพูดมาก็มีเหตุผล
เพราะคนที่มีความสุขที่สุด..
บางครั้งก็มักจะซุกซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากมาย

“เขาคือคนที่รองรับความเจ็บปวดทั้งหมด แต่เขาก็โชคดีที่ยังได้รับความรัก” คุณพีรวัตรกล่าวทั้งๆ ที่สายตาของเขากำลังมองตรงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย ราวกับจุดโฟกัสอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล
“สิ่งที่คุณกำลังจะบอกผมคือความเจ็บปวดพวกนั้น ทำให้เขาได้เจอกับความรักที่เขาไม่เคยได้รับมัน ใช่ไหมครับ ?” ผมย้อนถามขณะที่ในใจก็เริ่มปวดหนึบ

“อืม เขาเคยบอกผมอย่างนั้น แต่มันก็งี่เง่ามากที่ความสุขของเขา ดันเป็นความทุกข์ของผม” คุณนักเขียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยในคราแรก จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นใส่อารมณ์อย่างฉุนเฉียว
“แล้วคุณสื่อสารกับเขายังไง ?” ผมย้อนถามอย่างสนใจ เพราะจากคำพูดของคนตรงหน้า ทำให้ผมเริ่มจับสังเกตถึงสารลับบางอย่างที่จะสามารถไขข้อข้องใจให้ผมได้ ซึ่งไอ้บาสก็คงจะจับใจความดังกล่าวได้เช่นกัน
เวลานี้เราสองคนพี่น้องถึงได้เฝ้ามองคุณนักเขียนอย่างใจจดใจจ่อ

“อันที่จริงผมไม่ค่อยได้คุยกับเขา เพราะกฎของเรา คือการต่างคนต่างอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมกับลีก็ยังถือว่าสนิทกันในระดับนึง”
“…”

“เราเลยใช้วิธีคุยกันผ่านทางสมุดบันทึก”
“เพราะอะไรถึงต้องทำอย่างนั้นครับ ?” ไอ้บาสเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์ แต่ละตัวตนจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ หรืออาจจะไม่ติดต่อสื่อสารกันเลยก็มี ซึ่งการพูดคุยของแต่ละอัตลักษณ์ จากเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน ทำให้ผมทราบว่า
การสื่อสารของพวกเขา..
มีทั้งแบบที่พูดในใจและแบบที่พูดโดยไม่ออกเสียง

“ตอนนั้น.. ยังไม่ถึงเวลาที่จันทร์จะต้องรับรู้เรื่องราวของพวกเรา” คุณพีรวัตรกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด บ่งบอกถึงสภาวะผู้นำที่ต้องคอยปกป้องเจ้าของร่าง
“แล้วเรื่องที่พวกคุณคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ ?” ไอ้บาสเอ่ยถามขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม ซึ่งมันก็เป็นคำถามที่ตรงใจผมเข้าพอดี

“กับลีเราแลกเปลี่ยนกันเรื่องพล็อตนิยาย แต่กับเขา.. เราทะเลาะกันเพราะเรื่องของไอ้ชลเสียมากกว่า”
“คุณหมายถึง พวกคุณทะเลาะกันเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา ?” ผมย้อนถามเพื่อความแน่ใจ โดยเลือกใช้คำเลี่ยงๆ สักหน่อย แต่คนฉลาดอย่างคุณพีรวัตร
ผมคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจ..
ว่าความสัมพันธ์นั้น คือความสัมพันธ์ในรูปแบบไหน

“ครับ ก็อย่างที่ผมบอกว่าความสุขของพวกเขา คือความทุกข์ของผม อันที่จริงเราควรจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หรืออย่างน้อยก็เดินกันคนละครึ่งทาง.. ไม่ใช่แบบนี้”
“แต่คุณเป็นนักเขียน คุณก็น่าจะรู้ว่าความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คุณถึงปล่อยให้เขาทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ” ไอ้บาสกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“ครับ”
“แล้วแบบนี้คุณจะปกป้องจันทร์ที่เป็นตัวตนหลักได้หรือครับ ผมมั่นใจว่าถ้าหากเขารู้ เขาจะต้องยอมรับมันไม่ได้แน่ๆ” ผมเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องทำใจเย็นเข้าไว้ เพราะจากที่ได้พูดคุยกันมานาน
ผมเริ่มจะมองรูปการณ์ออกบ้างแล้วว่า..
จันทร์คนไหน คือจันทร์ตัวจริง

“เพราะแบบนี้ผมถึงอยากให้เขาได้รับการรักษา” คุณพีรวัตรกล่าวพลางก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่ค่อยๆ หยดแหมะลงบนตักจนเราสองคนถึงกับตกใจ แต่ไอ้บาสก็มีสติมากพอที่จะเดินเข้าไปซื้อทิชชู่มาให้อีกฝ่าย
“…”

“เพราะการตัดสินใจของผม..”
“…”

“การตัดสินใจที่ผิดพลาด..” คุณนักเขียนกล่าวพลางสะอื้น
“…”

“หลังจากนั้นคนที่ตื่นขึ้นมาก่อนผม.. ก็คือ..” คำพูดอันกระท่อนกระแท่นของคุณพีรวัตร ค่อยๆ ทำให้หัวใจของผม เริ่มเต้นรัวอย่างหนัก พลางภาวนาให้คำตอบที่กำลังจะได้รับ ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผมไม่อยากได้ยิน
แม้ว่าน้ำเสียงของจันทร์..
ในตอนที่ร้องเรียกผมด้วยคำว่า ‘พี่ภัทร’ จะบ่งบอกอะไรๆ ได้ชัดเจนแล้วก็ตาม..

“จันทร์” สิ้นคำตอบของอีกฝ่ายผมก็หมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ เพราะการที่จันทร์ตัวจริงตื่นขึ้นมาพบเจอกับเหตุการณ์นั้น ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อการหลับใหลอย่างไม่มีวันหวนกลับ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว อาจจะไปกระตุกในใจเรื่องบางเรื่องที่เจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้จิตไร้สำนึก
ซึ่งเรื่องราวที่ถูกเก็บซ่อน..
ก็เป็นเหตุให้เกิดการสร้างตัวตน เพื่อเข้ามารับมือกับเรื่องราวดังกล่าว

หลังจากแวะทานอาหารมาจากข้างนอกจนเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเราก็เดินทางมาจนถึงบ้านของผมเสียที โดยผมจัดเตรียมที่หลับที่นอนของอีกฝ่ายไว้ในห้องนอนของผม และผมก็ยอมเสียสละเตียงนอนให้กับผู้มาใหม่ สาเหตุก็เพราะผมกลัวว่าถ้าหากอัตลักษณ์อื่นตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกจะก่อความวุ่นวายเพราะความตกใจ
ผมจึงคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้น่าจะดีกว่า..
เพราะผมยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของพวกเขามากนัก 

จากนั้นผมกับไอ้บาสก็ออกมายืนคุยกันตรงระเบียงด้านนอก ทำให้ผมมีโอกาสนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น และมันก็ทำให้ผมได้คำตอบที่ชัดเจน ว่าจันทร์คนไหนคือจันทร์ตัวจริง ทั้งนี้คงต้องขอบคุณการกระทำของคุณชลวิทย์ และคำให้การของคุณพีรวัตรด้วยส่วนหนึ่ง
เพราะถ้าหากผมไม่รู้ว่าจันทร์อีกคน มีใจชอบพอกับคุณชลวิทย์
ผมก็คงจะไม่มีทางเข้าใจในการกระทำของเขา

“คนเรามันก็มีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละพี่ภัทร อยู่ที่ว่าเราจะเห็นแก่ตัวในเรื่องไหน เอาจริงๆ ถ้าหากเป็นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกทำอย่างไอ้ชลหรือเปล่า” ไอ้บาสกล่าวพลางตบไหล่ผมเบาๆ
“แต่กูไม่ใช่ตัวแปรที่จะทำให้ร่างของเจ้าของ ถูกอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งครอบครองได้ตลอดไปนะเว้ย”

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่คนเราพอมืดแปดด้าน หากมีทางไหนที่พอจะทำได้ก็คงเลือกทำนั่นแหละ”
“หดหู่ว่ะ เขารักจันทร์อีกคนมากจนถึงกับทำร้ายจันทร์อีกคนได้ลงคอเลยเหรอวะ”

“เราไม่ได้อยู่ในจุดที่เขาเผชิญ เราคงไม่มีวันเข้าใจ บางทีเขาอาจจะใช้ชีวิตร่วมกับจันทร์คนนั้นมาตั้งแต่แรก หรือบางทีเขาอาจจะมีจันทร์คนนั้นเป็นที่พึ่งเดียวของเขาก็ได้ เออ.. เขาบอกพี่ว่าการกระทำของเขาคือการ ‘ยื้อ’ ใช่ไหม?”
“อืม” ผมตอบงึมงำในลำคอ เพราะเวลานี้ผมเข้าใจแล้วว่าการกระทำของเขายื้อจันทร์ไว้ได้อย่างไร
ซึ่งการ ‘ยื้อ’ ที่ว่า..
ไม่ใช่การยื้อ ‘จันทร์’ คนเดียวกับที่ผมอยากให้เป็น

“เห้อ~ ก็นั่นแหละ ผมว่าจะกลับไปที่บ้านกลางป่าสนสักหน่อย เพราะไอ้ชลมันน่าจะเครียดพอสมควร”
“อืม” สิ้นคำตอบรับของผม ไอ้ญาติผู้น้องก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อลงไปข้างล่าง และเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนที่เคยหวาดกลัว แต่พอเรื่องราวเริ่มกระจ่างความหวาดกลัวทั้งหลายก็มลายหายไป เนื่องจากความเป็นห่วงมันมีมากกว่า เพราะเรื่องนี้น่าจะทำให้คุณชลวิทย์เกิดอาการแพนิค เนื่องจากเขาต้องทนอยู่กับการรับรู้ว่าตัวเองกำลังหลงรักใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง อีกทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานจนเกิดเป็นความผูกพัน
ผมจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหนักอกหนักใจสำหรับเขาพอสมควร

ก็อย่างที่ไอ้บาสว่าหากเป็นผมที่ต้องยืนไปอยู่ในจุดนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร จำได้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกมืดแปดด้าน คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว ตัวมันชายิ่งกว่าการรับรู้ว่าจันทร์มีความสัมพันธ์ในเชิงนั้นกับคุณชลวิทย์ เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็แอบคิดไปในทางนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมาเห็นอะไรแบบนั้นด้วยสองตาของตัวเอง และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นจันทร์มีความสุขกับการทำเรื่องแบบนั้น เพราะแค่เราจูบกันเขายังออกอาการแพนิค ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ หรือถ้าหากเป็นไปได้ก็คงต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะสามารถปรับเปลี่ยนความคิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เจ้าตัวผูกเป็นปมในใจให้ได้เสียก่อน
ซึ่งผมพอจะคลายปมได้บางอย่าง และคาดว่าคนที่ทำร้ายจันทร์ อาจจะไม่ใช่คุณชลวิทย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นเพศชาย เนื่องจากคุณพีรวัตรมีความรู้สึกในทางลบกับบุคคลที่เป็นรักร่วมเพศ และจันทร์ก็เกิดอาการแพนิคในขณะที่ผมเป็นคนริเริ่ม ส่วนจันทร์อีกคนผมคิดว่าเขาต้องการความรักความเอาใจใส่ เพราะจากคำพูดของคุณพีรวัตรที่บอกไว้ว่า ‘เขาคือคนที่เข้มแข็งที่สุด แต่ก็อ่อนแอที่สุด’ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้เซ็กส์เป็นตัวฉุดรั้งความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการของใครสักคน
ส่วนอัตลักษณ์ของน้องลี
สื่อถึงเรื่องราวของครอบครัวที่ขาดความรักความอบอุ่น


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

[edit 10/06/2018 เรารีไรท์บางส่วนให้มันกำกวมน้อยลงแล้วนะคะ เพราะเห็นว่าบางคนยังงงๆ อยู่ แต่บางส่วนที่เราตั้งใจให้งงก็คือไม่ขอรีไรท์นะคะ เพราะช่วงแรกๆ พี่หมอยังไม่รู้ว่าใครคือจันทร์ที่แท้จริง ถึงต้องใช้คำว่าเขาแทนเพื่อให้มันฟังดูกำกวม ซึ่งเขาที่พูดๆ ถึงกันในบทสนทนาเนี่ยก็เป็นคนๆ เดียวกันนะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เขาคนนั้น ก็คือคนที่เจ็บปวดที่สุดตามที่คุณพีรวัตรบอกไว้ ส่วนใครที่ตีความไม่ออกว่าจันทร์ตัวจริงคือจันทร์คนไหน ลองอ่านประโยคนี้ดูอีกครั้งนะคะ 'เรื่องนี้น่าจะทำให้คุณชลวิทย์เกิดอาการแพนิคได้อย่างแน่นอน ด้วยเพราะเขาต้องทนอยู่กับการที่ได้รับรู้ ว่าตัวเองกำลังหลงรักใครบางคนที่ไม่มีตัวตนจริงๆ' นั่นคือเหตุผลทั้งหมดของปมเรื่องซึ่งเป็นปมใหญ่ที่สุด ส่วนจันทร์คนไหนคือคนที่ทำแบบนั้น ก็ตามที่พี่หมอวิเคราะห์เลยค่ะว่า 'คนที่ทำร้ายจันทร์ อาจจะไม่ใช่คุณชลวิทย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นเพศชาย เพราะเนื่องจากคุณพีรวัตรมีความรู้สึกในทางลบกับบุคคลที่เป็นรักร่วมเพศ และจันทร์ก็เกิดอาการแพนิคในขณะที่ผมเป็นคนริเริ่ม ส่วนจันทร์อีกคน ผมคิดว่าเขาต้องการความรักความเอาใจใส่ เขาจึงเลือกที่จะใช้เซ็กส์เป็นตัวฉุดรั้งความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการของใครสักคน' เราอาจจะเขียนเชิงตีความลึกไปหน่อย 555]

ถ้าหากมีคำตกไว้จะมาแก้อีกทีนะคะ และตอนนี้อาจจะสั้นอีกแล้ว เพราะเราอยากให้มันเป็นพาร์ทที่เฉลยเรื่องราวทั้งหมด หวังว่าทุกคนจะเข้าใจการกระทำของคุณชลวิทย์บ้างแล้วเนอะ ว่าเพราะอะไรถึงต้องทำร้ายจันทร์โดยการใช้สโนว์ดรอปส์ และทำไมถึงต้องหลอกหมอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราว่ามันน่าจะเรียกได้ว่าความดำมืดของจิตใจมนุษย์เนอะ ทุกคนมีความเห็นแก่ตัว แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะเห็นแก่ตัวในเรื่องไหน และเลือกที่จะแก้ปัญหายังไง ซึ่งน่าจะเห็นได้ชัดว่าหมอกับชลวิทย์เลือกที่จะแก้แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่ตัวเองเหมือนตกอยู่ในสถานกาณ์เดียวกัน ดีหน่อยที่หมอยังมีจรรยาบรรณแพทย์ไว้ยึดเหนี่ยว หมอถึงทำได้แค่อึ้งไปกับเรื่องราวพวกนั้น แต่กับชลวิทย์ในอดีตจะเป็นยังไงนั้น เราค้นหาได้จากตอนที่จันทร์เข้ารับการรักษาแล้ว หลังจากนี้อาจจะช้าหน่อยนะ เรายังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลย 555 แต่อ่านผ่านช่วงการทดสอบทางจิตวิทยามาบ้างแล้ว น่าจะยังพอเขียนต่อได้อยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:50:40 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ตามอ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันเลยค่ะ คือเป็นนิยายที่อ่านยากมากถ้าคิดตามตะปวดหัว 55555 เลยอ่านไปเรื่อยๆแบบไม่คิดแล้วว่าจะเป็นยังไง สบายเลย พอรู้ว่าจันท์มีเซ็กส์กับพี่วิทย์ยิ่งช๊อคแรง  คนไหนคิอตัวจริงเนี่ยยยยย


เขียนดีมากค่ะ สนุก รอตอนต่อไปค่ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ตอนนี้น่าจะใส่ชื่อ แต่ละตัวตนเยอะหน่อย แยกเขา กับ เขา และเขา ที่ไม่ใช่เขา ไม่ออกเลย T-T

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ถ้าเราเป็นคุณหมอแล้วไปเจออย่างงั้นช็อกนะคะ55555

แต่นับว่าคุณหมอยังมีสติ ฮือ ช่วยน้องจันทร์ด้วยย

 :serius2:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 22

ก่อนออกมาทำงานในวันนี้ ผมยกแมคบุ๊กของตัวเองให้กับคุณนักเขียนเพื่อเอาไว้ใช้งาน เพราะการเตรียมการรักษายังไม่เรียบร้อยนัก เขาจึงต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านของผมก่อน ขณะที่วันนี้ผมจะต้องมาเผชิญกับการประชุมอันแสนเคร่งเครียด เนื่องจากเคสของจันทร์เป็นเคสที่ใหญ่และยากพอสมควร แต่เราก็ยังโชคดีที่ได้แพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการรักษาโรค DID จากกรุงเทพมาร่วมทีมด้วย ทว่าข่าวนี้ทำให้ผมเพิ่งจะทราบว่าอันที่จริงประเทศไทยก็มีผู้ป่วยโรคนี้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งทาง ดร. ธีรชัย แจ้งมาว่าการรักษานอกจากจะใช้การสะกดจิตแล้ว ยังสามารถใช้การทำจิตบำบัดระยะยาวได้ และผลลัพธ์ก็ออกมาดีพอสมควร โดยด็อกเตอร์จะเดินทางมายังเชียงใหม่ในวันพุธหน้า
ส่วนจันทร์อาจจะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสักระยะ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ แต่ที่น่าหัวเสียก็คือจิตแพทย์บางท่านที่ทางโรงพยาบาลโทรไปขอคำปรึกษา รวมถึงคนอื่นๆ ในทีม อันประกอบด้วย จิตแพทย์ นักศิลปะบำบัด นักบำบัดสนับสนุน นักสังคมสงเคราะห์ทางด้านจิตเวช แพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยจิตแพทย์ และผู้ประสานงานประจำตึก ต่างก็ออกอาการเหลือเชื่อที่ได้พบผู้ป่วยโรค DID ราวกับในภาพยนตร์ และพวกเขาก็อยากจะลองใช้วิธีการรักษาของตัวเอง ซึ่งมันก็แน่นอนว่าผมจะต้องคัดค้าน เพราะใจอยากจะรอให้ ดร. ธีรชัย ผู้มีความเชี่ยวชาญมารับหน้าที่ในส่วนนี้ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมโต้เถียงมากไม่ได้ ส่วนคุณพ่อที่เป็นถึงผู้อำนวยการของโรงพยาบาลก็ต้องทำหน้าที่ให้เป็นกลาง เนื่องจากคณะกรรมการบางส่วนดูจะเห็นดีเห็นงามกับจิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงประจำจังหวัด และกว่าด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญจะเดินทางมาถึง
จันทร์ของผมก็ต้องกลายไปเป็นหนูทดลองให้กับคนพวกนี้!
มันน่าโมโหจริงๆ

“ใจเย็นๆ พี่ภัทร” ขณะที่เรากำลังเดินทางไปยังโรงอาหาร เพื่อกินข้าวเที่ยงหลังเสร็จสิ้นจากการประชุมอันแสนยาวนาน ใบหน้าของผมก็ยังหงิกงอเหมือนเดิมเป๊ะ ทำเอาไอ้บาสต้องรีบเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นลงกว่านี้
“มึงคิดดู ก่อนหน้านี้กูต้องไปเจอกับเรื่องช็อกโลกมากแค่ไหน กว่าจะดึงสติกลับมาได้ มันไม่ง่ายเลยนะเว้ย แล้วพอผ่านไปได้วันหนึ่ง กูยังเสือกมาเจอกับเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้อีก”

“แล้วจะทำยังไงได้วะพี่ภัทร มันคือเคสศึกษา ยังไงพวกเขาก็ต้องอยากมีส่วนร่วมอยู่แล้ว พี่เถอะอย่าสติหลุดบ่อยนักสิวะ เกิดถูกตัดออกจากทีมจะทำยังไง ?”
“…” พอไอ้บาสพูดเหตุผลออกมาแบบนั้น ผมก็ทำได้แค่หงุดหงิดอย่างไร้ปากเสียงต่อไป

“เออ แล้วคุณชลวิทย์เป็นยังไงบ้างวะ” ผมถือโอกาสถามถึงเจ้าของบ้านกลางป่าสนคนพี่ เพื่อปัดตกเรื่องก่อนหน้านี้ไปซะ เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด
“แพนิคกำเริบหนักเลยว่ะ ผมเริ่มกลัวๆ ว่ามันจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วยแล้วเนี่ย”

“ทำไมวะ ?”
“คือวันนั้นหลังจากที่..” ไอ้บาสเอ่ยพลางเหลือบมองมาทางผมครู่ใหญ่คล้ายกับไม่กล้าพูดต่อ

“มึงพูดมาเถอะว่ะ กูคิดว่ากูน่าจะทำใจได้บ้างแล้ว เพราะอย่างน้อยคนที่ทำแบบนั้นก็ไม่ใช่จันทร์ของกู” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจนัก แต่ก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอไหว เพราะถึงอย่างไรคนที่มีความสุขไปกับกิจกรรมร่วมรักในวันนั้นก็ไม่ใช่จันทร์ที่เป็นอัตลักษณ์หลัก แต่เป็นจันทร์อีกคนที่กำลังครอบครองร่างกายของเขาอยู่ สำหรับผมไม่ว่าร่างกายนั้นจะผ่านมือของใครมา ผมก็ไม่สนใจ เพียงแต่วินาทีนั้นผมคิดว่าคนที่กำลังเริงร่าอย่างสนุกสนานคือจันทร์ของผม แล้วยังคิดเลยเถิดไปอีกว่าเจ้าตัวไม่ได้ต้องการผมเหมือนอย่างที่เคยแสดงออก
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะไม่ทันครุ่นคิดให้ดีว่า..
ท่าทางแบบนั้นอาจจะเป็นใครอีกคนที่ก็มีสิทธิ์ครอบครองร่างกายของจันทร์เหมือนกับน้องลีและคุณพีรวัตร

“หลังจากเสร็จกิจก็ไม่รู้ทำไมจันทร์คนนั้นถึงบังเอิญเข้าไปหลบอยู่หลังฉาก จากนั้นจันทร์ของพี่ก็ตื่นขึ้นมาแทน แล้วในวินาทีแรกที่เจ้าตัวรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนจะช็อกหนักมาก ตรงนี้ผมคิดว่าเหตุการณ์นั้น น่าจะตอกย้ำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งพี่ก็พอจะรู้มาบ้างแล้วว่าน้องมันเคยผ่านอะไรมาบ้าง ทีนี้พอจันทร์ตัวจริงกำลังจะได้รับบาดเจ็บ คุณพีรวัตรที่มักจะสวมบทบาทของผู้พิทักษ์ตามที่พี่บอกก็ตื่นขึ้นมารับมือ แต่ความลับอีกอย่างที่ผมเพิ่งจะรู้ก็คือ จันทร์ของพี่ไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย นับจากวันที่เกิดเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งมันก็เท่ากับว่าคนที่ไอ้ชลคอยดูแลจนกระทั่งมีใจให้คือจันทร์คนที่ไม่มีตัวตนจริงๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันชอบทำตัวแปลกๆ กับจันทร์ของพี่ ทีนี้พอมันรู้ว่าจันทร์ตัวจริงเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน มันก็รู้สึกผิดและเสียใจมาก อีกอย่างผมคิดว่าเคสของไอ้ชล พี่น่าจะเป็นเจ้าของไข้ไม่ได้แล้ว เพราะต่างคนต่างก็เริ่มบาดหมางกันไปแล้ว”

“บาดหมาง ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เนื่องจากผมไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของบ้านกลางป่าสนถึงต้องมาตั้งแง่กับผม ในเมื่อมันควรจะเป็นผมต่างหากที่ไปตั้งแง่กับเขา เพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการข่มขู่ หรือว่าจะเป็นเรื่องของเทียนที่ถูกกล่าวอ้างว่าแพงแสนแพง และสุดท้ายเหตุผลของการกระทำทั้งหมด ก็คือการทำให้จันทร์ตัวจริงต้องอ่อนแอ เพื่อที่จะได้ส่งผลไปยังอัตลักษณ์รองที่มีใจคิดอยากจะครอบครองร่างกายนี้ให้ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น โดยมีเหตุผลก็เพื่อการปกป้องอัตลักษณ์หลักให้ปราศจากเรื่องราวความเจ็บปวดในวันวาน
ซึ่งก็นับได้ว่า..
ความเห็นแก่ตัวของเขา ผ่านการศึกษามาอย่างโชกโชน

“อีกอย่างไอ้ชลมันรู้ว่าพี่กับจันทร์ตัวจริงมีความสัมพันธ์กันยังไง มันถึงได้เอาเรื่องแคปกราส์มาอ้าง เพื่อที่จะได้ผลักไสพี่ออกไป แต่ดันกลายเป็นปมมัดแน่น เพราะโรคนี้ก็ดันเป็นโรคในเชิงศึกษาของเราด้วย สรุปง่ายๆ ก็คือทีแรกมันต้องการให้พี่ช่วยเรื่องการครอบครองร่างของจันทร์ แต่พอมันรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจชอบพอกับพี่ มันถึงได้พยายามจะผลักไส ไม่ใช่อยากจะทดสอบอย่างที่กล่าวอ้าง แล้วก็เพราะการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนของพี่ ทำให้จันทร์ตัวจริงเริ่มแข็งแกร่งขึ้น จนส่งผลกระทบต่อตัวตนของจันทร์อีกคน ทำให้ฝ่ายนั้นค่อยๆ เลือนหายไป นั่นล่ะ.. นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังนั้น แล้วก็.. ถ้าหากความลับระหว่างไอ้ชลกับจันทร์ที่เป็นอัตลักษณ์รองไม่แตกเสียก่อน พี่นั่นแหละที่จะต้องรับมือกับการโจมตีแทนจันทร์ เพราะพี่สามารถทำให้จันทร์รู้สึกดาวน์ลงหรือดีขึ้นได้ อย่างวันที่พี่ไม่ได้ไปหาน้องมันที่บ้าน จริงๆ พี่ก็ฝากบอกผ่านไอ้ชลไปแล้วใช่ไหมล่ะ แต่มันไม่เคยบอกจันทร์เลย นั่นล่ะ.. นั่นคือสาเหตุที่ทำให้มันได้จันทร์ของตัวเองกลับคืนมา” สิ้นคำอธิบายอันยาวเหยียดของไอ้ญาติผู้น้อง ผมก็ถึงกับอึ้งเพราะไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าอันที่จริงจันทร์ที่ผมรู้จัก แทบจะไม่เคยตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าก่อนที่ผมจะเข้ามาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจันทร์อีกคนได้ออกมาใช้ชีวิตเพื่อรองรับความเจ็บปวด และได้คุณชลวิทย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ส่งผลให้ท่าทางร่าเริงและมีความสุขแบบนั้นมีไว้เพื่อคุณชลวิทย์แต่เพียงผู้เดียว
นับได้ว่า.. เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีกมุมมองหนึ่ง..
ก็ดูน่าเห็นใจไม่หยอก

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อาจลบล้างความขุ่นมัวที่มีต่อคุณชลวิทย์ไปได้ ซึ่งมันก็ดีแล้วที่เขายินดีจะเปลี่ยนแพทย์ประจำตัว เพื่อที่การรักษาจะได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเราก็จะได้ไม่ต้องมานั่งตะขิดตะขวงใจใส่กัน
เพราะถึงอย่างไร..
ผมก็เลือกจะอยู่ข้างจันทร์คนละคนกับเขาไปแล้ว

ครืด ครืด

“ครับแม่” ผมรับสายขณะไปซื้อมื้อเที่ยงมานั่งกินกับไอ้บาสและไอ้แนน ที่ไม่ได้ออกไปหาอะไรกินข้างนอกเพราะฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ ผมเลยสบโอกาสเหมาะ ที่จะให้มันช่วยสืบเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายของคุณป้าที่สะเมิงสักหน่อย
(ภัทร.. จันทร์หนีออกจากบ้านไปแล้วลูก แม่วิ่งตามออกไปก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้รถที่บ้านก็ไม่มีสักคัน) คุณแม่กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทำเอาผมชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวกินในทันที

“จันทร์ออกไปนานหรือยังครับ ?” ขณะที่ผมถามกลับด้วยท่าทีใจเย็น แต่อันที่จริงใจของผมกำลังเต้นระรัวด้วยความร้อนรน เพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายกลัวว่าจะหลงทางหรือได้รับอันตราย แถมเวลานี้ฝนก็ตกกระหน่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
(เมื่อครู่นี้เองลูก เราจะทำยังไงกันดี ?)

“แม่ใจเย็นๆ นะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมขอคุยกับพ่อก่อนจะได้รีบออกไปตามหาจันทร์ข้างนอก ส่วนแม่ผมว่ารออยู่ที่บ้านดีกว่า เผื่อจันทร์กลับมาจะได้ไม่คลาดกัน” ผมคุยกับแม่เพียงครู่ จากนั้นก็โทรหาพ่อแล้วเล่าเรื่องราววุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น กระทั่งผมกับไอ้บาสได้รับอนุญาตให้ช่วยกันตามหาจันทร์แค่สองคน เพราะขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาของการทำงาน ซึ่งทางโรงพยาบาลยังต้องการบุคลากรเพื่อให้บริการในด้านอื่นๆ แต่ก็ถือว่าเรายังโชคดีตรงที่ ไอ้บาสมีเพื่อนเป็นตำรวจเลยยังพอจะขอความช่วยเหลือจากทางนั้นได้บ้าง
ไม่อย่างนั้นผมคงจะเครียดหนักกว่านี้

“แม่ครับ ตอนจันทร์วิ่งออกไปข้างนอก เขามีท่าทียังไงบ้าง ?” ผมโทรกลับไปหาแม่อีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมควรจะทราบให้แน่ชัดว่าใครคือคนที่พาจันทร์หนีออกจากบ้าน เพื่อที่จะได้วิเคราะห์จุดมุ่งหมายของอีกฝ่ายได้ถูกต้อง
(เขาเอาแต่พูดถึง.. วิทย์.. พี่วิทย์อะไรเนี่ยแหละภัทร) คุณแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะแน่ใจนัก แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมแน่ใจแล้วว่าใครคือคนที่ขโมยเวลาของคุณพีรวัตรไป ซึ่งผมก็ภาวนาขอให้เขามีโอกาสออกมาใช้ชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากผมมั่นใจว่าเขาจะต้องจัดการให้อะไรๆ มันง่ายขึ้นแน่ๆ
เพราะตัวตนของเขา..
เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์สำหรับจันทร์

การตระเวนหาเด็กชายตัวเล็กในเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ พร้อมๆ กับสายฝนเทกระหน่ำเป็นอะไรที่ยากเย็นพอสมควร แม้ผมจะเริ่มตั้งต้นตั้งแต่ที่บ้านไปจนถึงบริเวณใกล้เคียง แต่ก็ยังไร้วี่แววของอีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมแพ้เอาง่ายๆ จึงค่อยๆ พาตัวเองขับรถออกไปให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ และไม่วายจะโทรไปหาไอ้แนนที่โรงพยาบาล เพื่อให้มันช่วยหาใครก็ได้มาช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อย เพราะถ้าหากในระหว่างนี้คุณพีรวัตรได้มีโอกาสออกมาใช้ชีวิต ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องหาทางไปยังโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่แน่ๆ เนื่องจากเมื่อเช้าเขาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
ราวกับล่วงรู้ว่าสักวัน..
มันอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

กระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี บ่งบอกได้ว่าความมืดมิดเริ่มมาเยือนทุกทีๆ อีกทั้งสายฝนก็มลายหายไปพักใหญ่ ทำเอาผมจากที่ใจเย็นมาได้ตั้งนาน เวลานี้กลับร้อนใจจนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
เพราะไม่ว่าทางด้านของไอ้บาส หรือว่าฝั่งของตำรวจก็ดูจะไร้วี่แววในการค้นหา
 
ครืด ครืด

(มึง เด็กคนนั้นนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ของโรงพยาบาล เออๆ มึงอย่าเพิ่งวาง พยาบาลตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับออกค่าแท็กซี่ให้ด้วย มึงอย่าลืมเอาไปใช้คืนเธอล่ะ) ทันทีที่ผมรับสายไอ้แนนก็รีบพูดเข้าเรื่องอย่างตรงประเด็น แถมมันยังดักทางผมถูกเสียด้วย เพราะผมเป็นคนประเภทที่เวลาร้อนใจ หากทราบเรื่องที่ต้องการรับรู้แล้วจะชอบวางสายแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“เออๆ ยังไงกูก็ขอบใจมึงด้วยนะ” หลังจากวางสายกับไอ้แนนผมก็ถือโอกาสโทรหาไอ้บาส เพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาจันทร์ และขณะที่ไฟแดงเริ่มจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ผมก็ค่อยๆ เพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ให้มากขึ้น
กระทั่งจุดหมายปลายทางอยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ภูเขาอันหนักอึ้งในอก พลันมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากจอดรถให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็รีบถลาเข้ามายังตัวอาคารอันสว่างไสว ทว่าเมื่อมองไปรอบๆ บริเวณล็อบบี้ของทางโรงพยาบาลกลับไม่พบคนที่ต้องการตัว ใจของผมก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยความหวาดกลัวที่ว่า..
การสลับตัวอาจจะเกิดขึ้นอีก!

“น้องปริม เด็กที่เราออกค่าแท็กซี่ให้ อยู่ไหนน่ะ?” ผมเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงพยาบาลพร้อมกับเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้
“ออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอกค่ะ” ผมยิ้มรับคำตอบพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเพื่อจ่ายเงินค่าแท็กซี่คืนให้กับเธอ โดยวางธนบัตรสีเทาไว้บนเคาน์เตอร์แล้วก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกตัวอาคารอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเสียงของหญิงสาวจะยังคงทักท้วงเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ผมให้เกินไปก็ตามที
แต่ผมก็หาได้สนใจไม่
เพราะตอนนี้ใจมันยังหวั่นๆ ว่าใครบางคนอาจจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีก

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามโครงสร้างทางเดินที่มุ่งไปยังบริเวณสวนดอกไม้ของทางโรงพยาบาล หากจำไม่ผิดก็น่าจะทุ่มงบประมาณไปไม่น้อย เพราะขนาดทางเดินที่เป็นโครงสร้างเหล็ก ซึ่งใช้เป็นโครงให้ดอกกุหลาบมอญเลื้อยขึ้นไปชูช่ออยู่ข้างบน ก็ยังยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ แล้วระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ด้วย แต่เพราะจุดหมายปลายทางคือศาลากลางสวน ผมเลยต้องลองเสี่ยงดวงวิ่งมาทางนี้ เพราะอันที่จริงบริเวณสวนของโรงพยาบาลก็อยู่รอบๆ ตัวอาคารนี่แหละ
“จันทร์” ผมยืนแอบมองใครบางคนที่กำลังนั่งแกว่งขาไปมาเบาๆ ขณะที่สายตาของเขากำลังมองตรงไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล กระทั่งผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าคนคนนั้นเป็นใคร ผมจึงเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ฟังยังไงก็ฟังออกว่าคนพูดกำลังดีใจมากกว่าปกติ กระทั่งใครคนนั้นหันหน้ามาส่งยิ้มให้ ผมจึงรีบก้าวเดินเข้าไปยังศาลาสีขาวสะอาดที่อยู่ท่ามกลางพันธุ์ไม้นานาชนิด

“พี่เป็นห่วงเราแทบแย่แน่ะ” ผมเอ่ยพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนที่เอาแต่มองจ้องเงียบๆ มาตั้งแต่ปากทางเข้าศาลา ผมก็เลยเอื้อมมือไปโยกศีรษะของคนหน้านิ่งที่ดูท่าทางจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“…”

“ตกใจหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามพลางเอนศีรษะไปพิงไหล่ของเด็กชายตัวเล็กที่ในตอนนี้เนื้อตัวก็แห้งสนิทดีแล้ว แต่อาจจะต้องกินยาพาราดักไว้สักหน่อย เพราะวันนี้ฝนดันเทกระหน่ำลงมาตั้งมากมาย
“อืม”

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ผมนั่งยืดตัวตรงพลางเปลี่ยนมาเอนศีรษะของอีกฝ่ายให้ซบลงบนลาดไหล่ของตัวเอง เพราะผมคงทำได้แค่นี้ เมื่อคนข้างกายไม่ใช่จันทร์ของผม แต่กลับเป็นคุณนักเขียนที่กำลังสวมบทบาทของ ‘จันทร์’ เพื่อเอาใจคนตาถั่วอย่างผม
“…”

“จริงๆ คุณไม่ต้องมาเอาใจคนตาถั่วอย่างผมนักก็ได้” ผมกล่าวแกมขำขัน
“คุณรู้ ?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม พลางขยับขึ้นมานั่งตัวตรงพร้อมกับทำสีหน้าเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด

“ก็คุณเล่นนั่งเกร็งตัวขนาดนี้ ผมจะไม่รู้เลยมั้งครับคุณพีรวัตร” ผมกล่าวพลางขยับออกห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย
“…”

“แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงอยากจะเอาใจผมขึ้นมาล่ะ อันที่จริงเราเพิ่งจะญาติดีกันเองนะ” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะการสวมบทบาทเป็นจันทร์เพื่อเอาใจผม ดูจะเป็นการลงทุนมากไปสำหรับคุณนักเขียนที่มีอคติกับรักร่วมเพศ และยังเป็นคู่ปรับกับผมตั้งแต่แรกเจอ
“ผมก็แค่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก็เลยเห็นใจคุณ.. ก็แค่นั้น” คุณนักเขียนกล่าวเสียงเรียบ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจว่า ‘เรื่องหนึ่ง’ ของอีกฝ่าย หมายถึงเรื่องไหน

“ถ้าหากเป็นไปได้ ผมก็อยากจะกอดจันทร์ไว้ แล้วบอกกับเขาว่า..” ผมกล่าวขณะที่สายตายังคงมองตรงไปที่สวนดอกไม้ในบริเวณนั้น ส่วนน้ำเสียงก็เริ่มจะสั่นไหว เนื่องจากผมยังจดจำสีหน้าของจันทร์ในตอนนั้นได้ดี ซึ่งใบหน้าของเขากำลังซีดเผือด อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังสั่นไหวราวกับจะหมดเรี่ยวแรง มิหนำซ้ำผมยังเดินหนีออกมาอย่างหุนหัน ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพไหน คงจะเป็นอะไรที่น่าตกใจ ทว่าหากจะเพิ่มความน่าหวาดหวั่นเข้าไปอีก คงจะเป็นภาพหลอนที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะตามมาหลอกหลอนอย่างที่คาดไว้หรือเปล่า 
“…”

“ผมขอโทษที่วันนั้นผมขาดสติ จนทิ้งให้เขาเผชิญอยู่กับเรื่องราวที่เหมือนฝันร้าย ทั้งๆ ที่ผมก็รู้อยู่แล้วว่าจันทร์เคยพบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ผมก็แค่เสียใจเลยไม่ทันคิดว่าคนที่กำลังทำแบบนั้น.. ไม่ใช่จันทร์ที่ผมรู้จัก..” ยิ่งพูดน้ำตาของผมก็ยิ่งคลอหน่วยตามากขึ้นทุกขณะ เพราะถ้าหากวันนั้นผมไม่เดินหนีอีกฝ่าย จันทร์ก็คงจะไม่ต้องเคว้งคว้างจนถึงกับตัดสินใจหลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฉากแบบทุกวันนี้
“…”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเขาไว้ จริงๆ นะคุณ”


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนที่แล้วอาจจะต้องตีความเยอะหน่อย เราไปดิทแก้และอธิบายบางส่วนแล้วนะคะ ว่าตรงไหนที่เฉลยเรื่องอะไรเอาไว้ในเนื้อเรื่องบ้าง แต่จริงๆ อ่านตอนนี้คิดว่าน่าจะเข้าใจกระจ่างขึ้นเนอะ ว่าจันทร์ตัวจริงคือใครกันแน่ และใครคือคนที่มีอะไรกับคุณชลวิทย์ (ประเด็นนี้อาจจะงงเล็กน้อย เพราะมันคาบเกี่ยวระหว่างจันทร์คนนั้นกับจันทร์ของพี่หมอ แต่สามารถลองย้อนไปอ่านตอนเกิดเหตุได้ว่า หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมนั่นแล้ว จันทร์ก็หันมาเห็นพี่หมอและเรียกพี่หมอ แต่พี่หมอเดินหนี ส่วนน้องจันทร์ตัวจริงก็นั่นแหละค่ะ ช็อก และกลับเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังฉากไปแล้ว)
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามเรื่องนี้อยู่นะคะ แนวนี้อาจจะอ่านยากนิดนึง หรืออันที่จริงอาจจะเป็นแนวเราที่อ่านยาก 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:55:47 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เขียนดี แต่ตั้งประเด็นเรื่องลึกขนาดนี้  คงต้องทำใจกับจำนวนคนรักพลาย

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
อ่านๆไปมีมึนกับตัวละครนิดหน่อย

แต่ชอบมากนะคะ   :mew1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 23

เช้าวันนี้จันทร์ในคราบของคุณนักเขียนถูกพาตัวมายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ โดยห้องพักทางฝั่งซ้ายมือจะมองเห็นวิวทิวทัศน์อันร่มรื่นในมุมมองที่สวยที่สุด เพราะเป็นมุมที่สามารถมองเห็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่แบ่งแยกพื้นที่ของแต่ละอาคารเอาไว้ อีกทั้งยังมีต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงดอกไม้หลากสีสันประดับประดาอยู่รอบๆ อย่างสวยงาม
ทว่าหากเป็นช่วงหน้าหนาวบรรยากาศโดยรอบจะสวยงามยิ่งกว่านี้
เพราะเราจะมองเห็นดอกพญาเสือโคร่งชูช่อจนเต็มพื้นที่

สำหรับกิจวัตรประจำวันของผมยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีผู้ป่วยหน้าใหม่อย่างจันทร์ให้ต้องดูแล ขณะที่พี่จี๊ดพยาบาลผู้ร่วมทีมกำลังพาจันทร์ในคราบของคุณนักเขียนเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ วอร์ดจิตเวช พร้อมกับถือโอกาสพาอีกฝ่ายไปเดินชมสวนด้านนอก
เพราะสวนในบริเวณนี้ไม่เหมือนกับสวนที่เขาไปนั่งรอผมเมื่อวาน..

จากนั้นทีมบำบัดก็เข้ามาพบคุณนักเขียนในเวลาเกือบๆ จะเก้าโมง แต่เพราะอาการของเขาไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นเกิดการสลับตัวอย่างกะทันหันเหมือนกับในภาพยนตร์หรือเคสดังที่เคยศึกษา จึงทำให้คนในทีมที่ยังไม่เชื่อผลการวินิจฉัยก็ยังคงไม่เชื่อต่อไป ส่วนผู้ช่วยจิตแพทย์พร้อมกับพยาบาลผู้ดูแลก็ยังคงต้องสังเกตการณ์กันต่อไป
จนกระทั่งเวลาพักเที่ยงมาถึง ผมกับไอ้บาสก็ไปกินข้าวเป็นเพื่อนคุณนักเขียน เพราะคุณแม่ของผมจัดเตรียมอาหารกลางวันสำหรับเราสามคน ซึ่งเมนูของวันนี้คือ แกงผักกาดใส่ไก่ ผักเชียงดาผัดไข่ แคบหมูผัดพริกขิง น้ำพริกอ่องกับผักต้ม เล่นเอาผมกับไอ้ญาติผู้น้องถึงกับลาภปาก เพราะปกติมื้อกลางวันจะไม่ค่อยได้กินของอร่อยแบบจัดเต็มสักเท่าไหร่

“เมื่อเช้าคุณตรวจร่างกายไปบ้างแล้วใช่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามคุณนักเขียนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่บนเตียงคนไข้เงียบๆ ขณะที่เราสองคนพี่น้องก็ตักอาหารแต่ละอย่างราดลงบนจานข้าว จากนั้นก็มานั่งกินตรงมุมเคาน์เตอร์เล็กๆ ตรงข้างหน้าต่าง
“อืม”

“คุณโอเคใช่ไหม ?” เมื่อได้ยินคำตอบอันแสนสั้น ผมก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงผมจะไม่โอเค แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะคุณ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ซีเรียสมากเท่าลีกับจันทร์หรอก” คำตอบของคุณพีรวัตรทำเอาผมที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงักงันขึ้นมาทันที ซึ่งการกระทำนั้นก็ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้บาสที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ผม เพราะการตรวจร่างกายที่กำลังพูดถึงจะต้องมีการตรวจไส้เลื่อนและต่อมลูกหมากด้วย ซึ่งการตรวจในส่วนนี้จะต้องตรวจผ่านทางช่องทวารหนัก
ดังนั้นหากผู้ป่วยเคยถูกกระทำชำเรามาล่ะก็..
การตรวจแบบนั้นจะต้องเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาแน่ๆ

“เรื่องจันทร์ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจ แต่เรื่องของน้องลีคุณหมายความว่ายังไง ?” ผมหันไปถามอีกฝ่ายหน้าเครียด เพราะคำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าที่ผ่านมาตัวเองวิเคราะห์พลาดอย่างมหันต์
“ผม.. บอกไม่ได้ คุณไปถามลีเองเถอะ” คุณพีรวัตรปิดบทสนทนาจนผมไม่กล้าจะถามอะไรอีก พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่าอัตลักษณ์ของน้องลีไม่เคยออกมาใช้ชีวิตอีกเลย นับตั้งแต่ฤดูกาลของดอกสโนว์ดรอปส์ผ่านพ้นไป สาเหตุมันเป็นเพราะอะไร?
และมันจะเป็นไปได้ไหมว่า..
บางทีคุณพีรวัตรอาจจะควบคุมการออกมาใช้ชีวิตของใครอีกหลายคนที่อยู่ในร่างของจันทร์ได้

“ผลไม้ที่พีอยากลองกินวันนี้แม่ไปหาซื้อมาให้แล้วนะ” คุณแม่เอ่ยพลางวางถุงใส่ผลไม้สีเหลืองอมส้มลูกเล็กๆ ที่มีเปลือกบางๆ ห่อหุ้มอีกชั้นลงบนโต๊ะกินข้าวสำหรับคนไข้ ผมจึงเดินเข้าไปดูว่ามันคืออะไรเลยรู้ว่าสิ่งที่คุณนักเขียนอยากลองชิมคือเคพกูสเบอร์รี่
“ขอบคุณครับ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางยกยิ้มให้กับคุณแม่ผู้แสนใจดีของผม ซึ่งพอเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากแบบนั้น ผมก็ยิ่งคิดถึงจันทร์ผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะเป็นของจันทร์ แต่พฤติกรรมหลายๆ อย่างที่แสดงออก ก็ไม่เหมือนกับจันทร์คนที่ผมรู้จัก
ยิ่งเรื่องรอยยิ้มก็ยิ่งเทียบกันไม่ติด
เพราะจันทร์ของผมเวลายิ้ม เขาจะชอบยิ้มไปหมดทั้งใบหน้า ทำให้ลักยิ้มโผล่ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ก่อนจะเลิกงานผมได้อ่านบันทึกประวัติผู้ป่วยของจันทร์ที่พี่จี๊ดเอามาให้ พบว่าวันๆ หนึ่งคุณนักเขียนทั้งนั่ง ยืน เดิน และจบด้วยการนอนมองออกไปทางนอกหน้าต่าง คล้ายกับนอกห้องสี่เหลี่ยมมีอะไรที่น่าสนใจกว่า ซึ่งผมก็รับรู้ได้ว่าเขาคงจะเบื่อ เพราะปกติเวลาเงียบๆ ว่างๆ แบบนี้
เขาน่าจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพิมพ์นิยาย มากกว่าการหายใจทิ้งไปวันๆ

ส่วนการกินก็เจริญอาหารดี การขับถ่ายก็ดี อัธยาศัยก็ดี ให้ความร่วมมือก็ดี แต่เรื่องที่เกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ ‘คุณพีรวัตร’ ยังคงเป็นอัตลักษณ์เดียวที่แสดงตัวตน และมีการพูดติดสำเนียงภาษากลาง กิจกรรมที่ชอบทำคือการเขียนนิยาย การนั่งมองท้องฟ้า ส่วนเหตุผลสำหรับการหลับใหลของ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก คือการหลีกหนีจากความทรงจำที่เป็นเหมือนฝันร้ายในวัยเด็ก และเขาก็นอนหลับไปตั้งแต่อายุ 12 ปี เพราะเคยมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง
จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน

กระทั่งผมอ่านบันทึกดังกล่าวจบ สมองก็พลันว่างเปล่าเพราะประโยคที่ว่า ‘จันทร์เคยมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง’ ผมคาดว่าน่าจะเป็นช่วงที่ความทรงจำยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ดี แต่เมื่อความโหดร้ายทับถมจนเต็มอก เด็กชายตัวเล็กจึงเลือกจะตัดขาดจากตัวเองและตัดขาดจากความทรงจำบ้าๆ นั่นด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของใครสักคน
ซึ่งผมเดาว่า..
ใครคนนั้นอาจจะเป็น ‘จันทร์’ ของคุณชลวิทย์ 

หลังเลิกงานผมแวะไปเอาเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนในคืนนี้  พร้อมกับทานมื้อเย็นในช่วงหัวค่ำตรงข้างทาง จากนั้นก็ย้อนกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยไม่ลืมจะหยิบหนังสือและแมคบุ๊กติดมือมาด้วย แต่พอมาถึงก็พบเจอกับความวุ่นวายแถว ๆ ห้องที่เป็นจุดหมายปลายทาง จึงทำให้ผมทราบว่า..
ขณะนี้ ‘จันทร์’ ของคุณชลวิทย์มีโอกาสใช้ชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว

“ปล่อยกู! ปล่อย! กูจะไปหาพี่วิทย์ ปล่อย!” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกผิดกับท่าทีอันเป็นผู้ใหญ่แสนสุภาพของคุณนักเขียน และการอาละวาดในครั้งนี้ก็ทำให้พยาบาลหลายคนถึงกับประหลาดใจในสิ่งที่ได้เห็น เพราะลักษณะนิสัยรวมไปถึงน้ำเสียงของคุณนักเขียนและจันทร์คนที่กำลังโดนมัดมืออยู่นี้
ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะทำให้เชื่อถือได้เลยว่า..
คนสองคนคือคนคนเดียวกัน

“ใจเย็นๆ นะจันทร์ ตอนนี้มันมืดแล้ว พี่วิทย์ขับรถมาลำบากนะครับ อีกอย่างพี่วิทย์ก็ชอบมีอาการแพนิคตอนกำลังขับรถด้วย จันทร์ไม่เป็นห่วงพี่เขาเหรอ ?” ผมวางข้าวของลงบนโซฟาด้านขวามือพร้อมกับเดินเข้าไปหาคนบนเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ต่างกับตอนที่พูดกับจันทร์ของตัวเอง
“…” ฝ่ายคนป่วยหลังจากได้ยินคำถามก็ดูเหมือนกับจะสิ้นฤทธิ์ หลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ

“จันทร์ไม่ชอบใจที่ถูกมัดมือแบบนี้ใช่ไหมครับ ?” ผมเอ่ยถามพลางนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย เมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังนอนสะอื้นไห้ ทั้งๆ ที่ยังถูกพันธนาการไว้
“…” ฝ่ายคนถูกถามส่ายหัวเพียงครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าอีกครู่หนึ่ง ทำเอาผมงุนงงไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น จันทร์สัญญากับหมอได้ไหมว่าจะไม่ทำแบบเมื่อครู่อีก ?”
“อื้อ” เขาตอบเสียงแผ่ว ผมจึงหันไปเหลือบมองพยาบาลสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเพียงครู่ จากนั้นก็ตัดสินใจวัดดวงกับคนคนนี้ดูสักครั้ง

“ทำไมเมื่อกี้ถึงโมโหล่ะครับ ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามขณะกำลังแกะเชือกที่พันธนาการอีกฝ่ายกับไว้เตียงนอน
“ผมไม่อยากรักษา! ผมไม่ได้ป่วย! เข้าใจหรือเปล่าหมอ!” ดวงตาของจันทร์แข็งกร้าวขึ้นมาทันที พร้อมกับพละกำลังอันมากมายที่พร้อมจะพาตัวเองให้หลุดออกไปจากสถานที่อันไม่พึงปรารถนา อีกทั้งน้ำเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ยังดังลั่นจนไม่ต้องถามย้ำว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ผลสุดท้าย..
จันทร์ที่แสนดื้อดึงก็ต้องถูกมัดไว้กับเตียงเหมือนอย่างเดิม

หลังจากจัดการกับ ‘ม้าพยศ’ ได้แล้ว ผมก็ฝากน้องแพรให้ช่วยดูเขาไว้ครู่หนึ่ง ขณะที่ผมกำลังโทรไปหาไอ้บาสที่ในช่วงหลังเลิกงานแบบนี้มักจะขลุกตัวอยู่กับเพื่อนสมัยมัธยมด้วยความเป็นห่วง เพราะอาการของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยจะดีนัก ส่วนทางนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่าคนที่บ้านกลางป่าสน น่าจะกำลังวุ่นวายจึงไม่ได้รับสาย ผมเลยถอดใจพร้อมกับมานั่งครุ่นคิดอยู่ตรงม้านั่งด้านนอกทางเข้าวอร์ดจิตเวชว่าผมควรจะให้คุณชลวิทย์มาเยี่ยมจันทร์คนนี้หรือเปล่า เพราะผมกลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง แต่ด้วยความที่เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าอัตลักษณ์ใดจะออกมาตอนไหนก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน แต่บางทีปัญหามันอาจจะอยู่ที่คุณชลวิทย์ เพราะผมคิดว่าสภาพจิตใจของเขายังไม่น่ามาเจอกับจันทร์ที่ตัวเองรักนักรักหนาได้แน่ๆ
เพราะใบหน้าของจันทร์ทั้งสองคนเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว

“เห้อ~” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกหนักใจกับปัญหาหลายๆ อย่าง แล้วก็เป็นห่วงจันทร์ที่ยังคงหลบอยู่ข้างหลังฉากเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำใครคนนั้นยังจะหนีไป ทั้งๆ ที่เรากำลังเข้าใจผิดกันแบบนี้ อดจะทำให้ผมคิดมากไม่ได้ เนื่องจากผมไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจอีกเมื่อไหร่
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ..
ผมยังจะมีโอกาสอธิบายอยู่อีกไหม ?

“คุณแกะมัดนี่ออกไม่ได้เหรอ ?” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็พบกับคำถามของคุณพีรวัตรและสายตาขอความคิดเห็นจากน้องแพร ผมจึงพยักหน้าเมื่อพิจารณาอย่างดีแล้วว่าคนคนนี้คือคุณนักเขียนแน่ๆ
“กรออกมาแผลงฤทธิ์สินะ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพลิกข้อมือทั้งสองข้างไปมาครู่หนึ่ง

“กร ? ชื่อจริงของเขาเหรอครับ ?” ผมย้อนถามพลางเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตรงข้างเตียง
“อืม”

“แล้วทำไมเขาถึงต้องสวมรอยใช้ชื่อของจันทร์ด้วยล่ะ ?” ผมย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คงจะเลยตามเลยล่ะมั้ง” เมื่อได้ยินคำตอบผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะดูท่าแล้วคนคนนั้นน่าจะยอมลงให้กับคุณชลวิทย์เพียงคนเดียว

“ผมถามหน่อยสิ ทำไมเขาถึงเรียกคุณชลวิทย์ว่า ‘พี่วิทย์’ แต่ทั้งคุณ จันทร์ แล้วก็ลี ต่างเรียกเขาว่า ‘ชล’ ผมอยากรู้ว่าชื่อที่กรเรียกมีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่า ประมาณว่าเป็นชื่อสำหรับคนในครอบครัวใช้เรียกกันแบบนี้น่ะ”
“ก็เป็นไปได้นะ ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้สนใจสักเท่าไหร่ เพราะผมกับเขาเราอยู่กันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า”

“คุณหมายความว่ายังไง ?”
“ค่าลิขสิทธิ์นิยาย แลกกับที่พักและห้ามมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผม”

“สรุปว่านี่ก็คือเหตุผลที่คุณให้น้องลีเป็นผู้ออกมารับมือกับเขา ตอนที่มีการใช้ดอกสโนว์ดรอปส์เพื่อการข่มขู่ใช่หรือเปล่า ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะในเวลาแบบนั้นลีเหมาะสมที่สุด”

“เวลาแบบนั้น ?” ผมเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“ผมหมายถึงช่วงเวลาของฤดูกาลสโนว์ดรอปส์”

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมน้องลีต้องออกมาใช้ชีวิตแค่ช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์บานด้วยล่ะ?”
“อันที่จริงลีเคยออกมาใช้ชีวิตได้ยาวนานกว่านั้น แต่หลังจากย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน ช่วงเวลาแบบนั้นก็คือช่วงเวลาของเธอ.. ช่วงเวลาที่จันทร์ต้องการลี”

“คุณกำลังจะบอกผมว่าช่วงเวลาที่ดอกสโนว์ดรอปส์บาน มันเคยเป็นช่วงเวลาที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายกับจันทร์ใช่หรือเปล่า?”
“ก็ประมาณนั้น ผมเองก็ไม่รู้อะไรมาก เพราะตัวผมเกิดขึ้นทีหลังสุด” คำตอบของคุณนักเขียนทำให้สมองของผมเริ่มเรียงไทม์ไลน์ของการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเริ่มจาก ‘น้องลียากร’ ถัดมาก็คือ ‘คุณกร’ ที่บางครั้งก็ใช้นามแฝงว่าจันทร์ และสุดท้ายก็คือ ‘คุณพีรวัตร’

“คุณพอจะจำได้หรือเปล่าว่ามันเป็นปีที่เท่าไหร่?”
“น่าจะช่วงที่จันทร์อายุ 13 ปี”

“แล้วเหตุผลที่เขาสร้างคุณขึ้นมาคืออะไร?”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นความเข้มแข็ง” คำตอบของคุณพีรวัตรทำให้ผมพอจะเข้าใจได้บ้าง เนื่องจากบุคลิกของอีกฝ่ายดูจะเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว อีกทั้งยังกล้าคิด กล้าตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยม เพราะถ้าหากไม่ได้อีกฝ่าย ป่านนี้ผมอาจจะเอาตัวจันทร์ออกมาจากบ้านกลางป่าสนได้ยาก แล้วไหนจะตอนที่ม้าพยศแผลงฤทธิ์ด้วยการหนีออกจากบ้านก็อีก
ถ้าหากไม่ได้เขาผมไม่อยากจะคิดเลยว่าเรื่องราวมันจะวุ่นวายมากแค่ไหน..

“ผมว่าคุณคงจะเหนื่อยแล้วล่ะ พักผ่อนเถอะ เวลาที่ม้าพยศอย่างกรแผลงฤทธิ์แต่ละที ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
และมันก็เรียกเสียงหัวเราะของคุณนักเขียนได้เป็นอย่างดี

“อ้อ ผมเอาแมคบุ๊กกับหนังสือมาให้คุณด้วย” หลังจากปิดไฟและล้มตัวลงนอนพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดคอ ผมก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด เพราะดันลืมสนิทใจเลยว่าผมยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
“ขอบคุณ” สิ้นคำตอบรับทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่ผมก็ได้แต่นอนมองเพดานจนเวลามันผันผ่านไป แต่สุดท้ายก็ยังนอนไม่หลับ เพราะความรู้สึกมันเหมือนกับว่าตัวผมก็อยู่ใกล้กับจันทร์เพียงแค่นี้ แต่ทำไมมันถึงเหมือนกับเราอยู่ห่างไกลกันราวกับคนละซีกโลก ซึ่งกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลราวกับคนละซีกโลกของจริง ยังโชคดีที่มีเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัยให้ใช้ แต่กับผมมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ นอกจากผมจะลองใช้วิธีสะกดจิต หรืออาจจะต้องใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเข้าช่วย ซึ่งมันก็อาจจะต้องผ่านการยินยอมจากอัตลักษณ์อื่นๆ ด้วยหรือเปล่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจ
แต่ถึงจันทร์จะกลับมา..
เขายังจะเชื่อในตัวผมอยู่หรือเปล่า ?

ผมลุกขึ้นนั่งพลางมองไปยังใครบางคนที่กำลังนอนแน่นิ่ง ซึ่งใครคนนั้นก็คือจันทร์ แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ควบคุมจิตวิญญาณของเขา กลับไม่ใช่คนที่หวัง มันเลยทำให้ผมรู้สึกถึงความห่างไกลมากยิ่งขึ้น
แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงของอีกฝ่าย พลางแนบใบหน้าลงบนข้างแขนของตัวเองที่วางอยู่ใกล้ๆ กับแผ่นหลังของคนที่กำลังนอนตะแคงหันหน้าออกไปทางหน้าต่างบานใส
พร้อมกระซิบเบาๆ ในใจว่า..
‘พี่คิดถึงจันทร์นะ’


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
เราว่าจะลงตั้งแต่ละครจบ แต่เผลอหลับ 555 ตอนนี้ก็หม่นๆ กันไปก่อนเนอะ แล้วก็เหมือนจะมีปริศนามาอีกแล้ว ส่วนเรื่องการตรวจร่างกาย เราอิงเอาจากในหนังสือนะคะ
สำหรับแนวเรื่องเราคิดว่าเราอยากจะแต่งให้เป็นโทนเทาๆ คือไม่ได้ดราม่าจ๋า เพราะเราอยากเขียนสื่อในทำนอที่ว่า มีใครสักคนที่เข้าใจและยอมรับได้ในสิ่งที่ผู้ป่วยจิตเวชเป็น เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะสามารถทำเขามีกำลังใจมากๆ เลยนะ
ปล. เราไม่แน่ใจว่าจะกี่ตอนจบ แต่เราคิดตอนจบได้แล้ว 555 ระหว่างทางนั้นก็ต้องดูกันอีกที เพราะโรคนี้ใช้เวลารักษายาวนานมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:05:24 โดย Chomin »

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
จะจบยังไงนะเรื่องนี้ แต่ขอให้พี่หมอแฮปปี้นะค้า สงสารฮี555555

 :กอด1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 24

เช้าวันนี้คนที่ออกมาใช้ชีวิตและควบคุมจิตวิญญาณของจันทร์คือ ‘คุณกร’ ม้าพยศที่ยังคงพยศไม่เลิกรา ซึ่งผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น เพราะเขามีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีความชอบ และมีความฝันเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังมีความรักไม่ต่างกับเราๆ เขาก็ย่อมไม่อาจจะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะรับรู้ได้
แม้ว่าครั้งหนึ่งตัวตนที่จันทร์สร้างขึ้นจะเคยพูดคุยกันผ่านทางสมุดบันทึก แต่ผมก็เพิ่งจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าความลับนี้มีเพียงแค่คุณชลวิทย์และคุณพีรวัตรเท่านั้นที่ล่วงรู้ ซึ่งเทียนหอมที่เคยถูกนำใช้ มีไว้เพื่อจำแนกว่าใครเป็นใคร ดังนั้นการที่จันทร์ไม่มีเทียนหอมก็คือหนึ่งในคุณสมบัติของอัตลักษณ์หลัก ส่วนคุณกรตามคำให้การของคุณนักเขียน เขาแจ้งมาว่ารายนี้ไม่ค่อยได้ออกมาใช้ชีวิตสักพักนึงแล้ว แต่ถ้าหากวันไหนจันทร์ของผมรู้สึกย่ำแย่ เคว้งคว้าง อัตลักษณ์ของคุณกรที่เป็นผู้รองรับความเจ็บปวดก็จะออกมาใช้ชีวิต
และทุกครั้งเขาก็มักจะพลั้งมือฆ่าตัวตาย

โชคดีที่คุณชลวิทย์คอยเฝ้าระวังอยู่ตลอด ดังนั้นการที่เราเห็นกรยิ้มหรือหัวเราะ ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังมีความสุขจากใจจริง เพราะเขาก็แค่ฝืนตัวเองเพื่อความสุขของคุณชลวิทย์ ฉะนั้นเวลานี้เมื่อเขาทราบความจริงว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับความเจ็บปวดของคนชื่อ ‘จันทร์’ เขาถึงได้อาละวาดจนต้องพันธนาการไว้กับเตียงเหมือนอย่างเคย
ขณะที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบในอกทุกครั้งที่ได้เห็น ‘กร’ เพราะเขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น และความเจ็บปวดทางร่างกายของจันทร์ที่เกิดขึ้นเพราะเขา ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี และใจจริงแล้วผมก็แทบไม่อยากให้จันทร์ได้รับบาดเจ็บ แม้จะเพียงปลายเล็บก็ตาม
เนื่องจากว่า..
จันทร์ของผม.. เขาเจ็บปวดมามากพอแล้ว

“เออพี่ภัทร พี่ทรายแกอยากจะมาเยี่ยมจันทร์น่ะ พี่คิดว่ายังไง ?” ช่วงบ่ายหลังจากกินกันจนอิ่มหนำด้วยฝีมือทำกับข้าวของแม่ผมแล้ว ไอ้บาสก็เกิดอาการอยากคาเฟอีนขึ้นมา เลยลงไปหาซื้อเครื่องดื่มมากระแทกปากสักหน่อย เวลานี้มันถึงได้คาบข่าวจากทางฝั่งของพี่ทรายผู้เป็นเจ้าของคาเฟ่มาบอกผมได้ เพราะช่วงที่เรากำลังวุ่นๆ ผมก็ลืมบอกแกไปเลยว่าจันทร์ไม่สามารถทำขนมได้อีกต่อไป โชคดีที่คุณชลวิทย์ยังมีความรับผิดชอบ เพราะเขาโทรไปแจ้งกับทางร้านตั้งแต่วันที่รู้ว่าจันทร์จะต้องเข้ารับการรักษา และการกระทำดังกล่าวของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า
เขาคงจะอยู่ในขั้นพยายามจะยอมรับความจริงให้ได้

“ตอนนี้น่าจะยังไม่ได้ว่ะ เมื่อเช้ากรออกมาใช้ชีวิต เล่นเอาทั้งวอร์ดยุ่งกันไปหมด มึงก็น่าจะรู้”

“ก็จริง แต่ผมก็ตอบแบบปฏิเสธอ้อมๆ ไปแล้วล่ะว่าตอนนี้ยังไม่สะดวก”
“แล้วเพื่อนมึงเป็นยังไงบ้างวะ?” ผมเอ่ยถามถึงอาการของคุณชลวิทย์ที่ช่วงนี้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบของผมไปแล้ว เพราะเคสของเขามีหมอปาล์มกับไอ้บาสคอยดูแลอยู่

“ก็เป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้นั่นแหละพี่” สิ้นคำตอบของไอ้บาส ผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ซึ่งอาการของผู้มีภาวะซึมเศร้าก็อย่างเช่น มีอารมณ์เศร้า หดหู่ วิตกกังวล รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า โดดเดี่ยว สิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย โดยที่อารมณ์เหล่านั้นจะมีความรุนแรงและคงอยู่อย่างยาวนานกว่าปกติ และยังสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายจนทำให้รู้สึกอ่อนล้าตลอดเวลา อีกทั้งยังมีความเจ็บปวดทางร่างกาย และบางทีก็นอนหลับยากหรือว่าหลับมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม ไม่มีสมาธิ ทำงานไม่ได้ หมดความสนใจในเรื่องที่เคยชอบ รวมถึงการมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง
ซึ่งโรคซึมเศร้ายังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง โดยอาการของมันจะส่งผลกระทบไปถึงการใช้ชีวิต และโรคซึมเศร้าเรื้อรังที่แม้ว่าอาการจะรุนแรงน้อยกว่า แต่ภาวะซึมเศร้าจะคงอยู่ยาวนานอย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป และบางช่วงเวลาผู้ป่วยก็จะต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าชนิดรุนแรงร่วมด้วย
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกจะปล่อยวางกับเรื่องราวของคุณชลวิทย์
เพราะผมพอจะคาดเดาได้ว่า เขาคงต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าจากเหตุการณ์ตึงเครียดในชีวิต และมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

บ่ายวันนี้ได้มีการกำหนดแผนการบำบัดในรายงานเป้าหมายของทางโรงพยาบาล เนื่องจากเหล่าบุคลากรและผู้ป่วยท่านอื่นๆ กำลังเกิดความสับสนในตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ จึงมีการกำหนดแผนการเอาไว้ว่าคุณเพียงจันทร์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำขณะที่มีหลักฐานและไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยถ้าหากจันทร์กำลังพูดถึงตนเองในฐานะอัตลักษณ์อื่น ก็ให้เจ้าหน้าที่คอยย้ำเตือนว่าเขาคือใคร และถ้าหากเขามีการขีดเขียนหรือกระทำการใดๆ ก็ให้เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเราเห็นอีกฝ่ายกำลังกระทำสิ่งนั้น เช่น ตอนที่อัตลักษณ์ของ ‘กร’ ออกมาใช้ชีวิต หากเขาบอกว่าไม่เคยใช้แมคบุ๊ก ก็ให้เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเขาใช้ หรือถ้าหาก ‘จันทร์’ ผู้เป็นอัตลักษณ์หลักมีการออกมาใช้ชีวิตและปฏิเสธว่านิยายที่กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอแมคบุ๊ก ไม่ได้เกิดจากฝีมือของเขาก็ให้ย้ำเตือนว่าเราเห็นเขากำลังนั่งพิมพ์ข้อความดังกล่าวอยู่บนเตียง
โดยแผนการนี้จะกินเวลาทั้งหมดหนึ่งเดือนเต็ม

ซึ่งผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยเพราะการที่เราย้ำเตือนเหมือนกับไม่ยอมรับ หรือว่ามองข้ามตัวตนของอัตลักษณ์อื่นๆ อาจจะทำให้พวกเขาต่อต้านเอาได้ โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของ ‘กร’ ผมเชื่อว่าเขาจะต้องอาละวาดแน่ๆ เนื่องจากเขายังมีความเชื่อมั่นว่าตัวเขาก็คือตัวเขา ไม่ใช่ใคร และไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใคร ทั้งนี้ผมจึงโทรไปปรึกษากับ ดร. ธีรชัย ด้วยความเคร่งเครียด
แต่ท่านก็แจ้งมาว่า..
บางที.. วิธีนี้อาจจะใช้ได้ผลกับคนไข้บางรายก็เป็นได้

กระทั่งช่วงเย็นเดินทางมาถึง บันทึกประวัติผู้ป่วยจากพี่จี๊ดก็วางลงบนโต๊ะเหมือนอย่างเคย ซึ่งวันนี้กิจกรรมของ ‘จันทร์’ ในฐานะอัตลักษณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย เช่น ‘กร’ ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ อาหารก็ไม่ค่อยกิน แต่มื้อกลางวันดูเหมือนเขาจะยอมกินเพราะเกรงใจแม่ของผม และทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า ‘จันทร์’ เขามักจะอาละวาดราวกับต่อต้านอย่างหนัก คงเพราะชื่อนี้กลายเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับเขาไปแล้ว ขณะที่ ‘คุณพีรวัตร’ ออกมาใช้ชีวิตในช่วงบ่ายก็มีการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า ‘จันทร์’ สายตาของเขาจะดุดันขึ้นในทันที
เพียงเท่านี้ก็พอจะทราบได้แล้วว่า..
วิธีนี้.. มันไม่เวิร์ก

ด้วยความที่วันนี้จันทร์ในคราบของคุณนักเขียน ได้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดในช่วงบ่าย ซึ่งกิจกรรมในวันนี้คือการทำภาพคอลลาจ[1] ที่จะอยู่ภายใต้หัวข้อ ‘ภาพที่บ่งบอกถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองหรือว่าใครบางคนที่เรารัก’ โดยเจ้าหน้าที่จะมีอุปกรณ์ เช่น นิตยสาร และกระดาษแข็ง ขนาด 8 x 11 เซนติเมตร รวมทั้งกาว กรรไกร แจกจ่ายให้
ซึ่งผู้ป่วยหลายคนก็มีความสามารถทางด้านศิลปะไม่น้อย แต่ทว่าภาพศิลปะเหล่านี้ ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงความคิด ทัศนคติ และอะไรอีกหลายอย่างที่เราสามารถไขปริศนาได้อีกด้วย

โดยภาพคอลลาจฝีมือของคุณนักเขียน มีภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นำมาจากนิตยสารที่แจกจ่ายให้ วางแปะไว้ตรงกลางภาพ ซึ่งเด็กชายคนนั้น มีใบหน้าเศร้าหมอง อีกทั้งยังแผ่กระจายความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ดวงตาของเขากำลังเฝ้ามองผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งก้าวเดินจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอ้างว้างให้กับเด็กชายตัวน้อยผู้แสนน่าสงสารที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง
และมันก็ทำให้ผมเอะใจกับอะไรบางอย่าง..

“จันทร์” ผมถือภาพคอลลาจเดินไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อประตูเปิดออก ผมก็ร้องเรียกใครบางคนด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว ขณะที่สายตาก็พินิจพิจารณาคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทั่งแน่ใจแล้วว่าคนคนนี้เป็นใคร ผมก็รีบฉีกยิ้มกว้างพร้อมก้าวเดินด้วยช่วงขายาวๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้างเตียง
“พี่ภัทร..” จันทร์ร้องเรียกผมเสียงแผ่วพลางก้มหน้าก้มตาราวกับคนมีความผิดติดตัว

“จันทร์จริงๆ ด้วย” ผมวางภาพศิลปะฝีมือของจันทร์ตัวจริงไว้บนเตียง จากนั้นก็เอื้อมมือไปประคองฝ่ามือของอีกฝ่ายมากอบกุมไว้ พร้อมทั้งใช้ปลายจมูกแตะลงบนหลังมือของคนที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะกลับมาเจอกันในเวลาอันรวดเร็ว
“จันทร์ไม่ได้ตั้งใจ” คนบนเตียงกล่าวเสียงอ่อย ทำเอาผมยุติการเคลื่อนไหว ก่อนจะมองจ้องไปยังใครบางคนที่กำลังนั่งก้มหน้าจนแทบจะชิดอก

“พี่รู้.. พี่เข้าใจจันทร์ทุกอย่าง เพียงแต่วันนั้นพี่แค่กำลังเสียใจเลยไม่ทันได้คิดให้ดีว่าจันทร์ของพี่ไม่มีทางทำแบบนั้น” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางขยับขึ้นไปนั่งบนพื้นที่ว่างตรงข้างเตียง และเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายที่กำลังนั่งซบอิงอยู่ตรงข้างแขนของผมเพียงเบาๆ
“แต่จันทร์ก็ทำ จันทร์ทำจริงๆ พี่ภัทรก็เห็น..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพร้อมน้ำตาที่กำลังร่วงหล่น เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น..
วันที่เป็นเหมือนกับฝันร้าย..

“จันทร์ทำทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว ไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่าพอลืมตาขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว.. เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ตอนแรก จันทร์ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับพี่ภัทร แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
“…”

“ทำไมถึงเหมือนกับตอนเด็กๆ ที่จันทร์ลืมตาขึ้นมาก็ถูกแม่กับคุณครูทำโทษ แต่พอจันทร์อธิบายว่าจันทร์ไม่ได้ทำก็ไม่มีใครเชื่อจันทร์เลย ทุกคนเอาแต่บอกว่าจันทร์เป็นเด็กขี้โกหก ทั้งๆ ที่จันทร์ก็พูดความจริงทุกอย่าง” จันทร์กล่าวปนสะอื้นอย่างหนัก พร้อมทั้งจิกปลายเล็บเข้ากับเนื้อเตียงอย่างแน่นหนา จนทำให้ผมต้องเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างของเขามาวางไว้บนหน้าตักของตัวเอง พร้อมทั้งลูบหลังฝ่ามือของเจ้าตัวเพียงเบาๆ และรับฟังความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างเงียบเชียบ
“…”

“จันทร์รู้..” คนป่วยกล่าวพลางสะอื้นไห้ จนไม่สามารถต่อคำพูดที่ต้องการจะบอกกล่าวให้จบประโยค ผมจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปโอบไหล่ของเจ้าตัวไว้ เพื่อให้เขาไม่รู้สึกอ้างว้าง เหมือนกับภาพคอลลาจที่บ่งบอกถึงการไม่ได้รับความเชื่อใจจากคนสำคัญ ซึ่งผมคงจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นที่ถูกแทนที่ด้วยภาพของผู้ชายที่กำลังเดินหันหลังให้กับเด็กชายตัวน้อยผู้แสนน่าสงสาร
“…”

“จันทร์รู้ว่าถึงอธิบายไปมันก็ไม่มีประโยชน์..”
“แต่กับพี่คำอธิบายมันใช้ได้ผลนะจันทร์”

“…”
“เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไม่ใช่เหรอ ?” ผมโต้เถียงหลังจากที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป เมื่อจันทร์คนที่กำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมแขน เขาหลับตาลงไปแล้ว..
ซึ่ง ‘การหลับตา’ ในที่นี้..
คือการก้าวเข้าไปอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง..

ณ เวลานี้ ผมรู้สึกเคว้งคว้างไปหมด อาจเพราะจันทร์ไม่มีความเชื่อใจมอบมาให้ตั้งแต่แรก เห็นได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยหวาดกลัวว่าผมจะหนีหายไป จนมาถึงครั้งนี้.. ครั้งที่เป็นปัญหาใหญ่  จันทร์ที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เด็กขี้โกหก’ คงจะเหน็ดเหนื่อยกับการแก้ตัว
อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนั้นยังบ่งบอกได้ว่า ก่อนหน้านี้มันเคยเกิดอะไรขึ้น มิหนำซ้ำผมยังเดินหนีอีกฝ่ายไป ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ถึงความเชื่อใจ ที่เราต่างก็มีให้กันไม่มากพอ
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวในครั้งนี้ก็สามารถอธิบายได้
ถ้าหากจันทร์.. กล้าเสี่ยงดวงกับคนอย่างผมอีกสักครั้ง

เพราะถ้าหากลองคิดวิเคราะห์ดูให้ดี จันทร์ก็น่าจะรู้ว่าในสถานการณ์แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมองอะไรให้ลึกซึ้งได้ง่ายๆ แต่ในทางกลับกันเจ้าของบ้านคนน้องก็ไม่เคยทราบถึงสถานการณ์หลังจากนั้น อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตและยังฝังลึกมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นเราอาจจะต้องบำบัดอีกฝ่ายในจุดนี้ด้วย
เพราะความเชื่อใจดังกล่าว ไม่ใช่ไม่มีให้แค่เพียงผม แต่กับคนอื่นๆ จันทร์ก็อาจจะไม่มีให้พวกเขาอีกต่อไป..

แต่อย่างน้อยการตื่นจากการหลับใหลของจันทร์ในครั้งนี้ ทำให้ผมโล่งใจได้อยู่อย่าง เพราะมันทำให้ผมทราบว่าเหตุการณ์ในวันนั้น ไม่ได้ทำให้คนที่เคยฝันร้าย ต้องมาฝันซ้ำเดิมอีก และมันก็ยังทำให้ผมทราบว่าในร่างกายของจันทร์..
อาจจะยังมีอีกอัตลักษณ์หนึ่งซุกซ่อนอยู่
เพียงแต่ผมกำลังสงสัย ว่าทำไมอัตลักษณ์ดังกล่าวถึงได้ไร้ตัวตน ราวกับจันทร์ไม่เคยสร้างเขาขึ้นมาแบบนี้..


゚゚❀゚゚

[1] ภาพปะติด หรือ คอลลาจ (collage) เป็นคำในภาษาฝรั่งเศส (coller) หมายถึงการใช้กาวในการทำงานศิลปะด้วยเทคนิคต่างๆ โดยการเรียบเรียงภาพเก่าที่มีอยู่เข้ากับการใช้วัสดุใหม่ๆ ประกอบกันเพื่อให้เกิดความหมายใหม่ หรือลดทอนความหมายเดิม

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ภาพคอลลาจ
เว็บ 1 :  https://goo.gl/9VPgHh  / เว็บ 2 :  https://goo.gl/aCjyhL

- โรคซึมเศร้า :  https://goo.gl/G8pT8n

มันอาจจะสั้นไปหน่อยเพราะเราพยายามจะให้มันจบภายในหนึ่งวัน แต่ตอนต่อไปอาจจะขยับความเร็วของเนื้อเรื่องอีกสักนิด 55 น้องจันทร์ที่ทุกคนคิดถึงออกมาแล้ว แต่ในมุมมองของน้องคือ ภาพของพี่หมอที่เดินหนีไป ก็เหมือนกับภาพของคนอื่นๆ ที่เคยว่าเจ้าตัวไว้ว่าเป็นเด็กขี้โกหก ความกลัว ความไม่มั่นใจ มันทำให้น้องเลือกที่จะไม่รับฟังความคิดเห็นจากใครอีก เพราะสุดท้ายเจ้าตัวก็จะถูกลงโทษเหมือนที่ผ่านๆ มา ฉะนั้นแล้วต้องใช้วิธีทางจิตวิทยาช่วยให้น้องเชื่อมั่นคนอื่นๆ จากนั้นพี่หมอถึงจะได้น้องคืนกลับมาจ้า อ้าวสปอย 555

ปล. เราขอไม่เขียนให้น้องดราม่าเรื่องแบบนั้น เพราะว่าช่วงที่น้องตื่นมา ก็อย่างที่บอกว่ามันเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่น้องก็รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือไม่ได้ขยะแขยงเพราะภาพในอดีตไม่ได้ย้ำเตือน แค่ประมาณรู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงวาบมาอยู่ตรงนี้ ทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ลงไป ทำไมพี่ชลถึงทำแบบนี้ คือจันทร์ก็จะมึนๆ ตามประสาผู้ป่วยโรค DID ที่ความทรงจำขาดหายนั่นแหละจ้า ซึ่งครั้งนี้มันหนักเพราะคนที่ชอบและพี่ชายที่ไว้ใจดันทำตัวเหมือนจะทิ้งตัวเองให้เคว้งคว้างและหักหลังกันประมาณนี้  เดี๋ยวไว้ความรู้สึกของน้องจะเขียนเพิ่มมากขึ้นเมื่อน้องกลับมา 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:13:46 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 25

เช้าวันนี้จันทร์ในคราบของคุณนักเขียนจะต้องเข้ารับการบำบัดกับ ดร. อาทิตย์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงประจำจังหวัดเป็นคาบแรก โดยตลอดทั้งการสัมภาษณ์จะต้องมีการบันทึกวีดิโอเพื่อการศึกษา
ดังนั้นในคาบนี้น่าจะเป็นการทำความรู้จักกันเสียมากกว่า
 
นอกจากนี้ ดร. ธีรชัยยังให้คำแนะนำมาอีกว่า พวกเราจะต้องเร่งค้นหาว่าจันทร์มีทั้งหมดกี่อัตลักษณ์ เพื่อที่จะได้ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นใคร จากนั้นก็พยายามให้แต่ละตัวตนกล่าวถึงสาเหตุของการปรากฏตัว และนำพาพวกเขากลับไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนะนำให้แต่ละอัตลักษณ์ทำความรู้จักกัน พูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหา รวมถึงแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้แก่กัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่ต่างคนต่างอยู่ ซึ่งกลยุทธ์นี้มันคือวิธีการรวบรวมทุกๆ ตัวตนเข้าด้วยกัน
เนื่องจากมันจะทำให้จันทร์มีโอกาสนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่เคยขาดหาย

ทว่าจิตแพทย์แต่ละท่าน ต่างก็มีวิธีในการบำบัดที่แตกต่างกัน ดังนั้น ดร. อาทิตย์ จึงเลือกใช้วิธีการของตนเองในการเรียนรู้ว่าผู้ป่วยกรณีศึกษาผู้นี้ คือใครและเป็นอะไรกันแน่
ดังนั้นแผนการย้ำเตือนให้แต่ละอัตลักษณ์รับรู้ว่า..
พวกเขาคือส่วนหนึ่งของคนที่ชื่อ ‘เพียงจันทร์’ จึงเกิดขึ้น

ขณะที่แผนการบำบัดในส่วนของกิจกรรมบำบัด มีการเพิ่มหัวข้อใหม่เข้าไปด้วย เนื่องจากข้อมูลที่ผมพบเจอเมื่อเย็นวานนี้ ถือเป็นข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังสอดคล้องกับผลงานทางด้านศิลปะของจันทร์ที่ล้วนบ่งบอกได้ดีว่า..
กิจกรรมการบำบัดในครั้งต่อไป..
ควรจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ ‘ความเชื่อใจ’

กระทั่งเวลาสิบเอ็ดโมงตรง เป็นเวลาของคาบบำบัดที่ว่าด้วยการทำอาหาร ผมที่เพิ่งจะเคลียร์ผู้ป่วยนอกจนหมด ตั้งใจจะเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว แต่ปรากฏว่า ดร. อาทิตย์นำไฟล์วีดิโอมาให้ผมดูเสียก่อน เลยไม่ทันได้ไปดูฝีมือการทำอาหารของคุณนักเขียนว่าจะเด็ดดวงเทียบเท่ากับจันทร์หรือเปล่า เพราะรายนั้นเขาเก่งด้านการทำครัว ดูจากขนมที่เคยทำขายเอาก็ได้ว่ามันน่ากินและน่าอร่อยมากแค่ไหน
แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดผาดขึ้น เพราะเท่าที่ผมจำได้ ไอ้บาสกับคุณพีรวัตรเหมือนจะเคยพูดทำนองว่าจันทร์ของผมเพิ่งจะมีโอกาสตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลช่วงที่ผมเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน ขณะที่กรกลับไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ออกมาใช้ชีวิตในช่วงนั้น เพราะการมาถึงของผม มันมีผลต่อความรู้สึกของจันทร์ แล้วมันก็เป็นไปได้ว่าเมื่อผมไม่ได้เดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน คนที่ออกมาใช้ชีวิตก็มักจะไม่ใช่จันทร์เสมอไป ดูได้จากเหตุการณ์สุดสะเทือนใจในวันนั้น
ซึ่งมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่า..
ทุกๆ อัตลักษณ์ ต่างก็เคยทำขนมส่งให้กับพี่ทรายในนามของ ‘จันทร์’

แต่กับเรื่องการเขียนนิยายในนามของคุณอนธการ ไม่มีทางที่ใครจะมาทำแทนได้ แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่จันทร์สร้างอัตลักษณ์ของ ‘คุณพีรวัตร’ ขึ้น เขาก็คือคนที่ออกมาใช้ชีวิตได้ยาวนานพอๆ กับอัตลักษณ์ของ ‘คุณกร’ เพราะนอกจากอัตลักษณ์ของคุณนักเขียน จะแสดงถึงความเป็นผู้พิทักษ์แล้ว ยังหมายรวมถึงความเข้มแข็ง..
ที่ครั้งหนึ่งในอดีต.. จันทร์อาจจะเคยใฝ่ฝันอยากมีมันไว้ในครอบครอง
และการมีอยู่ของ ‘คุณพีรวัตร’ ก็อาจจะนำมาซึ่ง จุดเริ่มต้นของการล่วงรู้โดย ‘คุณชลวิทย์’

ผมดับเบิ้ลคลิกเข้าไปยังโฟลเดอร์บันทึกการรักษา และเลือกเข้าไปยังโฟลเดอร์ย่อยที่มีชื่อว่า ‘นายเพียงจันทร์ เกิดกวี’ จากนั้นก็ดับเบิ้ลคลิกไปที่ไฟล์วีดิโอ ‘บันทึกการรักษาครั้งที่ 1’ รอเพียงไม่นานโปรแกรมสำหรับเล่นคลิปวีดิโอก็ปรากฏและตามมาด้วยภาพของห้องสี่เหลี่ยมห้องที่มีบรรยากาศแบบสบายๆ โดยผู้ป่วยอย่างจันทร์ในคราบของคุณนักเขียนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ขณะที่ ดร. อาทิตย์นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวไม่ไกลจากกันนัก

“ผมขออนุญาตบันทึกไฟล์วีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษานะครับ”
“อ่อ.. ครับ” คุณนักเขียนกล่าวพลางมองจ้องมายังกล้องวีดิโอตัวเก่งอย่างแน่วแน่ ร้างไร้ซึ่งความตื่นกลัว

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับคุณเพียงจันทร์ ผม ดร. อาทิตย์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ขอโทษนะครับ ผมพีรวัตรครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” สิ้นคำพูดของด็อกเตอร์ก็ตามมาด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของคุณนักเขียน
 
“โอเคครับ ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ?” ดร. อาทิตย์เริ่มถามเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนคล้อยตาม
“ตอนนี้ผมอายุ 27”

“แล้วคุณมีพี่น้องกี่คน ?”
“ผมเป็นลูกคนเดียว”

“แล้วตอนนี้คุณกำลังทำอาชีพอะไรอยู่ครับ ?”
“ผมเป็นนักเขียน”

“อืม.. แล้วคุณมีแนวที่ชอบเขียนบ้างหรือเปล่า ?”
“ไม่นะ ผมก็เขียนได้หมด แต่ไม่รู้ทำไมถึงออกมาเป็นแนวดราม่าแทบทุกเล่ม” คุณนักเขียนผู้ใช้นามปากกา ‘อนธการ’ กล่าวพลางยักไหล่

“แสดงว่าสไตล์ของคุณคือแนวดราม่า.. อืม ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ในชีวิต”
“ไม่หรอกครับ ประสบการณ์ในชีวิตของผมไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น”

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ โดยส่วนตัวผมคิดว่าประสบการณ์ในชีวิตของคนเรา มันก็มีทั้งด้านที่น่าสนใจและไม่น่าสนใจกันทั้งนั้น”
“ไม่รู้สิครับ คงเพราะในแต่ละวัน ถ้าหากผมไม่ทำอาหาร ก็คงจะนั่งร่างพล็อตนิยาย หรือไม่ก็นั่งพิมพ์นิยายให้ทันเดดไลน์เสียมากกว่า แต่ถ้าช่วงไหนที่สมองเริ่มตันๆ ผมก็แค่ออกไปเดินเล่นแถวป่าสน สักพักก็กลับมานั่งพิมพ์นิยายต่อ เห็นไหมครับหมอ ชีวิตของผมไม่ได้มีอะไรผาดโผนชวนให้น่าสนใจจนเอามาเขียนเป็นนิยายได้หรอกครับ แต่ถ้าหมอได้ฟังเรื่องเล่าจากลีแบบผมสิ หมอจะรู้.. ว่าอะไรกันแน่ ที่เหมาะกับการวางพล็อตนิยายให้ดูน่าสนใจ”

“ลี ? เขาคือเพื่อนของคุณเหรอ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชวนสงสัยอีกทั้งเสี้ยวหน้าของเขาก็ยังฉายแววไม่ต่างกัน
“ก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกครับ เธออายุน้อยกว่าผม”

“แต่อันที่จริง ชีวิตผมก็มีอยู่เรื่องนึงที่ดูเหมือนจะน่าสนใจ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางเอนตัวพิงพนักโซฟาพร้อมกับนั่งไขว้ขาด้วยท่าทางสบายๆ
“ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า ?”

“อืม อันที่จริงผมก็ว่าจะลองเอามันมาใช้เป็นพล็อตนิยายของตัวเองอยู่เหมือนกัน รับรองว่าแม้แต่หมอยังต้องทึ่ง” คุณนักเขียนกล่าวพลางยกยิ้มตรงมุมปากคล้ายกับสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้ คือเรื่องราวที่สุดแสนมหัศจรรย์
“ถ้าอย่างนั้นผมคงจะโชคดีมากที่ได้ฟังพล็อตนิยายของคุณเป็นคนแรก” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางแย้มยิ้มด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความสนใจในหัวข้อสนทนาดังกล่าว

“ตั้งแต่เกิดมา เวลาของผมมักจะหายไป..” คุณพีรวัตรกลั้วหัวเราะเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำอันขาดหาย ซึ่งอาการดังกล่าวมันคือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ป่วยโรค DID
“…”

“แค่เพียงหลับตาเท่านั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกที ผมมักจะพบว่าช่วงเวลามันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างบางครั้ง.. ถ้าผมหลับตาในตอนกลางวัน ผมก็มักจะตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนของอีกวัน หรืออาจจะสองวันหลังจากนั้น หรือบางครั้ง.. ผมกำลังเดินเล่นอยู่ตรงหน้าบ้าน แต่ในเวลาถัดมา ผมดันนอนอยู่บนเตียงซะได้ เรื่องพวกนี้.. ถ้าหากผมเล่าให้ใครฟัง พวกเขาคงไม่เชื่อกันหรอก”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าครับ ความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ มีสาเหตุมาจากอะไร ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยคำถามที่ครั้งหนึ่งผมเคยลองสอบถามคุณนักเขียนมาบ้างแล้ว

“รู้สิครับ.. ผมก็เป็นนักเขียนที่ชอบค้นคว้าข้อมูลนะ” คุณพีรวัตรกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ ซึ่งคำตอบนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากคำตอบในวันวานที่เขาเคยมีให้ผม
“คุณกำลังหมายถึง.. การค้นคว้าข้อมูลทำให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรค DID ใช่หรือเปล่า ?”

“ประมาณนั้นครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีเพียงแค่ผมที่พอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรค DID”
“แล้วคุณพอจะทราบไหมว่า ตัวคุณมีโอกาสออกมาใช้ชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“น่าจะช่วงปี 2559 มั้งครับ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่เท่าที่จำได้ ผมลืมตาขึ้นมาก็อายุ 27 แล้ว”
“อ่อ..ครับ แล้วคุณเคยติดต่อกับคนอื่นๆ บ้างหรือเปล่า ?”

“ก็มีบ้างนะครับ แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามสักหน่อยว่าพวกคุณติดต่อกันยังไง ในเมื่อคุณบอกกับผมว่าพวกเขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องโรค DID เลย”

“สมุดบันทึก พวกเราติดต่อกันทางนั้น”
“แต่เท่าที่ผมทราบมา แต่ละบุคลิกจะสามารถติดต่อสื่อสารกันผ่านทางความคิดได้เลยนะ”

“นั่นก็ใช่ครับ แต่ว่าตอนนั้นผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จันทร์ควรจะรับรู้เกี่ยวกับตัวตนของพวกเรา”
“ทำไมล่ะครับ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เพราะผมรู้ว่าอะไรหลายๆ อย่าง มันยังทำให้เขารับไม่ไหว แถมเขายังเคยทำร้ายร่างกายของตัวเองมาก่อนด้วย ผมถึงไม่ค่อยอยากให้เขาตื่นขึ้นมาอีก”
“แต่ดูเหมือนว่าคุณก็ยอมให้เขาตื่นขึ้นมาไม่ใช่เหรอครับ แล้วเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ตื่นขึ้นมาด้วยนี่”

“เดิมทีมันเป็นวันเกิดของจันทร์ ผมเลยยอมให้เขาออกมาใช้ชีวิตเป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาหลับไปตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่พอพฤติกรรมของเขาไม่ได้สุ่มเสี่ยงอะไร ผมก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมเขานี่ครับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณสามารถให้ผมคุยกับเขาตอนนี้ได้หรือเปล่า ?”

“ผมไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้จันทร์ไม่เชื่อใจใครอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเขายิ่งต้องเข้ารับการบำบัดทางด้านจิตวิทยา เพราะกิจกรรมของเราจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขาได้ และต่อไปเขาจะได้มีความมั่นใจในการใช้ชีวิต รวมถึงได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เลวร้ายเหมือนกันหมด ผมคิดว่ามันเป็นผลดีสำหรับตัวเขา ยังไงคุณพีรวัตรลองเอากลับไปคิดดูอีกทีนะครับ”

“ครับ” สิ้นคำตอบรับอันแสนสั้น ไฟล์บันทึกการรักษาในครั้งแรกก็ดับสิ้นลง ขณะที่ภายในห้องก็เริ่มเงียบสงัดตามไปด้วย

“เท่าที่ผมทราบมา คุณพีรวัตรคืออัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังสุด เขาบอกว่าตัวเขาแทนความเข้มแข็ง เท่ากับว่าที่ผ่านมาอัตลักษณ์หลักพบเจอแต่เหตุการณ์เลวร้าย จนจิตใจของเขาเหมือนกับกระดาษบางๆ ที่แค่ถูกฉีกออก มันก็ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี”
“แต่ท่าทีของพีรวัตร เขาดูเหมือนจะรู้อะไรมาเยอะเลยนะ”

“เพราะแบบนั้นถึงทำให้ผมคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะเคยหาทางออกร่วมกันมาบ้าง เพราะอัตลักษณ์ของกรเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงถึงความเจ็บปวดและเขาก็เคยคิดสั้น ขณะที่อัตลักษณ์หลักก็เคยมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเอง เขาถึงได้สร้างกรขึ้นมา และการที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้ก็ต้องผ่านการพูดคุยกันนะครับ แสดงว่าพวกเขาจะต้องเคยคุยกันมากกว่าเรื่องพล็อตนิยาย หรือการทะเลาะกันอย่างที่เคยบอกผมแน่ๆ”
“แต่เขายืนยันอย่างหนักแน่นว่าตัวตนอื่นๆ ไม่เคยมีใครรับรู้เกี่ยวกับโรค DID เลยนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าต้องมีใครสักคนที่บอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในแต่ละเหตุการณ์ให้กับคุณพีรวัตร เพราะก่อนหน้านี้ช่วงที่อัตลักษณ์หลักออกมาใช้ชีวิต เขาเคยพูดกับผมทำนองว่าเขามักจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับการถูกทำโทษ ด้วยสาเหตุที่เขาไม่ได้เป็นคนทำ และพอเขาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น ก็ไม่เคยมีใครเชื่อ ผมคิดว่าสถานการณ์แบบนี้น่าจะเป็นช่วงที่อัตลักษณ์หนึ่งเคยออกมาใช้ชีวิต แต่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเขาไม่เคยแสดงตัวตนออกมาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นตามที่คุณเคยบอกไว้ในที่ประชุม อัตลักษณ์แรกคือลียากร ถัดมาคือพีรวัตร และสุดท้ายก็คือกร แต่ถ้าหากเรียงไทม์ไลน์ใหม่ โดยอิงข้อมูลจากที่เรารู้ในตอนนี้ จะเป็น ลียากร กร และคนสุดท้ายก็คือพีรวัตร”

“ใช่ครับ แต่ผมคิดว่าอัตลักษณ์ที่ยังเป็นปริศนา น่าจะเกิดก่อนอัตลักษณ์อื่นๆ เพราะผู้ป่วยเคยบอกกับผมว่าตอนเด็กๆ เขามักจะถูกทำโทษ”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องลองเจรจากับเขาอีกที แต่คงต้องเป็นหลังจากช่วงที่เราสามารถดึงอัตลักษณ์หลักกลับมาได้แล้ว”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ส่วนเรื่องของ ดร. ธีรชัย ที่เมื่อวานท่านแจ้งเข้ามาอย่างกะทันหันว่าท่านกำลังติดพันการรักษาผู้ป่วยโรค DID ในเขตกรุงเทพ ผมเลยลองเข้าไปเสนอผู้อำนวยการเมื่อเย็นวานนี้ และเราก็ตกลงกันว่าทางโรงพยาบาลจะลองใช้วิธีของผมไปก่อน แต่ถ้าหากไม่ได้ผลเราอาจจะต้องรบกวนดร. ธีรชัยให้มาช่วยในส่วนนี้”

“โอเคครับ ไม่มีปัญหา” ผมตอบรับพลางยกยิ้มอย่างเปิดใจ เพราะถึงอย่างไรจิตแพทย์แต่ละคนก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งบางครั้งวิธีที่เคยแนะนำกันมา ก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับตัวเราและคนไข้ของเราด้วย

“ยังไงผมคงต้องฝากตัวกับคุณด้วยนะจิรภัทร” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางยื่นมือออกมาด้านหน้า
“เช่นกันครับ” ผมยิ้มรับพลางยื่นมือของตัวเองออกไปจับมือกับคนตรงหน้า เพื่อแสดงถึงการเปิดใจที่จะทำงานร่วมกันอย่างไร้ข้อกังขา เพราะด็อกเตอร์ก็เริ่มยอมรับผลของการวินิจฉัยตั้งแต่ที่ได้เห็น ‘กร’ ออกมาแผลงฤทธิ์นั่นแล้ว เพียงแต่แผนเป้าหมายของเราในตอนนี้ ผมยังมองว่ามันไม่น่าจะได้ผลดี แต่ในเมื่ออัตลักษณ์อื่นๆ ยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรมาก ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าบางทีผมคงจะเข้าใจผิดไปเองว่าท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาแสดงออก หมายรวมถึงความไม่พอใจ
ซึ่งความไม่พอใจที่ว่า..
คือความไม่พอใจที่ทุกคนทำราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน


゚゚❀゚゚

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มันอาจจะเหมือนวนอยู่ในอ่างหน่อยๆ แต่ต้องค่อยๆ ปูเรื่องไปเนอะ เพราะการรักษามันก็ต้องมีการบันทึก ต้องมีการทำความรู้จักแต่ละอัตลักษณ์ก่อน แล้วก็ค่อยๆ เจาะลึกลงไปเรื่อยๆ และตอนนี้ ดร. ก็กำลังเจรจาให้คุณนักเขียนที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่พอจะพึ่งพาได้ที่สุด ให้ช่วยเป็นใบเบิกทาง ประเด็นคือต้องเข้าใจว่าแต่ละอัตลักษณ์นั้นเกิดขึ้นเพื่อเจ็บแทน ฆ่าตัวตายแทน หรือพูดง่ายๆ ก็คือทดแทนในสิ่งที่ขาด และสิ่งที่อยากเป็นนั่นเอง ฉะนั้นการออกมาใช้ชีวิตของอัตลักษณ์หลัก มันเลยเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เพราะอย่างเคสของบิลลีที่เราอ่าน คือว่าถ้าเขาได้ออกมาใช้ชีวิต เขาจะฆ่าตัวตายทุกครั้ง เพราะคิดว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ อัตลักษณ์อื่นๆ เลยไม่ยอมให้เขาออกมา หรือถ้าให้ออกมา คือต้องเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หรือเป็นแค่โอกาสพิเศษเช่นช่วงวันเกิด อย่างตอนรักษาอัตลักษณ์อื่นจะยกให้หมอเป็นคนรับผิดชอบเลยว่า ถ้าหากบิลลีเกิดอันตรายใดๆ ขึ้นมา

ปล. ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับวิธีการรักษาว่าจะต้องทำยังไงอะไรแบบนี้ เราเอามาจากหนังสือที่เป็นเคสของคุณบิลลีนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:16:57 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 26

ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเช้าวันนี้ คนที่มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตและควบคุมจิตวิญญาณของจันทร์ ก็คือ ‘กร’ หรือ ‘ม้าพยศ’ ที่ผมแอบตั้งฉายาให้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าม้าพยศรายนั้น กลายร่างเป็น ‘ม้าหงอย’ ไปเสียแล้ว
สาเหตุก็เพราะเมื่อคืนเขามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณชลวิทย์ผ่านทางโทรศัพท์ของผม ซึ่งหัวข้อที่ได้คุยกันเดาว่าคงหนีไม่พ้นการเกลี้ยกล่อมให้กรยอมรับความจริง เพราะหลังจากที่เจ้าม้าพยศเอาโทรศัพท์มาคืน เขาก็นอนคุมโปงและพยายามกลั้นเสียงสะอื้นตลอดคืน ทำเอาผมกลัวว่าเขาจะคิดสั้นเลยพลอยไม่ได้หลับไม่ได้นอนตามไปด้วย
และมันก็ส่งผลให้ผมรู้สึกเพลียๆ ตลอดช่วงเช้า
แถมดันซวยที่วันนี้ผมจะต้องอยู่เวรลากยาวอีกต่างหาก

ขณะที่ ดร. อาทิตย์ ถือโอกาสเลื่อนคาบสัมภาษณ์ในครั้งที่สองให้เร็วขึ้น เนื่องจากเวลานี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงจะได้พูดคุยและทำความรู้จักกับกร ซึ่งถือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษามากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์เมื่อคืนก็สร้างความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของใครบางคนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะนอกจากกรจะไม่อาละวาดใดๆ แล้ว
เขายังเอาแต่เหม่อลอยและซึมเศร้า

กระทั่งช่วงเวลาสุดพีคแห่งการออกตรวจโอพีดีสิ้นสุดลง ดร. อาทิตย์ก็เข้ามาพร้อมกับไฟล์วีดิโอเหมือนครั้งแรก โดยคราวนี้ด็อกเตอร์ใช้เวลาพูดคุยนานกว่าปกติ และผมก็จัดการเปิดข้อมูลดังกล่าวอย่างไม่ลังเล ซึ่งบรรยากาศของห้องสัมภาษณ์ยังคงเป็นไปอย่างอบอุ่น
เพียงแต่ผู้ให้สัมภาษณ์ กลับแผ่รังสีชวนหดหู่ออกมาจนผมยังรู้สึกได้

“ผมขออนุญาตบันทึกไฟล์วีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษานะครับ”
“เอ่อ.. ครับ..” กรเอ่ยตอบรับด้วยท่าทีสุดประหม่า เมื่อกรอบสายตามองเห็นกล้องวีดิโอกำลังจดจ่อมาที่ตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับคุณเพียงจันทร์ ผม ดร. อาทิตย์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เอ่อ.. ผมชื่อกรวินท์ครับไม่ใช่เพียงจันทร์” กรเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งท่าทีของอีกฝ่ายไม่อาจบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกไม่พอใจที่ถูกเรียกขานด้วยชื่อของคนอื่น หรือเขายังคงต่อต้านความเป็นจริงอยู่กันแน่

“ครับคุณกรวินท์ เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีไหม ?” ด็อกเตอร์กล่าวด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลกว่าตอนพูดคุยกับคุณนักเขียน
“ก็ดีครับ” กรตอบรับเพียงสั้นๆ พลางแย้มยิ้มอย่างฝืนๆ

“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้วครับ ?”
“19 ครับ” คำตอบของกรทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกเคว้งคว้างของอีกฝ่ายดี เพราะช่วงอายุเท่านี้ในความเป็นจริงก็เพิ่งจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง เท่ากับว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงวัยมัธยมมาหมาดๆ และช่วงวัยนี้เด็กบางคนยังปรับตัวกับการเรียนและการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ไม่ได้
ดังนั้นการที่ม้าพยศรายนี้จำต้องแยกจากคุณชลวิทย์ที่เจ้าตัวไว้ใจ
ย่อมต้องร้อนรนจนอยากจะอาละวาดให้มันรู้แล้วรู้รอด

“อืม.. แล้วคุณมีพี่น้องกี่คนครับ?”
“คนเดียวครับ แต่เขาไม่ได้เป็นแบบผม และเราก็ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ” คำตอบอันเศร้าหมองเหมือนกับสีหน้าของคนพูด ทำเอาผมเข้าใจได้ไม่ยากว่าใครคือพี่น้องคนสำคัญของกร
ซึ่งก็มีอยู่คนเดียวคือคุณชลวิทย์
และคำว่า ‘พี่น้อง’ ในที่นี้ คงจะหมายถึง.. คนที่เปรียบเสมือน ‘ครอบครัว’ สำหรับกร

“แล้วเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างครับ หลับสบายดีไหม ?”
“ไม่ครับ มันแย่มาก” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ขณะที่แววตาก็เศร้าสร้อยไม่ต่างกัน ซึ่งภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของคุณนักเขียนที่เคยบอกว่า ‘กรเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด แต่ก็อ่อนแอที่สุด’
ดังนั้นในเวลาแบบนี้ ผมจึงไม่อาจปฏิเสธคำกล่าวนั้น..
เพราะสิ่งที่ได้เห็นกับสิ่งที่คุณพีรวัตรเคยบอก มันกำลังสนับสนุนกัน

“ผม..”
“…”

“รู้สึกว่า.. ข้างในนี้.. มันว่างเปล่า เพราะทุกอย่างมันพังลงหมดแล้ว..” กรเอ่ยพลางชี้ตรงบริเวณกลางอก เพื่อบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มัน ‘ว่างเปล่า’ จนส่งผลให้เขารู้สึกย่ำแย่และมีท่าทีซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“…”

“พังตั้งแต่ความรัก ความสุข ความฝัน” เสียงของกรค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ เมื่อน้ำตากำลังรินไหลอย่างเชื่องช้า
 “…”

“พังหมดทุกอย่าง.. เพียงแต่มันไม่ได้พังเพราะคำพูดที่คล้ายกับการบอกเลิก แต่มันพังมานานแล้ว”
“คุณหมายถึงยังไงเหรอครับที่ว่าพังมานานแล้ว ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยถามอย่างสงสัยในประเด็นที่ผมเองก็สะดุดใจ เพราะอัตลักษณ์ของกรยังไม่ค่อยจะปรากฏตัวให้ผมเห็น จึงทำให้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในตัวตนของอีกฝ่ายเหมือนกับอัตลักษณ์อื่นๆ

“ตั้งแต่เกิดมาทุกอย่างมันดูหม่นหมองไปหมด แล้วความหม่นหมองพวกนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดเพราะความว่างเปล่า”
“…”

“ถ้าหากไม่ได้เขาคนนั้น ป่านนี้.. ผมคงจบชีวิตของตัวเอง.. ไม่สิ จบชีวิตของคนอื่นไปนานแล้ว”
“เขาคนนั้น.. ที่ทำให้คุณหลุดพ้นจากความหม่นหมอง คือใครครับ ?”

“พี่วิทย์ พี่ชายที่เป็นทุกอย่างสำหรับผม” กรตอบพลางยกยิ้มทั้งน้ำตา ซึ่งครานี้มันกลับไหลทะลักไม่ยอมหยุด จนด็อกเตอร์ต้องไปหยิบทิชชู่มาให้อีกฝ่ายซับน้ำตาแห่งความโศกเศร้า
“…”

“เขาสอนให้ผมรู้จักมองโลกที่เคยหม่นหมองให้มีสีสันจากความสุข แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ก็คือความสุขที่ผมเพิ่งจะเคยรู้จักเป็นครั้งแรก” จากคำพูด น้ำเสียง และแววตาของกร บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลาแบบนั้น คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขอย่างแท้จริง
“อย่างดอกสโนว์ดรอปส์เราก็ช่วยกันดัดแปลงพันธุกรรม จนทำให้มันสามารถเติบโตในสภาพอากาศของเมืองไทยได้ แต่อันที่จริงก็ยังมีดอกไม้อีกหลายชนิดที่เราเคยช่วยกันทำ เพียงแต่ดอกสโนว์ดรอปส์เป็นอะไรที่พวกเราภาคภูมิใจที่สุด เพราะมันประสบความสำเร็จได้ยากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น.. มันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด”

“ที่สำคัญพี่ชายคนนี้ยังสอนให้ผมรู้จักการวาดรูป และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าข้างในนี้.. ไม่ได้ว่างเปล่า เพราะผมยังมีความฝันเหมือนกับคนอื่นๆ”
“คุณพอจะบอกผมได้ไหมครับว่าความฝันของคุณคืออะไร?”

“ผมอยากเป็นจิตรกรที่มีโอกาสได้จัดแสดงนิทรรศการผลงานของตัวเอง”
“ความฝันแบบนี้.. สำหรับผมในตอนนั้น มันดูยิ่งใหญ่และเกินเอื้อม แต่พี่วิทย์ก็สอนให้ผมรู้จักความพยายามและการพัฒนาตัวเอง ทำให้แรกเริ่มเราอาศัยการขายภาพวาดให้กับร้านอาหารที่ต้องการผลงานศิลปะ แต่พอช่วงหลังๆ เมื่อเราได้รู้จักกับสำนักพิมพ์ เราก็เลยมีความรู้เกี่ยวกับการทำโฟโต้บุ๊ก และวางแผนที่จะขายมันทางออนไลน์ แต่กว่าจะทำแบบนั้นได้ พี่วิทย์บอกให้ผมเปิดเพจของตัวเองจะได้เอาไว้ลงผลงาน ผมเลยมีไอเดียว่าภาพวาดในโฟโต้บุ๊กเล่มแรก ควรจะเป็นภาพที่เรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องราวที่สดใส จะได้เหมาะสำหรับเด็กๆ แต่เพราะชีวิตของคนหม่นหมองอย่างผมไม่เคยรู้จักกับความสดใสที่เป็นความสดใสจริงๆ โปรเจคดีๆ แบบนี้เลยไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะระหว่างการเดินทางของความฝัน.. มันก็ต้องผ่านการเดินทางของความตาย..”

“หลายคนอาจคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่โง่มาก แต่สำหรับผม.. มันเหมือนเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีความสุขจากใจจริง”
“ที่ผ่านมา.. คุณเคยใช้วิธีไหนมาบ้างครับ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งขึ้นไปอีก

“ผมใช้ทุกวิธีที่สามารถทำได้ แขนของผมเลยเต็มไปด้วยแผลแบบนี้ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ก็จางลงไปเยอะแล้ว เพราะว่าพี่วิทย์เป็นคนรักษาให้” กรกล่าวพลางยกท้องแขนของตัวเองขึ้นมาโชว์ให้ด็อกเตอร์ดู ซึ่งก็เป็นมุมเดียวกับที่กล้องวีดิโอสามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้
“แล้วตอนนี้คุณยังคิดจะฆ่าตัวตายอยู่หรือเปล่า ?” คำถามต่อมาของด็อกเตอร์ ทำเอาผมที่กำลังตั้งใจฟัง รู้สึกคล้ายกับจังหวะการหายใจเริ่มติดขัด
มิหนำซ้ำมันยังอ่อนแรงเสียจนผมชักจะสงสัยแล้วว่า..
ตอนนี้.. ผมกำลังหายใจอยู่หรือเปล่า

“คิดครับ ผมนอนวางแผนทุกคืน แต่มันคือเรื่องปกติของผมนะ”
“แล้วล่าสุด คุณคิดจะลงมือทำแบบนั้นอีกเมื่อไหร่ครับ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถาม ด้วยเพราะการสอบถามถึงวิธีการฆ่าตัวตาย ความถี่ของการคิดกระทำ จะทำให้คนคนนั้นรู้สึกว่ายังมีเราที่คอยห่วงใยเขาอยู่

“หมอถามเหมือนกับพี่วิทย์เลยครับ ประโยคนี้เด๊ะๆ เลย” กรกล่าวพลางแย้มยิ้มด้วยท่าทีสดใสกว่าวินาทีแรก และสาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะความฝันที่ยังสามารถยึดเหนี่ยวความรู้สึกของเขาไม่ให้ว่างเปล่า หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะในสถานที่แห่งนี้อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คอยเป็นห่วงเจ้าตัวอยู่
“แต่เพราะทุกอย่างมันพังลงหมดแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าคิดจะทำแบบนั้นอีกเมื่อไหร่” สิ้นคำตอบดังกล่าว ใบหน้าที่เคยสดใส เริ่มกลับกลายเป็นเศร้าโศก

“อันที่จริงที่นี่ก็มีคาบบำบัดด้วยศิลปะอยู่นะครับ ดังนั้นคุณคงไม่ได้ละทิ้งความฝันของตัวเองไปง่ายๆ อีกอย่างที่นี่คุณสามารถทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบนอกเหนือจากตารางการบำบัดได้นะกรวินท์ และผลงานของคุณจะถูกนำไปจัดแสดงให้ผู้ที่สนใจได้เลือกซื้อ”
“จริงเหรอครับหมอ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย คงเพราะผมมัวแต่อาละวาดแทบทุกวัน”

“มันคงเป็นสัญชาตญาณมั้งครับ เพราะเวลาที่คนไข้ถูกนำตัวมาที่นี่ วันแรกๆ ก็มีอาการไม่ต่างจากคุณทั้งนั้น อย่างเช่น เด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบนำแถวออกกำลังกาย ผมเคยได้ยินมาว่าเธอก็เป็นอีกคนที่เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน” ดร. อาทิตย์อธิบายพลางยกยิ้ม ทำเอาผมนึกย้อนไปถึงช่วงแรกๆ ที่น้องพราวมาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยสภาพจิตใจอันย่ำแย่
“แต่ของผมมันต่างออกไปครับหมอ เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองป่วยก็เลยโวยวายต่อต้าน”

“จริงๆ ความคิดแบบนี้ เท่าที่ผมเจอมาก็มีอยู่หลายเคสเหมือนกันครับ”
“แต่ของผมมันบ้าบอที่สุด แล้วก็เป็นอะไรที่ยากจะยอมรับ เพราะผมเองก็มีชีวิต มีความฝัน มีเลือดเนื้อเหมือนกับคนอื่นๆ แต่แล้วก็มีหมอกับพยาบาลและใครต่อใครเข้ามารุมล้อมพร้อมกับพูดในทำนองว่า ผมเป็นแค่ ‘บุคลิก’ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมไม่มีตัวตน ความรู้สึกมันแย่มาก ไม่มีใครที่ไหนชอบฟังคำพูดแบบนี้หรอก”

“แสดงว่าคุณรู้ว่าภายในตัวเองมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่อย่างนั้นเหรอครับ?”
“ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้ว.. แต่ว่าแต่ก่อนผมไม่เคยคิดว่าพวกเขาคือความจริง แถมช่วงแรกๆ ผมยังนึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ด้วยซ้ำ”

“แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าเรื่องเหล่านี้.. คือความจริง?”
“เมื่อวานพี่วิทย์บอกให้ผมยอมรับความเป็นจริงและปล่อยวางเรื่องของเขาให้หมด ทำให้ผมรู้สึกเคว้งคว้างมาก เพราะก็อย่างที่ผมเคยบอกหมอว่าพี่เขาคือทุกอย่างสำหรับผม และคำพูดแบบนั้น ก็ทำให้ผมคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองต้องรับไม่ไหวกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ผมได้ยินเสียงในหัวคอยเตือนสติอยู่ตลอดเวลา แรกๆ มันก็น่ารำคาญ แต่พอนานเข้ามันกลับทำให้ผมอุ่นใจ เพราะเสียงพวกนั้นทำให้ผมรู้ว่าอันที่จริงร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียว”

“พวกเขาบอกอะไรกับคุณเหรอ ?”
“พี่พีบอกกับผมว่าถ้าหากมีความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จก็อย่าเพิ่งเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย เพราะมันไม่ใช่แค่ผมทำลายความฝันของตัวเอง แต่ยังเป็นการทำลายความฝันของคนอื่นที่เป็นเหมือนครอบครัว”

“ครอบครัว ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ ซึ่งผมเองก็งุนงงไม่ต่างกัน
“ครับ เขาบอกว่าพวกเราทั้งหมดคือครอบครัวเดียวกัน เลยทำให้ผมรู้สึกว่าอันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอะไรขนาดนั้น อีกอย่างความรักถึงมันจะจบลงไปแล้ว แต่เราก็สามารถมองมันให้เป็นเรื่องของความทรงจำที่สวยงามได้ แต่ถึงพี่พีจะบอกกับผมอย่างนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจคำพูดที่ว่านั่นอยู่ดี”

“สำหรับหมอ.. หมอคิดว่าความทรงจำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็เป็นความทรงจำที่สวยงามทั้งนั้น ของแบบนี้หมอว่ามันอยู่ที่มุมมองที่เราเลือกจะโฟกัสมากกว่า”
“ผมก็พอจะรู้ครับ เพียงแต่ว่าปัญหาของผมคือความผูกพัน”

“…”
“หึ ผมคงจะติดพี่วิทย์มากเกินไปมั้งครับ เพราะเราอยู่ด้วยกันมาตั้ง 3 ปีกว่าแล้ว” คำพูดของกรทำให้สมองของผมเริ่มคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว จึงทราบว่าอัตลักษณ์ของกร อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ห่างจากคุณพีรวัตรเพียงแค่ปีเดียว

“สามปี.. คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าคุณลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับความหม่นหมองตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ปี 2558 มั้งครับ จำได้ว่าเราหนีออกมาจากบ้านของน้าเข็มที่อยู่ในอำเภอสะเมิง แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องหนี และไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงตื่นขึ้นมาแล้วก็อายุ 19 ในตอนนั้นทุกอย่างดูงุนงงไปหมด เพราะผมไม่รู้จักกับครอบครัวของพี่วิทย์ และผมก็ไม่ได้ชื่อจันทร์ แต่เพราะมันเป็นชื่อที่พี่วิทย์ชอบเรียก ผมเลยไม่อยากขัด อีกอย่างช่วงเวลานั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน ผมเลยปล่อยเลยตามเลยทุกอย่าง”
 
กระทั่งหมดเวลาของคาบบำบัดในครั้งที่สอง หัวข้อดังกล่าวยังคงค้างคาอยู่แบบนั้น ด้วยเพราะความทรงจำที่ยังไม่ประติดประต่อ จึงทำให้กรดูสับสนและงุนงงขณะกำลังอธิบายให้ ดร. อาทิตย์ฟัง
ซึ่งผมสามารถตีความได้ว่าอัตลักษณ์ของ ‘กร’ น่าจะเกิดหลังจากเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ผมเคยตั้งสมมุติฐานเอาไว้ ระหว่าง ‘การขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ และการจากไปของสองบุคคลสำคัญ’ กับ ‘เหตุการณ์สะเทือนขวัญอันเนื่องมาจากการล่วงละเมิด’

ดังนั้นสาเหตุที่อัตลักษณ์ของ ‘กร’ มักจะได้รับความเจ็บปวดและมีอาการซึมเศร้า น่าจะมาจากการที่จันทร์ไม่ต้องการเพียงแค่อยากจะตัดขาดจากความเป็นตัวเอง และตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง
เพราะครั้งหนึ่งคุณพีรวัตรเคยบอกกับผมว่าอีกฝ่ายเคยคิดจะทำร้ายตัวเอง ซึ่งการ ‘ฆ่าตัวตาย’ คงเป็นอะไรที่จันทร์หวาดกลัว แต่ก็มีความปรารถนาที่จะทำ
เด็กชายผู้น่าสงสารคนนั้น จึงต้องสร้างใครสักคนเพื่อกระทำการฆ่าตัวตายแทน
และมันก็ส่งผลให้ชีวิตของ ‘กร’ พบเจอแต่ความหม่นหมอง


゚゚❀゚゚

edit 19/06/2018 แก้ประโยคให้สมูธขึ้น และตัดคำเกินออก
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

อันนี้แถมนิดนึง เผื่อใครสงสัยเรื่องการดัดแปลงพันธุกรรมพืช  ซึ่งมันคือการสร้างพืชดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อให้มียีนของลักษณะตามที่ต้องการ เช่น การชะลอการสุกของผลไม้ หรือเพื่อยืดเวลาการเก็บรักษาผลผลิต มีความต้านทานโรคและแมลง มีความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงมีคุณค่าด้านอาหารมากขึ้น

ที่มา : https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/bio-by-anut/kar-srang-phuch-dadpaelng-phanthukrrm-trensgenic-plant

มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้คือตอนที่ได้ทำความรู้จักกับกร ผู้ที่เป็นอัตลักษณ์ที่หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบตัวตนนี้นัก แต่หลังจากได้อ่านตอนนี้ หวังว่ามุมมองของทุกคนจะเปลี่ยนไปบ้าง เพราะกรก็มีแต่พี่วิทย์คนเดียว จะไม่ให้รัก ไม่ให้ชอบ ไม่ให้ทำอะไรแบบนั้นก็คงห้ามใจยาก ขณะเดียวกันคือความสุขเหล่านั้น สุดท้ายก็ยังเป็นสิ่งจอมปลอม เพราะความว่างเปล่าของความรู้สึก มันทำให้กรเข้าไม่ถึง ซึ่งในส่วนของชลวิทย์เอง เวลานี้ก็คงจะรู้สึกไม่แตกต่างจากกรนัก หรืออาจจะย่ำแย่กว่าด้วย แต่นั่นก็เพราะการกระทำของเจ้าตัวด้วยส่วนนึง และจากคำให้การของกรรวมๆ กับคุณนักเขียน และคนอื่นๆ มันก็บ่งบอกได้ว่า ในอดีตชลวิทย์ได้พาจันทร์ในคราบของกร หลีกหนีจากอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ยังไม่เปิดเผยว่าใครคือผู้กุมความลับนั้น 555 โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ทีแรกเรากะจะเขียนแบบข้ามช่วงเวลาหน่อย แต่ในเมื่อเขียนแบบไม่ข้ามมาตั้งแต่แรก ถ้าจะไปข้ามมันก็คงจะแปลกๆ ก็เลยเขียนไปเรื่อยๆ แบบไม่กำหนดจำนวนตอน จนกว่าจะจบลงที่พล็อตอันสมบูรณ์ที่เราวางเอาไว้แล้วกันเนอะ 555 มาตอนนี้เพิ่งรู้สึกได้ว่าพล็อตมันยาวมากและรายละเอียดก็เยอะมากจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:20:29 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 27

ผมทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงหลังจากต้องคอยรับมือกับ ‘ม้าพยศ’ อย่าง ‘กร’ เนื่องจากช่วงเย็นหลังเลิกงานกรอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกไปข้างนอก โดยเป้าหมายของอีกฝ่ายคือ ‘รถของไอ้บาส’ ซึ่งแผนการของเขาคงจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากไอ้ญาติผู้น้องของผมไม่หันมาเห็นเข้าเสียก่อน
ดังนั้น ‘กร’ จึงไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางอย่าง ‘บ้านกลางป่าสน’

กระทั่งม้าพยศสุดแสนจะดื้อดึงจำต้องถูกพันธนาการอีกครั้ง เขาก็ยังไม่วายตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นจากเครื่องยึดเหนี่ยวบริเวณข้อมือ ด้วยวิธีการที่ใครต่างก็ไม่คาดคิด เนื่องจากกรเอาศีรษะโขกกำแพงตรงหัวนอนอย่างแรง จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กว่าพวกเราจะห้ามปรามสำเร็จ
สภาพของผู้ป่วยก็แทบอาบเลือดจนดูไม่ได้

ขณะที่ผมต้องปล่อยให้ไอ้แนนมาช่วยจัดการแทน เพราะภาพที่เห็นมันน่าเวทนาเกินไป และผมก็ไม่อาจสลัดมโนภาพในจังหวะที่กรกำลังเอาศีรษะโขกกำแพงเหนือหัวนอนอย่างบ้าคลั่งไปได้ ยิ่งมือของผมเปื้อนเลือดของอีกฝ่าย ซ้ำยังรู้สึกเจ็บแปลบเพราะแรงกระแทกจากการห้ามปราม
ภาพทุกภาพและทุกความรู้สึก
ก็ยิ่งคมชัดราวกับผมกำลังเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เลิกรา

อีกทั้งความหละหลวมในครั้งนี้ยังทำให้ผมรู้สึกแย่ เพราะตลอดช่วงบ่ายผมใช้เวลาวิเคราะห์ภาพเคลื่อนไหวจากไฟล์บันทึกการรักษาของกร เพื่อสังเกตท่าทางและแววตาของเขาอย่างละเอียด เพราะใจหนึ่งผมกลับคิดว่าการที่กรยอมรับได้ในเวลาอันรวดเร็วมันง่ายเกินไป ซึ่งการนั่งดูคลิปดังกล่าวทำให้ผมทราบว่ากรไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แต่เขากำลังย้ำเตือนตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่ใครหลายคนต่างก็บอกให้เขาเชื่อ
แต่สุดท้าย.. ทุกอย่างก็พังพินาศ
เพราะเขายังคงเชื่อมั่นว่าตนเองคือ ‘กร’ หาใช่เศษเสี้ยวหนึ่งของ ‘เพียงจันทร์’ ที่ใครๆ ต่างเรียกขาน

ดังนั้นเหตุการณ์ในวันนี้จึงทำให้ผมหวนกลับมาคิดว่า ‘คุณนักเขียน’ ต้องใช้เวลาเนิ่นนานเท่าไหร่กว่าตัวเองจะยอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เพราะถ้าหากเทียบช่วงเวลาการเกิดอัตลักษณ์ของคุณพีรวัตรก็คือช่วงปี 2559 ซึ่งปีนี้ปาเข้าไปตั้งปี 2561 แล้ว ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า..
กว่าคุณนักเขียนจะมาเจอผม
อาจเป็นช่วงเวลาของการยอมรับความจริง

พอคิดได้แบบนั้นผมก็ยิ่งเครียด เพราะถ้าหากจันทร์ซุกซ่อนอัตลักษณ์ต่างๆ เอาไว้ โดยที่พวกเขาเหล่านั้น ต่างก็ยึดมั่นว่าตัวตนของพวกเขาคือพวกเขา เท่ากับว่าโอกาสที่เราจะรวบรวมทุกๆ อัตลักษณ์เข้าด้วยกันคงจะกินระยะเวลาอย่างยาวนาน
และมันคงจะน่าปวดหัว
ถ้าหากทุกๆ ตัวตน เกิดอาการ ‘พยศ’ เหมือนกับกร

“มาทำแผลก่อนเลยมึง” ผมเงยหน้าขึ้นมองจิตแพทย์สาวที่กำลังตั้งท่าจะเข้ามาปฐมพยาบาลให้ถึงห้องทำงาน
“วันนี้โชคดีที่มึงกลับดึก ไม่อย่างนั้นกูคงแย่” ผมกล่าวพลางยื่นมือข้างที่เจ็บส่งไปให้ไอ้แนนจัดการ

“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง.. ว่าแต่มึงเถอะ ชอบน้องเพียงจันทร์เหรอวะ ปกติเวลาเกิดปัญหาแบบนี้ มึงไม่เคยสติหลุดจนทำให้ตัวเองเจ็บตัวเลยนี่หว่า แต่กับเคสนี้.. มึงดูออกอาการแปลกๆ แต่จริงๆ กูสงสัยตั้งแต่อยู่ในที่ประชุมแล้ว แถมช่วงแรกๆ มึงยังเป็นตัวตั้งตัวตีเกี่ยวกับโรคแคปกราส์อะไรนั่นอีก” ไอ้แนนเอ่ยถามด้วยข้อมูลแน่นปึ้กพลางทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ปิดท้าย
“ก็.. ตามนั้น”

“โอ้โห สรุปเพื่อนกูเป็นอมตะอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยเว้ย” ไอ้แนนเอ่ยแซวด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“ตลกละ กูกับจันทร์ยังอยู่ในขั้นมิตรภาพดีๆ ที่มีให้กันในรูปแบบที่โคตรจะพิเศษหรอกเว้ย”

“มึงพูดจาอ้อมโลกเว่อร์ คบเด็กก็บอกว่าคบ” ไอ้แนนเอ่ยเหน็บแนมจนผมแทบอยากจะยันโครมให้รีบๆ ไปให้พ้นหน้าพ้นตาสักที
“มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เว้ยแนน กูกับจันทร์ยังไม่ได้คบกัน แต่เราก็เข้าใจความรู้สึกของกันและกันดี เพียงแต่อะไรหลายๆ อย่างมันยังไม่เอื้ออำนวยให้สานต่อจนถึงขั้นคบกัน คือกูบอกไม่ถูกว่ะมึง ถามว่าอยากคบไหมกูก็อยากคบนะ เพราะกูไม่ได้แคร์เรื่องอายุ หรือว่าสายตาของใครอยู่แล้ว แต่มึงก็รู้ว่าจันทร์ไม่สบาย แล้วเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่กูเจอ มันทำให้กูต้องทุ่มเทไปกับเรื่องนั้น มากกว่าเรื่องแบบนี้ว่ะ กูเลยปล่อยๆ ไปก่อน”

“ถ้ามึงมีอะไรให้กูช่วยก็บอกได้นะเว้ย” ไอ้แนนกล่าวด้วยคำพูดสุดซึ้งสำหรับความเป็นเพื่อน แต่ทว่าการกระทำของแม่งต้องเรียกว่าซาตานในคราบจิตแพทย์ชัดๆ เพราะมันเล่นตบแปะๆ ลงบนหลังมือข้างที่เจ็บ
“มึงเป็นผู้หญิงที่กวนตีนเหี้ยๆ เลยว่ะ”

“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ คุณจิรภัทร” ไอ้แนนกล่าวอย่างลอยหน้าลอยตาจนผมต้องดีดหน้าผากสั่งสอนมันสักที
“เออมึง กูมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย คือคนรู้จักของกู ไม่ดิ ครอบครัวของคุณชลวิทย์พี่ชายของจันทร์ น่าจะเคยทำงานอยู่ที่ไร่ของมึง แต่ไม่นานเท่าไหร่ กูอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน”

“มึงพอจะมีข้อมูลเจาะจงมากกว่านี้ไหมวะ คนงานที่ไร่พ่อกูแม่งโคตรเยอะ”
“กูก็มีแค่นี้แหละ แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้น จะเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการดัดแปลงพันธุกรรมพืช กูว่าคนงานฝีมือดีแบบนี้ ไร่ของมึงไม่น่าจะลืมเขาง่ายๆ หรอกมั้ง อีกอย่างเขาเป็นคนสะเมิง อยู่ที่บ้านอมลอง” ผมให้ข้อมูลเชิงลึกอีกสักหน่อย ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้อมูลที่มาจากการคาดเดา เพราะผมไม่กล้าถามคุณชลวิทย์ แต่เท่าที่ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา คงจะเป็นอะไรที่ย่ำแย่พอดู ไม่อย่างนั้นคุณชลวิทย์คงไม่พาจันทร์ในคราบของกรหนีออกมาจากที่นั่นหรอก

“อืม แต่กูไม่รับปากว่าจะได้ข้อมูลแน่นอนนะมึง เพราะเรื่องภายในไร่กูไม่ค่อยรู้อะไรมากนักหรอก”
“อืม ไม่เป็นไร กูแค่ลองถามๆ ดู เพราะเรื่องนี้กูคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งของจันทร์ เพียงแต่ว่าอัตลักษณ์ที่น่าจะเกี่ยวข้อง เรายังหาตัวตนของเขาไม่เจอ”

“กูว่ามึงให้อัตลักษณ์ที่เป็นนักเขียนช่วยค้นหาน่าจะง่ายกว่าไหมวะ เพราะยังไงเขาก็เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอวะ ?”
“อืม แต่ถ้าเราพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง อะไรๆ มันก็น่าจะง่ายขึ้นและตรงประเด็นมากขึ้น ที่สำคัญกูไม่อยากให้คนร้ายลอยนวล” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะถ้าหากผมสืบความจริงในส่วนนี้ได้ ผมคิดว่าเราควรจะเอาผิดกับตัวการสำคัญให้ได้
เพราะการทารุณกรรมไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทางเพศ
ย่อมไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

กระทั่งไอ้แนนเดินทางกลับบ้าน ผมก็ถือโอกาสเดินไปดูความเรียบร้อยในห้องของจันทร์ทุกๆ หนึ่งชั่วโมง ด้วยความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และการมาเยือนห้องพักผู้ป่วยที่คุ้นเคย ทำให้ผมได้พบกับอัตลักษณ์ของน้องลียากรเพียงครู่ จึงอธิบายให้เธอเข้าใจว่าเวลานี้เธอกำลังได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเธอก็หลับไปและคนที่ตื่นขึ้นมาควบคุมจิตวิญญาณก็กลายเป็นคุณนักเขียน
ซึ่งผมขอแอบเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า ‘ช่วงชุลมุน’
เพราะหลายๆ อัตลักษณ์ ต่างก็สลับกันออกมาใช้ชีวิตภายในเสี้ยววินาที ราวกับภายในตัวตนของจันทร์กำลังเกิดความ ‘ไม่เสถียร’

“กรพยศอีกแล้วใช่ไหม ?” ทันทีที่คุณนักเขียนเห็นหน้าผม เขาก็เอ่ยถามอย่างตรงประเด็น
“ใช่ครับ วุ่นวายพอสมควร แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็แน่ล่ะ กรยังต่อต้านความเป็นจริงอยู่ แต่แผลนี่ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บ เพราะคนที่เจ็บคือกร” คุณนักเขียนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งในท่าทางแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วกอดอกด้วยท่าทีสบายๆ
“ผมขอถามอะไรหน่อยสิคุณ”

“อื้อ”
“ก่อนที่คุณจะยอมรับเกี่ยวกับโรค DID คุณใช้เวลานานแค่ไหน ?”

“ปีกว่า..” คุณนักเขียนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ขณะที่ดวงตากำลังเลื่อนลอยคล้ายกับเจ้าตัวนึกย้อนไปถึงวันวาน
“ผมปฏิเสธความจริง ทั้งๆ ที่อะไรหลายๆ อย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ผมยังเชื่อว่าผมคือพีรวัตร ไม่ใช่เพียงจันทร์ และในวันที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็เสียสติจนถึงขั้นหนีออกจากบ้าน แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยออกไปไหนนอกจากป่าสน ผมก็เลยเหมือนกับผีเสื้อปีกหัก ที่สุดท้ายก็ต้องกลับมาพบเจอกับความเป็นจริงและต้องยอมรับมันอย่างไม่มีทางเลือก”

“ผมสงสัยว่าอะไรทำให้คุณมั่นใจว่าตัวเองป่วยเป็นโรค DID เพราะคุณก็เชื่อมั่นในตัวเองมาตลอด”
“เวลาที่มันหายไปไงคุณ ผมสังเกตทุกครั้งว่าเวลาไม่เคยหยุดหมุน และมันยังหมุนไปได้ไกลกว่าที่ผมคิด เพราะเวลาที่ผมหลับมันก็แค่แป๊บเดียว แต่ในความเป็นจริง วันเวลามันผ่านไปครึ่งวันบ้าง สองวันบ้าง แล้วอีกอย่าง.. ทุกครั้งที่ผมลืมตาขึ้นมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะไม่มีบาดแผลตามตัว ผมเลยพยายามคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง”

“แล้วคุณหาคำตอบยังไงครับ ?”
“ผมจดเวลาในแต่ละวันของตัวเองว่าวันนี้ผมทำอะไรไปบ้าง จากนั้นก็ไปถามไอ้ชลว่าช่วงเวลาที่เหลือผมกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งคำตอบที่ได้รับทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะในช่วงเวลาเหล่านั้นผมไม่เคยรู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว ผมเลยพยายามทำความเข้าใจและค้นหาว่าใครคือคนที่มีร่างกายและดวงจิตร่วมกับผม จากนั้นผมก็พยายามจะมีสมาธิให้มากที่สุด เพื่อที่ผมจะได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในระหว่างที่ใครบางคนออกมาใช้ชีวิต ซึ่งมันยากมาก เพราะผมจะต้องตื่นและมีสมาธิอยู่เท่านั้น” 

“คุณหมายถึงคุณใช้พลังจิต ?” ผมเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักว่าการกระทำแบบนั้น สามารถใช้คำจำกัดความที่ว่าได้หรือไม่
“อืม น่าจะใช่มั้ง”

“แต่ที่น่าตลกก็คือ แม้ผมจะรู้ทั้งรู้ แต่ผมก็ยังปฏิเสธและหนีออกจากบ้านอย่างที่บอกคุณไปนั่นแหละ แต่เพราะผมไม่มีที่ไป ผมก็เลยต้องยอมรับความจริงและต้องอยู่กับมันให้ได้ พอเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ผมก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเหมือนกัน คงเพราะชีวิตของผมประสบความสำเร็จแล้วก็ได้มั้ง” คุณนักเขียนกล่าวอย่างสบายๆ ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจ เพราะในเวลานี้อัตลักษณ์ที่ดูจะมีหน้าที่การงานมั่นคงก็คือคุณพีรวัตร
“แล้วคุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าครอบครัวของคุณที่ใช้จิตวิญญาณร่วมกัน มีใครอยู่บ้าง?”

“ครอบครัว ? คำจำกัดความแบบนั้น กรเป็นคนบอกคุณสินะ”
“ใช่”

“กับตัวตนอื่นๆ ผมอธิบายให้พวกเขาเข้าใจบ้างแล้ว แต่ยังมีพวกนอกคอกที่เอาแต่ดื้อรั้น”
“พวกนอกคอกที่คุณพูดถึง มีใครบ้าง?”

“กรวินท์กับจิม”
“จิมคือใครเหรอครับ ?”

“เด็กชายลูกครึ่งอายุ 4 ขวบ”
“เลือดร้อนและวู่วามกว่ากรวินท์เยอะ” สิ้นคำอธิบายเพิ่มเติมทำเอาผมใจหาย เพราะคาดเดาได้ไม่ยากว่าอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ อาจจะเป็นผู้ที่ทำให้จันทร์ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก

“แล้วคุณเคยคุยกับเขาผ่านทางสมุดบันทึกบ้างหรือเปล่า ?”
“ไม่เคย เพราะเขาหลับไปนานมากแล้ว”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าในครอบครัวของคุณก็มีเขาอยู่”
“ลีเคยเล่าให้ผมฟังในสมุดบันทึกว่าแต่ก่อนการบ้านของเธอมักจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นจิม แล้วเธอก็มักจะถูกเรียกเข้าห้องปกครองเพราะการแผลงฤทธิ์ของจิม” คำบอกเล่าจากคุณนักเขียนทำเอาผมเริ่มเรียงไทม์ไลน์อย่างสับสนอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่า ‘จิม’ คนนี้จะออกมาใช้ชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างจันทร์กับลี และจันทร์ก็เคยถูกต่อว่าไม่ต่างกับลี เพียงแต่ผมยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนัก และกว่าจะได้รู้ก็ต้องรอให้จันทร์ยอมออกมาใช้ชีวิตหรือไม่ก็คงต้องรอให้คุณพีรวัตรให้ความร่วมมือตามที่ ดร. อาทิตย์เกลี้ยกล่อมไว้

“ถ้าอย่างนั้น คำถามแปลกๆ ของคุณน่าจะทำให้ลีล่วงรู้เกี่ยวกับโรค DID ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้บอกคุณตั้งแต่แรก เพราะผมก็เพิ่งจะมารู้เมื่อวานนี้เองว่าอันที่จริงลีรู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว เพียงแต่เธอไม่ได้รู้ลึกมากขนาดนั้น”

“ผมหมายถึง เธอรู้แค่ว่าจันทร์ต้องการเธอในช่วงเวลาที่ดอกสโนว์ดรอปส์ผลิบาน เธอก็เลยออกมาใช้ชีวิตแค่ช่วงเวลานั้น”
“แล้วเรื่องการควบคุมว่าใครจะออกมาตอนไหน คุณทำยังไงเหรอครับ ?”

“ผมก็แค่ต้องขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดฉบับครอบครัวนี้ให้ได้ แต่กับกร.. ผมเองก็ต้องยอมรับว่าเขาแข็งแกร่งมาก ผมถึงได้ควบคุมเขาไม่ค่อยอยู่”
“ผมจำได้คุณเคยบอกกับผมและไอ้บาสในทำนองว่า ความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คุณถึงยอมให้กรมีความสัมพันธ์กับคุณชลวิทย์ ทั้งๆ ที่ตัวคุณเองมีอคติกับรักร่วมเพศ” ผมกล่าวเปิดประเด็นโดยอ้างไปถึงวันวาน เพื่อให้เขาช่วยอธิบายอะไรบางอย่างที่คนอย่างคุณพีรวัตรก็น่าจะเข้าใจ

“ที่ผมพูดไปในตอนนั้น ผมแค่ไม่ยอมรับความจริงว่าผมกำลังล้มเหลวในการควบคุม”
“สรุปคือมีแค่กรคนเดียวที่คุณควบคุมให้เขาเชื่อฟังไม่ได้ ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายเพื่อความแม่นยำ เพราะเวลานี้ผมกำลังอัดเสียงบทสนทนาไว้ ซึ่งถ้าจบการพูดคุยในรอบนี้ ผมอาจจะต้องขออนุญาตเพื่อเอาคลิปเสียงดังกล่าวไปใช้ประกอบการรักษา

“ใช่ครับ”
“ผมขอถามเกี่ยวกับเรื่องทัศนคติที่คุณมีต่อรักร่วมเพศได้หรือเปล่า”

“จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยคุณ เพราะผมรับรู้แค่ว่า.. ทันทีที่เกิดมา ผมก็มีอคติกับพวกเขาไปแล้ว”
“เกี่ยวกับอคติของคุณ เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจจะเชื่อมโยงกับอดีตบางอย่างของจันทร์” ผมเอ่ยถามตามข้อสันนิษฐานที่ติดอยู่ในใจมานานแล้ว เพราะจากเคสของคุณบิลลี่ก็มีอัตลักษณ์หนึ่งที่มีท่าทีตื่นกลัวมนุษย์เพศชายเอามากๆ ซึ่งมันก็เชื่อมโยงได้จากเหตุการณ์ในอดีตของอัตลักษณ์หลักอย่างคุณบิลลี่ ที่เคยถูกพ่อเลี้ยงทรมานและทารุณกรรมทางเพศ ซึ่งทุกครั้งคุณบิลลี่มักจะถูกพ่อเลี้ยงข่มขู่ด้วยข้ออ้างว่า..
‘คุณบิลลี่จะถูกฝังร่างไว้ที่โรงนา และพ่อเลี้ยงจะบอกกับแม่ของเขาว่าลูกชายหนีไปเพราะเกลียดแม่ของตัวเอง’

“ผมไม่แน่ใจพูดตรงๆ ว่าเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมด คุณคงต้องหาคำตอบจากลีหรือไม่ก็จิม เพราะผมแค่ช่วยให้การใช้ชีวิตของพวกเรามันง่ายขึ้น ส่วนกรก็แค่คนที่ต้องคอยรองรับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะเป็นคนที่รับมันไว้ทั้งหมด”
“ส่วนเรื่องของจันทร์ตามที่ด็อกเตอร์เคยให้การบ้านไว้ ผมลองเอากลับไปคิดดูแล้ว..”

“คำแนะนำแบบนั้น ผมว่ามันก็ไม่เลวนัก”


゚゚❀゚゚

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

เตรียมปรบมือต้อนรับน้องจันทร์ในตอนหน้าค่ะ ฮรือ ตอนนี้ปล่อยปมมาเยอะพอสมควรเลย อ่านๆ ไปมันอาจจะดูแฟนตาซีหน่อย แต่เราปรับเปลี่ยนพล็อตบางส่วนให้มันอิงกับเคสของคุณบิลลี่ตามที่เราอ่านเจอมา คือเคสของคุณบิลลีเขาไม่ได้ปฏิเสธแบบค้านจนหัวชนฝา ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนหลักนะ แต่แค่ไม่ชอบให้หมอกับพยาบาลมาเรียกตัวเองด้วยชื่อของตัวตนหลักมากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่ามันทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีตัวตนน่ะค่ะ แต่มันก็มีข้อแม้ว่า ในยามคับขันในอดีต พวกเขาจะยอมรับชื่อของบิลลี่ เพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้ใครมองว่าตัวเองเป็นบ้า ส่วนการติดต่อแต่ละตัวตนนั้น คุณอาเธอร์จะเป็นคนรับหน้าที่ทั้งหมด และค้นหาความจริงว่ามีใครอยู่ในร่างกายของตัวเอง ร่วมกับคุณเรเกรน แล้วก็ค่อยๆ อธิบายให้แต่ละบุคลิกเข้าใจว่า มันคืออะไรยังไงประมาณนี้ ซึ่งเราว่าแต่ละเคสก็จะไม่เหมือนกันนะโรคนี้ เพราะอย่างที่เคยบอกว่า เคสของคุณคิมโนเบลแต่ละตัวตนจะไม่เคยคุยกัน ไม่เคยรับรู้ตัวตนของกันและกัน มันเลยทำให้การยอมรับต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เพราะเขาเชื่อว่าเขาคือเขาเหมือนกับกรวินท์นี่แหละค่ะ ดังนั้นการรักษาหมอถึงพยายามจะให้แต่ละตัวตนสื่อสารกันให้ได้ แต่ในส่วนที่เพื่อนเราเคยบอกมา ตามที่เคยสอบถามกับจิตแพทย์ คือว่าการที่แต่ละตัวตนได้ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในวันนั้น จะทำให้บุคลิกหลักจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ค่ะ ประมาณว่าผู้ป่วยต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน เขาถึงจะหายจากโรคนี้ เราเลยเอาข้อมูลมาอิงๆ ร่วมกันหมด แต่เคสของคุณคิมโนเบลเราไม่ได้อ่านลึกมากนัก เพราะว่าหนังสือที่จองไว้สรุปคือหาไม่ได้ค่ะ

ปล. เรื่องนี้มันจะยาวก็เพราะช่วงเวลาของการรักษานี่แหละค่ะ แต่เราอาจจะเขียนข้ามๆ ช่วงเดือนไปบ้าง เพื่อให้มันไม่อืดมาก แต่ช่วงแรกๆ อาจจะต้องลงข้อมูลเยอะหน่อยก็เลยยังไม่ข้ามดีกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:24:10 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
สู้ๆ ครับ.

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
นี่ยังอ่านไม่จบ ทั้งหลอนทั้งเครียดเลย
คนแต่งเก่งมาก รายละเอียดแน่นสุดๆ :mew1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 28

หลังจากกรให้สัมภาษณ์ในคาบจิตวิทยาการปรึกษาเมื่อครั้งล่าสุดว่าการพร่ำเรียกเขาด้วยชื่อของ ‘จันทร์’ ทำให้เขารู้สึกไม่มีตัวตน ทีมรักษาอย่างเราๆ จึงต้องมานั่งประชุมหารือกันอย่างเป็นทางการเสียที เพราะจากปฏิกิริยาของคุณพีรวัตร ยามที่พยาบาลผู้ดูแลเอ่ยเรียกด้วยชื่อเสียงเรียงนามของจันทร์ ดวงตาที่เคยอบอุ่นและท่าทีที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างเพียงชั่วพริบตา
ซึ่งเหตุผลของการกระทำเหล่านั้น..
ตรงกับข้อสันนิษฐานของผมมาตั้งแต่แรก

“เดิมทีผมเคยคิดว่าการปฏิเสธการมีตัวตนของอัตลักษณ์อื่นๆ จะบังคับให้พวกเขาหลอมรวมกันได้ แต่กลับกลายเป็นว่าวิธีนี้ทำให้พวกเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากเท่าที่ควร” ดร. อาทิตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่บุคลากรในทีมต่างก็ตั้งใจฟังแนวคิดของเขาอย่างเงียบเชียบ
เพราะแนวคิดดังกล่าว..
มีทั้งคนที่ปฏิบัติตามและไม่ปฏิบัติตาม

“ผมเลยคิดว่าเราไม่ควรปฏิเสธการมีตัวตนของอัตลักษณ์อื่น ฉะนั้นพวกเราควรจะตอบสนองกับทุกๆ ตัวตนของคุณเพียงจันทร์โดยแยกออกจากกัน” สิ้นคำกล่าวของด็อกเตอร์ผู้มีชื่อเสียง ผมเองก็รู้สึกโล่งใจ เพราะที่ผ่านมาผมตอบสนองต่อทุกๆ ตัวตนแยกจากกันอยู่แล้ว
พวกเขาถึงได้พูดคุยกับผมด้วยท่าทีปกติ

ซึ่งผลลัพธ์ของการให้ความร่วมมือที่ดี ส่งผลให้คุณพีรวัตรยินยอมให้จันทร์ออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลาของการบำบัดในครั้งต่อไป ส่วนการกระทำอันเป็นการต่อต้านของกร บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าวิธีนี้ไม่เหมาะจะนำมาใช้ในการรักษา เพราะตัวตนที่ยังไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงได้ มีความเชื่อมั่นว่าเขาเป็นเขาโดยที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ายังมีตัวตนอื่นๆ ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน มิหนำซ้ำร่างกายนี้แท้ที่จริงก็มีเจ้าของ ส่วนตัวตนที่ยอมรับได้ก็ใช่ว่าเขาจะโอเคกับการถูกมองข้าม เพราะก่อนที่เขาจะอยู่ร่วมกับมันได้ ล้วนต้องผ่านการคัดค้านจนหัวชนฝาและยังต้องผ่านการทดสอบอย่างกระจ่างแจ้งว่าในแต่ละช่วงเวลาที่ตนเองหลับใหล ร่างกายนี้กำลังใช้ชีวิตไปตามปกติจริงหรือไม่
ดังนั้นแผนการบำบัดประจำเดือนกันยายน จึงกำหนดไว้ว่าจะไม่มีการปฏิเสธว่าคุณเพียงจันทร์มีอัตลักษณ์ที่แตกกระจัดกระจาย เมื่อเขามีความเชื่อมั่นว่าเขาคืออัตลักษณ์อื่นๆ ให้ทีมรักษาถามถึงความรู้สึกในขณะนั้น เพื่อที่เราจะได้เข้าใจตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงได้รับความร่วมมือในเรื่องต่างๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการรักษา จนส่งผลให้ความวุ่นวายลดน้อยลง ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ในทีมอาจจะต้องทำงานอย่างหนักสักหน่อย
เพราะการจะจดจำอัตลักษณ์ของคนคนหนึ่งได้ตั้งแต่วินาทีแรก
ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

ส่วนผมถือว่าโชคดีที่ได้เข้าไปคลุกคลีอยู่ที่บ้านกลางป่าสนเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงทำให้ผมสังเกตเห็นตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ได้อย่างง่ายดาย ต่างกับช่วงเวลาที่ทุกๆ อัตลักษณ์ออกมาใช้ชีวิตที่โรงพยาบาลลิบลับ เพราะที่นี่ไม่มีการสวมเสื้อผ้าหรือใช้เทียนหอมเพื่อจำแนกอัตลักษณ์ จึงทำให้การสังเกตเป็นไปได้ยาก ผมเลยถือโอกาสเอาแมคบุ๊กมาให้คุณพีรวัตร เพราะเขามักจะคลุกคลีอยู่กับของแบบนี้บ่อยๆ แต่ถ้าจันทร์ออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเองจริงๆ ผมกล้าพูดได้เลยว่าช่วงเวลาแบบนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่จำแนกได้ยากตั้งแต่วินาทีแรกเห็น เราจึงต้องอาศัยการสังเกตด้านอื่นๆ และยังต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์ว่าใครคนนั้นคืออัตลักษณ์ใดกันแน่
ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ทีมแพทย์ต่างก็สับสนว่าใครเป็นใคร เนื่องจากแต่ละตัวตนไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีออกมาอย่างเด่นชัดในวินาทีแรก ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง เช่น พยาบาล A เห็นคุณพีรวัตรใช้แมคบุ๊กตอนช่วงเช้า ทว่าคนที่เธอสอบถามในช่วงบ่ายกลับกลายเป็นกร จึงทำให้เขาไม่ยอมรับข้อกล่าวหา เพราะชีวิตประจำวันของเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอุปกรณ์เทคโนโลยีในลักษณะดังกล่าว
หลังจากนั้นทีมรักษาส่วนใหญ่จึงเลือกระบุตัวตนของทุกๆ อัตลักษณ์ว่า ‘เพียงจันทร์’
จะมีก็แต่บุคลากรในทีมอย่าง ‘พี่จี๊ด’ แม้เธอจะสามารถแยกแยะอัตลักษณ์ต่างๆ ของจันทร์ได้ แต่เธอก็ยังเลือกดำเนินการตามแนวทางของด็อกเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้จึงถูกต่อต้านอย่างที่เห็น

ส่วนคาบบำบัดในช่วงสายของเดือนใหม่แบบนี้ ดูเหมือนว่าน้องเจนจะจัดให้มีการทดสอบรอร์ชาค (Rorschach Test) ซึ่งเป็นการทดสอบด้วยการสังเกตหยดหมึกว่ามันคือภาพอะไรและเตือนใจให้คิดถึงสิ่งใด โดยผู้ป่วยจะต้องสังเกตภาพของหยดหมึกแบบมาตรฐานทั้งหมด 10 ภาพ บนกระดาษแข็งขนาด 7 x 9.5 นิ้ว และในแต่ละภาพจะแบ่งออกเป็นภาพขาวดำจำนวน 5 ภาพ และอีก 5 ภาพเป็นภาพสองสีหรือสารพัดสีปะปนกัน
ซึ่งการทดสอบดังกล่าวสามารถบ่งบอกถึงลักษณะทางบุคลิกภาพ สภาพจิตใจของผู้ทดสอบ รวมถึงความปรารถนาและปัญหาของบุคคลที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
นอกจากนี้ยังทำให้เราทราบว่า..
ผู้ป่วยกำลังเจ็บป่วยอยู่ในระดับใด

อย่างภาพแรกจะเกี่ยวกับ ‘ความหวาดระแวง’ โดยผู้ทดสอบตามคำให้การของน้องเจนคือ ‘จันทร์’ ที่มองเห็นภาพ ‘โคมไฟ’ และในทางจิตวิทยาสามารถแปลความหมายได้ว่า อีกฝ่ายมีความหวาดระแวงผู้คน ซึ่งจันทร์ได้อธิบายกับเจนถึงสาเหตุของความหวาดระแวงดังกล่าวที่ว่าด้วยเรื่อง ‘คนขี้โกหก’ และมันก็สอดคล้องกับคำพูดที่จันทร์เคยพูดทิ้งท้ายก่อนจะหลับใหลและตัดขาดจากช่วงชีวิตในปัจจุบันว่า ‘ถึงอธิบายไป มันก็ไร้ประโยชน์’ เพราะในอดีตใครๆ ต่างก็ตราหน้าว่าจันทร์เป็นเด็กขี้โกหก ชอบก่อเรื่อง แต่ไม่ยอมรับผิด
ดังนั้นบทสรุปของเด็กชายผู้นี้
จึงจบลงด้วยการถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า

หรืออย่างภาพที่เกี่ยวกับ ‘ทัศนคติเรื่องแม่’ ซึ่งคนทั่วไปจะมองเป็นรูปหูกระต่ายหรือคน แต่จันทร์กลับมองเป็นรูป ‘ผู้หญิงสองคนกำลังต่อสู้กัน’ แปลความหมายได้ว่าเด็กผู้ชายคนนี้อาจจะมีปัญหากับผู้เป็นแม่ เจนจึงถือโอกาสให้จันทร์ระบายถึงความรู้สึกที่มีต่อแม่ ทำให้ทราบว่าข้อสันนิษฐานของผมคือความจริง เพราะความสัมพันธ์ของจันทร์กับแม่ระหองระแหงมานานแล้ว โดยชนวนของปัญหาคือการโกหกที่ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร แม่ก็ไม่เคยเชื่อคำพูดของจันทร์ ซึ่งผมคิดว่าก่อนหน้านั้นอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ คงจะออกมาเล่นซนจนทำให้กระจกแตกไปหลายบาน แต่ด้วยความตกใจกลัว จิมเลยหนีปัญหาและทิ้งให้จันทร์ออกมารับโทษ ดังนั้นการสร้างปัญหาจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะจิมมักจะใช้วิธีหลับตาเพื่อก้าวสู่ช่วงเวลาของการหลับใหล
เพียงแต่มันยังมีสาเหตุที่น่าตกใจมากกว่านั้น..
เพราะจันทร์กับลีคือบุคคลที่แม่ไม่ต้องการ

ไปๆ มาๆ เรื่องราวดันเชื่อมโยงกับภาพที่เกี่ยวกับ ‘ทัศนคติเรื่องพ่อ’ เพราะจันทร์มองเห็นภาพดังกล่าวเป็นรูป ‘กอลิล่ากำลังต่อสู้กัน’ บ่งบอกถึงความคิดในเชิงลบ เจนจึงสอบถามจนได้ความว่าอันที่จริงจันทร์ก็มีพ่อ เพียงแต่พ่อคือคนที่ทำร้ายแม่ด้วยการร่วมรักโดยไม่ยินยอม นักจิตวิทยาสาวจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าจันทร์ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจึงบอกว่าตนได้ยินมาจากคนในหมู่บ้าน ซึ่งมันก็ตรงกับเรื่องเล่าจากทางอินเตอร์เน็ตที่ผมเคยอ่าน ซ้ำยังสอดคล้องกับเรื่องราวในนิยายของคุณอนธการ และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้จันทร์โกรธเกลียดพ่อของตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีความจริงที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือ..
พ่อของจันทร์น่าจะเป็นพี่ชายของป้าเข็ม

หาก ‘ป้าเข็ม’ เป็นญาติของคุณชลวิทย์ตามข้อสันนิษฐานของผมจริง เท่ากับว่าจันทร์อาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณชลวิทย์ และพ่อของจันทร์ก็อาจจะเป็นพี่ชายของป้าเข็ม และยังเคยทำงานในไร่ของพ่อไอ้แนน แถมแม่ของจันทร์ยังอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับไอ้แนน แสดงว่าพ่อกับแม่ของจันทร์อาจจะเคยเจอกันที่ไร่ดอกไม้ หลังจากนั้นอาจจะเกิดเรื่องราวน่าเศร้าสลด แม่ของจันทร์เลยพยายามหลีกหนีจากสถานการณ์อันย่ำแย่
แต่สุดท้าย.. โลกใบนี้กลับคับแคบจนน่าใจหาย
เพราะบ้านของแม่จันทร์กลับอยู่ใกล้ๆ บ้านของพ่อจันทร์เสียนี่

ถ้าหากเรื่องราวมันเป็นอย่างที่ผมคิด แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนล่วงละเมิดทางเพศกับจันทร์ เพราะคุณชลวิทย์ก็ดูเป็นห่วงเป็นใยจันทร์อยู่บ้าง แม้ที่ผ่านมาความเห็นแก่ตัวจะครอบงำเกินไปหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็พยายามจะตัดใจจากกรอย่างเด็ดขาด อีกทั้งบ่อเกิดของปัญหามันคือความรักที่เขามีให้จันทร์ในคราบของกรวินท์ เท่ากับว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้น เกิดจากความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นไม่อาจเรียกว่าการล่วงละเมิดได้เต็มปาก และอัตลักษณ์ของกรยังเกิดหลังจากที่จันทร์ประสบเหตุการณ์อันเลวร้าย
จึงเป็นไปได้ว่ากรกับคุณชลวิทย์ อาจจะพากันหนีออกจากบ้านนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง..
นอกจากนี้คุณชลวิทย์ยังดูเหมือนจะไม่รู้ว่าพ่อของจันทร์ก็คือพี่ชายของป้าเข็ม เลยทำให้ผมไม่ค่อยจะแน่ใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเอง

แต่จะไปจี้ถามเจ้าของบ้านกลางป่าสนทั้งสองคนก็ไม่ได้ เพราะฝ่ายหนึ่งกำลังเป็นโรคซึมเศร้า และจากการประเมินคำบอกเล่าของกรวินท์ ก็บ่งบอกได้ดีว่าการกระทำของคุณชลวิทย์ที่ลงทุนพาจันทร์หนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ย่อมต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ดีสำหรับพวกเขา อีกทั้งปฏิกิริยาของป้าเข็มในเวลาที่ผมสอบถามเกี่ยวกับเรื่องคุณแม่ของจันทร์ยังดูแปลกๆ
ส่วนฝ่ายคนน้องความทรงจำของเขากลับสะเปะสะปะจนจับจุดแทบไม่ได้ เพราะเจ้าตัวจดจำได้แค่ช่วงเวลาที่ถูกลงโทษจากสิ่งที่ตนเองไม่ได้กระทำ ต่อมาจันทร์ก็ย้ายมาอยู่กับคุณชลวิทย์ โดยที่เขาไม่เคยเห็นแม้แต่จะใบหน้าของน้องสาวและผู้เป็นแม่ กระทั่งลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีจันทร์ก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีความคิดว่าแม่ทอดทิ้งตนเองให้อยู่ที่บ้านกลางป่าสนเพราะความเกลียดชัง แสดงว่าคุณชลวิทย์อาจจะแต่งเติมเรื่องราวให้จันทร์เชื่อถือ บวกกับทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่เลยทำให้จันทร์มองสถานการณ์ดังกล่าวในทิศทางติดลบ
และยังทำให้จันทร์ไม่เคยรับรู้ว่า..
ตนเองกำลังป่วยเป็นโรคหลายอัตลักษณ์

พอวิเคราะห์ได้แบบนั้นก็ทำให้ผมย้อนกลับมาคิดว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้จันทร์คิดจะตัดขาดจากความทรงจำและความเป็นตนเองมาตั้งแต่ต้น ทว่าการจะหาคำตอบดังกล่าวได้มันช่างยากเย็น เพราะผมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ เลย แต่คาดว่าจิมน่าจะเป็นตัวตนแรกที่ถือกำเนิดขึ้น และอาจจะมีเหตุผลมาจากความไม่อบอุ่นในครอบครัว
แต่กับ ‘น้องลียากร’ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า..
เธอเกิดมาเพื่อทดแทนสิ่งใด

กระทั่งเวลาเลิกงานมาเยือน ผมจึงมุ่งตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยของจันทร์ด้วยท่าทีเริงร่า ราวกับวันนี้ได้ผ่านการโดฟคาเฟอีนในปริมาณที่มากจนเกินพอดี เมื่อไปถึงที่หมายผมกลับไม่เห็นใครบางคนที่ต้องการจะพบหน้า จึงเดินไปสอบถามน้องแพรจนได้ความว่าจันทร์ขอออกไปเดินเล่นตรงบริเวณสวนหย่อมกับพี่จี๊ด พอไปถึงผมก็ส่งสัญญาณให้พี่จี๊ดว่าผมขอเวลาส่วนตัวและจะดูแลทางนี้ให้

“จันทร์” ผมเอ่ยเรียกคนที่กำลังเดินไปตามสะพานไม้ริมบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นอาณาบริเวณของแต่ละตึกเอาไว้
“คุณทักผิดคนแล้ว..” คุณนักเขียนหันมายกยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเจ้าตัว

“เอ่อ.. คือ.. ผมไม่ได้ตั้งใจ..” พอได้รับคำตอบแบบนั้นรอยยิ้มของผมก็หุบลงเพราะผมคิดคำแก้ตัวไม่ออก
“ผมรู้.. เพราะคุณไม่เหมือนคนอื่น” คุณนักเขียนกล่าวด้วยถ้อยคำที่ผมเองก็เข้าใจว่า ‘การไม่เหมือนคนอื่น’ หมายถึงการเรียกขานของผมแตกต่างจากบุคลากรในทีมที่เคยทำให้เจ้าตัวหัวเสีย เพียงเพราะปฏิบัติตัวราวกับเขาไม่มีตัวตน

“นี่.. ผมขอนั่งเล่นตรงนี้สักพักได้หรือเปล่า ?” คุณพีรวัตรเอ่ยถามพลางย่อตัวลงนั่งกับพื้นไม้บนสะพานริมน้ำ
“เอาสิ เดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อนคุณเอง” ผมกล่าวพลางย่อตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่ายที่กำลังจัดการพับขากางเกงจนถึงหัวเข่า

 “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้แล้วสินะว่าการทำเหมือนกับพวกเราไม่มีตัวตน มันเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก” คุณพีรวัตรเอ่ยถามขณะที่สองขากำลังแกว่งไกวอยู่ในน้ำ
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มไปให้เขา

“ตอนที่พยาบาลเอาแต่เรียกผมว่าจันทร์ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เล่นเอาผมหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เพราะการกระทำแบบนั้น มันเหมือนกับพวกเขากำลังจะบอกกลายๆ ว่า พวกเราไม่เป็นที่ต้องการและกำลังจะถูกกำจัด”
“แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงให้ความร่วมมือขึ้นมาล่ะ ?” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะการปลดปล่อยให้จันทร์ออกมาใช้ชีวิต พูดตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
 
“เพราะคุณ”
“ผมเนี่ยนะ ?” ผมย้อนถามอย่างงุนงง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้กลายไปเป็นเหตุผลหลักของการตัดสินใจ

“ผมเชื่อใจและมั่นใจในตัวคุณ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น คุณจะรับมือกับมันได้”
“แต่ผมก็เคยทำพลาดนะคุณ ไม่อย่างนั้นกรคงไม่ได้ก่อเรื่องจนคุณต้องเย็บตั้งหลายเข็มแบบนี้หรอก” ผมกล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปยังบาดแผลตรงศีรษะของคุณนักเขียนที่กำลังพันด้วยผ้าก๊อซสีขาว

“แต่คุณก็พยายามจะปกป้องพวกเราด้วยไม่ใช่หรือไง ที่มือคุณน่ะ”
“…” ผมส่งยิ้มให้คุณนักเขียนที่ดูเหมือนจะเชื่อมั่นในตัวผมมากกว่าตัวผมเอง พร้อมกับเหลือบมองฝ่ามือข้างที่เจ็บด้วยความรู้สึกคิดย้อนไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ทำให้ภาพใบหน้าอาบเลือดของจันทร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น และมันก็ตามมาด้วยความรู้สึกปวดหนึบในใจ

“ว่าไปแล้วผมยังเจ็บขนาดนี้.. กรคงจะเจ็บเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
“แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพราะเขาคือผู้พิทักษ์ความเจ็บปวด”

“ผมอยากให้เขายอมรับความเป็นจริงให้ได้ เขาจะได้ไม่คิดทำร้ายตัวเองอีก”
“ในความคิดของผม ถึงเขาจะยอมรับมันได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่คิดทำแบบนั้นอีก..” สิ้นคำกล่าวของคุณนักเขียน ผมก็เข้าใจได้ทันทีเพราะจิตใจของกรกำลังตกอยู่ในสภาวะอันว่างเปล่า
เรื่องราวแบบนี้จึงห้ามปรามได้ยาก

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”
“ผมรู้.. แต่ที่ผมพูด ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเร่งรัด เพียงแต่ผม.. ไม่อยากให้เขาทำร้ายตัวเองแบบวันนั้นอีก เพราะคนที่เจ็บก็คือตัวเขา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวเพียงเล็กน้อย เพราะกรถือเป็นคนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมากๆ อีกหนึ่งคน

“คุณทำให้ผมลบอคติเกี่ยวกับรักร่วมเพศไปได้เยอะ รู้ตัวหรือเปล่า”
“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ?”

“เพราะความเป็นคุณไง.. คุณที่อ่อนโยน..” คุณพีรวัตรกล่าวพลางมองจ้องมายังผม จากนั้นในท้ายประโยคก็มองตรงไปข้างหน้าและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณหน่อยสิ ทำไมวันนั้นคุณถึงด่าผม แล้วมองผมในแง่ลบขนาดนั้น คือผมสงสัยว่ามันเป็นเพราะจันทร์หอมแก้มผมหรือเปล่าเลยทำให้คุณไม่พอใจ เพราะคุณก็มีอคติที่ไม่ดีกับความรักในรูปแบบนี้อยู่แล้ว แต่กับคุณชลวิทย์ทำไมคุณถึงไม่มีปฏิกิริยาแบบนั้น?”

“ใครว่าล่ะ กับไอ้ชลผมก็ต่อยมันจนปากแตกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เสนอทางเลือกให้เราต่างคนต่างอยู่หรอก แต่กับคุณผมแค่รู้สึกไม่ชอบใจ เพราะคุณเข้ามาล่วงเกินจันทร์ก่อน”
“ผมเนี่ยนะ ?” ผมเอ่ยถามพลางทำสีหน้าแปลกใจ

“ใช่ คุณจูบเขาตรงนี้” คุณพีรวัตรเอ่ยพลางชี้ไปยังบริเวณหน้าผาก จึงทำให้ผมเริ่มจะนึกออกว่ามันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน
“ตอนนั้นผมกำลังหลวมตัวไปชอบจันทร์ เลยอดจะปลอบใจด้วยวิธีแบบนั้นไม่ได้” ผมอธิบายพลางเกาแก้มอย่างเก้อเขิน เพราะการกระทำดังกล่าวไม่ต่างจากการลักหลับเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าผมบอกอะไรบางอย่างกับคุณ.. คุณอย่าช็อกไปก่อนล่ะ”
“อะไรเหรอครับ ?” ผมเอ่ยถามแกมหัวเราะเพราะสีหน้าของคุณนักเขียนกำลังจริงจังมากถึงมากที่สุด

“ตอนนั้น.. คนที่กำลังควบคุมจิตวิญญาณคือผม..” คุณพีรวัตรกล่าวพลางลุกขึ้นยืน แต่ผมกลับอึ้งแดกไปแล้ว เพราะมันเหนือความคาดหมายเอามากๆ มิน่าล่ะวินาทีแรกที่เผชิญหน้ากัน เขาถึงได้แสดงท่าทีรังเกียจผมขนาดนั้น
“เอ่อ.. ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอโทษคุณจริงๆ แต่ผมสงสัยว่าทำไมจู่ๆ คุณถึงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผม คือผมหมายถึงมันเกิดขึ้นตอนไหน” ผมเอ่ยถามพลางเดินตามอีกฝ่ายที่กำลังมุ่งหน้าออกจากบริเวณสวนหย่อมในยามหัวค่ำ

“อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละ ผมต้องพยายามทำสมาธิ เพื่อที่จะได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ของจันทร์กับทุกๆ คนที่เป็นครอบครัวเดียวกัน มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า.. คุณเป็นคนดีกว่าที่คิด”
“คุณหมายถึงคุณแอบสอดส่องพฤติกรรมของผมในขณะที่จันทร์กำลังตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ?” ผมรีบย้ำถามขึ้นมาทันที เพราะแต่เดิมผมก็พอจะรับรู้มาบ้างว่าอัตลักษณ์อื่น ๆ สามารถรับรู้ถึงการการกระทำของอัตลักษณ์หลักได้ แต่จากคำพูดของคุณนักเขียนดูท่าทางจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความพยายามของแต่ละตัวบุคคล ดังนั้นกรกับคนอื่นๆ ถึงไม่เคยรับรู้ว่าตนเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจันทร์

“ก็ประมาณนั้น แต่ผมไม่ได้ใช้วิธีแบบนี้บ่อยนักหรอก คุณสบายใจได้..”
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายเพราะผมกำลังอึ้งๆ อยู่บ้าง แม้จะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วก็เถอะ เพราะทุกครั้งที่ได้อยู่กับจันทร์ ผมไม่เคยโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เลย

“ถ้าเกิดวันแห่งการจากลามาถึง..”
“…”

“ผมคงอาลัยอาวรณ์ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้น่าดู”


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- แบบทดสอบรอร์ชาค
https://goo.gl/hbnp9A  /  https://goo.gl/NH4qAb

มีใครเดาถูกกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย มันจะค่อยๆ ทยอยเฉลยปมไปเรื่อยๆ นะคะ แต่ต้องรอให้จันทร์ออกมามากกว่านี้ก่อน
ดร. จะได้ขอให้ตัวตนอื่นๆ ออกมาใช้ชีวิตเพื่อสอบถามความจริงต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:28:19 โดย Chomin »

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ยังตามอ่านได้แค่15ตอนอยู่เลย
รีบอ่านไม่ได้ เดียวงง 5555
แต่ล่ะบุคลิกนี่มีเทียนกลิ่มประจำตัวของตัวเองเก๋มาก :hao7:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
อินักเขียนชอบพี่หมอของเราเข้าให้แล้ว อร๊าายยยยย ~~~
ก่อนจากลา ทึ่งโป๊ะกับนักเขียนใส่แว่นหน้าคอมสักฉากก่อนะพี่หมอ >///<

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 29


คำพูดและท่าทีของคุณพีรวัตรเมื่อค่ำคืนวาน ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะการแสดงออกของเขา บังเอิญคล้ายคลึงกับจันทร์ในช่วงที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกความรู้สึกของตัวเองให้ผมรับรู้ก็เป็นได้
แต่ถึงอย่างนั้น..
ปฏิกิริยาของผมที่มีต่อคุณนักเขียนก็ไม่ต่างกับตอนที่เคยมีให้จันทร์ในช่วงแรกๆ

สำหรับโปรแกรมการรักษาของจันทร์ในช่วงเช้าคือการบำบัดทางจิตวิทยาการปรึกษา ส่วนช่วงสายเป็นคิวของการบำบัดด้วยการทำอาหารพร้อมทั้งร่วมรับประทานอาหารกับผู้ป่วยท่านอื่น เที่ยงนี้ผมกับไอ้บาสเลยต้องออกไปหาอะไรกินกันเอง เพราะแม่จะเอาอาหารเที่ยงมาส่งพร้อมกับอยู่เป็นเพื่อนจันทร์ในคราบของอัตลักษณ์ต่างๆ ทุกๆ วันที่ไม่ได้มีการบำบัดด้วยการทำอาหาร ส่วนช่วงบ่ายจันทร์ต้องเข้าร่วมการทดสอบของกลุ่มบำบัดย่อยที่ว่าด้วยความไว้วางใจ
โดยผมอาสาจะเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงบ่าย
เพราะกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นมาเพื่อ ‘จันทร์’

กระทั่งช่วงสายผมก็ได้รับไฟล์วีดิโอ ‘บันทึกการรักษา’ ครั้งล่าสุดมาครอบครอง ทันทีที่ดับเบิ้ลคลิกเพื่อเปิดไฟล์ดังกล่าว ภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันอบอุ่นเรียบง่ายก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับใบหน้าของใครบางคนที่คุ้นเคย จากนั้นผมก็ใช้เวลาพิจารณาแค่เพียงครู่
ทำให้ผมทราบคำตอบแล้วว่า..
คนคนนี้คือ ‘จันทร์’ ที่ผมเอาแต่ห่วงใยและเฝ้าคิดถึงมาตลอด

“สวัสดีครับหมอ” จันทร์กล่าวพลางมองตรงมายังกล้องวีดิโอด้วยท่าทีเก้อเขิน
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์ ผม ดร. อาทิตย์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงกล่าวด้วยท่าทีอันเป็นมิตรอย่างมั่นอกมั่นใจ เนื่องจากบุคลิกภาพของผู้ป่วยในวันนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากตัวตนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
เพราะแววตาของจันทร์
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังดูไร้เดียงสา

 “เดี๋ยวยังไงผมขออนุญาตบันทึกวีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษานะครับ” ด็อกเตอร์กล่าวพลางส่งยิ้มไปให้จันทร์ที่เอาแต่สำรวจไปรอบๆ ห้อง เนื่องจากตนเพิ่งจะเคยเข้ามาบำบัดด้วยวิธีนี้เป็นครั้งแรก
“ครับ” จันทร์ตอบรับเพียงสั้นๆ พร้อมกับยกยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงยิบหยี แถมลักยิ้มเล็กๆ ก็ยังบุ๋มลงไปด้วย

“เอ่อ.. หมอครับ ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่แล้วเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าแห่งความสงสัย เนื่องจากอีกฝ่ายเคยเข้ารับการบำบัดด้วยวิธีอื่นมาบ้างแล้ว จึงทำให้เจ้าตัวไม่ได้ออกอาการตกใจมากนักที่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในโรงพยาบาล
“คุณอยู่ที่นี่ได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้วครับ”

“เดือนหนึ่ง?” จันทร์ย้ำถามเสียงสูงด้วยความตกใจ มิหนำซ้ำดวงตาของเขายังเบิกกว้างอีกต่างหาก
“ใช่ครับ เดือนหนึ่งแล้ว”

“แต่ผมจำได้ว่าผมเคยเข้ารับการบำบัดประมาณสองครั้ง ดูเหมือนว่าจะแค่สองวัน..” จันทร์กล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจเพราะความทรงจำที่ไม่ประติดประต่อกำลังสำแดงฤทธิ์
“แล้วก็.. ทั้งนักจิตวิทยากับพยาบาลต่างบอกว่าผมกำลังไม่สบาย เพราะข้างในนี้.. ยังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่” จันทร์กล่าวพลางชี้ปลายนิ้วเข้าหาตัวเอง ขณะที่สีหน้าก็ดูสับสนเพราะยังไม่เข้าใจความหมายของคำบอกเล่าหรืออาจจะยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินก็เป็นได้

“ใช่ครับ ที่จริงแล้ว.. พวกเขาเหล่านั้นที่คุณพูดถึง คือคนที่จะออกมารับมือกับความเจ็บปวด ความเศร้า ความเสียใจแทนคุณ”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะครับ ?” จันทร์เอ่ยถามอย่างสงสัย พร้อมทั้งใช้แววตาอันไร้เดียงสามองไปยัง ดร. อาทิตย์

“มันเป็นเพราะอีกด้านหนึ่งของคุณต้องการที่ปกป้องคุณ”
“ปกป้องผม ?” จันทร์เอ่ยงึมงำในลำคอคล้ายกับเขากำลังตบตีกับความคิดของตัวเองอย่างหนัก

“ครับ พวกเขาต้องการจะปกป้องคุณ ส่วนสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะคุณยังไม่รู้ว่าจะปกป้องตัวเองอย่างไร แต่อีกด้านหนึ่งของคุณ.. รู้วิธีการเหล่านั้น”
“หมอหมายความว่ายังไงเหรอครับ ?”

“เพราะข้างในนี้อาจจะมีบางอย่างที่คุณหวาดกลัว” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางชี้ปลายนิ้วไปยังบริเวณช่วงอกของตัวเอง ขณะที่จันทร์แน่นิ่งไปเพราะกำลังใช้ความคิดเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวที่ตนเองเพิ่งจะรับรู้
“แล้วทำไมผมถึงต้องหวาดกลัวขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ?” จันทร์เอ่ยถามคล้ายกับยังไม่กระจ่างในคำบอกเล่าของด็อกเตอร์มากนัก
เนื่องจากความทรงจำอันเลวร้าย
ถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด

“เพราะตอนที่คุณยังเด็ก คุณยังไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้นได้ คุณเลยเลือกจะตัดขาดจากความเป็นตนเองและตัดขาดจากความทรงจำเหล่านั้น ด้วยการเปิดโอกาสให้อีกด้านหนึ่งของคุณเข้ามาประคับประคองชีวิต”
“คุณหมอหมายถึงช่วงเวลาที่ผมหลับ คือช่วงเวลาที่คนพวกนั้นออกมาใช้ชีวิตเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนทำให้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น

“ใช่ครับ คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น.. เรื่องนี้จะเกี่ยวกับความทรงจำที่ขาดหายไปของผมด้วยหรือเปล่าครับ ?”

“เกี่ยวแน่นอนครับ”
“คือผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ เวลาของผมมักจะหายไปบ่อยๆ แต่ตอนนั้นผมคิดว่าคนอื่นๆ ก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน เพราะผมชอบได้ยินน้าเข็มบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าเวลามันหายไปไหนหมดทำงานทำการอะไรไม่ทันเลย” คำตอบของจันทร์ทำเอาผมนึกเอ็นดูและเศร้าใจปะปนกัน เพราะความไร้เดียงสาของเจ้าตัว เกิดจากการที่ร่างกายและความคิดจำเป็นจะต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากบางช่วงเวลาคือช่วงเวลาแห่งการออกโรงของอัตลักษณ์อื่น จึงทำให้ไทม์ไลน์ในการใช้ชีวิตไม่ค่อยประติดประต่อกัน
แต่ถึงอย่างนั้นจันทร์ก็ยังสามารถปรับตัวได้

“แสดงว่าทุกครั้งที่ผมถูกทำโทษเป็นเพราะมีใครบางคน กำลังออกมาใช้ชีวิตแทนผมอย่างนั้นเหรอครับ ?”
“ก็มีความเป็นไปได้ครับ คุณพอจะเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ผมฟังได้หรือเปล่า ?”

“เท่าที่ผมจำได้ผมมักจะถูกทำโทษด้วยข้อหาที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อ และมันก็เริ่มจะหนักข้อขึ้นตอนช่วงที่ผมเข้าเรียนชั้นอนุบาล แต่พอผมอธิบายอะไรออกไปกลับไม่มีใครเชื่อคำพูดของผม แถมพวกเขายังเอาแต่บอกว่าผมเป็นเด็กขี้โกหก แต่ผมสาบานได้ว่าผมพูดความจริงทุกอย่าง” จันทร์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันวานด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ทำเอาใจของผมหวิวไหวตามไปด้วย
“ไม่ว่าจะเขียนกำแพง ทำกระจกหรือจานแตก หรือรังแกเพื่อน ผมไม่เคยทำแบบนั้นเลย แถมบางครั้งผมมาอยู่ที่โรงเรียนได้ยังไง ผมยังไม่รู้ตัวเลยครับ”

“คุณไม่คิดว่าสถานการณ์แบบนั้น มันดูแปลกๆ บ้างเหรอครับ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามได้ตรงใจผมนัก เพราะผมยังจดจำเรื่องราวในวันวานที่ทำให้จันทร์ตกใจจนเคร่งเครียดได้เป็นอย่างดี ซึ่งท่าทีของจันทร์ในตอนนั้น ราวกับเขาเพิ่งจะเคยพบเจอสถานการณ์แปลกๆ เป็นครั้งแรก
แต่จากคำให้การเมื่อครู่ ทำให้ผมทราบว่า..
อันที่จริงจันทร์ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนั้นมาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล

“แต่ก่อนผมคิดว่าทุกคนมีเวลาไม่พอจริงๆ ครับ แล้วผมก็คิดว่าทุกคนคงจะหายตัวได้ ผมเลยไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งจะรู้ว่าเหตุการณ์แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องปกติ ผมก็เลยตกใจและรู้สึกเครียด” จันทร์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมขมวดคิ้วเป็นระยะ

“แล้วอะไรทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ เหรอครับ ?”
“จู่ๆ เสื้อผ้าที่ผมใส่กลับกลายเป็นเสื้ออีกตัวที่ผมไม่เคยเห็น แถมบางครั้งผมก็เอาโน๊ตบุ๊กจากที่ไหนมาเล่นก็ไม่รู้ แต่ไปๆ มาๆ มันไม่ใช่แค่การเปิดเล่นธรรมดานะครับหมอ เพราะผมกำลังพิมพ์นิยายอยู่ ผมหมายถึงผมเคยหลับคาโน๊ตบุ๊กทั้งๆ ที่ยังเปิดไฟล์ต้นฉบับเอาไว้ หรือบางครั้งผมก็พิมพ์ข้อความลงในนั้น ทั้งๆ ที่ผมใช้อุปกรณ์พวกนี้ไม่เป็นเลยครับ อีกอย่างที่บ้านของผมไม่เคยซื้อโน๊ตบุ๊กและผมก็แต่งนิยายไม่เป็น แต่พอตื่นขึ้นมามือของผมกลับวางอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด ผมเลยรู้สึกว่ามันชักจะแปลกๆ จากนั้นผมก็ลองคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองตั้งแต่เด็กเลยทำให้ผมรู้สึกกลัวแล้วก็เครียดมากๆ”

“จนกระทั่ง..” จันทร์กำลังเล่าถึงสถานการณ์ในวันวานอย่างกระจ่างแจ้ง แต่หลังจากนั้นจู่ๆ เขาก็อ้ำอึ้งพร้อมกับนั่งก้มหน้าซุกซ่อนความอ่อนแอบางอย่างไว้ อีกทั้งฝ่ามือทั้งสองข้างก็ยังกอบกุมกันแน่น
“คุณเพียงจันทร์ครับ ถ้าหากคุณไม่สบายใจที่จะเล่าถึงเรื่องนั้น.. ก็ไม่เป็นไรนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยนพร้อมส่งยิ้มให้กับใครบางคนที่ยังคงนั่งก้มหน้า

“ไม่เป็นครับ ผมโอเค คือว่าเหตุการณ์เมื่อครั้งล่าสุด ทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ป่วยเป็นโรคแพนิคอย่างเดียว เพราะวันนั้นผมตื่นมาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง และตอนนั้นร่างกายของผมก็เปลือยเปล่า แถมผมยังรู้สึกเหมือนกับว่าก่อนหน้านั้น ผมกำลังทำอะไรบางอย่างกับพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง แต่ผมจำไม่ได้เลยครับว่าก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้น อีกอย่าง.. ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ๆ เพราะขนาดจูบกันแบบปกติ ผมยังเกิดอาการแพนิค ฉะนั้นเรื่องการร่วมรักสำหรับผมคงเป็นไปไม่ได้”
“แล้วตอนนั้นผมก็จำได้ดีว่าตัวเองรู้สึกสับสน แต่เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม หรือสภาพร่างกายของตัวเองกับพี่ชายทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความจริง จากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้ถูกขโมยเวลาแบบผม และพวกเขาก็ไม่สามารถหายตัวได้ เพียงแต่ข้างในนี้ของผมต่างหากที่แปลกแยกจากคนอื่น ผมก็เลยกลัวและไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพราะผมไม่อยากเผชิญกับเรื่องราวใดๆ อีก แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจู่ๆ ผมก็หลับไป”

“และหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองก็คือคนที่เคยทำให้ผมอุ่นใจและปลอดภัย” จันทร์กล่าวประโยคนั้นขณะที่น้ำตาก็ร่วงรินจนเจ้าตัวต้องรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ด
“เขาคนนั้นทำอะไรให้คุณรู้สึกผิดหวังเหรอครับ ?”

“มันคือความหวาดกลัวมากกว่าครับ ผมไม่เคยผิดหวังในตัวเขา แต่ในวันนั้นเขาบังเอิญมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็เลยเข้าใจผิด แต่ผมสามารถยืนยันได้นะครับว่าผมไม่เคยคิดจะทำอะไรแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมไปอธิบายให้เขาเข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง เพราะความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นมันขาดๆ หายๆ แล้วอีกอย่างถึงผมจะอธิบายออกไป เขาก็คงไม่เชื่อผมหรอกในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็บ่งบอกได้ดีอยู่แล้วว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่สำคัญ.. ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเชื่อคำพูดของผม” จันทร์ค่อยๆ อธิบายให้ด็อกเตอร์ฟังอย่างเชื่องช้า ขณะที่น้ำตากลับรินไหลออกมาในปริมาณที่มากกว่าเดิม ส่งผลให้หัวตาของผมเริ่มจะร้อนผ่าว เพราะคำพูดของอีกฝ่าย บ่งบอกได้ดีว่าการเดินหนีของผมในวันนั้นไม่ต่างกับการโยนร่างของเขาลงสู่หุบเหวลึก และการกระทำแบบนั้นก็ส่งผลให้จันทร์มีความคิดว่าหากตนเองตายๆ ไปซะคงจะเจ็บปวดน้อยกว่านี้และคงจะไม่ต้องทรมานกับอาการแปลกๆ ของตัวเองด้วย
จันทร์ในวันนั้น..
จึงเลือกที่จะหลับใหลด้วยความอ่อนล้าอีกครั้ง..

“แต่พอเจอกันครั้งล่าสุด เขาบอกผมว่า.. เราสามารถพูดคุยกันด้วยเหตุผล แต่ผมก็ยังกลัวคำตอบของเขาอยู่ดี ผมเลยคิดว่าถ้าหากผมไม่ได้ฟังคำตอบมันคงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด.. เพราะผมรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก และผมก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ที่ดีไปกว่าคำว่า ‘ผมไม่ได้ตั้งใจ’ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะก่อนหน้านั้นผมเพิ่งใช้เวลาอยู่กับเขา แต่จู่ๆ ผมกลับไปนอนอยู่บนเตียงของพี่ชล ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ และทำไมถึงมีแค่ผมที่หายตัวได้ ผมไม่เข้าใจจริงๆ” จันทร์กล่าวพลางสะอึกสะอื้นจนผมทนดูแทบไม่ได้พาลทำให้น้ำตาของผมไหลรินมากกว่าเดิม
เพราะสิ่งที่จันทร์พูด.. เหมือนกับมีดที่ค่อยๆ กรีดแทงหัวใจของผมอย่างเชื่องช้า
เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดในวันวาน..

“หลังจากนั้น.. ผมก็เริ่มแก้ปัญหาด้วยการหลับตา เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวใดๆ อีก คือผมหมายถึงตอนเด็กๆ เวลาที่ผมหลับตาจะทำให้ผมผ่านพ้นเหตุการณ์แย่ๆ ไปได้ ผมจะใช้วิธีนี้แทบทุกครั้งที่ผมเจอปัญหา” หลังจากผมจัดการความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเองได้ ผมก็เปิดคลิปวีดิโอต่อจากเมื่อครู่ ขณะที่จันทร์กำลังบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่น้ำตาของเจ้าตัวเริ่มจะเหือดแห้งไปบ้างแล้ว
“คุณรู้ความลับที่ทำให้คุณสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ในเมื่อคุณเพิ่งจะบอกกับผมว่าที่ผ่านมาคุณต้องอยู่กับการถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก”

“วันที่ผมได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าจริงๆ แล้วน้าเข้มพี่ชายของน้าเข็ม เป็นพ่อของผมครับ ผมก็เลยกลับไปถามความจริงจากแม่ เพราะผมดีใจที่น้าเข้มเป็นพ่อของผม แต่ทันทีที่ผมถามจบแม่ก็ตีผมจนตัวเขียวไปหมด จากนั้นก็ขว้างปาข้าวของจนเศษกระเบื้องกระเด็นมาโดนผม ตอนนั้นผมกลัวมากก็เลยหลับตาลงแล้วหลับไป”
“ตอนนั้น.. คุณแม่ทำร้ายร่างกายของคุณบ่อยไหมครับ ?”

“บ่อยครับ แต่น่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมกับลีอยู่ในท้อง” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่ดวงตาของเขากำลังไหวระริกคล้ายกับน้ำตากำลังจะไหลปริ่ม
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นมากยิ่งขึ้น เมื่อปมในใจของจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว

“ก็ชาวบ้านเขาพูดกันนี่ครับ แล้วแม่ก็ไม่เคยแสดงออกว่ารักผมกับลีเลย”
“ที่ผ่านมาแม่ของคุณเคยบอกหรือทำอะไรที่สอดคล้องกับสิ่งที่ชาวบ้านพูดหรือเปล่าครับ อันที่จริงผมคิดว่าเธอรักพวกคุณมากนะ” ผมคิดว่าผมเข้าใจในสิ่งที่ด็อกเตอร์พยายามจะบอกกับจันทร์ เพราะการอุ้มท้องลูกแฝดได้จนตลอดรอดฝั่ง ย่อมไม่ใช่การกระทำของคนที่มีความเกลียดชังเป็นที่ตั้ง

“ถึงแม่ไม่พูดแต่การกระทำมันก็พูดอยู่ตลอดเวลาครับ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต น้าเข็มกับน้าเข้มที่เป็นพ่อของผมเป็นคนเลี้ยงพวกเราสองคน ส่วนแม่เอาแต่ดื่มเหล้า ไม่เคยสนใจพวกผม หรือถ้าสนใจก็เป็นตอนที่อยากจะทำโทษพวกเราเสียมากกว่า
“แสดงว่าคุณถูกคุณแม่ทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้งเลยทำให้คุณตัดสินใจจะตัดขาดจากความเป็นตัวเอง โดยสร้างตัวตนของใครสักคนขึ้นมารองรับความรุนแรงจากฝีมือของคุณแม่ และตัวตนดังกล่าวก็สร้างปัญหาให้กับคุณในภายหลัง”

“ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะจำได้ไหมครับว่าความทรงจำของคุณเริ่มขาดๆ หายๆ ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”
“ตั้งแต่ผมจำความได้ ความทรงจำของผมก็ขาดๆ หายๆ มาตลอด แต่ช่วงที่ผมรู้ตัวว่าการหลับตาจะทำให้ผมหลีกหนีจากเหตุการณ์ที่ไม่อยากเผชิญหน้าก็ตอนที่ผมเพิ่งจะเข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาลได้ไม่นาน” จันทร์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางเม้มปากเป็นระยะคล้ายกับเจ้าตัวกำลังทำเป็นเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ไม่ร้องไห้ออกมาอีกรอบ

“ถ้าจำไม่ผิดครั้งที่สองของการหลับตาคือตอนที่ผมได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าแม่ไม่ต้องการผมกับลี ตอนนั้นผมยังตัวเท่านี้อยู่เลยครับ หลังจากนั้น.. ผมยังเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันอีกเรื่องว่า จริง ๆ แล้วพ่อคือคนทำร้ายแม่จนทำให้ผมกับลีเกิดมา ผมก็เลยหลับตาเพื่อหลีกหนีความจริงอีกครั้ง” จันทร์กล่าวพร้อมกับทำมือวัดส่วนสูงของตัวเองในระดับโผล่พ้นโซฟามาหน่อยเดียวทำเอาผมรู้สึกสลดใจ
เพราะดูท่าว่าเรื่องเล่าจากในอินเตอร์เน็ต..
คงเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

ซึ่งในนิยายของคุณอนธการเรื่อง ‘สิเน่หา’ เขียนเอาไว้ว่าใบหน้าของลูกชายนางเอกคล้ายกับคนที่กระทำการย่ำยี จึงทำให้นางเอกรังเกียจลูกชายคนนี้มาก และ ‘ลูกชาย’ ที่นิยายกล่าวถึง ความเป็นจริงกลับถูกแทนที่ด้วย ‘ฝาแฝดลีจันทร์’ ขณะที่เหล่าคนใช้ที่ต้องคอยดูแลเด็กชายผู้อาภัพ ก็ถูกแทนที่ด้วย ‘น้าเข้ม’ และ ‘น้าเข็ม’ ที่จันทร์เอ่ยถึง
ดังนั้นชนวนเกิดเหตุที่ทำให้จันทร์กับน้องลีไม่ได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่จนส่งผลมาถึงการทำร้ายร่างกายก็คือเรื่องราวในอดีตระหว่างพ่อกับแม่ที่เกี่ยวเนื่องมาจากการล่วงละเมิดทางเพศ เพราะจากการให้สัมภาษณ์ของจันทร์ มีการเอ่ยถึงการพูดปากต่อปากของชาวบ้านที่คงจะมีมานานแล้ว
และนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้คุณแม่ของจันทร์ฆ่าตัวตาย ตามที่เขียนไว้ในนิยายด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมยังไม่มั่นใจ
เพราะมันยังมีกรณีของน้องลีที่ยังหาสาเหตุไม่ได้อีกหนึ่งกรณี

ส่วนลำดับการแตกอัตลักษณ์น่าจะเป็น ‘จิม’ จริงๆ นั่นแหละที่เกิดขึ้นก่อนใครเพื่อน เพราะจันทร์โตมากับการถูกทำร้ายร่างกาย มิหนำซ้ำยังไม่ได้รับความอบอุ่นเหมือนกับเด็กทั่วไป ดังนั้นจันทร์จึงเริ่มสร้างเกาะป้องกันตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพื่อที่เวลาถูกแม่ทุบตีจะได้ไม่เจ็บปวด เพราะอัตลักษณ์ของจิมจะเป็นคนที่เจ็บปวดแทน ซึ่งลักษณะนิสัยของจิมน่าจะเป็นเด็กดื้อรั้น หรือบางทีอาจจะเป็นเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยความรุนแรง เขาจึงมักจะก่อเรื่องจนสร้างความเดือดร้อนให้จันทร์ เพราะอัตลักษณ์รองก็สามารถหลับตาและหลีกหนีจากความผิดที่ตนเองไม่อยากเผชิญได้เหมือนกัน ส่วนน้องลีผมไม่แน่ใจว่าในตอนนั้นเธอมีอาการอย่างไร
แต่จากคำพูดของคุณพีรวัตร บ่งบอกได้ว่าจันทร์ต้องทำตัวเป็นพี่ชายที่เข้มแข็ง

เมื่อวิเคราะห์จากคำให้การของจันทร์ ผลจึงออกมาว่าอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ อาจจะเกิดตั้งแต่ตอนที่จันทร์ยังไม่รู้ความมากนัก เพราะจันทร์ยังมีความคิดเป็นเด็กๆ ว่าคนเราสามารถหายตัวได้ และยังมีเวลาแค่นิดเดียว พอโตขึ้นจันทร์ก็ยังมีความคิดแบบนั้นอยู่ เลยทำให้จันทร์มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าเรื่องราวที่เป็นปมในใจที่เจ้าตัวไม่เคยลบเลือน ก็คือเสียงลือเสียงเล่าอ้างของคนรู้จักที่ส่อเคล้าว่าจะเป็นจริง ส่งผลให้จันทร์รู้จักวิธีรับมือด้วยการหลีกหนีปัญหาเป็นครั้งแรกตอนอายุ 3 ขวบกว่า
หากเทียบปี พ.ศ. ก็น่าจะเป็นปี 2549
ทีนี้ก็เหลือสาเหตุแห่งการหลับใหลของ ‘จิม’ ที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:39:16 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
กระทั่งเวลาแห่งการเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดที่ว่าด้วย ‘ความไว้วางใจ’ เดินทางมาถึง ผมก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ห้องนันทนาการอย่างตรงเวลา และทันทีที่จันทร์หันมาเจอผม เขาก็รีบหันหน้าหลบ มิหนำซ้ำยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหนีอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังนำโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา และกระดานในห้องมาจัดวางให้เป็นเส้นทางวิบาก เพื่อที่ผมจะได้พาจันทร์ผู้ซึ่งถูกปิดตาด้วยผ้าผืนเล็กเดินไปตามเส้นทางวิบากที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

“เพียงจันทร์ เธอต้องให้ความร่วมมือกับพวกเรานะ เพราะกิจกรรมนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธอสร้างความเชื่อมั่นที่มีต่อผู้อื่นได้ และมันยังสามารถทำให้เธอใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ง่ายขึ้น”
“ครับ” จันทร์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเบาหวิวผิดกับตอนที่เขาพูดกับด็อกเตอร์อาทิตย์ลิบลับ ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะผมดันมายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่นี่ก็เป็นได้

“เดี๋ยวหมอภัทรจะเป็นคนพาเธอเดินไปตามเส้นทางวิบากที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง โดยที่เธอจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะคุณหมอจะช่วยดูต้นทางให้” น้องชะเอมกล่าวพลางนำผ้าผืนเล็กไปผูกปิดตาของจันทร์ไว้
“เอาล่ะ จับมือคุณหมอไว้นะ” ทันทีที่ผมเดินเข้ามาสมทบตรงบริเวณที่จันทร์ยืนอยู่ น้องชะเอมก็บอกกล่าวกติกาบางอย่างให้อีกฝ่ายรับรู้ จากนั้นฝ่ามือของจันทร์ก็ตกอยู่ในความดูแลของผม ซึ่งหมายความว่าหลังจากนี้ผมจะต้องทำให้จันทร์เชื่อใจพอที่จะยอมก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ผมนำทาง
และผลลัพธ์ที่ได้นอกจากมันจะทำให้จันทร์มีความเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นแล้ว
ยังทำให้ผมสามารถทวงคืนความเชื่อใจมาจากจันทร์ได้อีกครั้ง

ผมพาจันทร์เดินตรงไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ซึ่งท่าทีของอีกฝ่ายก็ดูจะหวาดกลัวมาก เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเดินไปยังทิศทางไหน ผมจึงบีบกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้นบวกกับลดระยะห่างระหว่างกันให้น้อยลง
จากนั้นท่าทีหวาดหวั่นของจันทร์ก็ดูจะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ผมจึงพาอีกฝ่ายเดินอ้อมเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดทั้งๆ ที่ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันแน่น กระทั่งเดินเรื่อยมาจนถึงโต๊ะตัวหนึ่ง ผมก็บอกให้จันทร์ค่อยๆ ย่อตัวลงพร้อมทั้งก้มหัวเพียงเล็กน้อย เพื่อที่เจ้าตัวจะได้มุดใต้โต๊ะได้อย่างปลอดภัย โดยผมต้องคอยเอามือป้องศีรษะของอีกฝ่ายไว้
กระทั่งจันทร์มุดออกมาจนพ้นระยะอันตราย ผมก็บอกให้เขาลุกขึ้นยืน และเริ่มนำทางอีกฝ่ายให้เดินตรงไปเรื่อยๆ โดยอ้อมกระดานไวท์บอร์ด ก่อนจะพาเดินวนรอบเก้าอี้อีกหนึ่งตัว แล้วมุ่งสู่เวทีสำหรับการทำกิจกรรมนันทนาการภายในโรงพยาบาล จากนั้นผมก็ให้จังหวะในการก้าวเท้าซ้ายเพื่อที่จันทร์จะได้ก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นแรก จนกระทั่งสำเร็จผมก็เริ่มให้สัญญาณในการก้าวเท้าขวา และคอยบอกเจ้าตัวซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนในที่สุดเราสองคนก็เดินขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดของเวที ผมจึงอาศัยช่วงเวลานั้นเจรจากับคนในความดูแลที่ยังคงมีอาการมึนตึงต่อกันอยู่บ้าง
แต่อย่างน้อย..
จันทร์ก็เริ่มหยิบยื่นความเชื่อใจของตัวเองมาให้ผมบ้างแล้ว

“พี่ไม่ได้ปล่อยให้จันทร์เจ็บตัวเลยใช่ไหมล่ะ ?” ผมเอ่ยถามคนในความดูแล
“…” จันทร์ไม่ตอบอะไรแต่กลับบีบกระชับฝ่ามือของผมเพียงครู่ ขณะที่ริมฝีปากของเขาก็เม้มแน่น คล้ายกับว่าสิ่งที่ผมถามคือเรื่องที่เจ้าตัวรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าจะยอมรับความเป็นจริงมากนัก

“กิจกรรมนี้จะทำให้จันทร์ได้เรียนรู้ว่าที่จริงแล้วเราสามารถเชื่อใจคนอื่นได้”
“…”

“แต่การเชื่อใจแน่นอนว่าเราไม่สามารถมอบให้กับทุกคนได้ เพราะจะมีแค่เพียงบางคนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้”
“…”

“แต่อย่างน้อย..”
“…”

“คนแรกที่จันทร์คิดอยากจะลองเชื่อใจดูอีกครั้งเป็นพี่ก็คงดี” สิ้นคำบอกกล่าวของผม จันทร์ยังคงนิ่งเฉย แต่ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาทางใจของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเชื่อใจผมมากขึ้น เพราะเวลาที่ผมบอกให้จันทร์เดินลงบันได หรือว่าปีนขึ้นไปเดินบนโซฟาตัวไม่ใหญ่ ท่าทีเก้ๆ กังๆ ที่เคยมีกลับเลือนหายไป ทำให้ผมรู้สึกว่าในเวลาแบบนี้ก็ไม่ต่างกับตอนที่เรากำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าสนอันมืดมิดที่มีเพียงแสงสว่างจากไฟฉายของโทรศัพท์ในการนำทาง
คาดว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น..
อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมขโมยความเชื่อใจจากจันทร์ได้สำเร็จ!

กระทั่งการบำบัดผ่านพ้นไปด้วยดีและผลลัพธ์ที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น้องชะเอมพึงพอใจ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ผมจึงถือโอกาสช่วยเธอจัดห้องนันทนาการให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่นั้น ก็รู้สึกได้เลยว่าจันทร์กำลังเหล่มองมาทางผมอยู่หลายครั้ง คล้ายกับเจ้าตัวมีอะไรอยากจะพูด แต่น่าจะยังไม่กล้าเข้าหาเสียมากกว่า
หลังจากทุกอย่างภายในห้องนี้เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ผมก็แสร้งทำเป็นหาของโดยออกอุบายว่าตนเองน่าจะทำร่วงตอนที่เข้าร่วมกิจกรรมเมื่อครู่ แต่พอน้องชะเอมอาสาจะช่วยหา ผมกลับรีบปฏิเสธเพราะอันที่จริงผมไม่ได้ทำอะไรหาย เพียงแต่ผมอยากจะเปิดโอกาสให้จันทร์ได้ใช้เวลาอันมีค่าพูดคุยหรืออธิบายอะไรก็ตามที่ตนเองอยากทำ
แต่จนแล้วจนรอดจันทร์ก็ยังเอาแต่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง
ผมจึงตัดสินใจไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เพราะบางทีจันทร์อาจจะยังไม่พร้อมที่ไว้ใจผมเหมือนแต่ก่อน
 
“พี่เจอแล้วล่ะ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ” ผมเดินตรงไปยังด้านหลังของโซฟา จากนั้นก็ทำเป็นก้มลงเก็บอะไรสักอย่าง แต่อันที่จริงผมกำลังหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ชูให้อีกฝ่ายเห็นว่าภารกิจในการหาของสิ้นสุดลงแล้ว
“พี่ภัทร” กระทั่งผมทำท่าจะเปิดประตูออกไปจากห้องนันทนาการ จันทร์ก็รีบวิ่งเข้ามาคว้าข้อมือของผมไว้

“หืม ?” ผมหันมาหาอีกฝ่าย พลางส่งเสียงถามในลำคอด้วยท่าทีสงบนิ่ง หากแต่ความจริงในใจกำลังกู่ร้องอย่างมีความสุขมากถึงมากที่สุด
“จันทร์..”

“คือว่า.. จันทร์เชื่อใจพี่ภัทรนะครับ”
“…”

“จันทร์อยากอธิบาย แต่ว่าพี่ภัทรรอฟังจันทร์อธิบายคืนนี้ได้ไหมครับ จันทร์ต้องกลับไปเรียบเรียงความทรงจำที่มันกระจัดกระจายของจันทร์ก่อน เพราะจันทร์รู้สึกเหมือนกับว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่จันทร์กำลังหลับ จันทร์ก็เลยยังสับสนและไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“อื้ม ได้สิ” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มกว้างขณะที่ขอบตาก็เริ่มจะร้อนผ่าว เพราะผมดีใจมากที่จันทร์ไม่ใช่แค่เลือกจะเชื่อใจผมอีกครั้ง แต่เขากลับคิดจะอธิบายให้ผมเข้าใจถึงเหตุการณ์อันเป็นชนวนที่ทำให้เจ้าตัวเลือกจะทำร้ายร่างกายของตัวเอง แต่กลับไม่สำเร็จ เพราะท้ายที่สุดเขาดันหลับใหลไปเสียก่อน กระทั่งตื่นขึ้นมาพบเจอกับความเป็นจริง จันทร์ก็ยังดึงดันจะปิดกั้นตัวเองออกจากโลกปัจจุบันที่แสนโหดร้าย

“จริงเหรอครับ ? พี่ภัทรจะรอฟังคำอธิบายของจันทร์จริงๆ ใช่ไหม ?” จันทร์ขยับเข้ามากอดผมไว้ ทำเอาผมตกใจไม่น้อย เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาส่วนตัว แต่เพราะจันทร์กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
คล้ายกับเขากำลังหวาดกลัว..
ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะกลายเป็นเพียงความฝัน.. ที่ไม่มีวันเป็นจริง

“พี่จะรอ นานแค่ไหนพี่ก็รอฟังสิ่งที่จันทร์อยากจะอธิบายได้” ผมกอดตอบอีกฝ่ายพลางลูบศีรษะของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่สูงเพียงแค่ระดับอก
“ขอบคุณครับ” จันทร์กล่าวพลางโอบกอดรอบตัวผมให้แน่นขึ้น

“แต่ว่าตอนนี้ พี่คงต้องรีบไปทำงานต่อแล้วล่ะ ยังไงก็รอเจอกันตอนเย็นนะจันทร์” ผมดันตัวอีกฝ่ายออกพลางยีศีรษะของคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากใครคนนั้นได้เป็นอย่างดี
แม้ว่ารอยยิ้มดังกล่าว ยังไม่อาจเปล่งประกายเหมือนช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันที่บ้านกลางป่าสน
แต่ก็ถือว่ารอยยิ้มที่ผมเห็นในตอนนี้ เป็นรอยยิ้มแรกที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง


゚゚❀゚゚

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนที่แล้วคุณพีได้คะแนนความชมชอบของคนอ่านไปเยอะเลย ตอนนี้เอาน้องจันทร์มาทวงคืนแล้ว ฮรืออ อย่าลืมน้อง กลับมาพายเรือน้องก่อน 555 สำหรับวิธีการบำบัดแบบนี้ เราเอามาจากในหนังสือเคสของคุณบิลลีนะคะ เพราะว่าอัตลักษณ์หนึ่งของคุณบิลลี กลัวผู้ชายค่ะ นักจิตก็เลยให้ผู้ชายเป็นคนพาเขาเดินไปตามเส้นทางวิบาก ส่วนน้องจันทร์เราให้พี่หมอ เพราะว่าพี่หมอคือคนที่น้องหยิบเอาความไว้ใจทั้งหมดคืนกลับไปเป็นคนล่าสุด ส่วนเรื่องราวในอดีตก็เริ่มจะเปิดเผยออกมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่อีกเยอะ แต่ที่แน่ๆ คือ น้องจันทร์ออกแนวเป็นเด็กอัจฉริยะหน่อยๆ ซึ่งความอัจฉริยะนั้นมันทำให้น้องสามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตแบบก้าวกระโดดได้ แต่ถึงอย่างนั้นความไร้เดียงสาก็ยังคงอยู่ เพราะว่าความทรงจำและความเชื่อของน้องมันมีติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก หรือบางทีมันอาจจะมีมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะจะเห็นได้ว่าน้องฟังเข้าใจและรู้เรื่องตั้งแต่เด็ก และจากนั้นน้องก็เริ่มหาวิธีรับมือเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเจ็บปวด เพียงแต่มันเป็นวิธีที่เด็กในช่วงอายุขนาดนั้น ไม่มีทางรู้ว่ามันคือความไม่ปกติ ซึ่งตรงสาเหตุที่เราเขียนว่าทำไมน้องถึงเข้าใจว่าการหายตัวได้มันคือเรื่องปกติ ตรงนี้เราปรับให้มันตรงกับเคสของคุณบิลลี่เลยค่ะ เพราะเขาก็สร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน
ปล. เราอาจจะใช้เวลาเขียนนานหน่อยนะคะ เพราะว่าเราย้ายมาอยู่อีกบ้านนึง แล้วมันคงแปลกที่มั้งคะ เลยเขียนได้ทีละนิดละหน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:42:50 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 30

คืนวานนี้นัดหมายของผมกับจันทร์มีอันต้องยกเลิกไป เนื่องจากอัตลักษณ์ที่ออกมาใช้ชีวิตในช่วงเย็นคือคุณพีรวัตร ขณะที่ช่วงเช้าคนที่มีสิทธิ์ในการควบคุมจิตวิญญาณก็ยังเป็นคุณนักเขียน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ที่อาจจะทำให้อีกด้านหนึ่งของจันทร์ต้องรู้สึกไม่ดี
แม้ว่าในความเป็นจริง..
ผมยังอยากให้ช่วงเวลาของการนัดหมาย เป็นช่วงเวลาของผมกับจันทร์ก็ตามที

สำหรับกิจกรรมของจันทร์ที่อัตลักษณ์ผู้ควบคุมจิตวิญญาณต้องทำในวันนี้คือการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผู้ป่วยทุกรายจะต้องเข้าร่วมในช่วงเช้าตรู่ของทุกวัน จากนั้นประมาณช่วงสายก็จะมีการวัดไอคิวของทุกๆ อัตลักษณ์ โดยเราจะต้องขอความร่วมมือจากคุณพีรวัตร พอสิบเอ็ดโมงก็จะเป็นช่วงเวลาของการเข้าร่วมกิจกรรมดนตรีบำบัด แต่ถ้าหากมีอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมาใช้ชีวิต ช่วงบ่ายก็อาจจะเพิ่มคาบจิตวิทยาการปรึกษาเข้าไปด้วย
ซึ่งแผนการต่อไปของเราก็คือ..
การสัมภาษณ์ทางจิตวิทยากับน้องลียากรผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เพศหญิงเพียงหนึ่งเดียว

ส่วนสาเหตุที่เราเจาะจงเลือกอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ เพราะเธอน่าจะเป็นผู้กุมความลับทั้งหมด นอกจากนี้จันทร์ยังมีด้านความเป็นผู้หญิงแอบแฝงอยู่ ซึ่งด้านที่ว่าก็คืออารมณ์ความรู้สึกอันอ่อนไหว
ดังนั้นหากเราสามารถนำอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ได้..
ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นผลดีสำหรับทุกฝ่าย

กระทั่งเวลาสิบเอ็ดโมงตรงมาเยือน ผลของการวัดไอคิวก็เดินทางมาถึง รายชื่อของแต่ละอัตลักษณ์ที่เรียงรายกันเป็นแถวแนวตั้ง จำนวนสามรายชื่อทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นไปกับข้อมูลใหม่ๆ ที่เราอาจจะได้ทราบในวันนี้
เพราะอัตลักษณ์ที่เราคาดหวังปรากฏตัวออกมาแล้ว

โดยการวัดระดับไอคิวจะแบ่งแยกย่อยออกเป็น 3 ประเภท คือไอคิวด้านภาษา ไอคิวด้านปฏิบัติ และไอคิวรวม ซึ่งการวัดไอคิวจะต้องใช้การทดสอบความรู้ความสามารถในทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ การใช้ภาษา ความคิดเชิงตรรกะ การมองเห็น การจัดหมวดหมู่ ความจำความรู้ทั่วไป และความรวดเร็วในการคำนวณ ซึ่งอัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์และคุณพีรวัตร ไอคิวจะอยู่ในระดับอัจฉริยะ ส่วนน้องลีจะอยู่ในระดับเหนือค่าเฉลี่ย
ดังนั้นการคิดและการตัดสินใจของแต่ละอัตลักษณ์จึงมีความแตกต่างกัน

อย่างคุณพีรวัตรมีการคิดวิเคราะห์จนกระทั่งทราบว่าตนเองเป็นโรค DID จากนั้นก็เกิดการต่อต้านและยอมรับในเวลาต่อมา ขณะที่อัตลักษณ์ของน้องลี ดูเหมือนเธอจะทราบมาสักพักหนึ่งแล้วว่าตนเองเองเกิดมาเพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพี่ชายฝาแฝด เพียงแต่เธออาจจะยังไม่ทราบข้อมูลอย่างลึกซึ้งเท่ากับคุณนักเขียน ส่วนอัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์มีความสามารถในการปรับตัว อีกทั้งยังรู้จักคิดวิเคราะห์จนล่วงรู้ว่าตนเองมีอะไรบางอย่างที่แปลกแยกไป ซึ่งหมายรวมถึงการรู้จักรับมือกับปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวอายุแค่เพียง 3 ขวบกว่า
ดังนั้น.. ผลการวัดไอคิวของแต่ละอัตลักษณ์
ก็ไม่ได้คัดค้านสายตาแต่อย่างใด

ช่วงเย็นหลังจากผมเคลียร์งานของตัวเองเสร็จ ไฟล์บันทึกการรักษาก็เดินทางมาถึง ทันทีที่ผมเปิดไฟล์ดังกล่าว พบว่าภายในห้องสี่เหลี่ยมอันอบอุ่นมีร่างของคุณนักเขียนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ

“สวัสดีครับคุณพีรวัตร ผมขอบันทึกไฟล์วีดิโอเหมือนเดิมนะ” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางยกยิ้ม
“สวัสดีครับหมอ ส่วนเรื่องนั้นถ้ามันเกิดประโยชน์ ผมก็ไม่มีปัญหาหรอก” คุณนักเขียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยักไหล่เพียงเล็กน้อยบ่งบอกถึงการอนุญาตกลายๆ

“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ?”
“ก็ดีครับ คงเป็นเพราะกรไม่ได้ออกมาสร้างเรื่องเหมือนแต่ก่อน” คุณนักเขียนกล่าวพลางขยับเปลี่ยนท่านั่งเป็นการไขว้ขาด้วยท่าทีอันแสนดูดีและสง่างาม

“ถึงเขาจะสร้างความวุ่นวายมากก็จริง แต่ผมว่าเขาก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ”
“อันที่จริงผมก็เห็นด้วยกับหมอนะครับ ผมถึงสั่งให้เขาหลับไปซะและไม่ต้องออกมายืนตรงกลางเวทีเหมือนเดิมอีก”

“กลางเวที ? คุณหมายถึงยังไงเหรอครับ ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยถามด้วยความสนใจ ซึ่งก็ตรงกับความอยากรู้อยากเห็นของผมพอดี เพราะคำว่า ‘กลางเวที’ มันหมายถึงอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่มีวันเข้าใจ
“ผมหมายถึงการออกมาใช้ชีวิตก็เหมือนกับการยืนอยู่บนเวที ส่วนคนอื่นๆ ในครอบครัว อาจจะนั่งดูเราบ้าง หรือบางคนก็อาจจะทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจบ้าง ส่วนคนที่ถูกสั่งห้ามก็อาจจะกำลังนั่งอยู่ในมุมมืดที่ห่างไกลจากเวทีที่ผมกำลังยืนอยู่”

“ถ้าหากตอนนี้ผมอยากจะขอความร่วมมือจากคุณ เพื่อให้ใครสักคนมีโอกาสออกไปยืนอยู่ตรงกลางเวทีสักครู่หนึ่ง จะได้ไหมครับ?”
“ก็ได้นะครับ ถ้าเพื่อการรักษาผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“โอเคครับ เอาเป็นว่าเราตกลงกันตามนี้นะ แต่ผมยังมีอะไรอยากจะสอบถามคุณสักหน่อย”
“อะไรเหรอครับ ?” คุณนักเขียนเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง พลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับต้องการจะตั้งคำถามผ่านภาษากาย

“เมื่อครู่คุณพูดในทำนองว่าคุณสั่งให้กรหลับไปแล้ว แต่เท่าที่ผมจำได้คุณเคยบอกว่ากรเป็นคนที่เข้มแข็งเลยทำให้คุณควบคุมเขาไม่ค่อยได้”
“ใช่ครับ เขาเป็นคนเข้มแข็งอย่างที่ผมบอกจริงๆ เพียงแต่เขาก็ยังมีด้านที่อ่อนแอซุกซ่อนอยู่ ฉะนั้นการควบคุมในช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอจึงเป็นเรื่องง่ายดายในทันที”

“เพราะอะไรคุณถึงตัดสินใจออกคำสั่งนี้อย่างเด็ดขาด เท่าที่ผมทราบการทำร้ายร่างกายตัวเองถือเป็นเรื่องปกติสำหรับกร”
“เพราะผมรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายมากกว่าทุกครั้ง”

“สัญญาณอันตราย ?”
“ใช่ครับ สัญญาณอันตรายเกิดจากระดับความรู้สึกอันว่างเปล่า เพราะการที่กรรับรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นจะยิ่งทำให้ความรู้สึกว่างเปล่าแผ่กระจายออกไปเรื่อยๆ ผมเลยคิดว่าหากปล่อยไว้ ชีวิตของพวกเราคงจบเห่กันหมด”

“…”
“หมอฟังแล้วอาจจะคิดว่าผมเห็นแก่ตัว แต่ในเมื่อผมยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในแบบของพีรวัตร ผมก็ยังอยากจะใช้มันต่อไป ฉะนั้นต่อให้ผมต้องคอยปกป้องทุกคนจนเหนื่อยล้า แต่ผลตอบแทนของการมีชีวิตก็ทำให้ผมรับรู้ถึงคำว่า ‘คุ้มค่า’ โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ทำให้ผมเข้าใจได้ดีกว่าช่วงเวลาไหนๆ” จากคำพูดและแววตาอันเป็นประกายของคุณพีรวัตร ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่า ‘เขาชอบผม’ ให้ชัดเจนขึ้น
ซึ่งทางออกของผมคงจะมีแค่ ‘ทำเป็นเสแสร้งไม่รับรู้’ เรื่องราวใดๆ
แม้อันที่จริงผมจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีก็ตาม

“ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจคุณนะ”
“เอาล่ะครับ ผมว่าเรามาคุยเรื่องที่หมอต้องการกันดีกว่า” คุณนักเขียนกล่าวพลางยักไหล่ คล้ายกับเรื่องที่เขากำลังพูดมันเริ่มจะออกทะเลไปไกลแล้ว

“อ่า.. ครับ คือผมอยากจะทำความรู้จักกับคุณลียากร เพราะดูเหมือนเธอจะเก็บงำความลับไว้มากที่สุดและเธอยังเป็นน้องสาวฝาแฝดของคุณเพียงจันทร์ด้วย ผมเลยคิดว่าเราควรจะต้องทำความรู้จักกันไว้”
“ครับ เดี๋ยวผมจะลองคุยให้แล้วกัน” คุณพีรวัตรเอ่ยตอบรับเพียงครู่จากนั้นดวงตาของเขาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ ขณะที่ริมฝีปากคู่นั้นก็เริ่มจะขยับเพียงเบาๆ คล้ายกำลังเจรจาต่อรองกับอีกอัตลักษณ์หนึ่งตามคำขอของด็อกเตอร์
เท่ากับว่าการสื่อสารของแต่ละอัตลักษณ์
สามารถพูดในใจและพูดแบบปกติได้จริงๆ เพียงแต่เราจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง

“คุณหมอสวัสดีค่ะ” คุณนักเขียนใช้เวลาในการเจรจาเพียงไม่นาน หลังจากนั้นอัตลักษณ์ของน้องลียากรก็ได้รับโอกาสให้ออกมาใช้ชีวิต เธอจึงทักทายด็อกเตอร์เสียงใส
“สวัสดีครับ หนูชื่อลียากรใช่ไหม ?” ด็อกเตอร์ถามย้ำ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเองและอีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้กล้องวีดิโอบันทึกข้อมูลในช่วงเวลาที่มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์

“ใช่ค่ะ คุณหมอมีอะไรจะคุยกับหนูเหรอคะ ?” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย ขณะที่ดวงตาของเธอก็มองไปรอบๆ ห้องราวกับสำรวจตรวจตรา ซึ่งการกระทำนั้นก็ไม่ต่างกับตอนที่อัตลักษณ์อื่นๆ ออกมาใช้ชีวิต
“หมอได้ยินมาว่าหนูเป็นน้องสาวฝาแฝดของคุณเพียงจันทร์ก็เลยอยากจะทำความรู้จักกับหนูสักหน่อย”

“อ๋อค่ะ ว่าแต่การทำแบบนี้ จะช่วยพี่จันทร์ได้จริงๆ ใช่ไหมคะ?” น้องลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะเธอยังมองไม่ออกว่าการพูดคุยจะช่วยให้พี่ชายของเธออาการดีขึ้นได้อย่างไร
“ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกันจะต้องช่วยพี่จันทร์ได้แน่ๆ” ด็อกเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะกำลังเจรจากับอัตลักษณ์ของเด็กสาววัย 15 ปี

“แต่ว่าข้างในนี้ยังมีพวก ‘นอกคอก’ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพี่พีอยู่นะคะ” น้องลีกล่าวพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเพื่อบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า ณ ตอนนี้ เธอเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว
“เพราะแบบนี้ไงครับ พวกเราถึงต้องร่วมมือกัน คือหมอหมายถึงหนูกับคุณพีจะต้องคอยเจรจากับพวก ‘นอกคอก’ ให้เข้าใจว่าการรักษาที่เรากำลังทำอยู่ ไม่ใช่เพื่อการกำจัด แต่เพื่อการหลอมรวมทุกๆ คนเข้าด้วยกัน”

“พี่พีเคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้วค่ะ”
“แล้วหนูเข้าใจสิ่งที่พี่พีพยายามจะอธิบายหรือเปล่าครับ ?” จิตแพทย์ชื่อดังเอ่ยถามเพื่อเช็คความเข้าใจของอีกฝ่ายว่ามันถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่

“สำหรับหนูเข้าใจนะคะ พี่พีอธิบายไว้ว่าพวกเราก็เหมือนกับผลไม้คนละชนิด พอเทชิ้นส่วนแต่ละชิ้นลงในโถเครื่องปั่น หลังจากกดปุ่มสตาร์ทก็จะหลอมรวมกลายเป็นหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้นหมอขอเพิ่มเติมอีกนิด เพราะหลังจากหลอมรวมแล้วความสามารถที่เป็นจุดเด่นของทุกคนจะยังคงอยู่” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ยามต้องให้ข้อมูลที่ผ่านการปรึกษากับด็อกเตอร์ธีรชัยผู้ซึ่งเคยรับมือกับผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์มาก่อน

“คุณหมอหมายถึง ถ้าหนูชอบเล่นดนตรีหรือร้องเพลง พี่จันทร์ก็จะทำแบบนั้นได้ เพราะยังมีหนูอยู่ข้างๆ ใช่ไหมคะ ?” เด็กสาวภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีการตกแต่งสไตล์อบอุ่นเอ่ยถามด้วยท่าทีกระตือรือร้น ไม่ต่างกับช่วงเวลาที่เธอชอบหนีออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ในยามค่ำคืน
“ก็ประมาณนั้นครับ เพราะน้ำผลไม้ที่อยู่ในโถเครื่องปั่นจะเป็นน้ำผลไม้ที่สมบูรณ์แบบ” คำกล่าวเปรียบเปรยของด็อกเตอร์ทำให้ผมเข้าใจได้ไม่ยากว่า ‘ความสมบูรณ์แบบ’ หมายรวมไปถึงเรื่องอะไร
ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องหนีไม่พ้นเรื่อง..
‘ความทรงจำ’ ของทุกๆ อัตลักษณ์ที่ค่อยๆ หลอมรวมจนเรียงร้อยเป็นไทม์ไลน์ในแต่ละช่วงเวลาอย่างแม่นยำ

“หนูพอจะจำได้ไหม ช่วงเวลาไหนที่ความทรงจำมันเริ่มขาดๆ หายๆ”
“ตอนที่หนูอายุ 4 ขวบค่ะ ช่วงนั้นมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น” น้องลีกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ผมเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาผมแอบวิเคราะห์คลาดเคลื่อนเล็กน้อย เพราะความคาบเกี่ยวของการรับมือกับอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ ที่เคยออกมาสร้างเรื่องตั้งแต่ตอนที่จันทร์อายุได้เพียง 3 ขวบกว่า

“เรื่องน่าปวดหัวที่หนูพูดถึงมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ ?”
“วันแรกที่หนูตื่นขึ้นมา หนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงเอาแต่เรียกหนูด้วยชื่อของพี่จันทร์ แต่ตอนนั้นหนูคิดเอาเองว่ามันคงจะเป็นเพราะเราสองคนหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก”

“นึกๆ ดูแล้วก็ตลกดีนะคะหมอ ตอนนั้นหนูถึงกับเดินไปที่ห้องเรียนของตัวเอง ปรากฏว่าคุณครูประจำชั้นกลับพามาส่งที่ห้องเรียนของพี่จันทร์ แต่หนูก็ยังไม่รู้อยู่ดีค่ะว่าจริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่แบบที่หนูคิด ตอนนั้นหนูยังปักใจเชื่อว่าทุกคนแกล้งอำหนูอยู่เลย แล้วด้วยความนึกสนุกหนูก็ถือโอกาสปลอมตัวเป็นพี่จันทร์เสียเลย”
“แล้วตอนนั้นหนูไม่สงสัยบ้างเหรอว่าพี่จันทร์หายไปไหน ?”

“หนูไม่ทันคิดจริงๆ ค่ะ เพราะทุกครั้งที่หนูตื่นขึ้นมา หนูจะแต่งตัวแบบผู้ชาย หนูก็เลยคิดว่าพี่จันทร์คงจะแกล้งมาเปลี่ยนตอนที่หนูกำลังหลับ หนูเลยไม่ทันคิดว่าที่จริงแล้วหนูเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพี่จันทร์”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหนูไม่ค่อยได้แต่งตัวเป็นผู้หญิงถูกไหม เพราะไม่อย่างนั้นคงจะปลอมตัวไม่ได้”

“ใช่ค่ะ ถ้าอยู่ข้างนอกหนูจะปลอมตัวให้แนบเนียน แต่ถ้าอยู่ที่บ้านหนูจะแต่งตัวเป็นผู้หญิง”
“แล้วตอนนั้นคนที่บ้านของหนูเคยสงสัยบ้างหรือเปล่า ?”

“ไม่นะคะ เพราะหนูแอบเอาเสื้อของน้าเข็มไปใส่เดินเล่นที่สวนเก๊กฮวยตอนกลางคืน” คำตอบของน้องลีทำให้ผมแปลความหมายได้ว่าช่วงนั้นจันทร์น่าจะย้ายไปอยู่ที่บ้านของป้าเข็มแล้ว ซึ่งปฏิกิริยาของเธอในขณะที่ถูกถามถึงคนที่บ้าน ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเพราะเธอดูส่อแววพิรุธบางอย่างที่ทำให้ผมมั่นใจว่า..
เมื่อครั้งอดีตคงจะเคยเกิดเรื่องราวเลวร้ายกับจันทร์อย่างแน่นอน
และเรื่องราวที่ว่าก็น่าจะเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศตามที่ผมเคยสันนิษฐานไว้

“มันคงจะน่าขำใช่ไหมคะหมอที่สถานการณ์ก็ชัดเจนมากมายขนาดนั้น แต่หนูก็ยังเชื่อว่าหนูคือหนู ไม่ใช่พี่จันทร์ตามที่ใครๆ เรียก ขนาดว่าผมของหนูในตอนนั้นเหมือนกับตอนนี้ หนูยังมองข้ามไปได้เลยค่ะ หนูนี่ซื่อบื้อจริงๆ”
“หมอเข้าใจหนูนะ เพราะโรคนี้เป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากและต้องอาศัยการสังเกตจากคนรอบข้าง”

“ก็จริงค่ะ เพราะถ้าหากหนูไม่เกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการบ้าน แล้วก็เรื่องที่หนูถูกเรียกเข้าห้องปกครอง หนูก็คงจะไม่ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ทำไมการบ้านและการถูกเรียกเข้าห้องปกครองถึงทำให้หนูย้อนกลับมาคิดว่าตัวหนูมีอะไรบางอย่างที่มันแปลกแยกไปจากคนอื่น ?” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้เขาพอจะทราบข้อมูลที่ผมเคยส่งไปให้แล้วก็ตาม

“อันที่จริงเรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่หนูตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตแล้วค่ะ และสาเหตุทั้งหมดก็เป็นฝีมือของคนที่ชื่อจิม”
“แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากเขา ?”

“การบ้านครั้งล่าสุดของพี่จันทร์ค่ะ มันถูกเขียนชื่อว่าจิม”
“ถ้าอย่างนั้นสาเหตุของความวุ่นวายจนถึงขนาดต้องเข้าห้องปกครองมันคืออะไรกันล่ะ ?” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงยังคงเอ่ยถามต่อไปจนผมเริ่มรู้สึกว่าเราค่อยๆ เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกทีแล้ว

“เขาต่อยเพื่อนร่วมชั้นจนต้องเย็บหลายเข็ม แถมพ่อกับแม่ของคู่กรณีก็ไม่ยอมความด้วย หนูเลยถูกหักคะแนนความประพฤติแถมยังถูกตีตั้งหลายที เพราะหนูยังมีข้อหาแอบเอาหินปากระจกที่โรงเรียนแตกไปหลายบาน หนูก็งงสิคะ หนูเลยไม่ยอมรับ เพราะหนูไม่ได้ทำจริงๆ แต่พอพวกเขาเอากล้องวงจรปิดมาให้หนูดู หนูเลยเถียงไม่ออก แถมยังถูกต่อว่าอีกต่างหาก”
“พวกเขาต่อว่าหนูยังไงเหรอ ?”

“เด็กขี้โกหกค่ะ แต่หนูไม่ได้โกหกเสียหน่อย”
“หมอเชื่อหนูนะ แต่หมอกำลังสงสัยว่าทำไมตอนนั้นหนูถึงไม่คิดว่าคนที่อยู่ในกล้องวงจรปิดคือพี่จันทร์”

“เพราะพี่จันทร์ของหนูเป็นคนอ่อนโยนแล้วก็เรียบร้อยมากๆ ค่ะ หนูเลยคิดว่าพี่จันทร์ไม่มีทางทำอะไรที่มันสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นหนูไม่สงสัยบ้างเหรอ ทำไมจิมถึงมีหน้าตาเหมือนกับพี่จันทร์ ?”

“เพราะหนูเริ่มสงสัยตรงนี้นี่แหละค่ะ หนูก็เลยเข้าใจว่าหนูกับพี่จันทร์แล้วก็จิมอาจจะอาศัยร่างกายนี้ร่วมกัน”
“แล้วการค้นพบความลับในครั้งนี้ ทำให้หนูตกใจหรือว่ากลัวบ้างหรือเปล่า ?”

“ไม่นะคะ คงเพราะตอนนั้นหนูยังงงๆ มากกว่า และความทรงจำของหนูก็มีแค่พี่จันทร์ที่เป็นพี่ชายของหนูเท่านั้น เลยทำให้หนูเข้าใจว่าหนูกับจิมคงจะเกิดมาเพื่อพี่จันทร์”
“ทำไมตอนนั้นหนูถึงแบบนั้นล่ะ ?”

“เพราะว่าพ่อกับแม่ของพี่จันทร์เสียไปหมดแล้วค่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าพวกท่านเสียเพราะอะไร” คำตอบของน้องลีทำให้ผมเริ่มหนักใจมากขึ้น เพราะมันเท่ากับว่าเราจะต้องพยายามปลุกอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ ให้ออกมาใช้ชีวิต
เพื่อที่เราจะได้ค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น..
จนมันกลายเป็นภาพที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์

“แล้วเหตุการณ์น่าปวดหัวที่เกิดขึ้นกับหนูมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามด้วยคำถามที่อาจจะช่วยให้เราควานหาจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆ ต่อไปได้
“หลังจากวันที่หนูถูกทำโทษก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก หนูก็เลยไม่ค่อยแน่ใจกับข้อสังเกตของหนูเท่าไหร่ แต่พอนานวันเข้าหนูก็เลิกสนใจและใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติค่ะ เพียงแต่หนูจะต้องปลอมตัวเป็นพี่จันทร์ต่อไป เพราะว่าพี่จันทร์ต้องการหนู” คำตอบอันฉะฉานของน้องลีทำให้ผมเข้าใจเพิ่มอีกว่าเธอยอมรับความเป็นจริงมาได้ตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้นคงเพราะช่วงเวลานั้นลียังเด็กมากก็เลยยังไม่ค่อยเข้าใจว่าการที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของจันทร์หมายความว่าอย่างไร ด้วยความที่ลียอมรับสถานะนั้นมานานแล้ว จึงทำให้เธอค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเป็น จนกระทั่งได้คำตอบแล้วว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งใด

“หนูคิดว่าพี่จันทร์ต้องการหนูเพราะอะไร ?”
“เพราะพี่จันทร์กำลังเจ็บปวดที่ทุกคนจากไปค่ะ หนูก็เลยต้องเกิดมาเพื่อพี่จันทร์”


-อ่านต่อหน้า 3-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:50:47 โดย Chomin »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด