εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)  (อ่าน 49420 ครั้ง)

ออฟไลน์ pan27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ เรื่องคนช่างติก็อย่าไปให้ราคาเลยค่ะ คือถ้าคนมันอคติมีแต่ความคิดไม่ดีอยู่ในใจถึงเราจะพูดอย่างไรเค้าก็ไม่ฟังหรอกค่ะ
..ถ้าเราบริสุทธิ์ใจกับสิ่งที่ทำอยู่ และสิ่งนี้มีประโยชน์กับคนอื่น (อย่างน้อยก็เราคนหนึ่งที่มีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้ ถึงเนื้อเรื่องมันจะออกดราม่าแต่เราก็ยังภาวนาให้จบแบบแฮบปี้น้า) #ต้องบนวัดไหนบ้างคะพนมมือแรงมากค่ะบอกเลย  :call:

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เหมือนได้น้ำมารดใจอันเหี่ยวเฉาของพวกเราได้เล็กน้อยนะคะนักเขียน
แล้วก็กลับมางงอีกแล้วกับสิ่งที่ทิ้งท้ายไว้ คราวนี้หมอภัทรจะได้เจอกับอัตลักษณ์ใหม่หรอคะ?
หรือยังไงเนี่ยยยยยยยยย คือเอาใจช่วยในตอนต่อไปนะคะ จะรออ่านค่า

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 44

หลังจากอัตลักษณ์ใหม่ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก ความไม่สบายใจก็เริ่มตีรวนอยู่เต็มอกจนทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ส่งผลให้เที่ยงวันนี้ ผมต้องลงทุนออกมาหาอะไรกินข้างนอกกับไอ้แนน เพราะสาวเจ้าวางแผนจะกลับไปกินข้าวที่ร้านอาหารของครอบครัว ซึ่งบรรยากาศของทางร้านก็เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างสดชื่น อีกทั้งยังมีโต๊ะนั่งริมน้ำที่น่าจะช่วยให้สุขภาพจิตเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“เอาล่ะ.. คุณหมอจิรภัทรมีอะไรไม่สบายใจก็ว่ามาได้เลยค่ะ” ไอ้แนนกล่าวเปิดประเด็นระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ พลางผสานมือทั้งสองข้างไว้ตรงปลายคาง ขณะที่ดวงตากลมใสก็มองจ้องมายังผมอย่างเปิดเผย
“เมื่อคืนกูเจออัตลักษณ์ใหม่..”

“กูเลยสงสัยว่าที่จริงแล้วจันทร์มีทั้งหมดกี่อัตลักษณ์กันแน่”
“เดี๋ยวนะ อัตลักษณ์ใหม่ที่มึงพูดถึง เขามีลักษณะเป็นยังไง” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด

“เขาดูขี้กลัวนะมึง แล้วก็ออกแนวหวาดระแวงพอสมควร แต่แปลกตรงที่เขารู้จักกู ในขณะที่กูไม่เคยรู้จักอัตลักษณ์นี้มาก่อน กูเลยคิดว่าบางที การที่จันทร์ต้องทนอยู่กับความหวาดระแวงว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาทำร้ายตัวเองตอนกลางดึก อาจทำให้เขาเลือกแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ”
“มึงรู้ไหม ก่อนที่จันทร์จะได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ภายใต้การดูแลของมึง จันทร์บอกกับด็อกเตอร์ว่ายังไง..” ทันทีที่ถูกถาม ผมก็ส่ายหัวพร้อมกับยักไหล่ เพราะจันทร์ไม่เคยบอกข้อต่อรองให้ผมฟัง

“จันทร์บอกว่าตอนนี้เขาเชื่อใจทีมรักษาแล้ว ทำไมทีมรักษาถึงไม่เชื่อใจเขาบ้าง”
“…”

“นั่นคือเหตุผล ที่เรายอมปล่อยน้องให้ไปอยู่ในความดูแลของมึง”
“แล้วอัตลักษณ์ที่กูเห็น มันคืออะไรวะ ?” ผมย้อนถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างเคร่งเครียด แต่ก็ต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้ชั่วคราว เมื่ออาหารที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟโดยบริกรของทางร้าน

“มึงลองนึกดูดี ๆ ว่าความหวาดระแวงกับความขี้กลัวมันคือลักษณะนิสัยเด่น ๆ ของอัตลักษณ์ไหน” หลังจากไอ้แนนมอบโจทย์อันใหญ่หลวงมาให้ ผมก็เริ่มขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด พร้อมทั้งทานมื้อกลางวันราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกสมองป้อนข้อมูลไว้ เพราะดูท่าแล้วอัตลักษณ์ที่ผมเห็น น่าจะไม่ใช่อัตลักษณ์เกิดใหม่อย่างที่เข้าใจ ซึ่งเดิมทีความสงสัยของผม ไม่ได้เกิดจากการที่ผมไม่เชื่อใจจันทร์ แต่มันเป็นเพราะบริบทแวดล้อมช่วยต่อยอดทางความคิดจนกระทั่งเลยเถิด

“หรือว่าใครคนนั้นจะเป็นส่วนผสมของน้องจิมกับน้องลียากร ?” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความเงียบสงบมาเนิ่นนาน เพราะทันทีที่ความคิดเริ่มตกตะกอน ผมก็มองเห็นความขี้กลัวจากน้องจิม ซึ่งความหวาดกลัวของบุคคลปริศนาที่พยายามจะพาตัวเองให้แนบชิดไปกับกำแพง เพื่อหลีกหนีจากภยันอันตราย มันเหมือนกับท่าทางตื่นกลัวของน้องจิม ตอนที่มองเห็นเปลวไฟในงานฌาปนกิจ ขณะที่ความหวาดระแวงจากน้องลียากรก็นำพาให้อัตลักษณ์ปริศนาดีดตัวออกจากวงแขนของผม เมื่อพบว่าสภาพแวดล้อมรอบกายคือสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
“ถูกต้อง เพราะทุกครั้งที่ทำการหลอมรวมจนเสร็จสมบูรณ์ จะเกิดตัวตนใหม่ขึ้น ฉะนั้นตอนนี้อัตลักษณ์ที่ยังคงอยู่ก็คือจันทร์ที่เป็นอัตลักษณ์หลัก จันทร์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ กรวินท์ และพีรวัตร”

“สบายใจขึ้นหรือยัง ?” ไอ้แนนเอ่ยถามเมื่อผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“อื้ม”

ช่วงนี้ดูเหมือนสถานการณ์ระหว่างผมกับจันทร์ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนแต่ก่อน อาจเพราะบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จึงส่งผลให้เราสามารถพบเจอกันได้ เพียงแต่ผมจะไม่ได้รับอนุญาตให้นอนเฝ้าจันทร์เหมือนอย่างเคย และทุกครั้งที่ผมเปิดประตูเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เด็กชายตัวเล็กก็มักจะเกิดอาการตื่นตระหนกอยู่เสมอ ซึ่งผมและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างก็ช่วยกันยืนยันให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความปลอดภัยมากมายแค่ไหน

“อ้าว วันนี้มึงอยู่เวรเหรอ ?” ไอ้แนนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จรีบเอ่ยถามทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในห้องของจันทร์ ผมจึงรีบตอบรับด้วยการยกปลายนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก พลางส่งสัญญาณให้ใครบางคนรับรู้ว่าตอนนี้คนป่วยกำลังนอนหลับอยู่ ซึ่งผมไม่อยากให้เขาตื่น เพราะถ้าหากเขาตื่นขึ้นมาตอนนี้ กว่าจะเข้านอนได้อีกคงลำบากยากเย็น
“ตามสบาย” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้อง กล่าวทิ้งท้ายด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ จากนั้นเธอก็เดินไปขลุกตัวอยู่บนโซฟาที่ผมเคยนอน โดยหันหลังสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ผมกับจันทร์อย่างรู้หน้าที่

เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ ผมเลยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย และประมาณเวลาคร่าวๆ ว่าจะอยู่ดูอีกฝ่ายสักห้านาที แต่พอเห็นคราบน้ำตาเปื้อนใบหน้า ความตั้งใจเดิมก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลง เพราะหลักฐานที่ปรากฏทำให้ผมทราบว่าก่อนหน้านี้จันทร์อาจจะมีอาการแพนิค เพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองที่เป็นความหลังฝังใจมาจากการที่อาโชคมักจะไขกุญแจเข้ามาในห้องเพื่อกระทำการอันโหดร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“สำหรับพี่ จันทร์เก่งที่สุดเลยนะ” ผมกล่าวชื่นชมคนตรงหน้าแบบไม่มีเสียง เพราะผมไม่อยากจะรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่าย จากนั้นก็นั่งมองใบหน้าที่ยังคงเปื้อนคราบน้ำตาแน่นิ่ง โดยไม่คิดจะเอื้อมมือไปเช็ด
เนื่องจากผมกำลังหวั่นเกรงว่า..
ถ้าหากผมทำแบบนั้นอาจทำให้จันทร์ตกใจตื่นขึ้นมาได้

“การต้องมาทำงานในช่วงสงกรานต์เป็นอะไรที่ประสาทแดกมาก คือแบบเราทำงานจนเครียดมาครึ่งวันแล้ว ก็อยากจะออกไปหาความสดชื่นกับบรรยากาศใหม่ๆ บ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ไง เพราะรถคงติดและไม่แน่อาจจะเปียกกลับมาอีก” ไอ้แนนกล่าวขึ้นท่ามกลางมื้อกลางวันที่ไม่สามารถพาตัวเองออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกได้ เพราะอาจจะทำให้ตัวเองเปียกปอน เนื่องจากคนเล่นน้ำบางทีก็ไม่สนใจหรอกว่าเราต้องทำงานหรือไม่ทำ นึกอยากจะสาดก็สาดอย่างสบายใจ หนักหน่อยก็ตอนที่เราบอกว่าเดี๋ยวต้องกลับมาทำงานนะ อย่าสาด แต่ในที่สุดก็ยังสาดอยู่ดี
ซึ่งในกรณีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่คงจะคิดว่าฉันก็แค่เอาปืนฉีดน้ำมาฉีดพรมแกนิดหน่อย คงไม่เป็นอะไรหรอก แต่สำหรับคนทำงาน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งทนกับเสื้อผ้าชื้นๆ แบบนั้นไง

“ทำใจซะเถอะพี่แนน” ไอ้บาสกล่าวเสริมพลางเร่งมือทานมื้อกลางวันอย่างเร่งด่วน เพราะมันต้องรีบไปลุยงานต่อ ส่วนผมคิดว่าถ้าหากกินข้าวเสร็จ จะไปหาคาเฟอีนใส่ท้องสักหน่อย ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ทรายที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไหร่ เนื่องจากช่วงที่โดนทำโทษ ผมค่อนข้างจะหมกมุ่นอยู่กับการทำงาน จนกระทั่งล้มป่วยก็ไม่เคยดื่มกาแฟอีกเลย

กระทั่งบ่ายคล้อย เมื่อเคลียร์ผู้ป่วยโอพีดีหมด ผมก็ถือโอกาสเดินไปยังห้องบำบัดด้านศิลปะ ซึ่งการบำบัดในครั้งนี้จะเป็นการวาดภาพสีน้ำที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว

“น้องพราววาดรูปผีเสื้ออยู่เหรอคะ ?” ผมเอ่ยถามเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากจันทร์ในคราบของใครสักคนมากนัก ซึ่งเราต่างก็ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม เมื่อสายตาบังเอิญสบประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ใช่ค่ะ”

“แล้วทำไมหนูถึงเลือกวาดรูปผีเสื้อล่ะคะ” ผมยังคงตั้งคำถามต่อไป เพราะรูปผีเสื้อที่เธอวาด ปีกของมันเป็นแบบโปร่งใส แต่กลับมีบางส่วนถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด จึงทำให้ผมเกิดการคิดวิเคราะห์
“หนูชอบผีเสื้อค่ะ มันสวยดี” เด็กหญิงตัวเล็กกล่าวพลางยกยิ้ม พร้อมกับใช้ปลายพู่กันแต่งเติมสีสันไปตามจินตนาการ

เมื่อเวลาดำเนินไปจนถึงสี่โมงตรง นักกิจกรรมบำบัดก็ให้ผู้ป่วยออกมากล่าวถึงภาพวาดของตน ซึ่งภาพวาด ‘ผีเสื้อ’ ของน้องพราวก็มีอะไรซุกซ่อนอยู่จริง ๆ เพราะเธอต้องการจะสื่อให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของผีเสื้อที่ไม่ได้สวยงามเหมือนกับภาพทรงจำ
ซึ่งด้านดังกล่าวก็คือด้านที่ผีเสื้อถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ

ดังนั้นความงดงามของผีเสื้ออาจจะเปรียบเสมือนช่วงเวลาก่อนที่ตนเองจะถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ผีเสื้อในภาพวาดก็คือช่วงเวลาหลังจากการถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งสีแดงที่แต่งแต้มอยู่บนปีกใสๆ คงจะเป็นสัญลักษณ์ชี้ชัดให้ผู้อื่นทราบว่ามันคือบาดแผล แต่ถ้าหากมองเผิน ๆ ก็อาจจะตีความคลาดเคลื่อนเป็นลวดลายของปีกผีเสื้อได้
เพราะในความเป็นจริงแล้ว บาดแผลทางจิตใจ ต้องอาศัยการสังเกตและการตีความอย่างลึกซึ้ง

“ที่ผมเลือกวาดรูปกวาง เพราะเคยมีใครบางคนรู้สึกว่ามันเป็นสัตว์ที่สง่างามและน่าเกรงขาม แต่ในความเป็นจริง กวางกลับเป็นสัตว์ที่นักล่าชื่นชอบเป็นพิเศษ ดังนั้นมันจึงถูกล่าอยู่บ่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความสง่างามของมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย” จันทร์ในคราบของใครบางคนกำลังอธิบายภาพวาดจากฝีมือของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ขณะที่ผมก็ได้แต่เพ่งมองไปยังอีกฝ่ายอย่างพิจารณาว่าอัตลักษณ์ตรงหน้า คืออัตลักษณ์ของจันทร์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ ซึ่งเกิดจากการหลอมรวมของน้องจิมและน้องลียากรเป็นคู่แรก หรือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่เกิดจากการหลอมรวมกรวินท์เพิ่มเข้าไป เพราะฝีมือในการวาดรูปของอีกฝ่ายดูโดดเด่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้สวยงามเทียบเท่ากับผลงานของกรเสียทีเดียว

“ทุกครั้งที่ผมวาดรูป..” ใครบางคนเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมที่กำลังนั่งอยู่นอกวงล้อมของผู้ป่วยท่านอื่น
“…”

“ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังขโมยความสามารถของกรวินท์” ทันทีที่หันไปมองสบกัน ใครคนนั้นก็พูดต่อประโยคอย่างเรียบเรื่อย
“ตอนนี้คุณยังเป็นน้องจิมกับน้องลียากรรวมกันอยู่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามลองเชิงกลับไป เพราะผมยังไม่แน่ใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเองนัก เนื่องจากอัตลักษณ์นี้ดูเหมือนจะได้รับความอารมณ์ดีมาจากน้องลี และยังได้รับความสามารถมาจากกรวินท์อย่างไม่เต็มที่ ขณะที่ภาพลักษณ์ราวกับเด็กน้อยของน้องจิมยังไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่น

“ไม่ครับ.. ผมคือจิม ลียากร และกรวินท์รวมกัน”
“…”

“และการที่ผมยังไม่มีชื่อ มันก็ค่อนข้างจะรบกวนจิตใจของผมอยู่มาก”
“ผมคิดว่าปัญหานี้ คุณสามารถบอกกับทีมรักษาโดยตรงของคุณได้ และผมก็เชื่อว่าพวกเขาจะรับฟังความคิดเห็นของคุณ”

“ครับ.. ผมก็คิดอย่างนั้น เพราะพวกเราต่างก็ทำงานร่วมกันอย่างหนัก”

จากคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมพอจะเข้าใจได้บางส่วนว่าการหลอมรวมจะต้องอาศัยความพยายามจึงจะสำเร็จผล ซึ่งไอ้แนนก็เคยบอกกับผมว่าอย่างกรณีของคุณบิลลี เมื่อด็อกเตอร์ต้องการจะหลอมรวมอัตลักษณ์ของคุณอัลเลนกับคุณทอมมี่เป็นคู่แรก พวกเขาต่างก็พยายามช่วยให้คุณทอมมี่ห่างหายจากความหวาดกลัวด้วยการสนับสนุนให้อีกฝ่ายกลับมาเล่นเบสบอล
ซึ่งความหวาดกลัวเหล่านั้น เป็นลักษณะนิสัยที่ไม่มีในอัตลักษณ์ของคุณอัลเลน โดยจะเห็นได้จากคุณอัลเลนชอบเล่นเบสบอล แต่คุณทอมมี่จะไม่กล้าเล่นเบสบอล เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเล่นผิดพลาดจึงทำให้ถูกตีที่กลางหลัง
ดังนั้นการหลอมรวมอัตลักษณ์ของน้องจิมและน้องลียากรก็คงใช้วิธีการไม่ต่างกัน

“ผมกำลังสงสัยว่าใครคือเจ้าของความคิดว่ากวางเป็นสัตว์ที่สง่างามและน่าเกรงขาม” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายขณะที่ดวงตาก็มองตรงไปยังผู้ป่วยอีกท่านหนึ่งที่กำลังพรีเซ็นต์ผลงานของตนเองอยู่ตรงหน้าห้อง
“จันทร์เคยพูดไว้ ผมเลยลองวาดตามความคิดของเขา”

คำตอบของคนข้างๆ ทำให้สายตาของผมเบนไปเพ่งพิจารณาภาพวาดที่ถูกวางตั้งไว้บนขาตั้งสำหรับการวาดรูปตรงหน้าห้อง แล้วผมก็ค้นพบว่าความสง่างามและความน่าเกรงขามของกวาง อาจจะอยู่ตรงบริเวณ ‘เขา’ ที่มีความสวยงามจนถึงกับถูกนำมาประดับตกแต่งบ้าน

“แล้วทำไมที่เขาของมันถึงต้องมีเถาวัลย์เกี่ยวพันอยู่แค่ข้างเดียวด้วยล่ะ ?”
“เพราะมันกำลังสื่อถึงความไม่สมบูรณ์แบบ.. แม้กวางจะเป็นสัตว์ที่สง่างามในสายตาของใครต่อใคร แต่มันก็มักจะตกเป็นเหยื่อของนักล่าอยู่เสมอ เพราะข้อเสียของมันคือความอ่อนแอ”

จากคำอธิบายของภาพวาด ‘กวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวพัน’ ทำให้ผมค่อนข้างไม่แน่ใจกับเจตนาแอบแฝงที่มากับภาพๆ นี้ เพราะนัยหนึ่งมันสามารถสื่อไปถึงการถูกทารุณกรรมทางเพศเลยทำให้จันทร์มีความคิดบางอย่างต่อตนเอง ซึ่งความคิดที่ว่าก็เห็นจะหนีไม่พ้นการรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า มีตำหนิ หรือการกล่าวโทษว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นคือความผิดของตนเองทั้งหมด
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการหลอมรวมอาจจะทำให้จันทร์หวาดกลัวว่าตนเองจะเป็นเหมือนกวางในภาพวาด จึงส่งผลให้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน เกิดความเคร่งเครียดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องเป็นกังวลมากมายขนาดนั้น
เมื่อมนุษย์ทุกคนต่างก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบอย่างใจคิด
และจันทร์ก็ควรต้องเรียนรู้ที่จะเป็น ‘กวาง’ เหมือนในภาพวาดให้ได้


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ทีแรกเราว่าจะรอโพยก่อน แต่ท่าทางจะซ่อมนานเกิน เราเลยเขียนจากพล็อตในความทรงจำอันเลือนรางของตัวเองแทน 55 คาดว่าไม่ตอนหน้าก็อีกตอนน่าจะปิดจบได้แล้วแหละ เพราะพล็อตก็เหลืออีกไม่มากแล้ว เพียงแต่ต้องใส่ช่วงเวลาให้มันดูไม่ข้ามขั้นมากจนเกินไป เพราะการหลอมรวมแต่ละครั้งมันค่อนข้างยาก เนื่องจากมันเป็นเรื่องของภายในจิตใจ ซึ่งจุดเด่นของตอนนี้ เราคิดว่ามันคือการได้รู้ว่า ถ้าหากการหลอมรวมสำเร็จ จะเกิดเป็นอัตลักษณ์ใหม่ขึ้น ซึ่งถ้าใครได้ไปดูซีรีย์ที่เราแนะนำไปในตอนที่แล้ว เรื่อง Kill me heal me ก็จะมีฉากที่เกิดบุคลิกใหม่ และบุคคลิกนั้นจะเป็นคอยส่งให้แต่ละบุคลิกเดินจากไป ซึ่งในซีรีย์จะเรียกบุคลิกที่ทำหน้าที่ผู้ปกป้องว่า inner self helper (ISH)  แต่จากที่เราอ่านในหนังสือชีวประวัติของคุณบิลลี่ บุคลิก ISH คืออัตลักษณ์ของคุณอาเธอร์ ซึ่งเรื่องในป่าสนจะเทียบได้กับอัตลักษณ์ของคุณพีรวัตร ดังนั้นคำศัพท์ ISH นี้ ในหนังสือจะแปลว่าผู้ช่วยภายในค่ะ

ทีนี้พอวิเคราะห์ดูแล้ว เราว่ามันแตกต่างจากของซีรีย์อยู่จุดนึง เพราะบุคลิก ISH สำหรับซีรีย์ คือบุคลิกที่เกิดขึ้นใหม่ และมีหน้าที่ช่วยในการหลอมรวม (เราไม่แน่ใจว่าถ้าหากเทียบกับเรื่องในป่าสน จะเป็นอัตลักษณ์ของจันทร์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์หรือเปล่า) แต่ในหนังสือ ISH จะเทียบได้กับอัตลักษณ์ที่คอยช่วยเหลืออัตลักษณ์หลักกับคุณหมอค่ะ เราเลยคิดว่ายึดเอาตามหนังสือและมาเขียนอธิบายในนี้แทนดีกว่า เพราะเราว่ามันน่าจะแล้วแต่คนตีความก็เป็นได้ เดี๋ยวยังไงเราจะลองหาจังหวะใส่ข้อมูลตรงนี้ลงในเนื้อหาของนิยายเราอีกที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 20:26:26 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอบคุณสำหนับนิยายตอนใหม่และข้อมูลนะคะ เราเป็นกำลังใจให้เสมอเลย ยังอยากให้คนทั้งโลกได้เข้ามาอ่านเช่นเคย  :กอด1:

ออฟไลน์ mybear_sr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หวังว่าสักวันจันทร์จะมั่นใจในคุณค่าของตัวน้องเองได้จริงๆ พี่หมอคืออบอุ่นนนนนนนนนนเว่อร์ พระอาทิตย์ของน้องจันทร์♡♡♡♡

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
น้องจันนนนนน สู้ๆทั้งพี่หมอ ทั้งน้องจันเลย :hao5:

ออฟไลน์ pan27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
นึกถึงเพลง ..ฟ้าเปลี่ยนสี..เลยค่ะ ฮือออตรงกับเรื่องนี้สุดๆ  :monkeysad:

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
การละเมิดทางเพศกับเด็กนี่น่ารังเกียจมากๆ อยากให้ประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับตรงนี้ :fire:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 45

จุดประสงค์ของการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนในค่ำคืนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการหลอมรวม เนื่องจากคุณพีรวัตรต้องการข้อมูลจากโน้ตบุ๊กเครื่องเก่า เพื่อเอามาใช้เป็นแบบฝึกหัดในการเขียน ซึ่งทักษะดังกล่าวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับจันทร์ เพราะอีกฝ่ายต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองลงในหนังสือสักเล่ม เพื่อที่คนในสังคมจะได้ตระหนักถึงการใช้ความรุนแรงทางเพศและความล้มเหลวของสถาบันครอบครัว
ซึ่งการหลอมรวมส่งผลให้ความสามารถของการวาดรูปที่ได้มาจากอัตลักษณ์ของกรวินท์ ยังไม่มีคุณภาพมากเท่าที่ควร ดังนั้นปัญหาดังกล่าวจึงทำให้จันทร์เป็นกังวลเกี่ยวกับการเขียน เพราะทุก ๆ ตัวอักษร จะต้องเขียนจากความทรงจำของทุก ๆ อัตลักษณ์ และยังเกิดขึ้นภายใต้นามปากกาอันมากคุณภาพอย่าง ‘อนธการ’
ดังนั้นงานเขียนชิ้นสำคัญจะถูกตีพิมพ์ได้ก็ต่อเมื่อ..
งานเขียนชิ้นนั้นเต็มไปด้วยคุณภาพที่กองบรรณาธิการไว้วางใจ
   
“อันที่จริง.. การฝึกเขียน แทบไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเก่าเลยด้วยซ้ำ” คุณนักเขียนกล่าวในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งพิงหน้าต่างรถและมองออกไปยังบรรยากาศด้านนอกที่เริ่มจะมืดมิดลงทุกที ทุกที..
“แล้วทำไมการฝึกเขียนในครั้งนี้ ถึงมีความจำเป็นต้องใช้มันล่ะ ?” ผมย้อนถามอย่างนึกสงสัย ซึ่งความสงสัยดังกล่าวเริ่มลุกลามไปถึง.. เพราะเหตุใดด็อกเตอร์จึงอนุญาตให้คุณพีรวัตรเดินทางมากับผม ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลที่มักจะอนุญาตให้ผู้ป่วยเดินทางกลับบ้าน
มิหนำซ้ำการมาเอาโน้ตบุ๊กก็ไม่จำเป็นต้องยกโขยงมาขนาดนี้

“เพราะผมกำลังสวมบทบาทของ inner self helper (ISH) ล่ะมั้ง” เจ้าของนามปากกาชื่อดังเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย เพราะในขณะที่เจ้าตัวกำลังพูด สายตาจ้องมองออกไปด้านนอกตัวรถตลอดเวลา
“คุณพอจะขยายความเกี่ยวกับบทบาทของ ‘ผู้ช่วยภายใน’ อีกสักนิดได้ไหม ?”

“ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แต่ด็อกเตอร์บอกกับผมว่าสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ มันคือบทบาทของผู้ช่วยที่เป็นเหมือนกับองครักษ์ ซึ่งคุณสมบัติของบทบาทนี้ก็คือความเฉลียวฉลาด การล่วงรู้เกี่ยวกับตัวตนอื่น ๆ และการมีศีลธรรมอันสูงส่ง..”
“…”

“แต่ผมก็ไม่ได้มีศีลธรรมสูงส่งขนาดนั้น..” หลังจากที่คุณพีรวัตรกล่าวออกมาอย่างนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ส่งผลให้ภายในรถมีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศรายล้อมอยู่รอบตัว
“…”

“เพราะผมเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัวในเรื่องของคุณ..”

สิ้นประโยคสุดท้ายที่เขาเก็บงำเอาไว้ ลมหายใจของผมก็เหมือนจะติดขัด เพราะผมยังจดจำได้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทลงไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขา..
ไม่ต้องการให้ผมลืมเลือนตัวตนของอัตลักษณ์นักเขียน

“แต่ผมก็ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวจนลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองหรอก” คุณพีรวัตรกล่าวพลางหันมาส่งยิ้มให้ แต่รอยยิ้มของเขากลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเศร้าสร้อยจับใจ
“…”

“เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเดินทางมากับคุณ มันเกี่ยวข้องกับจันทร์..”
“คุณหมายถึง ?” ผมเอ่ยถามอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ อาจเพราะสมองกำลังว่างเปล่า เมื่อเจตนารมณ์แอบแฝงของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความคิด ซึ่งมันทำให้ผมค่อนข้างมีความเข้าใจและไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน

“ผมรู้ว่าตอนนี้จันทร์กำลังเครียด เพราะการจะเขียนหนังสือสักเล่ม มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการเขียนในครั้งนี้จะถูกเขียนขึ้นภายใต้นามปากกาของผมที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจะยอมรับในฝีมือ เขาก็ยิ่งเป็นกังวลกลัวว่าจะทำให้ผมเสียหาย กลัวว่าจะเขียนออกมาได้ไม่ดี กลัวว่าจะไม่ผ่านการพิจารณกับทางสำนักพิมพ์ เพราะเจตนาของเด็กคนนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะได้รับความผิดหวังคืนกลับมา..”
“แต่ผมว่า.. มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะไม่เคยพบเจอกับความผิดหวัง”

“ใช่ ด็อกเตอร์ก็เคยบอกกับจันทร์แบบนั้น เพราะฉะนั้นการฝึกเขียนด้วยข้อมูลเก่าๆ เลยถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจันทร์ เพราะอย่างน้อยถ้าหากอะไรๆ มันไม่เป็นไปตามหวัง จันทร์ก็ยังมีภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ‘ความทุ่มเท’ รองรับอยู่ และการกลับมายังสถานที่ที่คุ้นเคย อาจจะช่วยให้จันทร์คลายความกังวลไปได้บ้าง”
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มให้กับคนข้างกาย ที่ถึงปากเขาจะบอกว่าตนเองไม่ได้มีศีลธรรมสูงส่งอะไร แต่ในความเป็นจริงจิตใจของเจ้าตัวกลับเต็มไปด้วยศีลธรรมที่มีต่ออัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์

กระทั่งการเดินทางเริ่มก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบ้านกลางป่าสน บรรยากาศรอบกายจึงเต็มไปด้วยความเงียบสงัดและมืดมิด แสงไฟจากหน้ารถจึงมีโอกาสทำหน้าที่อย่างเต็มที่

“ครั้งนี้พอไม่ได้เห็นดอกสโนว์ดรอปส์ ผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัว มันค่อนข้างหดหู่” คุณพีรวัตรกล่าวในขณะที่สายตายังคงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเหมือนอย่างเคย
“นั่นสินะ” ผมตอบรับเสียงแผ่ว เพราะผมเข้าใจดีว่า ‘ความหดหู่’ ที่พวกเรากำลังเผชิญ เกิดจากการที่เจ้าของดอกไม้ชนิดดังกล่าวทอดทิ้งพวกมันไว้อย่างไม่ใยดี
ซึ่งเหตุผลของการกระทำนั้นก็น่าจะเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่เขาเป็น

ทันทีที่ไฟหน้ารถดับสนิท ความมืดมิดก็เข้ามาทักทาย เหตุเพราะแสงจันทร์ไม่ได้สว่างไสวอะไรนัก หากแต่ใครบางคนกลับยืนหมุนตัวมองรอบ ๆ กาย ราวกับเขายังไม่อาจปรับตัวให้คุ้นชินกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ
แววตาของผมจึงเพ่งพิจารณาไปยังใครคนนั้นที่กำลังยืนอยู่อีกฟากฝั่งของตัวรถ

“จันทร์ ?”
“ครับ ?” สิ้นคำตอบรับของคนตรงหน้า ผมก็รีบฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงเป็นการด่วน
เพราะผมยังคงจดจำได้ดีว่าจันทร์หวาดกลัวความมืด

“จันทร์ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่รวดเร็วขนาดนี้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าว พร้อมกับเดินไปทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่อยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร
“ทำไมล่ะ ?” ผมเดินเข้ามานั่งเคียงข้างพร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ที่ในเวลานี้กำลังทำหน้าที่เป็นไฟฉายอย่างมั่นคง

“ตอนที่จันทร์หลับจันทร์รู้สึกเหมือนกับว่าเวลามันผ่านไปยังไม่ทันจะครบอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ” คำตอบจากอีกฝ่ายทำให้ผมเข้าใจว่าการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสน น่าจะผ่านความเห็นชอบจากทุก ๆ อัตลักษณ์ ซึ่งมันก็ทำให้ผมค่อนข้างจะเบาใจ เพราะการรับมือกับอัตลักษณ์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ มันค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเขามีความหวาดระแวงที่อาจจะเป็นผลพวงมาจากการล่วงละเมิดทางเพศของน้องลียากร ผสมปนเปไปกับความหวาดกลัวของน้องจิม จึงส่งผลให้ทันทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ความไม่ปลอดภัยจึงผลักดันให้เขามีปฏิกิริยาในการรับมือค่อนข้างยาก
และการกลับมายังบ้านกลางป่าสนก็ทำให้ผมเป็นกังวล..
เพราะสถานที่แห่งนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำทั้งดีและไม่ดี

“ยังไม่ชินอีกเหรอ ?” ผมย้อนถามพร้อมกับมองจ้องอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่เลยครับ.. ไม่เคยชินเลย” สิ้นคำตอบรับ เราทั้งคู่ก็ถูกห้อมล้อมด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไรที่กำลังส่งเสียงแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของผืนป่าแห่งนี้

“ไปเดินเล่นสักหน่อยดีไหม ไหน ๆ จันทร์ก็มีโอกาสได้กลับมาที่นี่แล้ว” ผมเอ่ยถามคนข้างกายที่กำลังแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อย พร้อมกับย่ำปลายเท้าลงบนผืนดินเพียงเบา ๆ อย่างผ่อนคลาย
“ครับ” ฝ่ายคนถูกถามนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบตกลงอย่างไม่คิดลังเล

“ถ้าอย่างนั้นพี่เข้าไปเอาเทียนหอมก่อนดีกว่า เพราะโทรศัพท์แบตใกล้จะหมดแล้ว”
“ยังไม่สามทุ่มเลยครับ พี่ภัทรไม่เอาเข้าไปชาร์ตก่อนเหรอ ?” จันทร์เอ่ยถาม เมื่อผมถือวิสาสะยัดโทรศัพท์คู่ใจใส่มือของเจ้าตัว

“ให้มันอยู่เป็นเพื่อนจันทร์ดีกว่า พรุ่งนี้พี่ค่อยเอาไปชาร์ตที่โรงพยาบาลก็ได้” ผมตอบพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิทมาหลายปีแล้ว ผมเลยต้องใช้กุญแจที่ได้มาจากคุณพีรวัตรไขเข้าไป จนกระทั่งพบเจอกับความมืด ผมก็ต้องอาศัยความเคยชินในการคลำทางไปยังห้องใต้หลังคาอันเป็นที่ตั้งของเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์
แต่แล้วปลายเท้าของผมก็ชนเข้ากับอะไรสักอย่างจนได้ยินเสียงดัง ‘ครืดดดด’

ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างปัดป่ายไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุ จนกระทั่งอนุมานได้ว่าเจ้าของสิ่งนั้นที่กำลังขวางทางผมอยู่ มันคือ ‘เก้าอี้’ ที่คุณชลวิทย์เคยใช้เป็นอุปกรณ์ในการฆ่าตัวตาย
ซึ่งวิธีการที่เขาใช้..
แม้จะไม่มี ‘เชือก’ อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ทำให้เสียเวลาในการคาดเดาสักนิด

และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมยอมปล่อยให้จันทร์นั่งรออยู่ข้างนอก เพราะผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้จะมีอะไรสร้างความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของอีกฝ่ายบ้าง

“น่าแปลกนะครับที่พี่ชลปล่อยปละละเลยดอกไม้พวกนี้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อตลอดเส้นทางการเดินรถที่ขนาบไปด้วยทิวสนป่า กลับไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์ที่เคยเป็นดาวเด่นในช่วงเดือนนี้หลงเหลืออยู่เลย
“ที่เป็นแบบนั้น อาจเป็นเพราะโดยปกติแล้ว คนที่เป็นโรคซึมเศร้า มักจะหมดความสนใจในเรื่องที่เคยสนใจ” ผมอธิบายพลางกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น เมื่อต้องกล่าวถึงใครคนหนึ่งที่เคยทรยศต่อความไว้วางใจของจันทร์

“พี่ภัทรเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมจันทร์ถึงกลัวดอกสโนว์ดรอปส์” แต่แล้วจันทร์ก็หันเหความสนใจของตัวเองไปยังหัวข้อสนทนาอื่น
“เคยสิ.. แต่พี่ไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่ามันจะทำให้จันทร์นึกถึงเรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง”

“แต่ในความเป็นจริง ถึงพี่ภัทรไม่ถามจันทร์ก็ไม่เคยหยุดนึกถึงมันได้สักที” เมื่อได้ฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย ปลายเท้าของผมก็เสียจังหวะในการก้าวเดินทันที
“…”

“เพราะฉะนั้น จันทร์เล่าให้พี่ภัทรฟังได้นะ..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มันให้ความรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังฝืนทน ซึ่งความฝืนทนดังกล่าวทำให้ผมไม่อยากรับฟังเรื่องราวใด ๆ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าจันทร์คงกำลังเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความทุกข์ใจของตนเอง เพราะที่ผ่านมาจันทร์มักจะเก็บงำเรื่องราวต่าง ๆ ไว้กับตัวเอง
จนกระทั่ง ‘ความแตกสลาย’ มาเยือน
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้จันทร์กลายเป็นคนชอบเก็บงำก็มาจากการที่ ‘นายโชค’ ข่มขู่ทั้งทางวาจาและการกระทำ

“จริง ๆ แล้ว แม่ของจันทร์ชอบดอกเก๊กฮวยมาก คงเพราะมันมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์มั้งครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า โดยมีเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์คอยให้แสงสว่าง ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบเพื่อเป็นผู้ฟังที่ดี
“ส่วนลีคงได้รับอิทธิพลทางความชอบมาจากแม่..”

“แล้วจันทร์ล่ะชอบดอกเก๊กฮวยไหม ?” ผมเอ่ยถามอย่างสนใจ เพราะการสอบถามในวันนี้เป็นการสอบถามโดยที่จันทร์ยังมีความทรงจำในส่วนของอัตลักษณ์หลักอย่างสมบูรณ์
“เคยชอบครับ” จันทร์ตอบเสียงแผ่วพลางยกยิ้มเจือเศร้า ซึ่งผมก็เข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่ายดี เพราะดอกไม้ชนิดนี้ถือเป็นดอกไม้เศรษฐกิจของหมู่บ้าน
ดังนั้นแม้แต่กลิ่นหอมของมัน..
ก็อาจจะทำให้จันทร์เจ็บปวดได้

“บ้านของจันทร์เป็นบ้านเรือนไทยทำจากไม้ทั้งหลัง และดอกเก๊กฮวยก็ทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยความสดชื่น”
“ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน จันทร์กับลีจะต้องจูงมือกันไปที่สวนเก๊กฮวยของพ่อ เพื่อเอาพวกมันมาประดับแจกันให้ทั่วบ้าน”

“เพราะมันเป็นของสิ่งเดียวที่แม่ไม่กล้าทำลาย” จันทร์กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นระยะ ราวกับว่าในขณะที่เจ้าตัวกำลังพูดถึงเรื่องราวในวันวาน น้ำตาก็พาลจะไหล ซึ่งเจ้าตัวไม่อยากจะเปิดเผยด้านอ่อนแอให้ผมเห็น ก็เลยพยายามจะหยุดยั้งปฏิกิริยาทางความรู้สึกที่มันค่อยๆ กลายร่างเป็นรูปธรรมอย่างแข็งขัน

“วันที่ไฟไหม้..” จันทร์เอ่ยเสียงสั่นเครือ ผมจึงได้แต่กระชับฝ่ามือของเราให้แนบแน่น
“จันทร์มองเห็นดอกไม้พวกนั้น ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวไฟเหมือนกับจันทร์”

จากคำบอกเล่าดังกล่าวทำให้ผมตีความได้ว่าแท้ที่จริงจันทร์อาจจะไม่ได้กลัวดอกสโนว์ดรอปส์อย่างที่เข้าใจ หากแต่สิ่งที่เจ้าตัวหวาดกลัวมันคือดอกไม้สีขาว ซึ่งทั้งชีวิตของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็แทบจะไม่เคยเห็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับดอกเก๊กฮวยและดอกสโนว์ดรอปส์ มิหนำซ้ำเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ก็ยังเกาะกลุ่มจนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวคล้ายคลึงกับทุ่งดอกเก๊กฮวยที่สะเมิง ดังนั้นอาการแพนิคที่มีผลพวงมาจากโรคโฟเบียของจันทร์ น่าจะเกิดจากการที่อีกฝ่ายมองเห็นภาพของดอกไม้กำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้
สื่อให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวกำลังตกอยู่ในทะเลเพลิงอันน่าหวาดหวั่น

“หลังจากนั้น..” จันทร์กล่าวพลางเว้นระยะหายใจครู่ใหญ่
“ประตูไม้ที่กำลังถูกไฟไหม้ก็หล่นลงมา จันทร์ตกใจกลัวจนร้องไห้ตัวสั่น แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความหวาดกลัวของจันทร์ ควันไฟทำให้จันทร์สำลักจนหน้าดำหน้าแดง แล้วสักพักจันทร์ก็เริ่มหายใจไม่ออก แถมผิวก็แสบร้อนไปหมดเพราะความร้อนของเปลวไฟกำลังแผดเผาทุกสิ่งอย่าง..”

“เพียงแต่.. การแผดเผาของมัน แตกต่างกับที่พ่อกับแม่และลีเคยเจอ” สิ้นคำบอกเล่าปฏิกิริยาของจันทร์ก็เริ่มแปลกไป
ราวกับว่า..
อีกฝ่ายกำลังพาตัวเองหวนคืนกลับไปยังวันวาน

“พี่ว่าเราไปนั่งพักตรงริมลำธารกันดีกว่า” ผมเสนอพลางประคองจันทร์ที่เริ่มจะหายใจติดขัด ขณะที่เจ้าตัวก็ได้แต่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปกับความทรงจำที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงสดใหม่เสมอ จึงทำให้ทั้งแววตาและการรับรู้ของจันทร์ในเวลานี้ มีแต่ความเฉยเมยเป็นส่วนใหญ่
เหตุเพราะสถานการณ์ต่อจากนั้น..
มันคือช่วงเวลาของความสูญเสียที่ไม่มีวันจะลบเลือน


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนแรกคิดว่าจะปั่นเสร็จวันอาทิตย์ ดันปั่นเสร็จวันนี้รวดเดียวเฉยเลย 555 แต่เรามีอะไรจะบอก คือว่ามันจบไม่ลงตัวที่ 46 ตอนค่ะ เพราะว่าเราเกิดเปลี่ยนใจ ไม่เขียนถึงภาพวาดกวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวในตอนนี้ คือเรื่องของเรื่อง เราพิจารณาเอาเองว่ามันน่าจะเหมาะสมที่จะพูดถึงในช่วงที่หลอมรวมทุกตัวตนเสร็จแล้วมากกว่า ก็เลยต้องขยับออกไปเป็นจบที่ 47 ตอนนะ (คิดว่างั้น 555)

ปล. บทบาทของผู้ช่วยภายใน หรือ ISH คุณสมบัติต่างๆ เราเอามาจากหนังสือของคุณบิลลี่นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 20:36:35 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ทำไมถึงรู้สึกว่าจันทร์ยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องราวในอดีตได้เลย รู้สึกว่าการรักษาของจันทร์ยังย่ำอยู่กับที่ ถึงแม้ว่าบางอัตลักษณ์จะหายไปแล้วก็ตาม นี่กำลังจะจบจริงๆใช่มั้ย 55555555 ฮืออออ

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
 :mew6:อ สงสารจันทร์ หาทางออกไม่เจอเลยจริงๆ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 46

สำหรับผมแล้วการเดินทางมายังร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า ไม่เคยเป็นจุดประสงค์หลักของผมเลย เพราะส่วนใหญ่ผมจะชอบสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตเสียมากกว่า แต่วันนี้ผมมีความจำเป็นที่ไม่อาจรีรอได้นานขนาดนั้น เนื่องจากหนังสือที่ผมอยากจะมีไว้ในครอบครองคือผลงานชิ้นใหม่ของคุณพีรวัตร
และมัน.. คงจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย..
ที่มาจากจินตนาการของเขา

ซึ่งผลงานชิ้นดังกล่าวค่อนข้างเป็นแนวเขียนที่แปลกใหม่สำหรับนามปากกา ‘อนธการ’ เนื่องจากนิยายที่เขาเขียนในครั้งนี้ คือนิยายประเภทชายรักชายที่ปัจจุบันค่อนข้างเป็นที่นิยม และยังมีแนวโน้มเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะถ่ายทอดลงในงานเขียน
คือการปลดแอกความรู้สึก ‘อคติ’ ที่มีต่อเพศทางเลือก

“ขึ้นเบสเซลเลอร์ซะด้วย” ผมชะงักฝีเท้า เมื่อสายตาสบกับอันดับหนังสือขายดีประจำเดือนพฤศจิกายน เหตุเพราะนิยายเรื่อง ‘จันทร์กระจ่างฟ้า’ มีโอกาสได้อวดโฉมอยู่ตรงตำแหน่งดังกล่าว ผมจึงได้แต่ลอบยิ้มเจือเศร้า
เมื่อความสำเร็จในครั้งนี้..
ไม่อาจอยู่ในการรับรู้ของเจ้าของผลงาน..

มิหนำซ้ำนิยายเรื่องดังกล่าวยังเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขาใช้เวลาในการเขียนยาวนานที่สุด เพราะตั้งแต่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเข้ารับการบำบัดทางจิตวิทยา จนกระทั่งประสบความสำเร็จในเรื่องของหลอมรวมเพียงบางส่วน อัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์ก็สามารถออกมาใช้ชีวิตได้ยาวนานกว่าแต่ก่อน นอกจากนี้อัตลักษณ์ที่เกิดจากการหลอมรวมก็มักจะขโมยช่วงเวลาของคุณนักเขียนไป
และมันก็ส่งผลกระทบต่องานเขียนในครั้งล่าสุด..
ผมจึงอยากสนับสนุนผลงานของเขา แม้ว่านิยายเรื่องดังกล่าวจะไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านก็ตาม..

กระทั่งบ่ายวันเสาร์มาเยือนผมที่ไม่ต้องเข้าเวรก็ถือโอกาสไปซื้อซูกินีทอดมาให้จันทร์ เพราะเจ้าตัวบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว ซึ่งวันนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน เนื่องจากช่วงเช้าคือช่วงเวลาของกิจกรรมด้านการทำสวน
ขณะที่ช่วงบ่ายคือช่วงเวลาของการฟรีสไตล์

“ต้นไม้ตรงนี้จันทร์เป็นคนปลูกเองกับมือ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวขณะที่เรากำลังเหยียบย่ำไปตามสะพานไม้ริมบ่อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีต้นแพงพวยสีขาวเข้ามาแทนที่ต้นเฟื่องฟ้าสีบานเย็น
“ทั้งหมดนี่เลยเหรอ ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง เมื่อปลายนิ้วของจันทร์ลากยาวตั้งแต่หัวสะพานจนถึงท้ายสะพาน ซึ่งมันต้องใช้เวลาในการลงดินอยู่มาก อีกทั้งต้นไม้ชนิดดังกล่าวยังออกดอกสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับดอกเก๊กฮวยและดอกสโนว์ดรอปส์
มิหนำซ้ำพอมันอยู่รวมกัน..
บริเวณสะพานก็ราวกับถูกโอบล้อมไปด้วยทุ่งดอกแพงพวยสีขาวสะอาด

“ครับ.. มันคือวิธีการบำบัดอย่างหนึ่ง” จันทร์พูดเสริมพลางทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนสะพานไม้ที่ครั้งหนึ่งผมเคยมานั่งเล่นกับคุณพีรวัตร
“…”

“ตอนนี้จันทร์เรียนรู้แล้วว่าดอกไม้พวกนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวเลย” ผมทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย พลางชายตามองผู้พูดอย่างใส่ใจ
“…”

“แต่สิ่งที่น่ากลัว.. คือความทรงจำเกี่ยวกับดอกเก๊กฮวย” จันทร์กล่าวทิ้งท้ายพลางเปิดกล่องซูกินีทอดที่ผมซื้อมา ก่อนจะลิ้มชิมรสชาติจนสองข้างแก้มพองตัวราวกับหนูแฮมเตอร์ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยิ้มรับท่าทีของอีกฝ่ายที่กำลังบอกผ่านทางการกระทำว่า..
จันทร์ดวงนี้พยายามเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับความทรงจำเหล่านั้นอย่างสันติ

“ช่วงนี้พอพี่พีจากไปแล้ว.. จันทร์รู้สึกเคว้งคว้างยังไงก็ไม่รู้สิครับ” หลังจากต่างฝ่ายต่างอาศัยร่มเงาของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ขณะที่กำลังทานของว่างสุดพิเศษ จันทร์ก็เริ่มเกริ่นนำถึงเรื่องราวที่เจ้าตัวกังวลใจ ซึ่งพฤติกรรมของอีกฝ่ายทำให้ผมใจเต้นอย่างลิงโลด เนื่องจากมีน้อยครั้งมาก ที่คนข้างๆ อยากจะแบ่งปันความรู้สึกไม่สบายใจของตัวเองให้ผมฟัง
“…”

“คงเพราะตัวตนที่ด็อกเตอร์พยายามหลอมรวมเข้าด้วยกัน ดันมีภาพลักษณ์แตกต่างจากที่จันทร์จินตนาการไว้”
“…”

“เพอร์เฟคชั่นนิสต์” ผมให้คำจำกัดความในตัวตนที่จันทร์อยากจะเป็นด้วยคำกล่าวสั้นๆ ที่ค่อนข้างตรงตัว
“ครับ ?”

“คำจำกัดความของภาพลักษณ์ที่จันทร์จินตนาการไว้ หรือจะเรียกอีกอย่างว่ามนุษย์เพอร์เฟคก็ได้” สิ้นคำขยายความของผม จันทร์ก็นิ่งเงียบไป คงเพราะสิ่งที่ผมพูดมันคือความจริงที่จันทร์อยากเป็น
ดังนั้นรูปวาดของกวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวพัน น่าจะหมายถึงความไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งผมค่อนข้างโล่งใจที่จันทร์กำลังคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันค่อนข้างจะแก้ไขง่ายกว่าความคิดที่ว่าตนเองสกปรกหรือมีตำหนิ

“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะจันทร์ไม่ค่อยชอบตัวเองในเวลานี้..” น้ำเสียงแผ่วเบาของอีกฝ่ายกำลังสั่นสะเทือนใจของผมอีกครั้ง เพราะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จันทร์กลายเป็นผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์ คือการไม่ชอบความเป็นตัวเองในช่วงเวลานั้น ๆ

“และจันทร์ก็คงจะไม่ชอบตัวเองในอนาคตด้วย”
“ทำไมล่ะ ?” ผมย้อนถามเสียงแผ่ว ราวกับจะไม่มีคำถามใด ๆ เล็ดลอดออกมา

“เพราะจันทร์คงกลายเป็นคนที่ไม่มีความอดทน ต่อต้านสังคม ขี้ขลาด และมีพรสวรรค์ที่ขโมยมาจากอัตลักษณ์อื่น มิหนำซ้ำคุณค่าในตัวเองก็แทบไม่มีเหลือ..”
“ทำไมจู่ ๆ จันทร์ถึงกลับมาคิดว่าตัวเองไร้ค่าขึ้นมาล่ะ ?”

“เพราะจันทร์อ่อนแอเกินไป จันทร์ก็เลยถูกอาโชครังแก” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผ่อนออกอย่างเชื่องช้า และบอกกล่าวเหตุผลของตัวเองอย่างแผ่วเบา
“จันทร์.. ฟังพี่นะ” ผมเอ่ยอย่างจริงจัง พลางขยับตัวเพื่อหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย

“คุณค่าของคนเราอยู่ที่ตัวเราเอง ต่อให้คนอื่นมองว่าเรามีค่าสำหรับเขามากแค่ไหน แต่ถ้าเราคิดว่าตัวเองไม่มีค่า มันก็จะไม่มีค่า อีกอย่างเรื่องอาโชค มันไม่ใช่ความผิดของจันทร์เลย ฉะนั้นคนที่ต้องรู้สึกผิดและเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ก็คืออาโชค เพราะเขาไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”
“แต่ถ้าจันทร์..” เมื่อจันทร์ตั้งท่าจะแย้ง ผมก็เริ่มชี้นำหนทางในการปลดแอกจากความคิดเหล่านั้น

“จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกของพี่ที่มีให้จันทร์ มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่อาโชคเคยรู้สึก เพราะทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดจากความเสน่หา เพียงแต่พี่กับอาโชคเสน่หากันคนละเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นความคิดที่อยากจะครอบครองก็มีความเหมือนกันอยู่ดี ซึ่งมันต่างกันตรงที่พี่เลือกที่จะไม่ล่วงเกินจันทร์จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ขณะที่อาโชคเลือกจะทำตามใจตัวเอง โดยไม่สนความรู้สึกของจันทร์ หรือว่าความถูกต้องใด ๆ เพราะฉะนั้นคนที่ผิดก็คือคนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจและใช้กำลังข่มขู่ในทางที่ไม่ถูกต้อง”
“…” หลังจากผมอธิบายออกไปอย่างยาวเหยียด สักพักใหญ่จันทร์ก็เลื่อนฝ่ามือของตัวเองวางลงบนหลังมือของผม พลางยกยิ้มตรงมุมปากเพียงเล็กน้อย
คล้ายกับว่าคำแนะนำนั้นกำลังได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย
เพียงแต่.. จะมากหรือน้อยคงต้องลุ้นกันอีกที

“ส่วนตัวตนของจันทร์ ไม่ว่าจะในอนาคตหรือตอนนี้ พี่คิดว่ามันก็คือลักษณะนิสัยหรือว่าอัตลักษณ์ของคนธรรมดาคนหนึ่ง เพราะอย่างพี่ก็เคยมีความขี้ขลาด เคยมีความไม่อดทน และบางครั้งก็รู้สึกอยากต่อต้านสังคมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในแบบที่เราไม่ชอบ ก็เลยหันไปหมกตัวอ่านหนังสืออยู่แต่ในบ้าน งานเลี้ยงสังสรรค์อะไรก็ไม่ค่อยไป แถมเพื่อนก็ใช่ว่าจะมีเยอะแยะ คนรักก็แทบจะนับนิ้วได้ เรียกได้ว่าชีวิตค่อนข้างจืดชืด แถมเวลาก็ไม่ค่อยจะมีให้ใคร มันเลยทำให้พวกเขาหาเรื่องเลิกรากับพี่ล่ะมั้ง ว่าไปแล้วจันทร์คือคนที่พี่คบหาได้นานที่สุดเลยแหละ”
“แล้วถ้าในอนาคต จันทร์เกิดมีอะไรบางอย่างที่พี่ภัทรไม่ชอบล่ะครับ”

“พี่คิดว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อการเรียนรู้ และการเรียนรู้ก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับตำราเรียน หรือตำราอาหาร เพราะฉะนั้นต่อให้อนาคตมีบางสิ่งบางอย่างในตัวจันทร์ที่พี่ไม่ชอบ แต่เราก็สามารถปรับและจูนเข้าหากันได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ความสัมพันธ์ในรูปแบบของคนรัก มันต้องมีการปรับตัวและเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา อีกอย่างนิสัยของคนเรา พี่คิดว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอก เพราะของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองและประสบการณ์ของเราด้วย อย่างตอนที่พี่ยังเด็ก พี่ชอบอ่านหนังสือแนวหนึ่ง แต่พอโตขึ้น แนวหนังสือที่ชอบก็เปลี่ยนไป แถมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยชอบก็ยังเปลี่ยนแปลงอีก ดูอย่างตอนนี้สิ ฟิกเกอร์ที่พี่เคยสะสมและหวงนักหวงหนา ถูกเอามาเทขายจนหมดเกลี้ยง พี่ยังไม่คิดจะเสียดายเลย ลองเป็นแต่ก่อนสิ พี่คงโอดครวญจะเป็นจะตาย”

“ส่วนความสามารถพิเศษพวกนั้น..” ผมกล่าวพลางมองจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของคนตรงหน้า
“…”

“พี่คิดว่ามันเป็นของจันทร์นะ”
“ทำไมพี่ภัทรถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ?” จันทร์เอ่ยถามอย่างสงสัย พลางขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง

“เพราะจันทร์เป็นคนสร้างพวกเขาขึ้นมา และยังฝากฝังความคิดและความทรงจำบางส่วนเอาไว้ ฉะนั้นความสามารถที่พวกเขามี ก็คือความสามารถที่เกิดจากการเรียนรู้ของจันทร์ จากนั้นพวกเขาก็อาศัยประสบการณ์ในชีวิตมาพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ที่จันทร์มอบให้ จนกระทั่งมันคือความสามารถพิเศษที่น่าทึ่ง”
“ดังนั้นในมุมมองของพี่ จันทร์คือ ‘ครู’ ของพวกเขาด้วยซ้ำ”

“ครูเหรอครับ..” จันทร์ย้อนถามอย่างเลื่อนลอย คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกประหลาดใจในมุมมองที่ผมชี้นำ
“ใช่.. พี่คิดว่า ‘ครู’ ของพวกเขาก็คือจันทร์” ผมย้ำเตือนสถานะของอีกฝ่ายอย่างหนักแน่น เพราะความสามารถพิเศษที่จันทร์กำลังคิดว่าตัวเองไปขโมยมาจากคนอื่นจะไม่ทางเกิดขึ้นได้ หากเจ้าตัวไม่เคยมีการเรียนรู้ในด้านนั้น ๆ มาก่อน

“อย่างความสามารถด้านศิลปะ พี่คิดว่ามันคือพรสวรรค์ของจันทร์ จำได้ไหมรูปคอลลาจที่ใช้นิตยสารเล่มหนึ่งเป็นสื่อกลางในการแสดงความรู้สึก จันทร์ก็ทำมันออกมาได้ดี ไหนจะรูปสีน้ำมันที่จันทร์เคยวาดในชั่วโมงบำบัดอีกตั้งหลายรูป”
“ในสายตาของพี่ มันสวยพอๆ กับฝีมือของกรวินท์เลยแหละ และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะจันทร์เคยเรียนวิชาศิลปะถูกไหมล่ะ ส่วนกรวินท์เขาก็รับเอาความรู้พวกนั้นมาต่อยอดไปเรื่อย ๆ จนทำให้ฝีมือการวาดรูปของเขาพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด”

“ส่วนการเขียนจะไม่มีทางประสบความสำเร็จเลย หากจันทร์ไม่เคยมีทักษะด้านภาษา และไม่เคยเรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้”
“…”

“ความสามารถพวกนั้น เป็นของจันทร์จริง ๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลย” สิ้นความคิดเห็นในมุมมองของผม เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็ทอดมองไปยังบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีปลาหลากหลายชนิดแหวกว่ายวนเวียนอยู่ในนั้น ก่อนจะอุทานประโยคดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งจะรับรู้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าทึ่งและยากเกินกว่าจะเชื่อถือ แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงได้ เพราะหลักฐานต่าง ๆ ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ
และมันก็คอยย้ำเตือนว่า..
การเรียนรู้ของจันทร์ล้วนนำมาซึ่งความสามารถพิเศษของทุก ๆ อัตลักษณ์


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้สั้นกว่าตอนที่แล้วเยอะเลย แต่เราว่าน่าจะตอบโจทย์สำหรับคนที่กำลังสงสัย ว่าทำไมการรักษาของน้องจันทร์ดูไม่คืบหน้าเลย คือเท่าที่เราอ่านและตีความจากในหนังสือของคุณบิลลี่ จิตแพทย์จะเน้นรักษาไปที่อาการโดยรวมที่เป็นจุดใหญ่ๆ ก่อน ซึ่งจุดใหญ่ๆ ในที่นี้ก็คือการหลอมรวม ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องค่อยๆ บำบัดกันต่อไป ทั้งนี้ความคืบหน้าของการรักษา สังเกตได้จากการที่หลายๆ ตอนมานี้ เราไม่ค่อยเขียนถึงคุณพีรวัตร และตอกย้ำไปถึงการเขียนนิยายเล่มล่าสุดที่ใช้เวลายาวนานเพิ่มเข้าไป ก็น่าจะชัดเจนขึ้นว่าการรักษามันคืบหน้าอย่างช้าๆ
และสรุปแล้ว ตัวตนใหม่ของจันทร์ ก็คือความเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีความอ่อนแอ ไม่อดทน ขี้ขลาด ต่อต้านสังคมนั่นแหละ ซึ่งเราคิดว่าลักษณะนิสัยแบบนี้ ก็มีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคนแหละ เพียงแต่มันจะแสดงออกในสถานการณ์ไหนก็เท่านั้น

ปล. 1 มีคนเดาถูกด้วยว่าความสามารถของอัตลักษณ์อื่น ก็คือของจันทร์นั่นแหละ ปรบมือให้เลย

ปล. 2 คนอ่านคิดว่ามันก้าวกระโดดไปหรือเปล่า เพราะเราเขียนข้ามเดือนไปเยอะทีเดียว แต่การเขียนในมุมมองของพี่ภัทรที่กลายเป็นคนนอก มันก็มีเนื้อๆ อยู่แค่ไม่กี่เหตุการณ์เอง ตอนหน้าจบจริงๆ แล้วจ้า 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 20:39:48 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
น่าจะสั้นสุดแล้ว ตอนนี้

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อ่านทีแบบยาวเลยค่ะ เนื้อหาเข้มข้นมาก ข้อมูลดี
บ่งบอกความทุ่มเทของคนเขียนมาก
ขอบคุณมากนะคะ

อ่านตอนแรก หลอนไปเลยจ้า นึกว่าแนวกระตุกขวัญ
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น อ่านเรื่องนี้ ใจเต้นตลอดเวลาเลยค่ะ

ชลเป็นคนเปิดเรื่องทุกอย่างขึ้นมา เพื่อตัวเองจะได้ไปต่อไป
แต่สุดท้าย ก็ต้องมารับกับความไม่มั่นคง จนสภาพจิตใจล้า
จะว่าน่าสงสารก็ใช่ จะเห็นแก่ตัวก็ด้วย

จันทร์ต้องผ่านอะไรมามากมาย ชีวิตถึงได้มีมิติขนาดนี้
แล้วเป็นคนที่ชอบสังเกตด้วย แต่แค่งงและไม่คิดมากไปกว่านี้
สุดท้ายจันทร์ก็เลือกที่จะหลับตาให้ทุกอย่างลบไป เหมือนฝัน
ให้อีกหนึ่งในตัวตน ออกมาใช้ชีวิต แต่พอมีภัทรเข้ามา
ตัวตนของจันทร์ก็พยายามที่จะอยู่ในช่วงเวลานี้มากที่สุด
แต่บางเวลาก็เป็นไปไม่ได้

ยิ่งค้นหาความจริง ยิ่งเข้าใจ ว่าทำไมต้องมีชีวิตแบบนี้
จิตเลือกให้ใครมาเป็นเราทดแทนความเป็นเรา

ภัทรเป็นหมอที่มีความเป็นหมอสูง แต่พอผูกจิตใจด้วยแล้ว
คือยิ่งพยายามค้นหามาก ปกป้องจันทร์ทุกอย่างเลย
ถึงจะผิดหลัก แต่เพื่อหัวใจ บางทีก็พูดยาก
แล้วกลัวมากที่หมอจะมีอาการเอง โชคดีที่ภัทรเข้มแข็งพอ

ตอนรวมอัตลักษณ์นี้ ยิ่งทำจันทร์อ่อนแอ
เพราะจันทร์คิดว่าทุกสิ่งที่เป็นไม่ใช่จันทร์
แต่ภัทรพูดได้ดี ทุกสิ่งที่เป็นคือเกิดจากจันทร์

ลุ้นมากค่ะ บีบหัวใจทุกอณู อ่านแล้วอึดอัดตามไปด้วยเลย
แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ มันดี เพราะทำเราอินมาก




ออฟไลน์ pan27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสและสวยงามเสมอจ้าน้องจันทร์
แค่เรามีศรัทธาว่าถ้าเราคิดดีทำดีเราย่อมต้องได้สิ่งดีๆในสักวัน
ขอแค่ ณ.เวลาที่เราเจอเรื่องร้ายๆถ้าเราอดทนและพยายามก้าวข้ามมันไปให้ได้
สิ่งดีๆชีวิตที่มีความสุขจะรออยู่ข้างหน้าเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ที่มีหัวใจที่ดีและไม่ยอมแพ้เสมอ...แด่ทุกหัวใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา  :L1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าน้องเข้มแข็งมากเลย เอ็นดูน้อง ขอให้ได้ใช้ชีวิตของตัวเองแบบเต็มที่สักทีนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 47

แรกเริ่มเดิมทีการหลอมรวมในขั้นสุดท้าย ยังไม่อาจทำให้จันทร์รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายมีโอกาสได้ไปเยือนยังบ้านกลางป่าสน และได้ลองดูแลประคบประหงมต้นสโนว์ดรอปส์ของคุณชลวิทย์ที่ยังเหลือรอดปลอดภัย จึงส่งผลให้ต้นไม้ชนิดดังกล่าวหวนกลับมาเจริญงอกงามใหม่
เพียงแต่ปริมาณของพวกมัน..
ไม่อาจเบ่งบานจนเต็มทุ่งเหมือนแต่ก่อน

ซึ่งคนที่ต้องคอยเป็นลูกมือให้กับจันทร์ก็เห็นจะหนีไม่พ้นผม เนื่องจากอีกฝ่ายยังคงต้องอยู่ภายใต้การสังเกตพฤติกรรมจนกว่าด็อกเตอร์จะมีความแน่ใจว่าการหลอมรวมประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ เหตุเพราะตอนแรกด็อกเตอร์ยังมองเห็นบางส่วนของอัตลักษณ์ต่าง ๆ ในตัวตนของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนอย่างเด่นชัด
ขณะที่ผมก็เคยมองเห็นบางส่วนที่ว่าตอนที่จันทร์กำลังพยายามจะขยายพันธุ์ต้นสโนว์ดรอปส์ โดยอาศัยความรู้และความเข้าใจจากอัตลักษณ์ของกรวินท์ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมความรู้ดังกล่าวจึงตกทอดมาสู่ตนได้
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา..
จันทร์ยังไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับการการดูแลพันธุ์พืชที่เกิดจากดัดแปลงพันธุกรรมเลยด้วยซ้ำ

ผมจึงลองก้าวล้ำเข้าสู่ความทรงจำในอดีตของคนที่กำลังหงุดหงิดกับความสามารถนี้จนเต็มขั้น จึงทำให้ทราบว่าช่วงวัยที่ยังไม่ประสีประสาจันทร์มักจะเกาะติดคุณชลวิทย์อยู่บ่อยครั้ง
และการกระทำนั้น…
ก็ทำให้จันทร์มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการดังกล่าวจากคุณพ่อโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นประมาณสามเดือนให้หลัง จันทร์ก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองรับเอาบุคลิกลักษณะของแต่ละอัตลักษณ์ไว้ในตนเองมากขึ้น สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการบำบัดกลุ่มย่อยทำให้จันทร์เล็งเห็นถึงผลของการรักษาผ่านทางผู้ป่วยท่านอื่นว่ามันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากแค่ไหน และอีกประการหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเวลาที่จันทร์หวนนึกถึงอะไรบางอย่างจากความทรงจำ รวมไปถึงการระบายความอัดอั้นตันใจต่าง ๆ กับผมหรือแม้กระทั่งให้ทีมรักษาได้รับรู้ ล้วนแต่เป็นช่วงเวลาที่ทุก ๆ อัตลักษณ์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต และทันทีที่พวกเขาล่วงรู้ก็นำมาสู่การขจัดความเสื่อม นอกจากนี้การบำบัดทั่วไปก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ความถี่ของการออกมาใช้ชีวิตของแต่ละอัตลักษณ์ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง จนกระทั่งจันทร์กลายเป็นจันทร์ที่อาจจะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกับภาพฝัน
หากแต่เป็นจันทร์ที่มีอัตลักษณ์เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
 
“พี่ภัทรดอกสโนว์ดรอปส์บานแล้ว” จันทร์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ระหว่างที่เรากำลังเดินทางเข้าสู่อาณาเขตของบ้านกลางป่าสน ผมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด จึงเบนสายตาไปมองยังบางสิ่งบางอย่างที่กำลังทำให้อีกฝ่ายแสดงอาการดีอกดีใจราวกับเด็ก
“เก่งมาก” ผมเอ่ยชมเจ้าของไอเดียในการฟื้นฟูทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์พลางเอื้อมมือไปโยกศีรษะของอีกฝ่ายที่กำลังเหลียวมองทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาด เหตุเพราะขณะนี้รถยนต์คันเก่งกำลังนำพาพวกเรามาสู่ลานกว้างตรงบริเวณหน้าบ้านหลังสีน้ำตาลอันคุ้นเคย

“ไม่น่าเชื่อว่าวิธีของจันทร์จะได้ผล” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปกปิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ขณะที่ผมก็ได้แต่อมยิ้มกับท่าทางร่าเริงของจันทร์ที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เห็น แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้ทักท้วงให้อีกฝ่ายเก้อเขิน จึงหันมาหยิบตะเกียงใส่เทียนทีไลท์แบบมีหูหิ้วตรงหลังรถเพื่อจะได้ใช้มันเป็นอุปกรณ์นำทาง
“แต่ถ้าเราไม่ดูแลประคบประหงมแบบพี่ชล มันจะเป็นแบบเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน เดินตามหลังผมราวกับลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ด จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อน พลางบ่นอุบพร้อมกับถอนหายใจ

“ไม่ตายหรอก.. เพราะพี่ก็ไม่ได้ดูแลประคบประหงมมากมายขนาดนั้น อย่าลืมสิพี่เป็นหมอนะ แถมยังต้องเข้าเวรอีก อาทิตย์เว้นอาทิตย์ พี่ว่ากำลังพอดี” ผมเอ่ยแย้งพลางจัดแจงมอบแสงสว่างในการนำทางก่อนจะยืนจนเต็มความสูง เพื่อที่จะได้พาเจ้าของไอเดียไปชื่นชมผลงานของตัวเองให้สาแก่ใจ
“อืม.. นับ ๆ ดูแล้ว เราใช้เวลาประมาณ 6 เดือนได้มั้งครับ” จันทร์ลากเสียงยานคางในลำคอเพียงครู่ ก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิด เมื่อต้องคำนวณระยะเวลาในการฟื้นฟูป่าสนแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยสีสันเหมือนแต่ก่อน

“ใช่.. 6 เดือนกับความพยายามหลอมรวมขั้นสุดท้าย และการฟื้นฟูทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์” ผมกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น ขณะที่ในใจก็เริ่มคำนวณช่วงเวลาในการพักรักษาตัวของจันทร์ว่ามันใช้เวลาทั้งหมดกี่ปี
ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ 3 ปี
เพียงแต่เป็น 3 ปีที่ยาวนาน ราวกับผ่านมาแล้ว 30 ปี

“พี่ภัทรเคยสงสัยว่าทำไมจันทร์ถึงได้รู้สึกย้อนแย้งในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องความสามารถพิเศษบ้างหรือเปล่า ?”
“อืม.. พี่คิดว่าพี่เข้าใจความรู้สึกของจันทร์นะ” ผมหยุดคิดเพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว ขณะที่ปลายเท้าของเราต่างก็เหยียบย่ำลงบนเส้นทางเดินรถที่เป็นเส้นทางดินอย่างพร้อมเพรียง
 
“ยังไงเหรอครับ ?”
“ถึงแม้จันทร์จะเข้าใจแล้วว่าความสามารถพิเศษพวกนั้น เกิดจากการเรียนรู้ของจันทร์ แต่การเรียนรู้ในช่วงเวลาของจันทร์ มันเป็นการเรียนรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้ววันหนึ่งจันทร์ก็รับเอาอัตลักษณ์ต่าง ๆ เข้าไว้ในตัวเอง ความแปลกใหม่ของอะไรหลาย ๆ อย่าง คงทำให้จันทร์รู้สึกหงุดหงิดที่จันทร์สามารถวาดรูปได้อย่างสวยงาม โดยที่จันทร์ไม่ต้องเปลี่ยนไปเป็นกรวินท์ หรือแม้กระทั่งจันทร์สามารถเรียบเรียงรูปประโยคได้ดีเหมือนกับคุณพีรวัตร ทั้ง ๆ ที่จันทร์ยังคงเป็นจันทร์ ซึ่งความรู้สึกหงุดหงิดเหล่านั้น น่าจะเกิดจากการที่จันทร์รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่จันทร์คนเดิม” ผมอธิบายพลางเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิดที่มีเพียงแสงตะเกียงนำทางอย่างคุ้นเคย ซึ่งกลิ่นอายของป่าสนหรือแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีดเรไรที่กำลังร้องระงมแข่งกับเสียงพูดคุยของเรา ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
ราวกับป่าสนแห่งนี้คือบ้านหลังที่สองของผม

“คิดถึงจัง”

เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่ในตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มวัยบรรลุนิติภาวะ หากแต่ภาพจำของผม จันทร์ยังคงเป็นเด็กชายตัวเล็กที่ผมนึกเอ็นดูอยู่ดี ยิ่งท่าทางสูดลมหายใจจนชุ่มปอดพร้อมก้าวเดินนำหน้าผมเพียงหนึ่งก้าว เพื่อกางแขนทั้งสองข้าง ราวกับเจ้าตัวต้องการจะโอบกอดบรรยากาศในตอนนี้ ก็ยิ่งสนับสนุนมุมมองของผมที่มีต่อจันทร์อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“แต่คำว่าคิดถึงของจันทร์ มันหมายถึงช่วงเวลาที่จันทร์ได้มาเดินเล่นที่นี่ โดยที่จันทร์ในตอนนั้น เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าความหวาดกลัวจะยังแอบซ่อนอยู่ในความคิด” จันทร์หันหน้ามองผม ขณะที่สองเท้ากำลังก้าวเดินถอยหลังอย่างเชื่องช้า
ราวกับอีกฝ่ายต้องการจะหยิบยืมสายตาของผมในการนำทาง

“ต่างกันแค่.. ในตอนนี้จันทร์ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าข้างในนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่จันทร์จำเป็นจะต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนอธิบายเพิ่มเติม พลางชี้นิ้วไปยังข้างขมับของตัวเอง เพื่อสื่อไปถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่ในวันนี้กำลังอ่อนอานุภาพลง

“และตอนนี้..” จันทร์กล่าวพลางก้าวเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าผม
“…”

“จันทร์รู้สึกว่าตัวเอง สามารถเป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันได้อย่างเต็มภาคภูมิ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนบอกกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มองเห็นข้างแก้มบุ๋ม จากนั้นคนตรงหน้าก็พาตัวเองเข้ามาซุกอยู่ตรงแผ่นอก ผมจึงยกสองมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายอย่างแน่นหนา เพราะผมก็รอคอยช่วงเวลาที่จะได้โอบกอดดวงจันทร์ที่กำลังสว่างสดใสมาเนิ่นนาน แม้ลึก ๆ ในใจ ผมจะรู้ดีว่า..
การหลอมรวมในครั้งนี้ มันเป็นการหลอมรวมที่ยังคงเปราะบาง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็คือจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิตใหม่

กระทั่งเราผละออกจากความอบอุ่นของกันและกันแล้ว จุดมุ่งหมายต่อไปก็คือการล่วงล้ำเข้าไปยังอาณาเขตของทุ่งสโนว์ดรอปส์ ซึ่งแวบหนึ่งที่จันทร์เผลอฮัมเพลง ‘หนูมาลี’ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังถูกโอบล้อมไปด้วยทิวสนและดอกไม้สีขาวสะอาด ทำให้ผมนึกถึงอัตลักษณ์ของน้องลียากรที่เต็มไปด้วยความสดใส แม้ว่าในใจของเธอจะแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี
นับได้ว่าความเข้มแข็งของจันทร์ ล้วนเป็นส่วนผสมของน้องลียากรและคุณพีรวัตร

“เรานอนเล่นที่นี่สักพักได้หรือเปล่าครับ ?”
“เอาสิ”

สิ้นคำอนุญาตจากผมเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็ล้มตัวลงนอนท่ามกลางดอกไม้สีขาวสะอาดที่ผมรู้สึกว่าเฉดสีของมัน เหมือนกับคนตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยน เพราะจันทร์ในสายตาผมคือเด็กชายที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับผ้าขาวที่จู่ๆ ก็ถูกสาดโคลนจนทำให้เปรอะเปื้อนคราบเกรอะกรังของความทรงจำอันเลวร้าย

“ดาวที่นี่ยังสวยขนาดนี้ แล้วดาวที่บ้านระเบียงดาว มันจะสวยแค่ไหนเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังมองแผ่นฟ้าสีดำยามถูกประดับตกแต่งด้วยเพชรเม็ดงามอย่างดวงดาวระยิบระยับ ก่อนจะหันมาจดจ้องผมที่กำลังนั่งแหงนหน้ามองน่านฟ้าผ่านทางช่องว่างของทิวสนอย่างรอคอยคำตอบ
“สำหรับพี่ ประเมินค่าไม่ได้” ผมให้คำจำกัดความของสถานที่ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง ขณะที่ดวงตาก็เบนไปยังแววตาราวกับลูกกวางของจันทร์

“ถ้าหากเวลาลงตัวเมื่อไหร่ พี่จะพาจันทร์ไปนอนดูดาวที่นั่นตามสัญญา” ผมกล่าวพลางเคลื่อนตัวเข้าไปบดบังวิถีสายตาของอีกฝ่ายอย่างเรียกร้องความสนใจ
เพราะจันทร์ก็ยังคงเป็นจันทร์ที่ไม่เคยทำตัวงี่เง่ากับผมเหมือนอย่างที่ตัวเองหวาดกลัว
เวลานี้จึงกลายเป็นผมเสียเองที่นึกอยากจะทำตัวงี่เง่า เพื่อให้อยู่ในสายตาของใครคนนั้น

“อื้ม จันทร์รอได้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนตอบรับอย่างแผ่วเบา ขณะที่สองแขนของเจ้าตัวก็ยกขึ้นคล้องคอของผมไว้ ราวกับอยากจะชักพาให้เราสองคนได้ขยับเข้ามาชิดใกล้กันอีกสักหน่อย

“ถ้าหากพี่จูบจันทร์ตอนนี้.. จันทร์จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้หรือเปล่า” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับต้องมนต์สะกดของนัยน์ตาคู่นั้นที่กำลังมองสบกันในระยะประชิด ขณะที่จันทร์ก็ได้แต่นิ่งเงียบราวกับเจ้าตัวยังไม่ค่อยแน่ใจในผลลัพธ์ของการบำบัดมากนัก เพราะการแสดงความรู้สึกผ่านการกระทำ ยังคงเป็นหลุมใหญ่อันดำมืดในจิตใจของอีกฝ่าย
“…”

“ลองดูก็ได้ครับ..” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วพลางหลับตาพริ้มเหมือนกับเมื่อสองเดือนก่อน เพียงแต่ในครั้งนั้นคนตรงหน้ากลับมีอาการแพนิค
เหตุเพราะความขยะแขยงยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจ

“แต่จันทร์กลัวมันจะล้มเหลวเหมือนเดิมอีก”
“ถ้าอย่างนั้น.. ครั้งนี้พี่จะพยายามอ่อนโยนให้มากกว่าครั้งก่อน”

“อื้ม”

สิ้นเสียงตอบรับของดวงจันทร์บนดิน ผมก็ค่อย ๆ ละเลียดชิมริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเนิบช้า ราวกับฝูงผึ้งที่กำลังดอมดมดอกเนโมฟีลา เพื่อตักตวงน้ำหวานที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเกสรดอกไม้ พร้อมทั้งประคับประคองสติของตนเองไม่ให้หลงระเริงไปกับความหอมหวานมากจนเกินไป
เพราะมันอาจจะทำให้จันทร์..
หวาดกลัวในรสสัมผัสจากผม

กระทั่งจันทร์เลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งลงมาตรงลาดไหล่ พลางบีบกระชับอยู่สองสามครั้ง ผมก็หยุดการกระทำของตนเองทันที เพราะปฏิกิริยาดังกล่าว
มันคือสัญญาเตือนว่า..
จันทร์กำลังจะไปต่อไม่ไหว

“วันนี้ก็พังไม่เป็นท่าอีกแล้ว” จันทร์ตัดพ้อพลางพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ เมื่อความรู้สึกบางอย่างกำลังตีตื้นขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็ยินดีเป็นหนูทดลองให้จันทร์อยู่แล้ว” ผมเอ่ยติดตลกพร้อมกับรั้งศีรษะของคนข้างๆ มาซบลาดไหล่ของตัวเอง

“เพราะฉะนั้นจันทร์ต้องใช้งานหนูทดลองตัวนี้ให้คุ้มค่าใช่ไหมครับ ?” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนหลุดหัวเราะเพียงเบาๆ พลางย้อนถามด้วยคำตอบรับอย่างทีเล่นทีจริง ขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็แหงนมองผมอย่างรอคอยคำตอบ
“อื้ม”

หลังจากนั้นระหว่างเราก็ถูกแทรกแซงด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไรที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าป่าแห่งนี้ แต่ผมกับจันทร์ก็ยังคงแฝงตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ และสนป่าอันสูงตระหง่านอย่างไม่คิดจะหวาดกลัวสัตว์มีพิษแต่อย่างใด
ราวกับว่าการมาเดินเล่นของเรามันคือการสร้างความคุ้นเคยได้ดีแล้ว

“พี่ภัทร..”
“หืม ?” ผมตอบรับในลำคอ ขณะที่แววตาก็จ้องมองไปยังผืนผ้ามะหยี่สีดำที่ไม่มีวันเอื้อมถึง

“ชีวิตใหม่หลังจากนี้ จันทร์คงต้องฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ภัทรเหมือนเดิมนะครับ” ในที่สุดถ้อยคำฝากฝังจากอีกฝ่ายก็สามารถเรียกร้องความสนใจจากผมที่กำลังชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างไม่คาดคิด
“ทางนี้ก็เหมือนกัน” ผมกล่าวพลางเลื่อนฝ่ามือของตัวเองไปกอบกุมกับฝ่ามือเล็ก ขณะที่ดวงตาก็มองจ้องไปยังนัยน์ตาราวกับลูกกวางตัวน้อยที่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ยังเป็นแววตาที่แสนบริสุทธิ์
และผมก็หวังว่าในอนาคต หากจันทร์ก้าวออกไปใช้ชีวิตในสังคมที่กว้างใหญ่
จันทร์จะยังคงเป็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอย่างงดงามท่ามกลางป่าสนอันมืดมิด


゚゚❀ The End ❀゚゚


[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ในที่สุดเราก็พูดได้เต็มปากสักที ว่าเราทำสำเร็จแล้ว ฮืออ เราแต่งแนวจิตวิทยาที่ตัวเองคิดว่ามันไกลเกินเอื้อมได้สำเร็จแล้วจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เรามากๆ เลยค่ะ ทุกคนคือแรงผลักดันที่ทำให้เราเขียนเรื่องในป่าสนตั้งแต่ตอนแรกจนกระทั่งตอนจบได้สำเร็จ มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ เพราะเรื่องนี้ มันคือเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับตัวเรามาก และยังทำให้เราได้พัฒนาการเขียนของเราไปอีกขั้น ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ และสุดท้ายนี้ เราไม่แน่ใจว่าทุกคนจะพึงพอใจกับตอนจบแบบนี้หรือเปล่า เพราะจันทร์ในตอนนี้ยังเป็นการหลอมรวมที่เปราะบางมาก ซึ่งในอนาคตถ้าหากจันทร์ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จันทร์มีโอกาสจะแตกอัตลักษณ์ออกมาอีกครั้ง ส่วนการเขียนเรื่องราวของตัวเองที่จันทร์พยายามจะตั้งใจทำ เราคงต้องยกยอดไปที่ตอนพิเศษค่ะ เพราะตอนหลัก เราตั้งใจให้จันทร์หลอมรวมอัตลักษณ์ให้ได้ก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงการมีชีวิตใหม่

ปล. เรื่องนี้มีสำนักพิมพ์มารับไปดูแลแล้วนะคะ เดี๋ยวถ้าเราได้รายละเอียดที่แน่นอนเมื่อไหร่ เราจะมาแจ้งข่าวอีกทีค่ะ แต่คงจะอีกสักพักนึงเลย เพราะเรายังไม่ได้เขียนตอนพิเศษเลยสักตอน แต่คร่าวๆ เราวางแผนว่าจะเขียนสะท้อนสังคมต่อไปให้จบเรื่อง ซึ่งเราตั้งใจจะเขียนสะท้อนถึงมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อผู้ป่วยทางจิตเวช อ้อ เรื่องนี้น่าจะมีแค่เล่มเดียวนะคะ

ปล.2 หนังสือของคุณบิลลี่ที่เราใช้อ้างอิงคือหนังสือเล่มนี้ค่ะ ทุกคนสามารถไปหาอ่านกันได้ เพราะบางอย่างเราก็เขียนขึ้นมาจากการตีความของเราเอง
https://i.imgur.com/2xcpPFC.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 20:50:34 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้องงง สู้ต่อไปนะคะ สงสารพี่ภัทรหน่อยๆ แต่สักวันน้องก็จะเลิกแพนิคนะคะ ขอบคุณมากเลยสำหรับนิยายสนุกๆแล้วก็สุดยอดมากๆ เราจะอุดหนุนแน่นอนค่ะ รักเด็กชายจากบ้านกลางป่าสย  :hao5:  :mew1:

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ปรบมือให้คนแต่งเลยค่ะ เรื่องนี้เน้นวิชาการมากหน่อย แต่เรื่องก็ไหลผ่านไปได้ด้วยดี ตอนแรกรู้สึกปวดหัวกับเนื้อเรื่องเพราะมันค่อนข้างเครียด แต่พออ่านไปเรื่อยมันก็ไม่ได้วิชาการหรือเครียดขนาดนั้น
อยากบอกคนแต่งว่าชอบมากๆได้ทั้งความรู้และบันเทิง หวังว่าคนแต่งจะมีเรื่องใหม่เร็วๆนี้นะคะจะรอติดตาม สู้ๆนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ติดตามมานานมากกกกกกก
ตั้งใจอ่านจนเครียด อินไปกับเนื้อเรื่องมาก จนอารมณ์ดาวน์ไป3วันอ่ะ 55555
เป็นเรื่องที่ให้ทั้งความสนุก และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องจิตเวช มันดีนะคะ ชอบมากๆ
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ปรบมือให้คนแต่งรัวๆค่ะ เราติดตามมาจนนิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องมาจนจุดจบแล้ว ชอบมากตัวพล็อตเองแปลกใหม่สำหรับเรา แต่คนแต่งทำได้ดีมากอธิบายทึกอย่างละเอียดโครตๆๆๆๆ ทำให้เราเข้าใจแล้วก็ไม่เบื่อเลยค่ะ รออุดหนุนตัวเล่มนะคะ

ออฟไลน์ pan27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฮืออออ จบได้ดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจ  :mew2:
ให้ความหวังและกำลังใจกับคนที่อาจจะเคยผ่านเรื่องร้ายๆและรู้สึกท้อไม่อยากจะสู้ต่ออีกแล้ว อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ความคิดสำหรับการใช้ชีวิตที่ดีมากเลยค่ะ
..คือต่อให้เราผ่านเรื่องแย่ๆมาแค่ไหน มันไม่มีอะไรจะเลวร้าย ขอแค่ถ้าใจเราดีและมีความหวัง มองทุกอย่างอย่างเข้าใจและไม่ไปติดยึดกับมัน ปล่อยวางความทุกข์นั้นลง อย่าไปแบกมันไว้ ความสุขสร้างได้ด้วยใจของเรา ขอแค่เราคิดดีทำดีชีวิตเราก็จะดีและมีความสุข
..สำหรับคนที่ชีวิตดีและมีความสุขอยู่แล้ว แบ่งปันความสุขและความเข้มแข็งนั้นให้คนรอบข้างที่เค้าขาดแคลนบ้าง ไม่ต้องมากมายแค่ความช่วยเหลือเล็กน้อยและคำพูดที่คอยปลอบใจ ก็สามารถต่อชีวิตใครบางคนที่เค้ากำลังหมดหวังให้เค้ามีความหวังและกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ rythm_beat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณไรท์ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ มันดีมาก ไรท์ทำงานหนักมากเพื่องานชิ้นนี้ เราเองก็ดีใจมากที่ได้อ่านเช่นกันค่ะ

ปล. เป็นเรื่องแรกที่คอมเม้นต์เลย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เราอ่านจบตอนที่ 25 ต้องขอพักสายตามาคอมเม้นต์หน่อยค่ะ

ก่อนอื่น ต้องบอกว่า “ชอบเรื่องแนวนี้มาก” เป็นแนวที่อ่านแล้ว “ได้ความรู้” ดีด้วย
และชื่นชมที่คุณ ‘คนเขียน’ ค้นคว้าข้อมูลมาได้แน่นเปรี๊ยะ แน่นจนดูจะอึดอัดไปด้วยซ้ำ
เพราะข้อมูลหนักแน่นมากจริง ๆ (เราได้ลองตามไปอ่านข้อมูลที่คุณยกมาบอกแหล่งที่มา/แหล่งอ้างอิงในบางหัวข้อด้วยนะคะ)
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ... “สำนวนการเขียน” มันทำให้ทุกอย่างล้นไปหมด จนอ่านแล้ว “มึน” ค่ะ
เริ่มจาก คุณใช้คำได้ฟุ่มเฟือยมากค่ะ
เดาว่า เกิดจากความต้องการให้มันดูหนักแน่นสมบูรณ์แบบ
คำที่หยิบมาใช้ เลยเกินความต้องการไปเยอะ แทบจะทุกบรรทัดเลยค่ะ
ยกตัวอย่างเท่าที่อ่าน และคำพวกนั้นยังวิ่งวนอยู่ในสมองนะคะ

เพราะว่าถ้าหากได้ลองคิดวิเคราะห์ดูให้ดี
ดังนั้นในคาบนี้น่าจะเป็นคาบสำหรับการทำความรู้จักกันเสียมากกว่า และนอกจากนี้
แต่ด้วยเพราะจิตแพทย์แต่ละท่าน ต่างก็มีวิธีในการบำบัดที่แตกต่างกัน
กระทั่งเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงตรง

หรือคำว่า “เพราะ” ... มีเยอะมากพอ ๆ กับ “เพราะเนื่องจาก
ที่เหมือน “ครั้นเมื่อ” กับ “เพียงแค่” ที่ซ้ำเยอะมาก

ถ้าคุณลองลด ละ ตัด เกลา...ลงไป เลือกใช้คำให้พอดี
เรามั่นใจว่า ความหมายจะคงเดิม แต่อ่านง่ายขึ้น และสบายสายตาขึ้น
ที่สำคัญคือ จะช่วยให้ใจความนั้นตราตรึงมากขึ้นด้วย

อีกประเด็นที่เราเจอแทบจะทุกตอน ตั้งแต่ตอน 1 ถึงตอน 25
คือ การอธิบายที่พออ่านไป...ไม่ทันพ้นประโยค ก็กลับรู้สึกค้านกันซะงั้น
หรืออ่านแล้วก็เหมือนถูกฉุด ๆ รั้ง ๆ ให้ยืนงงงวยอยู่เป็นระยะ
ยกตัวอย่างจากตอนที่ 1 ที่เรากลับไปหยิบมาเป็นตัวอย่างได้ง่ายที่สุดนะคะ

“...คืองี้พี่ เมื่อวานนี้ผมไปทำจิตบำบัดที่บ้านของไอ้ชลใช่มั้ย
แล้วบังเอิญวันนั้นฝนแม่งดันตก
ผมเลยต้องนอนค้างที่บ้านหลังนั้นคืนนึง..”
ไอ้บาสมันเล่าไปก็ขมวดคิ้วไป ผมจึงพยักหน้าเพื่อให้มันพูดต่อ เมื่อจู่ๆ มันก็หยุดพูดขึ้นมา...”


เราอ่านแล้ว เอ่อ ... มันเกิดขึ้นเมื่อวาน เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
แต่ทำไมสำนวน พาอารมณ์คนอ่านเหมือนย้อนกลับไป...หลายวันก่อน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน

.
.

ติงมาด้วยรักและชื่นชมนะคะ อยากให้ลองปรับดูค่ะ
เราเชื่อว่า ความสามารถระดับคุณ คุณจะปรับสำนวนได้ดีกว่านี้ //มั่นใจในฐานะที่สอนวิชาการเขียนมาหลายปีค่ะ

เดี๋ยวหายมึนสำนวนภาษาแล้ว เราจะกลับมาอ่านต่อค่ะ
แล้วจะมารีวิวให้นะคะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ mybear_sr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะอยากอ่านตอนน้องจันทร์โตๆกว่านี้อีก

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
สนุกมากค่ะ
เพิ่งอ่านแนวนี้เรื่องแรกเลย
คนเขียนแต่งได้เก่งมากจริงๆ
ความรู้ด้านจิตวิทยามีทุกตอนเลย
เขียนออกมาได้สะท้อนกับปัญหาสังคมมาก
รออ่านตอนพิเศษต่อนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด