εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)  (อ่าน 49410 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราถึงกับเหม่อเลย คิดว่ากรด้วยซ้ำที่ทำร้ายตัวเองเพราะเรื่องพี่ชล พอเห็นว่าเป็นจันทร์ช็อคเลย ยิ่งอ่านบรรทัดสุดท้ายของพี่ภัทรน้ำตาร่วง ฮือ อยากให้น้องสู้อีกนิด มันน่าจะทรมานมาก เราเข้าใจว่าทำไมพี่ภัทรถึงยอม จะจบแบบไหนเราก็ยอมรับได้ค่ะ ชอบมากและประทับใจสุดๆเหมือนเดิม  :กอด1:

ออฟไลน์ mybear_sr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จันทร์จะไปตื่นมาใช้ชีวิตอีกหรอคะ...ㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠ  เฮ้อ
ถึงจะอยากให้จบแบบhappy endแต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็โอเคค่ะ เราจะอ่านต่ออยู่ดี ฮือ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
น้องงงง ไม่เอาแบบนี้ฮืออออออ

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
จันทร์ หลับไปพักแปบเดียวละตื่นไม่ได้เหรอ  :hao5: หรือจะให้คุณนักเขียนมาคบกับพี่หมอแทนงี้เหรอ เพราะจากอัตลักษณ์ทั้งหมด คุณนักเขียนเจ็บน้ยสุดเเละธรรมดาสุดเเล้ว

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
น้ำตาท่วมห้องแล้วค่ะ ฮือออออออ :m15:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 39

หลังจากจันทร์เอ่ยปากอ้อนวอนในวันนั้น ความรู้สึกของผมกลับยังวนเวียนอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวและทางออกที่ดีที่สุดก็คือการโหมงานให้หนัก เพราะมันคือช่วงเวลาเดียวที่ผมจะกลับไปใช้ชีวิตให้เหมือนกับตอนที่เรายังไม่เคยรู้จักกัน ซึ่งผลเสียก็ตามมาด้วยเรื่องของสุขภาพทางร่างกาย ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข คนป่วยที่ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่ออย่างผมก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองแสงไฟจากพลุดวงใหญ่ ผ่านทางหน้าต่างห้องพักผู้ป่วยพิเศษอย่างเลื่อนลอย
เพราะการได้อยู่กับความเงียบและการได้อยู่กับตัวเอง..
ทำให้เกิดช่องว่างทางความคิด..

ซึ่งเหตุการณ์หลังจากที่จันทร์หลับไปก็ยังมีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกมากมาย  โดยคุณพีรวัตรเป็นผู้ที่ตื่นขึ้นมาควบคุมการใช้ชีวิตและเขาก็เข้าใจว่าบาดแผลในขณะนั้นมีสาเหตุมาจากการกระทำของกรวินท์ จึงทำให้พยาบาลที่เข้ามาทำแผลเข้าใจเรื่องราวไปในทิศทางเดียวกัน
เหตุเพราะคนที่รู้ความจริงอย่างผม..
กลับเอาแต่อมพะนำอยู่อย่างนั้น

ดังนั้นการที่โดมิโนอันแรกล้มลง อันต่อๆ ไปก็เริ่มจะพังระเนระนาดไม่ต่างกัน เพราะแผนการรักษายังคงถูกกำหนดให้ต้องรับมือกับสถานการณ์เดิมๆ รวมถึงการแสวงหาวิธีการรักษาในรูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา ก็ถือว่าเป็นหัวข้อใหม่ที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันมีจิตแพทย์บางส่วนจ่ายยากลุ่ม Anxieolytic หรือยาคลายความกังวล และ Anti depressant หรือยาต้านเศร้า ให้กับผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาคาร์บามาเซพีนที่เป็นกลุ่มยากันชักกับผู้ป่วยที่มีค่าอีอีจีผิดปกติ ซึ่งค่าดังกล่าวจะสามารถวัดได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยผู้ป่วยโรค DID จะมีรูปแบบคลื่นสมองแตกต่างกันในแต่ละอัตลักษณ์ 
ขณะที่กลุ่มผู้ทดลองและตัวตนปลอมๆ
กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ยังมีการใช้ยาพราโซซินในผู้ป่วยที่มีอาการฝันร้าย และยานาลเทรกโซนในผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง และยังมีการใช้ยาเพโรสไปโรนซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคทางจิตเวช เช่น โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ช่วงระยะเมเนียกับผู้ป่วยโรค DID จนทำให้ผู้ป่วยห่างหายจากโรคดังกล่าวในระยะเวลา 1 ปี
เพียงแต่การรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว..
ยังไม่ได้รับการยอมรับหรือเป็นมาตราฐานที่พึงปฏิบัติ

ซึ่งด็อกเตอร์คอลที่ทำการรักษาคุณบิลลี่ เคยเน้นย้ำว่าการรักษาโรคหลายอัตลักษณ์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาโรคทางจิตเวชทุกชนิด เพราะยาเหล่านั้นจะทำให้เกิดการแตกแยกของอัตลักษณ์ และยังมีผลข้างเคียงต่อการบำบัด ขณะเดียวกันทางทีมรักษาของเราก็เริ่มแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยกับการใช้ยา และอีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่เห็นด้วย
จึงทำให้การประชุมในครั้งนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปที่น่าพึงพอใจ..

ขณะที่ผมก็เริ่มรู้สึกละอายใจ เพราะการตัดสินใจของผมกำลังส่งผลกระทบต่อการรักษาอย่างเต็มรูปแบบ และยังทำให้การทุ่มเทของคนอื่นๆ กลับกลายเป็นสูญเปล่า แต่ถ้าหากผมย้อนเวลากลับไปได้..
การตัดสินใจของผมก็คงไม่ต่างจากเดิม..

ดังนั้นผมจึงปล่อยให้วันเวลามันล่วงเลยต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ทุกคนในทีมต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และอีกด้านหนึ่งของจันทร์ก็ยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ไม่เว้นแม้กระทั่ง..
‘จิม’ และ ‘กรวินท์’ ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่น่าหนักใจ

กรณีของจิมผมเข้าใจว่าเขายังเด็กจึงทำให้การยอมรับ ถือเป็นเรื่องง่ายดายกว่าที่คิด และเพราะความเป็นเด็กวิธีการคิดก็ย่อมไม่มีความซับซ้อน ดังนั้นคำอธิบายของคุณพีรวัตรที่เกี่ยวข้องกับ ‘การปั่นผลไม้’ ทำให้เด็กชายวัย 4 ขวบ เข้าใจว่าการรวบรวมอัตลักษณ์คือการแบ่งปันความทรงจำและความเจ็บปวด
ส่วนกรวินท์ตอนนี้ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ แม้บางครั้ง ‘ความว่างเปล่า’ จะยังทำลายความตั้งใจนั้นอยู่ และจากบันทึกในการรักษาเมื่อครั้งล่าสุด เขาก็ได้อธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับรูปวาดโลงศพและดอกสโนว์ดรอปส์เอาไว้สั้นๆ ว่า ‘การไว้อาลัย’ เพียงแต่ปัญหาของการตีความในครั้งนั้น กลับอยู่ตรงที่ความรู้สึกในขณะกำลังบรรจงสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งผมพอจะเข้าใจว่าความหม่นหมองดังกล่าวมีสาเหตุมาจากใครและทำไมคนคนนั้นถึงต้องควบคุมความรู้สึกของกรจนทำให้เจตนาเดิมของเขาถูกทำลายลง
เพราะคำตอบทั้งหมดถูกเฉลยไปแล้ว..
ตั้งแต่ตอนที่จันทร์คิดอยากจะหลับตา..

กระทั่งการประชุมครั้งใหม่เวียนมาบรรจบ ผมก็ยังเก็บงำ ‘ความลับ’ ระหว่างเราได้อย่างดีเยี่ยม เพราะผมไม่อยากให้จันทร์ต้องมาทนเจ็บปวดกับความทรงจำในอดีต เพราะความเจ็บปวดของอีกฝ่ายในวันนั้นถูกถ่ายทอดมายังผมอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ รวมถึงคำให้การจากบันทึกการรักษาของอัตลักษณ์ต่างๆ ล้วนแต่บีบใจผมทั้งสิ้น
ซึ่งสาเหตุก็มาจาก..
การที่ผมกำลังมีปฏิกิริยาทางจิตใต้สำนึกร่วมกันกับจันทร์..

ดังนั้นวาระของการประชุมเมื่อครั้งล่าสุด จึงไม่ต่างกับมีดอันแหลมคมที่ค่อยๆ กรีดใจของผมให้เบาบางลงเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเกิดอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับความไม่อบอุ่นในครอบครัว และในปี 2549 จันทร์ก็ได้เรียนรู้วิธีรับมือกับปัญหาต่างๆ ด้วยการหลับตาเป็นครั้งแรก ขณะที่เด็กชายวัย 3 ขวบที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับจันทร์ เริ่มจะต่อต้านการไม่มีตัวตน เขาจึงเรียกร้องความสนใจจากทุกคนด้วยการทำตัวดื้อดึง จนทำให้จันทร์ได้รับผลกระทบดังกล่าวและกลายเป็นเด็กขี้โกหกเมื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา
กระทั่งปี 2550 การไร้ซึ่งสัมพันธภาพระหว่างมารดาก่อให้เกิดปัญหา เมื่อจิมเอาไม้ขีดไฟมาเล่นจนส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น หลังจากนั้นเด็กชายผู้ตื่นกลัวอย่างจิมก็เลือกจะปิดกั้นการรับรู้ ขณะที่จันทร์ผู้ซึ่งตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตก็ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ดังนั้นการสร้างอัตลักษณ์ของ ‘น้องลียากร’ จึงมีขึ้นเพื่อปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ขณะที่ ‘ช่องว่าง’ ระหว่างปี 2551 ถึง 2557 ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะรายละเอียดที่หายไป ท้ายที่สุดจันทร์ก็ได้หอบมันคืนกลับไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นคำให้การของน้องลี ถือว่าเป็นประโยชน์ในการต่อจิ๊กซอว์ไม่น้อย เพราะในปี 2554 มันคือปีที่น้องลีมักจะสวมชุดกระโปรงของน้าเข็มออกไปวิ่งเล่นที่ทุ่งดอกเก๊กฮวยตอนกลางคืน และความสนิทสนมระหว่างเธอกับอาโชคก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนกระทั่งเกิดเป็นประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรง จากนั้นเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ก็เลือกจะตัดขาดจากความทรงจำอันเลวร้ายด้วยการหลับตา เพียงเพราะความคิดแบบเด็กๆ ว่าสิ่งที่ตนกำลังตัดสินใจบางทีมันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าหากจันทร์ยังไม่ค้นพบวิธีการดังกล่าว ดังนั้นการสลับตัวแบบวนลูปจึงไม่เคยจบสิ้น ทั้งคู่จึงต้องตกอยู่ในขุมนรกแห่งกามารมณ์ จากชายผู้ซึ่งมีสถานะเป็นอาแท้ๆ ของตนเอง
หลังจากนั้นจันทร์ผู้ซึ่งแตกสลายก็เริ่มสร้างตัวตนของ ‘กรวินท์’ ขึ้นมาเพื่อรองรับความเจ็บปวดและกระทำการฆ่าตัวตายแทนในปี 2558 เหตุเพราะอีกฝ่ายยังไม่มีความกล้ามากพอ ซึ่งการอยู่อย่างไร้ความปลอดภัยก็ส่งผลให้น้าเข็มตัดสินใจให้คุณชลวิทย์พาจันทร์ในคราบของกรวินท์หลีกหนีจากอำเภอดังกล่าว โดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณพ่อของไอ้แนน จนทำให้คุณชลวิทย์มีวิชาความรู้ติดตัวมาด้วย กระทั่งทั้งคู่ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน น้องลียากรก็มักจะตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตเฉพาะช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์กำลังผลิบาน เพราะมันคือช่วงที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
ขณะที่จันทร์ก็ยังไม่เคยตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอีกเลย..

ในปี 2559 จันทร์เริ่มสร้างอัตลักษณ์ของ ‘คุณพีรวัตร’ เพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหาย ซึ่งอัตลักษณ์ดังกล่าวเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ เหตุเพราะตัวตนของเขามีความเข้มแข็งเหมือนกับที่จันทร์อยากมี จากนั้นจันทร์ก็ได้รับโอกาสให้ออกมาใช้ชีวิตเป็นครั้งแรกในปี 2560 โดยคุณพีรวัตรเพิ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในบันทึกการรักษาเมื่อครั้งที่ผ่านมาว่า อันที่จริงจันทร์เคยออกมาใช้ชีวิตในช่วงที่เขาพยายามจะทำความเข้าใจกับตัวตนของอัตลักษณ์อื่นๆ หลังจากที่ยอมรับความเป็นจริงได้ ซึ่งในขณะนั้นจันทร์ยังคงจดจำเรื่องราวอันน่าขยะแขยงได้เป็นอย่างดีก็เลยมีความคิดที่จะทำร้ายตนเอง คุณนักเขียนจึงทราบข้อจำกัดในส่วนนี้และไม่อนุญาตให้จันทร์มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตอีกเลย
ขณะเดียวกันคุณชลวิทย์ก็เริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ในปีดังกล่าว..

จนกระทั่งกลไกการป้องกันตนเองแบบโรคประสาทชนิดเก็บกดเริ่มก่อตัวขึ้น ความรู้สึกแตกสลายจึงถูก ‘ลืมเลือน’ จนหมดสิ้น ดังนั้นพฤติกรรมทำร้ายร่างกายก็ย่อมต้องหายไป และจันทร์ก็โชคดีที่ได้รับการสอดส่องดูแลจากคุณนักเขียนเป็นอย่างดี เขาถึงมีโอกาสออกมาควบคุมจิตวิญญาณเนื่องในโอกาสพิเศษ อย่างเช่น วันเกิด ซึ่งไม่ใช่วันเกิดที่แท้จริง หากแต่เป็นวันที่จันทร์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เราสองคนถึงได้มีโอกาสมารู้จักกันในปี 2561..
แต่ในท้ายที่สุดเราต่างก็ต้องจากลาภายในปีเดียวกัน
 
แต่แล้วความคิดของผมกลับต้องสะดุดลง เมื่อเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงข้างหน้าต่างกำลังสั่นครืดคราดเรียกร้องความสนใจ กระทั่งปรายสายตาไปมองยังต้นเหตุ พบว่าบุคคลปลายสายคือไอ้แนน

(เป็นยังไงบ้างมึง ?)
“ก็เหงาดี วันนี้ไม่มีคนนอนเฝ้า” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะอย่างฝืนๆ

(แล้วอาการของมึงล่ะ ดีขึ้นบ้างหรือยัง ?)
“อืม ตอนนี้ก็เริ่มกินข้าวได้บ้างแล้ว” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ พลางเคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะเพียงเบาๆ เมื่อต้องเอ่ยถึงสุขภาพร่างกายที่มีผลต่อเนื่องมาจากความบ้างานจนไม่ยอมกินข้าวกินปลาให้ครบทุกมื้อ หรือถ้าจะกินผมก็เลือกกินแค่คุกกี้ชิ้นเล็กๆ ที่ไอ้บาสซื้อมายัดเยียดให้ บางวันถ้าหากมันไม่ได้ซื้อมาให้ ผมก็จะปล่อยเบลอไปเลย เรียกได้ว่าช่วงนั้นอาศัยแค่น้ำเปล่าและคุกกี้ประทังชีวิต เพราะมันรู้สึกกินอะไรไม่ลง ยิ่งถ้าหากผละตัวออกจากงานแม้แต่ก้าวเดียว ความคิดของผมก็จะวนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ซึ่งผลสุดท้ายร่างกายก็เกิดอาการปฏิเสธอาหารทุกอย่างที่กินเข้าไป ผมเลยโดนหามมาให้น้ำเกลือและถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาจนกระทั่งกลับมากินข้าวได้บ้าง

(มึง..)
“ว่า ?”

