εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)  (อ่าน 49422 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“แล้วหนูทำยังไงให้พี่จันทร์รับรู้ถึงการมีอยู่ของหนูล่ะ ?” จากคำถามของด็อกเตอร์ ทำให้ผมตีความได้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะคำตอบของลี จะหมายถึงการมีอยู่ของอัตลักษณ์ดังกล่าวรวมไปถึงสาเหตุต้นเรื่องที่ในตอนนี้เริ่มจะกระจ่างแจ้งบ้างแล้วว่าจันทร์สร้างอัตลักษณ์ของลีขึ้นมาเพื่อ หลอกตัวเองว่าครอบครัวของเขายังคงอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ซึ่งคำว่า ‘ครอบครัว’ ก็น่าจะมีทั้งพ่อแม่และน้องสาวอย่างครบถ้วน เพียงแต่สาเหตุของการเสียชีวิต เราอาจจะต้องไปตามล่าหาความจริงกับอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ อีกที เพราะอัตลักษณ์ของเด็กคนนี้หลับใหลไปตั้งแต่ตอนที่น้องลีถูกสร้างขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องวุ่นวายที่เขาสร้างไว้ก็ยังคงอยู่
ดังนั้นคนที่ต้องรับเคราะห์จากการกระทำของ ‘จิม’ จึงมีเพียงสองคนอีกทั้งยังต่างช่วงเวลากัน เนื่องจากจันทร์ต้องมารับเคราะห์ตั้งแต่จิมเริ่มจะรู้ความมากขึ้น จึงส่งผลให้ความดื้อรั้นและความแสบก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนน้องลีต้องคอยรับเคราะห์จากผลงานชิ้นสุดท้ายที่จิมฝากร่องรอยเอาไว้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าอัตลักษณ์ของจิมกับน้องลีมีความคล้ายคลึงกันตรงที่พวกเขาทั้งสองต่างก็มีการเจริญเติบโตไปตามช่วงวัยของเด็กทั่วไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับจันทร์ เพียงแต่จุดเริ่มต้นของอายุอาจจะแตกต่างกัน และช่องว่างของเวลาก็ทำให้ผมทราบว่าช่วงที่อัตลักษณ์ของน้องลีเกิดขึ้น น่าจะห่างจากช่วงที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ไม่นาน
เพราะว่าในตอนนั้นจันทร์อายุเพียงแค่ 4 ขวบ
ซึ่งก็เป็นช่วงอายุเดียวกันกับลี ตอนที่เธอ ‘ออกโรง’ เป็นครั้งแรกในปี 2550
 
“พวกเสื้อผ้าแล้วก็ข้าวของเครื่องใช้สำหรับผู้หญิงไงคะ” คำตอบของน้องลีก็ไม่ต่างกับหลักความเชื่อที่คุณชลวิทย์ป้อนให้จันทร์หลังจากที่ทราบความเป็นจริงทั้งหมด และสาเหตุที่ทำให้หลักความเชื่อดังกล่าวดูแนบเนียน คงจะเป็นเพราะลีก็มีต้องการจะป้อนข้อมูลให้จันทร์ด้วยวิธีการไม่ต่างกัน
เพียงแต่จุดประสงค์ของทั้งสองคนมันแตกต่างกันมากก็เท่านั้น

“เท่าที่หมอทราบมาจากหมอภัทร หนูชอบออกมาใช้ชีวิตในช่วงฤดูที่ดอกสโนว์ดรอปส์บานแทบทุกครั้ง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ คือหมอกำลังสงสัยว่ามันมีเหตุผลเชื่อมโยงไปกับความทรงจำที่ขาดหายของคุณเพียงจันทร์หรือเปล่า”
“อันที่จริงหนูเพิ่งจะทำแบบนั้นหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าพี่จันทร์จะปลอดภัย” น้องลียากรเอ่ยตอบด้วยถ้อยคำตะกุกตะกักแสดงถึงการขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกได้ว่าความจริงที่เธอบอกเล่ามีเพียงครึ่งเดียว

“ช่วงเวลาที่ปลอดภัยในความหมายของหนู คือตอนที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสนใช่หรือเปล่า ?”
“ใช่ค่ะ แต่ว่าสาเหตุที่หนูออกมาใช้ชีวิตเฉพาะช่วงนั้น เป็นเพราะหนูชอบทุ่งดอกไม้สีขาว แม้ว่าอันที่จริงดอกไม้ที่หนูชอบจะเป็นดอกเดซี่กับดอกเก๊กฮวยก็ตาม แต่ว่าที่บ้านกลางป่าสนไม่ได้ปลูกไว้ หนูเลยเลือกจะออกมาใช้ชีวิตแค่ช่วงเวลานั้น”

“อย่างบ้านที่สะเมิงหนูก็ชอบแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงออกมาวิ่งเล่น แล้วก็ฮัมเพลงที่หนูชอบทุกคืนเหมือนกันค่ะ เพราะหนูชอบดอกไม้” คำบอกเล่าของเด็กสาวทำให้ผมนึกถึงข้อความภาษาอังกฤษที่แปลความหมายในทำนองว่า..
‘ที่ใดมีดอกไม้ ที่นั่นย่อมมีความหวัง’

“อ่า.. หมดคาบปรึกษาซะแล้วล่ะ เอาไว้เราค่อยกลับมาคุยกันใหม่นะ” ดร. อาทิตย์กล่าวพลางมองนาฬิกาเมื่อถึงเวลาอันสมควรแก่การพักยก
“ได้ค่ะ” สิ้นคำตอบของน้องลีภาพในโปรแกรมสำหรับเล่นวีดิโอก็ดับมืดลง เหลือทิ้งไว้เพียงคำถามที่ยังคงค้างคาใจ ซึ่งก็หนีไม่พ้นข้อความภาษาอังกฤษที่วางอยู่ในห้องของน้องลีว่ามันหมายถึงความหวังในเรื่องใด เพราะจากการให้สัมภาษณ์เกี่ยวช่วงเวลาที่ตัวเองแต่งหญิงออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก ท่าทีของน้องลีดูแปลกๆ อีกทั้งช่วงเวลาที่น้องลีออกมาใช้ชีวิตที่บ้านกลางป่าสนช่วงที่ผมเดินทางไปที่นั่น เธอก็ดูแปลกๆ คล้ายกับมีการระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ซึ่ง ‘การระวังตัว’ ในที่นี้ ผมเพิ่งจะมาวิเคราะห์ได้ว่าท่าทางแบบนั้นมันออกจะคล้ายๆ การระแวดระวังเสียมากกว่า..
เพราะขนาดผมสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ แต่ทว่าผมก็ยังถูกเธอจับได้

ดังนั้นการออกมาใช้ชีวิตของน้องลีแค่ช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์ผลิบาน จึงยังเป็นปริศนาที่เราจะต้องหาคำตอบกันต่อไป เนื่องจากผมรู้สึกว่า..
ปริศนาดังกล่าว
น่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

เดิมทีผมเคยสันนิษฐานสาเหตุไว้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นช่วงที่จันทร์เกิดเรื่องก็เป็นได้ แต่ดูจากท่าทางของน้องลีแล้ว มันน่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของน้องเสียมากกว่า ซึ่งเหตุผลที่ว่าคงจะเกี่ยวเนื่องกับความชอบ
และความชอบก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายในภัยมืด

กระทั่งช่วงเวลาแห่งการเลิกงานเดินทางมาถึง ผมก็เดินตรงไปยังห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วยที่ปกติจะมานอนเฝ้าไม่ได้ เนื่องจากการเข้าและออกวอร์ดจิตเวชเป็นอะไรที่เข้มงวดมาก ทุกคนที่มีความจำเป็นจะเดินทางมาที่นี่ต้องเซ็นชื่อเข้าออกทุกครั้ง แต่ด้วยความที่ผมเป็นห่วงจันทร์ บวกกับใช้เส้นของพ่ออีกนิดหน่อย ผมก็เลยมานอนเป็นเพื่อนจันทร์ได้ อีกอย่างอาการของจันทร์ก็ยังอยู่ในช่วงสังเกตการณ์และเฝ้าระวังอัตลักษณ์ที่อาจจะก่อความวุ่นวาย ผมจึงอาศัยช่วงเวลานี้ค้นหาความจริงรวมไปถึงการบำบัดนอกเวลางานที่ผมเต็มใจจะทำอย่างทุ่มเท

“จันทร์” ผมเอ่ยเรียกใครบางคนที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง ราวกับรอคอยว่าเมื่อไหร่ผมจะเข้ามาปรากฏตัวในห้องนี้ จึงไม่ยากเย็นที่ผมจะรับรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้เป็นใคร เมื่อท่าทีแห่งการรอคอย มักจะมีแต่จันทร์เท่านั้นที่ชอบแสดงออก
“รอพี่เหรอ ?” ผมเอ่ยถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้างเตียงคนป่วย

“ครับ”
“…” สิ้นคำตอบรับเพียงสั้นๆ ผมก็ยกยิ้มตรงมุมปากเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งเงียบเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้มานั่งรอผมแบบนี้

“จันทร์ขอโทษที่จันทร์ผิดสัญญา”
“พี่เข้าใจจันทร์นะ เพราะโรคหลายอัตลักษณ์ที่จันทร์เป็น แต่ละตัวตนจะสลับกันออกมาใช้ชีวิต โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว” ผมกล่าวพลางกอบกุมฝ่ามือทั้งสองข้างของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน

“พี่ภัทร..”
“หืม ?” ผมเงยหน้ามองจันทร์ จากนั้นก็แนบใบหน้าลงบนตักของอีกฝ่าย พร้อมทั้งใช้สองมือโอบรอบเอว เพื่อที่เจ้าตัวจะได้กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะอธิบายให้ผมฟัง

“เรื่องวันนั้น..”
“…”

“ไม่สิ ความทรงจำสุดท้ายของจันทร์ คือตอนที่จันทร์กำลังนอนอยู่บนเตียงกับพี่ภัทร จันทร์ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นเราจูบกันแล้วจันทร์ก็เกิดอาการแพนิค หลังจากนั้นเราก็นอนจับมือกันและจันทร์ก็หลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จันทร์กำลังเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงของพี่ชล โดยที่จันทร์รู้สึกได้ทันทีว่าก่อนหน้านั้นต้องเกิดเรื่องที่จันทร์ไม่สามารถทำมันได้แน่ๆ พี่ภัทรก็รู้ว่าจันทร์เคยมีอาการแพนิค แถมยังมองเห็นภาพของคนกำลังร่วมรักกัน แล้วจันทร์จะไปทำอะไรแบบนั้นกับพี่ชลได้ยังไง จริงไหมครับ ?”
“อื้อ” ผมส่งเสียงงึมงำตอบอีกฝ่าย จากนั้นก็พยายามจะโอบกอดรอบเอวของจันทร์ให้แน่นขึ้น

“แต่จันทร์ก็รู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง เพราะสถานการณ์ตอนนั้นมันอธิบายได้ทุกอย่าง แล้วจันทร์ก็รู้สึกขยะแขยงสัมผัสแบบนั้นมากๆ ที่สำคัญจันทร์ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นไปล้างตัว เพราะอาการแพนิคกำเริบ แล้วจันทร์ก็รับไม่ได้ที่พี่ชลทำแบบนั้นกับจันทร์.. เพราะเราสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แล้วจันทร์ก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับพี่ชลแม้แต่นิดเดียว”
“พี่เชื่อจันทร์นะ” ผมละฝ่ามือข้างหนึ่งออกจากรอบเอวของจันทร์ จากนั้นก็ดึงข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ริมฝีปากพลางจุมพิตเพียงเบาๆ เพื่อให้คนที่กำลังหวาดหวั่นได้อุ่นใจว่าผมจะไม่ทอดทิ้งหรือมองเขาเป็นเด็กขี้โกหกอย่างที่เคยหวาดกลัว
เพราะผมเข้าใจดีว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จันทร์กระทำ มันมีเหตุผลและก็มีที่มาที่ไป

“พี่ภัทรรู้ไหม ตอนที่พี่ภัทรเดินหนีไป มันเหมือนกับว่าโลกถล่มลงมาตรงหน้าจันทร์ เพราะพี่ภัทรคือคนที่ทำให้จันทร์เชื่อมั่นว่าถ้าหากมีพี่ภัทรอยู่ จันทร์จะต้องปลอดภัย เลยทำให้จันทร์คิดจะทำร้ายตัวเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบ โชคดีที่จันทร์หลับไปก่อนไม่อย่างนั้นจันทร์คงต้องเสียดายอนาคตมากแน่ๆ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อเขามองมายังผมที่กำลังนอนหนุนตัก ทำเอาผมต้องเอื้อมมือขึ้นไปซับมันออกด้วยความเป็นห่วงอย่างทุลักทุเล
“การที่พี่ภัทรช่วยชีวิตจันทร์ไว้ตอนที่จันทร์เกิดอาการแพนิค หรือว่าการที่พี่ภัทรพาจันทร์ออกไปเดินเที่ยวท่ามกลางป่าสนทั้งๆ ที่จันทร์หวาดกลัว แต่สุดท้ายพี่ภัทรก็ทำให้จันทร์เชื่อมั่นว่าจันทร์จะปลอดภัยคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้จันทร์เริ่มชอบพี่ภัทรมากขึ้นเรื่อยๆ”

“เพราะแบบนี้ตอนที่พี่พาจันทร์เดินไปตามเส้นทางวิบากในคาบบำบัด จันทร์ก็เลยเชื่อใจพี่ได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ใช่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางส่งยิ้มไปให้กับคนที่แววตากำลังขังคลอด้วยหยดน้ำตา
“ครับ กิจกรรมนั้นทำให้จันทร์นึกถึงช่วงเวลาที่เราเดินเข้าไปในป่าสน และตอนนั้นพี่ภัทรก็ไม่ทำให้จันทร์ได้รับอันตรายใดๆ แม้ว่าจันทร์จะเกิดอาการแพนิค แต่จันทร์ก็เชื่อว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้ถ้าหากมีพี่ภัทรอยู่กับจันทร์” จันทร์กล่าวพลางลูบข้างแก้มของผมเล่นและมองเข้ามายังนัยน์ตาของผมที่กำลังจ้องมองเจ้าตัวอยู่

“อันที่จริงหลังจากจันทร์หลับไปแล้ว พี่เป็นคนพาจันทร์ออกมาจากบ้านหลังนั้นและคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้จันทร์เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องก็คือพี่ เพราะพี่จับสังเกตเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ที่จันทร์เป็น ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่บ้านกลางป่าสนได้สักพักใหญ่แล้ว”
“พอได้ฟังแบบนี้จันทร์ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ตอนนั้นจันทร์หลับไป” จันทร์เอ่ยพลางย่นจมูกเพียงเล็กน้อย ผมจึงยกปลายนิ้วขึ้นตีปลายจมูกของเจ้าตัวด้วยความเอ็นดู

“จันทร์ยังจำดอกเนโมฟีลาได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามขณะที่กำลังขยับตัวให้นอนหนุนตักของอีกฝ่ายในท่าทางที่สบายขึ้น โดยเป้าหมายของผมก็คือในระยะสายตาจะต้องมองเห็นใบหน้าของจันทร์อย่างชัดเจน
“จำได้ครับ พี่ภัทรเคยบอกว่าดอกไม้ชนิดนี้เหมือนกับจันทร์”

“อื้ม เพราะฉะนั้นพี่ถึงอยากให้จันทร์เป็นดอกเนโมฟีลาที่ถึงแม้จะถูกตัดเอามาปักแจกันก็ยังไม่แห้งเหี่ยวหรือว่าร่วงโรย เพราะแจกันใบนั้นตั้งอยู่ในห้องของใครบางคนที่เปรียบเสมือนกับผึ้งที่ชอบดอมดมดอกเนโมฟีลา เขาก็เลยอยากให้ดอกไม้ชนิดนี้ที่มีเพียงแค่ดอกเดียวในแจกันคอยอยู่เคียงข้างเขา” หลังจากกล่าวอ้อมโลกผมก็ดึงฝ่ามือของอีกฝ่ายมาจุมพิตอีกครั้ง โดยที่ใจความของประโยคดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงออกถึงความห่วงใยและความพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคนคนนี้ เพราะผมรู้ดีว่าการรักษาโรคทางใจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาอย่างยาวนาน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าหากจันทร์จดจำเรื่องราวทั้งหมดได้ เขาจะรับมันได้หรือเปล่า ผมถึงได้บอกให้เขาเป็นดอกไม้ที่ไม่มีวันแห้งเหี่ยวเพื่อที่เจ้าตัวจะได้ไม่ยอมแพ้กับการต่อสู้กับความทรงจำในอดีตที่เป็นเหมือนกับฝันร้าย ซึ่งในตอนนี้จันทร์คงจะยังไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้ง คงต้องรอจนกว่าช่วงเวลานั้นจะเดินทางมาถึงเพื่อที่ความกระจ่างจะได้บังเกิด
“ครับ” จันทร์เอ่ยตอบรับเพียงเบาๆ จากนั้นใบหน้าของเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ในระยะที่โฟกัสทางสายตาเริ่มจะพร่าเบลอ เพียงไม่นานสัมผัสนุ่มหยุ่นก็ประทับลงบนหน้าผากของผมอย่างเชื่องช้า
เนื่องจากว่า..
คนป่วยเขาให้คำมั่นสัญญาในรูปแบบของภาษากายเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง


゚゚❀゚゚

[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง

- IQ คืออะไร สามารถวัดได้อย่างไร
https://www.facebook.com/EnglishBoulevard/posts/1026585777432974:0


ส่วนอันนี้คือระดับของ IQ ค่ะ เผื่อใครอยากเทียบว่าแต่ละอัตลักษณ์มี IQ ประมาณช่วงไหน

144 ขึ้นไป = อัจฉริยะ
130-144 = ปัญญาเลิศ
115-129 = เหนือค่าเฉลี่ย
100-114 = สูงกว่าค่าเฉลี่ย
85-99 = ค่อนข้างต่ำ
70-84 = ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
55-69 = คาบเส้น
น้อยกว่า55 = ต่ำ

สำหรับตอนนี้อาจจะยาวหน่อย แต่ก็น่าจะเข้าใจความคาบเกี่ยวของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่มันก็ยังมีจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปอยู่อีก ก็ต้องรอการปรึกษาในคาบต่อไปอีกที ว่าจะมีอะไรคลายออกมาบ้าง เราเห็นมีคนบ่นว่าทำไมดูไม่มีอะไรคลายลงเลย ทำไมมีแต่ปริศนาเต็มไปหมด คือของแบบนี้มันไม่ได้คลายได้เพราะแค่พี่หมอสงสัยนะ มันต้องอาศัยการรักษาทางจิตวิทยา มันเลยต้องค่อยๆ คลายปมทีละนิดๆ เหมือนกับตอนที่ทิ้งปมนี่แหละจ้า สำหรับเรื่องนี้ถึงมันจะดูปมหนัก แต่ในด้านของความรักระหว่างพี่หมอกับจันทร์ เราไม่ได้มีแพลนจะเขียนดราม่าอะไรเลย ฉะนั้นโทนเรื่องมันจะออกแนวอบอุ่นละมุนนิดๆ มากกว่า พูดง่ายๆ คือมันเป็นโทนสีเทาเพราะความหลังของจันทร์นี่แหละ
ปล. คาดว่าเราน่าจะเขียนจบแบบสมบูรณ์ที่ 40 ตอนนะ เราเกลี่ยพล็อตแล้ว แต่เขียนจริงไม่รู้ว่าจะพอดีกับที่เกลี่ยไว้มั้ย เพราะเวลาเขียนจริงเราชอบเขียนไม่ตรงตามที่วางไว้ 555


อันนี้เราทำตารางเฉลยเอาไว้ เผื่อใครอ่านเรื่องแล้วยังเรียงลำดับความทรงจำของน้องจันทร์ไม่ถูก เราเลยเทียบกับช่วงอายุของจันทร์เป็นหลัก

2561 อายุ 15 : จันทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง + หมอภัทรเข้ามาวนเวียนอยู่ที่บ้านกลางป่าสน + ชลวิทย์พยายามจะกดอัตลักษณ์หลักไม่ให้ตื่นขึ้น + จันทร์ได้รับการรักษา
2560 อายุ 14 : คุณนักเขียนใช้เวลาในการยอมรับความจริง (ปีกว่า)
2559 อายุ 13 : เกิดอัตลักษณ์ของคุณนักเขียน
2558 อายุ 12 : เกิดอัตลักษณ์ของกร + หนีออกมาจากบ้านที่สะเมิง + มาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน + จันทร์หลับไปแล้วไม่ได้ออกมาอีก + น้องลีเริ่มออกมาเฉพาะฤดูสโนว์ดรอปส์บาน
2557 อายุ 11
2556 อายุ 10
2555 อายุ 9
2554 อายุ 8
2553 อายุ 7
2552 อายุ 6
2551 อายุ 5
2550 อายุ 4 : อัตลักษณ์ของน้องลีถูกสร้างขึ้น + เหตุการณ์ไฟไหม้ + ย้ายมาอยู่ที่บ้านป้าเข็ม + จิมหลับไปแล้ว
2549 อายุ 3  : จันทร์รู้จักการรับมือกับปัญหา = หลับตาแล้วหายตัวได้ + อัตลักษณ์ของจิมเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น + ครอบครัวไม่อบอุ่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 23:55:17 โดย Chomin »

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 31

เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนใหม่แผนการรักษาก็ย่อมต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ นับตั้งแต่จันทร์มีอายุได้เพียง 4 ขวบ ยังไม่เคยออกมาปรากฏตัวเลยสักครั้ง ดังนั้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เราอาจจะต้องใช้วิธีการสะกดจิตควบคู่ไปกับการบำบัดด้วยวิธีอื่น เนื่องจากคุณพีรวัตรยังไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับอัตลักษณ์ดังกล่าวได้ ขณะที่ทางทีมรักษาก็มีความต้องการให้แต่ละอัตลักษณ์ นึกย้อนความทรงจำกลับไปยังวันวานให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นช่วงเช้าของวันนี้ ด็อกเตอร์อาทิตย์จึงมีแผนจะพูดคุยกับจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของอาการป่วยอย่างกระจ่างแจ้ง โดยจิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงจะทำการเปิดคลิปวีดิโอบางส่วนที่บันทึกไว้ให้อีกฝ่ายดู เนื่องจากหนึ่งในอัตลักษณ์ที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนสร้างขึ้นเป็นอัตลักษณ์ที่มีความละเอียดอ่อนด้านความรู้สึก ทีมรักษาอย่างเราๆ จึงเกรงว่าจันทร์อาจจะรับมือกับความเป็นจริงในข้อนี้ไม่ไหว
เพราะการมีอยู่ของอัตลักษณ์ ‘น้องลี’
ทำให้จันทร์ได้รับรู้ว่า ‘การจากตาย’ มักจะโหดร้ายต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ..

กระทั่งช่วงใกล้เที่ยงบันทึกการรักษาก็เดินทางมาถึง ทันทีที่ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ดังกล่าว ภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันแสนอบอุ่นก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับอัตลักษณ์ของคุณนักเขียนที่มีโอกาสได้ควบคุมจิตวิญญาณอยู่ในขณะนี้

“สวัสดีครับคุณพีรวัตร” ด็อกเตอร์เอ่ยทักทายหลังจากปรับมุมกล้องวีดิโอจนเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มผู้แสนสุภาพกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคยด้วยท่าทีอันแสนสบาย โดยการนั่งไขว้ขาหรือที่คนชอบเรียกจนติดปากว่า ‘นั่งไขว่ห้าง’
ซึ่งเป็นท่านั่งที่ผมสังเกตเอาเองว่า..
คุณนักเขียนมักจะชอบนั่งจนติดเป็นนิสัย

“ช่วงนี้คุณดูสดใสขึ้นนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยทักอย่างเป็นมิตร
“…” ขณะที่คุณนักเขียนก็ตอบรับคำบอกกล่าวนั้นด้วยการยกยิ้มตรงมุมปากเพียงอย่างเดียว แต่ผมยังก็เข้าใจได้ดีว่าในช่วงเวลาอย่างนี้ เป็นช่วงที่เขากำลังมีความสุขอยู่กับการเขียนนิยายเรื่องสุดท้าย ที่ผ่านความเห็นชอบจากผม โดยมีข้อแม้ว่าทุกๆ คืนที่เขาออกมาใช้ชีวิต เราสองคนจะต้องไปนั่งประจำตำแหน่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ หน้าต่างบานใหญ่
ซึ่งคำขอดังกล่าวก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ผมเลยไม่คิดจะปฏิเสธ   

แต่ในช่วงเวลากลางคืนของเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วง ‘ไพรม์ไทม์’ ของทุกๆ อัตลักษณ์ เพราะผมมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขานอกเวลางานอยู่บ่อยครั้ง อย่างอัตลักษณ์ของน้องลีเวลาที่เธอออกมาใช้ชีวิต เธอจะอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกเสมอ ผมเลยต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเธออยู่นาน ดังนั้นช่วงแรกๆ เธออาจจะหัวเสียนิดหน่อยที่ไม่อาจจะออกไปเดินเล่นในสวน แต่พอนานวันเข้าเธอคงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่โรงพยาบาล กิจกรรมในยามค่ำคืนจึงเป็นการนั่งมองวิวนอกหน้าต่างเสียมากกว่า
ผมจึงถือโอกาสนั้นสอบถามถึงเรื่องราวที่ยังติดค้างอยู่ในใจเกี่ยวกับประโยคภาษาอังกฤษที่วางอยู่ในห้องนอนของเธอที่บ้านกลางป่าสน จึงทราบว่าน้องลียังมีเรื่องบางอย่างที่ตัวเองรู้สึกผิดกับจันทร์ เธอจึงมีความปรารถนาให้ความสวยงามของดอกไม้เหล่านั้น ช่วยลบล้างความรู้สึกอันย่ำแย่ของเธอออกไป
แต่ทว่าทันทีที่ผมถามถึงเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกผิดกับพี่ชายฝาแฝด
เด็กสาววัย 15 ในคราบของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร

“ถ้าหากผมมีแผนการจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกับคุณเพียงจันทร์ คุณจะโอเคหรือเปล่าครับ ?” หลังจากทักทายกันจนหอมปากหอมคอ ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มพูดเข้าสู่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงในทันที
“อันที่จริงผมก็มีแผนจะทำแบบนั้นอยู่นะครับ แต่จากที่ทดลองดูแล้ว เหมือนว่าจะไม่สำเร็จ”

“ตามแผนการของเรา ผมคิดว่าจะลองเอาไฟล์วีดิโอพวกนั้นให้เขาดู แต่อาจจะแนะนำแค่คุณกับกรวินท์ ส่วนลียากรผมคิดว่าเราอาจจะยังต้องรอให้เขาทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะผมเชื่อว่าคุณเพียงจันทร์คงยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก”
“วิธีนั้นที่หมอพูดถึงก็ฟังดูไม่เลวนะครับ ส่วนเรื่องของลีผมเองก็เห็นด้วยกับหมอ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณลองใช้วิธีที่คุณเคยทำในช่วงที่คุณต้องการจะรับรู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับอัตลักษณ์อื่นๆ ได้หรือเปล่า ?”
“ได้ครับ”

“หลังจากที่ผมให้เขาดูบันทึกการรักษาจนจบ ผมจะลองสอบถามความยินยอมจากเขาก่อนว่าถ้าหากผมจะให้คุณปรากฏตัวในตอนนั้น เขาจะโอเคหรือเปล่า เพราะจุดประสงค์ของผมอยากให้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันไว้”
“ผมจะลองดูแล้วกันครับ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสำเร็จอย่างที่หมอพูด เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจคำพูดของผมเลยด้วยซ้ำ”

“ผมคิดว่าที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนั้น คงเป็นเพราะพวกคุณยังไม่เคยรู้จักกัน เลยทำให้คุณเพียงจันทร์ไม่เข้าใจว่าเสียงที่เขาได้ยิน มันคือเสียงของพวกคุณที่ต้องการจะสื่อสารกับเขา”
“ถ้าอย่างนั้น.. ผมให้เขาออกมาพบหมอเลยแล้วกันครับ” สิ้นคำบอกกล่าวของคุณนักเขียน ร่างกายของจันทร์ก็ห่อตัวลงเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์
แต่สักพักดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววงุนงงอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดีครับหมอ” จนกระทั่งจันทร์เริ่มปรับตัวได้แล้ว เขาก็รีบเอ่ยทักทายด็อกเตอร์ในทันที
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์ วันนี้เราคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันยาวสักหน่อย” จิตแพทย์ชื่อดังเกริ่นนำเพื่อเป็นการเปิดประเด็นภายในเสี้ยววินาที ขณะที่จันทร์ก็ส่งยิ้มรับคำบอกกล่าวนั้น

 “จากที่ผมได้พูดคุยกับคุณพีรวัตรบุคคลที่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณ เขาพูดในทำนองว่าเมื่อหลายวันก่อน เขาพยายามสื่อสารกับคุณ แต่ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการพูด”
“เดี๋ยวนะครับหมอ พวกเขาคุยกับผมได้เหรอครับ ?” จันทร์เบิกตากว้างพลางเอ่ยถามด็อกเตอร์ด้วยท่าทีตกใจ

“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
“…” สิ้นคำบอกกล่าวของจิตแพทย์ตรงหน้า จันทร์ก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิดไปพักใหญ่

“ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินเสียงของใครสักคน แต่ตอนนั้นผมคิดว่าบางทีผมอาจจะหูฝาด สรุปมันคือเสียงของพวกเขาเหรอครับ?”
“อาจจะเป็นไปได้นะ ถ้าอย่างนั้นผมขอถามสักหน่อย เสียงที่คุณได้ยินมันเป็นเสียงแบบไหน ?”

“ตอนนั้นผมได้ยินทั้งเสียงของผู้หญิงและผู้ชายเลยครับ” จันทร์เอ่ยพลางเอียงคอเล็กน้อย คล้ายกับว่าตนเองยังแปลกใจกับสิ่งที่ได้บอกกล่าวกับด็อกเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังมั่นใจว่าเขาเคยได้ยินดังกล่าวจริงๆ
“แล้วเสียงของผู้ชายที่คุณได้ยินมีทั้งหมดกี่เสียงครับ ?”

“มีอยู่สองเสียงครับ ผมอธิบายไม่ค่อยถูกว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงแบบไหน แต่ผมมั่นใจว่าเสียงของพวกเขาไม่เหมือนกัน”
“แล้วคุณได้ยินเสียงพวกนั้นบ่อยแค่ไหนครับ ?”

“น่าจะสักประมาณสองสามครั้งครับ แต่ครั้งล่าสุดพวกเขาพูดเกี่ยวกับการหลอมรวมอะไรสักอย่าง ผมจับใจความไม่ค่อยได้ เสียงมันเหมือนกับอยู่ที่ไกลๆ ประมาณว่าอยู่กันคนละประเทศแบบนั้นเลยครับ”
“แสดงว่าเสียงที่คุณได้ยินคือเสียงที่พวกเขากำลังสื่อสารกัน โดยมีหัวข้อเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ที่คุณเป็น เพราะการหลอมรวมที่พวกเขาพูดถึง มันคือวิธีการรักษาที่พวกเราพยายามทำอยู่”

“แล้วการรักษาแบบหลอมรวมที่หมอพูดถึง มันเป็นยังไงเหรอครับ ผมไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่”
“การหลอมรวมที่ว่านี้ เราจะทำกันอย่างช้าๆ แรกสุดเราจะรวมอัตลักษณ์ที่มีบางอย่างคล้ายกัน จากนั้นเราก็จะเริ่มหลอมรวมคนอื่นๆ ทีละคน จนกระทั่ง.. คุณกลายเป็นคนคนเดียว”

“แล้วมันเป็นไปได้หรือเปล่าครับ ที่เราจะใช้วิธีการกำจัดพวกเขาออกไป ?”
“จิตแพทย์ท่านอื่นเคยลองใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยท่านอื่นมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล ดังนั้นโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการทำให้คุณดีขึ้น โดยนำทุกๆ ด้านของคุณมาหลอมรวมกัน และวิธีการแรกสุดก็คือการสื่อสารระหว่างกัน จากนั้นก็ค่อยๆ ทำให้คุณจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่แต่ละตัวตนเคยกระทำไว้ ซึ่งมันจะเป็นการขจัดความเสื่อมหรือที่เราเรียกกันว่า ‘การมีสติร่วม’ จากนั้นเราก็จะพยายามนำทุกๆ ด้านของคุณมารวมเข้าด้วยกัน และเราเรียกการกระทำดังกล่าวว่า ‘การหลอมรวม’”

“แสดงว่าการหลอมรวมจะทำให้ผมกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ คุณจะกลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น และรู้จักรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น”

“ผมมีเรื่องสงสัยอยู่ข้อนึงครับ ปกติแล้วการนอนหลับคือวิธีที่ผมใช้ในการหนีปัญหา แต่ผมรู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนพยายามจะใช้วิธีนี้เพื่อไม่ให้ผมตื่นขึ้นมา คือผมรู้สึกว่าช่วงเวลาของผมมันก้าวกระโดดมากๆ”
“ช่วงเวลาที่คุณพูดถึง มันก้าวกระโดดยังไงเหรอครับ ?”

“อย่างตอนเด็กๆ ช่วงแรกๆ ผมจะอยู่ที่บ้านของแม่ แต่ไปๆ มาๆ ผมก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับแม่อีกเลย ตอนนั้นผมคิดว่าแม่น่าจะทิ้งพวกเราไปแล้ว พอหลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ ผมก็ไม่เคยเจอหน้าพ่ออีกเลย แต่น้าเข็มบอกว่าพ่อต้องกลับไปทำงานในเมือง แต่คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเวลาช่วงเทศกาลพวกเขาก็จะกลับมาที่บ้านนะครับ แต่ทำไมพ่อของผมไม่ยอมกลับมาอีกเลย แล้วจากนั้นความทรงจำของผมมันก็ขาดๆ หายๆ ไปเยอะเลยครับ มาจำได้อีกทีก็ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน แต่ว่าความเปลี่ยนแปลงของตัวผมมันก้าวกระโดดมากเลยครับหมอ ทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผมจดจำอะไรไม่ได้ อาจจะเป็นช่วงที่ใครสักคนบังคับให้ผมนอนหลับหรือเปล่า เพราะในตอนนั้นผมไม่น่าจะใช้วิธีหนีปัญหาเหมือนกับแต่ก่อน คือผมหมายถึงตอนที่ผมอยู่ที่บ้านของพ่อ ผมยังคอยดูแลลี แล้วก็ยังเคยนั่งทำการบ้านกับพี่ชลอยู่เลยนะครับ เหตุการณ์มันปกติมาก ผมไม่น่าจะหลับไปเอง”
“จากที่คุณพูดมาก็มีสิทธิ์เป็นไปได้นะครับว่าช่องว่างเหล่านั้น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่คุณสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมารับมือ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความทรงจำพวกนั้นเลวร้ายจนคุณเลือกจะกดมันไว้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะมีใครบางคนที่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณเลือกที่จะทำให้คุณหลับไป จนกระทั่งเขาแน่ใจว่าคุณปลอดภัย เขาถึงได้ยอมให้คุณตื่นขึ้นมาตอนที่คุณอยู่ที่บ้านกลางป่าสน” จากคำอธิบายของด็อกเตอร์ แม้มันจะฟังดูเหมือนการคาดการณ์ แต่อันที่จริงแล้วคำตอบเหล่านั้นมาจากอัตลักษณ์ของน้องลีที่เคยให้การเอาไว้ว่า พอเธอย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน เธอก็เริ่มออกมาเดินเล่นที่ทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ เพราะว่าพี่จันทร์ปลอดภัยแล้ว แสดงว่าช่วงเวลาก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน จันทร์จะต้องเคยพบเจอกับอะไรบางอย่างเลยทำให้ความทรงจำขาดหาย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวลีเองก็นึกเสียใจมาตลอด

ซึ่งสาเหตุของการลบเลือนอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า ลีอาจคงจะเป็นคนที่ทำให้จันทร์หลับใหล หรือไม่ก็อาจจะเป็นจันทร์ที่คิดจะหนีปัญหาเสียเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุทั้งสองอย่างรวมๆ กัน
เนื่องจากน้องลีก็ดูเหมือนว่าจะเคยได้รับอันตรายตอนอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วย
ฉะนั้น.. ก็อาจจะมีแนวโน้มของการเกิดอัตลักษณ์ใหม่ได้เช่นกัน

“ในความคิดของผมการนอนหลับไม่ว่าจะในความหมายของคุณหรือว่าในความหมายของอีกด้านหนึ่งของคุณ ยังไงมันก็มีความหมายเหมือนๆ กันนะครับ เพราะการที่คนเราเลือกจะนอนหลับ ต้องมีสาเหตุมาจากการหลบหนีจากสิ่งที่ทำให้เกิดความว้าวุ่นใจ”
“แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้วนะครับ ผมก็เลยไม่อยากจะนอนหลับอีก แต่พวกเขาก็ยังจะมาขโมยเวลาของผมไป แม้ว่าช่วงเวลาที่ผมกำลังนอนหลับมันจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่แป๊บเดียว แต่ว่าในตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่าการนอนหลับในแต่ละครั้ง มันใช้เวลานานมากจริงๆ อย่างเช่น ผมหลับไปวันนี้จะตื่นอีกทีก็อาจจะช่วงเย็นของพรุ่งนี้ หรือบางทีก็อาจจะนอนหลับข้ามปีเลยก็ได้”

“สำหรับการนอนหลับในที่นี้ ถ้าหากคุณมีความเข้มแข็งที่มากพอ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นอีก และคุณก็จะต้องรู้จักวิธีในการรับมือกับปัญหา โดยที่คุณจะต้องไม่ใช้วิธีการแบบเดิมๆ อีก หลังจากนั้นเวลาของคุณก็จะกลายเป็นของคุณทั้งหมด ซึ่งการหลอมรวมที่ผมบอกคุณไป จะต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างยาวนานพอสมควรเลยครับ ฉะนั้นผมอยากให้คุณพยายามทำความเข้าใจกับการรักษาให้ได้มากที่สุด เพราะมันจะช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีและยังช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณลองทำความรู้จักกับอีกด้านหนึ่งของคุณไว้”
“ผมสามารถทำแบบนั้นได้เหรอครับ ?”

“ใช่ครับ คุณสามารถทำได้ โดยผมจะช่วยให้คุณทำความรู้จักกับพวกเขาผ่านทางคลิปวีดิโอที่ผมบันทึกไว้ แต่ถ้าหากคุณอยากจะลองพูดคุยกับเขาแบบตัวต่อตัว ผมก็จะช่วยคุณเอง”
“ครับ” สิ้นคำตอบรับที่แสดงถึงความเข้าใจ ด็อกเตอร์ก็เปิดคลิปวีดิโอที่เป็นไฟล์บันทึกการรักษาของคุณนักเขียนและกรวินท์ให้จันทร์ดู ซึ่งรีแอคชั่นของอีกฝ่ายก็ดูจะประหลาดใจกับสิ่งที่ได้เห็น
คงเพราะภาพดังกล่าว
ทำให้เขาเข้าใจประโยคที่พยาบาลและนักจิตวิทยา ต่างก็บอกกันว่า ‘ข้างในตัวเขา ยังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่’

“พอเห็นกับตาตัวเอง ผมรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมากเลยครับหมอ แต่สิ่งที่พวกเขาพูด ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ผมอยากให้คุณนึกเสียว่าสิ่งที่พวกเขาพูดคือจิ๊กซอว์ที่คุณจะต้องค่อยๆ ต่อมันทีละชิ้น โดยที่แต่ละชิ้นกว่าคุณจะได้มาก็ต้องผ่านการค้นหา ดังนั้นมันจึงต้องใช้เวลา เพราะความทรงจำของพวกเขาก็ไม่ปะติดปะต่อกันเหมือนกับคุณ”

“ครับ” เมื่อได้ฟังคำอธิบายจนเข้าใจดีแล้ว จันทร์ก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
“เอาล่ะ คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าในตอนนี้คุณอยากจะลองพูดคุยกับพวกเขาอยู่หรือเปล่า ?”

“ลองดูก็ได้ครับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยเดินหลบไปยืนอยู่ตรงข้างเวทีสักหน่อยนะ”

“เวที ?”
“ครับ คุณพีรวัตรบอกกับผมว่าคนที่มีสิทธิ์ในการควบคุมจิตวิญญาณ และสติในการรับรู้คือคนที่ยืนอยู่บนเวที คุณลองหลับตาดูสิ แล้วคุณจะเห็นเวทีที่ผมพูดถึง” สิ้นคำแนะนำของด็อกเตอร์ จันทร์ก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า

“อ่า.. ผมว่าผมเห็นเวทีที่หมอพูดถึงแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณค่อยๆ ถอยไปยืนอยู่ตรงด้านข้างได้เลยนะเพียงจันทร์ จากนั้นคุณพีรวัตรก็จะขึ้นมายืนอยู่บนเวทีในตำแหน่งที่คุณเคยยืนอยู่”

“ครับ ผมถอยออกมาแล้ว” จันทร์พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็เงียบเสียงไป จากนั้นดวงตาคู่เดิมที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมาอีกครั้ง เพียงไม่นานท่วงท่าในการนั่งของจันทร์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไขว่ห้าง ซึ่งเป็นท่านั่งที่คุณนักเขียนชอบนั่งจนติดเป็นนิสัย และเหตุการณ์ดังกล่าวก็เรียกความสนใจจากผมได้ดี
เพราะสิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้
ไม่ใช่แค่การสับเปลี่ยนอัตลักษณ์แบบครั้งที่แล้วๆ มา

“จันทร์นี่พี่พีเองนะ” คุณนักเขียนเอ่ยทักทายจันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“พี่พี.. เพื่อนของพี่ชลที่เป็นนักเขียนใช่หรือเปล่าครับ ?” ทันใดนั้น.. น้ำเสียงและท่าทีของคุณนักเขียนก็ปรับเปลี่ยนไปเป็นอัตลักษณ์ของจันทร์ที่ในตอนนี้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียยกใหญ่
ด้วยเพราะความเข้าใจบางอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยจนกระจ่างแจ้ง

“ใช่ พี่เอง.. เจ้าของนามปากกาอนธการ” คุณพีรวัตรเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ตอนแรกที่จันทร์ดูวีดิโอ จันทร์ยังไม่คิดเลยว่าพี่เป็นเจ้าของนามปากกานั้น” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่ได้พบกับนักเขียนในดวงใจ

“ถ้าอย่างนั้นโน๊ตบุ๊กที่จันทร์เคยเห็น ก็คือโน๊ตบุ๊กของพี่พีน่ะสิ”
“อื้ม ของพี่เอง”

“แล้ว.. พี่พีเอามาจากไหนเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะเจ้าตัวกำลังอยากรู้ว่าตอนที่ตนเองหลับใหล คุณนักเขียนได้เดินทางไปที่ไหนบ้างหรือเปล่า
“ไอ้ชลซื้อมาให้น่ะ” คำตอบของคุณนักเขียน ดูเหมือนจะทำให้จันทร์แน่นิ่งไป ซึ่งผมคาดเดาเอาเองว่าจันทร์คงจะเริ่มระแคะระคายถึงการกระทำบางอย่างของลูกพี่ลูกน้องตัวเองเข้าให้แล้ว เพราะแต่ก่อนแม้แต่เทียนสักเล่มคุณชลวิทย์ก็ยังไม่ยอมหาซื้อมาให้ มิหนำซ้ำยังกล่าวอ้างว่าเทียนมันแพงอีกต่างหาก แต่กับอัตลักษณ์อื่น เขากลับอำนวยความสะดวกเสียอย่างดิบดี ฉะนั้นการหาสูตรขนมมาให้จึงไม่สามารถชักนำให้จันทร์หันกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเองในมุมเดิมๆ เนื่องจากเวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนได้ดูคลิปวีดิโอแนะนำตัวของกรวินท์ไปแล้ว
ผมจึงคิดว่าจันทร์น่าจะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ซึ่งมันก็ทำให้ผมที่กำลังนั่งดูสถานการณ์ดังกล่าว พาลจะเป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายไปด้วย

“เอ่อ.. จันทร์ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ คือว่าทำไมก่อนหน้านี้จันทร์ถึงไม่เคยรับรู้เลยว่าพี่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์”
“เพราะจันทร์ยังไม่สมควรจะรู้ พี่ก็เลยคิดเอาเองว่าพี่ควรจะรอให้จันทร์มีความพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องนี้ก่อน หรือไม่ก็อาจจะรอให้มันถึงเวลาอันสมควร พี่ถึงค่อยแสดงตัว” คุณพีรวัตรอธิบายด้วยท่าทีราวกับพี่ชายที่กำลังพูดคุยกับน้องชายอย่างอบอุ่น

“ถ้าอย่างนั้นพี่พีพอจะบอกจันทร์ได้ไหมครับว่าอีกด้านหนึ่งของจันทร์มีอยู่กี่คน ?”
“เท่าที่พี่รู้มีอยู่ 4 คน” สิ้นคำตอบของคุณนักเขียนท่าทางของจันทร์ก็เหมือนกับคนที่กำลังใช้ความคิดอีกครั้ง
มันจึงทำให้ผมทราบว่า..
เวลานี้คนที่กำลังออกมาควบคุมสติก็คือจันทร์ตัวจริง

“หมอครับ เมื่อกี้พี่พีบอกกับผมว่าพี่เขาเริ่มจะพูดมากไปแล้วก็เลยจะยกหน้าที่ต่อจากนี้ให้หมอ” จันทร์บอกกับด็อกเตอร์ด้วยท่าทีที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่น ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ดีว่าคำพูดของคุณนักเขียน คงจะทำให้เขานึกสงสัย และคำตอบก่อนที่จะหลับไปคงจะเรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเวลาในการปรึกษากลับหมดลงเสียก่อน
ความสงสัยของเจ้าหนูจำไมจึงต้องพับเก็บเอาไว้ในใจ
และคนที่จะรับมือกับจันทร์ในภาพลักษณ์ดังกล่าว ก็คงจะหนีไม่พ้นผมคนนี้นี่แหละ


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้กลับมาสั้นเหมือนเดิมแล้วจ้า 555 เห็นมีคนวิเคราะห์ยาวมากกกกก แต่ก็มีความเฉียดฉิว จริงๆ มันน่าจะเดาได้แล้ว เหลือแค่สถานการณ์เป็นยังไง 5555 ส่วนตอนนี้เหมือนจะเป็นตอนที่เน้นให้เห็นว่าแต่ละอัตลักษณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยที่ในส่วนนี้ก็เราอ้างอิงจากหนังสือที่เราซื้อมาเหมือนเคย ฉะนั้นความน่าเหลือเชื่อมียังไง เรายึดตามนั้นเลย ซึ่งมันก็จะคล้ายๆ กับในหนังนี่แหละ เพราะว่าตัวเอกที่เป็นโรคนี้ ก็จะมีการพูดคุยตอบโต้กับอีกบุคลิกนึงเหมือนกัน ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่าช่องว่างตรงที่จันทร์จำอะไรไม่ได้เลย มันจะมีอัตลักษณ์ใหม่เกิดขึ้นมาหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ และสาเหตุที่น้องลีรู้สึกผิดมันคืออะไร แต่ตอนนี้คงต้องเอาใจช่วยจันทร์ไปก่อน เพราะว่าน้องเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับคุณชลวิทย์แล้ว บวกกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่มันทำให้จันทร์ผิดหวังในตัวพี่ชายมากพอสมควร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 23:29:47 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 32

หลังจากจันทร์ออกจากห้องบำบัดทางจิตวิทยาการปรึกษาในวันนั้น อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าของเจ้าหนูจำไมให้ต้องคอยรับมือลำบากแต่อย่างใด เห็นจะมีก็แต่คำร้องขอที่ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนัก เพราะสิ่งที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนต้องการ มีเพียงสมุดบันทึกหนึ่งเล่ม
ดังนั้นหลังเลิกงานผมจึงกลับบ้าน เพื่อไปเอาสมุดบันทึกที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นเมื่อนานมาแล้ว โดยลวดลายของสมุดเล่มดังกล่าว บังเอิญเป็นภาพวาดของเส้นทางอันคดเคี้ยวที่อยู่ท่ามกลางป่าสนในยามค่ำคืน เพียงแต่ความหนาทึบของมันไม่อาจเทียบเท่ากับเส้นทางเดินรถที่มุ่งตรงไปสู่บ้านหลังสีน้ำตาลของจันทร์แต่อย่างใด หากแต่ท้องฟ้าของภาพวาดบนหน้าปกสมุดเล่มนี้ กลับดูสดใสไร้ความวังเวง เพียงเพราะบนนั้นเต็มไปด้วยแสงสีเขียวอ่อนของแสงเหนืออันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

“สมุดของพี่ภัทรสวยจังครับ จันทร์แทบไม่กล้าใช้เลย” ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นการออกแบบของสมุดบันทึกที่แม้แต่ผมก็ยังไม่กล้าใช้ เพราะข้างในไม่ใช่เนื้อกระดาษทั่วๆ ไป แต่ดันเป็นภาพวาดที่เรียงร้อยเรื่องราวเชื่อมโยงกับภาพตรงหน้าปก จึงเป็นเหตุที่ให้สมุดเล่มนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้จนกระทั่งตกทอดมาถึงจันทร์
“…” ส่วนผมก็นั่งท้าวค้างมองเจ้าของสมุดบันทึกคนใหม่ พลางหัวเราะในลำคอกับคำทัดทานนั้น โดยมีเทียนหอมกลิ่นวาเวนเดอร์คอยให้ความสว่างอยู่บนโต๊ะตรงข้างหน้าต่าง เพื่อที่ผมจะได้ปิดไฟดวงใหญ่ตรงกลางห้องพักผู้ป่วยพิเศษในยามค่ำคืน
เนื่องจากว่าหากคืนไหนจันทร์มีโอกาสออกมาใช้ชีวิต คืนนั้นจะไม่สามารถปิดไฟนอนได้

“ตอนซื้อสมุดเล่มนี้เหมือนกับรู้ล่วงหน้าเลยว่าพี่กับจันทร์จะได้มารู้จักกัน” ผมกล่าวพลางมองจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายที่สะท้อนกับแสงเทียนสีเหลืองนวลด้วยสายตาแน่วแน่
“…” จันทร์ย่นจมูกเพียงเล็กน้อยแล้วก็ยกยิ้มจนตาปิดขณะที่ข้างแก้มก็บุ๋มลงไปเพียงนิด

“ถ้าหากจันทร์หายป่วยเมื่อไหร่ พี่จะเลิกอ้างถึงดอกเนโมฟีลากับผึ้ง” หลังจากความเงียบเริ่มโรยตัวเข้ามาเรื่อยๆ เพราะใครบางคนกำลังให้ความสนใจกับสมุดเล่มดังกล่าว ผมจึงถือโอกาสพูดในเรื่องที่อยากพูดมานานแล้ว
“ทำไมพี่ภัทรต้องรอให้จันทร์หายป่วยก่อนล่ะครับ ?” คนตรงหน้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากการกระทำของเราต่างก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว
ดังนั้นคำพูดอันตรงไปตรงมาก็ไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่

“พี่แค่อยากให้เราสองคนมีเป้าหมายเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกท้อถอยเรื่องการรักษา” ผมอธิบายพลางกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่าย
“แล้วพี่ภัทรคิดว่ามันต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อยเท่าไหร่เหรอครับ ?”

“สองปี” ผมตอบเผื่อๆ ไว้ เพราะเคสของคุณบิลลี ดูเหมือนจะใช้เวลาหลอมรวมเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่มันยังเป็นการหลอมรวมที่ไม่สมบูรณ์นัก เพราะถ้าหากอัตลักษณ์หลักมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจเมื่อไหร่ อัตลักษณ์ของเขาก็จะเกิดการแตกแยกออกมาอีกครั้ง และทางทีมรักษาก็จะต้องทำการหลอมรวมใหม่ด้วยความยากลำบาก
“แค่สองปีเองครับ ไม่นานหรอก” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มแฉ่ง ทำเอาผมต้องเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ที่จู่ๆ คนป่วยก็ดันมาปลอบใจคนรักษาเข้าให้เสียนี่

“ว่าแต่จันทร์จะเอาสมุดบันทึกมาเขียนอะไรเหรอ ?”
“จันทร์จะเอามาเรียงไทม์ไลน์ความทรงจำของตัวเองครับ” จันทร์ตอบพลางเลื่อนมือออกห่างจากสัมผัสของผม เพื่อที่เจ้าตัวจะได้เปิดสมุดบันทึกหน้าแรก พร้อมกับหยิบดินสอขึ้นมาจับอย่างทะมัดทะแมง

“ก่อนหน้านี้คุณหมอบอกกับจันทร์ว่า.. จันทร์จะต้องค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ทีละนิด”
“แล้วจันทร์จะบันทึกยังไงล่ะ ?” ผมเอ่ยถามด้วยความสนใจ เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีนี้ในการเรียบเรียงข้อมูล

“จันทร์จะแบ่งพื้นที่เขียนปีละหนึ่งหน้า แต่ว่าจะต้องแยกความทรงจำของแต่ละคนให้เป็นสัดส่วน จะได้ไม่สับสน”
“ถ้าอย่างนั้นสมุดเล่มนี้ พี่ขออ่านด้วยได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามพลางขออนุญาตไปในตัว

“สมุดเล่มนี้ไม่ใช่สูตรอาหาร เพราะฉะนั้นจันทร์ไม่กลัวพี่ภัทรขโมยหรอก” จันทร์อนุญาตพลางกลั้วหัวเราะจนผมอดจะหัวเราะตามไม่ได้ จากนั้นภายในห้องก็เริ่มเงียบสงบ เพราะจันทร์กำลังตั้งอกตั้งใจเรียบเรียงความทรงจำที่ไม่ประติดประต่อกัน
ผมจึงถือโอกาสนั้น นั่งมองใบหน้าของใครบางคนที่กำลังฉายแววมุ่งมั่นอย่างหลงใหล
 
“พี่ภัทรกำลังทำให้จันทร์เสียสมาธิ” เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่สุดท้ายคนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาก็อดรนทนไม่ไหวเลยต้องเอ่ยแกมดุให้ผมรู้สึกตัว
“โทษที พี่ลืมตัวไปหน่อย” ผมกล่าวพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้และยีศีรษะของอีกฝ่ายเป็นการทิ้งท้าย จากนั้นก็พาตัวเองมานอนแผ่อยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคย
จนกระทั่งเคลิ้มจะหลับ
จู่ๆ ก็ถูกใครบางคนปลุกให้ตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง

“จันทร์ขอนอนด้วย” สิ้นคำขออนุญาตที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ผมก็รีบขยับตัวเข้าชิดพนักพิงโซฟาเพื่อแบ่งพื้นที่ให้อีกฝ่ายได้หนุนนอน จากนั้นวงแขนก็วาดขึ้นโอบรอบตัวของคนในความดูแลอย่างคุ้นชิน ขณะที่ปลายจมูกก็วางแหมะอยู่เหนือศีรษะของคนในอ้อมแขน ก่อนจะเผลอสูดกลิ่นหอมของแชมพูเข้าไปจนเต็มปอด ส่งผลให้ความเพลิดเพลินเริ่มเชิญชวนให้เผลอก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา เพราะในวันนี้ผมเองก็ตรากตรำทำงานมาทั้งวัน ยิ่งมีหมอนข้างประจำตัวมาให้นอนกอดอยู่แบบนี้ก็ยิ่งทำให้การหลับใหลดูท่าจะสุขสบายกว่าหลายๆ คืนที่ผ่านมา
เนื่องจากว่า..
ช่วงเวลาแบบนี้ ทุกๆ อัตลักษณ์มักจะพากันแย่งชิงไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่ภัทร” คนที่ผมใข้นอนกอดแทนหมอนข้างขยับตัวยุกยิกอยู่ครู่หนึ่ง จนทำให้ผมที่กำลังเคลิ้มจะหลับจำต้องตื่นขึ้นมาใส่ใจ
“…”

“หลับหรือยังครับ ?”
“ยัง” ผมส่งเสียงงึมงำในลำคอ ขณะที่สายตาก็ยังคงปิดสนิทบ่งบอกได้ดีว่ากำลังง่วงนอนมากแค่ไหน

“จันทร์อยากคุยกับพี่ชลให้แน่ใจว่าจันทร์ไม่ได้คิดไปเอง” สิ้นคำพูดของอีกฝ่ายทำให้อาการง่วงเหงาหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะประโยคดังกล่าว ทำให้ผมเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วล่ะว่า..
ท่าทีนิ่งเงียบของอีกฝ่าย
ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่ได้ทำหน้าที่ของ ‘เจ้าหนูจำไม’ แต่อย่างใด

“แต่นี่มันสามทุ่มแล้วนะ พี่ว่าพี่ชลน่าจะเข้านอนแล้ว” ผมเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่ใต้หมอนเพื่อดูเวลา จากนั้นก็บอกอีกฝ่ายให้เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าคุณชลวิทย์จะเข้านอนเร็วมาก
“แต่จันทร์ไม่อยากคิดไปเองอีกแล้ว” จันทร์พลิกตัวหันหน้าเข้าหาผม จากนั้นก็บอกกล่าวเหตุผลที่มันฟังขึ้น หากแต่ความคิดไปเองของจันทร์ ผมมั่นใจว่าจะต้องตรงกับความเป็นจริงอย่างแน่นอน เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ของกรวินท์ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไรกับคุณชลวิทย์  อีกทั้งเหตุการณ์ก่อนที่เจ้าตัวจะต้องย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลก็เชื่อมโยงกับข้อมูลที่ ‘กร’ ให้การไว้ มิหนำซ้ำเหตุการณ์ที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือก็ยังเสริมข้อสันนิษฐานได้ดี

เวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน จึงต้องการจะยืนยันความเป็นจริงว่าสิ่งที่ตนตั้งข้อสมมุติฐานไว้ มันเป็นยังไงกันแน่ คำร้องขอและท่าทีของอีกฝ่าย ทำให้ผมทราบว่าถึงแม้คุณชลวิทย์จะเผลอล่วงเกินเจ้าตัวโดยไม่ตั้งใจ แต่ลึกๆ จันทร์ก็ยังคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เจ้าตัวเลยไม่เคยพูดถึงเรื่องราวในวันนั้นอย่างจริงๆ จังๆ นอกเสียจากพูดถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม
ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ ‘แฟลชแบ็ค’ ของเหตุการณ์ดังกล่าว

“เดี๋ยวพี่จะลองโทรเช็คกับไอ้บาสก่อนแล้วกัน เพราะช่วงนี้มันไปนอนเป็นเพื่อนพี่ชล แต่ถ้าผลออกมาว่าพี่ชลนอนแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยโทรหาพี่ชลอีกทีนะจันทร์” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจจะให้จันทร์เผชิญหน้ากับความจริง
เพราะผมเกรงว่าหากยังทำเป็นปกปิด
จันทร์อาจจะเตลิดและไว้วางใจในตัวผู้อื่นได้ยากเย็นกว่าเดิม

หลังจากนั้นผมก็เจรจากับไอ้บาสผ่านทางโทรศัพท์มือถือครู่ใหญ่ จึงได้ความว่าช่วงนี้คุณชลวิทย์นอนไม่ค่อยหลับ และยังไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ ผมจึงเริ่มลังเลว่าจะให้จันทร์พูดคุยกับอีกฝ่ายดีหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของผมจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อคุณชลวิทย์ออกมาได้ยินไอ้บาสคุยโทรศัพท์กับผมแล้ว
และเขาก็มีความประสงค์จะพูดคุยกับจันทร์
จึงทำให้ ณ เวลานี้ เจ้าของบ้านกลางป่าสนคนน้องสมความปรารถนาได้เสียที

“พี่ชล” ทันทีที่ผมส่งโทรศัพท์มือถือไปให้จันทร์ อีกฝ่ายก็รีบร้องเรียกพี่ชายที่อยู่ในบ้านกลางป่าสนด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว คงเพราะในใจของเจ้าตัวนึกหวาดกลัวคำตอบที่กำลังจะได้รับอยู่ไม่น้อย
(อื้อ) ไม่นานสุ้มเสียงตอบรับในลำคอของคุณชลวิทย์ก็ดังเล็ดลอดมาตามสาย เพราะเวลานี้ผมอยู่ใกล้กับจันทร์เพียงแค่ลมหายใจลอดผ่าน จึงได้ยินบทสนทนาดังกล่าวอย่างชัดเจน

“จันทร์รู้เรื่องที่ตัวเองป่วยเป็นโรคหลายอัตลักษณ์แล้วนะครับ”
(…)

“แม้มันจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็ตาม แต่จันทร์ก็เข้าใจดีว่ามันคือความจริงที่จันทร์หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจันทร์ก็รู้เรื่องของพี่ชลกับพี่กรที่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์แล้ว” สิ้นคำพูดท้ายประโยคของคนในอ้อมแขน ก็ทำเอาจังหวะการหายใจของผมเริ่มจะติดขัด
(…) ขณะที่ทางฝั่งคุณชลวิทย์ ผมยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของการเคลื่อนไหวใดๆ ผมเลยคาดว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้ คงจะเป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมาก

“เราสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไม่ใช่เหรอครับ ทำไมพี่ชลถึงเลือกจะฉวยโอกาสกับจันทร์ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ผมก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่แค่น้ำเสียงของเขาเท่านั้นที่กำลังสั่นไหว เพราะความเปียกชื้นตรงบริเวณเสื้อของผม
มันบ่งบอกได้ดีว่า..
ความสั่นไหวดังกล่าวกำลังสั่นสะเทือนมาจนถึง ‘หัวใจ’

(พี่..) คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับเขานึกคำพูดอธิบายใดๆ ไม่ออก ด้วยเพราะการกระทำในช่วงเวลาที่ผ่านมามีแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น

“จันทร์รู้ว่าความใกล้ชิดกับความรักมันเป็นของคู่กัน แต่ในใจลึกๆ มันก็คอยแต่จะประท้วง เพราะถึงยังไง พี่กรก็คือจันทร์” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพลางสะอึกสะอื้น คล้ายกับในหัวกำลังเรียบเรียงสถานการณ์ต่างๆ ไปล่วงหน้ากว่าคำพูด ผมจึงต้องโอบกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
(…)

“แต่พี่ชลก็ยังพยายามจะบิดเบือนความเป็นจริงในข้อนี้ด้วยการทำร้ายจันทร์” สิ้นคำพูดของคนในอ้อมแขนอาการสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารก็ตามมาอีกระลอก ซึ่งมันทำให้ผมปวดใจตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาจันทร์ต้องทนอยู่กับความคิดที่ว่า ไม่สามารถเชื่อใจใครได้ แต่สุดท้ายก็ดันมาถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง
(…)

“อธิบายออกมาสิครับ ทำไมพี่ชลถึงไม่เถียงออกมาว่าจันทร์คิดไปเอง พี่ชลเงียบทำไม จันทร์ไม่ได้อยากได้ความเงียบเป็นคำตอบ พี่ชลอย่าทำแบบนี้กับจันทร์สิ เราสองคนโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ พี่ชลรักจันทร์ คอยดูแลจันทร์เป็นอย่างดีมาตลอดไม่ใช่เหรอ ?” จันทร์กล่าวพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวด เพราะความเป็นจริงกำลังบอกผ่านความเงียบสงัดจากปลายสาย ผมจึงได้แต่โอบกอดเขาให้แน่นกว่าเดิม พร้อมกับจุมพิตเรือนผมนุ่มซ้ำๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าบนโลกนี้ยังมีใครอีกหนึ่งคนที่ต้องการเจ้าตัวอยู่
(จันทร์.. พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แรกๆ พี่เข้าใจว่าความรู้สึกของพี่ที่มีให้จันทร์ มันไม่ได้เปลี่ยนไป แต่พอนานวันเข้าพี่ก็เริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกในตอนนั้น มันอยู่ในจุดที่พี่ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้) คุณชลวิทย์กล่าวพลางสะอึกสะอื้นไม่แพ้จันทร์ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเป็นกังวลไม่น้อย เพราะช่วงนี้อาการของเขาไม่ค่อยจะดีนัก

(พี่พยายามปฏิเสธ พยายามจะหลีกหนีแล้วจริงๆ แต่ว่าทุกครั้งที่พี่ทำแบบนั้น จันทร์ก็มักจะทำร้ายทำตัวเองตลอด และวิธีการที่ใช้มันก็เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้พี่นึกกลัว เพราะพี่ไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีก)
“…”

(หลังจากนั้นพี่เลยรู้ว่าจันทร์ไม่สบาย และคนที่พี่ชอบก็ไม่ใช่จันทร์อย่างที่พี่เข้าใจ ทำให้พี่ยิ่งสับสนและกดดัน เพราะว่า ‘กร’ มักจะรู้สึกว่างเปล่าอยู่ตลอด พอพี่เห็นเขามีความสุข มีความฝัน มีความสดใส พี่ก็เลยเผลอเห็นแก่ตัวกับจันทร์..)
“แล้วความสุขของจันทร์ล่ะครับ มันไม่จำเป็นเลยใช่ไหม เพราะไหนๆ พี่ชลก็คิดจะกำจัดจันทร์อยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงแรกๆ พี่ชลยังหาวิธีไม่ได้ พี่ชลก็เลยทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาตลอด แต่พอพี่ชลรู้ว่าจันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์กับความมืด พี่ชลก็เอามันมาทำร้ายจันทร์ พี่ชลเห็นแก่ตัว จันทร์ควรจะเกลียดพี่ชล แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย” จันทร์พูดจาใส่อารมณ์แบบเด็กเอาแต่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขากลับเจ็บปวดรวดร้าวอย่างถึงที่สุด
เพียงเพราะสาเหตุที่ว่า..
คนที่เคยไว้ใจกลับใจร้ายที่สุด 

(พี่ขอโทษนะจันทร์ พี่ขอโทษจริงๆ พี่ละอายใจ ที่สุดท้ายแล้ว พี่ก็ทำตัวไม่ต่างกับอาโชค) คุณชลวิทย์กล่าวประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา พร้อมทั้งสะอึกสะอื้นจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ทำเอาไอ้บาสต้องเป็นฝ่ายขอยุติบทสนทนาดังกล่าว
จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
และผมก็นอนไม่หลับตลอดคืน

พูดตามตรงว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ผมก็เอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับชื่อเสียงเรียงนามของชายปริศนา รวมถึงความรู้สึกหวาดกลัวว่าจันทร์จะตัดสินใจหนีปัญหาแบบเดิมๆ อีก เพราะท่าทีของเขาดูเหม่อลอยเสียจนผมยังอดห่วงไม่ได้
และจันทร์ก็เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว
ซึ่งมันทำให้ผมนอนไม่หลับและความเครียดก็เริ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง

“หลายวันมานี้คุณดูแปลกๆ นะ” คุณนักเขียนกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบในยามค่ำคืนของโรงพยาบาล ทำเอาผมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์จำต้องหันกลับมาสนใจคนพูด แทนที่จะมองออกไปยังนอกหน้าต่างเหมือนอย่างเคย
“แปลกยังไงเหรอครับ ?” ผมย้อนถามพลางอมยิ้มนิดๆ แม้มันจะยิ้มยากไปสักหน่อยก็เถอะ

“ก็แปลกตรงที่คุณดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ในใจตลอดเวลา” คุณพีรวัตรเฉลยพร้อมทั้งหยุดการระรัวปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด
“ให้ตายเถอะ คุณนี่ช่างสังเกตจริงๆ” ผมบ่นอุบพลางลูบหน้าลูบตาของตัวเอง เพื่อหวังจะให้ความสดชื่นหวนคืนกลับมาบ้าง

“แน่นอน ก็ผมเป็นนักเขียน” เจ้าของนามปากกาอนธการกล่าวพลางกอดอกอย่างอวดดี แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าท่าทางของอีกฝ่ายมันน่าหมั่นไส้แต่อย่างใด
“ครับๆ คุณนักเขียนผู้รอบรู้และช่างสังเกต” ผมเอ่ยแกมหยอกเย้า ทำเอาคนที่กำลังเก๊กหน้าขรึมเมื่อครู่ ถึงกับเก๊กแตกขึ้นมาทันที เล่นเอาผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

“เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะเลิกพิมพ์นิยายแล้ว ส่วนคุณก็รีบไปนอนพักและหยุดคิดอะไรที่มันชวนปวดหัวและยุ่งเหยิงใจไปก่อน” คุณพีรวัตรเอ่ยประโยคดังกล่าวได้เพียงไม่นาน เสียงชัตดาวน์อุปกรณ์เทคโนโลยีตรงหน้าก็ดังตามมาติดๆ จากนั้นคนป่วยก็ถือโอกาสฉุดกระชากลากผมให้ไปนอนปักหลักอยู่บนโซฟาอย่างยากลำบาก เพราะผมแกล้งดื้อรั้นใส่เขาเล็กน้อย เล่นเอาคนสุภาพแทบจะควันออกหู
“ตกลงว่าใครกันแน่ที่ป่วย ทำไมคุณถึงรีบไล่ผมไปนอนเร็วนัก ?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังยืนท้าวเอวพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ก็ถ้าหากคุณยังเอาแต่คิดมากทั้งคืน ต่อไปมันจะกลายเป็นคุณกับผมที่ป่วย เพียงแต่คุณจะป่วยเพราะโดนหวัดเล่นงานนี่แหละ” คุณนักเขียนกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นเขาก็รีบเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสำหรับผู้ป่วยพิเศษ
ขณะที่ผมก็นอนหลับตาซึมซับความเงียบสงบที่เกิดขึ้น
และในหัวก็ยังครุ่นคิดกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้น่าจะทำให้คนที่ยังงงๆ เกี่ยวกับการ 'ยื้อ' ของคุณชลวิทย์กระจ่างเพิ่มขึ้นนะคะ จริงๆ มันเฉลยไปตั้งแต่ตอนที่คุณชลวิทย์มีอะไรกับกร ตอนที่พี่หมอมาเห็นแล้วล่ะ เพราะว่าในตอนนั้นทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ว่าความรู้สึกของคุณชลวิทย์ที่มีให้กับกร มันคือความรู้สึกแบบไหน ฉะนั้นการยื้อที่เคยกล่าวไป มันคือการยื้อกรไว้ ไม่ใช่ยื้อจันทร์ ดังนั้นการชักนำพี่หมอเข้ามาในบ้านก็คือการยื้อกร เพราะว่าชลคิดว่าพี่หมอจะสามารถช่วยตัวเองได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่โหดร้ายสำหรับจันทร์ตัวจริงๆ แบบสุดๆ  พี่หมอถึงได้กลัวว่าน้องจะใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ แต่ในมุมมองของคุณชลวิทย์ มันเหมือนกับเขาก็รักก็ห่วงของเขาแบบเดิม แต่ว่าจู่ๆ มันกลายเป็นความรักต้องห้ามได้ยังไง ก็ไม่ทันรู้ตัว จากนั้นความเห็นแก่ตัวก็ตามมา ซึ่งการกระทำแบบนี้ของคุณชลวิทย์ มันก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า 'ความรักทำให้คนตาบอด' นั่นแหละค่ะ
ปล. ตั้งแต่ตอนหน้า คิดว่าน่าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงเฉลยปมแล้วล่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 23:33:48 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เริ่มคลายคลี่

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 33

จากคำพูดของคุณชลวิทย์ในวันนั้น ทำให้ผมตีความได้ว่า ‘อาโชค’ ที่อีกฝ่ายพูดถึง น่าจะเป็นบุคคลต้นเหตุของความทรงจำอันเลวร้ายที่เป็นเหตุให้สองพี่น้องจากสะเมิง ต้องระหกระเหินเพื่อมาแอบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านกลางป่าสน ซึ่งการเดินทางมายังพื้นที่ต่างอำเภอและยังมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแบบนี้
เป็นไปได้ว่า..
ทั้งสองคนอาจได้รับความช่วยเหลือจากใครสักคน 

ซึ่งข้อมูลนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน เราจึงยังไม่สามารถหาคำตอบใดๆ ได้ เนื่องจากแต่ละอัตลักษณ์ต่างพากันหนีหน้าเพราะเหตุผลส่วนตัว เช่น ‘กร’ หายหน้าหายตาไป เพราะยังยอมรับความเป็นจริงไม่ได้ อีกทั้งยังถูกคุณพีรวัตรสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวที ส่วน ‘ลียากร’ หลังจากพูดถึงเงื่อนงำบางอย่าง เธอก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวที่จะต้องนึกย้อนไปถึงปมเลวร้ายในอดีต เธอจึงเลือกจะอยู่เงียบๆ ในมุมของเธอ ขณะที่ ‘จิม’ ก็ตัดสินใจหลับใหลมานานหลายปีแล้ว
ดังนั้นช่วงเวลา ‘ไพรม์ไทม์’  ที่ผมเคยพูดถึง
จึงกลายเป็นช่วงเวลาของ ‘คุณพีรวัตร’ กับ ‘จันทร์’

“เดี๋ยวพี่ขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสักพักนึงนะ” ผมบอกกับจันทร์ที่วันนี้ไม่ได้เอาแต่นั่งเหม่อเหมือนหลายๆ วันที่ผ่านมา ดังนั้นสมุดบันทึกที่ผมเอามาให้ จึงถูกหยิบขึ้นมาใช้งานอีกครั้ง และผมก็คาดว่าการกระทำของอีกฝ่าย คงจะเป็นผลพวงมาจากการบำบัดทางจิตวิทยา
“ครับ” สิ้นคำอนุญาตผมก็รีบเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยพิเศษ พร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยที่จู่ๆ ไอ้บาสก็ส่งไลน์มาบอกให้รีบโทรกลับด่วน
มิหนำซ้ำมันยังคอยย้ำนักย้ำหนาให้ผมออกมาคุยธุระข้างนอก
 
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ไอ้ญาติผู้น้องบอกเล่าข่าวสารบางอย่าง ลำคอของผมกลับแห้งผากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากผมไม่คาดคิดว่าคุณชลวิทย์จะเลือกทางออกแบบนี้ 
และมันก็ทำให้ผมยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม
เพราะผมไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับจันทร์อย่างไรดี

กระทั่งผมวางสายจากญาติผู้น้องที่อยู่ที่บ้านกลางป่าสนแล้ว ผมก็รีบโทรไปบอกข่าวสารดังกล่าวที่น่าจะกระทบต่อการรักษากับ ดร. อาทิตย์ จากนั้นผมก็นั่งปักหลักอยู่ตรงที่เดิมเป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งเริ่มจะรู้สึกตัวว่าผมออกมาคุยโทรศัพท์ข้างนอกเป็นเวลานานเกินไป ผมจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
และอาจจะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่คาดว่าจะรับมือได้ยาก

“จะนอนแล้วเหรอจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามคนที่กำลังนำสมุดบันทึกที่มีลวดลายของป่าสน วางไว้บนชั้นเล็กๆ แบบบิวท์อินที่ยื่นออกมาจากกำแพงตรงข้างเตียง 
“ครับ แล้วพี่ภัทรยังไม่ง่วงเหรอ ?” จันทร์ย้อนถามพร้อมกับเดินเข้ามาหาผมที่ย้ายตัวเองมานั่งปักหลักอยู่บนโซฟาอันเป็นที่นอนที่แสนคุ้นเคย

“ก็นิดนึง” ผมตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงนอน โดยเหลือพื้นที่ว่างข้างๆ ตัวไว้ให้จันทร์ได้ซุกนอนเหมือนทุกครั้ง
“จันทร์รู้ว่าจันทร์ทำให้พี่ภัทรเป็นห่วง” อีกฝ่ายกล่าวพร้อมกับยึดท่อนแขนของผมเป็นหมอนหนุน ขณะที่ผมก็ได้แต่ย่นจมูกใส่คนตรงหน้าที่ทำเป็นออดอ้อนหลังจากปล่อยให้ผมเป็นกังวลจนเครียดชิบหาย

“คุณหมอบอกกับจันทร์ว่าทุกๆ คนไม่มีใครเพอร์เฟคไปหมดทุกด้าน และเราก็ไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรกับพวกเขาได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือการทำใจยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น รวมถึงยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จันทร์ก็เลยเข้าใจความรู้สึกของพี่ชลและพยายามทำตามคำแนะนำของคุณหมอ แต่ยังไงความเป็นจริงพวกนั้นก็ทำให้จันทร์เจ็บปวดมากอยู่ดี” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง พร้อมขยับใบหน้าเข้ามาชิดใกล้กับใบหน้าผม ราวกับเจ้าตัวต้องการให้ผมปลอบใจ
“พี่เข้าใจความรู้สึกของจันทร์ว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่พี่อยากเล่าถึงอีกมุมมองหนึ่งให้จันทร์ฟัง เผื่อมันจะช่วยให้ความเจ็บปวดที่จันทร์เคยมีเบาบางลงได้” ผมกล่าวพร้อมโอบกอดอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ขณะที่น้ำเสียงก็ต้องปรับระดับให้อ่อนโยนมากที่สุด

“จันทร์พอจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น พี่ก็ไม่ได้ทิ้งจันทร์เหมือนอย่างที่จันทร์เข้าใจ”
“ครับ”

“กับเรื่องของพี่ชลก็เหมือนกัน”
“…”

“จริงอยู่ว่าสิ่งที่พี่เขาทำเป็นเรื่องที่ผิดกับจันทร์ แต่หลังจากที่พี่ชลรู้ตัวว่าการกระทำของเขาทำให้จันทร์เจ็บปวด เขาก็เลือกจบความสัมพันธ์กับกรที่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์ นอกจากนี้เขายังพยายามจะพูดให้กรเข้าใจและยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นให้ได้ ดังนั้นเจตนาของพี่ชลก็คือความห่วงใยที่มีให้จันทร์ แม้มันจะไม่สามารถทดแทนสิ่งที่พี่เขาทำลงไปได้ แต่อย่างน้อยความห่วงใยเหล่านั้นก็คือเรื่องจริง” ผมพยายามจะบอกเล่ามุมมองอีกด้านหนึ่งของคุณชลวิทย์ให้จันทร์รับรู้ เพื่อที่ความรู้สึกอันย่ำแย่ของอีกฝ่ายจะได้เบาบางลง ซึ่งคำบอกเล่าเหล่านั้นไม่ใช่คำแก้ต่างแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าของบ้านกลางป่าสนคนพี่ได้กระทำ ก็ยังเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคุณชลวิทย์ยังมีด้านดีๆ ในสถานะของ ‘พี่ชาย’ หลงเหลืออยู่บ้าง แม้มันจะสายเกินแก้ไปแล้วก็ตาม แต่การที่เขาปล่อยมือจาก ‘กร’ บุคคลที่เขารัก เพื่อยื้อ ‘จันทร์’ ตัวจริงไว้ ทำให้ผมมองเห็นด้านดีๆ ที่ว่านี้ได้ชัดเจนขึ้น ยิ่งมาทราบว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเพราะการกระทำของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้ผมเห็นใจและคิดว่าการปล่อยวางคือทางออกที่ดีที่สุด เพราะการที่คนทำผิดรู้จักยอมรับผิด เราก็ไม่จำเป็นต้องไปกระหน่ำซ้ำเติมอะไร เพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็ได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดของตัวเองไปแล้ว
“อีกอย่าง.. จันทร์ก็รู้ใช่ไหมว่าการตัดสินใจถอยออกมาจากความรู้สึกที่อยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘การถลำลึก’ มันเป็นอะไรที่ทำได้ยากมากๆ”

“อื้อ” จันทร์ส่งเสียงตอบอู้อี้ในลำคอ เพราะเวลานี้อีกฝ่ายกำลังร่ำไห้อยู่เงียบๆ
“ถ้าหากพี่ชลไม่รักจันทร์แล้ว ‘การถอย’ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้” ผมกล่าวพลางหลับตาและกอดจันทร์ไว้ เพราะอีกไม่นานคำพูดปลอบใจของผม
จะต้องกลายเป็นคำพูดที่ทำให้จันทร์ร้องไห้หนักกว่าเดิม

“…”
“และตอนนี้.. พี่ชลก็คงจะเฝ้ามองและเป็นกำลังใจให้จันทร์อยู่บนฟ้า” สิ้นคำบอกกล่าวราวกับคำเปรียบเปรยของผม ทุกสรรพสิ่งรอบกายก็พากันเงียบงัน จนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน อีกทั้งอาการนิ่งเงียบของจันทร์
ก็ยิ่งทำให้ผมนึกกลัวว่า..
จันทร์ดวงนี้จะค่อยๆ กลายเป็นดวงจันทร์ที่กำลังหม่นแสง

“พี่ภัทรหมายถึง..” จันทร์กล่าวได้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไป คล้ายกับจู่ๆ ก็นึกหวาดกลัวที่จะพูดคำบางคำออกมา
“…” ผมจึงได้แต่ลูบหัวปลอบใจอีกฝ่าย โดยไม่มีคำใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมา เพราะการบอกข่าวร้ายกับคนในอ้อมแขน เป็นอะไรที่ผมทำใจได้ยากมากๆ

“สาเหตุที่พี่ชลต้องไปอยู่บนนั้น เป็นเพราะคำพูดของจันทร์ หรือเป็นเพราะอุบัติเหตุกันแน่ ?” จันทร์เอ่ยถามเสียงแผ่วหากแต่น้ำตากลับไหลริน
เนื่องจาก ‘ข่าวร้าย’ ดังกล่าว เป็นข่าวคราวที่เจ้าตัวไม่อยากได้ยิน

“มันเป็นการตัดสินใจของพี่ชลเอง” สิ้นคำบอกกล่าวของผมเสียงสะอื้นไห้ราวกับขาดใจของจันทร์ก็ดังระงมไปทั่วห้อง เพราะประโยคดังกล่าวแปลความหมายได้ว่าคุณชลวิทย์เลือกจะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการ ‘ฆ่าตัวตาย’
ซึ่งการกระทำของเขาก็มาจากความต้องการจะหลุดพ้นจากความรู้สึกอันย่ำแย่
ที่มีผลพวงมาจากการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง

หลังจากบอกข่าวร้ายกับจันทร์ในวันนั้น พิธีสวดพระอภิธรรมศพก็ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ โดยมีไอ้บาสคอยเป็นธุระจัดการให้ และภายในงานนี้ก็ทำให้ผมได้พบกับคุณป้าเจ้าของไร่ดอกเก๊กฮวยอีกครั้ง เพราะท่านมาในฐานะคนในครอบครัวของคุณชลวิทย์
เท่ากับว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยสันนิษฐานไว้ กำลังจะเปิดเผยความจริงออกมาด้วยตัวของมันเอง

งานนี้เป็นงานแรกที่ทำให้ ‘น้าเข็ม’ ได้พบกับหลานชายที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน เพียงแต่คนที่มาร่วมงานในวันนั้นกลับไม่ใช่ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก ดังนั้นการทักทายของท่านจึงทำให้ ‘คุณพีรวัตร’ ออกอาการงุนงงไม่น้อย เนื่องจากเขาไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับญาติฝ่ายใดของสองพี่น้องจากบ้านกลางป่าสนเลยแม้แต่นิด
จึงส่งผลให้ในค่ำคืนนั้น..
‘น้าเข็ม’ ได้รับรู้ว่าหลานชายของท่าน กำลังเข้ารับการรักษาด้วยโรคทางจิตเวช

ผมจึงมีโอกาสพูดคุยถึงที่มาที่ไปของ ‘โรคหลายอัตลักษณ์’ ให้ท่านฟัง รวมถึงร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างต่อกัน ซึ่งมันทำให้ผมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่าทีแปลกๆ ของท่าน ยามที่ผมเอ่ยถามเรื่องของผู้หญิงในรูปที่ผมเคยเอาไปถามที่สะเมิงในวันนั้น โดยสาเหตุดังกล่าวก็มาจากการที่คุณพ่อของจันทร์ซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเคยทำไม่ดีกับคุณแม่ของจันทร์ และทั้งสองคนก็เสียไปตั้งนานแล้ว ท่านก็เลยไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาอีก ผมจึงถือโอกาสอธิบายให้ท่านฟัง พร้อมทั้งขอโทษที่ต้องโกหก แต่เพราะเรื่องราวดังกล่าวมันเกี่ยวกับการรักษาอาการป่วยของจันทร์ ท่านก็เลยเข้าใจและไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร
ทว่าเมื่อผมถามถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของครอบครัวนั้น ท่านกลับให้การได้เพียงว่า ‘ไฟไหม้’ คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น พร้อมทั้งยืนยันว่าเหตุการณ์ในครั้ง ไม่ใช่การ ‘ฆ่าตัวตาย’ ตามที่ใคร ๆ ต่างก็เลื่องลือ ครั้นผมถามว่าทำไมท่านถึงมั่นใจในข้อสันนิษฐานดังกล่าว ท่านก็เอาแต่นิ่งเงียบคล้ายกับท่านทราบดี เพียงแต่มันเป็นเรื่องยากที่จะกล่าวถึง ผมก็เลยไม่อยากคาดคั้นอะไรนัก
เพราะในความเป็นจริง ถึงผมจะทราบเรื่องราวทั้งหมด
แต่ผมก็ไม่สามารถช่วยให้การต่อจิ๊กซอว์ของจันทร์เสร็จสมบูรณ์ได้เร็วขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นการพูดคุยด้วยเรื่องทั่วๆ ไปก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง โดยอาศัยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับครอบครัวของคุณป้า อย่างเช่น พวกท่านมีพี่น้องทั้งหมดกี่คน เพราะเท่าที่ผมเห็นดูเหมือนจะมีเพียงแค่คุณป้าแล้วก็คุณพ่อของคุณชลวิทย์เท่านั้นที่มาร่วมงาน ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมทราบว่าครอบครัวของท่านมีกันทั้งหมด 4 คน โดยแบ่งเป็น ชาย 3 และหญิง 1 ซึ่งพี่ชายคนโตอย่าง ‘เข้ม’ หรือก็คือคุณพ่อของจันทร์เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนพี่ชายคนรองที่มีชื่อว่า ‘เขม’ ก็คือคุณพ่อของคุณชลวิทย์ และน้องชายคนสุดท้องนามว่า ‘โชค’ ที่ ณ เวลานี้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในคุก
วินาทีนั้นผมก็เข้าใจคำพูดทิ้งท้ายของคุณชลวิทย์อย่างกระจ่างแจ้ง

ผมไม่คิดจะขุดคุ้ยความทรงจำอันโหดร้ายของ ‘น้าเข็ม’ ออกมาอีก เพราะผมเชื่อว่าท่านน่าจะเป็นคนที่จัดการอะไรหลายๆ อย่างเพื่อหลายชายของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะแววตาของท่านเวลาที่มองไปยังเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนในคราบของคุณพีรวัตร มันฉายแววแห่งความห่วงใยเอาไว้จนหมดสิ้น
ดังนั้นเรื่องราวระหว่าง ‘จันทร์’ กับ ‘คุณชลวิทย์’
ผมที่เป็นเพียงแค่คนนอก ก็ควรจะเก็บมันไว้กับตัวเหมือนอย่างเดิม

“พี่ภัทร” จันทร์เอ่ยเรียกระหว่างที่ผมกำลังขับรถเพื่อไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพเป็นคืนที่สาม เนื่องจากคุณนักเขียนขอสละสิทธิ์ในการออกมาใช้ชีวิตในช่วงนี้ เพราะเขาเข้าใจดีว่ามันคือช่วงเวลาเดียวที่จันทร์จะได้ใกล้ชิดกับคุณชลวิทย์เป็นครั้งสุดท้าย
“หืม ?” ผมส่งเสียงถามในลำคอ ขณะที่สายตาก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่

“แล้วลีล่ะครับ ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ ?” สิ้นคำถามจากตุ๊กตาหน้ารถ จังหวะการขับเคลื่อนก็มีอันต้องส่ายไปส่ายมา เพราะจิตใจของคนขับเริ่มจะไม่สงบนิ่ง
“อื้ม” ผมส่งเสียงตอบในลำคออย่างแผ่วเบาชนิดที่หากไม่ตั้งใจฟังก็คงจะไม่ได้ยิน เพราะผมไม่ได้อยากจะโกหกจันทร์ แต่การจะบอกความจริงกับจันทร์ในตอนนี้ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ไหว
แต่ก็นั่นแหละ
เราจะไปหาลียากรคนที่สองมาจากไหน ?

“หวังว่าจะทันงานฌาปนกิจนะ” ประโยคดังกล่าวของจันทร์ยิ่งทำให้ใจของผมหนักอึ้งมากกว่าเดิม เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าการจากไปของครอบครัวอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทำให้จันทร์เลือกจะสร้างอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’ ขึ้นมารองรับความเจ็บปวด ดังนั้นการจะบอกความจริงกับจันทร์ในช่วงเวลาที่เขาเพิ่งจะสูญเสียคุณชลวิทย์ ย่อมเป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงมาก
เพราะผมรู้ว่า..
การลาจากของคุณชลวิทย์ กำลังทำให้จันทร์นึกโทษตัวเองอยู่ลึกๆ
 
สำหรับงานในคืนนี้ จันทร์เอาแต่ว้าวุ่นอยู่กับการเสิร์ฟน้ำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ซึ่งก็มีไม่มากมายเท่าไหร่ เนื่องจากงานถูกจัดขึ้นที่วัดในตัวเมืองเชียงใหม่
หากแต่วันฌาปนกิจคาดว่าผู้คนจากอำเภอสะเมิง น่าจะเดินทางมาร่วมงานกันเยอะพอสมควร

ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นพิธีในวันนี้ จันทร์ก็เอาแต่เหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำสนิทที่อยู่ข้างนอกศาลาวัด แต่พอ ‘น้าเข็ม’ เดินเข้ามาทักทาย สีหน้าอันอ่อนล้าก็ฉายชัดขึ้นมาทันที กระทั่งอ้อมกอดอันอบอุ่นถูกหยิบยื่นมาให้ เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็รีบซุกตัวเข้าหาไออุ่นของคุณน้าผู้แสนใจดี ครั้นคุณน้าต้องเตรียมตัวกลับไปพักผ่อนพร้อมกับคุณแม่ของคุณชลวิทย์ ผมจึงถือโอกาสเดินเข้าไปทักทายพวกท่านและนั่งเป็นเพื่อนจันทร์ จนกว่าเจ้าตัวจะมีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาลอันเป็นที่พักอาศัยในยามนี้

“พี่ภัทรคิดว่าพี่ชลจะให้อภัยจันทร์หรือเปล่าครับ ?”
“ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้นล่ะ ?” ผมเอ่ยถามขยายความเพื่อจะได้เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายให้มากขึ้น

“เพราะคำพูดของจันทร์ในวันนั้น พอลองเอามาคิดทบทวนดูแล้ว มันก็ร้ายแรงและกระทบต่อความรู้สึกของพี่ชลมากเลยไม่ใช่เหรอครับ”
“แต่เท่าที่พี่รู้มาจากพี่บาส ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ชลคิดจะเลือกทางออกแบบนี้..”

“ดังนั้นการตัดสินใจของพี่ชล สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะมองว่ามันเป็นการกระทำที่สิ้นคิด แต่สำหรับคนที่เข้าใจ ก็จะรู้ว่าทางเลือกนี้คือความสุขเดียวที่พี่ชลมองเห็น”
“ถ้าเกิดจันทร์อโหสิกรรมให้กับทุกเรื่องที่ผ่านมา คนบนฟ้าก็จะมีความสุขมากกว่าเดิมใช่หรือเปล่าครับ ?” จันทร์เอ่ยถามพลางจับจ้องไปยังท้องฟ้าในยามราตรีแน่นิ่ง คำพูดดังกล่าวทำให้ผมรับรู้ได้ว่าการเข้ารับการบำบัดทางจิตวิทยา เริ่มทำให้จิตใจของอีกฝ่ายเข้มแข็งขึ้นมาก

“อื้ม” ผมยืนยันกับอีกฝ่ายอย่างหนักแน่น พลางมองจ้องไปยังดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้ตัวอย่างแน่นิ่ง ราวกับในใจลึกๆ ยังคงหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับกลายเป็นจันทร์หม่นแสง จากการล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของ ‘น้องลี’
ซึ่งผมคาดว่า..
เราคงปกปิดเป็น ‘ความลับ’ ได้อีกไม่นาน..


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

การเขียนความรู้สึกของจันทร์ผ่านมุมมองของพี่หมอมันเป็นอะไรที่ยากเย็นจริงๆ ฮรือ สำหรับตอนนี้จริงๆ เราได้หยอดการตัดสินใจของคุณชลวิทย์ไว้ตั้งหลายตอนก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเขาอาการไม่ค่อยดี ซึ่งอาการไม่ค่อยดีมันหมายรวมถึงการคิดตัดสินใจที่จะหลีกหนีด้วยวิธีนี้ด้วย เพราะว่าในมุมมองของคุณชลวิทย์ เรื่องที่เจ้าตัวได้ทำไว้ มันเป็นอะไรที่ร้ายแรง และไม่สามารถเข้าหน้ากันติดอย่างแน่นอน และด้วยความที่เจ้าตัวก็รักจันทร์แบบน้องชายน่ะแหละ มันเลยทำให้ความรู้สึกแย่ประเดประดังเข้ามา เพราะว่าการกระทำของตัวเอง สุดท้ายก็ไม่ต่างกับอาโชค ส่วนจันทร์ในตอนนี้ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหามากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่น้องแสดงออกจะไม่เหมือนเดิม มันเลยทำให้คาดเดาความรู้สึกได้ยากมากขึ้น เพราะแต่ก่อนถ้าน้องอ่อนแอรับไม่ไหว น้องจะแสดงมันออกมาทันที และจบท้ายด้วยการหลีกหนี โดยให้อัตลักษณ์อื่นๆ ออกมาใช้ชีวิตแทน ดังนั้นก็มาลุ้นกันต่อไปว่าน้องจะเป็นยังไง เมื่อได้รู้ความจริงเรื่องน้องลี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 23:38:24 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ใกล้แล้ว

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 34


เช้าวันนี้เป็นวันที่ผมนึกกังวลมากที่สุด เพราะ ‘ความลับ’ เกี่ยวกับน้องลียากรกำลังจะถูกเปิดเผย ซึ่งวิธีในการบอกเล่าก็ยังต้องพึ่งพาคลิปวีดิโออันเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเหมือนอย่างเคย
ดังนั้นทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกากำลังก้าวเดินต่อไป..
ความหนักอึ้งในใจกลับพอกพูนมากยิ่งขึ้น

กระทั่งบันทึกการรักษาถูกส่งตรงมายังผม ร่างกายก็คล้ายกับจะทำงานเชื่องช้าลง แต่ครั้นจะปริปากถามอาการของจันทร์กับด็อกเตอร์อาทิตย์ ผมก็ดันใจป๊อดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซึ่ง ‘การถ่วงเวลา’ ให้มันยืดยาวออกไป กลับกลายเป็นทางเลือกที่สุดแสนจะทรมาน
เพราะผมยังคงจมดิ่งไปกับการมีจิตใต้สำนึกร่วมกันกับคนไข้ที่มีชื่อว่า ‘เพียงจันทร์’

แต่สุดท้ายการต่อรองเวลาย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ ‘ผมต้องเชื่อใจจันทร์’ เพราะข่าวการสูญเสียของคุณชลวิทย์ทำให้ผมเล็งเห็นว่าจันทร์รู้วิธีในการรับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้น ดังนั้นเรื่องของน้องลี จันทร์น่าจะมีวิธีดีๆ ในการจัดการกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน พอคิดบวกได้แล้วปลายนิ้วชี้ก็เริ่มทำหน้าที่ดับเบิ้ลคลิกเข้าไปยังไฟล์เป้าหมาย
จากนั้นไม่นานภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันคุ้นเคยก็ปรากฏ

“ผมขออนุญาตบันทึกวีดิโอเอาไว้เพื่อการศึกษาเหมือนเดิมนะครับคุณเพียงจันทร์” หลังจากสองคนในหน้าจอสี่เหลี่ยมทักทายกันจนหอมปากหอมคอ ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มพูดประโยคเบสิคก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องอย่างจริงๆ จังๆ
“ครับ”

“ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณจะสามารถรับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้นมากเลยนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวพลางยกยิ้ม ซึ่งเปรียบได้กับการชื่นชมเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับกำลังใจดีๆ กลับไป
“ก็หมอเคยบอกกับผมนี่ครับ ถ้าหากผมอยากจะหายป่วย ผมต้องรู้จักรับมือกับปัญหาด้วยวิธีการใหม่ๆ ผมเลยนึกถึงแต่ด้านดีๆ ของพี่ชล จนในที่สุดผมก็ได้คำตอบแล้วครับว่าจริงๆ แล้ว พี่ชลไม่ได้หนีจากผมไปไหน เพราะพี่เขาอยู่ที่นี่ครับ ผมก็เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดดเดี่ยวเหมือนกับช่วงแรกๆ” จันทร์กล่าวพลางชี้เข้ามาที่กลางอกของตัวเองเพื่อประกอบคำพูด ขณะที่คำตอบของเขา ทำเอาผมอดจะอมยิ้มจนปวดแก้มไม่ได้ เนื่องจากครั้งหนึ่งผมเคยใช้คำเปรียบเปรยในทำนองว่าคุณชลวิทย์กำลังเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่บนฟ้า และจันทร์ก็คงจะนำคำปลอบใจเหล่านั้น ไปต่อยอดจนสามารถรับมือกับความเศร้าโศกได้
ซึ่งความดีความชอบอีกครึ่งหนึ่ง คงต้องยกเครดิตให้กับด็อกเตอร์อาทิตย์ที่ช่วยแนะนำแนวทางให้กับจันทร์

“แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวผมในตอนนี้กำลังเกิดความไม่เสถียรครับหมอ”
“คุณพอจะอธิบายเพิ่มเติมได้หรือเปล่าครับ ว่าความไม่เสถียรในที่นี้ หมายความว่าอย่างไร ?” ด็อกเตอร์ขมวดคิ้วมุ่นพลางเริ่มต้นสอบถามข้อมูลในเชิงลึก ขณะที่ผมก็เกิดความสงสัยไม่ต่างกัน

“จู่ๆ ผมก็หลับไป จากนั้นผมก็ตื่นขึ้นมา แล้วก็หลับไปอีกครั้งในระยะเวลาที่มันเทียบเท่ากับการหายใจเข้าเพียงหนึ่งครั้ง แต่ยังไม่ทันจะหายใจออก แต่ที่แปลกก็คือผมเป็นแบบนั้นติดต่อกันอยู่พักใหญ่ จากนั้นพออาการแปลกๆ เริ่มหายไป ผมก็ได้ยินเสียงของใครหลายๆ คนดังก้องอยู่ในหัว”
“แล้วเสียงเหล่านั้นใช่เสียงของอัตลักษณ์อื่นๆ หรือเปล่าครับ ?”

“ใช่ครับ พวกเขากำลังถกเถียงเกี่ยวกับการออกมาใช้ชีวิตแบบตื่นๆ หลับๆ ว่ามันเป็นเพราะอะไร”
“อืม.. การสูญเสียในครั้งนี้ อาจจะทำให้คุณรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ แต่เพราะความคิดอีกด้านหนึ่งของคุณ กำลังบอกกับคุณว่าคุณจะต้องก้าวเดินต่อไปให้ได้ ดังนั้นความอ่อนแอที่คุณเก็บซ่อนเอาไว้ จึงส่งผลให้เกิดความไม่เสถียรดังกล่าวขึ้น”

“คงจะเป็นอย่างที่หมอว่าจริงๆ นั่นแหละครับ” จันทร์กล่าวอย่างเลื่อนลอยก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้กับคุณหมอตรงหน้า เพราะสำหรับจันทร์แล้ว ถึงอย่างไรคุณชลวิทย์ก็ยังคงเป็นพี่ชายที่เปรียบเสมือน ‘ต้นไม้ใหญ่’ ที่คอยให้การโอบอุ้มดูแลเสมอมา แม้ช่วงหนึ่งพายุอาจโหมกระหน่ำจนทำให้ต้นไม้ต้นนั้นคิดจะตัดกิ่งก้านสาขาบางส่วนทิ้งไปก็ตามที
 “แต่ที่น่าแปลกก็คือวันนั้นในหัวของผม มีเสียงๆ หนึ่ง ที่ผมคุ้นเคยมากครับหมอ” สิ้นคำกล่าวนั้นหัวใจของผมก็ราวกับร่วงหล่นไปอยู่ใต้โต๊ะ
เพราะ ‘สุ้มเสียงอันคุ้นเคย’ ที่จันทร์พูดถึง
จะเป็นของใครไปได้ถ้าหากไม่ใช่เสียงของ ‘น้องลียากร’

“เสียงนั้นที่คุณพูดถึง ได้ยินบ่อยแค่ไหนครับ ?”
“ผมน่าจะเพิ่งเคยได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งแรกครับหมอ” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกทั้งสีหน้าของเจ้าตัวก็ยังดูแปลกๆ
ซึ่งปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาผมล่วงรู้คำตอบได้ไม่ยาก

“…”
“หมอครับ ที่จริงแล้ว.. อีกด้านหนึ่งของผม มีมากกว่าสองคนใช่ไหมครับ ?” จันทร์เอ่ยถามราวกับต้องการจะย้ำเตือนความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง เพราะวีดิโอที่คุณหมอเคยเอามาให้ดู มีอยู่เพียงสองอัตลักษณ์ แต่จากคำยืนยันของคุณพีรวัตรกลับบ่งบอกได้ว่ามีอยู่สี่อัตลักษณ์

“ใช่ครับ แต่ว่าตอนนี้เรายังสรุปจำนวนที่แน่นอนไม่ได้” สิ้นคำตอบของด็อกเตอร์ก็คล้ายกับการสรุปความจริงให้ได้เห็น ดังนั้นทางเดียวที่จะช่วยให้เราทราบจำนวนของอัตลักษณ์อย่างแน่นอนได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการต่อจิ๊กซอว์ให้ได้มากที่สุด
“อ้อ ครับ.. ผมนี่โง่ชะมัด เพราะก่อนหน้านี้หมอภัทรก็เคยถามกับผมแล้ว ว่าผมเคยคุยกับลีแบบต่อหน้าบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นผมยังคิดเลยว่าทำไมพี่หมอถึงถามอะไรแปลกๆ แต่พอมาตอนนี้ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้วล่ะครับ” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้นสะอื้น หากแต่ดวงตาของเขากลับแดงก่ำ เพราะความเป็นจริงที่ตัวเองล่วงรู้กำลังฉายชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมเริ่มนึกคิดขึ้นมาได้ว่าการที่จันทร์ไล่บี้ให้ผมหาทางติดต่อกับน้องลียากรให้ได้
แท้ที่จริงมันคือการทดสอบต่างหากล่ะ

“ความไม่เสถียรของผมครั้งแรก อาจเกิดขึ้นเพราะผมยังทำใจเกี่ยวกับเรื่องพี่ชลไม่ได้ แต่ว่าครั้งต่อๆ มา ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเพราะว่าที่จริงแล้ว น้องสาวของผมไม่เคยมีอยู่จริง ถ้าหากเธอเป็นอีกด้านหนึ่งของผมจริงๆ เหตุผลที่ผมสร้างเธอขึ้นมาก็เพื่อปกปิดการเสียชีวิตของเธอหรือเปล่าครับ ในเมื่อหมอเคยบอกกับผมว่าอีกด้านหนึ่งของผม จะเป็นคนที่เจ็บแทนผม ร้องไห้แทนผม ถ้าอย่างนั้นลีคนนี้ก็คงจะมีชีวิตอยู่เพื่อผมใช่หรือเปล่าครับ เพราะการสูญเสียสำหรับผมแล้ว มันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกจะหลับตา เพราะตอนเด็กๆ ช่วงที่ผมเคยอยู่กับแม่ ผมเคยเลี้ยงลูกหมาไว้ตัวหนึ่ง แต่จู่ๆ มันก็ไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย หลังจากนั้นผมก็เลือกจะหลับตา เพื่อโกหกตัวเองว่าเจ้ามิคไม่ได้หายไปไหน มันแค่ไปวิ่งเล่นจนเพลินไปหน่อยเลยไม่ยอมกลับบ้าน และมันก็คงจะกลับมาในตอนที่ผมกำลังหลับ” สิ้นคำกล่าวนั้นดวงตาอันแดงก่ำของจันทร์ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา จนกระทั่งเจ้าตัวต้องซุกซบใบหน้าลงบนฝ่ามือเมื่อความรู้สึกอันย่ำแย่กำลังตรงเข้าเล่นงาน จากนั้นดวงจันทร์ที่เคยเข้มแข็งก็ขอเวลาผ่อนคลายเพียงครู่ จึงส่งผลให้คาบจิตวิทยาการปรึกษาในวันนี้ถึงคราวต้องจบสิ้นลง
และในใจของผมก็รู้สึกวูบโหวงดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดของจิตใจที่ร้างไร้ซึ่งความสดใส

“เชิญครับ” ผมเงยหน้ามองประตูห้องพลางออกปากอนุญาต
“พี่ภัทรลืมเวลากินข้าวไปแล้วหรือเปล่าครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่าแววตากลับให้ความรู้สึกแตกต่างจากการกระทำอย่างสิ้นเชิง
เพราะพฤติกรรมทั้งหมดเกิดจากการพยายามจะเข้มแข็ง

“นั่นสิ พี่ลืมไปได้ยังไงก็ไม่รู้” ผมกล่าวพลางลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและเดินตรงไปยังใครคนนั้นที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูอันมิดชิด
“วันนี้แม่ทำกับข้าวมาเยอะเลยครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้มซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า โดยไม่มีท่าทีว่าจะออกไปกินข้าวที่ห้องของจันทร์แต่อย่างใด

“ไหนว่าหิวไงครับ ไม่ออกไปกินเหรอ เดี๋ยวพี่บาสแย่งกินหมด จันทร์ไม่รู้ด้วยนะ” จันทร์กล่าวราวกับหลอกเด็ก ซึ่งเด็กคนที่จันทร์กำลังหาทางกวาดต้อนก็คือผมที่อายุปาเข้าไปตั้งเลข 3 แล้ว
“จันทร์เก่งจัง” ผมตรงเข้าไปกอดอีกฝ่ายด้วยอารามลืมตัวและลืมสถานที่ไปชั่วขณะ จากนั้นก็ออกปากชื่นชมจากใจจริง

“ก็พี่ภัทรเคยบอกว่าพี่ชลกำลังเฝ้ามองจันทร์อยู่บนฟ้าไม่ใช่เหรอครับ ลีเองก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็ก ลีก็ตามติดจันทร์ตลอด เพิ่งจะมาห่างๆ กันก็ตอนที่ลีไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ..” จันทร์พูดด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังต้องการจะปลอบโยนใครสักคน
แต่แล้วก็เหมือนกับอีกฝ่ายเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป

“เห้อ~ ไม่ชินสักที” จันทร์ผละตัวออกห่างจากอ้อมกอดของผมพลางกลั้วหัวเราะและทำเป็นถอนหายใจเพียงเบาๆ จากนั้นเจ้าตัวก็อธิบายเสียงอ่อน ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มให้
โดยผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดหรือทำอะไรต่อไปดี

“เราไปกินข้าวกันเถอะครับ”
“อืม”

กระทั่งมื้อกลางวันผ่านพ้นไป ผมก็ได้ฤกษ์กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ขณะที่จันทร์ก็ต้องไปพบด็อกเตอร์อาทิตย์ตามที่ผมได้นัดหมายไว้ เนื่องจากในค่ำคืนนี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ต้องการให้น้องลียากรเป็นคนออกมาใช้ชีวิต และเดินทางไปยังงานสวดพระอภิธรรมของคุณชลวิทย์ ด้วยเพราะวันอื่นๆ จะเป็นคิวของเจ้าตัว
ซึ่งความต้องการของจันทร์จะต้องอาศัยความร่วมมือจากคุณพีรวัตร เนื่องจากอัตลักษณ์ดังกล่าวสามารถปลุกอัตลักษณ์ที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงได้
ฉะนั้นการต่อรองย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

แต่แล้วสิ่งที่น่าประหลาดใจก็ก่อเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ คนที่ออกมาใช้ชีวิตในช่วงนั้น กลับไม่ได้มีแค่น้องลียากร เพราะกรวินท์ก็ได้รับสิทธิ์นั้นด้วย ซึ่งภาพที่เห็นทำให้ผมรู้สึกเวทนาอย่างบอกไม่ถูก เพราะแต่เดิมกรวินท์ก็เป็นคนที่เรียกได้ว่าจิตใจค่อนข้าง ‘ว่างเปล่า’ และคุณชลวิทย์ก็สามารถเติมความรู้สึกอันสวยงามเหล่านั้นให้กับเขา แม้มันจะยังไม่เต็มเปี่ยมมากนัก แต่ก็นับได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นทำให้เขามีความสุขอย่างแท้จริง
ดังนั้น ‘การจากลา’ ของคุณชลวิทย์
จึงเหมือนกับฝันร้ายสำหรับ ‘กร’

“กร” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งจุมปุกอยู่ตรงหน้าโลงศพของคุณชลวิทย์ด้วยแววตาอันเลื่อนลอย หลังจากร้องไห้ราวกับจะขาดใจ จนใครต่อใครที่มาร่วมงานต่างพากันมองด้วยความสงสาร แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่กรวินท์ไม่คิดทำร้ายตัวเองเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา 
“…”

“ดึกแล้วนะ เรารีบกลับโรงพยาบาลกันก่อนดีกว่าไหม ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ชายหนุ่มที่กำลังแสดงท่าทีราวกับคนไร้จิตวิญญาณ ซึ่งคำพูดทั้งหมดก็ลอยไปตามสายลม หาได้รับการตอบสนองกลับมาแต่อย่างใด ผมจึงคิดว่าตัวเองควรจะต่อเวลาให้อีกฝ่ายสักหน่อย
“…”

“พี่ภัทร” แต่เมื่อผมกำลังจะลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับกรวินท์ กลับกลายเป็นว่าในช่วงเวลานั้น จันทร์ของผมดันตื่นจากการหลับใหล อีกทั้งยังแสดงสีหน้างุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ ใบหน้าก็อาบไปด้วยหยาดน้ำตา
“พอดีหลังจากที่ลีออกมาใช้ชีวิต กรก็ได้รับสิทธิ์นั้นต่อ” สิ้นคำอธิบายของผม ดูเหมือนจันทร์จะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายกำลังพยักหน้ารับเพียงเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองรูปคุณชลวิทย์ที่วางตั้งอยู่ไม่ไกลจากตนเองนัก

“แล้วตอนที่ลีออกมาใช้ชีวิต น้องดูโอเคไหมครับ ?”
“ลีตกใจอยู่พักใหญ่ แต่ก็ปรับตัวได้เร็ว” หลังจากที่ผมพูดถึงปฏิกิริยาของอัตลักษณ์น้องลีให้อีกฝ่ายฟัง เจ้าตัวก็ยิ้มรับเพียงบางๆ แล้วนิ่งเงียบไป ส่วนผมก็ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่ได้เร่งเร้าอะไร เนื่องจากจันทร์เพิ่งจะได้ออกมาใช้ชีวิตที่นี่

“เรากลับกันเถอะครับ ตอนนี้ก็เริ่มดึกมากแล้วด้วย” สิ้นคำชักชวนนั้น ผมก็พยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นยืนและถอยออกไปยืนอยู่ตรงมุมที่มันห่างไกลออกมาอีกหน่อย
เพื่อที่จันทร์จะได้ใช้เวลาส่วนตัวในการร่ำลาลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง

กระทั่งเดินทางมาจนถึงโรงพยาบาลก็ทำการเซ็นชื่อเพื่อเข้าพื้นที่วอร์ดจิตเวช จากนั้นก็ต่างคนต่างจัดการกับตัวเอง เพื่อที่จะได้เตรียมตัวเข้านอน ซึ่งผมก็ให้จันทร์เป็นฝ่ายอาบน้ำก่อนเป็นคนแรก จึงทำให้อีกฝ่ายมีเวลาในการนั่งเอ้อระเหยท่ามกลางแสงเทียนกลิ่นลาเวนเดอร์

“ไม่ง่วงเหรอ ?” ผมเอ่ยถามพลางเช็ดเส้นผมที่ยังคงเปียกชื้น แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม
“ที่จริงก็เริ่มง่วงแล้วล่ะครับ แต่จันทร์อยากรอให้พี่ภัทรอาบน้ำเสร็จก่อนเลยเผลอคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อย”

“ระหว่างที่พี่กำลังเช็ดผม จันทร์เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิว่าเมื่อกี้กำลังคิดอะไรอยู่”
“จันทร์กำลังคิดว่าถ้าหากพี่ชลยังมีชีวิตอยู่ จันทร์จะให้อภัยพี่เขาได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรือเปล่า เพราะจริงๆ แล้ว ความรู้สึกแย่ๆ ของการตัวแทนของใครสักคน มันเจ็บปวดนะครับ”

“…”
“แล้วอีกอย่าง.. เรื่องในวันนั้น จันทร์ก็ยังไม่เคยลืม”

“…”
“แต่ที่จันทร์ทำเป็นไม่สนใจมันได้ เพราะพี่ภัทรแสดงให้จันทร์เห็นว่าเรื่องพวกนั้น ไม่สามารถลดคุณค่าของจันทร์ในสายตาของพี่ภัทรได้ จันทร์ก็เลยกลายเป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉา”

“พี่ก็นึกว่าจันทร์ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เสียอีก” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย เพราะไม่ทันคาดคิดว่าคำพูดของตัวเองที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยปริศนาจะถูกจันทร์ไขรหัสลับออกมาจนหมดเปลือก
“ก็จันทร์เก่งไงครับ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพลางยกยิ้มแป้น

“ยิ้มแล้ว” ผมนั่งท้าวคางกับโต๊ะตรงข้างหน้าต่าง พลางอุทานออกมาเบาๆ เพราะในเวลานี้รอยยิ้มของจันทร์ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความต้องการจะฝืนยิ้ม
“ที่จันทร์ยังยิ้มออกมาได้บ้าง คงเป็นเพราะพี่ภัทรคือจิตแพทย์ด้วยมั้งครับ เวลาจันทร์อยู่ใกล้ๆ ทีไร จันทร์จะรู้สึกเหมือนกับพี่ภัทรมีออร่าบางอย่างที่ทำให้จันทร์รู้สึกสบายใจ และกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงในหลายๆ เรื่อง” จันทร์กล่าวพลางกลั้วหัวเราะคล้ายกับสิ่งที่เจ้าตัวกำลังพูด มันชวนให้เก้อเขินอยู่นิดหน่อย

“แต่ว่าข้างในนี้ก็ยังไม่คงที่นักหรอกครับ ไม่อย่างนั้นความไม่เสถียร มันก็น่าจะหายไปแล้ว” จันทร์กล่าวพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เพื่อบอกกล่าวว่าสิ่งที่มันสะสมอยู่ในจิตใจ ยังคงก่อให้เกิด ‘ความไม่เสถียร’ ที่อีกฝ่ายเคยเล่าให้ด็อกเตอร์ฟัง
“ไม่เป็นไร จันทร์ยังมีทั้งเวลาและยังมีทั้งพี่”



゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

(25/07/2018 แก้คำผิด
28/07/2018 รีไรท์บางประโยคให้สอดคล้องกับตอนก่อนหน้านี้)
กลับมาอัพเหมือนเดิมแล้วจ้า ที่หายไปพอดีว่าเราแอบไปเขียนเรื่องสั้นให้กับทางสำนักพิมพ์มาค่ะ แต่จริงๆ ก็ใช้เวลาเขียนประมาณอาทิตย์นึงได้มั้ง แล้วเราก็ปวดฟันต่อ เลยไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะมันปวดจี๊ดขึ้นหูเลยค่ะ แล้วก็ปวดตลอดเวลาด้วย เลยทำให้ต้องพักการเขียนไปอีกอาทิตย์นึง แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว ก็เลยกลับมาปั่นต่อจนจบตอนได้ แต่ไม่รู้ว่าเราจะต้องหยุดอัพอีกหรือเปล่านะ เพราะว่านี่ก็เริ่มจะเจ็บคอเพิ่มอีกอย่างแล้ว T_T

สำหรับตอนนี้ ที่จริงเราจะใส่อีกฉากนึงเข้าไปด้วย เป็นฉากที่เกี่ยวกับปมไฟไหม้ แต่ว่ามันน่าจะต้องลากยาว ก็เลยตัดเป็นตอนต่อไปดีกว่า ตอนนี้เลยเหมือนเป็นการอัพเดตอาการของจันทร์ว่าจริงๆ แล้ว จันทร์สงสัยเรื่องน้องลีมาสักพักนึงแล้ว และมันก็ทำให้เกิดความไม่เสถียรในตัวเองขึ้นมา เพียงแต่พี่หมอไม่รู้ เพราะว่าทั้งสองคนไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา เอาล่ะ นี่คือตอนเซอร์วิสของพระนาย 555
ปล. เนื้อเรื่องอาจจะอืดๆ หน่อย แต่เราว่ามันน่าจะเป็นสไตล์การเขียนของเราแล้วล่ะ 5555 แต่เดี๋ยวต่อไปจะเข้าสู่กระบวนการหลอมรวมแล้ว แต่เราอาจจะลงลึกไม่ได้ เพราะว่าในหนังสือของคุณบิลลีก็ไม่ได้มีบอกรายละเอียดตรงนี้มาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 23:41:50 โดย Chomin »

ออฟไลน์ andaseen

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-1
มาต่อแล้วววว :m4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 35

เช้าวันใกล้สิ้นเดือนแบบนี้ กิจกรรมที่จันทร์จะต้องเข้าร่วมยังคงเป็นการออกกำลังกาย จากนั้นก็ต้องคอยดูแลสวนของทางโรงพยาบาล ซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก เพราะผู้ป่วยจะช่วยกันกวาดเศษใบไม้และเศษขยะรอบๆ ตึก โดยจุดประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วยรู้จักการเข้าสังคมและร่วมแรงร่วมใจกัน
ครั้นทุกอย่างเสร็จสิ้น
ช่วงเวลาแห่งการฟรีสไตล์ก็จะตกเป็นของทุกคน

โดยปกติแล้วหากคุณพีรวัตรเป็นคนออกมาใช้ชีวิต เขาจะเอาเวลาในช่วงนี้ไปทุ่มเทให้กับงานเขียนของตัวเอง ส่วนจันทร์มักจะนั่งอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเอง โดยนำสมุดบันทึกที่ผมมอบให้มานั่งเรียบเรียงความทรงจำต่างๆ หรือถ้าหากน้องลียากรเป็นคนที่ออกมาใช้ชีวิต เธอก็มักจะวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้พร้อมฮัมเพลง ‘หนูมาลี’ ไปด้วย
ขณะที่กรวินท์เป็นเพียงอัตลักษณ์เดียวที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่างานอดิเรกของเขาจะเป็นการวาดรูปอย่างที่เจ้าตัวเคยให้ข้อมูลไว้หรือไม่
เพราะทุกครั้งที่เขาออกมาใช้ชีวิต
มักจะก่อเรื่องให้ต้องคอยปวดหัวอยู่ร่ำไป

“เกิดอะไรขึ้นเหรอน้องแพร ?” หลังจากเคลียร์ผู้ป่วยโอพีดีจนหมด ผมก็เดินตรงไปยังประตูห้อง แล้วชะโงกหน้าออกไปถามพยาบาลที่กำลังวิ่งวุ่นอย่างตื่นตระหนกด้วยความสงสัย
“ตอนนี้คุณเพียงจันทร์กำลังอยู่ที่ดาดฟ้าค่ะหมอภัทร” น้องแพรตอบด้วยท่าทีอันร้อนรน จากนั้นเธอก็รีบก้าวเดินเร็วๆ จากไป ขณะที่ผมก็แทบจะเหาะตามเธอไปด้วย
เพราะคำว่า ‘ดาดฟ้า’
สามารถบ่งบอกอะไรได้อย่างกระจ่างแจ้ง

ทันทีที่ผมเดินทางมาถึงภาพแรกที่มองเห็นคือภาพของจันทร์ที่กำลังยืนอยู่ตรงขอบอาคารอย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาลจะมีการจัดสวนหย่อมอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีราวกั้นอย่างเป็นสัดส่วน บ่งบอกถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งาน แต่เพราะจันทร์ในคาบของกรวินท์รอดราวเหล็กพร้อมทั้งเหยียบย่ำแปลงหญ้าน้ำพุเข้าไปในส่วนต้องห้าม
ดังนั้นความปลอดภัยที่เคยมี..
จึงกลายเป็นศูนย์

ซึ่งกรวินท์ได้เพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นด้วยการยกเท้าลอยคว้างอยู่กลางอากาศ พร้อมกางแขนทั้งสองข้างราวกับต้องการโอบกอดอากาศอันบริสุทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่เสียงเจรจาเกลี้ยกล่อมของพี่จี๊ดก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
แต่ทุกสิ่งรอบกาย..
กลับไม่ได้รับความสนใจจากบุคคลเป้าหมาย

“กร..” เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงแสดงตัวและค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า พลางเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของคนที่กำลังอยากจะโบยบินราวกับนก แต่กระนั้นปฏิกิริยาตอบโต้ก็ยังคงเดิม ผมจึงได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทั้งพยายามจะคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเร่งด่วน
ขณะที่ในใจกำลังรู้สึกร้อนรน..
หากแต่ภายนอกกลับสงบนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“กรยังจำความฝันของตัวเองได้หรือเปล่า ?” เมื่อคิดหัวข้อที่สามารถดึงดูดความสนใจของคนตรงหน้าได้ ผมก็ไม่รอช้าที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาต่อรอง
“…”

“ความฝันเกี่ยวกับจิตรกรและนิทรรศการผลงานของตัวเองไง” ผมพูดขึ้นทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ใครคนนั้นที่กำลังทำท่าทางราวกับจะซึมซับความรู้สึกของการโบยบินเหมือนอย่างนก พร้อมกับค่อยๆ ก้มตัวรอดราวเหล็กเพื่อล่วงล้ำเข้าไปยังพื้นที่อันตราย
“…”

“แล้วโฟโต้บุ๊กที่กรเคยวางแผนว่าจะทำตามคำแนะนำของพี่วิทย์ กรจะทิ้งมันไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่างจริงๆ เหรอ ?”
“…”

“ถ้าหากพี่วิทย์อยากเห็นผลงานชิ้นแรกที่เกิดจากไอเดียของเขาล่ะ กรจะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม ?”
“…”

“อีกอย่างโฟโต้บุ๊กมันคือก้าวแรกของเส้นทางนี้ และอนาคต.. กรก็จะสามารถจัดงานนิทรรศการผลงานของตัวเองได้ และพี่ก็เชื่อว่าถ้าหากเวลานั้นมาถึง พี่วิทย์ที่คอยเฝ้ามองกรอยู่บนฟ้าจะต้องดีใจกับทางเลือกของกรแน่ๆ”
“แต่ผมก็ไม่ใช่ตัวผมอยู่ดี แล้วความฝันจะไปมีความหมายอะไร ในเมื่อสุดท้าย.. ผมก็ต้องละทิ้งมันไป ?” ชายหนุ่มย้อนถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
คล้ายกับว่า..
ในเวลานี้ ชีวิตของเขาไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

“ทำไมจะไม่มีความหมายล่ะกร ในเมื่อความฝันพวกนั้นจะยังคงอยู่”
“…”

“หมายความว่า ‘การหลอมรวม’ ไม่ใช่เพื่อ ‘การกำจัด’ เพราะมันคือการรวบรวมทุกๆ คนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ และทุกๆ ความทรงจำก็ยังคงอยู่” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น และคำตอบของผมก็ดูจะเรียกร้องความสนใจจากเขาได้

“พี่ว่าพวกเรามาช่วยกันทำความฝันให้สำเร็จดีกว่าไหม ?” ผมเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่าสดใสที่สุดไปให้กร จากนั้นก็ยื่นมือไปหาใครคนนั้นที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่
“…” ขณะที่กรก็เหลือบมองมายังฝ่ามือของผมด้วยแววตาของคนที่เกิดความลังเล แต่ผมก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาบีบบังคับอะไร แม้ในใจจะยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งที่เจ้าตัวยืนอยู่

แต่แล้วความไม่เสถียรก็ก่อเกิดขึ้น ครานี้บุคคลที่ออกมาควบคุมจิตวิญญาณดูเหมือนจะเป็น ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก เพราะแววตาของเขากำลังจ้องมองไปรอบๆ ตัวอย่างงุนงง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อทราบว่าตอนนี้ตนเองกำลังยืนอยู่ตรงเขตอันตราย
จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นและสูญเสียการทรงตัว

โชคดีที่มือของผมทำงานไปตามสัญชาตญาณ จึงคว้าข้อมือของใครบางคนที่กำลังตื่นกลัวได้อย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการทรงตัวจะเป็นไปอย่างมั่นคง เพราะผมออกแรงกระชากข้อมือของจันทร์จนสุดแรง จึงส่งผลให้เราสองคนลงไปนอนกองกันอยู่บนแปลงหญ้าน้ำพุอย่างหมดท่า

ขณะที่ทุกคนโดยรอบต่างก็โล่งใจไม่ต่างกัน แต่จันทร์กลับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้น พลางบ่นพึมพำไม่หยุดว่าตนเองกำลังหวาดกลัวกับสถานการณ์ในตอนนี้มากแค่ไหน แต่ทว่าไม่ว่าพูดจาปลอบโยนอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
เพราะการออกมาใช้ชีวิตในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การตื่นขึ้นมาพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย หรือได้พบเจอกับสิ่งของอันแปลกใหม่
แต่ดันกลายเป็นว่า..
จันทร์กลับต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่มากกว่านั้น

ซึ่งสถานการณ์ของอีกฝ่ายก็ไม่แตกต่างจากกรณีของคุณบิลลี่มากนัก เพราะในช่วงที่เขาหลับใหลกลับมีใครบางคนออกมาใช้ชีวิต และกระทำการอันอุกอาจ จนเป็นเหตุให้เขาต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมอันร้ายแรง..
ผมจึงให้เวลาจันทร์นั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ พลางส่งสายตาไปให้ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายกลับไปทำงานของตัวเอง ส่วนผมจะอยู่ดูแลผู้ป่วยพิเศษรายนี้ต่อไป เพราะผมมั่นใจว่าถ้าหากจันทร์ได้อยู่กับผมตามลำพัง เขาจะกล้าระบายความในใจออกมา

“ถึงแม้จันทร์จะรู้ทั้งรู้ว่าพี่กรมักจะทำร้ายร่างกายตัวเองอยู่บ่อยๆ” กระทั่งเวลาดำเนินต่อไปหลายนาที จันทร์ก็เริ่มระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา
“…”

“และถึงแม้ว่าจันทร์จะเคยเห็นบาดแผลของตัวเอง แต่จันทร์ก็ยังไม่เคยหวาดกลัวมากขนาดนี้” น้ำเสียงของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน กำลังสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ดวงตาของเขากำลังจับจ้องไปยังท้องแขนของตัวเองที่เต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งครั้งหนึ่งตนไม่เคยเข้าใจว่ามันเกิดมาจากอะไร แต่เมื่อทราบถึงการมีตัวตนของอัตลักษณ์อื่นอย่าง ‘กร’
บาดแผลที่ได้เห็นก็แอบแฝงไปด้วยความหมายอันน่าหวาดกลัว

“จันทร์ไม่อยากตาย และจันทร์ก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำหน้าที่ตรงนี้แทน” คนกำลังขวัญเสียกล่าวขณะที่น้ำตาก็ร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ ส่วนผมกลับลำคอแห้งผากขึ้นมาดื้อๆ เพราะทุกความรู้สึกกำลังตีตื้นอย่างรุนแรง
“…”

“พี่เข้าใจจันทร์นะ”
“…”

“แต่จันทร์พอจะรู้สาเหตุของการเกิดอัตลักษณ์มาจากด็อกเตอร์อาทิตย์แล้วใช่ไหม ?” ผมเอ่ยถามพลางกอบกุมฝ่ามือของคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังมีปฏิกิริยาตอบรับส่งมาให้
“ครับ”

“จริงอยู่ว่าชีวิตของจันทร์ตอนนี้กำลังมีความสุข แต่อดีตที่จันทร์ลืมมันไปอาจจะเป็นอดีตที่เจ็บปวดมาก และมันก็คงจะมากจนถึงขั้นที่จันทร์ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ จันทร์ก็เลยไม่กล้าจะทำให้ตัวเองสมปรารถนา จันทร์เลยสร้างกรวินท์ขึ้นมาเพื่อกระทำบางอย่างแทน ฉะนั้นความต้องการของเขาก็คือความต้องการในส่วนลึกของจันทร์” ผมพูดถึงความเป็นจริงให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา พลางลูบหลังฝ่ามือที่กำลังสั่นเทาเพียงเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“แต่จันทร์กลัว.. กลัวว่าวันหนึ่ง จะไม่มีใครช่วยจันทร์ได้ทัน”

“พี่สัญญาว่าต่อไปพวกเราจะดูแลจันทร์ให้รัดกุมมากขึ้น และจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” ผมกล่าวปลอบโยนพลางให้คำสัญญากับคนตรงหน้า ซึ่งผมครุ่นคิดเอาไว้แล้วว่าต่อไปเราจะเข้มงวดให้มากขึ้น เพราะกรเป็นอัตลักษณ์ที่ดื้อรั้น อีกทั้งยังมีความคิดที่อยากจะละทิ้งชีวิตอยู่เสมอ
นอกจากนี้เขายังเคยสวมรอยเป็นจันทร์มาเนิ่นนาน
ดังนั้นทักษะในการเล่นละครจึงเป็นไปอย่างมืออาชีพ

กระทั่งช่วงบ่ายมาเยือนทีมที่เกี่ยวกับเคสพิเศษของจันทร์ก็มีการจัดประชุมขนาดย่อยอย่างเร่งด่วน เพราะเหตุการณ์ในวันนี้เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกว่าครั้งก่อน ซึ่งผมกับด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เคยย้ำเตือนไปแล้วว่าอัตลักษณ์ของกรวินท์ เป็นอัตลักษณ์ที่จัดอยู่ในจำพวก ‘นอกคอก’ เพราะเขาไม่ค่อยเชื่อฟังใคร อีกทั้งความรู้สึกก็ยังแอบแฝงความว่างเปล่าเอาไว้ ดังนั้นโอกาสในการคิดสั้นก็ย่อมมีอยู่มาก ฉะนั้นการอ่านพฤติกรรมของคนไข้ให้ออกจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
ซึ่งการจดจำตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ในวินาทีแรก ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากและผมก็เข้าใจดี แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการแก้ตัวที่ดี เพราะ ณ ตอนนี้ มันกำลังหมายรวมไปถึง ‘ชีวิต’ ของคนในความดูแล

ผมจึงเสนอไปว่าพวกเราควรใช้ ‘เทียนหอม’ เข้ามาช่วยจำแนกอัตลักษณ์ของแต่ละคน เพราะเทียนหอมคืออุปกรณ์ที่คุณชลวิทย์เคยใช้จำแนกตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ ซึ่งมันคือความเคยชินของทุกคนไปแล้ว ดังนั้นการใช้มันเป็นตัวช่วย ย่อมไม่ทำให้พวกเขาเกิดความคลางแคลงใจที่นำมาสู่ความรู้สึกของการไม่เป็นที่ต้องการ
ส่วนช่วงที่จันทร์ในคราบของอัตลักษณ์ต่างๆ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมการบำบัดตามโปรแกรมที่วางไว้ แน่นอนว่าเทียนหอมอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ดังนั้นพยาบาลผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด จะต้องเป็นคนส่งข้อมูลตรงนี้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นการเข้าใจพฤติกรรมของคนไข้ก็ยังมีความจำเป็นอยู่มาก เพราะเคสนี้เป็นเคสที่มีความพิเศษ เนื่องจากแต่ละอัตลักษณ์มักจะสลับกันออกมาใช้ชีวิตอย่างไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ดังนั้นข้อมูลที่ได้รับและความเป็นจริง..
ย่อมมีโอกาสไม่ตรงกัน

ครั้นการประชุมเสร็จสิ้นก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังงานฌาปนกิจของคุณชลวิทย์ จึงทำให้ผมต้องเลิกงานเร็วกว่าปกติ เพราะผมลากิจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอดจะห่วงไม่ได้ก็คือความรู้สึกของจันทร์ เพราะเมื่อช่วงเช้าอีกฝ่ายยังต้องเผชิญกับสถานการณ์อันน่าหวาดกลัว ขณะที่ตอนเย็นก็ยังต้องมาร่วมงานของลูกพี่ลูกน้องที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งปัจจุบันการจากไปของคุณชลวิทย์ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจของจันทร์เกิดความไม่เสถียรจนเป็นเหตุให้แต่ละอัตลักษณ์สลับกันออกมาใช้ชีวิตอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นสถานการณ์ในช่วงนั้น
อาจจะเกิด ‘ความชุลมุน’ ขึ้นก็เป็นได้

เมื่อถึงงานดังกล่าวแขกเหรื่อก็มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง หนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็หมายรวมไปถึงคุณพ่อของไอ้แนน ดังนั้นสัญชาตญาณแห่งการเชื่อมโยงจึงเริ่มทำงานขึ้น เพราะการปรากฏตัวของคุณลุงสามารถบ่งชี้ให้เห็นถึงความลับที่เคยถูกปิดบังไว้
อีกทั้งยังบ่งบอกได้ว่า..
เหตุการณ์ที่สะเมิงคุณป้าเล่าความจริงให้ผมฟังเพียงเสี้ยวเดียว

กระทั่งจันทร์ขอแยกตัวออกไปอยู่กับครอบครัว ผมจึงถือโอกาสนั้นเดินเข้าไปทักทายคุณลุงพิชิตผู้ซึ่งเป็นคุณพ่อของไอ้แนน หากแต่สายตาของผมก็ยังเหลือบมองไปทางจันทร์เป็นระยะๆ เพราะผมยังคงเป็นห่วงเจ้าตัวอยู่เสมอ และคุณลุงก็เพิ่งจะทราบว่าจันทร์ป่วยเป็นโรคหลายอัตลักษณ์ เราจึงได้โอกาสแลกเปลี่ยนเรื่องราวดังกล่าวร่วมกัน
จากนั้นคุณลุงก็พูดเปรยๆ ออกมาว่าจริงๆ แล้ว คุณแม่ของจันทร์เป็นเด็กที่คุณแม่ของท่านรับมาอุปการะ ส่วนคุณพ่อของจันทร์เคยเป็นคนงานในไร่เมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งยังมีฝีมือดีเสียด้วย จึงเป็นที่โปรดปรานของคนในครอบครัวเลยเป็นเหตุให้เขาได้รับความไว้วางใจราวกับคนในครอบครัว แต่เพราะความหน้ามืดตามัวเกี่ยวกับความรัก จึงทำให้เขาหลงผิดและคิดกระทำในสิ่งที่ไม่ควร แต่ทว่า ณ เวลานั้นคนที่บ้านยังไม่มีใครล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ จนกระทั่งคุณแม่ของจันทร์ขอแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง เพราะ ‘บ้าน’ อันเป็นสถานที่ปลอดภัย กลับกลายเป็นสถานที่อันโหดร้ายที่คอยย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ดังกล่าว หากแต่ความเป็นตระกูลผู้ดีแสนมีชื่อเสียงก็ส่งผลให้คนร้ายยังลอยนวลต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในข้อนี้ ยังคงเป็นความจริงที่หลอกหลอนความรู้สึกของคนที่ทราบเรื่องอยู่เสมอ
ดังนั้นทุกคนจึงไม่กล้าสู้หน้าจันทร์

แต่กระนั้นเมื่อทราบว่าเด็กชายผู้ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่กำลังต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็รีบยื่นมือเข้ามาช่วยและยังให้ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์พืชแก่คุณชลวิทย์จนเขามีวิชาติดตัว ซึ่งคุณชลวิทย์ก็มีพรสวรรค์ในส่วนนี้ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเขาได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อของจันทร์ก็เป็นได้ จากนั้นคุณลุงก็หาที่อยู่อาศัยตามความต้องการของสองพี่น้อง โดยคุณลุงจะเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด มันจึงตอบโจทย์ที่ผมแอบสงสัยอยู่นิดหน่อยว่าการขายผักเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณชลวิทย์มีกินมีใช้อย่างสบายๆ ได้อย่างไร
และจากความเป็นจริงในส่วนนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหดหู่เกี่ยวกับเรื่องคุณแม่ของจันทร์ แต่ผมก็พอจะเข้าใจดีว่าโดยพื้นฐานของครอบครัวนี้ แต่เดิมก็นิยมชมชอบความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นไอ้แนนคงไม่บ่นเกี่ยวกับเรื่องการดูตัวให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ
ดังนั้นความไม่ยุติธรรมจึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
และผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาด้วย เพราะผมเองก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้

หลังจากพิธีกรอ่านประวัติและคำไว้อาลัยของคุณชลวิทย์เรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็เป็นช่วงพิธีกรรมทางศาสนา จากนั้นเจ้าภาพก็เชิญแขกเหรื่อที่มาร่วมงานขึ้นวางดอกไม้จันทน์ ซึ่งในขณะนั้นเหตุการณ์ก็ยังปกติดีอยู่ จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งการเผาจริงเดินทางมาถึง จิตใจของจันทร์ก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่เสถียรเมื่อได้เห็นหน้าของลูกพี่ลูกน้องเป็นครั้งสุดท้าย
และมันก็นำมาสู่การปรากฏตัวของอัตลักษณ์อื่นๆ
ก่อนจบลงด้วยท่าทีแปลกๆ ราวกับเด็กอายุ 4 ขวบ

ซึ่งจันทร์ในคราบของอัตลักษณ์อันแปลกใหม่ กำลังมองจ้องไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกโชติช่วงอย่างแน่วแน่ ราวกับถูกอะไรบางอย่างสะกดความสนใจเอาไว้ จากนั้นเสียงร้องไห้ราวกับเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่สามารถควบคุมตนเองได้ก็ดังก้องไปจนทั่วบริเวณ
และคำว่า ‘ผมไม่ได้ตั้งใจ’ ก็เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบางครั้งก็ฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะอัตลักษณ์ที่คาดว่าน่าจะเป็น ‘จิม’ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก พร้อมกับมองไปยังสองมือของตนเอง
ราวกับว่า..
เปลวไฟอันโหมกระหน่ำ กำลังทำให้เด็กชายผู้แสนซนจำต้องย้อนคืนความทรงจำกลับไปยังวันวาน


゚゚❀゚゚

(09/08/2018 แก้คำตกและปรับประโยคให้อ่านสมูธขึ้น)
[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มาต่อแล้วจ้า แต่เราขอแจ้งก่อน คือเราไม่รู้ว่าเราเป็นกรดไหลย้อน หรือว่าเป็นแพนิคกันแน่ อาการมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน เรากินชานมไข่มุกไป แล้วเราก็คิดกังวลว่ามันจะติดคอหรือเปล่า เพราะช่วงนึงเราบ่นเจ็บคอ เคี้ยวลำบาก มันเลยกังวลเกี่ยวกับตรงนี้ แล้วเราก็คิดซ้ำๆ พยายามกลืนน้ำกลืนอะไร แต่มันก็ยังติดอยู่ในคอ จนแบบเราคิดว่าเรากำลังจะตายแล้ว เราเลยไปหาหมอ ปรากฏว่าเราไม่ได้เป็นอะไรเลย หัวใจเต้นปกติ หายใจปกติ และพอตอนอยู่กับหมอคืออาการบ้าๆ นั่นหายเฉย แต่พอนั่งรถกลับบ้าน มันมาหมด เราหายใจ แต่เรารู้สึกเหมือนกำลังจะไม่หายใจ มือสั่น จากนั้นมือเท้าก็ชา ตัวเบาๆ ลอยๆ เหมือนจะวูบ แล้วนาทีนั้นเรากลัวว่าเราจะตายเพราะวูบไปอีก (ไม่รู้เขียนนิยายเกี่ยวกับคุณชลวิทย์มากหรือไง เลยจำอาการมันไปกังวล) จะนอนก็คือนอนไม่ได้ เพราะมันหายใจไม่ออก กลัวจะไม่หายใจ แต่หมอบอกว่าโรคนี้มันเกี่ยวกับสารสื่อประสาท ยังไงต้องรอดูไปก่อน และการนอนดึกจะทำให้สารสื่อประสาททำงานผิดปกติ แต่ที่บ้านเราก็มีคนเป็นกรดไหลย้อน เค้าบอกว่าอาการมันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ฉะนั้นช่วงนี้เราเลยต้องจัดตารางชีวิตใหม่ และมันก็มีผลให้เรามีเวลาเขียนนิยายได้น้อยลง มันอาจจะช้าลงหน่อย เพราะเราปั่นได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ปล. ส่วนเนื้อหาในตอนนี้ มันอาจจะมีเครียดไปบ้าง และปมใหม่ก็เริ่มเฉลยไปเยอะแล้ว คิดว่าเกี่ยวกับจิมน่าจะเดากันได้ อ้อ เราถามหน่อยว่าเรื่องนี้อ่านยากมากมั้ย เพราะว่ามันแนววิเคราะห์สุด เราเห็นมีคนบอกว่าต้องมีสมาธิในการอ่านหนักมาก และก่อนหน้านี้ก็มีคนบอกว่ามันอ่านยาก แต่น่าจะปรับอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นแนววิเคราะห์หมดเลย และเราก็คิดว่าเรายังเขียนสื่อในมุมมองอื่นๆ น่าจะยังได้ไม่ดีพอ เพราะด้วยความที่มันจำกัดตรงที่พี่หมอเป็นคนบรรยายด้วยนี่แหละ 

ปล. 2 ตอนที่แล้วเรารีไรท์ใหม่ตรงนี้นะ เพราะเราพลาดตรงจุดนึงไป 555 (สารภาพเลยปมเยอะ เลยลืมอันที่ไม่ได้จดไว้)

“หมอครับ ที่จริงแล้ว.. อีกด้านหนึ่งของผม มันมีมากกว่าสองคนใช่ไหมครับ ?” จันทร์เอ่ยถามราวกับต้องการจะย้ำเตือนความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง ด้วยเพราะว่า วีดิโอที่คุณหมอเคยเอามาให้ดู มันมีอยู่แค่เพียงสองอัตลักษณ์เท่านั้น แต่จากคำยืนยันของคุณพีรวัตร มันกลับบ่งบอกได้ว่ามีอยู่สี่อัตลักษณ์

 “ใช่ครับ แต่ว่าตอนนี้เรายังสรุปจำนวนไม่ได้” สิ้นคำตอบของด็อกเตอร์ ก็คล้ายกับการสรุปความจริงให้ได้เห็น ดังนั้นทางเดียวที่จะช่วยให้เราทราบจำนวนของอัตลักษณ์อย่างแน่นอนได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในการต่อจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆ ให้ได้มากที่สุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 23:47:47 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
มาซักทีนะจิม รอจนตาลายแล้ว 555

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 36

เหตุการณ์เมื่อเย็นวานนี้ทำให้ผมได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการจากคำพูดของ ‘จิม’ ในทิศทางที่แตกต่างกับที่ชาวบ้านเล่าลือกัน ซึ่งประเด็นใหม่นี้ก็เป็นประเด็นที่ผมคาดว่าน่าจะกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของจันทร์เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้คนที่เล่นซนจนเกิดเรื่องจะเป็นจิม แต่ในความเป็นจริงเราเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจิมคืออีกด้านหนึ่งของจันทร์
ดังนั้นไม่ว่าใครเป็นคนลงมือกระทำ
ผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์ใจมากที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก

สิ่งหนึ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตก็คือ เพราะเหตุใด ‘เปลวไฟ’ จึงมีผลต่ออัตลักษณ์ของจิมในช่วงเวลานั้น ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกๆ อัตลักษณ์มักจะจุดเทียนหอมอยู่เสมอ ซึ่งการเข้าร่วมประชุมขนาดย่อมทำให้เราได้ถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ความไม่เสถียร’ อาจนำมาซึ่งการปลุกอัตลักษณ์อื่นๆ ที่ยังคงหลับใหลอยู่ก็เป็นได้
ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้..
จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่า ‘โชค’ กำลังเข้าข้าง

เช้าวันใหม่ประจำเดือนพฤศจิกายน จันทร์ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตวิทยาการปรึกษา โดยด็อกเตอร์อาทิตย์จะขอความร่วมมือจากคุณพีรวัตร เพื่อที่จะได้นำอัตลักษณ์ของจิมออกมาไขความลับ เนื่องจากเมื่อเย็นวานนี้ เด็กน้อยวัย 4 ปี ตื่นขึ้นจากการหลับใหล และมีโอกาสย้อนความทรงจำกลับไปยังวันวานเพียงครู่
จากนั้นก็เกิดอาการขวัญหนีดีฝ่ออย่างรุนแรง
‘ความลับ’ จึงยังคงเป็นเพียง ‘ข้อสันนิษฐาน’ ต่อไป

กระทั่งช่วงเวลาแห่งการรอคอยเดินทางมาถึง บันทึกการรักษาครั้งแรกของรอบเดือนก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมอันคุ้นเคย ซึ่งภายในห้องอันอบอุ่นก็ปรากฏภาพของบุคคลที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างด็อกเตอร์อาทิตย์ และเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่อยู่ในคราบของคุณนักเขียน

“สวัสดีครับคุณพีรวัตร” ด็อกเตอร์อาทิตย์กล่าวทักทาย ขณะที่กำลังเดินตรงมายังโซฟาเดี่ยวตัวเดิม 
“สวัสดีครับ” ฝ่ายคุณพีรวัตรก็ตอบรับด้วยท่าทียิ้มแย้ม ขณะที่ช่วงขาของเขาก็ยังนั่งไขว่ห้างเหมือนทุกครั้ง ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เราสามารถจับสังเกตได้ง่าย

“เดี๋ยวผมขออนุญาตบันทึกวีดิโอเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลเหมือนเดิมนะครับ” กระทั่งช่วงเวลาแห่งการทักทายผันผ่านไป ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มเอ่ยประโยคเบสิคเพื่อเข้าสู่บทสนทนาอันนำมาซึ่ง ‘ความจริง’
“ครับ”

“วันนี้ที่จริงแล้วผมกำลังอยากจะพบคุณอยู่พอดีเลยครับ” ด็อกเตอร์กล่าวด้วยท่าทียิ้มแย้ม เพียงแต่รูปประโยคที่สื่อสารออกไป กลับสื่อความหมายโดยนัยอย่างตรงประเด็น
“ถ้าให้ผมเดา คงเป็นเรื่องของจิมแน่ๆ” คุณนักเขียนกล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น พร้อมกับแสดงสีหน้าเหมือนกับคนกำลังถูกอกถูกใจที่ตัวเองสามารถคาดเดาความคิดของด็อกเตอร์จนหมดเปลือก

“ก็ประมาณนั้นครับ”
“แต่ครั้งนี้ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยคุณได้ เพราะหลายวันก่อนเป็นช่วงที่มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้น” คุณพีรวัตรกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ในต้นประโยค ขณะที่ท้ายประโยคกลับแสดงท่าทีแปลกๆ
คล้ายกับว่าสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

“เรื่องราวแปลกๆ ที่คุณพูดถึง ใช่เรื่องที่พวกคุณสลับกันออกมาใช้ชีวิตในระยะเวลาอันสั้นที่เทียบเท่าได้กับการหายใจเข้า แต่ยังไม่ทันหายใจออกหรือเปล่าครับ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามโดยเอาข้อมูลที่ได้จากจันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลักมาเชื่อมโยงกัน
“ใช่ครับ มันแปลกจริงๆ แต่ก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง”

“ข้อดีที่คุณว่าหมายถึงเรื่องอะไรครับ ?”
“ผมกำลังคิดว่าสถานการณ์แปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้น คงจะปลุกให้จิมตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต” หลังจากคุณนักเขียนเฉลยความคิดของตนเองแล้วด็อกเตอร์ก็รีบพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“ใช่ครับ ผมเห็นด้วยกับความคิดของคุณ และสถานการณ์แบบนั้นพวกเราก็เรียกมันว่า ‘ความไม่เสถียร’”
“แล้วความไม่เสถียรในที่นี้ มันเกิดขึ้นจากอะไรเหรอครับ ?”

“ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ไม่คงที่ของคุณเพียงจันทร์”
“ก็มีความเป็นไปได้ครับ เพราะเขาคงจะเสียใจมาก” คุณพีรวัตรกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่แววตายังคงแน่นิ่งราวกับเขากำลังจินตนาการภาพของจันทร์อยู่ในหัว และมันคงจะทำให้เขานึกเห็นใจน้องชายคนนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ที่อีกฝ่ายต้องเผชิญช่างเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้สำหรับจันทร์

“ใช่ครับ.. แต่ว่าถ้าลองเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าในตอนนี้คุณเพียงจันทร์ก็เข้มแข็งขึ้นมากเลยล่ะครับ” สิ้นคำยืนยันของด็อกเตอร์คุณนักเขียนก็ส่งยิ้มออกมาเพียงนิด
“อ้อ แล้วก็เมื่อวานก่อนที่ผมจะออกมาใช้ชีวิต ดูเหมือนว่า ‘จิม’ จะได้รับสิทธิ์นั้นด้วย” แต่แล้วประโยคดังกล่าวของคุณพีรวัตรก็ทำให้ผมรู้สึกว่าบทสนทนาที่ผ่านมา พวกเราต่างก็พูดคนละเรื่องเดียวกัน
เนื่องจากประโยคเมื่อครู่สามารถตีความได้ว่า..
อัตลักษณ์ของ ‘จิม’ เคยออกมาใช้ชีวิตเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่จันทร์กำลังเกิดความไม่เสถียร หาใช่ช่วงที่ไปร่วมงานฌาปนกิจกิจแต่อย่างใด

“ใช่ครับ เราได้รับคำยืนยันมาจากคุณจิรภัทร วันนี้ผมเลยอยากให้คุณช่วยเจรจากับเด็กคนนั้นสักหน่อย เพราะเมื่อวานเขาออกมาใช้ชีวิตในช่วงที่กำลังทำพิธีฌาปนกิจของคุณชลวิทย์ แล้วพูดทิ้งท้ายในทำนองว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจ..?” สิ้นคำอธิบายอันลงลึกของด็อกเตอร์ คุณพีรวัตรก็เอ่ยพึมพำเพียงเบาๆ ขณะที่หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นเป็นปมอย่างแน่นหนา
ราวกับว่า..
ข้อสันนิษฐานของเขากำลังตรงกันกับของผมเข้าให้แล้ว

“ครับ พวกเราก็เลยคาดเดากันเอาเองว่า ‘ความไม่ได้ตั้งใจ’ อาจจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุไฟไหม้ที่เป็นบ่อเกิดของความสูญเสีย จนทำให้คุณเพียงจันทร์ คิดจะตัดขาดจากความทรงจำนั้น และตัดขาดจากความเป็นตัวเองด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของคุณลียากรขึ้นมา”

ขณะที่ด็อกเตอร์กำลังอธิบายข้อสันนิษฐานที่ผมไม่ได้เล่าให้คุณนักเขียนฟัง ตั้งแต่ตอนที่เขามีโอกาสออกมาใช้ชีวิตต่อจากจิม ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าความเป็นจริงกับข้อสันนิษฐาน จะต้องไม่มีมูลเหตุที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เนื่องจากเหตุผลที่ทำให้จันทร์ต้องสูญเสียช่างเป็นเหตุผลที่ยากจะทำใจ
และผมก็เชื่อว่าจันทร์จะต้องเจ็บปวดกับมันมากที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นการรักษามันจะเป็นทางเลือกที่ดีเหรอครับ ?” คุณพีรวัตรเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะการรักษาจะต้องนำมาซึ่งความเจ็บปวด
“สำหรับผมแล้ว แม้ว่าการรักษาจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่หลังจากนั้นจะทำให้เกิดการยอมรับ แล้วคุณเพียงจันทร์ก็จะเข้มแข็งมากขึ้น และใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ง่ายขึ้น” สิ้นคำอธิบายของด็อกเตอร์ คุณนักเขียนก็ทำเพียงส่งยิ้มบางๆ เพื่อตอบรับคำกล่าวนั้น และความรู้สึกของเขาในวินาทีนี้ คงไม่แตกต่างกับวินาทีแรกที่ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพราะผมเองก็มีทางเลือกอยู่เพียงสองทาง คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับจันทร์ที่อาจจะเปรียบเสมือนการโยนความเจ็บปวดเข้าใส่เจ้าตัวในวันนี้ หากแต่วันข้างหน้าเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็จะเติบโตในด้านของความรู้สึก ขณะที่อีกทางเลือกหนึ่งก็คือการเลือกเดินไปยังเส้นทางแห่งความอ่อนแอ โดยที่วันข้างหน้าเราจะยังมีโอกาสได้เห็นคนคนนี้คอยส่งยิ้มให้อีกหรือเปล่าก็ยังเป็นคำถามที่ให้คำตอบได้ยาก เพราะมันก็มีเคสที่กว่าจะได้รับการรักษา..
อัตลักษณ์หลัก..
ก็ถูกกลืนกินอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาเจรจาสักครู่” คุณนักเขียนกล่าวพลางหดตัวลงเพียงเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากก็ขยับไปมาเพียงเบาๆ คล้ายกับเจ้าตัวกำลังเจรจาอยู่กับอัตลักษณ์ของเด็กชายวัย 4 ขวบ ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ก็ดูท่าว่าจะมากกว่าตอนที่พูดคุยกับจันทร์เสียอีก
และสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น คงจะเป็นเพราะว่า..
ทั้งสองอัตลักษณ์ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว

“ท..ทำไมถึงอยากคุยกับผมล่ะครับ” สิ้นคำถามดังกล่าวจึงทำให้ผมทราบว่าเวลานี้ผู้ที่ออกมาควบคุมจิตวิญญาณน่าจะเป็น ‘จิม’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ก่อเรื่องวุ่นวายมากที่สุด
“หนูชื่อจิมใช่ไหม ?” ด็อกเตอร์อาทิตย์ส่งยิ้มไปให้เจ้าของคำถาม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ฉายแววแห่งความใจดีอย่างเปี่ยมล้น หากแต่เจ้าหนูวัย 4 ขวบกลับยังตื่นกลัวไม่หาย ซึ่งท่าทีของบุคคลตรงหน้าก็ดูจะแตกต่างจากกิติศัพท์ที่พวกเราเคยได้ยิน เลยส่งผลให้ด็อกเตอร์ ต้องเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามเพื่อความแน่ใจ
เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเรายังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของอัตลักษณ์ที่จันทร์สร้างขึ้น

“ค..ครับ พี่พีบอกว่าหมออยากคุยกับผม” เด็กชายตรงหน้าตอบรับด้วยท่าทีของคนที่ยังตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับในอดีตมันเคยเกิดเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน จึงส่งผลให้เด็กชายผู้แสนซนกลายร่างเป็นเด็กชายผู้แสนเรียบร้อยร้างไร้ซึ่งความมั่นใจ
“อื้ม เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีไหม ?” สิ้นคำกล่าวของด็อกเตอร์ เด็กชายตัวน้อยก็เอาแต่นั่งเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถอดใจแต่อย่างใด

“หมอชื่ออาทิตย์นะ ตอนนี้หนูอายุเท่าไหร่ครับ ?” ด็อกเตอร์เริ่มแนะนำตัวด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมทั้งเอ่ยถามเด็กชายตัวน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“4 ขวบครับ”

“แล้วหนูมีพี่น้องกี่คน ?”
“3 คนครับ” อดีตเด็กชายผู้แสนซนกล่าวพร้อมกับชูสามนิ้วประกอบคำพูด

“หนูพอจะจำได้ไหมว่าหนูมีโอกาสตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามหลังจากทิ้งช่วงไปนานมาก คล้ายกับเขากำลังจนมุม เนื่องจากการสอบถามในครั้งนี้จะต้องเจาะลึกให้ได้ว่าอัตลักษณ์ของจิม เกิดขึ้นพร้อมๆ กับจันทร์จริงหรือไม่
“คุณหมอหมายถึงวันเกิดเหรอครับ ?” เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงวย ราวกับคำถามดังกล่าวยากจะทำความเข้าใจ

“อื้ม หมอหมายถึงวันเกิดนั่นแหละ”
“ผมจำวันที่ไม่ได้ครับ แต่ผมเกิดหลังจากพี่จันทร์กับพี่ลี” คำตอบของเด็กชายวัย 4 ขวบ เล่นเอาผมอึ้งไม่น้อย เพราะอัตลักษณ์ของจิมน่าจะเป็นอัตลักษณ์ที่เกิดจากความไม่อบอุ่นในครอบครัว ซึ่งเราไม่เคยคาดเดาไว้เลยว่าอัตลักษณ์ดังกล่าวจะเป็นครอบครัวเดียวกับจันทร์

“อืม.. หนูเกิดหลังจากพี่จันทร์กับพี่ลีประมาณกี่ปีเหรอ ?”
“ผมไม่รู้..” จิมตอบพลางส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา

“ถ้าอย่างนั้น หนูพอจะจำได้ไหมว่าครั้งแรกที่หนูลืมตาขึ้นมา หนูมองเห็นอะไร ?”
“ที่นอนสูงๆ ครับ มีของผมแล้วก็ของพี่ลีกับพี่จันทร์” น้องจิมกล่าวพลางทำไม้ทำมือประกอบคำพูด เพื่ออธิบายว่า ‘ที่นอนสูงๆ’ ที่เจ้าตัวกำลังพูดถึงมีหน้าตาเป็นอย่างไร และทันทีที่ผมตีความคำเฉพาะนั่นได้ ก็ทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่าในขณะนั้นจันทร์อายุเท่าไหร่ เพราะเด็กวัยที่ต้องนอนเปลก็มีอยู่ตั้งหลายช่วงวัย

“ตอนนั้นตัวหนูประมาณเท่านี้หรือเปล่า ?” ด็อกเตอร์เอ่ยถามพลางทำท่าทางราวกับกำลังอุ้มลูกน้อยในวัยแบเบาะ
“ครับ” จิมยืนยันพร้อมกับพยักหน้าสำทับ ซึ่งมันทำให้ผมพอจะเข้าใจได้ว่าอัตลักษณ์ดังกล่าว อาจจะเกิดหลังจากจันทร์กับน้องลีลืมตาดูโลกได้เพียงไม่นาน จึงทำให้ครอบครัวของทั้งคู่กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน

“แล้วตอนนั้นหนูเคยหลับตาและหายตัวได้หรือเปล่า” ด็อกเตอร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เริ่มตั้งคำถามที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการคิดวิเคราะห์ต่อไป 
“เคยครับ บ่อยด้วย”

“แล้วหนูตกใจไหม ?”
“ไม่ครับ” น้องจิมเอ่ยตอบพลางส่ายหัวประกอบคำพูด

“ทำไมล่ะ ?”
“ก็ทีพี่จันทร์ยังหายตัวได้เลย”

“หนูหมายถึงยังไงเหรอที่บอกว่าพี่จันทร์หายตัวได้” ด็อกเตอร์เอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าจิมคืออัตลักษณ์ที่จันทร์สร้างขึ้นเพื่อให้เข้ามารับมือกับความไม่อบอุ่นในครอบครัว
“ทุกคนชอบเรียกหาพี่จันทร์บ่อยๆ เพราะว่าพวกเขามองไม่เห็น” คำตอบของเด็กชายจิมทำให้ผมตีความได้อีกว่าการที่ทุกคนรอบๆ ตัว ร้องเรียกหาแต่จันทร์ น่าจะเป็นเพียงการเรียกชื่อตามปกติ แต่ในมุมมองของเด็กชายตัวน้อยกลับกลายเป็นการร้องเรียกหาจันทร์ ผู้ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น
ฉะนั้นอัตลักษณ์ดังกล่าว..
จึงเข้าใจว่าจันทร์ก็สามารถหายตัวได้เหมือนกับที่เจ้าตัวกำลังเป็น

“แต่กับผม ไม่มีใครสนใจผมเลย..” น้องจิมกล่าวเสริมพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นและยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ ซึ่งผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของอัตลักษณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าในความรู้สึกของอีกฝ่าย คงจะไม่แตกต่างกับตอนที่อัตลักษณ์อื่นๆ รู้สึกไม่มีตัวตนและไม่เป็นที่ต้องการเมื่อต้องถูกร้องเรียกด้วยชื่อเสียงเรียงนามของจันทร์
“เพราะแบบนี้ หนูก็เลยต้องทำตัวดื้อดึงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคนใช่หรือเปล่า ?”  สิ้นคำถามของด็อกเตอร์เด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้ารับพลางสะอึกสะอื้นไม่หยุด แถมยังทำท่าจะหนักหนากว่าเดิมด้วย

ขณะที่ผมก็เริ่มจะมองภาพรวมของเหตุการณ์ในวันวานได้เป็นฉากๆ เพราะจากคำบอกเล่าของป้าเข็มตอนที่ได้เจอกันที่งานของคุณชลวิทย์ท่านให้ข้อมูลว่าที่จริงแล้วคุณแม่ของจันทร์เคยคิดจะทำแท้ง แต่คุณพ่อของจันทร์ทราบเรื่องเสียก่อน จึงขันอาสาจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ทว่าจิตใจที่มันบอบช้ำกลับไม่สามารถเยียวยาด้วยอะไรได้อีก
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณแม่ของจันทร์เกิดลื่นล้ม แต่โชคยังดีที่เด็กๆ ปลอดภัย คุณแม่ก็เลยไม่คิดจะทำลายเด็กๆ อีก แต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่ได้เห็นใบหน้าของลูกๆ เรื่องราวอันเลวร้ายก็ตามมาหลอกหลอน ท่านจึงเลือกพึ่งพาของมึนเมา และความไม่มีสติก็ทำให้ท่านเผลอทำร้ายร่างกายของเด็กๆ จนกลายเป็นบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เพราะเท่าที่ผมจำได้ขนาดว่าจันทร์กับลีหิวนมท่านก็ยังไม่สนใจ และป้าเข็มก็ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าเด็กๆ ไม่เคยดื่มนมจากอกแม่สักครั้ง แต่ครั้นจะเอาเด็กๆ มาเลี้ยงเองคุณแม่ท่านก็ไม่ยอม
ซึ่งการไม่ยอมก็คือการแสดงความรักในรูปแบบของท่าน

ดังนั้นจันทร์จึงหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของจิมตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวยังไม่ทันรู้ความ ซึ่งจิมก็คงจะได้รับการปฏิบัติตัวไม่แตกต่างกับจันทร์ เมื่ออีกฝ่ายเติบโตขึ้นจึงเลือกที่จะเรียกร้องความสนใจกับคนสำคัญด้วยการทำตัวดื้อรั้น
และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อตอกย้ำกับทุกคนว่า..
เขาไม่ใช่ ‘เพียงจันทร์’ แต่เป็น ‘จิม’ ที่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว

“จิม.. หนูพอจะเล่าถึงการเล่นซนในตอนนั้นให้หมอฟังได้ไหม?”
“…”

“คือหมออยากจะรู้ว่ามันสำเร็จหรือเปล่า”
“…” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กชายจิมก็เอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมหยุด คล้ายกับว่าการเรียกร้องความสนใจจากผู้คนรอบกาย ไม่ว่าจะขุดเอาวิธีใดออกมาก็ไม่ตรงกับจุดประสงค์ของเด็กชายตรงหน้า

“ที่ไม่สำเร็จเป็นเพราะหนูอยากให้ทุกคนได้รู้ว่าผลงานพวกนั้น เป็นฝีมือของคนที่ชื่อจิมใช่หรือเปล่า?”
“ครับ” เด็กน้อยตอบรับเสียงสั่นพลางสะอื้นไห้ไม่ต่างจากเดิม

“หมอเข้าใจหนูนะ เข้าใจทุกอย่างเลย และที่นี่ก็จะไม่มีใครปฏิเสธการมีตัวตนของหนู” ด็อกเตอร์เอ่ยปลอบใจเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ เนื่องด้วยสภาพจิตใจของจิมก็บอบช้ำไม่ต่างกับจันทร์ หรือบางทีก็อาจจะหนักกว่าตอนที่จันทร์อยู่ในช่วงวัย 4 ปีก็เป็นได้ เพราะในขณะที่จันทร์ยังมีน้องลี คุณพ่อ และน้าเข็ม รวมไปถึงคุณแม่ที่ก็เคยแสดงความรักอยู่บ้าง
แต่เด็กน้อยอย่างจิมกลับไม่มีใครเลย

“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องเมื่อวานกันดีกว่า”
“…”

“ทำไมตอนนั้น หนูถึงหายตัวมาอยู่ที่งานฌาปนกิจได้ล่ะครับ ?”
“ผมเห็น.. ฟ..ไฟ..” เด็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ขณะที่สายตาก็สอดส่ายไปมาอย่างคนตื่นกลัว

“แล้วเปลวไฟทำให้หนูนึกถึงอะไรเหรอจิม ?” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กชายจิมก็เหม่อมองออกไปยังหนทางข้างหน้า คล้ายกับคำถามดังกล่าวทำให้เขาหวนคืนกลับไปยังวันวานอีกครั้ง
“เปลวไฟ..” จิมกล่าวพึมพำพลางบีบมือทั้งสองข้างของตัวเองเป็นระยะๆ

“ทำให้ผมนึกถึงวันที่ตัวเองกำลังเล่นไม้ก้านเล็กๆ จากนั้น.. ไฟก็ลุกขึ้น ผ..ผมก็เลยตกใจ..” เด็กชายวัย 4 ขวบเริ่มขยายความด้วยท่าทีของคนกำลังเหม่อลอย หากแต่น้ำตากลับไหลอาบเป็นทาง
“แล้วผมก็ปล่อยมันลงกับพื้น..”

“จากนั้นไฟก็ไหม้บ้านทั้งหลัง ผมกลัวมาก ก็เลย.. หลับตาและหายตัวไปจากที่นั่น”


゚゚❀゚゚

[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ถ้ายังมีคำผิดอยู่เดี๋ยวเรามาแก้อีกทีนะคะ สำหรับตอนนี้น่าจะคลายข้อสงสัยบางส่วนไปบ้างแล้ว ซึ่งอันที่จริงก็มีคนเดาถูกมาตั้งแต่ตอนที่เราลงไปได้ประมาณสิบกว่าตอนหรือเปล่าไม่แน่ใจ และจริงๆ แล้ว น้องจิมเองก็น่าสงสารเหมือนกัน เพราะว่าจันทร์เจอแบบไหน จิมเองก็เจอแบบนั้น และพ่วงด้วยการไม่มีตัวตนไปอีก มันก็จะคูณกันเข้าไป ฉะนั้นในช่วงที่น้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความดื้อก็เลยหายไป เพราะว่าจริงๆ แล้ว จิมก็แค่ต้องการจะมีตัวตนในสายตาของทุกคนที่รู้จักกับจันทร์ ส่วนเรื่องไฟไหม้ มันก็คือความเป็นเด็กอ่ะเนอะ และอีกอย่างของแบบนี้มันจะต้องเก็บไว้ให้ห่างจากมือเด็ก แต่เพราะความที่แม่ก็ไม่ค่อยจะสนใจลูกอยู่แล้ว มันก็เลยเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ขึ้น

ปล. เราไม่รู้ว่าทุกคนจะงงๆ อีกหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้เราไม่ได้เขียนลากยาวทีเดียวจบ คือเดี๋ยวนี้เราเขียนได้ทีละนิดก็ต้องรีบเข้านอนละ มันเลยไม่ค่อยจะต่อเนื่องทางอารมณ์เท่าไหร่ แต่อีกนิดเรื่องนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว และเราก็แพลนว่าจะเขียนเรื่องที่มันเบาสมองหน่อย เพราะเรากลัวว่าตัวเองจะเครียดตามไปด้วย T^T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 23:51:28 โดย Chomin »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ถึงจุดพีคสักที, แต่ยังขาด nc คุณพีรวัตรกับคุณหมอ >\\\<

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้โหหห นี่คือสาเหตุที่จิมหายไปนานสินะคะ สงสารทุกอัตลักษณ์ในตัวน้องเลย นับถือคนเขียนที่รีเสิร์ชข้อมูลมาแน่นมาก สนุกแบบพีคในพีคในพีคคค อยากชวนคนทั้งโลกให้มาอ่าน ติดตามตอนต่อไปค่าา  :mew1:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตามมาfav.ไว้เรื่องนี้ต้องใช้สมาธิอ่านสูงจะค่อยๆอ่านนะคะเป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ ตามลุ้นไปด้วยมากเลย  :hao5:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ตัวหนังสือติดกันเกิน อ่านไม่ไหวลายตา555

ออฟไลน์ mybear_sr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
นิยายดีมากๆๆๆๆๆๆค่ะ ข้อมูลแน่นมาก นับถือคนเขียนเลยที่ทุ่มเท น่าเสียดายที่ดูคนอ่านน้อยๆ แต่ก็ไม่แปลกใจ ไม่ใช่ว่านิยายไม่น่าติดตามนะคะ แต่เท่าที่สังเกตดู นิยายหลายๆเรื่องที่บทบรรยายเยอะมากๆจะไม่ค่อยมีคนอ่าน... น่าเสียดายแทนคนที่พลาดรวมทั้งเราด้วยที่เกือบพลาดนิยายดีๆไปแล้ว รอตอนต่อนะคะ:)))

ออฟไลน์ minipuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หูววววววว คืเห็นรีวิวแล้วเข้ามาอ่าน ไม่ผิดหวังเลยค่ะสนุกมากๆๆๆๆๆเรื่องราวน่าติดตามมากเลยค่ะ พลิกแล้วพลิกอีก รายละเอียดค่อนข้างมากแต่ก็เขียนอธิยายให้เข้าใจได้ไม่ยาก ร่าสงสารน้องจันทร์นะคะ การเดินหน้าต่อมันยากมากๆ เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์นะคะ

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เราอ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด บอกเลยว่าสุดยอดมาเรื่องนี้ปมที่นักเขียนเขียนไว้ดูสมจริงมีที่มาซับซ้อน อ่านแล้วสนุกมาคิดตามทุกตอนเลยว่าน้องจันทร์ผ่านอะไรมาบ้าง

เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนใหม่ไม่ไหวแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BB-c-TOO

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านถึงตอนที่32 แล้วเราเบรคก่อนเลยคะ 5555
เนื้อเรื่องเน้นมาก ครบถ้วนในสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารให้คนอ่าน ผู้เขียนเก่งมากกกกกกจริงๆคะ .. ตอนแรกเรากลัวดราม่า ใจบางอะเลยไม่อ่านสักที พอได้อ่านแล้ว ทึ่งมากที่ผู้เขียนเก็บรายละเอียดได้ขนาดนี้ เข้มขึ้น ต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกที่เข้มข้นไปกับตัวละคร อ่านแล้วอินมากกก .. ที่เราเบรคการอ่านเพราะอินมา จนเก็บไปฝัน 55555 ตอนตื่นยังงงๆอยู่เลยว่า นี่ฝันอะไรกันแน่ แต่สรุปว่า เรื่องดีจริงๆคะ ห้ามพลาดๆๆๆๆๆด้วยประการทั้งปวง
ปล.จะhappy end หรือไม่ ก็จะอ่านต่อไปปปปปป  :ling3:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 37

จากคำบอกเล่าของจิมผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์แรกเริ่ม ทำให้ทีมรักษาสามารถตีความได้อีกว่าก่อนหน้านั้นเด็กคนนี้อาจจะเอาพวกน้ำมันหรืออะไรสักอย่างมาเล่น จึงทำให้ไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียวสามารถย้อมบ้านทั้งหลังให้ตกอยู่ในทะเลเพลิง ด้วยความหวาดกลัวจึงทำให้ผู้ก่อเหตุเลือกจะแก้ปัญหาด้วยการหลับตาและตัดขาดจากความทรงจำดังกล่าวตลอดกาล
ซึ่งในช่วงเวลานั้นจันทร์ก็ตื่นจากการหลับใหล และพบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในทะเลเพลิงอันน่าหวาดหวั่น จากนั้นพวกป้าเข็มและคุณพ่อก็คงจะทราบเรื่อง จึงตัดสินใจเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าไปช่วยเหลือบุคคลสำคัญ โดยที่ลำดับของการช่วยเหลือ จันทร์น่าจะเป็นบุคคลแรกที่คุณพ่อค้นเจอ หากแต่ภายในนั้นยังมีอีกสองบุคคลสำคัญติดอยู่ข้างใน
การช่วยเหลือจึงดำเนินต่อไป..
เพียงแต่คราวนี้ ‘โชค’ กลับไม่เข้าข้าง

ดังนั้นทางทีมรักษาจึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ‘ความลับ’ อันเป็นสถานการณ์ที่สุดแสนจะละเอียดอ่อน ยังไม่ควรเปิดเผยให้จันทร์รับรู้ เนื่องจากสถานการณ์ทางอารมณ์ของอีกฝ่ายยังไม่คงที่มากนัก เพราะเจ้าตัวเพิ่งจะสูญเสียลูกพี่ลูกน้องไปหมาดๆ และก็เพิ่งจะทราบความจริงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของน้องลียากรได้ไม่นาน

ส่วนตารางกิจกรรมที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจะต้องเข้าร่วมในวันนี้ คือการออกกำลังกายในช่วงเช้า ต่อด้วยการใช้ศิลปะบำบัด จากนั้นช่วงพักเที่ยงก็ต้องยกให้เป็นเวลาส่วนตัวของป้าเข็มที่ลงทุนเดินทางมาจากสะเมิง ขณะที่ตอนบ่ายก็คือช่วงเวลาของการบำบัดที่ว่าด้วยการปรึกษา
ตามแผนแล้ววันนี้ด็อกเตอร์อาทิตย์จะขอความช่วยเหลือจากคุณพีรวัตร เพื่อให้น้องลียากรเป็นคนออกมาใช้ชีวิตและนำพาเด็กสาวคนดังกล่าว เดินทางกลับไปยังความทรงจำในวันวานที่น่าจะเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ 
จากนั้นทางทีมรักษาก็จะเริ่มสรุปถึงการมีอยู่ของอัตลักษณ์ต่างๆ อย่างละเอียด

กระทั่งช่วงเวลาแห่งการรอคอยมาถึง ผมก็ไม่รอช้าที่จะเปิดบันทึกการรักษาและเฝ้าสังเกตการณ์จนกระทั่งทราบว่าบุคคลที่กำลังปรากฏตัวอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยม
ก็คือ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก

“สวัสดีครับหมอ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวทักทายด็อกเตอร์ ผู้ซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดองศาของมุมกล้องวีดิโอ
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์” จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตอบรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พร้อมกับเดินไปนั่งยังโซฟาเดี่ยวตัวเดิมที่อยู่ไม่ไกลจากอีกฝ่ายมากนัก

“เอ่อ.. คือว่า.. เมื่อเร็วๆ นี้ หมอได้พูดคุยกับอัตลักษณ์ใหม่ๆ ของผมบ้างหรือเปล่าครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างไม่แน่ใจ
“ครับ พวกเราเพิ่งได้คุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”

“ตัวตนของเขาเป็นยังไงเหรอครับ ?”
“เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุ 4 ขวบที่เติบโตมาพร้อมกับคุณ เพียงแต่ในตอนนั้นมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จิมก็เลยเลือกที่จะหลับตาและตัดขาดจากความทรงจำทั้งหมด อายุของเขาก็เลยหยุดอยู่แค่ช่วงเวลานั้น” ด็อกเตอร์อธิบายเพียงอ้อมๆ เนื่องจากมันยังไม่ถึงเวลาที่จันทร์จะต้องรับรู้เรื่องราวดังกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นจิมก็คือคนที่ก่อเรื่องวุ่นวายจนทำให้ผมต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหกใช่หรือเปล่าครับ ?”
“ใช่ครับ แต่ที่เขาต้องทำอย่างนั้น เพราะเขาต้องการจะเรียกร้องความสนใจจากทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้รับรู้และเข้าใจว่าเขาคือจิมไม่ใช่คุณ”

“แสดงว่าจิมในวันนั้น คงจะรู้สึกไม่ต่างกับผม หรือบางที.. เขาอาจจะรู้สึกแย่กว่าด้วยซ้ำ” จันทร์เอ่ยพลางส่งยิ้มเศร้าๆ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวยังคงเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวจดจำได้ดีว่ามันแย่แค่ไหน
 “ผมดีใจนะครับที่คุณเข้าใจเด็กคนนั้น”

“คงเป็นเพราะพวกเราต่างก็ได้พบเจอกับเรื่องราวแย่ๆ เหมือนกันมั้งครับ” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนกล่าวพลางยกยิ้มเพียงบางๆ ขณะที่ด็อกเตอร์ก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับไปให้คนไข้ในความดูแล
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เริ่มขาดช่วง..

“ตามแผนการรักษาแล้ว ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผมต้องเร่งค้นหาชิ้นส่วนจากความทรงจำ เพื่อที่เราจะได้ทราบว่าช่องว่างในอดีตมันเคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นและมีการเกิดของอัตลักษณ์ใดบ้าง จากนั้นพอเราทราบถึงการมีอยู่ที่แน่นอนแล้วก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการหลอมรวม”
“ในส่วนนี้ผมคิดว่าหมออาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ แล้วล่ะครับ เพราะความทรงจำของผมในทิศทางแย่ๆ ก็มีแต่ความไม่อบอุ่นในครอบครัวและการถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก”

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนคุณเพียงจันทร์ช่วยติดต่อกับคุณพีรวัตรให้ผมหน่อย”
“ได้ครับ” สิ้นคำตอบรับของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ลำตัวของเขาก็ห่อลงจากนั้นริมฝีปากก็ขยับไปมาเพียงเบาๆ โดยที่เราไม่มีทางได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเลย
จนกระทั่งท่านั่งอันเป็นเอกลักษณ์ปรากฏขึ้น..

“คุณอยากให้ผมช่วยเรื่องอะไรเหรอครับ ?” คุณนักเขียนเอ่ยถามด็อกเตอร์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผมต้องการจะค้นหาจิ๊กซอว์อันเป็นชิ้นส่วนจากความทรงจำ โดยมีคุณเป็นผู้ช่วยเพราะตอนนี้จากไทม์ไลน์ที่ผมสรุปได้ ยังมีช่องว่างที่ค่อนข้างใหญ่หลงเหลืออยู่”

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยสรุปไทม์ไลน์พวกนั้นให้ผมฟังสักหน่อยได้ไหม เผื่อผมต้องใช้สื่อสารกับคนอื่นๆ”

“เด็กชายจิมคืออัตลักษณ์แรกเริ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับคุณเพียงจันทร์ พวกเขาสองคนจึงมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาต่างก็ใช้ครอบครัวร่วมกัน ซึ่งพื้นฐานของครอบครัวนี้ไม่ค่อยจะอบอุ่นนัก และตลอดมาก็ไม่เคยมีใครรับรู้อีกด้านหนึ่งของคุณเพียงจันทร์ ส่งผลให้จิมเลือกจะก่อเรื่องราววุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน โดยมีเป้าหมายก็เพื่อเรียกร้องความสนใจ จึงทำให้ทั้งเขาและคุณเพียงจันทร์ รวมไปถึงคุณลียากรต้องตกอยู่ในวังวนของการถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้โกหก ซึ่งต่อมาอัตลักษณ์ดังกล่าวเลือกจะตัดขาดจากความทรงจำของตนเองเมื่อตอนอายุ 4 ขวบ ด้วยสาเหตุของการเล่นซนจนนำพาให้บ้านทั้งหลังต้องตกอยู่ในทะเลเพลิง และก็เป็นเหตุให้ทุกคนในครอบครัวต้องจบชีวิตลง ซึ่งปมดังกล่าวทำให้อัตลักษณ์ของคุณลียากรถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิเสธการสูญเสีย”
“หลังจากนั้นคุณเพียงจันทร์ก็ย้ายมาอยู่กับครอบครัวทางฝั่งพ่อ และผมก็คิดว่ามันน่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการล่วงละเมิดทางเพศโดยบุคคลในเครือญาติ เพราะคุณลียากรมักจะชอบออกไปเดินเล่นที่สวนเก๊กฮวยตอนกลางคืน โดยสวมใส่ชุดกระโปรงที่แอบขโมยมาจากน้าสาว ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจว่าระยะเวลาของการกระทำดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไหน เพราะช่องว่างที่เราค้นเจอมันยาวนานถึง 7 ปีเต็ม ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเกิดอัตลักษณ์ใหม่ๆ ขึ้นในช่วงเวลานั้น”

จากบทสรุปที่ด็อกเตอร์ถ่ายทอดออกมาให้คุณนักเขียนรับฟัง ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของจันทร์ว่าเขาเคยได้ยินเสียงของผู้หญิงดังก้องอยู่ในหัว ซึ่งเดิมทีเราเคยเข้าใจว่าเสียงดังกล่าวคือเสียงของน้องลียากร แต่พอช่วงที่จันทร์ได้รับรู้ถึงการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกัน ผมจึงเริ่มนึกเอะใจว่าที่จริงแล้วเสียงดังกล่าวคงไม่ใช่เสียงของน้องลียากร
เนื่องจากจันทร์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า..
เสียงของน้องลีคือเสียงที่เขาคุ้นเคย และเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้..

“คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมที่การล่วงละเมิด อาจจะเกิดกับลีและจันทร์ รวมถึงการมีอคติเกี่ยวกับเพศที่สามของผมก็น่าจะเกี่ยวเนื่องมาจากเหตุการณ์นี้” คุณพีรวัตรเอ่ยถามอย่างคิดวิเคราะห์ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้สูง
“ครับ ผมเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

“ช่องว่างใหญ่ขนาดนี้ ผมคิดว่าเราคงต้องพึ่งพาลียากรอย่างมากเชียวล่ะ” คุณพีรวัตรกล่าวพลางยกยิ้มเพียงบางๆ จากนั้นลำตัวของเขาก็ห่อลงขณะที่ริมฝีปากก็ขยับไปมาเพียงเบาๆ
ราวกับ..
เขากำลังสนทนากับใครบางคนที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องทั้งหมด

“ที่จริงแล้วหนูไม่อยากพูดถึงมันเลยค่ะ เพราะมันทำให้หนูรู้สึกผิด” น้องลียากรกล่าวพลางก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง
“หนูกำลังหมายถึง..”

“เรื่องราวเกี่ยวกับช่องว่างที่หมออยากรู้..”
“…”

“เพราะในความรู้สึกของหนู มันเหมือนบาปติดตัว เหมือนการถูกลงโทษจากพระเจ้า หรือคนที่มีอำนาจบนโลกใบนี้”
“ทำไมหนูถึงรู้สึกอย่างนั้นล่ะ ?”

“เพราะหนูไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยิ่งตอนที่พี่หมอมาค้างคืนที่บ้าน ตอนช่วงแรกๆ หนูรู้สึกกระวนกระวายและมันก็ทำให้หนูอยู่อย่างไม่เป็นสุข แต่เพราะพี่หมอไม่ได้มีพฤติกรรมแบบอาโชคหนูก็เลยไว้ใจ” คำตอบของน้องลีทำให้ผมรู้สึกสงสารเจ้าตัวจับใจ
เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายพบเจอ..
ก็หนักหนาไม่ต่างกับจันทร์

“ในตอนนั้นอาโชคแสดงพฤติกรรมกับหนูยังไงบ้าง ?”
“…” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กสาวก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งพลางบีบฝ่ามือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตัก

“การระบายความอัดอั้นเกี่ยวกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น หมอคิดว่ามันเป็นการบำบัดที่ดีอย่างหนึ่งนะ” ด็อกเตอร์เลือกที่จะเสนอแนะโดยไม่ได้คาดคั้นให้อีกฝ่ายทำตาม
“ที่จริงแล้ว.. อาโชคเขาชอบผู้ชายค่ะ”

“แสดงว่า.. พอคุณอาเห็นหนูใส่ชุดกระโปรงของคุณน้าก็เลยตีความไปว่าหนูเองมีรสนิยมแบบเดียวกัน” สิ้นคำถามของด็อกเตอร์ เด็กสาวก็พยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า ขณะที่ผมก็ไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะรูปลักษณ์ของน้องลียากรในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่บ้านกลางป่าสน
“แล้วหนูพอจะจำได้ไหมว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“ตอนหนูอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ค่ะ” คำตอบของน้องลียากรทำให้สมองของผมเริ่มประมวลผลขึ้นมาอีกครั้ง และคำตอบที่ได้ก็คือช่วงปี พ.ศ 2554 ขณะที่จันทร์มีอายุได้เพียง 8 ขวบ
“แล้วตอนนั้นคุณอาฝากความทรงจำอันเลวร้ายไว้กับหนูยังไงบ้าง” จิตแพทย์ชื่อดังเอ่ยถามพลางเคาะปลายปากกาลงบนสมุดบันทึกตรงหน้าตักเป็นจังหวะเชื่องช้า

“แต่ก่อนหนูกับอาโชคสนิทกันมาก เพราะเขาเป็นครูประจำชั้นของหนู และก็เป็นคนเดียวที่จับได้ว่าหนูไม่ใช่พี่จันทร์ เวลาที่อยู่ด้วยกันหนูสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่มันกลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะการเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขารู้ ทำให้เขาเข้าใจว่าหนูมีความต้องการบางอย่างที่ไม่ได้แตกต่างกับเขา”
“แล้วเรื่องส่วนตัวที่หนูเคยเล่าให้คุณอาฟัง คือเรื่องอะไรบ้าง ?”

“หนูบอกกับอาโชคว่าหนูชอบเวลาที่ตัวเองได้สวมชุดกระโปรงและได้วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งดอกเก๊กฮวย”
“…”

“หมอจำได้ใช่ไหมคะที่หนูเคยบอกว่าในตอนนั้น ถึงแม้หนูจะตัดผมรองทรงแบบเด็กผู้ชาย แต่หนูก็ยังเชื่อว่าหนูคือหนู แต่ในมุมมองของอาโชคดันกลายเป็นว่าหนูคือเด็กผู้ชายที่ชอบแต่งหญิง”
“…”

“หลังจากวันนั้นอาโชคก็เริ่มล้อเล่นกับร่างกายของหนู แต่ด้วยความที่หนูไม่รู้ว่าการสัมผัสร่างกายในเชิงนั้น มันสื่อถึงเรื่องอะไร หนูก็เลยไม่ได้ขัดขืน เพราะหนูเองก็พลาดที่หลงใหลไปกับการกระทำแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ‘การล้อเล่น’ ที่ว่า หมายรวมไปถึงการสอดใส่ด้วยหรือเปล่า ?”

“ช่วงแรกๆ ไม่ใช่ค่ะ แต่ว่าช่วงหลังๆ มันเริ่มจะหนักข้อขึ้น เพราะอาโชคเขาใช้ปากกับส่วนนั้น”
“…”

“แล้วอาโชคก็เริ่มบังคับให้หนูทำแบบที่เขาทำ..” น้องลีเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลปริ่ม
“…”

“หลังจากนั้น.. ความรู้สึกน่าหลงใหลก็เริ่มหายไป เหลือแต่เพียงความน่าขยะแขยง” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ พลางบีบกระชับฝ่ามือของตนเองซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่าอดีตเริ่มจะฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
“…”

“เขาเอาแต่กระแทกกระทั้นส่วนนั้นเข้ามาในปากของหนู จนหนูผะอืดผะอม แต่เขาก็ยังสั่งให้หนูกลืนมันลงไป ความรู้สึกในตอนนั้น หนูยังไม่เคยลืม เพราะมันย่ำแย่มาก แต่ถ้าหนูไม่ทำ อาโชคจะทำให้หนูซ้ำชั้น แล้วหนูก็จะถูกไล่ออกจากบ้าน”
“…”

“หนูกลัวมาก เพราะหนูไม่มีที่ไป หนูก็เลยยอมปิดปากเงียบ แล้วหนูก็เลี่ยงด้วยการหมกตัวอยู่แต่ในห้อง แต่สุดท้ายหนูก็หนีไม่พ้น เพราะอาโชคมีกุญแจห้องของหนูกับพี่จันทร์”
“…”

“หลังจากนั้น..” เมื่อน้องลีเล่ามาถึงตรงนี้เธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม จึงส่งผลให้คาบบำบัดดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ
“…”

“อาโชคก็เริ่มล้อเล่นกับร่างกายของหนูอีก แต่ว่าคราวนี้หนูกลับรู้สึกขยะแขยง เพราะว่าภาพในตอนที่หนูทำแบบนั้น เอาแต่ลอยวนอยู่ในหัว จนกระทั่งอาโชคเริ่มสอดใส่เข้ามาในตัวหนู ความรู้สึกมันเหมือนกับหนูกำลังตกอยู่ในขุมนรกทั้งเจ็บปวดและทรมาน”
“สาเหตุที่หนูเป็นอย่างนั้น เพราะคุณอามีรสนิยมทางเพศที่ค่อนข้างจะรุนแรงใช่หรือเปล่า?”

“ใช่ค่ะ หนูเจ็บปวดเหมือนกับร่างกายกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ” จากคำบอกเล่าของน้องลี ทำให้ผมคาดเดาได้ว่าความรู้สึกแบบนั้นน่าจะเกิดจากการสอดใส่โดยไม่มีการใช้ตัวช่วย
ซึ่งร่างกายของเพศชายไม่ได้มีน้ำหล่อลื่นเหมือนกับเพศหญิง
ดังนั้นการมีเซ็กส์ในรูปแบบดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องย่ำแย่สำหรับฝ่ายรับ

“ไม่มีครั้งไหนที่หนูมีความรู้สึกร่วมไปด้วยเลย ยิ่งตอนที่หนูบังเอิญไปเห็นอาโชคกับรุ่นพี่กำลังทำเรื่องแบบนั้นที่โรงเรียน พอตกกลางคืนหนูก็ถูกข่มขู่ไม่ให้พูดถึงเรื่องนั้นอีก ซึ่งอันที่จริงหนูไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งและออกจะดีใจมากๆ ด้วยซ้ำที่คุณอาหาที่ระบายแหล่งใหม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์นั้นคือข้ออ้างอีกข้อที่ทำให้คุณอาได้ประโยชน์ และมันก็ทำให้หนูตกอยู่ในขุมนรกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหนูทนไม่ไหว หนูก็เลยเลือกจะปิดกั้นตัวเอง..” น้องลีกล่าวได้เพียงแค่นั้นแล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ด้วยเพราะภาพทุกภาพและทุกความรู้สึกมันยังแจ่มชัด อีกทั้งการตัดสินใจของตัวเองก็นำพาให้จันทร์ตัวจริงต้องตื่นขึ้นมาเจอกับขุมนรก จึงทำให้คนเป็นน้องรู้สึกย่ำแย่จนเผลอคิดไปว่า..
การที่เธอจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้..
มันคือการ ‘ลงโทษ’ จากใครสักคนที่มองเห็นถึงการกระทำอันเห็นแก่ตัวของเธอ


゚゚❀゚゚


[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]


หลายคนอาจจะคิดถึงน้องจันทร์กับพี่หมอ แต่ไม่มีโมเมนต์ใดๆ เลย 555 น้องจันทร์ก็ออกนิดเดียว เพราะตอนนี้มันคือช่วงเฉลยปม ที่มีน้องลียากรเป็นตัวเด่น จะเห็นได้ว่า อาโชค เป็นครูเนอะ และในความเป็นจริงก็เจอข่าวแบบนี้เยอะเลย บวกกับอาโชคมีรสนิยมที่ชอบความรุนแรงและสร้างความเจ็บปวดให้กับคู่นอน มันก็เลยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายสำหรับทุกฝ่าย ต่อไปก็มาลุ้นกันว่าช่องว่างนี้ ยังจะมีพื้นที่หลงเหลือให้อัตลักษณ์ที่เป็นผู้หญิงซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่

และเราก็ได้ตามอ่านในแท็กนิยายที่มีคนเล่นเพิ่มขึ้นแล้ว 555 รู้สึกมีกำลังใจในการเขียนมากขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นแนวที่เราไม่ถนัด เราเลยค่อนข้างกังวล อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนระดับภาษาและสำนวนให้เข้ากับบุคลิกของพี่หมอด้วย มันเลยยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว บวกกับข้อมูลวิชาการที่มีอยู่อย่างจำกัด มันก็เลยทำให้การเขียนยากขึ้นไปอีก แต่เพราะเราได้อ่านหนังสือของคุณบิลลี่ มันเลยทำให้เราได้ทราบถึงมุมมองของเขา และสามารถเอามาปรับใช้กับน้องจันทร์ได้ มันเลยทำให้เรื่องนี้ดูมีมิติขึ้นมาอีก เวิ่นไปเยอะมาก เอาเป็นว่าขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายของเรามากๆ เลยค่ะ รวมถึงคนที่รีวิวให้เราทุกคนเลย โดยเฉพาะคุณเฟิร์น เพราะหลังจากที่คุณเฟิร์นรีวิวนิยายให้เรา ก็มีคนมาตามอ่านเรื่องนี้เยอะขึ้นมากๆ เลยค่ะ

และสำหรับความเห็นเรื่องสำนวนที่ว่ายังไม่สมูท อ่านแล้วต้องกลับไปอ่านทวนใหม่ เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้ามีเวลาเราจะกลับมาตรวจทานดูอีกทีแต่ทั้งนี้มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราคุ้นชินกับภาษาของตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่ามันโอเคแล้ว หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าโทนเรื่องมันคือวิเคราะห์ล่ะมั้งคะ ก็เลยทำให้พากันคิ้วขมวดเวลาอ่าน T_T

ปล. สำหรับใครที่ติดตามเราในทวิต เพราะนิยายอย่างเดียว สามารถติดตามได้ที่เพจใน facebook เลยนะคะ เพราะในทวิตเราสัพเพเหระมาก https://www.facebook.com/Chomin.writer
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2019 13:24:46 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สงสารน้องงง สรุปว่าอาโชคคือติดคุกอยู่ตอนนี้ แต่ว่าเรื่องอะไรล่ะ อัตลักษณ์ทุกอย่างออกมาครบแล้วหรือว่ายังมีตัวละครลับคะ ยิ่งอ่านยิ่งสงสัย อัตลักษณ์น้องลีนี่อดทนมากจริงๆ เป็นเด็กผู้หญิงที่แกร่งมากเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่มากนะคะ เราเป็นกำลังใจให้  :mew1:

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เรื่องราวปัญหาค่อยๆคลายปมออกแล้ว เหลือแต่ให้น้องจันทร์ได้มีความสุขกับพี่หมอสักทีนะคะ อยากอ่านพาร์ทแฮปปี้ๆมั้งแล้วว

ออนไลน์ Shin b

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเดียว 37  ตอนเลย  คุณนักเขียนเขียนได้ละเอียดมาก  o13

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4
เป็นเรื่องอ่านละต้องมีสติตลอดเวลาจริงๆ อ่านได้สองสามตอนเเล้ว อ่านจบเดี๋ยงเม้นอีกรอบนะคะ

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
นี่อ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้ เขียนดี ข้อมูลเเน่น น่าติดตามมาก พลอยลุ้นกับน้องไปด้วย สงสาร :ling3:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อ่านละปวดหัวมากจริงๆ อ่านมา3วัน จนถึงตอนนี้
แต่ละบทต้องใช้เวลาในอ่านมาก 555555 ดึงสติตัวเองตลอดเว มันน่าตกใจมากที่จันทร์สร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาตั้งแต่ยังเด็กมากๆเลยอ่ะ สงสารน้อง สงสารทุกอัตลักษณ์จริงๆ โดยเฉพาะกรวินท์ เค้าดูหดหู่ที่สุดแล้ว เฮ้อออออ 555555 รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 38

“ทำไมพี่ภัทรไม่ไปนอนที่โซฟาดีๆ ล่ะครับ เดี๋ยวก็เมื่อยแย่หรอก” จันทร์เอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าผมตื่นจากนิทราแล้ว
“อ่า.. พอดีพี่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็เลยเผลอหลับไปน่ะ แล้วนี่จันทร์จะไปเข้าห้องน้ำเหรอ ?” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาพลางบิดขี้เกียจไปมาสักสองสามที เพราะเมื่อครู่ผมดันฟุบหลับอยู่ตรงข้างเตียงคนไข้เสียนี่
 
“ครับ” จันทร์เอ่ยตอบรับพลางยกยิ้ม จากนั้นก็พาตัวเองลงมาจากเตียงและเดินมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ ขณะที่ผมก็ต้องเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนโซฟาอันแสนคุ้นเคยที่ไม่มีใครบางคนมานอนร่วมด้วยเป็นเวลาหลายคืนแล้ว
“ช่วงนี้งานของพี่ภัทรมีปัญหาเหรอครับ ?” หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จคนป่วยที่ช่วงนี้มักจะเข้านอนเร็วเป็นพิเศษก็ตรงรี่เข้ามานั่งจุมปุกถามไถ่กันอย่างห่วงใยถึงข้างโซฟา ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมมักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่อาจเรียกว่า ‘งาน’ ได้อย่างเต็มปาก

“คืนนี้จันทร์ขอนอนกับพี่ภัทรนะ”
“ได้สิ” ผมเอ่ยตอบรับอย่างยินดีพร้อมกับกระตือรือร้นขยับที่ทางให้อีกฝ่ายได้พักพิง เพราะตั้งแต่วันที่เราทราบความจริงเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศจากน้องลียากร ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้โอบกอดดวงจันทร์ดวงนี้ให้สมกับความตั้งใจเลยสักครั้ง
เนื่องจากในช่วงเวลานั้นจนกระทั่งตอนนี้..
จันทร์มักจะเข้านอนก่อนที่ผมจะเลิกงานเสมอ

“จันทร์” หลังจากความเงียบตรงเข้าครอบงำเราทั้งคู่ ผมก็เอ่ยเรียกใครอีกคนที่กำลังถูกโอบกอดอย่างทะนุถนอม
“ครับ ?”

“ถ้าหากจันทร์กำลังมีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือว่ากำลังหาทางออกไม่ได้ จันทร์สามารถระบายกับพี่ได้เสมอเลยนะ” ผมขันอาสาอยากจะเป็นที่ปรึกษาและที่พึ่งพาให้กับเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนอย่างเต็มที่
เนื่องจากผมกำลังรู้สึกว่า..
ขณะนี้ ‘กำแพง’ เล็กๆ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาแทรกกลางระหว่างเรา

กระทั่งได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้ม แทนที่ผมจะรู้สึกสบายใจกลับทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นคงจะเป็นเพราะช่วงนี้จันทร์มักจะเข้านอนเร็วเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ปกติเจ้าตัวมักจะนั่งรอผมอย่างใจจดใจจ่อ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของจันทร์มากขึ้นแล้ว
เพราะจากคำบอกเล่าอันเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ของน้องลียากรที่ค่อยๆ เติมเต็มภาพแห่งความทรงจำจนส่งผลให้ความรู้สึกของผมค่อนข้างจะหดหู่ เนื่องจากความโหดร้ายของ ‘ช่องว่าง’ ดังกล่าว มันยังมีเรื่องของ ‘การแก้ปัญหา’ เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่น้องลีและจันทร์ สามารถตัดขาดจากความทรงจำอันไม่พึงประสงค์
ดังนั้น ‘การแก้ปัญหา’ ด้วยวิธีการเดิมๆ จึงไม่อาจได้ผล..
มันเลยทำให้ทั้งคู่จำต้องตกอยู่ใน ‘ขุมนรก’ อย่างทุกข์ทรมาน

ด้วยความที่ ‘กร’ เป็นผู้ที่ออกมาใช้ชีวิตในเช้าวันนี้ เหล่าทีมรักษารวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนต่างๆ จึงต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยเดิม
เพราะถ้าหากเหตุการณ์มันเป็นอย่างที่เราต่างก็หวาดกลัว..
จันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลักอาจจะไม่ให้ความไว้วางใจกับทีมรักษาอีกต่อไป

วันนี้ทั้งวันใจของผมได้แต่คอยลุ้นให้สถานการณ์มันเงียบสงบจนตลอดรอดฝั่ง เนื่องจากตอนเช้าช่วงที่ ‘กร’ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดด้านศิลปะ อัตลักษณ์ดังกล่าวได้วาดภาพของดอกสโนว์ดรอปส์วางอยู่บนโลงศพ ซึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นการสื่อความไปถึงคุณชลวิทย์ ทางเราจึงค่อนข้างเป็นกังวล ด้วยเพราะภาพดังกล่าวอาจจะสื่อไปถึง ‘ความตาย’
เพราะการออกมาใช้ชีวิตในครั้งล่าสุด เขาก็ยังครุ่นคิดเกี่ยวกับมันและอยากจะกลายร่างเป็นดั่ง ‘นกปีกหัก’ ที่ไม่สามารถโบยบินอยู่เหนือน่านฟ้าอันกว้างใหญ่
เหตุเพราะเป้าหมายที่แท้จริง..
กลับเป็น ‘พื้นดิน’ และ ‘ความตาย’

“หมอภัทรคะ” กระทั่งเวลาเลิกงานมาเยือน ผมก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักของจันทร์เหมือนอย่างเคย แต่ที่ต่างไปจากเดิมก็เห็นจะเป็นเพราะในวันนี้มีพยาบาลสาวรั้งตัวผมไว้
“ว่าไงครับน้องแพร ?” ผมหันกลับไปถามสาวเจ้าที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก

“สโนว์ดรอปส์ค่ะ” ทันทีที่เสียงหวานตอบกลับมา ผมก็พยักหน้ารับและส่งยิ้มกลับไปให้อย่างเข้าใจความนัยที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เนื่องจากเราไม่รู้ว่าอัตลักษณ์ของกรเคยใช้เทียนหอมกลิ่นอะไร ทางเราจึงใช้ ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ อันเป็นดอกไม้ที่มีความหมายสำหรับเจ้าตัวมาเป็นรหัสลับ

กระทั่งผมก้าวเดินเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยพิเศษที่แสนคุ้นเคย ความเงียบงันก็ตรงเข้ามาทักทายเป็นอย่างแรก และความว่างเปล่าก็เริ่มเข้ามาทักทายเป็นอย่างที่สอง ผมจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางห้องน้ำพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่อย่างน้อยใครบางคนก็ไม่ได้แอบลักลอบหนีไป หากแต่เสี้ยวหนึ่งของจิตใจก็ยังคงเป็นกังวล แต่ที่ผมยังพอจะทำใจเย็นได้อยู่บ้างก็เพราะการตกแต่งของห้องพักผู้ป่วยพิเศษประจำวอร์ดจิตเวชจะไม่มีอุปกรณ์ที่เอื้ออำอวยให้ผู้ป่วยนำมาใช้ในการฆ่าตัวตาย หากแต่ผมก็ยังไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งกรวินท์เคยใช้กำแพงห้องเป็นอุปกรณ์ในการทำร้ายตัวเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็รีบเคาะประตูร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างหวาดกลัวว่าเหตุการณ์ในวันวานกำลังจะย้อนคืนกลับมา

ปัง! ปัง!

“กร ได้ยินพี่หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยเรียกอัตลักษณ์ดังกล่าวพร้อมกับเคาะประตูในจังหวะที่หนักแน่นขึ้น ด้วยเพราะผมต้องคอยบังคับไม่ให้ฝ่ามือของตัวเองสั่นไหว
“…”

ปัง! ปัง!
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

“กร ตอบพี่หน่อย”
“…”

เมื่อคำตอบที่ได้รับยังคงมีแต่ความเงียบงัน ผมก็รีบผละตัวออกจากบริเวณหน้าประตูห้องน้ำ พร้อมกับถลาไปหยิบกุญแจสำรองในกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ในตู้ไม้ข้างๆ เตียงนอน จากนั้นก็รีบปลดล็อกประตูบานดังกล่าวและเปิดเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ด้วยเพราะใจของผมมันทั้งร้อนรนและหวาดกลัว
หากแต่ภาพที่ได้เห็นก็ทำเอาผมแทบลืมหายใจ
เหตุเพราะสภาพของ ‘จันทร์’ ในคราบของ ‘กรวินท์’ กำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด

“กรลืมตาสิ กร!” ผมถลาเข้าไปประคองร่างของอีกฝ่ายที่กำลังนั่งซุกตัวอยู่ข้างๆ อ่างล้างมือ ขณะที่ฝ่ามืออันเปื้อนเลือดก็ยังคงจับยึดขอบอ่างเอาไว้
“พยาบาล!” เมื่อใครคนนั้นยังคงแน่นิ่งไร้การตอบรับ ผมก็รีบตะโกนเรียกพยาบาลอย่างสติแตก ขณะที่ร่างกายกลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนไปไหน เพราะผมกำลังหวาดกลัวว่าถ้าหากผมถอยห่างจากอีกฝ่ายแม้แต่ก้าวเดียว
บาดแผลก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่าพันเท่า..

“พี่ภัทร..”
“…”

“จันทร์.. คงเป็นดอกเนโมฟีลาที่อยู่ในแจกันไม่ไหวแล้ว..” สิ้นเสียงร้องเรียกที่ตามมาด้วยประโยคอันบาดใจ ส่งผลให้ปลายนิ้วของผมที่กำลังจะกดโทรศัพท์หาพยาบาลที่อยู่เวรในช่วงเวลานี้เริ่มแน่นิ่งไป
ด้วยเพราะผมไม่อยากจะเชื่อว่า..
คนคนนี้คือ ‘จันทร์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก

“ให้จันทร์หายไปได้ไหม ?” จันทร์เอ่ยถามเสียงสั่นขณะที่น้ำตาก็ไหลรินจนอาบแก้ม ปะปนไปกับหยดเลือดที่ไหลย้อยมาจากฝ่ามือ คาดว่าน่าจะเกิดจากการปะทะกับกระจกนิรภัยหรืออ่างล้างหน้าอย่างรุนแรง ซึ่งอีกฝ่ายยังเปิดฝักบัวจนสุดเพื่อกลบเกลื่อนความเป็นจริงที่ตนเองกำลังกระทำ
“…”

“ให้จันทร์หายไปเถอะนะ..” น้ำเสียงเว้าวอนยังคงดังไม่ขาดสาย หากแต่โสตประสาทในการตอบสนองของผม กลับหยุดทำงานเพียงชั่วคราว เหตุเพราะในหัวกลับมีแต่ความว่างเปล่า ขณะที่ใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบจนไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไร
“…”

“จันทร์รับความจริงไม่ไหวแล้ว พี่ภัทรให้จันทร์หลับเถอะนะ” จันทร์กล่าวปนสะอื้นอย่างน่าสงสาร ขณะที่ผมก็ยังคงพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ในเมื่อความต้องการของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง มิหนำซ้ำ ‘ความจริง’ ที่จันทร์กำลังพูดถึงคงจะเป็นความจริงที่ผมเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจ
เพียงแต่การรับรู้ของจันทร์กลับอยู่เหนือความคาดหมายไปมาก..
ดังนั้นการที่ผมจะตั้งรับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยมจึงเป็นไปได้ยาก

“จริงๆ แล้ว.. จันทร์เป็นคนที่ทำให้ไฟไหม้บ้าน ทุกคนก็เลยต้องมาตายเพราะจันทร์.. แต่ว่าตอนนั้นจันทร์ไม่รู้จริงๆ ว่าไม้ขีดไฟมาอยู่ในมือของจันทร์ได้ยังไง แล้วจันทร์ก็ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตอนที่จันทร์กำลังจุดไฟ จันทร์ไม่รู้อะไรเลย เพราะจันทร์ตื่นขึ้นมาก็เจอทะเลเพลิงไปแล้ว แต่เพราะหลักฐานมันอยู่ในมือของจันทร์ แล้วจะเป็นใครไปได้ แต่ถึงจะเป็นใครในตัวของจันทร์ก็เถอะ ยังไงคนที่ฆ่าทุกคนก็ยังเป็นจันทร์อยู่ดี..” จันทร์โผเข้ากอดผมพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนคำพูดที่อีกฝ่ายตั้งใจจะถ่ายทอดออกมาให้ผมรับรู้แทบฟังไม่ได้ศัพท์
“…” ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบพร้อมกับโอบกอดดวงจันทร์ที่กำลังแตกสลายอย่างเจ็บปวด อีกทั้งกระบอกตาก็ยังร้อนผ่าวราวกับว่ามันเตรียมพร้อมจะทำหน้าที่ของคนอ่อนแออย่างเต็มรูปแบบ หากแต่ผมก็ยังต้องทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะจันทร์ในตอนนี้กำลังเปราะบางมากเสียจนผมยังไม่กล้าคิดจะโอบกอดอีกฝ่ายให้แน่นจนสมใจอยาก

“เพราะจันทร์เป็นเด็กไม่ดีใช่ไหมครับ จันทร์เลยถูกอาโชคลงโทษ..” สิ้นคำถามปนสะอื้น จันทร์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ผมจึงได้แต่โอบกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น พร้อมกับลูบแผ่นหลังอย่างปลอบประโลม เพราะในหัวของผมตอนนี้ ไม่อาจสรรหาคำใดมาประคับประคองจิตใจของอีกฝ่ายได้จริงๆ
“…”

“ในสายตาของพี่ จันทร์เป็นเด็กดี มีเหตุผล พี่ถึงก้าวข้ามเส้นที่ตัวเองขีดไว้” เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าผมจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เพราะผมต้องพยายามเค้นคำพูดเท่าที่พอจะนึกออกอย่างยากลำบาก ขณะที่น้ำตาก็ไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อได้ยินกับหูว่าที่ผ่านมาอาโชคลงมือทำร้ายอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็นไม่ต่างกับน้องลียากร ซึ่งมันทำให้หัวใจของผมปวดหนึบขึ้นมาอีกสิบเท่า เพราะผมเคยวาดหวังว่าสาเหตุที่ทำให้น้องลีถูกจองจำไว้กับความรู้สึกผิดทันทีที่ทราบว่าตัวเธอเป็นเพียงอัตลักษณ์หนึ่งที่จันทร์สร้างขึ้น จะต้องไม่ใช่ความจริงที่เกิดจากการแก้ปัญหาอันไม่มีประสิทธิภาพของการ ‘หลับตา’
แต่ท้ายที่สุดมันก็คือความเป็นจริงไปแล้ว..
เพราะทั้งคู่ต่างก็เลือกใช้วิธีการดังกล่าวในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน

“ว่าไปแล้วความทรงจำของจันทร์ นอกจากพี่ภัทรก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง” สิ้นคำกล่าวของจันทร์ ผมก็ซบหน้าลงบนศีรษะของอีกฝ่ายพลางหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ที่อย่างน้อยๆ ผมก็ยังเป็นเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของอีกฝ่าย
“…”

“แต่ว่าในตอนนี้.. มันไม่อาจปลอบประโลมจันทร์ได้อีกต่อไป จันทร์ขอโทษที่จันทร์เห็นแก่ตัว..” แต่แล้วรอยยิ้มที่ยังคงปรากฏกลับต้องเลือนหาย เมื่อคำกล่าวปนสะอื้นราวกับถ้อยคำอำลาค่อยๆ ถ่ายทอดออกมาจากคนในอ้อมกอด
“…”

“จันทร์ขอโทษที่เป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันไม่ได้” ยิ่งจันทร์เอื้อนเอ่ยเสียงสะอื้นไห้ของเจ้าตัวก็ยิ่งหนักข้อขึ้น ขณะที่ผมกลับปลดปล่อยน้ำตาออกมาอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องใดมากมายขนาดนี้
“…”

“จันทร์ขอโทษที่ไม่ได้ไปดูดาวด้วยกันอย่างที่เคยสัญญาไว้” ถ้อยคำแต่ละประโยคของจันทร์ในครานี้ กลับค่อยๆ ทำให้ผมจมลึกลงสู่ความเจ็บปวดจนต้องเผลอโอบกอดอีกฝ่ายอย่างหวงแหน เพราะเราต่างก็ใช้เวลาเรียนรู้กันและกันมาตั้งหนึ่งปีเต็มจึงทำให้ใจของผมกลายเป็นของเจ้าตัวจนเต็มดวงแล้ว
“…”

“จันทร์ขอโทษที่จันทร์อ่อนแอ..” สิ้นประโยคดังกล่าวผมอยากจะเถียงอีกฝ่ายใจจะขาด แต่ผมก็พูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตื้อไปหมด เพราะผมกำลังหวาดกลัวการสูญเสีย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้จันทร์ต้องเจ็บปวด และไม่อยากให้เขาต้องทำร้ายตัวเองเพราะรู้สึกผิดกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น
“…”

“ให้จันทร์หลับเถอะนะ จันทร์รับไม่ไหวแล้วจริงๆ” ประโยคเว้าวอนจากเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนถูกส่งตรงมายังผมอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับเป็นประโยคที่ทำให้ความพยายามที่ผ่านมาจำต้องพังทลายลง
เพียงเพราะผม..
ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายบอบช้ำไปมากกว่านี้

“อืม” ผมเอ่ยปากอนุญาตอย่างแผ่วเบาพร้อมด้วยหัวใจอันชาหนึบจากการตัดสินใจของตัวเอง
ที่จะไม่มีวันได้ดวงจันทร์ดวงนี้คืนกลับมาอีกต่อไป..


゚゚❀゚゚

[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มาอัพแล้วจ้า พอดีเราติดปรับแก้ฟอลอินยูนิดหน่อย ก็เลยมาต่อเรื่องนี้ได้ช้า สำหรับตอนนี้ก็ อื้ม ไม่มีอะไรจะพูด เพราะหลังจากแต่งจบ เราก็ปวดหัวเลย 5555 ใส่พลังทั้งหมดลงไปจน เอ้อ พอก่อนนน ต้องพักแล้ว เราไม่ค่อยถนัดซีนดราม่าเท่าไหร่ มันก็จะได้ประมาณนี้แหละ ส่วนสาเหตุที่จันทร์จำได้ขึ้นมา มันเกิดจากอะไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป~ ว่าแต่ตอนนี้ตีความความคาบเกี่ยวของปมล่วงละเมิด และการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผล ออกกันหรือเปล่าเอ่ย ฝากส่งฟีดแบคหน่อย เรากลัวตีความไม่ออก

ท้ายนี้ขอสรุปสาเหตุที่ทำให้เป็น DID หน่อย โดยสาเหตุมักจะเกิดจากการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก มีตั้งแต่โดนล่วงละเมิดทางเพศ ทำร้ายร่างกาย รวมถึงการขาดการส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก แต่ทั้งนี้เราก็เคยอ่านเจอว่า คนที่ไม่ได้เข้าข่ายในสาเหตุดังกล่าว ก็เป็น DID ด้วยเหมือนกัน (แต่จำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากเว็บไหน T_T)  และตอนต่อไปจะมาว่าด้วยเรื่องของการใช้ยาในการรักษา อาจจะวิชาการอีกหน่อยนึง เพราะเฉลยปมมาเกือบหมดละ เหลือแค่รอยต่ออีกนิดหน่อย

ปล. สำหรับใครที่ติดตามเราในทวิต เพราะนิยายอย่างเดียว สามารถติดตามได้ที่เพจใน facebook เลยนะคะ เพราะในทวิตเราสัพเพเหระมาก https://www.facebook.com/Chomin.writer
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2019 13:29:01 โดย Chomin »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด