ตอน 45
จุดประสงค์ของการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนในค่ำคืนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการหลอมรวม เนื่องจากคุณพีรวัตรต้องการข้อมูลจากโน้ตบุ๊กเครื่องเก่า เพื่อเอามาใช้เป็นแบบฝึกหัดในการเขียน ซึ่งทักษะดังกล่าวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับจันทร์ เพราะอีกฝ่ายต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองลงในหนังสือสักเล่ม เพื่อที่คนในสังคมจะได้ตระหนักถึงการใช้ความรุนแรงทางเพศและความล้มเหลวของสถาบันครอบครัว
ซึ่งการหลอมรวมส่งผลให้ความสามารถของการวาดรูปที่ได้มาจากอัตลักษณ์ของกรวินท์ ยังไม่มีคุณภาพมากเท่าที่ควร ดังนั้นปัญหาดังกล่าวจึงทำให้จันทร์เป็นกังวลเกี่ยวกับการเขียน เพราะทุก ๆ ตัวอักษร จะต้องเขียนจากความทรงจำของทุก ๆ อัตลักษณ์ และยังเกิดขึ้นภายใต้นามปากกาอันมากคุณภาพอย่าง ‘อนธการ’
ดังนั้นงานเขียนชิ้นสำคัญจะถูกตีพิมพ์ได้ก็ต่อเมื่อ..งานเขียนชิ้นนั้นเต็มไปด้วยคุณภาพที่กองบรรณาธิการไว้วางใจ “อันที่จริง.. การฝึกเขียน แทบไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเก่าเลยด้วยซ้ำ” คุณนักเขียนกล่าวในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งพิงหน้าต่างรถและมองออกไปยังบรรยากาศด้านนอกที่เริ่มจะมืดมิดลงทุกที ทุกที..
“แล้วทำไมการฝึกเขียนในครั้งนี้ ถึงมีความจำเป็นต้องใช้มันล่ะ ?” ผมย้อนถามอย่างนึกสงสัย ซึ่งความสงสัยดังกล่าวเริ่มลุกลามไปถึง.. เพราะเหตุใดด็อกเตอร์จึงอนุญาตให้คุณพีรวัตรเดินทางมากับผม ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลที่มักจะอนุญาตให้ผู้ป่วยเดินทางกลับบ้าน
มิหนำซ้ำการมาเอาโน้ตบุ๊กก็ไม่จำเป็นต้องยกโขยงมาขนาดนี้“เพราะผมกำลังสวมบทบาทของ inner self helper (ISH) ล่ะมั้ง” เจ้าของนามปากกาชื่อดังเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย เพราะในขณะที่เจ้าตัวกำลังพูด สายตาจ้องมองออกไปด้านนอกตัวรถตลอดเวลา
“คุณพอจะขยายความเกี่ยวกับบทบาทของ ‘ผู้ช่วยภายใน’ อีกสักนิดได้ไหม ?”
“ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แต่ด็อกเตอร์บอกกับผมว่าสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ มันคือบทบาทของผู้ช่วยที่เป็นเหมือนกับองครักษ์ ซึ่งคุณสมบัติของบทบาทนี้ก็คือความเฉลียวฉลาด การล่วงรู้เกี่ยวกับตัวตนอื่น ๆ และการมีศีลธรรมอันสูงส่ง..”
“…”
“แต่ผมก็ไม่ได้มีศีลธรรมสูงส่งขนาดนั้น..” หลังจากที่คุณพีรวัตรกล่าวออกมาอย่างนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ส่งผลให้ภายในรถมีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศรายล้อมอยู่รอบตัว
“…”
“เพราะผมเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัวในเรื่องของคุณ..”
สิ้นประโยคสุดท้ายที่เขาเก็บงำเอาไว้ ลมหายใจของผมก็เหมือนจะติดขัด เพราะผมยังจดจำได้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทลงไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขา..
ไม่ต้องการให้ผมลืมเลือนตัวตนของอัตลักษณ์นักเขียน “แต่ผมก็ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวจนลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองหรอก” คุณพีรวัตรกล่าวพลางหันมาส่งยิ้มให้ แต่รอยยิ้มของเขากลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเศร้าสร้อยจับใจ
“…”
“เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเดินทางมากับคุณ มันเกี่ยวข้องกับจันทร์..”
“คุณหมายถึง ?” ผมเอ่ยถามอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ อาจเพราะสมองกำลังว่างเปล่า เมื่อเจตนารมณ์แอบแฝงของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความคิด ซึ่งมันทำให้ผมค่อนข้างมีความเข้าใจและไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
“ผมรู้ว่าตอนนี้จันทร์กำลังเครียด เพราะการจะเขียนหนังสือสักเล่ม มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการเขียนในครั้งนี้จะถูกเขียนขึ้นภายใต้นามปากกาของผมที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจะยอมรับในฝีมือ เขาก็ยิ่งเป็นกังวลกลัวว่าจะทำให้ผมเสียหาย กลัวว่าจะเขียนออกมาได้ไม่ดี กลัวว่าจะไม่ผ่านการพิจารณกับทางสำนักพิมพ์ เพราะเจตนาของเด็กคนนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะได้รับความผิดหวังคืนกลับมา..”
“แต่ผมว่า.. มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะไม่เคยพบเจอกับความผิดหวัง”
“ใช่ ด็อกเตอร์ก็เคยบอกกับจันทร์แบบนั้น เพราะฉะนั้นการฝึกเขียนด้วยข้อมูลเก่าๆ เลยถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจันทร์ เพราะอย่างน้อยถ้าหากอะไรๆ มันไม่เป็นไปตามหวัง จันทร์ก็ยังมีภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ‘ความทุ่มเท’ รองรับอยู่ และการกลับมายังสถานที่ที่คุ้นเคย อาจจะช่วยให้จันทร์คลายความกังวลไปได้บ้าง”
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มให้กับคนข้างกาย ที่ถึงปากเขาจะบอกว่าตนเองไม่ได้มีศีลธรรมสูงส่งอะไร แต่ในความเป็นจริงจิตใจของเจ้าตัวกลับเต็มไปด้วยศีลธรรมที่มีต่ออัตลักษณ์หลักอย่างจันทร์
กระทั่งการเดินทางเริ่มก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบ้านกลางป่าสน บรรยากาศรอบกายจึงเต็มไปด้วยความเงียบสงัดและมืดมิด แสงไฟจากหน้ารถจึงมีโอกาสทำหน้าที่อย่างเต็มที่
“ครั้งนี้พอไม่ได้เห็นดอกสโนว์ดรอปส์ ผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัว มันค่อนข้างหดหู่” คุณพีรวัตรกล่าวในขณะที่สายตายังคงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเหมือนอย่างเคย
“นั่นสินะ” ผมตอบรับเสียงแผ่ว เพราะผมเข้าใจดีว่า ‘ความหดหู่’ ที่พวกเรากำลังเผชิญ เกิดจากการที่เจ้าของดอกไม้ชนิดดังกล่าวทอดทิ้งพวกมันไว้อย่างไม่ใยดี
ซึ่งเหตุผลของการกระทำนั้นก็น่าจะเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่เขาเป็นทันทีที่ไฟหน้ารถดับสนิท ความมืดมิดก็เข้ามาทักทาย เหตุเพราะแสงจันทร์ไม่ได้สว่างไสวอะไรนัก หากแต่ใครบางคนกลับยืนหมุนตัวมองรอบ ๆ กาย ราวกับเขายังไม่อาจปรับตัวให้คุ้นชินกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ
แววตาของผมจึงเพ่งพิจารณาไปยังใครคนนั้นที่กำลังยืนอยู่อีกฟากฝั่งของตัวรถ
“จันทร์ ?”
“ครับ ?” สิ้นคำตอบรับของคนตรงหน้า ผมก็รีบฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงเป็นการด่วน
เพราะผมยังคงจดจำได้ดีว่าจันทร์หวาดกลัวความมืด“จันทร์ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่รวดเร็วขนาดนี้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าว พร้อมกับเดินไปทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่อยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร
“ทำไมล่ะ ?” ผมเดินเข้ามานั่งเคียงข้างพร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ที่ในเวลานี้กำลังทำหน้าที่เป็นไฟฉายอย่างมั่นคง
“ตอนที่จันทร์หลับจันทร์รู้สึกเหมือนกับว่าเวลามันผ่านไปยังไม่ทันจะครบอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ” คำตอบจากอีกฝ่ายทำให้ผมเข้าใจว่าการเดินทางมายังบ้านกลางป่าสน น่าจะผ่านความเห็นชอบจากทุก ๆ อัตลักษณ์ ซึ่งมันก็ทำให้ผมค่อนข้างจะเบาใจ เพราะการรับมือกับอัตลักษณ์ที่ยังหลอมรวมไม่สมบูรณ์ มันค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเขามีความหวาดระแวงที่อาจจะเป็นผลพวงมาจากการล่วงละเมิดทางเพศของน้องลียากร ผสมปนเปไปกับความหวาดกลัวของน้องจิม จึงส่งผลให้ทันทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ความไม่ปลอดภัยจึงผลักดันให้เขามีปฏิกิริยาในการรับมือค่อนข้างยาก
และการกลับมายังบ้านกลางป่าสนก็ทำให้ผมเป็นกังวล.. เพราะสถานที่แห่งนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำทั้งดีและไม่ดี“ยังไม่ชินอีกเหรอ ?” ผมย้อนถามพร้อมกับมองจ้องอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่เลยครับ.. ไม่เคยชินเลย” สิ้นคำตอบรับ เราทั้งคู่ก็ถูกห้อมล้อมด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไรที่กำลังส่งเสียงแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของผืนป่าแห่งนี้
“ไปเดินเล่นสักหน่อยดีไหม ไหน ๆ จันทร์ก็มีโอกาสได้กลับมาที่นี่แล้ว” ผมเอ่ยถามคนข้างกายที่กำลังแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อย พร้อมกับย่ำปลายเท้าลงบนผืนดินเพียงเบา ๆ อย่างผ่อนคลาย
“ครับ” ฝ่ายคนถูกถามนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบตกลงอย่างไม่คิดลังเล
“ถ้าอย่างนั้นพี่เข้าไปเอาเทียนหอมก่อนดีกว่า เพราะโทรศัพท์แบตใกล้จะหมดแล้ว”
“ยังไม่สามทุ่มเลยครับ พี่ภัทรไม่เอาเข้าไปชาร์ตก่อนเหรอ ?” จันทร์เอ่ยถาม เมื่อผมถือวิสาสะยัดโทรศัพท์คู่ใจใส่มือของเจ้าตัว
“ให้มันอยู่เป็นเพื่อนจันทร์ดีกว่า พรุ่งนี้พี่ค่อยเอาไปชาร์ตที่โรงพยาบาลก็ได้” ผมตอบพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิทมาหลายปีแล้ว ผมเลยต้องใช้กุญแจที่ได้มาจากคุณพีรวัตรไขเข้าไป จนกระทั่งพบเจอกับความมืด ผมก็ต้องอาศัยความเคยชินในการคลำทางไปยังห้องใต้หลังคาอันเป็นที่ตั้งของเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์
แต่แล้วปลายเท้าของผมก็ชนเข้ากับอะไรสักอย่างจนได้ยินเสียงดัง ‘ครืดดดด’ ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างปัดป่ายไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุ จนกระทั่งอนุมานได้ว่าเจ้าของสิ่งนั้นที่กำลังขวางทางผมอยู่ มันคือ ‘เก้าอี้’ ที่คุณชลวิทย์เคยใช้เป็นอุปกรณ์ในการฆ่าตัวตาย
ซึ่งวิธีการที่เขาใช้.. แม้จะไม่มี ‘เชือก’ อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ทำให้เสียเวลาในการคาดเดาสักนิด และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมยอมปล่อยให้จันทร์นั่งรออยู่ข้างนอก เพราะผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้จะมีอะไรสร้างความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของอีกฝ่ายบ้าง
“น่าแปลกนะครับที่พี่ชลปล่อยปละละเลยดอกไม้พวกนี้” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อตลอดเส้นทางการเดินรถที่ขนาบไปด้วยทิวสนป่า กลับไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์ที่เคยเป็นดาวเด่นในช่วงเดือนนี้หลงเหลืออยู่เลย
“ที่เป็นแบบนั้น อาจเป็นเพราะโดยปกติแล้ว คนที่เป็นโรคซึมเศร้า มักจะหมดความสนใจในเรื่องที่เคยสนใจ” ผมอธิบายพลางกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น เมื่อต้องกล่าวถึงใครคนหนึ่งที่เคยทรยศต่อความไว้วางใจของจันทร์
“พี่ภัทรเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมจันทร์ถึงกลัวดอกสโนว์ดรอปส์” แต่แล้วจันทร์ก็หันเหความสนใจของตัวเองไปยังหัวข้อสนทนาอื่น
“เคยสิ.. แต่พี่ไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่ามันจะทำให้จันทร์นึกถึงเรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง”
“แต่ในความเป็นจริง ถึงพี่ภัทรไม่ถามจันทร์ก็ไม่เคยหยุดนึกถึงมันได้สักที” เมื่อได้ฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย ปลายเท้าของผมก็เสียจังหวะในการก้าวเดินทันที
“…”
“เพราะฉะนั้น จันทร์เล่าให้พี่ภัทรฟังได้นะ..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มันให้ความรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังฝืนทน ซึ่งความฝืนทนดังกล่าวทำให้ผมไม่อยากรับฟังเรื่องราวใด ๆ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าจันทร์คงกำลังเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความทุกข์ใจของตนเอง เพราะที่ผ่านมาจันทร์มักจะเก็บงำเรื่องราวต่าง ๆ ไว้กับตัวเอง
จนกระทั่ง ‘ความแตกสลาย’ มาเยือนซึ่งสาเหตุที่ทำให้จันทร์กลายเป็นคนชอบเก็บงำก็มาจากการที่ ‘นายโชค’ ข่มขู่ทั้งทางวาจาและการกระทำ“จริง ๆ แล้ว แม่ของจันทร์ชอบดอกเก๊กฮวยมาก คงเพราะมันมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์มั้งครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า โดยมีเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์คอยให้แสงสว่าง ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบเพื่อเป็นผู้ฟังที่ดี
“ส่วนลีคงได้รับอิทธิพลทางความชอบมาจากแม่..”
“แล้วจันทร์ล่ะชอบดอกเก๊กฮวยไหม ?” ผมเอ่ยถามอย่างสนใจ เพราะการสอบถามในวันนี้เป็นการสอบถามโดยที่จันทร์ยังมีความทรงจำในส่วนของอัตลักษณ์หลักอย่างสมบูรณ์
“เคยชอบครับ” จันทร์ตอบเสียงแผ่วพลางยกยิ้มเจือเศร้า ซึ่งผมก็เข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่ายดี เพราะดอกไม้ชนิดนี้ถือเป็นดอกไม้เศรษฐกิจของหมู่บ้าน
ดังนั้นแม้แต่กลิ่นหอมของมัน.. ก็อาจจะทำให้จันทร์เจ็บปวดได้“บ้านของจันทร์เป็นบ้านเรือนไทยทำจากไม้ทั้งหลัง และดอกเก๊กฮวยก็ทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยความสดชื่น”
“ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน จันทร์กับลีจะต้องจูงมือกันไปที่สวนเก๊กฮวยของพ่อ เพื่อเอาพวกมันมาประดับแจกันให้ทั่วบ้าน”
“เพราะมันเป็นของสิ่งเดียวที่แม่ไม่กล้าทำลาย” จันทร์กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นระยะ ราวกับว่าในขณะที่เจ้าตัวกำลังพูดถึงเรื่องราวในวันวาน น้ำตาก็พาลจะไหล ซึ่งเจ้าตัวไม่อยากจะเปิดเผยด้านอ่อนแอให้ผมเห็น ก็เลยพยายามจะหยุดยั้งปฏิกิริยาทางความรู้สึกที่มันค่อยๆ กลายร่างเป็นรูปธรรมอย่างแข็งขัน
“วันที่ไฟไหม้..” จันทร์เอ่ยเสียงสั่นเครือ ผมจึงได้แต่กระชับฝ่ามือของเราให้แนบแน่น
“จันทร์มองเห็นดอกไม้พวกนั้น ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวไฟเหมือนกับจันทร์”
จากคำบอกเล่าดังกล่าวทำให้ผมตีความได้ว่าแท้ที่จริงจันทร์อาจจะไม่ได้กลัวดอกสโนว์ดรอปส์อย่างที่เข้าใจ หากแต่สิ่งที่เจ้าตัวหวาดกลัวมันคือดอกไม้สีขาว ซึ่งทั้งชีวิตของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็แทบจะไม่เคยเห็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับดอกเก๊กฮวยและดอกสโนว์ดรอปส์ มิหนำซ้ำเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ก็ยังเกาะกลุ่มจนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวคล้ายคลึงกับทุ่งดอกเก๊กฮวยที่สะเมิง ดังนั้นอาการแพนิคที่มีผลพวงมาจากโรคโฟเบียของจันทร์ น่าจะเกิดจากการที่อีกฝ่ายมองเห็นภาพของดอกไม้กำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้
สื่อให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวกำลังตกอยู่ในทะเลเพลิงอันน่าหวาดหวั่น“หลังจากนั้น..” จันทร์กล่าวพลางเว้นระยะหายใจครู่ใหญ่
“ประตูไม้ที่กำลังถูกไฟไหม้ก็หล่นลงมา จันทร์ตกใจกลัวจนร้องไห้ตัวสั่น แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความหวาดกลัวของจันทร์ ควันไฟทำให้จันทร์สำลักจนหน้าดำหน้าแดง แล้วสักพักจันทร์ก็เริ่มหายใจไม่ออก แถมผิวก็แสบร้อนไปหมดเพราะความร้อนของเปลวไฟกำลังแผดเผาทุกสิ่งอย่าง..”
“เพียงแต่.. การแผดเผาของมัน แตกต่างกับที่พ่อกับแม่และลีเคยเจอ” สิ้นคำบอกเล่าปฏิกิริยาของจันทร์ก็เริ่มแปลกไป
ราวกับว่า..อีกฝ่ายกำลังพาตัวเองหวนคืนกลับไปยังวันวาน “พี่ว่าเราไปนั่งพักตรงริมลำธารกันดีกว่า” ผมเสนอพลางประคองจันทร์ที่เริ่มจะหายใจติดขัด ขณะที่เจ้าตัวก็ได้แต่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปกับความทรงจำที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงสดใหม่เสมอ จึงทำให้ทั้งแววตาและการรับรู้ของจันทร์ในเวลานี้ มีแต่ความเฉยเมยเป็นส่วนใหญ่
เหตุเพราะสถานการณ์ต่อจากนั้น.. มันคือช่วงเวลาของความสูญเสียที่ไม่มีวันจะลบเลือน゚゚❀゚゚
[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
ตอนแรกคิดว่าจะปั่นเสร็จวันอาทิตย์ ดันปั่นเสร็จวันนี้รวดเดียวเฉยเลย 555 แต่เรามีอะไรจะบอก คือว่ามันจบไม่ลงตัวที่ 46 ตอนค่ะ เพราะว่าเราเกิดเปลี่ยนใจ ไม่เขียนถึงภาพวาดกวางที่มีเถาวัลย์เกี่ยวในตอนนี้ คือเรื่องของเรื่อง เราพิจารณาเอาเองว่ามันน่าจะเหมาะสมที่จะพูดถึงในช่วงที่หลอมรวมทุกตัวตนเสร็จแล้วมากกว่า ก็เลยต้องขยับออกไปเป็นจบที่ 47 ตอนนะ (คิดว่างั้น 555)
ปล. บทบาทของผู้ช่วยภายใน หรือ ISH คุณสมบัติต่างๆ เราเอามาจากหนังสือของคุณบิลลี่นะคะ