(แล้วเรื่องนั้น.. มึงโอเคขึ้นบ้างหรือยัง ?) ไอ้แนนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คล้ายกับมันไม่ค่อยจะแน่ใจว่าการถามคำถามดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผมหรือไม่
“ยังว่ะ” ผมตอบเสียงแผ่วพลางกระพริบตาอยู่หลายครั้ง เมื่อใจเริ่มจะอ่อนแอส่งผลให้ต่อมน้ำตาเริ่มจะอ่อนไหว

(ระบายกับกูได้นะ..)
“ความรู้สึกของกูตอนนั้น เหมือนกับกูแค่สวมหัวโขนเป็นจิตแพทย์ เพราะคำพูดใดๆ ที่จะทำให้เขารู้สึกดี กลับไม่ผ่านเข้ามาในหัวกูเลย แล้วกูก็ดันมีปฏิกิริยาทางจิตใต้สำนึกร่วมกันกับเขาไปนานแล้ว กูถึงทนได้ยินเขาอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว ยิ่งถ้ากูลังเล เขาก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีกหนึ่งวินาที ซึ่งกูไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น..” ผมพูดพลางปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่คิดจะเช็ดออกแต่อย่างใด

(มึงก็เลยปิดบังมาเรื่อยๆ ?)
“อืม” ผมตอบรับในลำคออย่างแผ่วเบา เพราะท้ายที่สุดความก็มาแตกกลางที่ประชุม เมื่อปฏิกิริยาของผมที่มีต่อไทม์ไลน์ความทรงจำของจันทร์ ดูมีอารมณ์ร่วมเกินกว่าจะเป็นทีมรักษาที่ดีได้ ผมจึงยอมสารภาพออกมาตามตรงว่าตอนนี้การรักษากำลังมีปัญหา เหตุเพราะผมอนุญาตให้จันทร์กลับไปแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจของผมคนเดียว และในหน้าที่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจโดยพลการ ดังนั้นผมจึงถูกทัณฑ์บนและถูกตัดออกจากทีมรักษา
จากนั้นผมก็ดันซวยจนต้องมานอนให้น้ำเกลืออย่างที่เห็น

(กูเข้าใจมึงว่ะ เพราะบางทีทฤษฎีก็กินไม่ได้ กลับกันถ้าหากวันนั้นคนที่มึงต้องรับมือไม่ใช่จันทร์ กูคิดว่ามึงต้องหาทางออกแบบที่จบสวยๆ ได้อยู่แล้ว)
“แล้ว.. เรื่องการรักษา พวกเขาจะเอายังไงต่อ ?”

(น้าของจันทร์ยืนยันจะรักษาต่อไปนะมึง ด็อกเตอร์เลยจะลองขอความร่วมมือจากคุณพีรวัตรอีกครั้ง จากนั้นค่อยเจรจากับจันทร์อีกที เพราะการรักษา คนไข้ก็ต้องเชื่อมั่นในวิธีการ และต้องเข้าใจรวมถึงตั้งใจอย่างแท้จริงถึงจะเกิดผล)
“อืม” ผมยังคงตอบรับเพียงสั้นๆ อย่างไม่คิดจะคัดค้านใดๆ แม้ว่าในใจของผมจะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยก็ตาม
แต่ถึงอย่างไรความพยายามของทุกคนจะสำเร็จลงได้..
ก็ขึ้นอยู่กับจันทร์ว่าจะสู้หรือถอย

ซึ่งการตัดสินใจของป้าเข็ม พูดตรงๆ ว่าผมเองก็เข้าใจ เพราะถ้าหากการรักษาประสบความสำเร็จ จันทร์ก็ไม่ต้องจมอยู่กับความทรงจำอันเลวร้าย อีกทั้งจิตใจก็จะยังเข้มแข็งมากขึ้นด้วย แต่ถ้าหากท้ายที่สุดความพยายามกลับไม่สำเร็จผล
จันทร์ก็คงต้องจมอยู่กับความทรงจำเหล่านั้นจนกว่าจะตายจากไป
เพราะ ‘การหลับ’ มันก็คือการ ‘หนีปัญหา’

(เออ! มึง..) หลังจากที่เราต่างก็เงียบไปพักใหญ่ ไอ้แนนก็ตะโกนออกมาราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้
“…”

(คุณพีรวัตรเขาเป็นห่วงมึงนะ)
“ถ้างั้นกูฝากบอกเขาด้วยว่ากูโอเคขึ้นเยอะแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

(มึงบอกเขาเองก็แล้วกันค่ะ) ไอ้แนนพูดด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้ ท่าทางว่ามันคงจะล่วงรู้ความลับของคุณนักเขียนเข้าให้แล้ว
ก็แน่ล่ะ มันต้องรับหน้าที่ไปนอนเฝ้าเคสพิเศษแทนผมนี่นะ

“คุณ..” ผมเอ่ยทักทายเมื่อปลายสายเอาแต่เงียบงัน
(อื้อ)

“ผมโอเคขึ้นแล้วนะ”
(อื้อ)

“อย่าเอาแต่ ‘อื้อ’ ดิคุณ อีกเดี๋ยวผมก็ได้กลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ แม้ในใจจะไม่ได้รู้สึกอยากหัวเราะเลยก็ตาม แต่ที่ต้องทำก็เพราะผมไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่ลง
(ถ้าเกิดจันทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งคุณจะว่ายังไง ?) สิ้นคำถามของคนปลายสาย ผมก็ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก เพราะผมค่อนข้างสองจิตสองใจ
แต่แล้วผมก็หาคำตอบของคำถามที่ว่านั่นได้..

“สำหรับผมอะไรที่เป็นความต้องการของเขา ผมจะสนับสนุนทุกอย่าง..”


゚゚❀゚゚

(edit คำผิด 16/09/2018)
[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- บทวิเคราะห์เกี่ยวกับ DID ของนักศึกษาแพทย์
http://www.errama.com/system/spaw2/uploads/files/DissociativeIdentityDisorder.pdf
- หนังสือชีวประวัติของคุณบิลลี่ (ว่าด้วยเรื่องของการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง)
- กลไกการป้องกันตัวเอง
https://semsikkha.org/tha/tips/600-defense-mechanism

ในตอนนี้เราเขียนแบบสรุปไทม์ไลน์มาให้ใหม่ เพราะเห็นว่ายังมีคนที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับความทรงจำของน้องจันทร์ หวังว่าจะเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ ฝากส่งเสียงตอบรับตรงปมต่างๆ หน่อยจ้า ส่วนช่องโหว่อื่นๆ ก็ติดตามกันต่อไปจ้า สำหรับตอนนี้ใช้เวลาอยู่นานเลย เพราะเรากำลังลังเลจะว่าเขียนข้ามดีมั้ย แล้วถ้าข้ามช่วงเวลา จะเขียนยังไงให้มันประติดประต่อ ก็เลยได้มาแบบนี้ อยากจะบอกทุกคนว่า ตามพล็อตของเราแล้ว มันไม่จบที่ 40 ตอนล่ะ มันอาจจะต้องเพิ่มอีก 5 หรือ 10 ต้องดูที่หน้างานอีกที เพราะว่าเราเขียนไม่ตรงตามที่วางไว้เป๊ะๆ ซึ่งจุดประสงค์ของเรา คืออยากจะเขียนสื่อในทำนองที่ว่า การมีคนที่เข้าใจ และพร้อมจะอยู่ข้างๆ ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช มันเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อการรักษา เพราะคนที่ป่วยจะยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็นได้ ก็ต้องเกิดการยอมรับจากคนรอบข้างของเขาก่อน และในกรณีของจันทร์ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมายังไม่ได้เริ่มบำบัดอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ เพราะต้องคอยต่อจิ๊กซอว์ให้เป็นรูปร่าง ส่วนสาเหตุที่จันทร์จำได้ขึ้นมากะทันหัน ขอยกยอดไปตอนหน้านะคะ และก็อย่างที่กล่าวไปในเนื้อเรื่อง ว่าการรักษาจะสำเร็จได้ ตัวผู้ป่วยจะต้องมีความเชื่อมั่นในกระบวนการรักษา และจะต้องเข้าใจ ตั้งใจที่จะรักษาอย่างเต็มที่ ซึ่งแรกๆ อาการของจันทร์ก็ดีขึ้น แต่พอน้องจำได้ การยอมแพ้ก็เลยตามมา แต่ถ้าหากได้รับคำแนะนำในการรับมืออย่างถูกต้อง การแก้ปัญหาด้วยการหลับ จะไม่เกิดขึ้นอีก เพียงแต่ว่าพี่หมอเหมือนกับอยู่ในสถานะทางความรู้สึกไม่ต่างกับจันทร์ พี่หมอก็เลยมองหาทางออกไม่เจอ อารมณ์เหมือนกับว่า พอเป็นคนใกล้ตัวก็ยิ่งร้อนรน
ปล. นิยายเรื่องนี้ใช้แท็ก #ที่ป่าสน นะคะ ถ้าแท็กตามชื่อเรื่องจะเป็นแฟนฟิคของนักเขียนท่านอื่น เราเกรงว่ามันจะไปรบกวนเขา เพราะเราไม่รู้ว่ายังใช้งานอยู่หรือเปล่า T_T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2019 20:39:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
สงสารพี่หมอจัง ต้องเก็บความรู้สึกของตัวเองขนาดไหน จะแสดงออกมาตรงๆเลยก็ไม่ได้เพรสะมีหน้าที่ค้ำคออยู่

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
สรุปพี่หมอก็จะสร้างอัตลักษณ์ใหม่เพื่อมาปิดกั้นความเสียใจจากจันทร์ 5555555555
สงสารเค้าาาาา  :hao5:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอาใจช่วยคุณหมอนะคะ ถ้าน้องรู้ต้องไม่สบายใจแน่ๆ  :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 40

เวลานี้ถึงแม้สภาพร่างกายจะเริ่มแข็งแรงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ระบบทางเดินอาหารก็ยังไม่ค่อยปกตินัก อาหารง่ายๆ อย่างเช่น ข้าวต้มหรือโจ๊กจึงเป็นเมนูประจำในช่วงนี้ โดยผมจะต้องแบ่งมื้ออาหารออกเป็น 5 มื้อ เพราะผมยังไม่สามารถกินในปริมาณเดิมๆ ได้ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่เลือกจะปกป้องความรู้สึกของตัวเองด้วยวิธีการไม่เข้าท่า จนส่งผลให้พ่อกับแม่ต้องมาคอยเป็นกังวลไปด้วย มิหนำซ้ำการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์ก็ยังทำให้คุณพ่อรู้สึกผิดหวัง
เพราะถึงอย่างไร..
การกระทำของผมก็คือการกระทำที่เกินกว่าหน้าที่

แต่สำหรับแม่การกระทำของผมทำให้ท่านเกิดความสงสัยว่าระหว่างผมกับจันทร์มีความรู้สึกต่อกันอย่างไร พอเจอคำถามดังกล่าวผมที่จิตใจกำลังอ่อนไหวก็ไม่อาจปิดกลั้นความรู้สึกที่ยังคงอัดแน่นอยู่ในอกได้อีกต่อไป และขณะที่ทุกเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกไปจนหมดสิ้น ผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลกอย่างแม่ก็เอาแต่นิ่งเงียบจนผมนึกใจเสีย เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าช่องว่างระหว่างวัยของผมกับจันทร์ห่างไกลกันมาก
แต่ในท้ายที่สุดแม่ก็บอกกับผมว่า ..
ถ้าหากจันทร์นอนหลับจนเบื่อแล้ว แต่ภัทรยังร่างกายไม่แข็งแรงจะทำอย่างไร

ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ คำพูดของแม่ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว ผนวกกับสถานการณ์ของจันทร์ที่ผมทราบจากไอ้แนนเมื่อไม่กี่วันก่อน ใจของผมก็ยังคงแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย โดยที่ฝ่ายหนึ่งกำลังคาดหวังในการกลับมา ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังคงย้ำเตือนกับตัวเองเสมอว่าจันทร์เจ็บมามากพอแล้ว และยังมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
ดังนั้นการจะกลับมาใช้ชีวิตบนโลกอันโหดร้ายคงเป็นไปได้ยาก

ฉะนั้นคำพูดที่ผมตอบรับคุณนักเขียนผ่านทางปลายสาย จึงเป็นเพียงแค่คำหลอกลวง เพื่อให้เขาไม่ต้องคอยเป็นกังวลกับเรื่องของผม เพราะเขาเล่นเอาการกลับมาของจันทร์เป็นตัวล่อให้ผมมีกำลังใจในการใช้ชีวิตซะขนาดนั้น
ผมจะไปกล้าบอกความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองได้อย่างไร

“พี่ภัทร นั่งทำอะไรอยู่วะ ดึกแล้วนะเว้ย กลับมานอนเดี๋ยวนี้เลย” ไอ้บาสที่เพิ่งจะตื่นจากการหลับใหลรีบเอ่ยปากบ่นพร้อมกับตรงเข้ามาลากตัวผมให้นอนลงบนเตียงแต่โดยดี จากนั้นมันก็เดินงัวเงียตรงไปยังห้องน้ำ ผมจึงปรายตามองนาฬิกาที่วางตั้งอยู่ไม่ไกล จึงทราบว่าเวลานี้มันปาเข้าไปตั้งเที่ยงคืนกว่าแล้ว
แสดงว่าผมเอาแต่นั่งเหม่อมาตั้ง 5 ชั่วโมงแน่ะ

กระทั่งสายตาสบเข้าอะไรบางอย่างที่เคยวางตั้งอยู่ในห้องทำงาน รอยยิ้มก็ผุดขึ้นตรงมุมปากได้ไม่ยาก เพราะจู่ๆ ผมก็นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น เพียงเพราะ ‘ลูกสนแห้ง’ ที่ใครหลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นแค่ของประดับตกแต่งบ้าน หรือไม่ก็อาจจะมองว่ามันดูไม่มีค่า ไม่มีราคา แต่สำหรับผมมันกลับมีคุณค่าทางจิตใจอย่างที่ไม่อาจจะหาอะไรมาเปรียบได้ เมื่อความสุขจากการทดลองยังคงตราตรึงใจไม่แปรเปลี่ยน
ต่างกันแค่..
ภาพสี่สีของวันวานกลับกลายเป็นภาพสีเทาอันหม่นหมอง..

กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานผมก็ยังนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมานั่งห้อยขาอยู่บนเตียงนอนสำหรับผู้ป่วย ขณะที่ดวงตาก็ทอดมองออกไปข้างนอก ก่อนจะหันกลับมาโฟกัสยังลิ้นชักตรงโต๊ะข้างเตียง จากนั้นมือซ้ายก็เริ่มทำหน้าที่ตามใจอยาก ส่งผลให้ดวงตามองเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ข้างใน ผมจึงเอื้อมไปหยิบสมุดเล่มดังกล่าววางลงบนตักอย่างแผ่วเบา ขณะที่ฝ่ามือก็ลูบไล้หน้าปกที่เป็นรูปวาดของป่าสนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะตัดสินใจเปิด ‘กล่องแห่งความทรงจำ’ ของจันทร์ที่ไอ้บาสเพิ่งจะเอามาให้อย่างเชื่องช้า
ซึ่งเรื่องราวที่เจ้าของบ้านกลางป่าสนบันทึกไว้ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่ผมเองก็ทราบดี ดังนั้นการท่องเที่ยวอยู่ในกล่องแห่งความทรงจำ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากนัก ครั้นเปิดไปยังหน้ากระดาษแผ่นถัดไป อากัปกิริยาของผมก็เริ่มแน่นิ่งเมื่อตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนนั้น กำลังทำหน้าที่ไม่ต่างกับจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆ ทำให้ผมดำดิ่งลงสู่ความรู้สึกนึกคิดของจันทร์

‘ไม้ขีด’
‘ไฟไหม้’
‘จิม’
‘กลัว’

 คีย์เวิร์ดสั้นๆ เพียงสี่คำบนหน้ากระดาษแห่งความทรงจำ ส่งผลให้หัวคิ้วของผมขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่เรื่องราวจากความทรงจำ แต่มันสามารถตีความไปได้อีกทางหนึ่งว่าบางทีจันทร์อาจจะได้ยินเสียงในหัว และจับเอาคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่แต่ละอัตลักษณ์พูดคุยกันมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวจนกระจ่างแจ้ง
ดังนั้นหากสมมุติฐานของผมเป็นจริง
ข้อความในหน้าถัดไปย่อมต้องมีคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับน้องลียากร

‘กระโปรง’
‘เก๊กฮวย’
‘อาโชค’

สำหรับคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับกรณีของ ‘จิม’ ผมยังพอจะหาความเชื่อมโยงที่ทำให้ความทรงจำของจันทร์หวนคืนกลับมาได้ เพราะไม้ขีดไฟย่อมต้องมาคู่กับเปลวไฟ และจันทร์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าในอดีตเคยเกิดเรื่องราวที่ทำให้เจ้าตัวจำต้องปิดกลั้นการรับรู้ จนส่งผลให้อัตลักษณ์ของน้องลีก่อเกิดขึ้น ดังนั้น ‘การจากตาย’ ของน้องสาวฝาแฝดย่อมต้องมีความเชื่อมโยงกับอุบัติเหตุ ‘ไฟไหม้’ มิหนำซ้ำ ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ก็ยังเป็นตัวกระตุ้นและเครื่องยืนยันชั้นดีว่าความทรงจำส่วนแรกที่ขาดหายไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร 
ขณะที่คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับกรณี ‘การล่วงละเมิดทางเพศ’ ที่ออกมาจากปากคำของน้องลียากร ผมยังไม่อาจหาความเชื่อมโยงให้กับความทรงจำของจันทร์ได้ เพราะไม่ว่าจะกระโปรงหรือดอกเก๊กฮวยล้วนแต่เป็นเรื่องที่จันทร์ไม่เคยรับรู้ และถ้าหากจันทร์สามารถจับใจความที่อัตลักษณ์ต่างๆ สื่อสารกันได้ ผมเชื่อว่าเจ้าตัวจะต้องบันทึกทุกถ้อยคำลงในสมุดเล่มนี้อย่างแน่นอน

และเท่าที่ผมจำได้น้องลีมักจะชอบใส่ชุดกระโปรงของน้าเข็ม ออกมาใช้ชีวิตในช่วงกลางคืน แถมยังชอบวิ่งเล่นอยู่ในสวนเก๊กฮวยของที่บ้าน กระทั่งเธอถูกอาแท้ๆ ล่วงละเมิดอย่างทุกข์ทรมาน เด็กสาวคนดังกล่าวจึงคิดหาออกด้วยการหลับใหล จากนั้นจันทร์ก็คือคนที่ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ฉะนั้นเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ย่อมต้องเป็นชุดเดียวกัน เพียงแต่ในขณะนั้นจันทร์ยังจดจำอะไรไม่ได้แล้วจะหาความเชื่อมโยงของชุดกระโปรงได้อย่างไร ดังนั้นทางเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือจันทร์อาจจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองกำลังสวมใส่ชุดกระโปรงเหมือนอย่างที่น้องลียากรเคยเป็น ทั้งคู่จึงไม่เคยระแคะระคายเกี่ยวกับความผิดปกติที่กำลังรายล้อมอยู่รอบตัว

ผมจัดการถ่ายรูปคีย์เวิร์ดที่จันทร์ใช้ประติดประต่อความทรงจำส่งไปทางไลน์ของไอ้แนน จากนั้นก็เอาสมุดเล่มดังกล่าวเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วนั่งใช้ความคิดเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จันทร์กำลังเรียนอยู่ในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ซึ่งในขณะนั้นเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน มักจะชอบเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร โดยข้อมูลดังกล่าวผมทราบมาจากคุณแม่ของเพื่อนไอ้แนนที่เคยสอนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกับ ‘อาโชค’ โดยตอนนั้นท่านชี้แจงเหตุผลว่าการกระทำดังกล่าว อาจเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุไฟไหม้ เพียงแต่ ณ เวลานี้ ผมกำลังตีความได้อีกทางหนึ่งว่าพฤติกรรมเหล่านั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้ทุกคนเริ่มรับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเด็กชายเพียงจันทร์ หรือไม่ใครคนนั้นก็อาจจะเป็นอีกอัตลักษณ์หนึ่งที่จันทร์สร้างขึ้น
ผมจึงไม่รอช้าที่จะทิ้งข้อความไว้ในไลน์ของไอ้แนน

กระทั่งร่างกายกลับมาปกติดีแล้ว ผมจึงเริ่มเดินหน้าเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงาน โดยไม่ลืมจะกินข้าวให้ครบทุกมื้อและยังต้องแสร้งทำเหมือนกับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่ผมบังเอิญเอาใจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของผู้ป่วยอย่างจันทร์มากเกินไป ซึ่งในกรณีแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเรารู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นที่ต้องการ จิตใจก็มักจะผูกติดกับอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
ต่างกันแค่..
กรณีของผม มันคือการมัดปมด้วยเงื่อนตายที่ไม่มีวันแกะออก

“ว่าไงมึง ?” ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง พลางทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย
(กูส่งไฟล์เสียงให้มึงทางไลน์แล้วนะ) ไอ้แนนเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วก็รีบวางสายไป ผมจึงหันกลับมาให้ความสนใจข้อมูลดังกล่าวและไม่รอช้าที่จะกดปุ่มเพลย์

“หนูต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ที่มารบกวนคุณน้าอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”

เสียงเกริ่นนำเพื่อเข้าเรื่องจากเพื่อนสนิท และคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นอดีตคุณครูของจันทร์ดังขึ้นภายในชั่วพริบตา ขณะที่ผมก็อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวไปแต่งตัวให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

“คุณน้าพอจะจำเด็กคนนี้ได้ไหมคะ” หลังจากไอ้แนนเอ่ยถาม ผมก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักอยู่หลายที คาดว่ามันคงจะขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องมาเปิดรูปของจันทร์ให้อีกฝ่ายดู
“เด็กคนนี้ คือคนเดียวกับที่หนูเคยถามน้าเมื่อตอนนั้นนี่”

“ใช่ค่ะ พอดีน้องเป็นคนไข้ของหนูก็เลยอยากจะทราบข้อมูลในช่วงเวลานั้นจากคุณน้า”
“ที่จริงเรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว น้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะช่วยหนูได้มากน้อยแค่ไหน”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า.. คือหนูอยากทราบว่าในตอนนั้นน้องจันทร์มีพฤติกรรมยังไงบ้าง เพราะเท่าที่จำได้คุณน้าเคยบอกกับหนูว่าน้องชอบเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใครใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ แล้วเขาก็ดูซึมเศร้า น้าเลยคิดว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เคยเกิดขึ้น”

“ทำไมคุณน้าถึงมั่นใจว่าพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ล่ะคะ”
“อืม.. การเป็นครูประจำชั้น เราก็ต้องคอยดูแลเอาใจใส่เด็กที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราใช่ไหมล่ะจ้ะ ยิ่งเด็กคนนี้มีพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง น้าก็เลยไปสอบถามที่มาที่ไปกับครูประจำชั้นคนก่อนน่ะจ้ะ” สิ้นคำอธิบายของอดีตครูประจำชั้น ผมก็เริ่มจะอ่านเกมออกมากขึ้น เพราะแต่เดิม ‘อาโชค’ เคยเป็นครูประจำชั้นของจันทร์กับลีตอนช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นตอนที่เกิดเรื่อง เมื่อทั้งคู่เลื่อนชั้นพร้อมกับมีพฤติกรรมซึมเศร้าติดตัว ครูประจำชั้นคนถัดมาจึงต้องไปสอบถามที่มาที่ไปของเด็กคนดังกล่าว โดยบุคคลต้นเรื่องก็ถือโอกาสโบ้ยเรื่องราวทั้งหมดให้พ้นตัว

“แล้วตอนนั้นเนื้อตัวของจันทร์เคยมีร่องรอยแปลกๆ บ้างไหมคะ”
“…”

“รอยจำพวกที่สื่อไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศน่ะค่ะ”
“เท่าที่น้าจำได้ ไม่มีเรื่องแบบนั้นนะ” สิ้นคำตอบผมก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะผมเองก็คาดเดาอยู่แล้วว่าผู้กระทำอย่างไรก็ต้องลงมืออย่างรอบคอบ เนื่องจากตนเองเป็นถึงข้าราชการครู ย่อมต้องทำอะไรให้มันแนบเนียน ยิ่งน้องลีเคยบอกว่าเธอเคยเห็นคุณอากับลูกศิษย์ที่เป็นรุ่นพี่ร่วมรักกันในโรงเรียน ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาจะต้องคอยระมัดระวังมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแล้วลอยนวลอยู่ได้ตั้งนานหรอก อีกอย่างปัจจุบันเขาถูกจับกุมด้วยเรื่องใด ผมเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด เพราะเมื่อลองย้อนกลับมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าหากคนคนนั้นถูกจับด้วยเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศ
แล้วทำไมคุณชลวิทย์ถึงต้องพาจันทร์หนีมาด้วยล่ะ

“แล้วการเรียนของน้องเป็นยังไงบ้างคะ มีปัญหาหรือเปล่า”
“มีปัญหาสุดๆ เลยล่ะ ยิ่งเรื่องการบ้านยิ่งแล้วใหญ่ ผลการสอบก็ไม่ค่อยดี รั้งท้ายประจำ” คำจำกัดความเกี่ยวกับการเรียนของจันทร์ที่ออกมาจากปากของอดีตครูประจำชั้น ยิ่งทำให้ผมมองเห็นภาพของการใช้ชีวิตของผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์ได้อย่างชัดเจน เพราะการออกมาใช้ชีวิตของแต่ละอัตลักษณ์ มักจะทำให้ความทรงจำเกิดความไม่ต่อเนื่องกัน ดังนั้นผู้ป่วยก็ย่อมต้องเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เมื่อเนื้อหาบางคาบตนเองไม่ได้เป็นคนเข้าเรียน

“อืม.. แล้วคุณน้าพอจะจำได้ไหมคะว่าตอนนั้นการบ้านของจันทร์ เคยกลายเป็นชื่อของคนอื่นบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นี่จ้ะ เพราะสมุดการบ้าน เราจะเขียนชื่อบนปกแค่ครั้งเดียว”

“แล้วพวกใบงานล่ะคะ เคยมีชื่อแปลกๆ โผล่มาบ้างหรือเปล่า”
“ชื่อแปลกๆ ไม่เคยมีนะ แต่บางครั้งลายมือของเด็กคนนี้จะแตกต่างกัน” คำตอบอย่างฉะฉานจากบุคคลในไฟล์เสียงทำให้ผมใจเต้นระรัวอย่างคาดหวัง เพราะถ้าหากเราทราบจำนวนลายมือที่แตกต่างกัน เราก็จะได้คำตอบว่าจันทร์มีทั้งหมดกี่อัตลักษณ์

“คุณน้าพอจะจำได้ไหมคะว่าลายมือของจันทร์มีกี่แบบ”
“เรื่องนี้น้าเองก็จำไม่ได้แล้ว ขอโทษจริงๆ นะหนูแนน” สิ้นคำตอบใจที่เคยลิงโลดก็เต้นแผ่วอย่างแสนเสียดาย แต่ผมก็เข้าใจว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ใครจะมานั่งจดจำ อีกอย่างน้องลีก็เคยพูดในทำนองว่าเธอสังเกตเรื่องของจิมจากชื่อที่เขียนอยู่บนปกสมุดการบ้าน แสดงว่าจิมอาจจะขีดชื่อของจันทร์ทิ้ง แต่น้องลีผู้สวมบทบาทเป็นจันทร์ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนั้น

“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า”
“…”

“แล้วบุคลิกของจันทร์ในตอนนั้นมีแค่ด้านซึมเศร้าเพียงอย่างเดียวเหรอคะ”
“เท่าที่น้าเห็นก็มีแค่ด้านนั้นนะ แต่ว่าหลายๆ ครั้ง เด็กคนนี้จะชอบแทนตัวเองว่าหนู” จากคำยืนยันของอดีตครูประจำชั้นทำให้ผมทราบว่าแต่ก่อนน้องลีก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกับจันทร์

“คำแทนตัวอื่นๆ ยังมีอีกไหมคะ”
“ไม่แล้วจ้ะ อืม.. แต่น้ารู้สึกว่าเวลาที่เด็กคนนั้นแทนตัวเองว่าหนู บุคลิกของเขาจะดูนุ่มนวลเหมือนกับเด็กผู้หญิง แต่เวลาแทนตัวเองว่าผมจะดูนุ่มนวลแบบเด็กผู้ชาย จนบางครั้งน้ายังรู้สึกว่าคนที่น้าคุยด้วยไม่ใช่คนคนเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาต่างก็มีพฤติกรรมซึมเศร้าและเก็บตัวเหมือนกัน” คำอธิบายของอดีตครูประจำชั้นทำให้ผมเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าในขณะนั้น จันทร์คงยังไม่ได้สร้างอัตลักษณ์ใดๆ ออกมารองรับความเจ็บปวด เพราะตนเองอาจจะยังรับไหว ดังนั้นเสียงในหัวของผู้หญิงที่จันทร์เคยได้ยินเป็นครั้งแรกอาจจะเป็นเสียงของน้องลียากร เพียงแต่ตอนนั้นจันทร์ยังไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของอัตลักษณ์ดังกล่าวก็เลยทำให้จับใจความหรือสังเกตจุดเด่นของเสียงดังกล่าวไม่ได้

“แล้วพฤติกรรมทำร้ายตัวเองล่ะคะ”
“ไม่เลยจ้ะ”

“แสดงว่าเด็กคนนี้ เรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เลยใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ”

“แล้วคุณน้าพอจะทราบเกี่ยวกับคุณครูที่ชื่อโชคไหมคะ ดูเหมือนว่าตอนนี้ เขาจะถูกจับเข้าซังเตไปแล้ว”


゚゚❀゚゚

[edit 20/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

สำหรับตอนนี้ก็จะเฉลยวิธีคิดและการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ของจันทร์ จนกระทั่งนำไปสู่การฟื้นคืนความทรงจำนะคะ เพราะก็อย่างที่เคยเกริ่นไปตั้งแต่ต้นว่าจันทร์เป็นเด็กฉลาด ดังนั้นการคิดวิเคราะห์ของน้องก็จะเพิ่มระดับไปด้วย แต่จะเห็นได้ชัดว่า ความฉลาดในระดับไอคิวที่เข้าขั้นอัจฉริยะ ก็ย่อมต้องมีปัญหาในเรื่องของการเรียน เพราะตัวเองไม่ได้เรียนเนื้อหาในหลายๆ เรื่อง ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งผลกระทบของตัวโรคที่เห็นได้ชัด แต่ตัวผู้ป่วยจะไม่รับรู้ว่ามันคือเรื่องผิดปกติ ส่วนพี่หมอก็ได้แต่ช่วยแก้ปมต่างๆ อย่างห่างๆ ห่วงๆ เพราะว่าบางเรื่องพี่หมอก็รู้ดีกว่าใคร เพราะเจ้าตัวคลุกคลีอยู่กับจันทร์มานาน และสืบเรื่องของจันทร์มาบ้างแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เคยคิดว่าไม่มีอะไร พี่หมอก็เลยปล่อยผ่าน และไม่ได้บอกกับทีมรักษา และจะเห็นได้ว่าเจ้าตัวมีความขัดแย้งในตัวเอง ระหว่างอยากให้จันทร์กลับมา และไม่อยากให้กลับมา ก็เลยทำให้ความคิดของเจ้าตัวยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของจันทร์ เพียงแต่รักตัวเองมากขึ้นด้วย

ปล. มันอาจจะแลดูยืดๆ หน่อย แต่เราอยากเขียนให้มันดูประติดประต่อ ไม่ข้ามช่วงเวลามากไป และอยากให้ดูสมจริงในหลายๆ ด้านด้วย และตอนหน้ามาไขความลับเกี่ยวกับอาโชคกันต่อค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2019 22:22:39 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สำหรับเราไม่ได้มองว่าเรื่องมันยืดนะคะ ชอบที่คนเขียนใส่ใจรายละเอียดทุกตรงและค่อยๆเป็นค่อยๆไป ชอบมากกว่าเดิมอีกค่ะ เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์กับพี่หมอนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เนื้อเรื่องของนิยายมันเป็นทำนองนี้ ก็ต้องบรรยายแบบนี้แหละครับ คงจะเร็วกว่านี้ไปไม่ได้

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 41

ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่นักโทษคดีข่มขืนกลับติดคุกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น เนื่องจากการพิจารณาคดีอาญาสามารถหยิบยกเหตุบรรเทาโทษ เหตุยกเว้นโทษ ลดหย่อนโทษ เพิ่มโทษ หรือชะลอการลงโทษมาประกอบการพิจารณา
เราจึงมักได้ยินถ้อยคำที่ว่า..
‘เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นสมควรให้ลดโทษได้กึ่งหนึ่ง’

ซึ่งการระวางโทษตามกฎหมายระบุไว้ในมาตรา 276 ว่า ‘ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น’ จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี จนถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 บาท จนถึง 40,000 บาท
แต่ถ้าหากมีการใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด รวมถึงมีการร่วมกระทำความผิดในลักษณะโทรมหญิงหรือชาย จะต้องระวางโทษจำคุกตามมาตรา 276 วรรคที่ 3 ตั้งแต่ 15 ปี จนถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 30,000 บาท จนถึง 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต และในกรณีที่ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส จะต้องถูกระวางโทษเทียบเท่ากับมาตรา 276 ในวรรคที่ 3 ส่วนกรณีที่เหยื่อเสียชีวิตจะต้องถูกระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา 277 ทวิ

โดยนายโชคพ้นสภาพการเป็นข้าราชการครูตั้งแต่ปี 2558 ด้วยสาเหตุข่มขืนกระทำชำเราเด็กชายอายุไม่เกิน 15 ปี จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิต มิหนำซ้ำเรื่องราวอันน่าอับอายยังเกิดขึ้นที่โรงเรียนเสียด้วย จึงทำให้ช่วงเวลานั้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวอย่างมากมาย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้ชายคนนี้คงกำลังชดใช้กรรมอยู่ในคุกตามที่ป้าเข็มยืนยัน เพราะการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยที่เด็กคนนั้นไม่ใช่ภรรยา แม้จะยินยอมแต่ก็ยังถือเป็นความผิดที่ต้องรับโทษ ยิ่งมีความสัมพันธ์กับเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี โทษก็จะยิ่งหนักขึ้นจนถึงขั้นต้องจำคุกตลอดชีวิต
ซึ่งข่าวของนายโชค ผมเองก็เคยได้ยินแบบผ่านๆ และคดีในลักษณะนี้ก็มีอยู่มากในสังคมไทย ผมจึงไม่ได้จดจำว่าผู้ต้องหามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร จนกระทั่งคุณแม่ของเพื่อนไอ้แนนพูดถึงข่าวดังกล่าว ผมถึงได้ไปหาอ่านเพิ่มเติม
จนได้รู้ว่าผู้ต้องหารายนั้นใช้นามสกุลเดียวกับจันทร์

ดังนั้นกรณีของจันทร์ที่ไม่มีแม้แต่หลักฐานจะไปเอาผิด ย่อมสืบสาวราวเรื่องได้ยาก อีกทั้งผู้กระทำผิดก็ได้รับผลของการกระทำไปแล้ว เพียงแต่การรับผลไม่ได้มาจากคดีของจันทร์
พอคิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่าทำไมป้าเข็มถึงเลือกให้คุณชลวิทย์พาจันทร์หลบหนี ผมจึงเริ่มวิเคราะห์ตั้งแต่สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้นที่ยึดถืออาชีพชาวสวนเป็นหลัก รายได้อาจจะไม่คงที่ ส่วนอาชีพครูถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แม้เงินเดือนจะไม่มากมายนัก แต่ก็มั่นคงพอจะใช้ประมาณค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำ เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายหลายๆ อย่างอาจจะต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากนายโชค
สถานการณ์จึงบีบบังคับให้ป้าเข็มจำต้องปิดปากเงียบ

‘หดหู่’ เป็นคำนิยามเดียวที่ผมมีให้กับเรื่องราวทั้งหมด และมันก็ทำให้ผมค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลอันมืดมิด ซึ่งเปรียบเสมือนความรู้สึกของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน และเวลานี้ผมก็สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ว่าเพราะเหตุใดการได้พบเจอกับผมถึงเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดสำหรับจันทร์
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา..
มีเพียงแค่ผมที่ไม่เคยมองข้ามความรู้สึกของอีกฝ่าย

แต่จันทร์คงไม่รู้ว่าผมก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีความเห็นแก่ตัว เพราะทุกครั้งที่ผมใช้ปากกาขีดฆ่าวันที่ในปฏิทิน จากเดือนมกราเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤษภา ผมก็ยิ่งเข้าใจว่าแท้ที่จริง ตนเองกำลังคาดหวังต่อการกลับมาของจันทร์มากมายแค่ไหน และคำพูดที่ผมเคยบอกกับคุณพีรวัตรก็แปลความหมายได้ว่า..
ลึกๆ ในใจ ผมมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว

เพียงแต่ผมกำลังหวาดกลัวว่าภาพลักษณ์ของผมในมุมมองของจันทร์ถึงคราวจะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะผมยังคงอยากจะเป็นภาพวาดที่สวยงามที่สุด
ตั้งแต่วินาทีแรกจวบจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
ความรู้สึกข้างในจึงค่อนข้างขัดแย้งกันตลอดเวลา 

“ตอนเย็นหลังเลิกงาน ขึ้นไปเจอกันบนดาดฟ้าหน่อยดิ”
“อ่อ.. อืม” ผมนั่งเหม่อจนทำให้ไม่ได้ยินคำชักชวนของเพื่อนสาวคนสนิท มันเลยต้องสะกิดเรียกพร้อมกับพูดย้ำขึ้นมาอีกรอบกลางโต๊ะอาหารในช่วงพักเที่ยง

กระทั่งเวลานัดหมายเดินทางมาถึง ผมก็จำต้องวางมือจากงานที่ยังคงคั่งค้าง แต่พอเดินขึ้นไปบนดาดฟ้ากลับไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใด ผมจึงก้าวเดินไปยังเก้าอี้ม้านั่งยาวที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้
และความเงียบสงัดก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า..
สถานที่แห่งนี้ ไม่ต่างกับห้องส่วนตัวสักเท่าไหร่

“มาช้าจังวะ..” ผมรีบบ่นทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก เพราะเวลาแบบนี้เป็นเวลาของการวางแผนการรักษา รวมถึงเคลียร์เอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย แต่พอดวงตาสบเข้ากับใครบางคนที่ไม่ใช่เจ้าของนัดหมาย
สุ้มเสียงและคำพูดถึงคราวต้องอันตรธานหายไป

“จันทร์ขออนุญาตด็อกเตอร์เพื่อมาเจอกับพี่ภัทร” เป็นเวลากว่าหลายนาทีที่ดวงตาของเราจะผละจากกัน และจันทร์ก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“อ่อ” ขณะที่ผมยังคงประหยัดคำพูด หากแต่ในใจกำลังสั่นระรัวอย่างแรงกล้า แต่เพราะความดีใจมันจุกอก ผมก็เลยวางตัวไม่ค่อยถูก

“จันทร์คิดอยู่นานว่าจันทร์ควรจะกลับมาใช้ชีวิตต่อไปดีไหม กลับมาแล้วจะคุ้มค่าหรือเปล่า แล้วความสุขมันมีอยู่จริงๆ ใช่ไหม คำถามมากมายเต็มหัวของจันทร์ไปหมด เพราะว่ามันมีทั้งความหวาดกลัว ความไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่มั่นใจในหลายๆ เรื่อง” จันทร์กล่าวขณะที่ดวงตากำลังมองจ้องไปยังแผ่นฟ้าตรงหน้า ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งเงียบและมองจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่ง
“…”

“แต่พี่พีบอกกับจันทร์ว่า..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนที่หลายเดือนมานี้ ผมทำได้เพียงลอบมองผ่านช่องกระจกตรงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่สองสามที ราวกับว่าน้ำตาของอีกฝ่ายกำลังจะไหลริน จึงทำให้ระบบทางเดินหายใจเริ่มจะติดขัด
“…”

“ถ้าหากจันทร์หนี จันทร์ก็จะจมอยู่กับความทรงจำพวกนั้น แต่ถ้าหากจันทร์สู้ ความทรงจำพวกนั้นก็จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต และทั้งสองทางเลือกมันก็ยากสำหรับจันทร์”
“…”

“แต่พอความคิดเริ่มตกผลึก จันทร์ก็รู้สึกว่าในความโหดร้ายยังมีความโชคดีซุกซ่อนอยู่ เพราะอย่างน้อยจันทร์ก็ยังได้รับความรักจากพี่ภัทร และคุณหมอก็พร้อมจะช่วยจันทร์หาทางออก คำตอบของคำถามที่เคยผุดขึ้นในหัว ก็เลยค่อยๆ ชัดเจนขึ้นว่าที่จริงแล้ว โลกไม่ได้มีเพียงด้านที่โหดร้าย..”
“…” หลังฟังเรื่องเล่าจากคนคุ้นเคย ผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ที่จันทร์เคยพูดว่าความอบอุ่นของพี่ภัทร ไม่สามารถรั้งจันทร์เอาไว้ได้ ที่จริงมันคงเป็นความรู้สึกชั่ววูบ เพราะอะไรหลายๆ อย่าง มันประเดประดังเข้ามาจนจันทร์รู้สึกรับไม่ไหว ก็เลยอยากจะหายตัวไปทุกอย่างจะได้จบ วันนั้นจันทร์เลยเผลอทำร้ายพี่ภัทรอย่างเห็นแก่ตัว..” จันทร์กล่าวพลางหันมามองหน้ากันด้วยแววตาฉ่ำน้ำ ขณะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวก็พยายามเม้มแน่น เพราะคนตรงหน้าคงไม่อยากเสียน้ำตาในเวลานี้
“ไม่เป็นไร.. พี่เข้าใจและพี่ก็ไม่เคยโกรธหรือตัดพ้อใดๆ” ผมกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบข้างแก้มของอีกฝ่ายจนทำให้น้ำตาของเจ้าตัวไหลรินลงมาได้ไม่ยาก

“พี่ภัทรรู้ไหม ความรู้สึกของการถูกรักทำให้จันทร์มีความสุขมาก เพราะในชีวิตของจันทร์แทบไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น” จันทร์เลื่อนฝ่ามือของผมไปกอบกุมไว้บนตัก พร้อมกับบอกเล่าความรู้สึกของตัวเอง ทั้งน้ำตาที่ยังคงอาบแก้ม
“…” ผมส่งยิ้มให้กับคนข้างกาย แม้ว่าเจ้าตัวจะมองไม่เห็น พลางกระชับฝ่ามือข้างที่อีกฝ่ายกอบกุมไว้ให้แน่นขึ้น

“จันทร์ขอเป็นดอกเนโมฟีลาในแจกันอีกครั้งได้หรือเปล่าครับ ?” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนเอ่ยถามพลางยกฝ่ามือข้างที่ว่างเช็ดน้ำตาป้อยๆ พร้อมกับใช้สายตาช้อนมองมายังผมอย่างขอความเห็นใจ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ผมเอ่ยตอบพลางรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบอก ขณะที่หัวใจก็เต้นรัวอย่างมีชีวิตชีวา

“จันทร์รักพี่ภัทร”
“พี่รักจันทร์นะ”

สิ้นคำพูดที่เปล่งออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน เราต่างก็ส่งเสียงหัวเราะทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่มันเป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมาย
แต่ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าช่วงเวลาที่ต้องห่างเหิน ทำให้เราต่างก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พูดคำคำนี้ออกไป

“จันทร์ขอโทษนะครับที่ทำให้พี่ภัทรถูกทำโทษแล้วยังทำให้คิดมากอีก” เมื่อผละออกจากกันแล้ว จันทร์ก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“เรื่องนั้น.. จันทร์ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก เพราะพี่ก็ทำเกินกว่าหน้าที่จริงๆ แถมเคสแบบนั้นพี่ไม่ได้เพิ่งเจอเป็นครั้งแรก” ผมอธิบายพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ต่อไป เราคงเจอกันยากแล้วเนอะ”
“…” ผมส่งยิ้มไปให้จันทร์แทนคำตอบ เพราะในตอนนี้เราต่างก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากทีมรักษาสักเท่าไหร่ แต่การที่เราได้มาเจอกันในวันนี้ มันอาจจะเป็นเงื่อนไขของจันทร์ โดยที่ด็อกเตอร์ก็ได้หยิบยื่นเงื่อนไขของตนเองด้วยเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้นไอ้แนนคงไม่ต้องไปยืนหลบมุมอยู่ตรงปากประตูทางเข้าสวนสาธารณะบนดาดฟ้าแบบนี้หรอก

“หกโมงเย็น จันทร์มายืนรอพี่ตรงข้างหน้าต่างสิ” ผมเสนอพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่เข้าท่าที่สุด เพราะผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่หากเลือกที่จะพบเจอกันผ่านบานกระจกแคบๆ ตรงหน้าประตู หัวโขนคงไม่มีทางถอดออกได้ มิหนำซ้ำจะยิ่งถูกเพ่งเล็งเสียเปล่าๆ
“ครับ” สิ้นคำตอบรับเราต่างก็นั่งมองแผ่นฟ้าสีทองอร่ามท่ามกลางความเงียบสงบที่คละเคล้าไปด้วยความอุ่นใจ ผมจึงถือโอกาสเลื่อนฝ่ามือของตัวเองทาบทับลงบนฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ผละจากกันไปนานแล้ว ขณะที่มืออีกข้างก็ส่งไลน์ไปสอบถามไอ้แนนว่าเราสามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนพระอาทิตย์ตกดินได้หรือเปล่า กระทั่งได้รับคำตอบที่พึงพอใจ เราทั้งคู่ต่างก็ปล่อยให้เวลาผันผ่านไป จนดวงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้า

“คุณหมอบอกกับจันทร์ว่าเดือนหน้าจะเริ่มหลอมรวมอัตลักษณ์ เพราะตอนนี้พวกเขาค้นพบตัวตนทั้งหมดของจันทร์แล้ว พี่ภัทรคงยังไม่รู้ว่าจันทร์มีแค่ 4 อัตลักษณ์ ส่วนเสียงผู้หญิงที่จันทร์เคยบอกว่ามีสองเสียง จริงๆ เสียงนั้นเป็นเสียงของน้องลี แต่ว่าจันทร์ได้ยินไม่ชัดก็เลยเข้าใจผิดไป”
“…”

“ช่วงเวลาที่จันทร์อายุ 5-7 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบสำหรับจันทร์ อาจเพราะลียังไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่หลังจากนั้น.. ความสงบที่เคยมีก็ถูกพรากจากไป และแผลนี่.. ก็มีฝีมือของจันทร์รวมอยู่ด้วย” จันทร์กล่าวพลางลูบไล้บาดแผลตรงข้อมือของตัวเองที่ตอนแรกผมเข้าใจว่าเจ้าของผลงานคือกรวินท์ แต่หลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น ผมก็ทราบดีว่าสิ่งที่ตนเองคิดไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด
“แต่หลังจากนี้พี่จะเติมเต็มความสงบ ความอบอุ่น ความรัก และความสุขที่จันทร์โหยหามากเท่าที่จันทร์ต้องการ..” ผมกล่าวอย่างหนักแน่นพร้อมกับกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา

“ถ้าหากจันทร์เป็นแก้วใบใหญ่ที่มีความจุมากจนเกินพอดี พี่ภัทรจะเติมน้ำลงในแก้วใบนั้นจนเหนื่อยใจไปก่อนหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก เรารู้จักกันตั้งปีหนึ่งแล้วนะ ถ้าหากพี่เหนื่อยใจกับเรื่องของจันทร์จริงๆ พี่คงถอดใจไปนานแล้ว ส่วนครั้งนั้นที่พี่ปล่อยจันทร์ไป ไม่ใช่ว่าพี่เหนื่อยใจ แต่มันเป็นเพราะพี่ไม่อยากให้จันทร์เจ็บปวด” ผมอธิบายด้วยความรู้สึกอันจริงใจของตัวเอง อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับอีกฝ่ายไปในตัว เพราะผมรับรู้ได้ถึงกระแสความเจ็บปวดจากใบหน้าของจันทร์ เนื่องจากเรื่องราวต่างๆ ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจ เพียงแค่กวนตะกอนให้ขุ่น มันก็พร้อมจะคละคลุ้งได้ง่ายๆ ซึ่งความเปราะบางนี้คงจะอยู่ในสายตาของด็อกเตอร์ เขาถึงได้พูดคุยกับจันทร์ด้วยเหตุผล ว่าหลังจากนี้เราทั้งคู่ไม่อาจจะอยู่ใกล้ชิดได้แบบวันวาน
เพราะมันย่อมเสี่ยงที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม

“พี่ภัทรอยู่คุยกับพี่พีสักหน่อยได้ไหมครับ เพราะหลังจากนี้ อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“อื้ม ได้สิ” ผมหันไปมองอีกฝ่ายทันทีที่ฟังคำถามจบ จึงยอมตกปากรับคำออกไป แม้ในใจยังคงอยากจะยืดเวลาของเราให้นานกว่านี้ แต่คุณนักเขียนก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผม และเขาก็มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการรักษา ดังนั้นผมก็ต้องถือโอกาสขอบคุณเขาสักหน่อย

จันทร์ใช้เวลาเจรจากับคุณพีรวัตรอยู่นานกว่าที่เจ้าตัวจะยอมออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ คงเพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของผมดี แต่จันทร์ก็หวังดีกับเขาเลยยอมสละช่วงเวลาอันมีค่าให้กับคนที่คอยพูดเตือนสติ อีกทั้งยังช่วยประคับประคองชีวิตให้เดินต่อไปได้จนตลอดรอดฝั่ง

“อันที่จริง ผมไม่ได้ตั้งใจจะขโมยเวลาของคุณกับจันทร์เลย” เขากล่าวเปิดประเด็น พลางนั่งไขว้ขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“เขาคงอยากจะตอบแทนคุณล่ะมั้ง อีกอย่างเราสองคนก็ถือว่าสนิทกันที่สุด”

“แต่กว่าจะถึงคิวของผมคงอีกนาน เพราะด็อกเตอร์จะเริ่มรวบรวมอัตลักษณ์ของจิมกับลียากรก่อน” ผมพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะขั้นแรกด็อกเตอร์จะเลือกอัตลักษณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน จากนั้นก็เป็นคิวของกรวินท์ และปิดท้ายด้วยคุณนักเขียน
“ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่าง..” ผมกล่าวพลางมองจ้องอีกฝ่ายอย่างจริงใจ ส่งผลให้พวงแก้มของเขาแดงปลั่ง

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก เพราะสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรแอบแฝง”
“ยังไงครับ ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัยและไม่วายจะส่งยิ้มขำกลับไป

“ผมหวังให้คุณไม่มีวันลืมผม” สิ้นคำกล่าวของเขา ผมก็หุบยิ้มลงเล็กน้อย แต่แล้วก็ส่งยิ้มกลับไปให้คนข้างๆ อีกครั้ง เพราะผมเข้าใจความรู้สึกของเขาดี และไม่เคยลืมว่าเขารู้สึกกับผมแบบไหน
“ผมไม่ลืมคุณหรอก” ผมกล่าวสำทับและก็หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าผมไม่สามารถลืมเขาได้ในสถานะใด

“ผมก็จะไม่ลืมคุณเหมือนกัน เพราะคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุด และก็เป็น..” คุณพีรวัตรกล่าวเพียงแค่นั้น แล้วเขาก็เงียบไป คล้ายกับเจ้าตัวรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดไม่เหมาะสมนัก และผมก็ไม่คิดที่จะถามย้ำ เพราะท้ายที่สุดถึงผมจะล่วงรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกเดียวกันกับเขาได้
“…” 

“ผมยังมีความลับหนึ่งอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอกคุณ..”
“…”

“ที่จริงแล้ว.. คนที่คุณเคยโอบกอดไม่ได้มีแค่จันทร์”



゚゚❀゚゚

edit คำตก 20/09/2018
[edit 21/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

บทความที่เกี่ยวข้อง
- บทลงโทษคดีข่มขืน ตามกฎหมายระบุไว้อย่างไร
https://hilight.kapook.com/view/139192
- อัตราโทษข่มขืน
https://goo.gl/gXpDxj

ตอนนี้มาเร็ว จนหลายคนอาจจะตกใจ ว่าคนเขียนมันฟิตหนักมาก แถมยังพาน้องจันทร์กลับมาด้วย 555 เราไม่รู้ว่ามันจะดูเร็วไปมั้ย กับการกลับมาของจันทร์ แต่การได้รับความช่วยเหลือจากคุณนักเขียน ที่ถือได้ว่าเป็นมือขวาของด็อกเตอร์ มันก็แลจะเป็นตัวช่วยชั้นดี ที่ทำให้จันทร์มองเห็นด้านที่ตัวเองเผลอมองข้ามไป หลังจากนี้ ก็เอาใจช่วยน้องจันทร์กันต่อไปค่ะ ใกล้จะโค้งสุดท้ายแล้ว ส่วนประเด็นของอาโชค ก็คงต้องปิดลงแค่นี้ เพราะว่ารูปคดี คนนอกคงจะไม่มีสิทธิ์รู้ และพี่หมอก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของป้าเข็ม ที่ก็บอบช้ำไม่ต่างกับจันทร์ ส่วนทามไลน์ความทรงจำของจันทร์ ตอนนี้น่าจะกระจ่างแล้ว ส่วนเรื่องที่จันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์ เอาไว้มาเฉลยในตอนถัดๆ ไป แต่ถ้าใครยังไม่เคลียร์ ก็คอมเมนต์ได้นะคะ เผื่อเราจะพิจารณาอีกที ว่าควรจะอธิบายลงไปในเรื่องในทำนองไหนดี

ปล. ตอนนี้ข้ามทีนึง 5 เดือนเลย คงไม่เร็วไปเนอะ ตอนหน้าๆ อาจจะเจอเปิดว๊าบมากกว่านี้ก็ได้ เพราะพี่หมอกลายเป็นคนนอกทีมไปแล้ว ก็เลยเปิดว๊าบได้เยอะหน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2019 13:18:53 โดย Chomin »

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
อัพแล้วววว รอบนี้ได้อ่านสองตอนติดเลย เราว่าเรื่องราวไม่ยืดนะคะเพราะดีเทลเยอะมากๆในการทำความเข้าใจต่างๆ ต้องอาศัยคำบรรยายของนักเขียนที่มากพอ เพราะไม่งั้นจะเกิดอาการงงได้ตอนที่อ่านต่อๆไป

สองตอนนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย แต่ก็ยังไม่สุด ดีใจมากๆที่หมอมีความสุขแล้วที่น้องกลับมา น้องจะต้องเข้มแข็งน้าาาา  ส่วนความลับที่พีจะบอกหมอจะคืออะไรหนอออออ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เก็บรายละเอียดดีจริงๆ
สรุป มี NC นักเขียนกับพี่หมอหน้า Mac Book ไหมเนี่ย... รออยู่ >///<

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เง้อออออออ พี่รวัตรก็คงจะชอบพี่หมอใช่มั้ยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จิ้นคุณนักเขียนกับคุณหมอเหมือนกันค่ะ แต่พลังติ่งน้องจันทร์มีเยอะกว่า เอาใจช่วยน้องให้รวมทุกอัตลักษณ์ได้นะคะ จะได้เป็นน้องจันทร์ที่สมบูรณ์แบบ  :mew1:

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
อึ้งตรงประโยคสุดท้าย เค้าไปโอบกอดกันมาเมื่อไหร่ โอ้ยๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 42

คำพูดทิ้งท้ายอันเป็นความลับของคุณพีรวัตร ทำให้ผมต้องขบคิดอยู่หลายตลบว่าตอนที่นอนอยู่โรงพยาบาล ตัวผมเคยมีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวกับทุกๆ อัตลักษณ์หรือไม่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือคำว่า ‘ไม่แน่ใจ’
เพราะถ้าหากอัตลักษณ์อื่นๆ ขโมยเวลานอนของจันทร์ไป แสดงว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาอาจจะตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของผม และปฏิกิริยาของพวกเขาก็น่าจะเป็นการผลักไส
เหตุเพราะพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับผม
ส่วนคุณพีรวัตร ผมพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องสวมรอยเป็นจันทร์

“ให้ตายเถอะ อุปสรรคเยอะแยะจังวะ” หลังจากยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างรอบุคคลที่เป็นเจ้าของนัดหมายในช่วงเวลาหกโมงเย็น จู่ๆ สายฝนก็โปรยปรายลงมาเสียอย่างนั้น สมกับเป็นเดือนแห่งฤดูฝนจริงๆ จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเลือกจะต่อรองเวลาแห่งการรอคอยออกไปอีกหน่อย 

กระทั่งฝนเม็ดใหญ่เริ่มเทกระหน่ำ ผมก็จำต้องอาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นแหล่งพักพิง ขณะที่ดวงตาก็จ้องมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่เงาของใครบางคน ซึ่งผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าหากจันทร์ไม่ทำตามคำสัญญา
ก็แปลได้ว่า..
ช่วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่จันทร์เป็นผู้ควบคุมจิตวิญญาณ

ผมก้มลงมองเข็มนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาหกโมงครึ่ง ก่อนจะอมยิ้มตรงมุมปาก เมื่อนัดครั้งแรกของเราท้ายที่สุดก็พังลงไม่เป็นท่า แต่ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้จันทร์อาจจะมีโอกาสออกมาใช้ชีวิต และทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้
กระทั่งท้องฟ้ามืดสนิทไร้สายฝนโปรยปราย ผมถึงค่อยก้าวเดินออกจากบริเวณดังกล่าว และมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ เพื่อเดินทางกลับไปกินข้าวที่บ้าน จากนั้นก็จะได้อาบน้ำนอน

แต่พอขังตัวเองไว้ท่ามกลางความเงียบในห้องนอน ความกังวลต่างๆ ก็ไหลบ่าเข้ามาไม่ยั้ง เพราะผมเองก็ทราบดีว่า ‘อดีต’ ของจันทร์ไม่ง่ายที่จะปลดปล่อยให้กลายเป็นเพียงภาพสีชาในความทรงจำ
“ไอ้ภัทร มึงชักจะคิดมากเกินไปแล้ว” ท้ายที่สุดผมก็อดบ่นตัวเองไม่ได้ เมื่อความคิดมันเริ่มเตลิดไปยังมุมมองที่ว่าอีกฝ่ายคงกำลังท้อถอยกับชะตาชีวิต จึงเลือกใช้วิธี ‘หลับตา’ เป็นทางออกเลยผิดสัญญาที่เคยมีให้กัน
และกว่าผมจะโล่งใจ
ก็ตอนที่ได้เห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่ตรงหลังกระจกบานนั้น

“ไอ้แนน” ผมเอ่ยเรียกระหว่างที่เรากำลังทานมื้อกลางวันประทังชีวิต
“ทำไมหน้าเครียดจังวะมึง เป็นอะไร ?” ทันทีที่ไอ้แนนย้อนถาม ไอ้ญาติผู้น้องที่กำลังโซ้ยมื้อกลางวันอย่างเอร็ดอร่อยก็ถึงกับเงยหน้ามองผมอย่างรวดเร็ว

“เรื่องจันทร์ล่ะสิ” ไอ้บาสเฉลยอย่างรู้ใจ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง หลังเลิกงานผมก็มักจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน
“อืม ทั้งชีวิตกูตอนนี้ก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวที่ยังไม่หมดห่วง เมื่อวานจันทร์ผิดสัญญา แต่กูก็เข้าใจว่าอาการของโรคที่จันทร์เป็นมันกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไม่ได้ แต่พออยู่เงียบๆ คนเดียว ใจกูแม่งฟุ้งซ่านเกินไปจริงๆ ว่ะ  กูขอร้องมึงนะ ถ้าเกิดว่าจันทร์แบกรับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไม่ไหวจริงๆ มึงช่วยส่งสัญญาณบอกกูที กูจะได้ทำใจ” ผมขอร้องไอ้แนนอย่างอดรนทนไม่ไหว เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจของผมตลอดเวลา
และผมก็ไม่อยากจะมานอนคิดมากหรือว่าคิดไปเองแบบเมื่อวาน

“โอเค ถ้าเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ กูจะรีบส่งข่าวหามึงทันที” ไอ้แนนให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น จนผมเริ่มสบายใจมากขึ้น เพราะอย่างน้อย ผมก็ยังสามารถปลอบใจตัวเองได้อย่างมั่นใจว่าที่จันทร์ผิดสัญญาเป็นผลพวงมาจากอาการของโรคหลายอัตลักษณ์
ซึ่งเหตุผลดังกล่าว ผมคงได้หยิบยกมาปลอบใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
เพราะโดยธรรมชาติการสลับตัวอย่างกะทันหันมักจะเกิดขึ้นเหนือการควบคุม

หลังจากวันนั้นจันทร์ก็รักษาสัญญาระหว่างเราอยู่หลายครั้ง โดยที่บางวัน ‘เวลา’ ของอีกฝ่ายก็มักจะถูกอัตลักษณ์ต่างๆ ขโมยไป ผมจึงทำได้แค่เพียงแหงนหน้ามองหน้าต่างบานนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะยอมล่าถอยเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท และมันก็เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเดือนมิถุนายนมาเยือน ซึ่งเดือนนี้ถือเป็นเดือนที่จันทร์จะเริ่มต้นโปรแกรมการรวบรวมอัตลักษณ์อย่างจริงจัง
ผมจึงทำได้แค่เพียงเอาใจช่วยแบบห่างๆ อย่างห่วงๆ

“อีกตั้งหลายชั่วโมงแน่ะ เอาไงดีวะ” ผมบ่นอุบหลังจากปฏิบัติงานในช่วงเช้าวันเสาร์จนเรียบร้อยแล้ว คนที่ไม่ต้องเข้าเวรอย่างผมก็เริ่มคำนวณเวลาว่าควรจะออกไปผ่อนคลายที่ไหนสักแห่ง หรือจะนั่งทำงานอุดอู้อยู่ในห้อง
“พักสักหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ” ไม่นานผมก็สรุปคำตอบให้กับตัวเอง พร้อมมีจุดมุ่งหมายเป็นหอศิลป์ที่ทางโรงพยาบาลนำผลงานของผู้ป่วยไปจัดแสดง
ซึ่งก็ถือเป็นรายได้อีกทางหนึ่งให้กับพวกเขาเหล่านั้น

แต่ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางตามที่ตั้งใจไว้ ผมคงต้องหาอะไรรองท้องสักหน่อย ซึ่งร้านที่ผมถือโอกาสไปฝากท้องก็เป็นร้านที่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่ผมจบมา เลยพาลให้บรรยากาศเก่าๆ เริ่มไหลบ่าเข้ามาในความคิด
จนกระทั่งความคิดเริ่มหลุดลอยไปถึงอนาคตของใครบางคน โดยที่ภาพฝันดังกล่าวกลับหนีไม่พ้น ภาพของจันทร์ในคราบของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นเมื่อไหร่ เพราะการรักษาโรคหลายอัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากผู้รักษาและผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีความอดทนอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าจันทร์จะไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน

เมื่ออิ่มท้องสถานีถัดไปก็คือหอศิลป์ ซึ่งบรรยากาศด้านในค่อนข้างจะเงียบสงบ มิหนำซ้ำแสงไฟสีเหลืองนวลก็ยังเสริมสร้างความอบอุ่นให้กับบริเวณดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม ผมจึงถือโอกาสเดินชมผลงานของศิลปินผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศไปจนถึงศิลปินหน้าใหม่อย่างเชื่องช้า
ราวกับต้องการจะละเลียดมุมมองต่างๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นต้องการจะสื่อ

กระทั่งภาพศิลป์จากฝีมือของผู้ป่วยโรคจิตเวชปรากฏอยู่ตรงหน้า สายตาของผมก็เบนไปอ่านข้อมูลของภาพดังกล่าว จึงทราบว่าภาพนั้นมีชื่อคอนเซ็ปอันเรียบหรูว่า ‘ไกลเกินเอื้อม แต่ไม่ไกลเกินฝัน’
และผู้สร้างสรรค์ผลงานดังกล่าวก็คือ ‘กรวินท์’

ผลงานนั้นเป็นเรื่องราวของกระต่ายตัวน้อยที่กำลังเฝ้ามองพระจันทร์ดวงโตอย่างอ้างว้างท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีขาว ซึ่งโทนสีที่ใช้ล้วนแต่เป็นโทนที่สามารถผสมผสานความหม่นหมองจากเบื้องลึกของจิตใจได้อย่างลงตัว อาจเพราะกรเลือกใช้สีน้ำเงินเข้มที่ไม่ต่างกับยามราตรีอันมืดมิด ระบายลงบนพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่เปรียบเสมือนท้องฟ้า
ขณะที่ดวงจันทร์อันโดดเด่นกลับถูกแต่งแต้มด้วยสีเหลืองอร่าม ส่วนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังยืนหันหน้าเข้าหาพระจันทร์กลับถูกระบายด้วยสีน้ำตาลเข้มที่ค่อยๆ แผ่กระจายความรู้สึกอันว้าเหว่ของผู้วาดได้เป็นอย่างดี เพราะทุ่งดอกไม้สีขาวละลานตาไม่อาจกลบเกลื่อนความหมองหม่นได้อย่างหมดจด

เนื่องจากความหมายของภาพสื่อให้เห็นว่ากรรู้สึกไร้หลักยึดมากมายแค่ไหน ซึ่งพระจันทร์อันสว่างสดใสคงจะหนีไม่พ้นภาพแทนตัวของคุณชลวิทย์ และชื่อผลงานที่เขาตั้งก็บ่งบอกได้ดีว่าการที่กรวินท์ยินยอมให้ความร่วมมือในการรักษา ก็เพื่อที่จะลบล้างอัตลักษณ์ของตนเอง และมันก็แปลได้ว่าเขาไม่ต้องการจะใช้ชีวิตในสถานะของ ‘กรวินท์’ บนโลกใบนี้อีกต่อไป ดังนั้นการรักษาย่อมเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาผู้ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้ากระต่ายตัวนั้น กลายเป็นกระต่ายที่อยู่บนดวงจันทร์ที่เขาทั้งรักและผูกพัน
ส่วนความฝัน..
บางทีมันอาจจะไม่สำคัญเท่ากับภาพอนาคตที่เขาวาดไว้

กระทั่งวันเวลาของการรักษาดำเนินต่อไปจนครบหนึ่งปีเต็ม ผมก็ยังคงทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดวงจันทร์ผ่านทางหน้าต่างบานเดิม ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นกระต่ายที่อยู่ในภาพวาดของกรวินท์ ที่ทำได้แค่แหงนหน้ามองดวงจันทร์อันสว่างสดใสและยังไกลเกินเอื้อม หากแต่ไม่ไกลเกินฝัน เพราะผมยังคงเชื่อมั่นในตัวจันทร์ไม่เปลี่ยนแปลง และในเดือนกันยายนนี้ก็ทำให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับความฝันของกรวินท์มากขึ้น เนื่องจากตอนเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลประจำสัปดาห์ มีการพูดถึงการส่งผลงานของอีกฝ่ายเข้าประกวด ซึ่งผลงานดังกล่าวเป็นความตั้งใจเดิมที่เขาเคยวางแผนร่วมกับคุณชลวิทย์
ที่ว่าด้วยเรื่องของ ‘นิทาน’ สำหรับเด็ก

“ดูเหมือนจันทร์กำลังเครียด แล้วก็เบื่อโรงพยาบาลแบบสุดๆ เลยหาเรื่องอยากจะกลับบ้านกลางป่าสน” ไอ้แนนเปิดประเด็นท่ามกลางมื้อกลางวันเหมือนอย่างเคย ซึ่งผมก็ไม่นึกแปลกใจอะไร ในเมื่อผู้ป่วยทุกคนไม่ใช่นักโทษ หากอาการอยู่ในขั้นที่น่าไว้วางใจ ช่วงเทศกาลทางโรงพยาบาลก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ประมาณ 2-3 วัน
“การรักษามีปัญหาเหรอวะ ?” ผมเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

“ไม่เชิงว่ะ”
“…” ผมเลิกคิ้วส่งสัญญาณให้ไอ้แนนพูดต่อ เมื่อจู่ๆ มันก็ดันไม่ยอมขยายความเสียอย่างนั้น

“ตอนนี้การหลอมรวมอัตลักษณ์ของน้องจิมกับน้องลียากรไม่มีปัญหาอะไร แต่การหลอมรวมอัตลักษณ์ของกรวินท์คือสิ่งที่จันทร์เป็นกังวล”
“ทำไมวะพี่ ?” ไอ้บาสย้อนถามอย่างสนใจ ขณะที่ผมก็รู้สึกยินดีกับความสำเร็จอันเป็นก้าวแรกของจันทร์ เพราะเมื่อลองนับๆ วันเวลาดูแล้ว โปรแกรมการหลอมรวมขั้นต้นใช้เวลาทั้งหมด 4 เดือนเต็ม
เพราะอีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้าให้แล้ว

“ก็อย่างที่รู้กันดี กรวินท์เป็นอัตลักษณ์ที่มีความรู้สึกว่างเปล่า แล้วยังมีอาการซึมเศร้า” ทันทีที่ไอ้แนนเฉลยความกังวลของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสน ผมก็พอจะเข้าใจได้ว่า ‘การหลอมรวม’ อาจทำให้จันทร์ได้รับส่วนต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์
ดังนั้นจันทร์ผู้สมบูรณ์แบบ
อาจไม่ใช่จันทร์ในภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวอยากให้เป็น

“แล้วด็อกเตอร์ว่ายังไง ให้กูเดาคงไม่ยอมให้จันทร์กลับไปที่บ้านกลางป่าสนง่ายๆ” ผมกล่าวพลางเขี่ยปลายนิ้วกับโต๊ะกินข้าว เพราะบ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันมากมาย ดังนั้นอาจเกิดความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนส่งผลให้อัตลักษณ์ที่เพิ่งจะรวบรวมได้สำเร็จ เกิดการแตกกระจัดกระจายขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็ใช่ไง แล้วคือกูก็เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย แต่ก็อดสงสารน้องมันไม่ได้ เพราะการออกจากโรงพยาบาลในครั้งนี้ น้องมันหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ๆ มึง และยังได้รับกำลังใจจากมึง กูถึงได้กลุ้มใจอยู่นี่ไง” สิ้นคำกล่าวของไอ้แนน ใจของผมก็รู้สึกสั่นไหวและวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเราอยู่ใกล้กัน แต่กลับเหมือนอยู่ไกลกันมาก ดังนั้นการเฝ้ามองกันและกันผ่านทางหน้าต่างบานเดิม จึงไม่อาจเติมเต็มกำลังใจให้อีกฝ่าย

“ยิ่งไปกับกู โอกาสที่ด็อกเตอร์จะอนุญาต แม่งเท่ากับศูนย์เถอะมึง”
“เออดิ แต่เห็นน้องเครียด กูก็กลัวว่ามันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”

“ถ้างั้น กูฝากอะไรบางอย่างไปให้จันทร์หน่อยสิ”
“อะไรวะ” ไอ้แนนกระซิบกระซาบพลางมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง แต่ในช่วงเวลาพักกลางวันแบบนี้ โรงอาหารแม่งเต็มไปด้วยเสียงเจี้ยวจ้าว คงไม่มีใครใส่ใจเรื่องราวบนโต๊ะอาหารของพวกเราหรอก
อีกอย่างรอบๆ ตัวก็มีแต่ผู้ป่วยนอกทั้งนั้น

“ลูกสน”



゚゚❀゚゚

[edit 21/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

อันที่จริงการหลอมรวม ก็ไม่เชิงว่าจันทร์จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากมายขนาดนั้นนะ เพราะตัวตนของแต่ละอัตลักษณ์ ก็มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี แต่เท่าที่เราอ่านในหนังสือของคุณบิลลี่ การหลอมรวมจะสามารถหลบเลี่ยงลักษณะนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ได้ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ และนั่นก็หมายรวมถึงความสามารถพิเศษด้วย ดังนั้นการที่จันทร์หลอมรวมน้องลีและน้องจิมได้เร็ว มาจากการที่ไม่เป็นกังวลในการรักษา แต่ของกรวินท์เขามีทั้งข้อดีและข้อเสีย น้องเลยเป็นกังวลจนถึงกับเครียด จุดเด่นของตอนก็คือตรงช่วงนี้แหละ เพียงแต่เขียนออกมาไม่กี่บรรทัด

ปล. ขอแจ้งอีกครั้ง ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เราเอามาจากหนังสือชีวประวัติของคุณบิลลี่ ฉะนั้นมุมมองที่เราต้องการจะนำเสนอ มันคือความเกินจริง บนความไม่เกินจริง (ประมาณว่าความเกินจริงพวกนั้น คือมุมมองของผู้ป่วย) เรื่องเลยอาจจะไม่หวือหวามากเท่าไหร่ เพราะตามสไตล์เรา เราชอบเขียนนิยายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอยู่แล้ว ยิ่งเป็นแนวค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ เราจะยิ่งชอบเขียน เพราะตัวเราชอบนิยายแนวนี้ ก็เลยนำเสนอออกมาแบบนี้ 555 และถ้าหากใครยังมีข้อสงสัยอะไรที่ยังไม่เคลียร์ บอกเราได้นะ เผื่อเราเคลียร์ของเราคนเดียว 55
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2019 13:24:43 โดย Chomin »

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ใกล้กีนแค่นี้ แต่ก็ไกลกันเหลือเกิน ฮืออออ :hao5:

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์นะคะ สงสารน้อง รอวันที่จะกลับไปอยู่บ้านกลางป่าสนด้วยกันนะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
สงสารพี่ภัทรและจันทร์จับใจเลย ไม่ได้อยู่ด้วยกันในเวลาที่จันทร์ต้องการที่สุด

ออฟไลน์ pan27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ถึงเนื้อเรื่องจะหน่วง อ่านบางตอนแล้วซึมไปหลายวัน ส่วนตัวชอบอ่านแนวฟีลกู้ดแนวที่ช่วยฮีลจิตใจทำให้ยิ้มได้
แต่เรื่องนี้เป็นอะไรที่ให้แง่คิดที่ดีมากๆมันแฝงหลักธรรมะไว้ในเรื่องคือต่อให้ชีวิตมันเจออะไรที่หนักหนาและเลวร้ายแค่ไหน
ขอเพียงมีคนที่รักและเข้าใจ ขอเพียงแค่เราปล่อยวางมันลงอย่าไปยึดติดกับอดีตที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้
อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งที่เป็นทุกข์ ต่อให้ทุกข์หรือร้องไห้แค่ไหนถ้าไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้
ก็แค่ปล่อยวางมันลง ใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีและมีความสุขทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น ก็ถือว่าทำหน้าที่ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้อย่างดีและสมบูรณ์มากแล้ว #ไม่มีใครทำร้ายเราได้เท่ากับเราทำตัวเอง และไม่มีอะไรจะเลวร้ายถ้าใจเราดี

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 43

อันที่จริงผมไม่รู้หรอกว่าการปลอบใจคนกำลังคิดมากด้วยการมอบ ‘ลูกสนแห้ง’ ที่เปรียบเสมือนกล่องแห่งความทรงจำระหว่างเราจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดของอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน
แต่มันคงจะดีกว่าผมไม่ลงมือทำอะไรเลย

“ดูเหมือนจันทร์จะชอบดอกพญาเสือโคร่งนะมึง” ไอ้แนนเปรยขึ้นขณะที่เรากำลังมุ่งตรงไปยังลานจอดรถเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ รับคำบอกเล่าดังกล่าว
“แถมปีนี้ยังบานเร็วกว่าปกติด้วย ทำเอาโรงพยาบาลน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง” สิ้นการแสดงความคิดเห็น จิตแพทย์สาวก็ยักคิ้วให้ผมหนึ่งที พร้อมกับยกยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะแยกตัวไปยังมุมที่รถของเธอจอดอยู่ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม เพราะความคิดกำลังติดตรึงอยู่กับรูปประโยคสุดท้ายที่มันอาจจะถอดรหัสได้ว่า..
ความสวยงามของดอกไม้..
กำลังช่วยพัดพาให้จิตใจอันหม่นหมองของจันทร์ค่อยๆ มลายหายไป

แต่ดูเหมือนระยะหลังผมมักจะคิดบวกมากเกินไป เพราะอันที่จริงจันทร์ยังคงกังวลเกี่ยวกับการรักษาเหมือนอย่างเคย จึงทำให้ทีมรักษาต้องร่วมหารือกันว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ เพราะหากตึงมากเกินไปคนไข้ก็จะยิ่งเครียดสะสม แต่ถ้าหากหย่อนมากเกินไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการรักษาได้
ซึ่งผมไม่รู้ว่าพวกเขาปรึกษาหารือกันอย่างไร ผลสุดท้ายถึงได้ยอมให้จันทร์ตกอยู่ในความดูแลของผมเพียงชั่วคราว ดังนั้นเวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนจึงกำลังนั่งห้อยขาอยู่ตรงสระน้ำหน้าบ้าน ขณะที่ผมก็ได้โอกาสทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างการว่ายน้ำหลังจากไม่ได้ใส่ใจไปเสียนาน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปลดปล่อยให้จิตใจลอยละล่องไปตามความคิดเหมือนทุกครั้ง เพราะผมยังคงหวาดกลัวว่าการสลับตัวอาจจะเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังดำดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งความคิด หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงที่ผมกำลังดำดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำอันเงียบสงบ

“ที่จริงแล้วกว่าจันทร์จะได้ออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ จันทร์ต้องเจรจากับคุณหมออยู่หลายครั้ง” เด็กชายตัวเล็กที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่ริมสระกล่าวขึ้น ขณะที่ผมก็ยังคงแช่ตัวอยู่ในน้ำแน่นิ่งเพื่อตั้งใจฟังคำบอกเล่าของอีกฝ่าย
“แม้ว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจะเท่ากับศูนย์ แต่จันทร์ก็ยังพยายามต่อไป เพราะยิ่งจันทร์อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ๆ จันทร์จะยิ่งรู้สึกเหนื่อย แถมวันเวลาก็ยังผ่านไปอย่างเชื่องช้า”

“ไม่เหมือนกับตอนที่มีพี่ภัทรอยู่สักนิด..”
“สำหรับจันทร์แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้มันน่าเบื่อมากเลยใช่ไหม ?” ผมเอ่ยถามพลางเอี้ยวตัวเข้าหาอีกฝ่าย พร้อมกับจับมือเล็กที่วางแหมะอยู่ตรงขอบสระมากอบกุมไว้

“ครับ.. ทุกอย่างมันน่าเบื่อไปหมด น่าเบื่อแม้กระทั่งตัวเอง เพราะตั้งแต่ความทรงจำคืนกลับมา จันทร์เหมือนเป็นโรคหวาดระแวง” จันทร์กล่าวเพียงแค่นั้นแล้วเจ้าตัวก็แน่นิ่งไป ซึ่งผมพอจะเข้าใจนิสัยในส่วนนี้ของอีกฝ่ายอยู่บ้าง เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาเวลาที่จันทร์ประสบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต จันทร์มักจะแก้ไขด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
ดังนั้นการแบ่งปันความทุกข์ใจจึงเป็นหนทางที่จันทร์ไม่ค่อยคุ้นเคย

“จันทร์ยังจำที่พี่เคยบอกได้หรือเปล่า ?” ผมขยับตัวมายืนตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับบีบกระชับฝ่ามือเล็กอย่างแนบแน่น พลางมองจ้องเข้าไปยังดวงตาไหวระริกอย่างจริงจัง
“…”

“ถ้าหากจันทร์มีเรื่องไม่สบายใจ จันทร์สามารถระบายให้พี่ฟังได้ ถึงแม้พี่อาจจะช่วยจันทร์ไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยการมีใครสักคนที่เราไว้ใจ คอยรับฟังเรื่องราวพวกนั้น ก็ทำให้เราอุ่นใจได้ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ.. คุณหมอก็เคยบอกกับจันทร์แบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้มันทำให้จันทร์กลัวว่าพี่ภัทรจะรับไม่ได้ หรือถ้ารับได้จันทร์ก็กลัวว่าพี่ภัทรจะคิดมากจนป่วยหนักแบบที่ผ่านมาอีก” คนป่วยพูดไปก็ก้มหน้ามองสองมือของเราที่กำลังกอบกุมกันไว้ ขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ความเห็นแก่ตัวของจันทร์ทำร้ายพี่ภัทรมากเกินไป จันทร์เลยไม่อยากทำให้พี่ภัทรต้องมาทุกข์ใจเพิ่มขึ้นอีก”
“จันทร์.. ฟังพี่นะ เรื่องที่พี่ป่วยคราวนั้น มันเป็นผลมาจากการกระทำของพี่ล้วน ๆ” ผมกล่าวพลางเช็ดน้ำตาให้กับเด็กชายตรงหน้าที่ไม่ว่าจะเติบโตไปมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรในสายตาของผม จันทร์ก็ยังคงเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กที่ผมทั้งรักและเอ็นดูอยู่ดี

“แต่ถ้าหากจันทร์ไม่ตัดสินใจแก้ปัญหาแบบนั้น พี่ภัทรก็คงไม่ต้องทำงานจนป่วยหนัก”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราทั้งคู่เสมอกันดีไหม ไม่มีใครถูกแล้วก็ไม่ใครผิด ต่อไปพี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นอีก พี่จะดูแลตัวเองให้ดีแล้วก็จะรักตัวเองให้มาก ๆ เพราะฉะนั้น จันทร์ลองเปิดใจแล้วระบายความไม่สบายใจ หรือความหวาดกลัวทั้งหมดให้พี่ฟังอีกสักครั้งได้ไหม?”

“ตั้งแต่ความทรงจำคืนกลับมา จันทร์มักจะหวาดระแวงว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาทำร้ายจันทร์ จนจันทร์ไม่สามารถข่มตานอนได้ เพราะในหัวของจันทร์มโนไปเองว่าอาโชคกำลังไขกุญแจเข้ามาหาจันทร์..”
“…”

“จันทร์ยังจำความเจ็บปวดพวกนั้นได้ มันน่าขยะแขยงมาก ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะปะปนไปกับเลือดของการฉีกขาด จนจันทร์คิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว แต่สุดท้ายจันทร์ก็ยังไม่ตาย เพราะอาโชคชอบบังคับให้จันทร์ดูแลตัวเอง ตอนนั้นจันทร์ไม่อยากทำตามสักนิด แต่จันทร์กลัวอาโชคจะโมโห เพราะจันทร์ไม่อยากเจ็บตัวเพิ่มขึ้นอีก” คนป่วยเริ่มบอกเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยแววตาเลื่อนลอย จนกระทั่งต้องลงลึกในความรู้สึก อาการแพนิคก็เริ่มจะก่อเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เราต้องห่างกัน ด็อกเตอร์อาจจะให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาในส่วนนี้ จันทร์ก็เลยสามารถควบคุมตัวเองได้ดีกว่าแต่ก่อน
“แล้วจันทร์ได้บอกกับน้าเข็มบ้างหรือเปล่าว่าจันทร์ถูกทำร้ายมากมายขนาดนี้” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับลูบเรือนผมของอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ โดยไม่ลืมเช็ดคราบน้ำตาที่ยังคงไหลริน

“จันทร์เคยคิดจะบอกน้าเข็ม แต่จันทร์ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง พอจันทร์หาโอกาสคุยกับน้าเข็มบ่อยเข้า อาโชคก็เริ่มรู้ว่าจันทร์คิดจะทำอะไร”
“หลังจากนั้น.. อาโชคก็เลยใช้เซ็กส์ที่รุนแรงขึ้น เพื่อข่มขู่ให้จันทร์หวาดกลัวจนไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปอีก พี่เข้าใจถูกไหม ?”

“ครับ” เด็กชายตัวน้อยที่ในเวลานี้ช่างดูบอบบางยังคงโฟกัสสายตาไปยังที่ที่ไกลแสนไกล ขณะที่น้ำเสียงตอบรับกลับแผ่วเบาราวกับสายลมเอื่อย ๆ ในยามค่ำคืน
“จริง ๆ แล้ว พี่คิดว่าเซ็กส์มันเป็นสิ่งที่หอมหวานสำหรับคู่รักนะ เพราะมันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง รวมถึงการจูบก็ด้วย แต่อาโชคคงจะทำให้จันทร์นึกถึงมุมมองพวกนี้ไม่ออกใช่หรือเปล่า”

“ครับ เพราะตอนที่จันทร์ยังจำอะไรไม่ได้ ภาพที่จันทร์เห็นก็คือภาพของจันทร์กับอาโชค จันทร์ถึงได้กลัวสัมผัสจากพี่ภัทร”
“ตอนนั้นพี่เองก็ขาดสติด้วยแหละ เลยทำให้จันทร์ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่”

“แต่มันน่าแปลกใจตรงที่ ถ้าหากจันทร์เป็นคนเริ่ม จันทร์จะไม่รู้สึกขยะแขยงแบบนั้น”
“มันคงเป็นเพราะจันทร์รับรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นจะไม่ทำให้จันทร์ตกอยู่ในอันตราย” ผมแสดงความคิดเห็นพร้อมกับส่งยิ้มให้คนตรงหน้าที่กำลังเปลี่ยนวิถีสายตามายังผม จากนั้นเราสองคนก็เลิกพูดถึงเรื่องราวในอดีต และหันกลับมาหาความสุขส่งมอบให้แก่กัน
เพราะเราต่างก็สามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้แค่เพียงค่ำคืนนี้

“พี่ภัทรเดี๋ยวจันทร์ตก จันทร์ขี้เกียจอาบน้ำอีกรอบ” เมื่อเด็กชายตัวเล็กจำต้องย้ายตัวเองมานั่งคล่อมอยู่บนบ่าของผม เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินไปเสียนานก็เริ่มดังกังวานมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอผมแกล้งเดินเป๋ไปเป๋มาไม่หยุด คนในความดูแลจึงเริ่มร้องประท้วงขึ้นมา

“เวลาที่พี่คิดถึงจันทร์ พี่ชอบมองพระจันทร์จากตรงนี้..”

“แล้วก็เริ่มคิดไปว่าจันทร์จะเข้านอนหรือยัง จันทร์จะเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นไหม แล้วจะรู้วิธีหายใจของคนที่เป็นโรคแพนิคหรือเปล่า”
“…”

“พูดตรง ๆ ว่าพี่ค่อนข้างจะหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์” ผมกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเล
“เรื่องเล่าของพี่ภัทรให้ความรู้สึกอบอุ่นดีจัง..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก้มลงมองผม พร้อมกับออกปากชมด้วยรอยยิ้มอันสดใสที่มักจะเห็นข้างแก้มยุบลงไปเสมอ

“แล้วเวลาจันทร์มองลูกสนที่พี่ให้ จันทร์นึกถึงเรื่องอะไร ?” ผมเอ่ยถามพลางมองจ้องไปยังดวงจันทร์อันเจิดจ้าท่ามกลางท้องนภาในยามราตรี
“จันทร์นึกถึงวันที่เราทดลองความลับของป่าสน” สิ้นคำตอบของอีกฝ่าย ริมฝีปากของผมก็คลี่เป็นรอยยิ้ม เพราะเราต่างก็นึกถึงเรื่องเดียวกัน
มิหนำซ้ำ..
ความสุขจากวันวานยังช่วยปลอบประโลมใจของเราทั้งคู่ได้ไม่ต่างกัน

กระทั่งได้เวลาเข้านอน เราทั้งคู่ต่างก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะจับจองพื้นที่ว่างบนเตียงคนละด้าน จากนั้นความเงียบสงัดก็นำพาให้เราหลงใหลเข้าสู่วังวนแห่งนิทรา ซึ่งผมก็ทำเวลาได้ดีเกินคาด
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จันทร์กำลังเกิดอาการแพนิคขึ้นมากลางดึก

“หนึ่ง”

“สอง”

“สาม”

ผมลูบศีรษะของอีกฝ่ายพลางเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้า พร้อมกับนับเลขให้คนในความดูแลใช้เป็นจังหวะในการหายใจ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าอาการแพนิคจะสงบลง

“ดื่มน้ำสักหน่อยนะ เดี๋ยวพี่ลงไปเอามาให้” ผมเสนออย่างห่วงใยพร้อมกับตั้งท่าจะลุกออกจากเตียง
“จันทร์ไปด้วย” สิ้นคำขอ ผมก็ตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ พร้อมกับแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปตรงหน้าจันทร์ จากนั้นฝ่ามือของเราก็ผสานกันอย่างแนบแน่น โดยที่มืออีกข้างหนึ่งก็ต้องคอยถือแท่งเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไปยังห้องครัว

“จริงสิ พี่เคยซื้อชาวาเลอเรี่ยนติดบ้านเอาไว้นี่..” ผมอุทานเพียงเบาๆ พลางเปิดตู้นั้นตู้นี้เพื่อหาชาดังกล่าวที่เคยซื้อเก็บไว้ เพราะเดิมทีผมก็ชอบดื่มชาเป็นประจำอยู่แล้ว
“รอพี่ต้มน้ำสักพักนะ” ผมหันไปบอกใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวและมองมาที่ผมอย่างสนใจ

“เหนื่อยใจจังเลยพี่ภัทร” เมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า คนป่วยก็โน้มตัวเข้ามากอดเอวผม พร้อมกับบอกเล่าด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ผมจึงได้แต่ลูบเรือนผมและแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ
“ทำไมความทรงจำบ้าๆ พวกนั้น ต้องคอยตามมาหลอกหลอนจันทร์ด้วย”

“หรือเพราะจันทร์ฆ่าทุกคนใช่ไหมพี่ภัทร จันทร์ถึงต้องมาคอยรับกรรมอยู่แบบนี้..” ผมทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบข้างแก้มของคนที่พยายามจะไม่ร้องไห้
“จันทร์เข้าใจผิดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ ทั้งจันทร์และจิม ไม่มีใครตั้งใจให้มันลงเอยแบบนี้” ผมกล่าวอย่างหนักแน่น เพราะเรื่อง ‘ไฟไหม้’ ไม่มีใครผิดเลยสักนิด แม้ต้นเหตุครึ่งหนึ่งจะมาจากการที่คุณแม่ของจันทร์ ไม่เคยสนใจใยดีลูกในไส้เลยก็ตาม แต่เพราะที่ผ่านมาท่านเองก็ต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดังนั้นการละเลยจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายวัยอนุบาลนำไม้ขีดไฟมาเล่นอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“ตามหลักแล้วการจะทำโทษใครสักคน ต้องดูที่กฎระเบียบหรือเจตนาของผู้กระทำผิด ดังนั้นการเล่นซนของน้องจิม ในมุมมองของพี่มันคือ ‘อุบัติเหตุ’ เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ หรือการไม่รู้ความของเด็กคนหนึ่งที่ถูกปล่อยปละละเลยจากผู้ปกครองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“ส่วนอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเพราะจันทร์กำลังป่วย และโดยปกติแล้วคนเราก็มักจะจดจำเรื่องราวแย่ๆ ได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น ๆ เพราะมันกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเรามากที่สุด ฉะนั้นมันไม่ใช่บทลงโทษจากใครสักคนอย่างที่จันทร์เข้าใจหรอกนะ” ผมอธิบายพลางลุกขึ้นไปจัดการชาร้อนๆ ให้จันทร์ได้ดื่มก่อนนอน

“ชาวาเลอเรี่ยนเป็นชาสมุนไพร ช่วยให้เราหลับสบายและยังช่วยคลายเครียด รวมถึงลดความวิตกกังวลได้ดี” ผมกล่าวพลางวางแก้วชาไว้ตรงหน้าจันทร์ จากนั้นผมก็ย้ายตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ทางฝั่งตรงกันข้าม โดยมีแก้วชาที่บัดนี้กระไอควันยังคงพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ
“ดีจังที่คืนนี้พี่ภัทรอยู่ด้วย” หลังจากความเงียบเริ่มปกคลุมเราทั้งคู่ พอจันทร์จิบชาร้อนจนพอใจแล้ว น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าก็ดังก้องขึ้น
ขณะที่ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มรับคำชมเชยนั้นอย่างเต็มใจ..
เพราะผมก็คิดตรงกันว่าค่ำคืนนี้มันดีจริง ๆ ที่ผมมีโอกาสได้ดูแลดวงจันทร์ดวงนี้

พอจันทร์เริ่มสบายใจขึ้น เราสองคนก็เตรียมตัวจะเข้านอน เพราะวันพรุ่งนี้ผมยังต้องไปทำงานแต่เช้า และจันทร์ก็ยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของทางโรงพยาบาลตามตารางเดิม ผมจึงตัดสินใจย้ายลงมานอนที่โซฟาด้านล่าง เพื่อที่จันทร์จะได้ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับกลอนประตู จนนำไปสู่ฝันร้ายด้วยเรื่องเดิม ๆ อีก

“ป..ปล่อย!” แรงดีดดิ้นพร้อมเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกทำให้ผมตื่นจากความฝัน ขณะที่ใครอีกคนเมื่อได้รับอิสระก็รีบดีดตัวออกห่างจากผมทันควัน แต่เพราะปลายขาของเจ้าตัวดันเตะเข้ากับขาโต๊ะที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆ โซฟา จึงทำให้ร่างตรงหน้าเซถลาลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ ส่วนผมก็รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ แต่พอจะก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ร่างเล็ก ๆ ก็รีบถอยกรูดจนหัวซุกหัวซุน
“จันทร์..”

“นี่พี่เอง.. พี่ภัทรไง”  ผมกล่าวแสดงตัวพร้อมกับจุดเทียนให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เพราะก่อนหน้านี้ผมแอบดับเทียนตอนช่วงที่จันทร์เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว
“หมอ..” สิ้นคำเรียกขานของคนที่หนีไปซุกตัวอยู่ตรงข้างกำแพง สายตาของผมก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างละเอียด

จนกระทั่งค้นพบว่า..

คนตรงหน้าไม่ใช่อัตลักษณ์ที่ผมคุ้นเคย..
 


゚゚❀゚゚

[edit 23/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มาต่อแล้วจ้า พอดีโน๊ตบุ๊กเราเสีย จนต้องซื้อใหม่ ก็เลยต้องมานั่งอ่านทวนนิยายตั้งแต่ต้นจนจบอีกที เพราะโพยที่เราใช้จดปมต่างๆ แล้วก็เนื้อเรื่องในตอนต่อๆ ไป มันปลิวหายไปกับโน๊ตบุ๊กเดี้ยงๆ แล้ว แต่กำลังให้ช่างช่วยดึงข้อมูลให้อยู่ เลยอาจจะทำให้อัพนิยายช้านิดนึงนะคะ เพราะเราอยากรอโพยของเราก่อน T_T ดูเหมือนพอแต่งเรื่องนี้ คอมเราตายไปสองรอบแล้ว 555

เอาล่ะ สำหรับตอนนี้ก็มีฉากเซอร์วิสเล็กน้อย เพราะทั้งเรื่องแทบไม่มีเลย แล้วก็เป็นการเปิดตัวอัตลักษณ์ใหม่ (?) ไปด้วยเลย คึคึคึ

ปล. 1 ตอนนี้นิยายวายเรื่องแรกของเรากำลังจะคลอดในงานหนังสือแล้ว ใครสนใจผลงานของเรา สามารถทดลองอ่านได้นะคะ แต่โทนเรื่องจะไม่เหมือนเรื่องนี้หรอก มันจะเป็นแนวมหาลัย ที่สอดแทรกเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มคนที่บกพร่องทางการได้ยิน และการเรียนการสอนภาษามือ ขอขายตรงเลยละกัน เรื่อง Fall in you ค่ะ 555

ปล. 2 พอดีตอนนี้เรามีเขียนเรื่องเกี่ยวกับไฟไหม้ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลายอาทิตย์ก่อน (มั้งนะ) มีคนมาบอกเราว่า มีคนสงสัยว่าเราลอกพล็อตซีรีย์เกาหลีมาหรือเปล่า เพราะมีเรื่องไฟไหม้เหมือนกันเลย เอาจริงๆ เราลังเลมาก ว่าจะออกมาพูดอะไรดีมั้ย เพราะเราค่อนข้างฝังใจกับการแสดงความคิดเห็นในมุมมองของตัวเอง เพราะเราเคยเจอคนอ่านไม่ยอมรับความคิดเห็นในมุมมองที่เราสื่อออกไป จนมารีวิวออกแนวกระทบกระทั่งในความรู้สึกของเรานิดๆ เพราะเราเคยคุยกันในคอมเมนต์ก่อนหน้าที่จะมีรีวิวอันนี้ มันเลยกลายเป็นแผลใจของเราไปเลย ทำให้เราไม่ค่อยกล้าจะอธิบายอะไรอีก ง่ายๆ คือเราเริ่มกลัวการพูดคุยกับนักอ่านแบบตอบโต้ทางคอมเมนต์ไปเลย แต่สำหรับกรณีที่มีคนสงสัยว่าเราลอก ก็ค่อนข้างแรงเหมือนกันนะ เพราะการลอกมันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แย่ในสายตาของเรา เพราะเราเคยเจอคนมาลอกฟิคเรา เรายังจำความรู้สึกแย่ๆ ได้ดี ฉะนั้นเราคงไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่พูด เราก็กลัวคนที่มาเจอข้อความนั้น อาจจะคิดเหมารวมว่าเออ เราทำแบบนั้นจริงๆ (เราอาจจะคิดมากไปเอง แต่ก็นะ เราขอพูดเพื่อความสบายใจของตัวเองแล้วกัน)

เราเคยดูเรื่อง Kill me Heal me จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเอาพล็อตเค้ามานะ เพราะเราวางโครงเรื่องก่อน ถึงค่อยไปดูซีรีย์เพื่อเอาแนวทางการรักษา (แต่มันไม่ค่อยมีเลย) แล้วอัตลักษณ์รองของพระเอกเรื่องนั้น ถ้าจำไม่ผิด ตั้งใจจะเผาห้องใต้ดินนะ แตกต่างกับนายเอกของเราเลย แล้วเหตุผลของการเกิดอัตลักษณ์ก็ต่างกันด้วยค่ะ พระเอกเรื่องนั้น สร้างอัตลักษณ์เพราะเห็นพ่อตัวเองทำร้ายร่างกายนางเอกในห้องใต้ดิน สื่อถึงการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ตามงานวิจัย ส่วนของเรา มันน่าจะเรียกได้ว่าความล้มเหลวของสถาบันครอบครัวนะ เพราะจุดเริ่มต้นคือการขาดความอบอุ่นจากแม่ จึงทำให้ไม้ขีดไฟที่เป็นของต้องห้ามถูกเด็กนำมาเล่น แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ สร้างต่อมาเรื่อยๆ โดยมีสาเหตุที่เราเอามาจากงานวิจัย และความเป็นไปได้ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เราอยากจะบอกว่า หนังสือของคุณบิลลี่คือข้อมูลเดียวที่เราเอามาใช้จริง แต่เราก็เอามาแค่วิธีการรักษา รวมถึงมุมมองความคิดเห็นต่างๆ เพื่อที่เราจะได้ทำให้คนอ่านเชื่อว่า อะไรถึงทำให้คนไข้กลุ่มนี้มองว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น มันไม่ผิดปกติ ซึ่งเราจะยกกรณีที่เราเอามาใช้ ก็เช่น การออกมายืนอยู่บนเวที หมายถึงการควบคุมจิตวิญญาณ (ของคุณบิลลี่จะเห็นเป็นเวทีเล็กๆ มีสปอร์ตไลท์ส่องลงมา) การอธิบายเรื่องการปั่นผลไม้ สื่อถึงการหลอมรวม (ของคุณบิลลี่จะอธิบายถึงน้ำที่ถูกนำมาเทรวมกัน) เวลาที่หายไป ตรงที่ป้าเข็มบ่นว่าทำไมเวลามันหายไปหมด เราก็อ้างอิงมาจากหนังสือของคุณบิลลี่  (จริงๆ ทั้งหมดที่เราพูดมา เราเคย Talk ไปหมดแล้วนะเนี่ย แต่หลายคนอาจจะไม่ได้อ่าน Talk เราก็ได้เนอะ เอาเป็นว่าเราออกมาพูดอย่างบริสุทธิ์ใจละกันค่ะ T_T)

และความจริงแล้ว ปมไฟไหม้ เราวางแผนเอาไว้สองทาง คือทางแรกแม่ฆ่าตัวตาย ซึ่งคดีมันจะพลิกผันไปเลยว่า แม่ไม่เคยรักจันทร์ และไม่ต้องการจันทร์ เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านั้น แม่เคยคิดที่จะทำแท้งมาก่อน

ส่วนอีกทางนึงคือทางที่เรานำมาใช้จริง คือจิมเล่นไม้ขีดจนไฟไหม้ สื่อให้เห็นว่า แม่รักจันทร์นะ และมันคืออุบัติเหตุ

ปล. 3 บ่นยาวมากจริงๆ แต่อ่านกันเถอะนะ แล้วตอนอื่นๆ เราบ่นอะไรไม่ต้องสนใจก็ได้ 555 เพราะเราถือว่าเราเคลียร์จบในตอนนี้แล้ว และสุดท้ายนี้ ลองไปดูซีรีย์เรื่องที่เราพูดถึงได้เลยค่ะ สนุกดีนะ และดูเหมือนจะทำออกมาตรงกับความเป็นจริงมากกว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ DID เลยมั้ง 55
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 20:26:56 โดย Chomin »

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
กลับมาพร้อมกับ 'เซอร์ไพรส์!!!'​อัตลักษณ์ใหม่จ้าาาาาาาาา
โอยยยยย คือกำลังจะหลอมอัตลักษณ์ได้หมดแล้วอ่ะ
หนูเป็นใครอีกลูกกกกก ฮือออออ
น้องจันทร์จะเก่งไปแล้วนะ สร้างใหม่มาได้อีก 555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด