พิมพ์หน้านี้ - εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Chomin ที่ 25-01-2018 00:38:50

หัวข้อ: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-01-2018 00:38:50
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

εїз ในป่าสน εїз
-chomin-

คำเตือน!
status : Mystery & Warmth

゚゚❀゚゚

ที่ป่าสนแห่งนั้น..
ผมรู้สึกเหมือนกับว่า..
มันยังมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนาซุกซ่อนอยู่..

ร่วมติด Hashtag : #ที่ป่าสน ในทวิตได้นะคะ

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥
(เรื่องยาว) Fall in you (End)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.0)
(เรื่องยาว) Again and again (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67182.0)
(เรื่องสั้น) บันทึกรักนักเดินทาง (End)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65492.0)
(เรื่องสั้น) Cloud9 Diary (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68572.0)
(เรื่องยาว) มหาบุรุษแห่งครีตัน (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69870.0)
(เรื่องยาว) ความลับของช่างตัดเสื้อ ✁ BDSM (Onair)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71181.0)
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз บทนำ + ตอน 1 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-01-2018 00:45:10
εїз ในป่าสน εїз
บทนำ

“นี่มันทางเข้าบ้านของเพื่อนมึงแน่เหรอวะไอ้บาส?” ผมเอ่ยถามญาติผู้น้องที่อายุห่างกันถึง 4 ปีเต็มด้วยความไม่แน่ใจ ว่ามันพาผมมาถูกทางหรือเปล่า เพราะจากสถานการณ์ในตอนนี้ เราทั้งคู่กำลังอยู่บนเส้นทางรถที่มีอยู่เส้นทางเดียว อีกทั้งตลอดสองข้างทางก็ยังขนาบไปด้วยทิวสนอันหนาทึบจนแสงแดดแทบจะไม่สาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง
หากแต่ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็ยังชูช่ออย่างเริงร่า
ส่งผลให้รอบๆ บริเวณป่าสนกลับกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาดอย่างงดงาม

“แน่ดิพี่ภัทร เนี่ย! ผมขับตามที่จีพีเอสบอกเลย”
“ไอ้น้องเวร! จีพีเอสนี่แหละตัวดี เวลากูเข้ากรุงเทพแต่ละที แม่งพากูหลงฉิบหายวายวอด” ผมสบถพลางมองสองข้างทางอย่างหวาดระแวง เพราะมันมีแต่ป่ากับป่าทั้งนั้น แถมเส้นทางรถยังเป็นดินโคลนอีกต่างหาก แต่ดีหน่อยที่วันนี้ไอ้บาสเอารถฟอร์จูนเนอร์คันใหม่ออกมาใช้
ไม่อย่างนั้นล่ะก็.. ล้อรถได้ติดหล่มกันพอดี

“ทางเข้าบ้านของเพื่อนมึงนี่แม่งพิลึกเหี้ยๆ จนตอนนี้กูเริ่มจะสับสนแล้วว่าเรากำลังหลงทาง หรือว่าเพื่อนของมึงเป็นคนลึกลับกันแน่” ผมเอ่ยพลางส่ายหน้า ก่อนจะหันไปสำรวจรอบๆ ทิศทางอีกครั้ง

“อ้าว! พี่ภัทรก็เคยเจอมันที่โรงพยาบาลมาแล้วนี่ เป็นไงล่ะ? แปลกไหม?” ไอ้บาสเริ่มยอกย้อน ผมก็เลยต้องแพ่นกบาลมันสักที
“พี่นี่หัวรุนแรงตั้งแต่เล็กจนแก่จริงๆ วุ้ย” ทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ หัวคิ้วของผมก็เริ่มกระตุก ส่วนมือนี่ยกขึ้นเตรียมจะแพ่นกบาลมันอีกรอบ
ห่าเอ้ย! กูเพิ่งจะอายุ 30 เมื่อต้นเดือนนี้เอง เสือกมาเหน็บแนมกู!

“ถึงกูจะ 30 แต่เวลาที่กูไปไหนมาไหนกับมึง ใครๆ เขาก็คิดว่ากูอายุเท่ามึงกันทั้งนั้นแหละเว้ย” ผมกล่าวพลางยักคิ้วใส่ไอ้ญาติผู้น้องที่กำลังหันมาทำปากเบะ จนผมนี่อยากจะต่อยแม่งให้เลือดกบปากสักที
จะได้เลิกกวนตีน!

“ว่าแต่ทำไมมันไกลจังวะพี่ภัทร หรือเรากำลังหลงทางจริงๆ ?”
“มึงก็โทรถามเพื่อนมึงดิ”

“ขอโทษที ผมไม่มีเบอร์มันว่ะ”

โว๊ะ! ไอ้น้องห่านี่! เจริญจริงๆ แต่ผมก็บ่นอะไรมากไม่ได้ เพราะผมเองก็พอจะเข้าใจมันอยู่หรอก ว่าคนไข้รายนี้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่บังเอิญไปเจอกันในตลาด เนื่องจากคุณชลวิทย์เป็นพ่อค้าขายผักเจ้าประจำที่แม่ของมันชอบใช้ให้ไปซื้อ แล้วก็บังเอิญตรงที่ พ่อค้าคนดังกล่าว ดันเกิดอาการแพนิคขึ้นกลางตลาด ไอ้บาสก็เลยเข้าไปช่วยไว้ ซึ่งพออีกฝ่ายเริ่มห่างหายจากอาการเหล่านั้น ไอ้ญาติผู้น้องก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการพาคุณชลวิทย์ไปโรงพยาบาล และมันก็บังเอิญว่าในตอนนั้นเป็นเวรของผมเข้าพอดี จึงได้ทำการตรวจวินิจฉัยจนพบว่า คุณชลวิทย์เป็นโรคแพนิคจริงๆ และสาเหตุก็มาจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านที่ไม่เพียงพอจนลุกลามไปถึงความคิดที่ว่าตนเองกำลังจะเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ เพราะอาการของเขากำเริบถึงสองครั้ง ก็คือที่ตลาดและที่โรงพยาบาล แถมอีกฝ่ายยังต้องทนอยู่กับอาการแบบนี้มาหลายอาทิตย์แล้ว เพียงแต่เขาคิดเอาเองว่า เดี๋ยวมันก็หายไป เลยไม่ยอมมาหาหมอ จนกระทั่งอาการมันเริ่มจะหนักข้อขึ้น เขาถึงได้ยอมเดินทางมายังโรงพยาบาลกับไอ้บาสแต่โดยดี

ซึ่งคุณชลวิทย์ได้บอกกับผมว่า ตอนนั้นเขาใจสั่น แถมยังหายใจไม่ออก จนรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังจะตายเสียให้ได้ แถมมือและเท้าก็ยังชาไปหมด แล้วเขาก็เอาแต่พร่ำบอกว่า เขายังไม่อยากตาย เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว และยังมีน้องที่ต้องคอยดูแลอีกหนึ่งคน

วันนั้นผมจึงต้องอธิบายความรู้เกี่ยวกับตัวโรคให้เขาเข้าใจ และย้ำไปว่าเขาไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร และถ้าหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการเหล่านั้นก็จะทุเลาลงอย่างแน่นอน แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย จากนั้นผมก็สั่งยาโปรแซก ที่เป็นตัวยาแก้ซึมเศร้าให้ทานตลอดทั้งอาทิตย์ และต้องทานคู่กับตัวยาอัลปราโซแลม ที่เป็นยากล่อมประสาท พร้อมกับให้คุณชลวิทย์เข้ารับการทำจิตบำบัดกับไอ้บาส เช่นพวกการฝึกผ่อนคลาย แล้วก็จิตบำบัดที่เน้นการกดเก็บ เพื่อลดภาวะเครียด ความวิตกกังวล และยังให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เขาจะสามารถนำไปปรับใช้ในด้านของวิธีการคิดต่างๆ เพื่อที่เขาจะได้รับมือกับความเครียดและความกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงวิธีการฝึกหายใจก็ด้วย

แต่เพราะคนไข้รายนี้ เป็นคนไข้รายพิเศษจำพวกหาเช้ากินค่ำ บวกกับมีดีกรีเป็นถึงเพื่อนของไอ้ญาติผู้น้อง ทั้งหมอและนักจิตวิทยาจึงต้องเดินทางมาติดตามอาการและให้การรักษาถึงที่บ้าน ซึ่งเราจะมากันทุกวันศุกร์
เหตุเพราะเส้นทางมันไกลจากตัวเมืองมากพอสมควร

“บ้านก็ดูใหญ่โตดีนี่หว่า แถมยังมีรถตั้งคันนึงด้วย” ผมกล่าวพลางเปิดประตูลงจากรถ พร้อมกวาดสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยไม้ดอกเมืองหนาว ก่อนจะก้มตัวลงไปชื่นชมดอกไม้ที่กำลังชูช่ออวดสายตามาตั้งแต่ปากทางเข้าของบ้านหลังนี้
“สโนว์ดรอปส์เหรอ? ขึ้นในเมืองไทยได้ด้วยแฮะ” ผมอุทานกับตัวเองอย่างนึกแปลกใจ เพราะเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ เท่าที่ทราบมันเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่จะออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูหนาว

“พี่ภัทรรีบเข้ามาเร็วๆ มัวแต่ทำอะไรอยู่วะ” ผมหันไปตามเสียงเรียกของไอ้ญาติหน้าตี๋ สมกับฉายา ‘ตี๋บาส’ ที่เพื่อนทั้งกลุ่มและญาติพี่น้องชอบเรียก ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและก้าวเดินเข้าไปยังบ้านหลังขนาดกลางที่เน้นไปในโทนสีน้ำตาลอ่อนแทบทั้งหลังอย่างมั่นคง
“น้ำครับ” หลังจากเข้ามานั่งเมียงมองภายในบ้านของผู้ป่วยในความดูแลได้สักพักใหญ่ ผมก็หันกลับมาให้ความสนใจเด็กผู้ชายตัวสูงแค่อกที่กำลังเอาน้ำมาเสิร์ฟเพียงครู่ ถึงค่อยหันกลับไปให้ความสนใจต่อการคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเหมือนอย่างเคย ซึ่งการตกแต่งภายในบ้านหลังนี้ ออกแนวเรียบง่าย อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ก็ยังมีน้อยชิ้น แต่กลับเป็นชิ้นที่น่าแปลกใจ เพราะการมีโทรทัศน์และเครื่องปรับอากาศใช้ ทั้งๆ ที่ค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ มันก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อย
ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็ไม่ค่อยจะแปลกใจสักเท่าไหร่ ที่คนไข้จะเครียดจนมีอาการแพนิคมากมายขนาดนั้น

“เดี๋ยวผมไปเรียกพี่ชลมาให้นะครับ รอสักครู่..” ผมเหลือบไปมองเจ้าของบ้านอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นน้องชายที่เพื่อนของไอ้บาสต้องคอยดูแล พร้อมกับประเมินอายุของอีกฝ่ายเล่นๆ ในใจ ว่าคงจะอายุไม่เกิน 15 ปีแน่ๆ
เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย ยังดูเด็กๆ อยู่เลย

“พี่ชลเพื่อนมาหา!” เจ้าของบ้านตัวเล็กเปิดประตูด้านหลังที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณห้องรับแขกมากนัก ก่อนจะตะโกนเรียกพี่ชายของตัวเองจนเสียงดังลั่น
“เพื่อนพี่เหรอ? ใครน่ะจันทร์?” ไม่นานเสียงทุ้มของเจ้าของบ้านอีกคนก็ร้องตอบกลับมา

“จันทร์ไม่รู้ พี่ชลรีบเข้ามาเร็วๆ” ผมหลุดขำให้กับอาการยู่หน้าของเจ้าของบ้านตัวเล็กแค่เพียงครู่ ก่อนจะต้องรีบกลั้นยิ้มอย่างรวดเร็ว เพราะเวลานี้อีกฝ่ายกำลังวิ่งผ่านบริเวณโซนรับแขก เพื่อขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาแบบเปิดโล่ง และเท่าที่สังเกตดู บ้านขนาดกลางหลังนี้ เหมือนจะแบ่งสัดส่วนการใช้งานของสองพี่น้องเอาไว้อย่างชัดเจน โดยประตูห้องทางฝั่งขวามือ คงจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของ ‘คุณชลวิทย์’ ที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างหลังบ้าน และส่วนกลางของตัวบ้าน ก็คือบริเวณห้องรับแขกที่น่าจะใช้เป็นห้องทานอาหารด้วยแน่ๆ เพราะมีโต๊ะไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่วางตั้งอยู่บริเวณริมหน้าต่าง ส่วนฝั่งซ้ายมือข้างล่างของห้องใต้หลังคา ก็น่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าของบ้านตัวเล็ก และประตูตรงใต้บันไดที่เชื่อมไปยังห้องใต้หลังคาก็อาจจะเป็นห้องน้ำ
สรุปก็คือบ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่คิด
เพราะลักษณะของบ้านเป็นแบบแนวนอน และมีความกว้างเทียบเท่ากับห้องสแตนดาร์ดของโรงแรมดีๆ สักห้อง

゚゚❀゚゚

[edit 15/02/2018 แก้คำเกิน / edit 30/08/2018 รีไรท์สำนวนใหม่]
[edit 14/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

เรื่องนี้ไม่เชิงสปินออฟนะคะ แค่เป็นเรื่องของญาติผู้พี่ของพี่ตี๋บาสเพื่อนพี่เนย์จากฟอลอินยูเท่านั้นจ้า
เป็นแนวที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเลยในชีวิตนี้ 55 ลองติดตามกันต่อไปค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคแพนิค (https://medthai.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84/)
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз บทนำ + ตอน 1 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-01-2018 00:49:51
εїз ในป่าสน εїз
ตอน 1

“พี่ภัทร” ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะนั่งเล่นในสวน และหันมาให้ความสนใจกับผู้มาใหม่อย่างไอ้บาส ที่ในตอนนี้ได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว
“มีเรื่องอะไรวะ?” ผมเอ่ยถามพลางยกแก้วชาขึ้นจิบ พร้อมสังเกตสีหน้าของไอ้ญาติผู้น้องไปด้วย เพราะสีหน้าของมันในตอนนี้ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังมีเรื่องยุ่งยากใจเกิดขึ้น

“คืองี้พี่ เมื่อวานผมไปทำจิตบำบัดที่บ้านของไอ้ชลใช่ไหม แล้วบังเอิญวันนั้นฝนแม่งดันตก ผมก็เลยต้องนอนค้างที่บ้านหลังนั้น..” ไอ้บาสเล่าไปก็ขมวดคิ้วไป ผมจึงพยักหน้าเพื่อให้มันรีบพูดต่อ เพราะจู่ๆ มันก็ดันหยุดพูดขึ้นมาเสียดื้อๆ
“คือเราสองคนก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าครอบครัวนั้นเขามีกันแค่สองคนพี่น้อง..” ไอ้ญาติผู้น้องย้อนถามคล้ายกับต้องการจะตอกย้ำความเข้าใจของตัวเองอีกสักหน

“อืม” ผมตอบในลำคอพลางจิบชาคาโมมายล์ไปด้วย
“ใช่ไหมล่ะ แต่ทำไมเมื่อคืนผมถึงได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังฮัมเพลง แถมยังเดินตึงตังอยู่ในบ้านตอนกลางดึกได้วะ คือมันไม่ควรจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสิ เช้านี้ผมเลยถามทั้งสองคนว่าเมื่อคืนมีใครได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงบ้างไหม แต่พวกเขากลับตอบว่าไม่ว่ะพี่ คือแม่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ก็เธอเล่นฮัมเพลงเสียงดังจนผมสะดุ้งตื่นขนาดนั้น มันไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินจริงๆ นะเว้ยพี่ภัทร” ขณะที่ได้ฟังเรื่องราวจากไอ้ญาติผู้น้อง ผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“แปลก..” ผมอุทานออกมาเพียงเบาๆ เพราะจากคำบอกเล่าของไอ้บาส บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะใช่โจร เนื่องจากเธอกำลังฮัมเพลงอย่างสบายใจในขณะที่เจ้าของบ้านกำลังหลับใหล
“ใช่ไหมพี่ภัทร มันแปลกจริงๆ วันศุกร์นี้พี่ลองหาเรื่องไปนอนค้างที่นั่นดูสิ จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าผมหูฝาดหรือครอบครัวนั้นกำลังปิดบังอะไรบางอย่างกันแน่ เพราะผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้” ไอ้บาสมันเริ่มวางแผนพร้อมกับชักชวนให้ผมทำตามความต้องการของมัน เนื่องจากตั้งแต่อาทิตย์นี้เป็นต้นไป ผมกับไอ้บาสจะต้องแยกกันเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นคนละหนึ่งวัน
โดยไอ้บาสจะเป็นผู้บำบัด และผมจะเป็นผู้ติดตามความคืบหน้าพร้อมกับบำบัดด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

“ก็ได้วะ แต่แม่งวันเสาร์กูยังต้องทำงานอีก แล้วต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงวะนั่น” ผมรับปากพลางคำนวณคร่าวๆ ในใจ ว่าตัวเองจะต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่กี่โมง เพื่อให้วันรุ่งขึ้นมาทำงานได้ทันเวลา และสาเหตุที่ผมยอมตอบตกลง ก็เพราะผมคิดว่าบางทีผมอาจจะต้องผูกมิตรกับคุณชลวิทย์ให้มากกว่านี้ เพื่อที่เขาจะได้ไว้วางใจจนกระทั่งเปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆ ที่จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เขาเป็นกังวล เนื่องจากในครั้งแรกที่ผมเดินทางไปยังบ้านกลางป่ากลางเขาอย่างโดดเดี่ยว ก็สังเกตเห็นอะไรหลายๆ อย่าง เช่นว่า น้ำ ไฟ เข้าถึงยาก แถมระยะทางจากอำเภอฮอดมายังตัวเมืองเชียงใหม่ ก็ถือว่าไกลพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างต่ำสองชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าคุณชลวิทย์จะต้องใช้น้ำมันเยอะ เพราะอีกฝ่ายจะต้องขับรถไปยังตลาดในตัวเมืองตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน เหตุเพราะรายได้มันดีกว่าที่ตลาดในตัวอำเภอ

ดังนั้นก็เท่ากับว่าคุณชลวิทย์จะต้องคอยแบกรับภาระในเรื่องของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันสำหรับรถยนต์ส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ค่าน้ำอีกส่วนหนึ่ง ค่าไฟอีกส่วนหนึ่ง แล้วไหนจะค่ากินและค่าอื่นๆ อีก ฉะนั้นหากเขายังไม่สามารถปรับเปลี่ยนความคิดหรือหาวิธีรับมือกับความเครียดที่มีบ่อเกิดมาจากเรื่องดังกล่าวได้ อาการของเขาก็จะยังกำเริบต่อไป และครั้งล่าสุดเขาก็แจ้งกับไอ้บาสว่า ตอนที่กำลังขายผักอยู่ในตลาด อาการของเขายังคงกำเริบ ส่วนสาเหตุก็มาจากความหวาดกลัวที่มันฝังลึกอยู่ในจิตใจ ว่าถ้าหากเขามาขายของอาการแพนิคอันน่าหวาดกลัวนั่นก็จะกำเริบเหมือนอย่างวันนั้น จนทำให้ทุกวันนี้อาการแพนิคมักจะกำเริบเสียจนเขาแทบจะขายของไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไข้รายนี้เกิดอาการเครียดมากขึ้น แต่จากที่ได้พูดคุยกับไอ้บาส ทราบมาว่าเบื้องต้นมันได้สอนเทคนิคในการผ่อนคลาย เช่น การยืดเหยียดร่างกาย และการหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับแนะนำให้เพื่อนของมัน รู้จักการให้กำลังใจตัวเองในทางบวก
แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ก็คงต้องรอดูกันอีกทีในวันศุกร์ที่ใกล้จะถึงนี้

อีกทั้งก่อนหน้านี้ผมและไอ้บาสต่างก็เคยให้คำแนะนำไปแล้ว ว่าคุณชลวิทย์น่าจะลองลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อย่างเช่น โทรทัศน์และเครื่องปรับอากาศดูดีไหม เพราะมันคือตัวกินไฟแล้วยังผลาญเงินในกระเป๋าเป็นจำนวนมาก
แต่เขากลับให้เหตุผลว่าเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้..
และสาเหตุหลักๆ ก็มาจากน้องชายของเขานี่แหละ

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยจะเข้าใจในเหตุผลของเขามากนัก อาจเพราะผมเป็นลูกคนเดียวของบ้าน แถมมีญาติสนิทกับเขาสักคน มันก็ดันช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาตั้งแต่เล็กจนโต
ผมเลยไม่ต้องคอยประคบประหงมมันราวกับไข่ในหิน
 
แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะทำตัวไม่ต่างกับคุณชลวิทย์ เพราะปกติแล้ว ผมไม่เคยไปติดตามอาการของคนไข้ในรูปแบบนี้เลย หรือถ้าหากมีจริงๆ ก็ต้องเป็นเคสที่หนักหน่วง แต่สำหรับเคสนี้ ผมเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของไอ้บาส ที่นานๆ ครั้งผมจะได้ทำอะไรเพื่อมันบ้าง อีกอย่างเราสองคนก็โตมาด้วยกัน ผูกพันกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ ผมเลยยอมเหนื่อยแม้ว่าภาระงานของผมจะมีอยู่มากมายแล้วก็ตาม
อีกทั้งผู้อำนวยการของโรงพยาบาล ซึ่งก็คือคุณพ่อของผม ท่านก็อนุมัติแล้วด้วย

ปกติแล้วงานของผมจะยุ่งมากเป็นพิเศษ เพราะทุกวันนี้คนไข้ต่างก็ให้ความไว้วางใจต่อโรงพยาบาลที่ผมสังกัดอยู่เป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้การตรวจโอพีดีหรือการตรวจผู้ป่วยนอกต้องใช้เวลายาวนานกว่าปกติ นอกจากนี้ผมยังต้องไปราวนด์วอร์ดเพื่อดูคนไข้ในแต่ละเคสตามวอร์ดต่างๆ เช่น สูตินรีเวช ศัลยกรรม อายุรกรรม กุมารเวชกรรม ที่มีภาวะทางจิตเวชเกิดขึ้นในโรงพยาบาล เช่นว่า คนไข้ที่มานอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานเนี่ย เขามีอาการซึมเศร้าหรือเปล่า เพราะบางรายเขาจะชอบบ่นทำนองว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว หรือบางรายก็จะอยู่ในภาวะสับสน กระวนกระวาย อยากจะปีนลุกออกจากเตียงท่าเดียวก็มี
ดังนั้นกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน ผมก็แทบจะลืมเวลาไปแล้ว

ก่อนออกเดินทางผมแวะเข้าเซเว่น เพื่อหาอะไรง่ายๆ ทานรองท้อง ขณะขับรถไปยังบ้านสีน้ำตาลอ่อนหลังนั้นที่แอบซ่อนตัวอยู่ในทิวสนอันหนาทึบ ซึ่งมันน่าแปลกมากที่สถานที่สวยๆ แห่งนั้นกลับไม่เคยมีใครพานพบ และผมก็เชื่อได้เลยว่าถ้าหากมีใครพบมันเข้าล่ะก็ ทิวสนและทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์จะต้องกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยให้ความนิยมจนสามารถทำเงินให้กับจังหวัดเชียงใหม่ของเราได้เป็นกอบเป็นกำ
 
บรรยากาศสองข้างทางในยามดึก ทำเอาผมต้องเปิดไฟหน้ารถให้สูงขึ้น เพราะสองข้างทางมันเงียบสงัดจนน่ากลัว แต่โชคดีที่อย่างน้อยแสงจันทร์ยังพอจะสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างได้บ้าง จึงทำให้ผมสามารถมองเห็นทุ่งดอกไม้สีขาวอันโดดเด่นที่อยู่ท่ามกลางความมืดของป่าเขาแห่งนี้

กระทั่งเริ่มเข้าใกล้ตัวบ้านมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มมองเห็นแสงไฟจากหลอดนีออนที่เปิดต้อนรับเอาไว้ และเมื่อดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลงจากรถและปิดประตูให้สนิทก่อนจะล็อกรถเป็นลำดับต่อไป จากนั้นจึงค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปยังบ้านหลังนั้นอย่างเชื่องช้า
แต่ก็ยังไม่ทันจะเดินไปจนถึงที่หมาย เจ้าของบ้านก็ดันเปิดประตูออกมาต้อนรับเข้าเสียก่อน

“ขอโทษที่มาช้านะครับ พอดีงานผมติดพันนิดหน่อย” ผมกล่าวขอโทษคุณชลวิทย์พร้อมก้าวเดินเข้าไปข้างในตัวบ้านที่ยังคงเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำไม่ต่างกับวันแรกที่ผมเดินทางมาถึง
“ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณหมอทานอะไรมาหรือยังครับ ?”

“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมตอบพลางมองตามร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังเปิดตู้เย็นเพื่อนำน้ำดื่มมาบริการ ขณะที่เจ้าของบ้านอีกคนก็ยังคงขลุกตัวอยู่แต่ด้านบนของห้องใต้หลังคา อันเป็นพื้นที่ส่วนตัวเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวพลางหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง พร้อมกับส่งยิ้มไปให้คุณชลวิทย์ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาอีกตัว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“ช่วงนี้อาการแพนิคของคุณชลวิทย์เริ่มลดลงบ้างไหมครับ?” ผมเริ่มเข้าเรื่อง เมื่อถึงแก่เวลาอันสมควรแล้ว
“ก็ยังเหมือนเดิมครับ คือผมชอบเป็นตอนที่กำลังจะไปถึงตลาด แล้วก็ตอนขับรถ แต่ว่าผมเริ่มจะควบคุมการหายใจของตัวเองได้ดีขึ้นแล้ว ก็เลยควบคุมมันได้ดีกว่าแต่ก่อน ทำให้ระยะเวลาไม่นานเท่าเดิมน่ะครับ” ผมพยักหน้าขณะที่กำลังตั้งใจฟังคำบอกเล่าจากคนไข้รูปร่างสูงโปร่ง

“ที่ว่าเป็นตอนขณะขับรถนี่หมายถึงยังไงครับ คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”
“ผมกังวลว่าถ้าหากไปถึงที่ตลาดแล้วจะเกิดอาการน่ะครับ ก็เลยเริ่มเครียด แล้วบางครั้งก็เกิดอาการในขณะที่กำลังขับรถจนต้องพักจอดแถวๆ ข้างทางอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็คอยบอกกับตัวเองนะครับ ว่ามันก็แค่อาการแพนิค เรามียากินแล้ว แถมยังฝึกหายใจก็เป็นแล้ว ยังไงก็ไม่ตายแน่ๆ แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็เกือบแย่เหมือนกันครับ” หลังจากฟังจบ ผมส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้กับคนไข้

“ความพยายามเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จนะครับคุณชลวิทย์” ผมกล่าวพลางยกยิ้ม ขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มตามผมไปด้วย
“ตอนนี้ผมก็พยายามคิดหาทางออกในด้านการเงินอยู่นะครับ แต่ว่าผมก็ยังคิดไม่ออกเลย”
และในที่สุดอีกฝ่ายก็กล่าวเปิดประเด็นที่ผมกำลังให้ความสนใจ

“คุณชลวิทย์ไม่ลองย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ดูล่ะครับ หาห้องพักแบบถูกๆ ก็ได้ ผมสามารถช่วยคุณหาได้นะ อย่างน้อยก็ประหยัดค่าน้ำมันและลดระยะเวลาในการเดินทางได้อีกด้วย” ผมเริ่มเสนอหนทางที่ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้ว
“ไม่ได้หรอกครับ..” คุณชลวิทย์กล่าวพลางส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า แต่กลับหนักแน่นจนผมรู้สึกได้

“ผมต้องทานยาเพิ่มไหมครับ?” หลังจากนั้นเจ้าของบ้านก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกประโยค ราวกับต้องการจะปัดเรื่องเมื่อครู่ให้ตกประเด็น ผมจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
“ยังเหมือนเดิมครับ แต่ผมจะค่อยๆ เพิ่มขนาดยาทีละนิดนะ” ผมตอบพลางหันไปหยิบยาโปรแซกและยาอัลปราโซแลมยื่นให้กับคุณชลวิทย์

“โปรแซกยังทานวันละครั้งหลังอาหารเหมือนเดิมนะครับ ส่วนอัลปราโซแลมก็แบ่งทานวันละ 3 ครั้งครับ” ผมยังคงย้ำเตือนข้อมูลเกี่ยวกับยาดังกล่าวเหมือนกับทุกครั้งที่จ่ายยาให้กับคนไข้รายนี้
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเอากระเป๋าสตางค์สักครู่นะครับ” หลังจากที่อีกฝ่ายยิ้มรับอย่างเข้าใจแล้ว เขาก็เอ่ยขอตัวเพียงครู่ ผมจึงพยักหน้าในเชิงรับรู้ก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบพร้อมครุ่นคิดว่าผมควรจะชวนเขาพูดคุยเพื่อผูกมิตรอย่างไรดี เพราะผมมีความรู้สึกว่า เขายังมีเรื่องบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ
ซึ่งเรื่องที่ว่านั้น ก็น่าจะเกี่ยวกับอาการแพนิคของเขาด้วย

“จะสองทุ่มแล้ว ยังไงคุณหมอค้างที่นี่ดีไหมครับ ผมว่าขับรถตอนกลางคืนมันอันตราย” หลังจากชำระเงินเรียบร้อย เจ้าของบ้านก็เอ่ยเชื้อเชิญให้ผมนอนค้าง ซึ่งมันก็เข้าทางผมเป็นอย่างดี
“ก็ได้ครับ ถ้ายังไงรบกวนด้วยนะครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มและเดินตามคุณชลวิทย์เพื่อไปดูห้องรับรองแขกที่ผมจะต้องใช้เป็นที่หลับนอนในคืนนี้

“เสื้อจะอยู่ในตู้ไม้นะครับ แล้วก็ประมาณสามทุ่มไฟจะดับทั้งหลัง เพราะว่าเราปั่นไฟใช้เอาน่ะครับ ยังไงต้องขอโทษในความไม่สะดวกด้วยนะครับ” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นอีกฝ่ายก็ปล่อยให้ผมอยู่ในห้องรับรองเพียงลำพัง ผมจึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เพราะยังไงก็มีมุ้งลวดกันยุงอยู่แล้ว แต่พอผมลองหาเทียนมาจุดให้แสงสว่างกลับไม่มี ผมเลยถอดใจและตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนที่ไฟฟ้าจะดับ ซึ่งห้องน้ำมันเชื่อมกับห้องรับรองเข้าพอดี ดังนั้นเวลาเข้าห้องน้ำผมจะต้องล็อกกลอนจากประตูทางฝั่งข้างนอก และเมื่ออาบน้ำเสร็จผมจะต้องล็อกกลอนจากประตูทางฝั่งห้องของผม

กระทั่งผมอาบน้ำเสร็จ ทุกอย่างก็มืดสนิทลงในพริบตา

ผมนั่งเช็ดผมในห้องรับรองแขกที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องบริเวณเตียงนอนนุ่มๆ หลังนี้เพียงเล็กน้อย เพราะในส่วนของตัวบ้านไม่ได้หนาทึบไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่ อีกทั้งตรงข้างบ้านก็ยังมีลำธารขนาดเล็กไหลเอื่อยจนได้ยินเสียงน้ำเพียงเบาๆ ผมนั่งรอจนกระทั่งเส้นผมแห้งหมาดก็ลุกขึ้นเอาผ้าเช็ดตัวไปตาก
จากนั้นก็เดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆ ด้วยความเหนื่อยล้า

แต่เพราะความแปลกที่จึงทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ผมเลยตัดสินใจถือโอกาสไปหาน้ำดื่มแก้กระหาย แต่ทันทีที่เปิดประตูออกไป ผมกลับพบเจ้าของบ้านตัวเล็กกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวบริเวณมุมข้างหน้าต่างที่มีแสงจันทร์สาดส่อง
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?” ผมยกยิ้มพลางเอ่ยถามน้องจันทร์ พร้อมกับเปลี่ยนทิศทางการก้าวเดินไปยังอีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม เพราะอันที่จริงผมก็ไม่ได้หิวน้ำอะไรมากมายอยู่แล้ว
และอย่างน้อยมีเพื่อนคุยจนง่วง ก็อาจจะทำให้ผมนอนหลับได้ง่ายขึ้น

“เวลาไฟดับจันทร์จะนอนไม่ได้ครับ” เด็กชายตรงหน้ากล่าวพลางมองไปยังแสงจันทร์ด้วยดวงตาอันเป็นประกาย
“จันทร์กลัวความมืดเหรอครับ?” ผมเอ่ยถามพลางยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ขณะที่แววตาก็แฝงความสงสัยเอาไว้จนเต็มเปี่ยม

“อื้ม” น้องตอบพลางพยักหน้าขณะที่สายตาก็ยังคงมองออกไปข้างนอกไม่แปรเปลี่ยน
“แล้วทำไมถึงไม่จุดเทียนล่ะ ?” ผมยังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัยต่อไป

“ไม่มีครับ” เด็กชายตรงหน้าหันกลับมามองผมพลางส่ายหน้าเพื่อยืนยันคำตอบดังกล่าว ทำเอาผมเผลอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจ
“พี่ชลไม่รู้ว่าจันทร์กลัวความมืดเหรอครับ?” แต่แล้วผมก็ตัดสินใจลองถามหยั่งเชิงกลับไป

“รู้.. แต่ว่ามันแพง” ทันทีที่ได้ยินคำตอบของจันทร์ ผมก็ยิ่งขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะคนรักน้องอย่างคุณชลวิทย์ที่ยอมเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เพื่อทำมาหากินให้น้องชายได้มีกินมีใช้อย่างสบายๆ แถมยังลงทุนแม้กระทั่งติดตั้งแอร์และโทรทัศน์ขนาดนั้น ดูไม่น่าจะมาขี้เหนียวกับเรื่อง ‘เทียน’ ที่มีราคาถูกแสนจะถูก
“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าพี่ภัทรจะซื้อเทียนให้จันทร์สักเล่มดีไหม เอาเป็นเทียนหอมก็แล้วกัน พี่ว่าจันทร์น่าจะชอบ” ผมเสนออย่างใจดี เพราะผมรู้สึกสงสารเด็กคนนี้จับใจ และก็เข้าใจดีว่าการอยู่กับสิ่งที่เราหวาดกลัว มันทรมานมากแค่ไหน
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือคุณชลวิทย์นี่แหละ
ทำไมเขาถึงต้องหลอกน้องชายที่ตัวเองรักนักรักหนาด้วย

“แต่จันทร์ไม่มีเงินจ่ายคืนพี่หมอหรอกนะ” น้องหันมาบอกพลางใช้ดวงตากลมใสชี้แจงข้อจำกัดของตัวเอง แต่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังดีใจมากมายแค่ไหน เนื่องจากแววตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับจนผมยังรู้สึกได้
“ไม่เป็นไร พี่ให้ฟรี ถือว่าเป็นของขวัญที่เราได้รู้จักกัน” ผมยกยิ้มพลางเอื้อมมือไปลูบเรือนผมของอีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง

“พี่ไปนอนก่อนนะ จันทร์เองก็เข้านอนได้แล้ว แต่ถ้าหากยังกลัวอยู่ จันทร์ลองหลับตาแล้วจินตนาการว่าตอนนี้รอบๆ ตัวของจันทร์ไม่ได้มืดมิด แต่ยังมีแสงเทียนให้ความสว่างอยู่ตรงหัวเตียงก็ได้ พี่คิดว่ามันน่าจะได้ผล” ผมให้คำแนะนำพร้อมยกยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับเจ้าของบ้านตัวเล็ก
“อื้อ จันทร์จะลองดู” เด็กชายวัย 15 ปีพยักหน้าตอบรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนและก้าวเดินไปที่บันได เพื่อขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาอันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเข้าห้องนอนของตัวเองนั้น จันทร์ก็ร้องเรียกผมเอาไว้เสียก่อน และเมื่อผมหันกลับไปยังทิศทางที่เจ้าตัวยืนอยู่ ริมฝีปากเล็กคู่นั้นก็ค่อยกล่าวคำอวยพรให้นอนหลับฝันดีเพียงสั้นๆ
จากนั้นเจ้าของบ้านตัวเล็กก็เดินหายลับไปจากสายตา..

กระทั่งปิดประตูและเข้ามาพบเจอกับความเงียบสงัดภายในห้องรับรอง ผมก็ทิ้งตัวลงนอนพลางหลับตาลงเพื่อบังคับให้ตัวเองเข้านอนให้ได้ เนื่องจากพรุ่งนี้ผมยังต้องตื่นแต่เช้า และยังมีงานที่ต้องทำอยู่อีกมาก หากไม่นอนพักให้เพียงพอล่ะก็ ผมอาจจะต้องกลายร่างเป็นซอมบี้ไม่ต่างกับวันที่ต้องอยู่เวรลากยาวแน่ๆ

คลิก!

“เสียงประตู..” ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูบ้านในยามวิกาล จึงลุกขึ้นนั่งและตัดสินใจแง้มประตูออกไปดูความเป็นไปข้างนอก เผื่อว่าโจรขึ้นบ้านจะได้รู้ตัว
แต่แล้วม่านสายตาก็พบเจอแต่ความมืดมิด
 
ผมจึงตัดสินใจเดินแทรกตัวออกไปด้านนอกท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด กระทั่งปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษดินจำนวนมาก หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น เพราะมันเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ว่ามีใครบางคนแอบเข้ามาภายในบ้านหลังนี้ ผมจึงเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมอย่างระแวดระวัง ขณะที่ใจก็เต้นระรัวด้วยอาการของเลือดลมสูบฉีดเพราะความตื่นเต้นอย่างเต็มที่
แต่ไม่ว่าผมจะลองเปิดประตูห้อง หรือว่าจดจ้องไปยังทิศทางใด ล้วนพบเจอแต่ความว่างเปล่า..
ราวกับว่า.. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมก็แค่ฝันไป..


゚゚❀゚゚
[15/02/2018 รีไรท์บางช่วงในสมูทขึ้น / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
เด็กผู้หญิงคือใคร
โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз บทนำ + ตอน 1 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื่อย ที่ 25-01-2018 01:03:00
จิ้มก่อนค่ะ
ยังไม่ได้อ่านแต่ชื่อเรื่องแอบไม่น่าไว้ใจ55555555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз บทนำ + ตอน 1 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 25-01-2018 02:33:35
ใช่แล้วเด็กผญ.คนนั้นเป็นใคร
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-01-2018 08:18:06
ตอน 2

ด้วยความที่ผมเพิ่งจะลงเวรจึงทำให้ตอนนี้ร่างกายเหมือนกับต้องการจะปิดสวิตช์ตลอดเวลา ข้าวปลาอาหารแทบไม่อยากกิน แต่ผมก็ยังตัดสินใจจะเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนพร้อมกับไอ้บาสเพื่อเอาเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ไปให้จันทร์ ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังเดินทางอยู่นั้น ผมก็นั่งหลับตาไปตลอดทาง
กระทั่งเดินทางมาจนถึงบ้านหลังที่คุ้นเคย ผมก็ปล่อยให้ไอ้บาสทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ผมก็ชักชวนจันทร์ออกมานั่งเล่นข้างนอกเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้ป่วยและนักจิตวิทยาที่อยู่ด้านใน

“จันทร์รู้จักวิธีจุดเทียนแบบไม่ให้มีควันหรือเปล่า ?” หลังจากพากันเดินออกมานั่งตรงโต๊ะม้าหินอ่อนข้างบ้าน ใกล้ๆ ริมลำธารเล็กๆ บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แสงไฟจากตัวบ้านสาดส่องมาถึง ผมก็สอบถามคนตรงหน้าที่กำลังพลิกขวดแก้วที่ภายในบรรจุเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อย่างสนใจ
“จันทร์ไม่รู้..” น้องตอบพลางส่ายหน้าและมองจ้องมายังผมด้วยดวงตาอันใสแจ๋วของเจ้าตัว

“สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศมีคนเคยบอกพี่ว่า เราจะต้องเล็มไส้เทียนประมาณ 3-4 นิ้วเรื่อยๆ จะได้ไม่เกิดควัน แล้วถ้าเปลวไฟสูงเกินไปก็จะยิ่งทำให้เทียนหมดเร็วขึ้นด้วย ที่สำคัญเวลาตัดไส้เทียน เราจะต้องใช้กรรไกรเล็มไส้เทียนโดยเฉพาะ พี่แบ่งให้จันทร์หนึ่งเล่ม รักษาให้ดีๆ รู้ไหมครับ? มันอยู่ในกล่องที่จันทร์วางเอาไว้บนโต๊ะไม้นั่นแหละ” ผมอธิบายให้คนตรงหน้าที่กำลังตั้งใจฟังพร้อมกับพยักหน้ารับเป็นระยะด้วยความเอ็นดู
“แล้วเวลาจุดเทียนหอมในแต่ละครั้ง จันทร์จะต้องรอให้น้ำตาเทียนละลายจนเต็มหน้าเทียนก่อนที่จะดับทุกครั้ง เพราะเวลาดับเทียนเนี่ย เราจะนิยมใช้อุปกรณ์อะไรก็ได้ที่ไม่ติดไฟมากดไส้เทียนให้จมลงในน้ำตาเทียน จากนั้นก็ค่อยงัดไส้เทียนขึ้นมาตั้งใหม่ เปลวไฟจะได้ดับโดยที่ไม่มีควัน แต่อันที่จริงมันก็ขึ้นอยู่กับว่าจันทร์สะดวกแบบไหนด้วยนั่นแหละ เพราะขนาดพี่เวลาจะดับเทียนหอมแต่ละทียังใช้ปากเป่าเอาเลย ขี้เกียจจะมีพิธีรีตองอะไรมากมาย” ผมพูดพลางกลั้วหัวเราะ ทำเอาคนฟังเองก็หัวเราะตามไปด้วย เพราะอีกฝ่ายก็คงจะคิดเหมือนกัน

“เดี๋ยวคืนนี้ตอนไฟดับจันทร์จะลองจุดดูครับ” น้องยกยิ้มพลางเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเอาขวดเทียนหอมไปวางรวมกับกรรไกรตัดไส้เทียน จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่เดิม
“ปีนี้จันทร์อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ?” ผมเริ่มเปิดประเด็นเมื่อระหว่างเรากำลังเกิดความเงียบครอบงำขึ้นมา

“15 จะ 16 แล้วครับ” เจ้าของบ้านตัวเล็กเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งคำตอบของเขาก็ไม่ผิดไปจากที่ผมประเมินนัก
“แล้วในเชียงใหม่จันทร์เคยไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างล่ะ ?” ทันทีที่ผมถามจบ คนตรงหน้าก็ละความสนใจจากลำธารน้ำไหลเอื่อยมายังผมอีกครั้ง

“ยังไม่เคยเลยครับ” เด็กชายตรงหน้าตอบพลางส่ายหัวราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเองให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทำเอาผมยกยิ้มไม่เป็นขึ้นมา
“แล้วจันทร์อยากจะไปเที่ยวไหม ที่เชียงใหม่มีที่เที่ยวสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ” เมื่อตั้งสติได้ ผมก็ลองถามหยั่งเชิงกลับไป

“พี่ชลไม่ให้จันทร์ไปหรอกครับ จันทร์อยู่ได้แต่ในบ้าน”
“หืม ? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างไม่เข้าใจที่คนรักน้องอย่างคุณชลวิทย์ ชอบออกปากห้ามจันทร์ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องและยังมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่ผมเองก็บอกไม่ถูก แต่กับเรื่องไปเที่ยวน่ะ ผมยังพอจะเข้าใจ ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับข้อจำกัดทางการเงิน แต่กับเรื่องที่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน มันแลเผด็จการไปหน่อย แล้วไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมซื้อเทียนมาให้ใช้ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าจันทร์กลัวความมืด มันก็ออกจะขัดๆ กับภาพลักษณ์ของพี่ชายผู้แสนดีค่อนข้างมาก

“ไม่รู้”
“แล้วจันทร์เคยไปเดินเล่นที่ทุ่งดอกไม้ตรงปากทางเข้าบ้านหรือยังล่ะ มันสวยมากเลยนะ” พอได้รับคำตอบปิดประเด็นอย่างนั้น ผมก็เอ่ยถามเพื่อเปิดทางในการทำกิจกรรมฆ่าเวลาต่อทันที

“ยังเลยครับ” คำตอบที่ได้รับ ทำเอาผมนึกแปลกใจขึ้นมาอีกหน
“งั้นเราไปเดินเล่นกันดีไหม เดี๋ยวพี่เปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ให้ แสงน่าจะสว่างพอให้จันทร์ไม่กลัวความมืดอยู่หรอก” ผมลองถามหยั่งเชิงพลางยกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกชะตากับจันทร์นักหนา หรือว่าอาจเป็นเพราะจันทร์เป็นเด็กที่มีความสดใสและมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวก็ไม่รู้ เพราะเวลาที่เขาอยู่กับคนที่ไม่สนิท เขาจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับคุณชลวิทย์ เพราะเวลานั้นเขาจะชอบทำตัวเหมือนเด็กร่าเริงสมวัย

“อื้อ”

เวลานี้เราสองคนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางดินอันเป็นเส้นทางในการเดินรถ ขณะที่รอบๆ ตัวในส่วนที่ไกลออกไป กลับมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด แต่หากมองในระยะใกล้ที่แสงสีขาวอันสว่างเจิดจ้าจากโทรศัพท์สามารถส่องมาถึง ก็จะพบกับทิวสนขนาดใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายตลอดสองข้างทางจนบดบังความงดงามจากฟากฟ้าเสียแทบมิด
 
“กลัวเหรอจันทร์?” ผมเอ่ยถามเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเดินเบียดเสียดแนบชิด
“อื้อ” น้องพยักหน้าพลางมองไปรอบๆ ตัวด้วยท่าทางของคนหวาดระแวง

“จันทร์มองตามแค่ตรงแสงไฟที่พี่ส่อง ส่วนตรงอื่นไม่ต้องไปสนใจ” ผมพยายามใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเพื่อพูดกล่อมให้จันทร์คลายความกังวล พร้อมกับชี้นำให้อีกฝ่ายสามารถจัดการกับความหวาดกลัวของตัวเองได้เบื้องต้น
“มุมนี้เห็นดาวด้วย” ผมหยุดการก้าวเดิน พลางชี้ชวนให้จันทร์มองขึ้นไปข้างบน โดยที่สายตาของเขาก็ค่อยๆ ลากผ่านทุกสิ่งอย่างตามดวงไฟที่ผมเป็นคนถือ และเมื่ออีกฝ่ายได้เห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนนั้น ริมฝีปากของเขาก็วาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม
และผมก็แอบยิ้มตามไปด้วย..

“จันทร์โชคดีมากเลยนะที่ได้อยู่ท่ามกลางวิวสวยๆ แบบนี้น่ะ” ผมกล่าวพลางก้าวเดินไปพร้อมๆ กับจันทร์อีกครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายก็หันมายิ้มรับถ้อยคำเมื่อครู่ แล้วก็หันกลับไปจดจ้องภาพตรงหน้าตามทิศทางที่แสงไฟจะสาดส่องไปถึง

“ตอนมาที่นี่ครั้งแรก พี่แปลกใจมากที่บ้านของเราอยู่ในป่าลึกขนาดนี้ แถมยังอยู่หลังเดียวโดดๆ ด้วย”
“เพราะแบบนั้นไงครับ พี่หมอกับพี่บาสก็เลยเป็นแขกกลุ่มแรกของบ้านเรา” เจ้าของบ้านตัวเล็กกล่าวพลางยกยิ้ม ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มรับคำกล่าวนั้น เพราะดูท่าทางมันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวบอกนั่นแหละ

“จันทร์เห็นดอกไม้สีขาวนั่นไหม เขาเรียกว่าดอกสโนว์ดรอปส์ จริงๆ เป็นดอกไม้จากต่างประเทศ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงมาขึ้นตรงนี้ได้” ผมเอ่ยพลางกวาดแสงไฟฉายไปยังทุ่งดอกไม้ที่อยู่ทางฝั่งขวามือครู่หนึ่ง และซ้ายมืออีกครู่หนึ่ง กระทั่งอีกฝ่ายเงียบไป ผมจึงหันหน้ากลับมายังด้านขวามือของตัวเอง เลยเห็นว่าจันทร์กำลังยืนตัวสั่น แถมเหงื่อยังแตกพลั่กอย่างน่าตกใจ อีกทั้งลมหายใจของเจ้าตัวก็ยังดูติดขัด เหมือนกับหายใจไม่เต็มอิ่ม หัวคิ้วของผมจึงขมวดมุ่นด้วยความครุ่นคิด กระทั่งน้องกุมหน้าอกและล้มลงกับพื้นดิน ผมจึงรีบประคองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เหตุเพราะตอนนี้ผมเริ่มจะมั่นใจแล้วว่า..
จันทร์เองก็อาจจะมีอาการแพนิคเหมือนกับพี่ชายของเขา!

“หายใจเข้าลึกๆ นะจันทร์ เดี๋ยวพี่จะนับหนึ่งถึงสี่ แล้วจันทร์ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกตามเลขที่พี่นับ” ผมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่อีกฝ่ายก็รีบกระชับฝ่ามือของผมเอาไว้แน่น โดยที่น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสาย เพราะเขากำลังหวาดกลัว

“หนึ่ง” เมื่อผมเริ่มนับ จันทร์ก็รีบสูดลมหายใจเข้าตามคำแนะนำอย่างรวดเร็ว

“สอง”

“สาม”

“สี่” และทันทีที่ผมนับเลขมาจนถึงตัวสุดท้าย จันทร์ก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกตามจังหวะการนับเลขของผม แต่อาการของอีกฝ่ายก็ยังไม่ดีขึ้น
“เดี๋ยวจันทร์ทำเหมือนเดิมอีกครั้งนะ” เมื่อผมแนะนำจบ อีกฝ่ายก็เริ่มกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น ขณะที่ดวงตากลมใสคู่นั้นก็ยังขลังคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่แปรเปลี่ยน จากนั้นผมก็เริ่มนับหนึ่งถึงสี่ในจังหวะเชื่องช้า โดยกะเวลาให้มันครบสี่นาที และเมื่อถึงจังหวะที่อีกฝ่ายจะต้องผ่อนลมหายใจออก ผมก็ยังคงนับเลขเป็นการนำร่องให้ผู้ป่วยหายใจ ก่อนจะแนะนำให้จันทร์ทำเหมือนเดิมอีกเป็นรอบที่สาม อาการของอีกฝ่ายจึงเริ่มดีขึ้นบ้าง จากนั้นผมก็บอกให้จันทร์กลั้นหายใจอีกประมาณ 7 วินาที โดยผมจะเป็นคนให้สัญญาณเหมือนเดิม

“ห้า”

“หก”

“เจ็ด” กระทั่งตัวเลขตัวสุดท้ายเดินทางมาถึง จันทร์ก็หยุดกลั้นหายใจและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง โดยที่ฝ่ามือของเขาก็ยังคงจับยึดฝ่ามือของผมไว้ไม่ยอมปล่อย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าอาการของอีกฝ่ายดีขึ้นมาก ซึ่งระยะเวลาของการเกิดอาการก็ราวๆ 15 นาที เพียงแต่มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากกว่านั้นในความคิดอีกฝ่าย เพราะทันทีที่เขาตั้งสติได้ เขาก็โผเข้ากอดผมพร้อมกับปล่อยโฮอย่างน่าสงสาร ผมจึงได้แต่ลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาเป็นการปลอบใจ
“เมื่อกี้จันทร์เหมือนจะตายเลยพี่หมอ มันหายใจไม่ออก แล้วก็เจ็บหน้าอกด้วย จันทร์ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ความรู้สึกมันเหมือนกับจันทร์กำลังจะตายในอีกไม่กี่นาทีนี้ มันน่ากลัวมาก มันน่ากลัวจริงๆ นะพี่หมอ” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวปนสะอื้น ขณะที่ฝ่ามือของผมก็ยังคงลูบไล้แผ่นหลังของอีกฝ่ายเพียงเบาๆ เพื่อให้เขาอุ่นใจ

“จันทร์ไม่ต้องกลัวนะ อาการของจันทร์พี่คิดว่าอาจจะเข้าข่ายโรคแพนิค แต่การจะเป็นแพนิคได้ เราจะต้องมีอาการกำเริบซ้ำบ่อยๆ ว่าแต่จันทร์เพิ่งเป็นครั้งนี้ครั้งแรกหรือว่าเป็นมาหลายวันแล้ว ?” ผมเอ่ยถามพลางประคองน้องให้ลุกขึ้นยืน เพื่อที่เราจะได้เดินทางกลับบ้านด้วยกัน โดยคราวนี้ผมกระชับไหล่ของเขาให้แนบชิดกับตัวเอง และในขณะที่เรากำลังจะเดินกลับไปยังบ้านสีน้ำตาลหลังนั้น ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ในตอนนี้หน้าจอแตกร้าวสาดแสงไปยังหนทางเบื้องหน้า เพราะเมื่อครู่ผมกำลังตกใจจึงเผลอปล่อยมันลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว
“จันทร์เพิ่งเป็นครั้งแรกครับพี่หมอ” ผมพยักหน้าพลางครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการอย่างคิดไม่ตก

“นอกจากความมืด จันทร์ยังกลัวอะไรอีกไหม ?” ผมเอ่ยถามขณะที่เรากำลังเดินเข้าใกล้ตัวบ้านมากยิ่งขึ้น
“จันทร์กลัว..”

“พี่ภัทรเรากลับกันเถอะว่ะ” ขณะที่จันทร์กำลังจะตอบ ไอ้บาสก็เดินออกมาจากตัวบ้านเข้าพอดี เลยทำให้การพูดคุยของเรามีอันต้องหยุดชะงักไป
“เออๆ” ผมยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาดู พอเห็นว่าเวลานี้มันสามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ผมก็เลยรีบรับปากไอ้บาสอย่างรวดเร็ว เพราะถ้ามัวแต่โอ้เอ้อยู่แบบนี้ เราอาจจะกลับไปถึงตัวเมืองประมาณเที่ยงคืนก็เป็นได้ เพราะให้ตายยังไงไอ้บาสมันก็ไม่ยอมค้างคืนที่นี่แน่ และผมที่ไม่ได้เอารถของตัวเองมาเลยต้องยอมติดสอยห้อยตามมันไปด้วย

“จริงๆ มึงกับคุณหมอค้างที่นี่ก็ได้นะ” คุณชลวิทย์เปิดประตูเดินออกมาจากบ้านอีกคน พร้อมชักชวนให้เราสองคนพักค้างคืนที่บ้าน โดยระหว่างที่เรากำลังยืนคุยกันอยู่นั้น ก็มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่คอยให้ความสว่างจนพอจะมองเห็นสีหน้าค่าตากันได้
“ไม่ดีกว่าว่ะ พอดีพรุ่งนี้กูต้องเข้างานเช้ามากๆ กลัวว่าจะไปไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นกูลาเลยแล้วกัน” ไอ้บาสรีบพูดปิดทางที่จะทำให้ตัวเองได้พักค้างคืนที่นี่อย่างรวดเร็ว
เพราะตั้งแต่เกิดเหตุในคืนนั้น..
มันก็ไม่กล้าจะอยู่ที่บ้านของคุณชลวิทย์เป็นเวลานานอีกเลย

“ผมลานะครับ พี่ไปก่อนนะจันทร์” พอไอ้บาสมันขึ้นไปสตาร์ทรถรอจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็จำต้องรีบกล่าวลาสองพี่น้อง แล้วขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ และในเวลานี้ผมก็หายง่วงและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะมัวแต่นั่งคิดถึงสาเหตุที่ทำให้จันทร์มีอาการแบบนั้น พร้อมกับคิดกังวลว่าอีกฝ่ายจะดูแลตัวเองเป็นหรือเปล่า ในเมื่อผมยังไม่ได้แนะนำหรือพูดคุยอะไรมากนัก แต่คุณชลวิทย์เองก็ป่วยเป็นโรคแพนิคอยู่ ถ้าหากจันทร์มีอาการแพนิคจริงๆ เขาก็น่าจะช่วยแนะนำน้องชายตัวเองได้
“พี่ไปคลุกดินที่ไหนมาวะนั่น” เมื่อรถขับเข้ามายังเขตตัวเมือง เราสองคนก็ตัดสินใจแวะเซเว่นเพื่อหาอะไรกินรองท้องอีกสักรอบ จึงทำให้อีกฝ่ายมองเห็นสภาพมอมแมมของผมได้อย่างชัดเจน

“กูไปเดินเล่นมา แล้วพอดีจันทร์ดันเกิดอาการเหมือนแพนิคน่ะสิ แต่เพิ่งเป็นครั้งแรกก็ยังฟันธงไม่ได้หรอก เพราะตามหลักแล้วถ้าเกิดอาการเพียงครั้งเดียวโดยไม่ส่งผลอะไรจะไม่นับว่าเป็นแพนิค คิดๆ ดูแล้วกูอยากให้จันทร์ลองไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลว่ะ เผื่อบางทีจันทร์อาจจะเป็นโรคอื่น เช่นพวก โรคหัวใจ โรคหืด ไมเกรน ลมชักอะไรแบบนี้”
“วันศุกร์พี่ก็ลองคุยกับไอ้ชลดูสิ ผมว่ายังไงมันก็น่าจะเห็นดีเห็นงามด้วย ในเมื่อมันก็รักจันทร์ออกปานนั้น” ไอ้บาสกล่าวเสริมพลางหยิบแก้วกาแฟบนเคาน์เตอร์คิดเงิน พร้อมกับเดินออกมานั่งดื่มด้วยกันข้างนอก

“กูว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ เพราะจันทร์บอกกับกูว่าเพื่อนมึงให้อยู่แต่ในบ้าน”
“มันคงเป็นห่วงน้องมันนั่นแหละ” ไอ้บาสกล่าวพลางก้มหน้าเป่ากาแฟในมือของตัวเองให้หายร้อน ขณะที่ผมก็วางแก้วใบเล็กที่บรรจุกาแฟชนิดเดียวกับอีกฝ่ายลงบนพื้นที่ว่างข้างๆ ตัว

“เอาจริงๆ นะมึง คนห่วงน้องแต่ทำไมถึงทำแบบนั้นวะ รู้ว่าน้องกลัวความมืดแต่ดันไม่ยอมซื้อเทียนมาให้ บอกแต่ว่าแพงๆ คือเทียนแม่งกล่องละไม่กี่บาทเอง กูไม่เข้าใจว่าเขาจะโกหกจันทร์ไปทำไม ยิ่งวันนั้นกูไปค้างที่บ้านแล้วเจอคนแอบเข้ามาในบ้าน มันก็ยิ่งอันตรายนะเว้ย ไม่รู้รักน้องยังไงถึงปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวทั้งๆ ที่ก็รู้ทั้งรู้นะว่ามีคนแอบเข้ามาในบ้าน แต่กูก็ได้แค่เตือนไง เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นก็อีกเรื่อง”
“ก็จริง เสี้ยวนึงผมก็คิดเหมือนพี่ว่ะ ไอ้ชลมันดูแปลกๆ เหมือนมันโกหกเรายังไงก็ไม่รู้ คือผมรู้สึกเหมือนกับว่า มันยังไม่ได้บอกสาเหตุจริงๆที่ทำให้เกิดอาการแพนิคว่ะ แต่ก็นะ จิตใจคนเรามันอ่านกันยาก บางทีเซ็นส์ของผมอาจจะมั่วก็ได้ แล้วมันเองก็เป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่สนิทกันมากซะด้วย คงไม่น่าจะไม่ไว้ใจกันขนาดนั้นหรอกมั้ง” หลังจากที่ฟังไอ้บาสระบายเรื่องของคุณชลวิทย์ ผมก็ได้แต่ยักไหล่ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าเขายังปิดกั้นการรักษาอย่างที่เราคิดกันหรือเปล่า เพราะหลายๆ ครั้งพฤติกรรมของเขามันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เขายังมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ ซึ่งเรื่องที่ปิดบังมันจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาการป่วยของเขาอย่างแน่นอน..
แต่ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลา ยิ่งบางรายต้องใช้เวลานานถึงสิบปี ยี่สิบปีก็มี
ซึ่งคุณชลวิทย์ก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็เป็นได้..

゚゚❀゚゚

[15/02/2018 รีไรท์บางช่วงให้สมูทขึ้น / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
พอดีเราลงที่อื่นไปบ้างแล้วเลยลงรวดเดียวแล้วกัน 55
น้องจันทร์จะเป็นแพนิคไปอีกคนหรือเปล่า โปรดติดตามกันต่อไปจ้า ส่วนเรื่องเด็กผู้หญิงไว้เจอกันอีกทีตอนหน้า แต่จะมาแบบไหนนั้นก็อีกเรื่อง 555 เรื่องนี้เป็นแนวที่ไม่ถนัดอย่างแรง มีผลพวงมาจากการเขียนตอนพิเศษของฟอลอินยูด้วยส่วนนึง ทำให้อยากลองเขียนแบบจริงๆจังๆดู เพราะปกติจะถนัดแต่ละมุนๆ ฟีลกู๊ดๆ เลยอยากรู้ฟีทแบคมากว่ามันออกมาเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 25-01-2018 18:09:40
 o13
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-02-2018 00:48:27
ขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ผีได้ไหมคะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 09-02-2018 22:48:11
 :m20:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 3 (update 11/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 11-02-2018 01:00:47
ตอน 3

“ช่วงนี้คุณชลวิทย์ได้ลองขับรถเข้าไปที่ตลาดในตัวเมืองพร้อมกับคุณปริพันธ์ด้วยใช่ไหมครับ ?” หลังจากดื่มน้ำที่เจ้าของบ้านนำมาเสิร์ฟจนเรียบร้อย ผมก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว จึงรีบพูดเปิดประเด็นของการรักษา
“ครับ ไอ้บาส.. เอ่อ.. คุณปริพันธ์แนะนำให้ผมลองเผชิญหน้ากับความกลัวพวกนั้น แล้วก็แทนที่ความหวาดกลัวด้วยความคิดและความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล” ผมพยักหน้ารับฟัง พร้อมกับยกยิ้มให้คุณชลวิทย์ที่ในตอนนี้กำลังเข้ารับการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม
หรือเรียกสั้นๆ ว่าการบำบัดแบบ CBT

“ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจเลยใช่ไหมครับ ?” ผมยกยิ้มให้กับคนตรงหน้า ขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบพร้อมกับขยับมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเพียงบางๆ
“แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ เพราะว่าสุดท้ายผมก็ต้องกลับมาฝึกหายใจเพื่อเอาตัวรอดอยู่ดี”

“คุณอย่าเพิ่งกดดันตัวเองเลยนะครับ เพราะการบำบัดจะต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นถึงจะเห็นผลในระยะยาว แล้วสิ่งสำคัญก็คือวิธีการบำบัดยังมีอีกหลายวิธีเลยครับ ซึ่งถ้าหากวิธีนี้ไม่เหมาะกับคุณ ทั้งผมและคุณปริพันธ์ก็จะพยายามค้นหาให้ได้ว่าการบำบัดแบบไหนที่เหมาะกับคุณ” ผมกล่าวอย่างหนักแน่น เพื่อให้คนไข้อย่างคุณชลวิทย์รู้สึกเชื่อมั่นในกระบวนการรักษาของเรา
“ครับ.. แต่ว่าผม.. รู้สึกเหมือนกับความคิดของตัวเองมันเปลี่ยนแปลงได้ยาก..” ผมจ้องมองคุณชลวิทย์ด้วยความสนใจในหัวข้อที่อีกฝ่ายเปิดประเด็น จึงยกยิ้มบางๆ ส่งไปให้เขา
เพื่อที่คนไข้ตรงหน้าจะได้เล่าเรื่องราวของตัวเองที่มันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาให้มากยิ่งขึ้น

“ทั้งๆ ที่ผมก็รู้อยู่เต็มอกนะครับ ว่าการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย มันจะทำให้ครอบครัวตกที่นั่งลำบาก แต่ผมก็ห้ามการกระทำของตัวเองไม่ได้ สาเหตุก็เพราะผม กลัวว่าถ้าหากไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ มันจะทำให้จันทร์เหงา” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ว่าเราจะหลบมานั่งคุยกันตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ข้างลำธารก็ตาม
คงเพราะอีกฝ่ายเป็นกังวลว่าน้องชายสุดที่รักจะบังเอิญมาได้ยินคำพูดเหล่านี้

“ทำไมคุณถึงไม่ลองพาเขาเข้าไปในตัวเมืองด้วยกันล่ะครับ ผมคิดว่าถ้าหากจันทร์อยู่กับคุณ ยังไงก็น่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้านตามลำพังด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่างเขาก็จะได้แบ่งเบาภาระของคุณด้วย ผมว่าภาพของสองพี่น้องที่กำลังช่วยกันขายผักในตลาด ก็ไม่เลวเลยนะครับ เผลอๆ อาจจะได้คะแนนนิยมจากเหล่าแม่บ้านก็ได้นะ” ผมย้อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบให้เหมือนกับมันเป็นเพียงแค่การพูดคุยต่อบทสนทนาธรรมดาๆ เท่านั้น
เหตุเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายครุ่นคิดไปว่าผมกำลังตำหนิการกระทำของเขาอยู่

แม้ว่าในความเป็นจริง ผมก็ออกจะไม่เห็นด้วยกับการทิ้งน้องชายเอาไว้ที่บ้านกลางป่าสน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีคนแปลกหน้าแอบลักลอบเข้ามากลางดึก และผมก็ได้กล่าวเตือนไปแล้วเบื้องต้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะไม่ยอมเชื่อคำพูดของผม เพราะเขาเอาแต่ยืนยันว่าเขาเป็นคนล็อกประตูเองกับมือ
แต่พูดก็พูดเถอะ..
คุณชลวิทย์ไม่รู้จักคำว่า ‘ขโมย’ หรือไงนะ ?

“จันทร์อยู่ที่นี่ก็ปลอดภัยดีแล้วล่ะครับ” คุณชลวิทย์กล่าวพลางยกยิ้ม แต่ผมกลับแปลกใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในหัวก็ยังเต็มไปด้วยคำถามอีกมากมาย เช่นว่า การอยู่ในบ้านที่เคยมีคนแปลกหน้าลักลอบเข้ามา มันปลอดภัยอย่างที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกให้ผมเชื่อตรงไหน?
“ผมก็ไม่รู้ว่าผมควรจะแก้ไขความคิดนี้ยังไงดีน่ะครับ แต่ผมมั่นใจว่าถ้าหากจันทร์อยู่ที่นี่ เขาจะปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งมันก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่าย ถูกต้องไหมครับ?” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่าย

“จากที่ฟังปัญหาของคุณชลวิทย์ ผมคิดว่าคุณน่าจะลองบอกให้จันทร์เปิดและปิดแอร์ให้เป็นเวลาดีไหมครับ ยิ่งช่วงหน้าหนาวก็เปิดหน้าต่างแง้มเอาไว้ก็ได้ครับ จันทร์ดูเป็นเด็กที่พูดคุยง่ายอยู่นะครับ ผมคิดว่าแกน่าจะเชื่อฟังคุณ” ผมลองแนะนำให้เขาเปลี่ยนความคิด โดยทำเป็นลืมๆ ไปว่า.. ครั้งหนึ่งที่บ้านหลังนี้เคยมีคนแอบลักลอบเข้ามากลางดึก
“ผมกลัวแต่แกจะไม่เข้าใจน่ะสิครับ ยิ่งเราไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ โอกาสจะไม่เข้าใจกันก็ยิ่งมีมากขึ้น” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ซึ่งผมเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง

“คุณชลวิทย์ครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะลองเชื่อใจตัวเอง แล้วก็เชื่อใจน้องจันทร์ดูนะครับ ในมุมมองของผม น้องเป็นเด็กที่น่ารักแล้วก็มีเหตุผลมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นแกคงจะงอแงที่คุณไม่มีเวลาให้แกไปนานแล้วล่ะครับ จริงไหม?” ผมพยายามกวาดต้อนทางออกของปัญหามากองตรงหน้าของคุณชลวิทย์อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้เลือกสรรทางออกที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งปัญหาที่ว่าก็คือ เขาดูแลจันทร์ราวกับไข่ในหินจนน้องตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้บางครั้งผมสามารถมองเห็นความไร้เดียงสาที่แอบแฝงอยู่ในตัวของจันทร์ได้อย่างชัดเจน แม้ว่าบุคลิกของเจ้าตัวจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุก็ตาม
และมันก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณชลวิทย์ยากจะปล่อยวาง..
 
แต่ก็อย่างที่บอกว่าในใจของผมมันยังรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่คุณชลวิทย์พูดออกมาเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของความจริงเท่านั้น เพราะอะไรหลายๆ อย่าง มันยังขัดกับสิ่งที่ผมบังเอิญรับรู้ผ่านทางจันทร์
ซึ่งมันทำให้ผมไม่สามารถตีความเรื่องราวที่เขากำลังเป็นกังวลจนไม่กล้าที่จะพูดออกมาได้

“ก็จริงครับว่าจันทร์เป็นเด็กที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ความไร้เดียงสาของเขาทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้” ผมพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะถ้าหากจันทร์เป็นน้องชายของผม ผมก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกับคุณชลวิทย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่คิดจะทำ ก็คือการเลี้ยงดูเขาราวกับไข่ในหิน เพราะการทำแบบนั้น มันก็คือการทำร้ายอีกฝ่ายทางอ้อม
“คุณชลวิทย์ลองปล่อยวางดูสักครั้งดีไหมครับ ? จะได้ให้เวลาพิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่ของจันทร์ด้วย” ผมลองเสนอแนะพร้อมกับยกยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งคนไข้รายนี้ก็ทำเพียงแค่ยกยิ้มบางๆ กลับมาเท่านั้น

“ถ้าคุณกลัวการปล่อยมือ คุณลองใช้วิธีคิดแบบตอนที่คุณกำลังขับรถไปที่ตลาดในเมืองดูสิครับ ผมหมายถึงให้คุณลองแทนที่ความเป็นไปได้ของการเชื่อมั่นในตัวจันทร์ดู ผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะทำให้คุณกล้าที่จะกะเทาะเปลือกไข่ แล้วปล่อยให้เขาได้ลองโบยบินอย่างอิสระ โดยเริ่มจากการที่พวกคุณลองไปขายผักในตลาดด้วยกันก็ได้นะ” ผมลองชี้แนะทางเลือกให้กับคนไข้อีกครั้ง เพราะในความคิดของผม เด็กอายุ 15 ไม่ถือว่าเป็นเด็กมากมายขนาดนั้น และที่สำคัญช่วงวัยนี่น่ะ เขารับรู้และเข้าใจว่าอะไรดีอะไรไม่ดีได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ดังนั้นเขาก็น่าจะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่ในกรณีของจันทร์ที่ไม่เคยได้ออกไปไหน ผมคิดว่าน้องก็น่าจะทำได้ดีไม่ต่างจากเด็กอายุ 15 ทั่วๆ ไป เพราะอีกฝ่ายก็อ่านออกเขียนได้เป็นปกติ ดังนั้นใครจะมาหลอกลวงย่อมเป็นไปได้ยาก และที่สำคัญเด็กอย่างจันทร์น่ะ ผมคิดว่าเป็นเด็กที่ฉลาดพอตัวเลยแหละ
“ผมจะลองเอากลับไปคิดดูแล้วกันครับ..” ผมยกยิ้มให้กับคำตอบนั้น แม้ในใจจะรู้ดีว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมทำตามคำแนะนำของผมแน่

“ผมว่าคุณรีบไปอาบน้ำดีกว่านะครับ อีกสักพักไฟก็จะดับแล้ว” คุณชลวิทย์ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง จากนั้นเขาก็กล่าวเตือนด้วยความหวังดี และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อตัดจบบทสนทนาที่เราคุยกันค้างเอาไว้
“จริงสิครับ ผมก็ลืมไปเลยว่าที่บ้านของคุณไฟจะดับตอนสามทุ่ม ยังไงวันนี้ผมขอรบกวนอีกครั้งนะครับ” ผมลุกขึ้นยืนตามอีกฝ่ายพร้อมบอกกล่าวด้วยความเกรงใจ แต่จะให้ผมขับรถกลับเข้าตัวเมืองเอาตอนนี้ มันก็ยังมีปริศนาต่างๆ ที่ผมรู้สึกว่า มันจะต้องเกี่ยวข้องกับความกังวลใจของคุณชลวิทย์รออยู่

คราวนี้ผมเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องอาบน้ำต่างๆ มาจากบ้าน เพราะตัวผมไม่อยากจะกลายเป็นภาระให้กับเจ้าของบ้านมากนัก ด้วยเพราะรู้อยู่เต็มอก ว่าเขากำลังเป็นกังวลในเรื่องนี้ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้หนักหนาเท่าที่เขาแสดงออก
“เมื่อกี้ก็ดันลืมพูดเรื่องจันทร์ไปเลยว่ะ” ผมบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ ขณะกำลังแต่งตัวอยู่ท่ามกลางความมืดในห้องน้ำ เพราะเมื่อครู่ดันมัวแต่คิดเกี่ยวกับเคสของคุณชลวิทย์มากไปหน่อย จึงทำให้จิตใจล่องลอยจนกระทั่งเวลาแห่งการประหยัดไฟเดินทางมาถึง โชคดีที่ผมล้างฟองสบู่จนสะอาดหมดจด ไม่อย่างนั้นคงจะลำบากแย่ แต่ก่อนที่จะเข้านอนในคืนนี้ ผมตั้งใจว่าจะเช็คกลอนประตูด้วยตัวเอง
คราวนี้จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าจะมีใครสามารถลักลอบเข้ามาในตัวบ้านได้อีกหรือเปล่า

“ทำไมจันทร์ยังมานั่งอยู่ตรงนี้อีกล่ะครับ หรือว่ามีเทียนแล้วแต่ก็ยังไม่ช่วยให้หายกลัว?” พอเปิดประตูออกมาเจอเจ้าของบ้านอีกคน ผมก็ยกยิ้มให้กับจันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้างหน้าต่างตัวเดิม ต่างกันแค่ในวันนี้เจ้าของบ้านตัวเล็กจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ผมให้จนสว่างไสว จากนั้นผมก็ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม พร้อมกับใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมเปียกๆ ของตัวเองไปด้วย
“อื้อ ตรงห้องจันทร์มันมืดน่ะครับ ก็เลยลงมานั่งตรงนี้ดีกว่า” น้องบอกพร้อมกับชี้ไปยังห้องใต้หลังคาอันมืดสนิท ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็คิดว่าผมควรจะซื้อเทียนแท่งใหญ่กว่าเดิมอีกสักเล่มจะดีไหม มันจะได้ให้แสงสว่างมากกว่านี้ เพราะเทียนหอมที่ผมให้จันทร์มันเป็นเทียนหอมแท่งเล็กๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว ดังนั้นแสงสว่างของมันจึงคลอบคลุมแค่บริเวณที่ขวดเทียนวางตั้งอยู่ ซึ่งถ้าหากวางเอาไว้บนหัวเตียง บริเวณปลายเท้าและในจุดที่ห่างไกลออกไปก็จะมืดสลัว

“จันทร์ยังหายใจลำบากอยู่หรือเปล่า?” ไหนๆ ก็สบโอกาสอันดีแล้ว ผมจึงเริ่มสอบถามอาการของจันทร์ในทันที
“ไม่เลยครับ” น้องตอบพลางส่ายหัว

“แต่จันทร์ลองฝึกหายใจแบบวันนั้นที่พี่หมอสอนอยู่นะ ถ้าหากเกิดอาการแบบนั้นอีก จันทร์คิดว่าจันทร์น่าจะควบคุมได้” น้องยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดกันไว้ ทำให้เจ้าตัวนั่งอยู่ในสภาพขดตัวเป็นก้อนๆ ขณะที่ริมฝีปากเล็กก็เจื้อยแจ้วอย่างชาญฉลาด
“ดีแล้วครับ แต่ถ้าหากมีอาการแบบนั้นอีก จันทร์ต้องบอกพี่หมอแล้วก็พี่ชลทันทีเลยนะ” เมื่อผมกำชับอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

“พี่หมอ..” จันทร์ร้องเรียกผมท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อจู่ๆ เราก็เผลอมองตากันราวกับต้องมนตร์
“หืม ?” ผมทำเป็นเช็ดผมที่ยังคงชื้นๆ ของตัวเอง พร้อมกับส่งเสียงถามในลำคอกลับไป

“โรคแพนิคมันเกิดจากความกังวลและความเครียดแบบที่พี่ชลเป็นไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมจันทร์ถึงมีอาการแบบนั้น?”
“ที่จริงสาเหตุของโรคมันก็มีอยู่หลายด้านเลยแหละ ไม่ใช่แค่เพียงด้านจิตใจเหมือนกับที่พี่ชลเป็นอย่างเดียว แต่เรื่องของประสบการณ์ในชีวิตก็สามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้ หรือบางทีอาจเกิดจากการใช้สารเสพติดก็ได้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างโรคนี้มันสามารถเกิดจากพันธุกรรมก็ได้ด้วย แต่ก็อย่างที่พี่เคยบอก ว่าโรคนี้จะต้องเป็นซ้ำๆ แล้วส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น ตอนกลางคืนจันทร์จะนอนไม่ได้เพราะหายใจลำบาก หรือพบเจอสิ่งกระตุ้นบางอย่างจนเกิดอาการบ่อยๆ แต่ในกรณีของจันทร์ยังมีอาการเพียงแค่ครั้งเดียว มันยังฟันธงไม่ได้หรอก พี่ถึงอยากให้จันทร์ลองคุยกับพี่ชลดู เพราะอาการแบบนี้ อาจจะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือโรคอื่นๆ ด้วย” ผมถือโอกาสอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้เพียงคร่าวๆ เพราะก็อย่างที่บอกว่าจันทร์น่าจะเข้าข่ายเป็นโรคแพนิคได้เหมือนกัน ซึ่งการไปตรวจที่โรงพยาบาลจะได้คลอบคลุมทางด้านสุขภาพกายอย่างละเอียด เพราะถ้าหากรักษาผิดก็จะยิ่งทำให้อาการของคนไข้แย่ลง ผมจึงไม่อยากจะฟันธงจนกว่าจันทร์จะได้ไปลองตรวจโรคอื่นๆ ก่อน และเพราะสาเหตุของการเกิดโรค มันมีอยู่หลายอย่าง ผมถึงได้สงสัยว่าคุณชลวิทย์กำลังมีอะไรปิดบังผมอยู่ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้ป่วยเพราะการใช้สารเสพติดหรือได้รับการถ่ายทอดทางด้านพันธุกรรม
แต่ในกรณีของจันทร์อาจจะมีสิทธิ์เป็นแพนิค เพราะสาเหตุจากพันธุกรรมก็เป็นได้

“แต่พี่ชล..”
“จันทร์ครับ.. เรื่องสุขภาพมันสำคัญนะ และพี่ก็คิดว่าพี่ชลจะต้องพาจันทร์ไปตรวจแน่ๆ แล้วจันทร์ก็จะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดระแวงว่าตัวเองจะเป็นแบบวันนั้นอีกหรือเปล่า” ผมย้ำกับจันทร์อีกครั้ง เพราะอยากให้น้องลองไปตรวจที่โรงพยาบาลจริงๆ

“ครับ.. จันทร์จะลองคุยกับพี่ชลดู”
“ดีมาก” ผมยกยิ้มพลางเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“ดึกแล้วล่ะ พี่ว่าจันทร์ลองเอาชนะความกลัวด้วยวิธีที่พี่เคยบอก แล้วเข้านอนจะดีกว่า ยังจำได้อยู่หรือเปล่า?” ผมถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ เพื่อให้เขาได้คิดตามคำแนะนำที่อาจจะลืมเลือนไปแล้ว
“จำได้ครับ” อีกฝ่ายตอบพลางพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

“ถ้าอย่างนั้นเราก็แยกย้ายไปนอนเถอะ” ผมลุกขึ้นยืนพลางอ้าปากหาวหวอดๆ พร้อมกับเดินเนียนๆ ไปใกล้ๆ กับประตูบ้าน และอาศัยจังหวะที่จันทร์กำลังหันหลังเดินขึ้นบันไดที่เชื่อมต่อกับห้องใต้หลังคา มาเช็คกลอนประตูว่ามันล็อกอย่างแน่นหนาแล้วหรือไม่ จนกระทั่งได้คำตอบที่พึงพอใจ ผมก็เดินตรงเข้าห้องนอนของตัวเอง และพาดผ้าเช็ดผมลงบนพนักเก้าอี้ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างแรง
เหตุเพราะตอนนี้ผมกำลังง่วงนอนมากๆ แล้ว

-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 3 (update 11/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 11-02-2018 01:01:26
กระทั่งกลางดึก ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงฮัมเพลงของเด็กสาวในท่วงทำนองของเพลง ‘หนูมาลี’ จากนั้นไม่นานเสียงปลายเท้ากระโดดโลดเต้นลงบนพื้นปูนก็ดัง ตึก ตึก ตึก ตามมาติดๆ
ทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง และนึกไปถึงเรื่องที่ไอ้บาสมันเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มันเคยได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังฮัมเพลง พร้อมกับเดินตึงตังอยู่ในบ้านแบบนี้แหละ

“คิกๆ” เสียงหัวเราะของเธอทำเอาหัวคิ้วของผมขมวดมุ่น และวินาทีนี้ผมก็มั่นใจแล้วว่าผมไม่ได้ฝันไปแน่ๆ
“หรือว่าคนที่แอบเข้ามาในบ้านวันนั้น จะเป็นเด็กผู้หญิงคนนี้ ?” ผมได้แต่พูดพึมพำกับตัวเองเพียงเบาๆ พร้อมกับรู้สึกแปลกๆ ที่เธอทำเสียงดังตึงตังขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครลุกออกมาดุเธอเลย ซ้ำร้ายจันทร์ยังนอนอยู่ตรงห้องใต้หลังคาเสียด้วย ไม่มีทางที่น้องจะไม่ได้ยินหรือเห็นเหตุการณ์ใดๆ เด็ดขาด

“เด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเราได้ไหมนะ..” ผมได้แต่ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งความเงียบสงบหวนคืนกลับมา จากนั้นความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงาน ก็ทำให้ผมเผลอหลับไปอีกครั้ง
และสุดท้าย คำตอบที่ผมได้รับในเช้าวันนี้..
ก็ไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่ไอ้บาสเคยได้รับเลยสักนิด

“ไอ้บาส เมื่อคืนกูเจอแบบที่มึงเคยเล่าเลยว่ะ” ขณะขับรถเพื่อเดินทางออกจากบ้านกลางป่าสน โดยเผื่อเวลาให้ไปถึงตัวเมืองได้ทันเวลาเข้างาน ผมก็จัดการโทรหาญาติผู้น้องอย่างรวดเร็ว
(โห่พี่ภัทร ไว้ค่อยเล่าตอนเจอหน้ากันได้ไหมเล่า นี่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างเลยนะเว้ย) ปลายสายโอดครวญออกมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อผมอยากคุยกับมันตอนนี้นี่หว่า

“กูคิดว่าเด็กคนนั้น อาจจะเกี่ยวข้องกับความเครียดของคุณชลวิทย์ก็ได้ว่ะ เขาเคยหลุดพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเธอบ้างไหมวะ?” ผมเริ่มตั้งคำถามสวนกลับไป
(คุณพี่ครับ ขนาดผมถามออกมาโต้งๆ มันยังบอกเลยว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอ แล้วมันจะเล่าเรื่องของเธอไหมล่ะครับ คิดสิคิด! ที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องของจันทร์กับค่าใช้จ่ายเท่านั้นที่เป็นปัญหาของมันน่ะ) ไอ้บาสกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาผมนิ่งคิดอย่างไร้ทางออกขึ้นมาอีกครั้ง

(เออ ว่าแต่เช้ามืดนี้ พี่ได้คำตอบจากไอ้ชลว่ายังไงล่ะ?) อีกฝ่ายย้อนถามพลางกลั้วหัวเราะล่วงหน้า คล้ายกับเจ้าตัวเดาคำตอบที่ผมได้รับออกในทันที
“อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ” ผมพูดพลางถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เพราะเมื่อคืนเธอทำเสียงดังมาก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครได้ยินจนต้องสะดุ้งตื่นจากนิทรา แต่เดี๋ยวยังไงคืนนี้ผมจะลองสอบถามจันทร์ดูอีกที เพราะเมื่อเช้าน้องยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ ผมเลยมีโอกาสสอบถามแค่คุณชลวิทย์ แต่จากที่ไอ้บาสมันเคยได้รับคำตอบ ก็ชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งที่บ้านหลังนั้นกำลังปกปิด มันเกี่ยวกับเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนั้น ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องต้องห้ามที่ทำให้เด็กอย่างจันทร์ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดมันออกมา และอีกนัยหนึ่งผมก็เผลอคิดไปแล้วว่า สาเหตุที่ทำให้จันทร์หวาดกลัวความมืด คงจะเป็นเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น
เหตุเพราะความมืดมันไม่ได้ทำให้จันทร์มีอาการแพนิค เหมือนกับตอนที่ไปเดินเล่นพร้อมผมในวันนั้น..

“กูว่าจะลองสืบดูอีกที เผื่อว่าเราจะได้หาทางรักษาเพื่อนมึงด้วย” ผมบอกอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ โดยละเอาไว้ในใจว่านอกจากสืบเรื่องของคุณชลวิทย์แล้ว ผมก็อยากจะสืบเรื่องของจันทร์ด้วย เพราะผมรู้สึกเป็นห่วงน้องยังไงก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
(โอ้โห ทุ่มเทมาก ติดใจอะไรที่บ้านหลังนั้นวะพี่ ชอบความตื่นเต้นงี้เหรอ?) ไอ้บาสรีบย้อนถามอย่างกวนตีน

“ไม่รู้ดิ มึงก็รู้ว่าอะไรที่กูเริ่มสงสัย กูต้องรู้คำตอบให้ได้ถึงจะสบายใจ”
(หรา แล้วพี่จะทำยังไง ขืนเดินดุ่มๆ เข้าไป มันก็ได้สงสัยกันพอดี) ผมยกยิ้มตรงมุมปากเพียงเล็กน้อย เพราะในใจผมมีข้ออ้างอยู่แล้ว ซึ่งข้ออ้างที่ว่าก็หนีไม่พ้นเรื่องของจันทร์

“กูมีวิธีแล้วกันน่า แค่นี้นะ กูจะขับรถ”

ช่วงบ่ายระหว่างพักทานข้าว ผมโทรสั่งให้เด็กที่บ้านเอาเทียนหอมแท่งใหญ่ที่มีสีม่วงเหมือนกับดอกลาเวนเดอร์ประมาณ 3-4 แท่ง มาให้ที่โรงพยาบาล เพราะหลังจากเลิกงานแล้ว ผมจะลองวัดดวงด้วยข้ออ้างดังกล่าวดูสักครั้ง และคราวนี้ผมจะต้องหาโอกาสพูดคุยกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเพื่อล้วงความลับของคุณชลวิทย์ให้ได้ หรือถ้าหากคว้าน้ำเหลว อย่างน้อยๆ ผมก็ยังสามารถแอบถามผ่านทางจันทร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมจะต้องทำให้คุณชลวิทย์ไม่รู้สึกว่าผมกำลังลุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามของเขาด้วย ซึ่งมันก็ยากพอสมควร เพราะเขาเป็นคนไข้ที่ออกจะดื้อเงียบไปสักหน่อย
“เมื่อคืนหลอนหนักจนตาโหลเลยเหรอวะพี่ภัทร” หลังจากรับของจากเด็กที่บ้านแล้ว ผมก็เดินมาหาคาเฟอีนใส่ร่างกายอีกสักหน่อย เพราะวันนี้งานของผมยังคงหนักหนาเหมือนทุกวัน แถมตอน 9 โมงก็ยังมีประชุม เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเคสที่กำลังรักษากับจิตแพทย์ท่านอื่นและผู้อำนวยการตั้งหลายชั่วโมง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อหาแนวทางในการรักษาร่วมกันต่อไป เพราะการร่วมด้วยช่วยกันคิดจะทำให้เรามองเห็นอะไรอีกหลายด้าน ทีนี้ก็เลยบังเอิญมาเจอกับไอ้บาสที่ชอบมาซื้อเครื่องดื่มเพื่อเติมความสดชื่นให้กับร่างกาย เนื่องจากงานของมันก็ต้องใช้สมองในการคิดวิเคราะห์ตั้งมากมาย

“ตลก ไอ้สัส!” ไอ้ญาติผู้น้องคนนี้มันก็แปลกเว้ย เวลาเจอผมด่าแต่ละที แม่งดันหัวเราะอย่างชอบใจไปซะงั้น เหมือนกับวันไหนถ้าไม่ถูกผมด่าก็จะนอนไม่หลับอะไรทำนองนั้น
“ทำไมพี่ถึงมั่นใจนักวะ เรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะ” ระหว่างรอเครื่องดื่มที่สั่ง เราสองคนพี่น้องก็ถือโอกาสหามุมนั่งคุยกันเสียเลย เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงานแล้ว จะมีก็แต่เรื่องงานเท่านั้นที่ต้องพูดคุยเป็นส่วนใหญ่

“สงสัยไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่หว่า” ผมตอบพลางไหวไหล่
“แล้วพี่ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็นสิ่งลี้ลับบ้างเหรอวะ?”

“ตลกแดกเหรอมึง” ผมย้อนถามพลางเตะขามันไปหนึ่งที เพราะเรื่องลี้ลับในสายตาของแพทย์ มักจะถูกแทนที่ด้วยเหตุและผลทางด้านวิทยาศาสตร์เสมอ
“โห่ แหย่เล่นแค่หน่อยเดียวเอง แต่ก็นะ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องลี้ลับก็เถอะ ยังไงก็อดขนลุกไม่ได้อยู่ดีว่ะพี่” ไอ้บาสว่าพลางสั่นหัวอย่างสยดสยอง

“ก็จริงของมึง” ผมรับคำอย่างแผ่วเบา เพราะอันจริงในตอนนั้น ใจของผมก็ดันเผลอคิดไปถึงเรื่องราวของไสยศาสตร์ แต่พอลองโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องของคุณชลวิทย์ มันก็ทำให้ผมมองทุกอย่างให้เป็นเหตุและผลตามหลักวิทยาศาสตร์
เลยทำให้วินาทีนั้น ผมดูมีสติอย่างแน่วแน่

ในที่สุดคืนนี้ภารกิจของผมก็สำเร็จด้วยดี เวลานี้ผมจึงมานอนแผ่อยู่บนเตียงในห้องรับรองด้วยข้ออ้างที่ว่า ผมแวะมาดูอาการของคนไข้ที่อยู่ในเขตอำเภอนี้เข้าพอดี ก็เลยแวะเอาเทียนมาให้จันทร์ จากนั้นรถก็สตาร์ทไม่ติด แล้วก็ทำเป็นคิดหนักว่าผมจะกลับอย่างไร และพรุ่งนี้จะไปทำงานอย่างไร คุณชลวิทย์เลยออกปากอนุญาตให้พักค้างคืนที่นี่ และในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจะยอมออกจากบ้านให้เร็วขึ้นอีกหน่อย เพื่อที่ผมจะได้ติดรถเข้าไปในตัวเมือง
ซึ่งระหว่างที่ผมเอาเทียนมาให้จันทร์ ผมก็พาน้องออกมานั่งคุยตรงด้านนอกของตัวบ้าน ในขณะที่คุณชลวิทย์กำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เลยทำให้ผมทราบว่าที่จริงแล้ว จันทร์เป็นคนที่ถ้าได้นอนแล้วจะตื่นยากมาก น้องก็เลยไม่ได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อมากนัก
และก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่เชื่อจันทร์ ทั้งๆ ที่น้องก็ไม่ได้มีท่าทีส่อพิรุธแต่อย่างใด

คลิก!

ผมหันไปมองยังประตูห้องน้ำทันทีที่ได้ยินเสียงล็อกประตู จากนั้นคนในห้องน้ำก็ทำธุระส่วนตัว ทั้งๆ ที่ความมืดมิดกำลังโรยตัวอยู่รอบๆ กาย ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจันทร์ถึงไม่จุดเทียนให้แสงสว่าง ในเมื่อผมก็ให้เทียนไปตั้งหลายแท่งแล้ว แต่สักพักผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีคนๆ นั้นอาจจะเป็นคุณชลวิทย์ ผมจึงหลับตาเตรียมตัวจะเข้านอน
แต่เพราะใจมันจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนา ผมจึงไม่ยอมง่วงเหงาหาวนอนเสียที

ผมรอจนกระทั่งห้องน้ำว่างเลยตัดสินใจลุกไปเข้าบ้าง จากนั้นก็เปิดประตูออกไปนั่งตรงโต๊ะริมหน้าต่างที่จันทร์ชอบนั่ง เพื่อรอจังหวะที่เด็กผู้หญิงคนนั้นจะปรากฏตัว แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว เพราะแม้แต่จันทร์ที่นอนอยู่บนห้องใต้หลังคา ก็ยังคงหลับใหลจนน่าอิจฉา เนื่องจากในวันนี้น้องได้เทียนหอมเพิ่มอีกตั้งหลายแท่ง เจ้าตัวก็เลยไม่กลัวความมืดอีกต่อไป..
พอคิดได้แบบนั้น ผมก็อดยกยิ้มออกมาไม่ได้

แต่แล้วรอยยิ้มของผมก็หดหายไป เมื่อกลิ่นเทียนหอมที่กำลังอบอวนอยู่นั้น ไม่ใช่กลิ่นลาเวนเดอร์ แต่มันคือกลิ่นวานิลลา ซึ่งผมไม่เคยซื้อให้จันทร์
“คุณชลวิทย์ซื้อให้งั้นเหรอ?” ผมพูดงึมงำกับตัวเองเพียงเบาๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งสาเหตุแรกก็เพราะผมกำลังสงสัยว่าคนที่ออกปากว่าเทียนมันแพงอย่างคุณชลวิทย์จะซื้อให้จันทร์ แถมเทียนที่ซื้อให้ก็ยังเป็นเทียนหอมซะด้วย ราคาแท่งนึงก็ตั้งหลายบาท คุณชลวิทย์จะซื้อให้จันทร์จริงๆ น่ะเหรอ แต่ถ้าหากไม่ซื้อให้ แล้วใครกันล่ะที่จะซื้อให้อีกฝ่าย ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ จู่ๆ ใจของผม มันก็ดันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับกำลังน้อยใจที่จันทร์ไม่ยอมใช้เทียนที่ผมเอามาให้
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับผมสิ!

เมื่อประเมินแล้วว่าวันนี้คงไม่มีทางเจอตัวเด็กผู้หญิงคนนั้น ผมก็ตัดสินใจเดินไปเช็คกลอนประตูเพื่อความมั่นใจอีกหน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปยังห้องพักของตัวเอง แล้วก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างแรง พร้อมกับก่นด่าและขยุ้มเส้นผมของตัวเองด้วยความยุ่งยากใจ..
“ไอ้ห่าภัทร มึงคิดอะไรของมึงวะเนี่ย น้อยใจเหรอวะ?”

คลิก!

ผมกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูออกไปข้างนอก และเมื่อตั้งสติได้ผมก็รีบวิ่งไปยืนตรงริมหน้าต่าง แต่กลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง คงเป็นเพราะหน้าต่างในห้องนี้ มองเห็นแค่บริเวณข้างบ้านเท่านั้น ซึ่งก็แสดงว่าใครสักคนกำลังเดินตรงไปข้างหน้า และมันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ว่า เขาคนนั้นกำลังเดินตรงไปยังทิวสนอันสูงลิบลิ่ว ซึ่งพอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มประติดประต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้บ้างแล้ว
โดยเริ่มลำดับจากวันแรกที่ผมบังเอิญเหยียบเศษดินที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นบ้าน และนั่นก็แสดงว่าคนที่แอบลักลอบเข้ามาก็คือคนคนเดียวกับที่เพิ่งจะเดินออกไปจากตัวบ้านเมื่อครู่ และเขาก็ไม่ใช่โจรอย่างที่คิด เนื่องจากเขาเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ แล้วก็กลับเข้ามาตอนที่ผมเดินออกไปปรากฏตัวในความมืด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณชลวิทย์ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าที่นี่คือสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับจันทร์
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่เดินออกไปจะใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า
แต่ก็น่าแปลกที่เธอไม่ทำเสียงดังตึงตังเหมือนกับเมื่อวาน

“หรือว่าเธอได้รับการตักเตือนแล้ว ?”

พอคิดได้แบบนั้นผมก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นลง เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นมาเสียก่อน ผมจึงได้แต่ก่นด่าตัวเองที่มัวแต่คิดวิเคราะห์อยู่นานจนพลาดโอกาส
แต่ก็ตัดสินใจแง้มประตูออกไปดูความเป็นไปข้างนอกห้อง

‘เหี้ย!’ ผมปิดปากตัวเองพลางสบถแบบไม่มีเสียง เมื่อจู่ๆ อะไรบางอย่างที่มีสีขาวๆ ก็ลอยผ่านหน้าของผมไปแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซึ่งมันทำให้ผมตกใจมาก เพราะโฟกัสของผมอยู่ตรงสีขาวๆ นั่นพอดี
ผมจึงปิดประตูห้องพลางกุมหน้าอกที่สั่นรัวด้วยความตื่นเต้น
เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องราวที่เป็นเหตุและผลในทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด


゚゚❀゚゚

[18/02/2018 รีไรท์บางประโยค / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
มาต่อแล้วค่ะ เรื่องนี้อาจจะเขียนได้ช้าหน่อยนะคะ ไม่ค่อยถนัดอย่างแรง
รายละเอียดแลเยอะกว่าเรื่องฟอลอินยูซะอีก T_T
คิดถึงการเขียนแบบฟีลกู๊ดขึ้นมาทันที หากผิดถูกยังไงก็ขออภัยนะคะ
คึคึคึ เราเห็นมีคนเมนต์ว่ายังไงก็ได้ขอให้ไม่ใช่ผี เอาเป็นภาวนากันเอานะคะ 5555
ขอบคุณที่ติดตามเหมือนเดิมค่า
ปล. เพลงหนูมาลี คือเพลงที่ร้องว่า หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว อ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 4 (update 13/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 13-02-2018 02:00:51
ตอน 4

“เสียงเพลงพวกนี้ มันคงไม่รบกวนคุณหมอใช่ไหมครับ?” คุณชลวิทย์เอ่ยถามขณะที่รถกระบะของเขากำลังขับเคลื่อนออกจากป่าสนอันทอดยาวอย่างเชื่องช้า
“ไม่เลยครับ ดีเสียอีก ผมจะได้อาศัยจังหวะนี้นอนพักเอาแรง” ผมตอบคุณชลวิทย์พลางกอดอกและยกยิ้มส่งไปให้อีกฝ่าย ทำเอาสารถีจำเป็นหลุดหัวเราะออกมาเพียงเบาๆ โดยที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ไม่ได้มีส่วนใดคล้ายคลึงกับใครบางคนที่กำลังนอนหลับฝันดีอยู่ในบ้านหลังสีน้ำตาลกลางป่าสนกลับแฝงความกังวลเอาไว้อย่างปิดไม่มิด

“คุณปริพันธ์แนะนำให้ผมลองเปิดเพลงบรรเลงในขณะที่กำลังขับรถดูน่ะครับ เขาบอกว่าเพลงพวกนี้จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และสมองก็จะไม่โฟกัสไปที่ความหวาดกลัว ประมาณว่ามันจะสามารถช่วยปรับสมดุลอะไรได้นี่แหละครับ ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนักหรอก” สารถีจำเป็นบอกเล่าคล้ายกับต้องการจะหยิบยกเรื่องราวต่างๆ มาบดบังความหวาดกลัวที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ในจิตใจได้อย่างแนบเนียน
“คงไม่ใช่เพราะไอ้บาส เอ่อ.. คุณปริพันธ์พูดจาไม่รู้เรื่องหรอกใช่ไหมครับ ?” ผมย้อนถามแกมหยอกเย้าเพียงเล็กน้อย จากนั้นร่างสูงพอๆ กับผมก็ส่ายหัวพร้อมกลั้วหัวเราะออกมาเพียงเบาๆ

“นักจิตวิทยาคนนั้น เขามีทักษะในการเกลี้ยกล่อมขั้นเทพเลยล่ะครับ ถึงผมจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายก็จะเข้าใจในลักษณะที่..อธิบายให้คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องตามเขาไปนั่นแหละครับ” ผมหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น เพราะคำตอบของสารถีคนนี้กลับถูกอกถูกใจผมยิ่งนัก
“ผมคิดว่าการที่คุณเข้าใจเขา มันอาจจะเป็นเพราะคุณไว้วางใจในตัวเขามากพอสมควรก็ได้ครับ”

“ก็คงงั้นมั้งครับ”
“…”
 
“ว่าไปแล้วคุณชลวิทย์กับน้องจันทร์ มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันจนผมรู้สึกได้..” หลังจากบทสนทนาทั่วๆ ไปถึงคราวต้องหยุดชะงัก เหตุเพราะเราต่างก็ยังไม่สนิทกันมากนัก ผมเลยถือโอกาสกล่าวเปิดประเด็นในเรื่องที่แวบเข้ามาในหัว พลางยกยิ้มเมื่อนึกไปถึงจันทร์อย่างไม่ทราบสาเหตุ

“คุณหมอหมายถึงยังไงเหรอครับ ?”
“รอยยิ้มน่ะครับ พวกคุณสองคนเหมือนกันตรงที่ ไม่ว่าจะพบเจอกับเรื่องราวกังวลใจมากแค่ไหน พวกคุณก็มักจะมอบรอยยิ้มให้กับผู้อื่นเสมอ”

“รอยยิ้มมันก็เหมือนกับหน้ากากไม่ใช่เหรอครับ?” คุณชลวิทย์ย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงแต่คำถามนั้นกลับแฝงความรู้สึกนึกคิดเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน
“คงจะใช่มั้งครับ” ผมตอบพลางไหวไหล่ เพราะอันที่จริงรอยยิ้มของผมที่ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่หรือว่าช่วงเวลาอื่นๆ ถ้าให้พูดกันตามตรง มันก็เกิดจากการที่เราทำ ‘หน้าที่’ ให้บริการอยู่บ่อยครั้ง และก็ทำมันอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่ง..

“ผมคิดว่าการมีคนมานั่งรถเป็นเพื่อนคุณในขณะที่กำลังขับรถ ดูเป็นทางออกที่ไม่เลวเลยนะครับ” หลังจากคุณชลวิทย์ขับรถเข้ามายังตัวเมืองได้สักพัก ผมก็อดจะเสนอแนะอย่างอ้อมๆ ไม่ได้
“ข้อสันนิษฐานนี้ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้อยู่นะครับ แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะบทเพลงบรรเลงก็ได้”

“หึ ก็จริงครับ แต่ของแบบนี้มันต้องลองทดสอบดูนะครับ”
“คุณหมอกำลังจะเกลี้ยกล่อมให้ผมพาจันทร์เข้าตัวเมืองอีกแล้วใช่ไหมล่ะครับ?” อีกฝ่ายย้อนถามอย่างรู้ใจ จนทำเอาผมได้แต่ยกยิ้มอย่างไร้คำแก้ตัว

“แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละครับ จันทร์จะปลอดภัยที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ที่บ้านหลังนั้น” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากท่าทีสบายๆ เมื่อครู่ลิบลับ
“อันที่จริง ผมก็ไม่ได้เจาะจงนักหรอกครับว่าน้องจันทร์จะต้องเป็นคนนั่งรถมาเป็นเพื่อนคุณ..” ผมหย่อนเหยื่อลงในสถานการณ์ที่เริ่มจะเป็นใจให้ตัวเองได้สอบถามไปถึงเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนนั้นแทบจะทันทีที่มีโอกาส แม้ว่าสิ่งที่ได้พบเจอเมื่อคืน มันจะสร้างความช็อคซีนีม่าให้กับผม แต่พอตั้งสติได้ ผมก็เฝ้าบอกกับตัวเองว่า อะไรบางอย่างที่มี ‘สีขาว’ นั่น! อาจจะเป็นเครื่องประดับหรือไม่ก็เครื่องแต่งกายของเด็กผู้หญิงคนนั้น
ซึ่งก็บ่งบอกได้แล้วว่า..
เธอมีตัวตนจริงๆ หาใช่สสารที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้

“เรามีกันสองคนพี่น้อง แล้วผมจะไปหาคนคนนั้นมาจากที่ไหนล่ะครับคุณหมอ”
“ผมก็ลองพูดเผื่อๆ ว่าคุณจะมีคนคนนั้นไงครับ” ผมกล่าวพลางยกยิ้ม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอีกครั้ง เพราะคำตอบของคุณชลวิทย์ในครั้งนี้..
มันกำลังบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า..
เรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่เคยมีอยู่จริง..

ในที่สุดผมก็มาถึงโรงพยาบาลก่อน 8 โมงเช้าอย่างปลอดภัย และมันก็ทำให้คุณชลวิทย์ดูโล่งใจมากๆ ด้วย คงเพราะว่าการขับรถเข้ามายังตัวเมืองในครั้งนี้ ไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นกับเขา กระทั่งไฟท้ายรถกระบะคันที่ผมใช้โดยสารมาที่นี่ ค่อยๆ ขับเคลื่อนออกไปจนสุดสายตา ผมก็นึกขึ้นได้ว่าคำพูดสะกิดใจอย่างแนบเนียนของผม มันคงจะแนบเนียนมากจนเกินไป เขาถึงได้ไม่เอะใจเลยว่าทำไมผมถึงพูดราวกับว่าจันทร์ก็มีเรื่องที่ต้องเป็นกังวลด้วยเหมือนกัน
แต่บางที.. เรื่องแบบนี้ถ้าหากจันทร์ลองพูดกับพี่ชายของเขาด้วยตัวเอง มันก็อาจจะดีกว่าผมพูดเองก็เป็นได้..

งานในช่วงเช้าของผมเริ่มต้นด้วยการราวนด์คนไข้ โดยเริ่มจากแผนกของตัวเองก่อน แล้วค่อยวนไปยังแผนกอื่นๆ ตามลำดับ ซึ่งห้องพักของผู้ป่วยแผนกจิตเวช จะแตกต่างจากห้องพักผู้ป่วยของแผนกอื่นอยู่มาก โดยเฉพาะลักษณะการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่เลือกใช้ เช่น ตู้ และเตียง ทางโรงพยาบาลจะไม่ใช้แบบที่มีหูจับ เพราะถ้าหากผู้ป่วยที่มีแนวโน้มในการคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองมาเข้าพัก เขาอาจจะใช้ส่วนนั้นให้เป็นประโยชน์ หรือแม้แต่กระจก ทางเราก็จะใช้กระจกนิรภัยที่มีความแข็งแรงทนทานกว่าปกติ ส่วนฝักบัวในห้องน้ำก็จะออกแบบให้หัวฝักบัวขนาดใหญ่ซ่อนอยู่บนฝ้าเพดาน ซึ่งคนไข้จะไม่สามารถใช้เชือกหรือสิ่งอื่นใดผูกติดกับส่วนนั้นได้
ด้วยความที่โรงพยาบาลของเรามีจิตแพทย์อยู่เพียงสามคน จึงต้องสลับกันเข้าเวรอย่างเท่าเทียม ซึ่งเวรของผมก็คือวันพุธและวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์หากเกิดเหตุฉุกเฉินพยาบาลถึงจะโทรเรียก ผมก็เลยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้นอยู่เสมอ จึงทำให้มีเวลาไปที่บ้านกลางป่าสนแค่เพียงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ แต่เดือนหน้าผมคงไม่ต้องเข้าเวรในวันเสาร์อีกแล้ว เพราะทางโรงพยาบาลจะให้เราสลับวันกัน โดยวนไปเรื่อยๆ เพื่อตัดปัญหาของการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน

วันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการแบบนี้ จะไม่มีการตรวจ OPD ผมเลยมีเวลามาเข้าร่วมกิจกรรมกับคนไข้ที่วอร์ดของตัวเอง ซึ่งกิจกรรมในวันนี้จะเป็นกิจกรรมบำบัดด้วยการทำขนม โดยการทำกิจกรรมพวกนี้เราไม่ได้วางเป้าหมายให้คนไข้มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ แต่เราจะใช้กิจกรรมพวกนี้เป็นสื่อกลางที่จะทำให้คนไข้เข้าใจสภาวะทางจิตใจของตัวเองมากขึ้น โดยมีนักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด นักศิลปะบำบัด คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

จนกระทั่งถึงเวลาพักทานอาหารของคนไข้ ผมจึงกลับมานั่งวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ห้องทำงานของตัวเอง และเมื่อเวลาเที่ยงตรงเดินทางมาถึง ผมก็ไปทานอาหารที่โรงอาหาร แล้วแวะซื้อเครื่องดื่มเหมือนกับทุกวันอย่างเหงาๆ เนื่องจากเพื่อนหมอคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าเวรต่างก็พากันกลับบ้านไปพักผ่อน จนเวลาบ่ายโมงตรง ผมก็ไปเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดด้วยการร้องเพลง
ซึ่งคนไข้ก็ดูสนุกสนานและผ่อนคลายไปกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก

กระทั่งออกเวรเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลากคอไอ้บาสไปเอารถที่บ้านกลางป่าสน ซึ่งมันก็บังคับให้ผมรีบไปรีบกลับ ผมก็เลยไม่ค่อยได้คุยกับเจ้าของบ้านทั้งสองคนมากนัก จนกระทั่งวันเวลาผันผ่านมาจนถึงวันศุกร์ บรรยากาศของบ้านกลางป่าสนก็ยังคงลึกลับในความรู้สึกของผมเสมอ และช่วงเวลาที่บ้านทั้งหลังกำลังตกอยู่ในความมืด มันก็คือช่วงเวลาแห่งการนัดหมายระหว่างผมกับจันทร์ไปเสียแล้ว จึงทำให้ตอนนี้เรากำลังนั่งปักหลักอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างท่ามกลางแสงจันทร์และแสงเทียนกรุ่นกลิ่นลาเวนเดอร์ พร้อมด้วยขนมปังหน้าตาน่ารักในแบบที่หากทำขายก็คงจะขายดิบขายดี

“พอดีจันทร์ว่างๆ ก็เลยชอบทำขนมเล่นอยู่บ่อยๆ ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าจันทร์ยังไม่เคยขอบคุณพี่หมอที่ช่วยชีวิตจันทร์เอาไว้เลย” เด็กชายตัวเล็กพูดด้วยสีหน้าบ่งชัดว่าเขากำลังมีความสุขในกิจกรรมที่ได้ทำและยังรู้สึกขอบคุณผมจากใจจริงที่ช่วยเขาไว้ในวันที่มีอาการเหมือนแพนิค
“ขอบคุณนะจันทร์ แต่มันน่ารักจนพี่ไม่กล้ากินเลย” ผมกล่าวพร้อมกับยกยิ้มเมื่อได้สังเกตรูปลักษณ์ของขนมปังที่จันทร์ทำออกมาเป็นรูปหน้าหมีเรียงติดกันเป็นวงกลมประมาณหกถึงเจ็ดก้อนในถาดไม้แบบทรงกลมอย่างน่ารัก

“อร่อยนะ” จันทร์ยิ้มขำเพียงเล็กน้อย จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวสำทับเพียงสั้นๆ เพื่อบ่งบอกให้ผมรู้ว่า ถึงมันจะน่ารักมากแค่ไหน ผมก็ควรลองชิมดูสักคำ
“อื้อ” ผมรับปากในลำคอ จากนั้นก็หยิบขนมปังหน้าตาน่ารักเข้าปากจนรับรู้ได้ว่าขนมปังที่จันทร์ทำเป็นขนมปังไส้สังขยา

“จันทร์จดสูตรเอาไว้ด้วยล่ะ” อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็เดินขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาแบบเปิดโล่ง ผมจึงมองตามร่างนั้นด้วยความสนใจ เลยเห็นว่าจันทร์กำลังหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากในตู้หนังสือที่น่าจะอยู่ตรงปลายเตียง ก่อนจะวิ่งลงบันไดอย่างแผ่วเบาและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆ ผม
“เจ้านี่มันเป็นขนมปังยอดฮิตของญี่ปุ่นในตอนนี้เลยนะครับ” จันทร์อธิบายพลางเปิดไปยังหน้าที่เจ้าตัวจดสูตรของขนมปังชนิดดังกล่าว ซึ่งผมก็อดจะทึ่งในความสามารถของเจ้าของบ้านตัวเล็กไม่ได้ เพราะการจดสูตรของเขาเนี่ย ไม่ใช่แค่การเขียนตัวหนังสือธรรมดาๆ แต่จันทร์กลับวาดรูปประกอบอย่างสวยงามด้วยน่ะสิ

“หืม? แล้วจันทร์ไปเอาสูตรมาจากไหนล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างนึกแปลกใจ
“อินเตอร์เน็ตครับ” แต่แล้วคำตอบของจันทร์ก็สร้างความแปลกใจให้ผมอีกครั้ง

“พี่ชลเป็นคนหามาให้จันทร์เหรอ ?”
“อื้อ พี่ชลเป็นคนหาสูตรแล้วก็ซื้ออุปกรณ์มาให้จันทร์ทำแก้เบื่อ” คำตอบของจันทร์ทำเอาผมเริ่มรางๆ จะเข้าใจแล้วว่าทำไม คุณชลวิทย์ถึงไม่เกิดอาการแพนิคอย่างที่เคยเป็น แล้วสาเหตุของมันก็ไม่ใช่เพราะมีใครสักคนมานั่งเป็นเพื่อนในเวลาขับรถ หรือแม้กระทั่งการเปิดเพลงบรรเลงแต่อย่างใด

“ว่าแต่จันทร์ทำขนมแบบนี้มานานหรือยัง?” ผมสอบถามอีกฝ่าย แม้ว่าจำนวนหน้าของสมุดจดสูตรเล่มดังกล่าวจะเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะถามลองเชิงอีกสักหน่อย
“ก็นานแล้วครับ” ผมยิ้มรับคำตอบ จากนั้นก็นิ่งคิดถึงเรื่องของคุณชลวิทย์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสูตรอาหารของจันทร์ มันก็สามารถบ่งบอกได้ว่า คุณชลวิทย์ไม่ได้คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องของค่าใช้จ่ายอย่างที่แสดงออก เนื่องจากเขายังมีเวลาไปเข้าร้านอินเตอร์เน็ตเพื่อหาสูตรขนมมาให้จันทร์ ซึ่งคนที่กำลังกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอันฟุ่มเฟือยจะลงทุนเข้าร้านเน็ตแล้วไปซื้ออุปกรณ์พวกนี้มาให้น้องชายทำไม แล้วไหนจะข้ออ้างที่ว่า เขาไม่ค่อยมีเวลาให้จันทร์ เลยกังวลว่าจันทร์จะไม่เข้าใจนั่นก็อีก..

“เวลาอยู่ที่บ้าน จันทร์เคยเห็นพี่ชลมีอาการแพนิคบ้างหรือเปล่า?” ผมสอบถามจันทร์อย่างคาดหวังในคำตอบ เพราะการที่เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย มันก็เท่ากับว่าความเครียดและความกังวลในส่วนนั้นยังไม่ถูกปลดปล่อย
“ไม่นะครับ” คำตอบของจันทร์ค่อนข้างชัดเจนทำเอาผมได้แต่ถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก เพราะเมื่อเอาเข้าจริง หลังจากสอบถามความคืบหน้าในการรักษาจากคุณชลวิทย์แล้ว เจ้าของบ้านรายนั้นก็มักจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องอย่างเงียบสงบเสมอ
 
“แล้วจันทร์ล่ะ มีอาการแบบนั้นอีกหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีครับ แต่ว่าจันทร์ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่ชลเลย” น้องตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ ราวกับหวั่นเกรงว่าผมจะดุ

“ไว้จันทร์มีโอกาสค่อยคุยกับพี่ชลก็ได้ แต่อย่ารีรอนานนักนะ”
“ครับ”

“ว่าแต่จันทร์สนใจทำขนมขายหรือเปล่า ?”
“คงไม่ไหวหรอกครับ จันทร์ไม่ได้ทำอร่อยขนาดนั้น” อีกฝ่ายตอบอย่างถ่อมตัวพลางส่ายหน้าท่าเดียว

“แล้วนี่จันทร์ให้พี่หมดเลยเหรอ?” ผมเอ่ยถามพลางมองไปที่อีกฝ่ายอย่างรอคอยคำตอบ จนกระทั่งน้องพยักหน้าผมก็เริ่มพูดต่ออีกประโยค
“ถ้าอย่างนั้น.. พี่ขอเอาไปให้คนอื่นลองชิม แล้วค่อยมาบอกผลในวันศุกร์หน้าได้หรือเปล่า?” น้องทำสีหน้าลังเล เหมือนกับเขายังไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเองนัก

“ขนมฝีมือของจันทร์มันอร่อยนะ พี่ยังชอบเลย อีกอย่างจันทร์จะได้มีรายได้ไปช่วยพี่ชลด้วยไง?”
“ครับ เดี๋ยวจันทร์จะเอาไปใส่กล่องทัพเพอร์แวร์ให้ ตอนเช้าพี่หมออย่าลืมหยิบจากในตู้เย็นไปด้วยนะ” น้องรับปากก่อนจะหยิบเทียนบนโต๊ะและเดินหายเข้าไปยังส่วนของห้องครัว ซึ่งอยู่ตรงด้านหลังของประตูบานที่เจ้าตัวเคยร้องเรียกคุณชลวิทย์ในวันที่ผมเข้ามาเยือนที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงได้แต่นั่งมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมาเปิดสมุดรวบรวมสูตรขนมของจันทร์ โดยอาศัยแสงจันทร์จากบนฟ้าในการอำนวยความสะดวก จึงทำให้ผมยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเด็กคนนี้มากขึ้น เพราะเขาดูเป็นคนละเอียดอ่อน อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเมนูในวันนี้ที่เขาทำให้ผมลองชิม จันทร์ได้วาดภาพอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ตรงมุมหนึ่งของหน้ากระดาษ พร้อมเขียนกำกับด้วยลายมือสวยๆ ของเจ้าตัวว่าอะไรเป็นอะไร จากนั้นพอกล่าวถึงขั้นตอนในการลงมือทำ น้องก็จะวาดถ้วยใหญ่ๆ หนึ่งใบ และเหนือถ้วยใบนั้นก็วาดรูปส่วนผสมต่างๆ และมีลูกศรชี้ลงไปยังถ้วยใบนั้น อีกทั้งยังเขียนคำบรรยายกำกับเอาไว้ข้างๆ ด้วยลายมือตัวบรรจงอย่างเป็นระเบียบ

“พี่หมอห้ามขโมยสูตรของจันทร์นะ” พอเจ้าตัวกลับมานั่งทางฝั่งตรงข้าม เขาก็รีบทักท้วงอย่างหยอกล้อ
“ถึงขโมยไปพี่ก็ทำไม่เป็นหรอก จันทร์สบายใจได้เลย” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะพร้อมกับปิดสมุดจดสูตรของรักของหวงของอีกฝ่าย แล้วดันสมุดเล่มนั้นคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ
จากนั้นความเงียบก็ตรงเข้าครอบงำเราสองคน เมื่อดวงตากำลังสบผสานกันอย่างเผลอไผล

“พี่หมอ..”
“หืม?”

“หัวใจมันเต้นแปลกๆ จันทร์กำลังจะเป็นแบบวันนั้นหรือเปล่าครับ?” น้องถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะที่ดวงตาของเขาก็จ้องมองมาที่ผม
“แล้วนี่มือของจันทร์ก็เย็นมากๆ ด้วย เหงื่อออกเต็มไปหมด” จันทร์บ่นพร้อมกับถือวิสาสะมากอบกุมมือของผมไว้ ราวกับต้องการจะยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดกังวลไปเอง
แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าจันทร์กำลังใช้อาการที่ว่านั่นเป็นข้ออ้างเพื่ออะไรบางอย่าง..
ซึ่งอะไรบางอย่างที่ว่า.. ก็ทำให้หัวใจของผม เต้นรัวไม่ต่างกับจันทร์

“พี่ถึงบอกให้เรารีบไปตรวจไง” แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะพูดวกกลับไปยังอีกประเด็นหนึ่ง
“อื้ม” จันทร์รับปากอย่างแผ่วเบา โดยที่ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันอยู่แบบนั้น ทำเอาสายตาของผมไม่อาจละไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย ผมจึงถือโอกาสสำรวจเครื่องหน้าของคนคนนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่เส้นผมสีดำที่มีความยาวจนเกือบจะถึงดวงตาเรียวเล็กนั่น แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับเจ้าตัวมากนัก เพราะมันก็เป็นทรงที่วัยรุ่นผู้ชายชอบตัดกันนั่นแหละ

“ดวงตาของจันทร์เหมือนลูกตาของกวางเลยนะ” ผมกล่าวขึ้นอย่างเผลอตัว ทำเอาอีกฝ่ายยกยิ้มด้วยสีหน้าสงสัย แต่ผมก็ไม่คิดจะให้คำตอบ จนกระทั่งสายตาเลื่อนมาหยุดลงที่ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย
“เราเข้านอนกันเถอะ พี่เริ่มง่วงซะแล้วล่ะ” ผมดึงฝ่ามือของตัวเองออกจากการกอบกุมอย่างละมุนละม่อม ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินตรงเข้าไปยังห้องพักรับรอง โดยไม่ได้รีรอให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาเหมือนกับวันก่อนๆ

“นั่นเด็กนะเว้ย ไอ้ห่าภัทร!” หลังจากทิ้งตัวลงบนที่นอน ผมก็ออกปากก่นด่าตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะปฏิกิริยาของผมที่มีต่อจันทร์มันเริ่มจะแปลกๆ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว..
แต่เมื่อครู่..
จู่ๆ ผมก็ดันไปจ้องมองริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นนานสองนาน

“เห้อ~”
“ถ้าอายุห่างกันไม่มากก็ดีสิ” ผมออกปากอย่างเสียดาย เพราะอันที่จริงผมเองก็รู้ตัวดีว่าผมน่าจะสนใจจันทร์เหมือนอย่างที่จันทร์พยายามจะบอกผมทางอ้อม ซึ่งเหตุการณ์พัฒนาความรู้สึกอย่างเห็นได้ชัด ก็คงจะเป็นช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายของจันทร์รวมไปถึงความใจดีของผมที่มีให้เขาด้วยน่ะแหละ

จริงๆ แล้วในเรื่องของความรัก ผมไม่เคยมีกฎเกณฑ์มากมายอะไรนัก จึงทำให้ผมเคยคบหาทั้งหญิงและชาย แต่สุดท้ายเราก็ไปกันไม่รอด แล้วผมก็ไม่นิยมจะคบหากับหมอหรือพยาบาลด้วยกันซะด้วย และตั้งแต่เลิกกับแฟนคนล่าสุดไปเมื่อปีก่อน ผมก็คิดว่าการอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่เลวนัก แต่พอมาเจอคนที่น่าค้นหาแบบจันทร์ ผมกลับเผลอไผลไปซะได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเสี่ยงเอาเสียเลย เพราะตอนที่ผมคบกับคนอายุใกล้ๆ กัน ความรักก็ยังไปกันไม่รอด หนักสุดก็เด็กมหาลัยซึ่งก็ไม่รอดเหมือนเคย
แล้วกับเด็กอายุ 15 อย่างจันทร์ ผมฟันธงได้เลยว่าความสัมพันธ์มันก็คงจะจบลงเหมือนที่ผ่านมา..
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผม แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วจันทร์ต้องการจะสื่ออะไร..

แต่ผมก็นับถือจันทร์นะ ที่เขากล้าหาญในการแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ ซึ่งนั่นคงจะเป็นข้อดีของความไร้เดียงสาที่ผมและคุณชลวิทย์เคยพูดถึงนั่นแหละ

คลิก!

“มาอีกแล้ว..” ผมลุกขึ้นและเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น แต่ในจังหวะที่ผมกำลังหันไปปิดประตูบ้าน ผมก็มองไม่เห็นเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาวอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ผมใช้เวลาเดินออกจากห้องไม่กี่วินาทีเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะไหนๆ ก็เดินออกมาข้างนอกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเดินตรงเข้าไปยังทิวสนที่ขนาบข้างเส้นทางเดินรถเพียงเส้นทางเดียวด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว เพราะรอบๆ กายดันมืดสนิท เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ผมจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านพร้อมล็อกประตูอย่างแน่นหนา และเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเดินกลับมายังตัวบ้านอีกครั้ง กระทั่งเธอไม่สามารถเปิดประตูบ้านได้อย่างเคย ผมจึงยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินไปแอบมองตรงข้างหน้าต่างทางฝั่งห้องของตัวเอง เผื่อว่าเธอจะไปนั่งปักหลักตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ แต่เมื่อมองออกไปยังบริเวณดังกล่าว ผมก็ดันเจอแต่ความว่างเปล่า
และบรรยากาศรอบๆ บ้าน ก็ดันเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจ

จากนั้นสักพักใหญ่ ผมก็เดินออกไปปลดล็อกประตู เพื่ออนุญาตให้เธอเข้ามาในบ้าน เพราะดูท่าทางแล้ว เธอเองก็คงจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน แต่แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงที่ผมกำลังจะเดินออกจากบ้านและกลับเข้ามา ผมได้กลิ่นเทียนหอมที่ไม่ใช่กลิ่นลาเวนเดอร์
ซึ่งกลิ่นๆ นี้มักจะมาพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงชุดขาวคนนั้น

ในเวลาเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ผมสอบถามกับคุณชลวิทย์ที่ตื่นมาเข้าห้องน้ำว่าเขาได้ซื้อเทียนหอมมาให้จันทร์บ้างหรือเปล่า เพราะผมจำได้ว่าผมซื้อแต่เทียนกลิ่นลาเวนเดอร์ให้เขาเท่านั้น ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือการปฏิเสธ ผมจึงต้องหอบความสงสัยและขนมปังฝีมือของจันทร์กลับเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง แต่ระหว่างที่ผมกำลังขับรถผ่านทิวสน และบังเอิญมองไปยังทุ่งสโนว์ดรอปส์ข้างๆ ทาง ผมกลับมองเห็นภาพของเด็กผู้หญิงชุดขาวนอนแฝงตัวอยู่ที่นั่นอย่างเลือนราง เพราะเธออยู่ในระยะไกลจากทางเดินรถมากพอสมควร แต่พอผมจอดรถในตำแหน่งที่แสงไฟสาดส่องไปยังร่างๆ นั้น ผมกลับมองไม่เห็นร่างของเธอในตำแหน่งเดิมอีกแล้ว..
ซึ่งผมมั่นใจว่าเมื่อครู่..
ผมไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ

゚゚❀゚゚

[18/02/2018 แก้คำตกหล่น / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
เด็กผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน แล้วทำไมถึงออกมาแต่ตอนกลางคืน ติดตามกันต่อไปจ้า เธอเริ่มจะปรากฏตัวแบบไม่ผลุบๆ โผล่ๆ แล้ว ส่วนน้องจันทร์ตอนนี้ก็เริ่มจะแสดงออกแล้วว่าตัวเองชอบพี่หมอ และพี่หมอก็เริ่มจะมีปฏิกิริยาบางแล้ว ฮ่าๆ เป็นคู่ที่อายุห่างกันสุดๆ ไปเลย T_T เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเราเขียนให้สะกิดใจชอบกันเร็วไปหรือเปล่า แต่ความเป็นความตายในตอนนั้นมันทำให้จันทร์มองพี่หมอแบบฮีโร่ได้เลยแหละ ส่วนพี่หมอนี่ก็ออกอาการตั้งแต่ได้กลิ่นเทียนที่ไม่ใช่กลิ่นที่ตัวเองซื้อให้แล้วล่ะนะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 5 (update 02/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 02-03-2018 01:54:47
ตอน 5

“โทรเรียกกระผมมา มีอะไรไม่ทราบครับ?” ไอ้บาสนั่งรอจนกระทั่งผมดีดตัวขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ ก่อนจะเอ่ยถามเปิดประเด็นอย่างกวนประสาท ผมจึงรีบว่ายน้ำไปทางเก้าอี้นั่งริมสระทางด้านซ้ายมือ จากนั้นก็วางแขนทั้งสองข้างลงบนพื้นไม้ข้างหน้า ส่วนลำตัวยังคงแช่อยู่ในสระน้ำตรงหน้าบ้าน พลางมองไปยังไอ้ญาติผู้น้องที่มีบ้านอยู่ในรั้วบริเวณเดียวกัน เพียงแต่บ้านของผมและของพ่อกับแม่จะอยู่ทางฝั่งขวามือ ส่วนครอบครัวของมันจะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ โดยมีสวนหย่อมขนาดพอเหมาะแยกสัดส่วนของแต่ละครอบครัวไว้
“กูบังเอิญได้ข้อมูลดีๆ มาว่ะ”

“พี่หมายถึงข้อมูลของไอ้ชลน่ะเหรอ?” ไอ้บาสรีบถามกลับอย่างสนใจ
“เออ! เมื่อวันเสาร์ กูต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด ระหว่างทางกูเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีขาวนอนอยู่ในทุ่งสโนว์ดรอปส์ว่ะ แล้วคืนก่อนหน้านั้น กูก็ตั้งใจจะแอบเดินตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป แต่พอกูหันหลังกลับไปปิดประตูบ้าน เธอก็หายไปแล้ว..” ผมเล่าพลางหยุดสังเกตพฤติกรรมของไอ้ญาติผู้น้องตรงหน้าสักเล็กน้อย

“อย่าบอกนะว่า.. ตอนเช้ามืด เธอก็หายตัวไปอีกครั้ง?” ไอ้บาสพูดขึ้นด้วยท่าทางสยดสยอง
“เออดิ แต่มึงเลิกคิดถึงเรื่องลี้ลับอะไรนั่นได้เลย” ผมรีบเบรกความคิดอันบรรเจิดของไอ้ญาติผู้น้องอย่างรวดเร็ว

“พี่เอาอะไรมามั่นใจนักหนาวะ หายตัวไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น ยังจะบอกว่าไม่ใช่”
“เพราะกูแอบล็อกประตูตอนที่เดินกลับเข้ามาในบ้านไงวะ แล้วผลก็คือเธอกลับเข้าบ้านไม่ได้เว้ยมึง ถ้าเป็นสิ่งลี้ลับจริงๆ คงไม่น่าจะไร้น้ำยาขนาดนั้น” ผมรีบเฉลยคำตอบให้ไอ้นักจิตวิทยาตรงหน้าได้เข้าใจ ก่อนที่มันจะคิดไปถึงสิ่งลี้ลับขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นใครกันวะ ผมไม่เคยเจอคนอื่นที่บ้านหลังนั้นเลยนะ นอกจากวันนั้นที่ผมเล่าให้พี่ฟังน่ะแหละ”
“กูก็ไม่รู้.. แต่ว่าเธอชอบปรากฏตัวพร้อมๆ กับเทียนหอมกลิ่นวานิลลาในตอนกลางคืน” ผมเฉลยพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเคาะลงบนพื้นไม้เพียงเบาๆ

“แต่ประเด็นคือ.. กูไม่เคยซื้อเทียนหอมกลิ่นนี้ให้จันทร์ แล้วคุณชลวิทย์เพื่อนมึงก็ไม่เคยซื้อเทียนให้จันทร์ด้วย”
“พี่กำลังจะบอกว่า.. เพื่อนผมมันโกหก?” ไอ้บาสรีบถามกลับอย่างหยั่งเชิง

“หรือมึงคิดว่าไม่ใช่ ?” ผมย้อนถามอย่างจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไอ้ชลกับเด็กผู้หญิงคนนั้น.. ก็ต้องรู้จักกันน่ะสิ?” หลังจากไอ้นักจิตวิทยาตรงหน้าวิเคราะห์จบ ผมก็รีบพยักหน้าแสดงความคิดเห็น

“อ่อ มีอีกเรื่องที่กูคิดว่ามึงน่าจะยังไม่รู้”
“จันทร์มีงานอดิเรกเป็นการทำขนมว่ะ แล้วสูตรทั้งหมด คุณชลวิทย์ก็เป็นคนไปหามาให้จากร้านอินเตอร์เน็ต แต่กูไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำขนมพวกนั้นจะมีครบครันมากแค่ไหน”

“แล้ว?”
“มึงคิดว่าคนที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย จะมีเวลามาทำอะไรพวกนี้ให้น้องชายเหรอวะ? เขาจะหาภาระเพิ่มให้ตัวเองจริงดิ?”

“อ้าว คนรักน้องมันก็ทำได้ไงพี่ภัทร โห่! อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน!”
“กวนตีนไอ้สัส!” ผมด่าไอ้บาสพร้อมกับดึงขามันเตรียมจะลากลงน้ำมาด้วยกัน แต่มันเสือกโวยวายจนแม่เดินออกมาด่าผมเสียนี่

“นั่นแม่กูหรือแม่มึงวะเนี่ย” ผมบ่นพลางส่ายหัว
“ต่อๆ อย่าเพิ่งบ่นสิวะ พี่ภัทรนี่ก็.. ทำตัวเป็นตาแก่ขี้น้อยใจไปได้”

“มึงน่าจะโดนตีนกูสักทีนะไอ้บาส” ผมย้อนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางสะบัดน้ำใส่ไอ้ญาติผู้น้องจนเนื้อตัวเปียกซก
“เข้าเรื่องเถอะนะสุดหล่อ กูกราบล่ะนะพี่ภัทร กูหนาวไปหมดแล้วเว้ย!”
“ก่อนหน้านี้คุณชลวิทย์เคยบอกกับกูว่า เขาไม่กล้าห้ามจันทร์เรื่องเปิดปิดแอร์ เพราะเขากลัวว่าจันทร์จะไม่เข้าใจแล้วก็กลัวว่าจันทร์จะเหงา แต่สมุดจดสูตรขนมของจันทร์มันก็แสดงให้เห็นว่า วันๆ จันทร์คงทำแต่ขนม โทรทัศน์คงไม่ค่อยได้เปิดเท่าไหร่ แล้วน้องก็ไม่น่าจะเหงาอย่างที่คุณชลวิทย์ให้เหตุผลกับกูด้วย เพราะเขามีงานอดิเรกที่ชอบทำอยู่แล้ว อ้อ! กูเห็นจันทร์มีตู้หนังสือส่วนตัวด้วย ดูท่าทางน่าจะชอบอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน กูว่าเรื่องค่าใช้จ่ายกับเรื่องของจันทร์คงไม่ใช่สาเหตุจริงๆ ที่ทำให้เกิดอาการแพนิคว่ะ แล้วกูก็คิดว่าสาเหตุจริงๆ มันน่าจะมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่มันแปลกตรงที่ตอนนี้เขาไม่มีอาการแพนิคเลย”
“ที่ไม่มีอาการ อาจจะเป็นเพราะยาที่พี่สั่งให้เขากินหรือเปล่า?”

“นั่นก็อาจจะใช่ แต่มันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ไหมวะ คือกูก็ดีใจนะที่เขาไม่มีอาการแพนิคแล้ว แต่กูกังวลแค่ว่า.. เขาจะปกปิดเรื่องอาการที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุจริงๆ ของเขาน่ะสิ มึงก็รู้ว่าคนเป็นแพนิคสุ่มเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าแล้วก็โรคอื่นๆ ด้วย”
“ก็จริงของพี่ แต่ตอนที่ผมใช้วิธีบำบัดแบบ CBT ไอ้ชลมันก็ดูรับมือได้ดีอยู่นะ”

“ยังไงมึงก็ลองหาทางสอบถามเขาหน่อยแล้วกัน เราเองจะได้รู้ด้วยว่าไอ้การเพิ่มหรือลดโดสยาในตอนนี้ มันมาถูกทางแล้วจริงๆ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็ดำน้ำลงไปยังพื้นสระเบื้องล่างอย่างต้องการจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ผมไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าอาการของเธอดูไม่ค่อยปกตินัก นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของบ้านต้องแอบซ่อนเธอเอาไว้ด้วยหรือเปล่า ถึงได้ทำให้คำตอบที่ผมเคยได้รับมีแต่การปฏิเสธแทบทั้งนั้น
ผมสะบัดหน้าพลางว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหอบหายใจและเสยปลายเส้นผมที่ปรกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่เมื่อมองขึ้นไปยังฟากฟ้า ผมกลับเห็นดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนนั้น และมันก็ทำให้ผมอดคิดถึงใครบางคนที่มีชื่อเสียงเรียงนามเหมือนกับ ‘พระจันทร์’ ที่กำลังส่องประกายอย่างงดงามอยู่บนแผ่นฟ้าในยามราตรีไม่ได้

ครืด ครืด

“โทษทีครับพี่ พอดีเมื่อกี้ผมไม่สะดวกรับสาย” พอขึ้นมาจากสระน้ำ ผมก็รีบโทรหาพี่ทรายเจ้าของคาเฟ่แถวโรงพยาบาลที่ผมมักจะแวะไปอุดหนุนอยู่บ่อยๆ  พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมสระเพราะเนื้อตัวยังไม่แห้งดี และถ้าหากผมรีบกลับเข้าไปในบ้านตอนนี้ละก็ เห็นทีผมคงต้องมานั่งเช็ดบ้านอีกรอบ เนื่องจากบ้านของผมสร้างแยกออกมาจากตัวบ้านของพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากตัวบ้านของพวกท่านมากนัก ดังนั้นทุกอย่างภายในบ้าน ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนจัดการดูแล ส่วนแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดแค่อาทิตย์ละหนึ่งครั้งเท่านั้น

(ไม่เป็นไรจ้ะ คือพี่อยากจะรบกวนอะไรภัทรสักหน่อย พอดีร้านคุกกี้เจ้าประจำของพี่ เขามีแพลนจะเลิกกิจการแล้ว พี่เลยอยากจะถามว่าน้องที่ภัทรรู้จักพอจะทำคุกกี้เป็นหรือเปล่า?) ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเพราะก่อนหน้านั้นผมเคยเปิดสมุดจดสูตรขนมของจันทร์ดูเพียงคร่าวๆ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะมีฝีมือในการทำขนมได้หลากหลาย 
“คิดว่าน่าจะทำได้นะครับ”

(อ่า ดีเลย! ถ้ายังไงภัทรลองให้เขาเสนอราคามาได้เลยนะ พี่ต้องการคุกกี้ประมาณ 20 ชุดต่อวัน แล้วก็ขนมปังสัก 10 ชุดน่ะ น้องเขาจะไหวหรือเปล่า?)
“อ่า ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องปรึกษากับเขาก่อนนะครับพี่ทราย แล้วยังไงผมจะรีบแจ้งพี่อีกที” ผมตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจันทร์จะตอบตกลงในข้อเสนอนี้หรือเปล่า ในเมื่อจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด มันเกิดจากการที่ผมอยากจะเรียกความมั่นใจของอีกฝ่ายก็เลยเอาขนมมาแจกจ่ายให้พวกพยาบาลแล้วก็พี่ทรายลองชิมดู ทีนี้ดันกลายเป็นว่าพวกสาวๆ ต่างก็ชื่นชอบขนมฝีมือของจันทร์มาก โดยเฉพาะพี่ทรายที่อยากจะลองเอาขนมปังน่ารักๆ พวกนั้นมาขายที่ร้าน

(ได้ๆ แต่อย่านานนักนะภัทร เพราะถ้าหากน้องเขาไม่โอเค พี่จะได้มีเวลาไปหาขนมของเจ้าอื่นด้วย แต่ยังไงพี่ก็อยากได้ยินข่าวดีจากภัทรอยู่นะ เพราะน้องเข้าฝีมือดีมากจริงๆ)
“ครับพี่ ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถเลยครับ ไม่ต้องห่วง” ผมตกปากรับคำอย่างแข็งขัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์นั้น มันเกิดจากสาเหตุใด..
ระหว่าง..
ต้องการช่วยเหลือเจ้าของร้านกาแฟ หรือว่าดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางป่าสน..

หลังจากลงเวรด้วยสภาพร่อแร่เต็มที วันนี้ผมก็ได้ฤกษ์ไปคุยรายละเอียดกับจันทร์ในเรื่องที่พี่ทรายฝากฝังไว้ โดยก่อนออกเดินทาง ผมได้แวะเข้าเซเว่นเพื่อซื้อมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกมากินให้อิ่มท้อง จากนั้นก็ขับรถมุ่งตรงไปยังอำเภอฮอดที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางมากพอสมควร
ดังนั้นในคืนนี้.. ผมคงต้องพักค้างคืนอย่างแน่นอน
 
แต่ก็โชคดีที่เมื่อวานไอ้ตี๋บาสเดินทางไปยังบ้านหลังนั้นก่อน ผมจึงฝากข้อความส่งผ่านไปยังเจ้าของบ้าน ซึ่งมันก็น่าเหลือเชื่อสำหรับผมมากที่คุณชลวิทย์เห็นด้วยเกี่ยวกับไอเดียการทำขนมส่งให้กับร้านกาแฟของพี่ทราย

“อ้าวจันทร์ ทำไมออกมานั่งตรงนี้ล่ะ” ผมลงจากรถพลางเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้านตัวเล็กที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างลำธารพร้อมด้วยเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ให้แสงสว่างในมุมกว้าง เนื่องจากจันทร์นำติดตัวมาด้วยถึงสองแท่ง
“…” จันทร์ไม่ตอบแต่กลับยกยิ้มพร้อมกับเดินถือเทียนหอมแท่งใหญ่นำทางไปยังประตูบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มให้กับพฤติกรรมนั้น เพราะทราบดีว่า..
เด็กผู้ชายที่กลัวความมืดอย่างจันทร์ คงจะกำลังนั่งรอผม ทั้งๆ ที่ไฟฟ้ามันดับสนิทไปหมดแล้ว

“เมื่อวานพี่บาสบอกกับจันทร์ว่า วันนี้พี่หมออยากจะคุยกับจันทร์เรื่องขนม” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่างที่แสงจันทร์ส่องถึง เจ้าของบ้านตัวเล็กก็เปิดปากพูดเพื่อเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
“อ่า ใช่ จันทร์สนใจจะทำขนมขายไหม หลายๆ คนเขาชอบฝีมือของจันทร์มากเลยนะ พี่ยังกะจะเก็บไว้กินเองชิ้นนึงแต่ก็ยังเก็บไม่ได้เลย” ผมเอ่ยถามอย่างคาดหวัง เพราะถ้าหากจันทร์ตอบตกลงก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว

“มันอร่อยจริงๆ เหรอครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังพี่หมอโม้จนคล้อยตามกันไปหมด” จันทร์ย่นจมูกพลางเกาข้างแก้มของตัวเองและพูดอย่างคนไม่มั่นใจ แต่ดูท่าทางคำตอบที่ได้รับน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี
อาจเพราะอีกฝ่ายน่าจะโดนคุณชลวิทย์เกลี้ยกล่อมมาด้วยก็เป็นได้

“จริงสิ ระดับพี่น่ะ ไม่เคยโม้หรอก” ผมกล่าวพลางยักคิ้วให้กับคนที่กำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริ ซึ่งท่าทางแบบนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นและดีใจกับเพราะบอกกล่าวเมื่อครู่อยู่ลึกๆ

“จริงๆ จันทร์ก็ทำเล่นทุกวันอยู่แล้วครับ” แต่แล้วอีกฝ่ายตอบกลับอย่างอ้อมโลก
“อ่าฮะ พูดแบบนี้แสดงว่าจันทร์.. ตอบตกลงแล้วใช่ไหม ?” ผมถามพลางยกยิ้มอย่างดีใจ

“ก็.. อื้อ แต่รายละเอียดคงต้องให้พี่ชลเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านดูนะครับ เพราะจันทร์ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอะไรพวกนี้เลย”
“ได้สิ แต่เท่าที่พี่ทราบ ทางร้านเขาอยากให้จันทร์ทำคุกกี้เพิ่มขึ้นด้วย จันทร์ทำเป็นหรือเปล่า?”

“เป็นครับ เดี๋ยวยังไงจันทร์จะลองให้พี่ชลเอาเมนูไปเสนออีกทีก็แล้วกันว่าทางร้านอยากได้คุกกี้แบบไหน”
“ได้สิ แต่เบื้องต้นทางร้านบอกว่าอยากจะให้จันทร์ทำขนมส่งแบบวันต่อวัน คุกกี้ 20 ชุด ส่วนขนมปัง 10 ชุด จันทร์พอจะทำไหวหรือเปล่า?”

“ก็น่าจะไหวมั้งครับ” จันทร์ตอบพลางมองจ้องเข้ามานัยน์ตาผม
“ว่าแต่พี่ชลเกลี้ยกล่อมจันทร์ยังไงเนี่ย ถึงได้ยอมตอบตกลงเอาง่ายๆ วันนี้พี่อุตส่าห์วางแผนมาไซโคเราเต็มที่เลยนะ” ผมกล่าวพลางยกมือขึ้นเสยปรอยผมอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ความลับครับ” จันทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางกระซิบเสียงแผ่ว คล้ายกับเจ้าตัวกลัวว่าเจ้าของบ้านอีกคนที่ในตอนนี้ได้เข้านอนไปแล้วจะบังเอิญมาได้ยินเข้า ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแก้เก้อขณะที่ใจก็เต้นระรัวด้วยความผิดปกติ จึงพยายามควบคุมตัวเองด้วยการครุ่นคิดอย่างสงสัยว่า ความลับระหว่างสองพี่น้องคู่นี้มันคืออะไรกันแน่ แต่เพราะถึงอยากจะรู้มากมายแค่ไหนก็คงจะไม่ได้รับรู้มันอยู่ดี ผมจึงถือโอกาสชวนจันทร์ออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อที่จะได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเทียนหอมกลิ่นวานิลลาอะไรนั่นด้วย
“วันนี้ไม่ใช่คืนเดือนมืด” ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนฟากฟ้าพลางหันมาส่งยิ้มให้กับเด็กชายตัวเล็กที่กำลังเดินอยู่เคียงข้างกัน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ จนผมเผลอขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย แต่หลังนั้นเพียงไม่นานอาการแปลกๆ ของอีกฝ่ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง เราสองคนจึงค่อยๆ ก้าวย่ำลงบนพื้นดินอันเป็นเส้นทางรถที่มีทิวสนโอบล้อมจนแสงจันทร์สาดส่องได้เพียงบางช่วง
ส่งผลให้เราต้องอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์ในการนำทาง

“จันทร์ชอบเทียนหอมกลิ่นวานิลลาหรือเปล่า?” ผมถือโอกาสถามขณะที่แขนข้างหนึ่งของเราก็เสียดสีกันไปมาเพียงเบาๆ ด้วยเพราะว่าจันทร์กำลังเดินแนบชิดผมเหมือนกับครั้งนั้นที่เรามาเดินเล่นท่ามกลางป่าสนด้วยกัน
“ไม่ชอบครับ” ผมขมวดคิ้วพลางหันหน้าไปทางคนอายุน้อยกว่าอย่างสงสัย เมื่อน้ำเสียงของเขามันฟังดูแปลกๆ แต่เพราะคำตอบที่ได้รับ มันทำให้ผมเลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป

“ถ้าอย่างนั้นจันทร์ชอบเทียนหอมกลิ่นอะไรเหรอ?” ผมเอ่ยถามอย่างคาดหวังในคำตอบด้วยหัวใจที่สั่นระรัวราวกับกลองที่กำลังถูกตีเป็นจังหวะร็อค
“ลาเวนเดอร์ครับ”

ทันทีที่ได้รับคำตอบ ผมก็แอบหันไปยิ้มให้กับต้นสนข้างทางอย่างลืมตัว

“ทำไมล่ะ ?”
“เพราะพี่หมอเป็นคนให้จันทร์” น้องตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวจนผมอดจะหันไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงเห็นว่าคนคนนั้นก็หันหน้าไปมองยังข้างทางอย่างเก้อเขินเหมือนกับที่ผมทำเมื่อครู่

“พี่ขอถามได้ไหม ใครเป็นคนซื้อเทียนหอมกลิ่นวานิลลามาเหรอ?” ผมเกริ่นถามด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวขณะที่ริมฝีปากก็พยายามจะกลั้นรอยยิ้มจากคำตอบก่อนหน้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อรอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ให้คำตอบกันเสียที ผมจึงหันกลับไปมองยังคนข้างๆ แล้วก็เริ่มสังเกตอาการของอีกฝ่าย จึงพบว่าในตอนนี้ใบหน้าของจันทร์กำลังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ขณะที่จังหวะการหายใจก็เริ่มจะติดขัดมากขึ้นทุกที เพียงเท่านั้นผมก็รับรู้ได้แล้วว่า..
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับจันทร์..

“จันทร์ยังพอจะจำจังหวะการหายใจที่พี่เคยสอนได้ไหม?” ผมหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายและกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้น พลางกล่าวเตือนความทรงจำว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เจ้าตัวควรจะทำอย่างไร แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลมากนัก เพราะในตอนนี้ความหวาดกลัวกำลังฟุ้งกระจายไปทั่วความรู้สึกของคนตรงหน้าจนทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวด้วยสองขาของตัวเองได้อีกต่อไป
เราสองคนจึงพลอยมอมแมมไปด้วยกัน..
 
ต่างกันแค่..

ผมกำลังประคองอีกฝ่ายให้กึ่งนั่งกึ่งนอนและแสดงสีหน้าอย่างห่วงใย แต่คนป่วยกลับร้องไห้และพยายามจะอ้าปากกอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างน่าสงสาร ซึ่งผมก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี เพราะในความรู้สึกของผู้ป่วย มันจะเหมือนกับว่าเขากำลังจะหยุดหายใจ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว..
เขายังคงหายใจอยู่..

“ไม่เป็นไรนะจันทร์ พี่อยู่นี่.. เดี๋ยวเราค่อยๆ หายใจตามจังหวะที่พี่นับเหมือนตอนนั้นนะ” ผมเลือกใช้โทนเสียงที่คิดว่าอ่อนโยนกับอีกฝ่ายให้มากที่สุด แม้ว่าใจจะไม่ได้รู้สึกสงบอย่างที่แสดงออกเลยก็ตาม จากนั้นจึงเริ่มนับเลขอย่างเชื่องช้า พร้อมกับคอยเช็ดน้ำตาที่ยังคงเปรอะเปื้อนใบหน้าของคนป่วยเป็นพักๆ 
“ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จันทร์หวาดกลัว พี่อยากให้จันทร์ลองบอกกับตัวเองในใจ ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัวเลย” พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะหายใจในจังหวะปกติได้ ผมก็เริ่มพูดชักนำให้เจ้าของบ้านตัวเล็กเอาชนะความหวาดกลัวของตัวเองให้ได้ เพราะวิธีนี้มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด

กระทั่งอาการของอีกฝ่ายค่อยๆ ทุเลาลง ผมจึงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกของตัวเองสักที แต่ทว่าก็ต้องมานั่งตกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็โผตัวเข้ามากอดผมไว้ ซึ่งครั้งหนึ่งเจ้าตัวก็เคยโอบกอดผมในลักษณะนี้มาแล้ว
เพียงแต่ในครั้งนี้..
ผมดันตื่นตระหนกด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“จ..จันทร์กลัว จันทร์ไม่กล้ามาเดินเล่นที่นี่.. เมื่อกี้เหมือนจันทร์จะตายอยู่ตรงนี้อีกแล้วพี่หมอ จ..จันทร์คิดว่าจันทร์ฝึกหายใจจนชำนาญแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง สมองมันกลับว่างเปล่าไปหมด จันทร์กลัวจนคิดอะไรไม่ออกเลยครับ” ยิ่งจันทร์บอกกล่าวอาการของเขาด้วยสีหน้าหวาดผวาและน้ำเสียงสั่นไหว หัวใจของผมก็ยิ่งวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
เพราะผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวจนถึงขั้นเรียบเรียงคำพูดก็ยังเรียบเรียงแทบไม่เป็นประโยค

“ต่อไปถ้าหากจันทร์กลัวหรือว่าไม่ชอบอะไร จันทร์บอกพี่ได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่” ผมพูดปลอบโยนอีกฝ่ายพลางลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาอยู่หลายหน จนกระทั่งจันทร์รับปากผมถึงค่อยสบายใจขึ้น

“พรุ่งนี้เราไปหาหมอกันนะ” ผมประคองจันทร์ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังตัวบ้านอันมืดมิด โดยมีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเน่าๆ ในการนำทาง ซึ่งผมก็อาศัยจังหวะนี้ชักชวนให้อีกฝ่ายไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด เนื่องจากผมเริ่มจะมั่นใจแล้วล่ะว่าจันทร์น่าจะเป็นโรคแพนิคด้วยแน่ๆ
เหตุเพราะในตอนนี้แววตากลมใสคู่นั้นยังคงมองไปทางป่าสนด้วยความหวาดกลัว

“ต..แต่พี่ชล” น้องหันกลับมาคัดค้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไปหาหมอเถอะนะ เรื่องพี่ชลเดี๋ยวพี่คุยให้” ผมหยุดการก้าวเดินและพาตัวเองไปยืนตรงหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเว้าวอนด้วยความเป็นห่วง
“ครับ” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วพลางหันไปมองยังทิศทางอื่นด้วยสีหน้าเก้อเขิน ทำเอาผมเริ่มจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าเมื่อครู่เราดันเผลอจ้องตากันในระยะประชิด

“จันทร์ใจเต้น.. แต่ไม่ได้ใจเต้นเหมือนกับเมื่อกี้..” ระหว่างที่เรากำลังก้าวเดินต่อไป จันทร์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวคล้ายกับจะกลืนหายไปในสายลม ส่วนผมได้แต่นิ่งเงียบ แม้ว่าในขณะที่ได้ยินประโยคนั้นหัวใจของผมจะเต้นรัวในจังหวะที่คาดว่าน่าจะเป็นจังหวะเดียวกันก็ตาม

“จันทร์คิดว่ามัน.. ไม่ใช่อาการป่วย” น้องขยายความเพียงสั้นๆ ซ้ำยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในประโยคสุดท้าย แต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงความรู้สึกในรูปแบบไหน
“จันทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนเถอะ ดึกแล้วล่ะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า” เมื่อก้าวเข้ามายังตัวบ้านผมก็ปิดไฟฉายในโทรศัพท์พลางออกปากเฉไฉไปเรื่องอื่นทำเอาอีกฝ่ายหน้าจ๋อยสนิท

“ครับ.. เอ่อ.. จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้พี่หมออาบแล้วนะครับ” น้องพูดพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“อื้ม ขอบคุณนะ ฝันดี”

“ครับ.. ฝันดี” จันทร์ยกยิ้มอย่างน่ารัก จากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดเชื่อมห้องใต้หลังคาไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนอมยิ้มให้กับเหตุการณ์เมื่อครู่จนเมื่อยปาก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมควรจะต้องไปเอาเสื้อผ้าที่ท้ายรถ ไม่ใช่มายืนยิ้มแป้นอยู่แบบนี้
ซึ่งมันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะยืนยันได้ว่าในค่ำคืนนี้ ผมได้ล็อกประตูอย่างแน่นหนาเป็นอย่างดีแล้ว..

หลังอาบน้ำจนเย็นสบาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ค่ำคืนนี้ผมจึงเผลอผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดี โดยไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด
ซึ่งผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร..

คลิก!

ทันทีที่ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูและตามมาด้วยเสียงประตูกำลังถูกเปิดออกจากด้านใน ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งและตัดสินใจเดินออกจากห้องเมื่อประตูบานดังกล่าวถูกปิดลง และในช่วงที่กำลังจะหันกลับมาปิดประตูบ้านในครั้งนี้ ผมก็ใช้หางตามองไปทางด้านหลังจึงเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่มุ่งตรงไปยังป่าสน
ก่อนจะหายลับไปในความมืด

ปลายเท้าของผมจึงสะกดรอยตามอีกฝ่ายให้เบาเสียงที่สุด ครั้นเมื่อได้ยินเสียงหวานละมุนของสาวเจ้ากำลังฮัมเพลงๆ เดิมที่เคยได้ยิน หัวใจของผมก็เริ่มเต้นรัวด้วยความลิงโลด และท่ามกลางแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านกิ่งก้านของสนป่าก็ทำให้ผมมองเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวสวมชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ กำลังวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่ผลิบานโอบล้อมป่าสนขนาดใหญ่เอาไว้อย่างสนุกสนานร่าเริง จึงทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิด ไม่ได้ผิดพลาดไปเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่า..
บ้านหลังนี้มีสมาชิกประจำบ้านถึงสามคนด้วยกัน

“จะเข้าไปถามโต้งๆ เอาตอนนี้เลยดีไหมวะ” ผมบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ แต่แล้วก็ต้องใจหาย เมื่อเธอคนนั้นหันหน้ามายังทิศทางที่ผมกำลังแอบซ่อนตัวอยู่ ผมจึงรีบหลบวิถีสายตาของเธอด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เพราะยังนึกวิธีเข้าหาอีกฝ่ายไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าหากผมปรากฏตัวออกไปตอนนี้จะทำให้เธอหนีเตลิดเข้าไปในป่าด้วยหรือเปล่า
ผมจึงได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น..

จนกระทั่งถึงเวลาที่เธอกำลังจะเดินกลับเข้าไปยังบ้านสีน้ำตาลอ่อนหลังนั้น ผมจึงรีบโผล่มาจากที่ซ่อนตัวพร้อมทั้งแอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จากนั้นก็เดินมุ่งตรงไปยังบ้านที่อยู่ท่ามกลางป่าสนอีกครั้ง

“นี่กูถูกจับได้แล้วเหรอวะ?” ผมอดจะอุทานออกมาไม่ได้ เมื่อประตูบ้านดันเปิดอ้าซ่าเอาไว้ ราวกับมีใครจงใจที่จะทำแบบนั้น
ซึ่งใครคนนั้นก็คือเด็กผู้หญิงที่ผมนึกสงสัย!

คลิก!

“เทียนหอมกลิ่นวานิลลา” หลังจากปิดประตูจนเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมแสนอันคุ้นเคยก็ปรากฏ ผมจึงมองไปยังเทียนแท่งสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวด้วยความสงสัย พร้อมถือโอกาสเดินสำรวจบ้านของคนอื่นอย่างถือวิสาสะ
กระทั่งปลายเท้าสัมผัสกับเศษดินอันเกลื่อนกลาดเหมือนกับวันนั้น แถมยังไร้ร่องรอยของผู้กระทำอีกต่างหาก ทำเอาผมรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน ถ้าหากไม่มีกลิ่นหอมของวานิลลา พร้อมด้วยแสงสว่างจากเปลวเทียนที่กำลังสั่นไหว และเงาร่างของตัวเองที่ส่องสะท้อนอยู่บนกำแพงบ้านอย่างชัดเจน
ซึ่งหลักฐานชั้นดีเหล่านี้ ก็สามารถยืนยันได้ว่า..
ผมไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยล้า แล้วดันฝันเฟื่องไปเรื่อยเปื่อย


゚゚❀゚゚

[edit 02/03/2018 เรียบเรียงบางประโยคให้อ่านสมูธขึ้น และแก้คำที่เผลอเขียนสลับที่กัน
ปล. ถ้ายังเจอคำไหนที่มันผิดหรือว่าเขียนสลับกัน รบกวนแจ้งด้วยนะคะ บางทีเราอาจจะอ่านเพลินแล้วมองไม่เห็น
edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

เรื่องนี้มาต่อได้ช้ามาก ส่วนหนึ่งคือเขียนยากและติดละคร รวมทั้งยังต้องปั่นฟิคด้วย ฮือ
ต้องขออภัยที่ให้รอนานนะคะ แต่มันต้องใช้ฟีลลึกลับในการเขียนยังไงไม่รู้ เค้นฟีลนี้ยากมาก
ใครที่เคยกลัวว่าจะเป็นนิยายผี ก็สบายใจได้แล้วเนอะ เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นโผล่มาให้เห็นแบบจังๆ แล้ว
และน้องจันทร์ก็หวั่นไหว ส่วนพี่หมอก็หวั่นไหวเหมือนกัน 555
ตอนหน้าคงได้รู้กันว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร >.<
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 6 (update 06/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 06-03-2018 12:38:44
ตอน 6

เช้ามืดวันนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวจนหอมฟุ้งเพื่อเตรียมลุยงานอย่างเต็มที่ จากนั้นผมก็ออกมานั่งพิมพ์ข้อความส่งผ่านทางไลน์ไปยังหมอกิตตรงโต๊ะทานข้าวริมหน้าต่าง เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าวันนี้ผมจะพาคนไข้ในความดูแลไปเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อเจาะเลือดเช็คความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ รวมถึงตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อดูการทำงานของมัน เนื่องจากการตรวจด้วยวิธีการเหล่านี้จะช่วยวินิจฉัยอาการที่เกิดขึ้นได้ว่ามีสาเหตุมาจากสุขภาพทางด้านร่างกายหรือไม่ เพราะถ้าหากตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จันทร์ก็จะต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคแพนิคต่อไป โดยอาศัยการทำแบบทดสอบทางหลักจิตวิทยาร่วมด้วย เนื่องจากอาการป่วยของจันทร์ยังไม่ทราบสาเหตุอย่างชัดเจนเท่าที่ควร
แม้อันที่จริงผมจะมั่นใจมากๆ แล้วก็ตามว่าจันทร์ป่วยเป็นโรคแพนิค

“อ้าว คุณหมอสวัสดีครับ เมื่อวานผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับ พอดีผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ” คุณชลวิทย์กล่าวทักทาย เมื่อเปิดประตูออกมาเจอผมกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ท่ามกลางความมืด
เพราะในเวลานี้มันเพิ่งจะตีสามเท่านั้น

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็มาถึงดึกมากๆ แล้วด้วย และอันที่จริงมันควรจะเป็นทางผมมากกว่าที่ต้องขอโทษเจ้าของบ้าน” ผมกล่าวพลางยกยิ้มพร้อมกับครุ่นคิดหาวิธีในการพูดคุยกับคุณชลวิทย์เกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของจันทร์ ขณะที่เป้าหมายก็เดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง

“เอ่อ.. คุณชลวิทย์ ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ เกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของจันทร์น่ะครับ” กระทั่งเจ้าของบ้านคนพี่เดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็ร้องเรียกความสนใจของเขาไว้และไม่ลืมจะพูดเกริ่นนำอย่างตรงประเด็น
“อาการป่วยของจันทร์เหรอครับ?” คุณชลวิทย์ย้อนถามด้วยสีหน้าซีดเผือดจนผมต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพื่อที่จะได้พูดถึงเรื่องราวสำคัญที่ยังไงวันนี้จันทร์ก็จะต้องเดินทางออกจากบ้านกลางป่าสนเพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลให้ได้

“ครับ เมื่อคืนผมพาเขาไปเดินเล่น หลังจากนั้นจันทร์ก็มีอาการเหมือนโรคแพนิค” หลังจากพูดจบผมก็เริ่มสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า จึงทำให้เห็นว่าสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงมาก ซึ่งมันก็สร้างความสงสัยให้กับผมได้อีกครั้ง
“จันทร์คงโชคร้ายที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากโรคนั้นเพราะผม..” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย จนผมคลายความสงสัยทั้งหมดไป

“คุณชลวิทย์ครับ วันนี้ผมขอพาเขาไปตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลอย่างละเอียดได้ไหมครับ อย่างน้อยจันทร์ก็จะได้สบายใจด้วยน่ะครับ เพราะเมื่อวานไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“เอ๊ะ! ไม่เห็นจันทร์เขาบอกผมเลยครับ” ทันทีที่เจ้าของบ้านคนพี่ได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยของน้องชายจากปากผม เขาก็อุทานออกมาด้วยความสงสัย

“เขาคงยังไม่มั่นใจน่ะครับก็เลยไม่ได้บอกคุณ” ผมแก้ตัวแทนจันทร์คล้ายกับไม่เคยรับรู้ว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้จันทร์ไม่กล้าเอ่ยปากถึงเรื่องนี้ มาจากการที่คุณชลวิทย์ไม่เคยอนุญาตให้จันทร์ไปไหนมาไหนอย่างอิสระ
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอเวลาเตรียมตัวสักครู่นะครับ ส่วนคุณหมอผมว่าเดินทางเข้าเมืองไปก่อนเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวจะสายเอา”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ผมตอบปฏิเสธพลางยกยิ้ม พร้อมกับมองคุณชลวิทย์ที่เดินเลี่ยงไปยังบันไดเชื่อมต่อกับห้องใต้หลังคาแบบเปิดโล่ง จากนั้นร่างสูงของเขาก็หายลับไปจากสายตา เนื่องจากเขากำลังก้าวเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของจันทร์ที่มีกำแพงสีขาวสะอาดบดบังไว้ ผมจึงถือโอกาสออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนริมลำธารพร้อมกับส่งข้อความไปหาหมอแนนที่อยู่ในแผนกเดียวกันว่าวันนี้ผมจะพาคนไข้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่ไม่แน่ใจว่าอาการแพนิคของเขาจะทำให้ผมเข้างานสายหรือเปล่า เพราะผมคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าในระหว่างที่จันทร์จะต้องเดินทางผ่านป่าสนอันทอดยาวที่เขาหวาดกลัว
คนป่วยอาจจะมีอาการแพนิคกำเริบขึ้นมาอีกก็เป็นได้

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมีโอกาสได้มาเดินเล่นรอบๆ บ้านกลางป่าสน จึงทำให้ทราบว่าหลังบ้านมีโรงปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์เสียด้วยและนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณป้าหรือก็คือแม่ของไอ้บาสติดอกติดใจผักปลอดสารพิษของคุณชลวิทย์นั่นเอง แต่พอเดินวนออกมายังหน้าบ้านก็เจอกับดอกไม้เมืองหนาวจำพวกไฮเดรนเยีย ไซคลาเมน และอีกมากมายที่กำลังชูช่ออย่างสวยงาม เพียงแต่ในวันนี้ไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์อยู่ใกล้ๆ ตัวบ้านเหมือนอย่างเคย
ซึ่งผมก็ไม่เคยสังเกตเลยว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
และทำไมจะต้องเป็นดอกไม้แค่เพียงชนิดเดียวที่ถูกขุดรากถอนโคนออกไปด้วย?

“เรียบร้อยแล้วครับ” จันทร์เดินเข้ามาบอกผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงมุมดอกไม้หลากชนิดที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ เพื่อคิดวิเคราะห์เหตุผลที่ไม่น่าสงสัย
แต่จู่ๆ ผมกลับรู้สึกสงสัยโดยไม่มีสาเหตุ

“เรารีบเดินทางกันเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณหมอจะสายไปมากกว่านี้” ผมเหลือบมองไปยังคุณชลวิทย์ที่แวะมาบอกกล่าวกันก่อนจะเดินนำจันทร์ไปยังรถกระบะของตัวเอง ผมจึงรีบเดินตรงไปที่รถของตัวเองบ้าง จากนั้นก็เปิดโอกาสให้เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายนำทางเพื่อที่เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินผมจะได้ให้ความช่วยเหลือพวกเขาได้ทัน

กระทั่งระยะเวลาดำเนินผ่านไปโดยไม่มีหยุดพัก ผมก็ยังคงจ้องไฟสีแดงท้ายรถกระบะที่กระพริบตามจังหวะการเหยียบเบรกด้วยความกังวลใจ จากนั้นเพียงไม่นานสิ่งที่ผมเป็นกังวลก็เกิดขึ้น ผมจึงรีบวิ่งลงจากรถและมุ่งตรงไปยังรถกระบะคันนั้นพร้อมกับออกแรงทุบกระจกทางฝั่งคนขับเพียงเบาๆ เพื่อให้เขารีบตั้งสติ
ครั้นเมื่อประตูถูกปลดล็อก ผมก็รีบวิ่งอ้อมไปยังฝั่งที่จันทร์นั่งอยู่พลางกระชากประตูรถออกอย่างร้อนใจ และภาพที่ผมเห็นก็คือภาพของจันทร์ที่กำลังนั่งน้ำตาไหลนองพร้อมกับจังหวะการหายใจอันติดขัด ราวกับเจ้าตัวใกล้จะขาดอากาศหายใจอยู่ร่อมร่อ อีกทั้งเนื้อตัวของเขาก็ยังเกร็งแข็งคล้ายกับไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ขยับเขยื้อนได้

“จันทร์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายพลางคว้าฝ่ามืออันชื้นเหงื่อมากอบกุมไว้ จึงสามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหวน้อยๆ อันเป็นหนึ่งในอาการของโรคแพนิค
“ช..ชา” จันทร์หันมาบอกผมเสียงสั่นจึงทำให้ผมทราบว่า อาการของเขามันเพิ่มความชาเหน็บที่บริเวณฝ่ามือและเท้าจนคล้ายกับถูกเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงไม่หยุด ผมจึงพยายามนวดฝ่ามือให้เขาเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้

“จันทร์ยังจำวิธีที่พี่บอกเมื่อวานได้ไหม ?” แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังถามคนป่วยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนให้มากที่สุด จากนั้นจันทร์ก็พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่องช้า แล้วก็เริ่มหายใจเข้าออกในจังหวะที่ผมเคยสอน ขณะที่คุณชลวิทย์ก็คอยเอาปลายนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ยังคงไหลนองเพราะความหวาดกลัว
“ถ้าจันทร์กลัวป่าสน พี่อยากให้จันทร์คิดว่ามันเป็นแค่เส้นทางหนึ่งที่เราจำเป็นต้องเดินทางผ่าน และมันก็สั้นแค่เพียงนิดเดียว อีกเดี๋ยวเราก็จะไปถึงเส้นชัยที่อยู่ข้างหน้านั่นแล้ว” ผมพูดกับจันทร์พลางชี้ไปข้างหน้าเพื่อให้คนป่วยได้มองโลกในแง่บวก
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความคิดฟุ้งซ่านและอาการวิตกกังวลต่างๆ ได้

“แล้วพอเราไปถึงตรงนั้น มันก็จะไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว” ผมพูดพลางยกยิ้มให้กับเจ้าของดวงตากลมใสที่ยังคงฉ่ำน้ำ
“ใช่แล้ว อดทนอีกนิดเดียว จันทร์ก็จะถึงเส้นชัยแล้วนะ” คุณชลวิทย์กล่าวพลางลูบเรือนผมของน้องชายด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากของเขาก็ไม่อาจหุบยิ้มลงได้ เพียงแค่นั้นจันทร์ก็น่าจะมั่นใจขึ้น
“จันทร์เริ่มรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มจะหายใจเป็นปกติแล้ว
“ขาจันทร์ยังชาอยู่เลยครับพี่หมอ” ผมพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปบีบนวดขาของอีกฝ่าย

“เท้าด้วยไหม ?” ผมถามขณะที่ยังคงจดจ่ออยู่กับการบีบนวดให้กับเจ้าของบ้านตัวเล็กอย่างตั้งใจ
“อื้อ” สิ้นคำตอบอันแผ่วเบา ผมก็ค่อยๆ ถอดรองเท้าและถุงเท้าของเจ้าตัวออก จากนั้นก็เริ่มบีบนวดปลายเท้าให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่นึกรังเกียจ

“จันทร์ดื่มน้ำหน่อยนะ จะได้รู้สึกดีขึ้น” คุณชลวิทย์กล่าวพร้อมกับขยับตัวเพียงเบาๆ เพื่อเอื้อมไปหยิบน้ำดื่มมาให้น้องชายสุดที่รัก
“ดีขึ้นไหม ?” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามจันทร์ที่กำลังดูดน้ำจากปลายหลอดสีขาวดังอึกๆ ราวกับกระหายน้ำอย่างหนัก ฝ่ายคนถูกถามก็รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูจะสดใสขึ้น

“ผมว่าเรารีบเดินทางกันต่อดีไหมครับ?” คุณชลวิทย์เอ่ยถามความเห็นเมื่อประเมินดูแล้วว่าอาการของน้องชายในตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“ก็ดีครับ” ผมพยักหน้าพลางตอบรับอย่างเห็นด้วย แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังจะผละตัวออกห่างจากรถกระบะคันดังกล่าว คนป่วยก็ยึดข้อมือของผมไว้

“จันทร์ไปด้วย.. จันทร์กลัวเป็นเหมือนเดิมอีก..” คำร้องขอจากคนป่วยทำเอาผมได้แต่เหลือบตามองคนพี่อย่างขอความเห็น กระทั่งใบหน้าเรียบนิ่งเริ่มขยับไหวในเชิงอนุญาต ผมจึงเริ่มขยับตัวเข้ามายืนในตำแหน่งเดิม
“จันทร์พอจะลุกไหวหรือเปล่า?” ผมทอดเสียงถามด้วยความห่วงใย จนกระทั่งอีกฝ่ายให้คำตอบด้วยการพยักหน้า ผมจึงก้าวถอยหลังเพียงเล็กน้อย และรอจนกระทั่งอีกฝ่ายสวมถุงเท้าและรองเท้าจนเสร็จจึงค่อยประคองคนป่วยให้เดินไปยังรถของตัวเอง โดยไม่ลืมปิดประตูรถให้กับคุณชลวิทย์ และบอกกล่าวให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงน้องชายที่ในตอนนี้กำลังอยู่ในความดูแลของผม

“เดี๋ยวพี่เปิดเพลงบรรเลงให้เราฟังดีกว่า เผื่อจะช่วยให้หายกังวลได้บ้าง” ผมพูดพลางเอื้อมมือไปเปิดเพลงที่ไอ้บาสมันเคยยัดเหยียดมาให้ จากนั้นก็เริ่มขับรถตามคุณชลวิทย์ที่ในตอนนี้ทิ้งระยะห่างจากผมมากพอสมควร
“พอจันทร์อยู่ใกล้กับพี่หมอ.. จันทร์มักจะรู้สึกอุ่นใจ” เมื่อรถเคลื่อนผ่านป่าสนอันมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถของผมและไฟสีแดงจากท้ายรถของคุณชลวิทย์ไปได้สักพัก จันทร์ก็พูดขึ้นทั้งๆ ที่ยังนั่งหลับตาแน่น คล้ายกับเจ้าตัวกำลังต่อสู้กับความหวาดกลัวของตัวเองอยู่  ซึ่งการต่อสู้ของเขา มันคือการฝากฝังความไว้วางใจเอาไว้ที่ผม เพราะทุกครั้งที่เกิดอาการเหล่านี้ ก็ไม่เคยจะมีครั้งไหนเลยที่จันทร์ไม่มีผมอยู่ข้างๆ ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่จะทำให้จันทร์ไว้วางใจผมมากกว่าคุณชลวิทย์ที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง บวกกับอาชีพ ‘หมอ’ ก็ย่อมต้องได้รับความไว้วางใจจาก ‘คนไข้’ อยู่แล้ว
คุณชลวิทย์ถึงได้กล้าปล่อยให้น้องชายเดินทางไปกับผมได้

“หึ” เมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของจันทร์ ผมก็อดจะหัวเราะพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยไม่ได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะพยายามบอกกับตัวเองเป็นอย่างดีซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า..
ความไว้วางใจที่ได้รับอยู่นั้น มันก็แค่ในสถานะของ ‘หมอ’ กับ ‘คนไข้’

“จันทร์พูดจริงๆ นะ” อีกฝ่ายรีบแก้ตัวพัลวัน จนผมเผลอขยับยิ้มตรงมุมปากขึ้นมาจนได้
“แล้วใครบอกจันทร์ว่าพี่ไม่เชื่อล่ะ หืม?” ผมหันไปถามตุ๊กตาหน้ารถพลางโยกศีรษะของคนป่วยที่ในตอนนี้กลับมาพูดจาเจื้อยแจ้วได้เสียแล้ว

“ก็เมื่อกี้พี่หมอหัวเราะ” จันทร์แย้งอย่างขึงขังส่วนผมก็ได้แต่ยกยิ้มเพียงบางๆ อย่างไร้คำอธิบายใดๆ ว่าทำไมผมถึงต้องหัวเราะออกมา
ฉะนั้นแล้ว.. บนโลกใบนี้ก็เห็นจะมีแค่ผมนี่แหละที่เข้าใจ..

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลผมก็ทำเรื่องให้อีกฝ่ายตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง จากนั้นผมก็ขอแยกตัวไปทำงานแล้วติดต่อหมอกิตเพื่อฝากฝังผู้ป่วยอย่างจันทร์อีกครั้ง โดยขอร้องให้เขาช่วยวินิจฉัยโรคให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากผลตรวจออกมาว่าไม่พบเจอสิ่งผิดปกติใดๆ ผมจะได้เริ่มให้จันทร์ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาเสียที
พูดได้เลยว่าคนที่ใจร้อนน่ะ ไม่ใช่ใครหรอก แต่เป็นผมเองต่างหากล่ะ!

หลังจากถามไถ่กับพยาบาลประจำวอร์ดของตัวเองจนได้ความว่าหมอแนนที่ผมฝากฝังให้ช่วยเหลือในตอนนี้วนไปยังวอร์ดไหนแล้ว ผมก็รีบมุ่งตรงไปยังวอร์ดนั้น เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ 
และก็โชคดีที่จิตแพทย์สาวกำลังเดินออกมาจากวอร์ดดังกล่าวเข้าพอดี

“ขอบคุณนะแนน ยังเหลืออีกเยอะหรือเปล่า?”
“เยอะดิ แถมคนไข้ยังเอาแต่ถามหาคุณหมอสุดหล่อแล้วยังใจดีโคตรๆ ทั้งนั้นด้วย” จิตแพทย์สาวกล่าวพลางยักคิ้วหลิ่วตาพร้อมกับเบะปากดูไม่สมกับอาชีพที่เป็นเหมือนหัวโขนที่ต้องสวมใส่ อีกทั้งครอบครัวของสาวเจ้าก็ยังมีกิจการส่งออกดอกไม้สวยๆ งามๆ ตั้งใหญ่โต แถมยังมีดีกรีเป็นถึงลูกหลานของอดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่อีกต่างหาก 
แล้วทำไมกิริยาวาจาถึงได้กลายเป็นม้าดีดกะโหลกขนาดนี้ไปได้!

“…” ผมไม่ตอบอะไร แต่กลับยักคิ้วให้เพื่อนร่วมงานที่มีดีกรีเป็นถึงเพื่อนสนิทอย่างงงๆ เพราะถ้าให้นึกดีๆ ว่าเรามาสนิทกันได้ยังไงก็เห็นทีจะหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะเรื่องเรียนหรือว่าเพราะที่บ้านของเราต่างก็สนิทกันมาก
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นช่วยเพื่อนไม่ให้ต้องไปดูตัวจะดีกว่าไหมคะ ?”

“หยุดเลยไอ้แนน มึงหยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้ กูบอกแล้วไงว่าเรื่องส่วนตัวกูจะไม่ยื่นมือเข้าไปเสือกแน่ๆ” ผมว่าพร้อมกับดีดหน้าผากมันแรงๆ สักที
“เจ็บนะเว้ย! มึงแม่ง! ไสหัวไปทำงานเลยไป!” สาวเจ้าเริ่มบ่นด้วยน้ำเสียงติดจะขุ่นพร้อมกับยกแข้งขาเตรียมจะถีบผมตามนิสัยสาวห้าวที่ไม่เคยได้ดั่งใจพ่อกับแม่

“ตอนนี้เราอยู่ที่โรงพยาบาลนะครับ แถมยังเป็นวอร์ดอื่นอีก สำรวมหน่อยสิครับหมอแนน” ผมกล่าวพลางยักคิ้วกวนประสาทใส่เพื่อนสนิทที่รู้เช่นเห็นชาติกันเป็นอย่างดี จากนั้นก็แบมือขอชาร์ตคนไข้ในส่วนที่ผมต้องรับผิดชอบมาทำต่อเสียเอง
“นี่ค่ะ รับไปแล้วก็ช่วยไสหัวไปทำงานเลยนะคะหมอภัทร เหม็นขี้หน้าค่ะ” ดูเอาเถอะ ขนาดจะแยกกันไปทำงาน ก็ยังไม่วายจะกวนตีนใส่กันอยู่ดี แต่ผมก็ชินเสียแล้วล่ะเลยได้แต่ยืนส่ายหัว
และเริ่มต้นราวนด์วอร์ดตามหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เสียที

หลังจากราวนด์คนไข้จนครบทุกเตียงแล้ว ผมก็ต้องมาตรวจ OPD เหมือนปกติ เพียงแต่วันนี้หนึ่งในคนไข้ของผมก็คือคุณชลวิทย์ เพราะเขาให้เหตุผลว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมารบกวนผมอีก เนื่องจากวันนี้พวกเขาต่างก็รบกวนผมมากจนเกินพอแล้ว

“ตอนนี้อาการแพนิคของคุณชลวิทย์เป็นยังไงบ้างครับ ?” ผมเริ่มสอบถามผู้ป่วยในความดูแลเหมือนทุกครั้ง และคำตอบก็ยังคงไม่ต่างไปจากเดิม
“ตอนผมขับรถไปที่ตลาด มันก็ไม่เคยเกิดอาการแบบนั้นขึ้นอีกแล้วนะครับ อาจเป็นเพราะผมมองโลกในแง่บวกมากขึ้นก็ได้มั้ง” คนไข้ตรงหน้ากล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ดีแล้วล่ะครับ คุณจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้น”
“แต่ผมเองก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันนะครับ ทั้งๆ ที่ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับการออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรกของจันทร์แทบตาย แต่วันนี้กลับไม่เกิดอาการอะไรกับผมเลย” คุณชลวิทย์กล่าวเปิดประเด็นเรื่องใหม่ขึ้นอย่างน่าสนใจ

“แสดงว่าคุณเชื่อใจน้องจันทร์แล้วไงครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม
“คงงั้นมั้งครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” เขาตอบพลางยกยิ้มด้วยสีหน้าเป็นกังวล จนผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังคิดมากกับการออกนอกบ้านเป็นครั้งแรกของจันทร์

“แต่ทางเดียวที่คุณจะทำได้ ก็คือการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เหรอครับ?”
“นั่นสิครับ เพราะไม่อย่างนั้นจันทร์ก็คงจะไม่ได้มาตรวจอาการที่โรงพยาบาลแบบวันนี้หรอก” ผมยกยิ้มแสดงถึงการเห็นด้วย จากนั้นก็บอกกับคนไข้ในความดูแลเกี่ยวกับยาทั้งสองตัว ที่ในตอนนี้ยังคงต้องทานควบคู่กันอย่างต่อเนื่องไปอีกสักระยะ แล้วถ้าอาการของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ผมถึงจะยอมลดยากล่อมประสาทให้เหลือเพียงแค่ตัวยาแก้ซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว

ช่วงเที่ยงผมชวนสองพี่น้องออกไปทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาล โดยผมอาสาเป็นเจ้ามือให้กับทั้งคู่ ซึ่งระหว่างนั้นก็บังเอิญเจอกับหมอกิต เขาเลยแจ้งให้ผมทราบว่าช่วงบ่ายผลตรวจของจันทร์จะออกแล้ว ถ้ายังไงเขาจะโทรแจ้งให้ผมทราบอีกที คาดว่าวันนี้จันทร์น่าจะได้ตรวจโรคทางจิตเวชจนเสร็จสิ้น ซึ่งผมก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะการออกมานอกบ้านของอีกฝ่าย ดูจะเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน ในเมื่อคุณชลวิทย์ยังไม่เชื่อใจจันทร์มากมายขนาดนั้น
แต่ที่ต้องยอมเชื่อ ก็เพราะว่ามีเหตุจำเป็นต่างหากล่ะ

หลังจากอิ่มท้องผมก็ถือโอกาสพาทั้งสองคนไปแนะนำกับพี่ทรายเจ้าของคาเฟ่ เพื่อที่จะได้พูดคุยรายละเอียดเบื้องต้น เนื่องจากผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร้านท่านนี้ ต้องการจะทราบผลลัพธ์แบบเร่งด่วน แต่บังเอิญว่าดันประจวบเหมาะกับช่วงที่จันทร์ป่วยเข้าพอดี ผมก็เลยลืมเรื่องที่พี่ทรายฝากฝังเอาไว้ไปชั่วขณะ
กระทั่งช่วงบ่ายสองกว่าๆ ผลตรวจของจันทร์ก็ออกแล้ว พบว่าเขาไม่มีอาการผิดปกติทางด้านร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นช่วงเวลาแบบนี้จันทร์ถึงได้มีโอกาสเข้ามานั่งอยู่ในห้องทำงานของผม ซึ่งบรรยากาศโดยรอบจะให้ความรู้สึกสบายๆ ไม่เหมือนกับห้องตรวจของคุณหมอท่านอื่น เนื่องจากห้องตรวจของวอร์ดจิตเวชนั้น ทางโรงพยาบาลได้ออกแบบตกแต่งด้วยโทนสีที่สบายตา เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกไว้วางใจและผ่อนคลายจนสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาให้มากที่สุด

“ห้องทำงานของพี่หมอดูอบอุ่นจังครับ” จันทร์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พลางมองไปรอบๆ ห้องพร้อมกับยกยิ้มบางๆ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มรับท่าทางตื่นตาตื่นใจของอีกฝ่ายที่ไม่เคยปรากฏให้เห็น
“จันทร์พอจะบอกพี่ได้ไหมว่าก่อนจะเกิดอาการแบบนั้น จันทร์เห็นอะไรที่ป่าสน ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน โดยเว้นระยะห่างเอาไว้เพียงเล็กน้อย ซึ่งปกติผมจะเลือกนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวทางด้านขวามือของผู้ป่วย

“ดอกไม้” สิ้นคำถามคนป่วยก็รีบให้ข้อมูลอย่างเลื่อนลอย
“จันทร์หมายถึง.. จันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์?”

“อื้อ ดอกสีขาวๆ นั่นแหละครับ”
“ทำไมล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างนึกสงสัย เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้จันทร์หวาดกลัว กลับไม่ใช่ ‘ป่าสน’ แต่กลายเป็น ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ไปเสียได้

“พอเห็นมัน.. จ..จันทร์ก็เห็นภาพอะไรไม่รู้ มีแต่เปลวไฟเต็มไปหมดเลยครับ” จันทร์ตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลและยังสับสนในตัวเองอยู่มาก เพราะสิ่งที่เขาเห็น ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“ดอกไม้กับเปลวไฟงั้นเหรอ?” ผมอุทานออกมาเพียงเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังร่างเล็กที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ กันด้วยความไม่สบายใจ เพราะจากคำพูดของจันทร์ มันทำให้ผมนึกไปถึงสาเหตุของอาการแพนิคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีต
ซึ่งอดีตที่ว่านั้นกลับถูกลบเลือนหายไปจากความทรงจำเพียงชั่วขณะ
โดยมีดอกสโนว์ดรอปส์เป็นสิ่งกระตุ้น 

“จันทร์พยายามนึก แต่ยิ่งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แถมยังทำให้อาการแย่ลงเรื่อยๆ ด้วย” จันทร์ยังคงอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอย่างเชื่องช้า คล้ายกับเจ้าตัวกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
“จันทร์ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาที่เห็นดอกไม้สีขาวๆ นั่น จันทร์จะต้องรู้สึกเจ็บปวด แล้วภาพของเปลวไฟก็ต้องแวบเข้ามาในหัว มันน่ากลัวมากจริงๆ ครับ น่ากลัวจนจันทร์ไม่สามารถขยับตัวได้ และแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจก็ยังไม่มี..” น้ำเสียงของจันทร์ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างสับสน กลับทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะสีหน้าของเขาฉายแววแห่งความเจ็บปวดอย่างไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกออกมาได้

“เดี๋ยวเราไปทำแบบทดสอบกันนะ” ผมเอื้อมไปกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้ พลางเสนอทางออกให้คนป่วยได้พักสมองจากเรื่องราวในอดีตที่ยังคงเป็นปริศนาอันคลุมเครือ จนกระทั่งจันทร์เดินหายเข้าไปยังห้องทำงานของไอ้บาสที่เชื่อมต่อกับห้องทำงานของผม ภวังค์แห่งความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวที่เพิ่งจะได้ยินมาหมาดๆ ก็เริ่มย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง..
โดยผมเริ่มคิดวิเคราะห์ตั้งแต่ปากทางเข้าบ้านหลังนั้นที่เต็มไปด้วยต้นสโนว์ดรอปส์จนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวที่ประดับประดาอยู่รอบๆ ป่าสนอันสูงตระหง่าน ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้ เป็นดอกไม้จากต่างประเทศที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เองและจันทร์ก็หวาดกลัวดอกสโนว์ดรอปส์นั่นจนเกิดอาการแพนิค แถมบ้านหลังนั้นก็ยังมีเด็กผู้หญิงที่ชอบใส่ชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ ซึ่งผมแอบคาดเดาเอาไว้ว่าเธอน่าจะมีอดีตร่วมกันกับจันทร์ เพราะเธอคนนั้นชอบออกมาเดินเล่นในทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ทุกค่ำคืน ขณะที่จันทร์กลับรู้สึกหวาดกลัวมันจนถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างนั้นต้นสโนว์ดรอปส์กลับมีการปลูกเอาไว้ข้างๆ ตัวบ้าน แล้วสุดท้ายก็ถูกขุดรากถอนโคนออกไป ราวกับว่าคนคนนั้นรับรู้ความลับอะไรบางอย่าง ซึ่งความลับนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับจันทร์ ที่สามารถมีตัวตนในบ้านหลังนั้น และยังเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ไม่เคยมีโอกาสได้แสดงตัวตนให้ใครรับรู้ ซ้ำร้ายมันยังอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณชลวิทย์มีอาการแพนิค ?
ดังนั้นหากเรื่องราวเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ล่ะก็..
การปรากฏตัวของผมและอาการป่วยของจันทร์ จะยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลจนเกิดอาการแพนิคกำเริบมากขึ้น!


゚゚❀゚゚

edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ปริศนาใหม่มาอีกแล้วไม่รู้ว่าจะมีใครเดาได้มั้ย แต่ปมยังออกมาไม่หมดเลย 55
รู้สึกว่าการเขียนทิ้งปมมันยากเย็นสุดขีด แถมยังต้องทิ้งแบบลึกลับไปอีก
แต่ละตอนต้องเขียนตอนที่อยู่ในช่วงสงบจริงๆค่ะ มันเขียนยาก ฮือ ไม่ถนัดเลย
ปล. เจอคำผิดหรือเขียนสลับกันรบกวนแจ้งทีนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 6 (update 06/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-03-2018 19:33:19
จันทร์กับเด็กหญิงคนนั้นเป็นคนเดียวกัน จันทร์มีสองบุคลิก
กลางวันเป็นจันทร์ กลางคืนเป็นเด็กผู้หญิง
ดอกสโนดร็อป ชลวิทย์ปลูกไว้เพื่อกันไม่ให้จันทร์ออกไปจากตัวบ้าน
แต่เด็กหญิงคนนั้นไม่กลัวสโนดร็อปและออกมาตอนจันทร์หลับ /มโนเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 7 (update 07/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 07-03-2018 05:11:48
ตอน 7

หลังจากตรวจวินิจฉัยจนได้ความว่าจันทร์มีอาการ specific phobia[1] จึงทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะหวาดกลัว โดยมี ‘วัตถุ’ หรือ ‘สถานการณ์’ เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคร่วมด้วย ซึ่งสิ่งกระตุ้นที่ว่านั้นก็คือ ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’
ผมจึงเลือกใช้วิธีในการรักษาด้วยจิตบำบัดแบบ Exposure therapy[2] ที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญหน้าต่อสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว ส่วนเรื่องราวในอดีตที่ยังคงเป็นปริศนา ผมก็ยังคงต้องค้นหามันต่อไป
ซึ่งในส่วนนี้ผมอาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“สวัสดีครับคุณชลวิทย์ พอดีผมแวะมาดูอาการของจันทร์น่ะครับ” หลังจากเสร็จสิ้นงานหลวงเรียบร้อยแล้ว ผมก็แวะมาทำงานราษฎร์ที่อำเภอฮอดอันเป็นที่ตั้งของบ้านกลางป่าสนตามคำสัญญาที่ผมได้ให้ไว้กับจันทร์ว่าผมจะแวะไปหาหลังจากเลิกงาน เพียงแต่เวลานัดแนะของเราคือเมื่อวานไม่ใช่วันนี้
“จันทร์อยู่ข้างบนโน่นแน่ะครับ” คุณชลวิทย์บอกพร้อมกับชี้นิ้วไปทางห้องใต้หลังคาที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้าอยู่ เพราะวันนี้ผมเลิกงานเร็วกว่าปกติ เนื่องจากเมื่อวานเกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายที่โรงพยาบาลอยู่หลายชั่วโมงก็เลยต้องอยู่ลากยาวจนเป็นเหตุให้ผิดสัญญากับเจ้าของบ้านตัวเล็ก

“เมื่อวานตอนขากลับ เขามีอาการแพนิคหรือเปล่าครับ ?” ผมเอ่ยถามคุณชลวิทย์ด้วยความเป็นห่วงน้องชายของเจ้าตัว
“มีครับ แต่รู้สึกว่าจะเกิดอาการนานกว่าช่วงเช้า ผมเลยคิดว่าจันทร์น่าจะไม่มั่นใจเวลาที่ไม่มีคุณหมออยู่ข้างๆ น่ะครับ ก็เลยทำให้ควบคุมอาการได้ยาก” คุณชลวิทย์กล่าวพลางวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะรับแขก

“คืนนี้คุณหมอจะอยู่ค้างคืนก็ได้นะครับ ผมเองก็เกรงใจที่จันทร์ไปงอแงเอาแต่ใจกับคุณแบบนั้น”
“ขอบคุณครับ ส่วนเรื่องของจันทร์คุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอกครับ เพราะสิ่งที่เขาร้องขอ ไม่ได้ลำบากอะไรกับผมเลย” ผมพยายามอธิบายให้คุณชลวิทย์เข้าใจ แม้ว่าอันที่จริงแล้ว การเดินทางมายังบ้านป่าสนแห่งนี้จะทำให้ผมพักผ่อนไม่เพียงพอก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะมาเยือนที่บ้านหลังนี้อยู่ดี
และสาเหตุคงจะเป็นเพราะปริศนาต่างๆ ที่มันยังคลุมเครือ
และประการสุดท้ายก็คือ ‘จันทร์’

คุณชลวิทย์อยู่คุยกับผมครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ขอตัวเข้าไปนอน ผมจึงถือโอกาสเดินขึ้นไปหาจันทร์บนห้องใต้หลังคาที่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปข้างบนนั้นเลยสักครั้ง และเมื่อเดินไปถึงยังที่หมาย สิ่งแรกที่ผมเห็นทางด้านขวามือก็คือตู้หนังสือ ไม่สิ มันควรจะเรียกว่าชั้นหนังสือเสียมากกว่า ซึ่งชั้นหนังสือของจันทร์นั้นมีอยู่มากมายจนละลานตา โดยการออกแบบจะเป็นไปตามรูปทรงของห้องใต้หลังคาในลักษณะสามเหลี่ยม ถัดมาทางซ้ายมือจะเป็นเก้าอี้ที่มีลักษณะคล้ายกับเปลชิงช้า คาดว่าเจ้าของห้องคงจะเอาไว้นั่งเล่นตอนอ่านหนังสือ 

ส่วนด้านซ้ายมือสุดที่มีกำแพงสีขาวสะอาดบดบังต่อการมองเห็น ก็คือพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของห้องที่มีทั้งเตียงนอนสีขาวสะอาด กระจกบานเล็กเอาไว้ตรวจตราเครื่องแต่งกาย และยังมีชั้นวางของเล็กๆ ที่มีเทียนหอมของผมวางเอาไว้หนึ่งแท่ง ส่วนแท่งอื่นๆ จันทร์วางเอาไว้ตามมุมห้องจนทั่วทุกมุม เพื่อที่เวลาไฟดับห้องใต้หลังคาจะได้มีแสงสว่างสาดส่องอย่างทั่วถึง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ภายห้องใต้หลังคายังมีเตียงนอนอีกหนึ่งเตียงที่ซุกซ่อนอยู่ตรงหัวนอนของจันทร์
ซึ่งการจะไปนอนข้างบนนั้นได้ เจ้าของพื้นที่เล็กๆ จะต้องปีนบันไดขึ้นไป

“พี่ชลยังไม่นอนอีก..” จันทร์ที่กำลังนอนคว่ำหน้าเพื่ออ่านหนังสือถึงกับพูดไม่เป็นขึ้นมาชั่วขณะ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่อยู่ในความคิด
“จันทร์น้อยใจที่พี่ผิดสัญญาเหรอ ?” ผมสาวเท้าเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ชิงช้าที่อยู่ตรงปลายเตียง เพราะไม่กล้าจะล่วงล้ำเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายมากกว่านี้ ลำพังแค่ขึ้นมาถึงบนนี้ก็ถือว่ามากจนเกินพอดีแล้วด้วยซ้ำ
แต่ผมก็ห้ามการกระทำของตัวเองไม่ได้

“พี่ติดงานกะทันหันน่ะ เมื่อวานก็เลย..” ทันทีที่ผมแก้ตัวอย่างมีเหตุผล จันทร์ก็รีบพลิกตัวขึ้นมานั่งและใช้ดวงตากลมจ้องมองมายังผม จนทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซ้ำร้ายหัวใจก็ยังเต้นกระหน่ำราวกับคนกำลังมีรัก
“…” จันทร์ไม่ตอบอะไร นอกจากใช้ดวงตากลมคู่นั้นสอดส่องมายังผม ราวกับต้องการจะค้นหาคำพูดที่ขาดหายไป ซึ่งแตกต่างกับคนรักที่ผ่านมาของผม เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะหงุดหงิดและนำมาซึ่งการทะเลาะกัน แต่จันทร์กลับใช้ดวงตากลมๆ เฝ้ารอเหตุผลจากผมอย่างใจเย็น ทำเอาผมถึงกับลืมเลือนข้อจำกัดที่ตัวเองเคยตั้งกำแพงเอาไว้ ว่า ‘ช่องว่างระหว่างวัย มันอาจจะนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน’ ในทันที
และมันก็ส่งผลให้จันทร์มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมมากขึ้นกว่าเดิม..

“…ไม่ได้มาหาจันทร์” ผมต่อประโยคจนความถ้วนกระบวนความพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ เมื่อดวงตากลมของอีกฝ่ายยังคงมองจ้องมายังผมอย่างแน่วแน่

“เอ่อ.. เมื่อวานตอนขากลับ จันทร์มีอาการแพนิคอีกแล้วใช่ไหม ?”
“ครับ จันทร์ถึงได้อยากให้พี่หมอกลับมาพร้อมกับจันทร์” เจ้าของห้องใต้หลังคาเอื้อมไปหยิบที่คั่นที่วางอยู่บนชั้นเล็กๆ ตรงข้างเตียง ก่อนจะนำมาคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ จากนั้นหนังสือที่เคยตกอยู่ในความสนใจของอีกฝ่ายก็ต้องระเห็จไปวางอยู่บนชั้นวางของเล็กๆ แทน
เหตุเพราะในตอนนี้ ทุกความสนใจของจันทร์กำลังกลายเป็นของ ‘ผม’

“แต่จันทร์ก็เข้าใจนะว่าพี่หมองานยุ่ง” น้องพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับเอื้อมไปหยิบหมอนมากอดแนบอกและฝังใบหน้าลงบนหมอนใบนุ่มในมือ
“รู้ได้ยังไง หืม?” ผมย้อนถามและพยายามจะกลั้นยิ้ม แต่มันก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ผมจึงเลือกใช้ปลายเท้าไกวเก้าอี้ชิงช้าที่ตัวเองครอบครองแก้เก้อ

“ก็จันทร์สังเกตจากตอนที่นั่งรอคิวหน้าห้องตรวจน่ะครับ”
“อ้อ” ผมครางรับในลำคอพลางพยักหน้าเพียงเบาๆ ขณะที่หัวใจกลับลิงโลดจนเกินงาม ที่จันทร์ดูเป็นเด็กมีเหตุผล ซ้ำยังช่างสังเกตเสียด้วย ทำเอาผมเหมือนได้ย้อนกลับมาเป็นเด็กอายุ 15 ที่มักจะปลดปล่อยให้ความรู้สึกอยู่เหนือการควบคุมอีกครั้ง

“เอ่อ.. จันทร์จะเริ่มบำบัดเลยไหม หรือว่าจะเอาไว้ทำวันหลัง”
“เริ่มเลยก็ได้ครับ” ทันทีที่จันทร์อนุญาต ผมก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อหยิบกระเป๋าสะพายข้างที่ตัวเองพกติดตัวมาด้วย

“เดี๋ยวจันทร์ลองมองภาพพวกนี้สักสิบนาทีนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นพรมตรงปลายเตียงตามความต้องการของเจ้าของห้อง จากนั้นก็หยิบกระดาษที่ปรากฏรูปดอกสโนว์ดรอปส์ออกมาวางตรงหน้าของจันทร์เพื่อสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่าย
โดยภาพที่ผมเลือกจะเริ่มจากรูปดอกสโนว์ดรอปส์ที่มีเพียงดอกเดียว จากนั้นถึงค่อยเพิ่มเป็นกอเล็กๆ สักกอ และสุดท้ายก็คือรูปของทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ ซึ่งผลปรากฏว่าจันทร์มีอาการหวาดกลัวเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถควบคุมตนเองได้ เท่ากับว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ต่อเมื่อได้เห็นของจริง ผมจึงตัดสินใจจะเดินไปเก็บตัวอย่างมาทำการบำบัด แต่ดันใกล้เวลาที่ไฟฟ้าจะหยุดการทำงานเข้าเสียก่อน จันทร์ก็เลยให้ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัว วิธีนั้นจึงต้องพับเก็บไปชั่วคราว

กระทั่งอาบน้ำจนเรียบร้อยแล้ว ความมืดมิดก็เข้ามาเยือน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาต่อการแต่งตัวของผมนัก ครั้นเมื่อจัดการกับตัวเองจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่นอกห้อง เพราะดันคาดหวังเอาไว้ว่าจะได้เห็นจันทร์นั่งรออยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่างตัวเดิม
เพียงแต่ในวันนี้ มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น..

ผมจึงเงยหน้ามองไปยังห้องใต้หลังคาก็พบกับแสงสว่างจากเทียนหอมที่ผมมอบให้จันทร์ จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาอีกฝ่ายจนพบว่าเจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่บนพื้นพรมตรงที่เดิม
เพียงแต่ในเวลานี้ เขากำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่

“นอนไม่หลับน่ะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นพรมพลางกล่าวอ้างกับคนตรงหน้า ฝ่ายเจ้าของห้องก็ไม่ได้สงสัยอะไรกลับยกยิ้มจนเต็มแก้มเป็นคำตอบเสียอย่างนั้น
“พี่หมอชอบอ่านหนังสือไหมครับ เลือกอ่านได้เลยนะ เผื่อจะช่วยให้ง่วงนอนขึ้นมาบ้าง” จันทร์ปิดหนังสือพลางแนะนำให้ผมไปเลือกหนังสือจากชั้นหนังสือของเจ้าตัว ผมจึงลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสืออันอลังการนั่น ก่อนจะใช้สายตาไล่ไปตามสันหนังสือเพื่ออ่านชื่อเรื่องที่น่าสนใจ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่สะดุดใจผมเข้าอย่างจัง

“จันทร์ชอบอ่านนิยายของคุณอนธการเหรอ ?” ผมหันมาสอบถามเจ้าของห้องตัวเล็กด้วยความสงสัย เพราะส่วนใหญ่แล้วนิยายบนชั้นหนังสือมักจะมีแต่ผลงานของนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า ‘อนธการ’

“ครับ”
“แนวดราม่าทั้งนั้นเลยนะ” ผมอ่านเรื่องย่อจากหลังปกพลางออกความคิดเห็น

“จริงๆ จันทร์ก็อ่านได้ทุกแนวนะครับ แต่ส่วนใหญ่จันทร์จะได้อ่านนิยายของพี่พีเยอะหน่อย เพราะว่าพี่พีเป็นเพื่อนกับพี่ชลน่ะครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมยามว่างของจันทร์ก็มักจะผ่านการยินยอมจากพี่ชายอย่างคุณชลวิทย์ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากว่าการมีเพื่อนเป็นนักเขียนก็ย่อมต้องมีการแบ่งปันเล่มนิยายให้กับเพื่อนสนิทอยู่แล้ว
“แล้วจันทร์ชอบเรื่องไหนมากที่สุดเหรอ ?” ผมเอ่ยถามอย่างมีความนัยแอบแฝง เพราะผมเคยได้ยินมาว่าการอ่านหนังสือในแต่ละประเภทจะสามารถบ่งบอกตัวตนของคนคนนั้นได้

“เรื่องนี้ครับ” จันทร์ละมือจากหนังสือเล่มที่ตัวเองอ่านค้างไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาค้นหาหนังสือตามที่ผมเอ่ยถาม
“สิเน่หา.. อืม ก็น่าสนใจดี” ผมอ่านชื่อเรื่องพร้อมกับพลิกดูเรื่องย่อตรงหลังปก

“ถ้าพี่หมอสนใจจะยืมไปอ่านก็ได้นะครับ สนุกดี”
“งั้นพี่ยืมเล่มนี้ไปอ่านแล้วกัน” ผมเอ่ยขอพลางหันหน้าไปหาอีกฝ่าย จึงพบว่าเจ้าของหนังสือเล่มนี้กำลังใช้ดวงตากลมๆ ของตัวเอง จ้องมองมายังผมด้วยแววตาที่สื่อความหมายอย่างลึกซึ้ง และผมเองก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งแรงดึงดูดนั้น จึงทำให้สายตาของเราสบผสานกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะผละห่างออกจากกัน
ซ้ำร้าย.. สายตาอันซุกซน ก็ยังเลยเถิดไปจ้องมองริมฝีปากอันอวบอิ่มตรงหน้านั่นอีก..

“จ..จันทร์ง่วงแล้ว” ทันทีที่ได้ยินเสียงของจันทร์ ผมก็หลุดจากภวังค์ที่สร้างขึ้น
“ถ้างั้น.. เอ่อ.. ฝันดีนะจันทร์ วันพุธเจอกันครับ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไร้ซึ่งความมั่นคง จากนั้นก็หมุนตัวเดินลงบันไดที่เชื่อมกับห้องใต้หลังคาด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นระรัว เพราะในขณะที่จันทร์กำลังร้องเรียนว่าตัวเองนั้นง่วงเหงาหาวนอนจนเต็มทีแล้ว  ริมฝีปากคู่นั้นกลับเม้มเข้าหากันเพียงเบาๆ อย่างเชื่องช้า ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาขยี้ตาอย่างไร้เดียงสา ซึ่งมันทำให้ผมอดจะคิดอกุศลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะยั่วยวนให้มาตกหลุมพรางที่เจ้าตัวขุดไว้

“เจอมาก็เยอะ แต่ไหงมาแพ้ทางเด็กได้วะเนี่ย ไอ้ภัทรเอ้ย!” เมื่อปิดประตูห้องพักรับรองของตัวเอง ผมก็อดจะบ่นขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งในขณะที่บ่นตัวเองอยู่นั้น ริมฝีปากของผมก็ไม่เคยจะปราศจากรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย

ตุบ ตุบ ตุบ!

ผมสะดุ้งด้วยความตกใจจึงรีบเดินเข้าไปเมียงมองตรงข้างหน้าต่างอันเป็นที่มาของต้นเสียง จากนั้นม่านสายตาก็ปรากฎภาพของเด็กผู้หญิงผมยาวสลวยถึงกลางหลัง ในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ กำลังเหยียบย่ำอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นดินด้วยความโมโห จนทำให้เสียงดังมาถึงห้องนอนของผม ซึ่งผมก็ได้แต่แปลกใจที่ในวันนี้ไม่ได้ยินเสียงเปิดหรือปิดประตูบ้านของเธอเลย
แต่พอนึกไปนึกมาก็พบว่าตัวเองเอาแต่ครุ่นคิดถึงใบหน้าของใครบางคนที่ตอนนี้คงจะนอนหลับสบายอยู่บนห้องใต้หลังคา ผมเลยเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมวันนี้ประสิทธิภาพในการสังเกตการณ์ถึงได้ลดน้อยถอยลงขนาดนี้

“ทำอะไรของเขานะ” ผมได้แต่อุทานด้วยความสงสัยพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างคิดไม่ตก เพราะจากมุมมองที่ได้เห็น มันทำให้ผมมองไม่ค่อยจะออกว่าเธอกำลังเหยียบย่ำอะไรอยู่ จนกระทั่งเธอหันหน้ามายังตัวบ้าน ผมเลยมองเห็นเสี้ยวหน้าของเธอที่ดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วจังหวะการก้าวเดินของเธอก็หยุดนิ่งลงพร้อมกับหันมองมายังห้องที่ผมพักพิง ทำเอาผมเกือบจะใช้กำแพงเป็นที่กำบังแทบไม่ทัน
“นั่นจันทร์เหรอ ?” ผมได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ อย่างคนย้ำคิดย้ำทำ ขณะที่เนื้อตัวก็เอาแต่สั่นเทาอย่างคนตื่นตระหนก หัวใจพลันเต้นระรัวราวกับถูกสายฟ้าฟาด เมื่อได้เห็นใบหน้าของจันทร์บนร่างกายของเด็กผู้หญิงคนนั้น

“ไม่จริงหรอก ตั้งสติสิวะไอ้ภัทร!” ผมตบหน้าตัวเองพลางพร่ำบอกให้ตั้งสติ เมื่อครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้วว่าน้ำเสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับจันทร์แต่อย่างใด

คลิก!

“จันทร์” กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตู ผมก็รีบถลาออกไปประจันหน้ากับผู้มาใหม่ราวกับคนไร้สติที่ยังคงไม่อาจละทิ้งความคิดเมื่อครู่ได้ จึงส่งผลให้ชื่อเสียงเรียงนามที่เปล่งออกไปกลายเป็นชื่อของคนที่สมควรจะนอนอยู่บนห้องใต้หลังคา
“หนูชื่อลียากรค่ะ เป็นน้องสาวของพี่จันทร์” เด็กหญิงวัยที่คาดว่าน่าจะอายุ 15 ปีกล่าวเสียงใสพลางแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร ผมจึงได้แต่ยกยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน

“ฝาแฝด?” ผมเอ่ยถามพลางพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายท่ามกลางแสงเทียน จึงทำให้ผมรับรู้ได้ว่าวินาทีแรกที่มองเห็นใบหน้าของเธอนั้น
ผมไม่ได้ตาฝาด

“ค่ะ”

“แล้วทำไม..” ผมเปิดปากเตรียมจะถาม แต่แล้วก็ปิดปากเงียบคล้ายกับคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะผมไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าจันทร์มีน้องสาวฝาแฝด
“โรงเรียนหนูปิดเทอมน่ะค่ะ ก็เลยกลับมาค้างที่นี่” เด็กหญิงในชุดเดสสีขาวกล่าวพลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะริมหน้าต่าง

“แล้ว..” ผมเปิดปากอยากจะถามขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายสมองก็ยังคงว่างเปล่าเพราะหลายๆ สิ่งหลายอย่าง ผมก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี แม้ว่าคนตรงหน้าจะบอกว่าตนเองเป็นน้องสาวฝาแฝดของจันทร์ แต่ทำไมคุณชลวิทย์ถึงบอกกับผมว่า ‘พวกเขามีกันแค่สองคนพี่น้อง’ อีกทั้งจันทร์ก็ยังไม่เคยปริปากเล่าเรื่องน้องสาวฝาแฝดให้ผมฟัง แต่จะคิดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะอันที่จริงผมก็แทบจะไม่เคยรับรู้เรื่องราวส่วนตัวของอีกฝ่ายในระดับลึกซึ้งเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องราวส่วนมากที่ผมรับรู้ จึงเกิดจากการสังเกตในช่วงเวลาที่พวกเราได้พูดคุยกัน

คลิก!

“ยังไม่นอนกันอีกเหรอครับ?” คุณชลวิทย์ที่ตื่นขึ้นมากลางดึกกล่าวทักทายผมกับน้องลียากรด้วยสีหน้าของคนที่กำลังง่วงนอนจนเต็มแก่ แต่บังเอิญปวดห้องน้ำขึ้นมากลางดึกก็เลยต้องยอมลุกออกจากที่นอน
“กำลังจะไปเข้านอนแล้วล่ะครับ แต่บังเอิญเจอน้องลียากรเข้าเสียก่อน ผมก็เลยแวะทักทายแกสักหน่อย” ผมตอบพลางยกยิ้มคล้ายกับไม่ได้มีความรู้สึกสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

“ไปนอนได้แล้วลี พี่บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนดึก ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” คุณชลวิทย์ส่งยิ้มให้ผมพลางหันไปเฉ่งน้องสาวคนเล็กจนอีกฝ่ายแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก่อนจะรีบลี้ภัยเข้าไปซ่อนตัวในห้องครัว ซึ่งผมคาดเดาเอาเองว่าภายในนั้นน่าจะมีอีกห้องหนึ่งซุกซ่อนอยู่
เพราะว่าเมื่อวานตอนที่ผมกำลังเดินเล่นรอบๆ บ้าน ผมเห็นม่านตรงหน้าต่างห้องที่อยู่ติดกับห้องครัวพลิ้วไหวเพียงเบาๆ ซึ่งทีแรกผมเข้าใจว่ามันเป็นห้องของคุณชลวิทย์ แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ผ้าม่านลูกไม้สีขาวแบบนั้นยังไงก็ไม่มีทางเป็นของเขาไปได้หรอก

“น้องสาวเหรอครับ ?” ก่อนที่คุณชลวิทย์จะแยกตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมก็หลุดปากถามออกไปด้วยความสงสัย

“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” สิ้นคำตอบ คุณชลวิทย์ก็เดินมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดอยู่ที่เดิม จนกระทั่งอีกฝ่ายทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปยังห้องพักรับรองของตัวเองและนอนครุ่นคิดถึงคำบอกกล่าวของเจ้าของบ้านคนพี่ด้วยความงุนงงว่าทำไมเขาถึงตอบออกมาแบบนั้น
หรือว่าอันที่จริงแล้วน้องลียากรกับคุณชลวิทย์จะไม่ใช่พี่น้องกัน ?
ถ้าอย่างนั้นจันทร์กับคุณชลวิทย์ก็ต้องไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันมาน่ะสิ


゚゚❀゚゚

[1] specific phobia ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวมากและเป็นทุกครั้งที่พบสิ่งของ สัตว์ หรือ สถานการณ์ ความสูง ถูกฉีดยา หรือกลัวว่าจะพบสิ่งที่กลัว ผู้ป่วยจะพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวอย่างมาก หรือมีความรู้สึกไม่สบายมากจนถึงขั้นเป็น panic attack (มีอาการแพนิค) ได้ ซึ่งคนที่กลัวก็จะรู้ว่ามันไม่มีเหตุผลและหวาดกลัวมากเกินไป
     ที่มา : หนังสือ human behavior and mental disorders

[2] Exposure therapy คือการรักษาแบบพฤติกรรมบำบัดโดยให้ผู้ป่วยเข้าหาและเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว
     ที่มา : https://med.mahidol.ac.th/ramamental/sites/default/files/public/pdf/Cognitive%20behavior%20therapy.pdf

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
วันนี้มาต่อเร็วหน่อย จู่ๆ ก็เกิดฟิตเขียนจนจบตอนเฉยเลย สำหรับเรื่องนี้ความสัมพันธ์จะเป็นไปในแบบซึมลึกนะคะ มันเลยต้องใช้เวลานานสักหน่อย รวมไปถึงความสงสัยในเรื่องราวต่างๆ ที่จะค่อยๆ สะกิดใจพี่หมอมากขึ้นเรื่อยๆ นะคะ 
ปล. ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ควรนิยามว่ามันคือแนวลึกลับและโรแมนติกดีมั้ยนะ เพราะโมเม้นน้อยนิดเหลือเกิน 555 (แต่บรรยากาศมันก็เกือบๆ จะได้แหละ ถ้าหากจันทร์ไม่มีอาการแพนิคทุกครั้งที่ออกไปเดินเล่น 555)
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 7 (update 07/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-03-2018 12:34:24
เผยโฉมแล้ว  น้องลียากร

แต่ก็ไม่คลายปม  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 7 (update 07/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 07-03-2018 22:54:28
ตาม
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 13-03-2018 09:17:44
ตอน 8

ผมเคยได้ยินมาว่าการว่ายน้ำถือเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งและยังทำให้มีสุขภาพจิตที่ดี อีกทั้งยังช่วยพัฒนาสมอง โดยสมองจะเริ่มสร้างเซลล์ทดแทนในส่วนที่สูญเสียจากความเครียดสะสม และเมื่อลงไปอยู่ใต้น้ำอารมณ์ของเราก็จะดีขึ้น เพราะอุณหภูมิความเย็นของน้ำจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจนสามารถลดอาการเมื่อยล้าและปลดปล่อยเราจากอารมณ์ซึมเศร้าได้ จึงเป็นสาเหตุให้ผมชอบมาว่ายน้ำในขณะที่มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิด
ซึ่งเรื่องที่ต้องคิดก็หนีไม่พ้นเรื่องของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้านกลางป่าสน

เนื่องจากตอนนี้ผมกำลังสับสน เพราะเท่าที่ทราบครอบครัวของคุณชลวิทย์ มีกันแค่สองคนพี่น้อง แล้วจู่ๆ ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยสมาชิกใหม่ที่ผมเพิ่งจะทราบนั้น ก็คือที่มาของเรื่องราวแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นผมได้มีการสอบถามไปยังเจ้าของบ้าน แต่คำตอบที่เคยได้รับกลับเป็นคำตอบที่สื่อไปถึงการไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ทั้งสิ้น
จนกระทั่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้พบเจอกับน้องลียากรและได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย จากนั้นบทสนทนาของเราก็จำเป็นต้องยุติลง.. เพราะคุณชลวิทย์
มิหนำซ้ำเขายังทิ้งปริศนาไว้ให้ผมได้ขบคิดต่อไปอีกด้วย

แต่อันที่จริงพวกเขาทั้งหมดจะเป็นพี่น้องกันหรือไม่ก็ไม่สำคัญกับผมนัก เพียงแต่มันน่าสงสัยว่าเพราะเหตุใดคนในบ้านหลังนั้นถึงต้องปิดบังเรื่องราวที่เกี่ยวกับน้องลียากร ในเมื่อตัวตนจริงๆ ของเธอ จากที่ผมได้สัมผัสในระยะสั้นๆ ก็เห็นว่าปกติดี ถ้าไม่นับว่าเธอชอบทำตัวแปลกๆ ในตอนกลางคืน และถ้าหากคุณชลวิทย์ไม่ชอบทำตัวให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า เขายังมีอะไรปิดบังเกี่ยวกับความกังวลที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้สารเคมีในสมองสูญเสียความสมดุล จนเป็นเหตุให้ระบบประสาทอัตโนมัติเกิดการทำงานผิดปกติ แถมน้องลียากรยังบอกอีกว่า ตัวเองเป็นฝาแฝดกับจันทร์ ซึ่งพี่ชายของเธอก็เป็นน้องชายของคุณชลวิทย์ ก็เท่ากับว่าทั้งสามคนจะต้องเป็นพี่น้องกันสิ แต่ผลปรากฏว่าคนไข้ในความดูแลของผมกลับตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของน้องสาวฝาแฝด
และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมต้องกลับมานั่งขบคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง..

“จะห้าทุ่มแล้วนะภัทร ยังไม่เลิกว่ายน้ำอีกเหรอครับ?” หลังจากโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ คุณแม่ก็ตะโกนถามผ่านทางระเบียงห้องของท่านที่ยื่นออกมาทางฝั่งสระว่ายน้ำ
“กำลังจะไปนอนแล้วครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปหาท่าน จากนั้นก็รีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเข้านอนตามคำบอกกล่าว เพราะในตอนนี้เนื้อตัวของผมแทบจะเปื่อยไปหมดแล้ว เนื่องจากผมใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในขณะที่กำลังว่ายน้ำอยู่นานหลายชั่วโมง

“ฝันดีครับ” คุณแม่ยกยิ้มพร้อมกับกล่าวคำอวยพร ขณะที่ผมขึ้นฝั่งมายืนซับเนื้อตัวให้แห้งหมาดอยู่ตรงเก้าอี้นอนตัวยาวที่ริมสระว่ายน้ำ
“ฝันดีเหมือนกันครับแม่” ผมเงยหน้าขึ้นไปอวยพรท่านพร้อมกับส่งจูบผ่านไปทางอากาศและยกยิ้มจนตาปิดในแบบที่คุณแม่มักจะชอบพูดว่า ‘ภัทรน่ะโตแล้วนะ แต่ทำไมถึงชอบทำตัวเป็นเด็กกับแม่อยู่เรื่อย’
และจนป่านนี้ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม..
แต่ว่ากันว่า ลูกชายมักจะชอบ ‘อ้อน’ คุณแม่

หลังจากตรากตรำทำหน้าที่ของตัวเองจนเต็มอัตรา บางวันร่างของผมก็เหมือนกับจะพังตามไปด้วย แต่พอตกดึกทีไรคล้ายกับว่าความเหนื่อยล้าทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ผมถึงได้มีเวลามานอนครุ่นคิดว่าผมควรจะทำให้การรักษาของจันทร์ไม่ดูตึงเครียดอย่างไรดี จนกระทั่งไอ้แนนมันส่งรูปงานดีไอวายของมันมาอวด ผมถึงได้นึกออกว่าควรจะต้องใช้วิธีไหน เพราะงานดีไอวายของคุณหมอแสนห้าว ไม่ใช่งานลุยๆ เหมือนทุกครั้ง ในเมื่อคราวนี้มันเล่นใหญ่จนถึงกับจัดทำโหลใส่เทียนที่ประดับด้วยดอกไม้แล้วจบด้วยการเทน้ำใส่เพื่อเอาไว้ตกแต่งบ้าน
ผมจึงเกิดไอเดียว่าจะเอากิจกรรมนี้มาให้จันทร์ได้ลองหยิบจับ ‘สิ่งกระตุ้น’ อย่าง ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ดูบ้าง แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นก็คงต้องใช้เวลาอีกมาก เพราะการเอาชนะโฟเบียที่ส่งผลให้มีอาการแพนิคไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ผมเลยต้องรอให้เขามีความกล้าที่จะเฝ้ามองมันด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปให้ได้เสียก่อน และเท่าที่ทราบดอกไม้ชนิดนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวบางอย่างที่เจ้าตัวไม่อยากจดจำ 
ดังนั้นการรักษาก็ย่อมต้องเผลอกวนตะกอนให้ขุ่นมัวขึ้นมาได้

ช่วงเวลาค่ำๆ หลังเลิกงานที่ไม่เคยจะตรงเวลาแบบนี้ ผมจำเป็นจะต้องแวะเซเว่นเพื่อหาอะไรประทังชีวิตก่อนจะขับรถมุ่งตรงไปยังอำเภอข้างเคียงเพื่อให้การรักษากับจันทร์ ส่วนคุณชลวิทย์หลังจากที่ผมค่อยๆ ลดโดสยากล่อมประสาท เพื่อที่ในอนาคตจะได้รับเพียงแค่ยาแก้ซึมเศร้า ไอ้บาสก็ไม่ต้องทำหน้าที่บำบัดอะไรอีก เพราะดูเหมือนว่าคนไข้รายนี้จะเข้าใจที่มาที่ไปของโรคและยังรู้จักรับมือกับอาการของโรคได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากที่เขาได้รับยาไปประมาณหนึ่งเดือนก็ไม่มีอาการแพนิคอีกเลย แต่ผมก็ยังต้องสั่งยาให้กับคุณชลวิทย์ต่อไป เพราะผมจะต้องคอยสังเกตให้มั่นใจว่าอาการของเขาจะไม่กำเริบขึ้นมาอีก และการหยุดยาก็ควรจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้คนไข้ดื้อยา และดีไม่ดีก็อาจจะถึงขั้นต้องกินยาตลอดชีวิต ดังนั้นคนไข้ก็ไม่ควรจะหยุดยาเอง ซึ่งผมก็มักจะย้ำเตือนกับเขาอยู่บ่อยๆ เพราะเท่าที่ผมเจอมา คนไข้หลายรายมักจะหยุดยาเองหรือไม่ก็กินยาเกินกว่าที่แพทย์สั่ง รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนก็ต้องนอนให้เพียงพอ แต่เท่าที่สังเกตพฤติกรรมเวลาที่เขาอยู่บ้านตอนช่วงกลางคืน ก็ดูจะปฏิบัติตามคำแนะนำของผมอย่างเคร่งครัด เพราะในวันที่ผมไม่ได้มาเยือนที่บ้านหลังนั้นเพื่อตรวจดูอาการ เจ้าของบ้านคนพี่ก็มักจะเก็บตัวอยู่ในห้องทุกครั้ง จะมีก็แต่วันที่ต้องรอพบผมเท่านั้นเขาถึงจะเข้านอนช้ากว่าปกติ

แต่สาเหตุที่ทำให้ผมยิ่งปักใจเชื่อว่าคุณชลวิทย์ยังมีอะไรบางอย่างปิดบังผมอยู่ ก็คืออาการของเขามันราวกับหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยยาและพฤติกรรมบำบัดเพียงแค่หนึ่งเดือน ซึ่งเท่าที่เคยพบในช่วงหนึ่งเดือนคนไข้มักจะทิ้งระยะห่างการเกิดอาการเสียมากกว่า อย่างบางคนเคยเป็นสามครั้งต่อวันก็จะลดเหลือเพียงแค่สองถึงหนึ่งครั้งต่อวัน แต่กับคุณชลวิทย์ที่แต่ก่อนถึงขั้นนอนไม่ได้อีกทั้งยังมีอาการแพนิคกำเริบที่ตลาดและในช่วงที่กำลังขับรถอยู่บ่อยๆ ก็ออกจะน่าสงสัย ซ้ำยังมีเรื่องราวหลายๆ เรื่อง ที่มักจะขัดแย้งกับคำบอกเล่าของจันทร์ ผมจึงไม่ค่อยจะวางใจสักเท่าไหร่
ซึ่งความไม่ไว้วางใจของผม ก็มาจากความกังวลที่ว่า ‘การรักษาจะเกิดความผิดพลาด’

แถมช่วงนี้คุณชลวิทย์มักจะมารับการรักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากว่าเขาจะต้องเข้ามาส่งขนมของจันทร์ที่ร้านของพี่ทราย ซึ่งได้ข่าวว่าขายดีมากๆ ทำให้ผมแทบไม่มีโอกาสได้ซื้อมันกินด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้นึกเสียดายอะไร เนื่องจากเชฟปาติซิเยร์[1] อย่างจันทร์ มักจะฝากพี่ชายให้นำขนมประเภทต่างๆ มาให้ผมลองชิมทุกวัน จนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ชอบเก็บเอาเรื่องนี้ไปเล่ากันปากต่อปากอย่างสนุกสนาน ซึ่งในบรรดาขนมเหล่านั้นก็มักจะมีจดหมายน้อยซุกซ่อนอยู่ในหีบห่อที่เขาตั้งใจจะมอบให้ผมเป็นพิเศษ  จนเดี๋ยวนี้ผมมักจะเผลอยิ้มอยู่บ่อยๆ เมื่อนึกไปถึงข้อความเหล่านั้น
ที่คอยบอกว่า..

‘วันจันทร์.. วันแห่งการเริ่มต้นประจำสัปดาห์ แค่พี่หมอกินพายกรอบของจันทร์ก็หายเหนื่อยแล้ว’
‘วันอังคาร.. วันที่สองประจำสัปดาห์ แค่พี่หมอกินบานอฟฟี่ของจันทร์ก็สดชื่นไปทั้งวันแล้ว เพราะจันทร์ทำอร่อยมากๆ’

และการกระทำแบบนี้ของเชฟปาติซิเยร์ประจำบ้านกลางป่าสนก็บ่งบอกได้ดีว่าผมกำลังถูก ‘จีบ’ และยังเป็นครั้งแรกของการถูกเด็กอายุ 15 เต๊าะเสียด้วย ซึ่งวิธีการที่เขาใช้ มันก็ทำให้ผมเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ซึ่งถ้าหากมีคนมาถามว่าผมหวั่นไหวบ้างหรือเปล่า ผมก็คงตอบได้แค่ความสัตย์จริงที่ว่า..
ผมกำลังหวั่นไหว..

บรรยากาศของเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลท่ามกลางป่าสนยังคงลึกลับในความรู้สึกของผมอยู่ดี อาจเพราะผมมักจะเดินทางมายังบ้านหลังนี้ในช่วงเวลากลางคืนก็เป็นได้ จึงทำให้รอบๆ กายมีแต่ความมืดมิด หากไม่ได้แสงสว่างจากไฟหน้ารถดวงใหญ่ บรรยากาศในละแวกนี้ก็คงจะยิ่งวังเวงมากกว่าเดิม
กระทั่งขับลึกเข้ามาจนถึงครึ่งทาง ผมก็ตัดสินใจจอดรถทิ้งไว้และเดินเข้าไปยังทุ่งสโนว์ดรอปส์อันเปรียบเสมือนผืนพรมสีขาวสะอาดที่ปูรองพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ของป่าสนแห่งนี้อย่างอลังการ โดยมีตัวช่วยอย่างไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือในการคัดเลือกดอกไม้ชนิดนี้ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการรักษาอย่างพิถีพิถัน
และดอกที่ผมเลือกก็คือดอกที่มันผลิบานอย่างสวยงามแล้ว

“พี่หมอ” ทันทีที่ผมดับเครื่องยนต์จอดตรงหน้าบ้านกลางป่าสนพร้อมกับเปิดกระจกออกมาทักทาย อีกฝ่ายก็รีบยกยิ้มแป้นต่างกับเมื่อครู่ที่เอาแต่เดินถือเทียนหอมที่ผมซื้อให้วนไปวนมาอยู่ตรงหน้าบ้าน คล้ายกับเจ้าตัวเป็นกังวลว่าตัวเองจะเข้าใจผิด เนื่องจากผมฝากบอกผ่านคุณชลวิทย์ไปว่านับตั้งแต่นี้ผมจะแวะมาหาจันทร์ทุกวันพุธและวันศุกร์
“หืม?” ผมหันหน้าไปหาอีกฝ่ายพลางส่งเสียงถามในลำคอพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“ขนมจันทร์อร่อยไหมครับ?” เชฟปาติซิเยร์ประจำบ้านกลางป่าสนรีบเอ่ยถามด้วยความกังวล
“อร่อยครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มกริ่มเพราะคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำว่าสิ่งที่เขาอยากรู้ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้

“แล้ว..” จันทร์เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายกำลังเก้อเขิน
“ครับ?” ผมย้อนถามพลางขยับตัวเข้าไปใกล้กับหน้าต่างรถให้มากขึ้น ทำเอาเจ้าของบ้านตัวเล็กถึงกับผงะถอยด้วยความตื่นตระหนก

“พี่หมอ.. เอ่อ.. เห็นกระดาษอะไรไหม?” จันทร์ถามขณะที่สายตาก็มองจ้องไปยังจุดโฟกัสอื่นๆ ที่ไม่ใช่ใบหน้าผม ขณะที่ฝ่ามือของเจ้าตัว กลับกอบกุมแท่งเทียนในมือเสียจนแนบแน่น บ่งบอกถึงความเก้อเขินที่มีมากจนเกินพอดี
“ข้อความของจันทร์น่ะเหรอ?” ผมย้อนถามอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาคนอ้อมค้อมถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบประสานสายตาเข้าอย่างจัง แต่แล้วเจ้าของบ้านตัวเล็กก็รีบเสสายตาหลบอย่างเป็นธรรมชาติ

“อื้อ” เสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากของจันทร์ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“เห็นครับ พี่ว่าเราเข้าบ้านกันเถอะ” ผมตอบคำถามของอีกฝ่ายพลางเอื้อมมือไปยีหัวของเจ้าตัวด้วยความเอ็นดู พร้อมกับชักชวนให้รีบเข้าบ้าน ซึ่งจันทร์ก็ยืนรอผมหยิบข้าวของจำเป็นในวันนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงจะยอมเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“พี่หมออาบน้ำก่อนดีกว่านะครับ วันนี้จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นจันทร์รอพี่สักสิบนาทีแล้วกันนะ” ผมตอบรับพร้อมกับให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะเดิมทีผมคิดว่าจะทำอะไรให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยอาบน้ำ แต่ในเมื่อจันทร์แนะนำผมเองก็ไม่ปฏิเสธ เนื่องจากการรักษาในวันนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน

“พี่หมอครับ..” ขณะที่ผมกำลังจะเอาของเข้าไปเก็บในห้องพักรับรอง จันทร์ก็ร้องเรียกผมไว้พร้อมกับเอื้อมมือมาฉุดรั้งประตูไม่ให้ปิดลง ฝ่ามือของเราเลยแตะต้องกันเพียงเบาๆ ด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะเมื่อครู่ผมดันเผลอเอามือไปป้องตรงขอบประตู เพื่อบังคับให้เสียงปิดประตูมันเบาลง เนื่องจากว่าประตูห้องพักส่วนตัวเพียงชั่วคราวของผม มันออกจะฝืดๆ สักเล็กน้อย
“เอ่อ.. ไม่มีอะไรครับ” จันทร์กล่าวทิ้งท้ายแล้วก็รีบวิ่งหนีขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาทำเอาผมตั้งตัวแทบไม่ทัน แต่ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะเขินที่ฝ่ามือของเราบังเอิญสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่การถูกเนื้อต้องตัวด้วยความรู้สึกในใจที่ไม่ชัดเจนเหมือนอย่างเคย

ผมอมยิ้มแล้วก็ปิดประตูให้สนิท จากนั้นก็หยิบดอกสโนว์ดรอปส์จากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตออกมาวางไว้บนโต๊ะตรงข้างเตียง แล้วจึงหันมายุ่งวุ่นวายกับเครื่องแต่งกายของตัวเอง ต่อจากนั้นก็ใช้เวลาในการอาบน้ำเพียงไม่นาน ผมก็ขึ้นมานั่งอยู่บนพื้นพรมสีเทาตุ่นในห้องใต้หลังคา
 
“คราวที่แล้วพี่ลองให้จันทร์มองภาพสโนว์ดรอปส์ไปแล้วเนอะ แถมจันทร์ยังหยิบรูปนั้นมาดูได้อย่างสบายๆ วันนี้พี่เลยไปเก็บดอกสโนว์ดรอปส์ของจริงติดตัวมาด้วย” ผมพูดเกริ่นนำเพื่อให้อีกฝ่ายตั้งตัวว่าต่อไปจะต้องเจอกับอะไร
“ครับ..” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วบ่งบอกได้ว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะไม่เกิดอาการแพนิคขึ้นมาอีก

“ถ้าจันทร์พร้อมแล้วเราค่อยเริ่มก็ได้นะ” ผมยืดหยุ่นให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวเตรียมใจต่ออีกหน่อย
“เริ่มเลยก็ได้ครับ” คนป่วยย้ายตัวเองมานั่งอิงแอบอยู่ตรงปลายเตียงข้างๆ ผม คล้ายกับค้นหาที่ยึดเหนี่ยวความมั่นใจของตัวเองได้แล้ว ถึงยอมให้วิธีการรักษาในขั้นตอนต่อไปเริ่มต้นขึ้น ผมจึงหยิบดอกสโนว์ดรอปส์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอนของตัวเองแล้วก็วางมันลงบนฝ่ามือที่อยู่ตรงหน้าของจันทร์แน่นิ่ง

“จันทร์ลองสังเกตลักษณะของดอกไม้ชนิดนี้นะ ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ ให้บอกพี่” ทันทีที่ผมให้คำแนะนำ อีกฝ่ายก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขณะที่ผมก็ได้แต่จ้องมองเครื่องหน้าของจันทร์ในระยะประชิดอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งเครื่องหน้าของเจ้าของบ้านคนนี้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผมได้ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือขี้แมลงวันเล็กๆ ที่แปะอยู่ตรงข้างแก้มซ้าย จนเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านคนน้องดูมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง มิหนำซ้ำกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกหอมเย็นเหมือนกับกลิ่นมิ้น ซึ่งเป็นกลิ่นสบู่ก้อนที่วางอยู่ในช่องใส่สบู่ติดกำแพงที่ปกติมักจะถูกแทนที่ด้วยถุงใยบวบสีขาวสะอาด โดยที่ผมก็เพิ่งจะรู้ในวันนี้ว่ามันเป็นของจันทร์ เพราะกลิ่นหอมที่กำลังลอยอบอวนมาจากผิวเนื้อของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับกลิ่นสบู่เหลวที่วางอยู่ในห้องน้ำ
“จันทร์โอเคไหม ?” ผมรีบเอ่ยถามอีกฝ่ายเมื่อสังเกตเห็นว่าหยาดเหงื่อเริ่มจะออกมากกว่าปกติ อีกทั้งจังหวะการหายใจมันก็ชักจะแปลกๆ เข้าให้แล้ว ผมจึงกำฝ่ามือของตัวเองแน่นเพื่อบดบังไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นสิ่งกระตุ้นชิ้นดังกล่าว

-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 13-03-2018 09:18:10
“…” จันทร์ไม่ตอบแต่กลับสั่นหัว พร้อมกับพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนก ผมจึงรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเพื่อให้เขาใช้ตัวผมเป็นที่พักพิง
“จันทร์ชอบดอกไม้อะไรเหรอ?” กระทั่งเหตุการณ์ปกติดีแล้ว ผมก็เริ่มซักถามอีกฝ่ายเพื่อหาทางช่วยประคับประคองการรักษาให้ง่ายขึ้น

“ไม่มีครับ” จันทร์ผละตัวออกห่างจากผมก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าบ้านไม่มีดอกไหนที่จันทร์ชอบสักนิดเลยเหรอ?” ผมย้อนถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะถึงน้องจะเป็นผู้ชายแต่ก็น่าจะมีมุมที่อ่อนหวานกันบ้าง
เพราะขนาดผมเองยังมีดอกไม้ที่ชอบเลย

“ก็ชอบครับ แต่ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ”
“อืม..” ผมลากเสียงยาวในลำคอพลางครุ่นคิดว่าจะใช้ดอกอะไรมาแทนสิ่งกระตุ้นอย่างดอกสโนว์ดรอปส์ดี

“แล้วพี่หมอชอบดอกอะไรเหรอครับ ?”
“พี่ชอบดอกเนโมฟีลาน่ะ” ผมตอบพลางยกยิ้มเพียงเท่านั้นก็เรียกความสนใจจากคนข้างกายได้เป็นอย่างดี

“มันเป็นยังไงเหรอครับ ?” จันทร์สอบถามด้วยความสงสัยพร้อมกับแววตาที่ฉายแววสนใจอย่างเต็มเปี่ยม
“มันเป็นดอกสีฟ้าๆ ที่มีกลีบกลมมนทั้งหมดห้ากลีบ แต่ตรงส่วนปลายกลีบที่อยู่ติดกับเกสรจะมีสีขาว” ผมอธิบายพลางหย่อนดอกสโนว์ดรอปส์ที่มีรูปร่างแตกต่างกับดอกไม้ชนิดที่ผมพูดถึงไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเสิร์ชข้อมูลให้จันทร์ดู ซึ่งก็ต้องรอเป็นเวลานานมากถึงมากที่สุด เพราะสัญญาณไม่ค่อยจะแรงสักเท่าไหร่

“จันทร์ชอบดอกเนโมฟีลา” เจ้าของดวงตากลมใสละจากหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อหันมาจ้องมองใบหน้าของผมพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างสดใส ขณะที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายกลับซับสีเลือดจางๆ เพราะแสงเทียนสีเหลืองนวลกำลังหลอกตาจนลดประสิทธิภาพในการมองเห็นไปมากโข
“ถ้าอย่างนั้นจันทร์ลองจินตนาการถึงความชอบที่มีต่อดอกเนโมฟีลาในตอนที่กำลังมองดอกสโนว์ดรอปส์ในมือพี่ดีไหม แต่สิ่งสำคัญคือจันทร์จะต้องเชื่อมั่นว่ามันไม่ได้น่ากลัว และมันไม่มีทางจะทำให้จันทร์เกิดอันตรายใดๆ ได้ เพราะมันก็แค่ดอกไม้ชนิดหนึ่ง และมันก็เหมือนกับดอกเนโมฟีลาที่มีแต่ความสวยงาม” ผมให้คำแนะนำกับจันทร์อย่างค่อยเป็นค่อยไปเพราะการจะเปลี่ยนมุมมองความคิดของใครสักคนมันเป็นเรื่องยาก

“ยังไงพี่ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าหากสังเกตว่าจันทร์เริ่มจะรับมือไม่ไหว พี่จะโยนเจ้าดอกไม้นี่ทิ้งไป แล้ววันหลังเราค่อยมาพยายามกันใหม่” ผมพูดตอกย้ำความมั่นใจกับจันทร์อีกครั้ง เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายยังคงหวาดกลัวอยู่มาก
หากเมื่อครู่ผมไม่ทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติขึ้นมาเสียก่อน จันทร์ก็อาจจะมีอาการแพนิคในระดับสูงสุดเหมือนทุกครั้ง

“ครับ” ทันทีที่น้ำเสียงแผ่วหวิวของคนไร้ความมั่นใจดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เอาแต่เม้มแน่นคู่นั้น ผมก็นำดอกสโนว์ดรอปส์ขึ้นมาปรากฏสู่สายตาของใครอีกคนอย่างเชื่องช้า จากนั้นแววตาของผมก็ไม่เคยละห่างออกจากใบหน้าของจันทร์เลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะผมเองก็กลัวว่าเขาจะเกิดอาการแพนิค
ซึ่งมันก็เป็นการกระทำที่ดูจะเกินหน้าที่ไปมาก..
เพียงแต่มันยังไม่มากพอที่จะเรียกว่า ‘ความรัก’

กระทั่งความพยายามล้มเหลวลงอีกครั้ง เพราะจันทร์ฝืนตัวเองมากจนเกินไปจึงทำให้เกิดอาการแพนิค แต่เขาก็เริ่มควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น อาจเพราะผมคอยแนะนำให้เจ้าตัวคิดเสียว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัว และมันก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น

“พี่เพิ่งรู้ว่าจันทร์มีน้องสาวฝาแฝดด้วย” ผมเปิดประเด็นหลังจากที่ปิดคอร์สการรักษาในวันนี้
“หือ? พี่หมอรู้ได้ยังไงครับ” จันทร์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่แล้วความคลางแคลงใจก็พลันหายไป เมื่อจันทร์รีบพูดอีกประโยคหนึ่งขึ้นมา

“แบบนี้ก็แสดงว่าพี่หมอเจอลีแล้วน่ะสิ แต่ห้ามจีบนะครับ จันทร์หวง” 
“หวง?” ผมถามพลางยกยิ้มเพราะอีกฝ่ายเน้นย้ำที่คำว่า ‘หวง’ เสียเหลือเกิน ซึ่งคำว่า ‘หวง’ ในที่นี้ มันคือการหวง ‘น้องสาว’ หรือว่าใครกันแน่
“ครับ หวงมาก”
“เพราะหวงมาก จันทร์ก็เลยไม่ยอมบอกพี่ว่ามีน้องสาว ?”

“อื้อ” จันทร์ตอบพลางพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ผมจึงเข้าใจสาเหตุที่เจ้าของบ้านคนน้องไม่ยอมเปิดเผยเรื่องราวของ ‘น้องสาวฝาแฝด’ ให้ผมทราบ แต่กับคุณชลวิทย์ผมก็ยังนึกสงสัยอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงบอกกับผมว่า ‘พวกเรามีกันแค่สองคนพี่น้อง’ และยังให้คำตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เกี่ยวกับเรื่องของน้องลียากรอีก
“ปกติลีจะอยู่ที่โรงเรียนประจำครับจะกลับมาบ้านก็ช่วงปิดเทอม” จันทร์อธิบายไขข้อข้องใจที่ผมเองก็ทราบดีอยู่แล้ว เหลือก็แต่เรื่องที่ยังไม่รู้นั่นละที่ทำให้ผมนึกลังเลอยู่ว่าจะถามออกไปเลยดีไหม

“แล้วทำไมลีถึงชอบทำตัวแปลกๆ ล่ะ ?”
“ลีเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงครับ ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แล้วก็ชอบดื้อกับพี่ชลมากๆ ยิ่งพี่ชลห้ามอะไร ไม่ชอบอะไร ลีก็จะยิ่งทำครับ เรียกได้ว่าสองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยแหละ” จันทร์พูดพร้อมกับอมยิ้มและหลุดขำออกมาเพียงเบาๆ คล้ายกับว่าเขากำลังมีความสุขที่ได้เล่าถึงวีรกรรมของน้องสาวที่มีนิสัยแตกต่างกับตัวเองมาก

“เพราะแบบนั้นน้องก็เลยชอบทำเสียงดังตอนกลางคืนน่ะเหรอ ?” ผมถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ครับ แต่พอถูกพี่ชลดุแกก็เลยเพลาๆ ลงบ้าง แต่นิสัยชอบหนีออกไปวิ่งเล่นข้างนอก แก้ยังไงก็แก้ไม่หายสักที” ผมพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะผมเองก็เห็นด้วยสายตาของตัวเองมาแล้ว เพียงแต่ใจของผมก็ยังคงสงสัยอยู่ดี

“แล้วทำไมถึงต้องปิดบังตัวตนของลีด้วยล่ะ พี่ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ผมสอบถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะได้รับคำตอบที่กำลังสงสัยอยู่หรือเปล่า
“ถ้าจันทร์บอกความลับกับพี่หมอ สัญญานะครับว่าจะต้องเหยียบให้มิด” อีกฝ่ายกล่าวพลางชูนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าคล้ายกับเจ้าตัวต้องการทั้งคำตอบและคำสัญญาตามธรรมเนียมนิยม

“สัญญา..” ผมเกี่ยวปลายนิ้วก้อยกับเรียวนิ้วของจันทร์เพียงครู่ จากนั้นใบหน้าของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ จนทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง อีกทั้งหัวใจก็ยังเต้นระรัวราวกับตีกลอง
“พี่ชลไม่ค่อยไว้ใจให้ลีอยู่ข้างนอกครับ กลัวว่าจะเป็นอันตรายเหมือนกับที่ไม่ยอมให้จันทร์ออกไปไหน แต่ที่จำเป็นจะต้องให้ลีไปเรียนที่โรงเรียนประจำก็เพราะว่าพี่ชลอยากให้ลีเรียนหนังสือ แล้วจันทร์ก็อยากให้ลีเรียนด้วยเหมือนกัน จันทร์ก็เลยต้องยอมตามใจพี่ชลเพราะถ้าพี่ชลกังวลลีก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ” เสียงกระซิบชิดริมหูทำเอาผมต้องรวบรวมสมาธิในการประมวลผลความลับสุดยอดของจันทร์เป็นอย่างมาก

“แล้วจันทร์ล่ะไม่อยากเรียนบ้างเหรอ?” ผมย้อนถามเมื่ออีกฝ่ายผละตัวออกห่างจากระยะอันตรายไปแล้ว
“ก็อยากครับ แต่จันทร์ฝึกจากการอ่านนิยายก็ได้” อีกฝ่ายเอ่ยตอบพร้อมกับยกยิ้มอย่างไร้ร่องรอยของความน้อยใจที่ตนเองไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ เหมือนกับน้องสาว

“เรารีบเข้านอนกันดีกว่า” ผมกล่าวตัดบทเมื่อวันนี้มีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมายจนเกินไปแล้ว
“ฝันดีครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้ม

“ฝันดี” ผมเอ่ยกับอีกฝ่ายพลางเอื้อมมือไปยีหัวคนยิ้มแป้นเพียงเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและก้าวเดินลงบันไดไปยังห้องพักรับรองของตัวเอง
ขณะที่ในหัวก็ยังคงใช้ความคิดอย่างหนัก

เพราะสาเหตุที่คุณชลวิทย์ปิดบังเรื่องของน้องลียากร ดูท่าทางน่าจะเป็นเพราะความกังวลที่มีมากจนเกินพอดี ซึ่งความกังวลเหล่านั้นก็คงจะเหมือนกับกรณีของจันทร์ และมันก็กลายเป็นตัวกระตุ้นให้สารเคมีในสมองสูญเสียความสมดุล จนเป็นที่มาของ ‘โรคแพนิค’ เนื่องจากระบบอัตโนมัติที่ทำหน้าที่ในการรักษาความสมดุลทางร่างกายที่เราไม่สามารถบังคับมันได้ จู่ๆ ก็ดันทำงานขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เพราะโดยปกติแล้ว คนเราจะมีสารในสมองที่สมดุลกัน จึงทำให้เวลาที่เราไปดูหนังผี เราจะแค่ตกใจ ใจเต้นเร็ว หรือเหงื่อแตกได้ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคแพนิคจะเกิดอาการแปลกๆ จนทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลว่าตัวเองกำลังจะป่วยหนักและอาจจะตายได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งอันที่จริงแล้วปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอย่างแน่ชัด แต่ก็มีการสันนิษฐานว่ามันน่าจะเกี่ยวกับความผิดปกติทางพันธุกรรม และปัจจัยทางด้านจิตใจ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีความเชื่อว่า อาการตื่นตระหนกนั้นเกิดขึ้นจากการเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ที่มีอาการ หรือผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการแพนิคในขณะที่มีสิ่งกระตุ้น หรืออยู่ในสถานที่ที่เคยเกิดอาการแพนิคจึงทำให้อาการกำเริบ รวมถึงการใช้สารเสพติดก็สามารถทำให้สารสื่อประสาทในสมองสูญเสียการสมดุลได้เหมือนกัน และนอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชีวิต อย่างเช่น การผ่านเหตุการณ์เลวร้าย โดยเฉพาะช่วงวัยเด็กจะทำให้มีโอกาสเป็นแพนิคได้มากกว่าปกติ

และถึงแม้ว่าอาการแพนิคมันจะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยไม่มีลางบอกเหตุ แต่ผู้ป่วยก็มักจะชอบหาสาเหตุเชื่อมโยงเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว อย่างเช่นกรณีของคุณชลวิทย์ เขาตีความว่าอาการเหล่านั้น มีสาเหตุมาจากความเครียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ก็เพราะอาการมักจะเกิดขึ้นเมื่อเขาคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากได้ฟังมาจากจันทร์และเปรียบเทียบกับคำบอกเล่าของเจ้าตัว มันก็เริ่มจะทำให้ผมสับสนในสาเหตุที่แท้จริงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในกรณีของจันทร์นั้น เกิดจากสเปซิฟิค โฟเบีย หรือโรคกลัวเฉพาะอย่างที่มีผลต่อเนื่องให้เกิดอาการแพนิค จนกระทั่งมันกลายเป็นโรคแพนิค เนื่องจากหวาดความกลัวของจันทร์ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ตรงที่เจ้าของบ้านคนน้องไม่สามารถใช้ทางผ่านที่ขนาบข้างด้วยทุ่งสโนว์ดรอปส์ได้เลย และทุกครั้งที่เกิดอาการจันทร์มักจะคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย และหวาดระแวงว่าจะรับมือไม่ไหว ซึ่งหลังจากเกิดอาการ จันทร์ก็มักจะหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวเสมอ แต่เมื่อผมชวนเขาไปเดินเล่น เพราะไม่กล้าจะปฏิเสธก็เลยทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวได้ มิหนำซ้ำดอกไม้ชนิดนี้ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีต ที่ปัจจุบันถูกลบเลือนด้วยกลไกในการป้องกันตัวที่เรียกว่า Defense Mechanism [2] 
ซึ่งมนุษย์มักจะใช้กลไกนี้ ขจัดประสบการณ์และความทรงจำอันเจ็บปวดโดยการเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก


゚゚❀゚゚

[1] เชฟปาติซิเยร์ คือ เชฟประจำครัวของหวาน
[2] Defence mechanism คือกลไกการป้องกันตนเองทางจิตของมนุษย์ เป็นการหาทางออกให้กับจิตใจ เมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือเป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองเพื่อแก้ไขความสับสนในจิตใจ หรือการต่อต้านความเจ็บปวดของจิต

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้แลจะยาวกว่าตอนที่แล้วนิดหน่อย เพราะเราต้องการจะเขียนให้มันจบหนึ่งวันต่อหนึ่งตอน เหตุการณ์อาจเกิดทีละนิด เพราะว่าตัวพระเอกก็เป็นหมอเนอะ อยู่ไกลกันเลยไปมาลำบาก แค่นี้ก็สู้ชีวิตมากแล้ว 5555 น้องจันทร์เหมือนจะเงียบๆ เรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วก็ไม่นะจ๊ะ ลองทายกันดูนะคะว่าแต่ละปมเป็นยังไง เพราะอะไร ไม่รู้ว่าปมที่ปล่อยๆมามันช่วยให้เดาอะไรได้มั้ย 5555 หรือมันช่วยให้งงกว่าเดิมก็ไม่รู้สินั่น ส่วนวิธีการบำบัดที่พี่หมอเอามาใช้กับน้องจันทร์ไว้เราจะเอาบทความมาแปะให้อ่านนะคะ ขอเขียนให้สำเร็จทุกขั้นตอนก่อน เดี๋ยวมันจะสปอยเรื่อง

บทความและคลิปวีดิโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
 - การว่ายน้ำ  (https://www.unlockmen.com/how-swimming-changes-your-brain-and-makes-you-mentally-healthier/)
 - โรคแพนิค  (https://www.youtube.com/watch?v=p0uoKG-aX74&feature=youtu.be)
 - กลไกการป้องกันตัวเอง (https://www.gotoknow.org/posts/283791)
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-03-2018 15:29:49
ยังมองว่าปมไม่คลายเลย  :hao3:
แต่มีความไหวหวั่นของพี่หมอกับจันทร์เพิ่มขึ้น
จันทร์ บอกว่าหวง หวงลี หรือว่าหวงพี่หมอกันแน่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 9 (update 15/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 15-03-2018 15:41:25
ตอน 9

เช้ามืดสำหรับการเดินทางกลับมายังตัวเมืองเชียงใหม่ รอบๆ กายยังคงเงียบสงัด ผมจึงทิ้งกระดาษโน๊ตไว้บนโต๊ะทานข้าวเพื่อบอกกล่าวให้เจ้าของบ้านทราบ เนื่องจากเช้าวันนี้คุณชลวิทย์ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทักทายกันเหมือนอย่างเคย อาจเพราะช่วงนี้เขาไม่ต้องเอาผักไปขายที่ตลาดแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้การเดินทางเข้าเมืองเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะคาเฟ่ของพี่ทรายกว่าจะเปิดก็สิบโมงเข้าไปแล้ว แถมตอนนี้เขายังมีช่องทางในการขายส่งผักสลัดที่ใช้วิธีการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ [1] ให้กับทางร้านอาหารที่เป็นเพื่อนกับพี่ทรายอีก จึงส่งผลให้ช่วงเวลาในการทำงานของพ่อค้าขายผักคนนี้ดูจะผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และยังทำให้เขามีเวลาในการวางแผนสร้างโรงเรือนเพื่อขยับขยายหนทางในการหารายได้ ซึ่งผมคิดว่าเขาน่าจะมีเงินเก็บมากพอสมควรถึงได้มีความคิดแบบนั้น และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าพี่ชายของจันทร์ไม่ได้เครียดหรือเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งมันก็สอดคล้องกับคำบอกกล่าวของจันทร์ที่เกี่ยวกับน้องลียากร เพราะดูท่าทางแล้วเจ้าของบ้านคนพี่น่าจะเป็นห่วงน้องสาวที่จำเป็นจะต้องไปเรียนอยู่ไกลหูไกลตาจนถึงขนาดลงทุนปิดบังตัวตนของเธอ
ราวกับถ้าหากใครล่วงรู้การมีตัวตนนั้นจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ถ้าหากเขาไม่อยากให้ผมรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวมากนัก ทำไมเขาถึงไม่ไปหาผมที่โรงพยาบาล แทนที่จะชักจูงให้ผมเข้ามาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องราวที่ตัวเองไม่อยากเปิดเผย ซึ่งพอคิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นไปได้ว่าการตัดสินใจของเขาคือการหลีกเลี่ยงต่อสิ่งเร้าอันเป็นเหตุให้เกิดอาการแพนิคก็เป็นได้ เนื่องจากคุณชลวิทย์เคยมีอาการในขณะที่กำลังขับรถและยังเคยมีอาการในขณะที่กำลังขายผักอยู่ที่ตลาด ซึ่งการไปเช่าแผงลอยขายผักในตลาดก็ทำให้เขามีความจำเป็นที่จะต้องฝืนตัวเอง กระทั่งกลับมาที่บ้านอาการแพนิคที่เคยเกิดขึ้นก็สร้างความกังวลใจ อีกทั้งยังทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง
เขาจึงเกิดความไว้วางใจที่จะปลดแอกความรู้สึกหนักอกเอาไว้ที่บ้านถึงได้ยอมเสี่ยงกุเรื่องขึ้นมาขนาดนี้

คลิก!

ผมปิดประตูบ้านให้เบาที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ จากนั้นก็ตั้งท่าจะเดินไปยังรถที่ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แต่ปรากฏว่าสายตากลับมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจเข้าเสียก่อน ผมจึงโน้มตัวลงไปหยิบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับพวงมาลัยทรงกลมที่ใช้ประดับตกแต่งในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ เพียงแต่พวงมาลัยที่ถูกโยนทิ้งลงถังขยะกลับเป็นพวงมาลัยที่ทำจากช่อดอกสโนว์ดรอปส์ทั้งสิ้น
และมันก็บ่งบอกได้ดีว่าเป็นฝีมือของมนุษย์

“ของลีเหรอ? แต่ถ้าเป็นของลีก็ไม่น่าจะเอามาทิ้งแบบนี้สิ” ผมได้แต่บ่นงึมงำอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจนำพวงมาลัยคริสมาสต์ผิดช่วงเวลาที่ทำจากดอกสโนว์ดรอปส์กลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ด้วย
เหตุเพราะเจ้าของสิ่งนี้ มันอาจจะมีประโยชน์ในวันข้างหน้าก็เป็นได้

“ทำไมวันนี้มึงมาถึงก่อนกูได้วะ” เมื่อมาถึงโรงพยาบาลโดยสวัสดิภาพ ผมก็ทักทายญาติผู้น้องในขณะที่กำลังเดินสวนกันตรงเคาน์เตอร์ประจำวอร์ดจิตเวช
“แวะไปรับเพื่อนที่สนามบินดิพี่ภัทร แม่งมาซะไฟลต์เช้าเลย” ไอ้บาสกล่าวพลางทำหน้ามึนๆ เพราะปกติมันจะมาก่อนเวลาเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เผื่อเวลาเป็นชั่วโมงๆ แบบนี้
แล้วอีกอย่างนักจิตวิทยาก็เข้างานช้ากว่าผมชั่วโมงนึงด้วย

“อ้อ ตั้งแต่พรุ่งนี้มึงลานี่หว่า”
“ถูกต้องครับ! แต่พี่ภัทรไม่ต้องเป็นห่วงเลยเว้ย ผู้ช่วยกูนี่เก่งอย่างนี้เลย” ไอ้บาสคุยโวพลางชูนิ้วโป้งบ่งบอกถึงความเก่งกาจของผู้ช่วยที่ผ่านการเทรนมาอย่างดี

“คนเราวกกลับมาชมตัวเองทางอ้อมก็ได้เว้ย”
“เออนี่พี่ภัทร เย็นนี้แม่จะทำกับข้าวมื้อใหญ่ต้อนรับพวกเพื่อนๆ ผม ถ้าเสร็จงานแล้วพี่ก็แวะมากินด้วยกันดิ พ่อกับแม่พี่ก็ตอบตกลงแล้วด้วย” ไอ้บาสยักคิ้วอย่างไม่ปฏิเสธพลางกล่าวชักชวนให้มาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

“งานกูมันเลิกไม่ค่อยแน่นอนเลยว่ะ เกรงใจลุงกับป้าแล้วก็เพื่อนของมึงด้วย”
“เกรงใจทำไมวะ เพื่อนผมน่ะช่างหัวพวกมันดิ เป็นแขกก็ต้องคอยไปนั่นแหละ ส่วนพ่อกับแม่ผมแกก็อยากเจอพี่ภัทรนะเว้ย บ้านอยู่รั้วเดียวกันแต่แทบไม่เคยเห็นหน้า นานๆ ได้กินข้าวด้วยกันสักที คอยนิดคอยหน่อยจะเป็นไรไป” ไอ้บาสกล่าวพลางตบไหล่ผมเบาๆ ผมจึงพยักหน้าตอบตกลงให้มันจบๆ ไป ไว้ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเหมือนอย่างวันที่ผิดสัญญากับจันทร์เมื่อไหร่ก็ค่อยโทรไปขอโทษเอาแล้วกัน เพราะงานของผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเหตุที่ว่านั่นตอนไหน
เนื่องจากคนไข้ในวอร์ดก็มีอยู่หลากหลายโรคและยังอยู่ในสภาวะที่ต้องพึงระวัง
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับการรักษา แต่ญาติกลับหลอกให้มานี่แหละ

หลังจากตรวจ OPD หรือผู้ป่วยนอกในช่วงเช้าและบ่ายจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องมานั่งคิดวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ รวมถึงวางแผนการรักษาอย่างละเอียด เพราะว่าโรคทางจิตใจเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก จึงทำให้บางอาการไม่ปรากฏอย่างเด่นชัดเหมือนกับโรคทางร่างกาย

ก๊อก ก๊อก

“เสร็จหรือยังมึง จะได้ไปหาอะไรกินกัน” หมอแนนหรือจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านจิตเวชศาสตร์ในผู้สูงอายุไม่รอให้ผมตอบรับ ก็รีบเปิดประตูและแทรกตัวเข้ามายังห้องทำงานของผมพร้อมกับยืนกอดอกถามอย่างกดดัน
“เสียใจด้วยนะหมอแนน วันนี้กูมีนัดกับไอ้บาสว่ะ” ผมวางปากกาลงบนโต๊ะทำงานจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปยักคิ้วใส่จิตแพทย์สาวที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างขุ่นเคือง

“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่ช่วงเที่ยงวะ เสียเวลาชะมัด” ไอ้แนนจีบปากจีบคอพูดพลางเบะปากใส่ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากห้องอย่างมีจริตจะก้านให้พอไม่ลืมเลือนว่ามันเองก็เป็นผู้หญิง ผมจึงได้แต่ส่ายหัวกับอาการผีเข้าผีออกของมันเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะรู้ดีว่าอาการสะบัดสะบิ้งของมันเมื่อครู่ก็แค่ต้องการแกล้งทำให้มันดูโอเวอร์แอคติ้งไปอย่างนั้น
กระทั่งหกโมงกว่าๆ ผมก็ได้ฤกษ์กลับบ้านเสียที โชคดีที่วันนี้ไม่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นผมคงได้ผิดสัญญาซ้ำสองกันพอดี ซึ่งถ้าหากเป็นเวลาปกติผมจะไม่ค่อยกังวลสักเท่าไหร่
แต่ถ้าเผลอไปสัญญิงสัญญากับใครไว้มันก็อดจะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้

ผมเลือกที่จะขับรถไปจอดไว้ในโรงรถของบ้านตัวเอง แล้วเดินผ่านสวนหย่อมขนาดเล็กที่ขวางกั้นสองครอบครัวเอาไว้ เพื่อที่ตอนขากลับจะได้มีเวลาเดินเล่นไปในตัว กระทั่งเดินมาจนถึงที่หมายก็พบว่าในบ้านดูเงียบเหงาผิดกับคำโฆษณาของไอ้ญาติผู้น้อง ผมจึงเดินไปยังห้องอาหารที่อยู่อีกมุมหนึ่งของตัวบ้าน ซึ่งมุมนั้นเป็นมุมที่อยู่ติดกับสระบัวเลยเห็นว่าเวลานี้สมาชิกของบ้าน รวมทั้งแขกผู้มาเยือนกำลังนั่งเล่นอยู่ตรงศาลาริมสระบัวที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก ผมจึงหมุนตัวเดินไปยังประตูกระจกที่เชื่อมกับทางเดินที่มุ่งสู่ศาลาแบบเปิดโล่ง
“อ้าว มาพอดีเลยภัทร เดี๋ยวรอป้าครู่นึงนะ” ขณะที่ผมกำลังถอดรองเท้าอยู่ตรงหน้าศาลา ป้าจั่นแม่ของไอ้บาสก็หันมาเจอเข้าพอดี ผมเลยถือโอกาสไหว้ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่จนครบวง พร้อมรับไหว้เพื่อนของไอ้บาส จากนั้นคุณป้า คุณแม่ และไอ้บาสก็พากันเดินกลับไปยังห้องครัว ผมเลยถือโอกาสเข้ามานั่งร่วมวงกับคนอื่นๆ โดยเลือกที่นั่งในตำแหน่งใกล้ๆ กับพ่อของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะนั่งให้ครบนาที ลุงเต็มก็ออกปากขอความช่วยเหลือให้พวกเรายกโต๊ะไม้ไปวางไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของศาลา เนื่องจากวันนี้ป้าจั่นได้จัดเตรียม ‘ขันโตก’ ไว้ต้อนรับเพื่อนๆ ของลูกชาย ซึ่งถ้าหากวางขันโตกลงบนโต๊ะ
เกรงว่าจะกินกันลำบาก

สำหรับชุดขันโตกที่คุณป้าจัดเตรียมไว้ต้อนรับเพื่อนๆ ของไอ้บาสก็มีเมนูมากมายหลายอย่าง เช่น กล้วยทอด แกงฮังเลหมู ไก่ทอด น้ำพริกหนุ่มพร้อมกับผักลวกจิ้ม น้ำพริกอ่อง แคบหมู ผัดผักรวม หมี่กรอบ ข้าวสวย ซุปใส และผลไม้สดที่จะได้ทานกันหลังจากผ่านมื้อหนักไปแล้ว โดยอาหารแต่ละอย่างจะบรรจุอยู่ในถ้วยเซรามิคลายไทยในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งการจับกลุ่มกินขันโตกของเราในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มของไอ้บาสและเพื่อนๆ รวมถึงเด็กชายวัยประมาณ 2-3 เดือน ดังนั้นกลุ่มนี้จึงมีสมาชิกประมาณ 7 คน แล้วก็กลุ่มของผมกับผู้หลักผู้ใหญ่ อีก 5 คน โดยเราจะนั่งรวมกันเป็นวงใหญ่ เพียงแต่จะรับประทานอาหารจากขันโตกคนละชุดเท่านั้น

“ใครแดกไม่อิ่มไม่ต้องใจเสียไปเว้ย แม่กูแค่อยากจัดขันโตกน่ากินๆ เหมือนกับร้านอาหารเฉยๆ ในครัวยังมีอีกเพียบ” ไอ้บาสพูดกับเพื่อนของมันอย่างรู้ใจ
จากนั้นมื้อเย็นในช่วงหัวค่ำที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคึกคักก็เริ่มขึ้น

 ซึ่งเรื่องในวงสนทนาของเรานั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยวงของผมคุณป้ามักจะสอบถามเรื่องงานแล้วก็เรื่องความรัก จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องญาติๆ คนอื่นเสียมากกว่า ส่วนวงของไอ้บาสกับเพื่อนๆ ดูเหมือนจะคุยเรื่องแผนการท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ แล้วก็คอยแหย่เด็กน้อยที่ได้แต่มองผู้ใหญ่พูดคุยกันไปมาด้วยสายตาแป๋วแหววจนถึงกับร้องไห้จ้า เดือดร้อนถึงคนเป็นแม่ที่เป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มต้องพาเจ้าลูกชายตัวน้อยไปนั่งดูปลาในสระบัวตรงอีกมุมหนึ่งของศาลา จากนั้นพ่อเด็กก็ใช้ฝ่ามือพิฆาตตีหัวเจ้าผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตจนเสียงดังลั่น บ่งบอกได้ดีว่าการลงโทษในครั้งนี้ไม่มีการออมแรง
แต่ทว่าบทลงโทษดังกล่าวกลับยกเว้นแค่เพียงชายหนุ่มยิ้มสวยคนหนึ่ง

“ไอ้บาส! ไหงมึงลำเอียงวะ น้องรันแม่งก็แกล้งลูกมึงนะโว้ย” ไอ้บาสรีบร้องทักอย่างเหลืออดพร้อมกับชี้ไปยังชายหนุ่มที่กำลังกลั้นยิ้ม แต่ดูเหมือนจะกลั้นเอาไว้ไม่สำเร็จ เพราะในตอนนี้ดวงตาของเขากลายเป็นเส้นตรงไปเสียแล้ว
“…” ฝ่ายคนเป็นพ่อก็หาได้สนใจในสิ่งที่เพื่อนประท้วงไม่กลับนั่งทานข้าวต่ออย่างหน้าตาเฉย กระทั่งหญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มพาตัวเด็กน้อยกลับมานั่งร่วมวงอีกครั้ง คนเป็นพ่อก็ผลัดเปลี่ยนมาอุ้มลูกชายเอาไว้เสียเองเพื่อที่คุณแม่ยังสาวจะได้ทานอาหารสะดวกขึ้น
เพราะเมื่อครู่เธอต้องคอยดูแลลูกชายจนแทบไม่เป็นอันกิน

กระทั่งมื้อค่ำของกลุ่มผมจบลง พวกผู้ใหญ่ก็ขอตัวไปอาบน้ำเข้านอน ผมเลยกะจะขอตัวกลับพร้อมกับพ่อและแม่ แต่ปรากฏว่าไอ้บาสมันชวนให้ผมดื่มกับเพื่อนๆ ของมันก่อน ผมก็เลยต้องอยู่ต่อแต่มีข้อแม้ว่าอาจจะอยู่ได้แค่เพียงไม่นาน เพราะว่าพรุ่งนี้ผมยังต้องทำงานแต่เช้า ถ้าจะให้ไปทำงานในสภาพที่ยังไม่สร่างดี ก็เห็นทีจะร่างพัง
เนื่องจากหลังเลิกงานผมต้องขับรถไปยังอำเภอข้างเคียง โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านกลางป่าสน

การมาร่วมวงเหล้าในครั้งนี้ทำให้ผมรู้จักกับเพื่อนในสมัยมหาวิทยาลัยของไอ้บาส ซึ่งคนแรกมีชื่อเดียวกับญาติผู้น้องของผมเลยเพียงแต่หน้าตาของเขาไม่ได้ออกแนวตี๋ๆ คนต่อมาก็คือน้องเปรมหุ่นนักกีฬาที่หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ใครต่อใครก็คงจะคิดว่าน้องคือนักกีฬาทีมชาติมากกว่านักจิตวิทยา ส่วนสาวสวยของกลุ่มที่ในตอนนี้ไม่โสดเสียแล้ว เธอมีชื่อว่าเอ้และลูกชายของเธอก็ชื่อน้องเมฆ ถัดมาคือชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่มีชื่อว่าอาคเนย์ โดยนิสัยของเขาดูจะติดนิ่งๆ ไปบ้าง แต่สกิลการกวนตีนเพื่อนก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน และคนสุดท้ายที่มีรอยยิ้มสวยเหมือนกับจันทร์ ต่างกันแค่เขาไม่มีลักยิ้ม และเวลาที่ยิ้มดวงตาก็มักจะกลายเป็นเส้นตรงมีชื่อว่าน้องเนรัน
 
“เดี๋ยวกูไปเอาอูคูเลเล่มาเล่นสร้างบรรยากาศดีกว่า” ชายหนุ่มหุ่นนักกีฬาพูดขึ้น จากนั้นก็รีบผละออกจากวงเหล้าเพื่อมุ่งตรงไปยังส่วนของตัวบ้านในทันที
“ไอ้เปรมแม่งไม่รู้จะมีดนตรีในสายเลือดอะไรขนาดนั้น มึงรู้ป่ะ ก่อนจะมาเชียงใหม่แม่งโทรมาหากูเว้ย บอกให้กูหิ้วกีตาร์ไปด้วย กูเลยด่าไปชุดใหญ่ เพราะลำพังแค่กระเป๋าของกูกับไอ้รันแม่งก็เทอะทะจะแย่ แล้วไหนจะของฝากตอนขากลับอีก ถ้ากูแบกมาคงทุลักทุเลฉิบหาย” ชายหนุ่มติดนิสัยนิ่งๆ รีบแฉเพื่อนสนิทคนเมื่อครู่แทบจะทันที ทำเอาผมได้แต่ยกยิ้มบางๆ เมื่อนึกไปถึงช่วงเวลาของตัวเองในวัยมหาวิทยาลัยที่ก็มีกลุ่มเพื่อนนักเรียนแพทย์อยู่ประมาณสามสี่คน เพียงแต่ตอนนี้ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปตามเส้นทางของชีวิต เพราะทุกคนต่างก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบก็เลยเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะได้กลับมาพบเจอกันจึงเป็นไปได้ยากเย็น แต่ยังดีหน่อยที่ไอ้แนนมาทำงานที่เดียวกัน แล้วครอบครัวของเราก็ค่อนข้างสนิทสนมกัน
เวลานี้ผมจึงพอจะมีเพื่อนต่างกลุ่มที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทหลงเหลืออยู่บ้าง

“เหยดดด มึงอย่าบอกนะเว้ยว่าแม่งลงทุนถอยอูคูมาเพื่อทริปนี้ ?” หญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มเอ่ยถามพร้อมกับทำสีหน้าเหลือเชื่อ
“ถูกต้อง!” ชายหนุ่มที่ชื่ออาคเนย์กล่าวพร้อมกับทำมือเหมือนกับยิงปืนใส่เจ้าของคำถาม

“นินทากูนะไอ้สัสเนย์” ไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาก็เดินกลับมายังศาลาริมสระบัวพร้อมกับเครื่องดนตรีในมือ
“พอๆ เดี๋ยวลูกกูได้จำนิสัยไม่ดีของพวกมึงกันพอดี” หลังจากทานกันจนอิ่มหนำแล้ว หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มก็รับช่วงต่อในการดูแลลูกชาย ด้วยการไปหามุมนั่งเล่นตรงริมสระบัวกันสองคน
ส่วนคนอื่นๆ รวมถึงผมที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก ก็ยังคงนั่งดื่มเหล้าเคล้าเสียงอูคูเลเล่จากน้องเปรมอย่างชิวๆ

ปึ่ก!

ผมเหล่มองไปยังใครบางคนที่เป็นต้นกำเนิดเสียง จึงพบกับสายตาดุดันของชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘อาคเนย์’ เข้าอย่างจัง ผมเลยได้แต่นั่งงงงวยอยู่พักใหญ่ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้าให้หรือเปล่า เพราะแววตาคู่นั้นเอาแต่จ้องมองมายังผมอย่างไม่ลดละ ทั้งๆ ที่ผมก็เอาแต่นั่งดื่มเงียบๆ มาตลอด แต่ก็อาจจะมีบ้างที่เผลอไปจ้องมองรอยยิ้มของน้องรันอย่างเลื่อนลอย เพราะรอยยิ้มแสนบริสุทธิ์แบบนั้น มันทำให้ผมนึกถึงรอยยิ้มของจันทร์ที่เป็นรอยยิ้มที่น่ามองที่สุดในความคิดของผม จนเผลอคิดเลยเถิดไปว่าพรุ่งนี้ผมจะลองให้เจ้าของบ้านกลางป่าสนสัมผัสกับดอกสโนว์ดรอปส์เลยดีไหม แต่อีกใจหนึ่งก็ยังคิดกังวลอยู่ไม่น้อยเพราะว่าจันทร์ยังมีอาการแพนิคในขณะที่มองเห็นดอกไม้ชนิดนี้อยู่ ถ้าหากอีกฝ่ายจะต้องมาสัมผัสมันจะมีอาการหนักหนามากแค่ไหน
ฉะนั้นผมควรหาแรงจูงใจให้เขามีเป้าหมายในการสัมผัสกับดอกไม้ที่ว่านั่นอย่างไรดี หรือว่าควรจะทำเป็นช่อดอกไม้มอบให้จันทร์เลยดีล่ะ อีกฝ่ายจะได้มีแรงจูงใจที่อยากจะเอาชนะความหวาดกลัวเหล่านั้นได้ ซึ่งถ้าหากจันทร์ทำสำเร็จ เราก็จะได้เริ่มลงพื้นที่จริงที่เคยทำให้จันทร์เกิดอาการแพนิคกันเสียที
แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงจันทร์อยู่นั้น ผมคงจะเผลอหลุดยิ้มพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังน้องรันหรือเปล่า
ใครบางคนถึงได้มองผมจนตาเขียวปัดขนาดนี้

“เป็นอะไรครับ?” น้องรันเอ่ยถามเจ้ายักษ์หน้าบึ้ง ส่วนฝ่ายนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าเพียงเบาๆ พร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นจิบและไม่วายจะใช้สายตาดุๆ มองผมอีก คนข้างกายของเจ้าตัวเลยต้องหันหน้ามามองผมตามสายตาของคนที่ตัวเองห่วงใย ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแล้วก็จิบเหล้าไปเรื่อยๆ

“พี่เนย์ครับไปเดินเล่นกัน”
“อืม” จากนั้นชายหนุ่มสองคนก็พากันเดินลงศาลา โดยมุ่งตรงไปยังสวนหย่อมขนาดเล็กใกล้ๆ บ้าน
เพี๊ยะ!

“อะไรของมึงวะไอ้บาส” ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ เมื่อจู่ๆ ก็ถูกไอ้ญาติผู้น้องฟาดเข้าให้
“ทำอะไร! ผมเห็นนะเว้ย คนนี้ไม่ได้ มีเจ้าของแล้ว!” ไอ้บาสใช้น้ำเสียงกระซิ ราวกับไม่อยากให้เพื่อนๆ ของตัวเองรู้สึกไม่ดีกับผมไปด้วย

“กูไม่ได้คิดอะไรเว้ย” ผมหันไปกระซิบตอบอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ชัดๆ โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมผมถึงต้องยิ้มในขณะที่จ้องมองไปยังน้องรัน
“กูกลับบ้านก่อนดีกว่าว่ะ พรุ่งนี้หนทางยังอีกยาวไกล” ว่าแล้วผมก็รีบชิ่งหนีทันที เพราะขี้เกียจจะแก้ตัวให้มากความ ฝ่ายญาติผู้น้องมันก็หรี่ตามองราวกับไม่ไว้ใจ จนผมต้องถลึงตาใส่มันถึงได้พยักหน้าส่งๆ
เวลานี้ผมจึงมีโอกาสมาเดินเล่นชมจันทร์ในยามค่ำคืนก่อนจะเข้านอนได้สักที


-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 9 (update 15/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 15-03-2018 15:41:53
ว่าไปแล้วการจะล่วงล้ำเข้ามายังเขตป่าสนที่พร่างพรมไปด้วยสีขาวสะอาดของดอกสโนว์ดรอปส์อันเป็นเครื่องหมายของความหวังและความบริสุทธิ์ ก็ต้องใช้ตัวช่วยอย่างไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งที่บัดนี้หน้าจอก็ยังแตกร้าวอยู่เหมือนเดิม เพราะผมไม่มีเวลาจะเอามันไปซ่อมที่ร้าน และตอนนี้ผมก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเก็บดอกสโนว์ดรอปส์ก้านยาวมารวบรวมเป็นช่อเดียวกันประมาณหนึ่งกำมือ จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถเพื่อเอายางวงมัดก้านสีเขียวนั่นไว้ และปิดท้ายด้วยการผูกริบบิ้นที่บังคับขู่เข็นให้ไอ้แนนเอามาแบ่งกันใช้ เนื่องจากผมไม่มีเวลาจะไปหาซื้อ
อีกทั้งไอเดียนี้ก็เป็นความคิดที่ออกจะกะทันหันและไร้การวางแผนไปสักหน่อย

แต่ถึงยังไงวันนี้ก็ยังเหมือนกับวันนั้น เพราะจากมุมมองในระยะไกล ผมมองเห็นเจ้าของบ้านคนน้องกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าบ้านพร้อมกับถือเทียนหอมเล่มใหญ่ไว้ในมือ เนื่องจากเวลานี้ไฟฟ้าทั้งหลังหยุดทำการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กระทั่งผมจอดรถในตำแหน่งเดิมเสร็จสรรพ คนไข้ในความดูแลก็รีบวิ่งเข้ามายืนอออยู่ตรงข้างหน้าต่าง

“วันนี้พี่เก็บดอกสโนว์ดรอปส์มาเยอะเลย จันทร์รีบเข้าบ้านไปก่อนดีกว่า” ผมลดกระจกลงหลังจากที่ควานหาอะไรบางอย่างมาปกปิดช่อดอกไม้เอาไว้ ซึ่งสาเหตุที่กระทำแบบนั้น ไม่ใช่เพราะผมกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เซอร์ไพรส์
แต่เป็นเพราะผมกลัวว่าคนคนนี้จะเกิดอาการแพนิคเสียมากกว่า

“อ้อ.. ครับ แล้ว.. ขนมวันนี้พี่หมอคิดว่ามันอร่อยหรือเปล่าครับ ?” จันทร์ลากเสียงยาวในลำคอเพียงครู่ พร้อมกับหรี่ตามองผมอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจถามถึงฝีมือการทำขนมของตัวเองตามความตั้งใจแรก
“อร่อยสิ” ผมตอบพลางเอื้อมมือไปยีหัวเชฟปาติซิเยร์ที่กำลังอมยิ้มอย่างชอบใจในคำตอบ

“แต่เสียอย่างเดียว..” ทันทีที่ผมกล่าวประโยคต่อมาจนจบ รอยยิ้มของใครบางคนก็เลือนหายไป
“มาการองมันน่ารักเกินไป ทีหลังถ้าจันทร์จะเตรียมขนมไว้ให้พี่ ขอเป็นแบบที่มันไม่น่ารักจะดีกว่านะ พี่จะได้สะดวกใจกินหน่อย ไม่อย่างนั้นมันเสียดายน่ะ” กระทั่งผมเฉลยเหตุผลอันยืดยาวจนครบถ้วน รอยยิ้มและลักยิ้มของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

“อื้อ” คนตรงหน้ารีบตอบรับในลำคอพลางย่นจมูกเพียงเล็กน้อยอย่างน่ารัก
“…”

“จันทร์เตรียมน้ำไว้ให้พี่หมออาบแล้ว ถ้ายังไงพี่หมอไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาหาจันทร์ที่ห้องก็ได้ครับ” ดวงตากลมใสมองมายังผมพร้อมกับบอกกล่าวเหมือนวันก่อนไม่มีผิด ทำเอาผมรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของจันทร์ที่มีให้ผมเป็นอย่างดี
“ครับ”

ผมรอจนกระทั่งจันทร์เดินหายเข้าไปในบ้าน ถึงค่อยหยิบสัมภาระลงจากรถ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือช่อสโนว์ดรอปส์เจ้าปัญหา จากนั้นก็รีบเข้าไปอาบน้ำท่ามกลางความมืด โดยอาศัยความเคยชินว่าอะไรมันวางอยู่ตรงไหน
กระทั่งทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องพักรับรองพร้อมด้วยช่อสโนว์ดรอปส์ แต่ขณะที่ผมกำลังก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้น ผมก็ต้องนำตัวช่วยในการรักษาไปซ่อนไว้ข้างหลัง จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางหนังสือแน่นิ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักหน่อย
เนื่องจากวันนี้ผมไม่ได้นำดอกไม้ชนิดนี้มาเพียงแค่ดอกเดียว..

“ของที่พี่หมอถืออยู่ข้างหลังคือดอกไม้ใช่ไหมครับ?” จันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เปลตรงปลายเตียง รีบละความสนใจจากหนังสือในมือ เมื่อรับรู้ถึงการมาถึงของผมแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะก่อนหน้านี้ผมเกริ่นนำไปบ้างแล้วว่าตัวเองเตรียมอะไรมาด้วย จึงพยักหน้าตอบคนป่วยเพียงเบาๆ
“พี่ลงทุนไปเก็บอยู่นานเลยนะ แต่ริบบิ้นนี่ไม่ได้ลงทุนหรอก ข่มขู่ให้เพื่อนมันเอามาให้น่ะ” ผมกล่าวติดตลก พลางเลื่อนช่อสโนว์ดรอปส์ที่แอบซ่อนไว้ข้างหลังออกมาให้เจ้าของได้ยลโฉม
แต่ใครบางคนที่จะได้ถือกรรมสิทธิ์ กลับจ้องมองมายัง ‘สิ่งกระตุ้น’ ที่ผมกำลังถืออยู่แน่นิ่งและเนิ่นนาน

“จันทร์!” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ จันทร์ก็ทำท่าเหมือนกับจะอาเจียน ผมเลยโยนสิ่งกระตุ้นที่ว่านั่นลงไปข้างล่างและวิ่งเข้าไปประคองคนป่วยที่น่าจะมีอาการวิงเวียนศีรษะให้เอนตัวนั่งในท่าทางที่สบายขึ้น ขณะที่หยาดเหงื่อบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มไหลซึมออกมาเรื่อยๆ รวมทั้งมือและเท้าที่กำลังสั่นระริกจนผมต้องย้ายตัวเองลงมานั่งตรงหน้าของเจ้าของบ้านตัวเล็กและกอบกุมฝ่ามือของเขาไว้

“จ..เจ็บ” จันทร์เอ่ยเพียงสั้นๆ พร้อมกับหอบหายใจราวกับขาดอากาศ เท่านั้นผมก็ทราบแล้วว่าเวลานี้ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้ากำลังเกิดอาการชาเหน็บราวกับถูกเข็มหลายๆ เล่มทิ่มแทงอย่างแสนสาหัส
“จันทร์พยายามหายใจเข้าลึกๆ เดี๋ยวพี่จะนวดมือกับเท้าให้ ส่วนช่อสโนว์ดรอปส์ มันก็แค่ช่อดอกไม้ที่พี่ตั้งใจจะเอามาให้จันทร์ คิดแค่นั้นก็พอนะ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างสุดความสามารถ พลางเกลี่ยปอยผมอันชื้นเหงื่อเพียงเบาๆ จากนั้นก็บีบนวดฝ่ามือให้กับคนที่กำลังพยายามจะกอบโกยอากาศหายใจอย่างยากลำบาก

“จันทร์แค่มีอาการแพนิค ไม่ได้ป่วยเป็นโรคทางกาย เพราะฉะนั้นอาการแบบนี้จะไม่ทำให้จันทร์เป็นอะไรไปอย่างแน่นอน อีกอย่างพี่ก็อยู่ตรงนี้แล้ว ยังไงจันทร์ก็ปลอดภัยแน่ๆ” ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นพลางยกเท้าของอีกฝ่ายมาบีบนวด พร้อมกับพูดให้เจ้าตัวมั่นใจ เพราะในตอนนี้เนื้อตัวของจันทร์กำลังสั่นไหวอย่างหนัก
คล้ายกับเขากำลังหวาดกลัวเจ้า ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ในระดับที่มากมายกว่าเดิม 

“แพนิคไม่เคยทำให้ใครถึงแก่ชีวิตหรอกนะ” ผมพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้จันทร์จนอีกฝ่ายจำต้องส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้
“พี่หมอครับ จันทร์โอเคขึ้นแล้ว” หลังจากนั้นประมาณ 30 นาที อาการของจันทร์ก็เริ่มดีขึ้น แต่ทว่าใบหน้าของเขายังคงฉายแววอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวพี่ลงไปเอาน้ำให้” หลังจากบอกอีกฝ่ายแล้ว ผมก็เดินลงไปข้างล่างและถือวิสาสะเปิดประตูครัวเพื่อเข้าไปเอาแก้วน้ำ โดยอาศัยแสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือคู่ใจ พร้อมกับสังเกตเครื่องมือทำขนมของอีกฝ่ายที่เคยนึกสงสัยไปด้วยในตัว ซึ่งจากการประเมินแบบไม่ค่อยจะรู้รายละเอียดมากนัก ผมคิดว่าอุปกรณ์ของจันทร์น่าจะมีอย่างครบครันเชียวล่ะ เพราะเจ้าตัวดูจะทำเมนูขนมได้อย่างหลากหลาย และก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องครัวที่ไม่เคยได้มีโอกาสเข้ามา ผมก็เหลือบมองไปยังห้องของน้องลียากรที่อยู่ในอาณาเขตเดียวกันด้วยสีหน้าแน่นิ่ง เนื่องจากจู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายมักจะออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกในช่วงเวลาเดิมๆ ทุกครั้ง
“ขอโทษที่ช้านะจันทร์ พอดีพี่หาแก้วไม่เจอน่ะ” หลังจากดึงสติตัวเองให้กลับมาสนใจในจุดประสงค์เดิมได้ ผมก็รีบเดินกลับไปรินน้ำให้จันทร์ แล้วก้มลงหยิบช่อสโนว์ดรอปส์เจ้าปัญหาโยนไปทางหน้าห้องพักรับรองของตัวเอง ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปหาจันทร์พร้อมพูดแก้ตัวอย่างไหลลื่นด้วยความจำเป็น
เหตุเพราะบางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านหลังนี้ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตเวชที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญก็เป็นได้

“ไม่เป็นไรครับ” จันทร์กล่าวพร้อมกับยกยิ้มเพียงบางๆ จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากและดื่มน้ำเย็นๆ เข้าไปอึกใหญ่
“ตอนที่เกิดอาการแพนิคเมื่อกี้ จันทร์ยังเห็นภาพแบบเดิมอยู่หรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามพลางรับแก้วกระเบื้องมาจากอีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นและวางแก้วใบใสลงข้างๆ ตัว

“ครับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม จันทร์ยังรู้สึกหวาดระแวงว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย แถมยังมีภาพเปลวไฟอะไรก็ไม่รู้ตามมาหลอกหลอนจันทร์อีก” จันทร์กล่าวอย่างสับสนจากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตัวเอง บ่งบอกให้รู้ว่าคราวนี้สิ่งกระตุ้นดังกล่าว นอกจากมันจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการ ‘แพนิค’ ยังไปกระตุ้นความทรงจำที่เปรียบเสมือน ‘จิ๊กซอว์’ ที่เคยหล่นหายไปให้กลับคืนมา
หากแต่กลไกในการป้องกันตัวยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“จันทร์ยังจำได้ไหม คราวก่อนพี่เคยบอกให้จันทร์เชื่อว่าสโนว์ดรอปส์มันก็เป็นแค่เพียงดอกไม้ชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางจะทำให้จันทร์ตกอยู่ในอันตรายได้หรอก แล้วอีกอย่าง.. ดอกไม้ชนิดนี้ มันก็เหมือนกับดอกเนโมฟีลาที่เราสองคนชอบไง”
“…”

“กลีบของมันจะนุ่มๆ ลื่นๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย มิหนำซ้ำถ้าหากเราสัมผัสมันด้วยน้ำหนักมือแรงๆ กลีบของมันก็จะช้ำได้ แล้วแบบนี้มันจะเป็นอันตรายกับจันทร์ได้ยังไง จริงไหม ?” ผมอธิบายให้อีกฝ่ายเห็นภาพของความเป็นจริงที่เจ้าตัวไม่เคยมองเห็น
“จันทร์ไม่เชื่อพี่เหรอ?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและเดินลงไปข้างล่างเพื่อมุ่งตรงไปยังช่อสโนว์ดรอปส์ที่ผมโยนทิ้งไว้ จากนั้นก็เด็ดดอกไม้ชนิดนั้นออกมาหนึ่งดอก ก่อนจะแตะสัมผัสกลีบดอกไม้สีขาวสะอาดด้วยน้ำหนักไม่เบามือ กระทั่งกลีบดอกไม้อันบอบบางเริ่มจะช้ำมือ
ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปให้อีกฝ่ายดูผลลัพธ์จากการทดลอง

“พี่ไปพิสูจน์มาแล้วนะ เห็นไหมไม่มีส่วนไหนของพี่บาดเจ็บเลย” เมื่อเดินขึ้นมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของจันทร์ ผมก็รีบหมุนตัวพร้อมกับพูดให้อีกฝ่ายมองเห็นในสิ่งที่ผมเห็น
เพื่อที่เราจะได้เชื่อในสิ่งเดียวกัน

“แต่ดอกไม้ที่จันทร์กลัว เห็นไหม.. มีรอยช้ำจนหมดสวยไปเลย” ผมเดินไปหยุดยืนข้างๆ อีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เปลพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าตัวเห็นผลการทดลอง จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อชี้ไปยังกลีบดอกไม้อันแสนบอบบางที่เกิดอาการบอบช้ำเพราะฝีมือของมนุษย์
และเพราะความใกล้ชิด มันก็ทำให้กลิ่นกายหอมเย็นคล้ายกับกลิ่นมิ้นลอยมาแตะจมูกของผมเหมือนคืนนั้น..

“คราวหน้าจันทร์ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูสิ” ผมเอ่ยชักชวนพร้อมกับมองจ้องเข้าไปยังดวงตากลมใสคู่นั้นที่หันมาสบกัน
แต่ทว่านัยน์ตาคู่ใสตรงหน้า ยังคงสั่นระริกด้วยความสับสนและหวาดกลัว

“ถ้าเกิดมันทำให้จันทร์เป็นอันตรายจริงๆ พี่จะขยำมันให้เละเลย!” ผมกล่าวพร้อมกับทำสีหน้าหมายมั่น จนเจ้าของห้องใต้หลังคาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขัน
“ครับ” ท้ายที่สุดจันทร์ก็ยอมตอบตกลงอย่างง่ายดาย
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ง่ายเลยก็คือ การห้ามไม่ให้หัวใจสั่นไหวไปกับสายตาที่อีกฝ่ายมองมาอย่างเปิดเผย

“เอ่อ.. พี่ว่าวันนี้จันทร์รีบเข้านอนก่อนดีกว่า พี่เองก็เริ่มง่วงแล้วล่ะ” ผมกระเด้งตัวกลับมายืนในท่าปกติ พลางเกาหัวแก้เก้อจากนั้นก็เดินหนีเข้าห้องพักรับรองของตัวเอง
โดยไม่ลืมที่จะเก็บช่อสโนว์ดรอปส์เจ้าปัญหาติดมือมาด้วย..

คลิก!

ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงไปยังข้างหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงของหล่นดังตุ้บ! แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปสนใจยังทิศทางของประตูอีกครั้ง เมื่อผมได้ยินเสียงคนปิดประตู ซึ่งใครคนนั้นคงจะหนีไม่พ้น ‘น้องลียากร’ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินวนไปวนมาอย่างมีน้ำโห กระทั่งผมแง้มประตูออกไปดู จึงพบว่าเด็กผู้หญิงในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่กำลังใช้ลิปสติกสีแดงละเลงลงบนประตูห้องของคุณชลวิทย์ ซึ่งผมก็ได้แต่ยืนมองภาพนั้นด้วยความสงสัยจนทำเอาหัวคิ้วแทบจะพันกันจนยุ่งเหยิง
เมื่อน้องลีละเลงลิปสติกแท่งนั้นจนสาแก่ใจ เธอก็ผละออกห่างจากประตูบานนั้นเลยมองเห็นผมที่แง้มประตูออกมาดูพฤติกรรมแปลกๆ ของเจ้าตัวเข้าพอดี เธอจึงยกปลายนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากพร้อมกับส่งเสียงในลำคอเพียงเบาๆ เพื่อบอกกล่าวให้ผมปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มให้ ก่อนจะปิดประตูเพื่อปิดกั้นการรับรู้จากภายนอก และเดินกลับมายังเตียงนอนของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจว่าน้องสาวฝาแฝดของจันทร์จะบอกให้ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ยังไง ในเมื่อทั้งบ้านก็มีกันแค่สามคนพี่น้อง หรือถ้าหากจะนับรวมผมด้วยก็มีเพียงแค่สี่คน ซึ่งเป็นเพศชายไปแล้วสามคน
ฉะนั้นใครล่ะที่จะเป็นเจ้าของลิปสติกสีแดงแท่งนั้น ?
ถ้าหากไม่ใช่น้องลียากร..

“เด็กหนอเด็ก” ผมเอ่ยพลางส่ายหัวก่อนจะล้มตัวลงนอนพร้อมกับปล่อยวางเรื่องราวยุ่งเหยิงทั้งหมด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอีกครั้ง 


゚゚❀゚゚

[1] ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) เป็นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแต่ใช้น้ำที่มีธาตุอาหารพืชละลายอยู่ หรือ การปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหารพืชทดแทน

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มีตัวละครจากฟอลอินยูโผล่มาเล็กน้อยนะคะ ถือว่าทริปนี้เป็นทริปที่มาจากความตั้งใจเดิมของพี่เนย์และน้องรันในตอนพิเศษสำหรับรวมเล่มเนอะ ไม่รู้ว่าหลายๆ คน จะพอเดาได้บ้างหรือยังว่าฝีมือใคร แต่ไม่น่าจะยากนะ แต่เหตุผลที่ว่าทำไปทำไมก็คงต้องรอให้เรื่องมันดำเนินต่อไปอีกนิดก่อน ช่วงนี้ก็เอาใจช่วยน้องจันทร์ให้ต่อสู้กับโรคนี้ให้ได้ไปก่อน
ปล. อีกไม่กี่ตอนน่าจะช่วยคลายปมใหญ่ได้บางส่วนแล้วจ้า 555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 9 (update 15/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-03-2018 20:46:05
 มันก็น่าให้ถูกมองแบบไม่ชอบใจ
ก็ไปจ้องหน้าคนรักของคนอื่นเฉยเลย    :z6:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 10 (update 16/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-03-2018 08:36:50
ตอน 10

โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่มีอาการแพนิค มักจะมีอาการตั้งแต่ 4 อย่างขึ้นไป โดยอาการรวมๆ ที่มักจะเกิดขึ้นก็มีตั้งแต่ ใจสั่น หัวใจเต้นแรงหรือเต้นเร็วเหมือนตีกลอง มือสั่นหรือตัวสั่น เหงื่อแตก หายใจติดขัด หายใจไม่อิ่ม หรือแน่นหน้าอก เจ็บบริเวณหน้าอกหรือปั่นป่วนในท้อง มึนงง วิงเวียนศีรษะ โคลงเคลง หรือรู้สึกว่าตัวเองแปลกไป มีอาการมึนชาหรือปวดเสียวตามเนื้อตัว หนาวสั่น หรือร้อนวูบวาบไปทั้งตัว กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า กลัวว่าตัวเองจะเสียชีวิต ซึ่งอาการทั้งหมดนี้จะต้องเกิดขึ้นโดยไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆ แต่ทว่ากรณีของจันทร์กลับมีผลอันเนื่องมาจาก ‘โรคสเปซิฟิค โฟเบีย’ ซึ่งความหวาดกลัวของเจ้าตัวนั้น อาจมีบางอย่างซ้อนทับกับภาพในอดีต
เช่นว่า..
เจ้าของบ้านคนน้องเคยประสบอุบัติเหตุอะไรสักอย่างแล้วบังเอิญมีดอกไม้ชนิดนั้นปรากฏอยู่ในระยะการมองเห็น

“เห้อ~ คุณชลวิทย์เป็นคนทำจริงๆ เหรอวะ? แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?” หลังจากเลิกงานผมก็ได้แต่นอนลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำพร้อมกับขบคิดอย่างไม่เข้าใจ เนื่องจากเมื่อเช้าตอนก่อนออกจากบ้านกลางป่าสน ผมเห็นพวงมาลัยทรงกลมที่ทำจากดอกสโนว์ดรอปส์อีกแล้ว ซึ่งเมื่อคืนผมได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านออกไปข้างนอก จากนั้นผมก็เห็นน้องลีกำลังเอาลิปสติกละเลงประตูห้องของคุณชลวิทย์จนเละเทะ
ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าตัวการเป็นเจ้าของบ้านคนพี่ ซ้ำยังมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่น ไม่ยอมซื้อเทียนมาให้จันทร์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจันทร์กลัวความมืด แต่กลับซื้อเทียนให้น้องลียากร ทั้งๆ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันน่ะเหรอ ?
ทำไมมันถึงได้ซับซ้อนอะไรขนาดนี้

“หรือว่าทั้งสามคนจะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ วะ” ผมอดจะบ่นอย่างหงุดหงิดไม่ได้ เมื่อใจมันกำลังร้อนรนด้วยความหวาดกลัวว่า ‘จันทร์’ ดวงนั้นจะกลายเป็น ‘จันทร์’ หม่นแสง
“เอาวะ เดี๋ยวกูลองถามความจริงจากฝั่งน้องลีดูบ้างก็ได้”

เมื่อหาทางออกให้กับสิ่งที่กำลังครุ่นคิดได้แล้ว ผมก็รีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งและยืนเช็ดตัวให้แห้งเพื่อกลับเข้าไปยังตัวบ้าน
และเตรียมตัวเข้านอนเพื่อรอรับมือกับการผจญภัยในวันรุ่งขึ้น

กระทั่งวันแห่งการรอคอยเดินทางมาถึง ผมก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจนผิดวิสัยนายแพทย์ ผู้ตรากตรำทำงานจนเลยเวลาเลิกงานครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้กว่าจะเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนก็ดึกดื่นครึ่งค่อนคืนเข้าไปแล้ว
แต่ทว่าปลายเส้นทางอันคุ้นเคย มักจะพบเจอกับ ‘ดวงจันทร์’ ดวงเดิมอยู่เสมอ
ต่างกันแค่ ในค่ำคืนนี้ ‘จันทร์’ ดวงนั้น กลับนั่งนิ่งไร้ชีวิตชีวาเหมือนอย่างเคย

“วันนี้จันทร์ทำขนมให้พี่หมอไม่ทัน..” เมื่อผมนั่งลงตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนทางฝั่งตรงข้าม จันทร์ก็รีบบอกสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการหงอยๆ เสียจนผิดสังเกต
“เรื่องแค่นี้เอง ฮึ ?” ผมกล่าวพร้อมกับยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

“เรารีบเข้าบ้านกันเถอะ” กระทั่งอีกฝ่ายแย้มยิ้ม ผมถึงได้ชักชวนเจ้าของบ้านให้เดินเข้าบ้านของตัวเอง โดยไม่ลืมจะกลับไปขนสัมภาระที่รถติดมือมาด้วย
ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังดูแลผมเป็นอย่างดีด้วยการรองน้ำเอาไว้ให้ผมอาบเหมือนอย่างเคย

“วันนี้จันทร์ทำใจในการพิสูจน์ผลของการทดลองได้หรือยัง ?” พอขึ้นมายังห้องใต้หลังคา ผมก็เอ่ยถามอีกฝ่ายเพื่อบ่งบอกให้เจ้าของห้องได้รับรู้ว่าบัดนี้ คุณหมอพร้อมจะทำการทดลองแล้ว ซึ่งจันทร์ก็ตอบรับด้วยการวางหนังสือนิยายไว้บนเตียงนอน จากนั้นก็ค่อยย้ายตัวเองลงมานั่งพิงปลายเตียงเหมือนกับวันก่อน
“พี่หมอ จันทร์จะลองหลับตาแล้วค่อยวางมันลงบนมือของจันทร์ได้ไหมครับ ?”
“ได้สิ” สิ้นคำตอบรับจากผม ฝ่ามืออันสั่นเทาของจันทร์ก็ยื่นออกมาตรงหน้าผม จากนั้นดวงตากลมใสก็ค่อยๆ ปิดสนิทพร้อมสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเชื่องช้า
ราวกับวันนี้คนป่วยตั้งใจฝึกการหายใจมาอย่างโชกโชน

หลังจากนั้นผมก็เอื้อมไปจับฝ่ามือของจันทร์ เพื่อส่งผ่านความอบอุ่นให้เขาได้รู้สึกอุ่นใจ จากนั้นก็ค่อยๆ วางดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไร้พิษสง แต่สำหรับผู้ที่เป็น ‘โรคกลัว’ อย่างจันทร์แล้ว ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ถือเป็นสิ่งอันตราย ถ้าหากเลือกได้เจ้าตัวก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับมันนัก และทันทีที่ผิวลื่นๆ ของกลีบดอกไม้แตะสัมผัสลงบนฝ่ามือเล็ก ลมหายใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป แต่ทว่ายังคงอยู่ในระดับที่ไม่ย่ำแย่นัก
ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจได้ดีว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร เนื่องจากริมฝีปากของจันทร์กำลังขยับเพียงเบาๆ เป็นประโยคที่ว่า..

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป.. มันไม่มีอะไรน่ากลัว.. มันก็เหมือนกับดอกไม้ที่เราชอบ”

“กลีบของมันจะลื่นๆ” จันทร์กล่าวพร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบไล้เจ้าดอกไม้ที่ตัวเองหวาดกลัวอย่างเชื่องช้า
“…”

“ถ้าสัมผัสแรงๆ มันก็จะช้ำ” คนป่วยกล่าวพร้อมกับขยำดอกไม้ในมือเพียงเบาๆ จากนั้นถึงค่อยแบออก แล้วจันทร์ก็แน่นิ่งไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ กระทั่งเปลือกตาของอีกฝ่ายค่อยๆ ขยับเพียงเบาๆ แล้วดวงตากลมใสก็มองจ้องไปยังอุปกรณ์ในการทดลองแน่นิ่ง
แต่ทว่าความล้มเหลวก็มาเยือน..

ผมใช้เวลาปลอบขวัญอีกฝ่ายอยู่นานกว่าร่างกายจะกลับมาเป็นปกติ จึงชักชวนให้พูดคุยเรื่องทั่วไปเพื่อไม่ให้คนไข้ตกอยู่ในภาวะตึงเครียด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่เราพูดคุยกันก็มักจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผมเสียมากกว่า เช่นว่า ทำไมผมถึงอยากเป็นหมอ แล้วทำไมถึงเลือกเรียนจิตเวช หรือแม้กระทั่งช่วงชีวิตนักเรียนนอกอันยากลำบาก ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของผมทั้งสิ้น ทำเอาเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงต้องรีบตัดบทสนทนาเหล่านั้นเพื่อให้คนป่วยได้นอนพักผ่อน เพราะดูท่าทางเขาจะอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งผมก็เลือกเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องพักรับรองของตัวเอง จากนั้นก็รอเวลาให้น้องลียากรออกมาเที่ยวเล่นเหมือนทุกครั้ง กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูผมก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับย้ายตัวเองมาปักหลักอยู่ตรงข้างหน้าต่าง แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่พบเจอใครสักคน ผมจึงแง้มประตูออกไปสังเกตการณ์ด้านนอก ปรากฏว่าบ้านทั้งหลังมีแต่ความเงียบสงัด แต่แล้วสายตาของผมก็สบกับ ‘พวงมาลัยดอกสโนว์ดรอปส์’ จากนั้นน้องลียากรก็ปรากฏตัวพร้อมกับเทียนหอมกลิ่นวานิลลา โดยเธอหันมาส่งยิ้มทักทายผมเพียงครู่ แล้วก็มุ่งตรงไปยังเป้าหมายก่อนจะกระชากประตูบ้านให้เปิดกว้าง แล้วนำ ‘ของต้องห้าม’ สำหรับพี่ชายไปโยนทิ้งถังขยะ

“ลี.. ทำไม ?” ผมเอ่ยถามหลังจากเดินมาสมทบกับอีกฝ่ายตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อน โดยมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์กลมโตและแสงเทียนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของ ‘วนิลลา’
“พี่ชลเห็นแก่ตัว พี่ชลไม่รักพวกเรา..” น้องลีกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ขณะที่ดวงตากลมใสเหมือนแววตาของจันทร์กลับคลอวาวน้ำจนแทบล้นปริ่ม

“แต่..” ผมอยากจะเอ่ยคัดค้านตามคำบอกเล่าของจันทร์ แต่ผมก็สับสนเกินกว่าจะพูดอะไรออกไป
เพราะคำบอกเล่าจากสองพี่น้องคู่นี้มันราวกับหนังคนละม้วน

“เพราะเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ พี่ชลเลยทำแบบนี้ได้ลงคอ” น้องลีกล่าวพร้อมกับเดินหุนหันเข้าไปในบ้าน ผมจึงต้องหยิบเทียนหอมของอีกฝ่ายเข้ามาด้วย ขณะเดียวกันเจ้าของเทียนเล่มนี้ก็หายตัวไปจากกรอบทางสายตา แต่เพียงไม่นานร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และในมือของเธอก็มีลิปสติกสีแดงแท่งเดิม
จากนั้นสีแดงฉานก็ถูกละเลงไปทั่วประตูบานเดิม
โดยที่สีแดงเหล่านั้นมักจะถูกลบเลือนก่อนที่คนในห้องจะล่วงรู้

“โรงเรียนเริ่มทยอยเปิดเรียนกันแล้วเหรอวะ ?” หลังจากเดินทางออกมาจากบ้านกลางป่าสน จนกระทั่งต้องมาติดแหงกเพื่อรอสัญญาณไฟจราจร ผมก็อุทานออกมาด้วยความสงสัยเพราะปกติจะไม่ค่อยเห็นเด็กนักเรียนตามท้องถนนสักเท่าไหร่
ถ้าอย่างนั้นน้องลียากรก็อาจจะต้องกลับมาอยู่ที่โรงเรียนประจำแล้วน่ะสิ

พูดตรงๆ สิ่งที่ได้รับรู้เมื่อคืนทำเอาผมนอนไม่ค่อยหลับ ร่างกายในวันนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ผมจึงตัดสินใจแวะโรงอาหารของโรงพยาบาลเพื่อหาคาเฟ่อีนใส่ร่างกาย จึงทำให้ทราบว่าโรงเรียนเปิดเรียนมานานแล้วเพราะเหล่าพยาบาลที่ไม่มีเวลาทำกับข้าวในตอนเช้ามักจะพาลูกๆ มาทานข้าวที่นี่ก่อนจะไปส่งที่โรงเรียน ซึ่งเด็กบางคนก็ถือโอกาสเอาการบ้านออกมาทำอย่างตั้งใจ ผมจึงยิ่งรู้สึกแปลกๆ เพราะว่าหลายอาทิตย์มานี้ ผมเจอน้องลีทุกครั้งที่เดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน
“ไอ้ภัทร! มึงน่ะคิดเยอะ โรงเรียนมันอาจจะยังเปิดไม่ครบทุกโรงเรียนก็ได้นี่หว่า” ผมเอ่ยเพียงเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา
เพราะในตอนนี้ผมกำลังสับสนและว้าวุ่นใจจนร้อนรน

หลังจากราวนด์วอร์ดเสร็จแล้ว ผมก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเคส จากนั้นก็ต้องมาตรวจผู้ป่วยนอกตามปกติ แต่ในระหว่างที่ผมเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ผมก็เจอกับคุณชลวิทย์ที่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาคือการนำขนมของจันทร์มาให้
ผมเลยถือโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของน้องลียากรเสียเลย

“ช่วงนี้น้องลีเปิดเรียนหรือยังครับ พอดีผมสัญญากับแกไว้ว่าจะเอาเทียนหอมกลิ่นวานิลลาไปให้” ผมทำเป็นดูคุกกี้ในกล่องกลมๆ ที่จันทร์ฝากมาให้พร้อมกับเอ่ยปากสอบถามถึงเรื่องที่สงสัย
“เปิดแล้วล่ะครับ วันนี้ผมเพิ่งจะไปส่งแกที่โรงเรียน ถ้ายังไงคุณหมอฝากผมเอาไปให้ลีก็ได้ครับ”

“แกเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเหรอครับ ประมาณ ม.4 ได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามราวกับมันคือเรื่องทั่วไป
“ครับ”

“ดีเลยครับ พอดีหลานผมกำลังจะขึ้น ม.4 ปีหน้าแล้ว ไม่ทราบว่าน้องลีเรียนอยู่ที่ไหนเหรอครับ การเรียนการสอนโอเคหรือเปล่า”
“หมอภัทรคะ” ผมหันไปมองพยาบาลตรงหน้าเคาน์เตอร์เมื่อเธอร้องเรียกจนขัดบทสนทนาที่ผมเปิดประเด็นไว้

“มีคนไข้มาเพิ่มแล้วค่ะ จะรับเลยไหมคะ?”
“อ้อ รับเลยครับ” ผมตอบรับพยาบาลสาวพลางส่งยิ้มให้ จากนั้นก็หันมารอคอยคำตอบจากคุณชลวิทย์ ก่อนจะรีบร้อนเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง ราวกับผมสนใจเพียงแค่ชื่อสถาบันเท่านั้นว่ามันดีพอสำหรับการศึกษาเล่าเรียนของหลานตัวเองหรือไม่

เพียงแต่ในขณะที่พี่ชายผู้แสนใจดีกำลังจะบอกชื่อโรงเรียนของน้องสาว ลมหายใจของเขาก็เริ่มติดขัดอย่างน่าสงสัย ซ้ำยังมีเหงื่อออกมากกว่าปกติ
บ่งบอกถึงอาการแพนิคกำลังกำเริบ?   

“วันนี้วันที่ 24 พฤษภาแล้วนี่หว่า ปกติเขาเปิดเรียนกันตอนช่วง 16 พฤษภาหรือเปล่าวะไอ้แนน” เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ผมก็เอ่ยถามจิตแพทย์สาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาโซ้ยข้าวซอยประจำครัวโรงพยาบาลอย่างหิวโหย
“เออ!” สาวเจ้าตอบรับเพียงสั้นๆ อย่างไม่ใคร่จะสนใจผมนัก ขณะที่ผมก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวแปลกๆ อีกอย่างที่เกี่ยวกับน้องลียากร

“เพื่อนมึงสอนที่ไหนนะ?”
“สนใจเพื่อนกูเหรอคะ?” สิ้นคำถามจากผมไอ้แนนก็รีบเสนอหน้าย้อนถามด้วยสายตาแพรวพราว

“เออ กูสนใจว่าเพื่อนมึงเป็นครูที่ไหนเฉยๆ ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น”
“มงฟอร์ต”

“จริงดิ” ผมถามย้ำอย่างดีอกดีใจเมื่อโรงเรียนที่เพื่อนของไอ้แนนสอนกับโรงเรียนของน้องลียากรเป็นโรงเรียนเดียวกัน
“ดูปากกูนะ จริงค่ะหมอภัทร โอเค๊ ?”

“แนนกูมีอะไรจะให้มึงช่วยว่ะ แต่กูขอเวลาเตรียมอะไรบางอย่างสักสองวัน”
“มึงไม่ได้จะจีบเพื่อนกู แล้วมึงจะให้กูช่วยอะไรวะ งงใจ เป็นบ้านะมึงเนี่ย!” ไอ้แนนพูดพลางส่ายหัว ก่อนจะเดินเอาจานไปเก็บแล้วก็เดินขึ้นตึกโดยไม่สนใจผมแม้แต่นิด

กระทั่งวันศุกร์เวียนมาถึงอีกครั้ง คราวนี้ผมให้จันทร์ลองสัมผัสกับดอกสโนว์ดรอปส์เหมือนอย่างเคย เพราะคราวก่อนดูเหมือนว่าจันทร์จะมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผมก็ต้องลงทุนเดินลุยทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่เริ่มจะกลายเป็นสีเขียวขจีไม่ต่างกับสีของใบไม้ใบหญ้าชนิดอื่น และด้วยความกังวลว่าการรักษาอาจจะต้องหยุดชะงักเร็วกว่าที่คิด ผมจึงลองเสิร์ชหาข้อมูลของดอกไม้ชนิดนี้ จึงพบว่ามันมีชื่อไทยแบบเก๋ๆ ว่า ‘ดอกหยาดหิมะ’ ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้จะบานเป็นชนิดแรกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความบริสุทธิ์
แต่ทว่าดอกไม้ชนิดนี้ยังมีอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มักจะเบ่งบานตอนช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว

“ฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่มีนาถึงมิถุนา แสดงว่ามันอาจจะเติบโตในเมืองไทยได้ยาก อย่างนี้คนปลูกก็ต้องมีความรู้เรื่องดอกไม้เป็นอย่างดีด้วย” หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับข้อมูลของดอกไม้ชนิดนี้จบ ผมก็อดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์
และแอบฟันธงไปเลยว่าคุณชลวิทย์นั่นแหละที่เป็นคนปลูกดอกไม้ชนิดนี้

หลังจากเก็บดอกหยาดหิมะเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถมุ่งตรงไปยังตัวบ้าน แต่ครั้งนี้กลับน่าแปลกใจเมื่อจุดหมายปลายทางไร้ซึ่งคนคุ้นเคย ผมจึงรีบวิ่งพรวดพราดลงจากรถ โดยมีจุดหมายปลายทางคือบ้านกลางป่าสนที่ด้านในยังคงมืดมิด มีเพียงแค่ห้องใต้ที่ยังมีแสงเทียนอบอวนด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ ผมจึงสาวเท้าเดินขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนด้วยอารามเป็นห่วงอีกฝ่ายจับใจ กระทั่งเห็นจันทร์กำลังนอนหลับใหลอย่างสุขสบาย ผมจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ถือโอกาสสำรวจห้องนอนของอีกฝ่ายเพื่อหากระดาษโน๊ตสักแผ่นมาเขียนบอกเจ้าตัวว่าผมมาถึงแล้ว ซึ่งก็หาไม่ยากเย็นนักเพราะอุปกรณ์เครื่องเขียนวางอยู่บนชั้นเล็กๆ ตรงข้างเตียงนั่นแหละ
เพียงแต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินผละออกมากลับมองเห็นหยดน้ำตาเปื้อนข้างแก้มของอีกฝ่าย จึงถือโอกาสนั้นปลอบโยนคนกำลังหลับใหลอย่างเลื่อนลอย พร้อมเช็ดน้ำตาเหล่านั้นจนเหือดแห้งไป
ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากนุ่มของดวงจันทร์ที่กำลังเปล่งประกายอยู่ตรงหน้าอย่างเผลอไผล
“สโนว์ดรอปส์ ?” กระทั่งผมเดินลงมาข้างล่างก็อดจะอุทานออกมาด้วยความแปลกใจที่เห็นดอกไม้ที่เจ้าของบ้านคนน้องหวาดกลัวกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นตรงหน้าบันไดเชื่อมห้องใต้หลังคาไม่ได้
“หรือว่าก่อนหน้านี้จันทร์มีอาการแพนิค ?” ผมหยิบดอกไม้ชนิดดังกล่าวขึ้นมาดูก็พบว่าสภาพของมันช้ำมือจนกลีบดอกร่วงหลุดออกจากกัน พอคิดได้อย่างนั้นผมก็อดจะกลับไปหาจันทร์อีกครั้งไม่ได้ และเมื่อลองสังเกตใบหน้าของอีกฝ่ายดีๆ ก็เห็นว่าริมฝีปากของจันทร์ มีแผลคล้ายกับเขาใช้วิธีกัดปากตัวเองเพื่อข่มความหวาดกลัว

หลังจากที่ผมนั่งมองอีกฝ่ายมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ผมก็ตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติพร้อมบอกกล่าวตัวเองในใจว่า ‘ไอ้ภัทร! มึงต้องทำตัวให้เป็นปกติสิวะ อย่าเพิ่งเผยไต๋ ให้ทำเป็นโง่ไปก่อน’ จากนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปของจันทร์ไว้ โดยไม่ลืมจะปิดแฟลชและเสียงจะได้ไม่รบกวนคนกำลังหลับใหล
ก่อนจะส่งรูปดังกล่าวไปให้เพื่อนของไอ้แนนช่วยหาคำตอบ
พร้อมกับภาวนาไม่ให้มันเป็นอย่างที่คิด!

กลางดึกบรรยากาศของบ้านกลางป่าสนยังคงเงียบสงัด แต่ผมกลับนอนไม่หลับเพราะผมกำลังคิดมากและผมก็เริ่มจะรู้สึกตัวแล้วว่า ตอนนี้ผมคงจะ ‘ชอบ’ จันทร์เข้าให้แล้ว ผมจึงลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับนั่งมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกอัดแน่น เนื่องจากตอนนี้ผมยังไม่มีหลักฐานใดๆ แต่หลายๆ อย่างมันบ่งชัดได้ว่า คุณชลวิทย์มีจุดประสงค์ที่ไม่ดี ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำร้ายน้องชายของตัวเอง
ไม่สิ ลีเคยพูดทำนองว่าคุณชลวิทย์ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเธอ

“เสียงชัตดาวน์คอมพิวเตอร์นี่ ?” ผมได้แต่นั่งอุทานอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่อลีก็ไปโรงเรียนแล้ว
อีกอย่างที่บ้านหลังนี้ก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เหรอ ?

ผมตัดสินใจเปิดประตูออกไปสำรวจข้างนอก แต่สุดท้ายก็พบกับความว่างเปล่า ราวกับเมื่อครู่ผมเกิดอาการหูฝาดไปเอง ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะตรงมุมเดิมที่เคยนั่งคุยกับจันทร์ ซึ่งมันทำให้ท้องแขนของผมสัมผัสกับความอุ่นร้อนของอุปกรณ์เทคโนโลยีที่คาดว่าน่าจะเป็นแบบพกพา มิหนำซ้ำผมยังได้กลิ่นหอมของอะไรสักอย่าง..
ที่มีกลิ่นคล้ายกับ..
‘มะลิ’


゚゚❀゚゚

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้สั้นเพราะมันตัดจบพอดี  สรุปแล้วน้องลีคืออะไรยังไง แล้วคุณชลวิทย์เล่า 5555
ปล. สรุปเรื่องนี้ไม่ได้ลึกลับสยองขวัญอะไรเลย เพราะมันมีแต่ความงงใจของคนในบ้านหลังนี้ 5555

บทความที่เกี่ยวข้อง

 - แพนิค  (https://medthai.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84/)
 - โฟเบีย  (https://ascannotdo.wordpress.com/tag/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2-phobia/)
 - Snowdrop  (http://www.wikiwand.com/th/%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B0)
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 11 (update 17/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 17-03-2018 21:07:43
ตอน 11

เช้าวันแรกของสัปดาห์ใหม่มีเรื่องวุ่นวายจนวอร์ดจิตเวชแทบแตก เนื่องจากผู้ป่วยรายหนึ่งเกิดอาละวาดและกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับร่ำไห้อย่างทุรนทุราย ทีมแพทย์และพยาบาลจำนวน 5-6 คนจึงต้องจับเธอมัดไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา เพราะเธอไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยท่านอื่นๆ ต่างพากันแตกตื่นเป็นทิวแถว
กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เล่นเอาหมดพลังงานไปมากโข แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกล่าวโทษหรือติเตียนเธอเลย ออกจะเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเด็กหญิงวัย 10 ปีรายนี้ ถูกนำตัวมาเข้ารับการรักษาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
และสาเหตุที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะเธอถูกพ่อเลี้ยงกระทำชำเราจนจิตใจบิดเบี้ยวไม่เหลือชิ้นดี

กระทั่งเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า คนไข้ที่นัดไว้ก็เริ่มซาลง ผมจึงถือโอกาสเดินไปดูกิจกรรมการบำบัดด้วยการทำอาหาร โดยเมนูของวันนี้คือ ‘ซูชิรูปหัวใจ’ ซึ่งคนไข้จะได้รับอุปกรณ์สำหรับการทำอาหารประเภทดังกล่าว เช่น สาหร่ายแผ่นใหญ่ ไม้ไผ่ที่ใช้ห่อซูชิ ข้าวญี่ปุ่น น้ำส้มสายชูสำหรับทำซูชิ  ทูน่าสับ มายองเนส ไข่กุ้งที่ไม่ใช่ไข่กุ้งแต่มันคือไข่ของปลาเคปลิน ซอสศรีราชาแบบเผ็ด อาโวคาโด และทูน่าสไลด์บาง
กว่าผมจะมาเข้าร่วมกิจกรรมได้คนไข้หลายๆ คนก็เกือบจะทำซูชิจนเสร็จหมดแล้ว เหลือก็แต่หนูน้อยวัย 10 ปีที่ยังคงม้วนแท่งซูชิให้เป็นรูปทรงของหัวใจขนาดครึ่งดวงไม่ได้เสียที เธอจึงทำสีหน้ายุ่งเหยิงอย่างขัดใจ แต่พอเธอหันมาเห็นผมเข้าก็รีบฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ด้วยเพราะเธอถูกอกถูกใจผมมากเป็นพิเศษ ยิ่งเวลาผมมาราวนด์วอร์ดที่ห้องพักของผู้ป่วยจิตเวชหญิง เธอก็มักจะชอบเดินตามผมต้อยๆ เหมือนกับลูกเป็ดตัวเล็กที่ชอบเดินตามก้นแม่เป็ดอย่างไรอย่างนั้น

“พี่หมอม้วนให้หนูหน่อยค่ะ” เด็กน้อยรีบเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผมพร้อมกับเอ่ยขอร้องพลางเปิดกางเกงโชว์ของสงวนให้ผมดู ราวกับเธอฝังใจว่าถ้าหากทำแบบนี้จะได้รับความเห็นใจ ซึ่งการกระทำแบบนี้ ไม่ได้ทำกับผมแค่เพียงคนเดียว แต่เธอยังทำกับพยาบาล จิตแพทย์ท่านอื่น รวมถึงคนไข้ร่วมห้อง และคุณป้าของเธอเป็นประจำ
“น้องพราวเป็นเด็กผู้หญิง ต้องห้ามโชว์ร่างกายให้ใครดูนะคะ แค่หนูพูดเพราะๆ พี่หมอก็ยินดีจะช่วยหนูแล้ว” ผมกล่าวพลางย่อตัวลงกับพื้นเพื่อจัดแจงกางเกงของเธอให้เข้าที่เข้าทาง

“แต่พ่อก็เคยเห็นของหนูหมดแล้วนี่คะ” เด็กหญิงตรงหน้ากล่าววาจาใสซื่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับเธอเห็นมันเป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าจิตใจของเธอกลับร้าวรานจนส่งผลถึงการกระทำหลายๆ อย่าง เช่น พฤติกรรมชอบเปิดโชว์ร่างกายให้ผู้อื่นดู การพูดคำหยาบที่ส่อไปถึงการร่วมเพศ การอาละวาดเมื่อพบเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ตอกย้ำความรู้สึกอันเลวร้าย การทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นผลกระทบมาจากเหตุการณ์อันเลวร้ายทั้งสิ้น
และทุกครั้งที่ผมได้ฟังก็มักจะรู้สึกหดหู่ใจอยู่เสมอ

“ถึงคุณพ่อจะเคยเห็นแล้ว แต่น้องพราวก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไหนมาดูซิคนเก่งของพี่หมอทำซูชิไปถึงไหนแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายพร้อมกับทำเป็นเมียงมองปัญหาที่เด็กหญิงกำลังพบเจออย่างสนใจ แม้ว่าผมจะทราบดีอยู่แล้วว่าเธอกำลังทำอะไรค้างไว้
“หนูม้วนซูชิเป็นรูปหัวใจครึ่งดวงไม่ได้ค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพลางชี้ไปที่ก้อนซูชิที่ในตอนนี้ถูกไม้ไผ่สำหรับม้วนอาหารประเภทดังกล่าววางทับอยู่

“เดี๋ยวพี่หมอขอไปดูผลงานของคนอื่นก่อนนะ” ผมเอ่ยกับน้องพราวในเชิงยอมรับคำขอ จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปดูผลงานของคนไข้ท่านอื่นที่อายุมากกว่าเด็กหญิงตัวน้อยไปมากโข ก่อนจะตั้งอกตั้งใจม้วนอาหารญี่ปุ่นที่ผมเพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะถึงแม้ผมจะเคยเป็นนักเรียนนอก แต่ก็ทำอาหารเป็นแค่เมนูพื้นๆ เช่น ต้มจืดเต้าหู้ใส่หมูสับ ข้าวต้ม และอาหารประเภทไข่ทั้งหลายแหล่
“ตรงไส้เนี่ยพี่เบลสอนให้น้องพราวทำยังไงคะ” ผมเอ่ยถามเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสนใจ ในขณะที่เธอกำลังตั้งอกตั้งใจวางเนื้อทูน่าสดลงบนซูชิที่ผมม้วนออกมาจนเป็นรูปร่างตามที่เธอต้องการ

“พี่เบลบอกว่าให้เอามายองเนส ไข่กุ้ง ซอสศรีราชาแบบเผ็ดคลุกกับเนื้อทูน่าบดค่ะ” น้องพราวอธิบายขณะที่เธอค่อยๆ วางเนื้อทูน่าสดลงบนเนื้อข้าวญี่ปุ่นทีละชิ้นอย่างตั้งใจ จนกระทั่งซูชิก้อนนี้ไม่มีพื้นที่ให้เธอเติมเนื้อทูน่าลงไปอีกแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กที่ดูท่าทางจะคล่องแคล่วในเรื่องการทำอาหารอยู่บ้าง ก็ค่อยๆ ดึงพลาสติกที่ใช้สำหรับซีลอาหารมาวางคลุมลงบนแท่งซูชิ จากนั้นพยาบาลผู้มีความเชี่ยวชาญการทำอาหารอย่างน้องเบลก็เข้ามาหั่นซูชิให้เด็กหญิงตัวน้อยและจิตแพทย์อย่างผมดู โดยการหั่นซูชิจะเริ่มจากการหั่นส่วนหัวและส่วนท้ายทิ้งไป เนื่องจากเครื่องยังไม่แน่นหนาพอ จากนั้นก็จะเริ่มหั่นตรงส่วนกลาง แล้วค่อยๆ หั่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแท่งด้วยความหนาที่พอเหมาะพอดี
“เดี๋ยวพี่หมอดูนะคะ หนูจะประกอบเป็นรูปหัวใจแล้ว” น้องพราวกล่าวอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหันมาชักชวนให้ผมรอดูฝีมือการทำอาหารของเธอที่หลังจากนี้จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะเธอจะเริ่มใช้ทักษะในด้านศิลปะเข้าช่วย

“เสร็จแล้ว” ทันทีที่เธอนำซูชิรูปครึ่งหัวใจมาประกบกันจนเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงพราวก็รีบหันมายกยิ้มอย่างภาคภูมิใจเพื่อชักชวนให้ผมดูซูชิรูปหัวใจเต็มดวงที่มาจากฝีมือของเธอ
“เก่งมาก!” ผมเอ่ยชมพร้อมกับยีหัวเธอเบาๆ

จากนั้นพยาบาลรุ่นน้องก็ชักชวนให้คนไข้นำผลงานของตัวเองไปนั่งทานที่ห้องอาหาร ผมเลยถือโอกาสปลีกตัวไปหาอะไรใส่ท้องของตัวเองบ้าง พร้อมกับคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการอย่างกระจ่างแจ้ง เนื่องจากเมื่อวานผมส่งรูปของจันทร์ไปให้ไอ้แนนเรียบร้อยแล้ว และในวันนี้เพื่อนของมันบอกว่าจะให้คำตอบ
แต่ทว่าคำตอบที่ว่านั่นยังไม่มาถึงผมเสียที

“ไอ้ภัทร!” หลังจากต่อคิวซื้อเย็นตาโฟเจ้าอร่อยจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยืนหาที่นั่งมุมเหมาะๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไอ้แนนก็ตะโกนเรียก ผมเลยรีบเดินเข้าไปนั่งร่วมวงกับมันทันที จากนั้นก็รีบวิ่งไปซื้อน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด
“เพื่อนมึงได้คำตอบหรือยัง?” หลังจากซดน้ำสีชมพูเข้มรสจัดจนสาแก่ใจ ผมก็เอ่ยถามหมอแนนที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม

“มันบอกว่าไม่มีว่ะ มึงจำโรงเรียนผิดหรือเปล่า?”
“กูไม่มีทางจำผิดแน่ๆ กูมั่นใจ”

“งั้นก็ชัวร์ว่ามึงโดนหลอก” สิ้นคำตอกย้ำของจิตแพทย์สาว ผมก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชลวิทย์ถึงต้องโกหกเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนของน้องลียากรด้วย
หรือเขาเริ่มจะจับสังเกตได้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาและครอบครัว?
แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวผมจะลองถามจันทร์ดูอีกที

กระทั่งวันพุธที่รอคอยเวียนวนมาถึง สีหน้าของผมดูจะสดชื่นมากกว่าทุกวัน ทำเอาเหล่าพยาบาลและหมอจิตเวชท่านอื่นๆ ต่างพากันออกปากแซวเสียยกใหญ่ จนเขาลือกันไปทั้งบางว่าคุณหมอจิรภัทรดูท่าทางจะจีบสาวจนติดเสียแล้ว มิหนำซ้ำสาวปริศนายังฝากขนมมาให้ทุกวัน พาเอาใครต่อใครต่างก็อิจฉาจนตารุกวาว

 ก๊อก ก๊อก

“เชิญครับ” ผมออกปากอนุญาต เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเพียงเบาๆ
“ขนมค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมวางปากกาลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบถุงขนมที่ด้านในบรรจุโดนัทรูปหมูจำนวนสองชิ้น ซึ่งชิ้นล่างจะมีขนาดใหญ่กว่าชิ้นบน
“เอ่อ.. หมอภัทรคะ คุณชลวิทย์ฝากมาบอกว่าตอนนี้หมดช่วงฤดูของสโนว์ดรอปส์แล้ว เขาเลยจะของดการบำบัดเอาไว้ก่อน” พยาบาลสาวกล่าวพร้อมกับเดินออกจากห้องทำงานของผมไป ซึ่งผมก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เมื่อจู่ๆ ก็ถูกลอยแพเอาง่ายๆ
ทำเอาอาการดีอกดีใจตลอดครึ่งเช้าเลือนหายไปจนแทบจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้

อันที่จริงผมก็พอจะเข้าใจคุณชลวิทย์อยู่หรอก เพราะการรักษามันต้องใช้เงิน เมื่อสิ่งกระตุ้นเลือนหายไปอาการของจันทร์ก็ย่อมต้องหายไปด้วย แต่การจะหยุดการรักษาควรจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงต้องมาประจวบเหมาะกับช่วงที่ผมมีอะไรอยากจะถามจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของน้องลียากรด้วย แต่ก็ช่างเถอะอย่างน้อยการหมดฤดูกาลของดอกสโนว์ดรอปส์ก็ทำให้ผมพอจะเบาใจในความปลอดภัยของจันทร์ขึ้นมาได้บ้าง
แต่ทว่าในคืนวันพุธที่ผมจะต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านของตัวเอง..
มันกลับเป็นค่ำคืนที่ผมไม่อาจจะคุ้นชินอีกต่อไป..

แล้วถ้า ‘ดอกหยาดหิมะ’ กลายสภาพเป็นดอกแห้งๆ เหี่ยวๆ เหมือนกับพวงมาลัยและช่อดอกไม้ที่วางตั้งอยู่บนตู้ไม้สีขาวในห้องของผมล่ะ จันทร์จะยังหวาดกลัวมันอีกหรือเปล่า เพราะจากการประเมินแล้ว ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ที่จันทร์สามารถต่อสู้ได้อย่างสบายๆ ก็คือดอกไม้ที่อยู่ใน ‘ภาพถ่าย’
แต่ในเมื่อเจ้าของบ้านคนพี่ออกปากห้ามถึงขนาดนั้น ผมคงต้องหาข้ออ้างเพื่อไปพิสูจน์อย่างดื้อด้าน เพราะอย่างน้อยๆ ผมจะได้สบายใจว่ามีเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้อาการแพนิคของจันทร์กำเริบ
เพราะถ้าหากผลออกมาในทิศทางตรงกันข้าม..
จากที่จันทร์จะมีแค่อาการแพนิค อาจจะกลายเป็นเพิ่มอาการซึมเศร้าและอื่นๆ ไปด้วย
 
ครืด ครืด

(มึงจะนอนหรือยัง?) ทันทีที่ผมรับสายอีกฝ่ายก็รีบถามกลับอย่างรวดเร็ว
“ยัง” ผมตอบแบบไม่เกินจริงนัก เพราะในตอนนี้ผมกำลังตาสว่าง เนื่องจากการขบคิดเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์ แม้จะเป็นห่วงอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่หน้าที่การงานก็ยังบังคับให้ผมต้องพักผ่อนให้เพียงพอ จึงทำให้ผมต้องแบ่งเวลาไปหาอีกฝ่ายอย่างที่เคยเป็น แต่ทว่าตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
แม้กระทั่งความรู้สึกของผมที่เริ่มจะลึกซึ้งขึ้นด้วย..

(ไอ้พรีมมันโทรมาบอกกูเมื่อกี้ว่ะ คือแม่มันน่ะ เคยสอนเด็กผู้ชายในรูปตอน ป.6) ทันทีที่ได้ยินประโยคเกริ่นนำของเพื่อนสนิท ผมก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่า
(แกบอกว่าเด็กคนนี้ดูเป็นคนเงียบๆ ชอบปลีกตัวไปเล่นคนเดียว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่อะไรนี่แหละ น่าจะมีข่าวลงหนังสือพิมพ์ด้วย มึงลองไปหารายละเอียดดูแล้วกัน)

หลังจากหมดธุระไอ้แนนก็รีบวางสายไป ผมจึงได้แต่นั่งคิดไม่ตกพร้อมกับเริ่มเชื่อมโยงอะไรบางอย่างอีกครั้ง โดยเริ่มจากการที่จันทร์มีอาการของโรค ‘สเปซิฟิค โฟเบีย’ หรือโรคกลัวเฉพาะอย่าง ที่มีสิ่งกระตุ้นเป็น ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้เชื่อมโยงกับภาพซ้อนทับในอดีตอย่าง ‘เปลวไฟ’
“ถ้าตอนนั้นจันทร์อยู่ชั้น ป. 6 ก็น่าจะอายุประมาณ 11 ขวบ แสดงว่าเรื่องก็น่าจะผ่านมาแล้ว 5 ปี แต่ถ้าลงข่าวหน้าหนึ่งด้วย ในเน็ตก็น่าจะพอมีข้อมูลอยู่บ้าง” หลังจากคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยิบแมคบุ๊กบนโต๊ะเขียนหนังสือมาเปิดหาข้อมูลดังกล่าวบนเตียง แต่กลับไม่พบข้อมูลที่ต้องการ ผมจึงพยายามหามันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเช้าถึงได้ลุกขึ้นไปอาบน้ำและออกเดินทางไปยังโรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ถึงจุดหมายก่อนเวลาเจ็ดโมงตรง
จากนั้นกิจวัตรประจำวันก็ดำเนินต่อไปเหมือนอย่างเคย..

“ช่วงนี้ถึงจะได้งดยากล่อมประสาทแล้ว แต่คุณชลวิทย์ก็ยังต้องทานยาแก้ซึมเศร้าต่อไปอีกประมาณหนึ่งปีนะครับ หลังจากนั้นถึงจะค่อยๆ ลดโดสยาจนสามารถหยุดทานได้ เพราะถ้าเกิดหยุดยาเองจะทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ทีนี้แหละครับการรักษาจะยากขึ้น”
“ครับ” คุณชลวิทย์กล่าวพร้อมกับยกยิ้มอย่างเชื่อฟัง ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะคนไข้บางรายหลังจากที่ลดเหลือเพียงแค่ยาซึมเศร้าที่ออกฤทธิ์ช้าเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่ก็มักจะท้อแท้จนแอบหยุดยาเอง ซึ่งผลของมันแรกๆ ก็ยังพอไหว แต่นานวันเข้าก็ต้องกลับมาหาหมออีกครั้ง และต้องเริ่มรักษาใหม่หมด มิหนำซ้ำยังดื้อยาที่เคยถูกโฉลกก็มี

“คุณชลวิทย์ครับ คือผมอยากจะสอบถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาการของจันทร์น่ะครับ” ผมตัดสินใจสอบถามกับเจ้าของบ้านคนพี่ เพราะผมเองก็ยังหาหลักฐานไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่หวังดีกับน้องชายจริงๆ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับไฟไหม้ผมคิดว่าคุณชลวิทย์น่าจะทราบมันดีที่สุด
“มีอะไรเหรอครับคุณหมอ ?”

“ตอนที่ผมรักษาอาการแพนิคของจันทร์น่ะครับ แกมองเห็นภาพของเปลวไฟ ซึ่งอาการแพนิคของแกมันเกิดจากโรคสเปซิฟิค โฟเบีย หรือโรคกลัวเฉพาะอย่าง ส่วนสิ่งกระตุ้นก็คือดอกสโนว์ดรอปส์ และเท่าที่ผมทราบอาการของโรคนี้ มันเกิดได้จากเหตุการณ์ในอดีตของผู้ป่วย อย่างเช่น ผู้ป่วยอาจจะเคยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยที่ในขณะเกิดเหตุ เขามองเห็นแมวปรากฏอยู่ในกรอบสายตา ทำให้ปัจจุบันเขามีอาการสเปซิฟิค โฟเบีย และสิ่งกระตุ้นของเขาก็คือแมว ซึ่งในกรณีนี้มันคล้ายกับอาการของจันทร์ ผมเลยอยากจะสอบถามข้อมูลในเชิงลึกจากคุณดูน่ะครับ”
“จันทร์เคยประสบอุบัติเหตุไฟไหม้มาก่อนครับ แกเลยฝังใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นทำให้จดจำอะไรไม่ได้อีกเลย ส่วนสาเหตุที่ทำให้จันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าหากหมอไม่บอกผมคงจะไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”

“น้องลีก็ตกอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยใช่ไหมครับ ?” หลังจากได้ฟังคำอธิบายก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมถามออกไปโต้งๆ
“ก..เกี่ยวอะไรกับลีเหรอครับ ?”

“น้องลียากรดูจะรักพี่ชายของเธอมากนะครับ ผมคิดว่าแกน่าจะเกาะติดจันทร์จนแจเลยล่ะ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าน้องลีอาจจะตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้นด้วยไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อจันทร์เกิดอาการแพนิค น้องลีก็น่าจะมีอาการเหมือนกันนะครับ คุณพอจะสังเกตอาการผิดปกติของแกได้บ้างไหม?”
“…” หลังจากนั้นคุณชลวิทย์นั่งเงียบกริบ ราวกับจมอยู่ในความคิดทำเอาผมรู้สึกอึดอัด

“ที่จริงแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น ลีก็เสียชีวิตแล้วครับ” คุณชลวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงติดสั่น ขณะที่ผมกำลังช็อกกับคำเกริ่นนำอันโหดร้าย
“แล้ว..” ผมอยากจะเอ่ยถาม แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออกเพราะว่าเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอที่บ้านกลางป่าสน
ทำให้ผมมั่นใจว่าน้องลียากรมีตัวตนจริงๆ

“หลังจากนั้น.. จันทร์ก็ถูกประเมินว่ามีอาการแคปกราส์ (Capgras Syndrome)”
“แคปกราส์..” ผมกล่าวด้วยจิตใจอันเลื่อนลอย เพราะอาการแคปกราส์ มันคืออาการผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งที่เรียกว่ากลุ่มอาการระบุสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนเพราะความหลงผิด ซึ่งผู้ป่วยจะหลงคิดว่า เพื่อน สามี ภรรยา หรือบุคคลใกล้ชิดไม่ใช่ตัวจริง แต่เป็นตัวปลอมที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน

“จันทร์รักน้องสาวฝาแฝดมากครับ เพราะลีคือครอบครัวจริงๆ ของเขา พอหลังจากเกิดเรื่อง จันทร์ก็เห็นน้องสาวกับแม่ของตัวเองที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นตัวปลอม จำได้ว่าตอนนั้นแกอาละวาดกลางงานศพยกใหญ่ที่หาน้องสาวกับแม่ไม่เจอ”
“แล้วพ่อของจันทร์ล่ะครับ?” ผมเอ่ยถามออกมาอย่างยากลำบาก เพราะหัวข้อสนทนาที่เรากำลังพูดคุยกัน มันเปรียบเสมือนโศกนาฏกรรมของเด็กคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

“จันทร์ไม่มีพ่อครับ แต่สุดท้ายทั้งแม่ทั้งน้องก็ยังมาตายจากไปอีก ผมก็เลยเอาแกมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสนด้วยกัน เพราะผมไม่อยากเห็นแกเจ็บปวดแบบนั้นอีก” คุณชลวิทย์เอ่ยพลางร้องไห้น้ำตานองหน้า ผมเลยต้องลุกไปหยิบกระดาษทิชชู่มาให้เขาใช้ปัดเป่าความโศกเศร้าให้หมดไป
ขณะที่ใจของผมกลับรู้สึกหวิวไหวและเจ็บแปลบไปกับเรื่องราวของคนที่ตัวเองกล้าพูดได้เต็มปากว่า ‘ผมชอบเขา’

“สาเหตุที่ผมมักจะย้ำว่าแกอยู่ที่บ้านกลางป่าสนจะปลอดภัยที่สุด เพราะผมกลัวว่าแกจะไปได้ยินหรือไปเห็นอะไรที่ทำให้ความทรงจำร้ายๆ หวนคืนกลับมา”
“แล้วสาเหตุที่คุณชลวิทย์เป็นแพนิคก็เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหมครับ ?”

“ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่โกหกหมอ แต่ผมกลัวครับ กลัวว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกเปิดเผย” คุณชลวิทย์กล่าวพร้อมสะอื้นสลับกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับอาการของเขากำลังกำเริบ แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้ดีเพราะเคยเข้ารับการบำบัดกับไอ้บาสและยังได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกหายใจมาบ้างแล้ว

“คุณชลวิทย์โอเคไหมครับ ?”
“ครับ”

“ที่คุณบอกว่าคุณกลัวว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกเปิดเผย มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ ?” เมื่อเขารับปากแบบนั้น ผมก็เริ่มถามคำถามที่สงสัยต่อไป เพราะอะไรหลายๆ อย่างมันยังทำให้ผมมีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวอีกมากมาย
“ที่จริงแล้ว ผมหลอกจันทร์ว่าที่บ้านกลางป่าสนมีน้องลีกับคุณแม่รออยู่ แกถึงได้เลิกอาละวาดแล้วก็กลับมาร่าเริงเหมือนแต่ก่อน ซึ่งลียากรคนที่กำลังมีตัวตนอยู่ในตอนนี้ ก็คือแฟนของผมเองครับ ผมให้เธอไปทำศัลยกรรมให้เหมือนกับลีทุกอย่าง แล้วก็สร้างสถานการณ์ให้จันทร์เชื่อว่าน้องสาวกับคุณแม่ยังมีตัวตนอยู่จริง”

“หมายถึงให้แฟนของคุณทำเสียงดังในตอนกลางคืน แล้วก็หลอกจันทร์ว่าลีกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ ทำให้กลับมาหาแกได้แค่ช่วงปิดเทอมเหรอครับ ?”
“ใช่ครับ”

“ส่วนดอกสโนว์ดรอปส์ ผมก็จ้างฟาร์มแห่งหนึ่งมาเพาะพันธุ์ เพราะว่าลีกับคุณแม่ของจันทร์ชอบดอกไม้ชนิดนี้ แต่ผมก็ไม่ทันคิดว่ามันจะกลายเป็นดาบสองคมจริงๆ ครับ เพราะตอนนั้นผมคิดแค่อยากจะสร้างตัวตนใหม่ของลีให้สมจริงที่สุด”
“แล้วตัวตนของคุณแม่ล่ะครับ คุณจัดการยังไง ?”

“ผมหลอกว่าคุณแม่ของแกทำงานอยู่ต่างประเทศ แล้วก็ใช้วิธีโทรศัพท์คุยกันแทน แต่ก็ไม่ได้คุยกันนานหรอกครับ เพราะผมเอาเรื่องที่เราอยู่กลางป่าสัญญาณไม่ค่อยดีมาอ้าง ไฟฟ้าก็เหมือนกันครับ ที่ต้องดับให้เป็นเวลาก็เพื่อจะได้ป้องกันความลับแตกด้วยส่วนนึง แล้วก็เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยส่วนนึง”
“แสดงว่าจันทร์ จำเสียงของคุณแม่ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?”

“ใช่ครับ มันเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ”
“แล้วคุณให้ใครเป็นคนคุยโทรศัพท์กับจันทร์ล่ะครับ แฟนของคุณเหรอ ?”

“ครับ ว่าไปแล้วพอได้พูดเรื่องนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย”
“ดีแล้วล่ะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่จันทร์ผมก็จะไม่พูด คุณชลวิทย์สบายใจได้เลยครับ” ผมกล่าวพร้อมกับยกยิ้มให้อีกฝ่าย เพื่อให้เขารับรู้ว่าผมเองก็เข้าใจในการกระทำของเขาดี
แม้ว่าในใจจะยังคงเกิดคำถามอยู่บ้างก็ตาม..

“ขอบคุณครับ”
“ผมคิดว่ายากล่อมประสาท น่าจะยังจำเป็นสำหรับคุณอยู่นะครับ เอาไว้ทานตอนที่เกิดอาการแพนิคก็ได้ เพราะว่าปัญหานี้ยังไงมันก็ไม่มีวันจบสิ้นจนกว่าจันทร์จะได้รับการรักษาจนหายขาด อีกอย่างถ้าหากคุณยังมีอาการแพนิค ขอให้บอกผมตรงๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลเสียต่อตัวคุณเอง”

“ครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมแค่กลัวว่าถ้าหากคนรู้เรื่องนี้มากจนเกินไป แผนก็อาจจะแตกได้ ผมไม่อยากเห็นภาพที่จันทร์เอาแต่เจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้วครับ เพราะผมกับจันทร์แล้วก็ลีเราถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน ผมถึงได้รักพวกแกเหมือนกับน้องแท้ๆ และรักคุณแม่ของแกเหมือนกับแม่ของตัวเอง ถ้าแกเจ็บผมก็เจ็บครับหมอ”

“ผมเอาใจช่วยคุณชลวิทย์นะครับ แต่อาการแคปกราส์ที่จันทร์เป็น ผมอาจจะต้องขอเวลาวางแผนการรักษาสักหน่อย เพราะโรคนี้ทางเรายังไม่เคยให้การรักษากับใครมาก่อนเลยครับ และผมอาจจะต้องขอบันทึกข้อมูลไว้เพื่อเป็นกรณีศึกษาของทางโรงพยาบาลด้วยนะครับ”
“ได้ครับ”

เมื่อกลับมาถึงบ้านในช่วงเวลาเลิกงาน สิ่งแรกที่ผมทำก็คือการว่ายน้ำ เพราะตอนนี้ผมต้องการใช้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์ เนื่องจากโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นโรคใหม่ที่ผมเพิ่งจะค้นพบว่ามันซุกซ่อนอยู่ในตัวของจันทร์ และยังเป็นโรคที่ผมไม่ค่อยจะมีข้อมูลสักเท่าไหร่ แต่จากที่เคยศึกษาข้อมูลมาบ้าง โรคนี้ผู้ป่วยจะจดจำใบหน้าของคนคุ้นเคยได้หมดทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมรับว่าคนคนนั้นเป็นตัวจริง เช่น เมื่อเจอน้องสาวของตัวเอง ผู้ป่วยจะมีความคิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนกับน้องสาวของเขา แต่ก็ไม่ใช่น้องสาวตัวจริง ซึ่งอาการแบบนี้อาจเกิดกับพ่อแม่หรือญาติพี่น้องคนอื่นๆ จึงทำให้บางครั้งผู้ป่วยมักจะตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของคนในความคิด พลางอาละวาดและสาดคำถามบางอย่างเข้าใส่ เช่น
‘บอกมาเดี๋ยวนี้นะ! แกเอาน้องสาวตัวจริงของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน!’
ขณะที่ในความเป็นจริง คนที่กำลังถูกถามนั่นแหละคือน้องสาวคนดังกล่าว

ซึ่งกลุ่มอาการของโรคจิตเภทแบบนี้ มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่สมองได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะส่วนหลังหรือท้ายทอยของสมองซีกขวาที่ทำหน้าที่จดจำใบหน้า หากสมองส่วนนี้ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียความสามารถดังกล่าวไป จะทำให้เกิดอาการหลอนจนมองเห็นตัวปลอมได้ เพราะโดยปกติสมองของเราจะจดจำใบหน้าอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการเชื่อมผ่านระหว่างความรู้สึกอันคุ้นเคยกับใบหน้าของคนคนนั้น
หากความรู้สึกดังกล่าวถูกตัดขาดเหมือนอย่างคนที่ตกอยู่ในกลุ่มอาการของโรคแคปกราส์ คนคนนั้นก็จะยังจดจำใบหน้าได้ว่าใครเป็นใคร แต่ความรู้สึกอบอุ่นไว้ใจเป็นกันเองเหมือนที่เคยมีกลับขาดหายไป จนทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ สมองจึงพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่ออธิบายอาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นว่าคนเหล่านี้หน้าตาเหมือนก็จริง
แต่พวกเขาคือตัวปลอม!
 
และด้วยความที่อาการของโรคมันส่งผลออกมาแบบนั้น จึงทำให้คุณชลวิทย์เลือกที่จะปกป้องน้องชายด้วยวิธีการที่เขาคิดว่ามันดีที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่วิธีทางการแพทย์ เขาถึงได้พยายามจะปิดบังผมกับไอ้บาสด้วยการปฏิเสธทุกข้อซักถาม แล้วจู่ๆ เขาก็ดันยอมรับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ขึ้นมา ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่ามันฟังดูขัดๆ
ในเมื่อจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขายอมสารภาพความจริง..
ก็คือการที่เขาถูกผมตะล่อมถาม!

゚゚❀゚゚

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

คึคึคึ เขียนมาหลายตอนก็เพื่อตอนนี้นี่แหละนะ
วิชาการอาจจะเยอะสักหน่อย เพราะคิดว่าโรคนี้ไม่น่าจะมีคนรู้จักมากนัก
อะไรๆ มันก็ดูง่ายดาย แต่จะง่ายดายจริงมั้ย โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
สามารถคอมเมนต์ติดแท็กในทวิต #ที่ป่าสน ได้นะคะ พอดีแท็กเดียวกับชื่อเรื่องมีคนใช้ไปแล้ว T^T

บทความที่เกี่ยวข้อง
 - Capgras Syndrome (โรคแคปกราส์)  (https://www.facebook.com/PsychologistCafe/posts/1731334130440657:0)
 - วิธีทำซูชิรูปหัวใจ  (https://youtu.be/1pRzchnMKsU)
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 12 (update 10/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 10-05-2018 19:24:30
ตอน 12

ช่วงนี้ผมมักจะเข้าประชุมเพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับการรักษาโรคแคปกราส์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทราบว่าโรคนี้สามารถเกิดกับผู้ป่วยโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยสมองเสื่อมในวัยชรา และผู้ป่วยที่มีความเสียหายทางสมอง
ซึ่งอาการของมันสามารถเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันในลักษณะชั่วคราวหรือเรื้อรังก็ได้

ทว่าปัญหามันอยู่ที่ว่าจันทร์ไม่เคยมีอาการส่อแววไปทางโรคจิตเภทแบบหวาดระแวงเลย ซึ่งอาการของโรคก็อย่างเช่น การพูดคุยจะขาดเหตุผล หรือขาดความหมายสัมพันธ์ระหว่างคำ ความคิดจะขาดความต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน มีอาการประสาทหลอนอย่างชัดเจน มีความหลงผิดที่แปลกประหลาด เช่น หลงผิดว่าความคิดของตัวเองจะถูกคนอื่นดึงออกจากสมอง หรือมีความหลงผิดหลายๆ เรื่อง ซึ่งแตกแยกไม่ต่อเนื่องกัน
ดังนั้นอาการแคปกราส์ของจันทร์ อาจจะมีสาเหตุมาจากสมองได้รับความเสียหายก็เป็นได้

แม้ทีมแพทย์จะตกลงกันแล้วว่าจะให้จันทร์เข้ามารับการตรวจระบบประสาทและสแกนสมองในวันจันทร์หน้า แต่ผมก็ยังไม่วางใจนักเลยอาศัยช่วงเวลาหลังเลิกงานไปค้นหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เนื่องจากผมทราบมาว่าทางมหาวิทยาลัยจะมีการจัดเก็บหนังสือพิมพ์ทั้งหมดไว้ ซึ่งช่วงเวลาที่ผมต้องการก็คือช่วงเวลาเมื่อห้าปีที่แล้ว
ดังนั้นกว่าผมจะได้ทานมื้อเย็นก็ประมาณสี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว เพราะห้องสมุดจะปิดประมาณสามทุ่มของทุกวัน

ซึ่งผมก็เจอข่าวไฟไหม้ไม่มากนัก แถมข่าวที่เจอยังเป็นข่าวที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจันทร์อีก แต่ผมก็ไม่คิดจะถอดใจหรอก ในเมื่อผมยังหาเนื้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ภายในปีที่ต้องการไม่ครบ อีกอย่างผมเองก็ยังไม่ไว้ใจคุณชลวิทย์มากนัก เมื่ออะไรหลายๆ อย่าง มันยังดูขัดๆ กันอยู่ เช่นว่า น้องลีที่คุณชลวิทย์กล่าวอ้างว่าเป็นคนรักของเขา ทำไมถึงได้มีอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อเห็นพวงมาลัยดอกสโนว์ดรอปส์แขวนอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน จากนั้นเธอก็รีบหุนหันแก้แค้นแบบเด็กๆ ซ้ำยังพูดถึงเจ้าของบ้านคนโตในเชิงที่ไม่ดีอีกต่างหาก
คนเป็นแฟนกันและมีการวางแผนร่วมกันจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ?
แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นไปได้ว่าแฟนของคุณชลวิทย์อาจจะไม่ชอบจันทร์

หลังจากคว้าน้ำเหลวในการค้นหาข้อมูลผ่านทางหนังสือพิมพ์ในเวลาสามทุ่มของวันนี้ เป็นการคว้าน้ำเหลวแบบซ้ำๆ ซากๆ จนจะครบอาทิตย์อยู่แล้ว ผมจึงตัดสินใจแวะกินสุกี้แถวๆ หลังมหาวิทยาลัยเป็นการปิดท้าย ซึ่งระหว่างที่รอเมนูที่สั่ง ผมก็ลองเสิร์จหาข่าวที่ต้องการอีกครั้ง จนกระทั่งสุกี้น้ำถูกยกออกมาเสิร์ฟ ผมจึงได้โอกาสโซ้ยมื้อเย็นที่มันค่อนไปทางดึกอย่างหิวโหย จากนั้นก็ต่อด้วยสุกี้แห้งอีกหนึ่งจาน พร้อมกับเปิดดูรูปของจันทร์ระหว่างนั่งสวาปามมื้ออร่อยเป็นมื้อสุดท้ายของวันนี้ เนื่องจากผมไม่ได้เจอหน้าจันทร์มาหลายวันแล้ว เพราะผมต้องเอาเวลาพวกนั้นมาหาข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้และยังต้องเข้าเวรตามประสาคนไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ลืมจะฝากข่าวคราวผ่านทางคุณชลวิทย์เพื่อที่จันทร์จะได้ไม่ต้องชะเง้อคอมองหา
ส่วนวันพรุ่งนี้ผมจะเริ่มพูดคุยกับคุณชลวิทย์สักทีว่าเบื้องต้นเราจะทำการตรวจร่างกายของจันทร์ยังไงบ้าง จากนั้นจันทร์อาจจะต้องมาทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อประเมินโรคทางจิตเวชเป็นลำดับต่อไป ซึ่งผมคิดว่าการดึงตัวของจันทร์ออกมาจากบ้านกลางป่าสนไม่น่าจะยากนัก
เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็เคยเดินทางมาที่โรงพยาบาลตั้งครั้งนึงแล้ว

“ถ้าคุณชลวิทย์มาแล้ว รบกวนแจ้งให้เขารอพบผมทีนะครับ” หลังจากราวนด์วอร์ดในช่วงเช้าเสร็จ ผมก็เดินไปบอกพยาบาลตรงหน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะกลับเข้ามายังห้องตรวจผู้ป่วยนอกเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนทุกวัน กระทั่งถึงเวลาที่ขนมมาส่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
แต่ปรากฏว่าคนที่ก้าวเข้ามา กลับไม่ใช่คนในความคิด

“พอดีคุณชลวิทย์ติดธุระน่ะค่ะ เห็นว่าต้องรีบไปส่งผักก็เลยไม่ได้อยู่รอพบหมอภัทร” น้องจี๊ดพยาบาลที่รับเรื่องนำขนมของจันทร์มาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็บอกกล่าวตามคำบอกเล่าของคุณชลวิทย์อย่างครบถ้วน แล้วก็เดินออกจากห้องตรวจเพื่อทำหน้าที่ของเธอต่อไป ขณะที่ผมก็ได้แต่ขัดใจเพราะไม่รู้ทำไมมันถึงต้องมาประจวบเหมาะกับวันที่ผมต้องการจะแจ้งข่าวให้ทราบด้วย
เห็นทีผมคงต้องงดหาข่าวไฟไหม้ แล้วเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนเสียที

“ช่วงนี้พี่ภัทรดูยุ่งๆ เนอะ” เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ผมก็ชวนไอ้บาสออกมาหาอะไรกินด้วยกัน ส่วนไอ้แนนมันชอบออกไปกินข้างนอก ซึ่งผมขี้เกียจออกไปเพราะมันเสียเวลาชีวิตเยอะจนเกินไป
“อืม” ผมตอบรับในลำคอ ขณะที่กำลังตักมื้อเที่ยงกินอย่างเอร็ดอร่อย

“แสดงว่าเดี๋ยวจะมีเคสใหญ่เหรอวะพี่ภัทร ?” ไอ้บาสเอ่ยถามอย่างสนใจ
“ก็ทำนองนั้น” ผมตอบแบบไม่ขยายความอะไรนัก เพราะผมเคยสัญญากับคุณชลวิทย์เอาไว้ว่าผมจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหลอกลวงจันทร์ แต่กะว่าจะปล่อยให้ไอ้บาสมันรู้ด้วยตัวเอง เพราะถึงยังไงมันก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเกี่ยวกับการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นจะต้องมีการสัมภาษณ์กันเบื้องต้น
แล้วมันก็จะสังเกตได้เองว่าคำพูดของจันทร์กับความกังวลของคุณชลวิทย์มันสวนทางกัน
 
“ว่าแต่พี่ภัทรเถอะ ช่วงนี้มีแฟนเหรอวะ เห็นป้าภาบอกว่ากลับบ้านดึกทุกวัน” ไอ้บาสเอ่ยถามอย่างคนหูตาไว
“ไม่มีเว้ย” ผมตอบออกไปตามตรง

“แล้วทุกวันนี้ที่กลับบ้านดึกคือยังไง? ไม่ใช่ว่าโผล่มาอีกทีผมกลายเป็นลุงมีหลานให้ต้องเลี้ยงแล้วนะเว้ย”
“ตลกละ กูก็ต้องมีธุระอย่างอื่นบ้างสิวะ” ผมตอบพลางเอาเท้าเตะหน้าแข้งไอ้ญาติผู้น้องสักหนึ่งทีจากนั้นก็ตักข้าวเข้าปากอีกหนึ่งคำ

“ธุระของพี่แต่ก่อนเห็นจะมีแต่บ้านกลางป่าสน หรือว่าที่ยุ่งๆ ช่วงนี้จะเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นอีก ?” ไอ้บาสเอ่ยถามพลางหรี่ตามองอย่างจับผิด
“ก็ประมาณนั้น” ผมตอบไปตามความจริงอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะผมไม่ได้คิดจะมีความลับอะไรกับไอ้ญาติผู้น้องคนนี้อยู่แล้ว
ซึ่งอะไรที่ตอบได้ ผมก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ถามจริง พี่ภัทรติดใจอะไรบ้านหลังนั้นนักหนาวะ ผมว่ามันดูทุ่มเทเกินหน้าที่ไปเยอะเลยว่ะ”
“…”

“หรือว่าพี่ชอบเพื่อนผม ?”
“ไม่ได้ชอบเว้ย” ผมรีบตอบทันควัน

“อะไรวะ น้องรันก็ไม่ได้ชอบ ไอ้ชลก็ไม่ได้ชอบ แล้วที่ทำไปทั้งหมดนี่คือยังไง ? หรือว่าเอ็นดูจันทร์ ?” ไอ้บาสถามพลางหรี่ตาอย่างจับผิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมมึงคิดอย่างนั้นวะ ?” ผมวางช้อนส้อมพร้อมกับเอ่ยถามอย่างสนใจ
เพราะผมเองก็เริ่มจะอยากรู้ขึ้นมาแล้ว ว่าตัวเองทำตัวผิดสังเกตไปมากแค่ไหน

“เอาจริงป่ะ ปริศนาในบ้านหลังนั้น ถึงมันจะน่าสงสัยมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้วิถีชีวิตของพี่เปลี่ยนไป แล้วอีกอย่างเรื่องการบำบัด เป็นผมก็ได้นี่ จริงไหม? เพราะพี่เองก็งานเยอะจะตาย จะลงทุนถ่อสังขารไปถึงบ้านหลังนั้นตั้งสองวันต่อสัปดาห์เพื่ออะไร? แถมคนเขาก็ลือกันให้แซ่ดว่าตอนนี้หมอภัทรกำลังอินเลิฟ มีคนส่งขนมมาให้ทุกวันไม่เคยขาด” ผมคิดว่าผมเริ่มจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมอะไร ๆ มันถึงได้ทำให้ผมดูมีพิรุธขนาดนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวลือ แล้วไหนจะการจีบในสไตล์ของจันทร์อีก ใครมองไม่ออกก็แย่แล้ว

“แล้วมึงคิดว่ายังไง ?” ผมย้อนถามไอ้ญาติผู้น้องที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ด้วยคำถามที่คิดว่ามันน่าจะเข้าใจดีว่าประโยคเมื่อครู่มันคือประโยคกึ่งสารภาพความจริง
“ก็ไม่คิดว่าพี่จะชอบเด็ก.. ที่แบบ.. เด็กโคตรๆ บอกตรงๆ ว่าผมโคตรจะแปลกใจและโคตรจะอึ้งเลยว่ะ”

“อย่าว่าแต่มึงเลย กูเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมาลงเอยแบบนี้” ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครสนใจฟังเรื่องที่พวกเราพูดคุยกันนัก
เมื่อเสียงของแต่ละคนมันออกจะดังก้องโรงอาหารจนฟังไม่ได้ศัพท์ขนาดนี้

“ช่างเถอะ สำหรับผมยังไงความรักมันก็คือความรักว่ะ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป แต่พี่น่ะ.. ระวังพ่อกับแม่จะเป็นลมตอนที่รู้เรื่องเถอะว่ะ”
“ตอนนี้กูยังไม่คิดถึงขั้นนั้นว่ะ เพราะมันยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้น” ผมบอกกับไอ้บาสอย่างจริงจัง โดยไม่คิดจะขยายความว่าสิ่งสำคัญที่ว่ามันคือเรื่องอะไร
และสำคัญมากแค่ไหน..

ครืด ครืด

“สวัสดีครับ” หลังเลิกงานผมแวะซื้อมื้อเย็นที่เซเว่นก่อนจะต้องออกเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน แต่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์กลับขัดจังหวะการสวาปามของผมเสียได้
(สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของคุณหมอจิรภัทรหรือเปล่าครับ?) ปลายสายเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ผมกลับจดจำเสียงของเขาได้

“ใช่ครับ นั่นคุณชลวิทย์หรือเปล่าครับ ?” ผมย้อนถามเพื่อคลายความสงสัย
(ครับคุณหมอ คือว่าเมื่อตอนสายผมยุ่งจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ)

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
(ครับ พอดีผมเอาเบอร์โทรของคุณมาจากพยาบาลตรงหน้าเคาน์เตอร์ เห็นว่าคุณหมอมีธุระจะคุยกับผม ?)

“คืออย่างนี้ครับคุณชลวิทย์ ทางเราอยากให้จันทร์มาตรวจระบบประสาทแล้วก็สแกนสมองดูน่ะครับ จากนั้นค่อยให้จันทร์มาทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อตรวจโรคทางจิตเวช เพราะเราต้องการจะเก็บข้อมูลไว้เพื่อศึกษา แต่ถ้าหากคุณชลวิทย์มีผลการตรวจอยู่แล้ว สามารถเอามายื่นให้ผมดูเพิ่มเติมได้นะครับ ผมกำลังจะไปหาคุณที่บ้านอยู่พอดี”
(เอ่อ.. ช่วงนี้ผม..) คุณชลวิทย์กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ จนผมได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จากนั้นสายก็ตัดไป คงเป็นเพราะสัญญาแถวๆ บ้านกลางป่าไม่ค่อยจะดีนัก ผมจึงรีบกินข้าวเย็นที่มันค่อนไปทางดึกจนหมด
แล้วก็เริ่มออกเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนที่ไม่ได้มาเยือนเป็นเวลานานพอสมควร

บรรยากาศของเส้นทางที่โอบล้อมไปด้วยสนป่าขนาดใหญ่ ยังคงน่าเกรงขามในความรู้สึกของผมทุกครั้ง ต่างกันแค่ในช่วงเวลานี้ไม่มีผืนพรมสีขาวสะอาดตาหลงเหลืออยู่ ทำเอาผืนป่าแห่งนี้ดูมืดมนเกินกว่าจะคุ้นเคย เพราะถึงแม้บรรยากาศรอบกายในวันวานจะดูมืดมิด แต่เวลาที่แสงไฟจากหน้ารถสาดส่องไปยังหนทางเบื้องหน้า ผมก็มักจะเห็นต้นสโนว์ดรอปส์ออกดอกดีขาวสะอาดอยู่ตามริมทางอย่างมากมาย
แต่พอวันนี้ไม่มีภาพอย่างวันนั้น ก็รู้สึกว่ามันช่างเป็นภาพที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

ทันทีที่รถขับเคลื่อนเข้ามาจนถึงหน้าบ้านสีน้ำตาลหลังเดิม ผมก็รีบดับเครื่องยนต์ จึงทำให้แสงไฟดวงใหญ่จากหน้ารถเลือนหายไป เพราะตอนนี้ถึงช่วงเวลาของการหยุดจ่ายกระแสไฟเรียบร้อยแล้ว จากนั้นผมก็เดินลงจากรถและหยิบข้าวของเครื่องใช้จำเป็น มุ่งตรงไปยังหน้าประตูบ้าน พอดีกับเสียงอะไรบางอย่างหล่นแตก แต่ผมไม่สามารถเข้าไปสำรวจยังจุดเกิดเหตุได้ เนื่องจากเวลานี้ประตูทางเข้ากลับลงกลอนอย่างแน่นหนา
ราวกับเจ้าของบ้านไม่รับรู้ว่าผมกำลังจะเดินทางมาที่นี่ในวันนี้

คลิก!

“เมื่อกี้พี่ได้ยินเหมือนเสียงอะไรแตก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามเจ้าของบ้านคนน้องที่เป็นฝ่ายล่วงรู้การมาถึงของผมจึงรีบเดินมาเปิดประตูให้
“พี่ชลมีอาการแพนิคครับ เลยเผลอทำแก้วหลุดมือ” จันทร์กล่าวพร้อมกับเดินไปยังห้องครัวเพื่อหยิบที่โกยขยะและไม้กวาดมากำจัดเศษกระเบื้องในห้องนอนของคุณชลวิทย์

“คุณชลวิทย์เป็นยังไงบ้างครับ ?” ผมหยุดยืนอยู่ตรงปากประตูพลางเอ่ยถามคนไข้ในความดูแลด้วยความเป็นห่วง เพราะผมทราบดีว่าเขาคงจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเข้ามาคุยในวันนี้
“กินยาไปสักพักแล้วครับ เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น” เจ้าของบ้านคนพี่กล่าวด้วยน้ำเสียงติดหอบอย่างเหนื่อยล้า พลางนั่งพิงหัวเตียงขณะที่กำลังจ้องมองน้องชายเก็บกวาดเศษกระเบื้องอย่างยากลำบาก เพราะต้องอาศัยแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผมจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดโหมดไฟฉายเพื่อให้ความสว่างอีกทางหนึ่ง

“เป็นมาหลายวันหรือยังครับ ?” ผมเอ่ยถามแม้พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นมาหลายวันแล้ว
“ก็เป็นตั้งแต่วันศุกร์แล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดนอนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่กลับชัดเจนมากที่สุดเท่าที่เขาเคยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องอาการแพนิคของตัวเอง เพราะปกติเขามักจะบอกกับผมว่า ตัวเขาสามารถควบคุมมันได้ดี
จากนั้นอาการดังกล่าวที่เคยเป็นปัญหาก็ค่อยๆ เลือนหายไป

“เป็นเฉพาะเวลานอนหรือเปล่าครับ ?”
“ครับ เพราะเหตุผลอื่น ผมสามารถเอาชนะมันได้แล้ว แต่บางเหตุผลมันก็ยากจะเอาชนะ” คุณชลวิทย์กล่าวขณะที่จันทร์กำลังเดินออกไปจากห้อง เพื่อเอาเศษกระเบื้องไปทิ้งถังขยะด้านนอก

“ผมเข้าไปได้หรือเปล่าครับ ?” ผมเอ่ยถามเจ้าของห้อง เพราะผมยังมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเขาอีกสักหน่อยและเรื่องดังกล่าวก็เห็นจะหนีไม่พ้นความกังวลของเจ้าตัว เนื่องจากคุณชลวิทย์เก็บเอาไปคิดมากจนเกิดอาการแพนิคตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว
ซึ่งก็คือวันที่เขาเผลอพูดความจริงให้ผมฟัง

“ครับ.. รบกวนคุณหมอปิดประตูให้ด้วยครับ ผมไม่อยาก..” คุณชลวิทย์กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ผมจึงยกยิ้มพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เดินก้าวเข้ามายังพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องให้ความสว่าง

“ผมเข้าใจคุณชลวิทย์นะครับที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ผมคิดว่าถ้าหากเราไม่หัดก้าวเดิน เราก็จะไม่มีวันก้าวเดินได้สำเร็จ เพราะความสำเร็จมันต้องเกิดจากการเริ่มต้นไม่ใช่เหรอครับ ?” ผมลากเก้าอี้จากมุมหนึ่งมานั่งตรงข้างเตียงของอีกฝ่าย พร้อมกับพูดเกริ่นนำให้เขาได้ลองฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง
“มันก็จริงครับคุณหมอ แต่กว่าจะถึงปลายทาง เขาต้องเจ็บปวดสักแค่ไหนครับ ? มันจะคุ้มกันหรือเปล่า ?” ฉับพลันที่ประโยคนั้นถูกเปล่งออกมา
ความเงียบก็โรยตัวเข้าหาพวกเราทันที

“ในมุมมองของผมนะครับ ถ้าหากทางเลือกมีแต่ความเจ็บปวด ผมคงเลือกเส้นทางที่เจ็บปวดให้น้อยที่สุด” ผมบอกกับอีกฝ่ายขณะที่มองลอดออกไปยังนอกหน้าต่าง เพราะการตัดสินใจจะรักษาจันทร์ในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่หวาดกลัวว่าเขาจะเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีต เพียงแต่การรักษามันคือหนทางเยียวยาที่ดีที่สุด
“เราสามารถช่วยกันทำให้จันทร์มีความสุขจากใจจริงได้นะครับ แล้วคุณเองก็จะได้มีความสุขจริงๆ สักที”

“ครับ ถ้ายังไงคุณหมอช่วยพูดกับจันทร์ให้ผมทีได้ไหม ผมไม่รู้จะบอกเขายังไง”
“ไม่มีปัญหาครับ” ผมรับปากอีกฝ่ายแล้วเดินออกจากห้องเมื่อหัวข้อในการพูดคุยจบลง จากนั้นสายตาก็สบผสานกับจันทร์ที่กำลังนั่งรออยู่ตรงโต๊ะข้างหน้าต่างตัวเดิม

“พี่ชลเป็นยังไงบ้างครับพี่หมอ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ช่วงนี้จันทร์ต้องคอยดูแลพี่ชลหน่อยนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม พร้อมกับฝากฝังให้จันทร์คอยดูแลพี่ชายของตัวเอง เพราะดูท่าทางเขาน่าจะเครียดจริงๆ

“ครับ”
“จันทร์มองพี่แบบนี้หมายความว่ายังไง ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายที่เอาแต่นั่งท้าวคางมองอย่างจับผิด ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังจับผิดผมเรื่องอะไร

“พี่หมอหายไปไหนมาเหรอครับ จันทร์ยังไม่ทันจะหายป่วยเลย”
“ทำงานสิครับ” ผมเฉลยพร้อมกับเอื้อมมือไปยีหัวคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ขณะที่ในใจก็อดจะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจันทร์ถึงไม่รู้ว่าผมจะต้องทำงานและจะไม่ได้มาที่นี่ตลอดหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งพอนับรวมกับอาทิตย์ก่อนๆ ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าเราทั้งคู่ไม่ได้เจอหน้ากันจนเกือบจะครบสองอาทิตย์แล้ว
คงเพราะผมมัวแต่ยุ่งๆ ก็เลยไม่มีเวลามานั่งนับวันนับคืนเหมือนกับจันทร์

“ไม่โกรธเหรอ ?” ผมเอ่ยถามอย่างลองเชิง เพราะคราวก่อนที่ผมผิดสัญญา จันทร์ยังมีอาการน้อยอกน้อยใจให้เห็น แต่นี่ผมเล่นหายหน้าไปตั้งสองอาทิตย์ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเกี่ยวกับเรื่องนี้
“จันทร์โกรธจนหายโกรธไปแล้วครับ..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง พลางขมุบขมิบปากบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยิน ทำเอาริมฝีปากวาดเป็นรอยยิ้มขึ้นมาจนได้

“ไปเดินเล่นกัน” ผมลุกขึ้นยืนพลางเอื้อมไปคว้าข้อมือของคนป่วยที่เมื่อครู่กำลังเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง
“พี่หมอ.. เราจะไปเดินเล่นที่ป่าสนกันเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดกังวล ขณะที่ผมก็ใช้มือข้างที่ว่างหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาให้แสงสว่าง

“พี่แค่อยากรู้ว่าถ้าหมดช่วงเวลาของดอกสโนว์ดรอปส์แล้ว จันทร์จะยังเกิดอาการแพนิคอยู่หรือเปล่า” ผมอธิบายพร้อมกับหันมายิ้มให้คนป่วยที่เอาแต่มองจ้องผมด้วยดวงตาใสแจ๋ว
“แล้วถ้าหากจันทร์ยังมีอาการอยู่ พี่หมอจะหายหน้าไปนานๆ อีกหรือเปล่าครับ?” เจ้าของบ้านตัวเล็กเอ่ยถามพลางขยับข้อมือของตัวเองเพียงเล็กน้อย
เพื่อให้กลายเป็นว่า..
เราสองคนกำลังเดินจับมือกันท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ

“ถึงจะไม่มีอาการ แต่ถ้าหากจันทร์อนุญาตพี่ก็มาหาจันทร์ได้” ผมเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็พาจันทร์เดินเหยียบย่ำเข้าไปยังทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่ตอนนี้ไม่มีวี่แววของดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ซึ่งมันก็ทำให้ผมทราบคำตอบที่เคยสงสัย
เพราะจันทร์ไม่เคยหวาดกลัวลำต้น แต่กลับฝังใจดอกไม้สีขาวสะอาดที่หมดฤดูกาลไปแล้ว

“เพราะอะไรครับ ?” จันทร์เอ่ยถามพลางกระตุกฝ่ามือของผมเพียงเบาๆ จากนั้นอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ คล้ายกับเจ้าตัวต้องการจะฟังเหตุผลอย่างตั้งใจ
 
“ที่สวนฮิตาชินากะโคเอ็นจะมีทุ่งดอกเนโมฟีลาเบ่งบานทั้งทิวเขา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีฟ้าจนรอบทิศทาง” ผมเริ่มเปิดประเด็น จากนั้นก็พาอีกฝ่ายก้าวเดินลัดเลาะผ่านสนป่าต้นใหญ่ไปเรื่อยๆ ราวกับเดินอยู่ในเขาวงกตอันคดเคี้ยว
“คำว่า ‘เนมัส (nemus)’ ในภาษาลาตินจะหมายถึงป่าละเมาะ ส่วนคำว่า ‘ฟีลอส (philos)’ ในภาษากรีกจะหมายถึงความรัก”

“ถ้าแปลรวมๆ กัน ก็น่าจะหมายถึงป่าละเมาะแห่งความรัก ใช่ไหมครับ ?” จันทร์เอ่ยถามเสียงใสพร้อมกับอมยิ้มจนเห็นข้างแก้มบุ๋ม
“ก็ได้อยู่นะ แต่เท่าที่พี่รู้คำว่าเนโมฟีลา (Nemophila) เหมือนจะแปลว่ารักป่าละเมาะ เพราะดอกไม้ชนิดนี้จะชอบขึ้นจนเต็มทุ่งเลยทำให้เนินเขาเหมือนกับป่าที่มีแต่ไม้พุ่มเล็กๆ จนไม่มีที่ว่างให้กับดอกไม้สีสันอื่นอีกเลย ซึ่งก็เหมือนกับคนที่กำลังมีความรัก เพราะว่าหัวใจของเขาไม่มีที่ว่างให้กับใครนอกจากคนที่เขารักเท่านั้น”

“แต่จริงๆ แล้ว เนโมฟีลาก็มียังมีชื่อเรียกตามลักษณะเด่นอีกชื่อนึงเหมือนกัน”
“ชื่อว่าอะไรเหรอครับ ?”

“ชื่อว่า ‘เบบี้บลูอายส์’ เพราะดอกไม้ชนิดนี้ มันสวยงามเหมือนกับดวงตาสีฟ้าของเด็กทารก”
“…”

“และในสายตาของพี่ จันทร์ก็เหมือนกับดอกเนโมฟีลา..” ผมเอ่ยปิดประเด็นในวินาทีที่พบช่องว่างของทิวสนที่สามารถมองเห็นม่านกำมะหยี่สีนิลดำบนฟากฟ้า ประดับประดาด้วยแสงสีขาวของดวงดาวราวกับเพชรเม็ดงาม

“ทำไมเหรอครับ ?” จันทร์ก้าวออกมาหยุดยืนตรงหน้าผมพร้อมกับสอบถามด้วยความสงสัย ขณะที่ฝ่ามือของเรากำลังกระชับแน่นกว่าที่เคย
“เพราะดอกเนโมฟีลามันหอมหวานจนดึงดูดให้ฝูงผึ้งเข้ามาดอมดม” ผมก้มลงมองคนตรงหน้าที่สูงเพียงแค่อก ขณะที่ดวงตาก็จ้องมองเข้าไปยังดวงตากลมใสของอีกฝ่าย พร้อมกับเฉลยถ้อยคำที่ไม่รู้ว่าเด็กอย่างจันทร์จะตีความได้มากน้อยแค่ไหน

“แล้วฝูงผึ้งที่ว่า..”
“…”

“มีพี่ภัทรรวมอยู่ในนั้นด้วย.. ใช่ไหมครับ ?”
“ใช่” ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าหาจันทร์อย่างเชื่องช้าพร้อมกระซิบเสียงแผ่วตรงข้างใบหูของคนช่างสงสัย ส่งผลให้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่ที่เจ้าตัวใช้ลอยเข้ามาเตะที่ปลายจมูก
ซึ่งวันนี้มันไม่ใช่กลิ่นมิ้น..
แต่กลับเป็นกลิ่นของสบู่เหลวขวดใหญ่ที่วางอยู่บนชั้นในห้องน้ำอันมืดมิด..


゚゚❀゚゚

[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ที่เราหายไปพอดีว่าโน๊ตบุ๊กเจ๊งแบบไม่บอกไม่กล่าว กว่าจะซ่อมเสร็จก็ปาเข้าไปเดือนนึง ทีนี้เราเห็นว่าเขียนตอนนี้จบไว้สักพักแล้ว น่าจะก่อนที่โน๊ตบุ๊กจะเจ๊งก็เลยเอามาลงให้อ่านกันก่อนค่ะ และหลังจากนี้ก็รอเราเคลียร์รวมเล่มฟิคให้เรียบร้อยก่อน ประมาณเดือนสองเดือน เราจะกลับมาอัพเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ เพราะว่ารวมเล่มเราไม่สามารถเลื่อนได้แล้วค่ะ อีกอย่างเราไม่กล้าเขียนพร้อมกัน เพราะเรื่องนี้รายละเอียดมันซับซ้อนเหลือเกิน
ปล. พี่หมอสารภาพแบบอ้อมโลกไปอีก
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 13 (update 25/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-05-2018 13:56:38
ตอน 13

หลังจากโน้มน้าวให้จันทร์มาเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องไปตรวจร่างกายซ้ำอีก แต่เมื่อผมอ้างถึง ‘ความสบายใจ’ ของคุณชลวิทย์ จันทร์ก็ยอมตอบตกลงโดยไม่เอ่ยถามอะไร แต่ทว่าขณะที่ความรักของเรากำลังเจริญงอกงามอยู่นั้น บาดแผลจากการถูกเศษกระเบื้องบาดก็ส่งผลให้ปลายเท้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเลือด ทำเอาผมตกใจจนเกือบจะทำอะไรไม่ถูก ดีหน่อยที่ยังพอจะมีสติให้จันทร์ขี่หลังกลับไปยังตัวบ้านเพื่อทำแผล ไม่อย่างนั้นแผลของจันทร์จะบาดลึกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ นึกๆ ดูแล้วผมอยากจะตีจันทร์สักทีที่ไม่ยอมบอกกล่าวกันเลยว่าระหว่างที่เรากำลังเดินเล่นอยู่นั้นเจ้าตัวรู้สึกเจ็บเท้า
แต่ก็ช่างเถอะ จันทร์ปลอดภัยก็ดีแล้ว

การอยู่เวรในยามค่ำคืนท่าทางจะเงียบสงบไร้ปัญหา เพราะช่วงนี้ไม่มีคนไข้จิตเวชรายใหม่และคนอยู่เก่าก็เริ่มจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว ซึ่งกิจกรรมบำบัดต่างๆ ที่โรงพยาบาลจัดให้ก็คงจะทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย ผมจึงอาศัยช่วงเวลาแบบนี้ เปิดดูผลการตรวจของจันทร์ ซึ่งผลที่อยู่ในมือของผมนั้น ทุกอย่างกลับปกติดี ไม่ว่าจะเป็นการเอกซเรย์ทางคอมพิวเตอร์ หรือว่าการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดังนั้นหากจันทร์มีอาการแคปกราส์ด้วยสาเหตุทางสมอง ทางเราก็จะต้องตรวจเจออาการสมองบวมหรือมีเลือดคลั่งในสมองสิ แต่นี่ทุกอย่างกลับปกติเลยทำให้ผมยิ่งเป็นกังวล
เพราะจุดบอดจุดนี้ สามารถตีความได้ว่า..
คุณชลวิทย์กำลังโกหก

กระทั่งวันพุธเดินทางมาถึง ผมจึงนำผลตรวจไปให้สองพี่น้องที่บ้าน พร้อมกับออกปากว่าอาจจะต้องวินิจฉัยกันใหม่ ซึ่งผมก็คอยลอบสังเกตพฤติกรรมของเจ้าของบ้านคนพี่ไปด้วย แต่กลับพบว่าเขาไม่ได้แสดงพิรุธอะไร นอกจากนั่งอ่านผลตรวจของจันทร์เงียบๆ จนถึงเวลาที่ไฟฟ้ากำลังจะหยุดทำงาน คุณชลวิทย์ก็ขอตัวไปเข้านอน ผมเลยถือโอกาสชวนจันทร์ออกมานั่งเล่นข้างนอกเพื่อที่จะได้ซักถามอะไรบางอย่าง

“ปกติหน้าฝน น้ำในลำธารเยอะหรือเปล่าจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามเจ้าของบ้านพร้อมกับโน้มตัวลงไปข้างหน้าเพื่อพับขากางเกงให้ขึ้นมาเหนือหัวเข่า
“ไม่นะครับ ตรงนี้น่าจะเป็นปลายน้ำแล้ว” จันทร์ตอบพร้อมกับถือเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ไว้ในมือ เพื่อให้ผมพับขากางเกงทั้งสองข้างได้ถนัดขึ้น จนกระทั่งผมพร้อมที่จะไปเดินลุยน้ำเล่นในยามค่ำคืนแล้ว คนขาเจ็บก็ยังพยายามจะใช้แสงเทียนสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยโขดหิน

“ขายังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนก่อนก็ได้ พี่ว่าจะไปเดินแช่น้ำครู่เดียว” ผมหันไปจับข้อมือของจันทร์เพื่อประคองคนบาดเจ็บที่ยังคงเดินตามผมอย่างไม่ลดละ
“จันทร์อยากไปนั่งด้วย” อีกฝ่ายกล่าวเสียงอ่อยจนผมต้องยอมแพ้ จึงพากันเดินไปบนก้อนหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะอย่างเชื่องช้า

“ระวังลื่น เดี๋ยวแทนที่แผลจะหาย จันทร์จะได้แผลเพิ่มขึ้นมาอีก” ผมกล่าวเตือนไปตลอดทาง จนกระทั่งเดินมาจนถึงหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ผิวน้ำมากที่สุด จากนั้นผมก็ค่อยๆ พยุงอีกฝ่ายให้นั่งลงบนหินก้อนนั้นอย่างระมัดระวัง ขณะที่จันทร์ก็ถือเทียนแท่งใหญ่ไว้ในมือ
“จันทร์เคยเห็นลีบ้างไหม ?” ผมตัดสินใจถามคำถามที่มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ถ้าหากผลตรวจมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าคำถามของผมไม่น่าจะแปลกเลย

“พี่หมอหมายถึงยังไงเหรอครับ ?”
“พี่แค่อยากรู้ว่าช่วงเวลาอื่น น้องลีเคยมาเล่นกับจันทร์บ้างไหม พี่กลัวว่าจันทร์จะเหงาน่ะ” สุดท้ายผมก็ต้องเอ่ยถามด้วยคำถามอ้อมโลก เพราะผมยังไม่อยากให้จันทร์สงสัย

“เดี๋ยวนี้ลีไม่มาเล่นกับจันทร์หรอกครับ น้องเป็นเด็กผู้หญิงไม่ชอบเล่นเหมือนจันทร์หรอก” จันทร์ตอบพลางส่ายหัว
“แล้วจันทร์ไม่เหงาเหรอ ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโขดหินก้อนที่เตี้ยกว่าจันทร์ จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ไม่ครับ จันทร์ชินแล้ว” น้องตอบพลางยกยิ้ม   
“…” ผมจึงเอื้อมมือไปยีหัวเด็กชายตัวเล็กที่กำลังนั่งยิ้มแป้นด้วยความมันเขี้ยว

“พี่หมอ หัวใจของจันทร์เต้นแรงอีกแล้ว” จันทร์พูดขึ้นอย่างมีนัยนะ
“ถ้าเรามีความรักแล้วได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ชอบ ใจมันก็เต้นแรงแบบนี้แหละ” ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาคนตรงหน้ารีบเสสายตามองไปทางอื่น
เพราะในวันนี้คำตอบและปฏิกิริยาที่เจ้าตัวเคยได้รับ มันแตกต่างไปจากวันวาน

“พี่หมอ”
“หืม ?” ผมหันหน้าไปหาอีกฝ่าย หลังจากนั่งเหม่อมองดวงดาวบนฟากฟ้าเป็นเวลายาวนาน

“จันทร์ขอเรียกพี่หมอว่า ‘พี่ภัทร’ ได้ไหมครับ ?”
“หึ” ผมหลุดหัวเราะออกมาสั้นๆ พร้อมกับมองไปยังเจ้าของเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า

“เอาสิ.. พี่ก็อยากฟัง” กระทั่งกระซิบถ้อยคำจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นก็เดินไปย่ำน้ำเล่นให้พอชุ่มฉ่ำ แล้วค่อยกลับมาหาจันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนโขดหินพร้อมแสงเทียนที่ยังคงส่องสว่าง
“พี่ว่าเราไปนอนกันเถอะ เริ่มจะดึกแล้วล่ะ” ผมเอ่ยชวนก่อนจะนำเทียนไปวางตั้งไว้บนหินก้อนหนึ่ง แล้วค่อยๆ พยุงจันทร์ที่ขายังคงบาดเจ็บให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็หันไปหยิบเทียนหอมแท่งใหญ่มาถือไว้ พร้อมกับประคองแขนเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเสียหลัก

“พี่ภัทร” หลังจากก้าวเข้ามาในตัวบ้านและจัดการล็อกประตูจนเรียบร้อย จันทร์ที่กำลังยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สามก็เอ่ยเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา
“หืม ?” ผมเลิกคิ้วพลางส่งเสียงถามด้วยความงุนงง

“ฝันดีครับ” จันทร์โน้มหน้าเข้ามาใกล้เพียงเล็กน้อยแล้วกระซิบคำอวยพรแสนรื่นหู จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนห้องใต้หลังคาอย่างรวดเร็ว ผมจึงได้แต่อมยิ้มแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องรับรองของตัวเองเพื่อที่จะได้เตรียมตัวอาบน้ำแล้วเข้านอน
เผื่อว่าผมจะได้ฝันดีเหมือนกับที่จันทร์อวยพร..

แต่ดูท่าแล้วคืนนี้ผมคงติดอยู่ในห้วงแห่งความคิดไม่ต่างจากคืนไหนๆ เพราะเรื่องของจันทร์กับน้องลียังคงวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งเมื่อครู่จันทร์พูดราวกับน้องลีไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น มันก็ยิ่งทำให้ผมปักใจเชื่อว่า..
ณ เวลานี้ ผมอาจจะกำลังหลงทาง
ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจในเจตนารมณ์ของคุณชลวิทย์

เพราะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแคปกราส์ ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเห็นคนรู้จักเป็นตัวปลอม ซึ่งมันก็มีสาเหตุอยู่หลายอย่าง แต่สำหรับจันทร์พวกเราคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการได้รับบาดเจ็บจนเกิดภาวะสมองช้ำ จากนั้นสมองก็จะค่อยๆ บวมขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แล้วอาการผิดปกติทางจิตและระบบประสาทก็จะตามมา แต่มันจะลุกลามมายังภาวะแคปกราส์ได้ ผู้ป่วยย่อมต้องมีอาการทางจิตเภทอยู่ก่อนแล้ว แต่เท่าที่ผมคลุกคลีอยู่กับจันทร์ นอกจากอาการแพนิคก็ไม่เคยเห็นว่าจันทร์จะมีอาการใดๆ ที่มันเข้าข่าย อีกทั้งผลการวินิจฉัยที่คุณชลวิทย์กล่าวอ้างก็ไม่ได้เอามาให้ผมดูเพิ่มเติมเสียด้วย ทุกอย่างมันเลยยิ่งน่าสงสัยและยิ่งไม่เข้าใจว่าสรุปแล้ว ปัจจุบันนี้น้องลีมีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า เพราะในมุมมองของจันทร์ ดูเหมือนเขาจะรับรู้แค่เพียงว่าน้องลียังมีตัวตนอยู่จริง แต่จะกลับมาที่บ้านทุกช่วงปิดเทอม ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมได้กลิ่นหอมคล้ายกับกลิ่นของวานิลลา อีกทั้งน้องลียังชื่นชอบดอกสโนว์ดรอปส์เป็นชีวิตจิตใจ แต่พอหมดฤดูของเจ้าดอกหยาดหิมะนั่น เธอก็หายตัวไป ซึ่งมันเป็นช่วงที่โรงเรียนน่าจะยังไม่เปิดเรียน แต่ถึงเปิดแล้วก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี เพราะว่าเพื่อนของไอ้แนนที่เป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนของน้องลียากร ดูเหมือนจะไม่เคยรู้จักน้องเลย

หรือว่ามันจะเป็นผลมาจากการที่ผมใช้รูปของจันทร์ในการสอบถามข้อมูลของน้องลีล่ะ แต่ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันหรอก เพราะถึงอย่างไรสองพี่น้องคู่นี้ก็หน้าตาเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ไม่อย่างคุณชลวิทย์จะลงทุนให้แฟนไปทำศัลยกรรมให้มีหน้าตาเหมือนจันทร์ไปเพื่ออะไรล่ะ
อีกอย่างผมเองก็เคยเห็นตัวตนของลีที่คุณชลวิทย์สร้างขึ้นมาตั้งหลายครั้งแล้ว

ผมนอนคิดวิเคราะห์อยู่หลายตลบ จนกระทั่งได้ยินเสียงอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็น่าจะเป็นโน๊ตบุ๊กเสียมากกว่า เพราะผมจำได้ว่าคืนก่อนๆ ผมเคยได้ยินเสียงชัตดาวน์ตอนกลางดึก จากนั้นตอนที่ผมเดินออกไปข้างนอกแขนของผมเลยสัมผัสกับความอุ่นร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่บนโต๊ะ พร้อมด้วยกลิ่นหอมของ ‘มะลิ’ ที่ลอยอบอวนอยู่ตรงบริเวณนั้น
เพียงแต่วันนี้.. เสียงที่ผมได้ยินคือเสียงเปิดอุปกรณ์เทคโนโลยีดังกล่าวต่างหากล่ะ

“เหมือนเสียงกำลังพิมพ์อะไรอยู่เลย” ผมอุทานออกมาเบาๆ เพราะสถานที่ที่ใครบางคนใช้ทำงาน มันคือโต๊ะข้างหน้าต่างใกล้ๆ กับห้องพักรับรองของผม และดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะกำลังทำงานอย่างมุ่งมั่น เพราะเสียงระรัวแป้นพิมพ์ของเขามันรวดเร็วมาก ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูว่าใครที่มานั่งทำงานในช่วงเวลามืดๆ ค่ำๆ อย่างนี้ ซึ่งมันผิดวิสัยของคนทำงานมาก เนื่องจากเวลานี้ไฟฟ้าหยุดการทำงานแล้ว เท่ากับว่าการทำงานของเขาจะต้องเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งแสงสว่างที่มันเอื้อต่อการพิมพ์งานก็แทบจะไม่มี
“หรือว่ากลิ่นมะลินั่นจะเป็นกลิ่นเทียนหอม” ผมกล่าวกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย ซึ่งมันก็เป็นไปได้สูงเพราะอย่างน้อยแสงเทียนก็ยังช่วยอำนวยความสะดวกได้เพียงชั่วคราว

คลิก!

“อ้าวจันทร์” ผมร้องทักอีกฝ่ายด้วยความงุนงง เมื่อเห็นว่าใครคือคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโน๊ตบุ๊ก
“…”

“ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ ?” ผมยังคงตั้งคำถามใส่จันทร์ที่เอาแต่ระรัวปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์โดยไม่สนใจผมที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย มันทำให้ผมนึกประหลาดใจ
“…”

“แล้วนี่จันทร์กำลังพิมพ์อะไรอยู่เหรอ ?” ผมหาเรื่องชวนคุยพลางยกยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด คล้ายกับว่าสิ่งที่ผมทำคือการรบกวนการทำงานของอีกฝ่าย เพราะในเวลานี้หัวคิ้วของเขากำลังขมวดมุ่นจนแทบจะผูกเป็นโบว์ โดยที่คำถามของผมก็เป็นคำถามที่ผมสงสัยจริงๆ เพราะผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าจันทร์จะมีงานอดิเรกเกี่ยวกับงานเขียน
เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายเคยแสดงออกว่าชื่นชอบมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำอาหารและการอ่านหนังสือเสียมากกว่า

“หรือว่าจันทร์กำลังแต่งนิยายอยู่ล่ะ ใช่ไหม?” แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายชื่นชอบการอ่านหนังสือมากพอสมควร ผมจึงลองสอบถามเขาดู เผื่อเด็กชายตรงหน้าจะหันมาให้ความสนใจผมที่กำลังเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของผมจะใช้ไม่ได้ผล
เพราะเขาดูเอาจริงเอาจังกับกิจกรรมในครั้งนี้มาก
ราวกับมีนักเขียนชื่อดังเป็นแรงบันดาลใจ

“…” ผมนั่งมองจันทร์พลางอมยิ้มนิดๆ เพราะผมไม่เคยเห็นจันทร์ในมุมมองที่ดูมุ่งมั่นแบบนี้มาก่อน กระทั่งเสียงชัตดาวน์เครื่องดังขึ้นพร้อมกับจังหวะการพับหน้าจอโน๊ตบุ๊กที่ค่อนข้างจะใส่อารมณ์ไปสักหน่อย รอยยิ้มของผมถึงได้หุบลงอย่างกะทันหัน
และยิ่งงุนงงมากขึ้น เมื่อจันทร์เอาแต่เดินตึงตังไปยังห้องใต้หลังคา

กระทั่งความเงียบหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ผมก็นั่งจมอยู่กับความไม่เข้าใจในพฤติกรรมของจันทร์เพียงครู่ เพราะสุดท้ายสิ่งที่ร้องเรียกความสนใจจากผมก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘เทียนหอมกลิ่นมะลิ’ ซึ่งจันทร์เคยบอกกับผมว่าเขาชอบเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ เพราะผมเป็นคนซื้อให้
แต่ทำไมเวลานี้ เขาถึงเลือกใช้เทียนหอมกลิ่นอื่นล่ะ ?
หรือว่าจันทร์จะเบื่อเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์แล้ว ?

“นอนไม่พอหรือไงวะพี่ภัทร สภาพโคตรเหมือนผีดิบเลยว่ะ” ไอ้บาสเอ่ยถามเมื่อเราบังเอิญเจอกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะมันต้องพาพ่อกับแม่ไปใส่บาตรเลยถือโอกาสรีบมาทำงานเร็วหน่อย
“เออดิ” ผมตอบอย่างเนือยๆ เพราะเมื่อคืนผมนอนคิดทั้งคืนว่าทำไมจันทร์ถึงทำตัวเย็นชาและห่างเหินแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมก็สารภาพไปแล้ว
ว่าผมคือ ‘ผึ้ง’ ที่ชอบดอมดมดอกเนโมฟีลาอย่างจันทร์..

“แล้วนี่เครียดเรื่องอะไรอีกวะ?”
“เห้อ~” ผมได้แต่ถอนหายใจเนื่องจากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เพราะเมื่อตอนหัวค่ำเราทั้งคู่ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย แต่พอตกดึกอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

พอได้รับกาแฟที่สั่งแล้ว ผมก็ยืนรอจนกระทั่งไอ้บาสได้รับเครื่องดื่มที่ตัวเองต้องการ แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับไปยังวอร์ดจิตเวช ผมก็เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะตัดสินใจเปิดปากปรึกษากับไอ้ญาติผู้น้อง

“มึง..”
“ว่าไงครับพี่ เปิดปากพูดได้แล้วสินะ”

“คือแบบ.. สถานการณ์มันประมาณว่ากูสารภาพความรู้สึกออกไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ยังคลุมเครืออยู่นิดหน่อย คือกูไม่อยากรีบร้อนเพราะอีกฝ่ายก็ยังเด็กอยู่มาก แล้วอะไรหลายๆ อย่างมันยังรุมเร้าพอสมควร แต่ผ่านไปไม่กี่วันช่วงหัวค่ำเขาก็ยังดีๆ อยู่หรอก แต่พอตกดึกกลับทำตัวเย็นชาใส่กูซะงั้น เขาไม่พอใจอะไรหรือเปล่าวะ เพราะตอนกูเจอเขาอีกที เขากำลังตั้งใจพิมพ์อะไรสักอย่าง แต่กูเดาว่าน่าจะเขียนนิยาย แล้วตอนนั้นกูดันชวนเขาคุยด้วยไง”
“เออ! มันก็สมควรจะโดนเมินหรือเปล่าวะพี่ เขียนนิยายนะเว้ย มันต้องใช้ความคิด ยิ่งโดนรบกวนขนาดนั้นนะ เป็นผมจะโบกให้หัวแตกเลย” ไอ้น้องเวรกล่าวพลางส่งยิ้มทะเล้นจากนั้นก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ผมจึงถือโอกาสจัดแจงอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเตรียมตัวราวนด์วอร์ด และยังต้องรอเข้าประชุมตอนเก้าโมงอีก แถมวันนี้ยังต้องออกตรวจโอพีดีอีก
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
หากวันนี้ร่างกายไม่ได้รับคาเฟอีนละก็.. เห็นทีจะไม่ไหว


゚゚❀゚゚

[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

พอดีเราเขียนตอนนี้เอาไว้ได้ครึ่งนึงตั้งแต่ก่อนที่โน๊ตบุ๊กจะพัง ก็เลยเขียนต่อจนจบตอนเลยสามารถเอามาลงให้อ่านกันก่อนจะถึงเวลาได้ค่ะ แต่หลังจากนี้คงต้องรอจริงๆ แล้วค่ะ เพราะเรากำลังคิดอีกเรื่องที่ต้องเขียนออกแล้ว ถ้าเคลียร์เสร็จจะรีบมาปั่นเรื่องนี้ต่อทันทีเลยค่ะ ต้องขอโทษที่ให้รอนานนะคะ แต่เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยถนัดด้วยค่ะ เลยไม่ค่อยกล้าเสี่ยงมาก
สำหรับตอนนี้มีการหย่อนปมปริศนาไว้อีกหนึ่งปมเนอะ แล้วคนอ่านล่ะคิดว่าคนที่กำลังพิมพ์งานอยู่เป็นใคร 555
ปล. ตอนนี้สั้นไปหน่อย พอดีเราอยากให้ตัดจบที่ปมใหม่
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 14 (update 28/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 28-05-2018 01:01:35
ตอน 14

ค่ำวันนี้ผมตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง บรรยากาศโดยรอบยังคงเงียบสงบ อีกทั้งยังร้างไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาไม่แปรเปลี่ยน กระทั่งรถยนต์คันเก่งขับเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่าตรงหน้าบริเวณบ้าน เวลาต่อมาแสงไฟที่เคยสว่างไสวก็มืดสนิทลง ผมจึงเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย

คลิก!

“พี่ภัทร” จันทร์เอ่ยเรียกพร้อมยกยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้ม มิหนำซ้ำน้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ดูจะดีอกดีใจมากเป็นพิเศษที่เห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าประตูบานนี้
“โทษทีนะที่พี่ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะมาวันนี้” ผมกล่าวพลางยกยิ้มพร้อมก้าวเดินเข้าไปยังตัวบ้านตามการเชื้อเชิญของเจ้าของบ้าน โดยที่วันนี้ผมไม่ได้แวะคุยกับจันทร์ข้างนอกห้อง แต่กลับเลือกเดินเข้ามายังห้องพักรับรอง จึงทำให้ใครบางคนต้องเดินตามหลังด้วยความเงียบเชียบ

“ไม่เป็นไรครับ ดีนะที่จันทร์ยังใช้น้ำไม่หมดถัง” อีกฝ่ายกล่าวพลางทำหน้ามู่ทู่พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนที่ผมมักจะถือกรรมสิทธิ์เมื่อได้มาเยือนที่บ้านหลังนี้
“ทีหลังจันทร์ก็รองน้ำใส่ถังทุกวันเลยสิ เผื่อวันไหนพี่อยากมาหานอกเหนือจากตารางงาน พี่จะได้มีน้ำอาบ” ผมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เมื่อเราสองคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าใจของเราตรงกันมากแค่ไหน
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องทำตัวครึ่งๆ กลางๆ เหมือนกับที่ผ่านมา

“อื้ม” จันทร์เอ่ยงึมงำในลำคอพลางเตะขาของตัวเองไปมาเพียงเบาๆ ขณะที่สายตาก็มองโน่นมองนี่อย่างวอกแวก สุดท้ายดวงตากลมใสคู่นั้นก็บังเอิญหันมาสบกับผมที่กำลังเฝ้ามองอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้แววตาไหวระริกยิ่งเด่นชัด และถ้าหากแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจนถึงบริเวณนี้ ผมคงจะเห็นพวงแก้มแดงๆ ของอีกฝ่ายไปนานแล้ว
“พี่ภัทรอย่ามองจันทร์แบบนั้นสิ” เด็กชายตัวเล็กเอ่ยประท้วงพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนเพื่อซุกใบหน้าให้ผ่านพ้นจากรัศมีทางสายตาของผม
ที่ในเวลานี้..
มันคงจะสื่อความหมายจนทำให้อีกฝ่ายใจสั่น

“อ้าวแล้วกัน ถ้าอย่างนั้นจันทร์อยากให้พี่มองแบบไหนล่ะ? อีกอย่างพี่ก็เป็นของพี่แบบนี้มานานแล้ว” ผมเอ่ยถามแกมขำขัน แม้จะรู้ดีว่าเวลานี้สายตายามที่ผมมองจันทร์มันเปลี่ยนไปแล้ว
เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่หัวใจมันซื่อตรงต่อความรู้สึก

“แต่ก่อนสายตาของพี่ภัทรไม่ใช่แบบนี้..” จันทร์กล่าวเสียงแผ่วพร้อมกับพลิกตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง
“หึ” ผมหัวเราะด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเพียงเบาๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปยีผมของอีกฝ่ายจนยุ่งฟู

“จันทร์ยังชอบเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อยู่ไหม?” ผมเอ่ยถามหลังจากที่ความเงียบเริ่มจะโรยตัวอยู่รอบๆ เราสองคน
“อื้อ” จันทร์ตอบรับในลำคอพลางพลิกตัวหันหน้ามาทางผม พร้อมกับใช้ดวงตากลมคู่นั้นจ้องมองด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ส่วนจันทร์ก็รีบเข้านอนได้แล้ว” ผมปฏิเสธคำถามที่ส่งผ่านมาทางสายตาของจันทร์ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงแขนให้จันทร์ยอมลุกขึ้นนั่ง แล้วออกปากบอกให้อีกฝ่ายรีบเข้านอน เพราะเวลานี้ผมพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
เนื่องจาก ‘จันทร์’ ตรงหน้าของผมในตอนนี้ คือจันทร์คนที่ผมคุ้นเคย แต่ ‘จันทร์’ คนที่ผมพบเจอเมื่อคืนวันก่อนน่าจะเป็น ‘คนรัก’ ของคุณชลวิทย์
หรือถ้าหาก ‘เขา’ ไม่ใช่คนในความคิด
ก็น่าจะเป็นใครสักคนที่ทำให้ใจของผมยังไม่พร้อมจะยอมรับความจริง..

“ฝันดีนะจันทร์” ผมกล่าวในขณะที่กำลังรุนหลังคนตัวเล็กกว่าให้เดินออกจากห้อง เพราะถ้าหากจันทร์ยังอยู่กับผมข้างในนั้นนานกว่านี้ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเผลอล่วงเกินอีกฝ่ายเข้าให้ก็เป็นได้ ซึ่งมันก็แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่การล่วงเกินแบบหน่อมแน้มแน่ๆ
เพราะอย่างน้อยผมก็น่าจะตั้งใจจูบอีกฝ่ายอย่างดูดดื่มเลยล่ะ

“ฝันดีเหมือนกันครับ” จันทร์กล่าวคำอวยพรเสียงแผ่ว จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่ผมกำลังพลั้งเผลอ ยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่ ก่อนที่ร่างเล็กๆ ตรงหน้าจะอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมก็ได้แต่ลูบข้างแก้มของตัวเองแก้เก้อ พร้อมกับปิดประตูด้วยรอยยิ้มที่มันคงจะกว้างมากที่สุดเลยล่ะมั้ง

จากนั้นผมก็ใช้เวลาในการอาบน้ำไม่นานนัก เพราะน้ำที่เหลืออยู่ก้นถังไม่เพียงพอให้ผมพิถีพิถันอะไรมาก กระทั่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกไปข้างนอกห้อง แล้วเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แต่เพราะมันไม่มีแก้วน้ำแช่อยู่ในนั้น ผมจึงถือโอกาสล่วงล้ำเข้าไปในห้องครัวที่เคยเข้ามาเพียงครั้งเดียว แต่หลังจากที่ผมหยิบแก้วน้ำตามที่ต้องการได้แล้ว ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมก้าวเดินเข้าไปใกล้ๆ ห้องนอนของน้องลียากร
พร้อมกับความกล้าที่จะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องๆ นั้น
ซึ่งมันไม่ได้มีการล็อกกลอนแต่อย่างใด..

กระทั่งล่วงล้ำเข้ามายังห้องดังกล่าวได้สำเร็จ ผมก็ควานหาเทียนหอมประจำตัวของเด็กหญิงที่ชอบสวมใส่ชุดสีขาวลายดอกเดซี่อย่างรวดเร็ว และในที่สุดผมก็พบเทียนแท่งใหญ่วางตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงพร้อมด้วยไม้ขีดไฟหนึ่งกล่องที่วางอยู่ข้างๆ กัน ผมจึงรีบจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่างมันสาดส่องไปรอบๆ ห้อง เลยทำให้พบว่าห้องนอนของเด็กสาวคนนี้ก็เหมือนกับห้องนอนของสาวหวานที่มักจะใช้ผ้าปูที่นอนลายดอกไม้ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ก็ยังเป็นสีขาวออกแนววินเทจไม่ต่างกับเตียงนอนขนาดพอเหมาะที่วางตั้งอยู่ตรงกลางห้อง หรือแม้แต่โต๊ะข้างเตียงก็ยังเข้าชุดกันดี นอกจากนี้ห้องนอนของน้องลีก็ยังประดับประดาไปด้วยดอกเดซี่แบบแห้ง
ซึ่งก็มีทั้งแบบที่เป็นพวงมาลัยทรงกลมและจัดใส่แจกันไว้

ส่วนบนโต๊ะเครื่องแป้งของเด็กสาวผู้นี้ นอกจากจะมีแจกันดอกเดซี่ประดับประดาอยู่ ก็ยังมีลิปสติกหลากสีวางเกลื่อนกลาดอยู่บนนั้น ผมจึงถือวิสาสะเปิดปลอกลิปสติกออกดู จึงพบว่าเนื้อลิปมันยับเยินจนแทบไร้รูปทรง เนื่องจากมีอยู่หลายครั้งที่น้องลีใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการระบายอารมณ์จนเต็มบานประตูของคุณชลวิทย์ จากนั้นในวันรุ่งขึ้นประตูบานนั้นก็จะสะอาดเอี่ยมอ่องราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเธอน่าจะใช้ผ้าเช็ดหน้าลายลูกไม้สีขาวที่เวลานี้มันเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงสดและถูกพับเก็บเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้ววางซ่อนเอาไว้ใต้ฐานแจกันเพื่อทำลายหลักฐาน

จากนั้นผมก็ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าสีขาวสะอาดที่อยู่ตรงปลายเตียงอย่างเงียบเชียบ จึงทำให้เห็นว่าสไตล์การแต่งตัวของเธอนั้น มีแต่ชุดกระโปรงลายดอกเดซี่แขวนอยู่
และบางตัวยังคงเปื้อนคราบสกปรกอยู่เลย

“ภาพนี้จะใช่คุณแม่ของจันทร์หรือเปล่านะ” ผมอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อเดินมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าโต๊ะข้างเตียงทางฝั่งซ้ายมืออันเป็นที่ตั้งของรูปผู้หญิงหน้าตาสะสวยท่านหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกับจันทร์ โดยเธอกำลังนั่งแฝงตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาดตา
ซึ่งผมขอคาดเดาเอาเองว่า..
ทุ่งดอกไม้ในภาพนี้น่าจะเป็น ‘ทุ่งดอกเก๊กฮวย’ ที่สะเมิง

“Where flowers bloom, so does hope[1]” ผมอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงลงบนกระดาษสีขาวแผ่นเล็ก โดยมีแจกันดอกเดซี่ข้างๆ รูปถ่ายวางทับไว้ ซึ่งประโยคภาษาอังกฤษประโยคนี้ มันเป็นสำนวนออกแนวเปรียบเปรยนิดๆ ที่เด็กวัยมัธยมและผู้ใหญ่วัยทำงานก็สามารถเข้าใจความหมายของมันได้
ผมจึงยิ่งหนักอกหนักใจมากกว่าเดิม
 
เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่า ‘น้องลี’ อาจจะเสียชีวิตไปแล้วตามที่คุณชลวิทย์บอก ซึ่งผมเองก็ยังหาข่าวที่ว่านั่นไม่พบ แต่คุณแม่ของเพื่อนไอ้แนนก็มาให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่าสมัยเด็กจันทร์มักจะชอบเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เพราะเหตุการณ์จากไฟไหม้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของบ้านคนพี่ไม่ได้โกหก แต่เรื่องของน้องลีมันยังมีจุดบอดอยู่มาก และอีกประเด็นก็คือถ้าหากประโยคนี้มาจาก ‘แฟน’ ของคุณชลวิทย์ตามที่กล่าวอ้างจริงๆ อย่างน้อยผมก็จะได้ตัดเหตุผลลึกๆ ที่ยังทำใจยอมรับไม่ได้ออกไป..

ผมตัดสินใจดับเทียนหอมกลิ่นวานิลลา และเดินออกจากห้องด้วยความกังวลว่ามันจะประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ ‘จันทร์’ ผู้แสนเย็นชาถือโอกาสออกมานั่งพิมพ์งานเหมือนกับวันวานหรือไม่
เพราะจันทร์คนนั้นมีความเป็นไปได้ว่าเขาคือ ‘แฟน’ ของคุณชลวิทย์
หรือบางทีก็อาจจะเป็นใครอีกคนที่ผมไม่อยากให้เป็น..

ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องครัว ผมก็ถึงกับใจหายวาบเมื่อพบใครบางคนกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ท่ามกลางแสงเทียนกรุ่นกลิ่นมะลิอย่างที่คิดกังวลจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการกระโตกกระตากใดๆ ออกไป เพราะในมือของผมมีแก้วน้ำเป็นตัวประกัน และสาเหตุที่ทำให้ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะออกมานั่งทำงานข้างนอกแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติผมจะต้องได้ยินเสียงวอร์มเครื่องทุกครั้ง แต่ในวันนี้มันคงจะเป็นเพราะผมให้ความสนใจกับการค้นหาความลับหรือเบาะแสอะไรบางอย่างในห้องของน้องลียากรเป็นเวลานานสองนาน

“นอนไม่หลับเหรอจันทร์?” หลังจากดื่มน้ำแก้กระหายพอเป็นพิธีแล้ว ผมก็แสร้งเอ่ยถามอีกฝ่ายราวกับยังไม่รับรู้หรือสงสัยเรื่องราวใดๆ

“น่ารำคาญ” สุ้มเสียงแข็งกระด้างกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดทันทีที่ผมเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังระรัวแป้นพิมพ์อย่างชำนาญ
“จริงๆ แล้ว.. นักเขียนที่จันทร์เคยเล่าให้ผมฟัง คือคุณใช่ไหมครับ?” เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผมนัก ผมจึงรีบหยิบยกประเด็นหลักขึ้นมาพูดคุยอย่างรวดเร็ว
โดยประเด็นนั้นก็คือการมุ่งกล่าวไปถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่ได้รับข้อมูลมาจากคุณชลวิทย์
หาใช่การคิดและคาดเดาเอาเองในใจ..

“แล้วก็.. จริงๆ แล้ว คุณไม่ได้เป็นแค่ ‘เพื่อน’ ของคุณชลวิทย์ ถูกไหมครับ?” ผมยังคงตั้งคำถามใส่ผู้ชายที่มีหน้าตาเหมือนจันทร์ทุกกระเบียดนิ้ว
และมันก็ได้ผลเมื่อฝ่ามือที่กำลังระรัวแป้นพิมพ์ค่อยๆ หยุดนิ่งลง

“สิ่งที่คุณทำ มันน่าขยะแขยง” อีกฝ่ายกล่าวด้วยถ้อยคำอันเจ็บแสบพร้อมกับปิดอุปกรณ์อันทันสมัยตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเดินตึงตังขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาเหมือนกับค่ำคืนนั้น
ซึ่งผมที่จู่ๆ ก็ถูกก่นด่าและจ้องมองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
ก็ได้แต่นั่งงุนงงอยู่ตรงที่เดิม..

ผมดับเทียนหอมกลิ่นมะลิที่อีกฝ่ายลืมไว้ ก่อนจะกลับเข้ามายังห้องพักรับรองของตัวเองอย่างหนักใจ เพราะพฤติกรรมของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ผมเคยนึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เวลานี้มันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็เป็นได้ ซึ่งผมต้องเริ่มวิเคราะห์จากการที่จันทร์ไม่เคยเห็นตัวตนของ ‘น้องลี’ ด้วยสายตาของตัวเอง อีกทั้ง ‘คุณนักเขียน’ คนเมื่อครู่ก็ดันพูดจาราวกับเห็นอะไรบางอย่างที่ผมกระทำ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าผมไปทำอะไรให้เขานึกรังเกียจขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขมากๆ แถมวันๆ ยังทำงานมากกว่าพักผ่อนเสียอีก
แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวให้ใครรังเกียจ ?
อีกอย่าง.. แม้ใจของผมจะตรงกับจันทร์แล้ว แต่ผมก็ยังวางตัวกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเสมอมา

“แม่งเอ้ย! มันเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย!” ผมได้แต่บ่นพลางลูบหน้าลูบตาอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็นอนแผ่หลาอยู่ท่ามกลางที่นอนนุ่มพร้อมกับเริ่มวิเคราะห์ต่อไป โดยที่เวลานี้ผมเลือกจะตัดคำจำกัดความเกี่ยวกับอาการป่วยของจันทร์ที่เกี่ยวเนื่องกับ ‘กลุ่มอาการแคปกราส์’ ออกไป เพราะเท่าที่ผมไปสำรวจห้องนอนของน้องลียากรมาเมื่อครู่ ประโยคภาษาอังกฤษนั่นยังติดตราตรึงใจผมอยู่เลย
และมันก็บ่งบอกได้ถึงสามทางเลือก..

ทางเลือกที่หนึ่งคือ ขณะนี้น้องลีเติบโตพอที่จะเข้าใจอะไรยากๆ ได้แล้ว ซึ่งมันก็แปลได้ว่า ถ้าหากน้องลียังมีตัวตนอยู่จริง คนที่ผมพบเห็นก็คือตัวตนของเธอจริงๆ
ส่วนทางเลือกที่สองก็คือ ถ้าหากข้อแรกยังไม่ใช่คำตอบ แสดงว่าคุณนักเขียนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคนรักของคุณชลวิทย์ปลอมตัวเป็นน้องลีอย่างที่เขาสารภาพออกมาจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นอะไรบางอย่างมันก็ยังขัดๆ กับสิ่งที่ผมพบเจอ และในหัวก็ยังมีแต่คำถามว่าทำไมเจ้าของบ้านคนพี่ถึงได้ออกอุบายเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์ที่ยังไงผมก็ต้องจับผิดได้แน่ๆ

และทางเลือกสุดท้ายก็คือ ถ้าหากคุณนักเขียนท่านนั้น ไม่ใช่ ‘คนรัก’ ของพี่ชายจันทร์จริงๆ ยังไงเรื่องรูปร่างหน้าตาที่เหมือนจันทร์ราวกับพิมพ์เดียวกันก็ยังเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดอยู่ดี เพราะเท่าที่ผมจำได้จันทร์เคยพูดถึงแค่น้องสาวฝาแฝด ซึ่งก็คือ ‘น้องลียากร’ ซ้ำร้ายเธอยังมักจะปรากฏตัวเป็นช่วงเวลา จนกระทั่งหมดช่วงของฤดูดอกสโนว์ดรอป เธอก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งพฤติกรรมสุดแสนจะเกรี้ยวกราดของเธอนั้น มันก็ฟังดูขัดๆ กับสถานะ ‘คนรัก’ ที่คุณชลวิทย์เคยกล่าวอ้าง มิหนำซ้ำคุณ ‘นักเขียน’ คนเมื่อครู่ ก็มักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาเดียวกับที่น้องลีเคยออกมาเที่ยวเล่น แถมเวลาที่เขาอยากจะเดินหนีผม กลับเดินขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาเสียอย่างนั้น และผมก็มั่นใจว่าในห้องนอนของจันทร์ไม่มีทางมีห้องลับซุกซ่อนอยู่แน่
อีกทั้ง ‘น้องลี’ ยังมีเทียนหอมกลิ่น ‘วานิลลา’ เป็นกลิ่นประจำตัว ส่วน ‘คุณนักเขียน’ ก็มีเทียนหอมกลิ่น ‘มะลิ’ เป็นกลิ่นประจำตัว ซึ่งหลายๆ เหตุผลที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นี้  ทำให้ผมเริ่มหันไปโฟกัสอาการป่วยของจันทร์ในทิศทางใหม่
ซึ่งทิศทางที่ว่านั้นก็คือ..
โรคหลายบุคลิก หรือ Dissociative Identity Disorder (DID)


゚゚❀゚゚

[1] 'Where flowers bloom, so does hope' คำพูดของคุณ Lady Bird Johnson

[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

แฮร่ เอามาลงก่อนกำหนดอีกแล้ว พอดีว่าเราเขียนเลิฟซีนฟิคไม่ออก เลยมาปั่นเรื่องนี้แทน เอาเป็นว่าถ้าเราเขียนออกก็จะมาอัพแล้วกันเนอะ สำหรับตอนนี้พี่หมอคิดตรงกับทุกคนที่ได้ทายกันไปในตอนที่แล้วละ มาติดตามกันต่อไปค่ะว่ารายละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้มันยังมีโรคอื่นแอบแฝงได้อีกหรือเปล่า 555 และทำไมคุณชลวิทย์ต้องทำตัวเหมือนชักจูงหมอภัทรให้เข้ามาในวงโคจรแต่แรก แล้วจู่ ๆ ก็มาปิดบังกันแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไร และคุณนักเขียนทำไมถึงดูไม่ชอบขี้หน้าหมอภัทรขนาดนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ และขอบคุณที่ยังมีคนอ่านเรื่องนี้อยู่บ้าง เป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่รู้สึกดีใจมากที่คนอ่านชอบ เพราะเราไม่ถนัดของจริง หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ T_T
ปล. ขอยังไม่เอาข้อมูล did ลงนะคะ ไว้จะมาอธิบายต่อในตอนหน้า และรอให้เฉลยปมออกมาก่อน ถึงจะมาแปะให้อีกทีค่ะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 14 (update 28/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-05-2018 22:12:06
เข้ามาหลงในดงสน เดินงงๆหาทางลงไม่เจอ



อ่านรวดเดียวเลย มาต่อเร็วนะคะ ลุ้นมากก
ตอนนี้หมอกับเราทางเดียวกันละ โรคหลายบุคลิค ท่าจะเปลี่ยนตามกลิ่นของเทียนหอม
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 14 (update 28/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-05-2018 23:04:24
โรคหลายบุคลิก  :z3: :z3: :z3:
ลุ้นมาก  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 15 ❀ หน้า 2 (update 31/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 31-05-2018 18:11:39
ตอน 15

หลายเดือนมานี้ผมยอมรับว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะมีปฏิกิริยาร่วมทางจิตใต้สำนึกกับคนไข้ ซึ่งปฏิกิริยาที่ว่านั้นมันคือการที่แพทย์หมกมุ่นหรือมีความรู้สึกต่อคนไข้ ทางด้านบวก ก็เช่น รัก ห่วงใย สงสาร หรือทางด้านลบ ก็เช่น หมั่นไส้ เกลียดชัง โดยเราจะต้องรู้เท่าทันมันให้ได้และจะต้องพยายามไม่ให้สิ่งเหล่านี้ส่งผลเสียต่อกระบวนการรักษาอย่างเด็ดขาด
เพราะอาจารย์เคยบอกไว้ว่าเราจะต้องค่อยๆ ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์เพื่อเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจต่อที่มาของความรู้สึกเหล่านั้น ซึ่งถ้าหากทำได้ดีก็จะช่วยให้กระบวนการรักษาประสบความสำเร็จ และนอกจากนี้ยังช่วยให้ตัวเรามีการเจริญเติบโตทางด้านบุคลิกภาพและจิตใจมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าหากพบว่าความรู้สึกด้านลบรุนแรงจนเราไม่สามารถปรับปรุงหรือแก้ไขได้..
การแจ้งเปลี่ยนผู้รักษาย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้

ซึ่งตัวผมยังก้าวไปไม่ถึงขั้นนั้น เพราะมันยังแค่อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถมอบความไว้วางใจให้กับคุณชลวิทย์ อีกทั้งยังนึกขุ่นเคืองใจต่อการกระทำหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการปิดบังความจริงเกี่ยวกับอาการป่วยของจันทร์ ที่ผมไม่เข้าใจว่าเจ้าของบ้านคนพี่จะปิดบังเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร แล้วไหนจะเรื่องเทียนหอมที่อีกฝ่ายเคยโกหกจันทร์อีก แถมปริศนาเรื่องพวงมาลัยดอกสโนว์ดรอปส์นั่นก็ด้วย ทำเอาผมนึกสงสัยว่าสรุปแล้วเขาหวังดีหรือหวังร้ายกับน้องชายของตัวเองกันแน่ และสาเหตุต่างๆ ที่ว่ามานั้นมันก็ทำให้ไม่พอใจและไม่สบายใจแม้แต่นิด
เพราะดันกลายเป็นว่า..
ตัวผมทำให้จันทร์ต้องตกที่นั่งลำบาก เพียงเพราะเปิดเผยว่าจันทร์มีอาการแพนิคอันเนื่องมาจากสเปซิฟิค โฟเบีย 

“ภัทร.. อย่าแช่น้ำนานนักนะลูก”
“ครับแม่” ผมตอบรับพลางเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่ที่กำลังยืนชะโงกหน้าอยู่ตรงระเบียงห้อง เพื่อมองมายังผมที่กำลังนอนแช่น้ำอย่างใช้ความคิด กระทั่งได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจ ท่านก็เดินเข้าไปในห้องนอน ผมจึงถูกดึงกลับเข้ามายังภวังค์แห่งความคิดพร้อมกับสายตาที่ยังคงจดจ้องดวงจันทร์อันสว่างไสวอย่างเลื่อนลอย

ผมคิดว่าหลังจากนี้สิ่งที่ผมยังพอจะทำได้ ก็คือการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จันทร์อาจจะป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกหรือเรียกสั้นๆ ว่าโรค ‘DID’ โดยโรคนี้เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะประสบกับการมีสองอัตลักษณ์หรือมากกว่านั้น ซึ่งถ้าหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ มันคือการที่คนคนหนึ่งมีบุคลิกภาพสองคนหรืออาจจะมากกว่านั้นแฝงอยู่ ซึ่งบุคลิกเหล่านี้มักจะเข้ามาควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วย และมักจะทำให้ผู้ป่วยประสบปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียความทรงจำในช่วงเวลาที่อีกหนึ่งบุคลิกถูกเปลี่ยนหรือถูกควบคุม
ซึ่งแต่ละบุคลิกที่เกิดขึ้นมักจะมีความแตกต่างกันตั้งแต่ เพศ อายุ ลักษณะนิสัย น้ำเสียงในการพูด และบางครั้งยังสามารถกระทำเรื่องราวอันแปลกประหลาดจนไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านั้นจะเกิดจากคนเดียวกัน

ส่วนสาเหตุใหญ่ๆ ที่ผู้ป่วยมักจะพบเจอก็คือ การประสบกับเหตุการณ์ที่มีความกระทบกระเทือนทางจิตใจและร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยโรค DID มักจะพบว่ามีอาการร่วมกันกับโรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (BPD) รวมไปถึงการมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก
สำหรับพัฒนาการของโรคหลายบุคลิกนั้น ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าบุคคลที่เป็นโรคหลายบุคลิก มักจะประสบกับการได้รับบาดแผลทางจิตใจและร่างกายอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดความเศร้าหมอง ความหวาดระแวง และความหวาดกลัวจนไม่สามารถจะรับมือไหว
จึงนำไปสู่การสร้างตัวตนในหลายๆ อัตลักษณ์ให้ออกมารับมือ

ถ้าหาก ‘น้องลี’ คือตัวตนแรกที่จันทร์สร้างขึ้น ก็น่าจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องราวในวัยเด็กที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของไฟไหม้ เพราะดอกสโนว์ดรอปส์คือหลักฐานชั้นดี เนื่องจากมันคือสาเหตุที่ทำให้จันทร์มีอาการสเปซิฟิคโฟเบียจนนำไปสู่อาการแพนิค เพราะดอกไม้ชนิดนี้คือดอกไม้ที่คุณแม่และน้องลียากรชื่นชอบ จึงทำให้ทุกครั้งที่จันทร์ได้เห็นก็มักจะมองเห็นภาพของเปลวไฟอยู่ในมโนแห่งความคิด ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะทำให้จันทร์ต้องสร้างตัวตนนี้ขึ้นมารับมือ อาจเป็นเพราะทั้งสองคนที่มีความสำคัญต่ออีกฝ่ายได้จากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งก็ตรงกับคำให้การของคุณชลวิทย์ด้วยส่วนหนึ่ง
ส่วนตัวตนที่สองก็น่าจะเป็น ‘คุณนักเขียน’ แต่ผมยังไม่กล้าฟันธงนักว่าเขาจะใช่อีกบุคลิกหนึ่งของจันทร์หรือเปล่า เพราะเรายังไม่เคยพูดคุยกันมากนัก แต่ที่แน่ๆ เขามีอคติบางอย่างกับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
และอีกนัยหนึ่งที่ผมจะลืมไม่ได้เลยก็คือ..
ผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกบางคน อาจจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นทั้งโรค DID และ BPD

ซึ่งอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง มักจะมีความหวาดระแวงว่าจะถูกทอดทิ้ง มีสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคง ประมาณว่าอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เปลี่ยนใจง่าย มีการแสดงออกที่ไม่ตรงกับความรู้สึก เช่น ต้องการจะใกล้ชิดแต่กลับพยายามทำตัวห่างเหิน และยังมักจะมีความรู้สึกผิดหวังหรือเกลียดชังต่อคนรักได้ง่าย มีมุมมองชีวิตที่บิดเบือนไป อย่างเช่น ช่วงเวลาหนึ่งอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนดีในอุดมคติ แต่บางวันก็อาจจะกลายเป็นคนที่แย่ที่สุดก็ได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมักจะมีความรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวเอง ประมาณว่าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และมีความเชื่อแบบไหน อีกทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนบนโลก และมีอารมณ์รุนแรง เช่น รู้สึกสนุกกับการจับจ่ายใช้สอย สำส่อนทางเพศ ขับรถโดยประมาท ติดยาหรือแอลกอฮอล์
มีพฤติกรรมจะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง มีอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง เช่น มีความรู้สึกในเชิงลบอย่างรุนแรงจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน มีความโศกเศร้า หงุดหงิดหรือโกรธอยู่นานหลายชั่วโมง มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อยู่บ่อยๆ มีความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว เช่น การรู้สึกว่างเปล่าหรืออยู่ในภาวะไร้อารมณ์ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมักจะมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เกินกว่าเหตุ เช่น โกรธอย่างรุนแรงเกินสถานการณ์จริง รวมไปถึงควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้ ซึ่งก็มีทั้งชอบตะโกนใส่ผู้อื่น ชอบเหน็บแนม ทำลายข้าวของ อีกทั้งยังมีอาการหวาดระแวงเพราะความเครียดมากจนเกินไป เช่น มีความรู้สึกว่าผู้อื่นเสแสร้ง ไม่จริงใจ
ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ ทำให้ผมต้องกลับมานั่งครุ่นคิดอย่างหนัก..
เพราะมันก็มีความเป็นไปได้ว่าจันทร์อาจจะไม่ได้เป็นโรค DID แต่อาจจะเป็นโรค BPD

แต่ทั้งนี้การจะวินิจฉัยโรคย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ซึ่งจะยึดหลักตาม DSM-5 หรือเกณฑ์การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชปี 2013 และโรคหลายบุคลิกเองก็มีกฎเกณฑ์ดังกล่าวถึง 5 ข้อด้วยกัน ซึ่งข้อแรกก็คือการเกิดขึ้นของแต่ละบุคลิกจะต้องมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังต้องไม่มีความต่อเนื่องกันในเรื่องของทัศนคติ ความชอบส่วนบุคคล เช่น อาหาร เสื้อผ้า
ในส่วนความเห็นของผมนั้น บุคลิกของ ‘จันทร์’ กับ ‘น้องลี’ ก็มีความแตกต่างกันมาก อาจเพราะการแสดงออกของหญิงและชายเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนก็ว่าได้ ส่วนบุคลิกของ ‘คุณนักเขียน’ ผมรู้สึกว่าเขามีทั้งความเหมือนและไม่เหมือนแอบแฝงอยู่ ซึ่งความเหมือนที่ว่าก็คือ เขามักจะหมกตัวอยู่กับสิ่งที่ชอบ และก็เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะชอบเขียนนิยายมานานแล้ว เพียงแต่ผมไม่เคยรับรู้ แต่ทว่าความแตกต่างที่สำคัญก็คือจันทร์ชอบผม แต่เขากลับรังเกียจผม และมันก็น่าแปลกที่ทุกๆ คนมีเทียนหอมเป็นไอเท็มคู่ใจ จะมีก็แต่จันทร์ที่ไม่มีไอเท็มดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งเจ้าตัวยังมักจะถูกกลั่นแกล้งจากพี่ชายคนสนิท ซึ่งมันก็มีแนวโน้มด้วยเหตุจูงใจที่ว่า ถ้าหากจันทร์เป็นโรคหลายบุคลิกจริง ใครบางคนที่แฝงอยู่ในตัวอาจก่อความวุ่นวายให้กับเจ้าของบ้านคนพี่ ซึ่งคนเดียวที่ผมมองเห็นก็คือน้องลี แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะสมมติฐานของผมก็ยังมีความไม่สอดคล้องต่อกันอยู่ดี เพราะถ้าหากคุณชลวิทย์มีเป้าหมายที่จะลงมือกับบุคลิกแอบแฝง เขาก็น่าจะค้นหาจุดอ่อนของบุคลิกนั้นๆ ไม่ใช่มาหาจุดอ่อนของจันทร์
หรือไม่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า..
คุณชลวิทย์กำลังอยู่ในขั้นที่ไม่อาจจะยอมรับความเป็นจริงได้.. 

แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาจะชักจูงให้ผมเข้ามายุ่งย่ามกับเกี่ยวเรื่องนี้ทำไม แถมการโกหกของเขาก็ราวกับเจ้าของบ้านคนนี้ไม่อยากให้ผมรับรู้ถึงอาการป่วยของจันทร์ หรือในทางกลับกันอาจเป็นไปได้ว่าที่เขาทำไปทั้งหมด มันเกิดขึ้นเพราะเขาอยากให้ผมสังเกตเห็นความผิดปกติด้วยตัวเอง
ซึ่งการที่ผมเอ่ยปากในฐานะจิตแพทย์..
ย่อมต้องมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการคิดวิเคราะห์ของตัวเอง

“เห้อ~” ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก เพราะต่อให้คิดยังไงก็มีแต่คำว่าไม่เข้าใจปรากฏอยู่ในหัว ผมเลยถือโอกาสขึ้นฝั่งแล้วไปอาบน้ำตรงห้องอาบน้ำข้างๆ สระ จากนั้นก็เริ่มดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งภวังค์เพื่อตกตะกอนความคิดในเรื่องเดิมๆ ท่ามกลางแสงสว่างของพระจันทร์ในยามราตรี ซึ่งเกณฑ์การวินิจฉัยในข้อถัดมาก็คือ ผู้ป่วยจะต้องสูญเสียความทรงจำ โดยจำกัดให้บุคลิกหลักจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ได้ และผมก็คิดว่ากฎเกณฑ์ในข้อนี้คงไม่มีทางหาคำตอบได้แน่ๆ
เพราะเท่าที่ผมคอยสังเกตอย่างเงียบๆ มาตลอด..
จะเห็นได้ว่าตัวตนอื่นๆ มักจะออกมามีบทบาทในช่วงเวลาที่จันทร์กำลังหลับใหล
 
ส่วนกฎข้อถัดมาก็คือผู้ป่วยจะต้องมีความยากลำบากในชีวิต ซึ่งในหัวของผมตอนนี้ก็เห็นจะมีแต่อาการแพนิคอันเนื่องมาจากดอกสโนว์ดรอปส์ แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าความยากลำบากที่ได้มาจากบุคลิกอื่นๆ ก็น่าจะมีอยู่จริง เพราะผมกำลังสงสัยเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างสองพี่น้องคู่นี้ เนื่องจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการเข้าสังคม การประกอบอาชีพ หรือเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจ
ซึ่งถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงก็เท่ากับว่าเจ้าของบ้านคนน้อง..
มีอาการเข้าข่ายตามกฎเกณฑ์ของ DSM-5 เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ

และกฎข้อต่อมาก็คือ อาการเหล่านี้จะต้องไม่เกี่ยวกับการกระทำตามหลักวัฒนธรรมหรือศาสนา ซึ่งผมสามารถฟันธงได้เลยว่าไม่เกี่ยวอย่างแน่นอน ส่วนกฎข้อสุดท้ายที่บอกว่าอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะต้องไม่ใช่ผลลัพธ์ของการใช้สารใดๆ ซึ่งสารที่ว่านั้นอาจจะเป็นยารักษาโรค สารเสพติด หรือแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังมีภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น การชัก ซึ่งจันทร์ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าตัวไม่ได้ใช้การรักษาด้วยยา และไม่น่าจะเคยดื่มเหล้า รวมไปถึงการใช้ยาเสพติดก็ด้วย แม้กระทั่งอาการชักเพราะเหตุผลอื่นก็ไม่มี เห็นจะมีก็แต่อาการแพนิคที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นเท่านั้น
เพียงแค่นี้ก็น่าจะบ่งบอกถึง ‘ความน่าจะเป็น’ ได้แล้ว..
ซึ่งความน่าจะเป็นที่ว่าดันเป็นเพียง ‘ความน่าจะเป็น’ ที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น!

ทั้งนี้โรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งก็มีการวินิจฉัยตามกฎเกณฑ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ป่วยที่กำลังตกอยู่ในสภาวะแบบนี้จะต้องมีอาการประมาณ 5-6 อย่างและจะต้องมีอาการดังกล่าวทุกวันหรืออาจจะเกือบทุกวันเป็นเวลานานหลายปี โดยที่อาการเหล่านั้นจะต้องมีบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยอาจจะมีปัญหากับคนหลายๆ คน ซึ่งถ้าหากผมโยนราวเรื่องเกี่ยวกับ DID ทิ้งไปก่อน จันทร์ก็ถือได้ว่ามีอาการเข้าข่ายอยู่เหมือนกัน เพราะเขากำลังมีปัญหากับผมและคุณชลวิทย์ โดยที่จันทร์ในคราบของนักเขียนมีแต่ความเกลียดชังส่งมาให้ผม ขณะที่จันทร์ในคราบของน้องลีก็มีแต่ความเกลียดชังส่งไปให้คุณชลวิทย์ โดยที่เรื่องราวความขัดแย้งของทั้งคู่ดูท่าทางจะบานปลายไม่น้อย เพราะว่ามีการเอาคืนกันไปมาอย่างรู้เท่าทัน
ซึ่งมันก็เท่ากับว่าจันทร์มีความสัมพันธ์ที่แปรปรวน
อีกทั้งการแสดงออกก็อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึก

ส่วนเรื่องการมีชีวิตบิดเบือนจนทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับตนเองก็มีความเป็นได้ เพราะตัวตนจริงๆ ของจันทร์มีความรู้สึกดีๆ ให้กับผมซึ่งเป็นผู้ชาย ดังนั้นเมื่อผมตกหลุมพรางของเจ้าตัวแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาพลักษณ์ของน้องลียากรเข้ามาพัวพัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังขัดกับท่าทางของคุณชลวิทย์ที่ไม่ค่อยอยากจะบอกเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนของเด็กสาวในชุดเดสสีขาวคนนั้นอยู่ดี
แถมตัวตนของนักเขียนคนนั้นนอกจากความเกลียดชังที่มีให้กันแล้ว ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขาอยู่ดี จำได้ว่าตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เขามักจะทำสีหน้าไม่พอใจจากนั้นก็เดินหนีไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ต่อมาเขาก็เริ่มมีอาการต่อว่าผมด้วยถ้อยคำรุนแรง เช่น ‘น่ารำคาญ’ และ ‘สิ่งที่คุณทำ มันน่าขยะแขยง’ ซึ่งถ้าหากคุณนักเขียนคือบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งของจันทร์ก็เท่ากับว่าการที่ผมเข้าไปยุ่งวุ่นวายจนทำให้อีกฝ่ายต้องสบถออกมานั้นกำลังเข้าข่ายในเรื่องของการมีความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง เพราะผู้ป่วยมักจะมอบความเกลียดชังให้กับคนรักได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็จะนำมาสู่การแตกหักเหมือนกับสถานการณ์ที่คุณชลวิทย์กำลังเผชิญ ส่วนอีกถ้อยคำหนึ่งที่ จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันนั้นจันทร์เป็นฝ่ายล่วงเกินผมด้วยการจุมพิตตรงข้างแก้ม ซึ่งลึกๆ แล้วเขาอาจจะไม่พอใจกับปฏิกิริยาของผมที่เอาแต่นิ่งเฉยหรือไม่ก็อาจจะ ‘อยากทำแบบนั้นอีก’ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมาตามตรง
แต่คิดไปคิดมา ผมว่าผมควรจะตัดโรค BPD ออกไปเลยจะดีกว่า..
เพราะจันทร์มีอาการที่เข้าข่ายอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น

การทำงานของผมยังคงทำให้ไม่มีเวลาเหมือนอย่างเคย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับอาการแคปกราส์ที่เคยเอาเข้าที่ประชุมไว้ตั้งแต่ต้น บัดนี้ถูกยุติลงด้วยดี จากนั้นผมก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปว่าบางทีเราอาจจะเจองานที่ยากกว่านั้น..มาก
เพราะการจะฟื้นฟูอัตลักษณ์และบุคลิกภาพได้..
จะต้องใช้จิตแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพเข้ามาร่วมในการดูแลรักษาด้วย

สำหรับการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนในช่วงครึ่งสัปดาห์แบบนี้ นอกจากผมจะมีเป้าหมายเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับโรค DID แล้ว ผมยังต้องการจะทดสอบด้วยว่า จันทร์จะมีอาการแพนิคเมื่อได้เห็นดอกสโนว์ดรอปส์แบบแห้งหรือเปล่า ซึ่งผมก็ได้เตรียมพวงมาลัยที่ครั้งหนึ่งน้องลีเคยเอามาทิ้งไว้พร้อมกับแสดงท่าทีโมโหโทโสอย่างหนัก

“จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้พี่ภัทรแล้วนะครับ” ทันทีที่ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เจ้าของบ้านตัวเล็กที่มักจะเป็นฝ่ายออกมาต้อนรับเสมอๆ ก็รีบพูดจาเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี
“ทุกวันเลยหรือเปล่า?” ผมแกล้งย้อนถามอย่างหยอกเอินพร้อมกับเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มจนเส้นผมกระจุยกระจาย

“…” ขณะที่จันทร์ไม่ยอมตอบแต่กลับยกยิ้มพร้อมทั้งย่นจมูกเพียงเล็กน้อย ทำเอาผมใจกระตุกไปพักใหญ่เพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กที่มีนิสัยน่ารักและยังมีความเป็นผู้ใหญ่เสียด้วย ตั้งแต่ที่เราได้รู้จักกันมา เขาไม่เคยเรียกร้องให้ผมต้องแบ่งเวลาให้มากกว่านี้
ซึ่งมันทำให้อีกฝ่ายได้ใจผมเต็มๆ

“จันทร์ไม่กลัวดอกสโนว์ดรอปส์แล้วเหรอ ? จันทร์ลองดูดีๆ สิ พวงมาลัยอันนี้.. มันทำมาจากสโนว์ดรอปส์นะ” พอเดินเข้ามาในห้องพักรับรองของตัวเองได้ ผมก็เอ่ยถามจันทร์อย่างนึกแปลกใจ เพราะตอนที่อีกฝ่ายอาสาจะช่วยถือของให้ เขากลับเลือกหยิบพวงมาลัยชิ้นดังกล่าวแทนกระเป๋าเสื้อผ้าของผม
“ไม่นี่ครับ” จันทร์เอ่ยพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางพิจารณาข้าวของในมืออย่างสงสัย เพราะในเวลานี้หัวคิ้วของเจ้าตัวกำลังผูกเป็นโบว์ใหญ่แล้ว

“แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว” ผมเอ่ยอย่างโล่งอกพลางยกยิ้มกว้าง เพราะมันเท่ากับว่าสิ่งที่ทำให้จันทร์รู้สึกฝังใจ คงจะเป็นเพียงรูปลักษณ์ของเจ้าดอกไม้ชนิดนี้เท่านั้น
ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ว่าจันทร์อาจจะเคยเห็นแต่แบบที่ยังไม่เหี่ยวเฉา
ดังนั้นสโนว์ดรอปส์ในรูปลักษณ์แบบนี้ จึงไม่อาจทำให้เกิดอาการแพนิค

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ จันทร์ก็รีบเข้านอนได้แล้วล่ะ” ผมเอ่ยพลางจัดแจงอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าไปยังห้องน้ำอันมืดมิด โดยที่ผมก็เริ่มจะจดจำได้แล้วว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน
ฉะนั้นความมืดจึงไม่อาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของผมที่นี่

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้าสู่ห้องพักรับรองอันว่างเปล่า เพราะเวลานี้จันทร์คงจะเข้านอนตามคำแนะนำของผมไปแล้ว ผมจึงได้แต่นั่งเช็ดผมพลางอมยิ้มอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง กระทั่งหันมาให้ความสนใจกับเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ในคืนนี้ก็มีอันต้องแปลกใจ เมื่อเสื้อนอนของผมมันยับยู่ยี่ไม่มีชิ้นดี
ราวกับถูกใครบางคนมายุ่งย่ามกับมัน..
ซึ่งใครคนนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ‘จันทร์’

คลิก!

ผมเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเหมือนกับหลายๆ คืนที่ผ่านมา เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่เสียงของประตูไม่ได้เกิดขึ้นจากภายนอกห้องพักรับรอง แต่ดันเกิดกับประตูห้องที่ผมกำลังนอนอยู่ ผมจึงแกล้งหรี่ตาเพียงเล็กน้อยเพื่อสอดส่องความเป็นไปรอบๆ กาย
พบว่าคนที่บุกเข้ามาในยามวิกาล คือ ‘จันทร์’
ไม่สิ บางทีคนๆ นี้อาจจะเป็น ‘จันทร์’ หรือว่า ‘คุณนักเขียน’ ก็ย่อมได้

ผมพยายามนอนนิ่งๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่า ณ ตอนนี้ผมมีสติครบถ้วน แม้ว่าจะเพิ่งตื่นนอนและเหนื่อยล้าจนลืมจุดประสงค์หลักก็ตาม เพราะเมื่อคืนมัวแต่ใช้ความคิดจนหนักสมอง อีกทั้งหน้าที่การงานก็ยังเหนื่อยล้า แล้วไหนจะต้องขับรถข้ามอำเภอมาอีก
แบบนี้จะไม่ให้ร่างกายของผมปิดสวิตช์ลงได้อย่างไร

อีกทั้งเวลานี้หัวใจของผมกำลังเต้นระรัวอย่างหนัก เพราะผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร และไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคือบุคลิกภาพไหน แต่พออีกฝ่ายล้มตัวลงนอนเคียงข้างผม โดยเลือกที่จะนอนตะแคงเพื่อให้เราหันหน้าเข้าหากัน ผมก็พอจะรับรู้ได้แล้วว่าคนๆ นี้คือจันทร์ เพราะถ้าเป็นใครอีกคน เขาน่าจะลอบทำร้ายผมมากกว่าการมานอนชื่นชมกันแบบนี้ ซึ่งระยะห่างระหว่างเรา มันทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่า..
เวลานี้เราอยู่ใกล้กันมาก..
ใกล้เสียจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมเผลอขยับตัวอีกสักนิด ริมฝีปากของเราจะแตะกันได้อย่างพอดีเลยหรือเปล่า

คลิก!

สิ้นเสียงปิดประตูราวกับผมถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ที่ใครอีกคนกำลังร่ายมนตร์ ซึ่งการร่ายมนตร์ของอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขาใช้ริมฝีปากของตัวเองแตะลงบนริมฝีปากของผมโดยไม่มีการล่วงล้ำ
แต่ทว่ามันกลับล่วงล้ำจิตใจของผมเข้าเต็มเปา
และตอนนี้ผมก็เริ่มจะตระหนักแล้วล่ะว่า การเผลอไปชอบเด็กอย่างจันทร์ มันช่างทรมานสิ้นดี


゚゚❀゚゚

edit 01/06/2018 : แก้คำเกินและคำที่เผลอพิมพ์ผิด
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง (ขอลงแค่บางเรื่อง เพราะมันจะสปอยเนื้อหา)
- ความรู้สึกที่คนไข้มีต่อหมอ vs ความรู้สึกที่หมอมีต่อคนไข้ https://www.facebook.com/D2JED/posts/717271578406078:0
- อาการของภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (BPD) https://www.honestdocs.co/borderline-personality-disorder-symptoms

ตอนนี้ทั้งตอนน่าจะวิชาการเยอะ แล้วก็มีฉากเซอร์วิสเล็กน้อย (มากๆ) คือน้องยังเด็ก เรายังไม่อยากเขียนอะไรมากมาย (เหรอ) แต่พี่หมออาจจะตายได้ 5555 ตอนนี้ก็เหลือแค่ว่าจันทร์จะเป็นทั้งสองโรคเลยหรือเปล่า แล้วก็คุณชลวิทย์สรุปคือยังไง เขาถูกกระทำก่อน เลยต้องมากระทำคืนหรือว่าอะไรยังไง โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า เป็นเรื่องที่ความรักจะเติบโตได้ช้า คือถึงจะชอบกัน แต่ว่าด้วยวัย และด้วยข้อจำกัดในเรื่องงานของพี่หมอ ก็จะทำให้มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังดีมากกว่าเชิงรักใคร่ แต่ถ้าเจอจันทร์บุกเข้ามาหนักเข้าก็อาจจะแย่ได้ (มั้ง)
ปล. 2 เราเห็นมีคนรีวิวเรื่องนี้ด้วยดีใจมาก เพราะเขียนยากมาก ใช้พลังชีวิตเกือบหมดเลยทีเดียว ยากจริงจัง เราไม่ถนัดเลย เหนื่อย แต่พอเห็นคนเดาเฉียดไปเฉียดมาแล้วเรามีแรงใจปั่นต่อมากๆ 5555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 16 ❀ หน้า 2 (update 03/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 03-06-2018 12:15:05
ตอน 16

ช่วงนี้ผมเอาแต่นอนคิดเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์จนหัวมันรู้สึกตื้อๆ อย่างบอกไม่ถูก ด้วยความที่พักผ่อนไม่เพียงพอก็ทำเอาหลงๆ ลืมๆ เรื่องบางเรื่องไป ซึ่งไอ้เรื่องที่ผมหลงลืมเนี่ย ดันเป็นเรื่องงานแต่งของญาติตัวเอง โชคดีหน่อยที่พี่แกแต่งที่โรงแรมในตัวเมือง แต่จะไม่ดีก็ตรงที่วันแต่งดันตรงกับวันที่ผมจะต้องเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน แล้วผมก็ดันลืมสนิททำให้ไม่ได้บอกคุณชลวิทย์ที่มารับการตรวจในช่วงเช้า เพราะกว่าจะรู้ตัวก็ตอนใกล้จะเลิกงานเข้าไปแล้ว ซึ่งคนที่เข้ามาเตือนความจำก็คือไอ้บาสญาติผู้น้องนี่แหละ อีกอย่างผมก็พยายามจะโทรหาเจ้าของบ้านคนพี่อยู่หลายสาย แต่เขาก็ไม่ยอมรับสักที ผมเลยต้องยอมแพ้และปล่อยเลยตามเลยอย่างช่วยไม่ได้ ทีนี้พอเดินทางไปถึงที่งานได้สักพักใหญ่ ไอ้น้องเวรก็ดันออกปากบอกพวกญาติๆ ว่าพรุ่งนี้ผมกับมันต้องรีบเข้างานกันแต่เช้า จึงทำให้ไม่สามารถอยู่ดึกได้เลยต้องขอตัวกลับก่อน แต่ทว่าประเด็นที่ทำให้มันตัดสินใจจะชิ่งหนี ก็คืออาหารของโรงแรมไม่ค่อยจะถูกปากนักและมันก็หิวมากๆ เลยต้องลากผมออกมานั่งแดกพิซซ่ารอบดึกด้วยกัน
คือแบบไอ้เชี่ย!
ผมจะเคืองก็ตรงที่แม่งไม่ยอมส่งซิกมาบอกกันก่อนนี่แหละ

“ช่วงนี้พี่ภัทรดูเครียดๆ เบลอๆ นะเว้ย ผิดปกติฉิบหาย เกิดอะไรขึ้นอีกวะ?” หลังจากสั่งเมนูที่ต้องการแล้ว ไอ้บาสก็ไม่คิดจะปล่อยให้เกิดช่องว่างในการสนทนา จึงเริ่มต้นซักไซ้อย่างรวดเร็ว
“จันทร์เหมือนจะเป็น DID” ผมเฉลยอย่างไม่มีอิดออด เพราะตั้งแต่ที่ผมเริ่มจับสังเกตได้ ผมก็ทั้งเครียดและเป็นกังวลเอามากๆ ยิ่งได้อ่านหนังสือนิยายจากนามปากกาของคุณ ‘อนธการ’  ซึ่งเป็นเล่มที่จันทร์ชอบมากที่สุด ผมก็ยิ่งรู้สึกเครียดไปกันใหญ่ เพราะเนื้อหาของนิยายออกแนวดราม่าและหดหู่ จนผมรู้สึกว่าหากเจ้าของนามปากกานามนี้เป็นคุณนักเขียนคนนั้นจริง เขาก็น่าจะเป็นบุคลิกที่สามของ ‘จันทร์’ และนั่นก็เท่ากับว่าสิ่งเขียนออกมา..
อาจถูกกลั่นกรองมาจากจิตไร้สำนึก
ซึ่งคำว่า ‘จิตไร้สำนึก’ มันเป็นที่ที่กักเก็บความคิดและความรู้สึกที่ถูกเก็บกดเอาไว้

“เฮ้ย! ตอนที่พี่พูดในที่ประชุมว่าอาจจะเจองานยาก ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็น..”
“…” พอไอ้บาสได้ยินคำตอบก็ถึงกับทำสีหน้าตกใจไปพักใหญ่ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
แล้วล่ะ.. ผมคนที่มีใจให้กับจันทร์ไปแล้ว..
จะรู้สึกเครียดมากมายขนาดไหน ?

“อืม แล้วประเทศไทยก็ยังไม่เคยเจอคนที่เป็นโรคนี้เลยด้วยซ้ำ” ผมประสานมือไว้ใต้ปลายคาง พร้อมสำทับเรื่องราวหนักอกให้ไอ้ญาติผู้น้องรับรู้ไปพร้อมกัน เพราะมันคือความจริงที่ว่าโรคนี้แทบจะมีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็มักจะอาศัยอยู่ในแถบอเมริกาเหนือ
ดังนั้นงานวิจัยต่างๆ ก็ย่อมต้องมีน้อยนิด

“แล้วพี่จะเอายังไงวะ จะพาน้องมารักษาที่โรงพยาบาลเลยหรือเปล่า ?” ไอ้บาสเอ่ยถามด้วยสีหน้าตึงเครียด แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากรอให้พนักงานเสิร์ฟจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

“ยังว่ะ คงต้องรอพิสูจน์อะไรให้แน่ใจก่อน เพราะเจ้าตัวคงไม่เคยรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ อีกอย่างสาเหตุที่ทำให้จันทร์ตัดขาดจากความเป็นตัวเอง น่าจะเกี่ยวกับเรื่องราวเลวร้ายในอดีต แล้วเรื่องที่ว่านี้ก็น่าจะเชื่อมโยงกับบุคลิกแรกของจันทร์” ผมอธิบายพลางหยิบ ‘Zucchini Fries’  ซึ่งเป็นเมนูที่หาทานได้ยาก ทั้งๆ ที่มันก็คือผักชุบแป้งทอดนี่แหละ เพียงแต่ผักที่ใช้มันคือผักซูกินี โดยเด็กเสิร์ฟบอกกับผมว่าเจ้าผักชนิดนี้คือพืชตระกูลแตง รสชาติคล้ายๆ กับแตงกวา เราก็เลยลองสั่งมากินดูและพบว่ามันก็อร่อยดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันอร่อยที่น้ำจิ้มหรือว่าเนื้อผักกันแน่
“บุคลิกแรก ?” ไอ้บาสเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่มือและปากก็ทำหน้าที่อย่างซื่อตรงต่ออาหารตรงหน้า

“เด็กผู้หญิงที่ชอบฮัมเพลงน่ะเหรอ ?”
“อืม” ผมตอบงึมงำในลำคอพลางพยักหน้าสำทับ ขณะที่พนักงานเสิร์ฟกำลังเอาพิซซ่ามาให้ ซึ่งเมนูที่เราสั่งเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านที่มีชื่อว่า ‘พิซซ่าหน้าวัด’ โดยส่วนประกอบของมันคือไส้กรอก เพียงแต่ไม่ใช่ไส้กรอกธรรมดา เพราะทางร้านจะให้เราเลือกว่าจะกินไส้กรอกกวางหรือไส้กรอกหมูป่าเก๋ๆ แต่ถ้าใครไม่กินทั้งสองอย่างก็สามารถเลือกเป็นไส้กรอกเบคอนธรรมดาได้
ซึ่งพวกผมก็ขอเลือกความธรรมดาแบบไม่ต้องหยุดคิด

“เออพี่ อย่าบอกนะว่ายังมีอีกบุคลิกนึงน่ะ ?” หลังจากพากันลิ้มลองพิซซ่าในยามดึกอย่างไม่กลัวอ้วนแล้ว ไอ้บาสก็เริ่มเอ่ยถามอย่างหน้าตาตื่น
“กูคิดว่าน่าจะเป็นนักเขียน”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งง่ายเลยพี่ เพราะจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เขาบอกว่าจิตไร้สำนึกสามารถแสดงออกทางด้านจินตนาการได้ อย่างพวกงานวรรณคดี งานศิลป์อะไรแบบนี้”
“อืม ตอนนี้กูก็กำลังอ่านๆ อยู่ แต่อาจจะช้าหน่อย เพราะมันไม่ใช่แนวที่กูชอบ” ผมเอ่ยพลางหยิบแก้วชาเย็นขึ้นมาดูดแก้กระหายจากนั้นก็หันมาสนใจสลัดผักที่เราสั่งมากินแก้เลี่ยน

“ว่าแต่มันคือแนวอะไรวะพี่ ?” ไอ้บาสเอ่ยถามอย่างสนใจ เพราะไอ้นี่มันรู้ดีว่าผมชอบอ่านหนังสือแนวประเทืองปัญญาหรือไม่ก็พวกหนังสือให้กำลังใจการใช้ชีวิต แต่ถ้าเป็นหนังสือนิยายก็ขอให้เป็นนิยายที่เรียบง่าย ซึ่งแนวที่ผมอ่านมันก็แตกต่างกับแนวที่คุณอนธการเขียน ผมถึงได้เอามาดองอยู่นี่ไง แล้วผมก็ไม่ทันคิดว่าหนังสือเล่มนี้ จะมีเหตุให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับจันทร์ เพราะเดิมทีผมกะจะอ่านเพียงคร่าวๆ พอให้รู้เนื้อเรื่องบางส่วน แล้วค่อยไปสารภาพกับจันทร์ว่าเรื่องแนวนี้ไม่ค่อยเหมาะกับผม แต่ด้วยความที่มีเรื่องให้ต้องทำและต้องคิดเยอะเกินไปหน่อย ผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไป
“ดราม่าหดหู่ชิบหายเลยว่ะ คือแบบพระเอกนางเอกมีใจให้กันเว้ย แต่น้องสาวนางเอกแม่งดันชอบพระเอกไง ง่ายๆ คืออิจฉาพี่สาวตัวเอง เพราะพี่สาวเป็นคนโปรดของครอบครัว แล้วพระเอกยังเสือกมาตกหลุมรักนางเอกเข้าให้ ความอิจฉาเลยผลักดันให้น้องสาวทำเรื่องที่โคตรเหี้ย!” ผมเล่าอย่างใส่อารมณ์ เพราะมันสุดๆ จริงๆ ไม่รู้ทำไมนักเขียนที่แสนจะเงียบเชียบคนนั้น ถึงได้มาสายโหดขนาดนี้ เพราะขนาดผมเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านนิยายแนวนี้ ยังรู้สึกอินและเจ็บปวดไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แถมสำนวนของเขายังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกดูดลงไปอยู่ในโลกของนิยายที่มีชื่อว่า ‘สิเน่หา’

“ใจเย็นเว้ยพี่ จะอินอะไรขนาดนั้น” ไอ้บาสเอ่ยแกมขำคล้ายกับมันไม่อยากให้ผมเครียด แต่ผมดันไม่คล้อยตามนี่สิ เพราะการอ่านในครั้งนี้ไม่ใช่การอ่านเพื่อความบันเทิงหรือต้องการจะเสพดราม่าเหมือนกับนักอ่านท่านอื่นๆ เนื่องจากทุก ๆ ตัวอักษรจะต้องนำมาใช้ในการคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของจิตไร้สำนึกที่แอบแฝงอยู่ และผมก็ไม่อยากจะกระโตกกระตากมากจนเกินไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทางการแพทย์สามารถรักษาโรคนี้พร้อมกับค้นหาความจริงจากการบอกเล่าผ่านการสะกดจิต ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ผมต้องแน่ใจว่าจันทร์ป่วยเป็นโรคนี้จริงๆ และอย่างน้อยผมก็ต้องผูกมิตรกับแต่ละบุคลิกให้ได้ จากนั้นถึงค่อยหาทางเอาจันทร์ออกมาจากบ้านหลังนั้น
ซึ่งผมก็ต้องล่วงรู้ความต้องการที่แท้จริงของคุณชลวิทย์ด้วย
 
“น้องสาวแม่งจ้างคนมากระทำชำเราพี่สาวตัวเองน่ะสิวะ คือแบบมึงต้องเหี้ยขนาดไหนวะนั่น แล้วแม่งมั่นใจได้ยังไงว่าทำไปแล้วพระเอกจะหันมาชอบตัวเอง กูล่ะงงใจ” ผมระบายความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมดเปลือก เพราะมันหดหู่มากเกินไป อีกอย่างเรื่องที่ได้อ่านก็คล้ายกับเรื่องของน้องพราวที่เป็นผู้ป่วยประจำวอร์ดจิตเวช
เนื่องจากเด็กหญิงคนนี้ ถูกพ่อเลี้ยงกระทำชำเราโดยมีคุณแม่คอยให้ความร่วมมือ

“ที่น่าเศร้ากว่านั้น นางเอกท้องด้วยมึง แต่พระเอกก็ยอมรับเป็นพ่อเด็กนะ ด้วยความที่รักมากก็เลยไม่อยากให้นางเอกรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ แต่นางเอกก็ยังเสียใจแล้วก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น พอคลอดลูกออกมาก็ไม่สนใจใยดีอะไรเลย ใช้ชีวิตเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก แล้วก็เริ่มคิดจะฆ่าตัวตาย อาการคล้ายๆ กับโรคซึมเศร้าน่ะมึง แต่ทุกครั้งที่คิดจะทำแบบนั้น เหมือนพระเอกยังสามารถฉุดรั้งเอาไว้ได้ แถมลูกที่เกิดมาก็น่าสงสารมาก เพราะแม่แท้ๆ ไม่เคยสนใจ ซึ่งในกรณีแบบนี้ถ้าอยากจะทำแท้งก็ได้นะ แต่กูคิดว่าลึกๆ นางเอกคงจะทั้งรักทั้งเกลียดลูกตัวเองน่ะแหละ ทีนี้การเก็บเด็กไว้ดันกลายเป็นดาบสองคม เพราะเวลาที่เห็นหน้าลูกก็เหมือนกับต้องเจอฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นเธอก็ฆ่าตัวตายสำเร็จ” ผมเล่าให้ไอ้บาสฟังเท่าที่อ่านถึง เพราะวิธีการฆ่าตัวตายของเธอทั้งโหดและใจเด็ดมาก เนื่องจากเธอตัดสินใจเผาเรือนไทยจนวอดวายตอนช่วงที่พระเอกไปทำงาน
แต่ทว่าในความหดหู่ก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีอยู่อีกเรื่อง..
เพราะเด็กรับใช้สามารถช่วยเหลือเด็กน้อยที่ยังไม่ทันจะรู้ความเอาไว้ได้

“เนื้อเรื่องโหดจริงว่ะ ถ้าเริ่มศึกษาจากนิยายน่าจะทำให้พี่เข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้นแน่ๆ เพราะผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันดูไม่ธรรมดาเลยว่ะ แต่ถ้าจะให้ฟันธงเน้นๆ พี่ต้องลองดูเรื่องอื่นด้วยว่ามันมีเหตุการณ์หรือจุดสังเกตเด่นๆ ที่เหมือนกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
“อืม ว่างๆ กูก็ว่าจะไปหารีวิวอ่านอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้กูคงต้องขอพักยกชั่วคราวก่อนว่ะ” ผมเอ่ยอย่างยอมแพ้เพราะการอ่านนิยายในครั้งนี้ มันก็เหมือนกับการที่ผมต้องมานั่งรับฟังเรื่องราวของคนไข้ ซึ่งปกติแล้วผมจะสามารถกำจัดความรู้สึกของการมีจิตใต้สำนึกร่วมกับคนไข้ได้เสมอ
แต่พอเป็นจันทร์..
มันกลับยากที่จะไม่มีความรู้สึกร่วมในทิศทางดังกล่าว

วันนี้เป็นวันเสาร์แรกที่อาจจะเรียกได้ว่าการพักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะผมไม่ต้องเข้าเวรและไม่มีเหตุฉุกเฉินให้ต้องอยู่ลากยาว ทำให้มีเวลาว่างตั้งแต่ช่วงเที่ยงเป็นต้นไป แต่ถึงจะออกปากว่าว่างตั้งแต่เที่ยง แต่ในความเป็นจริงกว่าผมจะเคลียร์อะไรหลายๆ อย่างลงตัวก็ปาเข้าไปตั้งบ่ายโมงกว่า ผมจึงถือโอกาสหอบหิ้วท้องไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารมีชื่อสักหน่อย เพราะทุกวันนี้ผมต้องเลือกกินแบบตามมีตามเกิด
ร้านดังหรือร้านแนะนำอะไรก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปกินกับเขาหรอก

กระทั่งกินจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ผมก็มุ่งหน้ากลับบ้านของตัวเองเพราะถ้าหากผมเลือกจะเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนในตอนนี้ก็จะไม่มีข้ออ้างให้ต้องพักค้างคืนที่นั่น ผมเลยถือโอกาสนี้รีบใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่
เพื่อที่คืนนี้ผมจะได้ไม่พลาดพลั้งแบบคืนก่อน!

ไม่ว่าผมจะเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความรู้สึกก็ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน เพราะรอบๆ กายมันดูมืดมนไปหมด ยิ่งไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์ประดับประดาจนเต็มทุ่ง สีสันของความสวยงามในยามค่ำคืนตอนที่แสงไฟหน้ารถตกกระทบลงไปยังสิ่งๆ นั้น ก็ยิ่งทำให้ความมืดมนที่ว่า.. แผ่กระจายไปมากกว่าเดิม
แต่อีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกว่า..
ไอ้ดอกไม้บ้าๆ นั่น ไม่มีมันก็ดีแล้ว

“จันทร์ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ?” หลังจากดับเครื่องยนต์จนเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบเดินเข้ามาหาจันทร์ที่กำลังนั่งเหม่อมองไปยังลำธารเล็กๆ ที่เราเคยไปนั่งเล่นด้วยกัน ขณะที่เทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ยังคงตลบอบอวนอยู่รอบๆ เนื้อตัวของอีกฝ่าย
“เป็นอะไร หืม ?” ผมย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าจันทร์พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับเลื่อนมือของตัวเองไปกอบกุมฝ่ามือเล็กที่วางแหมะอยู่บนหน้าตัก

“…” จันทร์ไม่ตอบด้วยคำพูดแต่กลับตอบด้วยการกระทำ ซึ่งการส่ายหน้ามันก็คือการปฏิเสธ แต่ทว่าสีหน้ากลับบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวกำลังมีเรื่องให้เป็นกังวล
“พี่ไม่ทิ้งจันทร์หรอก” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็แฝงความอ่อนโยนอย่างรู้ทัน พร้อมทั้งค่อยๆ โน้มศีรษะของจันทร์มาวางพักไว้ตรงลาดไหล่

“อื้อ” จันทร์ส่งเสียงอู้อี้ตอบรับ ขณะที่สองมือก็โอบรอบลำคอของผมไว้เพียงหลวมๆ ซึ่งอาการหวาดระแวงว่าจะถูกทอดทิ้ง
มันก็เข้าข่ายโรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ

“เราเอาเท้าไปแช่น้ำเล่นกันดีไหม ?” หลังจากจันทร์ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมก็รีบก้มหน้าพับขากางเกงนอนของอีกฝ่ายให้ขึ้นมาอยู่เหนือบริเวณหัวเข่าเพื่อที่เวลาไปนั่งแช่น้ำจะได้ไม่เปียก
“…” สิ้นคำถามกลับมีแต่ความเงียบเชียบก่อเกิดขึ้น ผมเลยเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อน จึงเห็นว่าจันทร์กำลังส่งยิ้มรอผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลยอดที่จะยกยิ้มตามไม่ได้ จากนั้นก็เผลอเอื้อมมือไปยีหัวคนตรงหน้าเสียจนยุ่งเหยิง

“พี่ซื้อของมาไถ่โทษด้วย แต่มันคงไม่อร่อยแล้วล่ะ” ผมกล่าวพลางเดินนำไปที่รถ ขณะที่จันทร์ก็เอาแต่เดินตามหลังมาเงียบๆ โดยในมือของเจ้าตัวยังคงมีเทียนหอมแท่งใหญ่ที่ผมซื้อให้เป็นไอเท็มประจำตัว
“หนังสือ ?”

“อื้ม ส่วนนี่ก็ซูกินีชุบแป้งทอด” ผมเอ่ยพลางยื่นกล่องของฝากที่ตัวเองเพิ่งจะได้ลิ้มลองไปเมื่อวาน จากนั้นก็อาสาจะถือเทียนหอมแทนอีกฝ่าย ขณะที่จันทร์ก็แบมือขอหนังสือในมือผมไปถือไว้
“ไอ้นี่พี่ซื้อมาจากร้านที่ไปกินกับพี่บาสหลังกลับจากงานแต่งของญาติพี่เมื่อวานนี้ จันทร์ยังจำนักจิตวิทยาคนนั้นได้ใช่ไหม ?” ผมอธิบายความเป็นมาเป็นไปอย่างแยบยลพร้อมกับย้อนถามอีกฝ่ายไปด้วย จากนั้นก็พากันเดินลัดเลาะโขดหินเปื้อนตะไคร่น้ำอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพากันมานั่งปักหลักที่โขดหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่เราเคยมานั่งด้วยกันเมื่อคราวก่อน
โดยที่ปลายเท้าของเราต่างก็ละผิวน้ำอันเย็นเฉียบไปด้วย

“ครับ” จันทร์ตอบเพียงสั้นๆ พลางก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับเมนูของทานเล่นที่ผมซื้อมาฝากอย่างตื่นเต้น คงเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยจะได้กินอะไรแบบนี้บ่อยนัก
“ถ้าชอบ ไว้พี่จะแวะซื้อมาให้จันทร์อีก” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มและเฝ้ามองจันทร์ค่อยๆ กินเจ้าผักชุบแป้งทอดที่ในตอนนี้คงจะไม่กรอบสักเท่าไหร่

“จันทร์ชอบ อร่อยดี” พออีกฝ่ายอ้อมแอ้มตอบเพียงเบาๆ ผมก็เผลอยกมือขึ้นยีหัวคนข้างๆ ด้วยความเอ็นดู
“ทำไมจันทร์ถึงชอบอ่านนิยายเรื่องสิเน่หาล่ะ พี่ว่ามันหดหู่เกินไปหน่อย” ผมเอ่ยถามความคิดเห็นพร้อมบอกกล่าวความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านนิยายเล่มดังกล่าว

“ไม่รู้สิครับ จันทร์รู้แค่ว่าตอนที่ได้อ่านครั้งแรก มันสามารถกระตุกใจจันทร์ได้”
“…” ผมได้แต่นิ่งเงียบและเฝ้ามองคนข้างๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เนื่องจากผมไม่รู้จะตีความคำตอบที่ได้รับอย่างไร เพราะการที่คนเราจะประทับใจหนังสือสักเล่ม  มันต้องมีอะไรสักอย่างที่มากระตุกใจเรา ไม่ว่าจะเป็นพล็อต หรือแม้กระทั่งคำพูดของตัวละคร
ซึ่งคำว่า ‘กระตุกใจ’ ในที่นี้
ก็หมายถึงความประทับใจนั่นแหละ

“แต่พี่ว่าจันทร์เหมาะจะอ่านหนังสือเล่มนี้มากกว่าอีก” ผมกล่าวพลางเอื้อมมืออ้อมช่วงตัวของจันทร์เพื่อไปหยิบหนังสือที่ตัวเองนำติดตัวมาด้วย จำได้ว่าเล่มนี้ผมเพิ่งจะได้มาสดๆ ร้อนๆ ก็เลยอ่านสลับกับนิยายของคุณอนธการ
ซึ่งการไม่มีเวลาของผม ก็ใช่ว่าจะทำให้ไม่ค่อยได้ใช้เงินอย่างที่คิด เพราะส่วนใหญ่ผมมักจะช็อปปิ้งหนังสือจากทางออนไลน์เสียมากกว่า อีกอย่างเจ้าหนังสือพวกนี้ก็ช่วยคลายความเครียดได้ดี เนื่องจากว่าคนเราก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากจะว่ายน้ำแก้เครียดตลอดเวลา ผมเลยต้องหากิจกรรมอย่างอื่นเอาไว้ทำแก้เครียดบ้าง

“12 นิทานบันดาลใจ ?”
“…”

“จันทร์โตจนเลิกฟังนิทานแล้วนะครับ”
“พี่ก็โตแล้ว แต่พี่ยังอ่านเลย พี่ว่ามันให้ข้อคิดดีๆ หลายอย่างเลยนะ อีกอย่างจันทร์ไม่อยากรู้เหรอว่าพี่อ่านอะไรบ้าง?”

“อื้อ จันทร์จะลองอ่านดู”
“นี่..” ผมเรียกอีกฝ่ายพลางเอนตัวไปข้างหลังและเงยหน้ามองดาวบนฟ้าที่กำลังส่องแสงระยิบระยับอย่างสวยงาม

“พี่เคยไปนอนพักที่บ้านระเบียงดาวมา จำได้ว่าดาวสวยมากๆ ทั้งแผ่นฟ้ามีแต่ดาวแล้วก็ดาวทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากหาโอกาสไปอีกครั้งเหมือนกัน” ผมกล่าวนำร่องพลางหันไปมองจันทร์ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเหมือนกับที่ผมทำเมื่อครู่
“สวยกว่าที่นี่อีกเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามพลางหันมองผมเพื่อรอคอยคำตอบ

“อื้ม”
“…” เมื่อผมตอบรับเพียงสั้นๆ จันทร์ก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวบนฟากฟ้าอีกครั้ง

“สักวันเราต้องไปที่นั่นด้วยกันนะจันทร์” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางเอนศีรษะลงบนลาดไหล่เล็กของคนข้างกายในเชิงออดอ้อน
“ครับ” สิ้นคำตอบรับอย่างไม่นึกลังเลของอีกฝ่าย ริมฝีปากของผมก็วาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอีกพักใหญ่ แล้วพากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน ซึ่งคราวนี้ผมต้องสละให้เจ้าของบ้านตัวเล็กยึดครองห้องน้ำไว้เพียงชั่วคราว เพราะเจ้าตัวจะต้องแปรงฟัน กระทั่งห้องน้ำว่างก็ถึงคิวที่ผมจะต้องจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย
จะได้มานั่งเตรียมตัวนับถอยหลังในการพบเจอกับนักเขียนคนนั้นเป็นครั้งที่สาม

เมื่อผมออกจากห้องน้ำก็พบว่าเสื้อนอนมันยับยู่ยี้เหมือนกับคืนก่อน เพียงแต่คืนนี้ผมจับได้ว่าจันทร์เป็นคนนำมันไปกอดไว้ ซึ่งพอจับได้อีกฝ่ายยังมีหน้ามายื่นเสื้อตัวดังกล่าวให้ผมอีก ช่างไม่ได้รู้อะไรบ้างเลยว่าการทำแบบนี้ มันเหมือนกับเจ้าตัวกำลังจะบอกผมกลายๆ ว่า..
เขาต้องการผมมากกว่าที่เคย

“จันทร์ เอ่อ.. ไปนอนแล้วนะครับ” หลังจากรับชุดนอนของตัวเองมาสวมใส่จนเสร็จสิ้น จันทร์ก็เอาแต่หันรีหันขวาง จากนั้นก็เอ่ยขอตัวด้วยท่าทีไม่ปกติจนผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความไร้เดียงสานั่น ก่อนจะจัดการล็อกประตูห้องให้เรียบร้อย
เพื่อรอลุ้นว่าในคืนนี้..
ใครบางคนจะไขกุญแจแล้วบุกเข้ามาในห้องนอนของผมอีกหรือเปล่า

คลิก!

เสียงเปิดประตูห้องนอนของผมดังขึ้นมาอีกแล้วและครั้งนี้ผมก็ต้องนอนลุ้นต่อไปว่าใครคนนั้นที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้คือ ‘จันทร์’ หรือว่า ‘นักเขียน’ ผู้ที่มีแต่ความเกลียดชัง กระทั่งพื้นเตียงอีกฝั่งยวบลงและตามติดมาด้วยไออุ่นจากใครบางคนก็ทำให้ผมทราบแล้วว่า..
วันนี้บุคลิกที่ผมต้องการพบหน้า..
ยังไม่ยอมปรากฏตัวให้ผมเห็น

และการกระทำของจันทร์ในวันนี้ก็ดูแตกต่างจากวันวาน เพราะเขากำลังใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายของผมอย่างเชื่องช้า
คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังมีความรู้สึกทางเพศ..

ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าจันทร์ กำลังจะเข้าข่ายอาการของโรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ เพราะเขาเริ่มจะมีความต้องการทางเพศที่มากขึ้นและในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะนำไปสู่การสำส่อนตามอาการของตัวโรคด้วยหรือไม่
เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง..
ผมควรจะรับมือและหักห้ามตัวเองอย่างไรดี ?


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

[edit คำผิด : รังเกลียด > รังเกียจ]
[08/06/2018 แก้ไขจากแถบยุโรปเป็นอเมริกาเหนือ]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory)
http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=567315
http://www.nana-bio.com/phychology/Psychoanalytic%20theory.htm


ถ้ายังมีคำผิดอยู่ เดี๋ยวเรามาตามแก้ทีหลังนะคะ เพราะมันคงจะเล็ดรอดสายตาตอนอ่านทวนแน่ๆ อ่า สรุปแล้วมันอะไรยังไง มีใครสังเกตอะไรได้บ้างหรือเปล่า 55 จริงๆ คาดว่าทั้งตอนเหมือนจะมีฉากเซอร์วิส แต่จริงๆ มันก็ไม่เชิงนั้นหรอกเนอะ เพราะคำตอบพี่หมอก็เฉลยไปแล้ว
ปล . ว่าแต่ว่า คุณนักเขียนจะใช่อีกบุคลิกนึงจริงๆ หรือไม่ ทำไมช่วงนี้น้องจันทร์ไม่เปลี่ยนไปเป็นคุณนักเขียนเลย ?
ปล. 2 เราเห็นมีคนแนะนำนิยายเรื่องนี้เพิ่ม ขอบคุณจริงๆ นะคะ การแต่งเรื่องนี้ เอาจริงๆ เหมือนเราได้ฝึกเขียนไปด้วยเลย 555 เพราะมันยากมาก แล้วเป็นแนวที่แบบว่าต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกอาจจะมีผิดพลาดไปบ้างก็ต้องขออภัย เราพยายามที่จะเขียนให้สมจริงในความคิดเราที่สุดแล้วกันนะ 555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 16 ❀ หน้า 2 (update 03/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 03-06-2018 17:06:06
จันทร์จะหื่นแล้ว >///<
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 17 ❀ หน้า 2 (update 04/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 04-06-2018 04:17:11
ตอน 17

ผมยังจำเหตุการณ์ในที่ประชุมเมื่อวันก่อนได้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่พวกเราชาวบุคลากรการแพทย์ ต่างก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างฉะฉาน จึงทำให้ผมทราบข้อมูลอัพเดตเกี่ยวกับตัวโรคมากมาย เช่น ปัจจุบันโรคหลายบุคลิกมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยว่า ‘โรคหลายอัตลักษณ์’ โดยมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Dissociative Identity Disorder (DID) ซึ่งแต่เดิมโรคดังกล่าวเคยถูกเรียกว่า ‘โรคหลายบุคลิก’ และมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Multiple Personality Disorder
เพราะคำว่า ‘อัตลักษณ์’ มีความหมายแตกต่างกับคำว่า ‘บุคลิก’

เนื่องจากมนุษย์เราสามารถมีความหลากหลายทางบุคลิกภาพได้และไม่จัดว่าเป็น ‘โรค’ เช่น เวลาอยู่กับเพื่อนจะมีความกล้าแสดงออก แต่เวลาอยู่กับผู้ใหญ่อาจจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันคือบุคลิกภาพของคนคนเดียวกัน เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่พบเจอ
นับว่าเป็นเรื่องปกติไม่ใช่อาการ ‘ป่วย’

แต่ ‘อาการป่วย’ ที่แท้จริงก็คือ ‘ความหลากหลายของอัตลักษณ์’ ซึ่งอัตลักษณ์จะเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ภายในตัวตนของคนคนนั้น และในคนปกติก็จะมีเพียงแค่อัตลักษณ์เดียว แต่ในผู้ป่วยมักจะมีมากกว่าหนึ่ง โดยความเกี่ยวข้องกับสติ ความทรงจำ เอกลักษณ์ของตัวเอง รวมไปถึงการรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวมักจะมีความผิดเพี้ยน เพราะตัวตนของพวกเขามีความไม่ต่อเนื่องกัน หรือเรียกง่ายๆ ก็คือตัวตนของพวกเขาจะถูกจับแยกออกเป็นหลายๆ ส่วน ทำให้อารมณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกไม่มีความต่อเนื่องและไม่มีความเหมือนกัน
เช่น บางครั้งพวกเขาก็รู้สึกรักตัวเอง แต่บางครั้งก็อาจจะเกลียดตัวเอง รวมไปถึงการมีความรู้สึกกดดันเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง และเมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น กลไกการป้องกันตัวจึงเกิดขึ้น และส่งผลต่อการตัดขาดจากความเป็นตัวเอง ตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง เพราะผู้ป่วยมีความรู้สึกไม่ชอบและไม่ยอมรับในตัวตนของตัวเอง ทำให้มีการแสดงออกโดยผ่านอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปและบางครั้งก็พบว่าผู้ป่วยมักจะมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย โดยคนไข้มักจะแสดงออกก็ต่อเมื่อเกิดความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ
เนื่องจากพวกเขากำลังเกิดความรู้สึกว่า..
ตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย

ซึ่งในงานวิจัยก็มีการพูดถึงสาเหตุหลักๆ ของการกำเนิดโรคไว้ว่า สาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการมีสภาพแวดล้อมของการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก
และมักจะเกิดก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอายุครบ 6 ปี

นอกจากนี้การขาดการส่งเสริมสัมพันธภาพกับมารดาและทารก ก็ถูกตั้งเป็นสมมุติฐานว่าสาเหตุดังกล่าวคือปัจจัยเพิ่มเติมของการเกิดโรคหลายอัตลักษณ์ ซึ่งก็ตรงกับเนื้อหาของนิยายในเรื่องที่จันทร์ชื่นชอบ เพราะลูกชายของนางเอกก็ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากคนเป็นแม่ อีกทั้งเรื่องราวในตอนที่คุณชลวิทย์เคยโกหกหน้าตายว่าน้องชายมีอาการแคปกราส์ ยังเชื่อมโยงกับแต่ละอัตลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้น ผมจึงเริ่มไขว้เขว
เพราะมันก็มีความเป็นไปได้ในระดับ ‘50 : 50’ ว่า..
‘แม่’ คือใจความสำคัญของจิตใจที่แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ

ทั้งนี้โรคหลายอัตลักษณ์ก็มีกรณีศึกษาอันโด่งดังอยู่ 5 เคสด้วยกัน โดยเคสที่โด่งดังที่สุดคือเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน ชายชาวอเมริกันที่เคยก่อคดีสะเทือนขวัญในยุค 70 ซึ่งอาชญากรรายนี้มีอัตลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ในตัวเองมากกว่า 24 อัตลักษณ์ โดยเขาถูกจับกุมหลังจากก่อเหตุข่มขืนสาวมหา’ลัยถึง 3 คนด้วยกัน และหนึ่งในเหยื่อของคดีสะเทือนขวัญในครั้งนี้ กล่าวเอาไว้ว่า ‘ท่าทีที่เขาแสดงออกมา ดูเหมือนเด็กสาวอายุ 3 ขวบ’ หลังจากนั้นเขาก็ถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทแบบเฉียบพลัน (acute schizophrenia) ขณะที่นักจิตวิทยากลับให้ข้อสรุปว่าเขาเป็นโรคหลายอัตลักษณ์ จึงทำให้เขาไม่ต้องรับโทษที่ก่อ แต่กลับต้องเข้ารับการบำบัดแทน
โดยสาเหตุที่ทำให้เขาสร้างความหลากหลายทางอัตลักษณ์ขึ้นมานั้น เชื่อกันว่าเป็นผลพวงมาจากช่วงชีวิตในวัยเด็กอันเปรียบเสมือน ‘ฝันร้าย’
เนื่องจากเขาถูกพ่อเลี้ยงกลั่นแกล้งและทำร้ายอยู่เป็นประจำ

ดังนั้นเมื่อลองใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในการครุ่นคิด ก็ทำให้เข้าใจได้ว่ามนุษย์เราเมื่อเกิดปมขัดแย้งในจิตใจ พอทำอะไรที่ตัวเองรับไม่ได้ ก็จะมีทางเลือกให้ตัวเองอยู่สองทาง
คือ..
การยอมรับหรือปฏิเสธ

ยกตัวอย่าง เช่น การมีความต้องการทางเพศจึงไปก่อเหตุข่มขืน เมื่อรู้สึกรับไม่ได้กับการกระทำดังกล่าว ก็เริ่มมองหาทางออกโดยแบ่งออกเป็นสองทาง
คือ..
การไปสารภาพผิดและมอบตัว หรือปฏิเสธเสียงแข็งออกไปว่าตนเองไม่ได้ทำ

ดังนั้นแต่ละอัตลักษณ์ที่เกิดขึ้น มักจะถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้จิตไร้สำนึก ซึ่งอัตลักษณ์ดังกล่าวจะยังมีความเชื่อมโยงกับตัวตนของเจ้าของร่างได้อยู่ แต่ถ้าหากเริ่มมีการใช้วิธีป้องกันตนเองอย่างแน่นหนา
ผู้ป่วยก็อาจจะลืมเลือนไปว่าอัตลักษณ์เหล่านั้น..
เกิดขึ้นจากตัวเราเอง

ซึ่งมันก็ตรงกับท่าทีของจันทร์ เพราะอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ ยังมีความเชื่อมโยงกับเจ้าของร่างนั้น แต่ในทางกลับกัน อัตลักษณ์ของ ‘คุณนักเขียน’ น่าจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกันได้ และสาเหตุที่ทำให้ผมกล้าฟันธงออกมาอย่างมั่นใจว่านักเขียนคนนั้นคืออีกหนึ่งอัตลักษณ์ของจันทร์ ก็เพราะว่าสองคืนที่ผมไปเยือนยังบ้านกลางป่าสน จันทร์คือบุคคลที่มักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่อัตลักษณ์อื่นๆ ออกมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
อีกทั้งงานเขียนของคุณ ‘อนธการ’ ก็ยังสามารถบ่งบอกได้ดี ว่าเขาคืออีกหนึ่งอัตลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากอ้างอิงตามหลักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เมื่อผู้ป่วยเกิดความขัดแย้งในตนเอง ก็มักจะมีทางเลือกอยู่เพียงสองทาง ซึ่งทางเลือกของจันทร์ก็คือ การเลือกที่จะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นด้วยการตัดขาดจากความเป็นตัวเอง และด้วยความที่แต่ละอัตลักษณ์เกิดขึ้นจากตัวตนของจันทร์ ดังนั้นสิ่งที่เคยถูกเก็บซ่อน จึงถูกถ่ายทอดผ่านทางอัตลักษณ์ของ ‘นักเขียน’ ที่อาจจะเป็นบุคคลแปลกหน้า
เพราะครั้งหนึ่งจันทร์เคยให้คำนิยามเจ้าของนามปากกาอย่างคุณ ‘อนธการ’ ว่า..
‘เขา’ คือเพื่อนของคุณชลวิทย์

แล้วไหนจะยังมีข้อความภาษาอังกฤษที่มีใจความว่า ‘Where flowers bloom, so does hope.[1]’ ที่แปลความหมายได้ว่า..
ที่ใดมีดอกไม้เบ่งบาน ที่นั่นย่อมมีความหวัง..
ซึ่งความหวังที่ว่า มันคือการได้รับการปลดปล่อย

เท่ากับว่าอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ อาจจะหมายถึงการมีความหวัง ซึ่งความหวังนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับการขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ โดยสองพี่น้องในช่วงเวลานั้น คงจะต้องพึ่งพาความรักความอบอุ่นจากกันและกัน จึงส่งผลให้การจากลาอย่างไม่วันหวนกลับของน้องลี ถือเป็นข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง
มิหนำซ้ำ ‘แม่’ ก็อาจจะเป็นสาเหตุของการสูญเสียในครั้งนี้

มันจึงบ่งบอกได้ว่าลึกๆ แล้วในใจของจันทร์ คงไม่สามารถยอมรับการจากลาในครั้งนี้ได้ อีกทั้งยังไม่อาจยอมรับในสาเหตุของการสูญเสียได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตัดขาดจากความทรงจำอันโหดร้ายนั่น ด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของน้องลีที่มีความหมายกับเจ้าตัวมากที่สุด
และการมีอยู่ของน้องลี..
ก็แสดงถึง ‘การเบ่งบานของดอกไม้’

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นเพียงแค่การสันนิษฐานจากผม ซึ่งการวิเคราะห์ในครั้งนี้บวกกับข้อมูลจากงานวิจัยเริ่มทำให้ผมคิดคำนวณถึงช่วงเวลาของการเกิดเหตุอีกครั้ง เพราะในงานวิจัยระบุไว้ว่า ‘เรื่องราวในวัยเด็กมักจะเกิดก่อนอายุ 6 ปี’ เท่ากับว่าสาเหตุของไฟไหม้อาจจะผ่านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 13 ปี โดยที่ตอนนั้นจันทร์น่าจะอายุประมาณ 5 ขวบ ซึ่งก็แน่นอนว่าผมจะต้องหาข่าวนั้นไม่เจอ
เพราะปีที่เกิดเรื่องมันดันคลาดเคลื่อนนี่ไง
 
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นก็เถอะ ข้อสงสัยของความคลาดเคลื่อนก็ยังมีอยู่อีกว่า ทำไมตอนที่จันทร์กำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา ถึงมีตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า ในเมื่ออัตลักษณ์ของน้องลีน่าจะออกมาใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดเหตุได้ไม่นาน
ซึ่งอัตลักษณ์ของน้องลีนั้น ก็ดูเป็นเด็กสาวที่สู้คนและยังมีความร่าเริงสดใส
ส่วนตัวตนของจันทร์นั้น ดูจะเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความสดใสแบบเด็กๆ

เมื่อคิดวิเคราะห์ได้สักพักก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเสิร์ชหาข้อมูลลงในกูเกิลเพื่อนยาก ด้วยคำว่า ‘ไฟไหม้ + สะเมิง’ พร้อมปีพุทธศักราชที่คาดว่าน่าจะเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ซึ่งในปีนั้นจันทร์น่าจะอายุได้เพียง 5 ขวบ แต่กลับไม่พบข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้เลย เพราะสิ่งที่ผมเจอดันเซอร์ไพรส์กว่านั้น ซึ่งไอ้สิ่งก็คือกระทู้การพูดคุยเกี่ยวกับนิยายเรื่อง ‘สิเน่หา’ ผมจึงกดเข้าไปอ่านแล้วพบว่านิยายเรื่องดังกล่าว มันคือนิยายจากนามปากกาของคุณ ‘อนธการ’
ซึ่งแฟนนิยายได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า สถานการณ์บางอย่างจากในนิยายเรื่อง ทำไมมันเหมือนกับเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ของตระกูลธีรบดินทร์เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว
และเหตุการณ์ที่ว่านั้นก็เกิดขึ้นที่ ‘อำเภอสะเมิง’

หากถามว่าทำไมผมถึงสะดุดใจ ‘สะเมิง’ มากเป็นพิเศษ เพราะผมบังเอิญนึกไปถึงภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นคุณแม่ของสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ มิหนำซ้ำนิยายของคุณอนธการยังมายืนยันสมมุติฐานที่ผมตั้งขึ้น
ถ้าหากผมจำไม่ผิด ตระกูลธีบดินทร์ดูเหมือนจะเป็นตระกูลผู้ดีเก่าประจำจังหวัด

ซึ่งผู้อ่านก็เท้าความถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าในปีที่จันทร์อายุได้เพียง 4 ขวบ เกิดเหตุไฟไหม้จนเรือนไทยทั้งหลังวอดวาย ซึ่งเรือนไทยหลังที่ว่าคือบ้านของใครสักคนในตระกูลธีรบดินทร์
และที่ตั้งของมัน..
ก็อยู่ที่อำเภอสะเมิง สถานที่อันขึ้นชื่อของทุ่งดอกเก๊กฮวย

โดยผู้อ่านอีกท่านก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่านิยายเรื่อง ‘ลวงรัก’ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งข่าวนั้นจะรู้กันแค่คนในอำเภอสะเมิงเท่านั้น
และเธอก็คือลูกหลานของคนในท้องถิ่น 

ต่างเล่ากันปากต่อปากว่า ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ ลูกสาวของตระกูลดังกล่าว ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุไฟไหม้ ลือกันว่าอาจจะเป็นการฆ่าตัวตาย โดยผู้อ่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ทำการหยิบยกย่อหน้าดังกล่าวจากนิยายเรื่อง ‘ลวงรัก’ ว่านักเขียนมีการเขียนถึงการถูกล่วงละเมิดทางเพศผ่านตัวละครของเด็กสาวจากอำเภอสะเมิงที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็คือเพื่อนของนางเอก
และเรื่องก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการปิดเทอม
ดังนั้นเหล่านักอ่านจึงฟันธงว่าคุณอนธการน่าจะเป็นคนอำเภอสะเมิง

ผมวางแมคบุ๊กลงบนที่นอน จากนั้นก็เอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยใจ พลางครุ่นคิดถึงนามสกุลของจันทร์อีกครั้ง เพราะผมยังจดจำได้ดีว่าในเวชระเบียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า..
‘นายเพียงจันทร์ เกิดกวี’

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังปักใจเชื่ออยู่ดีว่าต้นตอของการแตกสลาย คือเหตุการณ์ที่สะเมิง เพราะหนึ่งคือรูปของผู้หญิงคนนั้นที่วางตั้งอยู่ในห้องของน้องลี และสองคือดอกเดซี่ที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอัตลักษณ์ดังกล่าว เนื่องจากน้องลีมักจะสวมใส่ชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ อีกทั้งในห้องนอนของเธอก็ยังมีแต่ดอกเดซี่ประดับอยู่
ซึ่งดอกไม้ชนิดดังกล่าวก็มีความคล้ายคลึงกับดอกเก๊กฮวยอยู่บ้าง
และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมงุนงงก็คือ ทำไมจันทร์ถึงได้หวาดกลัวดอกสโนว์ดรอปส์

ผมหยิบแมคบุ๊กมาเสิร์ชหาความหมายของดอกสโนว์ดรอปส์ จึงทำให้ทราบว่าดอกไม้ชนิดนี้ นอกจากมันจะเป็นดอกไม้แห่งความหวังแล้ว ทว่ายังเป็นดอกไม้แห่งความตายอีกด้วย เพราะเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ แรกเริ่มเดิมทีถูกค้นพบตามโบสถ์หรือหลุมฝังศพ
ดังนั้นคำจำกัดความของดอกไม้ชนิดนี้ก็คือ..
ความหวังและความตาย

แต่ทว่าไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะทันทีที่ผมเสิร์ชคีย์เวิร์ดลงในกูเกิลว่า ‘สโนว์ดรอปส์ + อนธการ’ รายละเอียดเกี่ยวกับนิยายเรื่อง ‘ความหวังอันแสนบริสุทธิ์’ ก็ปรากฏขึ้น โดยเนื้อหาของเรื่องดังกล่าวจะมีดอกไม้ชนิดนี้เป็นสื่อกลางระหว่างพระเอกนางเอก โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส เท่ากับว่าการเขียนนิยายของคุณอนธการจะต้องมีการค้นคว้าข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต
ถ้าอย่างนั้นในอดีตจะเคยเกิดเหตุการณ์ทำนองว่า จันทร์ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักบ้างหรือเปล่า เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็ไม่แปลกใจว่าทำไมคุณชลวิทย์ถึงมั่นใจว่าจันทร์จะปลอดภัยถ้าหากอยู่ที่บ้านกลางป่าสน แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังงงๆ อยู่ดี เพราะทุกตารางนิ้วในบ้านหลังนี้ จันทร์ได้รับอิสรภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้นหากคุณอนธการมีการเดินทางออกไปข้างนอก คุณชลวิทย์ที่เอาแต่เก็บตัวจะทันรู้ตัวหรือเปล่า
หรือว่าที่ผ่านมา..
คุณชลวิทย์ไม่ได้เก็บตัวเหมือนอย่างทุกวันนี้ ?

บอกตรงๆ ผมค่อนข้างไม่เข้าใจในการกระทำของคุณชลวิทย์ เพราะเขาเป็นคนชักนำให้ผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่บางครั้งก็ทำเหมือนเจ้าตัวคิดอยากจะปิดบัง ราวกับมีความปรารถนาอะไรบางอย่าง ที่เขาอาจจะยังลังเลว่าจะเอาอย่างไรกับมันดี
และคนที่จะช่วยให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงได้
ก็คือผมคนที่ทำหน้าที่เป็นจิตแพทย์

และถ้าหากสมมุติฐานเรื่องที่จันทร์อาจจะตื่นไปเจอกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่ก็อาจจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงไปยืนอยู่ในจุดนั้นได้ หรืออาจจะไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่เจ้าตัวกำลังคิดจะทำอะไร แล้วทำไมความทรงจำมันถึงขาดๆ หายๆ
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า
ความเครียดที่เกิดขึ้น กำลังส่งผลให้อีกฝ่ายมีความต้องการทางเพศที่สูงขึ้น

ซึ่งในทางจิตวิทยาได้มีการอธิบายเอาไว้ว่า การกระทำดังกล่าวคือวิธีการหนึ่งที่จะสามารถลดความตึงเครียดทางอารมณ์ที่มันอาจจะมีมากจนเกินไป โดยที่ความตึงเครียดเหล่านั้นไม่จำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ หรือในอีกกรณีหนึ่งก็คือจิตไร้สำนึกกำลังหวาดกลัวต่อการเป็นรักร่วมเพศ เลยมีความพยายามจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการแสดงออกแบบนั้น แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ ก็คือเจ้าตัวอาจจะมีความต้องการอย่างมากที่จะเป็นที่รักและได้รับการยอมรับ บวกกับมีทัศนคติว่าร่างกายสามารถใช้เป็นเครื่องดึงดูดความสนใจและยังสามารถทำให้เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยอมรับได้
มันจึงทำให้ผมเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า..
แท้จริงแล้ว.. คนที่เข้ามาล่วงเกินผม จะใช่จันทร์จริงๆ หรือเปล่า

เพราะจากที่ผมคิดไปคิดมา อัตลักษณ์ของคุณนักเขียน ดูเหมือนจะแอบแฝงความไม่พึงพอใจในรักร่วมเพศ ซึ่งการกระทำของเจ้าของตัวตนอย่าง ‘จันทร์’ นั้น
อัตลักษณ์อื่นๆ ที่แอบแฝงอยู่ ก็สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด
จะมีก็แต่เจ้าของร่างกายที่ไม่มีวันรับรู้ได้เลย ว่าร่างกายของเขากำลังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่


゚゚❀゚゚

[1] Where flowers bloom, so does hope คำพูดของคุณ Lady Bird Johnson

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- โรคหลายอัตลักษณ์ Dissociative Identity Disorder (DID) (จริงๆ ยังมีอีกค่ะ แต่ขอไว้ลงในตอนที่เขียนถึงจะดีกว่า)
https://www.dailynews.co.th/article/598497
https://www.honestdocs.co/multiple-personality-disorder
https://goo.gl/7owrKc 
- 23 บุคลิกใน 1 คน เรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อผิดๆ
https://themomentum.co/momentum-feature-split-movie-dissociative-identity-disorder/
- ความผิดปกติทางอารมณ์
https://board.postjung.com/706874.html
- Snowdrop ดอกไม้แห่งความหวัง
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=fasaiwonmai&month=03-2012&date=17&group=2&gblog=263

ตอนนี้พี่หมอวิเคราะห์ทั้งตอน ไม่ได้เจอแม้แต่น้องจันทร์ 5555 แต่เราว่าหลายๆ อย่างน่าจะคลี่คลายลงบ้างหรือเปล่า ? เราเห็นมีคนแซวว่าน้องจันทร์หื่น 555 ในความหื่นก็ยังมีความน่าเห็นใจอยู่นะคะ คือจะบอกว่าเราลังเลมากว่าจะเขียนด้านนี้ของน้องออกไปดีมั้ย คือแบบน้องน่าเอ็นดูอ่ะ แต่ด้วยความที่มันจะต้องเชื่อมกับอีกหลายๆ อย่าง เราเลยตัดสินใจเขียนลงไป เพราะจริงๆ แล้วผู้ป่วยจิตเภทบางรายก็จะมีความต้องการทางเพศที่สูงขึ้นจริงๆ แต่บางรายก็จะไม่มีความต้องการเลย
ตอนนี้ปั่นได้เร็วเฉย พอดีเรายังไม่ง่วงนอนก็เลยเอามาลงไว้ก่อน 55
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 18 ❀ หน้า 2 (update 06/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 06-06-2018 01:12:28
ตอน 18

หลังจากที่เมื่อคืนมัวแต่เสียเวลาไปกับการคิดวิเคราะห์พร้อมทั้งหาข้อมูลที่น่าจะเชื่อมโยงไปถึงจิตใจอันแตกสลายของดวงจันทร์ท่ามกลางป่าสน เช้าวันนี้เพื่อนร่วมงานต่างพากันทักทายอย่างสงสัยว่าเหตุใดสภาพของหมอภัทรที่มักจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีถึงได้ย่ำแย่มากมายขนาดนี้ ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ให้กับทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตาถามราวกับนัดแนะกันไว้
แต่พอถึงเวลาเข้าประชุมตามคำร้องขอจากผม ท่าทีขี้เล่นทั้งหลายก็มลายหายไป ผมจึงเริ่มบอกกล่าวข้อมูลเกี่ยวกับจันทร์เท่าที่สังเกตได้ เพราะถ้าหากมันเป็นไปตามข้อสมมุติฐานแล้วล่ะก็ พวกเราก็ควรจะต้องวางแผนอะไรๆ อย่างจริงๆ จังๆ สักที เพราะการรักษาด้วยการสะกดจิตจำเป็นจะต้องเชิญแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้เข้ามารับหน้าที่ ดังนั้นบุคลากรในตำแหน่งดังกล่าวเราอาจจะต้องอิมพอร์ตมาจากกรุงเทพ ซึ่งผมคิดว่าเคสใหญ่ๆ แบบนี้ จิตแพทย์มากฝีมือหลายท่านก็น่าจะให้ความสนใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
และในคืนนี้ผมจะต้องค้นหาคำตอบให้ได้ว่า..
จันทร์มีความทรงจำที่ขาดหาย ในระหว่างที่มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์จริงหรือไม่

เนื่องจากวันรุ่งขึ้นผมได้รับการอนุมัติให้ไปทำงานนอกสถานที่เป็นเวลาสองวัน ซึ่งงานนอกสถานที่ในครั้งนี้คือการออกไปตามหาความจริงที่บ้านอมลอง ในเขตอำเภอสะเมิง โดยเป้าหมายก็คือการยืนยันเกี่ยวกับเรื่องเล่าที่กำลังแพร่หลายอยู่ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อที่จะได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเรื่องราวในวรรณกรรมเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดผ่านทางจิตไร้สำนึกของนักเขียนท่านนี้จริงหรือไม่ เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ผมจะต้องพบกับพื้นที่รกร้างจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อหลายปีก่อน
ดังนั้นก่อนที่ผมจะไปเยือนยังสถานที่แห่งนั้น ผมควรจะหยิบนิยายเรื่องดังกล่าวติดมือไปด้วย เนื่องจากคุณนักเขียนบรรยายสภาพแวดล้อมของที่นั่นอย่างละเอียด
ราวกับเขาไม่เคยลืมเลือนช่วงเวลาเหล่านั้น
ซึ่งมันก็แน่นอนว่าความทรงจำอันเลวร้ายในอดีต ปัจจุบันถูกฝากฝังไว้กับ ‘น้องลี’ และ ‘คุณนักเขียน’

โดยผู้ป่วยจะสร้างอัตลักษณ์เหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อให้แต่ละอัตลักษณ์เข้ามารองรับหรือกระทำการในสิ่งที่ตนเองไม่อาจกระทำได้ เช่น ทนเหงา ทนเศร้า ทนเจ็บปวด ทนที่จะถูกกระทำชำเรา กระทำการฆ่าตัวตาย หรือแม้กระทั่งการใช้กำลังข่มขู่ 
ซึ่งในกรณีของจันทร์ อัตลักษณ์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการถูกกระทำอันแสนเจ็บปวดจากเหตุการณ์ในอดีต โดยที่ความเจ็บปวดดังกล่าวอาจจะเป็นการทนต่อความเจ็บปวดจากการไม่ได้รับความรักจากผู้เป็นแม่
รวมถึงการทนที่จะมีชีวิตอยู่หลังจากเกิดเหตุสูญเสีย

เมื่อได้ข้อสรุปสำหรับการเตรียมความพร้อมในการรับมือแล้ว พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ ซึ่งการออกตรวจ OPD ในวันนี้ ผมมีโอกาสพบกับผู้ป่วย Bipolar Disorder หรือโรคอารมณ์สองขั้วเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งราย ซึ่งโรคไบโพลาร์เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง คือผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะทางอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างช่วงซึมเศร้า (Depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ
ซึ่งในทางการแพทย์จะเรียกว่าภาวะเมเนีย (Mania episode)

และในช่วงที่กำลังซึมเศร้า ผู้ป่วยจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง อ่อนเพลีย หมดพลังงาน ไม่สดชื่น เก็บตัว เสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย เบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง ขาดความมั่นใจในตนเอง มีปัญหาด้านความทรงจำ เพราะไม่สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้ เนื่องจากไม่มีสมาธิในการทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จ อีกทั้งยังไม่รู้สึกอยากจะทำกิจกรรมใดๆ และยังมีปัญหาในเรื่องของการกินและการนอน โดยบางทีอาจจะกินและนอนมากเกินไปหรือน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มในการใช้สารเสพติด และมองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความรู้สึกในแง่ลบ
ส่วนช่วงเมเนีย ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีพลังงานสูงมากจนผิดปกติ อารมณ์ดี ร่าเริงเกินไปอย่างไม่สมเหตุสมผล มีการโต้ตอบต่อสิ่งเร้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อารมณ์ไม่คงที่อย่างไม่มีเหตุผล และมักจะทำกิจกรรมต่างๆ ทีละมากๆ ในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังมีความหุนหันพลันแล่น เช่น คิดเร็ว พูดเร็ว พูดมาก ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีความต้องการทางเพศสูง โดยอาจจะมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าแบบไม่ยอมป้องกันได้ง่าย อีกทั้งยังมีความประมาท และยังตัดสินใจได้ไม่ดีพอ จึงทำให้เกิดความผิดพลาดสูง หรือเรียกง่ายๆ ก็คือการใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง มิหนำซ้ำยังมีการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งในแต่ละช่วงอารมณ์อาจจะเป็นอยู่ประมาณสองอาทิตย์หรืออาจจะหลายเดือนก็ย่อมได้ โดยที่อาการเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และการดูแลตนเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอาการของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจว่าอารมณ์จะต้องเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบปัจจุบันทันด่วน
ประมาณว่าเดี๋ยวก็อยากจะหัวเราะ เดี๋ยวก็อยากจะร้องไห้
ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ควรจะเอามาเป็นคำพูดฮิตติดปากเลยด้วยซ้ำ

ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์คนไข้ที่ตกค้างมาจากช่วงเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถือโอกาสแวะไปดูคนไข้ประจำวอร์ดจิตเวชที่กำลังทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมในวันนี้คือการดูหนัง แต่เห็นจะมีก็แค่น้องพราวที่ไม่ยอมสนใจเรื่องราวภายในกรอบสี่เหลี่ยม ผมจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เด็กหญิงผู้นั้น จึงเห็นว่าในมือของเธอกำลังโอบอุ้มลูกสนขนาดพอเหมาะเอาไว้ ขณะที่ริมฝีปากเล็กๆ ก็ออกแรงเป่าลม ฟู่วๆ อยู่หลายหน

“น้องพราวกำลังทำอะไรอยู่คะ ?” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบอย่างสงสัย
“หนูกำลังจะทำให้เปลือกของลูกสนมันบานออกค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพยายามตอบคำถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบไม่ต่างกัน จากนั้นเธอก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกสนในมือร้างไร้ซึ่งความอับชื้น ด้วยการเป่ากระไอร้อนจากริมฝีปากของตัวเอง

“หืม ?” ผมส่งเสียงถามในลำคออย่างไม่ค่อยเข้าใจในคำตอบนัก
“พี่เบลบอกหนูว่าถ้าหากลูกสนเปียกน้ำ เปลือกของมันจะหุบเข้าหากันแบบนี้ แต่ถ้าหากมันแห้งก็จะบานออกเหมือนอย่างที่หนูเคยเห็น สวยมากๆ เลยนะคะพี่หมอ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ยังคงแผ่วเบาด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“พี่หมอว่าน้องพราวต้องเอามันไปตากแดดไว้ตรงข้างหน้าต่างสักพักนึง ระหว่างนี้หนูก็มานั่งดูหนังรอไปก่อนดีไหมคะ?” ผมแนะนำอย่างหลอกล่อ เพื่อให้เด็กน้อยสมปรารถนาและยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นด้วย
“ดีค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็รีบเดินเตาะแตะไปยังหน้าต่างบานใหญ่ แล้วค่อยวางลูกสนในมือลงบนหลังตู้ไม้ขนาดไม่สูงนัก ก่อนจะกลับมานั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ผม เพื่อเตรียมตัวดูหนังเหมือนกับผู้ป่วยรายอื่น

กระทั่งเวลาเลิกงานเดินทางมาถึง ผมก็มุ่งตรงกลับสู่บ้านพักเพื่อไปจัดเตรียมกระเป๋าสำหรับเดินทางในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการลงพื้นที่ น่าจะช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตตั้งแต่ที่จันทร์ยังเด็กได้บ้าง ทั้งนี้ผมเลยจองห้องพักแถวๆ ตัวอำเภอสะเมิงไว้ เพราะคาดว่าการเสาะหาข้อมูลไม่น่าจะนานนัก เนื่องจากผมเพียงแค่อยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลเหล่านั้นมันออกมาจากจิตไร้สำนึกจริงหรือเปล่า อีกทั้งผมยังไม่รู้ว่าจะหาทางบอกจันทร์เกี่ยวกับอาการป่วยของเจ้าตัวอย่างไรดี และที่หนักหนาที่สุดก็คือเรื่องของคุณชลวิทย์ เพราะผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรและหวังดีกับจันทร์มากแค่ไหน เนื่องจากทุกวันนี้ผมยังไม่ให้ความไว้วางใจต่อเขามากนัก แต่ทว่าการมาเยือนยังบ้านกลางป่าสนทุกวัน มันทำให้ผมเกรงว่าเจ้าของบ้านคนพี่จะผิดสังเกต และสาเหตุสำคัญอีกอย่างก็คือร่างของผมอาจมีการผุพังก่อนเวลาอันควรผมจึงทำได้แค่เลือกเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนตามกำหนดการเดิม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากพอสมควร เพราะคุณชลวิทย์เขายังไม่รู้ตัวว่าผมกำลังมีเป้าหมายใหม่
ดังนั้นผมจึงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น
เพราะ ‘งู’ ตัวนี้ มันมีความสามารถในการหลอกล่อได้อย่างดีเยี่ยม

กลางดึกวันพุธกับบรรยากาศท่ามกลางป่าสนยังคงเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้ว่าตลอดสัปดาห์ผมจะมีโอกาสมาเยือนที่นี่แค่เพียงสองวัน
แต่ทว่า.. ในค่ำคืนนี้..
ป่าสนไม่ได้มีแต่ความเงียบเหงาและวังเวงอีกต่อไป..

“ความลับของป่าสน ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแห่งความสงสัย ขณะที่สองมือก็คอยโอบประคองเทียนหอมแท่งใหญ่อย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ตลอดเวลาที่เราสองคนก้าวเดินไปข้างหน้าตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมของลาเวนเดอร์
“ใช่แล้ว” ผมตอบรับอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ลูกสน ?” จันทร์เอ่ยอย่างงุนงง เมื่อเห็นผมก้มลงไปเก็บลูกสนแห้งที่กำลังเบ่งบานเป็นชั้นๆ อยู่บนพื้นดิน ซึ่งคำอุทานแกมซักถามแบบนั้นมันบ่งบอกได้ดีว่าจันทร์กำลังสงสัยว่า ‘ความลับของป่าสน’ กับ ‘ลูกสน’ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
“จริงๆ พี่ก็ไม่เคยสังเกตมันหรอก เพิ่งจะรู้ก็ตอนที่คนไข้ในวอร์ดพูดถึงนี่แหละ” ผมอธิบายขณะที่พาจันทร์กลับไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลอ่อน เพียงแต่จุดมุ่งหมายไม่ใช่การเข้าไปเก็บตัวอยู่ในบ้าน เนื่องจากผมตั้งใจจะพาจันทร์มาค้นหาความจริงตรงลำธารใกล้ๆ ตัวบ้าน

“จริงๆ แล้ว ลูกสนสามารถบ่งบอกถึงสภาพอากาศในบริเวณนี้ได้”
“ยังไงเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น เพราะหัวข้อสนทนาคือสิ่งที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน

“ก็เวลาที่ลูกสนมันเปียกน้ำ เปลือกของมันจะหุบลง บ่งบอกถึงความชื้นของสภาพอากาศ แต่ถ้าเปลือกของมันแห้งก็จะคลายตัวออกมาแบบนี้ บ่งบอกถึงสภาพอากาศอันแห้งแล้ง” ผมอธิบายขณะก้าวเดินมาจนถึงโขดหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับผิวน้ำมากที่สุด จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งและฝากฝังลูกสนอีกหนึ่งลูกไว้กับจันทร์ ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งวักน้ำจากลำธารสาดกระเซ็นใส่ลูกสนที่อยู่ในมือของตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกสนแห้งที่เคยผลิบานราวกับดอกไม้ก็ค่อยๆ หุบตัวลง

“นี่แหละมหัศจรรย์ของธรรมชาติ” ผมเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มและชูผลงานการทดลองให้จันทร์ได้ชื่นชม ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ถึงได้เอื้อมมาหยิบลูกสนไปจากมือผม เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับลูกสนในมือของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ สังเกตลักษณะของลูกสนแต่ละลูกว่ามันมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน ขณะที่ผมก็ได้แต่อมยิ้มให้กับภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
เพราะจันทร์ในเวลานี้กำลังน่ามองอย่างไม่รู้เบื่อ

“จันทร์ให้” หลังจากชื่นชมความมหัศจรรย์ของสิ่งรอบตัวจนพอใจแล้ว อีกฝ่ายก็ยื่นลูกสนแห้งอีกลูกหนึ่งส่งมาให้
“เพราะอะไร ?” ผมเอ่ยถามพลางยื่นมือข้างที่มีลูกสนวางอยู่บนนั้นประกอบคำพูด

“เวลาที่พี่ภัทรทำงานจนเหนื่อยจะได้รู้ว่ามีจันทร์คอยอยู่ตรงนี้” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมเก้อเขิน แต่ผมกลับหัวใจกระตุกไหว ภายในอกพลันรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างอบอุ่น เพราะการมีใครสักคนมอบความรักและความหวังดีมาให้ มันเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะวิเศษ แต่กระนั้นความรู้สึกอุ่นร้อนในกระบอกตาก็ตีตื้นขึ้นมาด้วย ซึ่งปฏิกิริยาแบบนั้นคงจะมีสาเหตุมาจากการที่ผมล่วงรู้ว่าภายในตัวตนของจันทร์กำลังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจ แม้มันจะเป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจ
เพราะผมกำลังตกอยู่ในห้วงของการมีจิตใต้สำนึกร่วมกันกับจันทร์

“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอพลางยกลูกสนในมือจรดตรงริมฝีปาก พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าของจันทร์แน่นิ่ง ส่งผลให้ใครคนนั้นออกอาการแก้มแดงจนเห็นได้ชัด
เพราะในเวลานี้แสงจากดวงจันทร์อีกดวงกำลังสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง

หลังจากนั่งเล่นตรงริมลำธารจนเพลิดเพลินแล้ว ผมก็ชักชวนให้จันทร์รีบเข้านอน เพื่อที่คืนนี้จะได้ลองพิสูจน์ดูอีกครั้งว่าคนที่ล่วงล้ำเข้ามายังห้องพักรับรองของผมจะใช่จันทร์อีกหรือเปล่า เพราะถ้าหากใครคนนั้นคืออีกฝ่ายจริงๆ ผมคิดว่าผมจะแสดงตัวในคืนนี้ เนื่องจากมันง่ายต่อการซักถามมากกว่าจะเปิดปากพูดออกไปโต้งๆ ในช่วงเวลาอื่น
กระทั่งอาบน้ำเสร็จก็ออกมาพบเจอกับความว่างเปล่า เพราะหลังจากที่ผมแสดงท่าทีในเชิงกระลิ้มกระเหลี่ยมากกว่าปกติ จันทร์ก็รีบขึ้นไปหลบซ่อนตัวอยู่บนห้องใต้หลังคา
คล้ายกับว่า..
ต่อให้มีเวลาทำใจ แต่ความเก้อเขินก็ยังคงอยู่

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มจากนั้นก็คว้าลูกสนที่จันทร์มอบให้ขึ้นมาดู พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเพราะท่าทีเก้อเขินของอีกฝ่ายอดจะทำให้หัวใจฟูฟ่องไม่ได้
ยอมรับเลยว่า..
การที่ผมได้อยู่ใกล้ๆ จันทร์ มันทำให้ผมเหมือนได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ซึ่งคำว่า ‘เด็ก’ ในที่นี้ก็คือบุคคลที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว อยากรักก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา หรือแม้กระทั่งในตอนนี้กำลังรู้สึกแบบไหนก็สามารถพูดมันออกไปได้ เหนื่อยก็แสดงออกว่าเหนื่อย เพราะความสบายใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ มันทำให้หัวใจอันแห้งแล้งรู้สึกอบอุ่น
แต่มันคงจะอบอุ่นมากกว่านี้
ถ้าหากเสี้ยวหนึ่งของความคิดไม่ได้ย้อนกลับไปโฟกัสที่ ‘โรคหลายอัตลักษณ์’

ทั้งนี้อาการที่ผมกำลังเป็นไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพียงแต่ถ้าหากเลือกได้ ผมก็อยากจะเลือกให้จันทร์เป็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอย่างสวยงามมากกว่าจะเป็นดวงจันทร์ที่จะหม่นแสงหรือสว่างไสวก็ไม่เชิงแบบนี้ ดังนั้นต่อให้ใจของผมคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรให้เป็นไปตามความต้องการ แต่ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ และ ‘การยอมรับ’ ในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น ก็สามารถช่วยให้คนที่มีหลายอัตลักษณ์อย่างจันทร์ เกิดการยอมรับในตัวเองได้
ซึ่งผมก็คาดหวังว่าถ้าหากวันนั้นมาถึง..
‘ความเป็นจริง’ จะตรงกับ ‘ทฤษฎี’ ที่ผมเชื่อมั่น..

เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งเลอะเทอะ ผมจึงเลือกที่จะนอนพักเพื่อรอเวลาที่หมายตา แต่กระนั้นลูกสนที่ได้รับมาจากจันทร์ก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ในมือ และกว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็เผลอหลับไปอย่างเหนื่อยล้าทางความคิด แต่ทว่าผมกลับต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อในเวลานี้ริมฝีปากของผมกำลังถูกครอบครองด้วยริมฝีปากของใครอีกคน
ซึ่งในครั้งนี้.. มันไม่ใช่แค่การแตะต้องแบบผิวเผิน
แต่มันคือการสอดใส่อย่างจาบจ้วง

ราวกับสัญชาตญาณดิบถูกปลุกขึ้นอย่างโหมกระพือ ผมจึงตอบโต้อีกฝ่ายด้วยความไม่ยั้งคิด จากนั้นร่างกายก็พลิกขึ้นเหนือร่างของคนใจกล้าภายในเสี้ยววินาที ขณะที่ริมฝีปากก็ทำหน้าที่บดคลึงรุกไล่ลิ้นเล็กช่ำชองอย่างหื่นกระหาย แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไรนัก เพราะวินาทีนี้ความคิดของผมกำลังมุ่งโฟกัสไปยังความหอมหวานที่เคยวาดฝันไว้ ตั้งแต่ตอนที่จันทร์เข้ามาล่วงเกินผมครั้งแล้วครั้งเล่า
ซึ่งผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน
ความอดทนถึงได้ขาดสะบั้นลงอย่างนี้

แต่สุดท้ายสติกลับถูกปลุกขึ้นจากความหลับใหล เมื่อเสียงหอบหายใจที่ไม่ใช่การเหนื่อยหอบเพราะการถูกจูบย้ำอย่างจาบจ้วง แต่มันคือเสียงหอบหายใจจากอาการ ‘แพนิค’ ที่จู่ๆ ก็กำเริบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งยังไม่ทราบด้วยว่ามันเกิดขึ้นมานานแค่ไหน
เพราะผมมัวแต่หลงระเริงอยู่ในห้วงแห่งความปรารถนามากจนเกินไป

“จันทร์..” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายพลางแตะปลายนิ้วลงตรงข้างแก้มที่เปื้อนหยดน้ำตาเพียงเบาๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่ดิ้นรนอย่างเหนื่อยหอบด้วยท่าทางน่าสงสาร
“เดี๋ยวจันทร์ค่อยๆ หายใจเข้าตามจังหวะที่พี่นับนะ” ผมเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับรู้สึกถึงความอุ่นร้อนของกระบอกตาที่ค่อยๆ ส่งผลให้ภาพตรงหน้าเริ่มจะพร่าเบลอลงเรื่อยๆ

“หนึ่ง”
“…”

“สอง”
“…”

“สาม” เสียงของผมเริ่มสั่นเครือและแหบแห้งลงทุกขณะ ราวกับการนับตัวเลขแต่ละตัวค่อยๆ พรากความสุขไปจากผม เพราะอะไรบางอย่างสะกิดใจจนผมพร้อมจะแตกสลายไปกับคนตรงหน้า
“สี่” กระทั่งนับถึงสี่อาการของจันทร์ก็ยังไม่ดีขึ้น ผมจึงส่งสัญญาณให้เขากลั้นหายใจเป็นเวลา 7 วินาที จากนั้นก็ต่อด้วยการหายใจออกอีก 8 วินาที แล้วก็ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอาการของจันทร์เริ่มดีขึ้น ผมก็นอนหลับตาอยู่ข้างๆ จันทร์พลางกุมมือของเขาเอาไว้ ส่วนในหัวก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าผมจะเริ่มสอบถามประเด็นไหนก่อนดี

“ขอโทษนะจันทร์” ผมเอ่ยพลางพลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนข้างกาย
“จันทร์..” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบจากนั้นก็หยุดบทสนทนาลง คล้ายกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี

“…”
“จันทร์เริ่มก่อนเอง พี่ภัทรอย่าคิดมากนะครับ” เด็กชายตรงหน้ากล่าวพลางขยับใบหน้าเข้ามาชิดใกล้

“อื้อ” ผมตอบรับพลางครุ่นคิดต่อไปว่าผมควรจะถามในสิ่งที่อยากจะรู้ต่อไปดีหรือเปล่า
“…”

“ที่จริงแล้ว.. พี่รู้สึกตัวทุกครั้งที่จันทร์เข้ามาในห้องนี้”
“…”

“จันทร์กำลังเครียดอะไรอยู่ หืม? พอจะบอกพี่ได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามพลางจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาอันสั่นไหวของคนตรงหน้า ฝ่ามืออันไร้เรี่ยวแรงของผมจึงค่อยๆ เลื่อนเข้าไปลูบไล้เรือนผมนุ่มอย่างปลอบใจ
“จันทร์จำได้ว่าหลายๆ ครั้ง ที่จันทร์ตื่นขึ้นมากลางดึก จันทร์จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง”

“หมายถึงยังไงเหรอจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามเพื่อให้อีกฝ่ายขยายความให้มากกว่านี้
“บางครั้งจันทร์ก็ใส่ชุดนอนของใครก็ไม่รู้ บางครั้งจันทร์ก็ขึ้นไปซุกตัวอยู่บนเตียงเล็กๆ ตรงหัวเตียง ทั้งๆ ที่จันทร์จำได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงข้างล่าง แล้วบางคืนจันทร์ก็หยิบโน๊ตบุ๊กจากที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาพิมพ์ จันทร์แต่งนิยายไม่เป็นด้วยซ้ำพี่หมอ แถมบางครั้งจันทร์ก็เจ็บตัวแบบไม่รู้สาเหตุ จันทร์ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เกิดจากอะไร จันทร์กลัว จันทร์สับสน จันทร์นอนไม่หลับ แล้วจันทร์ก็เครียดมากๆ” อีกฝ่ายพูดระบายออกมาอย่างหมดเปลือก ขณะที่สีหน้าก็บ่งบอกชัดเจนว่า ณ เวลานี้ เขากำลังเคร่งเครียดกับเรื่องราวเหล่านี้มากแค่ไหน ขณะที่ผมก็ได้รับคำตอบอย่างกระจ่างแจ้งโดยไม่ต้องถามหาเอาความอะไรอีก เพราะผมเข้าใจดีแล้วว่าจันทร์กำลังประสบปัญหาในเรื่องของความทรงจำ อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากมายแค่ไหน
ซึ่งอัตลักษณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบดังกล่าว ก็คืออัตลักษณ์ของ ‘คุณนักเขียน’ ที่ช่วงนี้มักจะออกมามีบทบาทมากกว่าน้องลี

“จันทร์พี่ขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหม ?” ผมนิ่งคิดอยู่นานจากนั้นก็เริ่มเกริ่นนำอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะประเด็นต่อไปมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของจันทร์และตัวผมเอง
“ครับ”

“ตอนที่พี่จูบ จันทร์รู้สึกยังไงเหรอ ?”
“…”

“รังเกียจแล้วก็ขยะแขยงใช่หรือเปล่า?” เมื่อจันทร์ไม่ยอมตอบคำถามผมสักที ผมก็ต้องเป็นฝ่ายกลั้นใจถามขึ้นมาอีกครั้ง
“อื้อ” จันทร์ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในลำคอ คล้ายกับอีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ในคราแรกเลือกจะพูดปดออกมาเพื่อให้ผมสบายใจ

“แล้วจันทร์เห็นภาพเหมือนคนกำลังร่วมรักอยู่ในหัวด้วยหรือเปล่า ?” ผมตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยหัวใจที่กำลังเต้นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้
เพราะผมเฝ้าแต่ภาวนาว่าคำตอบที่จะได้ฟังต่อจากนี้คือคำว่า ‘ไม่’

“ครับ”

สิ้นคำตอบรับอันแผ่วหวิวก็ราวกับหัวใจของผมเริ่มจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เหตุเพราะคำตอบนั้น คือคำตอบที่ยืนยันได้ดีว่า..
ในอดีต..
จันทร์อาจเคยถูกใครสักคนล่วงละเมิดทางเพศ


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคไบโพลาร์
 https://goo.gl/jPDB5D
- เทคนิคการหายใจบรรเทาแพนิค
 https://goo.gl/vbc12S
- วิธีการพยากรอากาศโดยไม่ต้องพึ่งกรมอุตุ
 https://goo.gl/cyrxBR

ในที่สุดก็เขียนมาจนถึงครึ่งทางแล้วจ้า ปรบมือให้ตัวเอง คิดว่าจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ยากมาก 555 จริงๆ ประเด็นหลักของตอนนี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้เราเลือกที่จะเขียนน้องจันทร์ออกมาแบบนี้ เพราะไม่อย่างนั้นหมอจะจับสังเกตได้ยาก เพราะหมอไม่มีทางเริ่มก่อนแน่นอน เนื่องจากหมอคิดว่าน้องยังเด็ก จะเห็นได้จากการที่หมอจูบลูกสนแทนการจูบน้องนั่นแหละ และที่สำคัญคือประเด็นนี้เราได้เขียนปล่อยมาหลายตอนแล้วว่า DID มันเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง รวมไปถึงเหตุผลของการสร้างอัตลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมา ก็ย่อมมีความหมายด้วยเช่นกัน
เราขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาคอมเมนต์มากๆ เลยค่ะ กำลังใจชั้นดีในการปั่นเลยทีเดียว และมันช่วยให้เราเขียนสนุกขึ้นด้วย เพราะเรื่องนี้เราต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ 555 และถ้าหากใครสนใจเรื่องราวแนวจิตวิทยา ก็สามารถติดตามได้ที่เรื่อง fall in you นะคะ ช่วงตอนพิเศษเรามีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิทยาเอาไว้บ้าง แต่ไม่ได้ลึกซึ้งมากเท่ากับเรื่องในป่าสน
ส่วนสาเหตุที่เราเลือกที่จะเขียนใส่รายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ มันเป็นเพราะโรคนี้หลายๆ คนน่าจะเข้าใจลักษณะอาการของมันแบบผิดๆ เยอะเลยแหละ

เปลือกของลูกสนในเวลาที่มันแห้งก็จะบานแบบซ้ายมือ แต่ถ้าเปียกก็จะหุบแบบขวามือค่ะ
(https://bhoomplay.files.wordpress.com/2010/09/100904_acorn2.jpg)

ที่มา : https://bhoomplay.wordpress.com/2010/09/08/pinecone/
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 19 ❀ หน้า 2 (update 07/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 07-06-2018 21:49:12
ตอน 19

เช้าวันเดินทางแบบนี้ แม้ผมจะไม่ต้องรีบร้อนมากนัก แต่ก็เหมือนร่างกายจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี ผมถึงได้มานอนลืมตามองเพดานอยู่แบบนี้ ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนไม่ได้นอนอยู่คนเดียว สายตาจึงหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของคนที่ในตอนนี้กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย ซึ่งผมลองคาดคะเนความน่าจะเป็นดูแล้ว ว่าเมื่อคืนนี้กว่าอีกฝ่ายจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราก็คงใช้เวลาไม่นานนัก เนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเป็นเวลานานทำให้จันทร์ไม่อาจจะต้านทานได้
ผมขยับตัวเพียงเล็กน้อย จึงทราบว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันแน่น คล้ายกับมันคือความอุ่นใจเดียวที่สามารถปลอบขวัญจากเรื่องราวเลวร้ายให้กลายเป็นฝันร้ายเพียงชั่วข้ามคืน
และนั่นก็ถือเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า..
เมื่อคืนนี้ ไม่มีอัตลักษณ์ใดถือโอกาสตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเอง

ผมเบนสายตาออกไปยังนอกหน้าต่างพบว่าท้องฟ้ายังคงมืดมิด บ่งบอกถึงช่วงเวลาเช้ามืดของวันใหม่ ผมจึงถือโอกาสนี้เริ่มใช้สมองคิดวิเคราะห์เหตุการณ์เมื่อตอนกลางดึกอย่างละเอียด โดยคิดย้อนไปถึงคืนวันที่จันทร์ล่วงล้ำเข้ามายังห้องนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งในคืนดังกล่าวผมยังจดจำความรู้สึกของตัวเองได้ดีว่ากำลังลุ้นระทึกมากแค่ไหน
และในคืนนั้นจันทร์ก็เอาแต่นอนมองหน้าผมอย่างชื่นชม
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแตะสัมผัสลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

ส่วนครั้งถัดมาก็เป็นอีกครั้งที่จันทร์สร้างความระทึกใจในยามค่ำคืน แต่กระนั้นผมก็ยังทำเนียนใส่อีกฝ่ายได้อย่างแยบยล ส่งผลให้ใครบางคนใจกล้าจนถึงขั้นใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
จนผมคิดดีไม่ได้เลย..
แต่ถึงอย่างนั้น เสี้ยวหนึ่งของความคิดก็สั่งให้ผมมองหาวิธีในการรับมือ

กระทั่งกลางดึกคืนวาน เกิดเหตุการณ์ที่อดีตเด็กชายผู้แสนขี้อาย บุกเดี่ยวเข้ามาหาผมถึงห้องพักเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้ก็อาจหาญมากกว่าครั้งใด
ส่งผลให้กว่าจะรู้ตัวอีกที..
ผมก็ถูกรุกไล่จนสัญชาตญาณดิบพลุ่งพล่าน

ทว่าสถานการณ์เมื่อคืนวานนี้แตกต่างกับคืนก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยรุกไล่อีกฝ่ายจนสุดตัว แต่เมื่อคืนสติสตังขาดสะบั้นจนเกินจะควบคุม ทำให้ผมมองเห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ผมจึงรีบมุ่งประเด็นไปยังเรื่องราวอันน่าเศร้าสลด เนื่องจากหากจันทร์เป็นฝ่ายเริ่ม อาการแพนิคก็จะไม่เกิด แต่ถ้าหากผมคือฝ่ายเริ่มหรือตอบสนอง อาการแพนิคกลับทวีคูณอย่างรวดเร็ว
โดยที่เสี้ยววินาทีหลังจากการซักถามเสร็จสิ้น..
ภาพของคุณชลวิทย์ก็แจ่มชัดอยู่ในหัว

แต่กระนั้นกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์จะมีประสิทธิภาพเพียงแค่นี้เหรอ? ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะเท่าที่ศึกษาจากเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน เขาจะมีอัตลักษณ์สำหรับ ‘ควบคุมการออกโรง’ หรือพูดให้เห็นภาพก็คงจะเป็น.. การกำหนดให้ใครสักคนที่อาศัยอยู่ในร่างเดียวกันออกมารับมือกับเหตุการณ์ในขณะนั้น
ซึ่งอัตลักษณ์ของ ‘คุณอาเธอร์’ จะรับหน้าที่ดังกล่าวร่วมกับอัตลักษณ์ของ ‘คุณเรเกน’ ที่เป็นผู้พิทักษ์ปกป้อง ดังนั้นหากร่างกายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อันตราย รวมถึงต้องใช้ความฉลาดและเหตุผลเป็นสิ่งสำคัญ คุณอาเธอร์จะเป็นคนออกโรงควบคุมสถานการณ์ด้วยการเลือกสรรอัตลักษณ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ให้ออกมารับมือ แต่ถ้าหากเป็นสถานการณ์ที่อันตราย เช่น การใช้ชีวิตในคุก คุณเรเกนจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด

ดังนั้นในกรณีของจันทร์ ผมคิดว่าถ้าหากผู้กระทำคือคุณชลวิทย์จริงๆ เขาน่าจะโดนคุณนักเขียนจัดการไปนานแล้ว เพราะรายนั้นน่ะ แค่จันทร์ล่วงเกินผมด้วยการหอมแก้มเพียงครู่เดียวก็ถึงกับด่าทอผมจนเสียหาย
แต่ถ้าหากเป็นการข่มขืนกระทำชำเราล่ะ?
คุณนักเขียนไม่กระทืบคู่กรณีจนตายเลยเหรอ ?

พอคิดได้แบบนี้ผมก็อดจะนึกไปถึงช่วงเวลาที่น้องลีออกมาสู้รบปรบมือกับคุณชลวิทย์ไม่ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความหวาดกลัว ดังนั้นอัตลักษณ์ผู้พิทักษ์ จึงถูกโยนมาให้สาวน้อยในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่
แต่ก็แปลกอยู่อย่าง.. เพราะหลายวันที่ผ่านมา จันทร์สามารถควบคุมอัตลักษณ์ต่างๆ ไม่ให้ออกมาใช้ชีวิตได้

“เฮ้ย!” ความคิดทั้งหลายพลันกระจัดกระจายในทันที เมื่อใครบางคน จู่ๆ ก็แหกปากลั่น จนผมต้องออกท่าทางพร้อมกับส่งเสียง ชู่วๆ เพียงเบาๆ เพื่อให้เขาหยุดการกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในภายหลัง เพราะเวลานี้ร่างกายของจันทร์กำลังล่วงล้ำเข้ามายังห้องนอนของผม อีกทั้งยังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเดียวกัน
หากคุณชลวิทย์ตื่นตกใจเพราะเสียงเมื่อครู่ขึ้นมา..
เกรงว่าทุกอย่างคงจบเห่แน่!

“คุณนักเขียน ใจเย็นๆ นะครับ ไม่ต้องตกใจนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก สัญญาเลยครับ” ผมกล่าวพลางขยับตัวออกห่างจากอีกฝ่ายที่มีท่าทีแปลกไปจากเดิม ซึ่งท่าทีที่ว่าก็คือ ‘ความตกใจ’ และนั่นก็เป็นข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ราวกับเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวตรงหน้า ดังนั้นผมจึงอาศัยความเชื่อบางอย่างที่ได้มาจากการศึกษาเคสของคุณบิลลี่
เพราะเท่าที่ผมจำได้..
‘คำสัญญา’ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออัตลักษณ์อื่นๆ ค่อนข้างมาก 

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแตกต่างกับจันทร์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งน้ำเสียงดังกล่าวคล้ายกับน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ เดาว่าเขาน่าจะอายุมากกว่าจันทร์พอสมควร แต่อาจจะน้อยกว่าผมไม่มากนัก
เนื่องจากสำนวนการเขียนดูสละสลวยเกินกว่าจะเป็นฝีมือของเด็กอายุ 15

ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด เพราะเคสของ ‘คุณคิมโนเบล’ ยังมีอัตลักษณ์หนึ่งที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่กลับพูดภาษาฝรั่งเศส และยังเขียนเป็นภาษาลาตินได้ ทั้งๆ ที่ตัวตนหลักสามารถพูดได้แค่ภาษาอังกฤษ
ดังนั้นสำนวนของคุณนักเขียน ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด

“เพราะทุกอย่างที่เป็นคุณ..”
“…”

“ไม่เหมือนกับจันทร์ที่ผมรู้จัก” ผมตอบพลางอมยิ้ม ขณะที่จ้องมองไปยังเพดานอันมืดสนิท เพื่อทดแทนการเฝ้ามองใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง
“…”

“คุณชื่ออะไรครับ ? ผมจิรภัทรนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เมื่อสบโอกาสเหมาะ ผมก็เริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“พีรวัตร” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ห้วนๆ ไม่มีความนุ่มนวลเหมือนกับจันทร์ ซึ่งคำตอบของเขาทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่จันทร์เคยพูดถึงนักเขียนที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณชลวิทย์
และในวันนั้นจันทร์ก็เอ่ยเรียกใครคนนั้นว่า..
‘พี่พี’

“คุณอายุเท่าไหร่ครับ ? ผม 30 แต่ก็ใกล้จะ 31 แล้วล่ะ”
“27”

“คุณมีพี่น้องหรือเปล่า ส่วนผมเป็นลูกคนเดียว แต่ก็ไม่ค่อยจะเหงาสักเท่าไหร่” ผมเริ่มถามคำถามต่อไป ขณะที่ตัวเองก็ต้องยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอีกฝ่าย
“ทำไม ?”

“ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทอยู่หนึ่งคน มันชอบกวนตีนแล้วก็ชอบวุ่นวายกวนประสาทอยู่บ่อยๆ” ผมเฉลยพร้อมกับอมยิ้ม เมื่อนึกไปถึงไอ้บาสญาติผู้น้องที่สนิทสนมกันมาก จะมีก็แต่ช่วงนี้ที่เราห่างๆ กัน ซึ่งสาเหตุก็มาจากตัวผมที่เป็นฝ่ายปลีกตัวออกห่าง เพราะต้องการใช้เวลาทั้งหมดไปกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านกลางป่าสน
“ผมก็ลูกคนเดียวเหมือนกัน”

“แล้วคุณเหงาหรือเปล่า ?”
“ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาไปกับการเขียนนิยายมากกว่า” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการยกมือทั้งสองข้างสอดเข้าใต้ศีรษะ ขณะที่สายตาก็มองตรงไปยังเพดานกว้างที่สะท้อนแสงสว่างจากภายนอกมากขึ้นทุกที ทุกที..

“แล้วเรื่องที่คุณเขียนมาจากประสบการณ์ของคุณเองหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น
“ไม่หรอก ผมก็เขียนไปตามเรื่องราวที่เคยได้ยิน” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมนึกฉงนใจ

“หมายถึงยังไงครับ คุณได้ยินมาจากใคร ?”
“ก็หลายๆ คน” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่คิดจะขยายความ ซึ่งคำว่า ‘หลายๆ คน’ ในที่นี้ ผมสามารถตีความได้ไหมว่า..
เรื่องราวที่เขาเขียน..
มันคือเรื่องราวที่ได้ยินมาจากอัตลักษณ์อื่นๆ

“น้องลีน่ะเหรอ ?”
“อืม” เขาตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ โดยไม่แสดงอาการสงสัยว่าทำไมผมถึงล่วงรู้การมีอยู่ของอัตลักษณ์น้องลี ดังนั้นจึงเป็นคำตอบได้ดีว่าพวกเขารับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ.. ‘หลายๆ คน’ ในที่นี้ สามารถตีความได้ว่า..
ยังมีอีกหลายอัตลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ และมันก็มากกว่า ‘สอง’ ใช่หรือไม่?

การพบกันครั้งแรกที่นานที่สุดของผมกับคุณนักเขียนทำให้ผมยังไม่กล้าละลาบละล้วงมากนัก เพราะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขายอมพูดดีกับผม ดังนั้นผมอยากจะอาศัยช่วงเวลานี้ ทำความรู้จักกับเขาก่อน
เพื่อที่ในอนาคต เขาจะได้ให้ความวางไว้ใจในตัวผม

“คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าตัวตนของคุณ อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยใครสักคน ?” ผมเลือกถามอ้อมโลก แต่คนฉลาดอย่างเขาน่าจะเข้าใจความหมายทางตรงได้ไม่ยาก
“ผมเป็นนักเขียนและนักเขียนก็มีจรรยาบรรณ” คำตอบของเขาเล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก

“คุณหมายถึงยังไง พูดตามตรง ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“การหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนจะเขียนนิยายสักเรื่อง ผมคิดว่ามันคือความรับผิดชอบและเป็นจรรยาบรรณที่นักเขียนควรจะมี” คำตอบของเขาทำให้ผมเริ่มกระจ่างแจ้งและเห็นด้วยกับความคิดของเขา เพราะส่วนใหญ่นักอ่านจะจดจำได้ดีก็ต่อเมื่อ เรื่องนั้นๆ ถูกสอดแทรกอยู่ในหนังสือประเภทนิยาย

“แสดงว่าคุณก็เข้าใจโรค DID ?” ผมเลือกใช้ชื่อย่อของตัวโรคในการตั้งคำถาม เพื่อทดสอบว่าเขาเข้าใจสถานภาพของตัวเองดีแค่ไหน
“อืม” และคำตอบสั้นๆ ก็ไขความกระจ่างให้ผมได้อีกครั้ง

“ครั้งแรกที่คุณมีโอกาสออกมาใช้ชีวิตในแบบของคุณ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ?”
“หลังจากที่เกิดเรื่องนั้น.. เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด” เขาตอบอย่างเลื่อนลอยจนใจของผมรู้สึกเคว้งคว้างตามไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือคนที่ได้รับความเจ็บปวดมากที่สุดใช่หรือเปล่า?” ผมทอดเสียงถามอย่างสั่นไหว เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่อาจรู้แน่ชัด กลับทำให้ผมสะเทือนใจ ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างที่ว่า ก็คือภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังคงปะปนอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัด และทุกครั้งที่ได้นึกถึงผมก็มักเจ็บแปลบอยู่ในอก
เนื่องจากผมล่วงล้ำเข้าสู่อาณาเขตแห่งจิตใต้สำนึกของจันทร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว

“ไม่หรอก ยังมีคนที่เจ็บปวดมากกว่านั้น” เขาปฏิเสธอย่างฉะฉาน
“คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเขาเป็นใคร ?”

“คุณเคยเจอเขาแล้ว” คุณนักเขียนเฉลยเพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไป คล้ายกับไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ ขณะที่ผมกำลังนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
เพราะเท่าที่ผมจำได้ นอกจาก ‘น้องลี’ และ ‘คุณพีรวัตร’ ผมก็ยังไม่เคยเจอะเจอใครอีก
แล้วทำไม..? เขาถึงบอกว่าผมเคยเผชิญหน้ากับใครคนนั้นแล้ว?

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่จะไปถามหาเอาความในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจู่ๆ คุณนักเขียนก็ตีจากไป และนั่นก็ทำให้การพักผ่อนของจันทร์เป็นไปอย่างเงียบสงบ คล้ายกับทุกๆ ตัวตนกำลังต้องการช่วงเวลาของการหลับใหล ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งคุณชลวิทย์ขับรถออกไปตั้งแต่ไก่โห่ จากนั้นเวลาในแต่ละวินาทีก็ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไป ส่งผลให้ผมไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป จึงเดินออกไปหยิบโพสต์อิทตรงคอนโซลรถเพื่อเขียนข้อความบอกใครอีกคนที่คงจะใช้เวลาพักผ่อนอย่างยาวนาน
ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว..
อาจเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเจ้าตัวก็เป็นได้

ทว่าหลังจากผมได้พูดคุยกับคุณพีรวัตร ผมกลับรู้สึกว่า ‘คำสัญญา’ มีอานุภาพแรงกล้ามากจริงๆ เพราะมันทำให้ความเชื่อใจก่อเกิดขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยการเปิดใจ จึงทำให้ผมสามารถยอมรับกับตัวเองได้ว่า ผมเริ่มรู้สึกเบาใจในเรื่องความปลอดภัยของจันทร์ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีใครอีกหลายคนพร้อมจะปกป้องจันทร์อยู่
และผมก็คิดว่าผม น่าจะเชื่อใจพวกเขาได้..
หรืออย่างน้อย ก็ ‘เชื่อใจ’ จนกว่าผมจะสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่

การเดินทางไปยังอำเภอสะเมิงกว่าจะถึงก็ประมาณบ่ายโมงกว่า เพราะผมออกจากบ้านกลางป่าสนช้ากว่าที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถือโอกาสเข้าไปเช็คอินและนำสัมภาระไปเก็บที่ห้องพัก จากนั้นก็แวะหาอะไรกินรองท้อง เพราะช่วงสายผมซื้อแต่ของกินกระจุกกระจิกจำพวกแซนวิชที่มันโคตรไม่อิ่ม แต่ทว่าตอนนั้นผมกินอะไรไม่ค่อยลงถึงได้ละเลยตัวเอง
หรือพูดง่ายๆ ก็คือผมเครียดจนไม่อยากกินอะไรสักอย่าง
แต่ที่ต้องกินก็เพื่อความอยู่รอด

กระทั่งอิ่มท้องในยามบ่าย ผมก็มุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่บ้านวัดจันทร์ ซึ่งเป็นถนนลาดยางตัดผ่านป่าสน ท้องนา และลำห้วย โดยการเดินทางท่ามกลางธรรมชาติเคล้าเสียงเพลงบรรเลง นับว่าช่วยลดความตึงเครียดไปได้มาก
เมื่อถึงเขตบ้านอมลอง ผมกลับมองไม่เห็นแม้แต่เก๊กฮวยสักดอก เนื่องจากฤดูกาลของมันเริ่มตั้งแต่ปลายตุลาคมจนถึงกลางเดือนธันวาคม แต่เดือนที่บานเยอะที่สุดคือเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนที่ผมเคยมาเยือนที่นี่เมื่อนานมาแล้ว และอะไรๆ ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะ พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดจะวาดภาพแห่งจินตนาการขึ้นมาไม่ได้ว่าในช่วงเวลานั้นผมกับจันทร์เคยเจอกันโดยบังเอิญบ้างหรือเปล่า แต่ถึงจะเคยผมก็คิดว่าอย่างไรแล้วเราคงจำกันไม่ได้
เพราะเวลามันก็ผันผ่านมาหลายปีแล้ว 
ตอนนี้ผมถึงได้หลงทางเพราะความมั่นหน้าอยู่นี่ไง

ผมปาดเข้าข้างทางพลางกางแผนที่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน เนื่องจากแผนที่ที่ดีที่สุดคือหนังสือนิยายของคุณพีรวัตร ซึ่งผมถ่ายข้อความสำคัญที่บ่งบอกเส้นทางเอาไว้ในโทรศัพท์ตอนก่อนจะออกจากโรงแรม จากนั้นผมก็เริ่มจับสังเกตทีละจุด แต่ทว่าบริเวณนี้กลับมีแต่ไร่เก๊กฮวยที่ยังไม่ออกดอก รวมไปถึงไร่นาอีกหลายแปลง และยังมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าตลอดข้างทาง มิหนำซ้ำหากมองไกลออกไปจะเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ทางขวามือ เพราะเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่นักท่องเที่ยวนิยม ซึ่งทุกอย่างมันก็เหมือนๆ กันหมด จนผมเริ่มตะแยกไม่ออกแล้ว ว่าผมควรจะเพ่งเล็งไปยังจุดใด เนื่องจากทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ซ้ำยังเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่าเรื่องเล่าจากความทรงจำของใครคนนั้น เกิดจากจิตไร้สำนึกที่ยังถูกกักขังอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน
และเรื่องเล่าที่ว่า..
ก็มาจากอัตลักษณ์ของน้องลี

ผมถอดใจต่อการเทียบเคียงใดๆ เลยตัดสินใจขับวนต่อไปเรื่อยๆ เพราะถึงอย่างไรถนนมันก็ต้องมีทางออกอยู่แล้ว และนั่นก็ทำให้ผมได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์
ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่าก็คือ..
ทุ่งดอกเก๊กฮวย 

ใช่แล้ว เดือนกรกฎาคมแบบนี้จะต้องไม่มีไร่เก๊กฮวยที่กำลังบานสะพรั่ง ซึ่งแวบแรกที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด และความคุ้นเคยที่ว่าก็ไม่ใช่เพราะไร่นี้คือไร่ที่ผมเคยมา แต่มันคือการเชื่อมโยงกับทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ ที่จู่ๆ ก็มาขยายพันธุ์ในประเทศไทย และจากคำให้การของคุณชลวิทย์ตอนสารภาพเรื่องแคปกราส์แบบจอมปลอม
ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า..
ไร่เก๊กฮวยแห่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ท่ามกลางป่าสนเป็นแน่

“คุณป้าครับ ผมรบกวนสอบถามทางหน่อยครับ” ผมลงจากรถพลางเดินลุยแปลงเก๊กฮวยสีขาวที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ
“ว่าไงรึพ่อหนุ่ม หลงทางมาอีกรายแล้วสิ” คุณป้าที่ในคราแรกกำลังก้มหน้าเก็บดอกเก๊กฮวยลงตะกร้า ลุกขึ้นยืนพลางเช็ดมือบนเสื้อผ้าปอนๆ ของเธอ

“ผมมาหาคนในรูปน่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหลงทางเข้าให้แล้ว แถมผมก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอด้วย” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มบางๆ ขณะที่คุณป้าแน่นิ่งไปหลังจากเพ่งพิจารณารูปที่ผมแอบเข้าไปถ่ายในห้องของน้องลี
“พ่อหนุ่ม คนในรูปเธอเสียไปนานแล้วล่ะ ส่วนที่ดินตรงนั้นกลายเป็นที่นาของใครป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” คุณป้าตอบพลางตั้งท่าจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ขณะที่ผมก็ไม่รู้จะเอ่ยถามออกไปอย่างไรเพื่อให้ทราบว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้น อีกทั้งยังต้องงุนงงหนักมากที่พื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นที่นาของใครก็ไม่รู้
ทั้งๆ ที่ในอินเตอร์เน็ตต่างก็พูดกันว่า..
ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้พื้นที่ตรงบริเวณนั้นเลย

“ผมขอซื้อดอกเก๊กฮวยกลับไปฝากคนที่บ้านได้ไหมครับ ?”
“เอาสิพ่อหนุ่ม” คุณป้ากล่าวพลางกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นท่านก็สาธิตการเก็บดอกเก๊กฮวยให้ผมดู ซึ่งท่านจะย้ำเสมอๆ ว่าต้องเก็บทีละดอก กระทั่งหลักสูตรเร่งรัดที่ไม่ได้ยากเย็นผ่านพ้นไป ผมก็เลือกมุมเหมาะๆ เป็นมุมฝั่งตรงข้ามของท่าน เพื่อที่เวลาถามจะได้คอยสังเกตปฏิกิริยาไปด้วย

“คุณป้าครับ ไม่ทราบว่าท่านเสียเพราะอะไรหรือครับ พอดีผมเพิ่งจะย้ายกลับมาอยู่ไทยได้ไม่นานก็เลยไม่ทราบข่าวนี้”
“ไฟไหม้น่ะ” สิ้นคำตอบของคุณป้า หัวใจของผมก็เต้นระรัวคล้ายกับเจอขุมทรัพย์ที่กำลังค้นหา

“แล้วลูกๆ ของเธอล่ะครับ ผมอยากติดต่อกับพวกเขา” ผมเอ่ยถามพลางก้มเก็บดอกเก๊กฮวยไปเรื่อยๆ ขณะที่หางตาก็คอยเหลือบมองท่าทางของคุณป้าที่ดูชะงักงันไปพักหนึ่ง
“ก็..”

“เสียยกครอบครัวนั่นแหละจ้ะ” ท่านกล่าวอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย บ่งบอกถึงท่าทีที่ไม่ค่อยอยากจะปริปากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก อีกทั้งยังส่อแววพิรุธแบบแปลกๆ คล้ายกับว่ายังมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่ที่แน่ๆ สองบ้านนี้จะต้องรู้จักแบบไปมาหาสู่กัน

“…” ผมยกยิ้มแกนๆ ส่งไปให้คุณป้าด้วยไม่รู้จะต่อบทสนทนาอย่างไร เนื่องจากผมมั่นใจว่าภาพของผู้หญิงสวยๆ คนนั้นจะต้องเป็นภาพของคุณแม่ของจันทร์กับน้องลีแน่ๆ ซึ่งคนที่เสียไปก็มีแค่น้องลีกับคุณแม่
ส่วนจันทร์ในตอนนั้นล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่!

“คุณป้าปลูกต้นเก๊กฮวยยังไงหรือครับ ทำไมถึงออกดอกก่อนฤดูกาลเยอะขนาดนี้ ?” ผมเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ยังคงเป็นคำถามที่น่าจะช่วยให้ผมรับรู้อะไรไม่มากก็น้อย
“ความลับจ้ะ” คุณป้าตอบอย่างขี้เล่น ผมจึงย่นจมูกเพียงเล็กน้อยพร้อมกับยกยิ้มให้ท่านเพียงเบาๆ

“จริงๆ พี่ชายของป้าเป็นคนคิดค้นสูตรลับนี้ขึ้นมา”
“เก่งจังเลยครับ” ผมกล่าวชมจากใจจริง เพราะผมคิดว่ามันน่าจะทำได้ยาก ไม่อย่างนั้นเมืองไทยคงจะมีดอกไม้สวยๆ ทุกฤดูกาลไปแล้ว

“ใช่จ้ะ แต่ก่อนพี่ชายป้าเคยทำงานอยู่ที่ไร่ปานรวี”
“ไร่ในตัวเมืองเชียงใหม่ที่เปิดร้านอาหารด้วยใช่ไหมครับ ?” ผมเอ่ยถามพิกัดเนื่องจากชื่อไร่มันคุ้นหูเอามากๆ แล้วอีกอย่างไร่นี้ก็เหมือนจะเป็นไร่ของครอบครัวไอ้แนน
ซึ่งเพื่อนผมคนนี้ก็เป็นลูกผู้ดีเก่าเหมือนกับคุณแม่ของจันทร์

“ป้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันจ้ะ แต่เขาไปทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ อีกอย่างสูตรนี้พี่ชายป้าก็ช่วยกันคิดกับพวกหลานๆ” สิ้นคำอธิบายเรียบเรื่อยหัวใจของผมก็เต้นระส่ำไม่หยุด เมื่อตัวเองเริ่มเข้าใกล้เส้นชัยขึ้นมาอีกขั้น
“หลานของคุณป้าต้องเก่งมากแน่ๆ เลยครับ ไม่เหมือนกับหลานของผม วันๆ ไม่ค่อยอยู่กับบ้านสักเท่าไหร่ โน่นแน่ะไปตามหาได้จากในห้าง” ผมกล่าวพลางยกยิ้มซึ่งเรื่องที่ผมพูดล้วนมีแต่ความจริง เพราะหลานของผมมันดื้อจริงๆ แต่ก็ดีที่มันไม่ได้ทำตัวเหลวไหล เพราะอย่างน้อยก็หายหัวไปเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำเอาเจอหน้าพี่พลอยทีไรพี่แกบ่นให้ผมฟังตลอด

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะ เจ้าวิทย์มันหัวดีแค่เรื่องเกี่ยวกับดอกไม้นี่แหละ” คุณป้ากล่าวอย่างถ่อมตัว
“แล้วหลานของคุณป้าไปไหนล่ะครับ ผมอยากจะเห็นหน้าคนเก่งสักหน่อย เผื่อจะได้ประจบขอสูตรลับกับเขาบ้าง”

“ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วล่ะจ้ะ ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่หรอก” สิ้นคำตอบของคุณป้า ก็เหมือนกับว่าทุกความสงสัยถูกลากเส้นเชื่อมโยงเข้าหากันโดยที่ผมแทบไม่ต้องเอ่ยถามอะไรอีก
เพราะผมมั่นใจว่า ‘วิทย์’ ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการเพาะพันธุ์ดอกไม้
จะต้องเป็น ‘คุณชลวิทย์’ ที่ผมรู้จักอย่างแน่นอน


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

สรุปใครทำน้องจันทร์ แล้วใครคือคนที่รับความเจ็บปวดของทุกๆ คน แล้วออกมาตั้งแต่ตอนไหนนะ ?
ปล. สำหรับข้อมูลในตอนนี้ บางอย่างเราหาอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณบิลลี มิลลิแกน เราเพิ่งไปซื้อมาได้เมื่อวานนี้สดๆ ร้อนๆ เพราะเราเพิ่งรู้ว่ามันมีหนังสือเล่มนี้อยู่ เอาไว้เราเขียนเรื่องนี้จบค่อยให้เครดิตและแนะนำคนที่สนใจอีกที ส่วนสาเหตุที่เราซื้อมาอ่านเพราะเราอยากรู้บางอย่างที่ทางเน็ตไม่มีบอก และเราก็ได้ข้อมูลยิบย่อยมาเยอะแยะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่อยู่ลึกลงไปจากบทความที่หาอ่านมา แต่ทั้งนี้ตัวละครของเราก็ดีไซน์ขึ้นมาเอง ที่แตกต่างกันคือบิลลีจะจดจำเรื่องราวเลวร้ายได้ (แต่เรายังอ่านไม่จบเล่ม ไม่แน่อาจจะคดีพลิกได้) แต่ช่วงเวลาของเขาจะหยุดอยู่แค่ความทรงจำครั้งสุดท้าย คือมันจะไม่ปะติดปะต่อกัน เพราะบุคลิกอื่นได้เอาเวลาของเขาไป แต่ของน้องจันทร์ เราตีความเอาจากบทความหนึ่ง (med.mahidol.ac.th) ที่เขียนเอาไว้ 'เมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์ที่รุนแรงจึงมีกลไกป้องกันตัวเองเกิดขึ้น และตัดขาดจากตัวเอง ตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง เพราะรู้สึกไม่ชอบและไม่ยอมรับในตัวตนของตัวเอง จึงแสดงออกในอัตลักษณ์ที่แตกต่างออกไป' ส่วนการพูดคุยกันของแต่ละบุคลิก เดี๋ยวไว้เราจะเขียนถึงในตอนต่อๆ ไป แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาพูดคุยกันได้ โดยที่บุคลิกหลักจะไม่รู้เรื่องด้วยเลย และไม่เคยรู้ว่ามีอัตลักษณ์อื่นๆ ซุกซ่อนอยู่
และเราก็คิดว่า ช่วงตั้งแต่การรักษาเป็นต้นไป เราอาจจะขอไล่อ่านหนังสือให้จบก่อน ตอนนี้เราอ่านของบิลลีอยู่ แต่กะว่าจะอ่านของคิมโนเบลด้วย แต่หนังสือยังสั่งมาไม่ได้เลย เพราะตอนนี้ข้อมูลที่เราได้มาบางส่วนยังไม่กระจ่างมากเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 20 ❀ หน้า 2 (update 09/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 09-06-2018 02:27:05
ตอน 20

เมื่อวานผมขลุกตัวอยู่ที่ไร่เก๊กฮวยของคุณป้าจนกระทั่งทราบว่าบ้านทั้งหลังมีเพียงคุณป้าอาศัยอยู่ และท่านก็ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพอย่างหนัก เพราะดอกเก๊กฮวยกว่าจะเก็บได้แต่ละที ก็ต้องเก็บแค่ทีละดอก ส่งผลให้วันๆ หนึ่ง คุณป้าสามารถเก็บได้มากสุดเพียงสองตะกร้า พอวันนี้ได้ผมมาช่วยอีกแรง เลยได้เพิ่มเป็นสามตะกร้า ซึ่งเราตกลงกันว่าจะซื้อขายตามราคาปลีก คุณป้าก็เลยแนะนำให้ผมซื้อแบบที่อบแห้งแล้ว พร้อมกับมอบดอกสดๆ ให้ผมมาอีกหนึ่งกำมือ เพื่อเอาไปใส่รถ หรือไม่ก็วางไว้ในห้องนอน กลิ่นจะได้หอมๆ
หลังจากนั้นเราก็คุยกันด้วยเรื่องทั่วไป ทำให้ผมทราบว่าอันที่จริงแล้ว ต้นเก๊กฮวยปลูกไม่ยากนัก เพราะบางทีฝนตกใส่หน่อย มันก็ออกดอกเสียเยอะแยะ เลยทำให้พี่ชายและหลานชายของคุณป้าสามารถทำให้มันออกดอกนอกฤดูกาลได้ทีละมากๆ ซึ่งคุณป้ายังบอกอีกว่าสูตรนี้ป้าไม่ค่อยได้ใช้ เพราะการจะทำทั้งนาข้าวและไร่เก๊กฮวยในเวลาเดียวกันมันเป็นงานที่หนักเกินไป ผมจึงสอบถามไปว่าทำไมคุณป้าไม่ให้เพื่อนบ้านหรือจ้างใครมาช่วยทำดูแล เผื่อจะทุ่นแรงได้บ้าง ซึ่งท่านก็ส่งยิ้มบางๆ เป็นคำตอบ จึงทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะดูเหมือนว่าคุณป้าจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวซ้ำยังไร้ปฏิสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าคนในเขตบ้านอมลองไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้พื้นที่ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ คาดว่ามีสาเหตุมาจากการฆ่าตัวตายของหญิงสาวตระกูลผู้ดี
ผมจึงเริ่มเชื่อมโยงอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น..

โดยเริ่มจากข้อสันนิษฐานว่า พื้นที่ที่ผมกำลังตามหาอาจจะอยู่ในละแวกนี้ เพราะนาข้าวก็มีอยู่เยอะแยะพอๆ กับไร่เก๊กฮวย ประการที่สองคือผู้คนในละแวกนี้ไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่ดังกล่าว จึงทำให้คุณป้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนนาข้าวบนพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ จะเป็นของใครไปได้หากไม่ใช่ของคุณป้า
แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ อะไรทำให้ท่านเลี่ยงจะพูดความจริง?
หรือเป็นเพราะคุณชลวิทย์หลานชายของท่านและจันทร์ที่เป็นคนเคยรู้จัก?

อันที่จริงผมยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถามออกไป แต่ก็พอจะรู้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะ เลยตัดสินใจว่าอาจจะต้องกลับมาตามหาความทรงจำที่หล่นหายไปด้วยวิธีทางการแพทย์ เพราะถึงอย่างไรการหลอมรวมอัตลักษณ์ต่างๆ ก็ต้องแลกมาด้วยการปะติดปะต่อความทรงจำให้สมบูรณ์ โดยผ่านความร่วมมือของอัตลักษณ์ต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เมื่อตัวตนที่อาศัยอยู่ในร่างของจันทร์ ไม่ใช่ตัวตนนอกคอกสุดแสนจะดุร้ายหรือว่าดื้อดึงเหมือนกับเคสอื่นๆ สาเหตุก็เพราะการมีอยู่ของพวกเขายังไม่ได้สร้างความยากลำบากให้กับจันทร์
โดยสังเกตได้จาก.. การที่จันทร์เพิ่งจะทราบถึงความผิดปกติของตัวเอง
ดังนั้นปัญหาใหญ่ก็น่าจะอยู่ที่ความทรงจำเหล่านั้น เจ้าตัวพร้อมจะยอมรับมันหรือไม่

ขณะที่ตัวผมก็ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ให้มาก เพราะเอาเข้าจริงโรคนี้ยังเป็นโรคที่ทำให้จิตแพทย์แบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย
โดยฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อ และอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเชื่อ
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการบัญญัติหลักเกณฑ์การวินิจฉัยออกมาแล้วก็ตาม..

ด้วยความที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานนอกสถานที่ ซึ่งอันที่จริงมันคือวันที่ทางโรงพยาบาลให้โอกาสผมได้หยุดพักผ่อนจากการเดินทาง ทำให้ผมไม่ต้องรีบร้อนอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรข้อมูลที่ได้มาก็ถือว่ายืนยันได้มากพอแล้ว ดังนั้นผมจึงมีเวลาหลงเหลืออยู่อีกมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรีบเช็คเอาท์ เพราะผมอยากไปฝากท้องไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลำไยเจ้าดังของอำเภอสะเมิงสักหน่อย จากนั้นก็ค่อยแวะไปที่บ้านกลางป่าสน แล้วค่อยกลับเข้าบ้านตัวเองสักช่วงหัวค่ำ
กระทั่งเดินทางมาจนถึงอำเภอฮอด บรรยากาศรอบๆ บ้านกลางป่าสนในช่วงกลางวัน ดูไม่ค่อยจะคุ้นเคยสักเท่าไหร่ เพราะทัศนวิสัยรอบๆ กาย มันชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ได้มาเยือนยังสถานที่แห่งนี้ 

หลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว ผมก็ลงจากรถพร้อมกับปรายตามองไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ จึงทราบว่าเวลานี้สองคนพี่น้องกำลังอยู่ด้วยกันตามลำพัง จากนั้นผมก็ตั้งท่าจะเคาะประตู แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ โดยเลือกจะทดสอบดูว่าประตูบานนี้ล็อกกลอนเอาไว้หรือไม่
ซึ่งคำตอบก็คือ ‘ไม่’
เวลานี้ผมจึงก้าวเข้ามาพบเจอกับความว่างเปล่า..

ที่ไม่ได้ว่างเปล่าอย่างตาเห็น เพราะสุ้มเสียงของคนสองคนกำลังดังเล็ดลอดออกมาจากประตูที่เปิดแง้มไว้ บ่งบอกได้ดีว่าบ้านหลังนี้มีผู้อาศัยอยู่จริงๆ
และกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกัน..
ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผม ‘ช็อก’

เพราะผมมองเห็นจันทร์กำลังไหวเอนอยู่บนร่างของคนคนหนึ่ง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของใครคนนั้น แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร ซึ่งมันทำให้ร่างของผมราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยอะไรสักอย่าง และมันก็เจ็บปวดตรงที่ๆ ถูกตรึงไว้
ซึ่งตำแหน่งที่ว่า..
ก็คือ ‘หัวใจ’

สีหน้าสะท้อนความสุขพร้อมกับน้ำเสียงแห่งความพึงพอใจ ทำเอาผมหน้าชาอีกทั้งสมองยังว่างเปล่า แต่ทว่าจนแล้วจนรอดผมก็ยังยืนมองภาพดังกล่าวจนกระทั่งทุกฝ่ายสุขสม
ยกเว้นผม..
ที่กำลังยืนใจแตกสลายอยู่ตรงนี้..

“พี่ภัทร” เสียงเรียกของจันทร์ส่งผลให้ผมตื่นจากภวังค์และมันก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังเสียน้ำตาให้กับความรักที่เคยวาดฝันว่ามันจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากผมครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างดีและดีกว่าทุกครั้ง แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง แม้ว่าที่ผ่านมา ผมจะเป็นคนใจเย็น อีกทั้งยังมีสติมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นเพราะผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายและความเป็นจิตแพทย์ก็คอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่าคนคนนี้ต้องการกำลังใจและการยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ทว่าเรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไป เพราะผมไม่ทันคาดคิดว่าคนที่ทำร้ายจันทร์อาจจะเป็นคนอื่น และคนที่ทำให้จันทร์ห่างหายจากความหวาดกลัว
ก็เห็นๆ กันอยู่..
ว่าใครคนนั้น คือ ‘คุณชลวิทย์’

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ” ผมเอ่ยแค่นั้นแล้วก็เดินหนีออกมา แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังแอบหวังว่าจันทร์จะออกมาอธิบายให้ผมเข้าใจ หรือไม่ก็ตามมากระชากประตูรถให้เปิดออก
ทว่าทุกสิ่งที่หวัง มันกลับว่างเปล่า..
ว่างเปล่าไปหมด..

กระทั่งผมขับรถห่างไกลออกมาจากบ้านหลังนั้นจนเกือบจะถึงครึ่งทางของป่าสนด้วยท่าทีใจลอยกว่าปกติ ฉับพลันคำพูดหนึ่งของคุณพีรวัตรก็ย้อนคืนกลับมา
ซึ่งมันเป็นคำพูดที่บ่งบอกได้ว่า..
ภายในร่างกายของจันทร์ ยังมีใครอีกคนที่ผมเคยรู้จัก.. 

ผมเหยียบเบรกพลางนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน โดยนึกย้อนไปถึงสีหน้าของใครคนนั้นที่ดูมีความสุขกับกิจกรรมที่ตัวเองกระทำ อีกทั้งท่าทางร่าเริงดังกล่าวก็ยังคล้ายคลึงกับความร่าเริงของจันทร์ในครั้งแรกที่พบเห็น
แต่พอครั้งต่อๆ มา..
จันทร์ที่ผมรู้จัก กลับเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าวันวาน..

ผมยังจดจำท่าทางโหวกเหวกเพื่อให้คุณชลวิทย์รีบออกมาดูแขกคนสำคัญได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังสามารถจดจำอากัปกิริยาที่ทำให้ผมต้องหลุดยิ้มออกมาเพียงครู่ ทว่าทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มันก็แค่ความรู้สึกเอ็นดู ไร้ซึ่งความสนใจในเชิงอื่นใด เพราะเท่าที่จำได้ หลังจากอีกฝ่ายขึ้นไปเก็บตัวอยู่บนห้องใต้หลังคา
ทุกความสนใจของผมที่มีต่อจันทร์คนนั้นก็หมดสิ้นลง..
และเมื่อลองเทียบเคียงกับจันทร์ของผมที่ค่อนข้างนิ่งๆ เรียบๆ ก็เริ่มมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ผมไม่รีรอที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่เคยทำให้เสียน้ำตาอีกต่อไป เพราะอย่างน้อยคนที่ทำแบบนั้นก็คืออัตลักษณ์อื่นที่อาศัยอยู่ในร่างของจันทร์ และวันข้างหน้าเขาก็ต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่าย อีกทั้งก่อนหน้าที่ผมจะได้มารู้จักกับจันทร์ ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีใครมาก่อน
ส่วนภาพพวกนั้น ผมคิดว่าสักวันผมคงจะลืมมันได้..
แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ผมควรจะโฟกัสในตอนนี้ก็คือการพาตัวจันทร์ออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เพราะมันไม่ปลอดภัยสำหรับอีกฝ่ายที่เป็นตัวตนจริงๆ ของร่างกายนั้นเลย เนื่องจากเราไม่มีทางล่วงรู้ได้ว่าอัตลักษณ์ต่างๆ จะปรากฏตัวออกมาตอนไหน เพราะการที่จันทร์อีกคนสามารถปรากฏตัวในตอนนี้ได้ ก็แสดงว่าอันที่จริงการสลับตัวจะต้องเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และสักวันหนึ่งอาจจะเกิดการสลับตัวในขณะที่ใครบางคนสร้างเรื่องเอาไว้
ซึ่งถ้าหากมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง..
ผมคิดว่าการจะนำตัวตนจริงๆ ของจันทร์กลับคืนมา คงจะ ‘ยาก’ มากแน่ๆ

“ไอ้บาสมึงมาที่บ้านกลางป่าสนด่วนเลย” ผมโทรหาไอ้บาสและทันทีที่มันรับสายก็รีบพูดใจความสำคัญส่งไปให้ จากนั้นก็รีบวางสายและดับเครื่องยนต์ แล้วก้าวเดินเข้าไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลอันคุ้นเคยที่บรรยากาศในเวลานี้ แตกต่างจากช่วงเวลาก่อนหน้าอยู่มากโข
“ผมจะพาตัวจันทร์ไปรักษา” ทันทีที่คุณชลวิทย์เดินออกมาจากห้องนอนที่ยังคงมีร่างของจันทร์ผู้ซึ่งถูกใครสักคนครอบครองอยู่ ผมก็ออกปากบอกความประสงค์ให้อีกฝ่ายทราบอย่างชัดแจ้ง

“แน่นอนครับว่าผมอยากให้คุณหมอพาตัวเขาไปรักษา” คุณชลวิทย์กล่าวพลางยกยิ้มเล็กน้อย ซึ่งมันไม่ควรจะเรียกว่าการแย้มยิ้มสักเท่าไหร่ ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มอย่างใจเย็น ขณะที่ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ผมมั่นใจว่าคุณรู้.. ว่าจันทร์ป่วยเป็นโรค DID”

“แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือคุณต้องการอะไรกันแน่ ?”
“ผมก็ต้องการให้คุณหมอรักษาเขานี่แหละครับ แต่ก่อนจะรักษาผมอยากได้ความมั่นใจว่ามันคือเรื่องจริง”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ถามผมตรงๆ ครับ แต่ผมว่าเราอย่าเพิ่งเสียเวลาจะดีกว่า เราควรเข้าเรื่องเมื่อครู่ที่ผมถามคุณออกไป เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องให้ความร่วมมือกัน และการกระทำเมื่อครู่ของคุณมันสามารถทำร้ายจิตใจของจันทร์ที่เป็นตัวตนจริงๆ ทางอ้อมได้นะครับ คุณรู้จักเขา แล้วก็อยู่กับเขามานาน ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

“ครับ ผมรู้.. เพราะสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือการช่วยยื้อเขาไว้”
“คุณหมายความว่ายังไง ?”

“แล้วคุณหมอคิดว่าจันทร์คนไหนคือตัวตนจริงๆ ของเขาล่ะครับ ถ้าหากคุณหมอเข้าใจตรงกันกับผม สิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมดก็จะกระจ่าง”
“…” สิ้นคำพูดของอีกฝ่ายก็เหมือนกับว่าสมองของผมกำลังถูกค้อนทุบตีอย่างรุนแรง
เพราะคำพูดของเขามันคือความจริงที่ผมลืมนึกถึง

“ที่ผมดึงหมอเข้ามา เพราะผมอยากให้หมอช่วยยืนยันว่าเขาป่วยเป็นโรคนั้นจริงๆ เพราะการที่หมอได้เห็นด้วยตาตัวเอง โดยที่ผมไม่ได้ชี้นำ ในความคิดของผมมันน่าเชื่อถือมากกว่า และผมก็ยอมรับว่าผมยังทำใจยอมรับกับอาการป่วยของเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริง..”
“…”

“ก่อนหน้านี้.. ผมเคยพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้จันทร์เลิกทำตัวแบบที่ผ่านมา แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปไม่ได้..”
“…”

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม และนับวันตัวตนจริงๆ ของจันทร์ก็ยิ่งตื่นขึ้นมาน้อยลง”
“…” คำพูดเมื่อครู่ของคุณชลวิทย์ตรงเข้ากระแทกใจของผมเต็มๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดันแย่กว่าที่ผมคิดไว้ เนื่องจากมันไม่ใช่แค่การได้เห็นภาพบาดตาบาดใจ
แต่ดันกลายเป็นว่า..
‘จันทร์’ ของผม อาจเป็นเพียงอัตลักษณ์หนึ่ง ที่ ‘จันทร์’ อีกคนสร้างขึ้น..

   
゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้น่าจะเรียกว่าเคลียร์ปมตั้งแต่ต้นเรื่องพฤติกรรมของคุณชลวิทย์ได้บางส่วน แหะๆ เราเขียนดราม่าไม่เก่ง มันก็จะมาในรูปนี้นี่แหละ จริงๆ ปมตรงนี้คืออันดับแรกของเรื่องที่เราคิดได้เลย เป็นเรื่องที่ดาร์กและยากที่สุดสำหรับเราแล้วจริงๆ

อีกเรื่องคือ วันนี้เราอ่านเคสของบิลลีมาได้หลายบท แต่เหมือนถูกหลอกมาหลายตลบมาก คือเราเคยบอกว่าบุคลิกหลักจะไม่ได้ยินเสียงของบุคลิกอื่นใช่มั้ยคะ (ตอนที่เราอ่านคือมันพีคตรงที่บิลลีตัวจริง ไม่เคยออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเลย) ดังนั้นผลตรวจก็คือของบุคลิกอื่นนั่นแหละ แต่พอช่วงที่เค้าออกมาตอนที่ได้รับการบำบัดทางจิตวิทยา เขาบอกกับหมอว่าได้ยินเสียงแบบอยู่ที่ไกลๆ เลยค่ะ เสียงเบาเหมือนอยู่นอกประเทศ แต่เขาไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกัน รู้แค่ว่าเหมือนพยายามจะพูดคุยกับตัวเอง เขาเลยถามหมอว่าคนพวกนี้คือคนที่อยู่ในตัวเขาตามที่มีคนเคยบอกใช่หรือเปล่า

แต่ที่เราได้ข้อมูลมาจากจิตแพทย์ ซึ่งเพื่อนเราเคยไปขอข้อมูล (คนที่เป็นโรคนี้ในไทยก็มีค่ะ) มาเล่าให้ฟังว่า บุคลิกหลักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีหลายบุคลิก เขาจะรู้ก็ต่อเมื่อมีคนบอกค่ะ ซึ่งตรงนี้มันเท่ากับว่าเขาจะต้องไม่ได้ยินเสียงด้วย เราก็เลยไปอ่านเคสของคุณคิมโนเบลมาประมาณ 50 กว่าหน้าที่เป็นตัวอย่างให้โหลด เพราะหนังสือเรายังไม่มา ทีนี้เลยพอจะเข้าใจว่า บุคลิกทั้งหมดของเธอจะไม่รู้จักกันเลยค่ะ และเธอก็ไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของตัวตนอื่นๆด้วย ส่วนของบิลลีคือจะรู้จักกัน คุยกันได้ แต่บางบุคลิกก็จะใช้พลังจิตซ่อนตัว ทำให้บุคลิกอื่นไม่รู้จักเขา แต่เท่าที่เพื่อนเราที่ไปถามจิตแพทย์ บอกมาว่า ทุกตัวตนจะรู้จักกันหมดค่ะ และถ้ามีบุคลิกเกิดใหม่ พวกเขาก็จะรู้ค่ะ แล้วเราก็บังเอิญไปเจอข้อมูลจากงานของนักศึกษาท่านนึงเขาได้มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับ DID และโรคจิตเภทว่ามีความเหมือนและคล้ายยังไงบ้าง ก็พบว่าบุคลิกหลักจะได้ยินเสียงเหมือนกันค่ะ

เราเลยคิดว่ามันน่าจะแล้วแต่เคสมากกว่า แต่เราได้ลองถามไปทางเฟซของนักจิตวิทยาแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบเรากลับมาหรือเปล่า  ถ้ายังไงเราอาจจะอ้างถึงเคสใดเคสหนึ่งเพื่อความชัวร์ดีกว่าค่ะ หรือถ้าใครมีข้อมูลก็อาจจะแย้งได้นะ เราเองก็เริ่มงงแล้ว 55 เพราะจริงๆ เริ่มแรกที่คิดจะเขียนคือเรามั่นใจข้อมูลที่ได้มาจากเพื่อนเลยแหละค่ะ เพราะว่าเพื่อนไปสัมภาษณ์มาเองเลย แต่พอเจอหลายๆ เคสก็สับสนเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 20 ❀ หน้า 2 (update 09/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-06-2018 04:07:06
โดนทำร้ายจิตใจ T-T

#ไม่ใช่เพราะสลับคู่
#แต่เพราะNCสั้นไป 5555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 21 ❀ หน้า 2 (update 10/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 10-06-2018 04:31:39
ตอน 21

“มีแต่น้ำเกลือล้างแผล พอไหวหรือเปล่าคุณ ?” ผมเอ่ยถามคุณพีรวัตรที่ได้โอกาสออกมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง โดยเขาเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นอย่างเด็ดขาดว่าจันทร์ควรจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง พร้อมกับไปยืนรออยู่ตรงข้างรถอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าสีหน้าของคุณนักเขียนกลับดูไม่ค่อยจะโอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งผมคิดว่าพอจะทราบสาเหตุที่ทำให้เขาออกอาการไม่สบอารมณ์ขนาดนั้น เพราะเท่าที่ผมรู้เขามีอคติกับรักร่วมเพศ จากนั้นตัวเขาก็ดันตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่กำลังตกอยู่ในสภาพราวกับเพิ่งเสร็จกิจ
หากไม่ช็อกก็คงจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งน่าดู

“ดื่มกาแฟร้อนๆ สักหน่อยนะครับ” ไอ้บาสกล่าวพลางยื่นแก้วกาแฟใบเล็กส่งให้กับคุณนักเขียนที่ไม่มีวี่แววจะสนใจของกินในมือมันสักเท่าไหร่ ผมเลยเป็นฝ่ายรับหน้าที่นั้น โดยวางแก้วกาแฟลงบนที่นั่งข้างๆ อีกฝ่าย เพราะเวลานี้คุณพีรวัตรกำลังก้มหน้าก้มตาใช้น้ำเกลือเช็ดไปตามเนื้อตัวอย่างรุนแรง จนมันขึ้นสีแดงเป็นปื้นๆ บ่งบอกท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ต่อสิ่งที่ตัวเองพบเจอ
เนื่องจากร่องรอยในที่ลับ คงจะมากพอให้เข้าใจอะไรง่ายๆ ว่า..
ในระหว่างที่เจ้าตัวกำลังหลับใหล มันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“พี่โอเคนะ ?” พอเห็นว่าใครบางคนดูจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากการทำความสะอาดร่างกายของตัวเอง ไอ้บาสก็หันมาถามความเห็นจากผม เพราะมันเดินบังเอิญได้ยินบทสนทนาอันเข้มข้นเข้าพอดี
ซึ่งบทสนทนาที่ว่า..
ก็คือการย้ำเตือนซ้ำๆ ว่าจันทร์ของผม ไม่ใช่จันทร์ที่มีตัวตนอยู่จริง

“แล้วมึงคิดว่ายังไง ?” ผมย้อนถาม เพราะตอนนี้บอกตามตรงว่าผมสับสน และไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าตัวตนที่อาศัยอยู่ในร่างของจันทร์ มีทั้งหมดกี่ตัวตน และแต่ละคนเป็นใครกันบ้าง
“ก่อนอื่นพี่ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดที่พี่เจอในบ้านหลังนั้นให้ผมรู้ ผมถึงจะวิเคราะห์ได้”

“ไว้เราค่อยคุยกันที่บ้านก็แล้วกัน เรื่องมันยาวว่ะ”
“ไม่มีปัญหา” ไอ้บาสว่าพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย

“เบาๆ หน่อยสิคุณ ไม่เจ็บหรือไง?” ผมเอ่ยถามคุณนักเขียนที่ยังคงนั่งเอาน้ำเกลือเช็ดผิวไม่ยอมหยุด
“ถ้าตอนนี้ผมใช้มันอาบตัวได้ ผมคงทำไปแล้ว” คุณพีรวัตรเอ่ยราวกับประชด แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูด มันคือความต้องการอย่างแท้จริง

“ว่าแต่คุณตื่นมาเจออะไรแบบนี้บ่อยหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ดูจะใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย เพราะถ้าหากจันทร์ตัวจริงมีความสัมพันธ์กับคุณชลวิทย์ในเชิงนั้น มันต้องเกิดปัญหากับเขาอย่างแน่นอน
“ไม่บ่อยเท่าไหร่..”

“เพราะในบรรดาพวกเรา เขาคือคนที่เข้มแข็งที่สุดแล้วก็อ่อนแอที่สุด แต่เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้นานที่สุด”
“คุณหมายถึง.. จันทร์ที่มีความสัมพันธ์กับคุณชลวิทย์ ?”

“อืม คนคนนั้นที่ผมเคยบอก.. อันที่จริงก็คือเขานั่นแหละ”
“แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าเขาอ่อนแอที่สุด ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เพราะจากสีหน้าและพฤติกรรมอันร่าเริงของคนคนนั้น มองยังไงก็ไม่มีวี่แววของความเศร้าหมอง แต่ที่คุณพีรวัตรพูดมาก็มีเหตุผล
เพราะคนที่มีความสุขที่สุด..
บางครั้งก็มักจะซุกซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากมาย

“เขาคือคนที่รองรับความเจ็บปวดทั้งหมด แต่เขาก็โชคดีที่ยังได้รับความรัก” คุณพีรวัตรกล่าวทั้งๆ ที่สายตาของเขากำลังมองตรงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย ราวกับจุดโฟกัสอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล
“สิ่งที่คุณกำลังจะบอกผมคือความเจ็บปวดพวกนั้น ทำให้เขาได้เจอกับความรักที่เขาไม่เคยได้รับมัน ใช่ไหมครับ ?” ผมย้อนถามขณะที่ในใจก็เริ่มปวดหนึบ

“อืม เขาเคยบอกผมอย่างนั้น แต่มันก็งี่เง่ามากที่ความสุขของเขา ดันเป็นความทุกข์ของผม” คุณนักเขียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยในคราแรก จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นใส่อารมณ์อย่างฉุนเฉียว
“แล้วคุณสื่อสารกับเขายังไง ?” ผมย้อนถามอย่างสนใจ เพราะจากคำพูดของคนตรงหน้า ทำให้ผมเริ่มจับสังเกตถึงสารลับบางอย่างที่จะสามารถไขข้อข้องใจให้ผมได้ ซึ่งไอ้บาสก็คงจะจับใจความดังกล่าวได้เช่นกัน
เวลานี้เราสองคนพี่น้องถึงได้เฝ้ามองคุณนักเขียนอย่างใจจดใจจ่อ

“อันที่จริงผมไม่ค่อยได้คุยกับเขา เพราะกฎของเรา คือการต่างคนต่างอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมกับลีก็ยังถือว่าสนิทกันในระดับนึง”
“…”

“เราเลยใช้วิธีคุยกันผ่านทางสมุดบันทึก”
“เพราะอะไรถึงต้องทำอย่างนั้นครับ ?” ไอ้บาสเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์ แต่ละตัวตนจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ หรืออาจจะไม่ติดต่อสื่อสารกันเลยก็มี ซึ่งการพูดคุยของแต่ละอัตลักษณ์ จากเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน ทำให้ผมทราบว่า
การสื่อสารของพวกเขา..
มีทั้งแบบที่พูดในใจและแบบที่พูดโดยไม่ออกเสียง

“ตอนนั้น.. ยังไม่ถึงเวลาที่จันทร์จะต้องรับรู้เรื่องราวของพวกเรา” คุณพีรวัตรกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด บ่งบอกถึงสภาวะผู้นำที่ต้องคอยปกป้องเจ้าของร่าง
“แล้วเรื่องที่พวกคุณคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ ?” ไอ้บาสเอ่ยถามขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม ซึ่งมันก็เป็นคำถามที่ตรงใจผมเข้าพอดี

“กับลีเราแลกเปลี่ยนกันเรื่องพล็อตนิยาย แต่กับเขา.. เราทะเลาะกันเพราะเรื่องของไอ้ชลเสียมากกว่า”
“คุณหมายถึง พวกคุณทะเลาะกันเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา ?” ผมย้อนถามเพื่อความแน่ใจ โดยเลือกใช้คำเลี่ยงๆ สักหน่อย แต่คนฉลาดอย่างคุณพีรวัตร
ผมคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจ..
ว่าความสัมพันธ์นั้น คือความสัมพันธ์ในรูปแบบไหน

“ครับ ก็อย่างที่ผมบอกว่าความสุขของพวกเขา คือความทุกข์ของผม อันที่จริงเราควรจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หรืออย่างน้อยก็เดินกันคนละครึ่งทาง.. ไม่ใช่แบบนี้”
“แต่คุณเป็นนักเขียน คุณก็น่าจะรู้ว่าความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คุณถึงปล่อยให้เขาทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ” ไอ้บาสกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“ครับ”
“แล้วแบบนี้คุณจะปกป้องจันทร์ที่เป็นตัวตนหลักได้หรือครับ ผมมั่นใจว่าถ้าหากเขารู้ เขาจะต้องยอมรับมันไม่ได้แน่ๆ” ผมเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องทำใจเย็นเข้าไว้ เพราะจากที่ได้พูดคุยกันมานาน
ผมเริ่มจะมองรูปการณ์ออกบ้างแล้วว่า..
จันทร์คนไหน คือจันทร์ตัวจริง

“เพราะแบบนี้ผมถึงอยากให้เขาได้รับการรักษา” คุณพีรวัตรกล่าวพลางก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่ค่อยๆ หยดแหมะลงบนตักจนเราสองคนถึงกับตกใจ แต่ไอ้บาสก็มีสติมากพอที่จะเดินเข้าไปซื้อทิชชู่มาให้อีกฝ่าย
“…”

“เพราะการตัดสินใจของผม..”
“…”

“การตัดสินใจที่ผิดพลาด..” คุณนักเขียนกล่าวพลางสะอื้น
“…”

“หลังจากนั้นคนที่ตื่นขึ้นมาก่อนผม.. ก็คือ..” คำพูดอันกระท่อนกระแท่นของคุณพีรวัตร ค่อยๆ ทำให้หัวใจของผม เริ่มเต้นรัวอย่างหนัก พลางภาวนาให้คำตอบที่กำลังจะได้รับ ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผมไม่อยากได้ยิน
แม้ว่าน้ำเสียงของจันทร์..
ในตอนที่ร้องเรียกผมด้วยคำว่า ‘พี่ภัทร’ จะบ่งบอกอะไรๆ ได้ชัดเจนแล้วก็ตาม..

“จันทร์” สิ้นคำตอบของอีกฝ่ายผมก็หมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ เพราะการที่จันทร์ตัวจริงตื่นขึ้นมาพบเจอกับเหตุการณ์นั้น ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อการหลับใหลอย่างไม่มีวันหวนกลับ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว อาจจะไปกระตุกในใจเรื่องบางเรื่องที่เจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้จิตไร้สำนึก
ซึ่งเรื่องราวที่ถูกเก็บซ่อน..
ก็เป็นเหตุให้เกิดการสร้างตัวตน เพื่อเข้ามารับมือกับเรื่องราวดังกล่าว

หลังจากแวะทานอาหารมาจากข้างนอกจนเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเราก็เดินทางมาจนถึงบ้านของผมเสียที โดยผมจัดเตรียมที่หลับที่นอนของอีกฝ่ายไว้ในห้องนอนของผม และผมก็ยอมเสียสละเตียงนอนให้กับผู้มาใหม่ สาเหตุก็เพราะผมกลัวว่าถ้าหากอัตลักษณ์อื่นตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกจะก่อความวุ่นวายเพราะความตกใจ
ผมจึงคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้น่าจะดีกว่า..
เพราะผมยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของพวกเขามากนัก 

จากนั้นผมกับไอ้บาสก็ออกมายืนคุยกันตรงระเบียงด้านนอก ทำให้ผมมีโอกาสนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น และมันก็ทำให้ผมได้คำตอบที่ชัดเจน ว่าจันทร์คนไหนคือจันทร์ตัวจริง ทั้งนี้คงต้องขอบคุณการกระทำของคุณชลวิทย์ และคำให้การของคุณพีรวัตรด้วยส่วนหนึ่ง
เพราะถ้าหากผมไม่รู้ว่าจันทร์อีกคน มีใจชอบพอกับคุณชลวิทย์
ผมก็คงจะไม่มีทางเข้าใจในการกระทำของเขา

“คนเรามันก็มีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละพี่ภัทร อยู่ที่ว่าเราจะเห็นแก่ตัวในเรื่องไหน เอาจริงๆ ถ้าหากเป็นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกทำอย่างไอ้ชลหรือเปล่า” ไอ้บาสกล่าวพลางตบไหล่ผมเบาๆ
“แต่กูไม่ใช่ตัวแปรที่จะทำให้ร่างของเจ้าของ ถูกอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งครอบครองได้ตลอดไปนะเว้ย”

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่คนเราพอมืดแปดด้าน หากมีทางไหนที่พอจะทำได้ก็คงเลือกทำนั่นแหละ”
“หดหู่ว่ะ เขารักจันทร์อีกคนมากจนถึงกับทำร้ายจันทร์อีกคนได้ลงคอเลยเหรอวะ”

“เราไม่ได้อยู่ในจุดที่เขาเผชิญ เราคงไม่มีวันเข้าใจ บางทีเขาอาจจะใช้ชีวิตร่วมกับจันทร์คนนั้นมาตั้งแต่แรก หรือบางทีเขาอาจจะมีจันทร์คนนั้นเป็นที่พึ่งเดียวของเขาก็ได้ เออ.. เขาบอกพี่ว่าการกระทำของเขาคือการ ‘ยื้อ’ ใช่ไหม?”
“อืม” ผมตอบงึมงำในลำคอ เพราะเวลานี้ผมเข้าใจแล้วว่าการกระทำของเขายื้อจันทร์ไว้ได้อย่างไร
ซึ่งการ ‘ยื้อ’ ที่ว่า..
ไม่ใช่การยื้อ ‘จันทร์’ คนเดียวกับที่ผมอยากให้เป็น

“เห้อ~ ก็นั่นแหละ ผมว่าจะกลับไปที่บ้านกลางป่าสนสักหน่อย เพราะไอ้ชลมันน่าจะเครียดพอสมควร”
“อืม” สิ้นคำตอบรับของผม ไอ้ญาติผู้น้องก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อลงไปข้างล่าง และเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนที่เคยหวาดกลัว แต่พอเรื่องราวเริ่มกระจ่างความหวาดกลัวทั้งหลายก็มลายหายไป เนื่องจากความเป็นห่วงมันมีมากกว่า เพราะเรื่องนี้น่าจะทำให้คุณชลวิทย์เกิดอาการแพนิค เนื่องจากเขาต้องทนอยู่กับการรับรู้ว่าตัวเองกำลังหลงรักใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง อีกทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานจนเกิดเป็นความผูกพัน
ผมจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหนักอกหนักใจสำหรับเขาพอสมควร

ก็อย่างที่ไอ้บาสว่าหากเป็นผมที่ต้องยืนไปอยู่ในจุดนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร จำได้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกมืดแปดด้าน คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว ตัวมันชายิ่งกว่าการรับรู้ว่าจันทร์มีความสัมพันธ์ในเชิงนั้นกับคุณชลวิทย์ เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็แอบคิดไปในทางนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมาเห็นอะไรแบบนั้นด้วยสองตาของตัวเอง และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นจันทร์มีความสุขกับการทำเรื่องแบบนั้น เพราะแค่เราจูบกันเขายังออกอาการแพนิค ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ หรือถ้าหากเป็นไปได้ก็คงต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะสามารถปรับเปลี่ยนความคิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เจ้าตัวผูกเป็นปมในใจให้ได้เสียก่อน
ซึ่งผมพอจะคลายปมได้บางอย่าง และคาดว่าคนที่ทำร้ายจันทร์ อาจจะไม่ใช่คุณชลวิทย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นเพศชาย เนื่องจากคุณพีรวัตรมีความรู้สึกในทางลบกับบุคคลที่เป็นรักร่วมเพศ และจันทร์ก็เกิดอาการแพนิคในขณะที่ผมเป็นคนริเริ่ม ส่วนจันทร์อีกคนผมคิดว่าเขาต้องการความรักความเอาใจใส่ เพราะจากคำพูดของคุณพีรวัตรที่บอกไว้ว่า ‘เขาคือคนที่เข้มแข็งที่สุด แต่ก็อ่อนแอที่สุด’ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้เซ็กส์เป็นตัวฉุดรั้งความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการของใครสักคน
ส่วนอัตลักษณ์ของน้องลี
สื่อถึงเรื่องราวของครอบครัวที่ขาดความรักความอบอุ่น


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

[edit 10/06/2018 เรารีไรท์บางส่วนให้มันกำกวมน้อยลงแล้วนะคะ เพราะเห็นว่าบางคนยังงงๆ อยู่ แต่บางส่วนที่เราตั้งใจให้งงก็คือไม่ขอรีไรท์นะคะ เพราะช่วงแรกๆ พี่หมอยังไม่รู้ว่าใครคือจันทร์ที่แท้จริง ถึงต้องใช้คำว่าเขาแทนเพื่อให้มันฟังดูกำกวม ซึ่งเขาที่พูดๆ ถึงกันในบทสนทนาเนี่ยก็เป็นคนๆ เดียวกันนะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เขาคนนั้น ก็คือคนที่เจ็บปวดที่สุดตามที่คุณพีรวัตรบอกไว้ ส่วนใครที่ตีความไม่ออกว่าจันทร์ตัวจริงคือจันทร์คนไหน ลองอ่านประโยคนี้ดูอีกครั้งนะคะ 'เรื่องนี้น่าจะทำให้คุณชลวิทย์เกิดอาการแพนิคได้อย่างแน่นอน ด้วยเพราะเขาต้องทนอยู่กับการที่ได้รับรู้ ว่าตัวเองกำลังหลงรักใครบางคนที่ไม่มีตัวตนจริงๆ' นั่นคือเหตุผลทั้งหมดของปมเรื่องซึ่งเป็นปมใหญ่ที่สุด ส่วนจันทร์คนไหนคือคนที่ทำแบบนั้น ก็ตามที่พี่หมอวิเคราะห์เลยค่ะว่า 'คนที่ทำร้ายจันทร์ อาจจะไม่ใช่คุณชลวิทย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นเพศชาย เพราะเนื่องจากคุณพีรวัตรมีความรู้สึกในทางลบกับบุคคลที่เป็นรักร่วมเพศ และจันทร์ก็เกิดอาการแพนิคในขณะที่ผมเป็นคนริเริ่ม ส่วนจันทร์อีกคน ผมคิดว่าเขาต้องการความรักความเอาใจใส่ เขาจึงเลือกที่จะใช้เซ็กส์เป็นตัวฉุดรั้งความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการของใครสักคน' เราอาจจะเขียนเชิงตีความลึกไปหน่อย 555]

ถ้าหากมีคำตกไว้จะมาแก้อีกทีนะคะ และตอนนี้อาจจะสั้นอีกแล้ว เพราะเราอยากให้มันเป็นพาร์ทที่เฉลยเรื่องราวทั้งหมด หวังว่าทุกคนจะเข้าใจการกระทำของคุณชลวิทย์บ้างแล้วเนอะ ว่าเพราะอะไรถึงต้องทำร้ายจันทร์โดยการใช้สโนว์ดรอปส์ และทำไมถึงต้องหลอกหมอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราว่ามันน่าจะเรียกได้ว่าความดำมืดของจิตใจมนุษย์เนอะ ทุกคนมีความเห็นแก่ตัว แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะเห็นแก่ตัวในเรื่องไหน และเลือกที่จะแก้ปัญหายังไง ซึ่งน่าจะเห็นได้ชัดว่าหมอกับชลวิทย์เลือกที่จะแก้แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่ตัวเองเหมือนตกอยู่ในสถานกาณ์เดียวกัน ดีหน่อยที่หมอยังมีจรรยาบรรณแพทย์ไว้ยึดเหนี่ยว หมอถึงทำได้แค่อึ้งไปกับเรื่องราวพวกนั้น แต่กับชลวิทย์ในอดีตจะเป็นยังไงนั้น เราค้นหาได้จากตอนที่จันทร์เข้ารับการรักษาแล้ว หลังจากนี้อาจจะช้าหน่อยนะ เรายังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลย 555 แต่อ่านผ่านช่วงการทดสอบทางจิตวิทยามาบ้างแล้ว น่าจะยังพอเขียนต่อได้อยู่
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 21 ❀ หน้า 2 (update 10/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 10-06-2018 10:05:00
ตามอ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันเลยค่ะ คือเป็นนิยายที่อ่านยากมากถ้าคิดตามตะปวดหัว 55555 เลยอ่านไปเรื่อยๆแบบไม่คิดแล้วว่าจะเป็นยังไง สบายเลย พอรู้ว่าจันท์มีเซ็กส์กับพี่วิทย์ยิ่งช๊อคแรง  คนไหนคิอตัวจริงเนี่ยยยยย


เขียนดีมากค่ะ สนุก รอตอนต่อไปค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 21 ❀ หน้า 2 (update 10/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 10-06-2018 16:23:02
ตอนนี้น่าจะใส่ชื่อ แต่ละตัวตนเยอะหน่อย แยกเขา กับ เขา และเขา ที่ไม่ใช่เขา ไม่ออกเลย T-T
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 21 ❀ หน้า 2 (update 10/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 10-06-2018 19:39:00
ถ้าเราเป็นคุณหมอแล้วไปเจออย่างงั้นช็อกนะคะ55555

แต่นับว่าคุณหมอยังมีสติ ฮือ ช่วยน้องจันทร์ด้วยย

 :serius2:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 22 ❀ หน้า 2 (update 12/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-06-2018 21:25:25
ตอน 22

ก่อนออกมาทำงานในวันนี้ ผมยกแมคบุ๊กของตัวเองให้กับคุณนักเขียนเพื่อเอาไว้ใช้งาน เพราะการเตรียมการรักษายังไม่เรียบร้อยนัก เขาจึงต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านของผมก่อน ขณะที่วันนี้ผมจะต้องมาเผชิญกับการประชุมอันแสนเคร่งเครียด เนื่องจากเคสของจันทร์เป็นเคสที่ใหญ่และยากพอสมควร แต่เราก็ยังโชคดีที่ได้แพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการรักษาโรค DID จากกรุงเทพมาร่วมทีมด้วย ทว่าข่าวนี้ทำให้ผมเพิ่งจะทราบว่าอันที่จริงประเทศไทยก็มีผู้ป่วยโรคนี้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งทาง ดร. ธีรชัย แจ้งมาว่าการรักษานอกจากจะใช้การสะกดจิตแล้ว ยังสามารถใช้การทำจิตบำบัดระยะยาวได้ และผลลัพธ์ก็ออกมาดีพอสมควร โดยด็อกเตอร์จะเดินทางมายังเชียงใหม่ในวันพุธหน้า
ส่วนจันทร์อาจจะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสักระยะ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ แต่ที่น่าหัวเสียก็คือจิตแพทย์บางท่านที่ทางโรงพยาบาลโทรไปขอคำปรึกษา รวมถึงคนอื่นๆ ในทีม อันประกอบด้วย จิตแพทย์ นักศิลปะบำบัด นักบำบัดสนับสนุน นักสังคมสงเคราะห์ทางด้านจิตเวช แพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยจิตแพทย์ และผู้ประสานงานประจำตึก ต่างก็ออกอาการเหลือเชื่อที่ได้พบผู้ป่วยโรค DID ราวกับในภาพยนตร์ และพวกเขาก็อยากจะลองใช้วิธีการรักษาของตัวเอง ซึ่งมันก็แน่นอนว่าผมจะต้องคัดค้าน เพราะใจอยากจะรอให้ ดร. ธีรชัย ผู้มีความเชี่ยวชาญมารับหน้าที่ในส่วนนี้ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมโต้เถียงมากไม่ได้ ส่วนคุณพ่อที่เป็นถึงผู้อำนวยการของโรงพยาบาลก็ต้องทำหน้าที่ให้เป็นกลาง เนื่องจากคณะกรรมการบางส่วนดูจะเห็นดีเห็นงามกับจิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงประจำจังหวัด และกว่าด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญจะเดินทางมาถึง
จันทร์ของผมก็ต้องกลายไปเป็นหนูทดลองให้กับคนพวกนี้!
มันน่าโมโหจริงๆ

“ใจเย็นๆ พี่ภัทร” ขณะที่เรากำลังเดินทางไปยังโรงอาหาร เพื่อกินข้าวเที่ยงหลังเสร็จสิ้นจากการประชุมอันแสนยาวนาน ใบหน้าของผมก็ยังหงิกงอเหมือนเดิมเป๊ะ ทำเอาไอ้บาสต้องรีบเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นลงกว่านี้
“มึงคิดดู ก่อนหน้านี้กูต้องไปเจอกับเรื่องช็อกโลกมากแค่ไหน กว่าจะดึงสติกลับมาได้ มันไม่ง่ายเลยนะเว้ย แล้วพอผ่านไปได้วันหนึ่ง กูยังเสือกมาเจอกับเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้อีก”

“แล้วจะทำยังไงได้วะพี่ภัทร มันคือเคสศึกษา ยังไงพวกเขาก็ต้องอยากมีส่วนร่วมอยู่แล้ว พี่เถอะอย่าสติหลุดบ่อยนักสิวะ เกิดถูกตัดออกจากทีมจะทำยังไง ?”
“…” พอไอ้บาสพูดเหตุผลออกมาแบบนั้น ผมก็ทำได้แค่หงุดหงิดอย่างไร้ปากเสียงต่อไป

“เออ แล้วคุณชลวิทย์เป็นยังไงบ้างวะ” ผมถือโอกาสถามถึงเจ้าของบ้านกลางป่าสนคนพี่ เพื่อปัดตกเรื่องก่อนหน้านี้ไปซะ เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด
“แพนิคกำเริบหนักเลยว่ะ ผมเริ่มกลัวๆ ว่ามันจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วยแล้วเนี่ย”

“ทำไมวะ ?”
“คือวันนั้นหลังจากที่..” ไอ้บาสเอ่ยพลางเหลือบมองมาทางผมครู่ใหญ่คล้ายกับไม่กล้าพูดต่อ

“มึงพูดมาเถอะว่ะ กูคิดว่ากูน่าจะทำใจได้บ้างแล้ว เพราะอย่างน้อยคนที่ทำแบบนั้นก็ไม่ใช่จันทร์ของกู” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจนัก แต่ก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอไหว เพราะถึงอย่างไรคนที่มีความสุขไปกับกิจกรรมร่วมรักในวันนั้นก็ไม่ใช่จันทร์ที่เป็นอัตลักษณ์หลัก แต่เป็นจันทร์อีกคนที่กำลังครอบครองร่างกายของเขาอยู่ สำหรับผมไม่ว่าร่างกายนั้นจะผ่านมือของใครมา ผมก็ไม่สนใจ เพียงแต่วินาทีนั้นผมคิดว่าคนที่กำลังเริงร่าอย่างสนุกสนานคือจันทร์ของผม แล้วยังคิดเลยเถิดไปอีกว่าเจ้าตัวไม่ได้ต้องการผมเหมือนอย่างที่เคยแสดงออก
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะไม่ทันครุ่นคิดให้ดีว่า..
ท่าทางแบบนั้นอาจจะเป็นใครอีกคนที่ก็มีสิทธิ์ครอบครองร่างกายของจันทร์เหมือนกับน้องลีและคุณพีรวัตร

“หลังจากเสร็จกิจก็ไม่รู้ทำไมจันทร์คนนั้นถึงบังเอิญเข้าไปหลบอยู่หลังฉาก จากนั้นจันทร์ของพี่ก็ตื่นขึ้นมาแทน แล้วในวินาทีแรกที่เจ้าตัวรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนจะช็อกหนักมาก ตรงนี้ผมคิดว่าเหตุการณ์นั้น น่าจะตอกย้ำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งพี่ก็พอจะรู้มาบ้างแล้วว่าน้องมันเคยผ่านอะไรมาบ้าง ทีนี้พอจันทร์ตัวจริงกำลังจะได้รับบาดเจ็บ คุณพีรวัตรที่มักจะสวมบทบาทของผู้พิทักษ์ตามที่พี่บอกก็ตื่นขึ้นมารับมือ แต่ความลับอีกอย่างที่ผมเพิ่งจะรู้ก็คือ จันทร์ของพี่ไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย นับจากวันที่เกิดเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งมันก็เท่ากับว่าคนที่ไอ้ชลคอยดูแลจนกระทั่งมีใจให้คือจันทร์คนที่ไม่มีตัวตนจริงๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันชอบทำตัวแปลกๆ กับจันทร์ของพี่ ทีนี้พอมันรู้ว่าจันทร์ตัวจริงเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน มันก็รู้สึกผิดและเสียใจมาก อีกอย่างผมคิดว่าเคสของไอ้ชล พี่น่าจะเป็นเจ้าของไข้ไม่ได้แล้ว เพราะต่างคนต่างก็เริ่มบาดหมางกันไปแล้ว”

“บาดหมาง ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เนื่องจากผมไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของบ้านกลางป่าสนถึงต้องมาตั้งแง่กับผม ในเมื่อมันควรจะเป็นผมต่างหากที่ไปตั้งแง่กับเขา เพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการข่มขู่ หรือว่าจะเป็นเรื่องของเทียนที่ถูกกล่าวอ้างว่าแพงแสนแพง และสุดท้ายเหตุผลของการกระทำทั้งหมด ก็คือการทำให้จันทร์ตัวจริงต้องอ่อนแอ เพื่อที่จะได้ส่งผลไปยังอัตลักษณ์รองที่มีใจคิดอยากจะครอบครองร่างกายนี้ให้ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น โดยมีเหตุผลก็เพื่อการปกป้องอัตลักษณ์หลักให้ปราศจากเรื่องราวความเจ็บปวดในวันวาน
ซึ่งก็นับได้ว่า..
ความเห็นแก่ตัวของเขา ผ่านการศึกษามาอย่างโชกโชน

“อีกอย่างไอ้ชลมันรู้ว่าพี่กับจันทร์ตัวจริงมีความสัมพันธ์กันยังไง มันถึงได้เอาเรื่องแคปกราส์มาอ้าง เพื่อที่จะได้ผลักไสพี่ออกไป แต่ดันกลายเป็นปมมัดแน่น เพราะโรคนี้ก็ดันเป็นโรคในเชิงศึกษาของเราด้วย สรุปง่ายๆ ก็คือทีแรกมันต้องการให้พี่ช่วยเรื่องการครอบครองร่างของจันทร์ แต่พอมันรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจชอบพอกับพี่ มันถึงได้พยายามจะผลักไส ไม่ใช่อยากจะทดสอบอย่างที่กล่าวอ้าง แล้วก็เพราะการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนของพี่ ทำให้จันทร์ตัวจริงเริ่มแข็งแกร่งขึ้น จนส่งผลกระทบต่อตัวตนของจันทร์อีกคน ทำให้ฝ่ายนั้นค่อยๆ เลือนหายไป นั่นล่ะ.. นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังนั้น แล้วก็.. ถ้าหากความลับระหว่างไอ้ชลกับจันทร์ที่เป็นอัตลักษณ์รองไม่แตกเสียก่อน พี่นั่นแหละที่จะต้องรับมือกับการโจมตีแทนจันทร์ เพราะพี่สามารถทำให้จันทร์รู้สึกดาวน์ลงหรือดีขึ้นได้ อย่างวันที่พี่ไม่ได้ไปหาน้องมันที่บ้าน จริงๆ พี่ก็ฝากบอกผ่านไอ้ชลไปแล้วใช่ไหมล่ะ แต่มันไม่เคยบอกจันทร์เลย นั่นล่ะ.. นั่นคือสาเหตุที่ทำให้มันได้จันทร์ของตัวเองกลับคืนมา” สิ้นคำอธิบายอันยาวเหยียดของไอ้ญาติผู้น้อง ผมก็ถึงกับอึ้งเพราะไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าอันที่จริงจันทร์ที่ผมรู้จัก แทบจะไม่เคยตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าก่อนที่ผมจะเข้ามาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจันทร์อีกคนได้ออกมาใช้ชีวิตเพื่อรองรับความเจ็บปวด และได้คุณชลวิทย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ส่งผลให้ท่าทางร่าเริงและมีความสุขแบบนั้นมีไว้เพื่อคุณชลวิทย์แต่เพียงผู้เดียว
นับได้ว่า.. เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีกมุมมองหนึ่ง..
ก็ดูน่าเห็นใจไม่หยอก

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อาจลบล้างความขุ่นมัวที่มีต่อคุณชลวิทย์ไปได้ ซึ่งมันก็ดีแล้วที่เขายินดีจะเปลี่ยนแพทย์ประจำตัว เพื่อที่การรักษาจะได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเราก็จะได้ไม่ต้องมานั่งตะขิดตะขวงใจใส่กัน
เพราะถึงอย่างไร..
ผมก็เลือกจะอยู่ข้างจันทร์คนละคนกับเขาไปแล้ว

ครืด ครืด

“ครับแม่” ผมรับสายขณะไปซื้อมื้อเที่ยงมานั่งกินกับไอ้บาสและไอ้แนน ที่ไม่ได้ออกไปหาอะไรกินข้างนอกเพราะฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ ผมเลยสบโอกาสเหมาะ ที่จะให้มันช่วยสืบเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายของคุณป้าที่สะเมิงสักหน่อย
(ภัทร.. จันทร์หนีออกจากบ้านไปแล้วลูก แม่วิ่งตามออกไปก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้รถที่บ้านก็ไม่มีสักคัน) คุณแม่กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทำเอาผมชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวกินในทันที

“จันทร์ออกไปนานหรือยังครับ ?” ขณะที่ผมถามกลับด้วยท่าทีใจเย็น แต่อันที่จริงใจของผมกำลังเต้นระรัวด้วยความร้อนรน เพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายกลัวว่าจะหลงทางหรือได้รับอันตราย แถมเวลานี้ฝนก็ตกกระหน่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
(เมื่อครู่นี้เองลูก เราจะทำยังไงกันดี ?)

“แม่ใจเย็นๆ นะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมขอคุยกับพ่อก่อนจะได้รีบออกไปตามหาจันทร์ข้างนอก ส่วนแม่ผมว่ารออยู่ที่บ้านดีกว่า เผื่อจันทร์กลับมาจะได้ไม่คลาดกัน” ผมคุยกับแม่เพียงครู่ จากนั้นก็โทรหาพ่อแล้วเล่าเรื่องราววุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น กระทั่งผมกับไอ้บาสได้รับอนุญาตให้ช่วยกันตามหาจันทร์แค่สองคน เพราะขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาของการทำงาน ซึ่งทางโรงพยาบาลยังต้องการบุคลากรเพื่อให้บริการในด้านอื่นๆ แต่ก็ถือว่าเรายังโชคดีตรงที่ ไอ้บาสมีเพื่อนเป็นตำรวจเลยยังพอจะขอความช่วยเหลือจากทางนั้นได้บ้าง
ไม่อย่างนั้นผมคงจะเครียดหนักกว่านี้

“แม่ครับ ตอนจันทร์วิ่งออกไปข้างนอก เขามีท่าทียังไงบ้าง ?” ผมโทรกลับไปหาแม่อีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมควรจะทราบให้แน่ชัดว่าใครคือคนที่พาจันทร์หนีออกจากบ้าน เพื่อที่จะได้วิเคราะห์จุดมุ่งหมายของอีกฝ่ายได้ถูกต้อง
(เขาเอาแต่พูดถึง.. วิทย์.. พี่วิทย์อะไรเนี่ยแหละภัทร) คุณแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะแน่ใจนัก แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมแน่ใจแล้วว่าใครคือคนที่ขโมยเวลาของคุณพีรวัตรไป ซึ่งผมก็ภาวนาขอให้เขามีโอกาสออกมาใช้ชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากผมมั่นใจว่าเขาจะต้องจัดการให้อะไรๆ มันง่ายขึ้นแน่ๆ
เพราะตัวตนของเขา..
เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์สำหรับจันทร์

การตระเวนหาเด็กชายตัวเล็กในเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ พร้อมๆ กับสายฝนเทกระหน่ำเป็นอะไรที่ยากเย็นพอสมควร แม้ผมจะเริ่มตั้งต้นตั้งแต่ที่บ้านไปจนถึงบริเวณใกล้เคียง แต่ก็ยังไร้วี่แววของอีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมแพ้เอาง่ายๆ จึงค่อยๆ พาตัวเองขับรถออกไปให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ และไม่วายจะโทรไปหาไอ้แนนที่โรงพยาบาล เพื่อให้มันช่วยหาใครก็ได้มาช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อย เพราะถ้าหากในระหว่างนี้คุณพีรวัตรได้มีโอกาสออกมาใช้ชีวิต ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องหาทางไปยังโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่แน่ๆ เนื่องจากเมื่อเช้าเขาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
ราวกับล่วงรู้ว่าสักวัน..
มันอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

กระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี บ่งบอกได้ว่าความมืดมิดเริ่มมาเยือนทุกทีๆ อีกทั้งสายฝนก็มลายหายไปพักใหญ่ ทำเอาผมจากที่ใจเย็นมาได้ตั้งนาน เวลานี้กลับร้อนใจจนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
เพราะไม่ว่าทางด้านของไอ้บาส หรือว่าฝั่งของตำรวจก็ดูจะไร้วี่แววในการค้นหา
 
ครืด ครืด

(มึง เด็กคนนั้นนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ของโรงพยาบาล เออๆ มึงอย่าเพิ่งวาง พยาบาลตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับออกค่าแท็กซี่ให้ด้วย มึงอย่าลืมเอาไปใช้คืนเธอล่ะ) ทันทีที่ผมรับสายไอ้แนนก็รีบพูดเข้าเรื่องอย่างตรงประเด็น แถมมันยังดักทางผมถูกเสียด้วย เพราะผมเป็นคนประเภทที่เวลาร้อนใจ หากทราบเรื่องที่ต้องการรับรู้แล้วจะชอบวางสายแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“เออๆ ยังไงกูก็ขอบใจมึงด้วยนะ” หลังจากวางสายกับไอ้แนนผมก็ถือโอกาสโทรหาไอ้บาส เพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาจันทร์ และขณะที่ไฟแดงเริ่มจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ผมก็ค่อยๆ เพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ให้มากขึ้น
กระทั่งจุดหมายปลายทางอยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ภูเขาอันหนักอึ้งในอก พลันมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากจอดรถให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็รีบถลาเข้ามายังตัวอาคารอันสว่างไสว ทว่าเมื่อมองไปรอบๆ บริเวณล็อบบี้ของทางโรงพยาบาลกลับไม่พบคนที่ต้องการตัว ใจของผมก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยความหวาดกลัวที่ว่า..
การสลับตัวอาจจะเกิดขึ้นอีก!

“น้องปริม เด็กที่เราออกค่าแท็กซี่ให้ อยู่ไหนน่ะ?” ผมเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงพยาบาลพร้อมกับเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้
“ออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอกค่ะ” ผมยิ้มรับคำตอบพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเพื่อจ่ายเงินค่าแท็กซี่คืนให้กับเธอ โดยวางธนบัตรสีเทาไว้บนเคาน์เตอร์แล้วก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกตัวอาคารอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเสียงของหญิงสาวจะยังคงทักท้วงเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ผมให้เกินไปก็ตามที
แต่ผมก็หาได้สนใจไม่
เพราะตอนนี้ใจมันยังหวั่นๆ ว่าใครบางคนอาจจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีก

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามโครงสร้างทางเดินที่มุ่งไปยังบริเวณสวนดอกไม้ของทางโรงพยาบาล หากจำไม่ผิดก็น่าจะทุ่มงบประมาณไปไม่น้อย เพราะขนาดทางเดินที่เป็นโครงสร้างเหล็ก ซึ่งใช้เป็นโครงให้ดอกกุหลาบมอญเลื้อยขึ้นไปชูช่ออยู่ข้างบน ก็ยังยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ แล้วระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ด้วย แต่เพราะจุดหมายปลายทางคือศาลากลางสวน ผมเลยต้องลองเสี่ยงดวงวิ่งมาทางนี้ เพราะอันที่จริงบริเวณสวนของโรงพยาบาลก็อยู่รอบๆ ตัวอาคารนี่แหละ
“จันทร์” ผมยืนแอบมองใครบางคนที่กำลังนั่งแกว่งขาไปมาเบาๆ ขณะที่สายตาของเขากำลังมองตรงไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล กระทั่งผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าคนคนนั้นเป็นใคร ผมจึงเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ฟังยังไงก็ฟังออกว่าคนพูดกำลังดีใจมากกว่าปกติ กระทั่งใครคนนั้นหันหน้ามาส่งยิ้มให้ ผมจึงรีบก้าวเดินเข้าไปยังศาลาสีขาวสะอาดที่อยู่ท่ามกลางพันธุ์ไม้นานาชนิด

“พี่เป็นห่วงเราแทบแย่แน่ะ” ผมเอ่ยพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนที่เอาแต่มองจ้องเงียบๆ มาตั้งแต่ปากทางเข้าศาลา ผมก็เลยเอื้อมมือไปโยกศีรษะของคนหน้านิ่งที่ดูท่าทางจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“…”

“ตกใจหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามพลางเอนศีรษะไปพิงไหล่ของเด็กชายตัวเล็กที่ในตอนนี้เนื้อตัวก็แห้งสนิทดีแล้ว แต่อาจจะต้องกินยาพาราดักไว้สักหน่อย เพราะวันนี้ฝนดันเทกระหน่ำลงมาตั้งมากมาย
“อืม”

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ผมนั่งยืดตัวตรงพลางเปลี่ยนมาเอนศีรษะของอีกฝ่ายให้ซบลงบนลาดไหล่ของตัวเอง เพราะผมคงทำได้แค่นี้ เมื่อคนข้างกายไม่ใช่จันทร์ของผม แต่กลับเป็นคุณนักเขียนที่กำลังสวมบทบาทของ ‘จันทร์’ เพื่อเอาใจคนตาถั่วอย่างผม
“…”

“จริงๆ คุณไม่ต้องมาเอาใจคนตาถั่วอย่างผมนักก็ได้” ผมกล่าวแกมขำขัน
“คุณรู้ ?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม พลางขยับขึ้นมานั่งตัวตรงพร้อมกับทำสีหน้าเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด

“ก็คุณเล่นนั่งเกร็งตัวขนาดนี้ ผมจะไม่รู้เลยมั้งครับคุณพีรวัตร” ผมกล่าวพลางขยับออกห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย
“…”

“แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงอยากจะเอาใจผมขึ้นมาล่ะ อันที่จริงเราเพิ่งจะญาติดีกันเองนะ” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะการสวมบทบาทเป็นจันทร์เพื่อเอาใจผม ดูจะเป็นการลงทุนมากไปสำหรับคุณนักเขียนที่มีอคติกับรักร่วมเพศ และยังเป็นคู่ปรับกับผมตั้งแต่แรกเจอ
“ผมก็แค่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก็เลยเห็นใจคุณ.. ก็แค่นั้น” คุณนักเขียนกล่าวเสียงเรียบ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจว่า ‘เรื่องหนึ่ง’ ของอีกฝ่าย หมายถึงเรื่องไหน

“ถ้าหากเป็นไปได้ ผมก็อยากจะกอดจันทร์ไว้ แล้วบอกกับเขาว่า..” ผมกล่าวขณะที่สายตายังคงมองตรงไปที่สวนดอกไม้ในบริเวณนั้น ส่วนน้ำเสียงก็เริ่มจะสั่นไหว เนื่องจากผมยังจดจำสีหน้าของจันทร์ในตอนนั้นได้ดี ซึ่งใบหน้าของเขากำลังซีดเผือด อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังสั่นไหวราวกับจะหมดเรี่ยวแรง มิหนำซ้ำผมยังเดินหนีออกมาอย่างหุนหัน ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพไหน คงจะเป็นอะไรที่น่าตกใจ ทว่าหากจะเพิ่มความน่าหวาดหวั่นเข้าไปอีก คงจะเป็นภาพหลอนที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะตามมาหลอกหลอนอย่างที่คาดไว้หรือเปล่า 
“…”

“ผมขอโทษที่วันนั้นผมขาดสติ จนทิ้งให้เขาเผชิญอยู่กับเรื่องราวที่เหมือนฝันร้าย ทั้งๆ ที่ผมก็รู้อยู่แล้วว่าจันทร์เคยพบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ผมก็แค่เสียใจเลยไม่ทันคิดว่าคนที่กำลังทำแบบนั้น.. ไม่ใช่จันทร์ที่ผมรู้จัก..” ยิ่งพูดน้ำตาของผมก็ยิ่งคลอหน่วยตามากขึ้นทุกขณะ เพราะถ้าหากวันนั้นผมไม่เดินหนีอีกฝ่าย จันทร์ก็คงจะไม่ต้องเคว้งคว้างจนถึงกับตัดสินใจหลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฉากแบบทุกวันนี้
“…”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเขาไว้ จริงๆ นะคุณ”


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนที่แล้วอาจจะต้องตีความเยอะหน่อย เราไปดิทแก้และอธิบายบางส่วนแล้วนะคะ ว่าตรงไหนที่เฉลยเรื่องอะไรเอาไว้ในเนื้อเรื่องบ้าง แต่จริงๆ อ่านตอนนี้คิดว่าน่าจะเข้าใจกระจ่างขึ้นเนอะ ว่าจันทร์ตัวจริงคือใครกันแน่ และใครคือคนที่มีอะไรกับคุณชลวิทย์ (ประเด็นนี้อาจจะงงเล็กน้อย เพราะมันคาบเกี่ยวระหว่างจันทร์คนนั้นกับจันทร์ของพี่หมอ แต่สามารถลองย้อนไปอ่านตอนเกิดเหตุได้ว่า หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมนั่นแล้ว จันทร์ก็หันมาเห็นพี่หมอและเรียกพี่หมอ แต่พี่หมอเดินหนี ส่วนน้องจันทร์ตัวจริงก็นั่นแหละค่ะ ช็อก และกลับเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังฉากไปแล้ว)
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามเรื่องนี้อยู่นะคะ แนวนี้อาจจะอ่านยากนิดนึง หรืออันที่จริงอาจจะเป็นแนวเราที่อ่านยาก 5555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 22 ❀ หน้า 2 (update 12/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 13-06-2018 06:31:26
เขียนดี แต่ตั้งประเด็นเรื่องลึกขนาดนี้  คงต้องทำใจกับจำนวนคนรักพลาย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 22 ❀ หน้า 2 (update 12/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 13-06-2018 16:57:59
อ่านๆไปมีมึนกับตัวละครนิดหน่อย

แต่ชอบมากนะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 23 ❀ หน้า 2 (update 14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-06-2018 00:56:30
ตอน 23

เช้าวันนี้จันทร์ในคราบของคุณนักเขียนถูกพาตัวมายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ โดยห้องพักทางฝั่งซ้ายมือจะมองเห็นวิวทิวทัศน์อันร่มรื่นในมุมมองที่สวยที่สุด เพราะเป็นมุมที่สามารถมองเห็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่แบ่งแยกพื้นที่ของแต่ละอาคารเอาไว้ อีกทั้งยังมีต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงดอกไม้หลากสีสันประดับประดาอยู่รอบๆ อย่างสวยงาม
ทว่าหากเป็นช่วงหน้าหนาวบรรยากาศโดยรอบจะสวยงามยิ่งกว่านี้
เพราะเราจะมองเห็นดอกพญาเสือโคร่งชูช่อจนเต็มพื้นที่

สำหรับกิจวัตรประจำวันของผมยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีผู้ป่วยหน้าใหม่อย่างจันทร์ให้ต้องดูแล ขณะที่พี่จี๊ดพยาบาลผู้ร่วมทีมกำลังพาจันทร์ในคราบของคุณนักเขียนเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ วอร์ดจิตเวช พร้อมกับถือโอกาสพาอีกฝ่ายไปเดินชมสวนด้านนอก
เพราะสวนในบริเวณนี้ไม่เหมือนกับสวนที่เขาไปนั่งรอผมเมื่อวาน..

จากนั้นทีมบำบัดก็เข้ามาพบคุณนักเขียนในเวลาเกือบๆ จะเก้าโมง แต่เพราะอาการของเขาไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นเกิดการสลับตัวอย่างกะทันหันเหมือนกับในภาพยนตร์หรือเคสดังที่เคยศึกษา จึงทำให้คนในทีมที่ยังไม่เชื่อผลการวินิจฉัยก็ยังคงไม่เชื่อต่อไป ส่วนผู้ช่วยจิตแพทย์พร้อมกับพยาบาลผู้ดูแลก็ยังคงต้องสังเกตการณ์กันต่อไป
จนกระทั่งเวลาพักเที่ยงมาถึง ผมกับไอ้บาสก็ไปกินข้าวเป็นเพื่อนคุณนักเขียน เพราะคุณแม่ของผมจัดเตรียมอาหารกลางวันสำหรับเราสามคน ซึ่งเมนูของวันนี้คือ แกงผักกาดใส่ไก่ ผักเชียงดาผัดไข่ แคบหมูผัดพริกขิง น้ำพริกอ่องกับผักต้ม เล่นเอาผมกับไอ้ญาติผู้น้องถึงกับลาภปาก เพราะปกติมื้อกลางวันจะไม่ค่อยได้กินของอร่อยแบบจัดเต็มสักเท่าไหร่

“เมื่อเช้าคุณตรวจร่างกายไปบ้างแล้วใช่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามคุณนักเขียนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่บนเตียงคนไข้เงียบๆ ขณะที่เราสองคนพี่น้องก็ตักอาหารแต่ละอย่างราดลงบนจานข้าว จากนั้นก็มานั่งกินตรงมุมเคาน์เตอร์เล็กๆ ตรงข้างหน้าต่าง
“อืม”

“คุณโอเคใช่ไหม ?” เมื่อได้ยินคำตอบอันแสนสั้น ผมก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงผมจะไม่โอเค แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะคุณ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ซีเรียสมากเท่าลีกับจันทร์หรอก” คำตอบของคุณพีรวัตรทำเอาผมที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงักงันขึ้นมาทันที ซึ่งการกระทำนั้นก็ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้บาสที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ผม เพราะการตรวจร่างกายที่กำลังพูดถึงจะต้องมีการตรวจไส้เลื่อนและต่อมลูกหมากด้วย ซึ่งการตรวจในส่วนนี้จะต้องตรวจผ่านทางช่องทวารหนัก
ดังนั้นหากผู้ป่วยเคยถูกกระทำชำเรามาล่ะก็..
การตรวจแบบนั้นจะต้องเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาแน่ๆ

“เรื่องจันทร์ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจ แต่เรื่องของน้องลีคุณหมายความว่ายังไง ?” ผมหันไปถามอีกฝ่ายหน้าเครียด เพราะคำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าที่ผ่านมาตัวเองวิเคราะห์พลาดอย่างมหันต์
“ผม.. บอกไม่ได้ คุณไปถามลีเองเถอะ” คุณพีรวัตรปิดบทสนทนาจนผมไม่กล้าจะถามอะไรอีก พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่าอัตลักษณ์ของน้องลีไม่เคยออกมาใช้ชีวิตอีกเลย นับตั้งแต่ฤดูกาลของดอกสโนว์ดรอปส์ผ่านพ้นไป สาเหตุมันเป็นเพราะอะไร?
และมันจะเป็นไปได้ไหมว่า..
บางทีคุณพีรวัตรอาจจะควบคุมการออกมาใช้ชีวิตของใครอีกหลายคนที่อยู่ในร่างของจันทร์ได้

“ผลไม้ที่พีอยากลองกินวันนี้แม่ไปหาซื้อมาให้แล้วนะ” คุณแม่เอ่ยพลางวางถุงใส่ผลไม้สีเหลืองอมส้มลูกเล็กๆ ที่มีเปลือกบางๆ ห่อหุ้มอีกชั้นลงบนโต๊ะกินข้าวสำหรับคนไข้ ผมจึงเดินเข้าไปดูว่ามันคืออะไรเลยรู้ว่าสิ่งที่คุณนักเขียนอยากลองชิมคือเคพกูสเบอร์รี่
“ขอบคุณครับ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางยกยิ้มให้กับคุณแม่ผู้แสนใจดีของผม ซึ่งพอเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากแบบนั้น ผมก็ยิ่งคิดถึงจันทร์ผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะเป็นของจันทร์ แต่พฤติกรรมหลายๆ อย่างที่แสดงออก ก็ไม่เหมือนกับจันทร์คนที่ผมรู้จัก
ยิ่งเรื่องรอยยิ้มก็ยิ่งเทียบกันไม่ติด
เพราะจันทร์ของผมเวลายิ้ม เขาจะชอบยิ้มไปหมดทั้งใบหน้า ทำให้ลักยิ้มโผล่ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ก่อนจะเลิกงานผมได้อ่านบันทึกประวัติผู้ป่วยของจันทร์ที่พี่จี๊ดเอามาให้ พบว่าวันๆ หนึ่งคุณนักเขียนทั้งนั่ง ยืน เดิน และจบด้วยการนอนมองออกไปทางนอกหน้าต่าง คล้ายกับนอกห้องสี่เหลี่ยมมีอะไรที่น่าสนใจกว่า ซึ่งผมก็รับรู้ได้ว่าเขาคงจะเบื่อ เพราะปกติเวลาเงียบๆ ว่างๆ แบบนี้
เขาน่าจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพิมพ์นิยาย มากกว่าการหายใจทิ้งไปวันๆ

ส่วนการกินก็เจริญอาหารดี การขับถ่ายก็ดี อัธยาศัยก็ดี ให้ความร่วมมือก็ดี แต่เรื่องที่เกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ ‘คุณพีรวัตร’ ยังคงเป็นอัตลักษณ์เดียวที่แสดงตัวตน และมีการพูดติดสำเนียงภาษากลาง กิจกรรมที่ชอบทำคือการเขียนนิยาย การนั่งมองท้องฟ้า ส่วนเหตุผลสำหรับการหลับใหลของ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก คือการหลีกหนีจากความทรงจำที่เป็นเหมือนฝันร้ายในวัยเด็ก และเขาก็นอนหลับไปตั้งแต่อายุ 12 ปี เพราะเคยมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง
จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน

กระทั่งผมอ่านบันทึกดังกล่าวจบ สมองก็พลันว่างเปล่าเพราะประโยคที่ว่า ‘จันทร์เคยมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง’ ผมคาดว่าน่าจะเป็นช่วงที่ความทรงจำยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ดี แต่เมื่อความโหดร้ายทับถมจนเต็มอก เด็กชายตัวเล็กจึงเลือกจะตัดขาดจากตัวเองและตัดขาดจากความทรงจำบ้าๆ นั่นด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของใครสักคน
ซึ่งผมเดาว่า..
ใครคนนั้นอาจจะเป็น ‘จันทร์’ ของคุณชลวิทย์ 

หลังเลิกงานผมแวะไปเอาเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนในคืนนี้  พร้อมกับทานมื้อเย็นในช่วงหัวค่ำตรงข้างทาง จากนั้นก็ย้อนกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยไม่ลืมจะหยิบหนังสือและแมคบุ๊กติดมือมาด้วย แต่พอมาถึงก็พบเจอกับความวุ่นวายแถว ๆ ห้องที่เป็นจุดหมายปลายทาง จึงทำให้ผมทราบว่า..
ขณะนี้ ‘จันทร์’ ของคุณชลวิทย์มีโอกาสใช้ชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว

“ปล่อยกู! ปล่อย! กูจะไปหาพี่วิทย์ ปล่อย!” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกผิดกับท่าทีอันเป็นผู้ใหญ่แสนสุภาพของคุณนักเขียน และการอาละวาดในครั้งนี้ก็ทำให้พยาบาลหลายคนถึงกับประหลาดใจในสิ่งที่ได้เห็น เพราะลักษณะนิสัยรวมไปถึงน้ำเสียงของคุณนักเขียนและจันทร์คนที่กำลังโดนมัดมืออยู่นี้
ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะทำให้เชื่อถือได้เลยว่า..
คนสองคนคือคนคนเดียวกัน

“ใจเย็นๆ นะจันทร์ ตอนนี้มันมืดแล้ว พี่วิทย์ขับรถมาลำบากนะครับ อีกอย่างพี่วิทย์ก็ชอบมีอาการแพนิคตอนกำลังขับรถด้วย จันทร์ไม่เป็นห่วงพี่เขาเหรอ ?” ผมวางข้าวของลงบนโซฟาด้านขวามือพร้อมกับเดินเข้าไปหาคนบนเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ต่างกับตอนที่พูดกับจันทร์ของตัวเอง
“…” ฝ่ายคนป่วยหลังจากได้ยินคำถามก็ดูเหมือนกับจะสิ้นฤทธิ์ หลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ

“จันทร์ไม่ชอบใจที่ถูกมัดมือแบบนี้ใช่ไหมครับ ?” ผมเอ่ยถามพลางนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย เมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังนอนสะอื้นไห้ ทั้งๆ ที่ยังถูกพันธนาการไว้
“…” ฝ่ายคนถูกถามส่ายหัวเพียงครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าอีกครู่หนึ่ง ทำเอาผมงุนงงไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น จันทร์สัญญากับหมอได้ไหมว่าจะไม่ทำแบบเมื่อครู่อีก ?”
“อื้อ” เขาตอบเสียงแผ่ว ผมจึงหันไปเหลือบมองพยาบาลสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเพียงครู่ จากนั้นก็ตัดสินใจวัดดวงกับคนคนนี้ดูสักครั้ง

“ทำไมเมื่อกี้ถึงโมโหล่ะครับ ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามขณะกำลังแกะเชือกที่พันธนาการอีกฝ่ายกับไว้เตียงนอน
“ผมไม่อยากรักษา! ผมไม่ได้ป่วย! เข้าใจหรือเปล่าหมอ!” ดวงตาของจันทร์แข็งกร้าวขึ้นมาทันที พร้อมกับพละกำลังอันมากมายที่พร้อมจะพาตัวเองให้หลุดออกไปจากสถานที่อันไม่พึงปรารถนา อีกทั้งน้ำเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ยังดังลั่นจนไม่ต้องถามย้ำว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ผลสุดท้าย..
จันทร์ที่แสนดื้อดึงก็ต้องถูกมัดไว้กับเตียงเหมือนอย่างเดิม

หลังจากจัดการกับ ‘ม้าพยศ’ ได้แล้ว ผมก็ฝากน้องแพรให้ช่วยดูเขาไว้ครู่หนึ่ง ขณะที่ผมกำลังโทรไปหาไอ้บาสที่ในช่วงหลังเลิกงานแบบนี้มักจะขลุกตัวอยู่กับเพื่อนสมัยมัธยมด้วยความเป็นห่วง เพราะอาการของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยจะดีนัก ส่วนทางนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่าคนที่บ้านกลางป่าสน น่าจะกำลังวุ่นวายจึงไม่ได้รับสาย ผมเลยถอดใจพร้อมกับมานั่งครุ่นคิดอยู่ตรงม้านั่งด้านนอกทางเข้าวอร์ดจิตเวชว่าผมควรจะให้คุณชลวิทย์มาเยี่ยมจันทร์คนนี้หรือเปล่า เพราะผมกลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง แต่ด้วยความที่เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าอัตลักษณ์ใดจะออกมาตอนไหนก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน แต่บางทีปัญหามันอาจจะอยู่ที่คุณชลวิทย์ เพราะผมคิดว่าสภาพจิตใจของเขายังไม่น่ามาเจอกับจันทร์ที่ตัวเองรักนักรักหนาได้แน่ๆ
เพราะใบหน้าของจันทร์ทั้งสองคนเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว

“เห้อ~” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกหนักใจกับปัญหาหลายๆ อย่าง แล้วก็เป็นห่วงจันทร์ที่ยังคงหลบอยู่ข้างหลังฉากเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำใครคนนั้นยังจะหนีไป ทั้งๆ ที่เรากำลังเข้าใจผิดกันแบบนี้ อดจะทำให้ผมคิดมากไม่ได้ เนื่องจากผมไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจอีกเมื่อไหร่
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ..
ผมยังจะมีโอกาสอธิบายอยู่อีกไหม ?

“คุณแกะมัดนี่ออกไม่ได้เหรอ ?” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็พบกับคำถามของคุณพีรวัตรและสายตาขอความคิดเห็นจากน้องแพร ผมจึงพยักหน้าเมื่อพิจารณาอย่างดีแล้วว่าคนคนนี้คือคุณนักเขียนแน่ๆ
“กรออกมาแผลงฤทธิ์สินะ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพลิกข้อมือทั้งสองข้างไปมาครู่หนึ่ง

“กร ? ชื่อจริงของเขาเหรอครับ ?” ผมย้อนถามพลางเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตรงข้างเตียง
“อืม”

“แล้วทำไมเขาถึงต้องสวมรอยใช้ชื่อของจันทร์ด้วยล่ะ ?” ผมย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คงจะเลยตามเลยล่ะมั้ง” เมื่อได้ยินคำตอบผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะดูท่าแล้วคนคนนั้นน่าจะยอมลงให้กับคุณชลวิทย์เพียงคนเดียว

“ผมถามหน่อยสิ ทำไมเขาถึงเรียกคุณชลวิทย์ว่า ‘พี่วิทย์’ แต่ทั้งคุณ จันทร์ แล้วก็ลี ต่างเรียกเขาว่า ‘ชล’ ผมอยากรู้ว่าชื่อที่กรเรียกมีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่า ประมาณว่าเป็นชื่อสำหรับคนในครอบครัวใช้เรียกกันแบบนี้น่ะ”
“ก็เป็นไปได้นะ ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้สนใจสักเท่าไหร่ เพราะผมกับเขาเราอยู่กันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า”

“คุณหมายความว่ายังไง ?”
“ค่าลิขสิทธิ์นิยาย แลกกับที่พักและห้ามมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผม”

“สรุปว่านี่ก็คือเหตุผลที่คุณให้น้องลีเป็นผู้ออกมารับมือกับเขา ตอนที่มีการใช้ดอกสโนว์ดรอปส์เพื่อการข่มขู่ใช่หรือเปล่า ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะในเวลาแบบนั้นลีเหมาะสมที่สุด”

“เวลาแบบนั้น ?” ผมเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“ผมหมายถึงช่วงเวลาของฤดูกาลสโนว์ดรอปส์”

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมน้องลีต้องออกมาใช้ชีวิตแค่ช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์บานด้วยล่ะ?”
“อันที่จริงลีเคยออกมาใช้ชีวิตได้ยาวนานกว่านั้น แต่หลังจากย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน ช่วงเวลาแบบนั้นก็คือช่วงเวลาของเธอ.. ช่วงเวลาที่จันทร์ต้องการลี”

“คุณกำลังจะบอกผมว่าช่วงเวลาที่ดอกสโนว์ดรอปส์บาน มันเคยเป็นช่วงเวลาที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายกับจันทร์ใช่หรือเปล่า?”
“ก็ประมาณนั้น ผมเองก็ไม่รู้อะไรมาก เพราะตัวผมเกิดขึ้นทีหลังสุด” คำตอบของคุณนักเขียนทำให้สมองของผมเริ่มเรียงไทม์ไลน์ของการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเริ่มจาก ‘น้องลียากร’ ถัดมาก็คือ ‘คุณกร’ ที่บางครั้งก็ใช้นามแฝงว่าจันทร์ และสุดท้ายก็คือ ‘คุณพีรวัตร’

“คุณพอจะจำได้หรือเปล่าว่ามันเป็นปีที่เท่าไหร่?”
“น่าจะช่วงที่จันทร์อายุ 13 ปี”

“แล้วเหตุผลที่เขาสร้างคุณขึ้นมาคืออะไร?”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นความเข้มแข็ง” คำตอบของคุณพีรวัตรทำให้ผมพอจะเข้าใจได้บ้าง เนื่องจากบุคลิกของอีกฝ่ายดูจะเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว อีกทั้งยังกล้าคิด กล้าตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยม เพราะถ้าหากไม่ได้อีกฝ่าย ป่านนี้ผมอาจจะเอาตัวจันทร์ออกมาจากบ้านกลางป่าสนได้ยาก แล้วไหนจะตอนที่ม้าพยศแผลงฤทธิ์ด้วยการหนีออกจากบ้านก็อีก
ถ้าหากไม่ได้เขาผมไม่อยากจะคิดเลยว่าเรื่องราวมันจะวุ่นวายมากแค่ไหน..

“ผมว่าคุณคงจะเหนื่อยแล้วล่ะ พักผ่อนเถอะ เวลาที่ม้าพยศอย่างกรแผลงฤทธิ์แต่ละที ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
และมันก็เรียกเสียงหัวเราะของคุณนักเขียนได้เป็นอย่างดี

“อ้อ ผมเอาแมคบุ๊กกับหนังสือมาให้คุณด้วย” หลังจากปิดไฟและล้มตัวลงนอนพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดคอ ผมก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด เพราะดันลืมสนิทใจเลยว่าผมยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
“ขอบคุณ” สิ้นคำตอบรับทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่ผมก็ได้แต่นอนมองเพดานจนเวลามันผันผ่านไป แต่สุดท้ายก็ยังนอนไม่หลับ เพราะความรู้สึกมันเหมือนกับว่าตัวผมก็อยู่ใกล้กับจันทร์เพียงแค่นี้ แต่ทำไมมันถึงเหมือนกับเราอยู่ห่างไกลกันราวกับคนละซีกโลก ซึ่งกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลราวกับคนละซีกโลกของจริง ยังโชคดีที่มีเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัยให้ใช้ แต่กับผมมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ นอกจากผมจะลองใช้วิธีสะกดจิต หรืออาจจะต้องใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเข้าช่วย ซึ่งมันก็อาจจะต้องผ่านการยินยอมจากอัตลักษณ์อื่นๆ ด้วยหรือเปล่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจ
แต่ถึงจันทร์จะกลับมา..
เขายังจะเชื่อในตัวผมอยู่หรือเปล่า ?

ผมลุกขึ้นนั่งพลางมองไปยังใครบางคนที่กำลังนอนแน่นิ่ง ซึ่งใครคนนั้นก็คือจันทร์ แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ควบคุมจิตวิญญาณของเขา กลับไม่ใช่คนที่หวัง มันเลยทำให้ผมรู้สึกถึงความห่างไกลมากยิ่งขึ้น
แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงของอีกฝ่าย พลางแนบใบหน้าลงบนข้างแขนของตัวเองที่วางอยู่ใกล้ๆ กับแผ่นหลังของคนที่กำลังนอนตะแคงหันหน้าออกไปทางหน้าต่างบานใส
พร้อมกระซิบเบาๆ ในใจว่า..
‘พี่คิดถึงจันทร์นะ’


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
เราว่าจะลงตั้งแต่ละครจบ แต่เผลอหลับ 555 ตอนนี้ก็หม่นๆ กันไปก่อนเนอะ แล้วก็เหมือนจะมีปริศนามาอีกแล้ว ส่วนเรื่องการตรวจร่างกาย เราอิงเอาจากในหนังสือนะคะ
สำหรับแนวเรื่องเราคิดว่าเราอยากจะแต่งให้เป็นโทนเทาๆ คือไม่ได้ดราม่าจ๋า เพราะเราอยากเขียนสื่อในทำนอที่ว่า มีใครสักคนที่เข้าใจและยอมรับได้ในสิ่งที่ผู้ป่วยจิตเวชเป็น เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะสามารถทำเขามีกำลังใจมากๆ เลยนะ
ปล. เราไม่แน่ใจว่าจะกี่ตอนจบ แต่เราคิดตอนจบได้แล้ว 555 ระหว่างทางนั้นก็ต้องดูกันอีกที เพราะโรคนี้ใช้เวลารักษายาวนานมาก
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 23 ❀ หน้า 2 (update 14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 14-06-2018 20:21:33
จะจบยังไงนะเรื่องนี้ แต่ขอให้พี่หมอแฮปปี้นะค้า สงสารฮี555555

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 24 ❀ หน้า 2 (update 14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-06-2018 22:56:39
ตอน 24

เช้าวันนี้คนที่ออกมาใช้ชีวิตและควบคุมจิตวิญญาณของจันทร์คือ ‘คุณกร’ ม้าพยศที่ยังคงพยศไม่เลิกรา ซึ่งผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น เพราะเขามีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีความชอบ และมีความฝันเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังมีความรักไม่ต่างกับเราๆ เขาก็ย่อมไม่อาจจะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะรับรู้ได้
แม้ว่าครั้งหนึ่งตัวตนที่จันทร์สร้างขึ้นจะเคยพูดคุยกันผ่านทางสมุดบันทึก แต่ผมก็เพิ่งจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าความลับนี้มีเพียงแค่คุณชลวิทย์และคุณพีรวัตรเท่านั้นที่ล่วงรู้ ซึ่งเทียนหอมที่เคยถูกนำใช้ มีไว้เพื่อจำแนกว่าใครเป็นใคร ดังนั้นการที่จันทร์ไม่มีเทียนหอมก็คือหนึ่งในคุณสมบัติของอัตลักษณ์หลัก ส่วนคุณกรตามคำให้การของคุณนักเขียน เขาแจ้งมาว่ารายนี้ไม่ค่อยได้ออกมาใช้ชีวิตสักพักนึงแล้ว แต่ถ้าหากวันไหนจันทร์ของผมรู้สึกย่ำแย่ เคว้งคว้าง อัตลักษณ์ของคุณกรที่เป็นผู้รองรับความเจ็บปวดก็จะออกมาใช้ชีวิต
และทุกครั้งเขาก็มักจะพลั้งมือฆ่าตัวตาย

โชคดีที่คุณชลวิทย์คอยเฝ้าระวังอยู่ตลอด ดังนั้นการที่เราเห็นกรยิ้มหรือหัวเราะ ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังมีความสุขจากใจจริง เพราะเขาก็แค่ฝืนตัวเองเพื่อความสุขของคุณชลวิทย์ ฉะนั้นเวลานี้เมื่อเขาทราบความจริงว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับความเจ็บปวดของคนชื่อ ‘จันทร์’ เขาถึงได้อาละวาดจนต้องพันธนาการไว้กับเตียงเหมือนอย่างเคย
ขณะที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบในอกทุกครั้งที่ได้เห็น ‘กร’ เพราะเขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น และความเจ็บปวดทางร่างกายของจันทร์ที่เกิดขึ้นเพราะเขา ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี และใจจริงแล้วผมก็แทบไม่อยากให้จันทร์ได้รับบาดเจ็บ แม้จะเพียงปลายเล็บก็ตาม
เนื่องจากว่า..
จันทร์ของผม.. เขาเจ็บปวดมามากพอแล้ว

“เออพี่ภัทร พี่ทรายแกอยากจะมาเยี่ยมจันทร์น่ะ พี่คิดว่ายังไง ?” ช่วงบ่ายหลังจากกินกันจนอิ่มหนำด้วยฝีมือทำกับข้าวของแม่ผมแล้ว ไอ้บาสก็เกิดอาการอยากคาเฟอีนขึ้นมา เลยลงไปหาซื้อเครื่องดื่มมากระแทกปากสักหน่อย เวลานี้มันถึงได้คาบข่าวจากทางฝั่งของพี่ทรายผู้เป็นเจ้าของคาเฟ่มาบอกผมได้ เพราะช่วงที่เรากำลังวุ่นๆ ผมก็ลืมบอกแกไปเลยว่าจันทร์ไม่สามารถทำขนมได้อีกต่อไป โชคดีที่คุณชลวิทย์ยังมีความรับผิดชอบ เพราะเขาโทรไปแจ้งกับทางร้านตั้งแต่วันที่รู้ว่าจันทร์จะต้องเข้ารับการรักษา และการกระทำดังกล่าวของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า
เขาคงจะอยู่ในขั้นพยายามจะยอมรับความจริงให้ได้

“ตอนนี้น่าจะยังไม่ได้ว่ะ เมื่อเช้ากรออกมาใช้ชีวิต เล่นเอาทั้งวอร์ดยุ่งกันไปหมด มึงก็น่าจะรู้”

“ก็จริง แต่ผมก็ตอบแบบปฏิเสธอ้อมๆ ไปแล้วล่ะว่าตอนนี้ยังไม่สะดวก”
“แล้วเพื่อนมึงเป็นยังไงบ้างวะ?” ผมเอ่ยถามถึงอาการของคุณชลวิทย์ที่ช่วงนี้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบของผมไปแล้ว เพราะเคสของเขามีหมอปาล์มกับไอ้บาสคอยดูแลอยู่

“ก็เป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้นั่นแหละพี่” สิ้นคำตอบของไอ้บาส ผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ซึ่งอาการของผู้มีภาวะซึมเศร้าก็อย่างเช่น มีอารมณ์เศร้า หดหู่ วิตกกังวล รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า โดดเดี่ยว สิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย โดยที่อารมณ์เหล่านั้นจะมีความรุนแรงและคงอยู่อย่างยาวนานกว่าปกติ และยังสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายจนทำให้รู้สึกอ่อนล้าตลอดเวลา อีกทั้งยังมีความเจ็บปวดทางร่างกาย และบางทีก็นอนหลับยากหรือว่าหลับมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม ไม่มีสมาธิ ทำงานไม่ได้ หมดความสนใจในเรื่องที่เคยชอบ รวมถึงการมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง
ซึ่งโรคซึมเศร้ายังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง โดยอาการของมันจะส่งผลกระทบไปถึงการใช้ชีวิต และโรคซึมเศร้าเรื้อรังที่แม้ว่าอาการจะรุนแรงน้อยกว่า แต่ภาวะซึมเศร้าจะคงอยู่ยาวนานอย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป และบางช่วงเวลาผู้ป่วยก็จะต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าชนิดรุนแรงร่วมด้วย
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกจะปล่อยวางกับเรื่องราวของคุณชลวิทย์
เพราะผมพอจะคาดเดาได้ว่า เขาคงต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าจากเหตุการณ์ตึงเครียดในชีวิต และมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

บ่ายวันนี้ได้มีการกำหนดแผนการบำบัดในรายงานเป้าหมายของทางโรงพยาบาล เนื่องจากเหล่าบุคลากรและผู้ป่วยท่านอื่นๆ กำลังเกิดความสับสนในตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ จึงมีการกำหนดแผนการเอาไว้ว่าคุณเพียงจันทร์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำขณะที่มีหลักฐานและไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยถ้าหากจันทร์กำลังพูดถึงตนเองในฐานะอัตลักษณ์อื่น ก็ให้เจ้าหน้าที่คอยย้ำเตือนว่าเขาคือใคร และถ้าหากเขามีการขีดเขียนหรือกระทำการใดๆ ก็ให้เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเราเห็นอีกฝ่ายกำลังกระทำสิ่งนั้น เช่น ตอนที่อัตลักษณ์ของ ‘กร’ ออกมาใช้ชีวิต หากเขาบอกว่าไม่เคยใช้แมคบุ๊ก ก็ให้เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเขาใช้ หรือถ้าหาก ‘จันทร์’ ผู้เป็นอัตลักษณ์หลักมีการออกมาใช้ชีวิตและปฏิเสธว่านิยายที่กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอแมคบุ๊ก ไม่ได้เกิดจากฝีมือของเขาก็ให้ย้ำเตือนว่าเราเห็นเขากำลังนั่งพิมพ์ข้อความดังกล่าวอยู่บนเตียง
โดยแผนการนี้จะกินเวลาทั้งหมดหนึ่งเดือนเต็ม

ซึ่งผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยเพราะการที่เราย้ำเตือนเหมือนกับไม่ยอมรับ หรือว่ามองข้ามตัวตนของอัตลักษณ์อื่นๆ อาจจะทำให้พวกเขาต่อต้านเอาได้ โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของ ‘กร’ ผมเชื่อว่าเขาจะต้องอาละวาดแน่ๆ เนื่องจากเขายังมีความเชื่อมั่นว่าตัวเขาก็คือตัวเขา ไม่ใช่ใคร และไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใคร ทั้งนี้ผมจึงโทรไปปรึกษากับ ดร. ธีรชัย ด้วยความเคร่งเครียด
แต่ท่านก็แจ้งมาว่า..
บางที.. วิธีนี้อาจจะใช้ได้ผลกับคนไข้บางรายก็เป็นได้

กระทั่งช่วงเย็นเดินทางมาถึง บันทึกประวัติผู้ป่วยจากพี่จี๊ดก็วางลงบนโต๊ะเหมือนอย่างเคย ซึ่งวันนี้กิจกรรมของ ‘จันทร์’ ในฐานะอัตลักษณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย เช่น ‘กร’ ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ อาหารก็ไม่ค่อยกิน แต่มื้อกลางวันดูเหมือนเขาจะยอมกินเพราะเกรงใจแม่ของผม และทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า ‘จันทร์’ เขามักจะอาละวาดราวกับต่อต้านอย่างหนัก คงเพราะชื่อนี้กลายเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับเขาไปแล้ว ขณะที่ ‘คุณพีรวัตร’ ออกมาใช้ชีวิตในช่วงบ่ายก็มีการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า ‘จันทร์’ สายตาของเขาจะดุดันขึ้นในทันที
เพียงเท่านี้ก็พอจะทราบได้แล้วว่า..
วิธีนี้.. มันไม่เวิร์ก

ด้วยความที่วันนี้จันทร์ในคราบของคุณนักเขียน ได้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดในช่วงบ่าย ซึ่งกิจกรรมในวันนี้คือการทำภาพคอลลาจ[1] ที่จะอยู่ภายใต้หัวข้อ ‘ภาพที่บ่งบอกถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองหรือว่าใครบางคนที่เรารัก’ โดยเจ้าหน้าที่จะมีอุปกรณ์ เช่น นิตยสาร และกระดาษแข็ง ขนาด 8 x 11 เซนติเมตร รวมทั้งกาว กรรไกร แจกจ่ายให้
ซึ่งผู้ป่วยหลายคนก็มีความสามารถทางด้านศิลปะไม่น้อย แต่ทว่าภาพศิลปะเหล่านี้ ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงความคิด ทัศนคติ และอะไรอีกหลายอย่างที่เราสามารถไขปริศนาได้อีกด้วย

โดยภาพคอลลาจฝีมือของคุณนักเขียน มีภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นำมาจากนิตยสารที่แจกจ่ายให้ วางแปะไว้ตรงกลางภาพ ซึ่งเด็กชายคนนั้น มีใบหน้าเศร้าหมอง อีกทั้งยังแผ่กระจายความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ดวงตาของเขากำลังเฝ้ามองผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งก้าวเดินจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอ้างว้างให้กับเด็กชายตัวน้อยผู้แสนน่าสงสารที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง
และมันก็ทำให้ผมเอะใจกับอะไรบางอย่าง..

“จันทร์” ผมถือภาพคอลลาจเดินไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อประตูเปิดออก ผมก็ร้องเรียกใครบางคนด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว ขณะที่สายตาก็พินิจพิจารณาคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทั่งแน่ใจแล้วว่าคนคนนี้เป็นใคร ผมก็รีบฉีกยิ้มกว้างพร้อมก้าวเดินด้วยช่วงขายาวๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้างเตียง
“พี่ภัทร..” จันทร์ร้องเรียกผมเสียงแผ่วพลางก้มหน้าก้มตาราวกับคนมีความผิดติดตัว

“จันทร์จริงๆ ด้วย” ผมวางภาพศิลปะฝีมือของจันทร์ตัวจริงไว้บนเตียง จากนั้นก็เอื้อมมือไปประคองฝ่ามือของอีกฝ่ายมากอบกุมไว้ พร้อมทั้งใช้ปลายจมูกแตะลงบนหลังมือของคนที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะกลับมาเจอกันในเวลาอันรวดเร็ว
“จันทร์ไม่ได้ตั้งใจ” คนบนเตียงกล่าวเสียงอ่อย ทำเอาผมยุติการเคลื่อนไหว ก่อนจะมองจ้องไปยังใครบางคนที่กำลังนั่งก้มหน้าจนแทบจะชิดอก

“พี่รู้.. พี่เข้าใจจันทร์ทุกอย่าง เพียงแต่วันนั้นพี่แค่กำลังเสียใจเลยไม่ทันได้คิดให้ดีว่าจันทร์ของพี่ไม่มีทางทำแบบนั้น” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางขยับขึ้นไปนั่งบนพื้นที่ว่างตรงข้างเตียง และเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายที่กำลังนั่งซบอิงอยู่ตรงข้างแขนของผมเพียงเบาๆ
“แต่จันทร์ก็ทำ จันทร์ทำจริงๆ พี่ภัทรก็เห็น..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพร้อมน้ำตาที่กำลังร่วงหล่น เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น..
วันที่เป็นเหมือนกับฝันร้าย..

“จันทร์ทำทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว ไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่าพอลืมตาขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว.. เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ตอนแรก จันทร์ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับพี่ภัทร แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
“…”

“ทำไมถึงเหมือนกับตอนเด็กๆ ที่จันทร์ลืมตาขึ้นมาก็ถูกแม่กับคุณครูทำโทษ แต่พอจันทร์อธิบายว่าจันทร์ไม่ได้ทำก็ไม่มีใครเชื่อจันทร์เลย ทุกคนเอาแต่บอกว่าจันทร์เป็นเด็กขี้โกหก ทั้งๆ ที่จันทร์ก็พูดความจริงทุกอย่าง” จันทร์กล่าวปนสะอื้นอย่างหนัก พร้อมทั้งจิกปลายเล็บเข้ากับเนื้อเตียงอย่างแน่นหนา จนทำให้ผมต้องเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างของเขามาวางไว้บนหน้าตักของตัวเอง พร้อมทั้งลูบหลังฝ่ามือของเจ้าตัวเพียงเบาๆ และรับฟังความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างเงียบเชียบ
“…”

“จันทร์รู้..” คนป่วยกล่าวพลางสะอื้นไห้ จนไม่สามารถต่อคำพูดที่ต้องการจะบอกกล่าวให้จบประโยค ผมจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปโอบไหล่ของเจ้าตัวไว้ เพื่อให้เขาไม่รู้สึกอ้างว้าง เหมือนกับภาพคอลลาจที่บ่งบอกถึงการไม่ได้รับความเชื่อใจจากคนสำคัญ ซึ่งผมคงจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นที่ถูกแทนที่ด้วยภาพของผู้ชายที่กำลังเดินหันหลังให้กับเด็กชายตัวน้อยผู้แสนน่าสงสาร
“…”

“จันทร์รู้ว่าถึงอธิบายไปมันก็ไม่มีประโยชน์..”
“แต่กับพี่คำอธิบายมันใช้ได้ผลนะจันทร์”

“…”
“เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไม่ใช่เหรอ ?” ผมโต้เถียงหลังจากที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป เมื่อจันทร์คนที่กำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมแขน เขาหลับตาลงไปแล้ว..
ซึ่ง ‘การหลับตา’ ในที่นี้..
คือการก้าวเข้าไปอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง..

ณ เวลานี้ ผมรู้สึกเคว้งคว้างไปหมด อาจเพราะจันทร์ไม่มีความเชื่อใจมอบมาให้ตั้งแต่แรก เห็นได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยหวาดกลัวว่าผมจะหนีหายไป จนมาถึงครั้งนี้.. ครั้งที่เป็นปัญหาใหญ่  จันทร์ที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เด็กขี้โกหก’ คงจะเหน็ดเหนื่อยกับการแก้ตัว
อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนั้นยังบ่งบอกได้ว่า ก่อนหน้านี้มันเคยเกิดอะไรขึ้น มิหนำซ้ำผมยังเดินหนีอีกฝ่ายไป ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ถึงความเชื่อใจ ที่เราต่างก็มีให้กันไม่มากพอ
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวในครั้งนี้ก็สามารถอธิบายได้
ถ้าหากจันทร์.. กล้าเสี่ยงดวงกับคนอย่างผมอีกสักครั้ง

เพราะถ้าหากลองคิดวิเคราะห์ดูให้ดี จันทร์ก็น่าจะรู้ว่าในสถานการณ์แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมองอะไรให้ลึกซึ้งได้ง่ายๆ แต่ในทางกลับกันเจ้าของบ้านคนน้องก็ไม่เคยทราบถึงสถานการณ์หลังจากนั้น อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตและยังฝังลึกมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นเราอาจจะต้องบำบัดอีกฝ่ายในจุดนี้ด้วย
เพราะความเชื่อใจดังกล่าว ไม่ใช่ไม่มีให้แค่เพียงผม แต่กับคนอื่นๆ จันทร์ก็อาจจะไม่มีให้พวกเขาอีกต่อไป..

แต่อย่างน้อยการตื่นจากการหลับใหลของจันทร์ในครั้งนี้ ทำให้ผมโล่งใจได้อยู่อย่าง เพราะมันทำให้ผมทราบว่าเหตุการณ์ในวันนั้น ไม่ได้ทำให้คนที่เคยฝันร้าย ต้องมาฝันซ้ำเดิมอีก และมันก็ยังทำให้ผมทราบว่าในร่างกายของจันทร์..
อาจจะยังมีอีกอัตลักษณ์หนึ่งซุกซ่อนอยู่
เพียงแต่ผมกำลังสงสัย ว่าทำไมอัตลักษณ์ดังกล่าวถึงได้ไร้ตัวตน ราวกับจันทร์ไม่เคยสร้างเขาขึ้นมาแบบนี้..


゚゚❀゚゚

[1] ภาพปะติด หรือ คอลลาจ (collage) เป็นคำในภาษาฝรั่งเศส (coller) หมายถึงการใช้กาวในการทำงานศิลปะด้วยเทคนิคต่างๆ โดยการเรียบเรียงภาพเก่าที่มีอยู่เข้ากับการใช้วัสดุใหม่ๆ ประกอบกันเพื่อให้เกิดความหมายใหม่ หรือลดทอนความหมายเดิม

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ภาพคอลลาจ
เว็บ 1 :  https://goo.gl/9VPgHh  / เว็บ 2 :  https://goo.gl/aCjyhL

- โรคซึมเศร้า :  https://goo.gl/G8pT8n

มันอาจจะสั้นไปหน่อยเพราะเราพยายามจะให้มันจบภายในหนึ่งวัน แต่ตอนต่อไปอาจจะขยับความเร็วของเนื้อเรื่องอีกสักนิด 55 น้องจันทร์ที่ทุกคนคิดถึงออกมาแล้ว แต่ในมุมมองของน้องคือ ภาพของพี่หมอที่เดินหนีไป ก็เหมือนกับภาพของคนอื่นๆ ที่เคยว่าเจ้าตัวไว้ว่าเป็นเด็กขี้โกหก ความกลัว ความไม่มั่นใจ มันทำให้น้องเลือกที่จะไม่รับฟังความคิดเห็นจากใครอีก เพราะสุดท้ายเจ้าตัวก็จะถูกลงโทษเหมือนที่ผ่านๆ มา ฉะนั้นแล้วต้องใช้วิธีทางจิตวิทยาช่วยให้น้องเชื่อมั่นคนอื่นๆ จากนั้นพี่หมอถึงจะได้น้องคืนกลับมาจ้า อ้าวสปอย 555

ปล. เราขอไม่เขียนให้น้องดราม่าเรื่องแบบนั้น เพราะว่าช่วงที่น้องตื่นมา ก็อย่างที่บอกว่ามันเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่น้องก็รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือไม่ได้ขยะแขยงเพราะภาพในอดีตไม่ได้ย้ำเตือน แค่ประมาณรู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงวาบมาอยู่ตรงนี้ ทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ลงไป ทำไมพี่ชลถึงทำแบบนี้ คือจันทร์ก็จะมึนๆ ตามประสาผู้ป่วยโรค DID ที่ความทรงจำขาดหายนั่นแหละจ้า ซึ่งครั้งนี้มันหนักเพราะคนที่ชอบและพี่ชายที่ไว้ใจดันทำตัวเหมือนจะทิ้งตัวเองให้เคว้งคว้างและหักหลังกันประมาณนี้  เดี๋ยวไว้ความรู้สึกของน้องจะเขียนเพิ่มมากขึ้นเมื่อน้องกลับมา 555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 25 ❀ หน้า 2 (update 16/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-06-2018 20:17:01
ตอน 25

เช้าวันนี้จันทร์ในคราบของคุณนักเขียนจะต้องเข้ารับการบำบัดกับ ดร. อาทิตย์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงประจำจังหวัดเป็นคาบแรก โดยตลอดทั้งการสัมภาษณ์จะต้องมีการบันทึกวีดิโอเพื่อการศึกษา
ดังนั้นในคาบนี้น่าจะเป็นการทำความรู้จักกันเสียมากกว่า
 
นอกจากนี้ ดร. ธีรชัยยังให้คำแนะนำมาอีกว่า พวกเราจะต้องเร่งค้นหาว่าจันทร์มีทั้งหมดกี่อัตลักษณ์ เพื่อที่จะได้ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นใคร จากนั้นก็พยายามให้แต่ละตัวตนกล่าวถึงสาเหตุของการปรากฏตัว และนำพาพวกเขากลับไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนะนำให้แต่ละอัตลักษณ์ทำความรู้จักกัน พูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหา รวมถึงแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้แก่กัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่ต่างคนต่างอยู่ ซึ่งกลยุทธ์นี้มันคือวิธีการรวบรวมทุกๆ ตัวตนเข้าด้วยกัน
เนื่องจากมันจะทำให้จันทร์มีโอกาสนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่เคยขาดหาย

ทว่าจิตแพทย์แต่ละท่าน ต่างก็มีวิธีในการบำบัดที่แตกต่างกัน ดังนั้น ดร. อาทิตย์ จึงเลือกใช้วิธีการของตนเองในการเรียนรู้ว่าผู้ป่วยกรณีศึกษาผู้นี้ คือใครและเป็นอะไรกันแน่
ดังนั้นแผนการย้ำเตือนให้แต่ละอัตลักษณ์รับรู้ว่า..
พวกเขาคือส่วนหนึ่งของคนที่ชื่อ ‘เพียงจันทร์’ จึงเกิดขึ้น

ขณะที่แผนการบำบัดในส่วนของกิจกรรมบำบัด มีการเพิ่มหัวข้อใหม่เข้าไปด้วย เนื่องจากข้อมูลที่ผมพบเจอเมื่อเย็นวานนี้ ถือเป็นข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังสอดคล้องกับผลงานทางด้านศิลปะของจันทร์ที่ล้วนบ่งบอกได้ดีว่า..
กิจกรรมการบำบัดในครั้งต่อไป..
ควรจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ ‘ความเชื่อใจ’

กระทั่งเวลาสิบเอ็ดโมงตรง เป็นเวลาของคาบบำบัดที่ว่าด้วยการทำอาหาร ผมที่เพิ่งจะเคลียร์ผู้ป่วยนอกจนหมด ตั้งใจจะเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว แต่ปรากฏว่า ดร. อาทิตย์นำไฟล์วีดิโอมาให้ผมดูเสียก่อน เลยไม่ทันได้ไปดูฝีมือการทำอาหารของคุณนักเขียนว่าจะเด็ดดวงเทียบเท่ากับจันทร์หรือเปล่า เพราะรายนั้นเขาเก่งด้านการทำครัว ดูจากขนมที่เคยทำขายเอาก็ได้ว่ามันน่ากินและน่าอร่อยมากแค่ไหน
แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดผาดขึ้น เพราะเท่าที่ผมจำได้ ไอ้บาสกับคุณพีรวัตรเหมือนจะเคยพูดทำนองว่าจันทร์ของผมเพิ่งจะมีโอกาสตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลช่วงที่ผมเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน ขณะที่กรกลับไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ออกมาใช้ชีวิตในช่วงนั้น เพราะการมาถึงของผม มันมีผลต่อความรู้สึกของจันทร์ แล้วมันก็เป็นไปได้ว่าเมื่อผมไม่ได้เดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน คนที่ออกมาใช้ชีวิตก็มักจะไม่ใช่จันทร์เสมอไป ดูได้จากเหตุการณ์สุดสะเทือนใจในวันนั้น
ซึ่งมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่า..
ทุกๆ อัตลักษณ์ ต่างก็เคยทำขนมส่งให้กับพี่ทรายในนามของ ‘จันทร์’

แต่กับเรื่องการเขียนนิยายในนามของคุณอนธการ ไม่มีทางที่ใครจะมาทำแทนได้ แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่จันทร์สร้างอัตลักษณ์ของ ‘คุณพีรวัตร’ ขึ้น เขาก็คือคนที่ออกมาใช้ชีวิตได้ยาวนานพอๆ กับอัตลักษณ์ของ ‘คุณกร’ เพราะนอกจากอัตลักษณ์ของคุณนักเขียน จะแสดงถึงความเป็นผู้พิทักษ์แล้ว ยังหมายรวมถึงความเข้มแข็ง..
ที่ครั้งหนึ่งในอดีต.. จันทร์อาจจะเคยใฝ่ฝันอยากมีมันไว้ในครอบครอง
และการมีอยู่ของ ‘คุณพีรวัตร’ ก็อาจจะนำมาซึ่ง จุดเริ่มต้นของการล่วงรู้โดย ‘คุณชลวิทย์’

ผมดับเบิ้ลคลิกเข้าไปยังโฟลเดอร์บันทึกการรักษา และเลือกเข้าไปยังโฟลเดอร์ย่อยที่มีชื่อว่า ‘นายเพียงจันทร์ เกิดกวี’ จากนั้นก็ดับเบิ้ลคลิกไปที่ไฟล์วีดิโอ ‘บันทึกการรักษาครั้งที่ 1’ รอเพียงไม่นานโปรแกรมสำหรับเล่นคลิปวีดิโอก็ปรากฏและตามมาด้วยภาพของห้องสี่เหลี่ยมห้องที่มีบรรยากาศแบบสบายๆ โดยผู้ป่วยอย่างจันทร์ในคราบของคุณนักเขียนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ขณะที่ ดร. อาทิตย์นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวไม่ไกลจากกันนัก

“ผมขออนุญาตบันทึกไฟล์วีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษานะครับ”
“อ่อ.. ครับ” คุณนักเขียนกล่าวพลางมองจ้องมายังกล้องวีดิโอตัวเก่งอย่างแน่วแน่ ร้างไร้ซึ่งความตื่นกลัว

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับคุณเพียงจันทร์ ผม ดร. อาทิตย์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ขอโทษนะครับ ผมพีรวัตรครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” สิ้นคำพูดของด็อกเตอร์ก็ตามมาด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของคุณนักเขียน
 
“โอเคครับ ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ?” ดร. อาทิตย์เริ่มถามเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนคล้อยตาม
“ตอนนี้ผมอายุ 27”

“แล้วคุณมีพี่น้องกี่คน ?”
“ผมเป็นลูกคนเดียว”

“แล้วตอนนี้คุณกำลังทำอาชีพอะไรอยู่ครับ ?”
“ผมเป็นนักเขียน”

“อืม.. แล้วคุณมีแนวที่ชอบเขียนบ้างหรือเปล่า ?”
“ไม่นะ ผมก็เขียนได้หมด แต่ไม่รู้ทำไมถึงออกมาเป็นแนวดราม่าแทบทุกเล่ม” คุณนักเขียนผู้ใช้นามปากกา ‘อนธการ’ กล่าวพลางยักไหล่

“แสดงว่าสไตล์ของคุณคือแนวดราม่า.. อืม ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ในชีวิต”
“ไม่หรอกครับ ประสบการณ์ในชีวิตของผมไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น”

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ โดยส่วนตัวผมคิดว่าประสบการณ์ในชีวิตของคนเรา มันก็มีทั้งด้านที่น่าสนใจและไม่น่าสนใจกันทั้งนั้น”
“ไม่รู้สิครับ คงเพราะในแต่ละวัน ถ้าหากผมไม่ทำอาหาร ก็คงจะนั่งร่างพล็อตนิยาย หรือไม่ก็นั่งพิมพ์นิยายให้ทันเดดไลน์เสียมากกว่า แต่ถ้าช่วงไหนที่สมองเริ่มตันๆ ผมก็แค่ออกไปเดินเล่นแถวป่าสน สักพักก็กลับมานั่งพิมพ์นิยายต่อ เห็นไหมครับหมอ ชีวิตของผมไม่ได้มีอะไรผาดโผนชวนให้น่าสนใจจนเอามาเขียนเป็นนิยายได้หรอกครับ แต่ถ้าหมอได้ฟังเรื่องเล่าจากลีแบบผมสิ หมอจะรู้.. ว่าอะไรกันแน่ ที่เหมาะกับการวางพล็อตนิยายให้ดูน่าสนใจ”

“ลี ? เขาคือเพื่อนของคุณเหรอ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชวนสงสัยอีกทั้งเสี้ยวหน้าของเขาก็ยังฉายแววไม่ต่างกัน
“ก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกครับ เธออายุน้อยกว่าผม”

“แต่อันที่จริง ชีวิตผมก็มีอยู่เรื่องนึงที่ดูเหมือนจะน่าสนใจ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางเอนตัวพิงพนักโซฟาพร้อมกับนั่งไขว้ขาด้วยท่าทางสบายๆ
“ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า ?”

“อืม อันที่จริงผมก็ว่าจะลองเอามันมาใช้เป็นพล็อตนิยายของตัวเองอยู่เหมือนกัน รับรองว่าแม้แต่หมอยังต้องทึ่ง” คุณนักเขียนกล่าวพลางยกยิ้มตรงมุมปากคล้ายกับสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้ คือเรื่องราวที่สุดแสนมหัศจรรย์
“ถ้าอย่างนั้นผมคงจะโชคดีมากที่ได้ฟังพล็อตนิยายของคุณเป็นคนแรก” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางแย้มยิ้มด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความสนใจในหัวข้อสนทนาดังกล่าว

“ตั้งแต่เกิดมา เวลาของผมมักจะหายไป..” คุณพีรวัตรกลั้วหัวเราะเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำอันขาดหาย ซึ่งอาการดังกล่าวมันคือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ป่วยโรค DID
“…”

“แค่เพียงหลับตาเท่านั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกที ผมมักจะพบว่าช่วงเวลามันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างบางครั้ง.. ถ้าผมหลับตาในตอนกลางวัน ผมก็มักจะตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนของอีกวัน หรืออาจจะสองวันหลังจากนั้น หรือบางครั้ง.. ผมกำลังเดินเล่นอยู่ตรงหน้าบ้าน แต่ในเวลาถัดมา ผมดันนอนอยู่บนเตียงซะได้ เรื่องพวกนี้.. ถ้าหากผมเล่าให้ใครฟัง พวกเขาคงไม่เชื่อกันหรอก”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าครับ ความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ มีสาเหตุมาจากอะไร ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยคำถามที่ครั้งหนึ่งผมเคยลองสอบถามคุณนักเขียนมาบ้างแล้ว

“รู้สิครับ.. ผมก็เป็นนักเขียนที่ชอบค้นคว้าข้อมูลนะ” คุณพีรวัตรกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ ซึ่งคำตอบนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากคำตอบในวันวานที่เขาเคยมีให้ผม
“คุณกำลังหมายถึง.. การค้นคว้าข้อมูลทำให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรค DID ใช่หรือเปล่า ?”

“ประมาณนั้นครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีเพียงแค่ผมที่พอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรค DID”
“แล้วคุณพอจะทราบไหมว่า ตัวคุณมีโอกาสออกมาใช้ชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“น่าจะช่วงปี 2559 มั้งครับ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่เท่าที่จำได้ ผมลืมตาขึ้นมาก็อายุ 27 แล้ว”
“อ่อ..ครับ แล้วคุณเคยติดต่อกับคนอื่นๆ บ้างหรือเปล่า ?”

“ก็มีบ้างนะครับ แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามสักหน่อยว่าพวกคุณติดต่อกันยังไง ในเมื่อคุณบอกกับผมว่าพวกเขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องโรค DID เลย”

“สมุดบันทึก พวกเราติดต่อกันทางนั้น”
“แต่เท่าที่ผมทราบมา แต่ละบุคลิกจะสามารถติดต่อสื่อสารกันผ่านทางความคิดได้เลยนะ”

“นั่นก็ใช่ครับ แต่ว่าตอนนั้นผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จันทร์ควรจะรับรู้เกี่ยวกับตัวตนของพวกเรา”
“ทำไมล่ะครับ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เพราะผมรู้ว่าอะไรหลายๆ อย่าง มันยังทำให้เขารับไม่ไหว แถมเขายังเคยทำร้ายร่างกายของตัวเองมาก่อนด้วย ผมถึงไม่ค่อยอยากให้เขาตื่นขึ้นมาอีก”
“แต่ดูเหมือนว่าคุณก็ยอมให้เขาตื่นขึ้นมาไม่ใช่เหรอครับ แล้วเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ตื่นขึ้นมาด้วยนี่”

“เดิมทีมันเป็นวันเกิดของจันทร์ ผมเลยยอมให้เขาออกมาใช้ชีวิตเป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาหลับไปตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่พอพฤติกรรมของเขาไม่ได้สุ่มเสี่ยงอะไร ผมก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมเขานี่ครับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณสามารถให้ผมคุยกับเขาตอนนี้ได้หรือเปล่า ?”

“ผมไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้จันทร์ไม่เชื่อใจใครอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเขายิ่งต้องเข้ารับการบำบัดทางด้านจิตวิทยา เพราะกิจกรรมของเราจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขาได้ และต่อไปเขาจะได้มีความมั่นใจในการใช้ชีวิต รวมถึงได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เลวร้ายเหมือนกันหมด ผมคิดว่ามันเป็นผลดีสำหรับตัวเขา ยังไงคุณพีรวัตรลองเอากลับไปคิดดูอีกทีนะครับ”

“ครับ” สิ้นคำตอบรับอันแสนสั้น ไฟล์บันทึกการรักษาในครั้งแรกก็ดับสิ้นลง ขณะที่ภายในห้องก็เริ่มเงียบสงัดตามไปด้วย

“เท่าที่ผมทราบมา คุณพีรวัตรคืออัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังสุด เขาบอกว่าตัวเขาแทนความเข้มแข็ง เท่ากับว่าที่ผ่านมาอัตลักษณ์หลักพบเจอแต่เหตุการณ์เลวร้าย จนจิตใจของเขาเหมือนกับกระดาษบางๆ ที่แค่ถูกฉีกออก มันก็ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี”
“แต่ท่าทีของพีรวัตร เขาดูเหมือนจะรู้อะไรมาเยอะเลยนะ”

“เพราะแบบนั้นถึงทำให้ผมคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะเคยหาทางออกร่วมกันมาบ้าง เพราะอัตลักษณ์ของกรเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงถึงความเจ็บปวดและเขาก็เคยคิดสั้น ขณะที่อัตลักษณ์หลักก็เคยมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเอง เขาถึงได้สร้างกรขึ้นมา และการที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้ก็ต้องผ่านการพูดคุยกันนะครับ แสดงว่าพวกเขาจะต้องเคยคุยกันมากกว่าเรื่องพล็อตนิยาย หรือการทะเลาะกันอย่างที่เคยบอกผมแน่ๆ”
“แต่เขายืนยันอย่างหนักแน่นว่าตัวตนอื่นๆ ไม่เคยมีใครรับรู้เกี่ยวกับโรค DID เลยนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าต้องมีใครสักคนที่บอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในแต่ละเหตุการณ์ให้กับคุณพีรวัตร เพราะก่อนหน้านี้ช่วงที่อัตลักษณ์หลักออกมาใช้ชีวิต เขาเคยพูดกับผมทำนองว่าเขามักจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับการถูกทำโทษ ด้วยสาเหตุที่เขาไม่ได้เป็นคนทำ และพอเขาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น ก็ไม่เคยมีใครเชื่อ ผมคิดว่าสถานการณ์แบบนี้น่าจะเป็นช่วงที่อัตลักษณ์หนึ่งเคยออกมาใช้ชีวิต แต่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเขาไม่เคยแสดงตัวตนออกมาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นตามที่คุณเคยบอกไว้ในที่ประชุม อัตลักษณ์แรกคือลียากร ถัดมาคือพีรวัตร และสุดท้ายก็คือกร แต่ถ้าหากเรียงไทม์ไลน์ใหม่ โดยอิงข้อมูลจากที่เรารู้ในตอนนี้ จะเป็น ลียากร กร และคนสุดท้ายก็คือพีรวัตร”

“ใช่ครับ แต่ผมคิดว่าอัตลักษณ์ที่ยังเป็นปริศนา น่าจะเกิดก่อนอัตลักษณ์อื่นๆ เพราะผู้ป่วยเคยบอกกับผมว่าตอนเด็กๆ เขามักจะถูกทำโทษ”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องลองเจรจากับเขาอีกที แต่คงต้องเป็นหลังจากช่วงที่เราสามารถดึงอัตลักษณ์หลักกลับมาได้แล้ว”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ส่วนเรื่องของ ดร. ธีรชัย ที่เมื่อวานท่านแจ้งเข้ามาอย่างกะทันหันว่าท่านกำลังติดพันการรักษาผู้ป่วยโรค DID ในเขตกรุงเทพ ผมเลยลองเข้าไปเสนอผู้อำนวยการเมื่อเย็นวานนี้ และเราก็ตกลงกันว่าทางโรงพยาบาลจะลองใช้วิธีของผมไปก่อน แต่ถ้าหากไม่ได้ผลเราอาจจะต้องรบกวนดร. ธีรชัยให้มาช่วยในส่วนนี้”

“โอเคครับ ไม่มีปัญหา” ผมตอบรับพลางยกยิ้มอย่างเปิดใจ เพราะถึงอย่างไรจิตแพทย์แต่ละคนก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งบางครั้งวิธีที่เคยแนะนำกันมา ก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับตัวเราและคนไข้ของเราด้วย

“ยังไงผมคงต้องฝากตัวกับคุณด้วยนะจิรภัทร” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางยื่นมือออกมาด้านหน้า
“เช่นกันครับ” ผมยิ้มรับพลางยื่นมือของตัวเองออกไปจับมือกับคนตรงหน้า เพื่อแสดงถึงการเปิดใจที่จะทำงานร่วมกันอย่างไร้ข้อกังขา เพราะด็อกเตอร์ก็เริ่มยอมรับผลของการวินิจฉัยตั้งแต่ที่ได้เห็น ‘กร’ ออกมาแผลงฤทธิ์นั่นแล้ว เพียงแต่แผนเป้าหมายของเราในตอนนี้ ผมยังมองว่ามันไม่น่าจะได้ผลดี แต่ในเมื่ออัตลักษณ์อื่นๆ ยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรมาก ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าบางทีผมคงจะเข้าใจผิดไปเองว่าท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาแสดงออก หมายรวมถึงความไม่พอใจ
ซึ่งความไม่พอใจที่ว่า..
คือความไม่พอใจที่ทุกคนทำราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน


゚゚❀゚゚

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มันอาจจะเหมือนวนอยู่ในอ่างหน่อยๆ แต่ต้องค่อยๆ ปูเรื่องไปเนอะ เพราะการรักษามันก็ต้องมีการบันทึก ต้องมีการทำความรู้จักแต่ละอัตลักษณ์ก่อน แล้วก็ค่อยๆ เจาะลึกลงไปเรื่อยๆ และตอนนี้ ดร. ก็กำลังเจรจาให้คุณนักเขียนที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่พอจะพึ่งพาได้ที่สุด ให้ช่วยเป็นใบเบิกทาง ประเด็นคือต้องเข้าใจว่าแต่ละอัตลักษณ์นั้นเกิดขึ้นเพื่อเจ็บแทน ฆ่าตัวตายแทน หรือพูดง่ายๆ ก็คือทดแทนในสิ่งที่ขาด และสิ่งที่อยากเป็นนั่นเอง ฉะนั้นการออกมาใช้ชีวิตของอัตลักษณ์หลัก มันเลยเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เพราะอย่างเคสของบิลลีที่เราอ่าน คือว่าถ้าเขาได้ออกมาใช้ชีวิต เขาจะฆ่าตัวตายทุกครั้ง เพราะคิดว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ อัตลักษณ์อื่นๆ เลยไม่ยอมให้เขาออกมา หรือถ้าให้ออกมา คือต้องเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หรือเป็นแค่โอกาสพิเศษเช่นช่วงวันเกิด อย่างตอนรักษาอัตลักษณ์อื่นจะยกให้หมอเป็นคนรับผิดชอบเลยว่า ถ้าหากบิลลีเกิดอันตรายใดๆ ขึ้นมา

ปล. ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับวิธีการรักษาว่าจะต้องทำยังไงอะไรแบบนี้ เราเอามาจากหนังสือที่เป็นเคสของคุณบิลลีนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 26 ❀ หน้า 2 (update 19/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 19-06-2018 16:33:52
ตอน 26

ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเช้าวันนี้ คนที่มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตและควบคุมจิตวิญญาณของจันทร์ ก็คือ ‘กร’ หรือ ‘ม้าพยศ’ ที่ผมแอบตั้งฉายาให้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าม้าพยศรายนั้น กลายร่างเป็น ‘ม้าหงอย’ ไปเสียแล้ว
สาเหตุก็เพราะเมื่อคืนเขามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณชลวิทย์ผ่านทางโทรศัพท์ของผม ซึ่งหัวข้อที่ได้คุยกันเดาว่าคงหนีไม่พ้นการเกลี้ยกล่อมให้กรยอมรับความจริง เพราะหลังจากที่เจ้าม้าพยศเอาโทรศัพท์มาคืน เขาก็นอนคุมโปงและพยายามกลั้นเสียงสะอื้นตลอดคืน ทำเอาผมกลัวว่าเขาจะคิดสั้นเลยพลอยไม่ได้หลับไม่ได้นอนตามไปด้วย
และมันก็ส่งผลให้ผมรู้สึกเพลียๆ ตลอดช่วงเช้า
แถมดันซวยที่วันนี้ผมจะต้องอยู่เวรลากยาวอีกต่างหาก

ขณะที่ ดร. อาทิตย์ ถือโอกาสเลื่อนคาบสัมภาษณ์ในครั้งที่สองให้เร็วขึ้น เนื่องจากเวลานี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงจะได้พูดคุยและทำความรู้จักกับกร ซึ่งถือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษามากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์เมื่อคืนก็สร้างความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของใครบางคนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะนอกจากกรจะไม่อาละวาดใดๆ แล้ว
เขายังเอาแต่เหม่อลอยและซึมเศร้า

กระทั่งช่วงเวลาสุดพีคแห่งการออกตรวจโอพีดีสิ้นสุดลง ดร. อาทิตย์ก็เข้ามาพร้อมกับไฟล์วีดิโอเหมือนครั้งแรก โดยคราวนี้ด็อกเตอร์ใช้เวลาพูดคุยนานกว่าปกติ และผมก็จัดการเปิดข้อมูลดังกล่าวอย่างไม่ลังเล ซึ่งบรรยากาศของห้องสัมภาษณ์ยังคงเป็นไปอย่างอบอุ่น
เพียงแต่ผู้ให้สัมภาษณ์ กลับแผ่รังสีชวนหดหู่ออกมาจนผมยังรู้สึกได้

“ผมขออนุญาตบันทึกไฟล์วีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษานะครับ”
“เอ่อ.. ครับ..” กรเอ่ยตอบรับด้วยท่าทีสุดประหม่า เมื่อกรอบสายตามองเห็นกล้องวีดิโอกำลังจดจ่อมาที่ตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับคุณเพียงจันทร์ ผม ดร. อาทิตย์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เอ่อ.. ผมชื่อกรวินท์ครับไม่ใช่เพียงจันทร์” กรเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งท่าทีของอีกฝ่ายไม่อาจบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกไม่พอใจที่ถูกเรียกขานด้วยชื่อของคนอื่น หรือเขายังคงต่อต้านความเป็นจริงอยู่กันแน่

“ครับคุณกรวินท์ เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีไหม ?” ด็อกเตอร์กล่าวด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลกว่าตอนพูดคุยกับคุณนักเขียน
“ก็ดีครับ” กรตอบรับเพียงสั้นๆ พลางแย้มยิ้มอย่างฝืนๆ

“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้วครับ ?”
“19 ครับ” คำตอบของกรทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกเคว้งคว้างของอีกฝ่ายดี เพราะช่วงอายุเท่านี้ในความเป็นจริงก็เพิ่งจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง เท่ากับว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงวัยมัธยมมาหมาดๆ และช่วงวัยนี้เด็กบางคนยังปรับตัวกับการเรียนและการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ไม่ได้
ดังนั้นการที่ม้าพยศรายนี้จำต้องแยกจากคุณชลวิทย์ที่เจ้าตัวไว้ใจ
ย่อมต้องร้อนรนจนอยากจะอาละวาดให้มันรู้แล้วรู้รอด

“อืม.. แล้วคุณมีพี่น้องกี่คนครับ?”
“คนเดียวครับ แต่เขาไม่ได้เป็นแบบผม และเราก็ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ” คำตอบอันเศร้าหมองเหมือนกับสีหน้าของคนพูด ทำเอาผมเข้าใจได้ไม่ยากว่าใครคือพี่น้องคนสำคัญของกร
ซึ่งก็มีอยู่คนเดียวคือคุณชลวิทย์
และคำว่า ‘พี่น้อง’ ในที่นี้ คงจะหมายถึง.. คนที่เปรียบเสมือน ‘ครอบครัว’ สำหรับกร

“แล้วเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างครับ หลับสบายดีไหม ?”
“ไม่ครับ มันแย่มาก” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ขณะที่แววตาก็เศร้าสร้อยไม่ต่างกัน ซึ่งภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของคุณนักเขียนที่เคยบอกว่า ‘กรเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด แต่ก็อ่อนแอที่สุด’
ดังนั้นในเวลาแบบนี้ ผมจึงไม่อาจปฏิเสธคำกล่าวนั้น..
เพราะสิ่งที่ได้เห็นกับสิ่งที่คุณพีรวัตรเคยบอก มันกำลังสนับสนุนกัน

“ผม..”
“…”

“รู้สึกว่า.. ข้างในนี้.. มันว่างเปล่า เพราะทุกอย่างมันพังลงหมดแล้ว..” กรเอ่ยพลางชี้ตรงบริเวณกลางอก เพื่อบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มัน ‘ว่างเปล่า’ จนส่งผลให้เขารู้สึกย่ำแย่และมีท่าทีซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“…”

“พังตั้งแต่ความรัก ความสุข ความฝัน” เสียงของกรค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ เมื่อน้ำตากำลังรินไหลอย่างเชื่องช้า
 “…”

“พังหมดทุกอย่าง.. เพียงแต่มันไม่ได้พังเพราะคำพูดที่คล้ายกับการบอกเลิก แต่มันพังมานานแล้ว”
“คุณหมายถึงยังไงเหรอครับที่ว่าพังมานานแล้ว ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยถามอย่างสงสัยในประเด็นที่ผมเองก็สะดุดใจ เพราะอัตลักษณ์ของกรยังไม่ค่อยจะปรากฏตัวให้ผมเห็น จึงทำให้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในตัวตนของอีกฝ่ายเหมือนกับอัตลักษณ์อื่นๆ

“ตั้งแต่เกิดมาทุกอย่างมันดูหม่นหมองไปหมด แล้วความหม่นหมองพวกนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดเพราะความว่างเปล่า”
“…”

“ถ้าหากไม่ได้เขาคนนั้น ป่านนี้.. ผมคงจบชีวิตของตัวเอง.. ไม่สิ จบชีวิตของคนอื่นไปนานแล้ว”
“เขาคนนั้น.. ที่ทำให้คุณหลุดพ้นจากความหม่นหมอง คือใครครับ ?”

“พี่วิทย์ พี่ชายที่เป็นทุกอย่างสำหรับผม” กรตอบพลางยกยิ้มทั้งน้ำตา ซึ่งครานี้มันกลับไหลทะลักไม่ยอมหยุด จนด็อกเตอร์ต้องไปหยิบทิชชู่มาให้อีกฝ่ายซับน้ำตาแห่งความโศกเศร้า
“…”

“เขาสอนให้ผมรู้จักมองโลกที่เคยหม่นหมองให้มีสีสันจากความสุข แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ก็คือความสุขที่ผมเพิ่งจะเคยรู้จักเป็นครั้งแรก” จากคำพูด น้ำเสียง และแววตาของกร บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลาแบบนั้น คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขอย่างแท้จริง
“อย่างดอกสโนว์ดรอปส์เราก็ช่วยกันดัดแปลงพันธุกรรม จนทำให้มันสามารถเติบโตในสภาพอากาศของเมืองไทยได้ แต่อันที่จริงก็ยังมีดอกไม้อีกหลายชนิดที่เราเคยช่วยกันทำ เพียงแต่ดอกสโนว์ดรอปส์เป็นอะไรที่พวกเราภาคภูมิใจที่สุด เพราะมันประสบความสำเร็จได้ยากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น.. มันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด”

“ที่สำคัญพี่ชายคนนี้ยังสอนให้ผมรู้จักการวาดรูป และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าข้างในนี้.. ไม่ได้ว่างเปล่า เพราะผมยังมีความฝันเหมือนกับคนอื่นๆ”
“คุณพอจะบอกผมได้ไหมครับว่าความฝันของคุณคืออะไร?”

“ผมอยากเป็นจิตรกรที่มีโอกาสได้จัดแสดงนิทรรศการผลงานของตัวเอง”
“ความฝันแบบนี้.. สำหรับผมในตอนนั้น มันดูยิ่งใหญ่และเกินเอื้อม แต่พี่วิทย์ก็สอนให้ผมรู้จักความพยายามและการพัฒนาตัวเอง ทำให้แรกเริ่มเราอาศัยการขายภาพวาดให้กับร้านอาหารที่ต้องการผลงานศิลปะ แต่พอช่วงหลังๆ เมื่อเราได้รู้จักกับสำนักพิมพ์ เราก็เลยมีความรู้เกี่ยวกับการทำโฟโต้บุ๊ก และวางแผนที่จะขายมันทางออนไลน์ แต่กว่าจะทำแบบนั้นได้ พี่วิทย์บอกให้ผมเปิดเพจของตัวเองจะได้เอาไว้ลงผลงาน ผมเลยมีไอเดียว่าภาพวาดในโฟโต้บุ๊กเล่มแรก ควรจะเป็นภาพที่เรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องราวที่สดใส จะได้เหมาะสำหรับเด็กๆ แต่เพราะชีวิตของคนหม่นหมองอย่างผมไม่เคยรู้จักกับความสดใสที่เป็นความสดใสจริงๆ โปรเจคดีๆ แบบนี้เลยไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะระหว่างการเดินทางของความฝัน.. มันก็ต้องผ่านการเดินทางของความตาย..”

“หลายคนอาจคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่โง่มาก แต่สำหรับผม.. มันเหมือนเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีความสุขจากใจจริง”
“ที่ผ่านมา.. คุณเคยใช้วิธีไหนมาบ้างครับ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งขึ้นไปอีก

“ผมใช้ทุกวิธีที่สามารถทำได้ แขนของผมเลยเต็มไปด้วยแผลแบบนี้ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ก็จางลงไปเยอะแล้ว เพราะว่าพี่วิทย์เป็นคนรักษาให้” กรกล่าวพลางยกท้องแขนของตัวเองขึ้นมาโชว์ให้ด็อกเตอร์ดู ซึ่งก็เป็นมุมเดียวกับที่กล้องวีดิโอสามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้
“แล้วตอนนี้คุณยังคิดจะฆ่าตัวตายอยู่หรือเปล่า ?” คำถามต่อมาของด็อกเตอร์ ทำเอาผมที่กำลังตั้งใจฟัง รู้สึกคล้ายกับจังหวะการหายใจเริ่มติดขัด
มิหนำซ้ำมันยังอ่อนแรงเสียจนผมชักจะสงสัยแล้วว่า..
ตอนนี้.. ผมกำลังหายใจอยู่หรือเปล่า

“คิดครับ ผมนอนวางแผนทุกคืน แต่มันคือเรื่องปกติของผมนะ”
“แล้วล่าสุด คุณคิดจะลงมือทำแบบนั้นอีกเมื่อไหร่ครับ ?” ดร. อาทิตย์เอ่ยถาม ด้วยเพราะการสอบถามถึงวิธีการฆ่าตัวตาย ความถี่ของการคิดกระทำ จะทำให้คนคนนั้นรู้สึกว่ายังมีเราที่คอยห่วงใยเขาอยู่

“หมอถามเหมือนกับพี่วิทย์เลยครับ ประโยคนี้เด๊ะๆ เลย” กรกล่าวพลางแย้มยิ้มด้วยท่าทีสดใสกว่าวินาทีแรก และสาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะความฝันที่ยังสามารถยึดเหนี่ยวความรู้สึกของเขาไม่ให้ว่างเปล่า หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะในสถานที่แห่งนี้อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คอยเป็นห่วงเจ้าตัวอยู่
“แต่เพราะทุกอย่างมันพังลงหมดแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าคิดจะทำแบบนั้นอีกเมื่อไหร่” สิ้นคำตอบดังกล่าว ใบหน้าที่เคยสดใส เริ่มกลับกลายเป็นเศร้าโศก

“อันที่จริงที่นี่ก็มีคาบบำบัดด้วยศิลปะอยู่นะครับ ดังนั้นคุณคงไม่ได้ละทิ้งความฝันของตัวเองไปง่ายๆ อีกอย่างที่นี่คุณสามารถทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบนอกเหนือจากตารางการบำบัดได้นะกรวินท์ และผลงานของคุณจะถูกนำไปจัดแสดงให้ผู้ที่สนใจได้เลือกซื้อ”
“จริงเหรอครับหมอ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย คงเพราะผมมัวแต่อาละวาดแทบทุกวัน”

“มันคงเป็นสัญชาตญาณมั้งครับ เพราะเวลาที่คนไข้ถูกนำตัวมาที่นี่ วันแรกๆ ก็มีอาการไม่ต่างจากคุณทั้งนั้น อย่างเช่น เด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบนำแถวออกกำลังกาย ผมเคยได้ยินมาว่าเธอก็เป็นอีกคนที่เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน” ดร. อาทิตย์อธิบายพลางยกยิ้ม ทำเอาผมนึกย้อนไปถึงช่วงแรกๆ ที่น้องพราวมาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยสภาพจิตใจอันย่ำแย่
“แต่ของผมมันต่างออกไปครับหมอ เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองป่วยก็เลยโวยวายต่อต้าน”

“จริงๆ ความคิดแบบนี้ เท่าที่ผมเจอมาก็มีอยู่หลายเคสเหมือนกันครับ”
“แต่ของผมมันบ้าบอที่สุด แล้วก็เป็นอะไรที่ยากจะยอมรับ เพราะผมเองก็มีชีวิต มีความฝัน มีเลือดเนื้อเหมือนกับคนอื่นๆ แต่แล้วก็มีหมอกับพยาบาลและใครต่อใครเข้ามารุมล้อมพร้อมกับพูดในทำนองว่า ผมเป็นแค่ ‘บุคลิก’ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมไม่มีตัวตน ความรู้สึกมันแย่มาก ไม่มีใครที่ไหนชอบฟังคำพูดแบบนี้หรอก”

“แสดงว่าคุณรู้ว่าภายในตัวเองมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่อย่างนั้นเหรอครับ?”
“ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้ว.. แต่ว่าแต่ก่อนผมไม่เคยคิดว่าพวกเขาคือความจริง แถมช่วงแรกๆ ผมยังนึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ด้วยซ้ำ”

“แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าเรื่องเหล่านี้.. คือความจริง?”
“เมื่อวานพี่วิทย์บอกให้ผมยอมรับความเป็นจริงและปล่อยวางเรื่องของเขาให้หมด ทำให้ผมรู้สึกเคว้งคว้างมาก เพราะก็อย่างที่ผมเคยบอกหมอว่าพี่เขาคือทุกอย่างสำหรับผม และคำพูดแบบนั้น ก็ทำให้ผมคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองต้องรับไม่ไหวกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ผมได้ยินเสียงในหัวคอยเตือนสติอยู่ตลอดเวลา แรกๆ มันก็น่ารำคาญ แต่พอนานเข้ามันกลับทำให้ผมอุ่นใจ เพราะเสียงพวกนั้นทำให้ผมรู้ว่าอันที่จริงร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียว”

“พวกเขาบอกอะไรกับคุณเหรอ ?”
“พี่พีบอกกับผมว่าถ้าหากมีความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จก็อย่าเพิ่งเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย เพราะมันไม่ใช่แค่ผมทำลายความฝันของตัวเอง แต่ยังเป็นการทำลายความฝันของคนอื่นที่เป็นเหมือนครอบครัว”

“ครอบครัว ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ ซึ่งผมเองก็งุนงงไม่ต่างกัน
“ครับ เขาบอกว่าพวกเราทั้งหมดคือครอบครัวเดียวกัน เลยทำให้ผมรู้สึกว่าอันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอะไรขนาดนั้น อีกอย่างความรักถึงมันจะจบลงไปแล้ว แต่เราก็สามารถมองมันให้เป็นเรื่องของความทรงจำที่สวยงามได้ แต่ถึงพี่พีจะบอกกับผมอย่างนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจคำพูดที่ว่านั่นอยู่ดี”

“สำหรับหมอ.. หมอคิดว่าความทรงจำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็เป็นความทรงจำที่สวยงามทั้งนั้น ของแบบนี้หมอว่ามันอยู่ที่มุมมองที่เราเลือกจะโฟกัสมากกว่า”
“ผมก็พอจะรู้ครับ เพียงแต่ว่าปัญหาของผมคือความผูกพัน”

“…”
“หึ ผมคงจะติดพี่วิทย์มากเกินไปมั้งครับ เพราะเราอยู่ด้วยกันมาตั้ง 3 ปีกว่าแล้ว” คำพูดของกรทำให้สมองของผมเริ่มคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว จึงทราบว่าอัตลักษณ์ของกร อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ห่างจากคุณพีรวัตรเพียงแค่ปีเดียว

“สามปี.. คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าคุณลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับความหม่นหมองตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ปี 2558 มั้งครับ จำได้ว่าเราหนีออกมาจากบ้านของน้าเข็มที่อยู่ในอำเภอสะเมิง แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องหนี และไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงตื่นขึ้นมาแล้วก็อายุ 19 ในตอนนั้นทุกอย่างดูงุนงงไปหมด เพราะผมไม่รู้จักกับครอบครัวของพี่วิทย์ และผมก็ไม่ได้ชื่อจันทร์ แต่เพราะมันเป็นชื่อที่พี่วิทย์ชอบเรียก ผมเลยไม่อยากขัด อีกอย่างช่วงเวลานั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน ผมเลยปล่อยเลยตามเลยทุกอย่าง”
 
กระทั่งหมดเวลาของคาบบำบัดในครั้งที่สอง หัวข้อดังกล่าวยังคงค้างคาอยู่แบบนั้น ด้วยเพราะความทรงจำที่ยังไม่ประติดประต่อ จึงทำให้กรดูสับสนและงุนงงขณะกำลังอธิบายให้ ดร. อาทิตย์ฟัง
ซึ่งผมสามารถตีความได้ว่าอัตลักษณ์ของ ‘กร’ น่าจะเกิดหลังจากเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ผมเคยตั้งสมมุติฐานเอาไว้ ระหว่าง ‘การขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ และการจากไปของสองบุคคลสำคัญ’ กับ ‘เหตุการณ์สะเทือนขวัญอันเนื่องมาจากการล่วงละเมิด’

ดังนั้นสาเหตุที่อัตลักษณ์ของ ‘กร’ มักจะได้รับความเจ็บปวดและมีอาการซึมเศร้า น่าจะมาจากการที่จันทร์ไม่ต้องการเพียงแค่อยากจะตัดขาดจากความเป็นตัวเอง และตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง
เพราะครั้งหนึ่งคุณพีรวัตรเคยบอกกับผมว่าอีกฝ่ายเคยคิดจะทำร้ายตัวเอง ซึ่งการ ‘ฆ่าตัวตาย’ คงเป็นอะไรที่จันทร์หวาดกลัว แต่ก็มีความปรารถนาที่จะทำ
เด็กชายผู้น่าสงสารคนนั้น จึงต้องสร้างใครสักคนเพื่อกระทำการฆ่าตัวตายแทน
และมันก็ส่งผลให้ชีวิตของ ‘กร’ พบเจอแต่ความหม่นหมอง


゚゚❀゚゚

edit 19/06/2018 แก้ประโยคให้สมูธขึ้น และตัดคำเกินออก
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

อันนี้แถมนิดนึง เผื่อใครสงสัยเรื่องการดัดแปลงพันธุกรรมพืช  ซึ่งมันคือการสร้างพืชดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อให้มียีนของลักษณะตามที่ต้องการ เช่น การชะลอการสุกของผลไม้ หรือเพื่อยืดเวลาการเก็บรักษาผลผลิต มีความต้านทานโรคและแมลง มีความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงมีคุณค่าด้านอาหารมากขึ้น

ที่มา : https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/bio-by-anut/kar-srang-phuch-dadpaelng-phanthukrrm-trensgenic-plant

มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้คือตอนที่ได้ทำความรู้จักกับกร ผู้ที่เป็นอัตลักษณ์ที่หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบตัวตนนี้นัก แต่หลังจากได้อ่านตอนนี้ หวังว่ามุมมองของทุกคนจะเปลี่ยนไปบ้าง เพราะกรก็มีแต่พี่วิทย์คนเดียว จะไม่ให้รัก ไม่ให้ชอบ ไม่ให้ทำอะไรแบบนั้นก็คงห้ามใจยาก ขณะเดียวกันคือความสุขเหล่านั้น สุดท้ายก็ยังเป็นสิ่งจอมปลอม เพราะความว่างเปล่าของความรู้สึก มันทำให้กรเข้าไม่ถึง ซึ่งในส่วนของชลวิทย์เอง เวลานี้ก็คงจะรู้สึกไม่แตกต่างจากกรนัก หรืออาจจะย่ำแย่กว่าด้วย แต่นั่นก็เพราะการกระทำของเจ้าตัวด้วยส่วนนึง และจากคำให้การของกรรวมๆ กับคุณนักเขียน และคนอื่นๆ มันก็บ่งบอกได้ว่า ในอดีตชลวิทย์ได้พาจันทร์ในคราบของกร หลีกหนีจากอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ยังไม่เปิดเผยว่าใครคือผู้กุมความลับนั้น 555 โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ทีแรกเรากะจะเขียนแบบข้ามช่วงเวลาหน่อย แต่ในเมื่อเขียนแบบไม่ข้ามมาตั้งแต่แรก ถ้าจะไปข้ามมันก็คงจะแปลกๆ ก็เลยเขียนไปเรื่อยๆ แบบไม่กำหนดจำนวนตอน จนกว่าจะจบลงที่พล็อตอันสมบูรณ์ที่เราวางเอาไว้แล้วกันเนอะ 555 มาตอนนี้เพิ่งรู้สึกได้ว่าพล็อตมันยาวมากและรายละเอียดก็เยอะมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 27 ❀ หน้า 2 (update 20/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-06-2018 18:12:01
ตอน 27

ผมทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงหลังจากต้องคอยรับมือกับ ‘ม้าพยศ’ อย่าง ‘กร’ เนื่องจากช่วงเย็นหลังเลิกงานกรอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกไปข้างนอก โดยเป้าหมายของอีกฝ่ายคือ ‘รถของไอ้บาส’ ซึ่งแผนการของเขาคงจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากไอ้ญาติผู้น้องของผมไม่หันมาเห็นเข้าเสียก่อน
ดังนั้น ‘กร’ จึงไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางอย่าง ‘บ้านกลางป่าสน’

กระทั่งม้าพยศสุดแสนจะดื้อดึงจำต้องถูกพันธนาการอีกครั้ง เขาก็ยังไม่วายตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นจากเครื่องยึดเหนี่ยวบริเวณข้อมือ ด้วยวิธีการที่ใครต่างก็ไม่คาดคิด เนื่องจากกรเอาศีรษะโขกกำแพงตรงหัวนอนอย่างแรง จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กว่าพวกเราจะห้ามปรามสำเร็จ
สภาพของผู้ป่วยก็แทบอาบเลือดจนดูไม่ได้

ขณะที่ผมต้องปล่อยให้ไอ้แนนมาช่วยจัดการแทน เพราะภาพที่เห็นมันน่าเวทนาเกินไป และผมก็ไม่อาจสลัดมโนภาพในจังหวะที่กรกำลังเอาศีรษะโขกกำแพงเหนือหัวนอนอย่างบ้าคลั่งไปได้ ยิ่งมือของผมเปื้อนเลือดของอีกฝ่าย ซ้ำยังรู้สึกเจ็บแปลบเพราะแรงกระแทกจากการห้ามปราม
ภาพทุกภาพและทุกความรู้สึก
ก็ยิ่งคมชัดราวกับผมกำลังเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เลิกรา

อีกทั้งความหละหลวมในครั้งนี้ยังทำให้ผมรู้สึกแย่ เพราะตลอดช่วงบ่ายผมใช้เวลาวิเคราะห์ภาพเคลื่อนไหวจากไฟล์บันทึกการรักษาของกร เพื่อสังเกตท่าทางและแววตาของเขาอย่างละเอียด เพราะใจหนึ่งผมกลับคิดว่าการที่กรยอมรับได้ในเวลาอันรวดเร็วมันง่ายเกินไป ซึ่งการนั่งดูคลิปดังกล่าวทำให้ผมทราบว่ากรไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แต่เขากำลังย้ำเตือนตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่ใครหลายคนต่างก็บอกให้เขาเชื่อ
แต่สุดท้าย.. ทุกอย่างก็พังพินาศ
เพราะเขายังคงเชื่อมั่นว่าตนเองคือ ‘กร’ หาใช่เศษเสี้ยวหนึ่งของ ‘เพียงจันทร์’ ที่ใครๆ ต่างเรียกขาน

ดังนั้นเหตุการณ์ในวันนี้จึงทำให้ผมหวนกลับมาคิดว่า ‘คุณนักเขียน’ ต้องใช้เวลาเนิ่นนานเท่าไหร่กว่าตัวเองจะยอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เพราะถ้าหากเทียบช่วงเวลาการเกิดอัตลักษณ์ของคุณพีรวัตรก็คือช่วงปี 2559 ซึ่งปีนี้ปาเข้าไปตั้งปี 2561 แล้ว ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า..
กว่าคุณนักเขียนจะมาเจอผม
อาจเป็นช่วงเวลาของการยอมรับความจริง

พอคิดได้แบบนั้นผมก็ยิ่งเครียด เพราะถ้าหากจันทร์ซุกซ่อนอัตลักษณ์ต่างๆ เอาไว้ โดยที่พวกเขาเหล่านั้น ต่างก็ยึดมั่นว่าตัวตนของพวกเขาคือพวกเขา เท่ากับว่าโอกาสที่เราจะรวบรวมทุกๆ อัตลักษณ์เข้าด้วยกันคงจะกินระยะเวลาอย่างยาวนาน
และมันคงจะน่าปวดหัว
ถ้าหากทุกๆ ตัวตน เกิดอาการ ‘พยศ’ เหมือนกับกร

“มาทำแผลก่อนเลยมึง” ผมเงยหน้าขึ้นมองจิตแพทย์สาวที่กำลังตั้งท่าจะเข้ามาปฐมพยาบาลให้ถึงห้องทำงาน
“วันนี้โชคดีที่มึงกลับดึก ไม่อย่างนั้นกูคงแย่” ผมกล่าวพลางยื่นมือข้างที่เจ็บส่งไปให้ไอ้แนนจัดการ

“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง.. ว่าแต่มึงเถอะ ชอบน้องเพียงจันทร์เหรอวะ ปกติเวลาเกิดปัญหาแบบนี้ มึงไม่เคยสติหลุดจนทำให้ตัวเองเจ็บตัวเลยนี่หว่า แต่กับเคสนี้.. มึงดูออกอาการแปลกๆ แต่จริงๆ กูสงสัยตั้งแต่อยู่ในที่ประชุมแล้ว แถมช่วงแรกๆ มึงยังเป็นตัวตั้งตัวตีเกี่ยวกับโรคแคปกราส์อะไรนั่นอีก” ไอ้แนนเอ่ยถามด้วยข้อมูลแน่นปึ้กพลางทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ปิดท้าย
“ก็.. ตามนั้น”

“โอ้โห สรุปเพื่อนกูเป็นอมตะอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยเว้ย” ไอ้แนนเอ่ยแซวด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“ตลกละ กูกับจันทร์ยังอยู่ในขั้นมิตรภาพดีๆ ที่มีให้กันในรูปแบบที่โคตรจะพิเศษหรอกเว้ย”

“มึงพูดจาอ้อมโลกเว่อร์ คบเด็กก็บอกว่าคบ” ไอ้แนนเอ่ยเหน็บแนมจนผมแทบอยากจะยันโครมให้รีบๆ ไปให้พ้นหน้าพ้นตาสักที
“มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เว้ยแนน กูกับจันทร์ยังไม่ได้คบกัน แต่เราก็เข้าใจความรู้สึกของกันและกันดี เพียงแต่อะไรหลายๆ อย่างมันยังไม่เอื้ออำนวยให้สานต่อจนถึงขั้นคบกัน คือกูบอกไม่ถูกว่ะมึง ถามว่าอยากคบไหมกูก็อยากคบนะ เพราะกูไม่ได้แคร์เรื่องอายุ หรือว่าสายตาของใครอยู่แล้ว แต่มึงก็รู้ว่าจันทร์ไม่สบาย แล้วเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่กูเจอ มันทำให้กูต้องทุ่มเทไปกับเรื่องนั้น มากกว่าเรื่องแบบนี้ว่ะ กูเลยปล่อยๆ ไปก่อน”

“ถ้ามึงมีอะไรให้กูช่วยก็บอกได้นะเว้ย” ไอ้แนนกล่าวด้วยคำพูดสุดซึ้งสำหรับความเป็นเพื่อน แต่ทว่าการกระทำของแม่งต้องเรียกว่าซาตานในคราบจิตแพทย์ชัดๆ เพราะมันเล่นตบแปะๆ ลงบนหลังมือข้างที่เจ็บ
“มึงเป็นผู้หญิงที่กวนตีนเหี้ยๆ เลยว่ะ”

“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ คุณจิรภัทร” ไอ้แนนกล่าวอย่างลอยหน้าลอยตาจนผมต้องดีดหน้าผากสั่งสอนมันสักที
“เออมึง กูมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย คือคนรู้จักของกู ไม่ดิ ครอบครัวของคุณชลวิทย์พี่ชายของจันทร์ น่าจะเคยทำงานอยู่ที่ไร่ของมึง แต่ไม่นานเท่าไหร่ กูอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน”

“มึงพอจะมีข้อมูลเจาะจงมากกว่านี้ไหมวะ คนงานที่ไร่พ่อกูแม่งโคตรเยอะ”
“กูก็มีแค่นี้แหละ แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้น จะเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการดัดแปลงพันธุกรรมพืช กูว่าคนงานฝีมือดีแบบนี้ ไร่ของมึงไม่น่าจะลืมเขาง่ายๆ หรอกมั้ง อีกอย่างเขาเป็นคนสะเมิง อยู่ที่บ้านอมลอง” ผมให้ข้อมูลเชิงลึกอีกสักหน่อย ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้อมูลที่มาจากการคาดเดา เพราะผมไม่กล้าถามคุณชลวิทย์ แต่เท่าที่ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา คงจะเป็นอะไรที่ย่ำแย่พอดู ไม่อย่างนั้นคุณชลวิทย์คงไม่พาจันทร์ในคราบของกรหนีออกมาจากที่นั่นหรอก

“อืม แต่กูไม่รับปากว่าจะได้ข้อมูลแน่นอนนะมึง เพราะเรื่องภายในไร่กูไม่ค่อยรู้อะไรมากนักหรอก”
“อืม ไม่เป็นไร กูแค่ลองถามๆ ดู เพราะเรื่องนี้กูคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งของจันทร์ เพียงแต่ว่าอัตลักษณ์ที่น่าจะเกี่ยวข้อง เรายังหาตัวตนของเขาไม่เจอ”

“กูว่ามึงให้อัตลักษณ์ที่เป็นนักเขียนช่วยค้นหาน่าจะง่ายกว่าไหมวะ เพราะยังไงเขาก็เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอวะ ?”
“อืม แต่ถ้าเราพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง อะไรๆ มันก็น่าจะง่ายขึ้นและตรงประเด็นมากขึ้น ที่สำคัญกูไม่อยากให้คนร้ายลอยนวล” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะถ้าหากผมสืบความจริงในส่วนนี้ได้ ผมคิดว่าเราควรจะเอาผิดกับตัวการสำคัญให้ได้
เพราะการทารุณกรรมไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทางเพศ
ย่อมไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

กระทั่งไอ้แนนเดินทางกลับบ้าน ผมก็ถือโอกาสเดินไปดูความเรียบร้อยในห้องของจันทร์ทุกๆ หนึ่งชั่วโมง ด้วยความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และการมาเยือนห้องพักผู้ป่วยที่คุ้นเคย ทำให้ผมได้พบกับอัตลักษณ์ของน้องลียากรเพียงครู่ จึงอธิบายให้เธอเข้าใจว่าเวลานี้เธอกำลังได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเธอก็หลับไปและคนที่ตื่นขึ้นมาควบคุมจิตวิญญาณก็กลายเป็นคุณนักเขียน
ซึ่งผมขอแอบเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า ‘ช่วงชุลมุน’
เพราะหลายๆ อัตลักษณ์ ต่างก็สลับกันออกมาใช้ชีวิตภายในเสี้ยววินาที ราวกับภายในตัวตนของจันทร์กำลังเกิดความ ‘ไม่เสถียร’

“กรพยศอีกแล้วใช่ไหม ?” ทันทีที่คุณนักเขียนเห็นหน้าผม เขาก็เอ่ยถามอย่างตรงประเด็น
“ใช่ครับ วุ่นวายพอสมควร แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็แน่ล่ะ กรยังต่อต้านความเป็นจริงอยู่ แต่แผลนี่ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บ เพราะคนที่เจ็บคือกร” คุณนักเขียนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งในท่าทางแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วกอดอกด้วยท่าทีสบายๆ
“ผมขอถามอะไรหน่อยสิคุณ”

“อื้อ”
“ก่อนที่คุณจะยอมรับเกี่ยวกับโรค DID คุณใช้เวลานานแค่ไหน ?”

“ปีกว่า..” คุณนักเขียนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ขณะที่ดวงตากำลังเลื่อนลอยคล้ายกับเจ้าตัวนึกย้อนไปถึงวันวาน
“ผมปฏิเสธความจริง ทั้งๆ ที่อะไรหลายๆ อย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ผมยังเชื่อว่าผมคือพีรวัตร ไม่ใช่เพียงจันทร์ และในวันที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็เสียสติจนถึงขั้นหนีออกจากบ้าน แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยออกไปไหนนอกจากป่าสน ผมก็เลยเหมือนกับผีเสื้อปีกหัก ที่สุดท้ายก็ต้องกลับมาพบเจอกับความเป็นจริงและต้องยอมรับมันอย่างไม่มีทางเลือก”

“ผมสงสัยว่าอะไรทำให้คุณมั่นใจว่าตัวเองป่วยเป็นโรค DID เพราะคุณก็เชื่อมั่นในตัวเองมาตลอด”
“เวลาที่มันหายไปไงคุณ ผมสังเกตทุกครั้งว่าเวลาไม่เคยหยุดหมุน และมันยังหมุนไปได้ไกลกว่าที่ผมคิด เพราะเวลาที่ผมหลับมันก็แค่แป๊บเดียว แต่ในความเป็นจริง วันเวลามันผ่านไปครึ่งวันบ้าง สองวันบ้าง แล้วอีกอย่าง.. ทุกครั้งที่ผมลืมตาขึ้นมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะไม่มีบาดแผลตามตัว ผมเลยพยายามคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง”

“แล้วคุณหาคำตอบยังไงครับ ?”
“ผมจดเวลาในแต่ละวันของตัวเองว่าวันนี้ผมทำอะไรไปบ้าง จากนั้นก็ไปถามไอ้ชลว่าช่วงเวลาที่เหลือผมกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งคำตอบที่ได้รับทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะในช่วงเวลาเหล่านั้นผมไม่เคยรู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว ผมเลยพยายามทำความเข้าใจและค้นหาว่าใครคือคนที่มีร่างกายและดวงจิตร่วมกับผม จากนั้นผมก็พยายามจะมีสมาธิให้มากที่สุด เพื่อที่ผมจะได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในระหว่างที่ใครบางคนออกมาใช้ชีวิต ซึ่งมันยากมาก เพราะผมจะต้องตื่นและมีสมาธิอยู่เท่านั้น” 

“คุณหมายถึงคุณใช้พลังจิต ?” ผมเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักว่าการกระทำแบบนั้น สามารถใช้คำจำกัดความที่ว่าได้หรือไม่
“อืม น่าจะใช่มั้ง”

“แต่ที่น่าตลกก็คือ แม้ผมจะรู้ทั้งรู้ แต่ผมก็ยังปฏิเสธและหนีออกจากบ้านอย่างที่บอกคุณไปนั่นแหละ แต่เพราะผมไม่มีที่ไป ผมก็เลยต้องยอมรับความจริงและต้องอยู่กับมันให้ได้ พอเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ผมก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเหมือนกัน คงเพราะชีวิตของผมประสบความสำเร็จแล้วก็ได้มั้ง” คุณนักเขียนกล่าวอย่างสบายๆ ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจ เพราะในเวลานี้อัตลักษณ์ที่ดูจะมีหน้าที่การงานมั่นคงก็คือคุณพีรวัตร
“แล้วคุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าครอบครัวของคุณที่ใช้จิตวิญญาณร่วมกัน มีใครอยู่บ้าง?”

“ครอบครัว ? คำจำกัดความแบบนั้น กรเป็นคนบอกคุณสินะ”
“ใช่”

“กับตัวตนอื่นๆ ผมอธิบายให้พวกเขาเข้าใจบ้างแล้ว แต่ยังมีพวกนอกคอกที่เอาแต่ดื้อรั้น”
“พวกนอกคอกที่คุณพูดถึง มีใครบ้าง?”

“กรวินท์กับจิม”
“จิมคือใครเหรอครับ ?”

“เด็กชายลูกครึ่งอายุ 4 ขวบ”
“เลือดร้อนและวู่วามกว่ากรวินท์เยอะ” สิ้นคำอธิบายเพิ่มเติมทำเอาผมใจหาย เพราะคาดเดาได้ไม่ยากว่าอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ อาจจะเป็นผู้ที่ทำให้จันทร์ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก

“แล้วคุณเคยคุยกับเขาผ่านทางสมุดบันทึกบ้างหรือเปล่า ?”
“ไม่เคย เพราะเขาหลับไปนานมากแล้ว”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าในครอบครัวของคุณก็มีเขาอยู่”
“ลีเคยเล่าให้ผมฟังในสมุดบันทึกว่าแต่ก่อนการบ้านของเธอมักจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นจิม แล้วเธอก็มักจะถูกเรียกเข้าห้องปกครองเพราะการแผลงฤทธิ์ของจิม” คำบอกเล่าจากคุณนักเขียนทำเอาผมเริ่มเรียงไทม์ไลน์อย่างสับสนอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่า ‘จิม’ คนนี้จะออกมาใช้ชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างจันทร์กับลี และจันทร์ก็เคยถูกต่อว่าไม่ต่างกับลี เพียงแต่ผมยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนัก และกว่าจะได้รู้ก็ต้องรอให้จันทร์ยอมออกมาใช้ชีวิตหรือไม่ก็คงต้องรอให้คุณพีรวัตรให้ความร่วมมือตามที่ ดร. อาทิตย์เกลี้ยกล่อมไว้

“ถ้าอย่างนั้น คำถามแปลกๆ ของคุณน่าจะทำให้ลีล่วงรู้เกี่ยวกับโรค DID ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้บอกคุณตั้งแต่แรก เพราะผมก็เพิ่งจะมารู้เมื่อวานนี้เองว่าอันที่จริงลีรู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว เพียงแต่เธอไม่ได้รู้ลึกมากขนาดนั้น”

“ผมหมายถึง เธอรู้แค่ว่าจันทร์ต้องการเธอในช่วงเวลาที่ดอกสโนว์ดรอปส์ผลิบาน เธอก็เลยออกมาใช้ชีวิตแค่ช่วงเวลานั้น”
“แล้วเรื่องการควบคุมว่าใครจะออกมาตอนไหน คุณทำยังไงเหรอครับ ?”

“ผมก็แค่ต้องขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดฉบับครอบครัวนี้ให้ได้ แต่กับกร.. ผมเองก็ต้องยอมรับว่าเขาแข็งแกร่งมาก ผมถึงได้ควบคุมเขาไม่ค่อยอยู่”
“ผมจำได้คุณเคยบอกกับผมและไอ้บาสในทำนองว่า ความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คุณถึงยอมให้กรมีความสัมพันธ์กับคุณชลวิทย์ ทั้งๆ ที่ตัวคุณเองมีอคติกับรักร่วมเพศ” ผมกล่าวเปิดประเด็นโดยอ้างไปถึงวันวาน เพื่อให้เขาช่วยอธิบายอะไรบางอย่างที่คนอย่างคุณพีรวัตรก็น่าจะเข้าใจ

“ที่ผมพูดไปในตอนนั้น ผมแค่ไม่ยอมรับความจริงว่าผมกำลังล้มเหลวในการควบคุม”
“สรุปคือมีแค่กรคนเดียวที่คุณควบคุมให้เขาเชื่อฟังไม่ได้ ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายเพื่อความแม่นยำ เพราะเวลานี้ผมกำลังอัดเสียงบทสนทนาไว้ ซึ่งถ้าจบการพูดคุยในรอบนี้ ผมอาจจะต้องขออนุญาตเพื่อเอาคลิปเสียงดังกล่าวไปใช้ประกอบการรักษา

“ใช่ครับ”
“ผมขอถามเกี่ยวกับเรื่องทัศนคติที่คุณมีต่อรักร่วมเพศได้หรือเปล่า”

“จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยคุณ เพราะผมรับรู้แค่ว่า.. ทันทีที่เกิดมา ผมก็มีอคติกับพวกเขาไปแล้ว”
“เกี่ยวกับอคติของคุณ เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจจะเชื่อมโยงกับอดีตบางอย่างของจันทร์” ผมเอ่ยถามตามข้อสันนิษฐานที่ติดอยู่ในใจมานานแล้ว เพราะจากเคสของคุณบิลลี่ก็มีอัตลักษณ์หนึ่งที่มีท่าทีตื่นกลัวมนุษย์เพศชายเอามากๆ ซึ่งมันก็เชื่อมโยงได้จากเหตุการณ์ในอดีตของอัตลักษณ์หลักอย่างคุณบิลลี่ ที่เคยถูกพ่อเลี้ยงทรมานและทารุณกรรมทางเพศ ซึ่งทุกครั้งคุณบิลลี่มักจะถูกพ่อเลี้ยงข่มขู่ด้วยข้ออ้างว่า..
‘คุณบิลลี่จะถูกฝังร่างไว้ที่โรงนา และพ่อเลี้ยงจะบอกกับแม่ของเขาว่าลูกชายหนีไปเพราะเกลียดแม่ของตัวเอง’

“ผมไม่แน่ใจพูดตรงๆ ว่าเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมด คุณคงต้องหาคำตอบจากลีหรือไม่ก็จิม เพราะผมแค่ช่วยให้การใช้ชีวิตของพวกเรามันง่ายขึ้น ส่วนกรก็แค่คนที่ต้องคอยรองรับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะเป็นคนที่รับมันไว้ทั้งหมด”
“ส่วนเรื่องของจันทร์ตามที่ด็อกเตอร์เคยให้การบ้านไว้ ผมลองเอากลับไปคิดดูแล้ว..”

“คำแนะนำแบบนั้น ผมว่ามันก็ไม่เลวนัก”


゚゚❀゚゚

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

เตรียมปรบมือต้อนรับน้องจันทร์ในตอนหน้าค่ะ ฮรือ ตอนนี้ปล่อยปมมาเยอะพอสมควรเลย อ่านๆ ไปมันอาจจะดูแฟนตาซีหน่อย แต่เราปรับเปลี่ยนพล็อตบางส่วนให้มันอิงกับเคสของคุณบิลลี่ตามที่เราอ่านเจอมา คือเคสของคุณบิลลีเขาไม่ได้ปฏิเสธแบบค้านจนหัวชนฝา ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนหลักนะ แต่แค่ไม่ชอบให้หมอกับพยาบาลมาเรียกตัวเองด้วยชื่อของตัวตนหลักมากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่ามันทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีตัวตนน่ะค่ะ แต่มันก็มีข้อแม้ว่า ในยามคับขันในอดีต พวกเขาจะยอมรับชื่อของบิลลี่ เพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้ใครมองว่าตัวเองเป็นบ้า ส่วนการติดต่อแต่ละตัวตนนั้น คุณอาเธอร์จะเป็นคนรับหน้าที่ทั้งหมด และค้นหาความจริงว่ามีใครอยู่ในร่างกายของตัวเอง ร่วมกับคุณเรเกรน แล้วก็ค่อยๆ อธิบายให้แต่ละบุคลิกเข้าใจว่า มันคืออะไรยังไงประมาณนี้ ซึ่งเราว่าแต่ละเคสก็จะไม่เหมือนกันนะโรคนี้ เพราะอย่างที่เคยบอกว่า เคสของคุณคิมโนเบลแต่ละตัวตนจะไม่เคยคุยกัน ไม่เคยรับรู้ตัวตนของกันและกัน มันเลยทำให้การยอมรับต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เพราะเขาเชื่อว่าเขาคือเขาเหมือนกับกรวินท์นี่แหละค่ะ ดังนั้นการรักษาหมอถึงพยายามจะให้แต่ละตัวตนสื่อสารกันให้ได้ แต่ในส่วนที่เพื่อนเราเคยบอกมา ตามที่เคยสอบถามกับจิตแพทย์ คือว่าการที่แต่ละตัวตนได้ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในวันนั้น จะทำให้บุคลิกหลักจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ค่ะ ประมาณว่าผู้ป่วยต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน เขาถึงจะหายจากโรคนี้ เราเลยเอาข้อมูลมาอิงๆ ร่วมกันหมด แต่เคสของคุณคิมโนเบลเราไม่ได้อ่านลึกมากนัก เพราะว่าหนังสือที่จองไว้สรุปคือหาไม่ได้ค่ะ

ปล. เรื่องนี้มันจะยาวก็เพราะช่วงเวลาของการรักษานี่แหละค่ะ แต่เราอาจจะเขียนข้ามๆ ช่วงเดือนไปบ้าง เพื่อให้มันไม่อืดมาก แต่ช่วงแรกๆ อาจจะต้องลงข้อมูลเยอะหน่อยก็เลยยังไม่ข้ามดีกว่า
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 27 ❀ หน้า 2 (update 20/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-06-2018 19:59:10
สู้ๆ ครับ.
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 27 ❀ หน้า 2 (update 20/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-06-2018 14:33:32
นี่ยังอ่านไม่จบ ทั้งหลอนทั้งเครียดเลย
คนแต่งเก่งมาก รายละเอียดแน่นสุดๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 28 ❀ หน้า 2 (update 24/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 24-06-2018 01:38:51
ตอน 28

หลังจากกรให้สัมภาษณ์ในคาบจิตวิทยาการปรึกษาเมื่อครั้งล่าสุดว่าการพร่ำเรียกเขาด้วยชื่อของ ‘จันทร์’ ทำให้เขารู้สึกไม่มีตัวตน ทีมรักษาอย่างเราๆ จึงต้องมานั่งประชุมหารือกันอย่างเป็นทางการเสียที เพราะจากปฏิกิริยาของคุณพีรวัตร ยามที่พยาบาลผู้ดูแลเอ่ยเรียกด้วยชื่อเสียงเรียงนามของจันทร์ ดวงตาที่เคยอบอุ่นและท่าทีที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างเพียงชั่วพริบตา
ซึ่งเหตุผลของการกระทำเหล่านั้น..
ตรงกับข้อสันนิษฐานของผมมาตั้งแต่แรก

“เดิมทีผมเคยคิดว่าการปฏิเสธการมีตัวตนของอัตลักษณ์อื่นๆ จะบังคับให้พวกเขาหลอมรวมกันได้ แต่กลับกลายเป็นว่าวิธีนี้ทำให้พวกเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากเท่าที่ควร” ดร. อาทิตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่บุคลากรในทีมต่างก็ตั้งใจฟังแนวคิดของเขาอย่างเงียบเชียบ
เพราะแนวคิดดังกล่าว..
มีทั้งคนที่ปฏิบัติตามและไม่ปฏิบัติตาม

“ผมเลยคิดว่าเราไม่ควรปฏิเสธการมีตัวตนของอัตลักษณ์อื่น ฉะนั้นพวกเราควรจะตอบสนองกับทุกๆ ตัวตนของคุณเพียงจันทร์โดยแยกออกจากกัน” สิ้นคำกล่าวของด็อกเตอร์ผู้มีชื่อเสียง ผมเองก็รู้สึกโล่งใจ เพราะที่ผ่านมาผมตอบสนองต่อทุกๆ ตัวตนแยกจากกันอยู่แล้ว
พวกเขาถึงได้พูดคุยกับผมด้วยท่าทีปกติ

ซึ่งผลลัพธ์ของการให้ความร่วมมือที่ดี ส่งผลให้คุณพีรวัตรยินยอมให้จันทร์ออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลาของการบำบัดในครั้งต่อไป ส่วนการกระทำอันเป็นการต่อต้านของกร บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าวิธีนี้ไม่เหมาะจะนำมาใช้ในการรักษา เพราะตัวตนที่ยังไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงได้ มีความเชื่อมั่นว่าเขาเป็นเขาโดยที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ายังมีตัวตนอื่นๆ ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน มิหนำซ้ำร่างกายนี้แท้ที่จริงก็มีเจ้าของ ส่วนตัวตนที่ยอมรับได้ก็ใช่ว่าเขาจะโอเคกับการถูกมองข้าม เพราะก่อนที่เขาจะอยู่ร่วมกับมันได้ ล้วนต้องผ่านการคัดค้านจนหัวชนฝาและยังต้องผ่านการทดสอบอย่างกระจ่างแจ้งว่าในแต่ละช่วงเวลาที่ตนเองหลับใหล ร่างกายนี้กำลังใช้ชีวิตไปตามปกติจริงหรือไม่
ดังนั้นแผนการบำบัดประจำเดือนกันยายน จึงกำหนดไว้ว่าจะไม่มีการปฏิเสธว่าคุณเพียงจันทร์มีอัตลักษณ์ที่แตกกระจัดกระจาย เมื่อเขามีความเชื่อมั่นว่าเขาคืออัตลักษณ์อื่นๆ ให้ทีมรักษาถามถึงความรู้สึกในขณะนั้น เพื่อที่เราจะได้เข้าใจตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงได้รับความร่วมมือในเรื่องต่างๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการรักษา จนส่งผลให้ความวุ่นวายลดน้อยลง ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ในทีมอาจจะต้องทำงานอย่างหนักสักหน่อย
เพราะการจะจดจำอัตลักษณ์ของคนคนหนึ่งได้ตั้งแต่วินาทีแรก
ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

ส่วนผมถือว่าโชคดีที่ได้เข้าไปคลุกคลีอยู่ที่บ้านกลางป่าสนเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงทำให้ผมสังเกตเห็นตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ได้อย่างง่ายดาย ต่างกับช่วงเวลาที่ทุกๆ อัตลักษณ์ออกมาใช้ชีวิตที่โรงพยาบาลลิบลับ เพราะที่นี่ไม่มีการสวมเสื้อผ้าหรือใช้เทียนหอมเพื่อจำแนกอัตลักษณ์ จึงทำให้การสังเกตเป็นไปได้ยาก ผมเลยถือโอกาสเอาแมคบุ๊กมาให้คุณพีรวัตร เพราะเขามักจะคลุกคลีอยู่กับของแบบนี้บ่อยๆ แต่ถ้าจันทร์ออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเองจริงๆ ผมกล้าพูดได้เลยว่าช่วงเวลาแบบนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่จำแนกได้ยากตั้งแต่วินาทีแรกเห็น เราจึงต้องอาศัยการสังเกตด้านอื่นๆ และยังต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์ว่าใครคนนั้นคืออัตลักษณ์ใดกันแน่
ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ทีมแพทย์ต่างก็สับสนว่าใครเป็นใคร เนื่องจากแต่ละตัวตนไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีออกมาอย่างเด่นชัดในวินาทีแรก ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง เช่น พยาบาล A เห็นคุณพีรวัตรใช้แมคบุ๊กตอนช่วงเช้า ทว่าคนที่เธอสอบถามในช่วงบ่ายกลับกลายเป็นกร จึงทำให้เขาไม่ยอมรับข้อกล่าวหา เพราะชีวิตประจำวันของเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอุปกรณ์เทคโนโลยีในลักษณะดังกล่าว
หลังจากนั้นทีมรักษาส่วนใหญ่จึงเลือกระบุตัวตนของทุกๆ อัตลักษณ์ว่า ‘เพียงจันทร์’
จะมีก็แต่บุคลากรในทีมอย่าง ‘พี่จี๊ด’ แม้เธอจะสามารถแยกแยะอัตลักษณ์ต่างๆ ของจันทร์ได้ แต่เธอก็ยังเลือกดำเนินการตามแนวทางของด็อกเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้จึงถูกต่อต้านอย่างที่เห็น

ส่วนคาบบำบัดในช่วงสายของเดือนใหม่แบบนี้ ดูเหมือนว่าน้องเจนจะจัดให้มีการทดสอบรอร์ชาค (Rorschach Test) ซึ่งเป็นการทดสอบด้วยการสังเกตหยดหมึกว่ามันคือภาพอะไรและเตือนใจให้คิดถึงสิ่งใด โดยผู้ป่วยจะต้องสังเกตภาพของหยดหมึกแบบมาตรฐานทั้งหมด 10 ภาพ บนกระดาษแข็งขนาด 7 x 9.5 นิ้ว และในแต่ละภาพจะแบ่งออกเป็นภาพขาวดำจำนวน 5 ภาพ และอีก 5 ภาพเป็นภาพสองสีหรือสารพัดสีปะปนกัน
ซึ่งการทดสอบดังกล่าวสามารถบ่งบอกถึงลักษณะทางบุคลิกภาพ สภาพจิตใจของผู้ทดสอบ รวมถึงความปรารถนาและปัญหาของบุคคลที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
นอกจากนี้ยังทำให้เราทราบว่า..
ผู้ป่วยกำลังเจ็บป่วยอยู่ในระดับใด

อย่างภาพแรกจะเกี่ยวกับ ‘ความหวาดระแวง’ โดยผู้ทดสอบตามคำให้การของน้องเจนคือ ‘จันทร์’ ที่มองเห็นภาพ ‘โคมไฟ’ และในทางจิตวิทยาสามารถแปลความหมายได้ว่า อีกฝ่ายมีความหวาดระแวงผู้คน ซึ่งจันทร์ได้อธิบายกับเจนถึงสาเหตุของความหวาดระแวงดังกล่าวที่ว่าด้วยเรื่อง ‘คนขี้โกหก’ และมันก็สอดคล้องกับคำพูดที่จันทร์เคยพูดทิ้งท้ายก่อนจะหลับใหลและตัดขาดจากช่วงชีวิตในปัจจุบันว่า ‘ถึงอธิบายไป มันก็ไร้ประโยชน์’ เพราะในอดีตใครๆ ต่างก็ตราหน้าว่าจันทร์เป็นเด็กขี้โกหก ชอบก่อเรื่อง แต่ไม่ยอมรับผิด
ดังนั้นบทสรุปของเด็กชายผู้นี้
จึงจบลงด้วยการถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า

หรืออย่างภาพที่เกี่ยวกับ ‘ทัศนคติเรื่องแม่’ ซึ่งคนทั่วไปจะมองเป็นรูปหูกระต่ายหรือคน แต่จันทร์กลับมองเป็นรูป ‘ผู้หญิงสองคนกำลังต่อสู้กัน’ แปลความหมายได้ว่าเด็กผู้ชายคนนี้อาจจะมีปัญหากับผู้เป็นแม่ เจนจึงถือโอกาสให้จันทร์ระบายถึงความรู้สึกที่มีต่อแม่ ทำให้ทราบว่าข้อสันนิษฐานของผมคือความจริง เพราะความสัมพันธ์ของจันทร์กับแม่ระหองระแหงมานานแล้ว โดยชนวนของปัญหาคือการโกหกที่ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร แม่ก็ไม่เคยเชื่อคำพูดของจันทร์ ซึ่งผมคิดว่าก่อนหน้านั้นอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ คงจะออกมาเล่นซนจนทำให้กระจกแตกไปหลายบาน แต่ด้วยความตกใจกลัว จิมเลยหนีปัญหาและทิ้งให้จันทร์ออกมารับโทษ ดังนั้นการสร้างปัญหาจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะจิมมักจะใช้วิธีหลับตาเพื่อก้าวสู่ช่วงเวลาของการหลับใหล
เพียงแต่มันยังมีสาเหตุที่น่าตกใจมากกว่านั้น..
เพราะจันทร์กับลีคือบุคคลที่แม่ไม่ต้องการ

ไปๆ มาๆ เรื่องราวดันเชื่อมโยงกับภาพที่เกี่ยวกับ ‘ทัศนคติเรื่องพ่อ’ เพราะจันทร์มองเห็นภาพดังกล่าวเป็นรูป ‘กอลิล่ากำลังต่อสู้กัน’ บ่งบอกถึงความคิดในเชิงลบ เจนจึงสอบถามจนได้ความว่าอันที่จริงจันทร์ก็มีพ่อ เพียงแต่พ่อคือคนที่ทำร้ายแม่ด้วยการร่วมรักโดยไม่ยินยอม นักจิตวิทยาสาวจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าจันทร์ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจึงบอกว่าตนได้ยินมาจากคนในหมู่บ้าน ซึ่งมันก็ตรงกับเรื่องเล่าจากทางอินเตอร์เน็ตที่ผมเคยอ่าน ซ้ำยังสอดคล้องกับเรื่องราวในนิยายของคุณอนธการ และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้จันทร์โกรธเกลียดพ่อของตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีความจริงที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือ..
พ่อของจันทร์น่าจะเป็นพี่ชายของป้าเข็ม

หาก ‘ป้าเข็ม’ เป็นญาติของคุณชลวิทย์ตามข้อสันนิษฐานของผมจริง เท่ากับว่าจันทร์อาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณชลวิทย์ และพ่อของจันทร์ก็อาจจะเป็นพี่ชายของป้าเข็ม และยังเคยทำงานในไร่ของพ่อไอ้แนน แถมแม่ของจันทร์ยังอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับไอ้แนน แสดงว่าพ่อกับแม่ของจันทร์อาจจะเคยเจอกันที่ไร่ดอกไม้ หลังจากนั้นอาจจะเกิดเรื่องราวน่าเศร้าสลด แม่ของจันทร์เลยพยายามหลีกหนีจากสถานการณ์อันย่ำแย่
แต่สุดท้าย.. โลกใบนี้กลับคับแคบจนน่าใจหาย
เพราะบ้านของแม่จันทร์กลับอยู่ใกล้ๆ บ้านของพ่อจันทร์เสียนี่

ถ้าหากเรื่องราวมันเป็นอย่างที่ผมคิด แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนล่วงละเมิดทางเพศกับจันทร์ เพราะคุณชลวิทย์ก็ดูเป็นห่วงเป็นใยจันทร์อยู่บ้าง แม้ที่ผ่านมาความเห็นแก่ตัวจะครอบงำเกินไปหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็พยายามจะตัดใจจากกรอย่างเด็ดขาด อีกทั้งบ่อเกิดของปัญหามันคือความรักที่เขามีให้จันทร์ในคราบของกรวินท์ เท่ากับว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้น เกิดจากความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นไม่อาจเรียกว่าการล่วงละเมิดได้เต็มปาก และอัตลักษณ์ของกรยังเกิดหลังจากที่จันทร์ประสบเหตุการณ์อันเลวร้าย
จึงเป็นไปได้ว่ากรกับคุณชลวิทย์ อาจจะพากันหนีออกจากบ้านนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง..
นอกจากนี้คุณชลวิทย์ยังดูเหมือนจะไม่รู้ว่าพ่อของจันทร์ก็คือพี่ชายของป้าเข็ม เลยทำให้ผมไม่ค่อยจะแน่ใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเอง

แต่จะไปจี้ถามเจ้าของบ้านกลางป่าสนทั้งสองคนก็ไม่ได้ เพราะฝ่ายหนึ่งกำลังเป็นโรคซึมเศร้า และจากการประเมินคำบอกเล่าของกรวินท์ ก็บ่งบอกได้ดีว่าการกระทำของคุณชลวิทย์ที่ลงทุนพาจันทร์หนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ย่อมต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ดีสำหรับพวกเขา อีกทั้งปฏิกิริยาของป้าเข็มในเวลาที่ผมสอบถามเกี่ยวกับเรื่องคุณแม่ของจันทร์ยังดูแปลกๆ
ส่วนฝ่ายคนน้องความทรงจำของเขากลับสะเปะสะปะจนจับจุดแทบไม่ได้ เพราะเจ้าตัวจดจำได้แค่ช่วงเวลาที่ถูกลงโทษจากสิ่งที่ตนเองไม่ได้กระทำ ต่อมาจันทร์ก็ย้ายมาอยู่กับคุณชลวิทย์ โดยที่เขาไม่เคยเห็นแม้แต่จะใบหน้าของน้องสาวและผู้เป็นแม่ กระทั่งลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีจันทร์ก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีความคิดว่าแม่ทอดทิ้งตนเองให้อยู่ที่บ้านกลางป่าสนเพราะความเกลียดชัง แสดงว่าคุณชลวิทย์อาจจะแต่งเติมเรื่องราวให้จันทร์เชื่อถือ บวกกับทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่เลยทำให้จันทร์มองสถานการณ์ดังกล่าวในทิศทางติดลบ
และยังทำให้จันทร์ไม่เคยรับรู้ว่า..
ตนเองกำลังป่วยเป็นโรคหลายอัตลักษณ์

พอวิเคราะห์ได้แบบนั้นก็ทำให้ผมย้อนกลับมาคิดว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้จันทร์คิดจะตัดขาดจากความทรงจำและความเป็นตนเองมาตั้งแต่ต้น ทว่าการจะหาคำตอบดังกล่าวได้มันช่างยากเย็น เพราะผมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ เลย แต่คาดว่าจิมน่าจะเป็นตัวตนแรกที่ถือกำเนิดขึ้น และอาจจะมีเหตุผลมาจากความไม่อบอุ่นในครอบครัว
แต่กับ ‘น้องลียากร’ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า..
เธอเกิดมาเพื่อทดแทนสิ่งใด

กระทั่งเวลาเลิกงานมาเยือน ผมจึงมุ่งตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยของจันทร์ด้วยท่าทีเริงร่า ราวกับวันนี้ได้ผ่านการโดฟคาเฟอีนในปริมาณที่มากจนเกินพอดี เมื่อไปถึงที่หมายผมกลับไม่เห็นใครบางคนที่ต้องการจะพบหน้า จึงเดินไปสอบถามน้องแพรจนได้ความว่าจันทร์ขอออกไปเดินเล่นตรงบริเวณสวนหย่อมกับพี่จี๊ด พอไปถึงผมก็ส่งสัญญาณให้พี่จี๊ดว่าผมขอเวลาส่วนตัวและจะดูแลทางนี้ให้

“จันทร์” ผมเอ่ยเรียกคนที่กำลังเดินไปตามสะพานไม้ริมบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นอาณาบริเวณของแต่ละตึกเอาไว้
“คุณทักผิดคนแล้ว..” คุณนักเขียนหันมายกยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเจ้าตัว

“เอ่อ.. คือ.. ผมไม่ได้ตั้งใจ..” พอได้รับคำตอบแบบนั้นรอยยิ้มของผมก็หุบลงเพราะผมคิดคำแก้ตัวไม่ออก
“ผมรู้.. เพราะคุณไม่เหมือนคนอื่น” คุณนักเขียนกล่าวด้วยถ้อยคำที่ผมเองก็เข้าใจว่า ‘การไม่เหมือนคนอื่น’ หมายถึงการเรียกขานของผมแตกต่างจากบุคลากรในทีมที่เคยทำให้เจ้าตัวหัวเสีย เพียงเพราะปฏิบัติตัวราวกับเขาไม่มีตัวตน

“นี่.. ผมขอนั่งเล่นตรงนี้สักพักได้หรือเปล่า ?” คุณพีรวัตรเอ่ยถามพลางย่อตัวลงนั่งกับพื้นไม้บนสะพานริมน้ำ
“เอาสิ เดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อนคุณเอง” ผมกล่าวพลางย่อตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่ายที่กำลังจัดการพับขากางเกงจนถึงหัวเข่า

 “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้แล้วสินะว่าการทำเหมือนกับพวกเราไม่มีตัวตน มันเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก” คุณพีรวัตรเอ่ยถามขณะที่สองขากำลังแกว่งไกวอยู่ในน้ำ
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มไปให้เขา

“ตอนที่พยาบาลเอาแต่เรียกผมว่าจันทร์ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เล่นเอาผมหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เพราะการกระทำแบบนั้น มันเหมือนกับพวกเขากำลังจะบอกกลายๆ ว่า พวกเราไม่เป็นที่ต้องการและกำลังจะถูกกำจัด”
“แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงให้ความร่วมมือขึ้นมาล่ะ ?” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะการปลดปล่อยให้จันทร์ออกมาใช้ชีวิต พูดตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
 
“เพราะคุณ”
“ผมเนี่ยนะ ?” ผมย้อนถามอย่างงุนงง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้กลายไปเป็นเหตุผลหลักของการตัดสินใจ

“ผมเชื่อใจและมั่นใจในตัวคุณ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น คุณจะรับมือกับมันได้”
“แต่ผมก็เคยทำพลาดนะคุณ ไม่อย่างนั้นกรคงไม่ได้ก่อเรื่องจนคุณต้องเย็บตั้งหลายเข็มแบบนี้หรอก” ผมกล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปยังบาดแผลตรงศีรษะของคุณนักเขียนที่กำลังพันด้วยผ้าก๊อซสีขาว

“แต่คุณก็พยายามจะปกป้องพวกเราด้วยไม่ใช่หรือไง ที่มือคุณน่ะ”
“…” ผมส่งยิ้มให้คุณนักเขียนที่ดูเหมือนจะเชื่อมั่นในตัวผมมากกว่าตัวผมเอง พร้อมกับเหลือบมองฝ่ามือข้างที่เจ็บด้วยความรู้สึกคิดย้อนไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ทำให้ภาพใบหน้าอาบเลือดของจันทร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น และมันก็ตามมาด้วยความรู้สึกปวดหนึบในใจ

“ว่าไปแล้วผมยังเจ็บขนาดนี้.. กรคงจะเจ็บเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
“แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เพราะเขาคือผู้พิทักษ์ความเจ็บปวด”

“ผมอยากให้เขายอมรับความเป็นจริงให้ได้ เขาจะได้ไม่คิดทำร้ายตัวเองอีก”
“ในความคิดของผม ถึงเขาจะยอมรับมันได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่คิดทำแบบนั้นอีก..” สิ้นคำกล่าวของคุณนักเขียน ผมก็เข้าใจได้ทันทีเพราะจิตใจของกรกำลังตกอยู่ในสภาวะอันว่างเปล่า
เรื่องราวแบบนี้จึงห้ามปรามได้ยาก

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”
“ผมรู้.. แต่ที่ผมพูด ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเร่งรัด เพียงแต่ผม.. ไม่อยากให้เขาทำร้ายตัวเองแบบวันนั้นอีก เพราะคนที่เจ็บก็คือตัวเขา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวเพียงเล็กน้อย เพราะกรถือเป็นคนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมากๆ อีกหนึ่งคน

“คุณทำให้ผมลบอคติเกี่ยวกับรักร่วมเพศไปได้เยอะ รู้ตัวหรือเปล่า”
“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ?”

“เพราะความเป็นคุณไง.. คุณที่อ่อนโยน..” คุณพีรวัตรกล่าวพลางมองจ้องมายังผม จากนั้นในท้ายประโยคก็มองตรงไปข้างหน้าและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณหน่อยสิ ทำไมวันนั้นคุณถึงด่าผม แล้วมองผมในแง่ลบขนาดนั้น คือผมสงสัยว่ามันเป็นเพราะจันทร์หอมแก้มผมหรือเปล่าเลยทำให้คุณไม่พอใจ เพราะคุณก็มีอคติที่ไม่ดีกับความรักในรูปแบบนี้อยู่แล้ว แต่กับคุณชลวิทย์ทำไมคุณถึงไม่มีปฏิกิริยาแบบนั้น?”

“ใครว่าล่ะ กับไอ้ชลผมก็ต่อยมันจนปากแตกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เสนอทางเลือกให้เราต่างคนต่างอยู่หรอก แต่กับคุณผมแค่รู้สึกไม่ชอบใจ เพราะคุณเข้ามาล่วงเกินจันทร์ก่อน”
“ผมเนี่ยนะ ?” ผมเอ่ยถามพลางทำสีหน้าแปลกใจ

“ใช่ คุณจูบเขาตรงนี้” คุณพีรวัตรเอ่ยพลางชี้ไปยังบริเวณหน้าผาก จึงทำให้ผมเริ่มจะนึกออกว่ามันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน
“ตอนนั้นผมกำลังหลวมตัวไปชอบจันทร์ เลยอดจะปลอบใจด้วยวิธีแบบนั้นไม่ได้” ผมอธิบายพลางเกาแก้มอย่างเก้อเขิน เพราะการกระทำดังกล่าวไม่ต่างจากการลักหลับเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าผมบอกอะไรบางอย่างกับคุณ.. คุณอย่าช็อกไปก่อนล่ะ”
“อะไรเหรอครับ ?” ผมเอ่ยถามแกมหัวเราะเพราะสีหน้าของคุณนักเขียนกำลังจริงจังมากถึงมากที่สุด

“ตอนนั้น.. คนที่กำลังควบคุมจิตวิญญาณคือผม..” คุณพีรวัตรกล่าวพลางลุกขึ้นยืน แต่ผมกลับอึ้งแดกไปแล้ว เพราะมันเหนือความคาดหมายเอามากๆ มิน่าล่ะวินาทีแรกที่เผชิญหน้ากัน เขาถึงได้แสดงท่าทีรังเกียจผมขนาดนั้น
“เอ่อ.. ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอโทษคุณจริงๆ แต่ผมสงสัยว่าทำไมจู่ๆ คุณถึงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผม คือผมหมายถึงมันเกิดขึ้นตอนไหน” ผมเอ่ยถามพลางเดินตามอีกฝ่ายที่กำลังมุ่งหน้าออกจากบริเวณสวนหย่อมในยามหัวค่ำ

“อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละ ผมต้องพยายามทำสมาธิ เพื่อที่จะได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ของจันทร์กับทุกๆ คนที่เป็นครอบครัวเดียวกัน มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า.. คุณเป็นคนดีกว่าที่คิด”
“คุณหมายถึงคุณแอบสอดส่องพฤติกรรมของผมในขณะที่จันทร์กำลังตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ?” ผมรีบย้ำถามขึ้นมาทันที เพราะแต่เดิมผมก็พอจะรับรู้มาบ้างว่าอัตลักษณ์อื่น ๆ สามารถรับรู้ถึงการการกระทำของอัตลักษณ์หลักได้ แต่จากคำพูดของคุณนักเขียนดูท่าทางจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความพยายามของแต่ละตัวบุคคล ดังนั้นกรกับคนอื่นๆ ถึงไม่เคยรับรู้ว่าตนเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจันทร์

“ก็ประมาณนั้น แต่ผมไม่ได้ใช้วิธีแบบนี้บ่อยนักหรอก คุณสบายใจได้..”
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายเพราะผมกำลังอึ้งๆ อยู่บ้าง แม้จะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วก็เถอะ เพราะทุกครั้งที่ได้อยู่กับจันทร์ ผมไม่เคยโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เลย

“ถ้าเกิดวันแห่งการจากลามาถึง..”
“…”

“ผมคงอาลัยอาวรณ์ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้น่าดู”


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- แบบทดสอบรอร์ชาค
https://goo.gl/hbnp9A  /  https://goo.gl/NH4qAb

มีใครเดาถูกกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย มันจะค่อยๆ ทยอยเฉลยปมไปเรื่อยๆ นะคะ แต่ต้องรอให้จันทร์ออกมามากกว่านี้ก่อน
ดร. จะได้ขอให้ตัวตนอื่นๆ ออกมาใช้ชีวิตเพื่อสอบถามความจริงต่อไป
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 28 ❀ หน้า 2 (update 24/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-06-2018 02:40:30
ยังตามอ่านได้แค่15ตอนอยู่เลย
รีบอ่านไม่ได้ เดียวงง 5555
แต่ล่ะบุคลิกนี่มีเทียนกลิ่มประจำตัวของตัวเองเก๋มาก :hao7:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 28 ❀ หน้า 2 (update 24/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 24-06-2018 10:54:15
อินักเขียนชอบพี่หมอของเราเข้าให้แล้ว อร๊าายยยยย ~~~
ก่อนจากลา ทึ่งโป๊ะกับนักเขียนใส่แว่นหน้าคอมสักฉากก่อนะพี่หมอ >///<
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 29 ❀ หน้า 2 (update 27/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 27-06-2018 13:31:19
ตอน 29


คำพูดและท่าทีของคุณพีรวัตรเมื่อค่ำคืนวาน ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะการแสดงออกของเขา บังเอิญคล้ายคลึงกับจันทร์ในช่วงที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกความรู้สึกของตัวเองให้ผมรับรู้ก็เป็นได้
แต่ถึงอย่างนั้น..
ปฏิกิริยาของผมที่มีต่อคุณนักเขียนก็ไม่ต่างกับตอนที่เคยมีให้จันทร์ในช่วงแรกๆ

สำหรับโปรแกรมการรักษาของจันทร์ในช่วงเช้าคือการบำบัดทางจิตวิทยาการปรึกษา ส่วนช่วงสายเป็นคิวของการบำบัดด้วยการทำอาหารพร้อมทั้งร่วมรับประทานอาหารกับผู้ป่วยท่านอื่น เที่ยงนี้ผมกับไอ้บาสเลยต้องออกไปหาอะไรกินกันเอง เพราะแม่จะเอาอาหารเที่ยงมาส่งพร้อมกับอยู่เป็นเพื่อนจันทร์ในคราบของอัตลักษณ์ต่างๆ ทุกๆ วันที่ไม่ได้มีการบำบัดด้วยการทำอาหาร ส่วนช่วงบ่ายจันทร์ต้องเข้าร่วมการทดสอบของกลุ่มบำบัดย่อยที่ว่าด้วยความไว้วางใจ
โดยผมอาสาจะเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงบ่าย
เพราะกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นมาเพื่อ ‘จันทร์’

กระทั่งช่วงสายผมก็ได้รับไฟล์วีดิโอ ‘บันทึกการรักษา’ ครั้งล่าสุดมาครอบครอง ทันทีที่ดับเบิ้ลคลิกเพื่อเปิดไฟล์ดังกล่าว ภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันอบอุ่นเรียบง่ายก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับใบหน้าของใครบางคนที่คุ้นเคย จากนั้นผมก็ใช้เวลาพิจารณาแค่เพียงครู่
ทำให้ผมทราบคำตอบแล้วว่า..
คนคนนี้คือ ‘จันทร์’ ที่ผมเอาแต่ห่วงใยและเฝ้าคิดถึงมาตลอด

“สวัสดีครับหมอ” จันทร์กล่าวพลางมองตรงมายังกล้องวีดิโอด้วยท่าทีเก้อเขิน
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์ ผม ดร. อาทิตย์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงกล่าวด้วยท่าทีอันเป็นมิตรอย่างมั่นอกมั่นใจ เนื่องจากบุคลิกภาพของผู้ป่วยในวันนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากตัวตนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
เพราะแววตาของจันทร์
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังดูไร้เดียงสา

 “เดี๋ยวยังไงผมขออนุญาตบันทึกวีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษานะครับ” ด็อกเตอร์กล่าวพลางส่งยิ้มไปให้จันทร์ที่เอาแต่สำรวจไปรอบๆ ห้อง เนื่องจากตนเพิ่งจะเคยเข้ามาบำบัดด้วยวิธีนี้เป็นครั้งแรก
“ครับ” จันทร์ตอบรับเพียงสั้นๆ พร้อมกับยกยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงยิบหยี แถมลักยิ้มเล็กๆ ก็ยังบุ๋มลงไปด้วย

“เอ่อ.. หมอครับ ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่แล้วเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าแห่งความสงสัย เนื่องจากอีกฝ่ายเคยเข้ารับการบำบัดด้วยวิธีอื่นมาบ้างแล้ว จึงทำให้เจ้าตัวไม่ได้ออกอาการตกใจมากนักที่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในโรงพยาบาล
“คุณอยู่ที่นี่ได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้วครับ”

“เดือนหนึ่ง?” จันทร์ย้ำถามเสียงสูงด้วยความตกใจ มิหนำซ้ำดวงตาของเขายังเบิกกว้างอีกต่างหาก
“ใช่ครับ เดือนหนึ่งแล้ว”

“แต่ผมจำได้ว่าผมเคยเข้ารับการบำบัดประมาณสองครั้ง ดูเหมือนว่าจะแค่สองวัน..” จันทร์กล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจเพราะความทรงจำที่ไม่ประติดประต่อกำลังสำแดงฤทธิ์
“แล้วก็.. ทั้งนักจิตวิทยากับพยาบาลต่างบอกว่าผมกำลังไม่สบาย เพราะข้างในนี้.. ยังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่” จันทร์กล่าวพลางชี้ปลายนิ้วเข้าหาตัวเอง ขณะที่สีหน้าก็ดูสับสนเพราะยังไม่เข้าใจความหมายของคำบอกเล่าหรืออาจจะยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินก็เป็นได้

“ใช่ครับ ที่จริงแล้ว.. พวกเขาเหล่านั้นที่คุณพูดถึง คือคนที่จะออกมารับมือกับความเจ็บปวด ความเศร้า ความเสียใจแทนคุณ”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะครับ ?” จันทร์เอ่ยถามอย่างสงสัย พร้อมทั้งใช้แววตาอันไร้เดียงสามองไปยัง ดร. อาทิตย์

“มันเป็นเพราะอีกด้านหนึ่งของคุณต้องการที่ปกป้องคุณ”
“ปกป้องผม ?” จันทร์เอ่ยงึมงำในลำคอคล้ายกับเขากำลังตบตีกับความคิดของตัวเองอย่างหนัก

“ครับ พวกเขาต้องการจะปกป้องคุณ ส่วนสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะคุณยังไม่รู้ว่าจะปกป้องตัวเองอย่างไร แต่อีกด้านหนึ่งของคุณ.. รู้วิธีการเหล่านั้น”
“หมอหมายความว่ายังไงเหรอครับ ?”

“เพราะข้างในนี้อาจจะมีบางอย่างที่คุณหวาดกลัว” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางชี้ปลายนิ้วไปยังบริเวณช่วงอกของตัวเอง ขณะที่จันทร์แน่นิ่งไปเพราะกำลังใช้ความคิดเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวที่ตนเองเพิ่งจะรับรู้
“แล้วทำไมผมถึงต้องหวาดกลัวขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ?” จันทร์เอ่ยถามคล้ายกับยังไม่กระจ่างในคำบอกเล่าของด็อกเตอร์มากนัก
เนื่องจากความทรงจำอันเลวร้าย
ถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด

“เพราะตอนที่คุณยังเด็ก คุณยังไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้นได้ คุณเลยเลือกจะตัดขาดจากความเป็นตนเองและตัดขาดจากความทรงจำเหล่านั้น ด้วยการเปิดโอกาสให้อีกด้านหนึ่งของคุณเข้ามาประคับประคองชีวิต”
“คุณหมอหมายถึงช่วงเวลาที่ผมหลับ คือช่วงเวลาที่คนพวกนั้นออกมาใช้ชีวิตเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนทำให้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น

“ใช่ครับ คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น.. เรื่องนี้จะเกี่ยวกับความทรงจำที่ขาดหายไปของผมด้วยหรือเปล่าครับ ?”

“เกี่ยวแน่นอนครับ”
“คือผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ เวลาของผมมักจะหายไปบ่อยๆ แต่ตอนนั้นผมคิดว่าคนอื่นๆ ก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน เพราะผมชอบได้ยินน้าเข็มบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าเวลามันหายไปไหนหมดทำงานทำการอะไรไม่ทันเลย” คำตอบของจันทร์ทำเอาผมนึกเอ็นดูและเศร้าใจปะปนกัน เพราะความไร้เดียงสาของเจ้าตัว เกิดจากการที่ร่างกายและความคิดจำเป็นจะต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากบางช่วงเวลาคือช่วงเวลาแห่งการออกโรงของอัตลักษณ์อื่น จึงทำให้ไทม์ไลน์ในการใช้ชีวิตไม่ค่อยประติดประต่อกัน
แต่ถึงอย่างนั้นจันทร์ก็ยังสามารถปรับตัวได้

“แสดงว่าทุกครั้งที่ผมถูกทำโทษเป็นเพราะมีใครบางคน กำลังออกมาใช้ชีวิตแทนผมอย่างนั้นเหรอครับ ?”
“ก็มีความเป็นไปได้ครับ คุณพอจะเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ผมฟังได้หรือเปล่า ?”

“เท่าที่ผมจำได้ผมมักจะถูกทำโทษด้วยข้อหาที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อ และมันก็เริ่มจะหนักข้อขึ้นตอนช่วงที่ผมเข้าเรียนชั้นอนุบาล แต่พอผมอธิบายอะไรออกไปกลับไม่มีใครเชื่อคำพูดของผม แถมพวกเขายังเอาแต่บอกว่าผมเป็นเด็กขี้โกหก แต่ผมสาบานได้ว่าผมพูดความจริงทุกอย่าง” จันทร์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันวานด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ทำเอาใจของผมหวิวไหวตามไปด้วย
“ไม่ว่าจะเขียนกำแพง ทำกระจกหรือจานแตก หรือรังแกเพื่อน ผมไม่เคยทำแบบนั้นเลย แถมบางครั้งผมมาอยู่ที่โรงเรียนได้ยังไง ผมยังไม่รู้ตัวเลยครับ”

“คุณไม่คิดว่าสถานการณ์แบบนั้น มันดูแปลกๆ บ้างเหรอครับ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามได้ตรงใจผมนัก เพราะผมยังจดจำเรื่องราวในวันวานที่ทำให้จันทร์ตกใจจนเคร่งเครียดได้เป็นอย่างดี ซึ่งท่าทีของจันทร์ในตอนนั้น ราวกับเขาเพิ่งจะเคยพบเจอสถานการณ์แปลกๆ เป็นครั้งแรก
แต่จากคำให้การเมื่อครู่ ทำให้ผมทราบว่า..
อันที่จริงจันทร์ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนั้นมาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล

“แต่ก่อนผมคิดว่าทุกคนมีเวลาไม่พอจริงๆ ครับ แล้วผมก็คิดว่าทุกคนคงจะหายตัวได้ ผมเลยไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งจะรู้ว่าเหตุการณ์แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องปกติ ผมก็เลยตกใจและรู้สึกเครียด” จันทร์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมขมวดคิ้วเป็นระยะ

“แล้วอะไรทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ เหรอครับ ?”
“จู่ๆ เสื้อผ้าที่ผมใส่กลับกลายเป็นเสื้ออีกตัวที่ผมไม่เคยเห็น แถมบางครั้งผมก็เอาโน๊ตบุ๊กจากที่ไหนมาเล่นก็ไม่รู้ แต่ไปๆ มาๆ มันไม่ใช่แค่การเปิดเล่นธรรมดานะครับหมอ เพราะผมกำลังพิมพ์นิยายอยู่ ผมหมายถึงผมเคยหลับคาโน๊ตบุ๊กทั้งๆ ที่ยังเปิดไฟล์ต้นฉบับเอาไว้ หรือบางครั้งผมก็พิมพ์ข้อความลงในนั้น ทั้งๆ ที่ผมใช้อุปกรณ์พวกนี้ไม่เป็นเลยครับ อีกอย่างที่บ้านของผมไม่เคยซื้อโน๊ตบุ๊กและผมก็แต่งนิยายไม่เป็น แต่พอตื่นขึ้นมามือของผมกลับวางอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด ผมเลยรู้สึกว่ามันชักจะแปลกๆ จากนั้นผมก็ลองคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองตั้งแต่เด็กเลยทำให้ผมรู้สึกกลัวแล้วก็เครียดมากๆ”

“จนกระทั่ง..” จันทร์กำลังเล่าถึงสถานการณ์ในวันวานอย่างกระจ่างแจ้ง แต่หลังจากนั้นจู่ๆ เขาก็อ้ำอึ้งพร้อมกับนั่งก้มหน้าซุกซ่อนความอ่อนแอบางอย่างไว้ อีกทั้งฝ่ามือทั้งสองข้างก็ยังกอบกุมกันแน่น
“คุณเพียงจันทร์ครับ ถ้าหากคุณไม่สบายใจที่จะเล่าถึงเรื่องนั้น.. ก็ไม่เป็นไรนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยนพร้อมส่งยิ้มให้กับใครบางคนที่ยังคงนั่งก้มหน้า

“ไม่เป็นครับ ผมโอเค คือว่าเหตุการณ์เมื่อครั้งล่าสุด ทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ป่วยเป็นโรคแพนิคอย่างเดียว เพราะวันนั้นผมตื่นมาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง และตอนนั้นร่างกายของผมก็เปลือยเปล่า แถมผมยังรู้สึกเหมือนกับว่าก่อนหน้านั้น ผมกำลังทำอะไรบางอย่างกับพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง แต่ผมจำไม่ได้เลยครับว่าก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้น อีกอย่าง.. ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ๆ เพราะขนาดจูบกันแบบปกติ ผมยังเกิดอาการแพนิค ฉะนั้นเรื่องการร่วมรักสำหรับผมคงเป็นไปไม่ได้”
“แล้วตอนนั้นผมก็จำได้ดีว่าตัวเองรู้สึกสับสน แต่เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม หรือสภาพร่างกายของตัวเองกับพี่ชายทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความจริง จากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้ถูกขโมยเวลาแบบผม และพวกเขาก็ไม่สามารถหายตัวได้ เพียงแต่ข้างในนี้ของผมต่างหากที่แปลกแยกจากคนอื่น ผมก็เลยกลัวและไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพราะผมไม่อยากเผชิญกับเรื่องราวใดๆ อีก แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจู่ๆ ผมก็หลับไป”

“และหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองก็คือคนที่เคยทำให้ผมอุ่นใจและปลอดภัย” จันทร์กล่าวประโยคนั้นขณะที่น้ำตาก็ร่วงรินจนเจ้าตัวต้องรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ด
“เขาคนนั้นทำอะไรให้คุณรู้สึกผิดหวังเหรอครับ ?”

“มันคือความหวาดกลัวมากกว่าครับ ผมไม่เคยผิดหวังในตัวเขา แต่ในวันนั้นเขาบังเอิญมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็เลยเข้าใจผิด แต่ผมสามารถยืนยันได้นะครับว่าผมไม่เคยคิดจะทำอะไรแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมไปอธิบายให้เขาเข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง เพราะความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นมันขาดๆ หายๆ แล้วอีกอย่างถึงผมจะอธิบายออกไป เขาก็คงไม่เชื่อผมหรอกในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็บ่งบอกได้ดีอยู่แล้วว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่สำคัญ.. ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเชื่อคำพูดของผม” จันทร์ค่อยๆ อธิบายให้ด็อกเตอร์ฟังอย่างเชื่องช้า ขณะที่น้ำตากลับรินไหลออกมาในปริมาณที่มากกว่าเดิม ส่งผลให้หัวตาของผมเริ่มจะร้อนผ่าว เพราะคำพูดของอีกฝ่าย บ่งบอกได้ดีว่าการเดินหนีของผมในวันนั้นไม่ต่างกับการโยนร่างของเขาลงสู่หุบเหวลึก และการกระทำแบบนั้นก็ส่งผลให้จันทร์มีความคิดว่าหากตนเองตายๆ ไปซะคงจะเจ็บปวดน้อยกว่านี้และคงจะไม่ต้องทรมานกับอาการแปลกๆ ของตัวเองด้วย
จันทร์ในวันนั้น..
จึงเลือกที่จะหลับใหลด้วยความอ่อนล้าอีกครั้ง..

“แต่พอเจอกันครั้งล่าสุด เขาบอกผมว่า.. เราสามารถพูดคุยกันด้วยเหตุผล แต่ผมก็ยังกลัวคำตอบของเขาอยู่ดี ผมเลยคิดว่าถ้าหากผมไม่ได้ฟังคำตอบมันคงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด.. เพราะผมรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก และผมก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ที่ดีไปกว่าคำว่า ‘ผมไม่ได้ตั้งใจ’ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะก่อนหน้านั้นผมเพิ่งใช้เวลาอยู่กับเขา แต่จู่ๆ ผมกลับไปนอนอยู่บนเตียงของพี่ชล ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ และทำไมถึงมีแค่ผมที่หายตัวได้ ผมไม่เข้าใจจริงๆ” จันทร์กล่าวพลางสะอึกสะอื้นจนผมทนดูแทบไม่ได้พาลทำให้น้ำตาของผมไหลรินมากกว่าเดิม
เพราะสิ่งที่จันทร์พูด.. เหมือนกับมีดที่ค่อยๆ กรีดแทงหัวใจของผมอย่างเชื่องช้า
เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดในวันวาน..

“หลังจากนั้น.. ผมก็เริ่มแก้ปัญหาด้วยการหลับตา เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวใดๆ อีก คือผมหมายถึงตอนเด็กๆ เวลาที่ผมหลับตาจะทำให้ผมผ่านพ้นเหตุการณ์แย่ๆ ไปได้ ผมจะใช้วิธีนี้แทบทุกครั้งที่ผมเจอปัญหา” หลังจากผมจัดการความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเองได้ ผมก็เปิดคลิปวีดิโอต่อจากเมื่อครู่ ขณะที่จันทร์กำลังบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่น้ำตาของเจ้าตัวเริ่มจะเหือดแห้งไปบ้างแล้ว
“คุณรู้ความลับที่ทำให้คุณสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ในเมื่อคุณเพิ่งจะบอกกับผมว่าที่ผ่านมาคุณต้องอยู่กับการถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก”

“วันที่ผมได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าจริงๆ แล้วน้าเข้มพี่ชายของน้าเข็ม เป็นพ่อของผมครับ ผมก็เลยกลับไปถามความจริงจากแม่ เพราะผมดีใจที่น้าเข้มเป็นพ่อของผม แต่ทันทีที่ผมถามจบแม่ก็ตีผมจนตัวเขียวไปหมด จากนั้นก็ขว้างปาข้าวของจนเศษกระเบื้องกระเด็นมาโดนผม ตอนนั้นผมกลัวมากก็เลยหลับตาลงแล้วหลับไป”
“ตอนนั้น.. คุณแม่ทำร้ายร่างกายของคุณบ่อยไหมครับ ?”

“บ่อยครับ แต่น่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมกับลีอยู่ในท้อง” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่ดวงตาของเขากำลังไหวระริกคล้ายกับน้ำตากำลังจะไหลปริ่ม
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นมากยิ่งขึ้น เมื่อปมในใจของจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว

“ก็ชาวบ้านเขาพูดกันนี่ครับ แล้วแม่ก็ไม่เคยแสดงออกว่ารักผมกับลีเลย”
“ที่ผ่านมาแม่ของคุณเคยบอกหรือทำอะไรที่สอดคล้องกับสิ่งที่ชาวบ้านพูดหรือเปล่าครับ อันที่จริงผมคิดว่าเธอรักพวกคุณมากนะ” ผมคิดว่าผมเข้าใจในสิ่งที่ด็อกเตอร์พยายามจะบอกกับจันทร์ เพราะการอุ้มท้องลูกแฝดได้จนตลอดรอดฝั่ง ย่อมไม่ใช่การกระทำของคนที่มีความเกลียดชังเป็นที่ตั้ง

“ถึงแม่ไม่พูดแต่การกระทำมันก็พูดอยู่ตลอดเวลาครับ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต น้าเข็มกับน้าเข้มที่เป็นพ่อของผมเป็นคนเลี้ยงพวกเราสองคน ส่วนแม่เอาแต่ดื่มเหล้า ไม่เคยสนใจพวกผม หรือถ้าสนใจก็เป็นตอนที่อยากจะทำโทษพวกเราเสียมากกว่า
“แสดงว่าคุณถูกคุณแม่ทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้งเลยทำให้คุณตัดสินใจจะตัดขาดจากความเป็นตัวเอง โดยสร้างตัวตนของใครสักคนขึ้นมารองรับความรุนแรงจากฝีมือของคุณแม่ และตัวตนดังกล่าวก็สร้างปัญหาให้กับคุณในภายหลัง”

“ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะจำได้ไหมครับว่าความทรงจำของคุณเริ่มขาดๆ หายๆ ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”
“ตั้งแต่ผมจำความได้ ความทรงจำของผมก็ขาดๆ หายๆ มาตลอด แต่ช่วงที่ผมรู้ตัวว่าการหลับตาจะทำให้ผมหลีกหนีจากเหตุการณ์ที่ไม่อยากเผชิญหน้าก็ตอนที่ผมเพิ่งจะเข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาลได้ไม่นาน” จันทร์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางเม้มปากเป็นระยะคล้ายกับเจ้าตัวกำลังทำเป็นเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ไม่ร้องไห้ออกมาอีกรอบ

“ถ้าจำไม่ผิดครั้งที่สองของการหลับตาคือตอนที่ผมได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าแม่ไม่ต้องการผมกับลี ตอนนั้นผมยังตัวเท่านี้อยู่เลยครับ หลังจากนั้น.. ผมยังเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันอีกเรื่องว่า จริง ๆ แล้วพ่อคือคนทำร้ายแม่จนทำให้ผมกับลีเกิดมา ผมก็เลยหลับตาเพื่อหลีกหนีความจริงอีกครั้ง” จันทร์กล่าวพร้อมกับทำมือวัดส่วนสูงของตัวเองในระดับโผล่พ้นโซฟามาหน่อยเดียวทำเอาผมรู้สึกสลดใจ
เพราะดูท่าว่าเรื่องเล่าจากในอินเตอร์เน็ต..
คงเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

ซึ่งในนิยายของคุณอนธการเรื่อง ‘สิเน่หา’ เขียนเอาไว้ว่าใบหน้าของลูกชายนางเอกคล้ายกับคนที่กระทำการย่ำยี จึงทำให้นางเอกรังเกียจลูกชายคนนี้มาก และ ‘ลูกชาย’ ที่นิยายกล่าวถึง ความเป็นจริงกลับถูกแทนที่ด้วย ‘ฝาแฝดลีจันทร์’ ขณะที่เหล่าคนใช้ที่ต้องคอยดูแลเด็กชายผู้อาภัพ ก็ถูกแทนที่ด้วย ‘น้าเข้ม’ และ ‘น้าเข็ม’ ที่จันทร์เอ่ยถึง
ดังนั้นชนวนเกิดเหตุที่ทำให้จันทร์กับน้องลีไม่ได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่จนส่งผลมาถึงการทำร้ายร่างกายก็คือเรื่องราวในอดีตระหว่างพ่อกับแม่ที่เกี่ยวเนื่องมาจากการล่วงละเมิดทางเพศ เพราะจากการให้สัมภาษณ์ของจันทร์ มีการเอ่ยถึงการพูดปากต่อปากของชาวบ้านที่คงจะมีมานานแล้ว
และนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้คุณแม่ของจันทร์ฆ่าตัวตาย ตามที่เขียนไว้ในนิยายด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมยังไม่มั่นใจ
เพราะมันยังมีกรณีของน้องลีที่ยังหาสาเหตุไม่ได้อีกหนึ่งกรณี

ส่วนลำดับการแตกอัตลักษณ์น่าจะเป็น ‘จิม’ จริงๆ นั่นแหละที่เกิดขึ้นก่อนใครเพื่อน เพราะจันทร์โตมากับการถูกทำร้ายร่างกาย มิหนำซ้ำยังไม่ได้รับความอบอุ่นเหมือนกับเด็กทั่วไป ดังนั้นจันทร์จึงเริ่มสร้างเกาะป้องกันตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพื่อที่เวลาถูกแม่ทุบตีจะได้ไม่เจ็บปวด เพราะอัตลักษณ์ของจิมจะเป็นคนที่เจ็บปวดแทน ซึ่งลักษณะนิสัยของจิมน่าจะเป็นเด็กดื้อรั้น หรือบางทีอาจจะเป็นเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยความรุนแรง เขาจึงมักจะก่อเรื่องจนสร้างความเดือดร้อนให้จันทร์ เพราะอัตลักษณ์รองก็สามารถหลับตาและหลีกหนีจากความผิดที่ตนเองไม่อยากเผชิญได้เหมือนกัน ส่วนน้องลีผมไม่แน่ใจว่าในตอนนั้นเธอมีอาการอย่างไร
แต่จากคำพูดของคุณพีรวัตร บ่งบอกได้ว่าจันทร์ต้องทำตัวเป็นพี่ชายที่เข้มแข็ง

เมื่อวิเคราะห์จากคำให้การของจันทร์ ผลจึงออกมาว่าอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ อาจจะเกิดตั้งแต่ตอนที่จันทร์ยังไม่รู้ความมากนัก เพราะจันทร์ยังมีความคิดเป็นเด็กๆ ว่าคนเราสามารถหายตัวได้ และยังมีเวลาแค่นิดเดียว พอโตขึ้นจันทร์ก็ยังมีความคิดแบบนั้นอยู่ เลยทำให้จันทร์มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าเรื่องราวที่เป็นปมในใจที่เจ้าตัวไม่เคยลบเลือน ก็คือเสียงลือเสียงเล่าอ้างของคนรู้จักที่ส่อเคล้าว่าจะเป็นจริง ส่งผลให้จันทร์รู้จักวิธีรับมือด้วยการหลีกหนีปัญหาเป็นครั้งแรกตอนอายุ 3 ขวบกว่า
หากเทียบปี พ.ศ. ก็น่าจะเป็นปี 2549
ทีนี้ก็เหลือสาเหตุแห่งการหลับใหลของ ‘จิม’ ที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้

-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 29 ❀ หน้า 2 (update 27/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 27-06-2018 13:31:38
กระทั่งเวลาแห่งการเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดที่ว่าด้วย ‘ความไว้วางใจ’ เดินทางมาถึง ผมก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ห้องนันทนาการอย่างตรงเวลา และทันทีที่จันทร์หันมาเจอผม เขาก็รีบหันหน้าหลบ มิหนำซ้ำยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหนีอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังนำโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา และกระดานในห้องมาจัดวางให้เป็นเส้นทางวิบาก เพื่อที่ผมจะได้พาจันทร์ผู้ซึ่งถูกปิดตาด้วยผ้าผืนเล็กเดินไปตามเส้นทางวิบากที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

“เพียงจันทร์ เธอต้องให้ความร่วมมือกับพวกเรานะ เพราะกิจกรรมนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธอสร้างความเชื่อมั่นที่มีต่อผู้อื่นได้ และมันยังสามารถทำให้เธอใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ง่ายขึ้น”
“ครับ” จันทร์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเบาหวิวผิดกับตอนที่เขาพูดกับด็อกเตอร์อาทิตย์ลิบลับ ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะผมดันมายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่นี่ก็เป็นได้

“เดี๋ยวหมอภัทรจะเป็นคนพาเธอเดินไปตามเส้นทางวิบากที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง โดยที่เธอจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะคุณหมอจะช่วยดูต้นทางให้” น้องชะเอมกล่าวพลางนำผ้าผืนเล็กไปผูกปิดตาของจันทร์ไว้
“เอาล่ะ จับมือคุณหมอไว้นะ” ทันทีที่ผมเดินเข้ามาสมทบตรงบริเวณที่จันทร์ยืนอยู่ น้องชะเอมก็บอกกล่าวกติกาบางอย่างให้อีกฝ่ายรับรู้ จากนั้นฝ่ามือของจันทร์ก็ตกอยู่ในความดูแลของผม ซึ่งหมายความว่าหลังจากนี้ผมจะต้องทำให้จันทร์เชื่อใจพอที่จะยอมก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ผมนำทาง
และผลลัพธ์ที่ได้นอกจากมันจะทำให้จันทร์มีความเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นแล้ว
ยังทำให้ผมสามารถทวงคืนความเชื่อใจมาจากจันทร์ได้อีกครั้ง

ผมพาจันทร์เดินตรงไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ซึ่งท่าทีของอีกฝ่ายก็ดูจะหวาดกลัวมาก เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเดินไปยังทิศทางไหน ผมจึงบีบกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้นบวกกับลดระยะห่างระหว่างกันให้น้อยลง
จากนั้นท่าทีหวาดหวั่นของจันทร์ก็ดูจะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ผมจึงพาอีกฝ่ายเดินอ้อมเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดทั้งๆ ที่ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันแน่น กระทั่งเดินเรื่อยมาจนถึงโต๊ะตัวหนึ่ง ผมก็บอกให้จันทร์ค่อยๆ ย่อตัวลงพร้อมทั้งก้มหัวเพียงเล็กน้อย เพื่อที่เจ้าตัวจะได้มุดใต้โต๊ะได้อย่างปลอดภัย โดยผมต้องคอยเอามือป้องศีรษะของอีกฝ่ายไว้
กระทั่งจันทร์มุดออกมาจนพ้นระยะอันตราย ผมก็บอกให้เขาลุกขึ้นยืน และเริ่มนำทางอีกฝ่ายให้เดินตรงไปเรื่อยๆ โดยอ้อมกระดานไวท์บอร์ด ก่อนจะพาเดินวนรอบเก้าอี้อีกหนึ่งตัว แล้วมุ่งสู่เวทีสำหรับการทำกิจกรรมนันทนาการภายในโรงพยาบาล จากนั้นผมก็ให้จังหวะในการก้าวเท้าซ้ายเพื่อที่จันทร์จะได้ก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นแรก จนกระทั่งสำเร็จผมก็เริ่มให้สัญญาณในการก้าวเท้าขวา และคอยบอกเจ้าตัวซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนในที่สุดเราสองคนก็เดินขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดของเวที ผมจึงอาศัยช่วงเวลานั้นเจรจากับคนในความดูแลที่ยังคงมีอาการมึนตึงต่อกันอยู่บ้าง
แต่อย่างน้อย..
จันทร์ก็เริ่มหยิบยื่นความเชื่อใจของตัวเองมาให้ผมบ้างแล้ว

“พี่ไม่ได้ปล่อยให้จันทร์เจ็บตัวเลยใช่ไหมล่ะ ?” ผมเอ่ยถามคนในความดูแล
“…” จันทร์ไม่ตอบอะไรแต่กลับบีบกระชับฝ่ามือของผมเพียงครู่ ขณะที่ริมฝีปากของเขาก็เม้มแน่น คล้ายกับว่าสิ่งที่ผมถามคือเรื่องที่เจ้าตัวรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าจะยอมรับความเป็นจริงมากนัก

“กิจกรรมนี้จะทำให้จันทร์ได้เรียนรู้ว่าที่จริงแล้วเราสามารถเชื่อใจคนอื่นได้”
“…”

“แต่การเชื่อใจแน่นอนว่าเราไม่สามารถมอบให้กับทุกคนได้ เพราะจะมีแค่เพียงบางคนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้”
“…”

“แต่อย่างน้อย..”
“…”

“คนแรกที่จันทร์คิดอยากจะลองเชื่อใจดูอีกครั้งเป็นพี่ก็คงดี” สิ้นคำบอกกล่าวของผม จันทร์ยังคงนิ่งเฉย แต่ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาทางใจของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเชื่อใจผมมากขึ้น เพราะเวลาที่ผมบอกให้จันทร์เดินลงบันได หรือว่าปีนขึ้นไปเดินบนโซฟาตัวไม่ใหญ่ ท่าทีเก้ๆ กังๆ ที่เคยมีกลับเลือนหายไป ทำให้ผมรู้สึกว่าในเวลาแบบนี้ก็ไม่ต่างกับตอนที่เรากำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าสนอันมืดมิดที่มีเพียงแสงสว่างจากไฟฉายของโทรศัพท์ในการนำทาง
คาดว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น..
อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมขโมยความเชื่อใจจากจันทร์ได้สำเร็จ!

กระทั่งการบำบัดผ่านพ้นไปด้วยดีและผลลัพธ์ที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น้องชะเอมพึงพอใจ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ผมจึงถือโอกาสช่วยเธอจัดห้องนันทนาการให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่นั้น ก็รู้สึกได้เลยว่าจันทร์กำลังเหล่มองมาทางผมอยู่หลายครั้ง คล้ายกับเจ้าตัวมีอะไรอยากจะพูด แต่น่าจะยังไม่กล้าเข้าหาเสียมากกว่า
หลังจากทุกอย่างภายในห้องนี้เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ผมก็แสร้งทำเป็นหาของโดยออกอุบายว่าตนเองน่าจะทำร่วงตอนที่เข้าร่วมกิจกรรมเมื่อครู่ แต่พอน้องชะเอมอาสาจะช่วยหา ผมกลับรีบปฏิเสธเพราะอันที่จริงผมไม่ได้ทำอะไรหาย เพียงแต่ผมอยากจะเปิดโอกาสให้จันทร์ได้ใช้เวลาอันมีค่าพูดคุยหรืออธิบายอะไรก็ตามที่ตนเองอยากทำ
แต่จนแล้วจนรอดจันทร์ก็ยังเอาแต่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง
ผมจึงตัดสินใจไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เพราะบางทีจันทร์อาจจะยังไม่พร้อมที่ไว้ใจผมเหมือนแต่ก่อน
 
“พี่เจอแล้วล่ะ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ” ผมเดินตรงไปยังด้านหลังของโซฟา จากนั้นก็ทำเป็นก้มลงเก็บอะไรสักอย่าง แต่อันที่จริงผมกำลังหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ชูให้อีกฝ่ายเห็นว่าภารกิจในการหาของสิ้นสุดลงแล้ว
“พี่ภัทร” กระทั่งผมทำท่าจะเปิดประตูออกไปจากห้องนันทนาการ จันทร์ก็รีบวิ่งเข้ามาคว้าข้อมือของผมไว้

“หืม ?” ผมหันมาหาอีกฝ่าย พลางส่งเสียงถามในลำคอด้วยท่าทีสงบนิ่ง หากแต่ความจริงในใจกำลังกู่ร้องอย่างมีความสุขมากถึงมากที่สุด
“จันทร์..”

“คือว่า.. จันทร์เชื่อใจพี่ภัทรนะครับ”
“…”

“จันทร์อยากอธิบาย แต่ว่าพี่ภัทรรอฟังจันทร์อธิบายคืนนี้ได้ไหมครับ จันทร์ต้องกลับไปเรียบเรียงความทรงจำที่มันกระจัดกระจายของจันทร์ก่อน เพราะจันทร์รู้สึกเหมือนกับว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่จันทร์กำลังหลับ จันทร์ก็เลยยังสับสนและไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“อื้ม ได้สิ” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มกว้างขณะที่ขอบตาก็เริ่มจะร้อนผ่าว เพราะผมดีใจมากที่จันทร์ไม่ใช่แค่เลือกจะเชื่อใจผมอีกครั้ง แต่เขากลับคิดจะอธิบายให้ผมเข้าใจถึงเหตุการณ์อันเป็นชนวนที่ทำให้เจ้าตัวเลือกจะทำร้ายร่างกายของตัวเอง แต่กลับไม่สำเร็จ เพราะท้ายที่สุดเขาดันหลับใหลไปเสียก่อน กระทั่งตื่นขึ้นมาพบเจอกับความเป็นจริง จันทร์ก็ยังดึงดันจะปิดกั้นตัวเองออกจากโลกปัจจุบันที่แสนโหดร้าย

“จริงเหรอครับ ? พี่ภัทรจะรอฟังคำอธิบายของจันทร์จริงๆ ใช่ไหม ?” จันทร์ขยับเข้ามากอดผมไว้ ทำเอาผมตกใจไม่น้อย เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาส่วนตัว แต่เพราะจันทร์กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
คล้ายกับเขากำลังหวาดกลัว..
ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะกลายเป็นเพียงความฝัน.. ที่ไม่มีวันเป็นจริง

“พี่จะรอ นานแค่ไหนพี่ก็รอฟังสิ่งที่จันทร์อยากจะอธิบายได้” ผมกอดตอบอีกฝ่ายพลางลูบศีรษะของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่สูงเพียงแค่ระดับอก
“ขอบคุณครับ” จันทร์กล่าวพลางโอบกอดรอบตัวผมให้แน่นขึ้น

“แต่ว่าตอนนี้ พี่คงต้องรีบไปทำงานต่อแล้วล่ะ ยังไงก็รอเจอกันตอนเย็นนะจันทร์” ผมดันตัวอีกฝ่ายออกพลางยีศีรษะของคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากใครคนนั้นได้เป็นอย่างดี
แม้ว่ารอยยิ้มดังกล่าว ยังไม่อาจเปล่งประกายเหมือนช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันที่บ้านกลางป่าสน
แต่ก็ถือว่ารอยยิ้มที่ผมเห็นในตอนนี้ เป็นรอยยิ้มแรกที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง


゚゚❀゚゚

[edit 28/06/2018 แก้คำผิด ทามไลน์ > ไทม์ไลน์]
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนที่แล้วคุณพีได้คะแนนความชมชอบของคนอ่านไปเยอะเลย ตอนนี้เอาน้องจันทร์มาทวงคืนแล้ว ฮรืออ อย่าลืมน้อง กลับมาพายเรือน้องก่อน 555 สำหรับวิธีการบำบัดแบบนี้ เราเอามาจากในหนังสือเคสของคุณบิลลีนะคะ เพราะว่าอัตลักษณ์หนึ่งของคุณบิลลี กลัวผู้ชายค่ะ นักจิตก็เลยให้ผู้ชายเป็นคนพาเขาเดินไปตามเส้นทางวิบาก ส่วนน้องจันทร์เราให้พี่หมอ เพราะว่าพี่หมอคือคนที่น้องหยิบเอาความไว้ใจทั้งหมดคืนกลับไปเป็นคนล่าสุด ส่วนเรื่องราวในอดีตก็เริ่มจะเปิดเผยออกมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่อีกเยอะ แต่ที่แน่ๆ คือ น้องจันทร์ออกแนวเป็นเด็กอัจฉริยะหน่อยๆ ซึ่งความอัจฉริยะนั้นมันทำให้น้องสามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตแบบก้าวกระโดดได้ แต่ถึงอย่างนั้นความไร้เดียงสาก็ยังคงอยู่ เพราะว่าความทรงจำและความเชื่อของน้องมันมีติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก หรือบางทีมันอาจจะมีมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะจะเห็นได้ว่าน้องฟังเข้าใจและรู้เรื่องตั้งแต่เด็ก และจากนั้นน้องก็เริ่มหาวิธีรับมือเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเจ็บปวด เพียงแต่มันเป็นวิธีที่เด็กในช่วงอายุขนาดนั้น ไม่มีทางรู้ว่ามันคือความไม่ปกติ ซึ่งตรงสาเหตุที่เราเขียนว่าทำไมน้องถึงเข้าใจว่าการหายตัวได้มันคือเรื่องปกติ ตรงนี้เราปรับให้มันตรงกับเคสของคุณบิลลี่เลยค่ะ เพราะเขาก็สร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน
ปล. เราอาจจะใช้เวลาเขียนนานหน่อยนะคะ เพราะว่าเราย้ายมาอยู่อีกบ้านนึง แล้วมันคงแปลกที่มั้งคะ เลยเขียนได้ทีละนิดละหน่อย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 30 ❀ หน้า 2 (update 29/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 29-06-2018 13:38:34
ตอน 30

คืนวานนี้นัดหมายของผมกับจันทร์มีอันต้องยกเลิกไป เนื่องจากอัตลักษณ์ที่ออกมาใช้ชีวิตในช่วงเย็นคือคุณพีรวัตร ขณะที่ช่วงเช้าคนที่มีสิทธิ์ในการควบคุมจิตวิญญาณก็ยังเป็นคุณนักเขียน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ที่อาจจะทำให้อีกด้านหนึ่งของจันทร์ต้องรู้สึกไม่ดี
แม้ว่าในความเป็นจริง..
ผมยังอยากให้ช่วงเวลาของการนัดหมาย เป็นช่วงเวลาของผมกับจันทร์ก็ตามที

สำหรับกิจกรรมของจันทร์ที่อัตลักษณ์ผู้ควบคุมจิตวิญญาณต้องทำในวันนี้คือการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผู้ป่วยทุกรายจะต้องเข้าร่วมในช่วงเช้าตรู่ของทุกวัน จากนั้นประมาณช่วงสายก็จะมีการวัดไอคิวของทุกๆ อัตลักษณ์ โดยเราจะต้องขอความร่วมมือจากคุณพีรวัตร พอสิบเอ็ดโมงก็จะเป็นช่วงเวลาของการเข้าร่วมกิจกรรมดนตรีบำบัด แต่ถ้าหากมีอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมาใช้ชีวิต ช่วงบ่ายก็อาจจะเพิ่มคาบจิตวิทยาการปรึกษาเข้าไปด้วย
ซึ่งแผนการต่อไปของเราก็คือ..
การสัมภาษณ์ทางจิตวิทยากับน้องลียากรผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เพศหญิงเพียงหนึ่งเดียว

ส่วนสาเหตุที่เราเจาะจงเลือกอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ เพราะเธอน่าจะเป็นผู้กุมความลับทั้งหมด นอกจากนี้จันทร์ยังมีด้านความเป็นผู้หญิงแอบแฝงอยู่ ซึ่งด้านที่ว่าก็คืออารมณ์ความรู้สึกอันอ่อนไหว
ดังนั้นหากเราสามารถนำอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ได้..
ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นผลดีสำหรับทุกฝ่าย

กระทั่งเวลาสิบเอ็ดโมงตรงมาเยือน ผลของการวัดไอคิวก็เดินทางมาถึง รายชื่อของแต่ละอัตลักษณ์ที่เรียงรายกันเป็นแถวแนวตั้ง จำนวนสามรายชื่อทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นไปกับข้อมูลใหม่ๆ ที่เราอาจจะได้ทราบในวันนี้
เพราะอัตลักษณ์ที่เราคาดหวังปรากฏตัวออกมาแล้ว

โดยการวัดระดับไอคิวจะแบ่งแยกย่อยออกเป็น 3 ประเภท คือไอคิวด้านภาษา ไอคิวด้านปฏิบัติ และไอคิวรวม ซึ่งการวัดไอคิวจะต้องใช้การทดสอบความรู้ความสามารถในทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ การใช้ภาษา ความคิดเชิงตรรกะ การมองเห็น การจัดหมวดหมู่ ความจำความรู้ทั่วไป และความรวดเร็วในการคำนวณ ซึ่งอัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์และคุณพีรวัตร ไอคิวจะอยู่ในระดับอัจฉริยะ ส่วนน้องลีจะอยู่ในระดับเหนือค่าเฉลี่ย
ดังนั้นการคิดและการตัดสินใจของแต่ละอัตลักษณ์จึงมีความแตกต่างกัน

อย่างคุณพีรวัตรมีการคิดวิเคราะห์จนกระทั่งทราบว่าตนเองเป็นโรค DID จากนั้นก็เกิดการต่อต้านและยอมรับในเวลาต่อมา ขณะที่อัตลักษณ์ของน้องลี ดูเหมือนเธอจะทราบมาสักพักหนึ่งแล้วว่าตนเองเองเกิดมาเพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพี่ชายฝาแฝด เพียงแต่เธออาจจะยังไม่ทราบข้อมูลอย่างลึกซึ้งเท่ากับคุณนักเขียน ส่วนอัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์มีความสามารถในการปรับตัว อีกทั้งยังรู้จักคิดวิเคราะห์จนล่วงรู้ว่าตนเองมีอะไรบางอย่างที่แปลกแยกไป ซึ่งหมายรวมถึงการรู้จักรับมือกับปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวอายุแค่เพียง 3 ขวบกว่า
ดังนั้น.. ผลการวัดไอคิวของแต่ละอัตลักษณ์
ก็ไม่ได้คัดค้านสายตาแต่อย่างใด

ช่วงเย็นหลังจากผมเคลียร์งานของตัวเองเสร็จ ไฟล์บันทึกการรักษาก็เดินทางมาถึง ทันทีที่ผมเปิดไฟล์ดังกล่าว พบว่าภายในห้องสี่เหลี่ยมอันอบอุ่นมีร่างของคุณนักเขียนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ

“สวัสดีครับคุณพีรวัตร ผมขอบันทึกไฟล์วีดิโอเหมือนเดิมนะ” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางยกยิ้ม
“สวัสดีครับหมอ ส่วนเรื่องนั้นถ้ามันเกิดประโยชน์ ผมก็ไม่มีปัญหาหรอก” คุณนักเขียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยักไหล่เพียงเล็กน้อยบ่งบอกถึงการอนุญาตกลายๆ

“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ?”
“ก็ดีครับ คงเป็นเพราะกรไม่ได้ออกมาสร้างเรื่องเหมือนแต่ก่อน” คุณนักเขียนกล่าวพลางขยับเปลี่ยนท่านั่งเป็นการไขว้ขาด้วยท่าทีอันแสนดูดีและสง่างาม

“ถึงเขาจะสร้างความวุ่นวายมากก็จริง แต่ผมว่าเขาก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ”
“อันที่จริงผมก็เห็นด้วยกับหมอนะครับ ผมถึงสั่งให้เขาหลับไปซะและไม่ต้องออกมายืนตรงกลางเวทีเหมือนเดิมอีก”

“กลางเวที ? คุณหมายถึงยังไงเหรอครับ ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยถามด้วยความสนใจ ซึ่งก็ตรงกับความอยากรู้อยากเห็นของผมพอดี เพราะคำว่า ‘กลางเวที’ มันหมายถึงอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่มีวันเข้าใจ
“ผมหมายถึงการออกมาใช้ชีวิตก็เหมือนกับการยืนอยู่บนเวที ส่วนคนอื่นๆ ในครอบครัว อาจจะนั่งดูเราบ้าง หรือบางคนก็อาจจะทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจบ้าง ส่วนคนที่ถูกสั่งห้ามก็อาจจะกำลังนั่งอยู่ในมุมมืดที่ห่างไกลจากเวทีที่ผมกำลังยืนอยู่”

“ถ้าหากตอนนี้ผมอยากจะขอความร่วมมือจากคุณ เพื่อให้ใครสักคนมีโอกาสออกไปยืนอยู่ตรงกลางเวทีสักครู่หนึ่ง จะได้ไหมครับ?”
“ก็ได้นะครับ ถ้าเพื่อการรักษาผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“โอเคครับ เอาเป็นว่าเราตกลงกันตามนี้นะ แต่ผมยังมีอะไรอยากจะสอบถามคุณสักหน่อย”
“อะไรเหรอครับ ?” คุณนักเขียนเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง พลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับต้องการจะตั้งคำถามผ่านภาษากาย

“เมื่อครู่คุณพูดในทำนองว่าคุณสั่งให้กรหลับไปแล้ว แต่เท่าที่ผมจำได้คุณเคยบอกว่ากรเป็นคนที่เข้มแข็งเลยทำให้คุณควบคุมเขาไม่ค่อยได้”
“ใช่ครับ เขาเป็นคนเข้มแข็งอย่างที่ผมบอกจริงๆ เพียงแต่เขาก็ยังมีด้านที่อ่อนแอซุกซ่อนอยู่ ฉะนั้นการควบคุมในช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอจึงเป็นเรื่องง่ายดายในทันที”

“เพราะอะไรคุณถึงตัดสินใจออกคำสั่งนี้อย่างเด็ดขาด เท่าที่ผมทราบการทำร้ายร่างกายตัวเองถือเป็นเรื่องปกติสำหรับกร”
“เพราะผมรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายมากกว่าทุกครั้ง”

“สัญญาณอันตราย ?”
“ใช่ครับ สัญญาณอันตรายเกิดจากระดับความรู้สึกอันว่างเปล่า เพราะการที่กรรับรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นจะยิ่งทำให้ความรู้สึกว่างเปล่าแผ่กระจายออกไปเรื่อยๆ ผมเลยคิดว่าหากปล่อยไว้ ชีวิตของพวกเราคงจบเห่กันหมด”

“…”
“หมอฟังแล้วอาจจะคิดว่าผมเห็นแก่ตัว แต่ในเมื่อผมยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในแบบของพีรวัตร ผมก็ยังอยากจะใช้มันต่อไป ฉะนั้นต่อให้ผมต้องคอยปกป้องทุกคนจนเหนื่อยล้า แต่ผลตอบแทนของการมีชีวิตก็ทำให้ผมรับรู้ถึงคำว่า ‘คุ้มค่า’ โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ทำให้ผมเข้าใจได้ดีกว่าช่วงเวลาไหนๆ” จากคำพูดและแววตาอันเป็นประกายของคุณพีรวัตร ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่า ‘เขาชอบผม’ ให้ชัดเจนขึ้น
ซึ่งทางออกของผมคงจะมีแค่ ‘ทำเป็นเสแสร้งไม่รับรู้’ เรื่องราวใดๆ
แม้อันที่จริงผมจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีก็ตาม

“ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจคุณนะ”
“เอาล่ะครับ ผมว่าเรามาคุยเรื่องที่หมอต้องการกันดีกว่า” คุณนักเขียนกล่าวพลางยักไหล่ คล้ายกับเรื่องที่เขากำลังพูดมันเริ่มจะออกทะเลไปไกลแล้ว

“อ่า.. ครับ คือผมอยากจะทำความรู้จักกับคุณลียากร เพราะดูเหมือนเธอจะเก็บงำความลับไว้มากที่สุดและเธอยังเป็นน้องสาวฝาแฝดของคุณเพียงจันทร์ด้วย ผมเลยคิดว่าเราควรจะต้องทำความรู้จักกันไว้”
“ครับ เดี๋ยวผมจะลองคุยให้แล้วกัน” คุณพีรวัตรเอ่ยตอบรับเพียงครู่จากนั้นดวงตาของเขาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ ขณะที่ริมฝีปากคู่นั้นก็เริ่มจะขยับเพียงเบาๆ คล้ายกำลังเจรจาต่อรองกับอีกอัตลักษณ์หนึ่งตามคำขอของด็อกเตอร์
เท่ากับว่าการสื่อสารของแต่ละอัตลักษณ์
สามารถพูดในใจและพูดแบบปกติได้จริงๆ เพียงแต่เราจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง

“คุณหมอสวัสดีค่ะ” คุณนักเขียนใช้เวลาในการเจรจาเพียงไม่นาน หลังจากนั้นอัตลักษณ์ของน้องลียากรก็ได้รับโอกาสให้ออกมาใช้ชีวิต เธอจึงทักทายด็อกเตอร์เสียงใส
“สวัสดีครับ หนูชื่อลียากรใช่ไหม ?” ด็อกเตอร์ถามย้ำ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเองและอีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้กล้องวีดิโอบันทึกข้อมูลในช่วงเวลาที่มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์

“ใช่ค่ะ คุณหมอมีอะไรจะคุยกับหนูเหรอคะ ?” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย ขณะที่ดวงตาของเธอก็มองไปรอบๆ ห้องราวกับสำรวจตรวจตรา ซึ่งการกระทำนั้นก็ไม่ต่างกับตอนที่อัตลักษณ์อื่นๆ ออกมาใช้ชีวิต
“หมอได้ยินมาว่าหนูเป็นน้องสาวฝาแฝดของคุณเพียงจันทร์ก็เลยอยากจะทำความรู้จักกับหนูสักหน่อย”

“อ๋อค่ะ ว่าแต่การทำแบบนี้ จะช่วยพี่จันทร์ได้จริงๆ ใช่ไหมคะ?” น้องลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะเธอยังมองไม่ออกว่าการพูดคุยจะช่วยให้พี่ชายของเธออาการดีขึ้นได้อย่างไร
“ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกันจะต้องช่วยพี่จันทร์ได้แน่ๆ” ด็อกเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะกำลังเจรจากับอัตลักษณ์ของเด็กสาววัย 15 ปี

“แต่ว่าข้างในนี้ยังมีพวก ‘นอกคอก’ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพี่พีอยู่นะคะ” น้องลีกล่าวพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเพื่อบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า ณ ตอนนี้ เธอเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว
“เพราะแบบนี้ไงครับ พวกเราถึงต้องร่วมมือกัน คือหมอหมายถึงหนูกับคุณพีจะต้องคอยเจรจากับพวก ‘นอกคอก’ ให้เข้าใจว่าการรักษาที่เรากำลังทำอยู่ ไม่ใช่เพื่อการกำจัด แต่เพื่อการหลอมรวมทุกๆ คนเข้าด้วยกัน”

“พี่พีเคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้วค่ะ”
“แล้วหนูเข้าใจสิ่งที่พี่พีพยายามจะอธิบายหรือเปล่าครับ ?” จิตแพทย์ชื่อดังเอ่ยถามเพื่อเช็คความเข้าใจของอีกฝ่ายว่ามันถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่

“สำหรับหนูเข้าใจนะคะ พี่พีอธิบายไว้ว่าพวกเราก็เหมือนกับผลไม้คนละชนิด พอเทชิ้นส่วนแต่ละชิ้นลงในโถเครื่องปั่น หลังจากกดปุ่มสตาร์ทก็จะหลอมรวมกลายเป็นหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้นหมอขอเพิ่มเติมอีกนิด เพราะหลังจากหลอมรวมแล้วความสามารถที่เป็นจุดเด่นของทุกคนจะยังคงอยู่” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ยามต้องให้ข้อมูลที่ผ่านการปรึกษากับด็อกเตอร์ธีรชัยผู้ซึ่งเคยรับมือกับผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์มาก่อน

“คุณหมอหมายถึง ถ้าหนูชอบเล่นดนตรีหรือร้องเพลง พี่จันทร์ก็จะทำแบบนั้นได้ เพราะยังมีหนูอยู่ข้างๆ ใช่ไหมคะ ?” เด็กสาวภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีการตกแต่งสไตล์อบอุ่นเอ่ยถามด้วยท่าทีกระตือรือร้น ไม่ต่างกับช่วงเวลาที่เธอชอบหนีออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ในยามค่ำคืน
“ก็ประมาณนั้นครับ เพราะน้ำผลไม้ที่อยู่ในโถเครื่องปั่นจะเป็นน้ำผลไม้ที่สมบูรณ์แบบ” คำกล่าวเปรียบเปรยของด็อกเตอร์ทำให้ผมเข้าใจได้ไม่ยากว่า ‘ความสมบูรณ์แบบ’ หมายรวมไปถึงเรื่องอะไร
ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องหนีไม่พ้นเรื่อง..
‘ความทรงจำ’ ของทุกๆ อัตลักษณ์ที่ค่อยๆ หลอมรวมจนเรียงร้อยเป็นไทม์ไลน์ในแต่ละช่วงเวลาอย่างแม่นยำ

“หนูพอจะจำได้ไหม ช่วงเวลาไหนที่ความทรงจำมันเริ่มขาดๆ หายๆ”
“ตอนที่หนูอายุ 4 ขวบค่ะ ช่วงนั้นมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น” น้องลีกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ผมเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาผมแอบวิเคราะห์คลาดเคลื่อนเล็กน้อย เพราะความคาบเกี่ยวของการรับมือกับอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ ที่เคยออกมาสร้างเรื่องตั้งแต่ตอนที่จันทร์อายุได้เพียง 3 ขวบกว่า

“เรื่องน่าปวดหัวที่หนูพูดถึงมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ ?”
“วันแรกที่หนูตื่นขึ้นมา หนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงเอาแต่เรียกหนูด้วยชื่อของพี่จันทร์ แต่ตอนนั้นหนูคิดเอาเองว่ามันคงจะเป็นเพราะเราสองคนหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก”

“นึกๆ ดูแล้วก็ตลกดีนะคะหมอ ตอนนั้นหนูถึงกับเดินไปที่ห้องเรียนของตัวเอง ปรากฏว่าคุณครูประจำชั้นกลับพามาส่งที่ห้องเรียนของพี่จันทร์ แต่หนูก็ยังไม่รู้อยู่ดีค่ะว่าจริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่แบบที่หนูคิด ตอนนั้นหนูยังปักใจเชื่อว่าทุกคนแกล้งอำหนูอยู่เลย แล้วด้วยความนึกสนุกหนูก็ถือโอกาสปลอมตัวเป็นพี่จันทร์เสียเลย”
“แล้วตอนนั้นหนูไม่สงสัยบ้างเหรอว่าพี่จันทร์หายไปไหน ?”

“หนูไม่ทันคิดจริงๆ ค่ะ เพราะทุกครั้งที่หนูตื่นขึ้นมา หนูจะแต่งตัวแบบผู้ชาย หนูก็เลยคิดว่าพี่จันทร์คงจะแกล้งมาเปลี่ยนตอนที่หนูกำลังหลับ หนูเลยไม่ทันคิดว่าที่จริงแล้วหนูเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพี่จันทร์”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหนูไม่ค่อยได้แต่งตัวเป็นผู้หญิงถูกไหม เพราะไม่อย่างนั้นคงจะปลอมตัวไม่ได้”

“ใช่ค่ะ ถ้าอยู่ข้างนอกหนูจะปลอมตัวให้แนบเนียน แต่ถ้าอยู่ที่บ้านหนูจะแต่งตัวเป็นผู้หญิง”
“แล้วตอนนั้นคนที่บ้านของหนูเคยสงสัยบ้างหรือเปล่า ?”

“ไม่นะคะ เพราะหนูแอบเอาเสื้อของน้าเข็มไปใส่เดินเล่นที่สวนเก๊กฮวยตอนกลางคืน” คำตอบของน้องลีทำให้ผมแปลความหมายได้ว่าช่วงนั้นจันทร์น่าจะย้ายไปอยู่ที่บ้านของป้าเข็มแล้ว ซึ่งปฏิกิริยาของเธอในขณะที่ถูกถามถึงคนที่บ้าน ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเพราะเธอดูส่อแววพิรุธบางอย่างที่ทำให้ผมมั่นใจว่า..
เมื่อครั้งอดีตคงจะเคยเกิดเรื่องราวเลวร้ายกับจันทร์อย่างแน่นอน
และเรื่องราวที่ว่าก็น่าจะเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศตามที่ผมเคยสันนิษฐานไว้

“มันคงจะน่าขำใช่ไหมคะหมอที่สถานการณ์ก็ชัดเจนมากมายขนาดนั้น แต่หนูก็ยังเชื่อว่าหนูคือหนู ไม่ใช่พี่จันทร์ตามที่ใครๆ เรียก ขนาดว่าผมของหนูในตอนนั้นเหมือนกับตอนนี้ หนูยังมองข้ามไปได้เลยค่ะ หนูนี่ซื่อบื้อจริงๆ”
“หมอเข้าใจหนูนะ เพราะโรคนี้เป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากและต้องอาศัยการสังเกตจากคนรอบข้าง”

“ก็จริงค่ะ เพราะถ้าหากหนูไม่เกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการบ้าน แล้วก็เรื่องที่หนูถูกเรียกเข้าห้องปกครอง หนูก็คงจะไม่ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ทำไมการบ้านและการถูกเรียกเข้าห้องปกครองถึงทำให้หนูย้อนกลับมาคิดว่าตัวหนูมีอะไรบางอย่างที่มันแปลกแยกไปจากคนอื่น ?” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้เขาพอจะทราบข้อมูลที่ผมเคยส่งไปให้แล้วก็ตาม

“อันที่จริงเรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่หนูตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตแล้วค่ะ และสาเหตุทั้งหมดก็เป็นฝีมือของคนที่ชื่อจิม”
“แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากเขา ?”

“การบ้านครั้งล่าสุดของพี่จันทร์ค่ะ มันถูกเขียนชื่อว่าจิม”
“ถ้าอย่างนั้นสาเหตุของความวุ่นวายจนถึงขนาดต้องเข้าห้องปกครองมันคืออะไรกันล่ะ ?” จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงยังคงเอ่ยถามต่อไปจนผมเริ่มรู้สึกว่าเราค่อยๆ เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกทีแล้ว

“เขาต่อยเพื่อนร่วมชั้นจนต้องเย็บหลายเข็ม แถมพ่อกับแม่ของคู่กรณีก็ไม่ยอมความด้วย หนูเลยถูกหักคะแนนความประพฤติแถมยังถูกตีตั้งหลายที เพราะหนูยังมีข้อหาแอบเอาหินปากระจกที่โรงเรียนแตกไปหลายบาน หนูก็งงสิคะ หนูเลยไม่ยอมรับ เพราะหนูไม่ได้ทำจริงๆ แต่พอพวกเขาเอากล้องวงจรปิดมาให้หนูดู หนูเลยเถียงไม่ออก แถมยังถูกต่อว่าอีกต่างหาก”
“พวกเขาต่อว่าหนูยังไงเหรอ ?”

“เด็กขี้โกหกค่ะ แต่หนูไม่ได้โกหกเสียหน่อย”
“หมอเชื่อหนูนะ แต่หมอกำลังสงสัยว่าทำไมตอนนั้นหนูถึงไม่คิดว่าคนที่อยู่ในกล้องวงจรปิดคือพี่จันทร์”

“เพราะพี่จันทร์ของหนูเป็นคนอ่อนโยนแล้วก็เรียบร้อยมากๆ ค่ะ หนูเลยคิดว่าพี่จันทร์ไม่มีทางทำอะไรที่มันสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นหนูไม่สงสัยบ้างเหรอ ทำไมจิมถึงมีหน้าตาเหมือนกับพี่จันทร์ ?”

“เพราะหนูเริ่มสงสัยตรงนี้นี่แหละค่ะ หนูก็เลยเข้าใจว่าหนูกับพี่จันทร์แล้วก็จิมอาจจะอาศัยร่างกายนี้ร่วมกัน”
“แล้วการค้นพบความลับในครั้งนี้ ทำให้หนูตกใจหรือว่ากลัวบ้างหรือเปล่า ?”

“ไม่นะคะ คงเพราะตอนนั้นหนูยังงงๆ มากกว่า และความทรงจำของหนูก็มีแค่พี่จันทร์ที่เป็นพี่ชายของหนูเท่านั้น เลยทำให้หนูเข้าใจว่าหนูกับจิมคงจะเกิดมาเพื่อพี่จันทร์”
“ทำไมตอนนั้นหนูถึงแบบนั้นล่ะ ?”

“เพราะว่าพ่อกับแม่ของพี่จันทร์เสียไปหมดแล้วค่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าพวกท่านเสียเพราะอะไร” คำตอบของน้องลีทำให้ผมเริ่มหนักใจมากขึ้น เพราะมันเท่ากับว่าเราจะต้องพยายามปลุกอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ ให้ออกมาใช้ชีวิต
เพื่อที่เราจะได้ค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น..
จนมันกลายเป็นภาพที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์

“แล้วเหตุการณ์น่าปวดหัวที่เกิดขึ้นกับหนูมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามด้วยคำถามที่อาจจะช่วยให้เราควานหาจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆ ต่อไปได้
“หลังจากวันที่หนูถูกทำโทษก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก หนูก็เลยไม่ค่อยแน่ใจกับข้อสังเกตของหนูเท่าไหร่ แต่พอนานวันเข้าหนูก็เลิกสนใจและใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติค่ะ เพียงแต่หนูจะต้องปลอมตัวเป็นพี่จันทร์ต่อไป เพราะว่าพี่จันทร์ต้องการหนู” คำตอบอันฉะฉานของน้องลีทำให้ผมเข้าใจเพิ่มอีกว่าเธอยอมรับความเป็นจริงมาได้ตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้นคงเพราะช่วงเวลานั้นลียังเด็กมากก็เลยยังไม่ค่อยเข้าใจว่าการที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของจันทร์หมายความว่าอย่างไร ด้วยความที่ลียอมรับสถานะนั้นมานานแล้ว จึงทำให้เธอค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเป็น จนกระทั่งได้คำตอบแล้วว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งใด

“หนูคิดว่าพี่จันทร์ต้องการหนูเพราะอะไร ?”
“เพราะพี่จันทร์กำลังเจ็บปวดที่ทุกคนจากไปค่ะ หนูก็เลยต้องเกิดมาเพื่อพี่จันทร์”


-อ่านต่อหน้า 3-
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 30 ❀ หน้า 2 (update 29/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 29-06-2018 13:38:54
“แล้วหนูทำยังไงให้พี่จันทร์รับรู้ถึงการมีอยู่ของหนูล่ะ ?” จากคำถามของด็อกเตอร์ ทำให้ผมตีความได้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะคำตอบของลี จะหมายถึงการมีอยู่ของอัตลักษณ์ดังกล่าวรวมไปถึงสาเหตุต้นเรื่องที่ในตอนนี้เริ่มจะกระจ่างแจ้งบ้างแล้วว่าจันทร์สร้างอัตลักษณ์ของลีขึ้นมาเพื่อ หลอกตัวเองว่าครอบครัวของเขายังคงอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ซึ่งคำว่า ‘ครอบครัว’ ก็น่าจะมีทั้งพ่อแม่และน้องสาวอย่างครบถ้วน เพียงแต่สาเหตุของการเสียชีวิต เราอาจจะต้องไปตามล่าหาความจริงกับอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ อีกที เพราะอัตลักษณ์ของเด็กคนนี้หลับใหลไปตั้งแต่ตอนที่น้องลีถูกสร้างขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องวุ่นวายที่เขาสร้างไว้ก็ยังคงอยู่
ดังนั้นคนที่ต้องรับเคราะห์จากการกระทำของ ‘จิม’ จึงมีเพียงสองคนอีกทั้งยังต่างช่วงเวลากัน เนื่องจากจันทร์ต้องมารับเคราะห์ตั้งแต่จิมเริ่มจะรู้ความมากขึ้น จึงส่งผลให้ความดื้อรั้นและความแสบก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนน้องลีต้องคอยรับเคราะห์จากผลงานชิ้นสุดท้ายที่จิมฝากร่องรอยเอาไว้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าอัตลักษณ์ของจิมกับน้องลีมีความคล้ายคลึงกันตรงที่พวกเขาทั้งสองต่างก็มีการเจริญเติบโตไปตามช่วงวัยของเด็กทั่วไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับจันทร์ เพียงแต่จุดเริ่มต้นของอายุอาจจะแตกต่างกัน และช่องว่างของเวลาก็ทำให้ผมทราบว่าช่วงที่อัตลักษณ์ของน้องลีเกิดขึ้น น่าจะห่างจากช่วงที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ไม่นาน
เพราะว่าในตอนนั้นจันทร์อายุเพียงแค่ 4 ขวบ
ซึ่งก็เป็นช่วงอายุเดียวกันกับลี ตอนที่เธอ ‘ออกโรง’ เป็นครั้งแรกในปี 2550
 
“พวกเสื้อผ้าแล้วก็ข้าวของเครื่องใช้สำหรับผู้หญิงไงคะ” คำตอบของน้องลีก็ไม่ต่างกับหลักความเชื่อที่คุณชลวิทย์ป้อนให้จันทร์หลังจากที่ทราบความเป็นจริงทั้งหมด และสาเหตุที่ทำให้หลักความเชื่อดังกล่าวดูแนบเนียน คงจะเป็นเพราะลีก็มีต้องการจะป้อนข้อมูลให้จันทร์ด้วยวิธีการไม่ต่างกัน
เพียงแต่จุดประสงค์ของทั้งสองคนมันแตกต่างกันมากก็เท่านั้น

“เท่าที่หมอทราบมาจากหมอภัทร หนูชอบออกมาใช้ชีวิตในช่วงฤดูที่ดอกสโนว์ดรอปส์บานแทบทุกครั้ง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ คือหมอกำลังสงสัยว่ามันมีเหตุผลเชื่อมโยงไปกับความทรงจำที่ขาดหายของคุณเพียงจันทร์หรือเปล่า”
“อันที่จริงหนูเพิ่งจะทำแบบนั้นหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าพี่จันทร์จะปลอดภัย” น้องลียากรเอ่ยตอบด้วยถ้อยคำตะกุกตะกักแสดงถึงการขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกได้ว่าความจริงที่เธอบอกเล่ามีเพียงครึ่งเดียว

“ช่วงเวลาที่ปลอดภัยในความหมายของหนู คือตอนที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสนใช่หรือเปล่า ?”
“ใช่ค่ะ แต่ว่าสาเหตุที่หนูออกมาใช้ชีวิตเฉพาะช่วงนั้น เป็นเพราะหนูชอบทุ่งดอกไม้สีขาว แม้ว่าอันที่จริงดอกไม้ที่หนูชอบจะเป็นดอกเดซี่กับดอกเก๊กฮวยก็ตาม แต่ว่าที่บ้านกลางป่าสนไม่ได้ปลูกไว้ หนูเลยเลือกจะออกมาใช้ชีวิตแค่ช่วงเวลานั้น”

“อย่างบ้านที่สะเมิงหนูก็ชอบแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงออกมาวิ่งเล่น แล้วก็ฮัมเพลงที่หนูชอบทุกคืนเหมือนกันค่ะ เพราะหนูชอบดอกไม้” คำบอกเล่าของเด็กสาวทำให้ผมนึกถึงข้อความภาษาอังกฤษที่แปลความหมายในทำนองว่า..
‘ที่ใดมีดอกไม้ ที่นั่นย่อมมีความหวัง’

“อ่า.. หมดคาบปรึกษาซะแล้วล่ะ เอาไว้เราค่อยกลับมาคุยกันใหม่นะ” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางมองนาฬิกาเมื่อถึงเวลาอันสมควรแก่การพักยก
“ได้ค่ะ” สิ้นคำตอบของน้องลีภาพในโปรแกรมสำหรับเล่นวีดิโอก็ดับมืดลง เหลือทิ้งไว้เพียงคำถามที่ยังคงค้างคาใจ ซึ่งก็หนีไม่พ้นข้อความภาษาอังกฤษที่วางอยู่ในห้องของน้องลีว่ามันหมายถึงความหวังในเรื่องใด เพราะจากการให้สัมภาษณ์เกี่ยวช่วงเวลาที่ตัวเองแต่งหญิงออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก ท่าทีของน้องลีดูแปลกๆ อีกทั้งช่วงเวลาที่น้องลีออกมาใช้ชีวิตที่บ้านกลางป่าสนช่วงที่ผมเดินทางไปที่นั่น เธอก็ดูแปลกๆ คล้ายกับมีการระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ซึ่ง ‘การระวังตัว’ ในที่นี้ ผมเพิ่งจะมาวิเคราะห์ได้ว่าท่าทางแบบนั้นมันออกจะคล้ายๆ การระแวดระวังเสียมากกว่า..
เพราะขนาดผมสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ แต่ทว่าผมก็ยังถูกเธอจับได้

ดังนั้นการออกมาใช้ชีวิตของน้องลีแค่ช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์ผลิบาน จึงยังเป็นปริศนาที่เราจะต้องหาคำตอบกันต่อไป เนื่องจากผมรู้สึกว่า..
ปริศนาดังกล่าว
น่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

เดิมทีผมเคยสันนิษฐานสาเหตุไว้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นช่วงที่จันทร์เกิดเรื่องก็เป็นได้ แต่ดูจากท่าทางของน้องลีแล้ว มันน่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของน้องเสียมากกว่า ซึ่งเหตุผลที่ว่าคงจะเกี่ยวเนื่องกับความชอบ
และความชอบก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายในภัยมืด

กระทั่งช่วงเวลาแห่งการเลิกงานเดินทางมาถึง ผมก็เดินตรงไปยังห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วยที่ปกติจะมานอนเฝ้าไม่ได้ เนื่องจากการเข้าและออกวอร์ดจิตเวชเป็นอะไรที่เข้มงวดมาก ทุกคนที่มีความจำเป็นจะเดินทางมาที่นี่ต้องเซ็นชื่อเข้าออกทุกครั้ง แต่ด้วยความที่ผมเป็นห่วงจันทร์ บวกกับใช้เส้นของพ่ออีกนิดหน่อย ผมก็เลยมานอนเป็นเพื่อนจันทร์ได้ อีกอย่างอาการของจันทร์ก็ยังอยู่ในช่วงสังเกตการณ์และเฝ้าระวังอัตลักษณ์ที่อาจจะก่อความวุ่นวาย ผมจึงอาศัยช่วงเวลานี้ค้นหาความจริงรวมไปถึงการบำบัดนอกเวลางานที่ผมเต็มใจจะทำอย่างทุ่มเท

“จันทร์” ผมเอ่ยเรียกใครบางคนที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง ราวกับรอคอยว่าเมื่อไหร่ผมจะเข้ามาปรากฏตัวในห้องนี้ จึงไม่ยากเย็นที่ผมจะรับรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้เป็นใคร เมื่อท่าทีแห่งการรอคอย มักจะมีแต่จันทร์เท่านั้นที่ชอบแสดงออก
“รอพี่เหรอ ?” ผมเอ่ยถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้างเตียงคนป่วย

“ครับ”
“…” สิ้นคำตอบรับเพียงสั้นๆ ผมก็ยกยิ้มตรงมุมปากเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งเงียบเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้มานั่งรอผมแบบนี้

“จันทร์ขอโทษที่จันทร์ผิดสัญญา”
“พี่เข้าใจจันทร์นะ เพราะโรคหลายอัตลักษณ์ที่จันทร์เป็น แต่ละตัวตนจะสลับกันออกมาใช้ชีวิต โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว” ผมกล่าวพลางกอบกุมฝ่ามือทั้งสองข้างของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน

“พี่ภัทร..”
“หืม ?” ผมเงยหน้ามองจันทร์ จากนั้นก็แนบใบหน้าลงบนตักของอีกฝ่าย พร้อมทั้งใช้สองมือโอบรอบเอว เพื่อที่เจ้าตัวจะได้กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะอธิบายให้ผมฟัง

“เรื่องวันนั้น..”
“…”

“ไม่สิ ความทรงจำสุดท้ายของจันทร์ คือตอนที่จันทร์กำลังนอนอยู่บนเตียงกับพี่ภัทร จันทร์ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นเราจูบกันแล้วจันทร์ก็เกิดอาการแพนิค หลังจากนั้นเราก็นอนจับมือกันและจันทร์ก็หลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จันทร์กำลังเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงของพี่ชล โดยที่จันทร์รู้สึกได้ทันทีว่าก่อนหน้านั้นต้องเกิดเรื่องที่จันทร์ไม่สามารถทำมันได้แน่ๆ พี่ภัทรก็รู้ว่าจันทร์เคยมีอาการแพนิค แถมยังมองเห็นภาพของคนกำลังร่วมรักกัน แล้วจันทร์จะไปทำอะไรแบบนั้นกับพี่ชลได้ยังไง จริงไหมครับ ?”
“อื้อ” ผมส่งเสียงงึมงำตอบอีกฝ่าย จากนั้นก็พยายามจะโอบกอดรอบเอวของจันทร์ให้แน่นขึ้น

“แต่จันทร์ก็รู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง เพราะสถานการณ์ตอนนั้นมันอธิบายได้ทุกอย่าง แล้วจันทร์ก็รู้สึกขยะแขยงสัมผัสแบบนั้นมากๆ ที่สำคัญจันทร์ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นไปล้างตัว เพราะอาการแพนิคกำเริบ แล้วจันทร์ก็รับไม่ได้ที่พี่ชลทำแบบนั้นกับจันทร์.. เพราะเราสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แล้วจันทร์ก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับพี่ชลแม้แต่นิดเดียว”
“พี่เชื่อจันทร์นะ” ผมละฝ่ามือข้างหนึ่งออกจากรอบเอวของจันทร์ จากนั้นก็ดึงข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ริมฝีปากพลางจุมพิตเพียงเบาๆ เพื่อให้คนที่กำลังหวาดหวั่นได้อุ่นใจว่าผมจะไม่ทอดทิ้งหรือมองเขาเป็นเด็กขี้โกหกอย่างที่เคยหวาดกลัว
เพราะผมเข้าใจดีว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จันทร์กระทำ มันมีเหตุผลและก็มีที่มาที่ไป

“พี่ภัทรรู้ไหม ตอนที่พี่ภัทรเดินหนีไป มันเหมือนกับว่าโลกถล่มลงมาตรงหน้าจันทร์ เพราะพี่ภัทรคือคนที่ทำให้จันทร์เชื่อมั่นว่าถ้าหากมีพี่ภัทรอยู่ จันทร์จะต้องปลอดภัย เลยทำให้จันทร์คิดจะทำร้ายตัวเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบ โชคดีที่จันทร์หลับไปก่อนไม่อย่างนั้นจันทร์คงต้องเสียดายอนาคตมากแน่ๆ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อเขามองมายังผมที่กำลังนอนหนุนตัก ทำเอาผมต้องเอื้อมมือขึ้นไปซับมันออกด้วยความเป็นห่วงอย่างทุลักทุเล
“การที่พี่ภัทรช่วยชีวิตจันทร์ไว้ตอนที่จันทร์เกิดอาการแพนิค หรือว่าการที่พี่ภัทรพาจันทร์ออกไปเดินเที่ยวท่ามกลางป่าสนทั้งๆ ที่จันทร์หวาดกลัว แต่สุดท้ายพี่ภัทรก็ทำให้จันทร์เชื่อมั่นว่าจันทร์จะปลอดภัยคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้จันทร์เริ่มชอบพี่ภัทรมากขึ้นเรื่อยๆ”

“เพราะแบบนี้ตอนที่พี่พาจันทร์เดินไปตามเส้นทางวิบากในคาบบำบัด จันทร์ก็เลยเชื่อใจพี่ได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ใช่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางส่งยิ้มไปให้กับคนที่แววตากำลังขังคลอด้วยหยดน้ำตา
“ครับ กิจกรรมนั้นทำให้จันทร์นึกถึงช่วงเวลาที่เราเดินเข้าไปในป่าสน และตอนนั้นพี่ภัทรก็ไม่ทำให้จันทร์ได้รับอันตรายใดๆ แม้ว่าจันทร์จะเกิดอาการแพนิค แต่จันทร์ก็เชื่อว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้ถ้าหากมีพี่ภัทรอยู่กับจันทร์” จันทร์กล่าวพลางลูบข้างแก้มของผมเล่นและมองเข้ามายังนัยน์ตาของผมที่กำลังจ้องมองเจ้าตัวอยู่

“อันที่จริงหลังจากจันทร์หลับไปแล้ว พี่เป็นคนพาจันทร์ออกมาจากบ้านหลังนั้นและคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้จันทร์เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องก็คือพี่ เพราะพี่จับสังเกตเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ที่จันทร์เป็น ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่บ้านกลางป่าสนได้สักพักใหญ่แล้ว”
“พอได้ฟังแบบนี้จันทร์ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ตอนนั้นจันทร์หลับไป” จันทร์เอ่ยพลางย่นจมูกเพียงเล็กน้อย ผมจึงยกปลายนิ้วขึ้นตีปลายจมูกของเจ้าตัวด้วยความเอ็นดู

“จันทร์ยังจำดอกเนโมฟีลาได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามขณะที่กำลังขยับตัวให้นอนหนุนตักของอีกฝ่ายในท่าทางที่สบายขึ้น โดยเป้าหมายของผมก็คือในระยะสายตาจะต้องมองเห็นใบหน้าของจันทร์อย่างชัดเจน
“จำได้ครับ พี่ภัทรเคยบอกว่าดอกไม้ชนิดนี้เหมือนกับจันทร์”

“อื้ม เพราะฉะนั้นพี่ถึงอยากให้จันทร์เป็นดอกเนโมฟีลาที่ถึงแม้จะถูกตัดเอามาปักแจกันก็ยังไม่แห้งเหี่ยวหรือว่าร่วงโรย เพราะแจกันใบนั้นตั้งอยู่ในห้องของใครบางคนที่เปรียบเสมือนกับผึ้งที่ชอบดอมดมดอกเนโมฟีลา เขาก็เลยอยากให้ดอกไม้ชนิดนี้ที่มีเพียงแค่ดอกเดียวในแจกันคอยอยู่เคียงข้างเขา” หลังจากกล่าวอ้อมโลกผมก็ดึงฝ่ามือของอีกฝ่ายมาจุมพิตอีกครั้ง โดยที่ใจความของประโยคดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงออกถึงความห่วงใยและความพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคนคนนี้ เพราะผมรู้ดีว่าการรักษาโรคทางใจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาอย่างยาวนาน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าหากจันทร์จดจำเรื่องราวทั้งหมดได้ เขาจะรับมันได้หรือเปล่า ผมถึงได้บอกให้เขาเป็นดอกไม้ที่ไม่มีวันแห้งเหี่ยวเพื่อที่เจ้าตัวจะได้ไม่ยอมแพ้กับการต่อสู้กับความทรงจำในอดีตที่เป็นเหมือนกับฝันร้าย ซึ่งในตอนนี้จันทร์คงจะยังไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้ง คงต้องรอจนกว่าช่วงเวลานั้นจะเดินทางมาถึงเพื่อที่ความกระจ่างจะได้บังเกิด
“ครับ” จันทร์เอ่ยตอบรับเพียงเบาๆ จากนั้นใบหน้าของเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ในระยะที่โฟกัสทางสายตาเริ่มจะพร่าเบลอ เพียงไม่นานสัมผัสนุ่มหยุ่นก็ประทับลงบนหน้าผากของผมอย่างเชื่องช้า
เนื่องจากว่า..
คนป่วยเขาให้คำมั่นสัญญาในรูปแบบของภาษากายเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- IQ คืออะไร สามารถวัดได้อย่างไร
https://www.facebook.com/EnglishBoulevard/posts/1026585777432974:0


ส่วนอันนี้คือระดับของ IQ ค่ะ เผื่อใครอยากเทียบว่าแต่ละอัตลักษณ์มี IQ ประมาณช่วงไหน

144 ขึ้นไป = อัจฉริยะ
130-144 = ปัญญาเลิศ
115-129 = เหนือค่าเฉลี่ย
100-114 = สูงกว่าค่าเฉลี่ย
85-99 = ค่อนข้างต่ำ
70-84 = ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
55-69 = คาบเส้น
น้อยกว่า55 = ต่ำ

สำหรับตอนนี้อาจจะยาวหน่อย แต่ก็น่าจะเข้าใจความคาบเกี่ยวของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่มันก็ยังมีจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปอยู่อีก ก็ต้องรอการปรึกษาในคาบต่อไปอีกที ว่าจะมีอะไรคลายออกมาบ้าง เราเห็นมีคนบ่นว่าทำไมดูไม่มีอะไรคลายลงเลย ทำไมมีแต่ปริศนาเต็มไปหมด คือของแบบนี้มันไม่ได้คลายได้เพราะแค่พี่หมอสงสัยนะ มันต้องอาศัยการรักษาทางจิตวิทยา มันเลยต้องค่อยๆ คลายปมทีละนิดๆ เหมือนกับตอนที่ทิ้งปมนี่แหละจ้า สำหรับเรื่องนี้ถึงมันจะดูปมหนัก แต่ในด้านของความรักระหว่างพี่หมอกับจันทร์ เราไม่ได้มีแพลนจะเขียนดราม่าอะไรเลย ฉะนั้นโทนเรื่องมันจะออกแนวอบอุ่นละมุนนิดๆ มากกว่า พูดง่ายๆ คือมันเป็นโทนสีเทาเพราะความหลังของจันทร์นี่แหละ
ปล. คาดว่าเราน่าจะเขียนจบแบบสมบูรณ์ที่ 40 ตอนนะ เราเกลี่ยพล็อตแล้ว แต่เขียนจริงไม่รู้ว่าจะพอดีกับที่เกลี่ยไว้มั้ย เพราะเวลาเขียนจริงเราชอบเขียนไม่ตรงตามที่วางไว้ 555


อันนี้เราทำตารางเฉลยเอาไว้ เผื่อใครอ่านเรื่องแล้วยังเรียงลำดับความทรงจำของน้องจันทร์ไม่ถูก เราเลยเทียบกับช่วงอายุของจันทร์เป็นหลัก

2561 อายุ 15 : จันทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง + หมอภัทรเข้ามาวนเวียนอยู่ที่บ้านกลางป่าสน + ชลวิทย์พยายามจะกดอัตลักษณ์หลักไม่ให้ตื่นขึ้น + จันทร์ได้รับการรักษา
2560 อายุ 14 : คุณนักเขียนใช้เวลาในการยอมรับความจริง (ปีกว่า)
2559 อายุ 13 : เกิดอัตลักษณ์ของคุณนักเขียน
2558 อายุ 12 : เกิดอัตลักษณ์ของกร + หนีออกมาจากบ้านที่สะเมิง + มาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน + จันทร์หลับไปแล้วไม่ได้ออกมาอีก + น้องลีเริ่มออกมาเฉพาะฤดูสโนว์ดรอปส์บาน
2557 อายุ 11
2556 อายุ 10
2555 อายุ 9
2554 อายุ 8
2553 อายุ 7
2552 อายุ 6
2551 อายุ 5
2550 อายุ 4 : อัตลักษณ์ของน้องลีถูกสร้างขึ้น + เหตุการณ์ไฟไหม้ + ย้ายมาอยู่ที่บ้านป้าเข็ม + จิมหลับไปแล้ว
2549 อายุ 3  : จันทร์รู้จักการรับมือกับปัญหา = หลับตาแล้วหายตัวได้ + อัตลักษณ์ของจิมเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น + ครอบครัวไม่อบอุ่น
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 30 ❀ หน้า 2 (update 29/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 29-06-2018 22:46:17
 :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 31 ❀ หน้า 3 (update 01/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 01-07-2018 15:18:14
ตอน 31

เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนใหม่แผนการรักษาก็ย่อมต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ นับตั้งแต่จันทร์มีอายุได้เพียง 4 ขวบ ยังไม่เคยออกมาปรากฏตัวเลยสักครั้ง ดังนั้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เราอาจจะต้องใช้วิธีการสะกดจิตควบคู่ไปกับการบำบัดด้วยวิธีอื่น เนื่องจากคุณพีรวัตรยังไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับอัตลักษณ์ดังกล่าวได้ ขณะที่ทางทีมรักษาก็มีความต้องการให้แต่ละอัตลักษณ์ นึกย้อนความทรงจำกลับไปยังวันวานให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นช่วงเช้าของวันนี้ ด็อกเตอร์อาทิตย์จึงมีแผนจะพูดคุยกับจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของอาการป่วยอย่างกระจ่างแจ้ง โดยจิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงจะทำการเปิดคลิปวีดิโอบางส่วนที่บันทึกไว้ให้อีกฝ่ายดู เนื่องจากหนึ่งในอัตลักษณ์ที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนสร้างขึ้นเป็นอัตลักษณ์ที่มีความละเอียดอ่อนด้านความรู้สึก ทีมรักษาอย่างเราๆ จึงเกรงว่าจันทร์อาจจะรับมือกับความเป็นจริงในข้อนี้ไม่ไหว
เพราะการมีอยู่ของอัตลักษณ์ ‘น้องลี’
ทำให้จันทร์ได้รับรู้ว่า ‘การจากตาย’ มักจะโหดร้ายต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ..

กระทั่งช่วงใกล้เที่ยงบันทึกการรักษาก็เดินทางมาถึง ทันทีที่ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ดังกล่าว ภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันแสนอบอุ่นก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับอัตลักษณ์ของคุณนักเขียนที่มีโอกาสได้ควบคุมจิตวิญญาณอยู่ในขณะนี้

“สวัสดีครับคุณพีรวัตร” ด็อกเตอร์เอ่ยทักทายหลังจากปรับมุมกล้องวีดิโอจนเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มผู้แสนสุภาพกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคยด้วยท่าทีอันแสนสบาย โดยการนั่งไขว้ขาหรือที่คนชอบเรียกจนติดปากว่า ‘นั่งไขว่ห้าง’
ซึ่งเป็นท่านั่งที่ผมสังเกตเอาเองว่า..
คุณนักเขียนมักจะชอบนั่งจนติดเป็นนิสัย

“ช่วงนี้คุณดูสดใสขึ้นนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยทักอย่างเป็นมิตร
“…” ขณะที่คุณนักเขียนก็ตอบรับคำบอกกล่าวนั้นด้วยการยกยิ้มตรงมุมปากเพียงอย่างเดียว แต่ผมยังก็เข้าใจได้ดีว่าในช่วงเวลาอย่างนี้ เป็นช่วงที่เขากำลังมีความสุขอยู่กับการเขียนนิยายเรื่องสุดท้าย ที่ผ่านความเห็นชอบจากผม โดยมีข้อแม้ว่าทุกๆ คืนที่เขาออกมาใช้ชีวิต เราสองคนจะต้องไปนั่งประจำตำแหน่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ หน้าต่างบานใหญ่
ซึ่งคำขอดังกล่าวก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ผมเลยไม่คิดจะปฏิเสธ   

แต่ในช่วงเวลากลางคืนของเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วง ‘ไพรม์ไทม์’ ของทุกๆ อัตลักษณ์ เพราะผมมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขานอกเวลางานอยู่บ่อยครั้ง อย่างอัตลักษณ์ของน้องลีเวลาที่เธอออกมาใช้ชีวิต เธอจะอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกเสมอ ผมเลยต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเธออยู่นาน ดังนั้นช่วงแรกๆ เธออาจจะหัวเสียนิดหน่อยที่ไม่อาจจะออกไปเดินเล่นในสวน แต่พอนานวันเข้าเธอคงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่โรงพยาบาล กิจกรรมในยามค่ำคืนจึงเป็นการนั่งมองวิวนอกหน้าต่างเสียมากกว่า
ผมจึงถือโอกาสนั้นสอบถามถึงเรื่องราวที่ยังติดค้างอยู่ในใจเกี่ยวกับประโยคภาษาอังกฤษที่วางอยู่ในห้องนอนของเธอที่บ้านกลางป่าสน จึงทราบว่าน้องลียังมีเรื่องบางอย่างที่ตัวเองรู้สึกผิดกับจันทร์ เธอจึงมีความปรารถนาให้ความสวยงามของดอกไม้เหล่านั้น ช่วยลบล้างความรู้สึกอันย่ำแย่ของเธอออกไป
แต่ทว่าทันทีที่ผมถามถึงเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกผิดกับพี่ชายฝาแฝด
เด็กสาววัย 15 ในคราบของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร

“ถ้าหากผมมีแผนการจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกับคุณเพียงจันทร์ คุณจะโอเคหรือเปล่าครับ ?” หลังจากทักทายกันจนหอมปากหอมคอ ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มพูดเข้าสู่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงในทันที
“อันที่จริงผมก็มีแผนจะทำแบบนั้นอยู่นะครับ แต่จากที่ทดลองดูแล้ว เหมือนว่าจะไม่สำเร็จ”

“ตามแผนการของเรา ผมคิดว่าจะลองเอาไฟล์วีดิโอพวกนั้นให้เขาดู แต่อาจจะแนะนำแค่คุณกับกรวินท์ ส่วนลียากรผมคิดว่าเราอาจจะยังต้องรอให้เขาทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะผมเชื่อว่าคุณเพียงจันทร์คงยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก”
“วิธีนั้นที่หมอพูดถึงก็ฟังดูไม่เลวนะครับ ส่วนเรื่องของลีผมเองก็เห็นด้วยกับหมอ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณลองใช้วิธีที่คุณเคยทำในช่วงที่คุณต้องการจะรับรู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับอัตลักษณ์อื่นๆ ได้หรือเปล่า ?”
“ได้ครับ”

“หลังจากที่ผมให้เขาดูบันทึกการรักษาจนจบ ผมจะลองสอบถามความยินยอมจากเขาก่อนว่าถ้าหากผมจะให้คุณปรากฏตัวในตอนนั้น เขาจะโอเคหรือเปล่า เพราะจุดประสงค์ของผมอยากให้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันไว้”
“ผมจะลองดูแล้วกันครับ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสำเร็จอย่างที่หมอพูด เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจคำพูดของผมเลยด้วยซ้ำ”

“ผมคิดว่าที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนั้น คงเป็นเพราะพวกคุณยังไม่เคยรู้จักกัน เลยทำให้คุณเพียงจันทร์ไม่เข้าใจว่าเสียงที่เขาได้ยิน มันคือเสียงของพวกคุณที่ต้องการจะสื่อสารกับเขา”
“ถ้าอย่างนั้น.. ผมให้เขาออกมาพบหมอเลยแล้วกันครับ” สิ้นคำบอกกล่าวของคุณนักเขียน ร่างกายของจันทร์ก็ห่อตัวลงเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์
แต่สักพักดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววงุนงงอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดีครับหมอ” จนกระทั่งจันทร์เริ่มปรับตัวได้แล้ว เขาก็รีบเอ่ยทักทายด็อกเตอร์ในทันที
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์ วันนี้เราคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันยาวสักหน่อย” จิตแพทย์ชื่อดังเกริ่นนำเพื่อเป็นการเปิดประเด็นภายในเสี้ยววินาที ขณะที่จันทร์ก็ส่งยิ้มรับคำบอกกล่าวนั้น

 “จากที่ผมได้พูดคุยกับคุณพีรวัตรบุคคลที่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณ เขาพูดในทำนองว่าเมื่อหลายวันก่อน เขาพยายามสื่อสารกับคุณ แต่ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการพูด”
“เดี๋ยวนะครับหมอ พวกเขาคุยกับผมได้เหรอครับ ?” จันทร์เบิกตากว้างพลางเอ่ยถามด็อกเตอร์ด้วยท่าทีตกใจ

“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
“…” สิ้นคำบอกกล่าวของจิตแพทย์ตรงหน้า จันทร์ก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิดไปพักใหญ่

“ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินเสียงของใครสักคน แต่ตอนนั้นผมคิดว่าบางทีผมอาจจะหูฝาด สรุปมันคือเสียงของพวกเขาเหรอครับ?”
“อาจจะเป็นไปได้นะ ถ้าอย่างนั้นผมขอถามสักหน่อย เสียงที่คุณได้ยินมันเป็นเสียงแบบไหน ?”

“ตอนนั้นผมได้ยินทั้งเสียงของผู้หญิงและผู้ชายเลยครับ” จันทร์เอ่ยพลางเอียงคอเล็กน้อย คล้ายกับว่าตนเองยังแปลกใจกับสิ่งที่ได้บอกกล่าวกับด็อกเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังมั่นใจว่าเขาเคยได้ยินดังกล่าวจริงๆ
“แล้วเสียงของผู้ชายที่คุณได้ยินมีทั้งหมดกี่เสียงครับ ?”

“มีอยู่สองเสียงครับ ผมอธิบายไม่ค่อยถูกว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงแบบไหน แต่ผมมั่นใจว่าเสียงของพวกเขาไม่เหมือนกัน”
“แล้วคุณได้ยินเสียงพวกนั้นบ่อยแค่ไหนครับ ?”

“น่าจะสักประมาณสองสามครั้งครับ แต่ครั้งล่าสุดพวกเขาพูดเกี่ยวกับการหลอมรวมอะไรสักอย่าง ผมจับใจความไม่ค่อยได้ เสียงมันเหมือนกับอยู่ที่ไกลๆ ประมาณว่าอยู่กันคนละประเทศแบบนั้นเลยครับ”
“แสดงว่าเสียงที่คุณได้ยินคือเสียงที่พวกเขากำลังสื่อสารกัน โดยมีหัวข้อเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ที่คุณเป็น เพราะการหลอมรวมที่พวกเขาพูดถึง มันคือวิธีการรักษาที่พวกเราพยายามทำอยู่”

“แล้วการรักษาแบบหลอมรวมที่หมอพูดถึง มันเป็นยังไงเหรอครับ ผมไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่”
“การหลอมรวมที่ว่านี้ เราจะทำกันอย่างช้าๆ แรกสุดเราจะรวมอัตลักษณ์ที่มีบางอย่างคล้ายกัน จากนั้นเราก็จะเริ่มหลอมรวมคนอื่นๆ ทีละคน จนกระทั่ง.. คุณกลายเป็นคนคนเดียว”

“แล้วมันเป็นไปได้หรือเปล่าครับ ที่เราจะใช้วิธีการกำจัดพวกเขาออกไป ?”
“จิตแพทย์ท่านอื่นเคยลองใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยท่านอื่นมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล ดังนั้นโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการทำให้คุณดีขึ้น โดยนำทุกๆ ด้านของคุณมาหลอมรวมกัน และวิธีการแรกสุดก็คือการสื่อสารระหว่างกัน จากนั้นก็ค่อยๆ ทำให้คุณจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่แต่ละตัวตนเคยกระทำไว้ ซึ่งมันจะเป็นการขจัดความเสื่อมหรือที่เราเรียกกันว่า ‘การมีสติร่วม’ จากนั้นเราก็จะพยายามนำทุกๆ ด้านของคุณมารวมเข้าด้วยกัน และเราเรียกการกระทำดังกล่าวว่า ‘การหลอมรวม’”

“แสดงว่าการหลอมรวมจะทำให้ผมกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ คุณจะกลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น และรู้จักรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น”

“ผมมีเรื่องสงสัยอยู่ข้อนึงครับ ปกติแล้วการนอนหลับคือวิธีที่ผมใช้ในการหนีปัญหา แต่ผมรู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนพยายามจะใช้วิธีนี้เพื่อไม่ให้ผมตื่นขึ้นมา คือผมรู้สึกว่าช่วงเวลาของผมมันก้าวกระโดดมากๆ”
“ช่วงเวลาที่คุณพูดถึง มันก้าวกระโดดยังไงเหรอครับ ?”

“อย่างตอนเด็กๆ ช่วงแรกๆ ผมจะอยู่ที่บ้านของแม่ แต่ไปๆ มาๆ ผมก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับแม่อีกเลย ตอนนั้นผมคิดว่าแม่น่าจะทิ้งพวกเราไปแล้ว พอหลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ ผมก็ไม่เคยเจอหน้าพ่ออีกเลย แต่น้าเข็มบอกว่าพ่อต้องกลับไปทำงานในเมือง แต่คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเวลาช่วงเทศกาลพวกเขาก็จะกลับมาที่บ้านนะครับ แต่ทำไมพ่อของผมไม่ยอมกลับมาอีกเลย แล้วจากนั้นความทรงจำของผมมันก็ขาดๆ หายๆ ไปเยอะเลยครับ มาจำได้อีกทีก็ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน แต่ว่าความเปลี่ยนแปลงของตัวผมมันก้าวกระโดดมากเลยครับหมอ ทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผมจดจำอะไรไม่ได้ อาจจะเป็นช่วงที่ใครสักคนบังคับให้ผมนอนหลับหรือเปล่า เพราะในตอนนั้นผมไม่น่าจะใช้วิธีหนีปัญหาเหมือนกับแต่ก่อน คือผมหมายถึงตอนที่ผมอยู่ที่บ้านของพ่อ ผมยังคอยดูแลลี แล้วก็ยังเคยนั่งทำการบ้านกับพี่ชลอยู่เลยนะครับ เหตุการณ์มันปกติมาก ผมไม่น่าจะหลับไปเอง”
“จากที่คุณพูดมาก็มีสิทธิ์เป็นไปได้นะครับว่าช่องว่างเหล่านั้น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่คุณสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมารับมือ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความทรงจำพวกนั้นเลวร้ายจนคุณเลือกจะกดมันไว้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะมีใครบางคนที่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณเลือกที่จะทำให้คุณหลับไป จนกระทั่งเขาแน่ใจว่าคุณปลอดภัย เขาถึงได้ยอมให้คุณตื่นขึ้นมาตอนที่คุณอยู่ที่บ้านกลางป่าสน” จากคำอธิบายของด็อกเตอร์ แม้มันจะฟังดูเหมือนการคาดการณ์ แต่อันที่จริงแล้วคำตอบเหล่านั้นมาจากอัตลักษณ์ของน้องลีที่เคยให้การเอาไว้ว่า พอเธอย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน เธอก็เริ่มออกมาเดินเล่นที่ทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ เพราะว่าพี่จันทร์ปลอดภัยแล้ว แสดงว่าช่วงเวลาก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน จันทร์จะต้องเคยพบเจอกับอะไรบางอย่างเลยทำให้ความทรงจำขาดหาย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวลีเองก็นึกเสียใจมาตลอด

ซึ่งสาเหตุของการลบเลือนอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า ลีอาจคงจะเป็นคนที่ทำให้จันทร์หลับใหล หรือไม่ก็อาจจะเป็นจันทร์ที่คิดจะหนีปัญหาเสียเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุทั้งสองอย่างรวมๆ กัน
เนื่องจากน้องลีก็ดูเหมือนว่าจะเคยได้รับอันตรายตอนอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วย
ฉะนั้น.. ก็อาจจะมีแนวโน้มของการเกิดอัตลักษณ์ใหม่ได้เช่นกัน

“ในความคิดของผมการนอนหลับไม่ว่าจะในความหมายของคุณหรือว่าในความหมายของอีกด้านหนึ่งของคุณ ยังไงมันก็มีความหมายเหมือนๆ กันนะครับ เพราะการที่คนเราเลือกจะนอนหลับ ต้องมีสาเหตุมาจากการหลบหนีจากสิ่งที่ทำให้เกิดความว้าวุ่นใจ”
“แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้วนะครับ ผมก็เลยไม่อยากจะนอนหลับอีก แต่พวกเขาก็ยังจะมาขโมยเวลาของผมไป แม้ว่าช่วงเวลาที่ผมกำลังนอนหลับมันจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่แป๊บเดียว แต่ว่าในตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่าการนอนหลับในแต่ละครั้ง มันใช้เวลานานมากจริงๆ อย่างเช่น ผมหลับไปวันนี้จะตื่นอีกทีก็อาจจะช่วงเย็นของพรุ่งนี้ หรือบางทีก็อาจจะนอนหลับข้ามปีเลยก็ได้”

“สำหรับการนอนหลับในที่นี้ ถ้าหากคุณมีความเข้มแข็งที่มากพอ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นอีก และคุณก็จะต้องรู้จักวิธีในการรับมือกับปัญหา โดยที่คุณจะต้องไม่ใช้วิธีการแบบเดิมๆ อีก หลังจากนั้นเวลาของคุณก็จะกลายเป็นของคุณทั้งหมด ซึ่งการหลอมรวมที่ผมบอกคุณไป จะต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างยาวนานพอสมควรเลยครับ ฉะนั้นผมอยากให้คุณพยายามทำความเข้าใจกับการรักษาให้ได้มากที่สุด เพราะมันจะช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีและยังช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณลองทำความรู้จักกับอีกด้านหนึ่งของคุณไว้”
“ผมสามารถทำแบบนั้นได้เหรอครับ ?”

“ใช่ครับ คุณสามารถทำได้ โดยผมจะช่วยให้คุณทำความรู้จักกับพวกเขาผ่านทางคลิปวีดิโอที่ผมบันทึกไว้ แต่ถ้าหากคุณอยากจะลองพูดคุยกับเขาแบบตัวต่อตัว ผมก็จะช่วยคุณเอง”
“ครับ” สิ้นคำตอบรับที่แสดงถึงความเข้าใจ ด็อกเตอร์ก็เปิดคลิปวีดิโอที่เป็นไฟล์บันทึกการรักษาของคุณนักเขียนและกรวินท์ให้จันทร์ดู ซึ่งรีแอคชั่นของอีกฝ่ายก็ดูจะประหลาดใจกับสิ่งที่ได้เห็น
คงเพราะภาพดังกล่าว
ทำให้เขาเข้าใจประโยคที่พยาบาลและนักจิตวิทยา ต่างก็บอกกันว่า ‘ข้างในตัวเขา ยังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่’

“พอเห็นกับตาตัวเอง ผมรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมากเลยครับหมอ แต่สิ่งที่พวกเขาพูด ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ผมอยากให้คุณนึกเสียว่าสิ่งที่พวกเขาพูดคือจิ๊กซอว์ที่คุณจะต้องค่อยๆ ต่อมันทีละชิ้น โดยที่แต่ละชิ้นกว่าคุณจะได้มาก็ต้องผ่านการค้นหา ดังนั้นมันจึงต้องใช้เวลา เพราะความทรงจำของพวกเขาก็ไม่ปะติดปะต่อกันเหมือนกับคุณ”

“ครับ” เมื่อได้ฟังคำอธิบายจนเข้าใจดีแล้ว จันทร์ก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
“เอาล่ะ คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าในตอนนี้คุณอยากจะลองพูดคุยกับพวกเขาอยู่หรือเปล่า ?”

“ลองดูก็ได้ครับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยเดินหลบไปยืนอยู่ตรงข้างเวทีสักหน่อยนะ”

“เวที ?”
“ครับ คุณพีรวัตรบอกกับผมว่าคนที่มีสิทธิ์ในการควบคุมจิตวิญญาณ และสติในการรับรู้คือคนที่ยืนอยู่บนเวที คุณลองหลับตาดูสิ แล้วคุณจะเห็นเวทีที่ผมพูดถึง” สิ้นคำแนะนำของด็อกเตอร์ จันทร์ก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า

“อ่า.. ผมว่าผมเห็นเวทีที่หมอพูดถึงแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณค่อยๆ ถอยไปยืนอยู่ตรงด้านข้างได้เลยนะเพียงจันทร์ จากนั้นคุณพีรวัตรก็จะขึ้นมายืนอยู่บนเวทีในตำแหน่งที่คุณเคยยืนอยู่”

“ครับ ผมถอยออกมาแล้ว” จันทร์พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็เงียบเสียงไป จากนั้นดวงตาคู่เดิมที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมาอีกครั้ง เพียงไม่นานท่วงท่าในการนั่งของจันทร์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไขว่ห้าง ซึ่งเป็นท่านั่งที่คุณนักเขียนชอบนั่งจนติดเป็นนิสัย และเหตุการณ์ดังกล่าวก็เรียกความสนใจจากผมได้ดี
เพราะสิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้
ไม่ใช่แค่การสับเปลี่ยนอัตลักษณ์แบบครั้งที่แล้วๆ มา

“จันทร์นี่พี่พีเองนะ” คุณนักเขียนเอ่ยทักทายจันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“พี่พี.. เพื่อนของพี่ชลที่เป็นนักเขียนใช่หรือเปล่าครับ ?” ทันใดนั้น.. น้ำเสียงและท่าทีของคุณนักเขียนก็ปรับเปลี่ยนไปเป็นอัตลักษณ์ของจันทร์ที่ในตอนนี้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียยกใหญ่
ด้วยเพราะความเข้าใจบางอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยจนกระจ่างแจ้ง

“ใช่ พี่เอง.. เจ้าของนามปากกาอนธการ” คุณพีรวัตรเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ตอนแรกที่จันทร์ดูวีดิโอ จันทร์ยังไม่คิดเลยว่าพี่เป็นเจ้าของนามปากกานั้น” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่ได้พบกับนักเขียนในดวงใจ

“ถ้าอย่างนั้นโน๊ตบุ๊กที่จันทร์เคยเห็น ก็คือโน๊ตบุ๊กของพี่พีน่ะสิ”
“อื้ม ของพี่เอง”

“แล้ว.. พี่พีเอามาจากไหนเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะเจ้าตัวกำลังอยากรู้ว่าตอนที่ตนเองหลับใหล คุณนักเขียนได้เดินทางไปที่ไหนบ้างหรือเปล่า
“ไอ้ชลซื้อมาให้น่ะ” คำตอบของคุณนักเขียน ดูเหมือนจะทำให้จันทร์แน่นิ่งไป ซึ่งผมคาดเดาเอาเองว่าจันทร์คงจะเริ่มระแคะระคายถึงการกระทำบางอย่างของลูกพี่ลูกน้องตัวเองเข้าให้แล้ว เพราะแต่ก่อนแม้แต่เทียนสักเล่มคุณชลวิทย์ก็ยังไม่ยอมหาซื้อมาให้ มิหนำซ้ำยังกล่าวอ้างว่าเทียนมันแพงอีกต่างหาก แต่กับอัตลักษณ์อื่น เขากลับอำนวยความสะดวกเสียอย่างดิบดี ฉะนั้นการหาสูตรขนมมาให้จึงไม่สามารถชักนำให้จันทร์หันกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเองในมุมเดิมๆ เนื่องจากเวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนได้ดูคลิปวีดิโอแนะนำตัวของกรวินท์ไปแล้ว
ผมจึงคิดว่าจันทร์น่าจะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ซึ่งมันก็ทำให้ผมที่กำลังนั่งดูสถานการณ์ดังกล่าว พาลจะเป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายไปด้วย

“เอ่อ.. จันทร์ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ คือว่าทำไมก่อนหน้านี้จันทร์ถึงไม่เคยรับรู้เลยว่าพี่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์”
“เพราะจันทร์ยังไม่สมควรจะรู้ พี่ก็เลยคิดเอาเองว่าพี่ควรจะรอให้จันทร์มีความพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องนี้ก่อน หรือไม่ก็อาจจะรอให้มันถึงเวลาอันสมควร พี่ถึงค่อยแสดงตัว” คุณพีรวัตรอธิบายด้วยท่าทีราวกับพี่ชายที่กำลังพูดคุยกับน้องชายอย่างอบอุ่น

“ถ้าอย่างนั้นพี่พีพอจะบอกจันทร์ได้ไหมครับว่าอีกด้านหนึ่งของจันทร์มีอยู่กี่คน ?”
“เท่าที่พี่รู้มีอยู่ 4 คน” สิ้นคำตอบของคุณนักเขียนท่าทางของจันทร์ก็เหมือนกับคนที่กำลังใช้ความคิดอีกครั้ง
มันจึงทำให้ผมทราบว่า..
เวลานี้คนที่กำลังออกมาควบคุมสติก็คือจันทร์ตัวจริง

“หมอครับ เมื่อกี้พี่พีบอกกับผมว่าพี่เขาเริ่มจะพูดมากไปแล้วก็เลยจะยกหน้าที่ต่อจากนี้ให้หมอ” จันทร์บอกกับด็อกเตอร์ด้วยท่าทีที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่น ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ดีว่าคำพูดของคุณนักเขียน คงจะทำให้เขานึกสงสัย และคำตอบก่อนที่จะหลับไปคงจะเรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเวลาในการปรึกษากลับหมดลงเสียก่อน
ความสงสัยของเจ้าหนูจำไมจึงต้องพับเก็บเอาไว้ในใจ
และคนที่จะรับมือกับจันทร์ในภาพลักษณ์ดังกล่าว ก็คงจะหนีไม่พ้นผมคนนี้นี่แหละ


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้กลับมาสั้นเหมือนเดิมแล้วจ้า 555 เห็นมีคนวิเคราะห์ยาวมากกกกก แต่ก็มีความเฉียดฉิว จริงๆ มันน่าจะเดาได้แล้ว เหลือแค่สถานการณ์เป็นยังไง 5555 ส่วนตอนนี้เหมือนจะเป็นตอนที่เน้นให้เห็นว่าแต่ละอัตลักษณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยที่ในส่วนนี้ก็เราอ้างอิงจากหนังสือที่เราซื้อมาเหมือนเคย ฉะนั้นความน่าเหลือเชื่อมียังไง เรายึดตามนั้นเลย ซึ่งมันก็จะคล้ายๆ กับในหนังนี่แหละ เพราะว่าตัวเอกที่เป็นโรคนี้ ก็จะมีการพูดคุยตอบโต้กับอีกบุคลิกนึงเหมือนกัน ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่าช่องว่างตรงที่จันทร์จำอะไรไม่ได้เลย มันจะมีอัตลักษณ์ใหม่เกิดขึ้นมาหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ และสาเหตุที่น้องลีรู้สึกผิดมันคืออะไร แต่ตอนนี้คงต้องเอาใจช่วยจันทร์ไปก่อน เพราะว่าน้องเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับคุณชลวิทย์แล้ว บวกกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่มันทำให้จันทร์ผิดหวังในตัวพี่ชายมากพอสมควร
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 32 ❀ หน้า 3 (update 03/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 03-07-2018 18:17:06
ตอน 32

หลังจากจันทร์ออกจากห้องบำบัดทางจิตวิทยาการปรึกษาในวันนั้น อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าของเจ้าหนูจำไมให้ต้องคอยรับมือลำบากแต่อย่างใด เห็นจะมีก็แต่คำร้องขอที่ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนัก เพราะสิ่งที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนต้องการ มีเพียงสมุดบันทึกหนึ่งเล่ม
ดังนั้นหลังเลิกงานผมจึงกลับบ้าน เพื่อไปเอาสมุดบันทึกที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นเมื่อนานมาแล้ว โดยลวดลายของสมุดเล่มดังกล่าว บังเอิญเป็นภาพวาดของเส้นทางอันคดเคี้ยวที่อยู่ท่ามกลางป่าสนในยามค่ำคืน เพียงแต่ความหนาทึบของมันไม่อาจเทียบเท่ากับเส้นทางเดินรถที่มุ่งตรงไปสู่บ้านหลังสีน้ำตาลของจันทร์แต่อย่างใด หากแต่ท้องฟ้าของภาพวาดบนหน้าปกสมุดเล่มนี้ กลับดูสดใสไร้ความวังเวง เพียงเพราะบนนั้นเต็มไปด้วยแสงสีเขียวอ่อนของแสงเหนืออันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

“สมุดของพี่ภัทรสวยจังครับ จันทร์แทบไม่กล้าใช้เลย” ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นการออกแบบของสมุดบันทึกที่แม้แต่ผมก็ยังไม่กล้าใช้ เพราะข้างในไม่ใช่เนื้อกระดาษทั่วๆ ไป แต่ดันเป็นภาพวาดที่เรียงร้อยเรื่องราวเชื่อมโยงกับภาพตรงหน้าปก จึงเป็นเหตุที่ให้สมุดเล่มนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้จนกระทั่งตกทอดมาถึงจันทร์
“…” ส่วนผมก็นั่งท้าวค้างมองเจ้าของสมุดบันทึกคนใหม่ พลางหัวเราะในลำคอกับคำทัดทานนั้น โดยมีเทียนหอมกลิ่นวาเวนเดอร์คอยให้ความสว่างอยู่บนโต๊ะตรงข้างหน้าต่าง เพื่อที่ผมจะได้ปิดไฟดวงใหญ่ตรงกลางห้องพักผู้ป่วยพิเศษในยามค่ำคืน
เนื่องจากว่าหากคืนไหนจันทร์มีโอกาสออกมาใช้ชีวิต คืนนั้นจะไม่สามารถปิดไฟนอนได้

“ตอนซื้อสมุดเล่มนี้เหมือนกับรู้ล่วงหน้าเลยว่าพี่กับจันทร์จะได้มารู้จักกัน” ผมกล่าวพลางมองจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายที่สะท้อนกับแสงเทียนสีเหลืองนวลด้วยสายตาแน่วแน่
“…” จันทร์ย่นจมูกเพียงเล็กน้อยแล้วก็ยกยิ้มจนตาปิดขณะที่ข้างแก้มก็บุ๋มลงไปเพียงนิด

“ถ้าหากจันทร์หายป่วยเมื่อไหร่ พี่จะเลิกอ้างถึงดอกเนโมฟีลากับผึ้ง” หลังจากความเงียบเริ่มโรยตัวเข้ามาเรื่อยๆ เพราะใครบางคนกำลังให้ความสนใจกับสมุดเล่มดังกล่าว ผมจึงถือโอกาสพูดในเรื่องที่อยากพูดมานานแล้ว
“ทำไมพี่ภัทรต้องรอให้จันทร์หายป่วยก่อนล่ะครับ ?” คนตรงหน้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากการกระทำของเราต่างก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว
ดังนั้นคำพูดอันตรงไปตรงมาก็ไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่

“พี่แค่อยากให้เราสองคนมีเป้าหมายเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกท้อถอยเรื่องการรักษา” ผมอธิบายพลางกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่าย
“แล้วพี่ภัทรคิดว่ามันต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อยเท่าไหร่เหรอครับ ?”

“สองปี” ผมตอบเผื่อๆ ไว้ เพราะเคสของคุณบิลลี ดูเหมือนจะใช้เวลาหลอมรวมเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่มันยังเป็นการหลอมรวมที่ไม่สมบูรณ์นัก เพราะถ้าหากอัตลักษณ์หลักมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจเมื่อไหร่ อัตลักษณ์ของเขาก็จะเกิดการแตกแยกออกมาอีกครั้ง และทางทีมรักษาก็จะต้องทำการหลอมรวมใหม่ด้วยความยากลำบาก
“แค่สองปีเองครับ ไม่นานหรอก” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มแฉ่ง ทำเอาผมต้องเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ที่จู่ๆ คนป่วยก็ดันมาปลอบใจคนรักษาเข้าให้เสียนี่

“ว่าแต่จันทร์จะเอาสมุดบันทึกมาเขียนอะไรเหรอ ?”
“จันทร์จะเอามาเรียงไทม์ไลน์ความทรงจำของตัวเองครับ” จันทร์ตอบพลางเลื่อนมือออกห่างจากสัมผัสของผม เพื่อที่เจ้าตัวจะได้เปิดสมุดบันทึกหน้าแรก พร้อมกับหยิบดินสอขึ้นมาจับอย่างทะมัดทะแมง

“ก่อนหน้านี้คุณหมอบอกกับจันทร์ว่า.. จันทร์จะต้องค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ทีละนิด”
“แล้วจันทร์จะบันทึกยังไงล่ะ ?” ผมเอ่ยถามด้วยความสนใจ เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีนี้ในการเรียบเรียงข้อมูล

“จันทร์จะแบ่งพื้นที่เขียนปีละหนึ่งหน้า แต่ว่าจะต้องแยกความทรงจำของแต่ละคนให้เป็นสัดส่วน จะได้ไม่สับสน”
“ถ้าอย่างนั้นสมุดเล่มนี้ พี่ขออ่านด้วยได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามพลางขออนุญาตไปในตัว

“สมุดเล่มนี้ไม่ใช่สูตรอาหาร เพราะฉะนั้นจันทร์ไม่กลัวพี่ภัทรขโมยหรอก” จันทร์อนุญาตพลางกลั้วหัวเราะจนผมอดจะหัวเราะตามไม่ได้ จากนั้นภายในห้องก็เริ่มเงียบสงบ เพราะจันทร์กำลังตั้งอกตั้งใจเรียบเรียงความทรงจำที่ไม่ประติดประต่อกัน
ผมจึงถือโอกาสนั้น นั่งมองใบหน้าของใครบางคนที่กำลังฉายแววมุ่งมั่นอย่างหลงใหล
 
“พี่ภัทรกำลังทำให้จันทร์เสียสมาธิ” เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่สุดท้ายคนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาก็อดรนทนไม่ไหวเลยต้องเอ่ยแกมดุให้ผมรู้สึกตัว
“โทษที พี่ลืมตัวไปหน่อย” ผมกล่าวพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้และยีศีรษะของอีกฝ่ายเป็นการทิ้งท้าย จากนั้นก็พาตัวเองมานอนแผ่อยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคย
จนกระทั่งเคลิ้มจะหลับ
จู่ๆ ก็ถูกใครบางคนปลุกให้ตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง

“จันทร์ขอนอนด้วย” สิ้นคำขออนุญาตที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ผมก็รีบขยับตัวเข้าชิดพนักพิงโซฟาเพื่อแบ่งพื้นที่ให้อีกฝ่ายได้หนุนนอน จากนั้นวงแขนก็วาดขึ้นโอบรอบตัวของคนในความดูแลอย่างคุ้นชิน ขณะที่ปลายจมูกก็วางแหมะอยู่เหนือศีรษะของคนในอ้อมแขน ก่อนจะเผลอสูดกลิ่นหอมของแชมพูเข้าไปจนเต็มปอด ส่งผลให้ความเพลิดเพลินเริ่มเชิญชวนให้เผลอก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา เพราะในวันนี้ผมเองก็ตรากตรำทำงานมาทั้งวัน ยิ่งมีหมอนข้างประจำตัวมาให้นอนกอดอยู่แบบนี้ก็ยิ่งทำให้การหลับใหลดูท่าจะสุขสบายกว่าหลายๆ คืนที่ผ่านมา
เนื่องจากว่า..
ช่วงเวลาแบบนี้ ทุกๆ อัตลักษณ์มักจะพากันแย่งชิงไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่ภัทร” คนที่ผมใข้นอนกอดแทนหมอนข้างขยับตัวยุกยิกอยู่ครู่หนึ่ง จนทำให้ผมที่กำลังเคลิ้มจะหลับจำต้องตื่นขึ้นมาใส่ใจ
“…”

“หลับหรือยังครับ ?”
“ยัง” ผมส่งเสียงงึมงำในลำคอ ขณะที่สายตาก็ยังคงปิดสนิทบ่งบอกได้ดีว่ากำลังง่วงนอนมากแค่ไหน

“จันทร์อยากคุยกับพี่ชลให้แน่ใจว่าจันทร์ไม่ได้คิดไปเอง” สิ้นคำพูดของอีกฝ่ายทำให้อาการง่วงเหงาหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะประโยคดังกล่าว ทำให้ผมเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วล่ะว่า..
ท่าทีนิ่งเงียบของอีกฝ่าย
ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่ได้ทำหน้าที่ของ ‘เจ้าหนูจำไม’ แต่อย่างใด

“แต่นี่มันสามทุ่มแล้วนะ พี่ว่าพี่ชลน่าจะเข้านอนแล้ว” ผมเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่ใต้หมอนเพื่อดูเวลา จากนั้นก็บอกอีกฝ่ายให้เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าคุณชลวิทย์จะเข้านอนเร็วมาก
“แต่จันทร์ไม่อยากคิดไปเองอีกแล้ว” จันทร์พลิกตัวหันหน้าเข้าหาผม จากนั้นก็บอกกล่าวเหตุผลที่มันฟังขึ้น หากแต่ความคิดไปเองของจันทร์ ผมมั่นใจว่าจะต้องตรงกับความเป็นจริงอย่างแน่นอน เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ของกรวินท์ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไรกับคุณชลวิทย์  อีกทั้งเหตุการณ์ก่อนที่เจ้าตัวจะต้องย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลก็เชื่อมโยงกับข้อมูลที่ ‘กร’ ให้การไว้ มิหนำซ้ำเหตุการณ์ที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือก็ยังเสริมข้อสันนิษฐานได้ดี

เวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน จึงต้องการจะยืนยันความเป็นจริงว่าสิ่งที่ตนตั้งข้อสมมุติฐานไว้ มันเป็นยังไงกันแน่ คำร้องขอและท่าทีของอีกฝ่าย ทำให้ผมทราบว่าถึงแม้คุณชลวิทย์จะเผลอล่วงเกินเจ้าตัวโดยไม่ตั้งใจ แต่ลึกๆ จันทร์ก็ยังคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เจ้าตัวเลยไม่เคยพูดถึงเรื่องราวในวันนั้นอย่างจริงๆ จังๆ นอกเสียจากพูดถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม
ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ ‘แฟลชแบ็ค’ ของเหตุการณ์ดังกล่าว

“เดี๋ยวพี่จะลองโทรเช็คกับไอ้บาสก่อนแล้วกัน เพราะช่วงนี้มันไปนอนเป็นเพื่อนพี่ชล แต่ถ้าผลออกมาว่าพี่ชลนอนแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยโทรหาพี่ชลอีกทีนะจันทร์” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจจะให้จันทร์เผชิญหน้ากับความจริง
เพราะผมเกรงว่าหากยังทำเป็นปกปิด
จันทร์อาจจะเตลิดและไว้วางใจในตัวผู้อื่นได้ยากเย็นกว่าเดิม

หลังจากนั้นผมก็เจรจากับไอ้บาสผ่านทางโทรศัพท์มือถือครู่ใหญ่ จึงได้ความว่าช่วงนี้คุณชลวิทย์นอนไม่ค่อยหลับ และยังไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ ผมจึงเริ่มลังเลว่าจะให้จันทร์พูดคุยกับอีกฝ่ายดีหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของผมจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อคุณชลวิทย์ออกมาได้ยินไอ้บาสคุยโทรศัพท์กับผมแล้ว
และเขาก็มีความประสงค์จะพูดคุยกับจันทร์
จึงทำให้ ณ เวลานี้ เจ้าของบ้านกลางป่าสนคนน้องสมความปรารถนาได้เสียที

“พี่ชล” ทันทีที่ผมส่งโทรศัพท์มือถือไปให้จันทร์ อีกฝ่ายก็รีบร้องเรียกพี่ชายที่อยู่ในบ้านกลางป่าสนด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว คงเพราะในใจของเจ้าตัวนึกหวาดกลัวคำตอบที่กำลังจะได้รับอยู่ไม่น้อย
(อื้อ) ไม่นานสุ้มเสียงตอบรับในลำคอของคุณชลวิทย์ก็ดังเล็ดลอดมาตามสาย เพราะเวลานี้ผมอยู่ใกล้กับจันทร์เพียงแค่ลมหายใจลอดผ่าน จึงได้ยินบทสนทนาดังกล่าวอย่างชัดเจน

“จันทร์รู้เรื่องที่ตัวเองป่วยเป็นโรคหลายอัตลักษณ์แล้วนะครับ”
(…)

“แม้มันจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็ตาม แต่จันทร์ก็เข้าใจดีว่ามันคือความจริงที่จันทร์หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจันทร์ก็รู้เรื่องของพี่ชลกับพี่กรที่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์แล้ว” สิ้นคำพูดท้ายประโยคของคนในอ้อมแขน ก็ทำเอาจังหวะการหายใจของผมเริ่มจะติดขัด
(…) ขณะที่ทางฝั่งคุณชลวิทย์ ผมยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของการเคลื่อนไหวใดๆ ผมเลยคาดว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้ คงจะเป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมาก

“เราสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไม่ใช่เหรอครับ ทำไมพี่ชลถึงเลือกจะฉวยโอกาสกับจันทร์ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ผมก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่แค่น้ำเสียงของเขาเท่านั้นที่กำลังสั่นไหว เพราะความเปียกชื้นตรงบริเวณเสื้อของผม
มันบ่งบอกได้ดีว่า..
ความสั่นไหวดังกล่าวกำลังสั่นสะเทือนมาจนถึง ‘หัวใจ’

(พี่..) คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับเขานึกคำพูดอธิบายใดๆ ไม่ออก ด้วยเพราะการกระทำในช่วงเวลาที่ผ่านมามีแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น

“จันทร์รู้ว่าความใกล้ชิดกับความรักมันเป็นของคู่กัน แต่ในใจลึกๆ มันก็คอยแต่จะประท้วง เพราะถึงยังไง พี่กรก็คือจันทร์” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพลางสะอึกสะอื้น คล้ายกับในหัวกำลังเรียบเรียงสถานการณ์ต่างๆ ไปล่วงหน้ากว่าคำพูด ผมจึงต้องโอบกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
(…)

“แต่พี่ชลก็ยังพยายามจะบิดเบือนความเป็นจริงในข้อนี้ด้วยการทำร้ายจันทร์” สิ้นคำพูดของคนในอ้อมแขนอาการสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารก็ตามมาอีกระลอก ซึ่งมันทำให้ผมปวดใจตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาจันทร์ต้องทนอยู่กับความคิดที่ว่า ไม่สามารถเชื่อใจใครได้ แต่สุดท้ายก็ดันมาถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง
(…)

“อธิบายออกมาสิครับ ทำไมพี่ชลถึงไม่เถียงออกมาว่าจันทร์คิดไปเอง พี่ชลเงียบทำไม จันทร์ไม่ได้อยากได้ความเงียบเป็นคำตอบ พี่ชลอย่าทำแบบนี้กับจันทร์สิ เราสองคนโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ พี่ชลรักจันทร์ คอยดูแลจันทร์เป็นอย่างดีมาตลอดไม่ใช่เหรอ ?” จันทร์กล่าวพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวด เพราะความเป็นจริงกำลังบอกผ่านความเงียบสงัดจากปลายสาย ผมจึงได้แต่โอบกอดเขาให้แน่นกว่าเดิม พร้อมกับจุมพิตเรือนผมนุ่มซ้ำๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าบนโลกนี้ยังมีใครอีกหนึ่งคนที่ต้องการเจ้าตัวอยู่
(จันทร์.. พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แรกๆ พี่เข้าใจว่าความรู้สึกของพี่ที่มีให้จันทร์ มันไม่ได้เปลี่ยนไป แต่พอนานวันเข้าพี่ก็เริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกในตอนนั้น มันอยู่ในจุดที่พี่ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้) คุณชลวิทย์กล่าวพลางสะอึกสะอื้นไม่แพ้จันทร์ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเป็นกังวลไม่น้อย เพราะช่วงนี้อาการของเขาไม่ค่อยจะดีนัก

(พี่พยายามปฏิเสธ พยายามจะหลีกหนีแล้วจริงๆ แต่ว่าทุกครั้งที่พี่ทำแบบนั้น จันทร์ก็มักจะทำร้ายทำตัวเองตลอด และวิธีการที่ใช้มันก็เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้พี่นึกกลัว เพราะพี่ไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีก)
“…”

(หลังจากนั้นพี่เลยรู้ว่าจันทร์ไม่สบาย และคนที่พี่ชอบก็ไม่ใช่จันทร์อย่างที่พี่เข้าใจ ทำให้พี่ยิ่งสับสนและกดดัน เพราะว่า ‘กร’ มักจะรู้สึกว่างเปล่าอยู่ตลอด พอพี่เห็นเขามีความสุข มีความฝัน มีความสดใส พี่ก็เลยเผลอเห็นแก่ตัวกับจันทร์..)
“แล้วความสุขของจันทร์ล่ะครับ มันไม่จำเป็นเลยใช่ไหม เพราะไหนๆ พี่ชลก็คิดจะกำจัดจันทร์อยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงแรกๆ พี่ชลยังหาวิธีไม่ได้ พี่ชลก็เลยทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาตลอด แต่พอพี่ชลรู้ว่าจันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์กับความมืด พี่ชลก็เอามันมาทำร้ายจันทร์ พี่ชลเห็นแก่ตัว จันทร์ควรจะเกลียดพี่ชล แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย” จันทร์พูดจาใส่อารมณ์แบบเด็กเอาแต่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขากลับเจ็บปวดรวดร้าวอย่างถึงที่สุด
เพียงเพราะสาเหตุที่ว่า..
คนที่เคยไว้ใจกลับใจร้ายที่สุด 

(พี่ขอโทษนะจันทร์ พี่ขอโทษจริงๆ พี่ละอายใจ ที่สุดท้ายแล้ว พี่ก็ทำตัวไม่ต่างกับอาโชค) คุณชลวิทย์กล่าวประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา พร้อมทั้งสะอึกสะอื้นจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ทำเอาไอ้บาสต้องเป็นฝ่ายขอยุติบทสนทนาดังกล่าว
จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
และผมก็นอนไม่หลับตลอดคืน

พูดตามตรงว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ผมก็เอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับชื่อเสียงเรียงนามของชายปริศนา รวมถึงความรู้สึกหวาดกลัวว่าจันทร์จะตัดสินใจหนีปัญหาแบบเดิมๆ อีก เพราะท่าทีของเขาดูเหม่อลอยเสียจนผมยังอดห่วงไม่ได้
และจันทร์ก็เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว
ซึ่งมันทำให้ผมนอนไม่หลับและความเครียดก็เริ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง

“หลายวันมานี้คุณดูแปลกๆ นะ” คุณนักเขียนกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบในยามค่ำคืนของโรงพยาบาล ทำเอาผมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์จำต้องหันกลับมาสนใจคนพูด แทนที่จะมองออกไปยังนอกหน้าต่างเหมือนอย่างเคย
“แปลกยังไงเหรอครับ ?” ผมย้อนถามพลางอมยิ้มนิดๆ แม้มันจะยิ้มยากไปสักหน่อยก็เถอะ

“ก็แปลกตรงที่คุณดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ในใจตลอดเวลา” คุณพีรวัตรเฉลยพร้อมทั้งหยุดการระรัวปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด
“ให้ตายเถอะ คุณนี่ช่างสังเกตจริงๆ” ผมบ่นอุบพลางลูบหน้าลูบตาของตัวเอง เพื่อหวังจะให้ความสดชื่นหวนคืนกลับมาบ้าง

“แน่นอน ก็ผมเป็นนักเขียน” เจ้าของนามปากกาอนธการกล่าวพลางกอดอกอย่างอวดดี แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าท่าทางของอีกฝ่ายมันน่าหมั่นไส้แต่อย่างใด
“ครับๆ คุณนักเขียนผู้รอบรู้และช่างสังเกต” ผมเอ่ยแกมหยอกเย้า ทำเอาคนที่กำลังเก๊กหน้าขรึมเมื่อครู่ ถึงกับเก๊กแตกขึ้นมาทันที เล่นเอาผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

“เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะเลิกพิมพ์นิยายแล้ว ส่วนคุณก็รีบไปนอนพักและหยุดคิดอะไรที่มันชวนปวดหัวและยุ่งเหยิงใจไปก่อน” คุณพีรวัตรเอ่ยประโยคดังกล่าวได้เพียงไม่นาน เสียงชัตดาวน์อุปกรณ์เทคโนโลยีตรงหน้าก็ดังตามมาติดๆ จากนั้นคนป่วยก็ถือโอกาสฉุดกระชากลากผมให้ไปนอนปักหลักอยู่บนโซฟาอย่างยากลำบาก เพราะผมแกล้งดื้อรั้นใส่เขาเล็กน้อย เล่นเอาคนสุภาพแทบจะควันออกหู
“ตกลงว่าใครกันแน่ที่ป่วย ทำไมคุณถึงรีบไล่ผมไปนอนเร็วนัก ?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังยืนท้าวเอวพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ก็ถ้าหากคุณยังเอาแต่คิดมากทั้งคืน ต่อไปมันจะกลายเป็นคุณกับผมที่ป่วย เพียงแต่คุณจะป่วยเพราะโดนหวัดเล่นงานนี่แหละ” คุณนักเขียนกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นเขาก็รีบเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสำหรับผู้ป่วยพิเศษ
ขณะที่ผมก็นอนหลับตาซึมซับความเงียบสงบที่เกิดขึ้น
และในหัวก็ยังครุ่นคิดกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้น่าจะทำให้คนที่ยังงงๆ เกี่ยวกับการ 'ยื้อ' ของคุณชลวิทย์กระจ่างเพิ่มขึ้นนะคะ จริงๆ มันเฉลยไปตั้งแต่ตอนที่คุณชลวิทย์มีอะไรกับกร ตอนที่พี่หมอมาเห็นแล้วล่ะ เพราะว่าในตอนนั้นทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ว่าความรู้สึกของคุณชลวิทย์ที่มีให้กับกร มันคือความรู้สึกแบบไหน ฉะนั้นการยื้อที่เคยกล่าวไป มันคือการยื้อกรไว้ ไม่ใช่ยื้อจันทร์ ดังนั้นการชักนำพี่หมอเข้ามาในบ้านก็คือการยื้อกร เพราะว่าชลคิดว่าพี่หมอจะสามารถช่วยตัวเองได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่โหดร้ายสำหรับจันทร์ตัวจริงๆ แบบสุดๆ  พี่หมอถึงได้กลัวว่าน้องจะใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ แต่ในมุมมองของคุณชลวิทย์ มันเหมือนกับเขาก็รักก็ห่วงของเขาแบบเดิม แต่ว่าจู่ๆ มันกลายเป็นความรักต้องห้ามได้ยังไง ก็ไม่ทันรู้ตัว จากนั้นความเห็นแก่ตัวก็ตามมา ซึ่งการกระทำแบบนี้ของคุณชลวิทย์ มันก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า 'ความรักทำให้คนตาบอด' นั่นแหละค่ะ
ปล. ตั้งแต่ตอนหน้า คิดว่าน่าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงเฉลยปมแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 32 ❀ หน้า 3 (update 03/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 04-07-2018 02:41:49
เริ่มคลายคลี่
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 34 ❀ หน้า 3 (update 25/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 06-07-2018 00:34:53
ตอน 33

จากคำพูดของคุณชลวิทย์ในวันนั้น ทำให้ผมตีความได้ว่า ‘อาโชค’ ที่อีกฝ่ายพูดถึง น่าจะเป็นบุคคลต้นเหตุของความทรงจำอันเลวร้ายที่เป็นเหตุให้สองพี่น้องจากสะเมิง ต้องระหกระเหินเพื่อมาแอบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านกลางป่าสน ซึ่งการเดินทางมายังพื้นที่ต่างอำเภอและยังมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแบบนี้
เป็นไปได้ว่า..
ทั้งสองคนอาจได้รับความช่วยเหลือจากใครสักคน 

ซึ่งข้อมูลนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน เราจึงยังไม่สามารถหาคำตอบใดๆ ได้ เนื่องจากแต่ละอัตลักษณ์ต่างพากันหนีหน้าเพราะเหตุผลส่วนตัว เช่น ‘กร’ หายหน้าหายตาไป เพราะยังยอมรับความเป็นจริงไม่ได้ อีกทั้งยังถูกคุณพีรวัตรสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวที ส่วน ‘ลียากร’ หลังจากพูดถึงเงื่อนงำบางอย่าง เธอก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวที่จะต้องนึกย้อนไปถึงปมเลวร้ายในอดีต เธอจึงเลือกจะอยู่เงียบๆ ในมุมของเธอ ขณะที่ ‘จิม’ ก็ตัดสินใจหลับใหลมานานหลายปีแล้ว
ดังนั้นช่วงเวลา ‘ไพรม์ไทม์’  ที่ผมเคยพูดถึง
จึงกลายเป็นช่วงเวลาของ ‘คุณพีรวัตร’ กับ ‘จันทร์’

“เดี๋ยวพี่ขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสักพักนึงนะ” ผมบอกกับจันทร์ที่วันนี้ไม่ได้เอาแต่นั่งเหม่อเหมือนหลายๆ วันที่ผ่านมา ดังนั้นสมุดบันทึกที่ผมเอามาให้ จึงถูกหยิบขึ้นมาใช้งานอีกครั้ง และผมก็คาดว่าการกระทำของอีกฝ่าย คงจะเป็นผลพวงมาจากการบำบัดทางจิตวิทยา
“ครับ” สิ้นคำอนุญาตผมก็รีบเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยพิเศษ พร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยที่จู่ๆ ไอ้บาสก็ส่งไลน์มาบอกให้รีบโทรกลับด่วน
มิหนำซ้ำมันยังคอยย้ำนักย้ำหนาให้ผมออกมาคุยธุระข้างนอก
 
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ไอ้ญาติผู้น้องบอกเล่าข่าวสารบางอย่าง ลำคอของผมกลับแห้งผากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากผมไม่คาดคิดว่าคุณชลวิทย์จะเลือกทางออกแบบนี้ 
และมันก็ทำให้ผมยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม
เพราะผมไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับจันทร์อย่างไรดี

กระทั่งผมวางสายจากญาติผู้น้องที่อยู่ที่บ้านกลางป่าสนแล้ว ผมก็รีบโทรไปบอกข่าวสารดังกล่าวที่น่าจะกระทบต่อการรักษากับ ดร. อาทิตย์ จากนั้นผมก็นั่งปักหลักอยู่ตรงที่เดิมเป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งเริ่มจะรู้สึกตัวว่าผมออกมาคุยโทรศัพท์ข้างนอกเป็นเวลานานเกินไป ผมจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
และอาจจะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่คาดว่าจะรับมือได้ยาก

“จะนอนแล้วเหรอจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามคนที่กำลังนำสมุดบันทึกที่มีลวดลายของป่าสน วางไว้บนชั้นเล็กๆ แบบบิวท์อินที่ยื่นออกมาจากกำแพงตรงข้างเตียง 
“ครับ แล้วพี่ภัทรยังไม่ง่วงเหรอ ?” จันทร์ย้อนถามพร้อมกับเดินเข้ามาหาผมที่ย้ายตัวเองมานั่งปักหลักอยู่บนโซฟาอันเป็นที่นอนที่แสนคุ้นเคย

“ก็นิดนึง” ผมตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงนอน โดยเหลือพื้นที่ว่างข้างๆ ตัวไว้ให้จันทร์ได้ซุกนอนเหมือนทุกครั้ง
“จันทร์รู้ว่าจันทร์ทำให้พี่ภัทรเป็นห่วง” อีกฝ่ายกล่าวพร้อมกับยึดท่อนแขนของผมเป็นหมอนหนุน ขณะที่ผมก็ได้แต่ย่นจมูกใส่คนตรงหน้าที่ทำเป็นออดอ้อนหลังจากปล่อยให้ผมเป็นกังวลจนเครียดชิบหาย

“คุณหมอบอกกับจันทร์ว่าทุกๆ คนไม่มีใครเพอร์เฟคไปหมดทุกด้าน และเราก็ไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรกับพวกเขาได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือการทำใจยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น รวมถึงยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จันทร์ก็เลยเข้าใจความรู้สึกของพี่ชลและพยายามทำตามคำแนะนำของคุณหมอ แต่ยังไงความเป็นจริงพวกนั้นก็ทำให้จันทร์เจ็บปวดมากอยู่ดี” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง พร้อมขยับใบหน้าเข้ามาชิดใกล้กับใบหน้าผม ราวกับเจ้าตัวต้องการให้ผมปลอบใจ
“พี่เข้าใจความรู้สึกของจันทร์ว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่พี่อยากเล่าถึงอีกมุมมองหนึ่งให้จันทร์ฟัง เผื่อมันจะช่วยให้ความเจ็บปวดที่จันทร์เคยมีเบาบางลงได้” ผมกล่าวพร้อมโอบกอดอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ขณะที่น้ำเสียงก็ต้องปรับระดับให้อ่อนโยนมากที่สุด

“จันทร์พอจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น พี่ก็ไม่ได้ทิ้งจันทร์เหมือนอย่างที่จันทร์เข้าใจ”
“ครับ”

“กับเรื่องของพี่ชลก็เหมือนกัน”
“…”

“จริงอยู่ว่าสิ่งที่พี่เขาทำเป็นเรื่องที่ผิดกับจันทร์ แต่หลังจากที่พี่ชลรู้ตัวว่าการกระทำของเขาทำให้จันทร์เจ็บปวด เขาก็เลือกจบความสัมพันธ์กับกรที่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์ นอกจากนี้เขายังพยายามจะพูดให้กรเข้าใจและยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นให้ได้ ดังนั้นเจตนาของพี่ชลก็คือความห่วงใยที่มีให้จันทร์ แม้มันจะไม่สามารถทดแทนสิ่งที่พี่เขาทำลงไปได้ แต่อย่างน้อยความห่วงใยเหล่านั้นก็คือเรื่องจริง” ผมพยายามจะบอกเล่ามุมมองอีกด้านหนึ่งของคุณชลวิทย์ให้จันทร์รับรู้ เพื่อที่ความรู้สึกอันย่ำแย่ของอีกฝ่ายจะได้เบาบางลง ซึ่งคำบอกเล่าเหล่านั้นไม่ใช่คำแก้ต่างแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าของบ้านกลางป่าสนคนพี่ได้กระทำ ก็ยังเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคุณชลวิทย์ยังมีด้านดีๆ ในสถานะของ ‘พี่ชาย’ หลงเหลืออยู่บ้าง แม้มันจะสายเกินแก้ไปแล้วก็ตาม แต่การที่เขาปล่อยมือจาก ‘กร’ บุคคลที่เขารัก เพื่อยื้อ ‘จันทร์’ ตัวจริงไว้ ทำให้ผมมองเห็นด้านดีๆ ที่ว่านี้ได้ชัดเจนขึ้น ยิ่งมาทราบว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเพราะการกระทำของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้ผมเห็นใจและคิดว่าการปล่อยวางคือทางออกที่ดีที่สุด เพราะการที่คนทำผิดรู้จักยอมรับผิด เราก็ไม่จำเป็นต้องไปกระหน่ำซ้ำเติมอะไร เพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็ได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดของตัวเองไปแล้ว
“อีกอย่าง.. จันทร์ก็รู้ใช่ไหมว่าการตัดสินใจถอยออกมาจากความรู้สึกที่อยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘การถลำลึก’ มันเป็นอะไรที่ทำได้ยากมากๆ”

“อื้อ” จันทร์ส่งเสียงตอบอู้อี้ในลำคอ เพราะเวลานี้อีกฝ่ายกำลังร่ำไห้อยู่เงียบๆ
“ถ้าหากพี่ชลไม่รักจันทร์แล้ว ‘การถอย’ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้” ผมกล่าวพลางหลับตาและกอดจันทร์ไว้ เพราะอีกไม่นานคำพูดปลอบใจของผม
จะต้องกลายเป็นคำพูดที่ทำให้จันทร์ร้องไห้หนักกว่าเดิม

“…”
“และตอนนี้.. พี่ชลก็คงจะเฝ้ามองและเป็นกำลังใจให้จันทร์อยู่บนฟ้า” สิ้นคำบอกกล่าวราวกับคำเปรียบเปรยของผม ทุกสรรพสิ่งรอบกายก็พากันเงียบงัน จนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน อีกทั้งอาการนิ่งเงียบของจันทร์
ก็ยิ่งทำให้ผมนึกกลัวว่า..
จันทร์ดวงนี้จะค่อยๆ กลายเป็นดวงจันทร์ที่กำลังหม่นแสง

“พี่ภัทรหมายถึง..” จันทร์กล่าวได้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไป คล้ายกับจู่ๆ ก็นึกหวาดกลัวที่จะพูดคำบางคำออกมา
“…” ผมจึงได้แต่ลูบหัวปลอบใจอีกฝ่าย โดยไม่มีคำใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมา เพราะการบอกข่าวร้ายกับคนในอ้อมแขน เป็นอะไรที่ผมทำใจได้ยากมากๆ

“สาเหตุที่พี่ชลต้องไปอยู่บนนั้น เป็นเพราะคำพูดของจันทร์ หรือเป็นเพราะอุบัติเหตุกันแน่ ?” จันทร์เอ่ยถามเสียงแผ่วหากแต่น้ำตากลับไหลริน
เนื่องจาก ‘ข่าวร้าย’ ดังกล่าว เป็นข่าวคราวที่เจ้าตัวไม่อยากได้ยิน

“มันเป็นการตัดสินใจของพี่ชลเอง” สิ้นคำบอกกล่าวของผมเสียงสะอื้นไห้ราวกับขาดใจของจันทร์ก็ดังระงมไปทั่วห้อง เพราะประโยคดังกล่าวแปลความหมายได้ว่าคุณชลวิทย์เลือกจะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการ ‘ฆ่าตัวตาย’
ซึ่งการกระทำของเขาก็มาจากความต้องการจะหลุดพ้นจากความรู้สึกอันย่ำแย่
ที่มีผลพวงมาจากการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง

หลังจากบอกข่าวร้ายกับจันทร์ในวันนั้น พิธีสวดพระอภิธรรมศพก็ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ โดยมีไอ้บาสคอยเป็นธุระจัดการให้ และภายในงานนี้ก็ทำให้ผมได้พบกับคุณป้าเจ้าของไร่ดอกเก๊กฮวยอีกครั้ง เพราะท่านมาในฐานะคนในครอบครัวของคุณชลวิทย์
เท่ากับว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยสันนิษฐานไว้ กำลังจะเปิดเผยความจริงออกมาด้วยตัวของมันเอง

งานนี้เป็นงานแรกที่ทำให้ ‘น้าเข็ม’ ได้พบกับหลานชายที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน เพียงแต่คนที่มาร่วมงานในวันนั้นกลับไม่ใช่ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก ดังนั้นการทักทายของท่านจึงทำให้ ‘คุณพีรวัตร’ ออกอาการงุนงงไม่น้อย เนื่องจากเขาไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับญาติฝ่ายใดของสองพี่น้องจากบ้านกลางป่าสนเลยแม้แต่นิด
จึงส่งผลให้ในค่ำคืนนั้น..
‘น้าเข็ม’ ได้รับรู้ว่าหลานชายของท่าน กำลังเข้ารับการรักษาด้วยโรคทางจิตเวช

ผมจึงมีโอกาสพูดคุยถึงที่มาที่ไปของ ‘โรคหลายอัตลักษณ์’ ให้ท่านฟัง รวมถึงร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างต่อกัน ซึ่งมันทำให้ผมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่าทีแปลกๆ ของท่าน ยามที่ผมเอ่ยถามเรื่องของผู้หญิงในรูปที่ผมเคยเอาไปถามที่สะเมิงในวันนั้น โดยสาเหตุดังกล่าวก็มาจากการที่คุณพ่อของจันทร์ซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเคยทำไม่ดีกับคุณแม่ของจันทร์ และทั้งสองคนก็เสียไปตั้งนานแล้ว ท่านก็เลยไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาอีก ผมจึงถือโอกาสอธิบายให้ท่านฟัง พร้อมทั้งขอโทษที่ต้องโกหก แต่เพราะเรื่องราวดังกล่าวมันเกี่ยวกับการรักษาอาการป่วยของจันทร์ ท่านก็เลยเข้าใจและไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร
ทว่าเมื่อผมถามถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของครอบครัวนั้น ท่านกลับให้การได้เพียงว่า ‘ไฟไหม้’ คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น พร้อมทั้งยืนยันว่าเหตุการณ์ในครั้ง ไม่ใช่การ ‘ฆ่าตัวตาย’ ตามที่ใคร ๆ ต่างก็เลื่องลือ ครั้นผมถามว่าทำไมท่านถึงมั่นใจในข้อสันนิษฐานดังกล่าว ท่านก็เอาแต่นิ่งเงียบคล้ายกับท่านทราบดี เพียงแต่มันเป็นเรื่องยากที่จะกล่าวถึง ผมก็เลยไม่อยากคาดคั้นอะไรนัก
เพราะในความเป็นจริง ถึงผมจะทราบเรื่องราวทั้งหมด
แต่ผมก็ไม่สามารถช่วยให้การต่อจิ๊กซอว์ของจันทร์เสร็จสมบูรณ์ได้เร็วขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นการพูดคุยด้วยเรื่องทั่วๆ ไปก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง โดยอาศัยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับครอบครัวของคุณป้า อย่างเช่น พวกท่านมีพี่น้องทั้งหมดกี่คน เพราะเท่าที่ผมเห็นดูเหมือนจะมีเพียงแค่คุณป้าแล้วก็คุณพ่อของคุณชลวิทย์เท่านั้นที่มาร่วมงาน ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมทราบว่าครอบครัวของท่านมีกันทั้งหมด 4 คน โดยแบ่งเป็น ชาย 3 และหญิง 1 ซึ่งพี่ชายคนโตอย่าง ‘เข้ม’ หรือก็คือคุณพ่อของจันทร์เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนพี่ชายคนรองที่มีชื่อว่า ‘เขม’ ก็คือคุณพ่อของคุณชลวิทย์ และน้องชายคนสุดท้องนามว่า ‘โชค’ ที่ ณ เวลานี้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในคุก
วินาทีนั้นผมก็เข้าใจคำพูดทิ้งท้ายของคุณชลวิทย์อย่างกระจ่างแจ้ง

ผมไม่คิดจะขุดคุ้ยความทรงจำอันโหดร้ายของ ‘น้าเข็ม’ ออกมาอีก เพราะผมเชื่อว่าท่านน่าจะเป็นคนที่จัดการอะไรหลายๆ อย่างเพื่อหลายชายของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะแววตาของท่านเวลาที่มองไปยังเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนในคราบของคุณพีรวัตร มันฉายแววแห่งความห่วงใยเอาไว้จนหมดสิ้น
ดังนั้นเรื่องราวระหว่าง ‘จันทร์’ กับ ‘คุณชลวิทย์’
ผมที่เป็นเพียงแค่คนนอก ก็ควรจะเก็บมันไว้กับตัวเหมือนอย่างเดิม

“พี่ภัทร” จันทร์เอ่ยเรียกระหว่างที่ผมกำลังขับรถเพื่อไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพเป็นคืนที่สาม เนื่องจากคุณนักเขียนขอสละสิทธิ์ในการออกมาใช้ชีวิตในช่วงนี้ เพราะเขาเข้าใจดีว่ามันคือช่วงเวลาเดียวที่จันทร์จะได้ใกล้ชิดกับคุณชลวิทย์เป็นครั้งสุดท้าย
“หืม ?” ผมส่งเสียงถามในลำคอ ขณะที่สายตาก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่

“แล้วลีล่ะครับ ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ ?” สิ้นคำถามจากตุ๊กตาหน้ารถ จังหวะการขับเคลื่อนก็มีอันต้องส่ายไปส่ายมา เพราะจิตใจของคนขับเริ่มจะไม่สงบนิ่ง
“อื้ม” ผมส่งเสียงตอบในลำคออย่างแผ่วเบาชนิดที่หากไม่ตั้งใจฟังก็คงจะไม่ได้ยิน เพราะผมไม่ได้อยากจะโกหกจันทร์ แต่การจะบอกความจริงกับจันทร์ในตอนนี้ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ไหว
แต่ก็นั่นแหละ
เราจะไปหาลียากรคนที่สองมาจากไหน ?

“หวังว่าจะทันงานฌาปนกิจนะ” ประโยคดังกล่าวของจันทร์ยิ่งทำให้ใจของผมหนักอึ้งมากกว่าเดิม เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าการจากไปของครอบครัวอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทำให้จันทร์เลือกจะสร้างอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ ขึ้นมารองรับความเจ็บปวด ดังนั้นการจะบอกความจริงกับจันทร์ในช่วงเวลาที่เขาเพิ่งจะสูญเสียคุณชลวิทย์ ย่อมเป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงมาก
เพราะผมรู้ว่า..
การลาจากของคุณชลวิทย์ กำลังทำให้จันทร์นึกโทษตัวเองอยู่ลึกๆ
 
สำหรับงานในคืนนี้ จันทร์เอาแต่ว้าวุ่นอยู่กับการเสิร์ฟน้ำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ซึ่งก็มีไม่มากมายเท่าไหร่ เนื่องจากงานถูกจัดขึ้นที่วัดในตัวเมืองเชียงใหม่
หากแต่วันฌาปนกิจคาดว่าผู้คนจากอำเภอสะเมิง น่าจะเดินทางมาร่วมงานกันเยอะพอสมควร

ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นพิธีในวันนี้ จันทร์ก็เอาแต่เหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำสนิทที่อยู่ข้างนอกศาลาวัด แต่พอ ‘น้าเข็ม’ เดินเข้ามาทักทาย สีหน้าอันอ่อนล้าก็ฉายชัดขึ้นมาทันที กระทั่งอ้อมกอดอันอบอุ่นถูกหยิบยื่นมาให้ เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็รีบซุกตัวเข้าหาไออุ่นของคุณน้าผู้แสนใจดี ครั้นคุณน้าต้องเตรียมตัวกลับไปพักผ่อนพร้อมกับคุณแม่ของคุณชลวิทย์ ผมจึงถือโอกาสเดินเข้าไปทักทายพวกท่านและนั่งเป็นเพื่อนจันทร์ จนกว่าเจ้าตัวจะมีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาลอันเป็นที่พักอาศัยในยามนี้

“พี่ภัทรคิดว่าพี่ชลจะให้อภัยจันทร์หรือเปล่าครับ ?”
“ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้นล่ะ ?” ผมเอ่ยถามขยายความเพื่อจะได้เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายให้มากขึ้น

“เพราะคำพูดของจันทร์ในวันนั้น พอลองเอามาคิดทบทวนดูแล้ว มันก็ร้ายแรงและกระทบต่อความรู้สึกของพี่ชลมากเลยไม่ใช่เหรอครับ”
“แต่เท่าที่พี่รู้มาจากพี่บาส ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ชลคิดจะเลือกทางออกแบบนี้..”

“ดังนั้นการตัดสินใจของพี่ชล สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะมองว่ามันเป็นการกระทำที่สิ้นคิด แต่สำหรับคนที่เข้าใจ ก็จะรู้ว่าทางเลือกนี้คือความสุขเดียวที่พี่ชลมองเห็น”
“ถ้าเกิดจันทร์อโหสิกรรมให้กับทุกเรื่องที่ผ่านมา คนบนฟ้าก็จะมีความสุขมากกว่าเดิมใช่หรือเปล่าครับ ?” จันทร์เอ่ยถามพลางจับจ้องไปยังท้องฟ้าในยามราตรีแน่นิ่ง คำพูดดังกล่าวทำให้ผมรับรู้ได้ว่าการเข้ารับการบำบัดทางจิตวิทยา เริ่มทำให้จิตใจของอีกฝ่ายเข้มแข็งขึ้นมาก

“อื้ม” ผมยืนยันกับอีกฝ่ายอย่างหนักแน่น พลางมองจ้องไปยังดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้ตัวอย่างแน่นิ่ง ราวกับในใจลึกๆ ยังคงหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับกลายเป็นจันทร์หม่นแสง จากการล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’
ซึ่งผมคาดว่า..
เราคงปกปิดเป็น ‘ความลับ’ ได้อีกไม่นาน..


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

การเขียนความรู้สึกของจันทร์ผ่านมุมมองของพี่หมอมันเป็นอะไรที่ยากเย็นจริงๆ ฮรือ สำหรับตอนนี้จริงๆ เราได้หยอดการตัดสินใจของคุณชลวิทย์ไว้ตั้งหลายตอนก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเขาอาการไม่ค่อยดี ซึ่งอาการไม่ค่อยดีมันหมายรวมถึงการคิดตัดสินใจที่จะหลีกหนีด้วยวิธีนี้ด้วย เพราะว่าในมุมมองของคุณชลวิทย์ เรื่องที่เจ้าตัวได้ทำไว้ มันเป็นอะไรที่ร้ายแรง และไม่สามารถเข้าหน้ากันติดอย่างแน่นอน และด้วยความที่เจ้าตัวก็รักจันทร์แบบน้องชายน่ะแหละ มันเลยทำให้ความรู้สึกแย่ประเดประดังเข้ามา เพราะว่าการกระทำของตัวเอง สุดท้ายก็ไม่ต่างกับอาโชค ส่วนจันทร์ในตอนนี้ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหามากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่น้องแสดงออกจะไม่เหมือนเดิม มันเลยทำให้คาดเดาความรู้สึกได้ยากมากขึ้น เพราะแต่ก่อนถ้าน้องอ่อนแอรับไม่ไหว น้องจะแสดงมันออกมาทันที และจบท้ายด้วยการหลีกหนี โดยให้อัตลักษณ์อื่นๆ ออกมาใช้ชีวิตแทน ดังนั้นก็มาลุ้นกันต่อไปว่าน้องจะเป็นยังไง เมื่อได้รู้ความจริงเรื่องน้องลี
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 33 ❀ หน้า 3 (update 06/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 06-07-2018 10:49:07
ใกล้แล้ว
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 34 ❀ หน้า 3 (update 25/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-07-2018 01:02:50
ตอน 34


เช้าวันนี้เป็นวันที่ผมนึกกังวลมากที่สุด เพราะ ‘ความลับ’ เกี่ยวกับน้องลียากรกำลังจะถูกเปิดเผย ซึ่งวิธีในการบอกเล่าก็ยังต้องพึ่งพาคลิปวีดิโออันเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเหมือนอย่างเคย
ดังนั้นทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกากำลังก้าวเดินต่อไป..
ความหนักอึ้งในใจกลับพอกพูนมากยิ่งขึ้น

กระทั่งบันทึกการรักษาถูกส่งตรงมายังผม ร่างกายก็คล้ายกับจะทำงานเชื่องช้าลง แต่ครั้นจะปริปากถามอาการของจันทร์กับด็อกเตอร์อาทิตย์ ผมก็ดันใจป๊อดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซึ่ง ‘การถ่วงเวลา’ ให้มันยืดยาวออกไป กลับกลายเป็นทางเลือกที่สุดแสนจะทรมาน
เพราะผมยังคงจมดิ่งไปกับการมีจิตใต้สำนึกร่วมกันกับคนไข้ที่มีชื่อว่า ‘เพียงจันทร์’

แต่สุดท้ายการต่อรองเวลาย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ ‘ผมต้องเชื่อใจจันทร์’ เพราะข่าวการสูญเสียของคุณชลวิทย์ทำให้ผมเล็งเห็นว่าจันทร์รู้วิธีในการรับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้น ดังนั้นเรื่องของน้องลี จันทร์น่าจะมีวิธีดีๆ ในการจัดการกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน พอคิดบวกได้แล้วปลายนิ้วชี้ก็เริ่มทำหน้าที่ดับเบิ้ลคลิกเข้าไปยังไฟล์เป้าหมาย
จากนั้นไม่นานภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันคุ้นเคยก็ปรากฏ

“ผมขออนุญาตบันทึกวีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษาเหมือนเดิมนะครับคุณเพียงจันทร์” หลังจากสองคนในหน้าจอสี่เหลี่ยมทักทายกันจนหอมปากหอมคอ ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มพูดประโยคเบสิคก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องอย่างจริงๆ จังๆ
“ครับ”

“ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณจะสามารถรับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้นมากเลยนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวพลางยกยิ้ม ซึ่งเปรียบได้กับการชื่นชมเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับกำลังใจดีๆ กลับไป
“ก็หมอเคยบอกกับผมนี่ครับ ถ้าหากผมอยากจะหายป่วย ผมต้องรู้จักรับมือกับปัญหาด้วยวิธีการใหม่ๆ ผมเลยนึกถึงแต่ด้านดีๆ ของพี่ชล จนในที่สุดผมก็ได้คำตอบแล้วครับว่าจริงๆ แล้ว พี่ชลไม่ได้หนีจากผมไปไหน เพราะพี่เขาอยู่ที่นี่ครับ ผมก็เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดดเดี่ยวเหมือนกับช่วงแรกๆ” จันทร์กล่าวพลางชี้เข้ามาที่กลางอกของตัวเองเพื่อประกอบคำพูด ขณะที่คำตอบของเขา ทำเอาผมอดจะอมยิ้มจนปวดแก้มไม่ได้ เนื่องจากครั้งหนึ่งผมเคยใช้คำเปรียบเปรยในทำนองว่าคุณชลวิทย์กำลังเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่บนฟ้า และจันทร์ก็คงจะนำคำปลอบใจเหล่านั้น ไปต่อยอดจนสามารถรับมือกับความเศร้าโศกได้
ซึ่งความดีความชอบอีกครึ่งหนึ่ง คงต้องยกเครดิตให้กับด็อกเตอร์อาทิตย์ที่ช่วยแนะนำแนวทางให้กับจันทร์

“แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวผมในตอนนี้กำลังเกิดความไม่เสถียรครับหมอ”
“คุณพอจะอธิบายเพิ่มเติมได้หรือเปล่าครับ ว่าความไม่เสถียรในที่นี้ หมายความว่าอย่างไร ?” ด็อกเตอร์ขมวดคิ้วมุ่นพลางเริ่มต้นสอบถามข้อมูลในเชิงลึก ขณะที่ผมก็เกิดความสงสัยไม่ต่างกัน

“จู่ๆ ผมก็หลับไป จากนั้นผมก็ตื่นขึ้นมา แล้วก็หลับไปอีกครั้งในระยะเวลาที่มันเทียบเท่ากับการหายใจเข้าเพียงหนึ่งครั้ง แต่ยังไม่ทันจะหายใจออก แต่ที่แปลกก็คือผมเป็นแบบนั้นติดต่อกันอยู่พักใหญ่ จากนั้นพออาการแปลกๆ เริ่มหายไป ผมก็ได้ยินเสียงของใครหลายๆ คนดังก้องอยู่ในหัว”
“แล้วเสียงเหล่านั้นใช่เสียงของอัตลักษณ์อื่นๆ หรือเปล่าครับ ?”

“ใช่ครับ พวกเขากำลังถกเถียงเกี่ยวกับการออกมาใช้ชีวิตแบบตื่นๆ หลับๆ ว่ามันเป็นเพราะอะไร”
“อืม.. การสูญเสียในครั้งนี้ อาจจะทำให้คุณรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ แต่เพราะความคิดอีกด้านหนึ่งของคุณ กำลังบอกกับคุณว่าคุณจะต้องก้าวเดินต่อไปให้ได้ ดังนั้นความอ่อนแอที่คุณเก็บซ่อนเอาไว้ จึงส่งผลให้เกิดความไม่เสถียรดังกล่าวขึ้น”

“คงจะเป็นอย่างที่หมอว่าจริงๆ นั่นแหละครับ” จันทร์กล่าวอย่างเลื่อนลอยก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้กับคุณหมอตรงหน้า เพราะสำหรับจันทร์แล้ว ถึงอย่างไรคุณชลวิทย์ก็ยังคงเป็นพี่ชายที่เปรียบเสมือน ‘ต้นไม้ใหญ่’ ที่คอยให้การโอบอุ้มดูแลเสมอมา แม้ช่วงหนึ่งพายุอาจโหมกระหน่ำจนทำให้ต้นไม้ต้นนั้นคิดจะตัดกิ่งก้านสาขาบางส่วนทิ้งไปก็ตามที
 “แต่ที่น่าแปลกก็คือวันนั้นในหัวของผม มีเสียงๆ หนึ่ง ที่ผมคุ้นเคยมากครับหมอ” สิ้นคำกล่าวนั้นหัวใจของผมก็ราวกับร่วงหล่นไปอยู่ใต้โต๊ะ
เพราะ ‘สุ้มเสียงอันคุ้นเคย’ ที่จันทร์พูดถึง
จะเป็นของใครไปได้ถ้าหากไม่ใช่เสียงของ ‘น้องลียากร’

“เสียงนั้นที่คุณพูดถึง ได้ยินบ่อยแค่ไหนครับ ?”
“ผมน่าจะเพิ่งเคยได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งแรกครับหมอ” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกทั้งสีหน้าของเจ้าตัวก็ยังดูแปลกๆ
ซึ่งปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาผมล่วงรู้คำตอบได้ไม่ยาก

“…”
“หมอครับ ที่จริงแล้ว.. อีกด้านหนึ่งของผม มีมากกว่าสองคนใช่ไหมครับ ?” จันทร์เอ่ยถามราวกับต้องการจะย้ำเตือนความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง เพราะวีดิโอที่คุณหมอเคยเอามาให้ดู มีอยู่เพียงสองอัตลักษณ์ แต่จากคำยืนยันของคุณพีรวัตรกลับบ่งบอกได้ว่ามีอยู่สี่อัตลักษณ์

“ใช่ครับ แต่ว่าตอนนี้เรายังสรุปจำนวนที่แน่นอนไม่ได้” สิ้นคำตอบของด็อกเตอร์ก็คล้ายกับการสรุปความจริงให้ได้เห็น ดังนั้นทางเดียวที่จะช่วยให้เราทราบจำนวนของอัตลักษณ์อย่างแน่นอนได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการต่อจิ๊กซอว์ให้ได้มากที่สุด
“อ้อ ครับ.. ผมนี่โง่ชะมัด เพราะก่อนหน้านี้หมอภัทรก็เคยถามกับผมแล้ว ว่าผมเคยคุยกับลีแบบต่อหน้าบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นผมยังคิดเลยว่าทำไมพี่หมอถึงถามอะไรแปลกๆ แต่พอมาตอนนี้ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้วล่ะครับ” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้นสะอื้น หากแต่ดวงตาของเขากลับแดงก่ำ เพราะความเป็นจริงที่ตัวเองล่วงรู้กำลังฉายชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมเริ่มนึกคิดขึ้นมาได้ว่าการที่จันทร์ไล่บี้ให้ผมหาทางติดต่อกับน้องลียากรให้ได้
แท้ที่จริงมันคือการทดสอบต่างหากล่ะ

“ความไม่เสถียรของผมครั้งแรก อาจเกิดขึ้นเพราะผมยังทำใจเกี่ยวกับเรื่องพี่ชลไม่ได้ แต่ว่าครั้งต่อๆ มา ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเพราะว่าที่จริงแล้ว น้องสาวของผมไม่เคยมีอยู่จริง ถ้าหากเธอเป็นอีกด้านหนึ่งของผมจริงๆ เหตุผลที่ผมสร้างเธอขึ้นมาก็เพื่อปกปิดการเสียชีวิตของเธอหรือเปล่าครับ ในเมื่อหมอเคยบอกกับผมว่าอีกด้านหนึ่งของผม จะเป็นคนที่เจ็บแทนผม ร้องไห้แทนผม ถ้าอย่างนั้นลีคนนี้ก็คงจะมีชีวิตอยู่เพื่อผมใช่หรือเปล่าครับ เพราะการสูญเสียสำหรับผมแล้ว มันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกจะหลับตา เพราะตอนเด็กๆ ช่วงที่ผมเคยอยู่กับแม่ ผมเคยเลี้ยงลูกหมาไว้ตัวหนึ่ง แต่จู่ๆ มันก็ไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย หลังจากนั้นผมก็เลือกจะหลับตา เพื่อโกหกตัวเองว่าเจ้ามิคไม่ได้หายไปไหน มันแค่ไปวิ่งเล่นจนเพลินไปหน่อยเลยไม่ยอมกลับบ้าน และมันก็คงจะกลับมาในตอนที่ผมกำลังหลับ” สิ้นคำกล่าวนั้นดวงตาอันแดงก่ำของจันทร์ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา จนกระทั่งเจ้าตัวต้องซุกซบใบหน้าลงบนฝ่ามือเมื่อความรู้สึกอันย่ำแย่กำลังตรงเข้าเล่นงาน จากนั้นดวงจันทร์ที่เคยเข้มแข็งก็ขอเวลาผ่อนคลายเพียงครู่ จึงส่งผลให้คาบจิตวิทยาการปรึกษาในวันนี้ถึงคราวต้องจบสิ้นลง
และในใจของผมก็รู้สึกวูบโหวงดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดของจิตใจที่ร้างไร้ซึ่งความสดใส

“เชิญครับ” ผมเงยหน้ามองประตูห้องพลางออกปากอนุญาต
“พี่ภัทรลืมเวลากินข้าวไปแล้วหรือเปล่าครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่าแววตากลับให้ความรู้สึกแตกต่างจากการกระทำอย่างสิ้นเชิง
เพราะพฤติกรรมทั้งหมดเกิดจากการพยายามจะเข้มแข็ง

“นั่นสิ พี่ลืมไปได้ยังไงก็ไม่รู้” ผมกล่าวพลางลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและเดินตรงไปยังใครคนนั้นที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูอันมิดชิด
“วันนี้แม่ทำกับข้าวมาเยอะเลยครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า โดยไม่มีท่าทีว่าจะออกไปกินข้าวที่ห้องของจันทร์แต่อย่างใด

“ไหนว่าหิวไงครับ ไม่ออกไปกินเหรอ เดี๋ยวพี่บาสแย่งกินหมด จันทร์ไม่รู้ด้วยนะ” จันทร์กล่าวราวกับหลอกเด็ก ซึ่งเด็กคนที่จันทร์กำลังหาทางกวาดต้อนก็คือผมที่อายุปาเข้าไปตั้งเลข 3 แล้ว
“จันทร์เก่งจัง” ผมตรงเข้าไปกอดอีกฝ่ายด้วยอารามลืมตัวและลืมสถานที่ไปชั่วขณะ จากนั้นก็ออกปากชื่นชมจากใจจริง

“ก็พี่ภัทรเคยบอกว่าพี่ชลกำลังเฝ้ามองจันทร์อยู่บนฟ้าไม่ใช่เหรอครับ ลีเองก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็ก ลีก็ตามติดจันทร์ตลอด เพิ่งจะมาห่างๆ กันก็ตอนที่ลีไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ..” จันทร์พูดด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังต้องการจะปลอบโยนใครสักคน
แต่แล้วก็เหมือนกับอีกฝ่ายเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป

“เห้อ~ ไม่ชินสักที” จันทร์ผละตัวออกห่างจากอ้อมกอดของผมพลางกลั้วหัวเราะและทำเป็นถอนหายใจเพียงเบาๆ จากนั้นเจ้าตัวก็อธิบายเสียงอ่อน ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มให้
โดยผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดหรือทำอะไรต่อไปดี

“เราไปกินข้าวกันเถอะครับ”
“อืม”

กระทั่งมื้อกลางวันผ่านพ้นไป ผมก็ได้ฤกษ์กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ขณะที่จันทร์ก็ต้องไปพบด็อกเตอร์อาทิตย์ตามที่ผมได้นัดหมายไว้ เนื่องจากในค่ำคืนนี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ต้องการให้น้องลียากรเป็นคนออกมาใช้ชีวิต และเดินทางไปยังงานสวดพระอภิธรรมของคุณชลวิทย์ ด้วยเพราะวันอื่นๆ จะเป็นคิวของเจ้าตัว
ซึ่งความต้องการของจันทร์จะต้องอาศัยความร่วมมือจากคุณพีรวัตร เนื่องจากอัตลักษณ์ดังกล่าวสามารถปลุกอัตลักษณ์ที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงได้
ฉะนั้นการต่อรองย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

แต่แล้วสิ่งที่น่าประหลาดใจก็ก่อเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ คนที่ออกมาใช้ชีวิตในช่วงนั้น กลับไม่ได้มีแค่น้องลียากร เพราะกรวินท์ก็ได้รับสิทธิ์นั้นด้วย ซึ่งภาพที่เห็นทำให้ผมรู้สึกเวทนาอย่างบอกไม่ถูก เพราะแต่เดิมกรวินท์ก็เป็นคนที่เรียกได้ว่าจิตใจค่อนข้าง ‘ว่างเปล่า’ และคุณชลวิทย์ก็สามารถเติมความรู้สึกอันสวยงามเหล่านั้นให้กับเขา แม้มันจะยังไม่เต็มเปี่ยมมากนัก แต่ก็นับได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นทำให้เขามีความสุขอย่างแท้จริง
ดังนั้น ‘การจากลา’ ของคุณชลวิทย์
จึงเหมือนกับฝันร้ายสำหรับ ‘กร’

“กร” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งจุมปุกอยู่ตรงหน้าโลงศพของคุณชลวิทย์ด้วยแววตาอันเลื่อนลอย หลังจากร้องไห้ราวกับจะขาดใจ จนใครต่อใครที่มาร่วมงานต่างพากันมองด้วยความสงสาร แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่กรวินท์ไม่คิดทำร้ายตัวเองเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา 
“…”

“ดึกแล้วนะ เรารีบกลับโรงพยาบาลกันก่อนดีกว่าไหม ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ชายหนุ่มที่กำลังแสดงท่าทีราวกับคนไร้จิตวิญญาณ ซึ่งคำพูดทั้งหมดก็ลอยไปตามสายลม หาได้รับการตอบสนองกลับมาแต่อย่างใด ผมจึงคิดว่าตัวเองควรจะต่อเวลาให้อีกฝ่ายสักหน่อย
“…”

“พี่ภัทร” แต่เมื่อผมกำลังจะลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับกรวินท์ กลับกลายเป็นว่าในช่วงเวลานั้น จันทร์ของผมดันตื่นจากการหลับใหล อีกทั้งยังแสดงสีหน้างุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ ใบหน้าก็อาบไปด้วยหยาดน้ำตา
“พอดีหลังจากที่ลีออกมาใช้ชีวิต กรก็ได้รับสิทธิ์นั้นต่อ” สิ้นคำอธิบายของผม ดูเหมือนจันทร์จะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายกำลังพยักหน้ารับเพียงเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองรูปคุณชลวิทย์ที่วางตั้งอยู่ไม่ไกลจากตนเองนัก

“แล้วตอนที่ลีออกมาใช้ชีวิต น้องดูโอเคไหมครับ ?”
“ลีตกใจอยู่พักใหญ่ แต่ก็ปรับตัวได้เร็ว” หลังจากที่ผมพูดถึงปฏิกิริยาของอัตลักษณ์น้องลีให้อีกฝ่ายฟัง เจ้าตัวก็ยิ้มรับเพียงบางๆ แล้วนิ่งเงียบไป ส่วนผมก็ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่ได้เร่งเร้าอะไร เนื่องจากจันทร์เพิ่งจะได้ออกมาใช้ชีวิตที่นี่

“เรากลับกันเถอะครับ ตอนนี้ก็เริ่มดึกมากแล้วด้วย” สิ้นคำชักชวนนั้น ผมก็พยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นยืนและถอยออกไปยืนอยู่ตรงมุมที่มันห่างไกลออกมาอีกหน่อย
เพื่อที่จันทร์จะได้ใช้เวลาส่วนตัวในการร่ำลาลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง

กระทั่งเดินทางมาจนถึงโรงพยาบาลก็ทำการเซ็นชื่อเพื่อเข้าพื้นที่วอร์ดจิตเวช จากนั้นก็ต่างคนต่างจัดการกับตัวเอง เพื่อที่จะได้เตรียมตัวเข้านอน ซึ่งผมก็ให้จันทร์เป็นฝ่ายอาบน้ำก่อนเป็นคนแรก จึงทำให้อีกฝ่ายมีเวลาในการนั่งเอ้อระเหยท่ามกลางแสงเทียนกลิ่นลาเวนเดอร์

“ไม่ง่วงเหรอ ?” ผมเอ่ยถามพลางเช็ดเส้นผมที่ยังคงเปียกชื้น แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม
“ที่จริงก็เริ่มง่วงแล้วล่ะครับ แต่จันทร์อยากรอให้พี่ภัทรอาบน้ำเสร็จก่อนเลยเผลอคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อย”

“ระหว่างที่พี่กำลังเช็ดผม จันทร์เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิว่าเมื่อกี้กำลังคิดอะไรอยู่”
“จันทร์กำลังคิดว่าถ้าหากพี่ชลยังมีชีวิตอยู่ จันทร์จะให้อภัยพี่เขาได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรือเปล่า เพราะจริงๆ แล้ว ความรู้สึกแย่ๆ ของการตัวแทนของใครสักคน มันเจ็บปวดนะครับ”

“…”
“แล้วอีกอย่าง.. เรื่องในวันนั้น จันทร์ก็ยังไม่เคยลืม”

“…”
“แต่ที่จันทร์ทำเป็นไม่สนใจมันได้ เพราะพี่ภัทรแสดงให้จันทร์เห็นว่าเรื่องพวกนั้น ไม่สามารถลดคุณค่าของจันทร์ในสายตาของพี่ภัทรได้ จันทร์ก็เลยกลายเป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉา”

“พี่ก็นึกว่าจันทร์ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เสียอีก” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย เพราะไม่ทันคาดคิดว่าคำพูดของตัวเองที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยปริศนาจะถูกจันทร์ไขรหัสลับออกมาจนหมดเปลือก
“ก็จันทร์เก่งไงครับ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพลางยกยิ้มแป้น

“ยิ้มแล้ว” ผมนั่งท้าวคางกับโต๊ะตรงข้างหน้าต่าง พลางอุทานออกมาเบาๆ เพราะในเวลานี้รอยยิ้มของจันทร์ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความต้องการจะฝืนยิ้ม
“ที่จันทร์ยังยิ้มออกมาได้บ้าง คงเป็นเพราะพี่ภัทรคือจิตแพทย์ด้วยมั้งครับ เวลาจันทร์อยู่ใกล้ๆ ทีไร จันทร์จะรู้สึกเหมือนกับพี่ภัทรมีออร่าบางอย่างที่ทำให้จันทร์รู้สึกสบายใจ และกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงในหลายๆ เรื่อง” จันทร์กล่าวพลางกลั้วหัวเราะคล้ายกับสิ่งที่เจ้าตัวกำลังพูด มันชวนให้เก้อเขินอยู่นิดหน่อย

“แต่ว่าข้างในนี้ก็ยังไม่คงที่นักหรอกครับ ไม่อย่างนั้นความไม่เสถียร มันก็น่าจะหายไปแล้ว” จันทร์กล่าวพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เพื่อบอกกล่าวว่าสิ่งที่มันสะสมอยู่ในจิตใจ ยังคงก่อให้เกิด ‘ความไม่เสถียร’ ที่อีกฝ่ายเคยเล่าให้ด็อกเตอร์ฟัง
“ไม่เป็นไร จันทร์ยังมีทั้งเวลาและยังมีทั้งพี่”



゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

(25/07/2018 แก้คำผิด
28/07/2018 รีไรท์บางประโยคให้สอดคล้องกับตอนก่อนหน้านี้)
กลับมาอัพเหมือนเดิมแล้วจ้า ที่หายไปพอดีว่าเราแอบไปเขียนเรื่องสั้นให้กับทางสำนักพิมพ์มาค่ะ แต่จริงๆ ก็ใช้เวลาเขียนประมาณอาทิตย์นึงได้มั้ง แล้วเราก็ปวดฟันต่อ เลยไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะมันปวดจี๊ดขึ้นหูเลยค่ะ แล้วก็ปวดตลอดเวลาด้วย เลยทำให้ต้องพักการเขียนไปอีกอาทิตย์นึง แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว ก็เลยกลับมาปั่นต่อจนจบตอนได้ แต่ไม่รู้ว่าเราจะต้องหยุดอัพอีกหรือเปล่านะ เพราะว่านี่ก็เริ่มจะเจ็บคอเพิ่มอีกอย่างแล้ว T_T

สำหรับตอนนี้ ที่จริงเราจะใส่อีกฉากนึงเข้าไปด้วย เป็นฉากที่เกี่ยวกับปมไฟไหม้ แต่ว่ามันน่าจะต้องลากยาว ก็เลยตัดเป็นตอนต่อไปดีกว่า ตอนนี้เลยเหมือนเป็นการอัพเดตอาการของจันทร์ว่าจริงๆ แล้ว จันทร์สงสัยเรื่องน้องลีมาสักพักนึงแล้ว และมันก็ทำให้เกิดความไม่เสถียรในตัวเองขึ้นมา เพียงแต่พี่หมอไม่รู้ เพราะว่าทั้งสองคนไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา เอาล่ะ นี่คือตอนเซอร์วิสของพระนาย 555
ปล. เนื้อเรื่องอาจจะอืดๆ หน่อย แต่เราว่ามันน่าจะเป็นสไตล์การเขียนของเราแล้วล่ะ 5555 แต่เดี๋ยวต่อไปจะเข้าสู่กระบวนการหลอมรวมแล้ว แต่เราอาจจะลงลึกไม่ได้ เพราะว่าในหนังสือของคุณบิลลีก็ไม่ได้มีบอกรายละเอียดตรงนี้มาก
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 34 ❀ หน้า 3 (update 25/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 25-07-2018 14:59:20
มาต่อแล้วววว :m4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 35 ❀ หน้า 3 (update 30/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-07-2018 16:20:47
ตอน 35

เช้าวันใกล้สิ้นเดือนแบบนี้ กิจกรรมที่จันทร์จะต้องเข้าร่วมยังคงเป็นการออกกำลังกาย จากนั้นก็ต้องคอยดูแลสวนของทางโรงพยาบาล ซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก เพราะผู้ป่วยจะช่วยกันกวาดเศษใบไม้และเศษขยะรอบๆ ตึก โดยจุดประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วยรู้จักการเข้าสังคมและร่วมแรงร่วมใจกัน
ครั้นทุกอย่างเสร็จสิ้น
ช่วงเวลาแห่งการฟรีสไตล์ก็จะตกเป็นของทุกคน

โดยปกติแล้วหากคุณพีรวัตรเป็นคนออกมาใช้ชีวิต เขาจะเอาเวลาในช่วงนี้ไปทุ่มเทให้กับงานเขียนของตัวเอง ส่วนจันทร์มักจะนั่งอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเอง โดยนำสมุดบันทึกที่ผมมอบให้มานั่งเรียบเรียงความทรงจำต่างๆ หรือถ้าหากน้องลียากรเป็นคนที่ออกมาใช้ชีวิต เธอก็มักจะวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้พร้อมฮัมเพลง ‘หนูมาลี’ ไปด้วย
ขณะที่กรวินท์เป็นเพียงอัตลักษณ์เดียวที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่างานอดิเรกของเขาจะเป็นการวาดรูปอย่างที่เจ้าตัวเคยให้ข้อมูลไว้หรือไม่
เพราะทุกครั้งที่เขาออกมาใช้ชีวิต
มักจะก่อเรื่องให้ต้องคอยปวดหัวอยู่ร่ำไป

“เกิดอะไรขึ้นเหรอน้องแพร ?” หลังจากเคลียร์ผู้ป่วยโอพีดีจนหมด ผมก็เดินตรงไปยังประตูห้อง แล้วชะโงกหน้าออกไปถามพยาบาลที่กำลังวิ่งวุ่นอย่างตื่นตระหนกด้วยความสงสัย
“ตอนนี้คุณเพียงจันทร์กำลังอยู่ที่ดาดฟ้าค่ะหมอภัทร” น้องแพรตอบด้วยท่าทีอันร้อนรน จากนั้นเธอก็รีบก้าวเดินเร็วๆ จากไป ขณะที่ผมก็แทบจะเหาะตามเธอไปด้วย
เพราะคำว่า ‘ดาดฟ้า’
สามารถบ่งบอกอะไรได้อย่างกระจ่างแจ้ง

ทันทีที่ผมเดินทางมาถึงภาพแรกที่มองเห็นคือภาพของจันทร์ที่กำลังยืนอยู่ตรงขอบอาคารอย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาลจะมีการจัดสวนหย่อมอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีราวกั้นอย่างเป็นสัดส่วน บ่งบอกถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งาน แต่เพราะจันทร์ในคาบของกรวินท์รอดราวเหล็กพร้อมทั้งเหยียบย่ำแปลงหญ้าน้ำพุเข้าไปในส่วนต้องห้าม
ดังนั้นความปลอดภัยที่เคยมี..
จึงกลายเป็นศูนย์

ซึ่งกรวินท์ได้เพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นด้วยการยกเท้าลอยคว้างอยู่กลางอากาศ พร้อมกางแขนทั้งสองข้างราวกับต้องการโอบกอดอากาศอันบริสุทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่เสียงเจรจาเกลี้ยกล่อมของพี่จี๊ดก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
แต่ทุกสิ่งรอบกาย..
กลับไม่ได้รับความสนใจจากบุคคลเป้าหมาย

“กร..” เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงแสดงตัวและค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า พลางเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของคนที่กำลังอยากจะโบยบินราวกับนก แต่กระนั้นปฏิกิริยาตอบโต้ก็ยังคงเดิม ผมจึงได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทั้งพยายามจะคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเร่งด่วน
ขณะที่ในใจกำลังรู้สึกร้อนรน..
หากแต่ภายนอกกลับสงบนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“กรยังจำความฝันของตัวเองได้หรือเปล่า ?” เมื่อคิดหัวข้อที่สามารถดึงดูดความสนใจของคนตรงหน้าได้ ผมก็ไม่รอช้าที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาต่อรอง
“…”

“ความฝันเกี่ยวกับจิตรกรและนิทรรศการผลงานของตัวเองไง” ผมพูดขึ้นทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ใครคนนั้นที่กำลังทำท่าทางราวกับจะซึมซับความรู้สึกของการโบยบินเหมือนอย่างนก พร้อมกับค่อยๆ ก้มตัวรอดราวเหล็กเพื่อล่วงล้ำเข้าไปยังพื้นที่อันตราย
“…”

“แล้วโฟโต้บุ๊กที่กรเคยวางแผนว่าจะทำตามคำแนะนำของพี่วิทย์ กรจะทิ้งมันไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่างจริงๆ เหรอ ?”
“…”

“ถ้าหากพี่วิทย์อยากเห็นผลงานชิ้นแรกที่เกิดจากไอเดียของเขาล่ะ กรจะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม ?”
“…”

“อีกอย่างโฟโต้บุ๊กมันคือก้าวแรกของเส้นทางนี้ และอนาคต.. กรก็จะสามารถจัดงานนิทรรศการผลงานของตัวเองได้ และพี่ก็เชื่อว่าถ้าหากเวลานั้นมาถึง พี่วิทย์ที่คอยเฝ้ามองกรอยู่บนฟ้าจะต้องดีใจกับทางเลือกของกรแน่ๆ”
“แต่ผมก็ไม่ใช่ตัวผมอยู่ดี แล้วความฝันจะไปมีความหมายอะไร ในเมื่อสุดท้าย.. ผมก็ต้องละทิ้งมันไป ?” ชายหนุ่มย้อนถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
คล้ายกับว่า..
ในเวลานี้ ชีวิตของเขาไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

“ทำไมจะไม่มีความหมายล่ะกร ในเมื่อความฝันพวกนั้นจะยังคงอยู่”
“…”

“หมายความว่า ‘การหลอมรวม’ ไม่ใช่เพื่อ ‘การกำจัด’ เพราะมันคือการรวบรวมทุกๆ คนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ และทุกๆ ความทรงจำก็ยังคงอยู่” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น และคำตอบของผมก็ดูจะเรียกร้องความสนใจจากเขาได้

“พี่ว่าพวกเรามาช่วยกันทำความฝันให้สำเร็จดีกว่าไหม ?” ผมเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่าสดใสที่สุดไปให้กร จากนั้นก็ยื่นมือไปหาใครคนนั้นที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่
“…” ขณะที่กรก็เหลือบมองมายังฝ่ามือของผมด้วยแววตาของคนที่เกิดความลังเล แต่ผมก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาบีบบังคับอะไร แม้ในใจจะยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งที่เจ้าตัวยืนอยู่

แต่แล้วความไม่เสถียรก็ก่อเกิดขึ้น ครานี้บุคคลที่ออกมาควบคุมจิตวิญญาณดูเหมือนจะเป็น ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก เพราะแววตาของเขากำลังจ้องมองไปรอบๆ ตัวอย่างงุนงง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อทราบว่าตอนนี้ตนเองกำลังยืนอยู่ตรงเขตอันตราย
จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นและสูญเสียการทรงตัว

โชคดีที่มือของผมทำงานไปตามสัญชาตญาณ จึงคว้าข้อมือของใครบางคนที่กำลังตื่นกลัวได้อย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการทรงตัวจะเป็นไปอย่างมั่นคง เพราะผมออกแรงกระชากข้อมือของจันทร์จนสุดแรง จึงส่งผลให้เราสองคนลงไปนอนกองกันอยู่บนแปลงหญ้าน้ำพุอย่างหมดท่า

ขณะที่ทุกคนโดยรอบต่างก็โล่งใจไม่ต่างกัน แต่จันทร์กลับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้น พลางบ่นพึมพำไม่หยุดว่าตนเองกำลังหวาดกลัวกับสถานการณ์ในตอนนี้มากแค่ไหน แต่ทว่าไม่ว่าพูดจาปลอบโยนอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
เพราะการออกมาใช้ชีวิตในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การตื่นขึ้นมาพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย หรือได้พบเจอกับสิ่งของอันแปลกใหม่
แต่ดันกลายเป็นว่า..
จันทร์กลับต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่มากกว่านั้น

ซึ่งสถานการณ์ของอีกฝ่ายก็ไม่แตกต่างจากกรณีของคุณบิลลี่มากนัก เพราะในช่วงที่เขาหลับใหลกลับมีใครบางคนออกมาใช้ชีวิต และกระทำการอันอุกอาจ จนเป็นเหตุให้เขาต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมอันร้ายแรง..
ผมจึงให้เวลาจันทร์นั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ พลางส่งสายตาไปให้ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายกลับไปทำงานของตัวเอง ส่วนผมจะอยู่ดูแลผู้ป่วยพิเศษรายนี้ต่อไป เพราะผมมั่นใจว่าถ้าหากจันทร์ได้อยู่กับผมตามลำพัง เขาจะกล้าระบายความในใจออกมา

“ถึงแม้จันทร์จะรู้ทั้งรู้ว่าพี่กรมักจะทำร้ายร่างกายตัวเองอยู่บ่อยๆ” กระทั่งเวลาดำเนินต่อไปหลายนาที จันทร์ก็เริ่มระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา
“…”

“และถึงแม้ว่าจันทร์จะเคยเห็นบาดแผลของตัวเอง แต่จันทร์ก็ยังไม่เคยหวาดกลัวมากขนาดนี้” น้ำเสียงของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน กำลังสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ดวงตาของเขากำลังจับจ้องไปยังท้องแขนของตัวเองที่เต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งครั้งหนึ่งตนไม่เคยเข้าใจว่ามันเกิดมาจากอะไร แต่เมื่อทราบถึงการมีตัวตนของอัตลักษณ์อื่นอย่าง ‘กร’
บาดแผลที่ได้เห็นก็แอบแฝงไปด้วยความหมายอันน่าหวาดกลัว

“จันทร์ไม่อยากตาย และจันทร์ก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำหน้าที่ตรงนี้แทน” คนกำลังขวัญเสียกล่าวขณะที่น้ำตาก็ร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ ส่วนผมกลับลำคอแห้งผากขึ้นมาดื้อๆ เพราะทุกความรู้สึกกำลังตีตื้นอย่างรุนแรง
“…”

“พี่เข้าใจจันทร์นะ”
“…”

“แต่จันทร์พอจะรู้สาเหตุของการเกิดอัตลักษณ์มาจากด็อกเตอร์อาทิตย์แล้วใช่ไหม ?” ผมเอ่ยถามพลางกอบกุมฝ่ามือของคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังมีปฏิกิริยาตอบรับส่งมาให้
“ครับ”

“จริงอยู่ว่าชีวิตของจันทร์ตอนนี้กำลังมีความสุข แต่อดีตที่จันทร์ลืมมันไปอาจจะเป็นอดีตที่เจ็บปวดมาก และมันก็คงจะมากจนถึงขั้นที่จันทร์ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ จันทร์ก็เลยไม่กล้าจะทำให้ตัวเองสมปรารถนา จันทร์เลยสร้างกรวินท์ขึ้นมาเพื่อกระทำบางอย่างแทน ฉะนั้นความต้องการของเขาก็คือความต้องการในส่วนลึกของจันทร์” ผมพูดถึงความเป็นจริงให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา พลางลูบหลังฝ่ามือที่กำลังสั่นเทาเพียงเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“แต่จันทร์กลัว.. กลัวว่าวันหนึ่ง จะไม่มีใครช่วยจันทร์ได้ทัน”

“พี่สัญญาว่าต่อไปพวกเราจะดูแลจันทร์ให้รัดกุมมากขึ้น และจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” ผมกล่าวปลอบโยนพลางให้คำสัญญากับคนตรงหน้า ซึ่งผมครุ่นคิดเอาไว้แล้วว่าต่อไปเราจะเข้มงวดให้มากขึ้น เพราะกรเป็นอัตลักษณ์ที่ดื้อรั้น อีกทั้งยังมีความคิดที่อยากจะละทิ้งชีวิตอยู่เสมอ
นอกจากนี้เขายังเคยสวมรอยเป็นจันทร์มาเนิ่นนาน
ดังนั้นทักษะในการเล่นละครจึงเป็นไปอย่างมืออาชีพ

กระทั่งช่วงบ่ายมาเยือนทีมที่เกี่ยวกับเคสพิเศษของจันทร์ก็มีการจัดประชุมขนาดย่อยอย่างเร่งด่วน เพราะเหตุการณ์ในวันนี้เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกว่าครั้งก่อน ซึ่งผมกับด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เคยย้ำเตือนไปแล้วว่าอัตลักษณ์ของกรวินท์ เป็นอัตลักษณ์ที่จัดอยู่ในจำพวก ‘นอกคอก’ เพราะเขาไม่ค่อยเชื่อฟังใคร อีกทั้งความรู้สึกก็ยังแอบแฝงความว่างเปล่าเอาไว้ ดังนั้นโอกาสในการคิดสั้นก็ย่อมมีอยู่มาก ฉะนั้นการอ่านพฤติกรรมของคนไข้ให้ออกจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
ซึ่งการจดจำตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ในวินาทีแรก ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากและผมก็เข้าใจดี แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการแก้ตัวที่ดี เพราะ ณ ตอนนี้ มันกำลังหมายรวมไปถึง ‘ชีวิต’ ของคนในความดูแล

ผมจึงเสนอไปว่าพวกเราควรใช้ ‘เทียนหอม’ เข้ามาช่วยจำแนกอัตลักษณ์ของแต่ละคน เพราะเทียนหอมคืออุปกรณ์ที่คุณชลวิทย์เคยใช้จำแนกตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ ซึ่งมันคือความเคยชินของทุกคนไปแล้ว ดังนั้นการใช้มันเป็นตัวช่วย ย่อมไม่ทำให้พวกเขาเกิดความคลางแคลงใจที่นำมาสู่ความรู้สึกของการไม่เป็นที่ต้องการ
ส่วนช่วงที่จันทร์ในคราบของอัตลักษณ์ต่างๆ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมการบำบัดตามโปรแกรมที่วางไว้ แน่นอนว่าเทียนหอมอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ดังนั้นพยาบาลผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด จะต้องเป็นคนส่งข้อมูลตรงนี้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นการเข้าใจพฤติกรรมของคนไข้ก็ยังมีความจำเป็นอยู่มาก เพราะเคสนี้เป็นเคสที่มีความพิเศษ เนื่องจากแต่ละอัตลักษณ์มักจะสลับกันออกมาใช้ชีวิตอย่างไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ดังนั้นข้อมูลที่ได้รับและความเป็นจริง..
ย่อมมีโอกาสไม่ตรงกัน

ครั้นการประชุมเสร็จสิ้นก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังงานฌาปนกิจของคุณชลวิทย์ จึงทำให้ผมต้องเลิกงานเร็วกว่าปกติ เพราะผมลากิจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอดจะห่วงไม่ได้ก็คือความรู้สึกของจันทร์ เพราะเมื่อช่วงเช้าอีกฝ่ายยังต้องเผชิญกับสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว ขณะที่ตอนเย็นก็ยังต้องมาร่วมงานของลูกพี่ลูกน้องที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งปัจจุบันการจากไปของคุณชลวิทย์ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจของจันทร์เกิดความไม่เสถียรจนเป็นเหตุให้แต่ละอัตลักษณ์สลับกันออกมาใช้ชีวิตอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นสถานการณ์ในช่วงนั้น
อาจจะเกิด ‘ความชุลมุน’ ขึ้นก็เป็นได้

เมื่อถึงงานดังกล่าวแขกเหรื่อก็มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง หนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็หมายรวมไปถึงคุณพ่อของไอ้แนน ดังนั้นสัญชาตญาณแห่งการเชื่อมโยงจึงเริ่มทำงานขึ้น เพราะการปรากฏตัวของคุณลุงสามารถบ่งชี้ให้เห็นถึงความลับที่เคยถูกปิดบังไว้
อีกทั้งยังบ่งบอกได้ว่า..
เหตุการณ์ที่สะเมิงคุณป้าเล่าความจริงให้ผมฟังเพียงเสี้ยวเดียว

กระทั่งจันทร์ขอแยกตัวออกไปอยู่กับครอบครัว ผมจึงถือโอกาสนั้นเดินเข้าไปทักทายคุณลุงพิชิตผู้ซึ่งเป็นคุณพ่อของไอ้แนน หากแต่สายตาของผมก็ยังเหลือบมองไปทางจันทร์เป็นระยะๆ เพราะผมยังคงเป็นห่วงเจ้าตัวอยู่เสมอ และคุณลุงก็เพิ่งจะทราบว่าจันทร์ป่วยเป็นโรคหลายอัตลักษณ์ เราจึงได้โอกาสแลกเปลี่ยนเรื่องราวดังกล่าวร่วมกัน
จากนั้นคุณลุงก็พูดเปรยๆ ออกมาว่าจริงๆ แล้ว คุณแม่ของจันทร์เป็นเด็กที่คุณแม่ของท่านรับมาอุปการะ ส่วนคุณพ่อของจันทร์เคยเป็นคนงานในไร่เมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งยังมีฝีมือดีเสียด้วย จึงเป็นที่โปรดปรานของคนในครอบครัวเลยเป็นเหตุให้เขาได้รับความไว้วางใจราวกับคนในครอบครัว แต่เพราะความหน้ามืดตามัวเกี่ยวกับความรัก จึงทำให้เขาหลงผิดและคิดกระทำในสิ่งที่ไม่ควร แต่ทว่า ณ เวลานั้นคนที่บ้านยังไม่มีใครล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ จนกระทั่งคุณแม่ของจันทร์ขอแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง เพราะ ‘บ้าน’ อันเป็นสถานที่ปลอดภัย กลับกลายเป็นสถานที่อันโหดร้ายที่คอยย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ดังกล่าว หากแต่ความเป็นตระกูลผู้ดีแสนมีชื่อเสียงก็ส่งผลให้คนร้ายยังลอยนวลต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในข้อนี้ ยังคงเป็นความจริงที่หลอกหลอนความรู้สึกของคนที่ทราบเรื่องอยู่เสมอ
ดังนั้นทุกคนจึงไม่กล้าสู้หน้าจันทร์

แต่กระนั้นเมื่อทราบว่าเด็กชายผู้ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่กำลังต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็รีบยื่นมือเข้ามาช่วยและยังให้ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์พืชแก่คุณชลวิทย์จนเขามีวิชาติดตัว ซึ่งคุณชลวิทย์ก็มีพรสวรรค์ในส่วนนี้ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเขาได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อของจันทร์ก็เป็นได้ จากนั้นคุณลุงก็หาที่อยู่อาศัยตามความต้องการของสองพี่น้อง โดยคุณลุงจะเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด มันจึงตอบโจทย์ที่ผมแอบสงสัยอยู่นิดหน่อยว่าการขายผักเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณชลวิทย์มีกินมีใช้อย่างสบายๆ ได้อย่างไร
และจากความเป็นจริงในส่วนนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหดหู่เกี่ยวกับเรื่องคุณแม่ของจันทร์ แต่ผมก็พอจะเข้าใจดีว่าโดยพื้นฐานของครอบครัวนี้ แต่เดิมก็นิยมชมชอบความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นไอ้แนนคงไม่บ่นเกี่ยวกับเรื่องการดูตัวให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ
ดังนั้นความไม่ยุติธรรมจึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
และผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาด้วย เพราะผมเองก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้

หลังจากพิธีกรอ่านประวัติและคำไว้อาลัยของคุณชลวิทย์เรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็เป็นช่วงพิธีกรรมทางศาสนา จากนั้นเจ้าภาพก็เชิญแขกเหรื่อที่มาร่วมงานขึ้นวางดอกไม้จันทน์ ซึ่งในขณะนั้นเหตุการณ์ก็ยังปกติดีอยู่ จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งการเผาจริงเดินทางมาถึง จิตใจของจันทร์ก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่เสถียรเมื่อได้เห็นหน้าของลูกพี่ลูกน้องเป็นครั้งสุดท้าย
และมันก็นำมาสู่การปรากฏตัวของอัตลักษณ์อื่นๆ
ก่อนจบลงด้วยท่าทีแปลกๆ ราวกับเด็กอายุ 4 ขวบ

ซึ่งจันทร์ในคราบของอัตลักษณ์อันแปลกใหม่ กำลังมองจ้องไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกโชติช่วงอย่างแน่วแน่ ราวกับถูกอะไรบางอย่างสะกดความสนใจเอาไว้ จากนั้นเสียงร้องไห้ราวกับเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่สามารถควบคุมตนเองได้ก็ดังก้องไปจนทั่วบริเวณ
และคำว่า ‘ผมไม่ได้ตั้งใจ’ ก็เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบางครั้งก็ฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะอัตลักษณ์ที่คาดว่าน่าจะเป็น ‘จิม’ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก พร้อมกับมองไปยังสองมือของตนเอง
ราวกับว่า..
เปลวไฟอันโหมกระหน่ำ กำลังทำให้เด็กชายผู้แสนซนจำต้องย้อนคืนความทรงจำกลับไปยังวันวาน


゚゚❀゚゚

(09/08/2018 แก้คำตกและปรับประโยคให้อ่านสมูธขึ้น)
[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มาต่อแล้วจ้า แต่เราขอแจ้งก่อน คือเราไม่รู้ว่าเราเป็นกรดไหลย้อน หรือว่าเป็นแพนิคกันแน่ อาการมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน เรากินชานมไข่มุกไป แล้วเราก็คิดกังวลว่ามันจะติดคอหรือเปล่า เพราะช่วงนึงเราบ่นเจ็บคอ เคี้ยวลำบาก มันเลยกังวลเกี่ยวกับตรงนี้ แล้วเราก็คิดซ้ำๆ พยายามกลืนน้ำกลืนอะไร แต่มันก็ยังติดอยู่ในคอ จนแบบเราคิดว่าเรากำลังจะตายแล้ว เราเลยไปหาหมอ ปรากฏว่าเราไม่ได้เป็นอะไรเลย หัวใจเต้นปกติ หายใจปกติ และพอตอนอยู่กับหมอคืออาการบ้าๆ นั่นหายเฉย แต่พอนั่งรถกลับบ้าน มันมาหมด เราหายใจ แต่เรารู้สึกเหมือนกำลังจะไม่หายใจ มือสั่น จากนั้นมือเท้าก็ชา ตัวเบาๆ ลอยๆ เหมือนจะวูบ แล้วนาทีนั้นเรากลัวว่าเราจะตายเพราะวูบไปอีก (ไม่รู้เขียนนิยายเกี่ยวกับคุณชลวิทย์มากหรือไง เลยจำอาการมันไปกังวล) จะนอนก็คือนอนไม่ได้ เพราะมันหายใจไม่ออก กลัวจะไม่หายใจ แต่หมอบอกว่าโรคนี้มันเกี่ยวกับสารสื่อประสาท ยังไงต้องรอดูไปก่อน และการนอนดึกจะทำให้สารสื่อประสาททำงานผิดปกติ แต่ที่บ้านเราก็มีคนเป็นกรดไหลย้อน เค้าบอกว่าอาการมันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ฉะนั้นช่วงนี้เราเลยต้องจัดตารางชีวิตใหม่ และมันก็มีผลให้เรามีเวลาเขียนนิยายได้น้อยลง มันอาจจะช้าลงหน่อย เพราะเราปั่นได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ปล. ส่วนเนื้อหาในตอนนี้ มันอาจจะมีเครียดไปบ้าง และปมใหม่ก็เริ่มเฉลยไปเยอะแล้ว คิดว่าเกี่ยวกับจิมน่าจะเดากันได้ อ้อ เราถามหน่อยว่าเรื่องนี้อ่านยากมากมั้ย เพราะว่ามันแนววิเคราะห์สุด เราเห็นมีคนบอกว่าต้องมีสมาธิในการอ่านหนักมาก และก่อนหน้านี้ก็มีคนบอกว่ามันอ่านยาก แต่น่าจะปรับอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นแนววิเคราะห์หมดเลย และเราก็คิดว่าเรายังเขียนสื่อในมุมมองอื่นๆ น่าจะยังได้ไม่ดีพอ เพราะด้วยความที่มันจำกัดตรงที่พี่หมอเป็นคนบรรยายด้วยนี่แหละ 

ปล. 2 ตอนที่แล้วเรารีไรท์ใหม่ตรงนี้นะ เพราะเราพลาดตรงจุดนึงไป 555 (สารภาพเลยปมเยอะ เลยลืมอันที่ไม่ได้จดไว้)

“หมอครับ ที่จริงแล้ว.. อีกด้านหนึ่งของผม มันมีมากกว่าสองคนใช่ไหมครับ ?” จันทร์เอ่ยถามราวกับต้องการจะย้ำเตือนความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง ด้วยเพราะว่า วีดิโอที่คุณหมอเคยเอามาให้ดู มันมีอยู่แค่เพียงสองอัตลักษณ์เท่านั้น แต่จากคำยืนยันของคุณพีรวัตร มันกลับบ่งบอกได้ว่ามีอยู่สี่อัตลักษณ์

 “ใช่ครับ แต่ว่าตอนนี้เรายังสรุปจำนวนไม่ได้” สิ้นคำตอบของด็อกเตอร์ ก็คล้ายกับการสรุปความจริงให้ได้เห็น ดังนั้นทางเดียวที่จะช่วยให้เราทราบจำนวนของอัตลักษณ์อย่างแน่นอนได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในการต่อจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆ ให้ได้มากที่สุด
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 35 ❀ หน้า 3 (update 30/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 02-08-2018 11:55:06
มาซักทีนะจิม รอจนตาลายแล้ว 555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 09-08-2018 10:56:32
ตอน 36

เหตุการณ์เมื่อเย็นวานนี้ทำให้ผมได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการจากคำพูดของ ‘จิม’ ในทิศทางที่แตกต่างกับที่ชาวบ้านเล่าลือกัน ซึ่งประเด็นใหม่นี้ก็เป็นประเด็นที่ผมคาดว่าน่าจะกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของจันทร์เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้คนที่เล่นซนจนเกิดเรื่องจะเป็นจิม แต่ในความเป็นจริงเราเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจิมคืออีกด้านหนึ่งของจันทร์
ดังนั้นไม่ว่าใครเป็นคนลงมือกระทำ
ผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์ใจมากที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก

สิ่งหนึ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตก็คือ เพราะเหตุใด ‘เปลวไฟ’ จึงมีผลต่ออัตลักษณ์ของจิมในช่วงเวลานั้น ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกๆ อัตลักษณ์มักจะจุดเทียนหอมอยู่เสมอ ซึ่งการเข้าร่วมประชุมขนาดย่อมทำให้เราได้ถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ความไม่เสถียร’ อาจนำมาซึ่งการปลุกอัตลักษณ์อื่นๆ ที่ยังคงหลับใหลอยู่ก็เป็นได้
ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้..
จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่า ‘โชค’ กำลังเข้าข้าง

เช้าวันใหม่ประจำเดือนพฤศจิกายน จันทร์ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตวิทยาการปรึกษา โดยด็อกเตอร์อาทิตย์จะขอความร่วมมือจากคุณพีรวัตร เพื่อที่จะได้นำอัตลักษณ์ของจิมออกมาไขความลับ เนื่องจากเมื่อเย็นวานนี้ เด็กน้อยวัย 4 ปี ตื่นขึ้นจากการหลับใหล และมีโอกาสย้อนความทรงจำกลับไปยังวันวานเพียงครู่
จากนั้นก็เกิดอาการขวัญหนีดีฝ่ออย่างรุนแรง
‘ความลับ’ จึงยังคงเป็นเพียง ‘ข้อสันนิษฐาน’ ต่อไป

กระทั่งช่วงเวลาแห่งการรอคอยเดินทางมาถึง บันทึกการรักษาครั้งแรกของรอบเดือนก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมอันคุ้นเคย ซึ่งภายในห้องอันอบอุ่นก็ปรากฏภาพของบุคคลที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างด็อกเตอร์อาทิตย์ และเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่อยู่ในคราบของคุณนักเขียน

“สวัสดีครับคุณพีรวัตร” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวทักทาย ขณะที่กำลังเดินตรงมายังโซฟาเดี่ยวตัวเดิม 
“สวัสดีครับ” ฝ่ายคุณพีรวัตรก็ตอบรับด้วยท่าทียิ้มแย้ม ขณะที่ช่วงขาของเขาก็ยังนั่งไขว่ห้างเหมือนทุกครั้ง ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เราสามารถจับสังเกตได้ง่าย

“เดี๋ยวผมขออนุญาตบันทึกวีดิโอเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลเหมือนเดิมนะครับ” กระทั่งช่วงเวลาแห่งการทักทายผันผ่านไป ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มเอ่ยประโยคเบสิคเพื่อเข้าสู่บทสนทนาอันนำมาซึ่ง ‘ความจริง’
“ครับ”

“วันนี้ที่จริงแล้วผมกำลังอยากจะพบคุณอยู่พอดีเลยครับ” ด็อกเตอร์กล่าวด้วยท่าทียิ้มแย้ม เพียงแต่รูปประโยคที่สื่อสารออกไป กลับสื่อความหมายโดยนัยอย่างตรงประเด็น
“ถ้าให้ผมเดา คงเป็นเรื่องของจิมแน่ๆ” คุณนักเขียนกล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น พร้อมกับแสดงสีหน้าเหมือนกับคนกำลังถูกอกถูกใจที่ตัวเองสามารถคาดเดาความคิดของด็อกเตอร์จนหมดเปลือก

“ก็ประมาณนั้นครับ”
“แต่ครั้งนี้ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยคุณได้ เพราะหลายวันก่อนเป็นช่วงที่มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้น” คุณพีรวัตรกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ในต้นประโยค ขณะที่ท้ายประโยคกลับแสดงท่าทีแปลกๆ
คล้ายกับว่าสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

“เรื่องราวแปลกๆ ที่คุณพูดถึง ใช่เรื่องที่พวกคุณสลับกันออกมาใช้ชีวิตในระยะเวลาอันสั้นที่เทียบเท่าได้กับการหายใจเข้า แต่ยังไม่ทันหายใจออกหรือเปล่าครับ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามโดยเอาข้อมูลที่ได้จากจันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลักมาเชื่อมโยงกัน
“ใช่ครับ มันแปลกจริงๆ แต่ก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง”

“ข้อดีที่คุณว่าหมายถึงเรื่องอะไรครับ ?”
“ผมกำลังคิดว่าสถานการณ์แปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้น คงจะปลุกให้จิมตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต” หลังจากคุณนักเขียนเฉลยความคิดของตนเองแล้วด็อกเตอร์ก็รีบพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“ใช่ครับ ผมเห็นด้วยกับความคิดของคุณ และสถานการณ์แบบนั้นพวกเราก็เรียกมันว่า ‘ความไม่เสถียร’”
“แล้วความไม่เสถียรในที่นี้ มันเกิดขึ้นจากอะไรเหรอครับ ?”

“ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ไม่คงที่ของคุณเพียงจันทร์”
“ก็มีความเป็นไปได้ครับ เพราะเขาคงจะเสียใจมาก” คุณพีรวัตรกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่แววตายังคงแน่นิ่งราวกับเขากำลังจินตนาการภาพของจันทร์อยู่ในหัว และมันคงจะทำให้เขานึกเห็นใจน้องชายคนนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ที่อีกฝ่ายต้องเผชิญช่างเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้สำหรับจันทร์

“ใช่ครับ.. แต่ว่าถ้าลองเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าในตอนนี้คุณเพียงจันทร์ก็เข้มแข็งขึ้นมากเลยล่ะครับ” สิ้นคำยืนยันของด็อกเตอร์คุณนักเขียนก็ส่งยิ้มออกมาเพียงนิด
“อ้อ แล้วก็เมื่อวานก่อนที่ผมจะออกมาใช้ชีวิต ดูเหมือนว่า ‘จิม’ จะได้รับสิทธิ์นั้นด้วย” แต่แล้วประโยคดังกล่าวของคุณพีรวัตรก็ทำให้ผมรู้สึกว่าบทสนทนาที่ผ่านมา พวกเราต่างก็พูดคนละเรื่องเดียวกัน
เนื่องจากประโยคเมื่อครู่สามารถตีความได้ว่า..
อัตลักษณ์ของ ‘จิม’ เคยออกมาใช้ชีวิตเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่จันทร์กำลังเกิดความไม่เสถียร หาใช่ช่วงที่ไปร่วมงานฌาปนกิจกิจแต่อย่างใด

“ใช่ครับ เราได้รับคำยืนยันมาจากคุณจิรภัทร วันนี้ผมเลยอยากให้คุณช่วยเจรจากับเด็กคนนั้นสักหน่อย เพราะเมื่อวานเขาออกมาใช้ชีวิตในช่วงที่กำลังทำพิธีฌาปนกิจของคุณชลวิทย์ แล้วพูดทิ้งท้ายในทำนองว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจ..?” สิ้นคำอธิบายอันลงลึกของด็อกเตอร์ คุณพีรวัตรก็เอ่ยพึมพำเพียงเบาๆ ขณะที่หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นเป็นปมอย่างแน่นหนา
ราวกับว่า..
ข้อสันนิษฐานของเขากำลังตรงกันกับของผมเข้าให้แล้ว

“ครับ พวกเราก็เลยคาดเดากันเอาเองว่า ‘ความไม่ได้ตั้งใจ’ อาจจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุไฟไหม้ที่เป็นบ่อเกิดของความสูญเสีย จนทำให้คุณเพียงจันทร์ คิดจะตัดขาดจากความทรงจำนั้น และตัดขาดจากความเป็นตัวเองด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของคุณลียากรขึ้นมา”

ขณะที่ด็อกเตอร์กำลังอธิบายข้อสันนิษฐานที่ผมไม่ได้เล่าให้คุณนักเขียนฟัง ตั้งแต่ตอนที่เขามีโอกาสออกมาใช้ชีวิตต่อจากจิม ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าความเป็นจริงกับข้อสันนิษฐาน จะต้องไม่มีมูลเหตุที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เนื่องจากเหตุผลที่ทำให้จันทร์ต้องสูญเสียช่างเป็นเหตุผลที่ยากจะทำใจ
และผมก็เชื่อว่าจันทร์จะต้องเจ็บปวดกับมันมากที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นการรักษามันจะเป็นทางเลือกที่ดีเหรอครับ ?” คุณพีรวัตรเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะการรักษาจะต้องนำมาซึ่งความเจ็บปวด
“สำหรับผมแล้ว แม้ว่าการรักษาจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่หลังจากนั้นจะทำให้เกิดการยอมรับ แล้วคุณเพียงจันทร์ก็จะเข้มแข็งมากขึ้น และใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ง่ายขึ้น” สิ้นคำอธิบายของด็อกเตอร์ คุณนักเขียนก็ทำเพียงส่งยิ้มบางๆ เพื่อตอบรับคำกล่าวนั้น และความรู้สึกของเขาในวินาทีนี้ คงไม่แตกต่างกับวินาทีแรกที่ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพราะผมเองก็มีทางเลือกอยู่เพียงสองทาง คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับจันทร์ที่อาจจะเปรียบเสมือนการโยนความเจ็บปวดเข้าใส่เจ้าตัวในวันนี้ หากแต่วันข้างหน้าเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็จะเติบโตในด้านของความรู้สึก ขณะที่อีกทางเลือกหนึ่งก็คือการเลือกเดินไปยังเส้นทางแห่งความอ่อนแอ โดยที่วันข้างหน้าเราจะยังมีโอกาสได้เห็นคนคนนี้คอยส่งยิ้มให้อีกหรือเปล่าก็ยังเป็นคำถามที่ให้คำตอบได้ยาก เพราะมันก็มีเคสที่กว่าจะได้รับการรักษา..
อัตลักษณ์หลัก..
ก็ถูกกลืนกินอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาเจรจาสักครู่” คุณนักเขียนกล่าวพลางหดตัวลงเพียงเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากก็ขยับไปมาเพียงเบาๆ คล้ายกับเจ้าตัวกำลังเจรจาอยู่กับอัตลักษณ์ของเด็กชายวัย 4 ขวบ ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ก็ดูท่าว่าจะมากกว่าตอนที่พูดคุยกับจันทร์เสียอีก
และสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น คงจะเป็นเพราะว่า..
ทั้งสองอัตลักษณ์ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว

“ท..ทำไมถึงอยากคุยกับผมล่ะครับ” สิ้นคำถามดังกล่าวจึงทำให้ผมทราบว่าเวลานี้ผู้ที่ออกมาควบคุมจิตวิญญาณน่าจะเป็น ‘จิม’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ก่อเรื่องวุ่นวายมากที่สุด
“หนูชื่อจิมใช่ไหม ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์ส่งยิ้มไปให้เจ้าของคำถาม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ฉายแววแห่งความใจดีอย่างเปี่ยมล้น หากแต่เจ้าหนูวัย 4 ขวบกลับยังตื่นกลัวไม่หาย ซึ่งท่าทีของบุคคลตรงหน้าก็ดูจะแตกต่างจากกิติศัพท์ที่พวกเราเคยได้ยิน เลยส่งผลให้ด็อกเตอร์ ต้องเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามเพื่อความแน่ใจ
เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเรายังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของอัตลักษณ์ที่จันทร์สร้างขึ้น

“ค..ครับ พี่พีบอกว่าหมออยากคุยกับผม” เด็กชายตรงหน้าตอบรับด้วยท่าทีของคนที่ยังตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับในอดีตมันเคยเกิดเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน จึงส่งผลให้เด็กชายผู้แสนซนกลายร่างเป็นเด็กชายผู้แสนเรียบร้อยร้างไร้ซึ่งความมั่นใจ
“อื้ม เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีไหม ?” สิ้นคำกล่าวของด็อกเตอร์ เด็กชายตัวน้อยก็เอาแต่นั่งเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถอดใจแต่อย่างใด

“หมอชื่ออาทิตย์นะ ตอนนี้หนูอายุเท่าไหร่ครับ ?” ด็อกเตอร์เริ่มแนะนำตัวด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมทั้งเอ่ยถามเด็กชายตัวน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“4 ขวบครับ”

“แล้วหนูมีพี่น้องกี่คน ?”
“3 คนครับ” อดีตเด็กชายผู้แสนซนกล่าวพร้อมกับชูสามนิ้วประกอบคำพูด

“หนูพอจะจำได้ไหมว่าหนูมีโอกาสตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามหลังจากทิ้งช่วงไปนานมาก คล้ายกับเขากำลังจนมุม เนื่องจากการสอบถามในครั้งนี้จะต้องเจาะลึกให้ได้ว่าอัตลักษณ์ของจิม เกิดขึ้นพร้อมๆ กับจันทร์จริงหรือไม่
“คุณหมอหมายถึงวันเกิดเหรอครับ ?” เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงวย ราวกับคำถามดังกล่าวยากจะทำความเข้าใจ

“อื้ม หมอหมายถึงวันเกิดนั่นแหละ”
“ผมจำวันที่ไม่ได้ครับ แต่ผมเกิดหลังจากพี่จันทร์กับพี่ลี” คำตอบของเด็กชายวัย 4 ขวบ เล่นเอาผมอึ้งไม่น้อย เพราะอัตลักษณ์ของจิมน่าจะเป็นอัตลักษณ์ที่เกิดจากความไม่อบอุ่นในครอบครัว ซึ่งเราไม่เคยคาดเดาไว้เลยว่าอัตลักษณ์ดังกล่าวจะเป็นครอบครัวเดียวกับจันทร์

“อืม.. หนูเกิดหลังจากพี่จันทร์กับพี่ลีประมาณกี่ปีเหรอ ?”
“ผมไม่รู้..” จิมตอบพลางส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา

“ถ้าอย่างนั้น หนูพอจะจำได้ไหมว่าครั้งแรกที่หนูลืมตาขึ้นมา หนูมองเห็นอะไร ?”
“ที่นอนสูงๆ ครับ มีของผมแล้วก็ของพี่ลีกับพี่จันทร์” น้องจิมกล่าวพลางทำไม้ทำมือประกอบคำพูด เพื่ออธิบายว่า ‘ที่นอนสูงๆ’ ที่เจ้าตัวกำลังพูดถึงมีหน้าตาเป็นอย่างไร และทันทีที่ผมตีความคำเฉพาะนั่นได้ ก็ทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่าในขณะนั้นจันทร์อายุเท่าไหร่ เพราะเด็กวัยที่ต้องนอนเปลก็มีอยู่ตั้งหลายช่วงวัย

“ตอนนั้นตัวหนูประมาณเท่านี้หรือเปล่า ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามพลางทำท่าทางราวกับกำลังอุ้มลูกน้อยในวัยแบเบาะ
“ครับ” จิมยืนยันพร้อมกับพยักหน้าสำทับ ซึ่งมันทำให้ผมพอจะเข้าใจได้ว่าอัตลักษณ์ดังกล่าว อาจจะเกิดหลังจากจันทร์กับน้องลีลืมตาดูโลกได้เพียงไม่นาน จึงทำให้ครอบครัวของทั้งคู่กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน

“แล้วตอนนั้นหนูเคยหลับตาและหายตัวได้หรือเปล่า” ด็อกเตอร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เริ่มตั้งคำถามที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการคิดวิเคราะห์ต่อไป 
“เคยครับ บ่อยด้วย”

“แล้วหนูตกใจไหม ?”
“ไม่ครับ” น้องจิมเอ่ยตอบพลางส่ายหัวประกอบคำพูด

“ทำไมล่ะ ?”
“ก็ทีพี่จันทร์ยังหายตัวได้เลย”

“หนูหมายถึงยังไงเหรอที่บอกว่าพี่จันทร์หายตัวได้” ด็อกเตอร์เอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าจิมคืออัตลักษณ์ที่จันทร์สร้างขึ้นเพื่อให้เข้ามารับมือกับความไม่อบอุ่นในครอบครัว
“ทุกคนชอบเรียกหาพี่จันทร์บ่อยๆ เพราะว่าพวกเขามองไม่เห็น” คำตอบของเด็กชายจิมทำให้ผมตีความได้อีกว่าการที่ทุกคนรอบๆ ตัว ร้องเรียกหาแต่จันทร์ น่าจะเป็นเพียงการเรียกชื่อตามปกติ แต่ในมุมมองของเด็กชายตัวน้อยกลับกลายเป็นการร้องเรียกหาจันทร์ ผู้ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น
ฉะนั้นอัตลักษณ์ดังกล่าว..
จึงเข้าใจว่าจันทร์ก็สามารถหายตัวได้เหมือนกับที่เจ้าตัวกำลังเป็น

“แต่กับผม ไม่มีใครสนใจผมเลย..” น้องจิมกล่าวเสริมพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นและยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ ซึ่งผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของอัตลักษณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าในความรู้สึกของอีกฝ่าย คงจะไม่แตกต่างกับตอนที่อัตลักษณ์อื่นๆ รู้สึกไม่มีตัวตนและไม่เป็นที่ต้องการเมื่อต้องถูกร้องเรียกด้วยชื่อเสียงเรียงนามของจันทร์
“เพราะแบบนี้ หนูก็เลยต้องทำตัวดื้อดึงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคนใช่หรือเปล่า ?”  สิ้นคำถามของด็อกเตอร์เด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้ารับพลางสะอึกสะอื้นไม่หยุด แถมยังทำท่าจะหนักหนากว่าเดิมด้วย

ขณะที่ผมก็เริ่มจะมองภาพรวมของเหตุการณ์ในวันวานได้เป็นฉากๆ เพราะจากคำบอกเล่าของป้าเข็มตอนที่ได้เจอกันที่งานของคุณชลวิทย์ท่านให้ข้อมูลว่าที่จริงแล้วคุณแม่ของจันทร์เคยคิดจะทำแท้ง แต่คุณพ่อของจันทร์ทราบเรื่องเสียก่อน จึงขันอาสาจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ทว่าจิตใจที่มันบอบช้ำกลับไม่สามารถเยียวยาด้วยอะไรได้อีก
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณแม่ของจันทร์เกิดลื่นล้ม แต่โชคยังดีที่เด็กๆ ปลอดภัย คุณแม่ก็เลยไม่คิดจะทำลายเด็กๆ อีก แต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่ได้เห็นใบหน้าของลูกๆ เรื่องราวอันเลวร้ายก็ตามมาหลอกหลอน ท่านจึงเลือกพึ่งพาของมึนเมา และความไม่มีสติก็ทำให้ท่านเผลอทำร้ายร่างกายของเด็กๆ จนกลายเป็นบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เพราะเท่าที่ผมจำได้ขนาดว่าจันทร์กับลีหิวนมท่านก็ยังไม่สนใจ และป้าเข็มก็ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าเด็กๆ ไม่เคยดื่มนมจากอกแม่สักครั้ง แต่ครั้นจะเอาเด็กๆ มาเลี้ยงเองคุณแม่ท่านก็ไม่ยอม
ซึ่งการไม่ยอมก็คือการแสดงความรักในรูปแบบของท่าน

ดังนั้นจันทร์จึงหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของจิมตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวยังไม่ทันรู้ความ ซึ่งจิมก็คงจะได้รับการปฏิบัติตัวไม่แตกต่างกับจันทร์ เมื่ออีกฝ่ายเติบโตขึ้นจึงเลือกที่จะเรียกร้องความสนใจกับคนสำคัญด้วยการทำตัวดื้อรั้น
และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อตอกย้ำกับทุกคนว่า..
เขาไม่ใช่ ‘เพียงจันทร์’ แต่เป็น ‘จิม’ ที่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว

“จิม.. หนูพอจะเล่าถึงการเล่นซนในตอนนั้นให้หมอฟังได้ไหม?”
“…”

“คือหมออยากจะรู้ว่ามันสำเร็จหรือเปล่า”
“…” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กชายจิมก็เอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมหยุด คล้ายกับว่าการเรียกร้องความสนใจจากผู้คนรอบกาย ไม่ว่าจะขุดเอาวิธีใดออกมาก็ไม่ตรงกับจุดประสงค์ของเด็กชายตรงหน้า

“ที่ไม่สำเร็จเป็นเพราะหนูอยากให้ทุกคนได้รู้ว่าผลงานพวกนั้น เป็นฝีมือของคนที่ชื่อจิมใช่หรือเปล่า?”
“ครับ” เด็กน้อยตอบรับเสียงสั่นพลางสะอื้นไห้ไม่ต่างจากเดิม

“หมอเข้าใจหนูนะ เข้าใจทุกอย่างเลย และที่นี่ก็จะไม่มีใครปฏิเสธการมีตัวตนของหนู” ด็อกเตอร์เอ่ยปลอบใจเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ เนื่องด้วยสภาพจิตใจของจิมก็บอบช้ำไม่ต่างกับจันทร์ หรือบางทีก็อาจจะหนักกว่าตอนที่จันทร์อยู่ในช่วงวัย 4 ปีก็เป็นได้ เพราะในขณะที่จันทร์ยังมีน้องลี คุณพ่อ และน้าเข็ม รวมไปถึงคุณแม่ที่ก็เคยแสดงความรักอยู่บ้าง
แต่เด็กน้อยอย่างจิมกลับไม่มีใครเลย

“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องเมื่อวานกันดีกว่า”
“…”

“ทำไมตอนนั้น หนูถึงหายตัวมาอยู่ที่งานฌาปนกิจได้ล่ะครับ ?”
“ผมเห็น.. ฟ..ไฟ..” เด็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ขณะที่สายตาก็สอดส่ายไปมาอย่างคนตื่นกลัว

“แล้วเปลวไฟทำให้หนูนึกถึงอะไรเหรอจิม ?” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กชายจิมก็เหม่อมองออกไปยังหนทางข้างหน้า คล้ายกับคำถามดังกล่าวทำให้เขาหวนคืนกลับไปยังวันวานอีกครั้ง
“เปลวไฟ..” จิมกล่าวพึมพำพลางบีบมือทั้งสองข้างของตัวเองเป็นระยะๆ

“ทำให้ผมนึกถึงวันที่ตัวเองกำลังเล่นไม้ก้านเล็กๆ จากนั้น.. ไฟก็ลุกขึ้น ผ..ผมก็เลยตกใจ..” เด็กชายวัย 4 ขวบเริ่มขยายความด้วยท่าทีของคนกำลังเหม่อลอย หากแต่น้ำตากลับไหลอาบเป็นทาง
“แล้วผมก็ปล่อยมันลงกับพื้น..”

“จากนั้นไฟก็ไหม้บ้านทั้งหลัง ผมกลัวมาก ก็เลย.. หลับตาและหายตัวไปจากที่นั่น”


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ถ้ายังมีคำผิดอยู่เดี๋ยวเรามาแก้อีกทีนะคะ สำหรับตอนนี้น่าจะคลายข้อสงสัยบางส่วนไปบ้างแล้ว ซึ่งอันที่จริงก็มีคนเดาถูกมาตั้งแต่ตอนที่เราลงไปได้ประมาณสิบกว่าตอนหรือเปล่าไม่แน่ใจ และจริงๆ แล้ว น้องจิมเองก็น่าสงสารเหมือนกัน เพราะว่าจันทร์เจอแบบไหน จิมเองก็เจอแบบนั้น และพ่วงด้วยการไม่มีตัวตนไปอีก มันก็จะคูณกันเข้าไป ฉะนั้นในช่วงที่น้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความดื้อก็เลยหายไป เพราะว่าจริงๆ แล้ว จิมก็แค่ต้องการจะมีตัวตนในสายตาของทุกคนที่รู้จักกับจันทร์ ส่วนเรื่องไฟไหม้ มันก็คือความเป็นเด็กอ่ะเนอะ และอีกอย่างของแบบนี้มันจะต้องเก็บไว้ให้ห่างจากมือเด็ก แต่เพราะความที่แม่ก็ไม่ค่อยจะสนใจลูกอยู่แล้ว มันก็เลยเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ขึ้น

ปล. เราไม่รู้ว่าทุกคนจะงงๆ อีกหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้เราไม่ได้เขียนลากยาวทีเดียวจบ คือเดี๋ยวนี้เราเขียนได้ทีละนิดก็ต้องรีบเข้านอนละ มันเลยไม่ค่อยจะต่อเนื่องทางอารมณ์เท่าไหร่ แต่อีกนิดเรื่องนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว และเราก็แพลนว่าจะเขียนเรื่องที่มันเบาสมองหน่อย เพราะเรากลัวว่าตัวเองจะเครียดตามไปด้วย T^T
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-08-2018 14:42:33
ถึงจุดพีคสักที, แต่ยังขาด nc คุณพีรวัตรกับคุณหมอ >\\\<
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-08-2018 15:33:42
โอ้โหหห นี่คือสาเหตุที่จิมหายไปนานสินะคะ สงสารทุกอัตลักษณ์ในตัวน้องเลย นับถือคนเขียนที่รีเสิร์ชข้อมูลมาแน่นมาก สนุกแบบพีคในพีคในพีคคค อยากชวนคนทั้งโลกให้มาอ่าน ติดตามตอนต่อไปค่าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 12-08-2018 17:27:32
ตามมาfav.ไว้เรื่องนี้ต้องใช้สมาธิอ่านสูงจะค่อยๆอ่านนะคะเป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 13-08-2018 00:26:55
เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ ตามลุ้นไปด้วยมากเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 13-08-2018 18:56:59
ตัวหนังสือติดกันเกิน อ่านไม่ไหวลายตา555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 14-08-2018 15:30:26
นิยายดีมากๆๆๆๆๆๆค่ะ ข้อมูลแน่นมาก นับถือคนเขียนเลยที่ทุ่มเท น่าเสียดายที่ดูคนอ่านน้อยๆ แต่ก็ไม่แปลกใจ ไม่ใช่ว่านิยายไม่น่าติดตามนะคะ แต่เท่าที่สังเกตดู นิยายหลายๆเรื่องที่บทบรรยายเยอะมากๆจะไม่ค่อยมีคนอ่าน... น่าเสียดายแทนคนที่พลาดรวมทั้งเราด้วยที่เกือบพลาดนิยายดีๆไปแล้ว รอตอนต่อนะคะ:)))
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: minipuri ที่ 16-08-2018 22:13:09
หูววววววว คืเห็นรีวิวแล้วเข้ามาอ่าน ไม่ผิดหวังเลยค่ะสนุกมากๆๆๆๆๆเรื่องราวน่าติดตามมากเลยค่ะ พลิกแล้วพลิกอีก รายละเอียดค่อนข้างมากแต่ก็เขียนอธิยายให้เข้าใจได้ไม่ยาก ร่าสงสารน้องจันทร์นะคะ การเดินหน้าต่อมันยากมากๆ เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์นะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 17-08-2018 12:45:26
เราอ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด บอกเลยว่าสุดยอดมาเรื่องนี้ปมที่นักเขียนเขียนไว้ดูสมจริงมีที่มาซับซ้อน อ่านแล้วสนุกมาคิดตามทุกตอนเลยว่าน้องจันทร์ผ่านอะไรมาบ้าง

เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนใหม่ไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 36 ❀ หน้า 3 (update 09/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BB-c-TOO ที่ 17-08-2018 19:19:17
อ่านถึงตอนที่32 แล้วเราเบรคก่อนเลยคะ 5555
เนื้อเรื่องเน้นมาก ครบถ้วนในสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารให้คนอ่าน ผู้เขียนเก่งมากกกกกกจริงๆคะ .. ตอนแรกเรากลัวดราม่า ใจบางอะเลยไม่อ่านสักที พอได้อ่านแล้ว ทึ่งมากที่ผู้เขียนเก็บรายละเอียดได้ขนาดนี้ เข้มขึ้น ต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกที่เข้มข้นไปกับตัวละคร อ่านแล้วอินมากกก .. ที่เราเบรคการอ่านเพราะอินมา จนเก็บไปฝัน 55555 ตอนตื่นยังงงๆอยู่เลยว่า นี่ฝันอะไรกันแน่ แต่สรุปว่า เรื่องดีจริงๆคะ ห้ามพลาดๆๆๆๆๆด้วยประการทั้งปวง
ปล.จะhappy end หรือไม่ ก็จะอ่านต่อไปปปปปป  :ling3:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 18-08-2018 13:57:36
ตอน 37

จากคำบอกเล่าของจิมผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์แรกเริ่ม ทำให้ทีมรักษาสามารถตีความได้อีกว่าก่อนหน้านั้นเด็กคนนี้อาจจะเอาพวกน้ำมันหรืออะไรสักอย่างมาเล่น จึงทำให้ไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียวสามารถย้อมบ้านทั้งหลังให้ตกอยู่ในทะเลเพลิง ด้วยความหวาดกลัวจึงทำให้ผู้ก่อเหตุเลือกจะแก้ปัญหาด้วยการหลับตาและตัดขาดจากความทรงจำดังกล่าวตลอดกาล
ซึ่งในช่วงเวลานั้นจันทร์ก็ตื่นจากการหลับใหล และพบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในทะเลเพลิงอันน่าหวาดหวั่น จากนั้นพวกป้าเข็มและคุณพ่อก็คงจะทราบเรื่อง จึงตัดสินใจเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าไปช่วยเหลือบุคคลสำคัญ โดยที่ลำดับของการช่วยเหลือ จันทร์น่าจะเป็นบุคคลแรกที่คุณพ่อค้นเจอ หากแต่ภายในนั้นยังมีอีกสองบุคคลสำคัญติดอยู่ข้างใน
การช่วยเหลือจึงดำเนินต่อไป..
เพียงแต่คราวนี้ ‘โชค’ กลับไม่เข้าข้าง

ดังนั้นทางทีมรักษาจึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ‘ความลับ’ อันเป็นสถานการณ์ที่สุดแสนจะละเอียดอ่อน ยังไม่ควรเปิดเผยให้จันทร์รับรู้ เนื่องจากสถานการณ์ทางอารมณ์ของอีกฝ่ายยังไม่คงที่มากนัก เพราะเจ้าตัวเพิ่งจะสูญเสียลูกพี่ลูกน้องไปหมาดๆ และก็เพิ่งจะทราบความจริงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของน้องลียากรได้ไม่นาน

ส่วนตารางกิจกรรมที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจะต้องเข้าร่วมในวันนี้ คือการออกกำลังกายในช่วงเช้า ต่อด้วยการใช้ศิลปะบำบัด จากนั้นช่วงพักเที่ยงก็ต้องยกให้เป็นเวลาส่วนตัวของป้าเข็มที่ลงทุนเดินทางมาจากสะเมิง ขณะที่ตอนบ่ายก็คือช่วงเวลาของการบำบัดที่ว่าด้วยการปรึกษา
ตามแผนแล้ววันนี้ด็อกเตอร์อาทิตย์จะขอความช่วยเหลือจากคุณพีรวัตร เพื่อให้น้องลียากรเป็นคนออกมาใช้ชีวิตและนำพาเด็กสาวคนดังกล่าว เดินทางกลับไปยังความทรงจำในวันวานที่น่าจะเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ 
จากนั้นทางทีมรักษาก็จะเริ่มสรุปถึงการมีอยู่ของอัตลักษณ์ต่างๆ อย่างละเอียด

กระทั่งช่วงเวลาแห่งการรอคอยมาถึง ผมก็ไม่รอช้าที่จะเปิดบันทึกการรักษาและเฝ้าสังเกตการณ์จนกระทั่งทราบว่าบุคคลที่กำลังปรากฏตัวอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยม
ก็คือ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก

“สวัสดีครับหมอ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวทักทายด็อกเตอร์ ผู้ซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดองศาของมุมกล้องวีดิโอ
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์” จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตอบรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พร้อมกับเดินไปนั่งยังโซฟาเดี่ยวตัวเดิมที่อยู่ไม่ไกลจากอีกฝ่ายมากนัก

“เอ่อ.. คือว่า.. เมื่อเร็วๆ นี้ หมอได้พูดคุยกับอัตลักษณ์ใหม่ๆ ของผมบ้างหรือเปล่าครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างไม่แน่ใจ
“ครับ พวกเราเพิ่งได้คุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”

“ตัวตนของเขาเป็นยังไงเหรอครับ ?”
“เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุ 4 ขวบที่เติบโตมาพร้อมกับคุณ เพียงแต่ในตอนนั้นมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จิมก็เลยเลือกที่จะหลับตาและตัดขาดจากความทรงจำทั้งหมด อายุของเขาก็เลยหยุดอยู่แค่ช่วงเวลานั้น” ด็อกเตอร์อธิบายเพียงอ้อมๆ เนื่องจากมันยังไม่ถึงเวลาที่จันทร์จะต้องรับรู้เรื่องราวดังกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นจิมก็คือคนที่ก่อเรื่องวุ่นวายจนทำให้ผมต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหกใช่หรือเปล่าครับ ?”
“ใช่ครับ แต่ที่เขาต้องทำอย่างนั้น เพราะเขาต้องการจะเรียกร้องความสนใจจากทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้รับรู้และเข้าใจว่าเขาคือจิมไม่ใช่คุณ”

“แสดงว่าจิมในวันนั้น คงจะรู้สึกไม่ต่างกับผม หรือบางที.. เขาอาจจะรู้สึกแย่กว่าด้วยซ้ำ” จันทร์เอ่ยพลางส่งยิ้มเศร้าๆ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวยังคงเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวจดจำได้ดีว่ามันแย่แค่ไหน
 “ผมดีใจนะครับที่คุณเข้าใจเด็กคนนั้น”

“คงเป็นเพราะพวกเราต่างก็ได้พบเจอกับเรื่องราวแย่ๆ เหมือนกันมั้งครับ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพลางยกยิ้มเพียงบางๆ ขณะที่ด็อกเตอร์ก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับไปให้คนไข้ในความดูแล
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เริ่มขาดช่วง..

“ตามแผนการรักษาแล้ว ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผมต้องเร่งค้นหาชิ้นส่วนจากความทรงจำ เพื่อที่เราจะได้ทราบว่าช่องว่างในอดีตมันเคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นและมีการเกิดของอัตลักษณ์ใดบ้าง จากนั้นพอเราทราบถึงการมีอยู่ที่แน่นอนแล้วก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการหลอมรวม”
“ในส่วนนี้ผมคิดว่าหมออาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ แล้วล่ะครับ เพราะความทรงจำของผมในทิศทางแย่ๆ ก็มีแต่ความไม่อบอุ่นในครอบครัวและการถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก”

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนคุณเพียงจันทร์ช่วยติดต่อกับคุณพีรวัตรให้ผมหน่อย”
“ได้ครับ” สิ้นคำตอบรับของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ลำตัวของเขาก็ห่อลงจากนั้นริมฝีปากก็ขยับไปมาเพียงเบาๆ โดยที่เราไม่มีทางได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเลย
จนกระทั่งท่านั่งอันเป็นเอกลักษณ์ปรากฏขึ้น..

“คุณอยากให้ผมช่วยเรื่องอะไรเหรอครับ ?” คุณนักเขียนเอ่ยถามด็อกเตอร์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผมต้องการจะค้นหาจิ๊กซอว์อันเป็นชิ้นส่วนจากความทรงจำ โดยมีคุณเป็นผู้ช่วยเพราะตอนนี้จากไทม์ไลน์ที่ผมสรุปได้ ยังมีช่องว่างที่ค่อนข้างใหญ่หลงเหลืออยู่”

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยสรุปไทม์ไลน์พวกนั้นให้ผมฟังสักหน่อยได้ไหม เผื่อผมต้องใช้สื่อสารกับคนอื่นๆ”

“เด็กชายจิมคืออัตลักษณ์แรกเริ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับคุณเพียงจันทร์ พวกเขาสองคนจึงมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาต่างก็ใช้ครอบครัวร่วมกัน ซึ่งพื้นฐานของครอบครัวนี้ไม่ค่อยจะอบอุ่นนัก และตลอดมาก็ไม่เคยมีใครรับรู้อีกด้านหนึ่งของคุณเพียงจันทร์ ส่งผลให้จิมเลือกจะก่อเรื่องราววุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน โดยมีเป้าหมายก็เพื่อเรียกร้องความสนใจ จึงทำให้ทั้งเขาและคุณเพียงจันทร์ รวมไปถึงคุณลียากรต้องตกอยู่ในวังวนของการถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก ซึ่งต่อมาอัตลักษณ์ดังกล่าวเลือกจะตัดขาดจากความทรงจำของตนเองเมื่อตอนอายุ 4 ขวบ ด้วยสาเหตุของการเล่นซนจนนำพาให้บ้านทั้งหลังต้องตกอยู่ในทะเลเพลิง และก็เป็นเหตุให้ทุกคนในครอบครัวต้องจบชีวิตลง ซึ่งปมดังกล่าวทำให้อัตลักษณ์ของคุณลียากรถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิเสธการสูญเสีย”
“หลังจากนั้นคุณเพียงจันทร์ก็ย้ายมาอยู่กับครอบครัวทางฝั่งพ่อ และผมก็คิดว่ามันน่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการล่วงละเมิดทางเพศโดยบุคคลในเครือญาติ เพราะคุณลียากรมักจะชอบออกไปเดินเล่นที่สวนเก๊กฮวยตอนกลางคืน โดยสวมใส่ชุดกระโปรงที่แอบขโมยมาจากน้าสาว ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจว่าระยะเวลาของการกระทำดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไหน เพราะช่องว่างที่เราค้นเจอมันยาวนานถึง 7 ปีเต็ม ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเกิดอัตลักษณ์ใหม่ๆ ขึ้นในช่วงเวลานั้น”

จากบทสรุปที่ด็อกเตอร์ถ่ายทอดออกมาให้คุณนักเขียนรับฟัง ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของจันทร์ว่าเขาเคยได้ยินเสียงของผู้หญิงดังก้องอยู่ในหัว ซึ่งเดิมทีเราเคยเข้าใจว่าเสียงดังกล่าวคือเสียงของน้องลียากร แต่พอช่วงที่จันทร์ได้รับรู้ถึงการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกัน ผมจึงเริ่มนึกเอะใจว่าที่จริงแล้วเสียงดังกล่าวคงไม่ใช่เสียงของน้องลียากร
เนื่องจากจันทร์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า..
เสียงของน้องลีคือเสียงที่เขาคุ้นเคย และเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้..

“คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมที่การล่วงละเมิด อาจจะเกิดกับลีและจันทร์ รวมถึงการมีอคติเกี่ยวกับเพศที่สามของผมก็น่าจะเกี่ยวเนื่องมาจากเหตุการณ์นี้” คุณพีรวัตรเอ่ยถามอย่างคิดวิเคราะห์ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้สูง
“ครับ ผมเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

“ช่องว่างใหญ่ขนาดนี้ ผมคิดว่าเราคงต้องพึ่งพาลียากรอย่างมากเชียวล่ะ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางยกยิ้มเพียงบางๆ จากนั้นลำตัวของเขาก็ห่อลงขณะที่ริมฝีปากก็ขยับไปมาเพียงเบาๆ
ราวกับ..
เขากำลังสนทนากับใครบางคนที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องทั้งหมด

“ที่จริงแล้วหนูไม่อยากพูดถึงมันเลยค่ะ เพราะมันทำให้หนูรู้สึกผิด” น้องลียากรกล่าวพลางก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง
“หนูกำลังหมายถึง..”

“เรื่องราวเกี่ยวกับช่องว่างที่หมออยากรู้..”
“…”

“เพราะในความรู้สึกของหนู มันเหมือนบาปติดตัว เหมือนการถูกลงโทษจากพระเจ้า หรือคนที่มีอำนาจบนโลกใบนี้”
“ทำไมหนูถึงรู้สึกอย่างนั้นล่ะ ?”

“เพราะหนูไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยิ่งตอนที่พี่หมอมาค้างคืนที่บ้าน ตอนช่วงแรกๆ หนูรู้สึกกระวนกระวายและมันก็ทำให้หนูอยู่อย่างไม่เป็นสุข แต่เพราะพี่หมอไม่ได้มีพฤติกรรมแบบอาโชคหนูก็เลยไว้ใจ” คำตอบของน้องลีทำให้ผมรู้สึกสงสารเจ้าตัวจับใจ
เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายพบเจอ..
ก็หนักหนาไม่ต่างกับจันทร์

“ในตอนนั้นอาโชคแสดงพฤติกรรมกับหนูยังไงบ้าง ?”
“…” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กสาวก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งพลางบีบฝ่ามือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตัก

“การระบายความอัดอั้นเกี่ยวกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น หมอคิดว่ามันเป็นการบำบัดที่ดีอย่างหนึ่งนะ” ด็อกเตอร์เลือกที่จะเสนอแนะโดยไม่ได้คาดคั้นให้อีกฝ่ายทำตาม
“ที่จริงแล้ว.. อาโชคเขาชอบผู้ชายค่ะ”

“แสดงว่า.. พอคุณอาเห็นหนูใส่ชุดกระโปรงของคุณน้าก็เลยตีความไปว่าหนูเองมีรสนิยมแบบเดียวกัน” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กสาวก็พยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า ขณะที่ผมก็ไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะรูปลักษณ์ของน้องลียากรในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่บ้านกลางป่าสน
“แล้วหนูพอจะจำได้ไหมว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“ตอนหนูอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ค่ะ” คำตอบของน้องลียากรทำให้สมองของผมเริ่มประมวลผลขึ้นมาอีกครั้ง และคำตอบที่ได้ก็คือช่วงปี พ.ศ 2554 ขณะที่จันทร์มีอายุได้เพียง 8 ขวบ
“แล้วตอนนั้นคุณอาฝากความทรงจำอันเลวร้ายไว้กับหนูยังไงบ้าง” จิตแพทย์ชื่อดังเอ่ยถามพลางเคาะปลายปากกาลงบนสมุดบันทึกตรงหน้าตักเป็นจังหวะเชื่องช้า

“แต่ก่อนหนูกับอาโชคสนิทกันมาก เพราะเขาเป็นครูประจำชั้นของหนู และก็เป็นคนเดียวที่จับได้ว่าหนูไม่ใช่พี่จันทร์ เวลาที่อยู่ด้วยกันหนูสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่มันกลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะการเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขารู้ ทำให้เขาเข้าใจว่าหนูมีความต้องการบางอย่างที่ไม่ได้แตกต่างกับเขา”
“แล้วเรื่องส่วนตัวที่หนูเคยเล่าให้คุณอาฟัง คือเรื่องอะไรบ้าง ?”

“หนูบอกกับอาโชคว่าหนูชอบเวลาที่ตัวเองได้สวมชุดกระโปรงและได้วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งดอกเก๊กฮวย”
“…”

“หมอจำได้ใช่ไหมคะที่หนูเคยบอกว่าในตอนนั้น ถึงแม้หนูจะตัดผมรองทรงแบบเด็กผู้ชาย แต่หนูก็ยังเชื่อว่าหนูคือหนู แต่ในมุมมองของอาโชคดันกลายเป็นว่าหนูคือเด็กผู้ชายที่ชอบแต่งหญิง”
“…”

“หลังจากวันนั้นอาโชคก็เริ่มล้อเล่นกับร่างกายของหนู แต่ด้วยความที่หนูไม่รู้ว่าการสัมผัสร่างกายในเชิงนั้น มันสื่อถึงเรื่องอะไร หนูก็เลยไม่ได้ขัดขืน เพราะหนูเองก็พลาดที่หลงใหลไปกับการกระทำแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ‘การล้อเล่น’ ที่ว่า หมายรวมไปถึงการสอดใส่ด้วยหรือเปล่า ?”

“ช่วงแรกๆ ไม่ใช่ค่ะ แต่ว่าช่วงหลังๆ มันเริ่มจะหนักข้อขึ้น เพราะอาโชคเขาใช้ปากกับส่วนนั้น”
“…”

“แล้วอาโชคก็เริ่มบังคับให้หนูทำแบบที่เขาทำ..” น้องลีเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลปริ่ม
“…”

“หลังจากนั้น.. ความรู้สึกน่าหลงใหลก็เริ่มหายไป เหลือแต่เพียงความน่าขยะแขยง” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ พลางบีบกระชับฝ่ามือของตนเองซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่าอดีตเริ่มจะฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
“…”

“เขาเอาแต่กระแทกกระทั้นส่วนนั้นเข้ามาในปากของหนู จนหนูผะอืดผะอม แต่เขาก็ยังสั่งให้หนูกลืนมันลงไป ความรู้สึกในตอนนั้น หนูยังไม่เคยลืม เพราะมันย่ำแย่มาก แต่ถ้าหนูไม่ทำ อาโชคจะทำให้หนูซ้ำชั้น แล้วหนูก็จะถูกไล่ออกจากบ้าน”
“…”

“หนูกลัวมาก เพราะหนูไม่มีที่ไป หนูก็เลยยอมปิดปากเงียบ แล้วหนูก็เลี่ยงด้วยการหมกตัวอยู่แต่ในห้อง แต่สุดท้ายหนูก็หนีไม่พ้น เพราะอาโชคมีกุญแจห้องของหนูกับพี่จันทร์”
“…”

“หลังจากนั้น..” เมื่อน้องลีเล่ามาถึงตรงนี้เธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม จึงส่งผลให้คาบบำบัดดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ
“…”

“อาโชคก็เริ่มล้อเล่นกับร่างกายของหนูอีก แต่ว่าคราวนี้หนูกลับรู้สึกขยะแขยง เพราะว่าภาพในตอนที่หนูทำแบบนั้น เอาแต่ลอยวนอยู่ในหัว จนกระทั่งอาโชคเริ่มสอดใส่เข้ามาในตัวหนู ความรู้สึกมันเหมือนกับหนูกำลังตกอยู่ในขุมนรกทั้งเจ็บปวดและทรมาน”
“สาเหตุที่หนูเป็นอย่างนั้น เพราะคุณอามีรสนิยมทางเพศที่ค่อนข้างจะรุนแรงใช่หรือเปล่า?”

“ใช่ค่ะ หนูเจ็บปวดเหมือนกับร่างกายกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ” จากคำบอกเล่าของน้องลี ทำให้ผมคาดเดาได้ว่าความรู้สึกแบบนั้นน่าจะเกิดจากการสอดใส่โดยไม่มีการใช้ตัวช่วย
ซึ่งร่างกายของเพศชายไม่ได้มีน้ำหล่อลื่นเหมือนกับเพศหญิง
ดังนั้นการมีเซ็กส์ในรูปแบบดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องย่ำแย่สำหรับฝ่ายรับ

“ไม่มีครั้งไหนที่หนูมีความรู้สึกร่วมไปด้วยเลย ยิ่งตอนที่หนูบังเอิญไปเห็นอาโชคกับรุ่นพี่กำลังทำเรื่องแบบนั้นที่โรงเรียน พอตกกลางคืนหนูก็ถูกข่มขู่ไม่ให้พูดถึงเรื่องนั้นอีก ซึ่งอันที่จริงหนูไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งและออกจะดีใจมากๆ ด้วยซ้ำที่คุณอาหาที่ระบายแหล่งใหม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์นั้นคือข้ออ้างอีกข้อที่ทำให้คุณอาได้ประโยชน์ และมันก็ทำให้หนูตกอยู่ในขุมนรกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหนูทนไม่ไหว หนูก็เลยเลือกจะปิดกั้นตัวเอง..” น้องลีกล่าวได้เพียงแค่นั้นแล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ด้วยเพราะภาพทุกภาพและทุกความรู้สึกมันยังแจ่มชัด อีกทั้งการตัดสินใจของตัวเองก็นำพาให้จันทร์ตัวจริงต้องตื่นขึ้นมาเจอกับขุมนรก จึงทำให้คนเป็นน้องรู้สึกย่ำแย่จนเผลอคิดไปว่า..
การที่เธอจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้..
มันคือการ ‘ลงโทษ’ จากใครสักคนที่มองเห็นถึงการกระทำอันเห็นแก่ตัวของเธอ


゚゚❀゚゚


[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]


หลายคนอาจจะคิดถึงน้องจันทร์กับพี่หมอ แต่ไม่มีโมเมนต์ใดๆ เลย 555 น้องจันทร์ก็ออกนิดเดียว เพราะตอนนี้มันคือช่วงเฉลยปม ที่มีน้องลียากรเป็นตัวเด่น จะเห็นได้ว่า อาโชค เป็นครูเนอะ และในความเป็นจริงก็เจอข่าวแบบนี้เยอะเลย บวกกับอาโชคมีรสนิยมที่ชอบความรุนแรงและสร้างความเจ็บปวดให้กับคู่นอน มันก็เลยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายสำหรับทุกฝ่าย ต่อไปก็มาลุ้นกันว่าช่องว่างนี้ ยังจะมีพื้นที่หลงเหลือให้อัตลักษณ์ที่เป็นผู้หญิงซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่

และเราก็ได้ตามอ่านในแท็กนิยายที่มีคนเล่นเพิ่มขึ้นแล้ว 555 รู้สึกมีกำลังใจในการเขียนมากขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นแนวที่เราไม่ถนัด เราเลยค่อนข้างกังวล อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนระดับภาษาและสำนวนให้เข้ากับบุคลิกของพี่หมอด้วย มันเลยยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว บวกกับข้อมูลวิชาการที่มีอยู่อย่างจำกัด มันก็เลยทำให้การเขียนยากขึ้นไปอีก แต่เพราะเราได้อ่านหนังสือของคุณบิลลี่ มันเลยทำให้เราได้ทราบถึงมุมมองของเขา และสามารถเอามาปรับใช้กับน้องจันทร์ได้ มันเลยทำให้เรื่องนี้ดูมีมิติขึ้นมาอีก เวิ่นไปเยอะมาก เอาเป็นว่าขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายของเรามากๆ เลยค่ะ รวมถึงคนที่รีวิวให้เราทุกคนเลย โดยเฉพาะคุณเฟิร์น เพราะหลังจากที่คุณเฟิร์นรีวิวนิยายให้เรา ก็มีคนมาตามอ่านเรื่องนี้เยอะขึ้นมากๆ เลยค่ะ

และสำหรับความเห็นเรื่องสำนวนที่ว่ายังไม่สมูท อ่านแล้วต้องกลับไปอ่านทวนใหม่ เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้ามีเวลาเราจะกลับมาตรวจทานดูอีกทีแต่ทั้งนี้มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราคุ้นชินกับภาษาของตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่ามันโอเคแล้ว หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าโทนเรื่องมันคือวิเคราะห์ล่ะมั้งคะ ก็เลยทำให้พากันคิ้วขมวดเวลาอ่าน T_T

ปล. สำหรับใครที่ติดตามเราในทวิต เพราะนิยายอย่างเดียว สามารถติดตามได้ที่เพจใน facebook เลยนะคะ เพราะในทวิตเราสัพเพเหระมาก https://www.facebook.com/Chomin.writer
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-08-2018 15:27:16
สงสารน้องงง สรุปว่าอาโชคคือติดคุกอยู่ตอนนี้ แต่ว่าเรื่องอะไรล่ะ อัตลักษณ์ทุกอย่างออกมาครบแล้วหรือว่ายังมีตัวละครลับคะ ยิ่งอ่านยิ่งสงสัย อัตลักษณ์น้องลีนี่อดทนมากจริงๆ เป็นเด็กผู้หญิงที่แกร่งมากเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่มากนะคะ เราเป็นกำลังใจให้  :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 19-08-2018 21:56:53
เรื่องราวปัญหาค่อยๆคลายปมออกแล้ว เหลือแต่ให้น้องจันทร์ได้มีความสุขกับพี่หมอสักทีนะคะ อยากอ่านพาร์ทแฮปปี้ๆมั้งแล้วว
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shin b ที่ 20-08-2018 20:49:33
อ่านรวดเดียว 37  ตอนเลย  คุณนักเขียนเขียนได้ละเอียดมาก  o13
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-08-2018 15:05:35
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 21-08-2018 15:35:38
เป็นเรื่องอ่านละต้องมีสติตลอดเวลาจริงๆ อ่านได้สองสามตอนเเล้ว อ่านจบเดี๋ยงเม้นอีกรอบนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 23-08-2018 03:07:32
นี่อ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้ เขียนดี ข้อมูลเเน่น น่าติดตามมาก พลอยลุ้นกับน้องไปด้วย สงสาร :ling3:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 37 ❀ หน้า 3 (update 18/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 23-08-2018 16:19:21
อ่านละปวดหัวมากจริงๆ อ่านมา3วัน จนถึงตอนนี้
แต่ละบทต้องใช้เวลาในอ่านมาก 555555 ดึงสติตัวเองตลอดเว มันน่าตกใจมากที่จันทร์สร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาตั้งแต่ยังเด็กมากๆเลยอ่ะ สงสารน้อง สงสารทุกอัตลักษณ์จริงๆ โดยเฉพาะกรวินท์ เค้าดูหดหู่ที่สุดแล้ว เฮ้อออออ 555555 รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 38 ❀ หน้า 3 (update 28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 29-08-2018 00:01:41
ตอน 38

“ทำไมพี่ภัทรไม่ไปนอนที่โซฟาดีๆ ล่ะครับ เดี๋ยวก็เมื่อยแย่หรอก” จันทร์เอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าผมตื่นจากนิทราแล้ว
“อ่า.. พอดีพี่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็เลยเผลอหลับไปน่ะ แล้วนี่จันทร์จะไปเข้าห้องน้ำเหรอ ?” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาพลางบิดขี้เกียจไปมาสักสองสามที เพราะเมื่อครู่ผมดันฟุบหลับอยู่ตรงข้างเตียงคนไข้เสียนี่
 
“ครับ” จันทร์เอ่ยตอบรับพลางยกยิ้ม จากนั้นก็พาตัวเองลงมาจากเตียงและเดินมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ ขณะที่ผมก็ต้องเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนโซฟาอันแสนคุ้นเคยที่ไม่มีใครบางคนมานอนร่วมด้วยเป็นเวลาหลายคืนแล้ว
“ช่วงนี้งานของพี่ภัทรมีปัญหาเหรอครับ ?” หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จคนป่วยที่ช่วงนี้มักจะเข้านอนเร็วเป็นพิเศษก็ตรงรี่เข้ามานั่งจุมปุกถามไถ่กันอย่างห่วงใยถึงข้างโซฟา ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมมักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่อาจเรียกว่า ‘งาน’ ได้อย่างเต็มปาก

“คืนนี้จันทร์ขอนอนกับพี่ภัทรนะ”
“ได้สิ” ผมเอ่ยตอบรับอย่างยินดีพร้อมกับกระตือรือร้นขยับที่ทางให้อีกฝ่ายได้พักพิง เพราะตั้งแต่วันที่เราทราบความจริงเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศจากน้องลียากร ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้โอบกอดดวงจันทร์ดวงนี้ให้สมกับความตั้งใจเลยสักครั้ง
เนื่องจากในช่วงเวลานั้นจนกระทั่งตอนนี้..
จันทร์มักจะเข้านอนก่อนที่ผมจะเลิกงานเสมอ

“จันทร์” หลังจากความเงียบตรงเข้าครอบงำเราทั้งคู่ ผมก็เอ่ยเรียกใครอีกคนที่กำลังถูกโอบกอดอย่างทะนุถนอม
“ครับ ?”

“ถ้าหากจันทร์กำลังมีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือว่ากำลังหาทางออกไม่ได้ จันทร์สามารถระบายกับพี่ได้เสมอเลยนะ” ผมขันอาสาอยากจะเป็นที่ปรึกษาและที่พึ่งพาให้กับเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนอย่างเต็มที่
เนื่องจากผมกำลังรู้สึกว่า..
ขณะนี้ ‘กำแพง’ เล็กๆ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาแทรกกลางระหว่างเรา

กระทั่งได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้ม แทนที่ผมจะรู้สึกสบายใจกลับทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นคงจะเป็นเพราะช่วงนี้จันทร์มักจะเข้านอนเร็วเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ปกติเจ้าตัวมักจะนั่งรอผมอย่างใจจดใจจ่อ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของจันทร์มากขึ้นแล้ว
เพราะจากคำบอกเล่าอันเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ของน้องลียากรที่ค่อยๆ เติมเต็มภาพแห่งความทรงจำจนส่งผลให้ความรู้สึกของผมค่อนข้างจะหดหู่ เนื่องจากความโหดร้ายของ ‘ช่องว่าง’ ดังกล่าว มันยังมีเรื่องของ ‘การแก้ปัญหา’ เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่น้องลีและจันทร์ สามารถตัดขาดจากความทรงจำอันไม่พึงประสงค์
ดังนั้น ‘การแก้ปัญหา’ ด้วยวิธีการเดิมๆ จึงไม่อาจได้ผล..
มันเลยทำให้ทั้งคู่จำต้องตกอยู่ใน ‘ขุมนรก’ อย่างทุกข์ทรมาน

ด้วยความที่ ‘กร’ เป็นผู้ที่ออกมาใช้ชีวิตในเช้าวันนี้ เหล่าทีมรักษารวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนต่างๆ จึงต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยเดิม
เพราะถ้าหากเหตุการณ์มันเป็นอย่างที่เราต่างก็หวาดกลัว..
จันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลักอาจจะไม่ให้ความไว้วางใจกับทีมรักษาอีกต่อไป

วันนี้ทั้งวันใจของผมได้แต่คอยลุ้นให้สถานการณ์มันเงียบสงบจนตลอดรอดฝั่ง เนื่องจากตอนเช้าช่วงที่ ‘กร’ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดด้านศิลปะ อัตลักษณ์ดังกล่าวได้วาดภาพของดอกสโนว์ดรอปส์วางอยู่บนโลงศพ ซึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นการสื่อความไปถึงคุณชลวิทย์ ทางเราจึงค่อนข้างเป็นกังวล ด้วยเพราะภาพดังกล่าวอาจจะสื่อไปถึง ‘ความตาย’
เพราะการออกมาใช้ชีวิตในครั้งล่าสุด เขาก็ยังครุ่นคิดเกี่ยวกับมันและอยากจะกลายร่างเป็นดั่ง ‘นกปีกหัก’ ที่ไม่สามารถโบยบินอยู่เหนือน่านฟ้าอันกว้างใหญ่
เหตุเพราะเป้าหมายที่แท้จริง..
กลับเป็น ‘พื้นดิน’ และ ‘ความตาย’

“หมอภัทรคะ” กระทั่งเวลาเลิกงานมาเยือน ผมก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักของจันทร์เหมือนอย่างเคย แต่ที่ต่างไปจากเดิมก็เห็นจะเป็นเพราะในวันนี้มีพยาบาลสาวรั้งตัวผมไว้
“ว่าไงครับน้องแพร ?” ผมหันกลับไปถามสาวเจ้าที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก

“สโนว์ดรอปส์ค่ะ” ทันทีที่เสียงหวานตอบกลับมา ผมก็พยักหน้ารับและส่งยิ้มกลับไปให้อย่างเข้าใจความนัยที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เนื่องจากเราไม่รู้ว่าอัตลักษณ์ของกรเคยใช้เทียนหอมกลิ่นอะไร ทางเราจึงใช้ ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ อันเป็นดอกไม้ที่มีความหมายสำหรับเจ้าตัวมาเป็นรหัสลับ

กระทั่งผมก้าวเดินเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษที่แสนคุ้นเคย ความเงียบงันก็ตรงเข้ามาทักทายเป็นอย่างแรก และความว่างเปล่าก็เริ่มเข้ามาทักทายเป็นอย่างที่สอง ผมจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางห้องน้ำพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่อย่างน้อยใครบางคนก็ไม่ได้แอบลักลอบหนีไป หากแต่เสี้ยวหนึ่งของจิตใจก็ยังคงเป็นกังวล แต่ที่ผมยังพอจะทำใจเย็นได้อยู่บ้างก็เพราะการตกแต่งของห้องพักผู้ป่วยพิเศษประจำวอร์ดจิตเวชจะไม่มีอุปกรณ์ที่เอื้ออำอวยให้ผู้ป่วยนำมาใช้ในการฆ่าตัวตาย หากแต่ผมก็ยังไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งกรวินท์เคยใช้กำแพงห้องเป็นอุปกรณ์ในการทำร้ายตัวเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็รีบเคาะประตูร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างหวาดกลัวว่าเหตุการณ์ในวันวานกำลังจะย้อนคืนกลับมา

ปัง! ปัง!

“กร ได้ยินพี่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยเรียกอัตลักษณ์ดังกล่าวพร้อมกับเคาะประตูในจังหวะที่หนักแน่นขึ้น ด้วยเพราะผมต้องคอยบังคับไม่ให้ฝ่ามือของตัวเองสั่นไหว
“…”

ปัง! ปัง!
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

“กร ตอบพี่หน่อย”
“…”

เมื่อคำตอบที่ได้รับยังคงมีแต่ความเงียบงัน ผมก็รีบผละตัวออกจากบริเวณหน้าประตูห้องน้ำ พร้อมกับถลาไปหยิบกุญแจสำรองในกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ในตู้ไม้ข้างๆ เตียงนอน จากนั้นก็รีบปลดล็อกประตูบานดังกล่าวและเปิดเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ด้วยเพราะใจของผมมันทั้งร้อนรนและหวาดกลัว
หากแต่ภาพที่ได้เห็นก็ทำเอาผมแทบลืมหายใจ
เหตุเพราะสภาพของ ‘จันทร์’ ในคราบของ ‘กรวินท์’ กำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด

“กรลืมตาสิ กร!” ผมถลาเข้าไปประคองร่างของอีกฝ่ายที่กำลังนั่งซุกตัวอยู่ข้างๆ อ่างล้างมือ ขณะที่ฝ่ามืออันเปื้อนเลือดก็ยังคงจับยึดขอบอ่างเอาไว้
“พยาบาล!” เมื่อใครคนนั้นยังคงแน่นิ่งไร้การตอบรับ ผมก็รีบตะโกนเรียกพยาบาลอย่างสติแตก ขณะที่ร่างกายกลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนไปไหน เพราะผมกำลังหวาดกลัวว่าถ้าหากผมถอยห่างจากอีกฝ่ายแม้แต่ก้าวเดียว
บาดแผลก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่าพันเท่า..

“พี่ภัทร..”
“…”

“จันทร์.. คงเป็นดอกเนโมฟีลาที่อยู่ในแจกันไม่ไหวแล้ว..” สิ้นเสียงร้องเรียกที่ตามมาด้วยประโยคอันบาดใจ ส่งผลให้ปลายนิ้วของผมที่กำลังจะกดโทรศัพท์หาพยาบาลที่อยู่เวรในช่วงเวลานี้เริ่มแน่นิ่งไป
ด้วยเพราะผมไม่อยากจะเชื่อว่า..
คนคนนี้คือ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก

“ให้จันทร์หายไปได้ไหม ?” จันทร์เอ่ยถามเสียงสั่นขณะที่น้ำตาก็ไหลรินจนอาบแก้ม ปะปนไปกับหยดเลือดที่ไหลย้อยมาจากฝ่ามือ คาดว่าน่าจะเกิดจากการปะทะกับกระจกนิรภัยหรืออ่างล้างหน้าอย่างรุนแรง ซึ่งอีกฝ่ายยังเปิดฝักบัวจนสุดเพื่อกลบเกลื่อนความเป็นจริงที่ตนเองกำลังกระทำ
“…”

“ให้จันทร์หายไปเถอะนะ..” น้ำเสียงเว้าวอนยังคงดังไม่ขาดสาย หากแต่โสตประสาทในการตอบสนองของผม กลับหยุดทำงานเพียงชั่วคราว เหตุเพราะในหัวกลับมีแต่ความว่างเปล่า ขณะที่ใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบจนไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไร
“…”

“จันทร์รับความจริงไม่ไหวแล้ว พี่ภัทรให้จันทร์หลับเถอะนะ” จันทร์กล่าวปนสะอื้นอย่างน่าสงสาร ขณะที่ผมก็ยังคงพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ในเมื่อความต้องการของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง มิหนำซ้ำ ‘ความจริง’ ที่จันทร์กำลังพูดถึงคงจะเป็นความจริงที่ผมเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจ
เพียงแต่การรับรู้ของจันทร์กลับอยู่เหนือความคาดหมายไปมาก..
ดังนั้นการที่ผมจะตั้งรับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยมจึงเป็นไปได้ยาก

“จริงๆ แล้ว.. จันทร์เป็นคนที่ทำให้ไฟไหม้บ้าน ทุกคนก็เลยต้องมาตายเพราะจันทร์.. แต่ว่าตอนนั้นจันทร์ไม่รู้จริงๆ ว่าไม้ขีดไฟมาอยู่ในมือของจันทร์ได้ยังไง แล้วจันทร์ก็ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตอนที่จันทร์กำลังจุดไฟ จันทร์ไม่รู้อะไรเลย เพราะจันทร์ตื่นขึ้นมาก็เจอทะเลเพลิงไปแล้ว แต่เพราะหลักฐานมันอยู่ในมือของจันทร์ แล้วจะเป็นใครไปได้ แต่ถึงจะเป็นใครในตัวของจันทร์ก็เถอะ ยังไงคนที่ฆ่าทุกคนก็ยังเป็นจันทร์อยู่ดี..” จันทร์โผเข้ากอดผมพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนคำพูดที่อีกฝ่ายตั้งใจจะถ่ายทอดออกมาให้ผมรับรู้แทบฟังไม่ได้ศัพท์
“…” ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบพร้อมกับโอบกอดดวงจันทร์ที่กำลังแตกสลายอย่างเจ็บปวด อีกทั้งกระบอกตาก็ยังร้อนผ่าวราวกับว่ามันเตรียมพร้อมจะทำหน้าที่ของคนอ่อนแออย่างเต็มรูปแบบ หากแต่ผมก็ยังต้องทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะจันทร์ในตอนนี้กำลังเปราะบางมากเสียจนผมยังไม่กล้าคิดจะโอบกอดอีกฝ่ายให้แน่นจนสมใจอยาก

“เพราะจันทร์เป็นเด็กไม่ดีใช่ไหมครับ จันทร์เลยถูกอาโชคลงโทษ..” สิ้นคำถามปนสะอื้น จันทร์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ผมจึงได้แต่โอบกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น พร้อมกับลูบแผ่นหลังอย่างปลอบประโลม เพราะในหัวของผมตอนนี้ ไม่อาจสรรหาคำใดมาประคับประคองจิตใจของอีกฝ่ายได้จริงๆ
“…”

“ในสายตาของพี่ จันทร์เป็นเด็กดี มีเหตุผล พี่ถึงก้าวข้ามเส้นที่ตัวเองขีดไว้” เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าผมจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เพราะผมต้องพยายามเค้นคำพูดเท่าที่พอจะนึกออกอย่างยากลำบาก ขณะที่น้ำตาก็ไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อได้ยินกับหูว่าที่ผ่านมาอาโชคลงมือทำร้ายอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็นไม่ต่างกับน้องลียากร ซึ่งมันทำให้หัวใจของผมปวดหนึบขึ้นมาอีกสิบเท่า เพราะผมเคยวาดหวังว่าสาเหตุที่ทำให้น้องลีถูกจองจำไว้กับความรู้สึกผิดทันทีที่ทราบว่าตัวเธอเป็นเพียงอัตลักษณ์หนึ่งที่จันทร์สร้างขึ้น จะต้องไม่ใช่ความจริงที่เกิดจากการแก้ปัญหาอันไม่มีประสิทธิภาพของการ ‘หลับตา’
แต่ท้ายที่สุดมันก็คือความเป็นจริงไปแล้ว..
เพราะทั้งคู่ต่างก็เลือกใช้วิธีการดังกล่าวในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน

“ว่าไปแล้วความทรงจำของจันทร์ นอกจากพี่ภัทรก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง” สิ้นคำกล่าวของจันทร์ ผมก็ซบหน้าลงบนศีรษะของอีกฝ่ายพลางหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ที่อย่างน้อยๆ ผมก็ยังเป็นเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของอีกฝ่าย
“…”

“แต่ว่าในตอนนี้.. มันไม่อาจปลอบประโลมจันทร์ได้อีกต่อไป จันทร์ขอโทษที่จันทร์เห็นแก่ตัว..” แต่แล้วรอยยิ้มที่ยังคงปรากฏกลับต้องเลือนหาย เมื่อคำกล่าวปนสะอื้นราวกับถ้อยคำอำลาค่อยๆ ถ่ายทอดออกมาจากคนในอ้อมกอด
“…”

“จันทร์ขอโทษที่เป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันไม่ได้” ยิ่งจันทร์เอื้อนเอ่ยเสียงสะอื้นไห้ของเจ้าตัวก็ยิ่งหนักข้อขึ้น ขณะที่ผมกลับปลดปล่อยน้ำตาออกมาอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องใดมากมายขนาดนี้
“…”

“จันทร์ขอโทษที่ไม่ได้ไปดูดาวด้วยกันอย่างที่เคยสัญญาไว้” ถ้อยคำแต่ละประโยคของจันทร์ในครานี้ กลับค่อยๆ ทำให้ผมจมลึกลงสู่ความเจ็บปวดจนต้องเผลอโอบกอดอีกฝ่ายอย่างหวงแหน เพราะเราต่างก็ใช้เวลาเรียนรู้กันและกันมาตั้งหนึ่งปีเต็มจึงทำให้ใจของผมกลายเป็นของเจ้าตัวจนเต็มดวงแล้ว
“…”

“จันทร์ขอโทษที่จันทร์อ่อนแอ..” สิ้นประโยคดังกล่าวผมอยากจะเถียงอีกฝ่ายใจจะขาด แต่ผมก็พูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตื้อไปหมด เพราะผมกำลังหวาดกลัวการสูญเสีย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้จันทร์ต้องเจ็บปวด และไม่อยากให้เขาต้องทำร้ายตัวเองเพราะรู้สึกผิดกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น
“…”

“ให้จันทร์หลับเถอะนะ จันทร์รับไม่ไหวแล้วจริงๆ” ประโยคเว้าวอนจากเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนถูกส่งตรงมายังผมอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับเป็นประโยคที่ทำให้ความพยายามที่ผ่านมาจำต้องพังทลายลง
เพียงเพราะผม..
ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายบอบช้ำไปมากกว่านี้

“อืม” ผมเอ่ยปากอนุญาตอย่างแผ่วเบาพร้อมด้วยหัวใจอันชาหนึบจากการตัดสินใจของตัวเอง
ที่จะไม่มีวันได้ดวงจันทร์ดวงนี้คืนกลับมาอีกต่อไป..


゚゚❀゚゚

[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มาอัพแล้วจ้า พอดีเราติดปรับแก้ฟอลอินยูนิดหน่อย ก็เลยมาต่อเรื่องนี้ได้ช้า สำหรับตอนนี้ก็ อื้ม ไม่มีอะไรจะพูด เพราะหลังจากแต่งจบ เราก็ปวดหัวเลย 5555 ใส่พลังทั้งหมดลงไปจน เอ้อ พอก่อนนน ต้องพักแล้ว เราไม่ค่อยถนัดซีนดราม่าเท่าไหร่ มันก็จะได้ประมาณนี้แหละ ส่วนสาเหตุที่จันทร์จำได้ขึ้นมา มันเกิดจากอะไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป~ ว่าแต่ตอนนี้ตีความความคาบเกี่ยวของปมล่วงละเมิด และการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผล ออกกันหรือเปล่าเอ่ย ฝากส่งฟีดแบคหน่อย เรากลัวตีความไม่ออก

ท้ายนี้ขอสรุปสาเหตุที่ทำให้เป็น DID หน่อย โดยสาเหตุมักจะเกิดจากการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก มีตั้งแต่โดนล่วงละเมิดทางเพศ ทำร้ายร่างกาย รวมถึงการขาดการส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก แต่ทั้งนี้เราก็เคยอ่านเจอว่า คนที่ไม่ได้เข้าข่ายในสาเหตุดังกล่าว ก็เป็น DID ด้วยเหมือนกัน (แต่จำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากเว็บไหน T_T)  และตอนต่อไปจะมาว่าด้วยเรื่องของการใช้ยาในการรักษา อาจจะวิชาการอีกหน่อยนึง เพราะเฉลยปมมาเกือบหมดละ เหลือแค่รอยต่ออีกนิดหน่อย

ปล. สำหรับใครที่ติดตามเราในทวิต เพราะนิยายอย่างเดียว สามารถติดตามได้ที่เพจใน facebook เลยนะคะ เพราะในทวิตเราสัพเพเหระมาก https://www.facebook.com/Chomin.writer
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 38 ❀ หน้า 3 (update 28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-08-2018 00:40:49
เราถึงกับเหม่อเลย คิดว่ากรด้วยซ้ำที่ทำร้ายตัวเองเพราะเรื่องพี่ชล พอเห็นว่าเป็นจันทร์ช็อคเลย ยิ่งอ่านบรรทัดสุดท้ายของพี่ภัทรน้ำตาร่วง ฮือ อยากให้น้องสู้อีกนิด มันน่าจะทรมานมาก เราเข้าใจว่าทำไมพี่ภัทรถึงยอม จะจบแบบไหนเราก็ยอมรับได้ค่ะ ชอบมากและประทับใจสุดๆเหมือนเดิม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 38 ❀ หน้า 3 (update 28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 29-08-2018 02:52:05
จันทร์จะไปตื่นมาใช้ชีวิตอีกหรอคะ...ㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠ  เฮ้อ
ถึงจะอยากให้จบแบบhappy endแต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็โอเคค่ะ เราจะอ่านต่ออยู่ดี ฮือ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 38 ❀ หน้า 3 (update 28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 31-08-2018 17:43:56
น้องงงง ไม่เอาแบบนี้ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 38 ❀ หน้า 3 (update 28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 31-08-2018 21:19:19
จันทร์ หลับไปพักแปบเดียวละตื่นไม่ได้เหรอ  :hao5: หรือจะให้คุณนักเขียนมาคบกับพี่หมอแทนงี้เหรอ เพราะจากอัตลักษณ์ทั้งหมด คุณนักเขียนเจ็บน้ยสุดเเละธรรมดาสุดเเล้ว
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 38 ❀ หน้า 3 (update 28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 31-08-2018 23:16:10
น้ำตาท่วมห้องแล้วค่ะ ฮือออออออ :m15:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 39 ❀ หน้า 4 (update 08/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 08-09-2018 00:07:41
ตอน 39

หลังจากจันทร์เอ่ยปากอ้อนวอนในวันนั้น ความรู้สึกของผมกลับยังวนเวียนอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวและทางออกที่ดีที่สุดก็คือการโหมงานให้หนัก เพราะมันคือช่วงเวลาเดียวที่ผมจะกลับไปใช้ชีวิตให้เหมือนกับตอนที่เรายังไม่เคยรู้จักกัน ซึ่งผลเสียก็ตามมาด้วยเรื่องของสุขภาพทางร่างกาย ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข คนป่วยที่ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่ออย่างผมก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองแสงไฟจากพลุดวงใหญ่ ผ่านทางหน้าต่างห้องพักผู้ป่วยพิเศษอย่างเลื่อนลอย
เพราะการได้อยู่กับความเงียบและการได้อยู่กับตัวเอง..
ทำให้เกิดช่องว่างทางความคิด..

ซึ่งเหตุการณ์หลังจากที่จันทร์หลับไปก็ยังมีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกมากมาย  โดยคุณพีรวัตรเป็นผู้ที่ตื่นขึ้นมาควบคุมการใช้ชีวิตและเขาก็เข้าใจว่าบาดแผลในขณะนั้นมีสาเหตุมาจากการกระทำของกรวินท์ จึงทำให้พยาบาลที่เข้ามาทำแผลเข้าใจเรื่องราวไปในทิศทางเดียวกัน
เหตุเพราะคนที่รู้ความจริงอย่างผม..
กลับเอาแต่อมพะนำอยู่อย่างนั้น

ดังนั้นการที่โดมิโนอันแรกล้มลง อันต่อๆ ไปก็เริ่มจะพังระเนระนาดไม่ต่างกัน เพราะแผนการรักษายังคงถูกกำหนดให้ต้องรับมือกับสถานการณ์เดิมๆ รวมถึงการแสวงหาวิธีการรักษาในรูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา ก็ถือว่าเป็นหัวข้อใหม่ที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันมีจิตแพทย์บางส่วนจ่ายยากลุ่ม Anxieolytic หรือยาคลายความกังวล และ Anti depressant หรือยาต้านเศร้า ให้กับผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาคาร์บามาเซพีนที่เป็นกลุ่มยากันชักกับผู้ป่วยที่มีค่าอีอีจีผิดปกติ ซึ่งค่าดังกล่าวจะสามารถวัดได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยผู้ป่วยโรค DID จะมีรูปแบบคลื่นสมองแตกต่างกันในแต่ละอัตลักษณ์ 
ขณะที่กลุ่มผู้ทดลองและตัวตนปลอมๆ
กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ยังมีการใช้ยาพราโซซินในผู้ป่วยที่มีอาการฝันร้าย และยานาลเทรกโซนในผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง และยังมีการใช้ยาเพโรสไปโรนซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคทางจิตเวช เช่น โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ช่วงระยะเมเนียกับผู้ป่วยโรค DID จนทำให้ผู้ป่วยห่างหายจากโรคดังกล่าวในระยะเวลา 1 ปี
เพียงแต่การรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว..
ยังไม่ได้รับการยอมรับหรือเป็นมาตราฐานที่พึงปฏิบัติ

ซึ่งด็อกเตอร์คอลที่ทำการรักษาคุณบิลลี่ เคยเน้นย้ำว่าการรักษาโรคหลายอัตลักษณ์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาโรคทางจิตเวชทุกชนิด เพราะยาเหล่านั้นจะทำให้เกิดการแตกแยกของอัตลักษณ์ และยังมีผลข้างเคียงต่อการบำบัด ขณะเดียวกันทางทีมรักษาของเราก็เริ่มแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยกับการใช้ยา และอีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่เห็นด้วย
จึงทำให้การประชุมในครั้งนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปที่น่าพึงพอใจ..

ขณะที่ผมก็เริ่มรู้สึกละอายใจ เพราะการตัดสินใจของผมกำลังส่งผลกระทบต่อการรักษาอย่างเต็มรูปแบบ และยังทำให้การทุ่มเทของคนอื่นๆ กลับกลายเป็นสูญเปล่า แต่ถ้าหากผมย้อนเวลากลับไปได้..
การตัดสินใจของผมก็คงไม่ต่างจากเดิม..

ดังนั้นผมจึงปล่อยให้วันเวลามันล่วงเลยต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ทุกคนในทีมต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และอีกด้านหนึ่งของจันทร์ก็ยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ไม่เว้นแม้กระทั่ง..
‘จิม’ และ ‘กรวินท์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่น่าหนักใจ

กรณีของจิมผมเข้าใจว่าเขายังเด็กจึงทำให้การยอมรับ ถือเป็นเรื่องง่ายดายกว่าที่คิด และเพราะความเป็นเด็กวิธีการคิดก็ย่อมไม่มีความซับซ้อน ดังนั้นคำอธิบายของคุณพีรวัตรที่เกี่ยวข้องกับ ‘การปั่นผลไม้’ ทำให้เด็กชายวัย 4 ขวบ เข้าใจว่าการรวบรวมอัตลักษณ์คือการแบ่งปันความทรงจำและความเจ็บปวด
ส่วนกรวินท์ตอนนี้ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ แม้บางครั้ง ‘ความว่างเปล่า’ จะยังทำลายความตั้งใจนั้นอยู่ และจากบันทึกในการรักษาเมื่อครั้งล่าสุด เขาก็ได้อธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับรูปวาดโลงศพและดอกสโนว์ดรอปส์เอาไว้สั้นๆ ว่า ‘การไว้อาลัย’ เพียงแต่ปัญหาของการตีความในครั้งนั้น กลับอยู่ตรงที่ความรู้สึกในขณะกำลังบรรจงสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งผมพอจะเข้าใจว่าความหม่นหมองดังกล่าวมีสาเหตุมาจากใครและทำไมคนคนนั้นถึงต้องควบคุมความรู้สึกของกรจนทำให้เจตนาเดิมของเขาถูกทำลายลง
เพราะคำตอบทั้งหมดถูกเฉลยไปแล้ว..
ตั้งแต่ตอนที่จันทร์คิดอยากจะหลับตา..

กระทั่งการประชุมครั้งใหม่เวียนมาบรรจบ ผมก็ยังเก็บงำ ‘ความลับ’ ระหว่างเราได้อย่างดีเยี่ยม เพราะผมไม่อยากให้จันทร์ต้องมาทนเจ็บปวดกับความทรงจำในอดีต เพราะความเจ็บปวดของอีกฝ่ายในวันนั้นถูกถ่ายทอดมายังผมอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ รวมถึงคำให้การจากบันทึกการรักษาของอัตลักษณ์ต่างๆ ล้วนแต่บีบใจผมทั้งสิ้น
ซึ่งสาเหตุก็มาจาก..
การที่ผมกำลังมีปฏิกิริยาทางจิตใต้สำนึกร่วมกันกับจันทร์..

ดังนั้นวาระของการประชุมเมื่อครั้งล่าสุด จึงไม่ต่างกับมีดอันแหลมคมที่ค่อยๆ กรีดใจของผมให้เบาบางลงเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเกิดอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับความไม่อบอุ่นในครอบครัว และในปี 2549 จันทร์ก็ได้เรียนรู้วิธีรับมือกับปัญหาต่างๆ ด้วยการหลับตาเป็นครั้งแรก ขณะที่เด็กชายวัย 3 ขวบที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับจันทร์ เริ่มจะต่อต้านการไม่มีตัวตน เขาจึงเรียกร้องความสนใจจากทุกคนด้วยการทำตัวดื้อดึง จนทำให้จันทร์ได้รับผลกระทบดังกล่าวและกลายเป็นเด็กขี้โกหกเมื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา
กระทั่งปี 2550 การไร้ซึ่งสัมพันธภาพระหว่างมารดาก่อให้เกิดปัญหา เมื่อจิมเอาไม้ขีดไฟมาเล่นจนส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น หลังจากนั้นเด็กชายผู้ตื่นกลัวอย่างจิมก็เลือกจะปิดกั้นการรับรู้ ขณะที่จันทร์ผู้ซึ่งตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตก็ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ดังนั้นการสร้างอัตลักษณ์ของ ‘น้องลียากร’ จึงมีขึ้นเพื่อปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ขณะที่ ‘ช่องว่าง’ ระหว่างปี 2551 ถึง 2557 ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะรายละเอียดที่หายไป ท้ายที่สุดจันทร์ก็ได้หอบมันคืนกลับไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นคำให้การของน้องลี ถือว่าเป็นประโยชน์ในการต่อจิ๊กซอว์ไม่น้อย เพราะในปี 2554 มันคือปีที่น้องลีมักจะสวมชุดกระโปรงของน้าเข็มออกไปวิ่งเล่นที่ทุ่งดอกเก๊กฮวยตอนกลางคืน และความสนิทสนมระหว่างเธอกับอาโชคก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนกระทั่งเกิดเป็นประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรง จากนั้นเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ก็เลือกจะตัดขาดจากความทรงจำอันเลวร้ายด้วยการหลับตา เพียงเพราะความคิดแบบเด็กๆ ว่าสิ่งที่ตนกำลังตัดสินใจบางทีมันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าหากจันทร์ยังไม่ค้นพบวิธีการดังกล่าว ดังนั้นการสลับตัวแบบวนลูปจึงไม่เคยจบสิ้น ทั้งคู่จึงต้องตกอยู่ในขุมนรกแห่งกามารมณ์ จากชายผู้ซึ่งมีสถานะเป็นอาแท้ๆ ของตนเอง
หลังจากนั้นจันทร์ผู้ซึ่งแตกสลายก็เริ่มสร้างตัวตนของ ‘กรวินท์’ ขึ้นมาเพื่อรองรับความเจ็บปวดและกระทำการฆ่าตัวตายแทนในปี 2558 เหตุเพราะอีกฝ่ายยังไม่มีความกล้ามากพอ ซึ่งการอยู่อย่างไร้ความปลอดภัยก็ส่งผลให้น้าเข็มตัดสินใจให้คุณชลวิทย์พาจันทร์ในคราบของกรวินท์หลีกหนีจากอำเภอดังกล่าว โดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณพ่อของไอ้แนน จนทำให้คุณชลวิทย์มีวิชาความรู้ติดตัวมาด้วย กระทั่งทั้งคู่ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน น้องลียากรก็มักจะตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตเฉพาะช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์กำลังผลิบาน เพราะมันคือช่วงที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
ขณะที่จันทร์ก็ยังไม่เคยตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอีกเลย..

ในปี 2559 จันทร์เริ่มสร้างอัตลักษณ์ของ ‘คุณพีรวัตร’ เพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหาย ซึ่งอัตลักษณ์ดังกล่าวเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ เหตุเพราะตัวตนของเขามีความเข้มแข็งเหมือนกับที่จันทร์อยากมี จากนั้นจันทร์ก็ได้รับโอกาสให้ออกมาใช้ชีวิตเป็นครั้งแรกในปี 2560 โดยคุณพีรวัตรเพิ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในบันทึกการรักษาเมื่อครั้งที่ผ่านมาว่า อันที่จริงจันทร์เคยออกมาใช้ชีวิตในช่วงที่เขาพยายามจะทำความเข้าใจกับตัวตนของอัตลักษณ์อื่นๆ หลังจากที่ยอมรับความเป็นจริงได้ ซึ่งในขณะนั้นจันทร์ยังคงจดจำเรื่องราวอันน่าขยะแขยงได้เป็นอย่างดีก็เลยมีความคิดที่จะทำร้ายตนเอง คุณนักเขียนจึงทราบข้อจำกัดในส่วนนี้และไม่อนุญาตให้จันทร์มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตอีกเลย
ขณะเดียวกันคุณชลวิทย์ก็เริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ในปีดังกล่าว..

จนกระทั่งกลไกการป้องกันตนเองแบบโรคประสาทชนิดเก็บกดเริ่มก่อตัวขึ้น ความรู้สึกแตกสลายจึงถูก ‘ลืมเลือน’ จนหมดสิ้น ดังนั้นพฤติกรรมทำร้ายร่างกายก็ย่อมต้องหายไป และจันทร์ก็โชคดีที่ได้รับการสอดส่องดูแลจากคุณนักเขียนเป็นอย่างดี เขาถึงมีโอกาสออกมาควบคุมจิตวิญญาณเนื่องในโอกาสพิเศษ อย่างเช่น วันเกิด ซึ่งไม่ใช่วันเกิดที่แท้จริง หากแต่เป็นวันที่จันทร์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เราสองคนถึงได้มีโอกาสมารู้จักกันในปี 2561..
แต่ในท้ายที่สุดเราต่างก็ต้องจากลาภายในปีเดียวกัน
 
แต่แล้วความคิดของผมกลับต้องสะดุดลง เมื่อเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงข้างหน้าต่างกำลังสั่นครืดคราดเรียกร้องความสนใจ กระทั่งปรายสายตาไปมองยังต้นเหตุ พบว่าบุคคลปลายสายคือไอ้แนน

(เป็นยังไงบ้างมึง ?)
“ก็เหงาดี วันนี้ไม่มีคนนอนเฝ้า” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะอย่างฝืนๆ

(แล้วอาการของมึงล่ะ ดีขึ้นบ้างหรือยัง ?)
“อืม ตอนนี้ก็เริ่มกินข้าวได้บ้างแล้ว” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ พลางเคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะเพียงเบาๆ เมื่อต้องเอ่ยถึงสุขภาพร่างกายที่มีผลต่อเนื่องมาจากความบ้างานจนไม่ยอมกินข้าวกินปลาให้ครบทุกมื้อ หรือถ้าจะกินผมก็เลือกกินแค่คุกกี้ชิ้นเล็กๆ ที่ไอ้บาสซื้อมายัดเยียดให้ บางวันถ้าหากมันไม่ได้ซื้อมาให้ ผมก็จะปล่อยเบลอไปเลย เรียกได้ว่าช่วงนั้นอาศัยแค่น้ำเปล่าและคุกกี้ประทังชีวิต เพราะมันรู้สึกกินอะไรไม่ลง ยิ่งถ้าหากผละตัวออกจากงานแม้แต่ก้าวเดียว ความคิดของผมก็จะวนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ซึ่งผลสุดท้ายร่างกายก็เกิดอาการปฏิเสธอาหารทุกอย่างที่กินเข้าไป ผมเลยโดนหามมาให้น้ำเกลือและถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาจนกระทั่งกลับมากินข้าวได้บ้าง

(มึง..)
“ว่า ?”

(แล้วเรื่องนั้น.. มึงโอเคขึ้นบ้างหรือยัง ?) ไอ้แนนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คล้ายกับมันไม่ค่อยจะแน่ใจว่าการถามคำถามดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผมหรือไม่
“ยังว่ะ” ผมตอบเสียงแผ่วพลางกระพริบตาอยู่หลายครั้ง เมื่อใจเริ่มจะอ่อนแอส่งผลให้ต่อมน้ำตาเริ่มจะอ่อนไหว

(ระบายกับกูได้นะ..)
“ความรู้สึกของกูตอนนั้น เหมือนกับกูแค่สวมหัวโขนเป็นจิตแพทย์ เพราะคำพูดใดๆ ที่จะทำให้เขารู้สึกดี กลับไม่ผ่านเข้ามาในหัวกูเลย แล้วกูก็ดันมีปฏิกิริยาทางจิตใต้สำนึกร่วมกันกับเขาไปนานแล้ว กูถึงทนได้ยินเขาอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว ยิ่งถ้ากูลังเล เขาก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีกหนึ่งวินาที ซึ่งกูไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น..” ผมพูดพลางปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่คิดจะเช็ดออกแต่อย่างใด

(มึงก็เลยปิดบังมาเรื่อยๆ ?)
“อืม” ผมตอบรับในลำคออย่างแผ่วเบา เพราะท้ายที่สุดความก็มาแตกกลางที่ประชุม เมื่อปฏิกิริยาของผมที่มีต่อไทม์ไลน์ความทรงจำของจันทร์ ดูมีอารมณ์ร่วมเกินกว่าจะเป็นทีมรักษาที่ดีได้ ผมจึงยอมสารภาพออกมาตามตรงว่าตอนนี้การรักษากำลังมีปัญหา เหตุเพราะผมอนุญาตให้จันทร์กลับไปแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจของผมคนเดียว และในหน้าที่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจโดยพลการ ดังนั้นผมจึงถูกทัณฑ์บนและถูกตัดออกจากทีมรักษา
จากนั้นผมก็ดันซวยจนต้องมานอนให้น้ำเกลืออย่างที่เห็น

(กูเข้าใจมึงว่ะ เพราะบางทีทฤษฎีก็กินไม่ได้ กลับกันถ้าหากวันนั้นคนที่มึงต้องรับมือไม่ใช่จันทร์ กูคิดว่ามึงต้องหาทางออกแบบที่จบสวยๆ ได้อยู่แล้ว)
“แล้ว.. เรื่องการรักษา พวกเขาจะเอายังไงต่อ ?”

(น้าของจันทร์ยืนยันจะรักษาต่อไปนะมึง ด็อกเตอร์เลยจะลองขอความร่วมมือจากคุณพีรวัตรอีกครั้ง จากนั้นค่อยเจรจากับจันทร์อีกที เพราะการรักษา คนไข้ก็ต้องเชื่อมั่นในวิธีการ และต้องเข้าใจรวมถึงตั้งใจอย่างแท้จริงถึงจะเกิดผล)
“อืม” ผมยังคงตอบรับเพียงสั้นๆ อย่างไม่คิดจะคัดค้านใดๆ แม้ว่าในใจของผมจะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยก็ตาม
แต่ถึงอย่างไรความพยายามของทุกคนจะสำเร็จลงได้..
ก็ขึ้นอยู่กับจันทร์ว่าจะสู้หรือถอย

ซึ่งการตัดสินใจของป้าเข็ม พูดตรงๆ ว่าผมเองก็เข้าใจ เพราะถ้าหากการรักษาประสบความสำเร็จ จันทร์ก็ไม่ต้องจมอยู่กับความทรงจำอันเลวร้าย อีกทั้งจิตใจก็จะยังเข้มแข็งมากขึ้นด้วย แต่ถ้าหากท้ายที่สุดความพยายามกลับไม่สำเร็จผล
จันทร์ก็คงต้องจมอยู่กับความทรงจำเหล่านั้นจนกว่าจะตายจากไป
เพราะ ‘การหลับ’ มันก็คือการ ‘หนีปัญหา’

(เออ! มึง..) หลังจากที่เราต่างก็เงียบไปพักใหญ่ ไอ้แนนก็ตะโกนออกมาราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้
“…”

(คุณพีรวัตรเขาเป็นห่วงมึงนะ)
“ถ้างั้นกูฝากบอกเขาด้วยว่ากูโอเคขึ้นเยอะแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

(มึงบอกเขาเองก็แล้วกันค่ะ) ไอ้แนนพูดด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้ ท่าทางว่ามันคงจะล่วงรู้ความลับของคุณนักเขียนเข้าให้แล้ว
ก็แน่ล่ะ มันต้องรับหน้าที่ไปนอนเฝ้าเคสพิเศษแทนผมนี่นะ

“คุณ..” ผมเอ่ยทักทายเมื่อปลายสายเอาแต่เงียบงัน
(อื้อ)

“ผมโอเคขึ้นแล้วนะ”
(อื้อ)

“อย่าเอาแต่ ‘อื้อ’ ดิคุณ อีกเดี๋ยวผมก็ได้กลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ แม้ในใจจะไม่ได้รู้สึกอยากหัวเราะเลยก็ตาม แต่ที่ต้องทำก็เพราะผมไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่ลง
(ถ้าเกิดจันทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งคุณจะว่ายังไง ?) สิ้นคำถามของคนปลายสาย ผมก็ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก เพราะผมค่อนข้างสองจิตสองใจ
แต่แล้วผมก็หาคำตอบของคำถามที่ว่านั่นได้..

“สำหรับผมอะไรที่เป็นความต้องการของเขา ผมจะสนับสนุนทุกอย่าง..”


゚゚❀゚゚

(edit คำผิด 16/09/2018)
[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- บทวิเคราะห์เกี่ยวกับ DID ของนักศึกษาแพทย์
http://www.errama.com/system/spaw2/uploads/files/DissociativeIdentityDisorder.pdf
- หนังสือชีวประวัติของคุณบิลลี่ (ว่าด้วยเรื่องของการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง)
- กลไกการป้องกันตัวเอง
https://semsikkha.org/tha/tips/600-defense-mechanism

ในตอนนี้เราเขียนแบบสรุปไทม์ไลน์มาให้ใหม่ เพราะเห็นว่ายังมีคนที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับความทรงจำของน้องจันทร์ หวังว่าจะเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ ฝากส่งเสียงตอบรับตรงปมต่างๆ หน่อยจ้า ส่วนช่องโหว่อื่นๆ ก็ติดตามกันต่อไปจ้า สำหรับตอนนี้ใช้เวลาอยู่นานเลย เพราะเรากำลังลังเลจะว่าเขียนข้ามดีมั้ย แล้วถ้าข้ามช่วงเวลา จะเขียนยังไงให้มันประติดประต่อ ก็เลยได้มาแบบนี้ อยากจะบอกทุกคนว่า ตามพล็อตของเราแล้ว มันไม่จบที่ 40 ตอนล่ะ มันอาจจะต้องเพิ่มอีก 5 หรือ 10 ต้องดูที่หน้างานอีกที เพราะว่าเราเขียนไม่ตรงตามที่วางไว้เป๊ะๆ ซึ่งจุดประสงค์ของเรา คืออยากจะเขียนสื่อในทำนองที่ว่า การมีคนที่เข้าใจ และพร้อมจะอยู่ข้างๆ ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช มันเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อการรักษา เพราะคนที่ป่วยจะยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็นได้ ก็ต้องเกิดการยอมรับจากคนรอบข้างของเขาก่อน และในกรณีของจันทร์ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมายังไม่ได้เริ่มบำบัดอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ เพราะต้องคอยต่อจิ๊กซอว์ให้เป็นรูปร่าง ส่วนสาเหตุที่จันทร์จำได้ขึ้นมากะทันหัน ขอยกยอดไปตอนหน้านะคะ และก็อย่างที่กล่าวไปในเนื้อเรื่อง ว่าการรักษาจะสำเร็จได้ ตัวผู้ป่วยจะต้องมีความเชื่อมั่นในกระบวนการรักษา และจะต้องเข้าใจ ตั้งใจที่จะรักษาอย่างเต็มที่ ซึ่งแรกๆ อาการของจันทร์ก็ดีขึ้น แต่พอน้องจำได้ การยอมแพ้ก็เลยตามมา แต่ถ้าหากได้รับคำแนะนำในการรับมืออย่างถูกต้อง การแก้ปัญหาด้วยการหลับ จะไม่เกิดขึ้นอีก เพียงแต่ว่าพี่หมอเหมือนกับอยู่ในสถานะทางความรู้สึกไม่ต่างกับจันทร์ พี่หมอก็เลยมองหาทางออกไม่เจอ อารมณ์เหมือนกับว่า พอเป็นคนใกล้ตัวก็ยิ่งร้อนรน
ปล. นิยายเรื่องนี้ใช้แท็ก #ที่ป่าสน นะคะ ถ้าแท็กตามชื่อเรื่องจะเป็นแฟนฟิคของนักเขียนท่านอื่น เราเกรงว่ามันจะไปรบกวนเขา เพราะเราไม่รู้ว่ายังใช้งานอยู่หรือเปล่า T_T
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 39 ❀ หน้า 4 (update 08/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 08-09-2018 08:34:46
สงสารพี่หมอจัง ต้องเก็บความรู้สึกของตัวเองขนาดไหน จะแสดงออกมาตรงๆเลยก็ไม่ได้เพรสะมีหน้าที่ค้ำคออยู่
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 39 ❀ หน้า 4 (update 08/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 08-09-2018 09:36:07
สรุปพี่หมอก็จะสร้างอัตลักษณ์ใหม่เพื่อมาปิดกั้นความเสียใจจากจันทร์ 5555555555
สงสารเค้าาาาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 39 ❀ หน้า 4 (update 08/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-09-2018 07:28:52
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 39 ❀ หน้า 4 (update 08/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-09-2018 20:04:13
เอาใจช่วยคุณหมอนะคะ ถ้าน้องรู้ต้องไม่สบายใจแน่ๆ  :ling3:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 40 ❀ หน้า 4 (update 16/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-09-2018 22:56:55
ตอน 40

เวลานี้ถึงแม้สภาพร่างกายจะเริ่มแข็งแรงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ระบบทางเดินอาหารก็ยังไม่ค่อยปกตินัก อาหารง่ายๆ อย่างเช่น ข้าวต้มหรือโจ๊กจึงเป็นเมนูประจำในช่วงนี้ โดยผมจะต้องแบ่งมื้ออาหารออกเป็น 5 มื้อ เพราะผมยังไม่สามารถกินในปริมาณเดิมๆ ได้ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่เลือกจะปกป้องความรู้สึกของตัวเองด้วยวิธีการไม่เข้าท่า จนส่งผลให้พ่อกับแม่ต้องมาคอยเป็นกังวลไปด้วย มิหนำซ้ำการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์ก็ยังทำให้คุณพ่อรู้สึกผิดหวัง
เพราะถึงอย่างไร..
การกระทำของผมก็คือการกระทำที่เกินกว่าหน้าที่

แต่สำหรับแม่การกระทำของผมทำให้ท่านเกิดความสงสัยว่าระหว่างผมกับจันทร์มีความรู้สึกต่อกันอย่างไร พอเจอคำถามดังกล่าวผมที่จิตใจกำลังอ่อนไหวก็ไม่อาจปิดกลั้นความรู้สึกที่ยังคงอัดแน่นอยู่ในอกได้อีกต่อไป และขณะที่ทุกเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกไปจนหมดสิ้น ผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลกอย่างแม่ก็เอาแต่นิ่งเงียบจนผมนึกใจเสีย เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าช่องว่างระหว่างวัยของผมกับจันทร์ห่างไกลกันมาก
แต่ในท้ายที่สุดแม่ก็บอกกับผมว่า ..
ถ้าหากจันทร์นอนหลับจนเบื่อแล้ว แต่ภัทรยังร่างกายไม่แข็งแรงจะทำอย่างไร

ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ คำพูดของแม่ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว ผนวกกับสถานการณ์ของจันทร์ที่ผมทราบจากไอ้แนนเมื่อไม่กี่วันก่อน ใจของผมก็ยังคงแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย โดยที่ฝ่ายหนึ่งกำลังคาดหวังในการกลับมา ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังคงย้ำเตือนกับตัวเองเสมอว่าจันทร์เจ็บมามากพอแล้ว และยังมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
ดังนั้นการจะกลับมาใช้ชีวิตบนโลกอันโหดร้ายคงเป็นไปได้ยาก

ฉะนั้นคำพูดที่ผมตอบรับคุณนักเขียนผ่านทางปลายสาย จึงเป็นเพียงแค่คำหลอกลวง เพื่อให้เขาไม่ต้องคอยเป็นกังวลกับเรื่องของผม เพราะเขาเล่นเอาการกลับมาของจันทร์เป็นตัวล่อให้ผมมีกำลังใจในการใช้ชีวิตซะขนาดนั้น
ผมจะไปกล้าบอกความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองได้อย่างไร

“พี่ภัทร นั่งทำอะไรอยู่วะ ดึกแล้วนะเว้ย กลับมานอนเดี๋ยวนี้เลย” ไอ้บาสที่เพิ่งจะตื่นจากการหลับใหลรีบเอ่ยปากบ่นพร้อมกับตรงเข้ามาลากตัวผมให้นอนลงบนเตียงแต่โดยดี จากนั้นมันก็เดินงัวเงียตรงไปยังห้องน้ำ ผมจึงปรายตามองนาฬิกาที่วางตั้งอยู่ไม่ไกล จึงทราบว่าเวลานี้มันปาเข้าไปตั้งเที่ยงคืนกว่าแล้ว
แสดงว่าผมเอาแต่นั่งเหม่อมาตั้ง 5 ชั่วโมงแน่ะ

กระทั่งสายตาสบเข้าอะไรบางอย่างที่เคยวางตั้งอยู่ในห้องทำงาน รอยยิ้มก็ผุดขึ้นตรงมุมปากได้ไม่ยาก เพราะจู่ๆ ผมก็นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น เพียงเพราะ ‘ลูกสนแห้ง’ ที่ใครหลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นแค่ของประดับตกแต่งบ้าน หรือไม่ก็อาจจะมองว่ามันดูไม่มีค่า ไม่มีราคา แต่สำหรับผมมันกลับมีคุณค่าทางจิตใจอย่างที่ไม่อาจจะหาอะไรมาเปรียบได้ เมื่อความสุขจากการทดลองยังคงตราตรึงใจไม่แปรเปลี่ยน
ต่างกันแค่..
ภาพสี่สีของวันวานกลับกลายเป็นภาพสีเทาอันหม่นหมอง..

กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานผมก็ยังนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมานั่งห้อยขาอยู่บนเตียงนอนสำหรับผู้ป่วย ขณะที่ดวงตาก็ทอดมองออกไปข้างนอก ก่อนจะหันกลับมาโฟกัสยังลิ้นชักตรงโต๊ะข้างเตียง จากนั้นมือซ้ายก็เริ่มทำหน้าที่ตามใจอยาก ส่งผลให้ดวงตามองเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ข้างใน ผมจึงเอื้อมไปหยิบสมุดเล่มดังกล่าววางลงบนตักอย่างแผ่วเบา ขณะที่ฝ่ามือก็ลูบไล้หน้าปกที่เป็นรูปวาดของป่าสนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะตัดสินใจเปิด ‘กล่องแห่งความทรงจำ’ ของจันทร์ที่ไอ้บาสเพิ่งจะเอามาให้อย่างเชื่องช้า
ซึ่งเรื่องราวที่เจ้าของบ้านกลางป่าสนบันทึกไว้ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่ผมเองก็ทราบดี ดังนั้นการท่องเที่ยวอยู่ในกล่องแห่งความทรงจำ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากนัก ครั้นเปิดไปยังหน้ากระดาษแผ่นถัดไป อากัปกิริยาของผมก็เริ่มแน่นิ่งเมื่อตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนนั้น กำลังทำหน้าที่ไม่ต่างกับจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆ ทำให้ผมดำดิ่งลงสู่ความรู้สึกนึกคิดของจันทร์

‘ไม้ขีด’
‘ไฟไหม้’
‘จิม’
‘กลัว’

 คีย์เวิร์ดสั้นๆ เพียงสี่คำบนหน้ากระดาษแห่งความทรงจำ ส่งผลให้หัวคิ้วของผมขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่เรื่องราวจากความทรงจำ แต่มันสามารถตีความไปได้อีกทางหนึ่งว่าบางทีจันทร์อาจจะได้ยินเสียงในหัว และจับเอาคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่แต่ละอัตลักษณ์พูดคุยกันมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวจนกระจ่างแจ้ง
ดังนั้นหากสมมุติฐานของผมเป็นจริง
ข้อความในหน้าถัดไปย่อมต้องมีคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับน้องลียากร

‘กระโปรง’
‘เก๊กฮวย’
‘อาโชค’

สำหรับคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับกรณีของ ‘จิม’ ผมยังพอจะหาความเชื่อมโยงที่ทำให้ความทรงจำของจันทร์หวนคืนกลับมาได้ เพราะไม้ขีดไฟย่อมต้องมาคู่กับเปลวไฟ และจันทร์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าในอดีตเคยเกิดเรื่องราวที่ทำให้เจ้าตัวจำต้องปิดกลั้นการรับรู้ จนส่งผลให้อัตลักษณ์ของน้องลีก่อเกิดขึ้น ดังนั้น ‘การจากตาย’ ของน้องสาวฝาแฝดย่อมต้องมีความเชื่อมโยงกับอุบัติเหตุ ‘ไฟไหม้’ มิหนำซ้ำ ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ก็ยังเป็นตัวกระตุ้นและเครื่องยืนยันชั้นดีว่าความทรงจำส่วนแรกที่ขาดหายไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร 
ขณะที่คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับกรณี ‘การล่วงละเมิดทางเพศ’ ที่ออกมาจากปากคำของน้องลียากร ผมยังไม่อาจหาความเชื่อมโยงให้กับความทรงจำของจันทร์ได้ เพราะไม่ว่าจะกระโปรงหรือดอกเก๊กฮวยล้วนแต่เป็นเรื่องที่จันทร์ไม่เคยรับรู้ และถ้าหากจันทร์สามารถจับใจความที่อัตลักษณ์ต่างๆ สื่อสารกันได้ ผมเชื่อว่าเจ้าตัวจะต้องบันทึกทุกถ้อยคำลงในสมุดเล่มนี้อย่างแน่นอน

และเท่าที่ผมจำได้น้องลีมักจะชอบใส่ชุดกระโปรงของน้าเข็ม ออกมาใช้ชีวิตในช่วงกลางคืน แถมยังชอบวิ่งเล่นอยู่ในสวนเก๊กฮวยของที่บ้าน กระทั่งเธอถูกอาแท้ๆ ล่วงละเมิดอย่างทุกข์ทรมาน เด็กสาวคนดังกล่าวจึงคิดหาออกด้วยการหลับใหล จากนั้นจันทร์ก็คือคนที่ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ฉะนั้นเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ย่อมต้องเป็นชุดเดียวกัน เพียงแต่ในขณะนั้นจันทร์ยังจดจำอะไรไม่ได้แล้วจะหาความเชื่อมโยงของชุดกระโปรงได้อย่างไร ดังนั้นทางเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือจันทร์อาจจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองกำลังสวมใส่ชุดกระโปรงเหมือนอย่างที่น้องลียากรเคยเป็น ทั้งคู่จึงไม่เคยระแคะระคายเกี่ยวกับความผิดปกติที่กำลังรายล้อมอยู่รอบตัว

ผมจัดการถ่ายรูปคีย์เวิร์ดที่จันทร์ใช้ประติดประต่อความทรงจำส่งไปทางไลน์ของไอ้แนน จากนั้นก็เอาสมุดเล่มดังกล่าวเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วนั่งใช้ความคิดเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จันทร์กำลังเรียนอยู่ในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ซึ่งในขณะนั้นเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน มักจะชอบเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร โดยข้อมูลดังกล่าวผมทราบมาจากคุณแม่ของเพื่อนไอ้แนนที่เคยสอนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกับ ‘อาโชค’ โดยตอนนั้นท่านชี้แจงเหตุผลว่าการกระทำดังกล่าว อาจเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุไฟไหม้ เพียงแต่ ณ เวลานี้ ผมกำลังตีความได้อีกทางหนึ่งว่าพฤติกรรมเหล่านั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้ทุกคนเริ่มรับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเด็กชายเพียงจันทร์ หรือไม่ใครคนนั้นก็อาจจะเป็นอีกอัตลักษณ์หนึ่งที่จันทร์สร้างขึ้น
ผมจึงไม่รอช้าที่จะทิ้งข้อความไว้ในไลน์ของไอ้แนน

กระทั่งร่างกายกลับมาปกติดีแล้ว ผมจึงเริ่มเดินหน้าเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงาน โดยไม่ลืมจะกินข้าวให้ครบทุกมื้อและยังต้องแสร้งทำเหมือนกับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่ผมบังเอิญเอาใจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของผู้ป่วยอย่างจันทร์มากเกินไป ซึ่งในกรณีแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเรารู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นที่ต้องการ จิตใจก็มักจะผูกติดกับอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
ต่างกันแค่..
กรณีของผม มันคือการมัดปมด้วยเงื่อนตายที่ไม่มีวันแกะออก

“ว่าไงมึง ?” ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง พลางทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย
(กูส่งไฟล์เสียงให้มึงทางไลน์แล้วนะ) ไอ้แนนเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วก็รีบวางสายไป ผมจึงหันกลับมาให้ความสนใจข้อมูลดังกล่าวและไม่รอช้าที่จะกดปุ่มเพลย์

“หนูต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ที่มารบกวนคุณน้าอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”

เสียงเกริ่นนำเพื่อเข้าเรื่องจากเพื่อนสนิท และคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นอดีตคุณครูของจันทร์ดังขึ้นภายในชั่วพริบตา ขณะที่ผมก็อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวไปแต่งตัวให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

“คุณน้าพอจะจำเด็กคนนี้ได้ไหมคะ” หลังจากไอ้แนนเอ่ยถาม ผมก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักอยู่หลายที คาดว่ามันคงจะขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องมาเปิดรูปของจันทร์ให้อีกฝ่ายดู
“เด็กคนนี้ คือคนเดียวกับที่หนูเคยถามน้าเมื่อตอนนั้นนี่”

“ใช่ค่ะ พอดีน้องเป็นคนไข้ของหนูก็เลยอยากจะทราบข้อมูลในช่วงเวลานั้นจากคุณน้า”
“ที่จริงเรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว น้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะช่วยหนูได้มากน้อยแค่ไหน”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า.. คือหนูอยากทราบว่าในตอนนั้นน้องจันทร์มีพฤติกรรมยังไงบ้าง เพราะเท่าที่จำได้คุณน้าเคยบอกกับหนูว่าน้องชอบเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใครใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ แล้วเขาก็ดูซึมเศร้า น้าเลยคิดว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เคยเกิดขึ้น”

“ทำไมคุณน้าถึงมั่นใจว่าพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ล่ะคะ”
“อืม.. การเป็นครูประจำชั้น เราก็ต้องคอยดูแลเอาใจใส่เด็กที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราใช่ไหมล่ะจ้ะ ยิ่งเด็กคนนี้มีพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง น้าก็เลยไปสอบถามที่มาที่ไปกับครูประจำชั้นคนก่อนน่ะจ้ะ” สิ้นคำอธิบายของอดีตครูประจำชั้น ผมก็เริ่มจะอ่านเกมออกมากขึ้น เพราะแต่เดิม ‘อาโชค’ เคยเป็นครูประจำชั้นของจันทร์กับลีตอนช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นตอนที่เกิดเรื่อง เมื่อทั้งคู่เลื่อนชั้นพร้อมกับมีพฤติกรรมซึมเศร้าติดตัว ครูประจำชั้นคนถัดมาจึงต้องไปสอบถามที่มาที่ไปของเด็กคนดังกล่าว โดยบุคคลต้นเรื่องก็ถือโอกาสโบ้ยเรื่องราวทั้งหมดให้พ้นตัว

“แล้วตอนนั้นเนื้อตัวของจันทร์เคยมีร่องรอยแปลกๆ บ้างไหมคะ”
“…”

“รอยจำพวกที่สื่อไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศน่ะค่ะ”
“เท่าที่น้าจำได้ ไม่มีเรื่องแบบนั้นนะ” สิ้นคำตอบผมก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะผมเองก็คาดเดาอยู่แล้วว่าผู้กระทำอย่างไรก็ต้องลงมืออย่างรอบคอบ เนื่องจากตนเองเป็นถึงข้าราชการครู ย่อมต้องทำอะไรให้มันแนบเนียน ยิ่งน้องลีเคยบอกว่าเธอเคยเห็นคุณอากับลูกศิษย์ที่เป็นรุ่นพี่ร่วมรักกันในโรงเรียน ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาจะต้องคอยระมัดระวังมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแล้วลอยนวลอยู่ได้ตั้งนานหรอก อีกอย่างปัจจุบันเขาถูกจับกุมด้วยเรื่องใด ผมเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด เพราะเมื่อลองย้อนกลับมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าหากคนคนนั้นถูกจับด้วยเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศ
แล้วทำไมคุณชลวิทย์ถึงต้องพาจันทร์หนีมาด้วยล่ะ

“แล้วการเรียนของน้องเป็นยังไงบ้างคะ มีปัญหาหรือเปล่า”
“มีปัญหาสุดๆ เลยล่ะ ยิ่งเรื่องการบ้านยิ่งแล้วใหญ่ ผลการสอบก็ไม่ค่อยดี รั้งท้ายประจำ” คำจำกัดความเกี่ยวกับการเรียนของจันทร์ที่ออกมาจากปากของอดีตครูประจำชั้น ยิ่งทำให้ผมมองเห็นภาพของการใช้ชีวิตของผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์ได้อย่างชัดเจน เพราะการออกมาใช้ชีวิตของแต่ละอัตลักษณ์ มักจะทำให้ความทรงจำเกิดความไม่ต่อเนื่องกัน ดังนั้นผู้ป่วยก็ย่อมต้องเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เมื่อเนื้อหาบางคาบตนเองไม่ได้เป็นคนเข้าเรียน

“อืม.. แล้วคุณน้าพอจะจำได้ไหมคะว่าตอนนั้นการบ้านของจันทร์ เคยกลายเป็นชื่อของคนอื่นบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นี่จ้ะ เพราะสมุดการบ้าน เราจะเขียนชื่อบนปกแค่ครั้งเดียว”

“แล้วพวกใบงานล่ะคะ เคยมีชื่อแปลกๆ โผล่มาบ้างหรือเปล่า”
“ชื่อแปลกๆ ไม่เคยมีนะ แต่บางครั้งลายมือของเด็กคนนี้จะแตกต่างกัน” คำตอบอย่างฉะฉานจากบุคคลในไฟล์เสียงทำให้ผมใจเต้นระรัวอย่างคาดหวัง เพราะถ้าหากเราทราบจำนวนลายมือที่แตกต่างกัน เราก็จะได้คำตอบว่าจันทร์มีทั้งหมดกี่อัตลักษณ์

“คุณน้าพอจะจำได้ไหมคะว่าลายมือของจันทร์มีกี่แบบ”
“เรื่องนี้น้าเองก็จำไม่ได้แล้ว ขอโทษจริงๆ นะหนูแนน” สิ้นคำตอบใจที่เคยลิงโลดก็เต้นแผ่วอย่างแสนเสียดาย แต่ผมก็เข้าใจว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ใครจะมานั่งจดจำ อีกอย่างน้องลีก็เคยพูดในทำนองว่าเธอสังเกตเรื่องของจิมจากชื่อที่เขียนอยู่บนปกสมุดการบ้าน แสดงว่าจิมอาจจะขีดชื่อของจันทร์ทิ้ง แต่น้องลีผู้สวมบทบาทเป็นจันทร์ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนั้น

“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า”
“…”

“แล้วบุคลิกของจันทร์ในตอนนั้นมีแค่ด้านซึมเศร้าเพียงอย่างเดียวเหรอคะ”
“เท่าที่น้าเห็นก็มีแค่ด้านนั้นนะ แต่ว่าหลายๆ ครั้ง เด็กคนนี้จะชอบแทนตัวเองว่าหนู” จากคำยืนยันของอดีตครูประจำชั้นทำให้ผมทราบว่าแต่ก่อนน้องลีก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกับจันทร์

“คำแทนตัวอื่นๆ ยังมีอีกไหมคะ”
“ไม่แล้วจ้ะ อืม.. แต่น้ารู้สึกว่าเวลาที่เด็กคนนั้นแทนตัวเองว่าหนู บุคลิกของเขาจะดูนุ่มนวลเหมือนกับเด็กผู้หญิง แต่เวลาแทนตัวเองว่าผมจะดูนุ่มนวลแบบเด็กผู้ชาย จนบางครั้งน้ายังรู้สึกว่าคนที่น้าคุยด้วยไม่ใช่คนคนเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาต่างก็มีพฤติกรรมซึมเศร้าและเก็บตัวเหมือนกัน” คำอธิบายของอดีตครูประจำชั้นทำให้ผมเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าในขณะนั้น จันทร์คงยังไม่ได้สร้างอัตลักษณ์ใดๆ ออกมารองรับความเจ็บปวด เพราะตนเองอาจจะยังรับไหว ดังนั้นเสียงในหัวของผู้หญิงที่จันทร์เคยได้ยินเป็นครั้งแรกอาจจะเป็นเสียงของน้องลียากร เพียงแต่ตอนนั้นจันทร์ยังไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของอัตลักษณ์ดังกล่าวก็เลยทำให้จับใจความหรือสังเกตจุดเด่นของเสียงดังกล่าวไม่ได้

“แล้วพฤติกรรมทำร้ายตัวเองล่ะคะ”
“ไม่เลยจ้ะ”

“แสดงว่าเด็กคนนี้ เรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เลยใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ”

“แล้วคุณน้าพอจะทราบเกี่ยวกับคุณครูที่ชื่อโชคไหมคะ ดูเหมือนว่าตอนนี้ เขาจะถูกจับเข้าซังเตไปแล้ว”


゚゚❀゚゚

[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

สำหรับตอนนี้ก็จะเฉลยวิธีคิดและการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ของจันทร์ จนกระทั่งนำไปสู่การฟื้นคืนความทรงจำนะคะ เพราะก็อย่างที่เคยเกริ่นไปตั้งแต่ต้นว่าจันทร์เป็นเด็กฉลาด ดังนั้นการคิดวิเคราะห์ของน้องก็จะเพิ่มระดับไปด้วย แต่จะเห็นได้ชัดว่า ความฉลาดในระดับไอคิวที่เข้าขั้นอัจฉริยะ ก็ย่อมต้องมีปัญหาในเรื่องของการเรียน เพราะตัวเองไม่ได้เรียนเนื้อหาในหลายๆ เรื่อง ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งผลกระทบของตัวโรคที่เห็นได้ชัด แต่ตัวผู้ป่วยจะไม่รับรู้ว่ามันคือเรื่องผิดปกติ ส่วนพี่หมอก็ได้แต่ช่วยแก้ปมต่างๆ อย่างห่างๆ ห่วงๆ เพราะว่าบางเรื่องพี่หมอก็รู้ดีกว่าใคร เพราะเจ้าตัวคลุกคลีอยู่กับจันทร์มานาน และสืบเรื่องของจันทร์มาบ้างแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เคยคิดว่าไม่มีอะไร พี่หมอก็เลยปล่อยผ่าน และไม่ได้บอกกับทีมรักษา และจะเห็นได้ว่าเจ้าตัวมีความขัดแย้งในตัวเอง ระหว่างอยากให้จันทร์กลับมา และไม่อยากให้กลับมา ก็เลยทำให้ความคิดของเจ้าตัวยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของจันทร์ เพียงแต่รักตัวเองมากขึ้นด้วย

ปล. มันอาจจะแลดูยืดๆ หน่อย แต่เราอยากเขียนให้มันดูประติดประต่อ ไม่ข้ามช่วงเวลามากไป และอยากให้ดูสมจริงในหลายๆ ด้านด้วย และตอนหน้ามาไขความลับเกี่ยวกับอาโชคกันต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 40 ❀ หน้า 4 (update 16/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-09-2018 23:26:03
สำหรับเราไม่ได้มองว่าเรื่องมันยืดนะคะ ชอบที่คนเขียนใส่ใจรายละเอียดทุกตรงและค่อยๆเป็นค่อยๆไป ชอบมากกว่าเดิมอีกค่ะ เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์กับพี่หมอนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 40 ❀ หน้า 4 (update 16/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-09-2018 17:51:08
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 40 ❀ หน้า 4 (update 16/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 17-09-2018 19:13:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 40 ❀ หน้า 4 (update 16/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 17-09-2018 19:21:05
เนื้อเรื่องของนิยายมันเป็นทำนองนี้ ก็ต้องบรรยายแบบนี้แหละครับ คงจะเร็วกว่านี้ไปไม่ได้
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 19-09-2018 23:36:47
ตอน 41

ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่นักโทษคดีข่มขืนกลับติดคุกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น เนื่องจากการพิจารณาคดีอาญาสามารถหยิบยกเหตุบรรเทาโทษ เหตุยกเว้นโทษ ลดหย่อนโทษ เพิ่มโทษ หรือชะลอการลงโทษมาประกอบการพิจารณา
เราจึงมักได้ยินถ้อยคำที่ว่า..
‘เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นสมควรให้ลดโทษได้กึ่งหนึ่ง’

ซึ่งการระวางโทษตามกฎหมายระบุไว้ในมาตรา 276 ว่า ‘ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น’ จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี จนถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 บาท จนถึง 40,000 บาท
แต่ถ้าหากมีการใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด รวมถึงมีการร่วมกระทำความผิดในลักษณะโทรมหญิงหรือชาย จะต้องระวางโทษจำคุกตามมาตรา 276 วรรคที่ 3 ตั้งแต่ 15 ปี จนถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 30,000 บาท จนถึง 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต และในกรณีที่ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส จะต้องถูกระวางโทษเทียบเท่ากับมาตรา 276 ในวรรคที่ 3 ส่วนกรณีที่เหยื่อเสียชีวิตจะต้องถูกระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา 277 ทวิ

โดยนายโชคพ้นสภาพการเป็นข้าราชการครูตั้งแต่ปี 2558 ด้วยสาเหตุข่มขืนกระทำชำเราเด็กชายอายุไม่เกิน 15 ปี จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิต มิหนำซ้ำเรื่องราวอันน่าอับอายยังเกิดขึ้นที่โรงเรียนเสียด้วย จึงทำให้ช่วงเวลานั้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวอย่างมากมาย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้ชายคนนี้คงกำลังชดใช้กรรมอยู่ในคุกตามที่ป้าเข็มยืนยัน เพราะการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยที่เด็กคนนั้นไม่ใช่ภรรยา แม้จะยินยอมแต่ก็ยังถือเป็นความผิดที่ต้องรับโทษ ยิ่งมีความสัมพันธ์กับเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี โทษก็จะยิ่งหนักขึ้นจนถึงขั้นต้องจำคุกตลอดชีวิต
ซึ่งข่าวของนายโชค ผมเองก็เคยได้ยินแบบผ่านๆ และคดีในลักษณะนี้ก็มีอยู่มากในสังคมไทย ผมจึงไม่ได้จดจำว่าผู้ต้องหามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร จนกระทั่งคุณแม่ของเพื่อนไอ้แนนพูดถึงข่าวดังกล่าว ผมถึงได้ไปหาอ่านเพิ่มเติม
จนได้รู้ว่าผู้ต้องหารายนั้นใช้นามสกุลเดียวกับจันทร์

ดังนั้นกรณีของจันทร์ที่ไม่มีแม้แต่หลักฐานจะไปเอาผิด ย่อมสืบสาวราวเรื่องได้ยาก อีกทั้งผู้กระทำผิดก็ได้รับผลของการกระทำไปแล้ว เพียงแต่การรับผลไม่ได้มาจากคดีของจันทร์
พอคิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่าทำไมป้าเข็มถึงเลือกให้คุณชลวิทย์พาจันทร์หลบหนี ผมจึงเริ่มวิเคราะห์ตั้งแต่สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้นที่ยึดถืออาชีพชาวสวนเป็นหลัก รายได้อาจจะไม่คงที่ ส่วนอาชีพครูถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แม้เงินเดือนจะไม่มากมายนัก แต่ก็มั่นคงพอจะใช้ประมาณค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำ เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายหลายๆ อย่างอาจจะต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากนายโชค
สถานการณ์จึงบีบบังคับให้ป้าเข็มจำต้องปิดปากเงียบ

‘หดหู่’ เป็นคำนิยามเดียวที่ผมมีให้กับเรื่องราวทั้งหมด และมันก็ทำให้ผมค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลอันมืดมิด ซึ่งเปรียบเสมือนความรู้สึกของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน และเวลานี้ผมก็สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ว่าเพราะเหตุใดการได้พบเจอกับผมถึงเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดสำหรับจันทร์
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา..
มีเพียงแค่ผมที่ไม่เคยมองข้ามความรู้สึกของอีกฝ่าย

แต่จันทร์คงไม่รู้ว่าผมก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีความเห็นแก่ตัว เพราะทุกครั้งที่ผมใช้ปากกาขีดฆ่าวันที่ในปฏิทิน จากเดือนมกราเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤษภา ผมก็ยิ่งเข้าใจว่าแท้ที่จริง ตนเองกำลังคาดหวังต่อการกลับมาของจันทร์มากมายแค่ไหน และคำพูดที่ผมเคยบอกกับคุณพีรวัตรก็แปลความหมายได้ว่า..
ลึกๆ ในใจ ผมมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว

เพียงแต่ผมกำลังหวาดกลัวว่าภาพลักษณ์ของผมในมุมมองของจันทร์ถึงคราวจะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะผมยังคงอยากจะเป็นภาพวาดที่สวยงามที่สุด
ตั้งแต่วินาทีแรกจวบจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
ความรู้สึกข้างในจึงค่อนข้างขัดแย้งกันตลอดเวลา 

“ตอนเย็นหลังเลิกงาน ขึ้นไปเจอกันบนดาดฟ้าหน่อยดิ”
“อ่อ.. อืม” ผมนั่งเหม่อจนทำให้ไม่ได้ยินคำชักชวนของเพื่อนสาวคนสนิท มันเลยต้องสะกิดเรียกพร้อมกับพูดย้ำขึ้นมาอีกรอบกลางโต๊ะอาหารในช่วงพักเที่ยง

กระทั่งเวลานัดหมายเดินทางมาถึง ผมก็จำต้องวางมือจากงานที่ยังคงคั่งค้าง แต่พอเดินขึ้นไปบนดาดฟ้ากลับไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใด ผมจึงก้าวเดินไปยังเก้าอี้ม้านั่งยาวที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้
และความเงียบสงัดก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า..
สถานที่แห่งนี้ ไม่ต่างกับห้องส่วนตัวสักเท่าไหร่

“มาช้าจังวะ..” ผมรีบบ่นทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก เพราะเวลาแบบนี้เป็นเวลาของการวางแผนการรักษา รวมถึงเคลียร์เอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย แต่พอดวงตาสบเข้ากับใครบางคนที่ไม่ใช่เจ้าของนัดหมาย
สุ้มเสียงและคำพูดถึงคราวต้องอันตรธานหายไป

“จันทร์ขออนุญาตด็อกเตอร์เพื่อมาเจอกับพี่ภัทร” เป็นเวลากว่าหลายนาทีที่ดวงตาของเราจะผละจากกัน และจันทร์ก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“อ่อ” ขณะที่ผมยังคงประหยัดคำพูด หากแต่ในใจกำลังสั่นระรัวอย่างแรงกล้า แต่เพราะความดีใจมันจุกอก ผมก็เลยวางตัวไม่ค่อยถูก

“จันทร์คิดอยู่นานว่าจันทร์ควรจะกลับมาใช้ชีวิตต่อไปดีไหม กลับมาแล้วจะคุ้มค่าหรือเปล่า แล้วความสุขมันมีอยู่จริงๆ ใช่ไหม คำถามมากมายเต็มหัวของจันทร์ไปหมด เพราะว่ามันมีทั้งความหวาดกลัว ความไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่มั่นใจในหลายๆ เรื่อง” จันทร์กล่าวขณะที่ดวงตากำลังมองจ้องไปยังแผ่นฟ้าตรงหน้า ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งเงียบและมองจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่ง
“…”

“แต่พี่พีบอกกับจันทร์ว่า..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่หลายเดือนมานี้ ผมทำได้เพียงลอบมองผ่านช่องกระจกตรงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่สองสามที ราวกับว่าน้ำตาของอีกฝ่ายกำลังจะไหลริน จึงทำให้ระบบทางเดินหายใจเริ่มจะติดขัด
“…”

“ถ้าหากจันทร์หนี จันทร์ก็จะจมอยู่กับความทรงจำพวกนั้น แต่ถ้าหากจันทร์สู้ ความทรงจำพวกนั้นก็จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต และทั้งสองทางเลือกมันก็ยากสำหรับจันทร์”
“…”

“แต่พอความคิดเริ่มตกผลึก จันทร์ก็รู้สึกว่าในความโหดร้ายยังมีความโชคดีซุกซ่อนอยู่ เพราะอย่างน้อยจันทร์ก็ยังได้รับความรักจากพี่ภัทร และคุณหมอก็พร้อมจะช่วยจันทร์หาทางออก คำตอบของคำถามที่เคยผุดขึ้นในหัว ก็เลยค่อยๆ ชัดเจนขึ้นว่าที่จริงแล้ว โลกไม่ได้มีเพียงด้านที่โหดร้าย..”
“…” หลังฟังเรื่องเล่าจากคนคุ้นเคย ผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ที่จันทร์เคยพูดว่าความอบอุ่นของพี่ภัทร ไม่สามารถรั้งจันทร์เอาไว้ได้ ที่จริงมันคงเป็นความรู้สึกชั่ววูบ เพราะอะไรหลายๆ อย่าง มันประเดประดังเข้ามาจนจันทร์รู้สึกรับไม่ไหว ก็เลยอยากจะหายตัวไปทุกอย่างจะได้จบ วันนั้นจันทร์เลยเผลอทำร้ายพี่ภัทรอย่างเห็นแก่ตัว..” จันทร์กล่าวพลางหันมามองหน้ากันด้วยแววตาฉ่ำน้ำ ขณะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวก็พยายามเม้มแน่น เพราะคนตรงหน้าคงไม่อยากเสียน้ำตาในเวลานี้
“ไม่เป็นไร.. พี่เข้าใจและพี่ก็ไม่เคยโกรธหรือตัดพ้อใดๆ” ผมกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบข้างแก้มของอีกฝ่ายจนทำให้น้ำตาของเจ้าตัวไหลรินลงมาได้ไม่ยาก

“พี่ภัทรรู้ไหม ความรู้สึกของการถูกรักทำให้จันทร์มีความสุขมาก เพราะในชีวิตของจันทร์แทบไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น” จันทร์เลื่อนฝ่ามือของผมไปกอบกุมไว้บนตัก พร้อมกับบอกเล่าความรู้สึกของตัวเอง ทั้งน้ำตาที่ยังคงอาบแก้ม
“…” ผมส่งยิ้มให้กับคนข้างกาย แม้ว่าเจ้าตัวจะมองไม่เห็น พลางกระชับฝ่ามือข้างที่อีกฝ่ายกอบกุมไว้ให้แน่นขึ้น

“จันทร์ขอเป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันอีกครั้งได้หรือเปล่าครับ ?” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเอ่ยถามพลางยกฝ่ามือข้างที่ว่างเช็ดน้ำตาป้อยๆ พร้อมกับใช้สายตาช้อนมองมายังผมอย่างขอความเห็นใจ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ผมเอ่ยตอบพลางรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบอก ขณะที่หัวใจก็เต้นรัวอย่างมีชีวิตชีวา

“จันทร์รักพี่ภัทร”
“พี่รักจันทร์นะ”

สิ้นคำพูดที่เปล่งออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน เราต่างก็ส่งเสียงหัวเราะทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่มันเป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมาย
แต่ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าช่วงเวลาที่ต้องห่างเหิน ทำให้เราต่างก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พูดคำคำนี้ออกไป

“จันทร์ขอโทษนะครับที่ทำให้พี่ภัทรถูกทำโทษแล้วยังทำให้คิดมากอีก” เมื่อผละออกจากกันแล้ว จันทร์ก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“เรื่องนั้น.. จันทร์ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก เพราะพี่ก็ทำเกินกว่าหน้าที่จริงๆ แถมเคสแบบนั้นพี่ไม่ได้เพิ่งเจอเป็นครั้งแรก” ผมอธิบายพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ต่อไป เราคงเจอกันยากแล้วเนอะ”
“…” ผมส่งยิ้มไปให้จันทร์แทนคำตอบ เพราะในตอนนี้เราต่างก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากทีมรักษาสักเท่าไหร่ แต่การที่เราได้มาเจอกันในวันนี้ มันอาจจะเป็นเงื่อนไขของจันทร์ โดยที่ด็อกเตอร์ก็ได้หยิบยื่นเงื่อนไขของตนเองด้วยเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้นไอ้แนนคงไม่ต้องไปยืนหลบมุมอยู่ตรงปากประตูทางเข้าสวนสาธารณะบนดาดฟ้าแบบนี้หรอก

“หกโมงเย็น จันทร์มายืนรอพี่ตรงข้างหน้าต่างสิ” ผมเสนอพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่เข้าท่าที่สุด เพราะผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่หากเลือกที่จะพบเจอกันผ่านบานกระจกแคบๆ ตรงหน้าประตู หัวโขนคงไม่มีทางถอดออกได้ มิหนำซ้ำจะยิ่งถูกเพ่งเล็งเสียเปล่าๆ
“ครับ” สิ้นคำตอบรับเราต่างก็นั่งมองแผ่นฟ้าสีทองอร่ามท่ามกลางความเงียบสงบที่คละเคล้าไปด้วยความอุ่นใจ ผมจึงถือโอกาสเลื่อนฝ่ามือของตัวเองทาบทับลงบนฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ผละจากกันไปนานแล้ว ขณะที่มืออีกข้างก็ส่งไลน์ไปสอบถามไอ้แนนว่าเราสามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนพระอาทิตย์ตกดินได้หรือเปล่า กระทั่งได้รับคำตอบที่พึงพอใจ เราทั้งคู่ต่างก็ปล่อยให้เวลาผันผ่านไป จนดวงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้า

“คุณหมอบอกกับจันทร์ว่าเดือนหน้าจะเริ่มหลอมรวมอัตลักษณ์ เพราะตอนนี้พวกเขาค้นพบตัวตนทั้งหมดของจันทร์แล้ว พี่ภัทรคงยังไม่รู้ว่าจันทร์มีแค่ 4 อัตลักษณ์ ส่วนเสียงผู้หญิงที่จันทร์เคยบอกว่ามีสองเสียง จริงๆ เสียงนั้นเป็นเสียงของน้องลี แต่ว่าจันทร์ได้ยินไม่ชัดก็เลยเข้าใจผิดไป”
“…”

“ช่วงเวลาที่จันทร์อายุ 5-7 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบสำหรับจันทร์ อาจเพราะลียังไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่หลังจากนั้น.. ความสงบที่เคยมีก็ถูกพรากจากไป และแผลนี่.. ก็มีฝีมือของจันทร์รวมอยู่ด้วย” จันทร์กล่าวพลางลูบไล้บาดแผลตรงข้อมือของตัวเองที่ตอนแรกผมเข้าใจว่าเจ้าของผลงานคือกรวินท์ แต่หลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น ผมก็ทราบดีว่าสิ่งที่ตนเองคิดไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด
“แต่หลังจากนี้พี่จะเติมเต็มความสงบ ความอบอุ่น ความรัก และความสุขที่จันทร์โหยหามากเท่าที่จันทร์ต้องการ..” ผมกล่าวอย่างหนักแน่นพร้อมกับกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา

“ถ้าหากจันทร์เป็นแก้วใบใหญ่ที่มีความจุมากจนเกินพอดี พี่ภัทรจะเติมน้ำลงในแก้วใบนั้นจนเหนื่อยใจไปก่อนหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก เรารู้จักกันตั้งปีหนึ่งแล้วนะ ถ้าหากพี่เหนื่อยใจกับเรื่องของจันทร์จริงๆ พี่คงถอดใจไปนานแล้ว ส่วนครั้งนั้นที่พี่ปล่อยจันทร์ไป ไม่ใช่ว่าพี่เหนื่อยใจ แต่มันเป็นเพราะพี่ไม่อยากให้จันทร์เจ็บปวด” ผมอธิบายด้วยความรู้สึกอันจริงใจของตัวเอง อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับอีกฝ่ายไปในตัว เพราะผมรับรู้ได้ถึงกระแสความเจ็บปวดจากใบหน้าของจันทร์ เนื่องจากเรื่องราวต่างๆ ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจ เพียงแค่กวนตะกอนให้ขุ่น มันก็พร้อมจะคละคลุ้งได้ง่ายๆ ซึ่งความเปราะบางนี้คงจะอยู่ในสายตาของด็อกเตอร์ เขาถึงได้พูดคุยกับจันทร์ด้วยเหตุผล ว่าหลังจากนี้เราทั้งคู่ไม่อาจจะอยู่ใกล้ชิดได้แบบวันวาน
เพราะมันย่อมเสี่ยงที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม

“พี่ภัทรอยู่คุยกับพี่พีสักหน่อยได้ไหมครับ เพราะหลังจากนี้ อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“อื้ม ได้สิ” ผมหันไปมองอีกฝ่ายทันทีที่ฟังคำถามจบ จึงยอมตกปากรับคำออกไป แม้ในใจยังคงอยากจะยืดเวลาของเราให้นานกว่านี้ แต่คุณนักเขียนก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผม และเขาก็มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการรักษา ดังนั้นผมก็ต้องถือโอกาสขอบคุณเขาสักหน่อย

จันทร์ใช้เวลาเจรจากับคุณพีรวัตรอยู่นานกว่าที่เจ้าตัวจะยอมออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ คงเพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของผมดี แต่จันทร์ก็หวังดีกับเขาเลยยอมสละช่วงเวลาอันมีค่าให้กับคนที่คอยพูดเตือนสติ อีกทั้งยังช่วยประคับประคองชีวิตให้เดินต่อไปได้จนตลอดรอดฝั่ง

“อันที่จริง ผมไม่ได้ตั้งใจจะขโมยเวลาของคุณกับจันทร์เลย” เขากล่าวเปิดประเด็น พลางนั่งไขว้ขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“เขาคงอยากจะตอบแทนคุณล่ะมั้ง อีกอย่างเราสองคนก็ถือว่าสนิทกันที่สุด”

“แต่กว่าจะถึงคิวของผมคงอีกนาน เพราะด็อกเตอร์จะเริ่มรวบรวมอัตลักษณ์ของจิมกับลียากรก่อน” ผมพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะขั้นแรกด็อกเตอร์จะเลือกอัตลักษณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน จากนั้นก็เป็นคิวของกรวินท์ และปิดท้ายด้วยคุณนักเขียน
“ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่าง..” ผมกล่าวพลางมองจ้องอีกฝ่ายอย่างจริงใจ ส่งผลให้พวงแก้มของเขาแดงปลั่ง

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก เพราะสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรแอบแฝง”
“ยังไงครับ ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัยและไม่วายจะส่งยิ้มขำกลับไป

“ผมหวังให้คุณไม่มีวันลืมผม” สิ้นคำกล่าวของเขา ผมก็หุบยิ้มลงเล็กน้อย แต่แล้วก็ส่งยิ้มกลับไปให้คนข้างๆ อีกครั้ง เพราะผมเข้าใจความรู้สึกของเขาดี และไม่เคยลืมว่าเขารู้สึกกับผมแบบไหน
“ผมไม่ลืมคุณหรอก” ผมกล่าวสำทับและก็หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าผมไม่สามารถลืมเขาได้ในสถานะใด

“ผมก็จะไม่ลืมคุณเหมือนกัน เพราะคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุด และก็เป็น..” คุณพีรวัตรกล่าวเพียงแค่นั้น แล้วเขาก็เงียบไป คล้ายกับเจ้าตัวรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดไม่เหมาะสมนัก และผมก็ไม่คิดที่จะถามย้ำ เพราะท้ายที่สุดถึงผมจะล่วงรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกเดียวกันกับเขาได้
“…” 

“ผมยังมีความลับหนึ่งอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอกคุณ..”
“…”

“ที่จริงแล้ว.. คนที่คุณเคยโอบกอดไม่ได้มีแค่จันทร์”



゚゚❀゚゚

edit คำตก 20/09/2018
[edit 21/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- บทลงโทษคดีข่มขืน ตามกฎหมายระบุไว้อย่างไร
https://hilight.kapook.com/view/139192
- อัตราโทษข่มขืน
https://goo.gl/gXpDxj

ตอนนี้มาเร็ว จนหลายคนอาจจะตกใจ ว่าคนเขียนมันฟิตหนักมาก แถมยังพาน้องจันทร์กลับมาด้วย 555 เราไม่รู้ว่ามันจะดูเร็วไปมั้ย กับการกลับมาของจันทร์ แต่การได้รับความช่วยเหลือจากคุณนักเขียน ที่ถือได้ว่าเป็นมือขวาของด็อกเตอร์ มันก็แลจะเป็นตัวช่วยชั้นดี ที่ทำให้จันทร์มองเห็นด้านที่ตัวเองเผลอมองข้ามไป หลังจากนี้ ก็เอาใจช่วยน้องจันทร์กันต่อไปค่ะ ใกล้จะโค้งสุดท้ายแล้ว ส่วนประเด็นของอาโชค ก็คงต้องปิดลงแค่นี้ เพราะว่ารูปคดี คนนอกคงจะไม่มีสิทธิ์รู้ และพี่หมอก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของป้าเข็ม ที่ก็บอบช้ำไม่ต่างกับจันทร์ ส่วนทามไลน์ความทรงจำของจันทร์ ตอนนี้น่าจะกระจ่างแล้ว ส่วนเรื่องที่จันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์ เอาไว้มาเฉลยในตอนถัดๆ ไป แต่ถ้าใครยังไม่เคลียร์ ก็คอมเมนต์ได้นะคะ เผื่อเราจะพิจารณาอีกที ว่าควรจะอธิบายลงไปในเรื่องในทำนองไหนดี

ปล. ตอนนี้ข้ามทีนึง 5 เดือนเลย คงไม่เร็วไปเนอะ ตอนหน้าๆ อาจจะเจอเปิดว๊าบมากกว่านี้ก็ได้ เพราะพี่หมอกลายเป็นคนนอกทีมไปแล้ว ก็เลยเปิดว๊าบได้เยอะหน่อย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 20-09-2018 07:58:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 20-09-2018 11:07:56
อัพแล้วววว รอบนี้ได้อ่านสองตอนติดเลย เราว่าเรื่องราวไม่ยืดนะคะเพราะดีเทลเยอะมากๆในการทำความเข้าใจต่างๆ ต้องอาศัยคำบรรยายของนักเขียนที่มากพอ เพราะไม่งั้นจะเกิดอาการงงได้ตอนที่อ่านต่อๆไป

สองตอนนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย แต่ก็ยังไม่สุด ดีใจมากๆที่หมอมีความสุขแล้วที่น้องกลับมา น้องจะต้องเข้มแข็งน้าาาา  ส่วนความลับที่พีจะบอกหมอจะคืออะไรหนอออออ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-09-2018 12:38:09
เก็บรายละเอียดดีจริงๆ
สรุป มี NC นักเขียนกับพี่หมอหน้า Mac Book ไหมเนี่ย... รออยู่ >///<
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 20-09-2018 19:18:25
เง้อออออออ พี่รวัตรก็คงจะชอบพี่หมอใช่มั้ยยยย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-09-2018 20:22:25
จิ้นคุณนักเขียนกับคุณหมอเหมือนกันค่ะ แต่พลังติ่งน้องจันทร์มีเยอะกว่า เอาใจช่วยน้องให้รวมทุกอัตลักษณ์ได้นะคะ จะได้เป็นน้องจันทร์ที่สมบูรณ์แบบ  :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 41 ❀ หน้า 4 (update 19/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 21-09-2018 00:51:23
อึ้งตรงประโยคสุดท้าย เค้าไปโอบกอดกันมาเมื่อไหร่ โอ้ยๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 42 ❀ หน้า 4 (update 26/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-09-2018 14:28:45
ตอน 42

คำพูดทิ้งท้ายอันเป็นความลับของคุณพีรวัตร ทำให้ผมต้องขบคิดอยู่หลายตลบว่าตอนที่นอนอยู่โรงพยาบาล ตัวผมเคยมีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวกับทุกๆ อัตลักษณ์หรือไม่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือคำว่า ‘ไม่แน่ใจ’
เพราะถ้าหากอัตลักษณ์อื่นๆ ขโมยเวลานอนของจันทร์ไป แสดงว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาอาจจะตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของผม และปฏิกิริยาของพวกเขาก็น่าจะเป็นการผลักไส
เหตุเพราะพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับผม
ส่วนคุณพีรวัตร ผมพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องสวมรอยเป็นจันทร์

“ให้ตายเถอะ อุปสรรคเยอะแยะจังวะ” หลังจากยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างรอบุคคลที่เป็นเจ้าของนัดหมายในช่วงเวลาหกโมงเย็น จู่ๆ สายฝนก็โปรยปรายลงมาเสียอย่างนั้น สมกับเป็นเดือนแห่งฤดูฝนจริงๆ จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเลือกจะต่อรองเวลาแห่งการรอคอยออกไปอีกหน่อย 

กระทั่งฝนเม็ดใหญ่เริ่มเทกระหน่ำ ผมก็จำต้องอาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นแหล่งพักพิง ขณะที่ดวงตาก็จ้องมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่เงาของใครบางคน ซึ่งผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าหากจันทร์ไม่ทำตามคำสัญญา
ก็แปลได้ว่า..
ช่วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่จันทร์เป็นผู้ควบคุมจิตวิญญาณ

ผมก้มลงมองเข็มนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาหกโมงครึ่ง ก่อนจะอมยิ้มตรงมุมปาก เมื่อนัดครั้งแรกของเราท้ายที่สุดก็พังลงไม่เป็นท่า แต่ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้จันทร์อาจจะมีโอกาสออกมาใช้ชีวิต และทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้
กระทั่งท้องฟ้ามืดสนิทไร้สายฝนโปรยปราย ผมถึงค่อยก้าวเดินออกจากบริเวณดังกล่าว และมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ เพื่อเดินทางกลับไปกินข้าวที่บ้าน จากนั้นก็จะได้อาบน้ำนอน

แต่พอขังตัวเองไว้ท่ามกลางความเงียบในห้องนอน ความกังวลต่างๆ ก็ไหลบ่าเข้ามาไม่ยั้ง เพราะผมเองก็ทราบดีว่า ‘อดีต’ ของจันทร์ไม่ง่ายที่จะปลดปล่อยให้กลายเป็นเพียงภาพสีชาในความทรงจำ
“ไอ้ภัทร มึงชักจะคิดมากเกินไปแล้ว” ท้ายที่สุดผมก็อดบ่นตัวเองไม่ได้ เมื่อความคิดมันเริ่มเตลิดไปยังมุมมองที่ว่าอีกฝ่ายคงกำลังท้อถอยกับชะตาชีวิต จึงเลือกใช้วิธี ‘หลับตา’ เป็นทางออกเลยผิดสัญญาที่เคยมีให้กัน
และกว่าผมจะโล่งใจ
ก็ตอนที่ได้เห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่ตรงหลังกระจกบานนั้น

“ไอ้แนน” ผมเอ่ยเรียกระหว่างที่เรากำลังทานมื้อกลางวันประทังชีวิต
“ทำไมหน้าเครียดจังวะมึง เป็นอะไร ?” ทันทีที่ไอ้แนนย้อนถาม ไอ้ญาติผู้น้องที่กำลังโซ้ยมื้อกลางวันอย่างเอร็ดอร่อยก็ถึงกับเงยหน้ามองผมอย่างรวดเร็ว

“เรื่องจันทร์ล่ะสิ” ไอ้บาสเฉลยอย่างรู้ใจ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง หลังเลิกงานผมก็มักจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน
“อืม ทั้งชีวิตกูตอนนี้ก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวที่ยังไม่หมดห่วง เมื่อวานจันทร์ผิดสัญญา แต่กูก็เข้าใจว่าอาการของโรคที่จันทร์เป็นมันกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไม่ได้ แต่พออยู่เงียบๆ คนเดียว ใจกูแม่งฟุ้งซ่านเกินไปจริงๆ ว่ะ  กูขอร้องมึงนะ ถ้าเกิดว่าจันทร์แบกรับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไม่ไหวจริงๆ มึงช่วยส่งสัญญาณบอกกูที กูจะได้ทำใจ” ผมขอร้องไอ้แนนอย่างอดรนทนไม่ไหว เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจของผมตลอดเวลา
และผมก็ไม่อยากจะมานอนคิดมากหรือว่าคิดไปเองแบบเมื่อวาน

“โอเค ถ้าเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ กูจะรีบส่งข่าวหามึงทันที” ไอ้แนนให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น จนผมเริ่มสบายใจมากขึ้น เพราะอย่างน้อย ผมก็ยังสามารถปลอบใจตัวเองได้อย่างมั่นใจว่าที่จันทร์ผิดสัญญาเป็นผลพวงมาจากอาการของโรคหลายอัตลักษณ์
ซึ่งเหตุผลดังกล่าว ผมคงได้หยิบยกมาปลอบใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
เพราะโดยธรรมชาติการสลับตัวอย่างกะทันหันมักจะเกิดขึ้นเหนือการควบคุม

หลังจากวันนั้นจันทร์ก็รักษาสัญญาระหว่างเราอยู่หลายครั้ง โดยที่บางวัน ‘เวลา’ ของอีกฝ่ายก็มักจะถูกอัตลักษณ์ต่างๆ ขโมยไป ผมจึงทำได้แค่เพียงแหงนหน้ามองหน้าต่างบานนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะยอมล่าถอยเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท และมันก็เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเดือนมิถุนายนมาเยือน ซึ่งเดือนนี้ถือเป็นเดือนที่จันทร์จะเริ่มต้นโปรแกรมการรวบรวมอัตลักษณ์อย่างจริงจัง
ผมจึงทำได้แค่เพียงเอาใจช่วยแบบห่างๆ อย่างห่วงๆ

“อีกตั้งหลายชั่วโมงแน่ะ เอาไงดีวะ” ผมบ่นอุบหลังจากปฏิบัติงานในช่วงเช้าวันเสาร์จนเรียบร้อยแล้ว คนที่ไม่ต้องเข้าเวรอย่างผมก็เริ่มคำนวณเวลาว่าควรจะออกไปผ่อนคลายที่ไหนสักแห่ง หรือจะนั่งทำงานอุดอู้อยู่ในห้อง
“พักสักหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ” ไม่นานผมก็สรุปคำตอบให้กับตัวเอง พร้อมมีจุดมุ่งหมายเป็นหอศิลป์ที่ทางโรงพยาบาลนำผลงานของผู้ป่วยไปจัดแสดง
ซึ่งก็ถือเป็นรายได้อีกทางหนึ่งให้กับพวกเขาเหล่านั้น

แต่ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางตามที่ตั้งใจไว้ ผมคงต้องหาอะไรรองท้องสักหน่อย ซึ่งร้านที่ผมถือโอกาสไปฝากท้องก็เป็นร้านที่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่ผมจบมา เลยพาลให้บรรยากาศเก่าๆ เริ่มไหลบ่าเข้ามาในความคิด
จนกระทั่งความคิดเริ่มหลุดลอยไปถึงอนาคตของใครบางคน โดยที่ภาพฝันดังกล่าวกลับหนีไม่พ้น ภาพของจันทร์ในคราบของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นเมื่อไหร่ เพราะการรักษาโรคหลายอัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากผู้รักษาและผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีความอดทนอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าจันทร์จะไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน

เมื่ออิ่มท้องสถานีถัดไปก็คือหอศิลป์ ซึ่งบรรยากาศด้านในค่อนข้างจะเงียบสงบ มิหนำซ้ำแสงไฟสีเหลืองนวลก็ยังเสริมสร้างความอบอุ่นให้กับบริเวณดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม ผมจึงถือโอกาสเดินชมผลงานของศิลปินผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศไปจนถึงศิลปินหน้าใหม่อย่างเชื่องช้า
ราวกับต้องการจะละเลียดมุมมองต่างๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นต้องการจะสื่อ

กระทั่งภาพศิลป์จากฝีมือของผู้ป่วยโรคจิตเวชปรากฏอยู่ตรงหน้า สายตาของผมก็เบนไปอ่านข้อมูลของภาพดังกล่าว จึงทราบว่าภาพนั้นมีชื่อคอนเซ็ปอันเรียบหรูว่า ‘ไกลเกินเอื้อม แต่ไม่ไกลเกินฝัน’
และผู้สร้างสรรค์ผลงานดังกล่าวก็คือ ‘กรวินท์’

ผลงานนั้นเป็นเรื่องราวของกระต่ายตัวน้อยที่กำลังเฝ้ามองพระจันทร์ดวงโตอย่างอ้างว้างท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีขาว ซึ่งโทนสีที่ใช้ล้วนแต่เป็นโทนที่สามารถผสมผสานความหม่นหมองจากเบื้องลึกของจิตใจได้อย่างลงตัว อาจเพราะกรเลือกใช้สีน้ำเงินเข้มที่ไม่ต่างกับยามราตรีอันมืดมิด ระบายลงบนพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่เปรียบเสมือนท้องฟ้า
ขณะที่ดวงจันทร์อันโดดเด่นกลับถูกแต่งแต้มด้วยสีเหลืองอร่าม ส่วนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังยืนหันหน้าเข้าหาพระจันทร์กลับถูกระบายด้วยสีน้ำตาลเข้มที่ค่อยๆ แผ่กระจายความรู้สึกอันว้าเหว่ของผู้วาดได้เป็นอย่างดี เพราะทุ่งดอกไม้สีขาวละลานตาไม่อาจกลบเกลื่อนความหมองหม่นได้อย่างหมดจด

เนื่องจากความหมายของภาพสื่อให้เห็นว่ากรรู้สึกไร้หลักยึดมากมายแค่ไหน ซึ่งพระจันทร์อันสว่างสดใสคงจะหนีไม่พ้นภาพแทนตัวของคุณชลวิทย์ และชื่อผลงานที่เขาตั้งก็บ่งบอกได้ดีว่าการที่กรวินท์ยินยอมให้ความร่วมมือในการรักษา ก็เพื่อที่จะลบล้างอัตลักษณ์ของตนเอง และมันก็แปลได้ว่าเขาไม่ต้องการจะใช้ชีวิตในสถานะของ ‘กรวินท์’ บนโลกใบนี้อีกต่อไป ดังนั้นการรักษาย่อมเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาผู้ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้ากระต่ายตัวนั้น กลายเป็นกระต่ายที่อยู่บนดวงจันทร์ที่เขาทั้งรักและผูกพัน
ส่วนความฝัน..
บางทีมันอาจจะไม่สำคัญเท่ากับภาพอนาคตที่เขาวาดไว้

กระทั่งวันเวลาของการรักษาดำเนินต่อไปจนครบหนึ่งปีเต็ม ผมก็ยังคงทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดวงจันทร์ผ่านทางหน้าต่างบานเดิม ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นกระต่ายที่อยู่ในภาพวาดของกรวินท์ ที่ทำได้แค่แหงนหน้ามองดวงจันทร์อันสว่างสดใสและยังไกลเกินเอื้อม หากแต่ไม่ไกลเกินฝัน เพราะผมยังคงเชื่อมั่นในตัวจันทร์ไม่เปลี่ยนแปลง และในเดือนกันยายนนี้ก็ทำให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับความฝันของกรวินท์มากขึ้น เนื่องจากตอนเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลประจำสัปดาห์ มีการพูดถึงการส่งผลงานของอีกฝ่ายเข้าประกวด ซึ่งผลงานดังกล่าวเป็นความตั้งใจเดิมที่เขาเคยวางแผนร่วมกับคุณชลวิทย์
ที่ว่าด้วยเรื่องของ ‘นิทาน’ สำหรับเด็ก

“ดูเหมือนจันทร์กำลังเครียด แล้วก็เบื่อโรงพยาบาลแบบสุดๆ เลยหาเรื่องอยากจะกลับบ้านกลางป่าสน” ไอ้แนนเปิดประเด็นท่ามกลางมื้อกลางวันเหมือนอย่างเคย ซึ่งผมก็ไม่นึกแปลกใจอะไร ในเมื่อผู้ป่วยทุกคนไม่ใช่นักโทษ หากอาการอยู่ในขั้นที่น่าไว้วางใจ ช่วงเทศกาลทางโรงพยาบาลก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ประมาณ 2-3 วัน
“การรักษามีปัญหาเหรอวะ ?” ผมเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

“ไม่เชิงว่ะ”
“…” ผมเลิกคิ้วส่งสัญญาณให้ไอ้แนนพูดต่อ เมื่อจู่ๆ มันก็ดันไม่ยอมขยายความเสียอย่างนั้น

“ตอนนี้การหลอมรวมอัตลักษณ์ของน้องจิมกับน้องลียากรไม่มีปัญหาอะไร แต่การหลอมรวมอัตลักษณ์ของกรวินท์คือสิ่งที่จันทร์เป็นกังวล”
“ทำไมวะพี่ ?” ไอ้บาสย้อนถามอย่างสนใจ ขณะที่ผมก็รู้สึกยินดีกับความสำเร็จอันเป็นก้าวแรกของจันทร์ เพราะเมื่อลองนับๆ วันเวลาดูแล้ว โปรแกรมการหลอมรวมขั้นต้นใช้เวลาทั้งหมด 4 เดือนเต็ม
เพราะอีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้าให้แล้ว

“ก็อย่างที่รู้กันดี กรวินท์เป็นอัตลักษณ์ที่มีความรู้สึกว่างเปล่า แล้วยังมีอาการซึมเศร้า” ทันทีที่ไอ้แนนเฉลยความกังวลของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ผมก็พอจะเข้าใจได้ว่า ‘การหลอมรวม’ อาจทำให้จันทร์ได้รับส่วนต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์
ดังนั้นจันทร์ผู้สมบูรณ์แบบ
อาจไม่ใช่จันทร์ในภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวอยากให้เป็น

“แล้วด็อกเตอร์ว่ายังไง ให้กูเดาคงไม่ยอมให้จันทร์กลับไปที่บ้านกลางป่าสนง่ายๆ” ผมกล่าวพลางเขี่ยปลายนิ้วกับโต๊ะกินข้าว เพราะบ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันมากมาย ดังนั้นอาจเกิดความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนส่งผลให้อัตลักษณ์ที่เพิ่งจะรวบรวมได้สำเร็จ เกิดการแตกกระจัดกระจายขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็ใช่ไง แล้วคือกูก็เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย แต่ก็อดสงสารน้องมันไม่ได้ เพราะการออกจากโรงพยาบาลในครั้งนี้ น้องมันหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ๆ มึง และยังได้รับกำลังใจจากมึง กูถึงได้กลุ้มใจอยู่นี่ไง” สิ้นคำกล่าวของไอ้แนน ใจของผมก็รู้สึกสั่นไหวและวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเราอยู่ใกล้กัน แต่กลับเหมือนอยู่ไกลกันมาก ดังนั้นการเฝ้ามองกันและกันผ่านทางหน้าต่างบานเดิม จึงไม่อาจเติมเต็มกำลังใจให้อีกฝ่าย

“ยิ่งไปกับกู โอกาสที่ด็อกเตอร์จะอนุญาต แม่งเท่ากับศูนย์เถอะมึง”
“เออดิ แต่เห็นน้องเครียด กูก็กลัวว่ามันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”

“ถ้างั้น กูฝากอะไรบางอย่างไปให้จันทร์หน่อยสิ”
“อะไรวะ” ไอ้แนนกระซิบกระซาบพลางมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง แต่ในช่วงเวลาพักกลางวันแบบนี้ โรงอาหารแม่งเต็มไปด้วยเสียงเจี้ยวจ้าว คงไม่มีใครใส่ใจเรื่องราวบนโต๊ะอาหารของพวกเราหรอก
อีกอย่างรอบๆ ตัวก็มีแต่ผู้ป่วยนอกทั้งนั้น

“ลูกสน”



゚゚❀゚゚

[edit 21/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

อันที่จริงการหลอมรวม ก็ไม่เชิงว่าจันทร์จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากมายขนาดนั้นนะ เพราะตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ ก็มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี แต่เท่าที่เราอ่านในหนังสือของคุณบิลลี่ การหลอมรวมจะสามารถหลบเลี่ยงลักษณะนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ได้ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ และนั่นก็หมายรวมถึงความสามารถพิเศษด้วย ดังนั้นการที่จันทร์หลอมรวมน้องลีและน้องจิมได้เร็ว มาจากการที่ไม่เป็นกังวลในการรักษา แต่ของกรวินท์เขามีทั้งข้อดีและข้อเสีย น้องเลยเป็นกังวลจนถึงกับเครียด จุดเด่นของตอนก็คือตรงช่วงนี้แหละ เพียงแต่เขียนออกมาไม่กี่บรรทัด

ปล. ขอแจ้งอีกครั้ง ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เราเอามาจากหนังสือชีวประวัติของคุณบิลลี่ ฉะนั้นมุมมองที่เราต้องการจะนำเสนอ มันคือความเกินจริง บนความไม่เกินจริง (ประมาณว่าความเกินจริงพวกนั้น คือมุมมองของผู้ป่วย) เรื่องเลยอาจจะไม่หวือหวามากเท่าไหร่ เพราะตามสไตล์เรา เราชอบเขียนนิยายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอยู่แล้ว ยิ่งเป็นแนวค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ เราจะยิ่งชอบเขียน เพราะตัวเราชอบนิยายแนวนี้ ก็เลยนำเสนอออกมาแบบนี้ 555 และถ้าหากใครยังมีข้อสงสัยอะไรที่ยังไม่เคลียร์ บอกเราได้นะ เผื่อเราเคลียร์ของเราคนเดียว 55
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 42 ❀ หน้า 4 (update 26/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 26-09-2018 19:32:53
ใกล้กีนแค่นี้ แต่ก็ไกลกันเหลือเกิน ฮืออออ :hao5:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 42 ❀ หน้า 4 (update 26/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 26-09-2018 19:58:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 42 ❀ หน้า 4 (update 26/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-09-2018 20:57:59
เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์นะคะ สงสารน้อง รอวันที่จะกลับไปอยู่บ้านกลางป่าสนด้วยกันนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 42 ❀ หน้า 4 (update 26/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 27-09-2018 11:01:03
สงสารพี่ภัทรและจันทร์จับใจเลย ไม่ได้อยู่ด้วยกันในเวลาที่จันทร์ต้องการที่สุด
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 42 ❀ หน้า 4 (update 26/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 07-10-2018 12:32:34
ถึงเนื้อเรื่องจะหน่วง อ่านบางตอนแล้วซึมไปหลายวัน ส่วนตัวชอบอ่านแนวฟีลกู้ดแนวที่ช่วยฮีลจิตใจทำให้ยิ้มได้
แต่เรื่องนี้เป็นอะไรที่ให้แง่คิดที่ดีมากๆมันแฝงหลักธรรมะไว้ในเรื่องคือต่อให้ชีวิตมันเจออะไรที่หนักหนาและเลวร้ายแค่ไหน
ขอเพียงมีคนที่รักและเข้าใจ ขอเพียงแค่เราปล่อยวางมันลงอย่าไปยึดติดกับอดีตที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้
อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งที่เป็นทุกข์ ต่อให้ทุกข์หรือร้องไห้แค่ไหนถ้าไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้
ก็แค่ปล่อยวางมันลง ใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีและมีความสุขทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น ก็ถือว่าทำหน้าที่ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้อย่างดีและสมบูรณ์มากแล้ว #ไม่มีใครทำร้ายเราได้เท่ากับเราทำตัวเอง และไม่มีอะไรจะเลวร้ายถ้าใจเราดี
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 43 ❀ หน้า 4 (update 12/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-10-2018 17:20:11
ตอน 43

อันที่จริงผมไม่รู้หรอกว่าการปลอบใจคนกำลังคิดมากด้วยการมอบ ‘ลูกสนแห้ง’ ที่เปรียบเสมือนกล่องแห่งความทรงจำระหว่างเราจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดของอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน
แต่มันคงจะดีกว่าผมไม่ลงมือทำอะไรเลย

“ดูเหมือนจันทร์จะชอบดอกพญาเสือโคร่งนะมึง” ไอ้แนนเปรยขึ้นขณะที่เรากำลังมุ่งตรงไปยังลานจอดรถเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ รับคำบอกเล่าดังกล่าว
“แถมปีนี้ยังบานเร็วกว่าปกติด้วย ทำเอาโรงพยาบาลน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง” สิ้นการแสดงความคิดเห็น จิตแพทย์สาวก็ยักคิ้วให้ผมหนึ่งที พร้อมกับยกยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะแยกตัวไปยังมุมที่รถของเธอจอดอยู่ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม เพราะความคิดกำลังติดตรึงอยู่กับรูปประโยคสุดท้ายที่มันอาจจะถอดรหัสได้ว่า..
ความสวยงามของดอกไม้..
กำลังช่วยพัดพาให้จิตใจอันหม่นหมองของจันทร์ค่อยๆ มลายหายไป

แต่ดูเหมือนระยะหลังผมมักจะคิดบวกมากเกินไป เพราะอันที่จริงจันทร์ยังคงกังวลเกี่ยวกับการรักษาเหมือนอย่างเคย จึงทำให้ทีมรักษาต้องร่วมหารือกันว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ เพราะหากตึงมากเกินไปคนไข้ก็จะยิ่งเครียดสะสม แต่ถ้าหากหย่อนมากเกินไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการรักษาได้
ซึ่งผมไม่รู้ว่าพวกเขาปรึกษาหารือกันอย่างไร ผลสุดท้ายถึงได้ยอมให้จันทร์ตกอยู่ในความดูแลของผมเพียงชั่วคราว ดังนั้นเวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจึงกำลังนั่งห้อยขาอยู่ตรงสระน้ำหน้าบ้าน ขณะที่ผมก็ได้โอกาสทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างการว่ายน้ำหลังจากไม่ได้ใส่ใจไปเสียนาน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปลดปล่อยให้จิตใจลอยละล่องไปตามความคิดเหมือนทุกครั้ง เพราะผมยังคงหวาดกลัวว่าการสลับตัวอาจจะเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังดำดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งความคิด หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงที่ผมกำลังดำดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำอันเงียบสงบ

“ที่จริงแล้วกว่าจันทร์จะได้ออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ จันทร์ต้องเจรจากับคุณหมออยู่หลายครั้ง” เด็กชายตัวเล็กที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่ริมสระกล่าวขึ้น ขณะที่ผมก็ยังคงแช่ตัวอยู่ในน้ำแน่นิ่งเพื่อตั้งใจฟังคำบอกเล่าของอีกฝ่าย
“แม้ว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจะเท่ากับศูนย์ แต่จันทร์ก็ยังพยายามต่อไป เพราะยิ่งจันทร์อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ๆ จันทร์จะยิ่งรู้สึกเหนื่อย แถมวันเวลาก็ยังผ่านไปอย่างเชื่องช้า”

“ไม่เหมือนกับตอนที่มีพี่ภัทรอยู่สักนิด..”
“สำหรับจันทร์แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้มันน่าเบื่อมากเลยใช่ไหม ?” ผมเอ่ยถามพลางเอี้ยวตัวเข้าหาอีกฝ่าย พร้อมกับจับมือเล็กที่วางแหมะอยู่ตรงขอบสระมากอบกุมไว้

“ครับ.. ทุกอย่างมันน่าเบื่อไปหมด น่าเบื่อแม้กระทั่งตัวเอง เพราะตั้งแต่ความทรงจำคืนกลับมา จันทร์เหมือนเป็นโรคหวาดระแวง” จันทร์กล่าวเพียงแค่นั้นแล้วเจ้าตัวก็แน่นิ่งไป ซึ่งผมพอจะเข้าใจนิสัยในส่วนนี้ของอีกฝ่ายอยู่บ้าง เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาเวลาที่จันทร์ประสบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต จันทร์มักจะแก้ไขด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
ดังนั้นการแบ่งปันความทุกข์ใจจึงเป็นหนทางที่จันทร์ไม่ค่อยคุ้นเคย

“จันทร์ยังจำที่พี่เคยบอกได้หรือเปล่า ?” ผมขยับตัวมายืนตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับบีบกระชับฝ่ามือเล็กอย่างแนบแน่น พลางมองจ้องเข้าไปยังดวงตาไหวระริกอย่างจริงจัง
“…”

“ถ้าหากจันทร์มีเรื่องไม่สบายใจ จันทร์สามารถระบายให้พี่ฟังได้ ถึงแม้พี่อาจจะช่วยจันทร์ไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยการมีใครสักคนที่เราไว้ใจ คอยรับฟังเรื่องราวพวกนั้น ก็ทำให้เราอุ่นใจได้ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ.. คุณหมอก็เคยบอกกับจันทร์แบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้มันทำให้จันทร์กลัวว่าพี่ภัทรจะรับไม่ได้ หรือถ้ารับได้จันทร์ก็กลัวว่าพี่ภัทรจะคิดมากจนป่วยหนักแบบที่ผ่านมาอีก” คนป่วยพูดไปก็ก้มหน้ามองสองมือของเราที่กำลังกอบกุมกันไว้ ขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ความเห็นแก่ตัวของจันทร์ทำร้ายพี่ภัทรมากเกินไป จันทร์เลยไม่อยากทำให้พี่ภัทรต้องมาทุกข์ใจเพิ่มขึ้นอีก”
“จันทร์.. ฟังพี่นะ เรื่องที่พี่ป่วยคราวนั้น มันเป็นผลมาจากการกระทำของพี่ล้วน ๆ” ผมกล่าวพลางเช็ดน้ำตาให้กับเด็กชายตรงหน้าที่ไม่ว่าจะเติบโตไปมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรในสายตาของผม จันทร์ก็ยังคงเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กที่ผมทั้งรักและเอ็นดูอยู่ดี

“แต่ถ้าหากจันทร์ไม่ตัดสินใจแก้ปัญหาแบบนั้น พี่ภัทรก็คงไม่ต้องทำงานจนป่วยหนัก”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราทั้งคู่เสมอกันดีไหม ไม่มีใครถูกแล้วก็ไม่ใครผิด ต่อไปพี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นอีก พี่จะดูแลตัวเองให้ดีแล้วก็จะรักตัวเองให้มาก ๆ เพราะฉะนั้น จันทร์ลองเปิดใจแล้วระบายความไม่สบายใจ หรือความหวาดกลัวทั้งหมดให้พี่ฟังอีกสักครั้งได้ไหม?”

“ตั้งแต่ความทรงจำคืนกลับมา จันทร์มักจะหวาดระแวงว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาทำร้ายจันทร์ จนจันทร์ไม่สามารถข่มตานอนได้ เพราะในหัวของจันทร์มโนไปเองว่าอาโชคกำลังไขกุญแจเข้ามาหาจันทร์..”
“…”

“จันทร์ยังจำความเจ็บปวดพวกนั้นได้ มันน่าขยะแขยงมาก ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะปะปนไปกับเลือดของการฉีกขาด จนจันทร์คิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว แต่สุดท้ายจันทร์ก็ยังไม่ตาย เพราะอาโชคชอบบังคับให้จันทร์ดูแลตัวเอง ตอนนั้นจันทร์ไม่อยากทำตามสักนิด แต่จันทร์กลัวอาโชคจะโมโห เพราะจันทร์ไม่อยากเจ็บตัวเพิ่มขึ้นอีก” คนป่วยเริ่มบอกเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยแววตาเลื่อนลอย จนกระทั่งต้องลงลึกในความรู้สึก อาการแพนิคก็เริ่มจะก่อเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เราต้องห่างกัน ด็อกเตอร์อาจจะให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาในส่วนนี้ จันทร์ก็เลยสามารถควบคุมตัวเองได้ดีกว่าแต่ก่อน
“แล้วจันทร์ได้บอกกับน้าเข็มบ้างหรือเปล่าว่าจันทร์ถูกทำร้ายมากมายขนาดนี้” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับลูบเรือนผมของอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ โดยไม่ลืมเช็ดคราบน้ำตาที่ยังคงไหลริน

“จันทร์เคยคิดจะบอกน้าเข็ม แต่จันทร์ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง พอจันทร์หาโอกาสคุยกับน้าเข็มบ่อยเข้า อาโชคก็เริ่มรู้ว่าจันทร์คิดจะทำอะไร”
“หลังจากนั้น.. อาโชคก็เลยใช้เซ็กส์ที่รุนแรงขึ้น เพื่อข่มขู่ให้จันทร์หวาดกลัวจนไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปอีก พี่เข้าใจถูกไหม ?”

“ครับ” เด็กชายตัวน้อยที่ในเวลานี้ช่างดูบอบบางยังคงโฟกัสสายตาไปยังที่ที่ไกลแสนไกล ขณะที่น้ำเสียงตอบรับกลับแผ่วเบาราวกับสายลมเอื่อย ๆ ในยามค่ำคืน
“จริง ๆ แล้ว พี่คิดว่าเซ็กส์มันเป็นสิ่งที่หอมหวานสำหรับคู่รักนะ เพราะมันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง รวมถึงการจูบก็ด้วย แต่อาโชคคงจะทำให้จันทร์นึกถึงมุมมองพวกนี้ไม่ออกใช่หรือเปล่า”

“ครับ เพราะตอนที่จันทร์ยังจำอะไรไม่ได้ ภาพที่จันทร์เห็นก็คือภาพของจันทร์กับอาโชค จันทร์ถึงได้กลัวสัมผัสจากพี่ภัทร”
“ตอนนั้นพี่เองก็ขาดสติด้วยแหละ เลยทำให้จันทร์ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่”

“แต่มันน่าแปลกใจตรงที่ ถ้าหากจันทร์เป็นคนเริ่ม จันทร์จะไม่รู้สึกขยะแขยงแบบนั้น”
“มันคงเป็นเพราะจันทร์รับรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นจะไม่ทำให้จันทร์ตกอยู่ในอันตราย” ผมแสดงความคิดเห็นพร้อมกับส่งยิ้มให้คนตรงหน้าที่กำลังเปลี่ยนวิถีสายตามายังผม จากนั้นเราสองคนก็เลิกพูดถึงเรื่องราวในอดีต และหันกลับมาหาความสุขส่งมอบให้แก่กัน
เพราะเราต่างก็สามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้แค่เพียงค่ำคืนนี้

“พี่ภัทรเดี๋ยวจันทร์ตก จันทร์ขี้เกียจอาบน้ำอีกรอบ” เมื่อเด็กชายตัวเล็กจำต้องย้ายตัวเองมานั่งคล่อมอยู่บนบ่าของผม เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินไปเสียนานก็เริ่มดังกังวานมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอผมแกล้งเดินเป๋ไปเป๋มาไม่หยุด คนในความดูแลจึงเริ่มร้องประท้วงขึ้นมา

“เวลาที่พี่คิดถึงจันทร์ พี่ชอบมองพระจันทร์จากตรงนี้..”

“แล้วก็เริ่มคิดไปว่าจันทร์จะเข้านอนหรือยัง จันทร์จะเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นไหม แล้วจะรู้วิธีหายใจของคนที่เป็นโรคแพนิคหรือเปล่า”
“…”

“พูดตรง ๆ ว่าพี่ค่อนข้างจะหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์” ผมกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเล
“เรื่องเล่าของพี่ภัทรให้ความรู้สึกอบอุ่นดีจัง..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก้มลงมองผม พร้อมกับออกปากชมด้วยรอยยิ้มอันสดใสที่มักจะเห็นข้างแก้มยุบลงไปเสมอ

“แล้วเวลาจันทร์มองลูกสนที่พี่ให้ จันทร์นึกถึงเรื่องอะไร ?” ผมเอ่ยถามพลางมองจ้องไปยังดวงจันทร์อันเจิดจ้าท่ามกลางท้องนภาในยามราตรี
“จันทร์นึกถึงวันที่เราทดลองความลับของป่าสน” สิ้นคำตอบของอีกฝ่าย ริมฝีปากของผมก็คลี่เป็นรอยยิ้ม เพราะเราต่างก็นึกถึงเรื่องเดียวกัน
มิหนำซ้ำ..
ความสุขจากวันวานยังช่วยปลอบประโลมใจของเราทั้งคู่ได้ไม่ต่างกัน

กระทั่งได้เวลาเข้านอน เราทั้งคู่ต่างก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะจับจองพื้นที่ว่างบนเตียงคนละด้าน จากนั้นความเงียบสงัดก็นำพาให้เราหลงใหลเข้าสู่วังวนแห่งนิทรา ซึ่งผมก็ทำเวลาได้ดีเกินคาด
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จันทร์กำลังเกิดอาการแพนิคขึ้นมากลางดึก

“หนึ่ง”

“สอง”

“สาม”

ผมลูบศีรษะของอีกฝ่ายพลางเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้า พร้อมกับนับเลขให้คนในความดูแลใช้เป็นจังหวะในการหายใจ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าอาการแพนิคจะสงบลง

“ดื่มน้ำสักหน่อยนะ เดี๋ยวพี่ลงไปเอามาให้” ผมเสนออย่างห่วงใยพร้อมกับตั้งท่าจะลุกออกจากเตียง
“จันทร์ไปด้วย” สิ้นคำขอ ผมก็ตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ พร้อมกับแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปตรงหน้าจันทร์ จากนั้นฝ่ามือของเราก็ผสานกันอย่างแนบแน่น โดยที่มืออีกข้างหนึ่งก็ต้องคอยถือแท่งเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไปยังห้องครัว

“จริงสิ พี่เคยซื้อชาวาเลอเรี่ยนติดบ้านเอาไว้นี่..” ผมอุทานเพียงเบาๆ พลางเปิดตู้นั้นตู้นี้เพื่อหาชาดังกล่าวที่เคยซื้อเก็บไว้ เพราะเดิมทีผมก็ชอบดื่มชาเป็นประจำอยู่แล้ว
“รอพี่ต้มน้ำสักพักนะ” ผมหันไปบอกใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวและมองมาที่ผมอย่างสนใจ

“เหนื่อยใจจังเลยพี่ภัทร” เมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า คนป่วยก็โน้มตัวเข้ามากอดเอวผม พร้อมกับบอกเล่าด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ผมจึงได้แต่ลูบเรือนผมและแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ
“ทำไมความทรงจำบ้าๆ พวกนั้น ต้องคอยตามมาหลอกหลอนจันทร์ด้วย”

“หรือเพราะจันทร์ฆ่าทุกคนใช่ไหมพี่ภัทร จันทร์ถึงต้องมาคอยรับกรรมอยู่แบบนี้..” ผมทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบข้างแก้มของคนที่พยายามจะไม่ร้องไห้
“จันทร์เข้าใจผิดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ ทั้งจันทร์และจิม ไม่มีใครตั้งใจให้มันลงเอยแบบนี้” ผมกล่าวอย่างหนักแน่น เพราะเรื่อง ‘ไฟไหม้’ ไม่มีใครผิดเลยสักนิด แม้ต้นเหตุครึ่งหนึ่งจะมาจากการที่คุณแม่ของจันทร์ ไม่เคยสนใจใยดีลูกในไส้เลยก็ตาม แต่เพราะที่ผ่านมาท่านเองก็ต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดังนั้นการละเลยจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายวัยอนุบาลนำไม้ขีดไฟมาเล่นอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“ตามหลักแล้วการจะทำโทษใครสักคน ต้องดูที่กฎระเบียบหรือเจตนาของผู้กระทำผิด ดังนั้นการเล่นซนของน้องจิม ในมุมมองของพี่มันคือ ‘อุบัติเหตุ’ เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ หรือการไม่รู้ความของเด็กคนหนึ่งที่ถูกปล่อยปละละเลยจากผู้ปกครองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“ส่วนอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเพราะจันทร์กำลังป่วย และโดยปกติแล้วคนเราก็มักจะจดจำเรื่องราวแย่ๆ ได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น ๆ เพราะมันกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเรามากที่สุด ฉะนั้นมันไม่ใช่บทลงโทษจากใครสักคนอย่างที่จันทร์เข้าใจหรอกนะ” ผมอธิบายพลางลุกขึ้นไปจัดการชาร้อนๆ ให้จันทร์ได้ดื่มก่อนนอน

“ชาวาเลอเรี่ยนเป็นชาสมุนไพร ช่วยให้เราหลับสบายและยังช่วยคลายเครียด รวมถึงลดความวิตกกังวลได้ดี” ผมกล่าวพลางวางแก้วชาไว้ตรงหน้าจันทร์ จากนั้นผมก็ย้ายตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ทางฝั่งตรงกันข้าม โดยมีแก้วชาที่บัดนี้กระไอควันยังคงพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ
“ดีจังที่คืนนี้พี่ภัทรอยู่ด้วย” หลังจากความเงียบเริ่มปกคลุมเราทั้งคู่ พอจันทร์จิบชาร้อนจนพอใจแล้ว น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าก็ดังก้องขึ้น
ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มรับคำชมเชยนั้นอย่างเต็มใจ..
เพราะผมก็คิดตรงกันว่าค่ำคืนนี้มันดีจริง ๆ ที่ผมมีโอกาสได้ดูแลดวงจันทร์ดวงนี้

พอจันทร์เริ่มสบายใจขึ้น เราสองคนก็เตรียมตัวจะเข้านอน เพราะวันพรุ่งนี้ผมยังต้องไปทำงานแต่เช้า และจันทร์ก็ยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของทางโรงพยาบาลตามตารางเดิม ผมจึงตัดสินใจย้ายลงมานอนที่โซฟาด้านล่าง เพื่อที่จันทร์จะได้ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับกลอนประตู จนนำไปสู่ฝันร้ายด้วยเรื่องเดิม ๆ อีก

“ป..ปล่อย!” แรงดีดดิ้นพร้อมเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกทำให้ผมตื่นจากความฝัน ขณะที่ใครอีกคนเมื่อได้รับอิสระก็รีบดีดตัวออกห่างจากผมทันควัน แต่เพราะปลายขาของเจ้าตัวดันเตะเข้ากับขาโต๊ะที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆ โซฟา จึงทำให้ร่างตรงหน้าเซถลาลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ ส่วนผมก็รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ แต่พอจะก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ร่างเล็ก ๆ ก็รีบถอยกรูดจนหัวซุกหัวซุน
“จันทร์..”

“นี่พี่เอง.. พี่ภัทรไง”  ผมกล่าวแสดงตัวพร้อมกับจุดเทียนให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เพราะก่อนหน้านี้ผมแอบดับเทียนตอนช่วงที่จันทร์เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว
“หมอ..” สิ้นคำเรียกขานของคนที่หนีไปซุกตัวอยู่ตรงข้างกำแพง สายตาของผมก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างละเอียด

จนกระทั่งค้นพบว่า..

คนตรงหน้าไม่ใช่อัตลักษณ์ที่ผมคุ้นเคย..
 


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มาต่อแล้วจ้า พอดีโน๊ตบุ๊กเราเสีย จนต้องซื้อใหม่ ก็เลยต้องมานั่งอ่านทวนนิยายตั้งแต่ต้นจนจบอีกที เพราะโพยที่เราใช้จดปมต่างๆ แล้วก็เนื้อเรื่องในตอนต่อๆ ไป มันปลิวหายไปกับโน๊ตบุ๊กเดี้ยงๆ แล้ว แต่กำลังให้ช่างช่วยดึงข้อมูลให้อยู่ เลยอาจจะทำให้อัพนิยายช้านิดนึงนะคะ เพราะเราอยากรอโพยของเราก่อน T_T ดูเหมือนพอแต่งเรื่องนี้ คอมเราตายไปสองรอบแล้ว 555

เอาล่ะ สำหรับตอนนี้ก็มีฉากเซอร์วิสเล็กน้อย เพราะทั้งเรื่องแทบไม่มีเลย แล้วก็เป็นการเปิดตัวอัตลักษณ์ใหม่ (?) ไปด้วยเลย คึคึคึ

ปล. 1 ตอนนี้นิยายวายเรื่องแรกของเรากำลังจะคลอดในงานหนังสือแล้ว ใครสนใจผลงานของเรา สามารถทดลองอ่านได้นะคะ แต่โทนเรื่องจะไม่เหมือนเรื่องนี้หรอก มันจะเป็นแนวมหาลัย ที่สอดแทรกเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มคนที่บกพร่องทางการได้ยิน และการเรียนการสอนภาษามือ ขอขายตรงเลยละกัน เรื่อง Fall in you ค่ะ 555

ปล. 2 พอดีตอนนี้เรามีเขียนเรื่องเกี่ยวกับไฟไหม้ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลายอาทิตย์ก่อน (มั้งนะ) มีคนมาบอกเราว่า มีคนสงสัยว่าเราลอกพล็อตซีรีย์เกาหลีมาหรือเปล่า เพราะมีเรื่องไฟไหม้เหมือนกันเลย เอาจริงๆ เราลังเลมาก ว่าจะออกมาพูดอะไรดีมั้ย เพราะเราค่อนข้างฝังใจกับการแสดงความคิดเห็นในมุมมองของตัวเอง เพราะเราเคยเจอคนอ่านไม่ยอมรับความคิดเห็นในมุมมองที่เราสื่อออกไป จนมารีวิวออกแนวกระทบกระทั่งในความรู้สึกของเรานิดๆ เพราะเราเคยคุยกันในคอมเมนต์ก่อนหน้าที่จะมีรีวิวอันนี้ มันเลยกลายเป็นแผลใจของเราไปเลย ทำให้เราไม่ค่อยกล้าจะอธิบายอะไรอีก ง่ายๆ คือเราเริ่มกลัวการพูดคุยกับนักอ่านแบบตอบโต้ทางคอมเมนต์ไปเลย แต่สำหรับกรณีที่มีคนสงสัยว่าเราลอก ก็ค่อนข้างแรงเหมือนกันนะ เพราะการลอกมันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แย่ในสายตาของเรา เพราะเราเคยเจอคนมาลอกฟิคเรา เรายังจำความรู้สึกแย่ๆ ได้ดี ฉะนั้นเราคงไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่พูด เราก็กลัวคนที่มาเจอข้อความนั้น อาจจะคิดเหมารวมว่าเออ เราทำแบบนั้นจริงๆ (เราอาจจะคิดมากไปเอง แต่ก็นะ เราขอพูดเพื่อความสบายใจของตัวเองแล้วกัน)

เราเคยดูเรื่อง Kill me Heal me จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเอาพล็อตเค้ามานะ เพราะเราวางโครงเรื่องก่อน ถึงค่อยไปดูซีรีย์เพื่อเอาแนวทางการรักษา (แต่มันไม่ค่อยมีเลย) แล้วอัตลักษณ์รองของพระเอกเรื่องนั้น ถ้าจำไม่ผิด ตั้งใจจะเผาห้องใต้ดินนะ แตกต่างกับนายเอกของเราเลย แล้วเหตุผลของการเกิดอัตลักษณ์ก็ต่างกันด้วยค่ะ พระเอกเรื่องนั้น สร้างอัตลักษณ์เพราะเห็นพ่อตัวเองทำร้ายร่างกายนางเอกในห้องใต้ดิน สื่อถึงการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ตามงานวิจัย ส่วนของเรา มันน่าจะเรียกได้ว่าความล้มเหลวของสถาบันครอบครัวนะ เพราะจุดเริ่มต้นคือการขาดความอบอุ่นจากแม่ จึงทำให้ไม้ขีดไฟที่เป็นของต้องห้ามถูกเด็กนำมาเล่น แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ สร้างต่อมาเรื่อยๆ โดยมีสาเหตุที่เราเอามาจากงานวิจัย และความเป็นไปได้ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เราอยากจะบอกว่า หนังสือของคุณบิลลี่คือข้อมูลเดียวที่เราเอามาใช้จริง แต่เราก็เอามาแค่วิธีการรักษา รวมถึงมุมมองความคิดเห็นต่างๆ เพื่อที่เราจะได้ทำให้คนอ่านเชื่อว่า อะไรถึงทำให้คนไข้กลุ่มนี้มองว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น มันไม่ผิดปกติ ซึ่งเราจะยกกรณีที่เราเอามาใช้ ก็เช่น การออกมายืนอยู่บนเวที หมายถึงการควบคุมจิตวิญญาณ (ของคุณบิลลี่จะเห็นเป็นเวทีเล็กๆ มีสปอร์ตไลท์ส่องลงมา) การอธิบายเรื่องการปั่นผลไม้ สื่อถึงการหลอมรวม (ของคุณบิลลี่จะอธิบายถึงน้ำที่ถูกนำมาเทรวมกัน) เวลาที่หายไป ตรงที่ป้าเข็มบ่นว่าทำไมเวลามันหายไปหมด เราก็อ้างอิงมาจากหนังสือของคุณบิลลี่  (จริงๆ ทั้งหมดที่เราพูดมา เราเคย Talk ไปหมดแล้วนะเนี่ย แต่หลายคนอาจจะไม่ได้อ่าน Talk เราก็ได้เนอะ เอาเป็นว่าเราออกมาพูดอย่างบริสุทธิ์ใจละกันค่ะ T_T)

และความจริงแล้ว ปมไฟไหม้ เราวางแผนเอาไว้สองทาง คือทางแรกแม่ฆ่าตัวตาย ซึ่งคดีมันจะพลิกผันไปเลยว่า แม่ไม่เคยรักจันทร์ และไม่ต้องการจันทร์ เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านั้น แม่เคยคิดที่จะทำแท้งมาก่อน

ส่วนอีกทางนึงคือทางที่เรานำมาใช้จริง คือจิมเล่นไม้ขีดจนไฟไหม้ สื่อให้เห็นว่า แม่รักจันทร์นะ และมันคืออุบัติเหตุ

ปล. 3 บ่นยาวมากจริงๆ แต่อ่านกันเถอะนะ แล้วตอนอื่นๆ เราบ่นอะไรไม่ต้องสนใจก็ได้ 555 เพราะเราถือว่าเราเคลียร์จบในตอนนี้แล้ว และสุดท้ายนี้ ลองไปดูซีรีย์เรื่องที่เราพูดถึงได้เลยค่ะ สนุกดีนะ และดูเหมือนจะทำออกมาตรงกับความเป็นจริงมากกว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ DID เลยมั้ง 55
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 43 ❀ หน้า 4 (update 12/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-10-2018 21:30:31
กลับมาพร้อมกับ 'เซอร์ไพรส์!!!'​อัตลักษณ์ใหม่จ้าาาาาาาาา
โอยยยยย คือกำลังจะหลอมอัตลักษณ์ได้หมดแล้วอ่ะ
หนูเป็นใครอีกลูกกกกก ฮือออออ
น้องจันทร์จะเก่งไปแล้วนะ สร้างใหม่มาได้อีก 555555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 43 ❀ หน้า 4 (update 12/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 12-10-2018 22:18:02
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ เรื่องคนช่างติก็อย่าไปให้ราคาเลยค่ะ คือถ้าคนมันอคติมีแต่ความคิดไม่ดีอยู่ในใจถึงเราจะพูดอย่างไรเค้าก็ไม่ฟังหรอกค่ะ
..ถ้าเราบริสุทธิ์ใจกับสิ่งที่ทำอยู่ และสิ่งนี้มีประโยชน์กับคนอื่น (อย่างน้อยก็เราคนหนึ่งที่มีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้ ถึงเนื้อเรื่องมันจะออกดราม่าแต่เราก็ยังภาวนาให้จบแบบแฮบปี้น้า) #ต้องบนวัดไหนบ้างคะพนมมือแรงมากค่ะบอกเลย  :call:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 43 ❀ หน้า 4 (update 12/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 13-10-2018 01:46:51
เหมือนได้น้ำมารดใจอันเหี่ยวเฉาของพวกเราได้เล็กน้อยนะคะนักเขียน
แล้วก็กลับมางงอีกแล้วกับสิ่งที่ทิ้งท้ายไว้ คราวนี้หมอภัทรจะได้เจอกับอัตลักษณ์ใหม่หรอคะ?
หรือยังไงเนี่ยยยยยยยยย คือเอาใจช่วยในตอนต่อไปนะคะ จะรออ่านค่า
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 43 ❀ หน้า 4 (update 12/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-10-2018 14:20:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 44 ❀ หน้า 5 (update 16/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-10-2018 20:09:36
ตอน 44

หลังจากอัตลักษณ์ใหม่ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก ความไม่สบายใจก็เริ่มตีรวนอยู่เต็มอกจนทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ส่งผลให้เที่ยงวันนี้ ผมต้องลงทุนออกมาหาอะไรกินข้างนอกกับไอ้แนน เพราะสาวเจ้าวางแผนจะกลับไปกินข้าวที่ร้านอาหารของครอบครัว ซึ่งบรรยากาศของทางร้านก็เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างสดชื่น อีกทั้งยังมีโต๊ะนั่งริมน้ำที่น่าจะช่วยให้สุขภาพจิตเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“เอาล่ะ.. คุณหมอจิรภัทรมีอะไรไม่สบายใจก็ว่ามาได้เลยค่ะ” ไอ้แนนกล่าวเปิดประเด็นระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ พลางผสานมือทั้งสองข้างไว้ตรงปลายคาง ขณะที่ดวงตากลมใสก็มองจ้องมายังผมอย่างเปิดเผย
“เมื่อคืนกูเจออัตลักษณ์ใหม่..”

“กูเลยสงสัยว่าที่จริงแล้วจันทร์มีทั้งหมดกี่อัตลักษณ์กันแน่”
“เดี๋ยวนะ อัตลักษณ์ใหม่ที่มึงพูดถึง เขามีลักษณะเป็นยังไง” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด

“เขาดูขี้กลัวนะมึง แล้วก็ออกแนวหวาดระแวงพอสมควร แต่แปลกตรงที่เขารู้จักกู ในขณะที่กูไม่เคยรู้จักอัตลักษณ์นี้มาก่อน กูเลยคิดว่าบางที การที่จันทร์ต้องทนอยู่กับความหวาดระแวงว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาทำร้ายตัวเองตอนกลางดึก อาจทำให้เขาเลือกแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ”
“มึงรู้ไหม ก่อนที่จันทร์จะได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ภายใต้การดูแลของมึง จันทร์บอกกับด็อกเตอร์ว่ายังไง..” ทันทีที่ถูกถาม ผมก็ส่ายหัวพร้อมกับยักไหล่ เพราะจันทร์ไม่เคยบอกข้อต่อรองให้ผมฟัง

“จันทร์บอกว่าตอนนี้เขาเชื่อใจทีมรักษาแล้ว ทำไมทีมรักษาถึงไม่เชื่อใจเขาบ้าง”
“…”

“นั่นคือเหตุผล ที่เรายอมปล่อยน้องให้ไปอยู่ในความดูแลของมึง”
“แล้วอัตลักษณ์ที่กูเห็น มันคืออะไรวะ ?” ผมย้อนถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างเคร่งเครียด แต่ก็ต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้ชั่วคราว เมื่ออาหารที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟโดยบริกรของทางร้าน

“มึงลองนึกดูดี ๆ ว่าความหวาดระแวงกับความขี้กลัวมันคือลักษณะนิสัยเด่น ๆ ของอัตลักษณ์ไหน” หลังจากไอ้แนนมอบโจทย์อันใหญ่หลวงมาให้ ผมก็เริ่มขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด พร้อมทั้งทานมื้อกลางวันราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกสมองป้อนข้อมูลไว้ เพราะดูท่าแล้วอัตลักษณ์ที่ผมเห็น น่าจะไม่ใช่อัตลักษณ์เกิดใหม่อย่างที่เข้าใจ ซึ่งเดิมทีความสงสัยของผม ไม่ได้เกิดจากการที่ผมไม่เชื่อใจจันทร์ แต่มันเป็นเพราะบริบทแวดล้อมช่วยต่อยอดทางความคิดจนกระทั่งเลยเถิด

“หรือว่าใครคนนั้นจะเป็นส่วนผสมของน้องจิมกับน้องลียากร ?” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความเงียบสงบมาเนิ่นนาน เพราะทันทีที่ความคิดเริ่มตกตะกอน ผมก็มองเห็นความขี้กลัวจากน้องจิม ซึ่งความหวาดกลัวของบุคคลปริศนาที่พยายามจะพาตัวเองให้แนบชิดไปกับกำแพง เพื่อหลีกหนีจากภยันอันตราย มันเหมือนกับท่าทางตื่นกลัวของน้องจิม ตอนที่มองเห็นเปลวไฟในงานฌาปนกิจ ขณะที่ความหวาดระแวงจากน้องลียากรก็นำพาให้อัตลักษณ์ปริศนาดีดตัวออกจากวงแขนของผม เมื่อพบว่าสภาพแวดล้อมรอบกายคือสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
“ถูกต้อง เพราะทุกครั้งที่ทำการหลอมรวมจนเสร็จสมบูรณ์ จะเกิดตัวตนใหม่ขึ้น ฉะนั้นตอนนี้อัตลักษณ์ที่ยังคงอยู่ก็คือจันทร์ที่เป็นอัตลักษณ์หลัก จันทร์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ กรวินท์ และพีรวัตร”

“สบายใจขึ้นหรือยัง ?” ไอ้แนนเอ่ยถามเมื่อผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“อื้ม”

ช่วงนี้ดูเหมือนสถานการณ์ระหว่างผมกับจันทร์ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนแต่ก่อน อาจเพราะบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จึงส่งผลให้เราสามารถพบเจอกันได้ เพียงแต่ผมจะไม่ได้รับอนุญาตให้นอนเฝ้าจันทร์เหมือนอย่างเคย และทุกครั้งที่ผมเปิดประตูเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เด็กชายตัวเล็กก็มักจะเกิดอาการตื่นตระหนกอยู่เสมอ ซึ่งผมและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างก็ช่วยกันยืนยันให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความปลอดภัยมากมายแค่ไหน

“อ้าว วันนี้มึงอยู่เวรเหรอ ?” ไอ้แนนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จรีบเอ่ยถามทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในห้องของจันทร์ ผมจึงรีบตอบรับด้วยการยกปลายนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก พลางส่งสัญญาณให้ใครบางคนรับรู้ว่าตอนนี้คนป่วยกำลังนอนหลับอยู่ ซึ่งผมไม่อยากให้เขาตื่น เพราะถ้าหากเขาตื่นขึ้นมาตอนนี้ กว่าจะเข้านอนได้อีกคงลำบากยากเย็น
“ตามสบาย” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้อง กล่าวทิ้งท้ายด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ จากนั้นเธอก็เดินไปขลุกตัวอยู่บนโซฟาที่ผมเคยนอน โดยหันหลังสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ผมกับจันทร์อย่างรู้หน้าที่

เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ ผมเลยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย และประมาณเวลาคร่าวๆ ว่าจะอยู่ดูอีกฝ่ายสักห้านาที แต่พอเห็นคราบน้ำตาเปื้อนใบหน้า ความตั้งใจเดิมก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลง เพราะหลักฐานที่ปรากฏทำให้ผมทราบว่าก่อนหน้านี้จันทร์อาจจะมีอาการแพนิค เพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองที่เป็นความหลังฝังใจมาจากการที่อาโชคมักจะไขกุญแจเข้ามาในห้องเพื่อกระทำการอันโหดร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“สำหรับพี่ จันทร์เก่งที่สุดเลยนะ” ผมกล่าวชื่นชมคนตรงหน้าแบบไม่มีเสียง เพราะผมไม่อยากจะรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่าย จากนั้นก็นั่งมองใบหน้าที่ยังคงเปื้อนคราบน้ำตาแน่นิ่ง โดยไม่คิดจะเอื้อมมือไปเช็ด
เนื่องจากผมกำลังหวั่นเกรงว่า..
ถ้าหากผมทำแบบนั้นอาจทำให้จันทร์ตกใจตื่นขึ้นมาได้

“การต้องมาทำงานในช่วงสงกรานต์เป็นอะไรที่ประสาทแดกมาก คือแบบเราทำงานจนเครียดมาครึ่งวันแล้ว ก็อยากจะออกไปหาความสดชื่นกับบรรยากาศใหม่ๆ บ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ไง เพราะรถคงติดและไม่แน่อาจจะเปียกกลับมาอีก” ไอ้แนนกล่าวขึ้นท่ามกลางมื้อกลางวันที่ไม่สามารถพาตัวเองออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกได้ เพราะอาจจะทำให้ตัวเองเปียกปอน เนื่องจากคนเล่นน้ำบางทีก็ไม่สนใจหรอกว่าเราต้องทำงานหรือไม่ทำ นึกอยากจะสาดก็สาดอย่างสบายใจ หนักหน่อยก็ตอนที่เราบอกว่าเดี๋ยวต้องกลับมาทำงานนะ อย่าสาด แต่ในที่สุดก็ยังสาดอยู่ดี
ซึ่งในกรณีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่คงจะคิดว่าฉันก็แค่เอาปืนฉีดน้ำมาฉีดพรมแกนิดหน่อย คงไม่เป็นอะไรหรอก แต่สำหรับคนทำงาน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งทนกับเสื้อผ้าชื้นๆ แบบนั้นไง

“ทำใจซะเถอะพี่แนน” ไอ้บาสกล่าวเสริมพลางเร่งมือทานมื้อกลางวันอย่างเร่งด่วน เพราะมันต้องรีบไปลุยงานต่อ ส่วนผมคิดว่าถ้าหากกินข้าวเสร็จ จะไปหาคาเฟอีนใส่ท้องสักหน่อย ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ทรายที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไหร่ เนื่องจากช่วงที่โดนทำโทษ ผมค่อนข้างจะหมกมุ่นอยู่กับการทำงาน จนกระทั่งล้มป่วยก็ไม่เคยดื่มกาแฟอีกเลย

กระทั่งบ่ายคล้อย เมื่อเคลียร์ผู้ป่วยโอพีดีหมด ผมก็ถือโอกาสเดินไปยังห้องบำบัดด้านศิลปะ ซึ่งการบำบัดในครั้งนี้จะเป็นการวาดภาพสีน้ำที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว

“น้องพราววาดรูปผีเสื้ออยู่เหรอคะ ?” ผมเอ่ยถามเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากจันทร์ในคราบของใครสักคนมากนัก ซึ่งเราต่างก็ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม เมื่อสายตาบังเอิญสบประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ใช่ค่ะ”

“แล้วทำไมหนูถึงเลือกวาดรูปผีเสื้อล่ะคะ” ผมยังคงตั้งคำถามต่อไป เพราะรูปผีเสื้อที่เธอวาด ปีกของมันเป็นแบบโปร่งใส แต่กลับมีบางส่วนถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด จึงทำให้ผมเกิดการคิดวิเคราะห์
“หนูชอบผีเสื้อค่ะ มันสวยดี” เด็กหญิงตัวเล็กกล่าวพลางยกยิ้ม พร้อมกับใช้ปลายพู่กันแต่งเติมสีสันไปตามจินตนาการ

เมื่อเวลาดำเนินไปจนถึงสี่โมงตรง นักกิจกรรมบำบัดก็ให้ผู้ป่วยออกมากล่าวถึงภาพวาดของตน ซึ่งภาพวาด ‘ผีเสื้อ’ ของน้องพราวก็มีอะไรซุกซ่อนอยู่จริง ๆ เพราะเธอต้องการจะสื่อให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของผีเสื้อที่ไม่ได้สวยงามเหมือนกับภาพทรงจำ
ซึ่งด้านดังกล่าวก็คือด้านที่ผีเสื้อถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ

ดังนั้นความงดงามของผีเสื้ออาจจะเปรียบเสมือนช่วงเวลาก่อนที่ตนเองจะถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ผีเสื้อในภาพวาดก็คือช่วงเวลาหลังจากการถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งสีแดงที่แต่งแต้มอยู่บนปีกใสๆ คงจะเป็นสัญลักษณ์ชี้ชัดให้ผู้อื่นทราบว่ามันคือบาดแผล แต่ถ้าหากมองเผิน ๆ ก็อาจจะตีความคลาดเคลื่อนเป็นลวดลายของปีกผีเสื้อได้
เพราะในความเป็นจริงแล้ว บาดแผลทางจิตใจ ต้องอาศัยการสังเกตและการตีความอย่างลึกซึ้ง

“ที่ผมเลือกวาดรูปกวาง เพราะเคยมีใครบางคนรู้สึกว่ามันเป็นสัตว์ที่สง่างามและน่าเกรงขาม แต่ในความเป็นจริง กวางกลับเป็นสัตว์ที่นักล่าชื่นชอบเป็นพิเศษ ดังนั้นมันจึงถูกล่าอยู่บ่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความสง่างามของมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย” จันทร์ในคราบของใครบางคนกำลังอธิบายภาพวาดจากฝีมือของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ขณะที่ผมก็ได้แต่เพ่งมองไปยังอีกฝ่ายอย่างพิจารณาว่าอัตลักษณ์ตรงหน้า คืออัตลักษณ์ของจันทร์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ ซึ่งเกิดจากการหลอมรวมของน้องจิมและน้องลียากรเป็นคู่แรก หรือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่เกิดจากการหลอมรวมกรวินท์เพิ่มเข้าไป เพราะฝีมือในการวาดรูปของอีกฝ่ายดูโดดเด่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้สวยงามเทียบเท่ากับผลงานของกรเสียทีเดียว

“ทุกครั้งที่ผมวาดรูป..” ใครบางคนเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมที่กำลังนั่งอยู่นอกวงล้อมของผู้ป่วยท่านอื่น
“…”

“ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังขโมยความสามารถของกรวินท์” ทันทีที่หันไปมองสบกัน ใครคนนั้นก็พูดต่อประโยคอย่างเรียบเรื่อย
“ตอนนี้คุณยังเป็นน้องจิมกับน้องลียากรรวมกันอยู่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามลองเชิงกลับไป เพราะผมยังไม่แน่ใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเองนัก เนื่องจากอัตลักษณ์นี้ดูเหมือนจะได้รับความอารมณ์ดีมาจากน้องลี และยังได้รับความสามารถมาจากกรวินท์อย่างไม่เต็มที่ ขณะที่ภาพลักษณ์ราวกับเด็กน้อยของน้องจิมยังไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่น

“ไม่ครับ.. ผมคือจิม ลียากร และกรวินท์รวมกัน”
“…”

“และการที่ผมยังไม่มีชื่อ มันก็ค่อนข้างจะรบกวนจิตใจของผมอยู่มาก”
“ผมคิดว่าปัญหานี้ คุณสามารถบอกกับทีมรักษาโดยตรงของคุณได้ และผมก็เชื่อว่าพวกเขาจะรับฟังความคิดเห็นของคุณ”

“ครับ.. ผมก็คิดอย่างนั้น เพราะพวกเราต่างก็ทำงานร่วมกันอย่างหนัก”

จากคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมพอจะเข้าใจได้บางส่วนว่าการหลอมรวมจะต้องอาศัยความพยายามจึงจะสำเร็จผล ซึ่งไอ้แนนก็เคยบอกกับผมว่าอย่างกรณีของคุณบิลลี เมื่อด็อกเตอร์ต้องการจะหลอมรวมอัตลักษณ์ของคุณอัลเลนกับคุณทอมมี่เป็นคู่แรก พวกเขาต่างก็พยายามช่วยให้คุณทอมมี่ห่างหายจากความหวาดกลัวด้วยการสนับสนุนให้อีกฝ่ายกลับมาเล่นเบสบอล
ซึ่งความหวาดกลัวเหล่านั้น เป็นลักษณะนิสัยที่ไม่มีในอัตลักษณ์ของคุณอัลเลน โดยจะเห็นได้จากคุณอัลเลนชอบเล่นเบสบอล แต่คุณทอมมี่จะไม่กล้าเล่นเบสบอล เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเล่นผิดพลาดจึงทำให้ถูกตีที่กลางหลัง
ดังนั้นการหลอมรวมอัตลักษณ์ของน้องจิมและน้องลียากรก็คงใช้วิธีการไม่ต่างกัน

“ผมกำลังสงสัยว่าใครคือเจ้าของความคิดว่ากวางเป็นสัตว์ที่สง่างามและน่าเกรงขาม” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายขณะที่ดวงตาก็มองตรงไปยังผู้ป่วยอีกท่านหนึ่งที่กำลังพรีเซ็นต์ผลงานของตนเองอยู่ตรงหน้าห้อง
“จันทร์เคยพูดไว้ ผมเลยลองวาดตามความคิดของเขา”

คำตอบของคนข้างๆ ทำให้สายตาของผมเบนไปเพ่งพิจารณาภาพวาดที่ถูกวางตั้งไว้บนขาตั้งสำหรับการวาดรูปตรงหน้าห้อง แล้วผมก็ค้นพบว่าความสง่างามและความน่าเกรงขามของกวาง อาจจะอยู่ตรงบริเวณ ‘เขา’ ที่มีความสวยงามจนถึงกับถูกนำมาประดับตกแต่งบ้าน

“แล้วทำไมที่เขาของมันถึงต้องมีเถาวัลย์เกี่ยวพันอยู่แค่ข้างเดียวด้วยล่ะ ?”
“เพราะมันกำลังสื่อถึงความไม่สมบูรณ์แบบ.. แม้กวางจะเป็นสัตว์ที่สง่างามในสายตาของใครต่อใคร แต่มันก็มักจะตกเป็นเหยื่อของนักล่าอยู่เสมอ เพราะข้อเสียของมันคือความอ่อนแอ”

จากคำอธิบายของภาพวาด ‘กวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวพัน’ ทำให้ผมค่อนข้างไม่แน่ใจกับเจตนาแอบแฝงที่มากับภาพๆ นี้ เพราะนัยหนึ่งมันสามารถสื่อไปถึงการถูกทารุณกรรมทางเพศเลยทำให้จันทร์มีความคิดบางอย่างต่อตนเอง ซึ่งความคิดที่ว่าก็เห็นจะหนีไม่พ้นการรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า มีตำหนิ หรือการกล่าวโทษว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นคือความผิดของตนเองทั้งหมด
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการหลอมรวมอาจจะทำให้จันทร์หวาดกลัวว่าตนเองจะเป็นเหมือนกวางในภาพวาด จึงส่งผลให้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน เกิดความเคร่งเครียดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องเป็นกังวลมากมายขนาดนั้น
เมื่อมนุษย์ทุกคนต่างก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบอย่างใจคิด
และจันทร์ก็ควรต้องเรียนรู้ที่จะเป็น ‘กวาง’ เหมือนในภาพวาดให้ได้


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ทีแรกเราว่าจะรอโพยก่อน แต่ท่าทางจะซ่อมนานเกิน เราเลยเขียนจากพล็อตในความทรงจำอันเลือนรางของตัวเองแทน 55 คาดว่าไม่ตอนหน้าก็อีกตอนน่าจะปิดจบได้แล้วแหละ เพราะพล็อตก็เหลืออีกไม่มากแล้ว เพียงแต่ต้องใส่ช่วงเวลาให้มันดูไม่ข้ามขั้นมากจนเกินไป เพราะการหลอมรวมแต่ละครั้งมันค่อนข้างยาก เนื่องจากมันเป็นเรื่องของภายในจิตใจ ซึ่งจุดเด่นของตอนนี้ เราคิดว่ามันคือการได้รู้ว่า ถ้าหากการหลอมรวมสำเร็จ จะเกิดเป็นอัตลักษณ์ใหม่ขึ้น ซึ่งถ้าใครได้ไปดูซีรีย์ที่เราแนะนำไปในตอนที่แล้ว เรื่อง Kill me heal me ก็จะมีฉากที่เกิดบุคลิกใหม่ และบุคคลิกนั้นจะเป็นคอยส่งให้แต่ละบุคลิกเดินจากไป ซึ่งในซีรีย์จะเรียกบุคลิกที่ทำหน้าที่ผู้ปกป้องว่า inner self helper (ISH)  แต่จากที่เราอ่านในหนังสือชีวประวัติของคุณบิลลี่ บุคลิก ISH คืออัตลักษณ์ของคุณอาเธอร์ ซึ่งเรื่องในป่าสนจะเทียบได้กับอัตลักษณ์ของคุณพีรวัตร ดังนั้นคำศัพท์ ISH นี้ ในหนังสือจะแปลว่าผู้ช่วยภายในค่ะ

ทีนี้พอวิเคราะห์ดูแล้ว เราว่ามันแตกต่างจากของซีรีย์อยู่จุดนึง เพราะบุคลิก ISH สำหรับซีรีย์ คือบุคลิกที่เกิดขึ้นใหม่ และมีหน้าที่ช่วยในการหลอมรวม (เราไม่แน่ใจว่าถ้าหากเทียบกับเรื่องในป่าสน จะเป็นอัตลักษณ์ของจันทร์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์หรือเปล่า) แต่ในหนังสือ ISH จะเทียบได้กับอัตลักษณ์ที่คอยช่วยเหลืออัตลักษณ์หลักกับคุณหมอค่ะ เราเลยคิดว่ายึดเอาตามหนังสือและมาเขียนอธิบายในนี้แทนดีกว่า เพราะเราว่ามันน่าจะแล้วแต่คนตีความก็เป็นได้ เดี๋ยวยังไงเราจะลองหาจังหวะใส่ข้อมูลตรงนี้ลงในเนื้อหาของนิยายเราอีกที
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 44 ❀ หน้า 5 (update 16/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-10-2018 00:44:40
ขอบคุณสำหนับนิยายตอนใหม่และข้อมูลนะคะ เราเป็นกำลังใจให้เสมอเลย ยังอยากให้คนทั้งโลกได้เข้ามาอ่านเช่นเคย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 44 ❀ หน้า 5 (update 16/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 17-10-2018 01:59:08
หวังว่าสักวันจันทร์จะมั่นใจในคุณค่าของตัวน้องเองได้จริงๆ พี่หมอคืออบอุ่นนนนนนนนนนเว่อร์ พระอาทิตย์ของน้องจันทร์♡♡♡♡
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 44 ❀ หน้า 5 (update 16/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 17-10-2018 13:28:18
น้องจันนนนนน สู้ๆทั้งพี่หมอ ทั้งน้องจันเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 44 ❀ หน้า 5 (update 16/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 17-10-2018 21:42:42
นึกถึงเพลง ..ฟ้าเปลี่ยนสี..เลยค่ะ ฮือออตรงกับเรื่องนี้สุดๆ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 44 ❀ หน้า 5 (update 16/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 22-10-2018 06:43:37
การละเมิดทางเพศกับเด็กนี่น่ารังเกียจมากๆ อยากให้ประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับตรงนี้ :fire:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 45 ❀ หน้า 5 (update 26/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-10-2018 16:37:19
ตอน 45

จุดประสงค์ของการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนในค่ำคืนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการหลอมรวม เนื่องจากคุณพีรวัตรต้องการข้อมูลจากโน้ตบุ๊กเครื่องเก่า เพื่อเอามาใช้เป็นแบบฝึกหัดในการเขียน ซึ่งทักษะดังกล่าวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับจันทร์ เพราะอีกฝ่ายต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองลงในหนังสือสักเล่ม เพื่อที่คนในสังคมจะได้ตระหนักถึงการใช้ความรุนแรงทางเพศและความล้มเหลวของสถาบันครอบครัว
ซึ่งการหลอมรวมส่งผลให้ความสามารถของการวาดรูปที่ได้มาจากอัตลักษณ์ของกรวินท์ ยังไม่มีคุณภาพมากเท่าที่ควร ดังนั้นปัญหาดังกล่าวจึงทำให้จันทร์เป็นกังวลเกี่ยวกับการเขียน เพราะทุก ๆ ตัวอักษร จะต้องเขียนจากความทรงจำของทุก ๆ อัตลักษณ์ และยังเกิดขึ้นภายใต้นามปากกาอันมากคุณภาพอย่าง ‘อนธการ’
ดังนั้นงานเขียนชิ้นสำคัญจะถูกตีพิมพ์ได้ก็ต่อเมื่อ..
งานเขียนชิ้นนั้นเต็มไปด้วยคุณภาพที่กองบรรณาธิการไว้วางใจ
   
“อันที่จริง.. การฝึกเขียน แทบไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเก่าเลยด้วยซ้ำ” คุณนักเขียนกล่าวในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งพิงหน้าต่างรถและมองออกไปยังบรรยากาศด้านนอกที่เริ่มจะมืดมิดลงทุกที ทุกที..
“แล้วทำไมการฝึกเขียนในครั้งนี้ ถึงมีความจำเป็นต้องใช้มันล่ะ ?” ผมย้อนถามอย่างนึกสงสัย ซึ่งความสงสัยดังกล่าวเริ่มลุกลามไปถึง.. เพราะเหตุใดด็อกเตอร์จึงอนุญาตให้คุณพีรวัตรเดินทางมากับผม ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลที่มักจะอนุญาตให้ผู้ป่วยเดินทางกลับบ้าน
มิหนำซ้ำการมาเอาโน้ตบุ๊กก็ไม่จำเป็นต้องยกโขยงมาขนาดนี้

“เพราะผมกำลังสวมบทบาทของ inner self helper (ISH) ล่ะมั้ง” เจ้าของนามปากกาชื่อดังเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย เพราะในขณะที่เจ้าตัวกำลังพูด สายตาจ้องมองออกไปด้านนอกตัวรถตลอดเวลา
“คุณพอจะขยายความเกี่ยวกับบทบาทของ ‘ผู้ช่วยภายใน’ อีกสักนิดได้ไหม ?”

“ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แต่ด็อกเตอร์บอกกับผมว่าสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ มันคือบทบาทของผู้ช่วยที่เป็นเหมือนกับองครักษ์ ซึ่งคุณสมบัติของบทบาทนี้ก็คือความเฉลียวฉลาด การล่วงรู้เกี่ยวกับตัวตนอื่น ๆ และการมีศีลธรรมอันสูงส่ง..”
“…”

“แต่ผมก็ไม่ได้มีศีลธรรมสูงส่งขนาดนั้น..” หลังจากที่คุณพีรวัตรกล่าวออกมาอย่างนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ส่งผลให้ภายในรถมีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศรายล้อมอยู่รอบตัว
“…”

“เพราะผมเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัวในเรื่องของคุณ..”

สิ้นประโยคสุดท้ายที่เขาเก็บงำเอาไว้ ลมหายใจของผมก็เหมือนจะติดขัด เพราะผมยังจดจำได้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทลงไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขา..
ไม่ต้องการให้ผมลืมเลือนตัวตนของอัตลักษณ์นักเขียน

“แต่ผมก็ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวจนลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองหรอก” คุณพีรวัตรกล่าวพลางหันมาส่งยิ้มให้ แต่รอยยิ้มของเขากลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเศร้าสร้อยจับใจ
“…”

“เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเดินทางมากับคุณ มันเกี่ยวข้องกับจันทร์..”
“คุณหมายถึง ?” ผมเอ่ยถามอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ อาจเพราะสมองกำลังว่างเปล่า เมื่อเจตนารมณ์แอบแฝงของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความคิด ซึ่งมันทำให้ผมค่อนข้างมีความเข้าใจและไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน

“ผมรู้ว่าตอนนี้จันทร์กำลังเครียด เพราะการจะเขียนหนังสือสักเล่ม มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการเขียนในครั้งนี้จะถูกเขียนขึ้นภายใต้นามปากกาของผมที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจะยอมรับในฝีมือ เขาก็ยิ่งเป็นกังวลกลัวว่าจะทำให้ผมเสียหาย กลัวว่าจะเขียนออกมาได้ไม่ดี กลัวว่าจะไม่ผ่านการพิจารณกับทางสำนักพิมพ์ เพราะเจตนาของเด็กคนนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะได้รับความผิดหวังคืนกลับมา..”
“แต่ผมว่า.. มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะไม่เคยพบเจอกับความผิดหวัง”

“ใช่ ด็อกเตอร์ก็เคยบอกกับจันทร์แบบนั้น เพราะฉะนั้นการฝึกเขียนด้วยข้อมูลเก่าๆ เลยถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจันทร์ เพราะอย่างน้อยถ้าหากอะไรๆ มันไม่เป็นไปตามหวัง จันทร์ก็ยังมีภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ‘ความทุ่มเท’ รองรับอยู่ และการกลับมายังสถานที่ที่คุ้นเคย อาจจะช่วยให้จันทร์คลายความกังวลไปได้บ้าง”
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มให้กับคนข้างกาย ที่ถึงปากเขาจะบอกว่าตนเองไม่ได้มีศีลธรรมสูงส่งอะไร แต่ในความเป็นจริงจิตใจของเจ้าตัวกลับเต็มไปด้วยศีลธรรมที่มีต่ออัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์

กระทั่งการเดินทางเริ่มก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบ้านกลางป่าสน บรรยากาศรอบกายจึงเต็มไปด้วยความเงียบสงัดและมืดมิด แสงไฟจากหน้ารถจึงมีโอกาสทำหน้าที่อย่างเต็มที่

“ครั้งนี้พอไม่ได้เห็นดอกสโนว์ดรอปส์ ผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัว มันค่อนข้างหดหู่” คุณพีรวัตรกล่าวในขณะที่สายตายังคงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเหมือนอย่างเคย
“นั่นสินะ” ผมตอบรับเสียงแผ่ว เพราะผมเข้าใจดีว่า ‘ความหดหู่’ ที่พวกเรากำลังเผชิญ เกิดจากการที่เจ้าของดอกไม้ชนิดดังกล่าวทอดทิ้งพวกมันไว้อย่างไม่ใยดี
ซึ่งเหตุผลของการกระทำนั้นก็น่าจะเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่เขาเป็น

ทันทีที่ไฟหน้ารถดับสนิท ความมืดมิดก็เข้ามาทักทาย เหตุเพราะแสงจันทร์ไม่ได้สว่างไสวอะไรนัก หากแต่ใครบางคนกลับยืนหมุนตัวมองรอบ ๆ กาย ราวกับเขายังไม่อาจปรับตัวให้คุ้นชินกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ
แววตาของผมจึงเพ่งพิจารณาไปยังใครคนนั้นที่กำลังยืนอยู่อีกฟากฝั่งของตัวรถ

“จันทร์ ?”
“ครับ ?” สิ้นคำตอบรับของคนตรงหน้า ผมก็รีบฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงเป็นการด่วน
เพราะผมยังคงจดจำได้ดีว่าจันทร์หวาดกลัวความมืด

“จันทร์ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่รวดเร็วขนาดนี้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าว พร้อมกับเดินไปทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่อยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร
“ทำไมล่ะ ?” ผมเดินเข้ามานั่งเคียงข้างพร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ที่ในเวลานี้กำลังทำหน้าที่เป็นไฟฉายอย่างมั่นคง

“ตอนที่จันทร์หลับจันทร์รู้สึกเหมือนกับว่าเวลามันผ่านไปยังไม่ทันจะครบอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ” คำตอบจากอีกฝ่ายทำให้ผมเข้าใจว่าการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสน น่าจะผ่านความเห็นชอบจากทุก ๆ อัตลักษณ์ ซึ่งมันก็ทำให้ผมค่อนข้างจะเบาใจ เพราะการรับมือกับอัตลักษณ์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ มันค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเขามีความหวาดระแวงที่อาจจะเป็นผลพวงมาจากการล่วงละเมิดทางเพศของน้องลียากร ผสมปนเปไปกับความหวาดกลัวของน้องจิม จึงส่งผลให้ทันทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ความไม่ปลอดภัยจึงผลักดันให้เขามีปฏิกิริยาในการรับมือค่อนข้างยาก
และการกลับมายังบ้านกลางป่าสนก็ทำให้ผมเป็นกังวล..
เพราะสถานที่แห่งนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำทั้งดีและไม่ดี

“ยังไม่ชินอีกเหรอ ?” ผมย้อนถามพร้อมกับมองจ้องอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่เลยครับ.. ไม่เคยชินเลย” สิ้นคำตอบรับ เราทั้งคู่ก็ถูกห้อมล้อมด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไรที่กำลังส่งเสียงแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของผืนป่าแห่งนี้

“ไปเดินเล่นสักหน่อยดีไหม ไหน ๆ จันทร์ก็มีโอกาสได้กลับมาที่นี่แล้ว” ผมเอ่ยถามคนข้างกายที่กำลังแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อย พร้อมกับย่ำปลายเท้าลงบนผืนดินเพียงเบา ๆ อย่างผ่อนคลาย
“ครับ” ฝ่ายคนถูกถามนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบตกลงอย่างไม่คิดลังเล

“ถ้าอย่างนั้นพี่เข้าไปเอาเทียนหอมก่อนดีกว่า เพราะโทรศัพท์แบตใกล้จะหมดแล้ว”
“ยังไม่สามทุ่มเลยครับ พี่ภัทรไม่เอาเข้าไปชาร์ตก่อนเหรอ ?” จันทร์เอ่ยถาม เมื่อผมถือวิสาสะยัดโทรศัพท์คู่ใจใส่มือของเจ้าตัว

“ให้มันอยู่เป็นเพื่อนจันทร์ดีกว่า พรุ่งนี้พี่ค่อยเอาไปชาร์ตที่โรงพยาบาลก็ได้” ผมตอบพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิทมาหลายปีแล้ว ผมเลยต้องใช้กุญแจที่ได้มาจากคุณพีรวัตรไขเข้าไป จนกระทั่งพบเจอกับความมืด ผมก็ต้องอาศัยความเคยชินในการคลำทางไปยังห้องใต้หลังคาอันเป็นที่ตั้งของเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์
แต่แล้วปลายเท้าของผมก็ชนเข้ากับอะไรสักอย่างจนได้ยินเสียงดัง ‘ครืดดดด’

ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างปัดป่ายไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุ จนกระทั่งอนุมานได้ว่าเจ้าของสิ่งนั้นที่กำลังขวางทางผมอยู่ มันคือ ‘เก้าอี้’ ที่คุณชลวิทย์เคยใช้เป็นอุปกรณ์ในการฆ่าตัวตาย
ซึ่งวิธีการที่เขาใช้..
แม้จะไม่มี ‘เชือก’ อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ทำให้เสียเวลาในการคาดเดาสักนิด

และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมยอมปล่อยให้จันทร์นั่งรออยู่ข้างนอก เพราะผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้จะมีอะไรสร้างความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของอีกฝ่ายบ้าง

“น่าแปลกนะครับที่พี่ชลปล่อยปละละเลยดอกไม้พวกนี้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อตลอดเส้นทางการเดินรถที่ขนาบไปด้วยทิวสนป่า กลับไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์ที่เคยเป็นดาวเด่นในช่วงเดือนนี้หลงเหลืออยู่เลย
“ที่เป็นแบบนั้น อาจเป็นเพราะโดยปกติแล้ว คนที่เป็นโรคซึมเศร้า มักจะหมดความสนใจในเรื่องที่เคยสนใจ” ผมอธิบายพลางกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น เมื่อต้องกล่าวถึงใครคนหนึ่งที่เคยทรยศต่อความไว้วางใจของจันทร์

“พี่ภัทรเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมจันทร์ถึงกลัวดอกสโนว์ดรอปส์” แต่แล้วจันทร์ก็หันเหความสนใจของตัวเองไปยังหัวข้อสนทนาอื่น
“เคยสิ.. แต่พี่ไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่ามันจะทำให้จันทร์นึกถึงเรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง”

“แต่ในความเป็นจริง ถึงพี่ภัทรไม่ถามจันทร์ก็ไม่เคยหยุดนึกถึงมันได้สักที” เมื่อได้ฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย ปลายเท้าของผมก็เสียจังหวะในการก้าวเดินทันที
“…”

“เพราะฉะนั้น จันทร์เล่าให้พี่ภัทรฟังได้นะ..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มันให้ความรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังฝืนทน ซึ่งความฝืนทนดังกล่าวทำให้ผมไม่อยากรับฟังเรื่องราวใด ๆ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าจันทร์คงกำลังเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความทุกข์ใจของตนเอง เพราะที่ผ่านมาจันทร์มักจะเก็บงำเรื่องราวต่าง ๆ ไว้กับตัวเอง
จนกระทั่ง ‘ความแตกสลาย’ มาเยือน
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้จันทร์กลายเป็นคนชอบเก็บงำก็มาจากการที่ ‘นายโชค’ ข่มขู่ทั้งทางวาจาและการกระทำ

“จริง ๆ แล้ว แม่ของจันทร์ชอบดอกเก๊กฮวยมาก คงเพราะมันมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์มั้งครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า โดยมีเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์คอยให้แสงสว่าง ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบเพื่อเป็นผู้ฟังที่ดี
“ส่วนลีคงได้รับอิทธิพลทางความชอบมาจากแม่..”

“แล้วจันทร์ล่ะชอบดอกเก๊กฮวยไหม ?” ผมเอ่ยถามอย่างสนใจ เพราะการสอบถามในวันนี้เป็นการสอบถามโดยที่จันทร์ยังมีความทรงจำในส่วนของอัตลักษณ์หลักอย่างสมบูรณ์
“เคยชอบครับ” จันทร์ตอบเสียงแผ่วพลางยกยิ้มเจือเศร้า ซึ่งผมก็เข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่ายดี เพราะดอกไม้ชนิดนี้ถือเป็นดอกไม้เศรษฐกิจของหมู่บ้าน
ดังนั้นแม้แต่กลิ่นหอมของมัน..
ก็อาจจะทำให้จันทร์เจ็บปวดได้

“บ้านของจันทร์เป็นบ้านเรือนไทยทำจากไม้ทั้งหลัง และดอกเก๊กฮวยก็ทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยความสดชื่น”
“ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน จันทร์กับลีจะต้องจูงมือกันไปที่สวนเก๊กฮวยของพ่อ เพื่อเอาพวกมันมาประดับแจกันให้ทั่วบ้าน”

“เพราะมันเป็นของสิ่งเดียวที่แม่ไม่กล้าทำลาย” จันทร์กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นระยะ ราวกับว่าในขณะที่เจ้าตัวกำลังพูดถึงเรื่องราวในวันวาน น้ำตาก็พาลจะไหล ซึ่งเจ้าตัวไม่อยากจะเปิดเผยด้านอ่อนแอให้ผมเห็น ก็เลยพยายามจะหยุดยั้งปฏิกิริยาทางความรู้สึกที่มันค่อยๆ กลายร่างเป็นรูปธรรมอย่างแข็งขัน

“วันที่ไฟไหม้..” จันทร์เอ่ยเสียงสั่นเครือ ผมจึงได้แต่กระชับฝ่ามือของเราให้แนบแน่น
“จันทร์มองเห็นดอกไม้พวกนั้น ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวไฟเหมือนกับจันทร์”

จากคำบอกเล่าดังกล่าวทำให้ผมตีความได้ว่าแท้ที่จริงจันทร์อาจจะไม่ได้กลัวดอกสโนว์ดรอปส์อย่างที่เข้าใจ หากแต่สิ่งที่เจ้าตัวหวาดกลัวมันคือดอกไม้สีขาว ซึ่งทั้งชีวิตของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็แทบจะไม่เคยเห็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับดอกเก๊กฮวยและดอกสโนว์ดรอปส์ มิหนำซ้ำเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ก็ยังเกาะกลุ่มจนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวคล้ายคลึงกับทุ่งดอกเก๊กฮวยที่สะเมิง ดังนั้นอาการแพนิคที่มีผลพวงมาจากโรคโฟเบียของจันทร์ น่าจะเกิดจากการที่อีกฝ่ายมองเห็นภาพของดอกไม้กำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้
สื่อให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวกำลังตกอยู่ในทะเลเพลิงอันน่าหวาดหวั่น

“หลังจากนั้น..” จันทร์กล่าวพลางเว้นระยะหายใจครู่ใหญ่
“ประตูไม้ที่กำลังถูกไฟไหม้ก็หล่นลงมา จันทร์ตกใจกลัวจนร้องไห้ตัวสั่น แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความหวาดกลัวของจันทร์ ควันไฟทำให้จันทร์สำลักจนหน้าดำหน้าแดง แล้วสักพักจันทร์ก็เริ่มหายใจไม่ออก แถมผิวก็แสบร้อนไปหมดเพราะความร้อนของเปลวไฟกำลังแผดเผาทุกสิ่งอย่าง..”

“เพียงแต่.. การแผดเผาของมัน แตกต่างกับที่พ่อกับแม่และลีเคยเจอ” สิ้นคำบอกเล่าปฏิกิริยาของจันทร์ก็เริ่มแปลกไป
ราวกับว่า..
อีกฝ่ายกำลังพาตัวเองหวนคืนกลับไปยังวันวาน

“พี่ว่าเราไปนั่งพักตรงริมลำธารกันดีกว่า” ผมเสนอพลางประคองจันทร์ที่เริ่มจะหายใจติดขัด ขณะที่เจ้าตัวก็ได้แต่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปกับความทรงจำที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงสดใหม่เสมอ จึงทำให้ทั้งแววตาและการรับรู้ของจันทร์ในเวลานี้ มีแต่ความเฉยเมยเป็นส่วนใหญ่
เหตุเพราะสถานการณ์ต่อจากนั้น..
มันคือช่วงเวลาของความสูญเสียที่ไม่มีวันจะลบเลือน


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนแรกคิดว่าจะปั่นเสร็จวันอาทิตย์ ดันปั่นเสร็จวันนี้รวดเดียวเฉยเลย 555 แต่เรามีอะไรจะบอก คือว่ามันจบไม่ลงตัวที่ 46 ตอนค่ะ เพราะว่าเราเกิดเปลี่ยนใจ ไม่เขียนถึงภาพวาดกวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวในตอนนี้ คือเรื่องของเรื่อง เราพิจารณาเอาเองว่ามันน่าจะเหมาะสมที่จะพูดถึงในช่วงที่หลอมรวมทุกตัวตนเสร็จแล้วมากกว่า ก็เลยต้องขยับออกไปเป็นจบที่ 47 ตอนนะ (คิดว่างั้น 555)

ปล. บทบาทของผู้ช่วยภายใน หรือ ISH คุณสมบัติต่างๆ เราเอามาจากหนังสือของคุณบิลลี่นะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 45 ❀ หน้า 5 (update 26/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 26-10-2018 23:13:25
ทำไมถึงรู้สึกว่าจันทร์ยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องราวในอดีตได้เลย รู้สึกว่าการรักษาของจันทร์ยังย่ำอยู่กับที่ ถึงแม้ว่าบางอัตลักษณ์จะหายไปแล้วก็ตาม นี่กำลังจะจบจริงๆใช่มั้ย 55555555 ฮืออออ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 45 ❀ หน้า 5 (update 26/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 27-10-2018 04:50:14
 :mew6:อ สงสารจันทร์ หาทางออกไม่เจอเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 46 ❀ หน้า 5 (update 30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-10-2018 14:32:44
ตอน 46

สำหรับผมแล้วการเดินทางมายังร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า ไม่เคยเป็นจุดประสงค์หลักของผมเลย เพราะส่วนใหญ่ผมจะชอบสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตเสียมากกว่า แต่วันนี้ผมมีความจำเป็นที่ไม่อาจรีรอได้นานขนาดนั้น เนื่องจากหนังสือที่ผมอยากจะมีไว้ในครอบครองคือผลงานชิ้นใหม่ของคุณพีรวัตร
และมัน.. คงจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย..
ที่มาจากจินตนาการของเขา

ซึ่งผลงานชิ้นดังกล่าวค่อนข้างเป็นแนวเขียนที่แปลกใหม่สำหรับนามปากกา ‘อนธการ’ เนื่องจากนิยายที่เขาเขียนในครั้งนี้ คือนิยายประเภทชายรักชายที่ปัจจุบันค่อนข้างเป็นที่นิยม และยังมีแนวโน้มเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะถ่ายทอดลงในงานเขียน
คือการปลดแอกความรู้สึก ‘อคติ’ ที่มีต่อเพศทางเลือก

“ขึ้นเบสเซลเลอร์ซะด้วย” ผมชะงักฝีเท้า เมื่อสายตาสบกับอันดับหนังสือขายดีประจำเดือนพฤศจิกายน เหตุเพราะนิยายเรื่อง ‘จันทร์กระจ่างฟ้า’ มีโอกาสได้อวดโฉมอยู่ตรงตำแหน่งดังกล่าว ผมจึงได้แต่ลอบยิ้มเจือเศร้า
เมื่อความสำเร็จในครั้งนี้..
ไม่อาจอยู่ในการรับรู้ของเจ้าของผลงาน..

มิหนำซ้ำนิยายเรื่องดังกล่าวยังเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขาใช้เวลาในการเขียนยาวนานที่สุด เพราะตั้งแต่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเข้ารับการบำบัดทางจิตวิทยา จนกระทั่งประสบความสำเร็จในเรื่องของหลอมรวมเพียงบางส่วน อัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์ก็สามารถออกมาใช้ชีวิตได้ยาวนานกว่าแต่ก่อน นอกจากนี้อัตลักษณ์ที่เกิดจากการหลอมรวมก็มักจะขโมยช่วงเวลาของคุณนักเขียนไป
และมันก็ส่งผลกระทบต่องานเขียนในครั้งล่าสุด..
ผมจึงอยากสนับสนุนผลงานของเขา แม้ว่านิยายเรื่องดังกล่าวจะไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านก็ตาม..

กระทั่งบ่ายวันเสาร์มาเยือนผมที่ไม่ต้องเข้าเวรก็ถือโอกาสไปซื้อซูกินีทอดมาให้จันทร์ เพราะเจ้าตัวบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว ซึ่งวันนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน เนื่องจากช่วงเช้าคือช่วงเวลาของกิจกรรมด้านการทำสวน
ขณะที่ช่วงบ่ายคือช่วงเวลาของการฟรีสไตล์

“ต้นไม้ตรงนี้จันทร์เป็นคนปลูกเองกับมือ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวขณะที่เรากำลังเหยียบย่ำไปตามสะพานไม้ริมบ่อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีต้นแพงพวยสีขาวเข้ามาแทนที่ต้นเฟื่องฟ้าสีบานเย็น
“ทั้งหมดนี่เลยเหรอ ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง เมื่อปลายนิ้วของจันทร์ลากยาวตั้งแต่หัวสะพานจนถึงท้ายสะพาน ซึ่งมันต้องใช้เวลาในการลงดินอยู่มาก อีกทั้งต้นไม้ชนิดดังกล่าวยังออกดอกสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับดอกเก๊กฮวยและดอกสโนว์ดรอปส์
มิหนำซ้ำพอมันอยู่รวมกัน..
บริเวณสะพานก็ราวกับถูกโอบล้อมไปด้วยทุ่งดอกแพงพวยสีขาวสะอาด

“ครับ.. มันคือวิธีการบำบัดอย่างหนึ่ง” จันทร์พูดเสริมพลางทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนสะพานไม้ที่ครั้งหนึ่งผมเคยมานั่งเล่นกับคุณพีรวัตร
“…”

“ตอนนี้จันทร์เรียนรู้แล้วว่าดอกไม้พวกนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวเลย” ผมทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย พลางชายตามองผู้พูดอย่างใส่ใจ
“…”

“แต่สิ่งที่น่ากลัว.. คือความทรงจำเกี่ยวกับดอกเก๊กฮวย” จันทร์กล่าวทิ้งท้ายพลางเปิดกล่องซูกินีทอดที่ผมซื้อมา ก่อนจะลิ้มชิมรสชาติจนสองข้างแก้มพองตัวราวกับหนูแฮมเตอร์ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยิ้มรับท่าทีของอีกฝ่ายที่กำลังบอกผ่านทางการกระทำว่า..
จันทร์ดวงนี้พยายามเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับความทรงจำเหล่านั้นอย่างสันติ

“ช่วงนี้พอพี่พีจากไปแล้ว.. จันทร์รู้สึกเคว้งคว้างยังไงก็ไม่รู้สิครับ” หลังจากต่างฝ่ายต่างอาศัยร่มเงาของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ขณะที่กำลังทานของว่างสุดพิเศษ จันทร์ก็เริ่มเกริ่นนำถึงเรื่องราวที่เจ้าตัวกังวลใจ ซึ่งพฤติกรรมของอีกฝ่ายทำให้ผมใจเต้นอย่างลิงโลด เนื่องจากมีน้อยครั้งมาก ที่คนข้างๆ อยากจะแบ่งปันความรู้สึกไม่สบายใจของตัวเองให้ผมฟัง
“…”

“คงเพราะตัวตนที่ด็อกเตอร์พยายามหลอมรวมเข้าด้วยกัน ดันมีภาพลักษณ์แตกต่างจากที่จันทร์จินตนาการไว้”
“…”

“เพอร์เฟคชั่นนิสต์” ผมให้คำจำกัดความในตัวตนที่จันทร์อยากจะเป็นด้วยคำกล่าวสั้นๆ ที่ค่อนข้างตรงตัว
“ครับ ?”

“คำจำกัดความของภาพลักษณ์ที่จันทร์จินตนาการไว้ หรือจะเรียกอีกอย่างว่ามนุษย์เพอร์เฟคก็ได้” สิ้นคำขยายความของผม จันทร์ก็นิ่งเงียบไป คงเพราะสิ่งที่ผมพูดมันคือความจริงที่จันทร์อยากเป็น
ดังนั้นรูปวาดของกวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวพัน น่าจะหมายถึงความไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งผมค่อนข้างโล่งใจที่จันทร์กำลังคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันค่อนข้างจะแก้ไขง่ายกว่าความคิดที่ว่าตนเองสกปรกหรือมีตำหนิ

“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะจันทร์ไม่ค่อยชอบตัวเองในเวลานี้..” น้ำเสียงแผ่วเบาของอีกฝ่ายกำลังสั่นสะเทือนใจของผมอีกครั้ง เพราะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จันทร์กลายเป็นผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์ คือการไม่ชอบความเป็นตัวเองในช่วงเวลานั้น ๆ

“และจันทร์ก็คงจะไม่ชอบตัวเองในอนาคตด้วย”
“ทำไมล่ะ ?” ผมย้อนถามเสียงแผ่ว ราวกับจะไม่มีคำถามใด ๆ เล็ดลอดออกมา

“เพราะจันทร์คงกลายเป็นคนที่ไม่มีความอดทน ต่อต้านสังคม ขี้ขลาด และมีพรสวรรค์ที่ขโมยมาจากอัตลักษณ์อื่น มิหนำซ้ำคุณค่าในตัวเองก็แทบไม่มีเหลือ..”
“ทำไมจู่ ๆ จันทร์ถึงกลับมาคิดว่าตัวเองไร้ค่าขึ้นมาล่ะ ?”

“เพราะจันทร์อ่อนแอเกินไป จันทร์ก็เลยถูกอาโชครังแก” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผ่อนออกอย่างเชื่องช้า และบอกกล่าวเหตุผลของตัวเองอย่างแผ่วเบา
“จันทร์.. ฟังพี่นะ” ผมเอ่ยอย่างจริงจัง พลางขยับตัวเพื่อหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย

“คุณค่าของคนเราอยู่ที่ตัวเราเอง ต่อให้คนอื่นมองว่าเรามีค่าสำหรับเขามากแค่ไหน แต่ถ้าเราคิดว่าตัวเองไม่มีค่า มันก็จะไม่มีค่า อีกอย่างเรื่องอาโชค มันไม่ใช่ความผิดของจันทร์เลย ฉะนั้นคนที่ต้องรู้สึกผิดและเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ก็คืออาโชค เพราะเขาไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”
“แต่ถ้าจันทร์..” เมื่อจันทร์ตั้งท่าจะแย้ง ผมก็เริ่มชี้นำหนทางในการปลดแอกจากความคิดเหล่านั้น

“จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกของพี่ที่มีให้จันทร์ มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่อาโชคเคยรู้สึก เพราะทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดจากความเสน่หา เพียงแต่พี่กับอาโชคเสน่หากันคนละเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นความคิดที่อยากจะครอบครองก็มีความเหมือนกันอยู่ดี ซึ่งมันต่างกันตรงที่พี่เลือกที่จะไม่ล่วงเกินจันทร์จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ขณะที่อาโชคเลือกจะทำตามใจตัวเอง โดยไม่สนความรู้สึกของจันทร์ หรือว่าความถูกต้องใด ๆ เพราะฉะนั้นคนที่ผิดก็คือคนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจและใช้กำลังข่มขู่ในทางที่ไม่ถูกต้อง”
“…” หลังจากผมอธิบายออกไปอย่างยาวเหยียด สักพักใหญ่จันทร์ก็เลื่อนฝ่ามือของตัวเองวางลงบนหลังมือของผม พลางยกยิ้มตรงมุมปากเพียงเล็กน้อย
คล้ายกับว่าคำแนะนำนั้นกำลังได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย
เพียงแต่.. จะมากหรือน้อยคงต้องลุ้นกันอีกที

“ส่วนตัวตนของจันทร์ ไม่ว่าจะในอนาคตหรือตอนนี้ พี่คิดว่ามันก็คือลักษณะนิสัยหรือว่าอัตลักษณ์ของคนธรรมดาคนหนึ่ง เพราะอย่างพี่ก็เคยมีความขี้ขลาด เคยมีความไม่อดทน และบางครั้งก็รู้สึกอยากต่อต้านสังคมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในแบบที่เราไม่ชอบ ก็เลยหันไปหมกตัวอ่านหนังสืออยู่แต่ในบ้าน งานเลี้ยงสังสรรค์อะไรก็ไม่ค่อยไป แถมเพื่อนก็ใช่ว่าจะมีเยอะแยะ คนรักก็แทบจะนับนิ้วได้ เรียกได้ว่าชีวิตค่อนข้างจืดชืด แถมเวลาก็ไม่ค่อยจะมีให้ใคร มันเลยทำให้พวกเขาหาเรื่องเลิกรากับพี่ล่ะมั้ง ว่าไปแล้วจันทร์คือคนที่พี่คบหาได้นานที่สุดเลยแหละ”
“แล้วถ้าในอนาคต จันทร์เกิดมีอะไรบางอย่างที่พี่ภัทรไม่ชอบล่ะครับ”

“พี่คิดว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อการเรียนรู้ และการเรียนรู้ก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับตำราเรียน หรือตำราอาหาร เพราะฉะนั้นต่อให้อนาคตมีบางสิ่งบางอย่างในตัวจันทร์ที่พี่ไม่ชอบ แต่เราก็สามารถปรับและจูนเข้าหากันได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ความสัมพันธ์ในรูปแบบของคนรัก มันต้องมีการปรับตัวและเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา อีกอย่างนิสัยของคนเรา พี่คิดว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอก เพราะของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองและประสบการณ์ของเราด้วย อย่างตอนที่พี่ยังเด็ก พี่ชอบอ่านหนังสือแนวหนึ่ง แต่พอโตขึ้น แนวหนังสือที่ชอบก็เปลี่ยนไป แถมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยชอบก็ยังเปลี่ยนแปลงอีก ดูอย่างตอนนี้สิ ฟิกเกอร์ที่พี่เคยสะสมและหวงนักหวงหนา ถูกเอามาเทขายจนหมดเกลี้ยง พี่ยังไม่คิดจะเสียดายเลย ลองเป็นแต่ก่อนสิ พี่คงโอดครวญจะเป็นจะตาย”

“ส่วนความสามารถพิเศษพวกนั้น..” ผมกล่าวพลางมองจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของคนตรงหน้า
“…”

“พี่คิดว่ามันเป็นของจันทร์นะ”
“ทำไมพี่ภัทรถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ?” จันทร์เอ่ยถามอย่างสงสัย พลางขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง

“เพราะจันทร์เป็นคนสร้างพวกเขาขึ้นมา และยังฝากฝังความคิดและความทรงจำบางส่วนเอาไว้ ฉะนั้นความสามารถที่พวกเขามี ก็คือความสามารถที่เกิดจากการเรียนรู้ของจันทร์ จากนั้นพวกเขาก็อาศัยประสบการณ์ในชีวิตมาพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ที่จันทร์มอบให้ จนกระทั่งมันคือความสามารถพิเศษที่น่าทึ่ง”
“ดังนั้นในมุมมองของพี่ จันทร์คือ ‘ครู’ ของพวกเขาด้วยซ้ำ”

“ครูเหรอครับ..” จันทร์ย้อนถามอย่างเลื่อนลอย คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกประหลาดใจในมุมมองที่ผมชี้นำ
“ใช่.. พี่คิดว่า ‘ครู’ ของพวกเขาก็คือจันทร์” ผมย้ำเตือนสถานะของอีกฝ่ายอย่างหนักแน่น เพราะความสามารถพิเศษที่จันทร์กำลังคิดว่าตัวเองไปขโมยมาจากคนอื่นจะไม่ทางเกิดขึ้นได้ หากเจ้าตัวไม่เคยมีการเรียนรู้ในด้านนั้น ๆ มาก่อน

“อย่างความสามารถด้านศิลปะ พี่คิดว่ามันคือพรสวรรค์ของจันทร์ จำได้ไหมรูปคอลลาจที่ใช้นิตยสารเล่มหนึ่งเป็นสื่อกลางในการแสดงความรู้สึก จันทร์ก็ทำมันออกมาได้ดี ไหนจะรูปสีน้ำมันที่จันทร์เคยวาดในชั่วโมงบำบัดอีกตั้งหลายรูป”
“ในสายตาของพี่ มันสวยพอๆ กับฝีมือของกรวินท์เลยแหละ และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะจันทร์เคยเรียนวิชาศิลปะถูกไหมล่ะ ส่วนกรวินท์เขาก็รับเอาความรู้พวกนั้นมาต่อยอดไปเรื่อย ๆ จนทำให้ฝีมือการวาดรูปของเขาพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด”

“ส่วนการเขียนจะไม่มีทางประสบความสำเร็จเลย หากจันทร์ไม่เคยมีทักษะด้านภาษา และไม่เคยเรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้”
“…”

“ความสามารถพวกนั้น เป็นของจันทร์จริง ๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลย” สิ้นความคิดเห็นในมุมมองของผม เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็ทอดมองไปยังบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีปลาหลากหลายชนิดแหวกว่ายวนเวียนอยู่ในนั้น ก่อนจะอุทานประโยคดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งจะรับรู้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าทึ่งและยากเกินกว่าจะเชื่อถือ แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงได้ เพราะหลักฐานต่าง ๆ ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ
และมันก็คอยย้ำเตือนว่า..
การเรียนรู้ของจันทร์ล้วนนำมาซึ่งความสามารถพิเศษของทุก ๆ อัตลักษณ์


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้สั้นกว่าตอนที่แล้วเยอะเลย แต่เราว่าน่าจะตอบโจทย์สำหรับคนที่กำลังสงสัย ว่าทำไมการรักษาของน้องจันทร์ดูไม่คืบหน้าเลย คือเท่าที่เราอ่านและตีความจากในหนังสือของคุณบิลลี่ จิตแพทย์จะเน้นรักษาไปที่อาการโดยรวมที่เป็นจุดใหญ่ๆ ก่อน ซึ่งจุดใหญ่ๆ ในที่นี้ก็คือการหลอมรวม ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องค่อยๆ บำบัดกันต่อไป ทั้งนี้ความคืบหน้าของการรักษา สังเกตได้จากการที่หลายๆ ตอนมานี้ เราไม่ค่อยเขียนถึงคุณพีรวัตร และตอกย้ำไปถึงการเขียนนิยายเล่มล่าสุดที่ใช้เวลายาวนานเพิ่มเข้าไป ก็น่าจะชัดเจนขึ้นว่าการรักษามันคืบหน้าอย่างช้าๆ
และสรุปแล้ว ตัวตนใหม่ของจันทร์ ก็คือความเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีความอ่อนแอ ไม่อดทน ขี้ขลาด ต่อต้านสังคมนั่นแหละ ซึ่งเราคิดว่าลักษณะนิสัยแบบนี้ ก็มีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคนแหละ เพียงแต่มันจะแสดงออกในสถานการณ์ไหนก็เท่านั้น

ปล. 1 มีคนเดาถูกด้วยว่าความสามารถของอัตลักษณ์อื่น ก็คือของจันทร์นั่นแหละ ปรบมือให้เลย

ปล. 2 คนอ่านคิดว่ามันก้าวกระโดดไปหรือเปล่า เพราะเราเขียนข้ามเดือนไปเยอะทีเดียว แต่การเขียนในมุมมองของพี่ภัทรที่กลายเป็นคนนอก มันก็มีเนื้อๆ อยู่แค่ไม่กี่เหตุการณ์เอง ตอนหน้าจบจริงๆ แล้วจ้า 5555
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 46 ❀ หน้า 5 (update 30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 30-10-2018 14:45:28
น่าจะสั้นสุดแล้ว ตอนนี้
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 46 ❀ หน้า 5 (update 30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-11-2018 05:25:38
อ่านทีแบบยาวเลยค่ะ เนื้อหาเข้มข้นมาก ข้อมูลดี
บ่งบอกความทุ่มเทของคนเขียนมาก
ขอบคุณมากนะคะ

อ่านตอนแรก หลอนไปเลยจ้า นึกว่าแนวกระตุกขวัญ
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น อ่านเรื่องนี้ ใจเต้นตลอดเวลาเลยค่ะ

ชลเป็นคนเปิดเรื่องทุกอย่างขึ้นมา เพื่อตัวเองจะได้ไปต่อไป
แต่สุดท้าย ก็ต้องมารับกับความไม่มั่นคง จนสภาพจิตใจล้า
จะว่าน่าสงสารก็ใช่ จะเห็นแก่ตัวก็ด้วย

จันทร์ต้องผ่านอะไรมามากมาย ชีวิตถึงได้มีมิติขนาดนี้
แล้วเป็นคนที่ชอบสังเกตด้วย แต่แค่งงและไม่คิดมากไปกว่านี้
สุดท้ายจันทร์ก็เลือกที่จะหลับตาให้ทุกอย่างลบไป เหมือนฝัน
ให้อีกหนึ่งในตัวตน ออกมาใช้ชีวิต แต่พอมีภัทรเข้ามา
ตัวตนของจันทร์ก็พยายามที่จะอยู่ในช่วงเวลานี้มากที่สุด
แต่บางเวลาก็เป็นไปไม่ได้

ยิ่งค้นหาความจริง ยิ่งเข้าใจ ว่าทำไมต้องมีชีวิตแบบนี้
จิตเลือกให้ใครมาเป็นเราทดแทนความเป็นเรา

ภัทรเป็นหมอที่มีความเป็นหมอสูง แต่พอผูกจิตใจด้วยแล้ว
คือยิ่งพยายามค้นหามาก ปกป้องจันทร์ทุกอย่างเลย
ถึงจะผิดหลัก แต่เพื่อหัวใจ บางทีก็พูดยาก
แล้วกลัวมากที่หมอจะมีอาการเอง โชคดีที่ภัทรเข้มแข็งพอ

ตอนรวมอัตลักษณ์นี้ ยิ่งทำจันทร์อ่อนแอ
เพราะจันทร์คิดว่าทุกสิ่งที่เป็นไม่ใช่จันทร์
แต่ภัทรพูดได้ดี ทุกสิ่งที่เป็นคือเกิดจากจันทร์

ลุ้นมากค่ะ บีบหัวใจทุกอณู อ่านแล้วอึดอัดตามไปด้วยเลย
แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ มันดี เพราะทำเราอินมาก



หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 46 ❀ หน้า 5 (update 30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 02-11-2018 21:27:00
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสและสวยงามเสมอจ้าน้องจันทร์
แค่เรามีศรัทธาว่าถ้าเราคิดดีทำดีเราย่อมต้องได้สิ่งดีๆในสักวัน
ขอแค่ ณ.เวลาที่เราเจอเรื่องร้ายๆถ้าเราอดทนและพยายามก้าวข้ามมันไปให้ได้
สิ่งดีๆชีวิตที่มีความสุขจะรออยู่ข้างหน้าเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ที่มีหัวใจที่ดีและไม่ยอมแพ้เสมอ...แด่ทุกหัวใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา  :L1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 46 ❀ หน้า 5 (update 30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-11-2018 22:38:51
มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าน้องเข้มแข็งมากเลย เอ็นดูน้อง ขอให้ได้ใช้ชีวิตของตัวเองแบบเต็มที่สักทีนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 02-11-2018 23:50:39
ตอน 47

แรกเริ่มเดิมทีการหลอมรวมในขั้นสุดท้าย ยังไม่อาจทำให้จันทร์รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายมีโอกาสได้ไปเยือนยังบ้านกลางป่าสน และได้ลองดูแลประคบประหงมต้นสโนว์ดรอปส์ของคุณชลวิทย์ที่ยังเหลือรอดปลอดภัย จึงส่งผลให้ต้นไม้ชนิดดังกล่าวหวนกลับมาเจริญงอกงามใหม่
เพียงแต่ปริมาณของพวกมัน..
ไม่อาจเบ่งบานจนเต็มทุ่งเหมือนแต่ก่อน

ซึ่งคนที่ต้องคอยเป็นลูกมือให้กับจันทร์ก็เห็นจะหนีไม่พ้นผม เนื่องจากอีกฝ่ายยังคงต้องอยู่ภายใต้การสังเกตพฤติกรรมจนกว่าด็อกเตอร์จะมีความแน่ใจว่าการหลอมรวมประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ เหตุเพราะตอนแรกด็อกเตอร์ยังมองเห็นบางส่วนของอัตลักษณ์ต่าง ๆ ในตัวตนของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนอย่างเด่นชัด
ขณะที่ผมก็เคยมองเห็นบางส่วนที่ว่าตอนที่จันทร์กำลังพยายามจะขยายพันธุ์ต้นสโนว์ดรอปส์ โดยอาศัยความรู้และความเข้าใจจากอัตลักษณ์ของกรวินท์ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมความรู้ดังกล่าวจึงตกทอดมาสู่ตนได้
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา..
จันทร์ยังไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับการการดูแลพันธุ์พืชที่เกิดจากดัดแปลงพันธุกรรมเลยด้วยซ้ำ

ผมจึงลองก้าวล้ำเข้าสู่ความทรงจำในอดีตของคนที่กำลังหงุดหงิดกับความสามารถนี้จนเต็มขั้น จึงทำให้ทราบว่าช่วงวัยที่ยังไม่ประสีประสาจันทร์มักจะเกาะติดคุณชลวิทย์อยู่บ่อยครั้ง
และการกระทำนั้น…
ก็ทำให้จันทร์มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการดังกล่าวจากคุณพ่อโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นประมาณสามเดือนให้หลัง จันทร์ก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองรับเอาบุคลิกลักษณะของแต่ละอัตลักษณ์ไว้ในตนเองมากขึ้น สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการบำบัดกลุ่มย่อยทำให้จันทร์เล็งเห็นถึงผลของการรักษาผ่านทางผู้ป่วยท่านอื่นว่ามันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากแค่ไหน และอีกประการหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเวลาที่จันทร์หวนนึกถึงอะไรบางอย่างจากความทรงจำ รวมไปถึงการระบายความอัดอั้นตันใจต่าง ๆ กับผมหรือแม้กระทั่งให้ทีมรักษาได้รับรู้ ล้วนแต่เป็นช่วงเวลาที่ทุก ๆ อัตลักษณ์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต และทันทีที่พวกเขาล่วงรู้ก็นำมาสู่การขจัดความเสื่อม นอกจากนี้การบำบัดทั่วไปก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ความถี่ของการออกมาใช้ชีวิตของแต่ละอัตลักษณ์ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง จนกระทั่งจันทร์กลายเป็นจันทร์ที่อาจจะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกับภาพฝัน
หากแต่เป็นจันทร์ที่มีอัตลักษณ์เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
 
“พี่ภัทรดอกสโนว์ดรอปส์บานแล้ว” จันทร์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ระหว่างที่เรากำลังเดินทางเข้าสู่อาณาเขตของบ้านกลางป่าสน ผมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด จึงเบนสายตาไปมองยังบางสิ่งบางอย่างที่กำลังทำให้อีกฝ่ายแสดงอาการดีอกดีใจราวกับเด็ก
“เก่งมาก” ผมเอ่ยชมเจ้าของไอเดียในการฟื้นฟูทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์พลางเอื้อมมือไปโยกศีรษะของอีกฝ่ายที่กำลังเหลียวมองทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาด เหตุเพราะขณะนี้รถยนต์คันเก่งกำลังนำพาพวกเรามาสู่ลานกว้างตรงบริเวณหน้าบ้านหลังสีน้ำตาลอันคุ้นเคย

“ไม่น่าเชื่อว่าวิธีของจันทร์จะได้ผล” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปกปิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ขณะที่ผมก็ได้แต่อมยิ้มกับท่าทางร่าเริงของจันทร์ที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เห็น แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้ทักท้วงให้อีกฝ่ายเก้อเขิน จึงหันมาหยิบตะเกียงใส่เทียนทีไลท์แบบมีหูหิ้วตรงหลังรถเพื่อจะได้ใช้มันเป็นอุปกรณ์นำทาง
“แต่ถ้าเราไม่ดูแลประคบประหงมแบบพี่ชล มันจะเป็นแบบเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน เดินตามหลังผมราวกับลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ด จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อน พลางบ่นอุบพร้อมกับถอนหายใจ

“ไม่ตายหรอก.. เพราะพี่ก็ไม่ได้ดูแลประคบประหงมมากมายขนาดนั้น อย่าลืมสิพี่เป็นหมอนะ แถมยังต้องเข้าเวรอีก อาทิตย์เว้นอาทิตย์ พี่ว่ากำลังพอดี” ผมเอ่ยแย้งพลางจัดแจงมอบแสงสว่างในการนำทางก่อนจะยืนจนเต็มความสูง เพื่อที่จะได้พาเจ้าของไอเดียไปชื่นชมผลงานของตัวเองให้สาแก่ใจ
“อืม.. นับ ๆ ดูแล้ว เราใช้เวลาประมาณ 6 เดือนได้มั้งครับ” จันทร์ลากเสียงยานคางในลำคอเพียงครู่ ก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิด เมื่อต้องคำนวณระยะเวลาในการฟื้นฟูป่าสนแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยสีสันเหมือนแต่ก่อน

“ใช่.. 6 เดือนกับความพยายามหลอมรวมขั้นสุดท้าย และการฟื้นฟูทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์” ผมกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น ขณะที่ในใจก็เริ่มคำนวณช่วงเวลาในการพักรักษาตัวของจันทร์ว่ามันใช้เวลาทั้งหมดกี่ปี
ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ 3 ปี
เพียงแต่เป็น 3 ปีที่ยาวนาน ราวกับผ่านมาแล้ว 30 ปี

“พี่ภัทรเคยสงสัยว่าทำไมจันทร์ถึงได้รู้สึกย้อนแย้งในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องความสามารถพิเศษบ้างหรือเปล่า ?”
“อืม.. พี่คิดว่าพี่เข้าใจความรู้สึกของจันทร์นะ” ผมหยุดคิดเพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว ขณะที่ปลายเท้าของเราต่างก็เหยียบย่ำลงบนเส้นทางเดินรถที่เป็นเส้นทางดินอย่างพร้อมเพรียง
 
“ยังไงเหรอครับ ?”
“ถึงแม้จันทร์จะเข้าใจแล้วว่าความสามารถพิเศษพวกนั้น เกิดจากการเรียนรู้ของจันทร์ แต่การเรียนรู้ในช่วงเวลาของจันทร์ มันเป็นการเรียนรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้ววันหนึ่งจันทร์ก็รับเอาอัตลักษณ์ต่าง ๆ เข้าไว้ในตัวเอง ความแปลกใหม่ของอะไรหลาย ๆ อย่าง คงทำให้จันทร์รู้สึกหงุดหงิดที่จันทร์สามารถวาดรูปได้อย่างสวยงาม โดยที่จันทร์ไม่ต้องเปลี่ยนไปเป็นกรวินท์ หรือแม้กระทั่งจันทร์สามารถเรียบเรียงรูปประโยคได้ดีเหมือนกับคุณพีรวัตร ทั้ง ๆ ที่จันทร์ยังคงเป็นจันทร์ ซึ่งความรู้สึกหงุดหงิดเหล่านั้น น่าจะเกิดจากการที่จันทร์รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่จันทร์คนเดิม” ผมอธิบายพลางเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิดที่มีเพียงแสงตะเกียงนำทางอย่างคุ้นเคย ซึ่งกลิ่นอายของป่าสนหรือแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีดเรไรที่กำลังร้องระงมแข่งกับเสียงพูดคุยของเรา ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
ราวกับป่าสนแห่งนี้คือบ้านหลังที่สองของผม

“คิดถึงจัง”

เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่ในตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มวัยบรรลุนิติภาวะ หากแต่ภาพจำของผม จันทร์ยังคงเป็นเด็กชายตัวเล็กที่ผมนึกเอ็นดูอยู่ดี ยิ่งท่าทางสูดลมหายใจจนชุ่มปอดพร้อมก้าวเดินนำหน้าผมเพียงหนึ่งก้าว เพื่อกางแขนทั้งสองข้าง ราวกับเจ้าตัวต้องการจะโอบกอดบรรยากาศในตอนนี้ ก็ยิ่งสนับสนุนมุมมองของผมที่มีต่อจันทร์อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“แต่คำว่าคิดถึงของจันทร์ มันหมายถึงช่วงเวลาที่จันทร์ได้มาเดินเล่นที่นี่ โดยที่จันทร์ในตอนนั้น เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าความหวาดกลัวจะยังแอบซ่อนอยู่ในความคิด” จันทร์หันหน้ามองผม ขณะที่สองเท้ากำลังก้าวเดินถอยหลังอย่างเชื่องช้า
ราวกับอีกฝ่ายต้องการจะหยิบยืมสายตาของผมในการนำทาง

“ต่างกันแค่.. ในตอนนี้จันทร์ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าข้างในนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่จันทร์จำเป็นจะต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนอธิบายเพิ่มเติม พลางชี้นิ้วไปยังข้างขมับของตัวเอง เพื่อสื่อไปถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่ในวันนี้กำลังอ่อนอานุภาพลง

“และตอนนี้..” จันทร์กล่าวพลางก้าวเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าผม
“…”

“จันทร์รู้สึกว่าตัวเอง สามารถเป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันได้อย่างเต็มภาคภูมิ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนบอกกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มองเห็นข้างแก้มบุ๋ม จากนั้นคนตรงหน้าก็พาตัวเองเข้ามาซุกอยู่ตรงแผ่นอก ผมจึงยกสองมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายอย่างแน่นหนา เพราะผมก็รอคอยช่วงเวลาที่จะได้โอบกอดดวงจันทร์ที่กำลังสว่างสดใสมาเนิ่นนาน แม้ลึก ๆ ในใจ ผมจะรู้ดีว่า..
การหลอมรวมในครั้งนี้ มันเป็นการหลอมรวมที่ยังคงเปราะบาง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็คือจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิตใหม่

กระทั่งเราผละออกจากความอบอุ่นของกันและกันแล้ว จุดมุ่งหมายต่อไปก็คือการล่วงล้ำเข้าไปยังอาณาเขตของทุ่งสโนว์ดรอปส์ ซึ่งแวบหนึ่งที่จันทร์เผลอฮัมเพลง ‘หนูมาลี’ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังถูกโอบล้อมไปด้วยทิวสนและดอกไม้สีขาวสะอาด ทำให้ผมนึกถึงอัตลักษณ์ของน้องลียากรที่เต็มไปด้วยความสดใส แม้ว่าในใจของเธอจะแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี
นับได้ว่าความเข้มแข็งของจันทร์ ล้วนเป็นส่วนผสมของน้องลียากรและคุณพีรวัตร

“เรานอนเล่นที่นี่สักพักได้หรือเปล่าครับ ?”
“เอาสิ”

สิ้นคำอนุญาตจากผมเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็ล้มตัวลงนอนท่ามกลางดอกไม้สีขาวสะอาดที่ผมรู้สึกว่าเฉดสีของมัน เหมือนกับคนตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยน เพราะจันทร์ในสายตาผมคือเด็กชายที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับผ้าขาวที่จู่ๆ ก็ถูกสาดโคลนจนทำให้เปรอะเปื้อนคราบเกรอะกรังของความทรงจำอันเลวร้าย

“ดาวที่นี่ยังสวยขนาดนี้ แล้วดาวที่บ้านระเบียงดาว มันจะสวยแค่ไหนเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังมองแผ่นฟ้าสีดำยามถูกประดับตกแต่งด้วยเพชรเม็ดงามอย่างดวงดาวระยิบระยับ ก่อนจะหันมาจดจ้องผมที่กำลังนั่งแหงนหน้ามองน่านฟ้าผ่านทางช่องว่างของทิวสนอย่างรอคอยคำตอบ
“สำหรับพี่ ประเมินค่าไม่ได้” ผมให้คำจำกัดความของสถานที่ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง ขณะที่ดวงตาก็เบนไปยังแววตาราวกับลูกกวางของจันทร์

“ถ้าหากเวลาลงตัวเมื่อไหร่ พี่จะพาจันทร์ไปนอนดูดาวที่นั่นตามสัญญา” ผมกล่าวพลางเคลื่อนตัวเข้าไปบดบังวิถีสายตาของอีกฝ่ายอย่างเรียกร้องความสนใจ
เพราะจันทร์ก็ยังคงเป็นจันทร์ที่ไม่เคยทำตัวงี่เง่ากับผมเหมือนอย่างที่ตัวเองหวาดกลัว
เวลานี้จึงกลายเป็นผมเสียเองที่นึกอยากจะทำตัวงี่เง่า เพื่อให้อยู่ในสายตาของใครคนนั้น

“อื้ม จันทร์รอได้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนตอบรับอย่างแผ่วเบา ขณะที่สองแขนของเจ้าตัวก็ยกขึ้นคล้องคอของผมไว้ ราวกับอยากจะชักพาให้เราสองคนได้ขยับเข้ามาชิดใกล้กันอีกสักหน่อย

“ถ้าหากพี่จูบจันทร์ตอนนี้.. จันทร์จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้หรือเปล่า” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับต้องมนต์สะกดของนัยน์ตาคู่นั้นที่กำลังมองสบกันในระยะประชิด ขณะที่จันทร์ก็ได้แต่นิ่งเงียบราวกับเจ้าตัวยังไม่ค่อยแน่ใจในผลลัพธ์ของการบำบัดมากนัก เพราะการแสดงความรู้สึกผ่านการกระทำ ยังคงเป็นหลุมใหญ่อันดำมืดในจิตใจของอีกฝ่าย
“…”

“ลองดูก็ได้ครับ..” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วพลางหลับตาพริ้มเหมือนกับเมื่อสองเดือนก่อน เพียงแต่ในครั้งนั้นคนตรงหน้ากลับมีอาการแพนิค
เหตุเพราะความขยะแขยงยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจ

“แต่จันทร์กลัวมันจะล้มเหลวเหมือนเดิมอีก”
“ถ้าอย่างนั้น.. ครั้งนี้พี่จะพยายามอ่อนโยนให้มากกว่าครั้งก่อน”

“อื้ม”

สิ้นเสียงตอบรับของดวงจันทร์บนดิน ผมก็ค่อย ๆ ละเลียดชิมริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเนิบช้า ราวกับฝูงผึ้งที่กำลังดอมดมดอกเนโมฟีลา เพื่อตักตวงน้ำหวานที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเกสรดอกไม้ พร้อมทั้งประคับประคองสติของตนเองไม่ให้หลงระเริงไปกับความหอมหวานมากจนเกินไป
เพราะมันอาจจะทำให้จันทร์..
หวาดกลัวในรสสัมผัสจากผม

กระทั่งจันทร์เลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งลงมาตรงลาดไหล่ พลางบีบกระชับอยู่สองสามครั้ง ผมก็หยุดการกระทำของตนเองทันที เพราะปฏิกิริยาดังกล่าว
มันคือสัญญาเตือนว่า..
จันทร์กำลังจะไปต่อไม่ไหว

“วันนี้ก็พังไม่เป็นท่าอีกแล้ว” จันทร์ตัดพ้อพลางพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ เมื่อความรู้สึกบางอย่างกำลังตีตื้นขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็ยินดีเป็นหนูทดลองให้จันทร์อยู่แล้ว” ผมเอ่ยติดตลกพร้อมกับรั้งศีรษะของคนข้างๆ มาซบลาดไหล่ของตัวเอง

“เพราะฉะนั้นจันทร์ต้องใช้งานหนูทดลองตัวนี้ให้คุ้มค่าใช่ไหมครับ ?” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนหลุดหัวเราะเพียงเบาๆ พลางย้อนถามด้วยคำตอบรับอย่างทีเล่นทีจริง ขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็แหงนมองผมอย่างรอคอยคำตอบ
“อื้ม”

หลังจากนั้นระหว่างเราก็ถูกแทรกแซงด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไรที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าป่าแห่งนี้ แต่ผมกับจันทร์ก็ยังคงแฝงตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ และสนป่าอันสูงตระหง่านอย่างไม่คิดจะหวาดกลัวสัตว์มีพิษแต่อย่างใด
ราวกับว่าการมาเดินเล่นของเรามันคือการสร้างความคุ้นเคยได้ดีแล้ว

“พี่ภัทร..”
“หืม ?” ผมตอบรับในลำคอ ขณะที่แววตาก็จ้องมองไปยังผืนผ้ามะหยี่สีดำที่ไม่มีวันเอื้อมถึง

“ชีวิตใหม่หลังจากนี้ จันทร์คงต้องฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ภัทรเหมือนเดิมนะครับ” ในที่สุดถ้อยคำฝากฝังจากอีกฝ่ายก็สามารถเรียกร้องความสนใจจากผมที่กำลังชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างไม่คาดคิด
“ทางนี้ก็เหมือนกัน” ผมกล่าวพลางเลื่อนฝ่ามือของตัวเองไปกอบกุมกับฝ่ามือเล็ก ขณะที่ดวงตาก็มองจ้องไปยังนัยน์ตาราวกับลูกกวางตัวน้อยที่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ยังเป็นแววตาที่แสนบริสุทธิ์
และผมก็หวังว่าในอนาคต หากจันทร์ก้าวออกไปใช้ชีวิตในสังคมที่กว้างใหญ่
จันทร์จะยังคงเป็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอย่างงดงามท่ามกลางป่าสนอันมืดมิด


゚゚❀ The End ❀゚゚


[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ในที่สุดเราก็พูดได้เต็มปากสักที ว่าเราทำสำเร็จแล้ว ฮืออ เราแต่งแนวจิตวิทยาที่ตัวเองคิดว่ามันไกลเกินเอื้อมได้สำเร็จแล้วจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เรามากๆ เลยค่ะ ทุกคนคือแรงผลักดันที่ทำให้เราเขียนเรื่องในป่าสนตั้งแต่ตอนแรกจนกระทั่งตอนจบได้สำเร็จ มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ เพราะเรื่องนี้ มันคือเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับตัวเรามาก และยังทำให้เราได้พัฒนาการเขียนของเราไปอีกขั้น ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ และสุดท้ายนี้ เราไม่แน่ใจว่าทุกคนจะพึงพอใจกับตอนจบแบบนี้หรือเปล่า เพราะจันทร์ในตอนนี้ยังเป็นการหลอมรวมที่เปราะบางมาก ซึ่งในอนาคตถ้าหากจันทร์ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จันทร์มีโอกาสจะแตกอัตลักษณ์ออกมาอีกครั้ง ส่วนการเขียนเรื่องราวของตัวเองที่จันทร์พยายามจะตั้งใจทำ เราคงต้องยกยอดไปที่ตอนพิเศษค่ะ เพราะตอนหลัก เราตั้งใจให้จันทร์หลอมรวมอัตลักษณ์ให้ได้ก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงการมีชีวิตใหม่

ปล. เรื่องนี้มีสำนักพิมพ์มารับไปดูแลแล้วนะคะ เดี๋ยวถ้าเราได้รายละเอียดที่แน่นอนเมื่อไหร่ เราจะมาแจ้งข่าวอีกทีค่ะ แต่คงจะอีกสักพักนึงเลย เพราะเรายังไม่ได้เขียนตอนพิเศษเลยสักตอน แต่คร่าวๆ เราวางแผนว่าจะเขียนสะท้อนสังคมต่อไปให้จบเรื่อง ซึ่งเราตั้งใจจะเขียนสะท้อนถึงมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อผู้ป่วยทางจิตเวช อ้อ เรื่องนี้น่าจะมีแค่เล่มเดียวนะคะ

ปล.2 หนังสือของคุณบิลลี่ที่เราใช้อ้างอิงคือหนังสือเล่มนี้ค่ะ ทุกคนสามารถไปหาอ่านกันได้ เพราะบางอย่างเราก็เขียนขึ้นมาจากการตีความของเราเอง
https://i.imgur.com/2xcpPFC.jpg
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-11-2018 08:41:39
น้องงง สู้ต่อไปนะคะ สงสารพี่ภัทรหน่อยๆ แต่สักวันน้องก็จะเลิกแพนิคนะคะ ขอบคุณมากเลยสำหรับนิยายสนุกๆแล้วก็สุดยอดมากๆ เราจะอุดหนุนแน่นอนค่ะ รักเด็กชายจากบ้านกลางป่าสย  :hao5:  :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 03-11-2018 09:04:50
ปรบมือให้คนแต่งเลยค่ะ เรื่องนี้เน้นวิชาการมากหน่อย แต่เรื่องก็ไหลผ่านไปได้ด้วยดี ตอนแรกรู้สึกปวดหัวกับเนื้อเรื่องเพราะมันค่อนข้างเครียด แต่พออ่านไปเรื่อยมันก็ไม่ได้วิชาการหรือเครียดขนาดนั้น
อยากบอกคนแต่งว่าชอบมากๆได้ทั้งความรู้และบันเทิง หวังว่าคนแต่งจะมีเรื่องใหม่เร็วๆนี้นะคะจะรอติดตาม สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 03-11-2018 20:07:19
ติดตามมานานมากกกกกกก
ตั้งใจอ่านจนเครียด อินไปกับเนื้อเรื่องมาก จนอารมณ์ดาวน์ไป3วันอ่ะ 55555
เป็นเรื่องที่ให้ทั้งความสนุก และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องจิตเวช มันดีนะคะ ชอบมากๆ
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 04-11-2018 07:27:27
ปรบมือให้คนแต่งรัวๆค่ะ เราติดตามมาจนนิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องมาจนจุดจบแล้ว ชอบมากตัวพล็อตเองแปลกใหม่สำหรับเรา แต่คนแต่งทำได้ดีมากอธิบายทึกอย่างละเอียดโครตๆๆๆๆ ทำให้เราเข้าใจแล้วก็ไม่เบื่อเลยค่ะ รออุดหนุนตัวเล่มนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 04-11-2018 09:17:50
ฮืออออ จบได้ดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจ  :mew2:
ให้ความหวังและกำลังใจกับคนที่อาจจะเคยผ่านเรื่องร้ายๆและรู้สึกท้อไม่อยากจะสู้ต่ออีกแล้ว อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ความคิดสำหรับการใช้ชีวิตที่ดีมากเลยค่ะ
..คือต่อให้เราผ่านเรื่องแย่ๆมาแค่ไหน มันไม่มีอะไรจะเลวร้าย ขอแค่ถ้าใจเราดีและมีความหวัง มองทุกอย่างอย่างเข้าใจและไม่ไปติดยึดกับมัน ปล่อยวางความทุกข์นั้นลง อย่าไปแบกมันไว้ ความสุขสร้างได้ด้วยใจของเรา ขอแค่เราคิดดีทำดีชีวิตเราก็จะดีและมีความสุข
..สำหรับคนที่ชีวิตดีและมีความสุขอยู่แล้ว แบ่งปันความสุขและความเข้มแข็งนั้นให้คนรอบข้างที่เค้าขาดแคลนบ้าง ไม่ต้องมากมายแค่ความช่วยเหลือเล็กน้อยและคำพูดที่คอยปลอบใจ ก็สามารถต่อชีวิตใครบางคนที่เค้ากำลังหมดหวังให้เค้ามีความหวังและกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-11-2018 11:25:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: rythm_beat ที่ 04-11-2018 22:09:35
ขอบคุณไรท์ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ มันดีมาก ไรท์ทำงานหนักมากเพื่องานชิ้นนี้ เราเองก็ดีใจมากที่ได้อ่านเช่นกันค่ะ

ปล. เป็นเรื่องแรกที่คอมเม้นต์เลย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-11-2018 00:27:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 05-11-2018 06:24:20
เราอ่านจบตอนที่ 25 ต้องขอพักสายตามาคอมเม้นต์หน่อยค่ะ

ก่อนอื่น ต้องบอกว่า “ชอบเรื่องแนวนี้มาก” เป็นแนวที่อ่านแล้ว “ได้ความรู้” ดีด้วย
และชื่นชมที่คุณ ‘คนเขียน’ ค้นคว้าข้อมูลมาได้แน่นเปรี๊ยะ แน่นจนดูจะอึดอัดไปด้วยซ้ำ
เพราะข้อมูลหนักแน่นมากจริง ๆ (เราได้ลองตามไปอ่านข้อมูลที่คุณยกมาบอกแหล่งที่มา/แหล่งอ้างอิงในบางหัวข้อด้วยนะคะ)
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ... “สำนวนการเขียน” มันทำให้ทุกอย่างล้นไปหมด จนอ่านแล้ว “มึน” ค่ะ
เริ่มจาก คุณใช้คำได้ฟุ่มเฟือยมากค่ะ
เดาว่า เกิดจากความต้องการให้มันดูหนักแน่นสมบูรณ์แบบ
คำที่หยิบมาใช้ เลยเกินความต้องการไปเยอะ แทบจะทุกบรรทัดเลยค่ะ
ยกตัวอย่างเท่าที่อ่าน และคำพวกนั้นยังวิ่งวนอยู่ในสมองนะคะ

เพราะว่าถ้าหากได้ลองคิดวิเคราะห์ดูให้ดี
ดังนั้นในคาบนี้น่าจะเป็นคาบสำหรับการทำความรู้จักกันเสียมากกว่า และนอกจากนี้
แต่ด้วยเพราะจิตแพทย์แต่ละท่าน ต่างก็มีวิธีในการบำบัดที่แตกต่างกัน
กระทั่งเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงตรง

หรือคำว่า “เพราะ” ... มีเยอะมากพอ ๆ กับ “เพราะเนื่องจาก”
ที่เหมือน “ครั้นเมื่อ” กับ “เพียงแค่” ที่ซ้ำเยอะมาก

ถ้าคุณลองลด ละ ตัด เกลา...ลงไป เลือกใช้คำให้พอดี
เรามั่นใจว่า ความหมายจะคงเดิม แต่อ่านง่ายขึ้น และสบายสายตาขึ้น
ที่สำคัญคือ จะช่วยให้ใจความนั้นตราตรึงมากขึ้นด้วย

อีกประเด็นที่เราเจอแทบจะทุกตอน ตั้งแต่ตอน 1 ถึงตอน 25
คือ การอธิบายที่พออ่านไป...ไม่ทันพ้นประโยค ก็กลับรู้สึกค้านกันซะงั้น
หรืออ่านแล้วก็เหมือนถูกฉุด ๆ รั้ง ๆ ให้ยืนงงงวยอยู่เป็นระยะ
ยกตัวอย่างจากตอนที่ 1 ที่เรากลับไปหยิบมาเป็นตัวอย่างได้ง่ายที่สุดนะคะ

“...คืองี้พี่ เมื่อวานนี้ผมไปทำจิตบำบัดที่บ้านของไอ้ชลใช่มั้ย
แล้วบังเอิญวันนั้นฝนแม่งดันตก
ผมเลยต้องนอนค้างที่บ้านหลังนั้นคืนนึง..”
ไอ้บาสมันเล่าไปก็ขมวดคิ้วไป ผมจึงพยักหน้าเพื่อให้มันพูดต่อ เมื่อจู่ๆ มันก็หยุดพูดขึ้นมา...”

เราอ่านแล้ว เอ่อ ... มันเกิดขึ้นเมื่อวาน เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
แต่ทำไมสำนวน พาอารมณ์คนอ่านเหมือนย้อนกลับไป...หลายวันก่อน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน

.
.

ติงมาด้วยรักและชื่นชมนะคะ อยากให้ลองปรับดูค่ะ
เราเชื่อว่า ความสามารถระดับคุณ คุณจะปรับสำนวนได้ดีกว่านี้ //มั่นใจในฐานะที่สอนวิชาการเขียนมาหลายปีค่ะ

เดี๋ยวหายมึนสำนวนภาษาแล้ว เราจะกลับมาอ่านต่อค่ะ
แล้วจะมารีวิวให้นะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-11-2018 12:44:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 08-11-2018 10:59:55
ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะอยากอ่านตอนน้องจันทร์โตๆกว่านี้อีก
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 47 (ตอนจบ) ❀ หน้า 5 (update 02/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 11-11-2018 23:30:52
สนุกมากค่ะ
เพิ่งอ่านแนวนี้เรื่องแรกเลย
คนเขียนแต่งได้เก่งมากจริงๆ
ความรู้ด้านจิตวิทยามีทุกตอนเลย
เขียนออกมาได้สะท้อนกับปัญหาสังคมมาก
รออ่านตอนพิเศษต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-11-2018 20:37:15
ตอนพิเศษในป่าสน



ยามเมื่อจันทร์กระจ่างฟ้า..
ระยะ waxing crescent

แม้การหลอมรวมจะสำเร็จลงด้วยดี แต่กว่าที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจะได้รับอนุญาตให้ออกจากมาใช้ชีวิตในสังคมอันกว้างใหญ่อย่างเป็นทางการ ต้องใช้เวลาสำรวจความพร้อมต่ออีก 3 เดือน เท่ากับว่าจันทร์ใช้เวลาในการพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 3 ปี 3 เดือน โดยที่หลังจากนี้จันทร์จะต้องเข้ารับการบำบัดทางด้านจิตวิทยาเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดที่เป็นผลพวงมาจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างต่อเนื่อง และในขณะที่จันทร์กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม คุณแม่ของผมก็ทำหน้าที่เปรียบเสมือนพี่เลี้ยงคอยชี้แนะในเรื่องต่าง ๆ พร้อมกับคอยชักจูงให้จันทร์ค่อย ๆ ก้าวเดินออกจากเซฟโซนของตัวเอง เพื่อไปพบเจอกับผู้คนที่หลากหลายด้วยการทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การไปช็อปปิ้ง หรือการไปเลือกซื้อวัตถุดิบที่ตลาดสด
ซึ่งผลดีก็ไม่ได้มีอยู่แค่นั้น..
เพราะการมีอยู่ของจันทร์ คือการเข้ามาเติมเต็มครอบครัวของผม

“จันทร์ตัดสินใจได้หรือยังว่าการเรียนแบบไหนที่เหมาะกับจันทร์” ผมเอ่ยถามเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปยังอำเภอสะเมิง เพื่อติดต่อเกี่ยวกับวุฒิการศึกษา เพราะในตอนนี้ผมกำลังวางแผนด้านการศึกษาให้กับจันทร์ โดยหลักสูตรที่ผมมองๆ ไว้ คือการเรียนแบบ กศน. และการเรียนแบบโฮมสคูล
“แล้วพี่ภัทรคิดว่าหลักสูตรไหนเหมาะกับจันทร์เหรอครับ ?”

“พี่คิดว่าโฮมสคูลน่าจะเหมาะกับจันทร์มากกว่า เพราะการออกมาใช้ชีวิตของน้องจิมและน้องลียากรส่งผลกระทบต่อการเรียนของจันทร์ค่อนข้างมาก ดังนั้นช่วงแรกอาจจะต้องเรียนปรับพื้นฐานไปก่อน อีกอย่างการเรียนโฮมสคูลในหลักสูตรของโรงเรียนนานาชาติก็ค่อนข้างอำนวยความสะดวกมาก เพราะเขามีครูที่คอยให้คำปรึกษา แล้วก็มีห้องสมุดสำหรับเด็กโฮมสคูล แถมยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กโฮมสคูลเข้าร่วม พี่เลยคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จันทร์จะได้ส่องประกายมากขึ้น แล้วจันทร์ก็จะได้มีเวลาเรียบเรียงเรื่องราวในชีวิตเพื่อเขียนเป็นหนังสือด้วย”
“ส่วนการเรียนแบบ กศน. พี่กลัวว่ามันจะหนักเกินไปสำหรับจันทร์ เพราะการเรียนแบบนี้ เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แล้วด้วยพื้นฐานที่ไม่ค่อยแน่นมาตั้งแต่แรก มันอาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบาก”

“แล้วการเรียนตามหลักสูตรปกติล่ะครับ ทำไมพี่ภัทรถึงคิดว่ามันไม่เหมาะกับจันทร์”
“ที่จริงก็ไม่เชิงว่าไม่เหมาะหรอก แต่พี่คิดว่าช่องว่างระหว่างวัยอาจจะทำให้จันทร์เข้ากับคนอื่นได้ยาก เพราะเด็กมอต้นเพิ่งจะอายุสิบสองสิบสามเท่านั้น ส่วนวัยของจันทร์ตอนนี้เทียบเท่ากับเด็กมหาลัยแล้ว ความคิดความอ่านน่าจะจูนกันลำบาก แต่สำหรับเด็กโฮมสคูลพี่คิดว่ามันน่าจะลดปัญหาเกี่ยวกับช่องว่างของอายุได้ เพราะเวลาที่ทุกคนต้องมาทำกิจกรรมร่วมกัน ขั้นแรกก็ต้องเริ่มจากการทำความรู้จักกันเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว อีกอย่างช่วงอายุก็จะคละกันด้วย มันเลยไม่ฟิกตรงนี้” สิ้นคำอธิบายของผม คนข้างกายก็นิ่งเงียบไปนาน ราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“ถ้าเกิดจันทร์เลือกเรียนแบบโฮมสคูล ใครจะมาสอนจันทร์ล่ะครับ เพราะจากที่จันทร์อ่านในโบรชัวร์ที่พี่ภัทรเอามาให้เมื่ออาทิตย์ก่อน ดูเหมือนครอบครัวจะต้องเป็นคนสอนตามหลักสูตร ส่วนคุณครูจะคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนการสอนเท่านั้น”
“ก็ครูประจำชั้นคนเก่าของจันทร์ไง ตอนนี้ท่านปลดเกษียณแล้ว” ผมเฉลยพลางหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังแสดงสีหน้าราวกับสงสัยว่าผมไปรู้จักกับคุณครูประจำชั้นสมัยประถมของตัวเองได้อย่างไร

“ท่านเป็นคุณแม่ของเพื่อนพี่แนน แล้วท่านก็พอจะรู้เกี่ยวกับอาการป่วยของจันทร์อยู่บ้าง พี่เลยคิดว่าคุณสมบัติที่ท่านมี ค่อนข้างจะเหมาะสมกับการเป็นคุณครูของจันทร์”
“แล้ว.. ท่านรู้เรื่องที่จันทร์ป่วยได้ยังไงครับ ?”

“จริง ๆ ก็ไม่เชิงว่าท่านรู้เรื่องของจันทร์อย่างละเอียดนักหรอก จะว่ายังไงดี คือท่านทราบจากการสังเกตในช่วงที่ท่านยังเป็นครูประจำชั้นอยู่ เลยทำให้ท่านมองเห็นถึงความผิดปกติที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจของเด็กในความดูแล”
“ถ้าอย่างนั้น.. การตัดสินใจของจันทร์จะไม่เป็นการรบกวนท่านเกินไปใช่ไหมครับ ?”

“จากที่พี่แนนบอกมาก็ไม่ได้รบกวนอะไรนะ เพราะท่านเองก็เต็มใจที่จะทำอยู่แล้ว” สิ้นคำยืนยันจากผม จันทร์ก็ยกยิ้มเพียงนิดคล้ายกับโล่งใจที่การตัดสินใจของตัวเองไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครอย่างใจคิด

หลังจากนั้นไม่นานเราสองคนก็เริ่มเข้าสู่เขตตัวเมืองของอำเภอสะเมิง และมุ่งตรงไปยังเขตบ้านอมลองอันเป็นจุดหมายปลายทางอย่างไม่เร่งรีบ เพราะก่อนหน้านี้เราต่างก็ทานมื้อเช้ามาจากบ้านจนอิ่มแปล้

“เส้นทางนี้ต่อให้ผ่านไปกี่ปีก็ดูไม่เปลี่ยนไปเลย..” จันทร์กล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงที่ผมเปิดคลอไว้ ขณะที่สายตาก็จ้องมองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่มีแต่ป่าเขาขนาบข้าง หรือบางครั้งก็มีวัวเดินข้ามถนนอย่างองอาจ
ราวกับว่าถนนเส้นนี้มีพวกมันเป็นเจ้าของมานานแล้ว

“จำได้ว่าจันทร์กับพี่ชลเคยโบกรถจากตรงนั้น เพื่อเข้าไปในตัวอำเภอแล้วก็ต่อรถไปเรื่อย ๆ จนถึงตัวเมืองเชียงใหม่” จันทร์พูดขึ้นพลางชี้ไปยังหนทางข้างหน้า ที่มองยังไงก็ไม่น่าจะมีจุดสังเกตให้จดจำได้ง่าย ๆ  เพราะตลอดสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่และต้นหญ้าริมทาง
“ไม่สิ.. ประสบการณ์นี้เป็นของพี่กรต่างหาก” สิ้นการเรียบเรียงความทรงจำที่ค่อนข้างสับสน ผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง คือช่วงเวลาที่กรวินท์ออกมาใช้ชีวิต และกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘การหลบหนี’ เพราะความรู้สึกของจันทร์กำลังแตกสลายเป็นครั้งที่สาม
โดยครั้งนี้..
จันทร์ถึงกับลงมือทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือ

“จันทร์เปิดกระจกรถได้ไหมครับ ?”
“อ้อ.. อื้ม” สิ้นคำถามของคนข้างกาย ผมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดก็เริ่มมีสติขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตอบคำถามอย่างมึน ๆ เบลอ ๆ อยู่ดี ส่วนคนที่ได้รับคำตอบอันน่าพอใจ ก็ยกยิ้มกว้างจนมองเห็นลักยิ้มตรงข้างแก้ม ก่อนจะเปิดกระจกรถเพื่อรับกลิ่นอายของดอกเก๊กฮวยที่กำลังรายล้อมอยู่รอบๆ ตัวอย่างกระตือรือร้น บ่งบอกว่าในขณะนี้เป็นช่วงเทศกาลเที่ยวชมทุ่งดอกเก๊กฮวยอย่างเป็นทางการแล้ว จากนั้นเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็ดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เพราะเวลานี้อีกฝ่ายเอาแต่นั่งท้าวแขนไว้ตรงขอบหน้าต่างพร้อมกับวางปลายคางไว้บนข้างแขน ขณะที่สายตากลับเหม่อมองออกไปยังบริเวณที่ไกลแสนไกล
ผมจึงได้แต่ลอบมองด้วยความเป็นห่วง

กระทั่งตัวรถขับเคลื่อนเข้าสู่เขตโรงเรียนประจำท้องถิ่น จันทร์ก็เริ่มตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิด หลังจากนั้นผมก็ยกหน้าที่ติดต่อราชการให้กับศิษย์เก่าประจำโรงเรียน แต่ด้วยความที่จันทร์จดจำเลขประจำตัวในตอนนั้นไม่ได้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลเพิ่มอีกหนึ่งวัน เพราะก่อนหน้านั้นทางเราได้แจ้งความจำนงผ่านทางคุณแม่ของคุณชลวิทย์ไปบ้างแล้วก็เลยไม่ต้องรอถึงสามวันตามระเบียบการ

“จันทร์โอเคนะ” ผมเอ่ยถามหลังจากที่เราพากันเดินออกมาจากห้องธุรการ โดยที่สีหน้าของจันทร์ค่อนข้างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผมก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นกังวลในเรื่องไหน
“โอเคครับ”

“พี่ว่าถ้าหากจันทร์ไม่สะดวกใจจะไปนอนค้างที่บ้านของน้าเข็ม เราไปหาห้องพักที่โรงแรมในตัวเมืองก็ได้ ยังไงพวกท่านก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของจันทร์อยู่แล้ว” ผมแสดงความเห็นอย่างหนักแน่น เพราะไม่อยากให้จันทร์รู้สึกกดดันมากเกินไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ จันทร์คิดว่าจันทร์น่าจะรับมือไหว”

“อื้ม”

เมื่อเจ้าตัวยืนยันอย่างชัดเจนขนาดนั้น ผมที่เป็นเพียงหน่วยซับพอร์ตก็จำต้องเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย และถือโอกาสมองสถานการณ์ดังกล่าว ให้เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การก้าวเดินที่มั่นคง
เวลานี้เราสองคนจึงได้รับน้ำเก๊กฮวยเป็นเวลคัมดริ้ง ก่อนจะเข้าพักที่ไร่ของป้าเข็มเป็นเวลาหนึ่งคืน   

“ตอนเด็ก ๆ จันทร์ชอบเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เพราะกลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวยจะทำให้จันทร์หลับสบาย” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเริ่มบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อเราสองคนกำลังขนสัมภาระเข้าไปเก็บยังอดีตห้องนอนของอีกฝ่ายที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเลยไม่มีกลิ่นอับอย่างใจคิด
“แต่ก่อนจันทร์ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมกลิ่นหอมของมันถึงทำให้จันทร์รู้สึกปลอดภัย แต่ตอนนี้จันทร์คิดว่าตัวเองเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้ว” เจ้าของห้องยังคงแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่เคยได้รับคำแนะนำจากผมและทีมรักษาอย่างเรียบเรื่อย ขณะที่สองมือก็จัดการเปิดหน้าต่างทุกบานที่มีอยู่ในห้องนอนอันแสนเรียบง่าย เพราะในห้องเล็ก ๆ ห้องนี้ มีแต่สิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าของห้องทั้งสิ้น
ต่างกันแค่ที่บ้านหลังนี้ ข้าวของต่าง ๆ ของผู้ชายและผู้หญิงจะปะปนกันอย่างเด่นชัด
เนื่องจากในอดีตห้องนอนห้องนี้ มีน้องลียากรและจันทร์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์

“เพราะกลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวยทำให้จันทร์นึกถึงแม่ นึกถึงความสุขที่แม่มักจะแอบยิ้มเวลาที่มองดอกเก๊กฮวยในแจกัน แล้วก็รู้สึกได้รับความรักที่ตัวเองไขว่คว้า..” จันทร์เฉลยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่เจ้าตัวยังคงยืนปักหลักอยู่ตรงข้างหน้าต่าง โดยที่แววตาอันไร้เดียงสาก็มองจ้องไปยังบรรยากาศด้านนอกที่เต็มไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ที่เจริญเติบโตอยู่ตรงกลางเฉลียงหน้าบ้าน
“แต่ว่าหลังจากนั้น.. กลิ่นหอมของมันก็คือกลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยอันตราย” สิ้นคำพูดของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็ตามมาด้วยเสียงปิดหน้าต่างทุกบาน
ซึ่งผมเข้าใจดีว่า ‘ความอันตราย’ ดังกล่าว มันเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร

“คืนนี้จันทร์ยกเตียงให้พี่ภัทรนะครับ”

กระทั่งอีกฝ่ายแจ้งความจำนงที่เปรียบเสมือนคำยืนยันว่า ‘อันตราย’ ดังกล่าว มีสาเหตุมาจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผมก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
เพราะห้อง ๆ นี้ มันคือสถานที่เกิดเหตุ

“วันนี้จันทร์เก่งมาก” ผมเดินไปนั่งยังตั่งไม้ริมหน้าต่าง พร้อมกับคว้ามือของคนข้างกายมากอบกุมไว้ และไม่ลืมจะกล่าวชื่นชมเพื่อให้กำลังใจคนเก่งที่ในวันนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวยโดยไม่มีอาการแพนิค อีกทั้งยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันโหดร้ายได้ดีกว่าที่ผมเป็นกังวล
“ไปกินข้าวกันเถอะครับ” จันทร์สูดลมหายใจจนเต็มปอดพร้อมกระชับฝ่ามือของผมเพียงครู่ ราวกับเจ้าตัวกำลังเรียกขวัญและกำลังใจของตัวเองให้กลับคืนมา จากนั้นก็ลุกไปเปิดหน้าต่างทุกบานอีกครั้ง ก่อนจะหันมาบอกให้ผมรีบออกไปกินข้าว เพราะตอนนี้ญาติ ๆ ของเจ้าตัวกำลังจัดเตรียมมื้อเย็นอยู่ตรงโต๊ะแถวเฉลียงด้านนอก ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของไร่เก๊กฮวยในมุมมองที่กว้างไกลมากกว่าเดิม

บรรยากาศของมื้อเย็นในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะครอบครัวของผมไม่ค่อยมีโอกาสได้มานั่งกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งความแตกต่างตรงจุดนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัว สามารถเพิ่มพูนรสชาติอาหารให้อร่อยยิ่งกว่าเดิม
มื้อนี้เลยทำให้ผมเจริญอาหารมากเป็นพิเศษ

ส่วนจันทร์กำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความเจริญก้าวหน้าของ ‘บ้าน’ และ ‘โรงเรียน’ ร่วมกับครอบครัวที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเจอกันอย่างออกรส ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ประจำบ้านดูเหมือนจะรับมือกับหลานชายได้ดี เพราะพวกท่านไม่เคยคิดจะแตะต้องอดีตอันเลวร้ายของจันทร์ ผมจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวมองสำรวจบ้านที่จันทร์เคยอยู่อย่างละเอียด จนกระทั่งพบว่าบ้านไม้ขนาดกลางหลังนี้ ค่อนข้างสะดวกสบายมากทีเดียว อาจเพราะแต่ก่อนคุณพ่อของจันทร์น่าจะสร้างรายได้ให้กับครอบครัวมากที่สุด กระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันค่าใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมด จึงกลายเป็นภาระของนายโชคที่มีการงานอันมั่นคง
กระทั่งครอบครัวเริ่มลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ก็มีการต่อเติมบ้านตรงบริเวณใกล้ๆ ห้องครัวที่อยู่ด้านหลังสุด เพราะเดิมทีบ้านหลังนี้มีเพียง 3 ห้องนอนเท่านั้น ซึ่งผมคาดเดาเอาเองว่าเจ้าของห้องน่าจะเป็นน้าเข็ม นายโชค และจันทร์ เพียงแต่ห้องนอนของจันทร์ น่าจะเคยเป็นห้องของคุณพ่อเจ้าตัวมาก่อน ส่วนครอบครัวของคุณชลวิทย์ สมัยก่อนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่ปัจจุบันกลายมาห้องเก็บของสำหรับการทำสวน ดังนั้นการที่สมาชิกในครอบครัวเลือกจะต่อเติมบ้าน ทั้ง ๆ ที่ห้องของจันทร์และห้องของนายโชคก็เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้อยู่อาศัย คงเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากจมปลักอยู่กับความสูญเสีย   
หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อปฏิเสธความเป็นจริงอันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านของตัวเอง..

“ว่าไปแล้วการมาที่นี่ก็ดีตรงที่พี่ภัทรได้พักผ่อนอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักที” จันทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เราขันอาสาเก็บล้างมื้อเย็นแสนอร่อยจนเรียบร้อยแล้ว
“เป็นห่วงเหรอ ?” ผมย้อนถามเด็กชายตัวเล็กที่ในตอนนี้กำลังเช็ดโต๊ะกินข้าวตรงใต้ต้นไม้ใหญ่จนสะอาดเอี่ยมอ่อง

“ครับ พออยู่ที่บ้านกับคุณแม่ ถึงได้รู้สึกว่าพี่ภัทรกับคุณพ่อใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่าที่บ้านเสียอีก”
“จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเลือกมาทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว มันคือเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ผมกล่าวพลางเดินไปนั่งยังเก้าอี้ไม้แบบม้านั่งยาวที่หันหน้าเข้าสู่ทุ่งดอกเก๊กฮวยสีขาวที่สะอาดที่ในเวลานี้ไม่มีนักท่องเที่ยวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
เพราะอีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะลาลับขอบฟ้า
บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ดวงจันทร์จะได้อวดโฉมในยามค่ำคืน

กระทั่งความเงียบสงบตรงเข้าปกคลุมจากรอบ ๆ ทิศทาง เพราะจันทร์กำลังเดินหายเข้าไปในครัวเพื่อเอาผ้าขี้ริ้วไปซัก ภวังค์แห่งความคิดจึงเริ่มก่อตัวขึ้น โดยเรื่องที่ผมกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้คือเรื่องของนายโชค เนื่องจากตอนไปล้างจาน ผมมองเห็นกรอบรูปที่บ่งบอกวันตายของคนในภาพ
ซึ่งผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด
เพราะทั้งผมและจันทร์ต่างก็ยืนมองภาพนั้นอยู่เนิ่นนาน

“พ่อหนุ่มคงจะเห็นอะไรบางอย่างแล้วสินะ” ป้าเข็มกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างตัวผม
“ครับ”

“เท่าที่ป้ารู้.. การใช้ชีวิตในคุกของไอ้โชคค่อนข้างลำบาก ยิ่งเป็นนักโทษคดีฆ่าข่มขืนด้วยแล้ว ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเป็นสิบเท่า เพราะคนในนั้นจะถือว่านักโทษคดีแบบนี้เป็นพวกหน้าตัวเมีย ความเกลียดชังก็เลยถาโถมเข้าใส่มากกว่านักโทษคดีอื่น ๆ”
“เขาถูกรับน้องเหรอครับ ?” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะเท่าที่ผมเคยได้ยินการรับน้องของนักโทษมักจะเป็นการรุมกระทืบกันเสียมากกว่า
ซึ่งจำนวนคนที่รุมกระทืบก็ประมาณครึ่งร้อยเห็นจะได้

“อื้ม ไอ้โชคมันถูกรุมกระทืบตั้งแต่วันแรก” ป้าเข็มเฉลยได้เพียงแค่นั้น แล้วท่านก็นิ่งเงียบไป คล้ายกับมีบางอย่างในใจที่มันค่อนข้างสะเทือนใจอยู่มาก
“…”

“ต่อจากนั้น.. มันก็ถูกรุมโทรมจนติดเอดส์” สิ้นคำบอกเล่าของคนอายุมากกว่า ผมก็ถึงกับอึ้งอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะในท้ายที่สุดกรรมก็ตามทันได้จริง ๆ
“แต่ที่มันตายไม่ใช่เพราะติดเอดส์ หรือว่าต้องโทษประหารอย่างที่ศาลตัดสินหรอกนะพ่อหนุ่ม มันตายเพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น”

เวลานี้ถึงแม้ป้าเข็มจะไม่ได้ปริปากบอกว่าคนเลวคนนั้นเสียชีวิตเพราะอะไร แต่จากคำบอกเล่า ทำให้ผมคาดเดาเอาเองว่า..
การตายของนายโชค..
เกิดจากการฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน

“ป้าไปอาบน้ำนอนก่อนดีกว่า วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” หลังจากนั้นไม่นานป้าเข็มก็ทำลายความเงียบงันระหว่างเรา ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มให้ท่านก่อนจะเบือนหน้าไปมองยังท้องฟ้าสีส้มอมม่วงอย่างเลื่อนลอย
“ถ้าจันทร์รู้สึกสะใจกับสิ่งที่อาโชคเคยเจอ พี่ภัทรคิดว่าจันทร์ใจร้ายเกินไปหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอก เพราะยังไงความดำมืดในจิตใจก็อยู่คู่กับมนุษย์อย่างเรา ๆ กันอยู่แล้ว สำหรับพี่มันเลยเป็นเรื่องปกติ หากเราอยากจะใจร้ายกับใครสักคนที่เคยมาทำร้ายเราก่อน”
“แวบหนึ่งจันทร์รู้สึกว่าอาโชค ไม่น่ามาด่วนจากไปแบบนี้ เพราะคนอย่างเขาน่าจะอยู่รับโทษให้นานกว่านี้ จะได้รู้สึกทรมานกว่าที่จันทร์เคยเจอ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น บ่งบอกถึงความคับแค้นใจได้เป็นอย่างดี

“แต่การถูกรุมโทรมมันก็ค่อนข้างแย่ ในใจของจันทร์เลยเกิดความขัดแย้งกัน เพราะสมองซีกซ้ายมันสั่งให้จันทร์สะใจและขอบคุณนักโทษกลุ่มนั้น แต่สมองซีกขวากลับสั่งให้จันทร์รู้สึกสงสาร แล้วก็คิดว่านักโทษกลุ่มนั้นต่างก็ทำความผิดไม่ต่างกับอาโชค พวกเขามีสิทธิ์อะไรไปพิพากษาคนอื่น เห้อ! หงุดหงิดตัวเองชะมัด” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตีหน้ายุ่งพลางนั่งไขว่ห้างในท่าทางที่ทำให้ผมนึกถึงอัตลักษณ์ของคุณพีรวัตร แต่ในครานี้การนั่งด้วยท่าทางดังกล่าวมันคือการนั่งที่แสดงออกมาจากพฤติกรรมของจันทร์ เพราะเจ้าตัวไม่ได้นั่งในท่านั้นตลอดเวลา ขณะที่ผมก็ได้อมยิ้มให้กับความรู้จักผิดชอบชั่วดีของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะรู้สึกสะใจ แต่ดูเหมือนว่าจะสะใจไม่สุด

กระทั่งความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา เราสองคนเลยตัดสินใจไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน โดยที่เราต่างก็ไม่ลืมจะแสดงความรักด้วยการจูบสัมผัสบริเวณริมฝีปากแบบไม่มีการล่วงล้ำ พร้อมกล่าวอวยพรให้ต่างฝ่ายต่างฝันดีในค่ำคืนนี้ ซึ่งการแสดงออกด้วยการสัมผัสในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นการบำบัดอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้จันทร์เรียนรู้ว่า ‘การจูบ’ สามารถแสดงถึงความรู้สึกนึกคิดได้อย่างหลากหลาย
ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ

“นอนไม่หลับเหรอจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะจันทร์เอาแต่พลิกตัวไปมาในอ้อมกอดอยู่หลายครั้ง แม้เราจะหอบเครื่องนอนมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนตั่งริมหน้าต่างแล้วก็ตาม
“ครับ พอหลับตาแล้วจันทร์ชอบนึกไปถึงเรื่องแย่ ๆ ทุกที คงเพราะจันทร์กำลังถูกความทรงจำเก่า ๆ โอบล้อมอยู่ล่ะมั้ง” ท้ายที่สุดคนนอนไม่หลับก็ต้องลุกขึ้นมานั่งคุดคู้ พร้อมบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ผมเข้าใจ ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่จันทร์สามารถแก้อาการหวาดผวาเกี่ยวกับกลอนประตูได้ตั้งแต่ที่โรงพยาบาล
ไม่อย่างนั้นในค่ำคืนนี้จันทร์อาจจะอาการย่ำแย่แบบแต่ก่อนก็เป็นได้

“เราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันดีไหม หรือว่าจันทร์จะออกไปวาดรูปเล่นก็ได้ เดี๋ยวพี่นั่งเป็นเพื่อน สบายใจเมื่อไหร่ค่อยกลับมานอน” ผมขันอาสาแม้ว่าเวลานี้ตัวเองจะง่วงนอนจนเต็มที แต่พอเห็นจันทร์กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนอนอีกต่อไป
“ครับ”

สิ้นคำตอบรับอันแผ่วเบา เราสองคนก็พากันเดินออกจากบ้านที่กำลังถูกโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงัด โดยจุดหมายปลายทางก็คือรถของผม เพราะอุปกรณ์วาดรูปถูกเก็บซ่อนไว้ตรงหลังรถ

“คืนนี้ให้พี่ภัทรเป็นแบบวาดรูปดีกว่า วาดเสร็จจะได้เอาไว้ประดับห้องด้วย”

เมื่อจิตรกรมือฉมังออกปากขนาดนั้น ‘แบบวาด’ อย่างผมก็จำต้องเดินตัวปลิวไปตามแรงลากจูงของอีกฝ่ายแต่โดยดี ซึ่งมุมที่จันทร์เลือกคือมุมที่สามารถมองเห็นทุ่งดอกเก๊กฮวยและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อย
ส่วนผมกำลังนั่งอยู่บนขอนไม้ใหญ่

“อืม.. เหมือนยังขาดอะไรไป” จันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นดิน โดยมีอุปกรณ์วาดรูปรายล้อมอยู่รอบตัวกล่าวขึ้น พลางใช้ปลายนิ้วแตะตรงริมฝีปากเพียงเบาๆ พร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดจนคิ้วขมวด ผมจึงได้แต่อมยิ้มที่อย่างน้อยการวาดรูปก็สามารถทำให้จันทร์รู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่าที่คิด
“หึ แฟร์รี่ประจำทุ่งดอกเก๊กฮวย” จันทร์กล่าวพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน เมื่อจู่ ๆ ก็คิดไอเดียดี ๆ ออก ดอกเก๊กฮวยที่เคยเบิกบานอยู่บนต้น จึงย้ายมาอยู่บนศีรษะของผมแทน

“พี่ภัทรนั่งกอดเข่าหันหน้าไปทางซ้าย แล้วก็เงยหน้ามองฟ้า ส่วนจันทร์จะวาดปีกไว้ข้างหลัง” พอจิตรกรมือฉมังแต่งตัวผมราวกับเล่นแต่งตัวตุ๊กตาจนสาแก่ใจ ก็รีบออกคำสั่งเพื่อจัดแจงท่าทางให้กับภาพที่เจ้าตัวกำลังจะวาด พร้อมกับหยีตาข้างหนึ่งเพื่อวัดสัดส่วนต่าง ๆ กลางอากาศ
โดยภาพวาดดังกล่าวจะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ของ ‘ภูติจิ๋ว’ ที่คอยปกปักรักษาดอกไม้ไม่ให้เหี่ยวเฉา

“ยิ้มอะไรนักหนา หืม ?” กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผมก็ตัดสินใจเอ่ยถามจิตรกรตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อสายตาบังเอิญสบเข้ากับรอยยิ้มที่มองเห็นข้างแก้มยุบลงไปตั้งหลายครั้งหลายครา
“จันทร์กำลังคิดว่าดอกเก๊กฮวยเหมือนเป็นดอกไม้ประจำตัวของพี่ภัทรเลยครับ” คนถูกถามอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงกระแสความสุขที่กำลังโอบล้อมอยู่รอบตัวของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

“หมายถึงยังไงเหรอจันทร์ ขยายความหน่อยสิ”
“ดอกเก๊กฮวยเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเย็น เวลาบานจนเต็มทุ่ง รอบ ๆ ตัวจะตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมของมัน ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหน จันทร์ก็มั่นใจว่าจะต้องรับรู้ถึงกลิ่นหอมของมันแน่ๆ ก็เหมือนกับความหวังดีของพี่ภัทรที่คอยโอบล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวจันทร์ตลอดเวลา แม้บางครั้งเราจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่จันทร์ก็รับรู้ได้ว่าพี่ภัทรเป็นห่วงจันทร์และคอยเอาใจช่วยจันทร์อยู่ มันเลยทำให้จันทร์รู้สึกว่าที่ผ่านมาจันทร์ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง” 

“เป็นคำอธิบายที่ค่อนข้างลึกซึ้ง แล้วก็ทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจพองโตที่ความหวังดีของเขาส่งไปถึงใครคนนั้น” ผมกล่าวพลางยกยิ้ม ขณะที่ดวงตาก็จ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่าย จากนั้นบรรยากาศรอบกายก็คล้ายกับหยุดการเคลื่อนไหว
เหตุเพราะเราสองคน..
ต่างก็ดึงดูดความสนใจจากกันและกันได้ดีกว่าธรรมชาติรอบด้าน


゚゚❀ ゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ไร่เก๊กฮวย บ้านอมลอง ต.แม่สาบ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่
https://youtu.be/ztuoVfMW6tc

- บทความเกี่ยวกับเรื่องนักโทษ
https://www.thairath.co.th/content/982030

เอาตอนพิเศษมาฝากจ้า อาจจะไม่หวานมาก แต่ก็คือหวานแล้ว (ในความคิดเรา 555) คู่นี้จะเรียบๆ ไม่ค่อยหวือหวา สำหรับตอนพิเศษอันนี้เราตั้งใจเขียนให้เห็นถึงความสดใสของจันทร์ และความดำมืดในจิตใจ รวมถึงความรักของทั้งคู่ด้วย และสุดท้ายบทสรุปของอาโชคที่เรากั๊กไว้ตั้งแต่ตอนหลัก เรื่องของเรื่องเราไปเจอบทความนึงมา ก็คิดว่าจะเอามาเขียนเป็นจุดจบของอาโชคนี่แหละ มันสะท้อนถึงเรื่องราวในคุกได้ดี แล้วก็สะท้อนได้อีกอย่างว่า แม้แต่นักโทษด้วยกันก็ยังคิดว่านักโทษคดีข่มขืนเป็นนักโทษที่อยู่คนละชั้นกับพวกเขา ยิ่งข่มขืนเด็ก ก็จะยิ่งเจอจัดหนักมากกว่าเดิม ส่วนเรื่องการเรียนของจันทร์เราไปเปิดๆ อ่านกระทู้เกี่ยวกับการเรียนโฮมสคูลมาเยอะมาก เปิดโลกดีเหมือนกัน แต่เพราะมันไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมในไทย ก็เลยหาข้อมูลยากมาก แต่ก็เจอที่ผู้ปกครองมารีวิวไว้เยอะพอสมควร

ปล. ตอนนี้ทุ่งดอกเก๊กฮวยบานแล้ว ใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวแวะไปตามรอยเผื่อเราด้วย 555 (จริงๆ อยากไปเองแต่งบหมดมากมาย)

ส่วนเรื่องการรวมเล่ม เราจะออกกับทาง Hermit นะคะ แต่อาจจะต้องรอกันสักพักใหญ่เลย เพราะเราเพิ่งเขียนตอนพิเศษเสร็จตอนเดียวเอง 55 คาดว่าจะมีเล่มเดียวนะคะ เดี๋ยวสรุปอะไรได้แน่นอนแล้ว เราจะมาแจ้งอีกที แต่อาจจะแจ้งทางทวิตหรือเฟซก่อนนะคะ เบื้องต้นเราจะเขียนตอนพิเศษในคอนเซ็ปต์การโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ ก็จะมีทั้งหมด 8 ระยะ เราคงจะเขียน 8 ตอนนั่นแหละค่ะ ฉะนั้นในตอนนี้จะเห็นได้ว่าดวงจันทร์ของหมอภัทรกำลังกระจ่างฟ้าเสี้ยวนึงแล้ว ต่อไปก็จะค่อย ๆ เจิ่ดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนจะหม่นแสงลงมั้ย โปรดติดตามจากตอนพิเศษในเล่มจ้า >_<
https://static1.squarespace.com/static/5928a64e15d5db2bc1a8061e/t/59e059024c326de484c37f88/1507875081696/Moon-for-Manifestation_Moon-Guide_1.jpg?format=1000w
cr : pinterest
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-11-2018 21:23:09
อบอุ่นหัวใจจจจ เอ็นดูน้องมากๆเลย รอเล่มนะคะ ถ้าเป็นทุ่งดอกเก๊กฮวยก็จะสวยมากก  :hao5:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-11-2018 14:33:27
ขอบคุณมากนะคะสำหรับตอนพิเศษ

จันทร์ค่อยๆ ได้รับการปลดปล่อย
น้องเป็นเด็กจิตใจดี แต่แค่ต้องเจอเรื่องแย่ในอดีต
แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นเด็กดี และมองโลกค่อนข้างสดใส
ทุกอย่างหลอมรวมกัน ทำให้จันทร์เข้มแข็งขึ้น

ภัทรคอยอยู่เคียงข้างเสมอเลยน้า
เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง และอบอุ่นเลยล่ะ
เป็นคนที่คอยโอบอุ้มเหมือนที่จันทร์บอก

ความดำมืดในใจจันทร์ มีได้กับทุกคนจริงๆ ค่ะ
แต่จะมากน้อยขึ้นอยู่กับเรื่อง กับคนที่เจอ
ทุกคนได้รับโทษจากสิ่งที่กระทำไปแล้ว

ภัทรกับจันทร์ก็ต้องเดินหน้าต่อไปเนาะ
โมเมนท์วาดรูปชมจันทร์ แบบภูตจิ๋ว อบอุ่นเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 18-11-2018 15:17:40
แงงงงง อยากอ่านตอนพิเศษแบบนี้เยอะๆเยียวยาหัวใจกับเรื่องราวร้ายๆที่เคยผ่านมาได้มากเลย   :L1: ฟ้าหลังฝนยังคงสวยงามเสมอถ้าเรามองจากใจที่ดี
..สิ่งไหนถ้ามันทำให้เราทุกข์ใจเราเลือกที่จะปล่อยวางมันลงบ้างก็ได้ เลือกเก็บแต่สิ่งดีๆที่เป็นความสุขใจเพื่อเป็นพลังให้เราก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมีความสุข
..และถ้าคุณสามารถใช้พลังบวกที่คุณมีเยียวยาหัวใจใครสักคนให้เค้ามีกำลังใจที่จะสู้ต่อ รู้ไว้เถิดค่ะว่าคุณกำลังให้ที่ยิ่งใหญ่นั่นคือการให้ชีวิตใหม่ซึ่งเป็นสิ่งสวยงามกว่าการให้ใดๆทั้งปวง...#แด่ทุกความรักที่สวยงาม   :กอด1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 19-11-2018 21:34:58
อ่านช่วงแรกออกจะหลอนหน่อยๆนะคะ แต่ด้วยความอยากรู้เฉลยก็อ่านต่อจนติดค่ะ
น้องจันทร์น่าสงสารมาก เกิดมาไม่ได้รับความอบอุ่น พอสร้างอัตลักษณ์อื่น ส่วนใหญ่ก็นำความเดือดร้อนมาให้ ยังดีมีคุณพีที่เป็นเหมือนพี่คนโตพึ่งพาได้ทั้งดูแลน้องๆอัตลักษณ์ต่างๆทั้งเป็นนักเขียนสร้างรายได้ ชอบมากๆจนนึกเสียดายที่ต้องหายไป
หมอภัทรอ่อนโยนใจเย็นสุดๆ
นิยายเนื้อหาค่อนข้างหนักแต่ไม่น่าเบื่อนะ นับถือผู้แต่งค่ะ

บวกๆค่ะ^^
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-11-2018 12:46:40
 :pig4 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 24-11-2018 04:06:32
ขอบคุณที่เขียนมาให้เราอ่านนะ เธอเขียนดีมาก ข้อมูลเเน่น ให้ความรู้ เห็นถึงความตั้งใจ ฟิคเเนวนี้ยังถือว่าอ่านยากสำหรับคนทั่วไปที่หนีจากโลกของความจริงเข้ามาในเล้า เพี่ะจัดว่าซีเรียส ข้อมูลมาก เเต่งานเขียนที่ดีก็ยังจัดว่าดีอยู่วันยังค่ำ เขียนออกมาอีกนะ เราจะตามอ่าน เลิฟ  :mew1:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 27-11-2018 00:14:02
ในที่สุดน้องก็ผ่านมาได้ถึงแม้ระหว่างทางมันจะยากลำบากไปสักหน่อยก็ตาม รักน้องจันทร์มาก ๆ ขอบคุณคุณนักเขียนค่ะสนุกมาก o13
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 09-06-2019 02:46:34
มาอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมากๆ
ประทับใจในเนื้อหาและความรู้ในเรื่องมากเลยค่ะ เยอะมาก แถมละเอียดด้วย นับถือเลยค่ะที่หาข้อมูลเยอะขนาดนี้
ขอบคุณมากค่ะ ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз ตอนพิเศษ ❀ หน้า 6 (update 14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-06-2019 19:09:34
รายละเอียดเพียบ รู้เลยว่าต้องเตรียมข้อมูลมาหนักมาก

ขอบคุณกับเรื่องที่สนุกแถมสาระมากมาย
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 07-09-2019 21:26:43
แจ้งรายละเอียดหนังสือเรื่องในป่าสน

น้องจันทร์มาแล้วค่ะทุกคนนนนนน ฝากรับน้องไปดูแลด้วยนะคะ ตอนพิเศษรับรองว่าอบอุ่นในความรักและความเอาใจใส่ของพี่ภัทรที่มีให้กับน้องจันทร์แน่นอนค่ะ และทุกคนจะได้เห็นถึงการเติบโตที่มั่นคงของน้องด้วยค่ะ เราแพลนจะทำการ์ตูนแจกด้วยค่ะ ทีแรกวางแผนไว้ 100 ใบ แต่งบเราจะหมด ฮือ อาจจะเหลือสัก 50 ใบ เดี๋ยวเอาไว้เราจะมาแจ้งอีกทีในเพจหรือแอคทวิตเตอร์สำหรับอัพนิยายนะคะ

(https://i.imgur.com/XhG6Y4C.jpg)

ประชาสัมพันธ์หนังสือใหม่ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 24

เรื่องที่ 4 วันนี้พาน้องเพียงจันทร์กับคุณหมอจิรภัทรมาเปิดตัวนะคะ
เล่มนี้ไม่ควรพลาด มีหลากหลายรสชาติ ทำให้เราลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ มีอะไรมากกว่าที่ทุกคนคิดนะคะ

เรื่อง : ในป่าสน

เขียน : Chomin

ราคา : 469

แถม : แก๊ก 4 หน้า สำหรับพิมพ์ครั้งที่ 1 เท่านั้น

วันจำหน่าย : 2 / 10 / 2562


คำโปรย:

ที่ป่าสนแห่งนั้น...

ผมรู้สึกเหมือนกับว่า...

มันยังมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนาซุกซ่อนอยู่
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 20-01-2020 23:14:31
ฮรึกกกกอ่านจบแล้วววว ปลื้มปริ่มหัวใจมากค่ะ กราบขอบคุณนักเขียนที่หาข้อมูลมามันแน่นมั๊กๆๆเลยค่ะ ถูกเลยแบบมันต้องใช้สมาธิในการอ่านแต่ก็ไม่ได้อ่านยากอะไรมากค่ะ สำนวนการเขียนดี และเรื่องนี้มันดีมากกก//ปาดน้ำตา เป็นกำลังใจให้นักเขียนสร้างผลงานที่ดีๆเรื่องต่อไปเรื่อยๆนะคะ เดี๋ยวจะไปไถน้องจันทร์มาในไว้อ้อมกอดและจะกอดแน่นๆนะคะะ :hao7:
หัวข้อ: Re: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:39:28
 :pig4: