εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: εїз ในป่าสน εїз แจ้งข่าวรวมเล่ม ❀ หน้า 6 (update 09/07/2019)  (อ่าน 49436 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

εїз ในป่าสน εїз
-chomin-

คำเตือน!
status : Mystery & Warmth

゚゚❀゚゚

ที่ป่าสนแห่งนั้น..
ผมรู้สึกเหมือนกับว่า..
มันยังมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนาซุกซ่อนอยู่..

ร่วมติด Hashtag : #ที่ป่าสน ในทวิตได้นะคะ

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2019 22:28:10 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
εїз ในป่าสน εїз
บทนำ

“นี่มันทางเข้าบ้านของเพื่อนมึงแน่เหรอวะไอ้บาส?” ผมเอ่ยถามญาติผู้น้องที่อายุห่างกันถึง 4 ปีเต็มด้วยความไม่แน่ใจ ว่ามันพาผมมาถูกทางหรือเปล่า เพราะจากสถานการณ์ในตอนนี้ เราทั้งคู่กำลังอยู่บนเส้นทางรถที่มีอยู่เส้นทางเดียว อีกทั้งตลอดสองข้างทางก็ยังขนาบไปด้วยทิวสนอันหนาทึบจนแสงแดดแทบจะไม่สาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง
หากแต่ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็ยังชูช่ออย่างเริงร่า
ส่งผลให้รอบๆ บริเวณป่าสนกลับกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาดอย่างงดงาม

“แน่ดิพี่ภัทร เนี่ย! ผมขับตามที่จีพีเอสบอกเลย”
“ไอ้น้องเวร! จีพีเอสนี่แหละตัวดี เวลากูเข้ากรุงเทพแต่ละที แม่งพากูหลงฉิบหายวายวอด” ผมสบถพลางมองสองข้างทางอย่างหวาดระแวง เพราะมันมีแต่ป่ากับป่าทั้งนั้น แถมเส้นทางรถยังเป็นดินโคลนอีกต่างหาก แต่ดีหน่อยที่วันนี้ไอ้บาสเอารถฟอร์จูนเนอร์คันใหม่ออกมาใช้
ไม่อย่างนั้นล่ะก็.. ล้อรถได้ติดหล่มกันพอดี

“ทางเข้าบ้านของเพื่อนมึงนี่แม่งพิลึกเหี้ยๆ จนตอนนี้กูเริ่มจะสับสนแล้วว่าเรากำลังหลงทาง หรือว่าเพื่อนของมึงเป็นคนลึกลับกันแน่” ผมเอ่ยพลางส่ายหน้า ก่อนจะหันไปสำรวจรอบๆ ทิศทางอีกครั้ง

“อ้าว! พี่ภัทรก็เคยเจอมันที่โรงพยาบาลมาแล้วนี่ เป็นไงล่ะ? แปลกไหม?” ไอ้บาสเริ่มยอกย้อน ผมก็เลยต้องแพ่นกบาลมันสักที
“พี่นี่หัวรุนแรงตั้งแต่เล็กจนแก่จริงๆ วุ้ย” ทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ หัวคิ้วของผมก็เริ่มกระตุก ส่วนมือนี่ยกขึ้นเตรียมจะแพ่นกบาลมันอีกรอบ
ห่าเอ้ย! กูเพิ่งจะอายุ 30 เมื่อต้นเดือนนี้เอง เสือกมาเหน็บแนมกู!

“ถึงกูจะ 30 แต่เวลาที่กูไปไหนมาไหนกับมึง ใครๆ เขาก็คิดว่ากูอายุเท่ามึงกันทั้งนั้นแหละเว้ย” ผมกล่าวพลางยักคิ้วใส่ไอ้ญาติผู้น้องที่กำลังหันมาทำปากเบะ จนผมนี่อยากจะต่อยแม่งให้เลือดกบปากสักที
จะได้เลิกกวนตีน!

“ว่าแต่ทำไมมันไกลจังวะพี่ภัทร หรือเรากำลังหลงทางจริงๆ ?”
“มึงก็โทรถามเพื่อนมึงดิ”

“ขอโทษที ผมไม่มีเบอร์มันว่ะ”

โว๊ะ! ไอ้น้องห่านี่! เจริญจริงๆ แต่ผมก็บ่นอะไรมากไม่ได้ เพราะผมเองก็พอจะเข้าใจมันอยู่หรอก ว่าคนไข้รายนี้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่บังเอิญไปเจอกันในตลาด เนื่องจากคุณชลวิทย์เป็นพ่อค้าขายผักเจ้าประจำที่แม่ของมันชอบใช้ให้ไปซื้อ แล้วก็บังเอิญตรงที่ พ่อค้าคนดังกล่าว ดันเกิดอาการแพนิคขึ้นกลางตลาด ไอ้บาสก็เลยเข้าไปช่วยไว้ ซึ่งพออีกฝ่ายเริ่มห่างหายจากอาการเหล่านั้น ไอ้ญาติผู้น้องก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการพาคุณชลวิทย์ไปโรงพยาบาล และมันก็บังเอิญว่าในตอนนั้นเป็นเวรของผมเข้าพอดี จึงได้ทำการตรวจวินิจฉัยจนพบว่า คุณชลวิทย์เป็นโรคแพนิคจริงๆ และสาเหตุก็มาจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านที่ไม่เพียงพอจนลุกลามไปถึงความคิดที่ว่าตนเองกำลังจะเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ เพราะอาการของเขากำเริบถึงสองครั้ง ก็คือที่ตลาดและที่โรงพยาบาล แถมอีกฝ่ายยังต้องทนอยู่กับอาการแบบนี้มาหลายอาทิตย์แล้ว เพียงแต่เขาคิดเอาเองว่า เดี๋ยวมันก็หายไป เลยไม่ยอมมาหาหมอ จนกระทั่งอาการมันเริ่มจะหนักข้อขึ้น เขาถึงได้ยอมเดินทางมายังโรงพยาบาลกับไอ้บาสแต่โดยดี

ซึ่งคุณชลวิทย์ได้บอกกับผมว่า ตอนนั้นเขาใจสั่น แถมยังหายใจไม่ออก จนรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังจะตายเสียให้ได้ แถมมือและเท้าก็ยังชาไปหมด แล้วเขาก็เอาแต่พร่ำบอกว่า เขายังไม่อยากตาย เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว และยังมีน้องที่ต้องคอยดูแลอีกหนึ่งคน

วันนั้นผมจึงต้องอธิบายความรู้เกี่ยวกับตัวโรคให้เขาเข้าใจ และย้ำไปว่าเขาไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร และถ้าหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการเหล่านั้นก็จะทุเลาลงอย่างแน่นอน แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย จากนั้นผมก็สั่งยาโปรแซก ที่เป็นตัวยาแก้ซึมเศร้าให้ทานตลอดทั้งอาทิตย์ และต้องทานคู่กับตัวยาอัลปราโซแลม ที่เป็นยากล่อมประสาท พร้อมกับให้คุณชลวิทย์เข้ารับการทำจิตบำบัดกับไอ้บาส เช่นพวกการฝึกผ่อนคลาย แล้วก็จิตบำบัดที่เน้นการกดเก็บ เพื่อลดภาวะเครียด ความวิตกกังวล และยังให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เขาจะสามารถนำไปปรับใช้ในด้านของวิธีการคิดต่างๆ เพื่อที่เขาจะได้รับมือกับความเครียดและความกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงวิธีการฝึกหายใจก็ด้วย

แต่เพราะคนไข้รายนี้ เป็นคนไข้รายพิเศษจำพวกหาเช้ากินค่ำ บวกกับมีดีกรีเป็นถึงเพื่อนของไอ้ญาติผู้น้อง ทั้งหมอและนักจิตวิทยาจึงต้องเดินทางมาติดตามอาการและให้การรักษาถึงที่บ้าน ซึ่งเราจะมากันทุกวันศุกร์
เหตุเพราะเส้นทางมันไกลจากตัวเมืองมากพอสมควร

“บ้านก็ดูใหญ่โตดีนี่หว่า แถมยังมีรถตั้งคันนึงด้วย” ผมกล่าวพลางเปิดประตูลงจากรถ พร้อมกวาดสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยไม้ดอกเมืองหนาว ก่อนจะก้มตัวลงไปชื่นชมดอกไม้ที่กำลังชูช่ออวดสายตามาตั้งแต่ปากทางเข้าของบ้านหลังนี้
“สโนว์ดรอปส์เหรอ? ขึ้นในเมืองไทยได้ด้วยแฮะ” ผมอุทานกับตัวเองอย่างนึกแปลกใจ เพราะเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ เท่าที่ทราบมันเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่จะออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูหนาว

“พี่ภัทรรีบเข้ามาเร็วๆ มัวแต่ทำอะไรอยู่วะ” ผมหันไปตามเสียงเรียกของไอ้ญาติหน้าตี๋ สมกับฉายา ‘ตี๋บาส’ ที่เพื่อนทั้งกลุ่มและญาติพี่น้องชอบเรียก ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและก้าวเดินเข้าไปยังบ้านหลังขนาดกลางที่เน้นไปในโทนสีน้ำตาลอ่อนแทบทั้งหลังอย่างมั่นคง
“น้ำครับ” หลังจากเข้ามานั่งเมียงมองภายในบ้านของผู้ป่วยในความดูแลได้สักพักใหญ่ ผมก็หันกลับมาให้ความสนใจเด็กผู้ชายตัวสูงแค่อกที่กำลังเอาน้ำมาเสิร์ฟเพียงครู่ ถึงค่อยหันกลับไปให้ความสนใจต่อการคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเหมือนอย่างเคย ซึ่งการตกแต่งภายในบ้านหลังนี้ ออกแนวเรียบง่าย อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ก็ยังมีน้อยชิ้น แต่กลับเป็นชิ้นที่น่าแปลกใจ เพราะการมีโทรทัศน์และเครื่องปรับอากาศใช้ ทั้งๆ ที่ค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ มันก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อย
ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็ไม่ค่อยจะแปลกใจสักเท่าไหร่ ที่คนไข้จะเครียดจนมีอาการแพนิคมากมายขนาดนั้น

“เดี๋ยวผมไปเรียกพี่ชลมาให้นะครับ รอสักครู่..” ผมเหลือบไปมองเจ้าของบ้านอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นน้องชายที่เพื่อนของไอ้บาสต้องคอยดูแล พร้อมกับประเมินอายุของอีกฝ่ายเล่นๆ ในใจ ว่าคงจะอายุไม่เกิน 15 ปีแน่ๆ
เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย ยังดูเด็กๆ อยู่เลย

“พี่ชลเพื่อนมาหา!” เจ้าของบ้านตัวเล็กเปิดประตูด้านหลังที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณห้องรับแขกมากนัก ก่อนจะตะโกนเรียกพี่ชายของตัวเองจนเสียงดังลั่น
“เพื่อนพี่เหรอ? ใครน่ะจันทร์?” ไม่นานเสียงทุ้มของเจ้าของบ้านอีกคนก็ร้องตอบกลับมา

“จันทร์ไม่รู้ พี่ชลรีบเข้ามาเร็วๆ” ผมหลุดขำให้กับอาการยู่หน้าของเจ้าของบ้านตัวเล็กแค่เพียงครู่ ก่อนจะต้องรีบกลั้นยิ้มอย่างรวดเร็ว เพราะเวลานี้อีกฝ่ายกำลังวิ่งผ่านบริเวณโซนรับแขก เพื่อขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาแบบเปิดโล่ง และเท่าที่สังเกตดู บ้านขนาดกลางหลังนี้ เหมือนจะแบ่งสัดส่วนการใช้งานของสองพี่น้องเอาไว้อย่างชัดเจน โดยประตูห้องทางฝั่งขวามือ คงจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของ ‘คุณชลวิทย์’ ที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างหลังบ้าน และส่วนกลางของตัวบ้าน ก็คือบริเวณห้องรับแขกที่น่าจะใช้เป็นห้องทานอาหารด้วยแน่ๆ เพราะมีโต๊ะไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่วางตั้งอยู่บริเวณริมหน้าต่าง ส่วนฝั่งซ้ายมือข้างล่างของห้องใต้หลังคา ก็น่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าของบ้านตัวเล็ก และประตูตรงใต้บันไดที่เชื่อมไปยังห้องใต้หลังคาก็อาจจะเป็นห้องน้ำ
สรุปก็คือบ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่คิด
เพราะลักษณะของบ้านเป็นแบบแนวนอน และมีความกว้างเทียบเท่ากับห้องสแตนดาร์ดของโรงแรมดีๆ สักห้อง

゚゚❀゚゚

[edit 15/02/2018 แก้คำเกิน / edit 30/08/2018 รีไรท์สำนวนใหม่]
[edit 14/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

เรื่องนี้ไม่เชิงสปินออฟนะคะ แค่เป็นเรื่องของญาติผู้พี่ของพี่ตี๋บาสเพื่อนพี่เนย์จากฟอลอินยูเท่านั้นจ้า
เป็นแนวที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเลยในชีวิตนี้ 55 ลองติดตามกันต่อไปค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคแพนิค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2019 21:52:16 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
εїз ในป่าสน εїз
ตอน 1

“พี่ภัทร” ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะนั่งเล่นในสวน และหันมาให้ความสนใจกับผู้มาใหม่อย่างไอ้บาส ที่ในตอนนี้ได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว
“มีเรื่องอะไรวะ?” ผมเอ่ยถามพลางยกแก้วชาขึ้นจิบ พร้อมสังเกตสีหน้าของไอ้ญาติผู้น้องไปด้วย เพราะสีหน้าของมันในตอนนี้ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังมีเรื่องยุ่งยากใจเกิดขึ้น

“คืองี้พี่ เมื่อวานผมไปทำจิตบำบัดที่บ้านของไอ้ชลใช่ไหม แล้วบังเอิญวันนั้นฝนแม่งดันตก ผมก็เลยต้องนอนค้างที่บ้านหลังนั้น..” ไอ้บาสเล่าไปก็ขมวดคิ้วไป ผมจึงพยักหน้าเพื่อให้มันรีบพูดต่อ เพราะจู่ๆ มันก็ดันหยุดพูดขึ้นมาเสียดื้อๆ
“คือเราสองคนก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าครอบครัวนั้นเขามีกันแค่สองคนพี่น้อง..” ไอ้ญาติผู้น้องย้อนถามคล้ายกับต้องการจะตอกย้ำความเข้าใจของตัวเองอีกสักหน

“อืม” ผมตอบในลำคอพลางจิบชาคาโมมายล์ไปด้วย
“ใช่ไหมล่ะ แต่ทำไมเมื่อคืนผมถึงได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังฮัมเพลง แถมยังเดินตึงตังอยู่ในบ้านตอนกลางดึกได้วะ คือมันไม่ควรจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสิ เช้านี้ผมเลยถามทั้งสองคนว่าเมื่อคืนมีใครได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงบ้างไหม แต่พวกเขากลับตอบว่าไม่ว่ะพี่ คือแม่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ก็เธอเล่นฮัมเพลงเสียงดังจนผมสะดุ้งตื่นขนาดนั้น มันไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินจริงๆ นะเว้ยพี่ภัทร” ขณะที่ได้ฟังเรื่องราวจากไอ้ญาติผู้น้อง ผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“แปลก..” ผมอุทานออกมาเพียงเบาๆ เพราะจากคำบอกเล่าของไอ้บาส บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะใช่โจร เนื่องจากเธอกำลังฮัมเพลงอย่างสบายใจในขณะที่เจ้าของบ้านกำลังหลับใหล
“ใช่ไหมพี่ภัทร มันแปลกจริงๆ วันศุกร์นี้พี่ลองหาเรื่องไปนอนค้างที่นั่นดูสิ จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าผมหูฝาดหรือครอบครัวนั้นกำลังปิดบังอะไรบางอย่างกันแน่ เพราะผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้” ไอ้บาสมันเริ่มวางแผนพร้อมกับชักชวนให้ผมทำตามความต้องการของมัน เนื่องจากตั้งแต่อาทิตย์นี้เป็นต้นไป ผมกับไอ้บาสจะต้องแยกกันเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นคนละหนึ่งวัน
โดยไอ้บาสจะเป็นผู้บำบัด และผมจะเป็นผู้ติดตามความคืบหน้าพร้อมกับบำบัดด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

“ก็ได้วะ แต่แม่งวันเสาร์กูยังต้องทำงานอีก แล้วต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงวะนั่น” ผมรับปากพลางคำนวณคร่าวๆ ในใจ ว่าตัวเองจะต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่กี่โมง เพื่อให้วันรุ่งขึ้นมาทำงานได้ทันเวลา และสาเหตุที่ผมยอมตอบตกลง ก็เพราะผมคิดว่าบางทีผมอาจจะต้องผูกมิตรกับคุณชลวิทย์ให้มากกว่านี้ เพื่อที่เขาจะได้ไว้วางใจจนกระทั่งเปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆ ที่จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เขาเป็นกังวล เนื่องจากในครั้งแรกที่ผมเดินทางไปยังบ้านกลางป่ากลางเขาอย่างโดดเดี่ยว ก็สังเกตเห็นอะไรหลายๆ อย่าง เช่นว่า น้ำ ไฟ เข้าถึงยาก แถมระยะทางจากอำเภอฮอดมายังตัวเมืองเชียงใหม่ ก็ถือว่าไกลพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างต่ำสองชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าคุณชลวิทย์จะต้องใช้น้ำมันเยอะ เพราะอีกฝ่ายจะต้องขับรถไปยังตลาดในตัวเมืองตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน เหตุเพราะรายได้มันดีกว่าที่ตลาดในตัวอำเภอ

ดังนั้นก็เท่ากับว่าคุณชลวิทย์จะต้องคอยแบกรับภาระในเรื่องของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันสำหรับรถยนต์ส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ค่าน้ำอีกส่วนหนึ่ง ค่าไฟอีกส่วนหนึ่ง แล้วไหนจะค่ากินและค่าอื่นๆ อีก ฉะนั้นหากเขายังไม่สามารถปรับเปลี่ยนความคิดหรือหาวิธีรับมือกับความเครียดที่มีบ่อเกิดมาจากเรื่องดังกล่าวได้ อาการของเขาก็จะยังกำเริบต่อไป และครั้งล่าสุดเขาก็แจ้งกับไอ้บาสว่า ตอนที่กำลังขายผักอยู่ในตลาด อาการของเขายังคงกำเริบ ส่วนสาเหตุก็มาจากความหวาดกลัวที่มันฝังลึกอยู่ในจิตใจ ว่าถ้าหากเขามาขายของอาการแพนิคอันน่าหวาดกลัวนั่นก็จะกำเริบเหมือนอย่างวันนั้น จนทำให้ทุกวันนี้อาการแพนิคมักจะกำเริบเสียจนเขาแทบจะขายของไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไข้รายนี้เกิดอาการเครียดมากขึ้น แต่จากที่ได้พูดคุยกับไอ้บาส ทราบมาว่าเบื้องต้นมันได้สอนเทคนิคในการผ่อนคลาย เช่น การยืดเหยียดร่างกาย และการหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับแนะนำให้เพื่อนของมัน รู้จักการให้กำลังใจตัวเองในทางบวก
แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ก็คงต้องรอดูกันอีกทีในวันศุกร์ที่ใกล้จะถึงนี้

อีกทั้งก่อนหน้านี้ผมและไอ้บาสต่างก็เคยให้คำแนะนำไปแล้ว ว่าคุณชลวิทย์น่าจะลองลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อย่างเช่น โทรทัศน์และเครื่องปรับอากาศดูดีไหม เพราะมันคือตัวกินไฟแล้วยังผลาญเงินในกระเป๋าเป็นจำนวนมาก
แต่เขากลับให้เหตุผลว่าเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้..
และสาเหตุหลักๆ ก็มาจากน้องชายของเขานี่แหละ

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยจะเข้าใจในเหตุผลของเขามากนัก อาจเพราะผมเป็นลูกคนเดียวของบ้าน แถมมีญาติสนิทกับเขาสักคน มันก็ดันช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาตั้งแต่เล็กจนโต
ผมเลยไม่ต้องคอยประคบประหงมมันราวกับไข่ในหิน
 
แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะทำตัวไม่ต่างกับคุณชลวิทย์ เพราะปกติแล้ว ผมไม่เคยไปติดตามอาการของคนไข้ในรูปแบบนี้เลย หรือถ้าหากมีจริงๆ ก็ต้องเป็นเคสที่หนักหน่วง แต่สำหรับเคสนี้ ผมเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของไอ้บาส ที่นานๆ ครั้งผมจะได้ทำอะไรเพื่อมันบ้าง อีกอย่างเราสองคนก็โตมาด้วยกัน ผูกพันกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ ผมเลยยอมเหนื่อยแม้ว่าภาระงานของผมจะมีอยู่มากมายแล้วก็ตาม
อีกทั้งผู้อำนวยการของโรงพยาบาล ซึ่งก็คือคุณพ่อของผม ท่านก็อนุมัติแล้วด้วย

ปกติแล้วงานของผมจะยุ่งมากเป็นพิเศษ เพราะทุกวันนี้คนไข้ต่างก็ให้ความไว้วางใจต่อโรงพยาบาลที่ผมสังกัดอยู่เป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้การตรวจโอพีดีหรือการตรวจผู้ป่วยนอกต้องใช้เวลายาวนานกว่าปกติ นอกจากนี้ผมยังต้องไปราวนด์วอร์ดเพื่อดูคนไข้ในแต่ละเคสตามวอร์ดต่างๆ เช่น สูตินรีเวช ศัลยกรรม อายุรกรรม กุมารเวชกรรม ที่มีภาวะทางจิตเวชเกิดขึ้นในโรงพยาบาล เช่นว่า คนไข้ที่มานอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานเนี่ย เขามีอาการซึมเศร้าหรือเปล่า เพราะบางรายเขาจะชอบบ่นทำนองว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว หรือบางรายก็จะอยู่ในภาวะสับสน กระวนกระวาย อยากจะปีนลุกออกจากเตียงท่าเดียวก็มี
ดังนั้นกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน ผมก็แทบจะลืมเวลาไปแล้ว

ก่อนออกเดินทางผมแวะเข้าเซเว่น เพื่อหาอะไรง่ายๆ ทานรองท้อง ขณะขับรถไปยังบ้านสีน้ำตาลอ่อนหลังนั้นที่แอบซ่อนตัวอยู่ในทิวสนอันหนาทึบ ซึ่งมันน่าแปลกมากที่สถานที่สวยๆ แห่งนั้นกลับไม่เคยมีใครพานพบ และผมก็เชื่อได้เลยว่าถ้าหากมีใครพบมันเข้าล่ะก็ ทิวสนและทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์จะต้องกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยให้ความนิยมจนสามารถทำเงินให้กับจังหวัดเชียงใหม่ของเราได้เป็นกอบเป็นกำ
 
บรรยากาศสองข้างทางในยามดึก ทำเอาผมต้องเปิดไฟหน้ารถให้สูงขึ้น เพราะสองข้างทางมันเงียบสงัดจนน่ากลัว แต่โชคดีที่อย่างน้อยแสงจันทร์ยังพอจะสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างได้บ้าง จึงทำให้ผมสามารถมองเห็นทุ่งดอกไม้สีขาวอันโดดเด่นที่อยู่ท่ามกลางความมืดของป่าเขาแห่งนี้

กระทั่งเริ่มเข้าใกล้ตัวบ้านมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มมองเห็นแสงไฟจากหลอดนีออนที่เปิดต้อนรับเอาไว้ และเมื่อดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลงจากรถและปิดประตูให้สนิทก่อนจะล็อกรถเป็นลำดับต่อไป จากนั้นจึงค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปยังบ้านหลังนั้นอย่างเชื่องช้า
แต่ก็ยังไม่ทันจะเดินไปจนถึงที่หมาย เจ้าของบ้านก็ดันเปิดประตูออกมาต้อนรับเข้าเสียก่อน

“ขอโทษที่มาช้านะครับ พอดีงานผมติดพันนิดหน่อย” ผมกล่าวขอโทษคุณชลวิทย์พร้อมก้าวเดินเข้าไปข้างในตัวบ้านที่ยังคงเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำไม่ต่างกับวันแรกที่ผมเดินทางมาถึง
“ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณหมอทานอะไรมาหรือยังครับ ?”

“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมตอบพลางมองตามร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังเปิดตู้เย็นเพื่อนำน้ำดื่มมาบริการ ขณะที่เจ้าของบ้านอีกคนก็ยังคงขลุกตัวอยู่แต่ด้านบนของห้องใต้หลังคา อันเป็นพื้นที่ส่วนตัวเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวพลางหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง พร้อมกับส่งยิ้มไปให้คุณชลวิทย์ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาอีกตัว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“ช่วงนี้อาการแพนิคของคุณชลวิทย์เริ่มลดลงบ้างไหมครับ?” ผมเริ่มเข้าเรื่อง เมื่อถึงแก่เวลาอันสมควรแล้ว
“ก็ยังเหมือนเดิมครับ คือผมชอบเป็นตอนที่กำลังจะไปถึงตลาด แล้วก็ตอนขับรถ แต่ว่าผมเริ่มจะควบคุมการหายใจของตัวเองได้ดีขึ้นแล้ว ก็เลยควบคุมมันได้ดีกว่าแต่ก่อน ทำให้ระยะเวลาไม่นานเท่าเดิมน่ะครับ” ผมพยักหน้าขณะที่กำลังตั้งใจฟังคำบอกเล่าจากคนไข้รูปร่างสูงโปร่ง

“ที่ว่าเป็นตอนขณะขับรถนี่หมายถึงยังไงครับ คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”
“ผมกังวลว่าถ้าหากไปถึงที่ตลาดแล้วจะเกิดอาการน่ะครับ ก็เลยเริ่มเครียด แล้วบางครั้งก็เกิดอาการในขณะที่กำลังขับรถจนต้องพักจอดแถวๆ ข้างทางอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็คอยบอกกับตัวเองนะครับ ว่ามันก็แค่อาการแพนิค เรามียากินแล้ว แถมยังฝึกหายใจก็เป็นแล้ว ยังไงก็ไม่ตายแน่ๆ แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็เกือบแย่เหมือนกันครับ” หลังจากฟังจบ ผมส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้กับคนไข้

“ความพยายามเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จนะครับคุณชลวิทย์” ผมกล่าวพลางยกยิ้ม ขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มตามผมไปด้วย
“ตอนนี้ผมก็พยายามคิดหาทางออกในด้านการเงินอยู่นะครับ แต่ว่าผมก็ยังคิดไม่ออกเลย”
และในที่สุดอีกฝ่ายก็กล่าวเปิดประเด็นที่ผมกำลังให้ความสนใจ

“คุณชลวิทย์ไม่ลองย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ดูล่ะครับ หาห้องพักแบบถูกๆ ก็ได้ ผมสามารถช่วยคุณหาได้นะ อย่างน้อยก็ประหยัดค่าน้ำมันและลดระยะเวลาในการเดินทางได้อีกด้วย” ผมเริ่มเสนอหนทางที่ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้ว
“ไม่ได้หรอกครับ..” คุณชลวิทย์กล่าวพลางส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า แต่กลับหนักแน่นจนผมรู้สึกได้

“ผมต้องทานยาเพิ่มไหมครับ?” หลังจากนั้นเจ้าของบ้านก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกประโยค ราวกับต้องการจะปัดเรื่องเมื่อครู่ให้ตกประเด็น ผมจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
“ยังเหมือนเดิมครับ แต่ผมจะค่อยๆ เพิ่มขนาดยาทีละนิดนะ” ผมตอบพลางหันไปหยิบยาโปรแซกและยาอัลปราโซแลมยื่นให้กับคุณชลวิทย์

“โปรแซกยังทานวันละครั้งหลังอาหารเหมือนเดิมนะครับ ส่วนอัลปราโซแลมก็แบ่งทานวันละ 3 ครั้งครับ” ผมยังคงย้ำเตือนข้อมูลเกี่ยวกับยาดังกล่าวเหมือนกับทุกครั้งที่จ่ายยาให้กับคนไข้รายนี้
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเอากระเป๋าสตางค์สักครู่นะครับ” หลังจากที่อีกฝ่ายยิ้มรับอย่างเข้าใจแล้ว เขาก็เอ่ยขอตัวเพียงครู่ ผมจึงพยักหน้าในเชิงรับรู้ก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบพร้อมครุ่นคิดว่าผมควรจะชวนเขาพูดคุยเพื่อผูกมิตรอย่างไรดี เพราะผมมีความรู้สึกว่า เขายังมีเรื่องบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ
ซึ่งเรื่องที่ว่านั้น ก็น่าจะเกี่ยวกับอาการแพนิคของเขาด้วย

“จะสองทุ่มแล้ว ยังไงคุณหมอค้างที่นี่ดีไหมครับ ผมว่าขับรถตอนกลางคืนมันอันตราย” หลังจากชำระเงินเรียบร้อย เจ้าของบ้านก็เอ่ยเชื้อเชิญให้ผมนอนค้าง ซึ่งมันก็เข้าทางผมเป็นอย่างดี
“ก็ได้ครับ ถ้ายังไงรบกวนด้วยนะครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มและเดินตามคุณชลวิทย์เพื่อไปดูห้องรับรองแขกที่ผมจะต้องใช้เป็นที่หลับนอนในคืนนี้

“เสื้อจะอยู่ในตู้ไม้นะครับ แล้วก็ประมาณสามทุ่มไฟจะดับทั้งหลัง เพราะว่าเราปั่นไฟใช้เอาน่ะครับ ยังไงต้องขอโทษในความไม่สะดวกด้วยนะครับ” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นอีกฝ่ายก็ปล่อยให้ผมอยู่ในห้องรับรองเพียงลำพัง ผมจึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เพราะยังไงก็มีมุ้งลวดกันยุงอยู่แล้ว แต่พอผมลองหาเทียนมาจุดให้แสงสว่างกลับไม่มี ผมเลยถอดใจและตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนที่ไฟฟ้าจะดับ ซึ่งห้องน้ำมันเชื่อมกับห้องรับรองเข้าพอดี ดังนั้นเวลาเข้าห้องน้ำผมจะต้องล็อกกลอนจากประตูทางฝั่งข้างนอก และเมื่ออาบน้ำเสร็จผมจะต้องล็อกกลอนจากประตูทางฝั่งห้องของผม

กระทั่งผมอาบน้ำเสร็จ ทุกอย่างก็มืดสนิทลงในพริบตา

ผมนั่งเช็ดผมในห้องรับรองแขกที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องบริเวณเตียงนอนนุ่มๆ หลังนี้เพียงเล็กน้อย เพราะในส่วนของตัวบ้านไม่ได้หนาทึบไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่ อีกทั้งตรงข้างบ้านก็ยังมีลำธารขนาดเล็กไหลเอื่อยจนได้ยินเสียงน้ำเพียงเบาๆ ผมนั่งรอจนกระทั่งเส้นผมแห้งหมาดก็ลุกขึ้นเอาผ้าเช็ดตัวไปตาก
จากนั้นก็เดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆ ด้วยความเหนื่อยล้า

แต่เพราะความแปลกที่จึงทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ผมเลยตัดสินใจถือโอกาสไปหาน้ำดื่มแก้กระหาย แต่ทันทีที่เปิดประตูออกไป ผมกลับพบเจ้าของบ้านตัวเล็กกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวบริเวณมุมข้างหน้าต่างที่มีแสงจันทร์สาดส่อง
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?” ผมยกยิ้มพลางเอ่ยถามน้องจันทร์ พร้อมกับเปลี่ยนทิศทางการก้าวเดินไปยังอีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม เพราะอันที่จริงผมก็ไม่ได้หิวน้ำอะไรมากมายอยู่แล้ว
และอย่างน้อยมีเพื่อนคุยจนง่วง ก็อาจจะทำให้ผมนอนหลับได้ง่ายขึ้น

“เวลาไฟดับจันทร์จะนอนไม่ได้ครับ” เด็กชายตรงหน้ากล่าวพลางมองไปยังแสงจันทร์ด้วยดวงตาอันเป็นประกาย
“จันทร์กลัวความมืดเหรอครับ?” ผมเอ่ยถามพลางยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ขณะที่แววตาก็แฝงความสงสัยเอาไว้จนเต็มเปี่ยม

“อื้ม” น้องตอบพลางพยักหน้าขณะที่สายตาก็ยังคงมองออกไปข้างนอกไม่แปรเปลี่ยน
“แล้วทำไมถึงไม่จุดเทียนล่ะ ?” ผมยังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัยต่อไป

“ไม่มีครับ” เด็กชายตรงหน้าหันกลับมามองผมพลางส่ายหน้าเพื่อยืนยันคำตอบดังกล่าว ทำเอาผมเผลอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจ
“พี่ชลไม่รู้ว่าจันทร์กลัวความมืดเหรอครับ?” แต่แล้วผมก็ตัดสินใจลองถามหยั่งเชิงกลับไป

“รู้.. แต่ว่ามันแพง” ทันทีที่ได้ยินคำตอบของจันทร์ ผมก็ยิ่งขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะคนรักน้องอย่างคุณชลวิทย์ที่ยอมเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เพื่อทำมาหากินให้น้องชายได้มีกินมีใช้อย่างสบายๆ แถมยังลงทุนแม้กระทั่งติดตั้งแอร์และโทรทัศน์ขนาดนั้น ดูไม่น่าจะมาขี้เหนียวกับเรื่อง ‘เทียน’ ที่มีราคาถูกแสนจะถูก
“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าพี่ภัทรจะซื้อเทียนให้จันทร์สักเล่มดีไหม เอาเป็นเทียนหอมก็แล้วกัน พี่ว่าจันทร์น่าจะชอบ” ผมเสนออย่างใจดี เพราะผมรู้สึกสงสารเด็กคนนี้จับใจ และก็เข้าใจดีว่าการอยู่กับสิ่งที่เราหวาดกลัว มันทรมานมากแค่ไหน
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือคุณชลวิทย์นี่แหละ
ทำไมเขาถึงต้องหลอกน้องชายที่ตัวเองรักนักรักหนาด้วย

“แต่จันทร์ไม่มีเงินจ่ายคืนพี่หมอหรอกนะ” น้องหันมาบอกพลางใช้ดวงตากลมใสชี้แจงข้อจำกัดของตัวเอง แต่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังดีใจมากมายแค่ไหน เนื่องจากแววตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับจนผมยังรู้สึกได้
“ไม่เป็นไร พี่ให้ฟรี ถือว่าเป็นของขวัญที่เราได้รู้จักกัน” ผมยกยิ้มพลางเอื้อมมือไปลูบเรือนผมของอีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง

“พี่ไปนอนก่อนนะ จันทร์เองก็เข้านอนได้แล้ว แต่ถ้าหากยังกลัวอยู่ จันทร์ลองหลับตาแล้วจินตนาการว่าตอนนี้รอบๆ ตัวของจันทร์ไม่ได้มืดมิด แต่ยังมีแสงเทียนให้ความสว่างอยู่ตรงหัวเตียงก็ได้ พี่คิดว่ามันน่าจะได้ผล” ผมให้คำแนะนำพร้อมยกยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับเจ้าของบ้านตัวเล็ก
“อื้อ จันทร์จะลองดู” เด็กชายวัย 15 ปีพยักหน้าตอบรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนและก้าวเดินไปที่บันได เพื่อขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาอันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเข้าห้องนอนของตัวเองนั้น จันทร์ก็ร้องเรียกผมเอาไว้เสียก่อน และเมื่อผมหันกลับไปยังทิศทางที่เจ้าตัวยืนอยู่ ริมฝีปากเล็กคู่นั้นก็ค่อยกล่าวคำอวยพรให้นอนหลับฝันดีเพียงสั้นๆ
จากนั้นเจ้าของบ้านตัวเล็กก็เดินหายลับไปจากสายตา..

กระทั่งปิดประตูและเข้ามาพบเจอกับความเงียบสงัดภายในห้องรับรอง ผมก็ทิ้งตัวลงนอนพลางหลับตาลงเพื่อบังคับให้ตัวเองเข้านอนให้ได้ เนื่องจากพรุ่งนี้ผมยังต้องตื่นแต่เช้า และยังมีงานที่ต้องทำอยู่อีกมาก หากไม่นอนพักให้เพียงพอล่ะก็ ผมอาจจะต้องกลายร่างเป็นซอมบี้ไม่ต่างกับวันที่ต้องอยู่เวรลากยาวแน่ๆ

คลิก!

“เสียงประตู..” ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูบ้านในยามวิกาล จึงลุกขึ้นนั่งและตัดสินใจแง้มประตูออกไปดูความเป็นไปข้างนอก เผื่อว่าโจรขึ้นบ้านจะได้รู้ตัว
แต่แล้วม่านสายตาก็พบเจอแต่ความมืดมิด
 
ผมจึงตัดสินใจเดินแทรกตัวออกไปด้านนอกท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด กระทั่งปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษดินจำนวนมาก หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น เพราะมันเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ว่ามีใครบางคนแอบเข้ามาภายในบ้านหลังนี้ ผมจึงเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมอย่างระแวดระวัง ขณะที่ใจก็เต้นระรัวด้วยอาการของเลือดลมสูบฉีดเพราะความตื่นเต้นอย่างเต็มที่
แต่ไม่ว่าผมจะลองเปิดประตูห้อง หรือว่าจดจ้องไปยังทิศทางใด ล้วนพบเจอแต่ความว่างเปล่า..
ราวกับว่า.. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมก็แค่ฝันไป..


゚゚❀゚゚
[15/02/2018 รีไรท์บางช่วงในสมูทขึ้น / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
เด็กผู้หญิงคือใคร
โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:14:10 โดย Chomin »

ออฟไลน์ เฉื่อย

  • UNCOMMON AS NORMAL.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
จิ้มก่อนค่ะ
ยังไม่ได้อ่านแต่ชื่อเรื่องแอบไม่น่าไว้ใจ55555555

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ใช่แล้วเด็กผญ.คนนั้นเป็นใคร

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
«ตอบ #5 เมื่อ25-01-2018 08:18:06 »

ตอน 2

ด้วยความที่ผมเพิ่งจะลงเวรจึงทำให้ตอนนี้ร่างกายเหมือนกับต้องการจะปิดสวิตช์ตลอดเวลา ข้าวปลาอาหารแทบไม่อยากกิน แต่ผมก็ยังตัดสินใจจะเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนพร้อมกับไอ้บาสเพื่อเอาเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ไปให้จันทร์ ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังเดินทางอยู่นั้น ผมก็นั่งหลับตาไปตลอดทาง
กระทั่งเดินทางมาจนถึงบ้านหลังที่คุ้นเคย ผมก็ปล่อยให้ไอ้บาสทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ผมก็ชักชวนจันทร์ออกมานั่งเล่นข้างนอกเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้ป่วยและนักจิตวิทยาที่อยู่ด้านใน

“จันทร์รู้จักวิธีจุดเทียนแบบไม่ให้มีควันหรือเปล่า ?” หลังจากพากันเดินออกมานั่งตรงโต๊ะม้าหินอ่อนข้างบ้าน ใกล้ๆ ริมลำธารเล็กๆ บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แสงไฟจากตัวบ้านสาดส่องมาถึง ผมก็สอบถามคนตรงหน้าที่กำลังพลิกขวดแก้วที่ภายในบรรจุเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อย่างสนใจ
“จันทร์ไม่รู้..” น้องตอบพลางส่ายหน้าและมองจ้องมายังผมด้วยดวงตาอันใสแจ๋วของเจ้าตัว

“สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศมีคนเคยบอกพี่ว่า เราจะต้องเล็มไส้เทียนประมาณ 3-4 นิ้วเรื่อยๆ จะได้ไม่เกิดควัน แล้วถ้าเปลวไฟสูงเกินไปก็จะยิ่งทำให้เทียนหมดเร็วขึ้นด้วย ที่สำคัญเวลาตัดไส้เทียน เราจะต้องใช้กรรไกรเล็มไส้เทียนโดยเฉพาะ พี่แบ่งให้จันทร์หนึ่งเล่ม รักษาให้ดีๆ รู้ไหมครับ? มันอยู่ในกล่องที่จันทร์วางเอาไว้บนโต๊ะไม้นั่นแหละ” ผมอธิบายให้คนตรงหน้าที่กำลังตั้งใจฟังพร้อมกับพยักหน้ารับเป็นระยะด้วยความเอ็นดู
“แล้วเวลาจุดเทียนหอมในแต่ละครั้ง จันทร์จะต้องรอให้น้ำตาเทียนละลายจนเต็มหน้าเทียนก่อนที่จะดับทุกครั้ง เพราะเวลาดับเทียนเนี่ย เราจะนิยมใช้อุปกรณ์อะไรก็ได้ที่ไม่ติดไฟมากดไส้เทียนให้จมลงในน้ำตาเทียน จากนั้นก็ค่อยงัดไส้เทียนขึ้นมาตั้งใหม่ เปลวไฟจะได้ดับโดยที่ไม่มีควัน แต่อันที่จริงมันก็ขึ้นอยู่กับว่าจันทร์สะดวกแบบไหนด้วยนั่นแหละ เพราะขนาดพี่เวลาจะดับเทียนหอมแต่ละทียังใช้ปากเป่าเอาเลย ขี้เกียจจะมีพิธีรีตองอะไรมากมาย” ผมพูดพลางกลั้วหัวเราะ ทำเอาคนฟังเองก็หัวเราะตามไปด้วย เพราะอีกฝ่ายก็คงจะคิดเหมือนกัน

“เดี๋ยวคืนนี้ตอนไฟดับจันทร์จะลองจุดดูครับ” น้องยกยิ้มพลางเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเอาขวดเทียนหอมไปวางรวมกับกรรไกรตัดไส้เทียน จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่เดิม
“ปีนี้จันทร์อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ?” ผมเริ่มเปิดประเด็นเมื่อระหว่างเรากำลังเกิดความเงียบครอบงำขึ้นมา

“15 จะ 16 แล้วครับ” เจ้าของบ้านตัวเล็กเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งคำตอบของเขาก็ไม่ผิดไปจากที่ผมประเมินนัก
“แล้วในเชียงใหม่จันทร์เคยไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างล่ะ ?” ทันทีที่ผมถามจบ คนตรงหน้าก็ละความสนใจจากลำธารน้ำไหลเอื่อยมายังผมอีกครั้ง

“ยังไม่เคยเลยครับ” เด็กชายตรงหน้าตอบพลางส่ายหัวราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเองให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทำเอาผมยกยิ้มไม่เป็นขึ้นมา
“แล้วจันทร์อยากจะไปเที่ยวไหม ที่เชียงใหม่มีที่เที่ยวสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ” เมื่อตั้งสติได้ ผมก็ลองถามหยั่งเชิงกลับไป

“พี่ชลไม่ให้จันทร์ไปหรอกครับ จันทร์อยู่ได้แต่ในบ้าน”
“หืม ? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างไม่เข้าใจที่คนรักน้องอย่างคุณชลวิทย์ ชอบออกปากห้ามจันทร์ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องและยังมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่ผมเองก็บอกไม่ถูก แต่กับเรื่องไปเที่ยวน่ะ ผมยังพอจะเข้าใจ ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับข้อจำกัดทางการเงิน แต่กับเรื่องที่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน มันแลเผด็จการไปหน่อย แล้วไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมซื้อเทียนมาให้ใช้ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าจันทร์กลัวความมืด มันก็ออกจะขัดๆ กับภาพลักษณ์ของพี่ชายผู้แสนดีค่อนข้างมาก

“ไม่รู้”
“แล้วจันทร์เคยไปเดินเล่นที่ทุ่งดอกไม้ตรงปากทางเข้าบ้านหรือยังล่ะ มันสวยมากเลยนะ” พอได้รับคำตอบปิดประเด็นอย่างนั้น ผมก็เอ่ยถามเพื่อเปิดทางในการทำกิจกรรมฆ่าเวลาต่อทันที

“ยังเลยครับ” คำตอบที่ได้รับ ทำเอาผมนึกแปลกใจขึ้นมาอีกหน
“งั้นเราไปเดินเล่นกันดีไหม เดี๋ยวพี่เปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ให้ แสงน่าจะสว่างพอให้จันทร์ไม่กลัวความมืดอยู่หรอก” ผมลองถามหยั่งเชิงพลางยกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกชะตากับจันทร์นักหนา หรือว่าอาจเป็นเพราะจันทร์เป็นเด็กที่มีความสดใสและมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวก็ไม่รู้ เพราะเวลาที่เขาอยู่กับคนที่ไม่สนิท เขาจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับคุณชลวิทย์ เพราะเวลานั้นเขาจะชอบทำตัวเหมือนเด็กร่าเริงสมวัย

“อื้อ”

เวลานี้เราสองคนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางดินอันเป็นเส้นทางในการเดินรถ ขณะที่รอบๆ ตัวในส่วนที่ไกลออกไป กลับมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด แต่หากมองในระยะใกล้ที่แสงสีขาวอันสว่างเจิดจ้าจากโทรศัพท์สามารถส่องมาถึง ก็จะพบกับทิวสนขนาดใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายตลอดสองข้างทางจนบดบังความงดงามจากฟากฟ้าเสียแทบมิด
 
“กลัวเหรอจันทร์?” ผมเอ่ยถามเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเดินเบียดเสียดแนบชิด
“อื้อ” น้องพยักหน้าพลางมองไปรอบๆ ตัวด้วยท่าทางของคนหวาดระแวง

“จันทร์มองตามแค่ตรงแสงไฟที่พี่ส่อง ส่วนตรงอื่นไม่ต้องไปสนใจ” ผมพยายามใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเพื่อพูดกล่อมให้จันทร์คลายความกังวล พร้อมกับชี้นำให้อีกฝ่ายสามารถจัดการกับความหวาดกลัวของตัวเองได้เบื้องต้น
“มุมนี้เห็นดาวด้วย” ผมหยุดการก้าวเดิน พลางชี้ชวนให้จันทร์มองขึ้นไปข้างบน โดยที่สายตาของเขาก็ค่อยๆ ลากผ่านทุกสิ่งอย่างตามดวงไฟที่ผมเป็นคนถือ และเมื่ออีกฝ่ายได้เห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนนั้น ริมฝีปากของเขาก็วาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม
และผมก็แอบยิ้มตามไปด้วย..

“จันทร์โชคดีมากเลยนะที่ได้อยู่ท่ามกลางวิวสวยๆ แบบนี้น่ะ” ผมกล่าวพลางก้าวเดินไปพร้อมๆ กับจันทร์อีกครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายก็หันมายิ้มรับถ้อยคำเมื่อครู่ แล้วก็หันกลับไปจดจ้องภาพตรงหน้าตามทิศทางที่แสงไฟจะสาดส่องไปถึง

“ตอนมาที่นี่ครั้งแรก พี่แปลกใจมากที่บ้านของเราอยู่ในป่าลึกขนาดนี้ แถมยังอยู่หลังเดียวโดดๆ ด้วย”
“เพราะแบบนั้นไงครับ พี่หมอกับพี่บาสก็เลยเป็นแขกกลุ่มแรกของบ้านเรา” เจ้าของบ้านตัวเล็กกล่าวพลางยกยิ้ม ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มรับคำกล่าวนั้น เพราะดูท่าทางมันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวบอกนั่นแหละ

“จันทร์เห็นดอกไม้สีขาวนั่นไหม เขาเรียกว่าดอกสโนว์ดรอปส์ จริงๆ เป็นดอกไม้จากต่างประเทศ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงมาขึ้นตรงนี้ได้” ผมเอ่ยพลางกวาดแสงไฟฉายไปยังทุ่งดอกไม้ที่อยู่ทางฝั่งขวามือครู่หนึ่ง และซ้ายมืออีกครู่หนึ่ง กระทั่งอีกฝ่ายเงียบไป ผมจึงหันหน้ากลับมายังด้านขวามือของตัวเอง เลยเห็นว่าจันทร์กำลังยืนตัวสั่น แถมเหงื่อยังแตกพลั่กอย่างน่าตกใจ อีกทั้งลมหายใจของเจ้าตัวก็ยังดูติดขัด เหมือนกับหายใจไม่เต็มอิ่ม หัวคิ้วของผมจึงขมวดมุ่นด้วยความครุ่นคิด กระทั่งน้องกุมหน้าอกและล้มลงกับพื้นดิน ผมจึงรีบประคองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เหตุเพราะตอนนี้ผมเริ่มจะมั่นใจแล้วว่า..
จันทร์เองก็อาจจะมีอาการแพนิคเหมือนกับพี่ชายของเขา!

“หายใจเข้าลึกๆ นะจันทร์ เดี๋ยวพี่จะนับหนึ่งถึงสี่ แล้วจันทร์ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกตามเลขที่พี่นับ” ผมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่อีกฝ่ายก็รีบกระชับฝ่ามือของผมเอาไว้แน่น โดยที่น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสาย เพราะเขากำลังหวาดกลัว

“หนึ่ง” เมื่อผมเริ่มนับ จันทร์ก็รีบสูดลมหายใจเข้าตามคำแนะนำอย่างรวดเร็ว

“สอง”

“สาม”

“สี่” และทันทีที่ผมนับเลขมาจนถึงตัวสุดท้าย จันทร์ก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกตามจังหวะการนับเลขของผม แต่อาการของอีกฝ่ายก็ยังไม่ดีขึ้น
“เดี๋ยวจันทร์ทำเหมือนเดิมอีกครั้งนะ” เมื่อผมแนะนำจบ อีกฝ่ายก็เริ่มกระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น ขณะที่ดวงตากลมใสคู่นั้นก็ยังขลังคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่แปรเปลี่ยน จากนั้นผมก็เริ่มนับหนึ่งถึงสี่ในจังหวะเชื่องช้า โดยกะเวลาให้มันครบสี่นาที และเมื่อถึงจังหวะที่อีกฝ่ายจะต้องผ่อนลมหายใจออก ผมก็ยังคงนับเลขเป็นการนำร่องให้ผู้ป่วยหายใจ ก่อนจะแนะนำให้จันทร์ทำเหมือนเดิมอีกเป็นรอบที่สาม อาการของอีกฝ่ายจึงเริ่มดีขึ้นบ้าง จากนั้นผมก็บอกให้จันทร์กลั้นหายใจอีกประมาณ 7 วินาที โดยผมจะเป็นคนให้สัญญาณเหมือนเดิม

“ห้า”

“หก”

“เจ็ด” กระทั่งตัวเลขตัวสุดท้ายเดินทางมาถึง จันทร์ก็หยุดกลั้นหายใจและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง โดยที่ฝ่ามือของเขาก็ยังคงจับยึดฝ่ามือของผมไว้ไม่ยอมปล่อย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าอาการของอีกฝ่ายดีขึ้นมาก ซึ่งระยะเวลาของการเกิดอาการก็ราวๆ 15 นาที เพียงแต่มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากกว่านั้นในความคิดอีกฝ่าย เพราะทันทีที่เขาตั้งสติได้ เขาก็โผเข้ากอดผมพร้อมกับปล่อยโฮอย่างน่าสงสาร ผมจึงได้แต่ลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาเป็นการปลอบใจ
“เมื่อกี้จันทร์เหมือนจะตายเลยพี่หมอ มันหายใจไม่ออก แล้วก็เจ็บหน้าอกด้วย จันทร์ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ความรู้สึกมันเหมือนกับจันทร์กำลังจะตายในอีกไม่กี่นาทีนี้ มันน่ากลัวมาก มันน่ากลัวจริงๆ นะพี่หมอ” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวปนสะอื้น ขณะที่ฝ่ามือของผมก็ยังคงลูบไล้แผ่นหลังของอีกฝ่ายเพียงเบาๆ เพื่อให้เขาอุ่นใจ

“จันทร์ไม่ต้องกลัวนะ อาการของจันทร์พี่คิดว่าอาจจะเข้าข่ายโรคแพนิค แต่การจะเป็นแพนิคได้ เราจะต้องมีอาการกำเริบซ้ำบ่อยๆ ว่าแต่จันทร์เพิ่งเป็นครั้งนี้ครั้งแรกหรือว่าเป็นมาหลายวันแล้ว ?” ผมเอ่ยถามพลางประคองน้องให้ลุกขึ้นยืน เพื่อที่เราจะได้เดินทางกลับบ้านด้วยกัน โดยคราวนี้ผมกระชับไหล่ของเขาให้แนบชิดกับตัวเอง และในขณะที่เรากำลังจะเดินกลับไปยังบ้านสีน้ำตาลหลังนั้น ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ในตอนนี้หน้าจอแตกร้าวสาดแสงไปยังหนทางเบื้องหน้า เพราะเมื่อครู่ผมกำลังตกใจจึงเผลอปล่อยมันลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว
“จันทร์เพิ่งเป็นครั้งแรกครับพี่หมอ” ผมพยักหน้าพลางครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการอย่างคิดไม่ตก

“นอกจากความมืด จันทร์ยังกลัวอะไรอีกไหม ?” ผมเอ่ยถามขณะที่เรากำลังเดินเข้าใกล้ตัวบ้านมากยิ่งขึ้น
“จันทร์กลัว..”

“พี่ภัทรเรากลับกันเถอะว่ะ” ขณะที่จันทร์กำลังจะตอบ ไอ้บาสก็เดินออกมาจากตัวบ้านเข้าพอดี เลยทำให้การพูดคุยของเรามีอันต้องหยุดชะงักไป
“เออๆ” ผมยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาดู พอเห็นว่าเวลานี้มันสามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ผมก็เลยรีบรับปากไอ้บาสอย่างรวดเร็ว เพราะถ้ามัวแต่โอ้เอ้อยู่แบบนี้ เราอาจจะกลับไปถึงตัวเมืองประมาณเที่ยงคืนก็เป็นได้ เพราะให้ตายยังไงไอ้บาสมันก็ไม่ยอมค้างคืนที่นี่แน่ และผมที่ไม่ได้เอารถของตัวเองมาเลยต้องยอมติดสอยห้อยตามมันไปด้วย

“จริงๆ มึงกับคุณหมอค้างที่นี่ก็ได้นะ” คุณชลวิทย์เปิดประตูเดินออกมาจากบ้านอีกคน พร้อมชักชวนให้เราสองคนพักค้างคืนที่บ้าน โดยระหว่างที่เรากำลังยืนคุยกันอยู่นั้น ก็มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่คอยให้ความสว่างจนพอจะมองเห็นสีหน้าค่าตากันได้
“ไม่ดีกว่าว่ะ พอดีพรุ่งนี้กูต้องเข้างานเช้ามากๆ กลัวว่าจะไปไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นกูลาเลยแล้วกัน” ไอ้บาสรีบพูดปิดทางที่จะทำให้ตัวเองได้พักค้างคืนที่นี่อย่างรวดเร็ว
เพราะตั้งแต่เกิดเหตุในคืนนั้น..
มันก็ไม่กล้าจะอยู่ที่บ้านของคุณชลวิทย์เป็นเวลานานอีกเลย

“ผมลานะครับ พี่ไปก่อนนะจันทร์” พอไอ้บาสมันขึ้นไปสตาร์ทรถรอจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็จำต้องรีบกล่าวลาสองพี่น้อง แล้วขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ และในเวลานี้ผมก็หายง่วงและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะมัวแต่นั่งคิดถึงสาเหตุที่ทำให้จันทร์มีอาการแบบนั้น พร้อมกับคิดกังวลว่าอีกฝ่ายจะดูแลตัวเองเป็นหรือเปล่า ในเมื่อผมยังไม่ได้แนะนำหรือพูดคุยอะไรมากนัก แต่คุณชลวิทย์เองก็ป่วยเป็นโรคแพนิคอยู่ ถ้าหากจันทร์มีอาการแพนิคจริงๆ เขาก็น่าจะช่วยแนะนำน้องชายตัวเองได้
“พี่ไปคลุกดินที่ไหนมาวะนั่น” เมื่อรถขับเข้ามายังเขตตัวเมือง เราสองคนก็ตัดสินใจแวะเซเว่นเพื่อหาอะไรกินรองท้องอีกสักรอบ จึงทำให้อีกฝ่ายมองเห็นสภาพมอมแมมของผมได้อย่างชัดเจน

“กูไปเดินเล่นมา แล้วพอดีจันทร์ดันเกิดอาการเหมือนแพนิคน่ะสิ แต่เพิ่งเป็นครั้งแรกก็ยังฟันธงไม่ได้หรอก เพราะตามหลักแล้วถ้าเกิดอาการเพียงครั้งเดียวโดยไม่ส่งผลอะไรจะไม่นับว่าเป็นแพนิค คิดๆ ดูแล้วกูอยากให้จันทร์ลองไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลว่ะ เผื่อบางทีจันทร์อาจจะเป็นโรคอื่น เช่นพวก โรคหัวใจ โรคหืด ไมเกรน ลมชักอะไรแบบนี้”
“วันศุกร์พี่ก็ลองคุยกับไอ้ชลดูสิ ผมว่ายังไงมันก็น่าจะเห็นดีเห็นงามด้วย ในเมื่อมันก็รักจันทร์ออกปานนั้น” ไอ้บาสกล่าวเสริมพลางหยิบแก้วกาแฟบนเคาน์เตอร์คิดเงิน พร้อมกับเดินออกมานั่งดื่มด้วยกันข้างนอก

“กูว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ เพราะจันทร์บอกกับกูว่าเพื่อนมึงให้อยู่แต่ในบ้าน”
“มันคงเป็นห่วงน้องมันนั่นแหละ” ไอ้บาสกล่าวพลางก้มหน้าเป่ากาแฟในมือของตัวเองให้หายร้อน ขณะที่ผมก็วางแก้วใบเล็กที่บรรจุกาแฟชนิดเดียวกับอีกฝ่ายลงบนพื้นที่ว่างข้างๆ ตัว

“เอาจริงๆ นะมึง คนห่วงน้องแต่ทำไมถึงทำแบบนั้นวะ รู้ว่าน้องกลัวความมืดแต่ดันไม่ยอมซื้อเทียนมาให้ บอกแต่ว่าแพงๆ คือเทียนแม่งกล่องละไม่กี่บาทเอง กูไม่เข้าใจว่าเขาจะโกหกจันทร์ไปทำไม ยิ่งวันนั้นกูไปค้างที่บ้านแล้วเจอคนแอบเข้ามาในบ้าน มันก็ยิ่งอันตรายนะเว้ย ไม่รู้รักน้องยังไงถึงปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวทั้งๆ ที่ก็รู้ทั้งรู้นะว่ามีคนแอบเข้ามาในบ้าน แต่กูก็ได้แค่เตือนไง เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นก็อีกเรื่อง”
“ก็จริง เสี้ยวนึงผมก็คิดเหมือนพี่ว่ะ ไอ้ชลมันดูแปลกๆ เหมือนมันโกหกเรายังไงก็ไม่รู้ คือผมรู้สึกเหมือนกับว่า มันยังไม่ได้บอกสาเหตุจริงๆที่ทำให้เกิดอาการแพนิคว่ะ แต่ก็นะ จิตใจคนเรามันอ่านกันยาก บางทีเซ็นส์ของผมอาจจะมั่วก็ได้ แล้วมันเองก็เป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่สนิทกันมากซะด้วย คงไม่น่าจะไม่ไว้ใจกันขนาดนั้นหรอกมั้ง” หลังจากที่ฟังไอ้บาสระบายเรื่องของคุณชลวิทย์ ผมก็ได้แต่ยักไหล่ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าเขายังปิดกั้นการรักษาอย่างที่เราคิดกันหรือเปล่า เพราะหลายๆ ครั้งพฤติกรรมของเขามันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เขายังมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ ซึ่งเรื่องที่ปิดบังมันจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาการป่วยของเขาอย่างแน่นอน..
แต่ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลา ยิ่งบางรายต้องใช้เวลานานถึงสิบปี ยี่สิบปีก็มี
ซึ่งคุณชลวิทย์ก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็เป็นได้..

゚゚❀゚゚

[15/02/2018 รีไรท์บางช่วงให้สมูทขึ้น / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
พอดีเราลงที่อื่นไปบ้างแล้วเลยลงรวดเดียวแล้วกัน 55
น้องจันทร์จะเป็นแพนิคไปอีกคนหรือเปล่า โปรดติดตามกันต่อไปจ้า ส่วนเรื่องเด็กผู้หญิงไว้เจอกันอีกทีตอนหน้า แต่จะมาแบบไหนนั้นก็อีกเรื่อง 555 เรื่องนี้เป็นแนวที่ไม่ถนัดอย่างแรง มีผลพวงมาจากการเขียนตอนพิเศษของฟอลอินยูด้วยส่วนนึง ทำให้อยากลองเขียนแบบจริงๆจังๆดู เพราะปกติจะถนัดแต่ละมุนๆ ฟีลกู๊ดๆ เลยอยากรู้ฟีทแบคมากว่ามันออกมาเป็นยังไง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:17:02 โดย Chomin »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
«ตอบ #6 เมื่อ25-01-2018 18:09:40 »

 o13

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
«ตอบ #7 เมื่อ06-02-2018 00:48:27 »

ขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ผีได้ไหมคะ  :ling2:

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 2 (update 25/01/2018)
«ตอบ #8 เมื่อ09-02-2018 22:48:11 »

 :m20:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 3 (update 11/02/2018)
«ตอบ #9 เมื่อ11-02-2018 01:00:47 »

ตอน 3

“ช่วงนี้คุณชลวิทย์ได้ลองขับรถเข้าไปที่ตลาดในตัวเมืองพร้อมกับคุณปริพันธ์ด้วยใช่ไหมครับ ?” หลังจากดื่มน้ำที่เจ้าของบ้านนำมาเสิร์ฟจนเรียบร้อย ผมก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว จึงรีบพูดเปิดประเด็นของการรักษา
“ครับ ไอ้บาส.. เอ่อ.. คุณปริพันธ์แนะนำให้ผมลองเผชิญหน้ากับความกลัวพวกนั้น แล้วก็แทนที่ความหวาดกลัวด้วยความคิดและความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล” ผมพยักหน้ารับฟัง พร้อมกับยกยิ้มให้คุณชลวิทย์ที่ในตอนนี้กำลังเข้ารับการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม
หรือเรียกสั้นๆ ว่าการบำบัดแบบ CBT

“ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจเลยใช่ไหมครับ ?” ผมยกยิ้มให้กับคนตรงหน้า ขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบพร้อมกับขยับมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเพียงบางๆ
“แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ เพราะว่าสุดท้ายผมก็ต้องกลับมาฝึกหายใจเพื่อเอาตัวรอดอยู่ดี”

“คุณอย่าเพิ่งกดดันตัวเองเลยนะครับ เพราะการบำบัดจะต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นถึงจะเห็นผลในระยะยาว แล้วสิ่งสำคัญก็คือวิธีการบำบัดยังมีอีกหลายวิธีเลยครับ ซึ่งถ้าหากวิธีนี้ไม่เหมาะกับคุณ ทั้งผมและคุณปริพันธ์ก็จะพยายามค้นหาให้ได้ว่าการบำบัดแบบไหนที่เหมาะกับคุณ” ผมกล่าวอย่างหนักแน่น เพื่อให้คนไข้อย่างคุณชลวิทย์รู้สึกเชื่อมั่นในกระบวนการรักษาของเรา
“ครับ.. แต่ว่าผม.. รู้สึกเหมือนกับความคิดของตัวเองมันเปลี่ยนแปลงได้ยาก..” ผมจ้องมองคุณชลวิทย์ด้วยความสนใจในหัวข้อที่อีกฝ่ายเปิดประเด็น จึงยกยิ้มบางๆ ส่งไปให้เขา
เพื่อที่คนไข้ตรงหน้าจะได้เล่าเรื่องราวของตัวเองที่มันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาให้มากยิ่งขึ้น

“ทั้งๆ ที่ผมก็รู้อยู่เต็มอกนะครับ ว่าการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย มันจะทำให้ครอบครัวตกที่นั่งลำบาก แต่ผมก็ห้ามการกระทำของตัวเองไม่ได้ สาเหตุก็เพราะผม กลัวว่าถ้าหากไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ มันจะทำให้จันทร์เหงา” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ว่าเราจะหลบมานั่งคุยกันตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ข้างลำธารก็ตาม
คงเพราะอีกฝ่ายเป็นกังวลว่าน้องชายสุดที่รักจะบังเอิญมาได้ยินคำพูดเหล่านี้

“ทำไมคุณถึงไม่ลองพาเขาเข้าไปในตัวเมืองด้วยกันล่ะครับ ผมคิดว่าถ้าหากจันทร์อยู่กับคุณ ยังไงก็น่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้านตามลำพังด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่างเขาก็จะได้แบ่งเบาภาระของคุณด้วย ผมว่าภาพของสองพี่น้องที่กำลังช่วยกันขายผักในตลาด ก็ไม่เลวเลยนะครับ เผลอๆ อาจจะได้คะแนนนิยมจากเหล่าแม่บ้านก็ได้นะ” ผมย้อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบให้เหมือนกับมันเป็นเพียงแค่การพูดคุยต่อบทสนทนาธรรมดาๆ เท่านั้น
เหตุเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายครุ่นคิดไปว่าผมกำลังตำหนิการกระทำของเขาอยู่

แม้ว่าในความเป็นจริง ผมก็ออกจะไม่เห็นด้วยกับการทิ้งน้องชายเอาไว้ที่บ้านกลางป่าสน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีคนแปลกหน้าแอบลักลอบเข้ามากลางดึก และผมก็ได้กล่าวเตือนไปแล้วเบื้องต้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะไม่ยอมเชื่อคำพูดของผม เพราะเขาเอาแต่ยืนยันว่าเขาเป็นคนล็อกประตูเองกับมือ
แต่พูดก็พูดเถอะ..
คุณชลวิทย์ไม่รู้จักคำว่า ‘ขโมย’ หรือไงนะ ?

“จันทร์อยู่ที่นี่ก็ปลอดภัยดีแล้วล่ะครับ” คุณชลวิทย์กล่าวพลางยกยิ้ม แต่ผมกลับแปลกใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในหัวก็ยังเต็มไปด้วยคำถามอีกมากมาย เช่นว่า การอยู่ในบ้านที่เคยมีคนแปลกหน้าลักลอบเข้ามา มันปลอดภัยอย่างที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกให้ผมเชื่อตรงไหน?
“ผมก็ไม่รู้ว่าผมควรจะแก้ไขความคิดนี้ยังไงดีน่ะครับ แต่ผมมั่นใจว่าถ้าหากจันทร์อยู่ที่นี่ เขาจะปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งมันก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่าย ถูกต้องไหมครับ?” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่าย

“จากที่ฟังปัญหาของคุณชลวิทย์ ผมคิดว่าคุณน่าจะลองบอกให้จันทร์เปิดและปิดแอร์ให้เป็นเวลาดีไหมครับ ยิ่งช่วงหน้าหนาวก็เปิดหน้าต่างแง้มเอาไว้ก็ได้ครับ จันทร์ดูเป็นเด็กที่พูดคุยง่ายอยู่นะครับ ผมคิดว่าแกน่าจะเชื่อฟังคุณ” ผมลองแนะนำให้เขาเปลี่ยนความคิด โดยทำเป็นลืมๆ ไปว่า.. ครั้งหนึ่งที่บ้านหลังนี้เคยมีคนแอบลักลอบเข้ามากลางดึก
“ผมกลัวแต่แกจะไม่เข้าใจน่ะสิครับ ยิ่งเราไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ โอกาสจะไม่เข้าใจกันก็ยิ่งมีมากขึ้น” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ซึ่งผมเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง

“คุณชลวิทย์ครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะลองเชื่อใจตัวเอง แล้วก็เชื่อใจน้องจันทร์ดูนะครับ ในมุมมองของผม น้องเป็นเด็กที่น่ารักแล้วก็มีเหตุผลมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นแกคงจะงอแงที่คุณไม่มีเวลาให้แกไปนานแล้วล่ะครับ จริงไหม?” ผมพยายามกวาดต้อนทางออกของปัญหามากองตรงหน้าของคุณชลวิทย์อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้เลือกสรรทางออกที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งปัญหาที่ว่าก็คือ เขาดูแลจันทร์ราวกับไข่ในหินจนน้องตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้บางครั้งผมสามารถมองเห็นความไร้เดียงสาที่แอบแฝงอยู่ในตัวของจันทร์ได้อย่างชัดเจน แม้ว่าบุคลิกของเจ้าตัวจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุก็ตาม
และมันก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณชลวิทย์ยากจะปล่อยวาง..
 
แต่ก็อย่างที่บอกว่าในใจของผมมันยังรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่คุณชลวิทย์พูดออกมาเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของความจริงเท่านั้น เพราะอะไรหลายๆ อย่าง มันยังขัดกับสิ่งที่ผมบังเอิญรับรู้ผ่านทางจันทร์
ซึ่งมันทำให้ผมไม่สามารถตีความเรื่องราวที่เขากำลังเป็นกังวลจนไม่กล้าที่จะพูดออกมาได้

“ก็จริงครับว่าจันทร์เป็นเด็กที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ความไร้เดียงสาของเขาทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้” ผมพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะถ้าหากจันทร์เป็นน้องชายของผม ผมก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกับคุณชลวิทย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่คิดจะทำ ก็คือการเลี้ยงดูเขาราวกับไข่ในหิน เพราะการทำแบบนั้น มันก็คือการทำร้ายอีกฝ่ายทางอ้อม
“คุณชลวิทย์ลองปล่อยวางดูสักครั้งดีไหมครับ ? จะได้ให้เวลาพิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่ของจันทร์ด้วย” ผมลองเสนอแนะพร้อมกับยกยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งคนไข้รายนี้ก็ทำเพียงแค่ยกยิ้มบางๆ กลับมาเท่านั้น

“ถ้าคุณกลัวการปล่อยมือ คุณลองใช้วิธีคิดแบบตอนที่คุณกำลังขับรถไปที่ตลาดในเมืองดูสิครับ ผมหมายถึงให้คุณลองแทนที่ความเป็นไปได้ของการเชื่อมั่นในตัวจันทร์ดู ผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะทำให้คุณกล้าที่จะกะเทาะเปลือกไข่ แล้วปล่อยให้เขาได้ลองโบยบินอย่างอิสระ โดยเริ่มจากการที่พวกคุณลองไปขายผักในตลาดด้วยกันก็ได้นะ” ผมลองชี้แนะทางเลือกให้กับคนไข้อีกครั้ง เพราะในความคิดของผม เด็กอายุ 15 ไม่ถือว่าเป็นเด็กมากมายขนาดนั้น และที่สำคัญช่วงวัยนี่น่ะ เขารับรู้และเข้าใจว่าอะไรดีอะไรไม่ดีได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ดังนั้นเขาก็น่าจะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่ในกรณีของจันทร์ที่ไม่เคยได้ออกไปไหน ผมคิดว่าน้องก็น่าจะทำได้ดีไม่ต่างจากเด็กอายุ 15 ทั่วๆ ไป เพราะอีกฝ่ายก็อ่านออกเขียนได้เป็นปกติ ดังนั้นใครจะมาหลอกลวงย่อมเป็นไปได้ยาก และที่สำคัญเด็กอย่างจันทร์น่ะ ผมคิดว่าเป็นเด็กที่ฉลาดพอตัวเลยแหละ
“ผมจะลองเอากลับไปคิดดูแล้วกันครับ..” ผมยกยิ้มให้กับคำตอบนั้น แม้ในใจจะรู้ดีว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมทำตามคำแนะนำของผมแน่

“ผมว่าคุณรีบไปอาบน้ำดีกว่านะครับ อีกสักพักไฟก็จะดับแล้ว” คุณชลวิทย์ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง จากนั้นเขาก็กล่าวเตือนด้วยความหวังดี และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อตัดจบบทสนทนาที่เราคุยกันค้างเอาไว้
“จริงสิครับ ผมก็ลืมไปเลยว่าที่บ้านของคุณไฟจะดับตอนสามทุ่ม ยังไงวันนี้ผมขอรบกวนอีกครั้งนะครับ” ผมลุกขึ้นยืนตามอีกฝ่ายพร้อมบอกกล่าวด้วยความเกรงใจ แต่จะให้ผมขับรถกลับเข้าตัวเมืองเอาตอนนี้ มันก็ยังมีปริศนาต่างๆ ที่ผมรู้สึกว่า มันจะต้องเกี่ยวข้องกับความกังวลใจของคุณชลวิทย์รออยู่

คราวนี้ผมเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องอาบน้ำต่างๆ มาจากบ้าน เพราะตัวผมไม่อยากจะกลายเป็นภาระให้กับเจ้าของบ้านมากนัก ด้วยเพราะรู้อยู่เต็มอก ว่าเขากำลังเป็นกังวลในเรื่องนี้ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้หนักหนาเท่าที่เขาแสดงออก
“เมื่อกี้ก็ดันลืมพูดเรื่องจันทร์ไปเลยว่ะ” ผมบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ ขณะกำลังแต่งตัวอยู่ท่ามกลางความมืดในห้องน้ำ เพราะเมื่อครู่ดันมัวแต่คิดเกี่ยวกับเคสของคุณชลวิทย์มากไปหน่อย จึงทำให้จิตใจล่องลอยจนกระทั่งเวลาแห่งการประหยัดไฟเดินทางมาถึง โชคดีที่ผมล้างฟองสบู่จนสะอาดหมดจด ไม่อย่างนั้นคงจะลำบากแย่ แต่ก่อนที่จะเข้านอนในคืนนี้ ผมตั้งใจว่าจะเช็คกลอนประตูด้วยตัวเอง
คราวนี้จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าจะมีใครสามารถลักลอบเข้ามาในตัวบ้านได้อีกหรือเปล่า

“ทำไมจันทร์ยังมานั่งอยู่ตรงนี้อีกล่ะครับ หรือว่ามีเทียนแล้วแต่ก็ยังไม่ช่วยให้หายกลัว?” พอเปิดประตูออกมาเจอเจ้าของบ้านอีกคน ผมก็ยกยิ้มให้กับจันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้างหน้าต่างตัวเดิม ต่างกันแค่ในวันนี้เจ้าของบ้านตัวเล็กจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ผมให้จนสว่างไสว จากนั้นผมก็ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม พร้อมกับใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมเปียกๆ ของตัวเองไปด้วย
“อื้อ ตรงห้องจันทร์มันมืดน่ะครับ ก็เลยลงมานั่งตรงนี้ดีกว่า” น้องบอกพร้อมกับชี้ไปยังห้องใต้หลังคาอันมืดสนิท ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็คิดว่าผมควรจะซื้อเทียนแท่งใหญ่กว่าเดิมอีกสักเล่มจะดีไหม มันจะได้ให้แสงสว่างมากกว่านี้ เพราะเทียนหอมที่ผมให้จันทร์มันเป็นเทียนหอมแท่งเล็กๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว ดังนั้นแสงสว่างของมันจึงคลอบคลุมแค่บริเวณที่ขวดเทียนวางตั้งอยู่ ซึ่งถ้าหากวางเอาไว้บนหัวเตียง บริเวณปลายเท้าและในจุดที่ห่างไกลออกไปก็จะมืดสลัว

“จันทร์ยังหายใจลำบากอยู่หรือเปล่า?” ไหนๆ ก็สบโอกาสอันดีแล้ว ผมจึงเริ่มสอบถามอาการของจันทร์ในทันที
“ไม่เลยครับ” น้องตอบพลางส่ายหัว

“แต่จันทร์ลองฝึกหายใจแบบวันนั้นที่พี่หมอสอนอยู่นะ ถ้าหากเกิดอาการแบบนั้นอีก จันทร์คิดว่าจันทร์น่าจะควบคุมได้” น้องยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดกันไว้ ทำให้เจ้าตัวนั่งอยู่ในสภาพขดตัวเป็นก้อนๆ ขณะที่ริมฝีปากเล็กก็เจื้อยแจ้วอย่างชาญฉลาด
“ดีแล้วครับ แต่ถ้าหากมีอาการแบบนั้นอีก จันทร์ต้องบอกพี่หมอแล้วก็พี่ชลทันทีเลยนะ” เมื่อผมกำชับอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

“พี่หมอ..” จันทร์ร้องเรียกผมท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อจู่ๆ เราก็เผลอมองตากันราวกับต้องมนตร์
“หืม ?” ผมทำเป็นเช็ดผมที่ยังคงชื้นๆ ของตัวเอง พร้อมกับส่งเสียงถามในลำคอกลับไป

“โรคแพนิคมันเกิดจากความกังวลและความเครียดแบบที่พี่ชลเป็นไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมจันทร์ถึงมีอาการแบบนั้น?”
“ที่จริงสาเหตุของโรคมันก็มีอยู่หลายด้านเลยแหละ ไม่ใช่แค่เพียงด้านจิตใจเหมือนกับที่พี่ชลเป็นอย่างเดียว แต่เรื่องของประสบการณ์ในชีวิตก็สามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้ หรือบางทีอาจเกิดจากการใช้สารเสพติดก็ได้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างโรคนี้มันสามารถเกิดจากพันธุกรรมก็ได้ด้วย แต่ก็อย่างที่พี่เคยบอก ว่าโรคนี้จะต้องเป็นซ้ำๆ แล้วส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น ตอนกลางคืนจันทร์จะนอนไม่ได้เพราะหายใจลำบาก หรือพบเจอสิ่งกระตุ้นบางอย่างจนเกิดอาการบ่อยๆ แต่ในกรณีของจันทร์ยังมีอาการเพียงแค่ครั้งเดียว มันยังฟันธงไม่ได้หรอก พี่ถึงอยากให้จันทร์ลองคุยกับพี่ชลดู เพราะอาการแบบนี้ อาจจะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือโรคอื่นๆ ด้วย” ผมถือโอกาสอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้เพียงคร่าวๆ เพราะก็อย่างที่บอกว่าจันทร์น่าจะเข้าข่ายเป็นโรคแพนิคได้เหมือนกัน ซึ่งการไปตรวจที่โรงพยาบาลจะได้คลอบคลุมทางด้านสุขภาพกายอย่างละเอียด เพราะถ้าหากรักษาผิดก็จะยิ่งทำให้อาการของคนไข้แย่ลง ผมจึงไม่อยากจะฟันธงจนกว่าจันทร์จะได้ไปลองตรวจโรคอื่นๆ ก่อน และเพราะสาเหตุของการเกิดโรค มันมีอยู่หลายอย่าง ผมถึงได้สงสัยว่าคุณชลวิทย์กำลังมีอะไรปิดบังผมอยู่ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้ป่วยเพราะการใช้สารเสพติดหรือได้รับการถ่ายทอดทางด้านพันธุกรรม
แต่ในกรณีของจันทร์อาจจะมีสิทธิ์เป็นแพนิค เพราะสาเหตุจากพันธุกรรมก็เป็นได้

“แต่พี่ชล..”
“จันทร์ครับ.. เรื่องสุขภาพมันสำคัญนะ และพี่ก็คิดว่าพี่ชลจะต้องพาจันทร์ไปตรวจแน่ๆ แล้วจันทร์ก็จะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดระแวงว่าตัวเองจะเป็นแบบวันนั้นอีกหรือเปล่า” ผมย้ำกับจันทร์อีกครั้ง เพราะอยากให้น้องลองไปตรวจที่โรงพยาบาลจริงๆ

“ครับ.. จันทร์จะลองคุยกับพี่ชลดู”
“ดีมาก” ผมยกยิ้มพลางเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“ดึกแล้วล่ะ พี่ว่าจันทร์ลองเอาชนะความกลัวด้วยวิธีที่พี่เคยบอก แล้วเข้านอนจะดีกว่า ยังจำได้อยู่หรือเปล่า?” ผมถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ เพื่อให้เขาได้คิดตามคำแนะนำที่อาจจะลืมเลือนไปแล้ว
“จำได้ครับ” อีกฝ่ายตอบพลางพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

“ถ้าอย่างนั้นเราก็แยกย้ายไปนอนเถอะ” ผมลุกขึ้นยืนพลางอ้าปากหาวหวอดๆ พร้อมกับเดินเนียนๆ ไปใกล้ๆ กับประตูบ้าน และอาศัยจังหวะที่จันทร์กำลังหันหลังเดินขึ้นบันไดที่เชื่อมต่อกับห้องใต้หลังคา มาเช็คกลอนประตูว่ามันล็อกอย่างแน่นหนาแล้วหรือไม่ จนกระทั่งได้คำตอบที่พึงพอใจ ผมก็เดินตรงเข้าห้องนอนของตัวเอง และพาดผ้าเช็ดผมลงบนพนักเก้าอี้ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างแรง
เหตุเพราะตอนนี้ผมกำลังง่วงนอนมากๆ แล้ว

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:20:42 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 3 (update 11/02/2018)
« ตอบ #9 เมื่อ: 11-02-2018 01:00:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 3 (update 11/02/2018)
«ตอบ #10 เมื่อ11-02-2018 01:01:26 »

กระทั่งกลางดึก ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงฮัมเพลงของเด็กสาวในท่วงทำนองของเพลง ‘หนูมาลี’ จากนั้นไม่นานเสียงปลายเท้ากระโดดโลดเต้นลงบนพื้นปูนก็ดัง ตึก ตึก ตึก ตามมาติดๆ
ทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง และนึกไปถึงเรื่องที่ไอ้บาสมันเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มันเคยได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังฮัมเพลง พร้อมกับเดินตึงตังอยู่ในบ้านแบบนี้แหละ

“คิกๆ” เสียงหัวเราะของเธอทำเอาหัวคิ้วของผมขมวดมุ่น และวินาทีนี้ผมก็มั่นใจแล้วว่าผมไม่ได้ฝันไปแน่ๆ
“หรือว่าคนที่แอบเข้ามาในบ้านวันนั้น จะเป็นเด็กผู้หญิงคนนี้ ?” ผมได้แต่พูดพึมพำกับตัวเองเพียงเบาๆ พร้อมกับรู้สึกแปลกๆ ที่เธอทำเสียงดังตึงตังขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครลุกออกมาดุเธอเลย ซ้ำร้ายจันทร์ยังนอนอยู่ตรงห้องใต้หลังคาเสียด้วย ไม่มีทางที่น้องจะไม่ได้ยินหรือเห็นเหตุการณ์ใดๆ เด็ดขาด

“เด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเราได้ไหมนะ..” ผมได้แต่ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งความเงียบสงบหวนคืนกลับมา จากนั้นความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงาน ก็ทำให้ผมเผลอหลับไปอีกครั้ง
และสุดท้าย คำตอบที่ผมได้รับในเช้าวันนี้..
ก็ไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่ไอ้บาสเคยได้รับเลยสักนิด

“ไอ้บาส เมื่อคืนกูเจอแบบที่มึงเคยเล่าเลยว่ะ” ขณะขับรถเพื่อเดินทางออกจากบ้านกลางป่าสน โดยเผื่อเวลาให้ไปถึงตัวเมืองได้ทันเวลาเข้างาน ผมก็จัดการโทรหาญาติผู้น้องอย่างรวดเร็ว
(โห่พี่ภัทร ไว้ค่อยเล่าตอนเจอหน้ากันได้ไหมเล่า นี่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างเลยนะเว้ย) ปลายสายโอดครวญออกมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อผมอยากคุยกับมันตอนนี้นี่หว่า

“กูคิดว่าเด็กคนนั้น อาจจะเกี่ยวข้องกับความเครียดของคุณชลวิทย์ก็ได้ว่ะ เขาเคยหลุดพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเธอบ้างไหมวะ?” ผมเริ่มตั้งคำถามสวนกลับไป
(คุณพี่ครับ ขนาดผมถามออกมาโต้งๆ มันยังบอกเลยว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอ แล้วมันจะเล่าเรื่องของเธอไหมล่ะครับ คิดสิคิด! ที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องของจันทร์กับค่าใช้จ่ายเท่านั้นที่เป็นปัญหาของมันน่ะ) ไอ้บาสกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาผมนิ่งคิดอย่างไร้ทางออกขึ้นมาอีกครั้ง

(เออ ว่าแต่เช้ามืดนี้ พี่ได้คำตอบจากไอ้ชลว่ายังไงล่ะ?) อีกฝ่ายย้อนถามพลางกลั้วหัวเราะล่วงหน้า คล้ายกับเจ้าตัวเดาคำตอบที่ผมได้รับออกในทันที
“อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ” ผมพูดพลางถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เพราะเมื่อคืนเธอทำเสียงดังมาก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครได้ยินจนต้องสะดุ้งตื่นจากนิทรา แต่เดี๋ยวยังไงคืนนี้ผมจะลองสอบถามจันทร์ดูอีกที เพราะเมื่อเช้าน้องยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ ผมเลยมีโอกาสสอบถามแค่คุณชลวิทย์ แต่จากที่ไอ้บาสมันเคยได้รับคำตอบ ก็ชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งที่บ้านหลังนั้นกำลังปกปิด มันเกี่ยวกับเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนั้น ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องต้องห้ามที่ทำให้เด็กอย่างจันทร์ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดมันออกมา และอีกนัยหนึ่งผมก็เผลอคิดไปแล้วว่า สาเหตุที่ทำให้จันทร์หวาดกลัวความมืด คงจะเป็นเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น
เหตุเพราะความมืดมันไม่ได้ทำให้จันทร์มีอาการแพนิค เหมือนกับตอนที่ไปเดินเล่นพร้อมผมในวันนั้น..

“กูว่าจะลองสืบดูอีกที เผื่อว่าเราจะได้หาทางรักษาเพื่อนมึงด้วย” ผมบอกอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ โดยละเอาไว้ในใจว่านอกจากสืบเรื่องของคุณชลวิทย์แล้ว ผมก็อยากจะสืบเรื่องของจันทร์ด้วย เพราะผมรู้สึกเป็นห่วงน้องยังไงก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
(โอ้โห ทุ่มเทมาก ติดใจอะไรที่บ้านหลังนั้นวะพี่ ชอบความตื่นเต้นงี้เหรอ?) ไอ้บาสรีบย้อนถามอย่างกวนตีน

“ไม่รู้ดิ มึงก็รู้ว่าอะไรที่กูเริ่มสงสัย กูต้องรู้คำตอบให้ได้ถึงจะสบายใจ”
(หรา แล้วพี่จะทำยังไง ขืนเดินดุ่มๆ เข้าไป มันก็ได้สงสัยกันพอดี) ผมยกยิ้มตรงมุมปากเพียงเล็กน้อย เพราะในใจผมมีข้ออ้างอยู่แล้ว ซึ่งข้ออ้างที่ว่าก็หนีไม่พ้นเรื่องของจันทร์

“กูมีวิธีแล้วกันน่า แค่นี้นะ กูจะขับรถ”

ช่วงบ่ายระหว่างพักทานข้าว ผมโทรสั่งให้เด็กที่บ้านเอาเทียนหอมแท่งใหญ่ที่มีสีม่วงเหมือนกับดอกลาเวนเดอร์ประมาณ 3-4 แท่ง มาให้ที่โรงพยาบาล เพราะหลังจากเลิกงานแล้ว ผมจะลองวัดดวงด้วยข้ออ้างดังกล่าวดูสักครั้ง และคราวนี้ผมจะต้องหาโอกาสพูดคุยกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเพื่อล้วงความลับของคุณชลวิทย์ให้ได้ หรือถ้าหากคว้าน้ำเหลว อย่างน้อยๆ ผมก็ยังสามารถแอบถามผ่านทางจันทร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมจะต้องทำให้คุณชลวิทย์ไม่รู้สึกว่าผมกำลังลุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามของเขาด้วย ซึ่งมันก็ยากพอสมควร เพราะเขาเป็นคนไข้ที่ออกจะดื้อเงียบไปสักหน่อย
“เมื่อคืนหลอนหนักจนตาโหลเลยเหรอวะพี่ภัทร” หลังจากรับของจากเด็กที่บ้านแล้ว ผมก็เดินมาหาคาเฟอีนใส่ร่างกายอีกสักหน่อย เพราะวันนี้งานของผมยังคงหนักหนาเหมือนทุกวัน แถมตอน 9 โมงก็ยังมีประชุม เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเคสที่กำลังรักษากับจิตแพทย์ท่านอื่นและผู้อำนวยการตั้งหลายชั่วโมง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อหาแนวทางในการรักษาร่วมกันต่อไป เพราะการร่วมด้วยช่วยกันคิดจะทำให้เรามองเห็นอะไรอีกหลายด้าน ทีนี้ก็เลยบังเอิญมาเจอกับไอ้บาสที่ชอบมาซื้อเครื่องดื่มเพื่อเติมความสดชื่นให้กับร่างกาย เนื่องจากงานของมันก็ต้องใช้สมองในการคิดวิเคราะห์ตั้งมากมาย

“ตลก ไอ้สัส!” ไอ้ญาติผู้น้องคนนี้มันก็แปลกเว้ย เวลาเจอผมด่าแต่ละที แม่งดันหัวเราะอย่างชอบใจไปซะงั้น เหมือนกับวันไหนถ้าไม่ถูกผมด่าก็จะนอนไม่หลับอะไรทำนองนั้น
“ทำไมพี่ถึงมั่นใจนักวะ เรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะ” ระหว่างรอเครื่องดื่มที่สั่ง เราสองคนพี่น้องก็ถือโอกาสหามุมนั่งคุยกันเสียเลย เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงานแล้ว จะมีก็แต่เรื่องงานเท่านั้นที่ต้องพูดคุยเป็นส่วนใหญ่

“สงสัยไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่หว่า” ผมตอบพลางไหวไหล่
“แล้วพี่ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็นสิ่งลี้ลับบ้างเหรอวะ?”

“ตลกแดกเหรอมึง” ผมย้อนถามพลางเตะขามันไปหนึ่งที เพราะเรื่องลี้ลับในสายตาของแพทย์ มักจะถูกแทนที่ด้วยเหตุและผลทางด้านวิทยาศาสตร์เสมอ
“โห่ แหย่เล่นแค่หน่อยเดียวเอง แต่ก็นะ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องลี้ลับก็เถอะ ยังไงก็อดขนลุกไม่ได้อยู่ดีว่ะพี่” ไอ้บาสว่าพลางสั่นหัวอย่างสยดสยอง

“ก็จริงของมึง” ผมรับคำอย่างแผ่วเบา เพราะอันจริงในตอนนั้น ใจของผมก็ดันเผลอคิดไปถึงเรื่องราวของไสยศาสตร์ แต่พอลองโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องของคุณชลวิทย์ มันก็ทำให้ผมมองทุกอย่างให้เป็นเหตุและผลตามหลักวิทยาศาสตร์
เลยทำให้วินาทีนั้น ผมดูมีสติอย่างแน่วแน่

ในที่สุดคืนนี้ภารกิจของผมก็สำเร็จด้วยดี เวลานี้ผมจึงมานอนแผ่อยู่บนเตียงในห้องรับรองด้วยข้ออ้างที่ว่า ผมแวะมาดูอาการของคนไข้ที่อยู่ในเขตอำเภอนี้เข้าพอดี ก็เลยแวะเอาเทียนมาให้จันทร์ จากนั้นรถก็สตาร์ทไม่ติด แล้วก็ทำเป็นคิดหนักว่าผมจะกลับอย่างไร และพรุ่งนี้จะไปทำงานอย่างไร คุณชลวิทย์เลยออกปากอนุญาตให้พักค้างคืนที่นี่ และในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจะยอมออกจากบ้านให้เร็วขึ้นอีกหน่อย เพื่อที่ผมจะได้ติดรถเข้าไปในตัวเมือง
ซึ่งระหว่างที่ผมเอาเทียนมาให้จันทร์ ผมก็พาน้องออกมานั่งคุยตรงด้านนอกของตัวบ้าน ในขณะที่คุณชลวิทย์กำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เลยทำให้ผมทราบว่าที่จริงแล้ว จันทร์เป็นคนที่ถ้าได้นอนแล้วจะตื่นยากมาก น้องก็เลยไม่ได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อมากนัก
และก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่เชื่อจันทร์ ทั้งๆ ที่น้องก็ไม่ได้มีท่าทีส่อพิรุธแต่อย่างใด

คลิก!

ผมหันไปมองยังประตูห้องน้ำทันทีที่ได้ยินเสียงล็อกประตู จากนั้นคนในห้องน้ำก็ทำธุระส่วนตัว ทั้งๆ ที่ความมืดมิดกำลังโรยตัวอยู่รอบๆ กาย ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจันทร์ถึงไม่จุดเทียนให้แสงสว่าง ในเมื่อผมก็ให้เทียนไปตั้งหลายแท่งแล้ว แต่สักพักผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีคนๆ นั้นอาจจะเป็นคุณชลวิทย์ ผมจึงหลับตาเตรียมตัวจะเข้านอน
แต่เพราะใจมันจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนา ผมจึงไม่ยอมง่วงเหงาหาวนอนเสียที

ผมรอจนกระทั่งห้องน้ำว่างเลยตัดสินใจลุกไปเข้าบ้าง จากนั้นก็เปิดประตูออกไปนั่งตรงโต๊ะริมหน้าต่างที่จันทร์ชอบนั่ง เพื่อรอจังหวะที่เด็กผู้หญิงคนนั้นจะปรากฏตัว แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว เพราะแม้แต่จันทร์ที่นอนอยู่บนห้องใต้หลังคา ก็ยังคงหลับใหลจนน่าอิจฉา เนื่องจากในวันนี้น้องได้เทียนหอมเพิ่มอีกตั้งหลายแท่ง เจ้าตัวก็เลยไม่กลัวความมืดอีกต่อไป..
พอคิดได้แบบนั้น ผมก็อดยกยิ้มออกมาไม่ได้

แต่แล้วรอยยิ้มของผมก็หดหายไป เมื่อกลิ่นเทียนหอมที่กำลังอบอวนอยู่นั้น ไม่ใช่กลิ่นลาเวนเดอร์ แต่มันคือกลิ่นวานิลลา ซึ่งผมไม่เคยซื้อให้จันทร์
“คุณชลวิทย์ซื้อให้งั้นเหรอ?” ผมพูดงึมงำกับตัวเองเพียงเบาๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งสาเหตุแรกก็เพราะผมกำลังสงสัยว่าคนที่ออกปากว่าเทียนมันแพงอย่างคุณชลวิทย์จะซื้อให้จันทร์ แถมเทียนที่ซื้อให้ก็ยังเป็นเทียนหอมซะด้วย ราคาแท่งนึงก็ตั้งหลายบาท คุณชลวิทย์จะซื้อให้จันทร์จริงๆ น่ะเหรอ แต่ถ้าหากไม่ซื้อให้ แล้วใครกันล่ะที่จะซื้อให้อีกฝ่าย ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ จู่ๆ ใจของผม มันก็ดันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับกำลังน้อยใจที่จันทร์ไม่ยอมใช้เทียนที่ผมเอามาให้
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับผมสิ!

เมื่อประเมินแล้วว่าวันนี้คงไม่มีทางเจอตัวเด็กผู้หญิงคนนั้น ผมก็ตัดสินใจเดินไปเช็คกลอนประตูเพื่อความมั่นใจอีกหน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปยังห้องพักของตัวเอง แล้วก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างแรง พร้อมกับก่นด่าและขยุ้มเส้นผมของตัวเองด้วยความยุ่งยากใจ..
“ไอ้ห่าภัทร มึงคิดอะไรของมึงวะเนี่ย น้อยใจเหรอวะ?”

คลิก!

ผมกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูออกไปข้างนอก และเมื่อตั้งสติได้ผมก็รีบวิ่งไปยืนตรงริมหน้าต่าง แต่กลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง คงเป็นเพราะหน้าต่างในห้องนี้ มองเห็นแค่บริเวณข้างบ้านเท่านั้น ซึ่งก็แสดงว่าใครสักคนกำลังเดินตรงไปข้างหน้า และมันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ว่า เขาคนนั้นกำลังเดินตรงไปยังทิวสนอันสูงลิบลิ่ว ซึ่งพอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มประติดประต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้บ้างแล้ว
โดยเริ่มลำดับจากวันแรกที่ผมบังเอิญเหยียบเศษดินที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นบ้าน และนั่นก็แสดงว่าคนที่แอบลักลอบเข้ามาก็คือคนคนเดียวกับที่เพิ่งจะเดินออกไปจากตัวบ้านเมื่อครู่ และเขาก็ไม่ใช่โจรอย่างที่คิด เนื่องจากเขาเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ แล้วก็กลับเข้ามาตอนที่ผมเดินออกไปปรากฏตัวในความมืด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณชลวิทย์ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าที่นี่คือสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับจันทร์
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่เดินออกไปจะใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า
แต่ก็น่าแปลกที่เธอไม่ทำเสียงดังตึงตังเหมือนกับเมื่อวาน

“หรือว่าเธอได้รับการตักเตือนแล้ว ?”

พอคิดได้แบบนั้นผมก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นลง เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นมาเสียก่อน ผมจึงได้แต่ก่นด่าตัวเองที่มัวแต่คิดวิเคราะห์อยู่นานจนพลาดโอกาส
แต่ก็ตัดสินใจแง้มประตูออกไปดูความเป็นไปข้างนอกห้อง

‘เหี้ย!’ ผมปิดปากตัวเองพลางสบถแบบไม่มีเสียง เมื่อจู่ๆ อะไรบางอย่างที่มีสีขาวๆ ก็ลอยผ่านหน้าของผมไปแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซึ่งมันทำให้ผมตกใจมาก เพราะโฟกัสของผมอยู่ตรงสีขาวๆ นั่นพอดี
ผมจึงปิดประตูห้องพลางกุมหน้าอกที่สั่นรัวด้วยความตื่นเต้น
เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องราวที่เป็นเหตุและผลในทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด


゚゚❀゚゚

[18/02/2018 รีไรท์บางประโยค / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
มาต่อแล้วค่ะ เรื่องนี้อาจจะเขียนได้ช้าหน่อยนะคะ ไม่ค่อยถนัดอย่างแรง
รายละเอียดแลเยอะกว่าเรื่องฟอลอินยูซะอีก T_T
คิดถึงการเขียนแบบฟีลกู๊ดขึ้นมาทันที หากผิดถูกยังไงก็ขออภัยนะคะ
คึคึคึ เราเห็นมีคนเมนต์ว่ายังไงก็ได้ขอให้ไม่ใช่ผี เอาเป็นภาวนากันเอานะคะ 5555
ขอบคุณที่ติดตามเหมือนเดิมค่า
ปล. เพลงหนูมาลี คือเพลงที่ร้องว่า หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว อ่ะค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:26:34 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 4 (update 13/02/2018)
«ตอบ #11 เมื่อ13-02-2018 02:00:51 »

ตอน 4

“เสียงเพลงพวกนี้ มันคงไม่รบกวนคุณหมอใช่ไหมครับ?” คุณชลวิทย์เอ่ยถามขณะที่รถกระบะของเขากำลังขับเคลื่อนออกจากป่าสนอันทอดยาวอย่างเชื่องช้า
“ไม่เลยครับ ดีเสียอีก ผมจะได้อาศัยจังหวะนี้นอนพักเอาแรง” ผมตอบคุณชลวิทย์พลางกอดอกและยกยิ้มส่งไปให้อีกฝ่าย ทำเอาสารถีจำเป็นหลุดหัวเราะออกมาเพียงเบาๆ โดยที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ไม่ได้มีส่วนใดคล้ายคลึงกับใครบางคนที่กำลังนอนหลับฝันดีอยู่ในบ้านหลังสีน้ำตาลกลางป่าสนกลับแฝงความกังวลเอาไว้อย่างปิดไม่มิด

“คุณปริพันธ์แนะนำให้ผมลองเปิดเพลงบรรเลงในขณะที่กำลังขับรถดูน่ะครับ เขาบอกว่าเพลงพวกนี้จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และสมองก็จะไม่โฟกัสไปที่ความหวาดกลัว ประมาณว่ามันจะสามารถช่วยปรับสมดุลอะไรได้นี่แหละครับ ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนักหรอก” สารถีจำเป็นบอกเล่าคล้ายกับต้องการจะหยิบยกเรื่องราวต่างๆ มาบดบังความหวาดกลัวที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ในจิตใจได้อย่างแนบเนียน
“คงไม่ใช่เพราะไอ้บาส เอ่อ.. คุณปริพันธ์พูดจาไม่รู้เรื่องหรอกใช่ไหมครับ ?” ผมย้อนถามแกมหยอกเย้าเพียงเล็กน้อย จากนั้นร่างสูงพอๆ กับผมก็ส่ายหัวพร้อมกลั้วหัวเราะออกมาเพียงเบาๆ

“นักจิตวิทยาคนนั้น เขามีทักษะในการเกลี้ยกล่อมขั้นเทพเลยล่ะครับ ถึงผมจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายก็จะเข้าใจในลักษณะที่..อธิบายให้คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องตามเขาไปนั่นแหละครับ” ผมหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น เพราะคำตอบของสารถีคนนี้กลับถูกอกถูกใจผมยิ่งนัก
“ผมคิดว่าการที่คุณเข้าใจเขา มันอาจจะเป็นเพราะคุณไว้วางใจในตัวเขามากพอสมควรก็ได้ครับ”

“ก็คงงั้นมั้งครับ”
“…”
 
“ว่าไปแล้วคุณชลวิทย์กับน้องจันทร์ มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันจนผมรู้สึกได้..” หลังจากบทสนทนาทั่วๆ ไปถึงคราวต้องหยุดชะงัก เหตุเพราะเราต่างก็ยังไม่สนิทกันมากนัก ผมเลยถือโอกาสกล่าวเปิดประเด็นในเรื่องที่แวบเข้ามาในหัว พลางยกยิ้มเมื่อนึกไปถึงจันทร์อย่างไม่ทราบสาเหตุ

“คุณหมอหมายถึงยังไงเหรอครับ ?”
“รอยยิ้มน่ะครับ พวกคุณสองคนเหมือนกันตรงที่ ไม่ว่าจะพบเจอกับเรื่องราวกังวลใจมากแค่ไหน พวกคุณก็มักจะมอบรอยยิ้มให้กับผู้อื่นเสมอ”

“รอยยิ้มมันก็เหมือนกับหน้ากากไม่ใช่เหรอครับ?” คุณชลวิทย์ย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงแต่คำถามนั้นกลับแฝงความรู้สึกนึกคิดเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน
“คงจะใช่มั้งครับ” ผมตอบพลางไหวไหล่ เพราะอันที่จริงรอยยิ้มของผมที่ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่หรือว่าช่วงเวลาอื่นๆ ถ้าให้พูดกันตามตรง มันก็เกิดจากการที่เราทำ ‘หน้าที่’ ให้บริการอยู่บ่อยครั้ง และก็ทำมันอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่ง..

“ผมคิดว่าการมีคนมานั่งรถเป็นเพื่อนคุณในขณะที่กำลังขับรถ ดูเป็นทางออกที่ไม่เลวเลยนะครับ” หลังจากคุณชลวิทย์ขับรถเข้ามายังตัวเมืองได้สักพัก ผมก็อดจะเสนอแนะอย่างอ้อมๆ ไม่ได้
“ข้อสันนิษฐานนี้ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้อยู่นะครับ แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะบทเพลงบรรเลงก็ได้”

“หึ ก็จริงครับ แต่ของแบบนี้มันต้องลองทดสอบดูนะครับ”
“คุณหมอกำลังจะเกลี้ยกล่อมให้ผมพาจันทร์เข้าตัวเมืองอีกแล้วใช่ไหมล่ะครับ?” อีกฝ่ายย้อนถามอย่างรู้ใจ จนทำเอาผมได้แต่ยกยิ้มอย่างไร้คำแก้ตัว

“แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละครับ จันทร์จะปลอดภัยที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ที่บ้านหลังนั้น” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากท่าทีสบายๆ เมื่อครู่ลิบลับ
“อันที่จริง ผมก็ไม่ได้เจาะจงนักหรอกครับว่าน้องจันทร์จะต้องเป็นคนนั่งรถมาเป็นเพื่อนคุณ..” ผมหย่อนเหยื่อลงในสถานการณ์ที่เริ่มจะเป็นใจให้ตัวเองได้สอบถามไปถึงเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนนั้นแทบจะทันทีที่มีโอกาส แม้ว่าสิ่งที่ได้พบเจอเมื่อคืน มันจะสร้างความช็อคซีนีม่าให้กับผม แต่พอตั้งสติได้ ผมก็เฝ้าบอกกับตัวเองว่า อะไรบางอย่างที่มี ‘สีขาว’ นั่น! อาจจะเป็นเครื่องประดับหรือไม่ก็เครื่องแต่งกายของเด็กผู้หญิงคนนั้น
ซึ่งก็บ่งบอกได้แล้วว่า..
เธอมีตัวตนจริงๆ หาใช่สสารที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้

“เรามีกันสองคนพี่น้อง แล้วผมจะไปหาคนคนนั้นมาจากที่ไหนล่ะครับคุณหมอ”
“ผมก็ลองพูดเผื่อๆ ว่าคุณจะมีคนคนนั้นไงครับ” ผมกล่าวพลางยกยิ้ม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอีกครั้ง เพราะคำตอบของคุณชลวิทย์ในครั้งนี้..
มันกำลังบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า..
เรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่เคยมีอยู่จริง..

ในที่สุดผมก็มาถึงโรงพยาบาลก่อน 8 โมงเช้าอย่างปลอดภัย และมันก็ทำให้คุณชลวิทย์ดูโล่งใจมากๆ ด้วย คงเพราะว่าการขับรถเข้ามายังตัวเมืองในครั้งนี้ ไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นกับเขา กระทั่งไฟท้ายรถกระบะคันที่ผมใช้โดยสารมาที่นี่ ค่อยๆ ขับเคลื่อนออกไปจนสุดสายตา ผมก็นึกขึ้นได้ว่าคำพูดสะกิดใจอย่างแนบเนียนของผม มันคงจะแนบเนียนมากจนเกินไป เขาถึงได้ไม่เอะใจเลยว่าทำไมผมถึงพูดราวกับว่าจันทร์ก็มีเรื่องที่ต้องเป็นกังวลด้วยเหมือนกัน
แต่บางที.. เรื่องแบบนี้ถ้าหากจันทร์ลองพูดกับพี่ชายของเขาด้วยตัวเอง มันก็อาจจะดีกว่าผมพูดเองก็เป็นได้..

งานในช่วงเช้าของผมเริ่มต้นด้วยการราวนด์คนไข้ โดยเริ่มจากแผนกของตัวเองก่อน แล้วค่อยวนไปยังแผนกอื่นๆ ตามลำดับ ซึ่งห้องพักของผู้ป่วยแผนกจิตเวช จะแตกต่างจากห้องพักผู้ป่วยของแผนกอื่นอยู่มาก โดยเฉพาะลักษณะการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่เลือกใช้ เช่น ตู้ และเตียง ทางโรงพยาบาลจะไม่ใช้แบบที่มีหูจับ เพราะถ้าหากผู้ป่วยที่มีแนวโน้มในการคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองมาเข้าพัก เขาอาจจะใช้ส่วนนั้นให้เป็นประโยชน์ หรือแม้แต่กระจก ทางเราก็จะใช้กระจกนิรภัยที่มีความแข็งแรงทนทานกว่าปกติ ส่วนฝักบัวในห้องน้ำก็จะออกแบบให้หัวฝักบัวขนาดใหญ่ซ่อนอยู่บนฝ้าเพดาน ซึ่งคนไข้จะไม่สามารถใช้เชือกหรือสิ่งอื่นใดผูกติดกับส่วนนั้นได้
ด้วยความที่โรงพยาบาลของเรามีจิตแพทย์อยู่เพียงสามคน จึงต้องสลับกันเข้าเวรอย่างเท่าเทียม ซึ่งเวรของผมก็คือวันพุธและวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์หากเกิดเหตุฉุกเฉินพยาบาลถึงจะโทรเรียก ผมก็เลยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้นอยู่เสมอ จึงทำให้มีเวลาไปที่บ้านกลางป่าสนแค่เพียงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ แต่เดือนหน้าผมคงไม่ต้องเข้าเวรในวันเสาร์อีกแล้ว เพราะทางโรงพยาบาลจะให้เราสลับวันกัน โดยวนไปเรื่อยๆ เพื่อตัดปัญหาของการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน

วันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการแบบนี้ จะไม่มีการตรวจ OPD ผมเลยมีเวลามาเข้าร่วมกิจกรรมกับคนไข้ที่วอร์ดของตัวเอง ซึ่งกิจกรรมในวันนี้จะเป็นกิจกรรมบำบัดด้วยการทำขนม โดยการทำกิจกรรมพวกนี้เราไม่ได้วางเป้าหมายให้คนไข้มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ แต่เราจะใช้กิจกรรมพวกนี้เป็นสื่อกลางที่จะทำให้คนไข้เข้าใจสภาวะทางจิตใจของตัวเองมากขึ้น โดยมีนักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด นักศิลปะบำบัด คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

จนกระทั่งถึงเวลาพักทานอาหารของคนไข้ ผมจึงกลับมานั่งวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ห้องทำงานของตัวเอง และเมื่อเวลาเที่ยงตรงเดินทางมาถึง ผมก็ไปทานอาหารที่โรงอาหาร แล้วแวะซื้อเครื่องดื่มเหมือนกับทุกวันอย่างเหงาๆ เนื่องจากเพื่อนหมอคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าเวรต่างก็พากันกลับบ้านไปพักผ่อน จนเวลาบ่ายโมงตรง ผมก็ไปเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดด้วยการร้องเพลง
ซึ่งคนไข้ก็ดูสนุกสนานและผ่อนคลายไปกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก

กระทั่งออกเวรเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลากคอไอ้บาสไปเอารถที่บ้านกลางป่าสน ซึ่งมันก็บังคับให้ผมรีบไปรีบกลับ ผมก็เลยไม่ค่อยได้คุยกับเจ้าของบ้านทั้งสองคนมากนัก จนกระทั่งวันเวลาผันผ่านมาจนถึงวันศุกร์ บรรยากาศของบ้านกลางป่าสนก็ยังคงลึกลับในความรู้สึกของผมเสมอ และช่วงเวลาที่บ้านทั้งหลังกำลังตกอยู่ในความมืด มันก็คือช่วงเวลาแห่งการนัดหมายระหว่างผมกับจันทร์ไปเสียแล้ว จึงทำให้ตอนนี้เรากำลังนั่งปักหลักอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างท่ามกลางแสงจันทร์และแสงเทียนกรุ่นกลิ่นลาเวนเดอร์ พร้อมด้วยขนมปังหน้าตาน่ารักในแบบที่หากทำขายก็คงจะขายดิบขายดี

“พอดีจันทร์ว่างๆ ก็เลยชอบทำขนมเล่นอยู่บ่อยๆ ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าจันทร์ยังไม่เคยขอบคุณพี่หมอที่ช่วยชีวิตจันทร์เอาไว้เลย” เด็กชายตัวเล็กพูดด้วยสีหน้าบ่งชัดว่าเขากำลังมีความสุขในกิจกรรมที่ได้ทำและยังรู้สึกขอบคุณผมจากใจจริงที่ช่วยเขาไว้ในวันที่มีอาการเหมือนแพนิค
“ขอบคุณนะจันทร์ แต่มันน่ารักจนพี่ไม่กล้ากินเลย” ผมกล่าวพร้อมกับยกยิ้มเมื่อได้สังเกตรูปลักษณ์ของขนมปังที่จันทร์ทำออกมาเป็นรูปหน้าหมีเรียงติดกันเป็นวงกลมประมาณหกถึงเจ็ดก้อนในถาดไม้แบบทรงกลมอย่างน่ารัก

“อร่อยนะ” จันทร์ยิ้มขำเพียงเล็กน้อย จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวสำทับเพียงสั้นๆ เพื่อบ่งบอกให้ผมรู้ว่า ถึงมันจะน่ารักมากแค่ไหน ผมก็ควรลองชิมดูสักคำ
“อื้อ” ผมรับปากในลำคอ จากนั้นก็หยิบขนมปังหน้าตาน่ารักเข้าปากจนรับรู้ได้ว่าขนมปังที่จันทร์ทำเป็นขนมปังไส้สังขยา

“จันทร์จดสูตรเอาไว้ด้วยล่ะ” อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็เดินขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาแบบเปิดโล่ง ผมจึงมองตามร่างนั้นด้วยความสนใจ เลยเห็นว่าจันทร์กำลังหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากในตู้หนังสือที่น่าจะอยู่ตรงปลายเตียง ก่อนจะวิ่งลงบันไดอย่างแผ่วเบาและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆ ผม
“เจ้านี่มันเป็นขนมปังยอดฮิตของญี่ปุ่นในตอนนี้เลยนะครับ” จันทร์อธิบายพลางเปิดไปยังหน้าที่เจ้าตัวจดสูตรของขนมปังชนิดดังกล่าว ซึ่งผมก็อดจะทึ่งในความสามารถของเจ้าของบ้านตัวเล็กไม่ได้ เพราะการจดสูตรของเขาเนี่ย ไม่ใช่แค่การเขียนตัวหนังสือธรรมดาๆ แต่จันทร์กลับวาดรูปประกอบอย่างสวยงามด้วยน่ะสิ

“หืม? แล้วจันทร์ไปเอาสูตรมาจากไหนล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างนึกแปลกใจ
“อินเตอร์เน็ตครับ” แต่แล้วคำตอบของจันทร์ก็สร้างความแปลกใจให้ผมอีกครั้ง

“พี่ชลเป็นคนหามาให้จันทร์เหรอ ?”
“อื้อ พี่ชลเป็นคนหาสูตรแล้วก็ซื้ออุปกรณ์มาให้จันทร์ทำแก้เบื่อ” คำตอบของจันทร์ทำเอาผมเริ่มรางๆ จะเข้าใจแล้วว่าทำไม คุณชลวิทย์ถึงไม่เกิดอาการแพนิคอย่างที่เคยเป็น แล้วสาเหตุของมันก็ไม่ใช่เพราะมีใครสักคนมานั่งเป็นเพื่อนในเวลาขับรถ หรือแม้กระทั่งการเปิดเพลงบรรเลงแต่อย่างใด

“ว่าแต่จันทร์ทำขนมแบบนี้มานานหรือยัง?” ผมสอบถามอีกฝ่าย แม้ว่าจำนวนหน้าของสมุดจดสูตรเล่มดังกล่าวจะเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะถามลองเชิงอีกสักหน่อย
“ก็นานแล้วครับ” ผมยิ้มรับคำตอบ จากนั้นก็นิ่งคิดถึงเรื่องของคุณชลวิทย์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสูตรอาหารของจันทร์ มันก็สามารถบ่งบอกได้ว่า คุณชลวิทย์ไม่ได้คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องของค่าใช้จ่ายอย่างที่แสดงออก เนื่องจากเขายังมีเวลาไปเข้าร้านอินเตอร์เน็ตเพื่อหาสูตรขนมมาให้จันทร์ ซึ่งคนที่กำลังกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอันฟุ่มเฟือยจะลงทุนเข้าร้านเน็ตแล้วไปซื้ออุปกรณ์พวกนี้มาให้น้องชายทำไม แล้วไหนจะข้ออ้างที่ว่า เขาไม่ค่อยมีเวลาให้จันทร์ เลยกังวลว่าจันทร์จะไม่เข้าใจนั่นก็อีก..

“เวลาอยู่ที่บ้าน จันทร์เคยเห็นพี่ชลมีอาการแพนิคบ้างหรือเปล่า?” ผมสอบถามจันทร์อย่างคาดหวังในคำตอบ เพราะการที่เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย มันก็เท่ากับว่าความเครียดและความกังวลในส่วนนั้นยังไม่ถูกปลดปล่อย
“ไม่นะครับ” คำตอบของจันทร์ค่อนข้างชัดเจนทำเอาผมได้แต่ถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก เพราะเมื่อเอาเข้าจริง หลังจากสอบถามความคืบหน้าในการรักษาจากคุณชลวิทย์แล้ว เจ้าของบ้านรายนั้นก็มักจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องอย่างเงียบสงบเสมอ
 
“แล้วจันทร์ล่ะ มีอาการแบบนั้นอีกหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีครับ แต่ว่าจันทร์ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่ชลเลย” น้องตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ ราวกับหวั่นเกรงว่าผมจะดุ

“ไว้จันทร์มีโอกาสค่อยคุยกับพี่ชลก็ได้ แต่อย่ารีรอนานนักนะ”
“ครับ”

“ว่าแต่จันทร์สนใจทำขนมขายหรือเปล่า ?”
“คงไม่ไหวหรอกครับ จันทร์ไม่ได้ทำอร่อยขนาดนั้น” อีกฝ่ายตอบอย่างถ่อมตัวพลางส่ายหน้าท่าเดียว

“แล้วนี่จันทร์ให้พี่หมดเลยเหรอ?” ผมเอ่ยถามพลางมองไปที่อีกฝ่ายอย่างรอคอยคำตอบ จนกระทั่งน้องพยักหน้าผมก็เริ่มพูดต่ออีกประโยค
“ถ้าอย่างนั้น.. พี่ขอเอาไปให้คนอื่นลองชิม แล้วค่อยมาบอกผลในวันศุกร์หน้าได้หรือเปล่า?” น้องทำสีหน้าลังเล เหมือนกับเขายังไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเองนัก

“ขนมฝีมือของจันทร์มันอร่อยนะ พี่ยังชอบเลย อีกอย่างจันทร์จะได้มีรายได้ไปช่วยพี่ชลด้วยไง?”
“ครับ เดี๋ยวจันทร์จะเอาไปใส่กล่องทัพเพอร์แวร์ให้ ตอนเช้าพี่หมออย่าลืมหยิบจากในตู้เย็นไปด้วยนะ” น้องรับปากก่อนจะหยิบเทียนบนโต๊ะและเดินหายเข้าไปยังส่วนของห้องครัว ซึ่งอยู่ตรงด้านหลังของประตูบานที่เจ้าตัวเคยร้องเรียกคุณชลวิทย์ในวันที่ผมเข้ามาเยือนที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงได้แต่นั่งมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมาเปิดสมุดรวบรวมสูตรขนมของจันทร์ โดยอาศัยแสงจันทร์จากบนฟ้าในการอำนวยความสะดวก จึงทำให้ผมยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเด็กคนนี้มากขึ้น เพราะเขาดูเป็นคนละเอียดอ่อน อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเมนูในวันนี้ที่เขาทำให้ผมลองชิม จันทร์ได้วาดภาพอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ตรงมุมหนึ่งของหน้ากระดาษ พร้อมเขียนกำกับด้วยลายมือสวยๆ ของเจ้าตัวว่าอะไรเป็นอะไร จากนั้นพอกล่าวถึงขั้นตอนในการลงมือทำ น้องก็จะวาดถ้วยใหญ่ๆ หนึ่งใบ และเหนือถ้วยใบนั้นก็วาดรูปส่วนผสมต่างๆ และมีลูกศรชี้ลงไปยังถ้วยใบนั้น อีกทั้งยังเขียนคำบรรยายกำกับเอาไว้ข้างๆ ด้วยลายมือตัวบรรจงอย่างเป็นระเบียบ

“พี่หมอห้ามขโมยสูตรของจันทร์นะ” พอเจ้าตัวกลับมานั่งทางฝั่งตรงข้าม เขาก็รีบทักท้วงอย่างหยอกล้อ
“ถึงขโมยไปพี่ก็ทำไม่เป็นหรอก จันทร์สบายใจได้เลย” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะพร้อมกับปิดสมุดจดสูตรของรักของหวงของอีกฝ่าย แล้วดันสมุดเล่มนั้นคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ
จากนั้นความเงียบก็ตรงเข้าครอบงำเราสองคน เมื่อดวงตากำลังสบผสานกันอย่างเผลอไผล

“พี่หมอ..”
“หืม?”

“หัวใจมันเต้นแปลกๆ จันทร์กำลังจะเป็นแบบวันนั้นหรือเปล่าครับ?” น้องถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะที่ดวงตาของเขาก็จ้องมองมาที่ผม
“แล้วนี่มือของจันทร์ก็เย็นมากๆ ด้วย เหงื่อออกเต็มไปหมด” จันทร์บ่นพร้อมกับถือวิสาสะมากอบกุมมือของผมไว้ ราวกับต้องการจะยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดกังวลไปเอง
แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าจันทร์กำลังใช้อาการที่ว่านั่นเป็นข้ออ้างเพื่ออะไรบางอย่าง..
ซึ่งอะไรบางอย่างที่ว่า.. ก็ทำให้หัวใจของผม เต้นรัวไม่ต่างกับจันทร์

“พี่ถึงบอกให้เรารีบไปตรวจไง” แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะพูดวกกลับไปยังอีกประเด็นหนึ่ง
“อื้ม” จันทร์รับปากอย่างแผ่วเบา โดยที่ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันอยู่แบบนั้น ทำเอาสายตาของผมไม่อาจละไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย ผมจึงถือโอกาสสำรวจเครื่องหน้าของคนคนนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่เส้นผมสีดำที่มีความยาวจนเกือบจะถึงดวงตาเรียวเล็กนั่น แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับเจ้าตัวมากนัก เพราะมันก็เป็นทรงที่วัยรุ่นผู้ชายชอบตัดกันนั่นแหละ

“ดวงตาของจันทร์เหมือนลูกตาของกวางเลยนะ” ผมกล่าวขึ้นอย่างเผลอตัว ทำเอาอีกฝ่ายยกยิ้มด้วยสีหน้าสงสัย แต่ผมก็ไม่คิดจะให้คำตอบ จนกระทั่งสายตาเลื่อนมาหยุดลงที่ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย
“เราเข้านอนกันเถอะ พี่เริ่มง่วงซะแล้วล่ะ” ผมดึงฝ่ามือของตัวเองออกจากการกอบกุมอย่างละมุนละม่อม ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินตรงเข้าไปยังห้องพักรับรอง โดยไม่ได้รีรอให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาเหมือนกับวันก่อนๆ

“นั่นเด็กนะเว้ย ไอ้ห่าภัทร!” หลังจากทิ้งตัวลงบนที่นอน ผมก็ออกปากก่นด่าตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะปฏิกิริยาของผมที่มีต่อจันทร์มันเริ่มจะแปลกๆ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว..
แต่เมื่อครู่..
จู่ๆ ผมก็ดันไปจ้องมองริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นนานสองนาน

“เห้อ~”
“ถ้าอายุห่างกันไม่มากก็ดีสิ” ผมออกปากอย่างเสียดาย เพราะอันที่จริงผมเองก็รู้ตัวดีว่าผมน่าจะสนใจจันทร์เหมือนอย่างที่จันทร์พยายามจะบอกผมทางอ้อม ซึ่งเหตุการณ์พัฒนาความรู้สึกอย่างเห็นได้ชัด ก็คงจะเป็นช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายของจันทร์รวมไปถึงความใจดีของผมที่มีให้เขาด้วยน่ะแหละ

จริงๆ แล้วในเรื่องของความรัก ผมไม่เคยมีกฎเกณฑ์มากมายอะไรนัก จึงทำให้ผมเคยคบหาทั้งหญิงและชาย แต่สุดท้ายเราก็ไปกันไม่รอด แล้วผมก็ไม่นิยมจะคบหากับหมอหรือพยาบาลด้วยกันซะด้วย และตั้งแต่เลิกกับแฟนคนล่าสุดไปเมื่อปีก่อน ผมก็คิดว่าการอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่เลวนัก แต่พอมาเจอคนที่น่าค้นหาแบบจันทร์ ผมกลับเผลอไผลไปซะได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเสี่ยงเอาเสียเลย เพราะตอนที่ผมคบกับคนอายุใกล้ๆ กัน ความรักก็ยังไปกันไม่รอด หนักสุดก็เด็กมหาลัยซึ่งก็ไม่รอดเหมือนเคย
แล้วกับเด็กอายุ 15 อย่างจันทร์ ผมฟันธงได้เลยว่าความสัมพันธ์มันก็คงจะจบลงเหมือนที่ผ่านมา..
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผม แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วจันทร์ต้องการจะสื่ออะไร..

แต่ผมก็นับถือจันทร์นะ ที่เขากล้าหาญในการแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ ซึ่งนั่นคงจะเป็นข้อดีของความไร้เดียงสาที่ผมและคุณชลวิทย์เคยพูดถึงนั่นแหละ

คลิก!

“มาอีกแล้ว..” ผมลุกขึ้นและเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น แต่ในจังหวะที่ผมกำลังหันไปปิดประตูบ้าน ผมก็มองไม่เห็นเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาวอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ผมใช้เวลาเดินออกจากห้องไม่กี่วินาทีเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะไหนๆ ก็เดินออกมาข้างนอกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเดินตรงเข้าไปยังทิวสนที่ขนาบข้างเส้นทางเดินรถเพียงเส้นทางเดียวด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว เพราะรอบๆ กายดันมืดสนิท เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ผมจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านพร้อมล็อกประตูอย่างแน่นหนา และเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเดินกลับมายังตัวบ้านอีกครั้ง กระทั่งเธอไม่สามารถเปิดประตูบ้านได้อย่างเคย ผมจึงยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินไปแอบมองตรงข้างหน้าต่างทางฝั่งห้องของตัวเอง เผื่อว่าเธอจะไปนั่งปักหลักตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ แต่เมื่อมองออกไปยังบริเวณดังกล่าว ผมก็ดันเจอแต่ความว่างเปล่า
และบรรยากาศรอบๆ บ้าน ก็ดันเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจ

จากนั้นสักพักใหญ่ ผมก็เดินออกไปปลดล็อกประตู เพื่ออนุญาตให้เธอเข้ามาในบ้าน เพราะดูท่าทางแล้ว เธอเองก็คงจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน แต่แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงที่ผมกำลังจะเดินออกจากบ้านและกลับเข้ามา ผมได้กลิ่นเทียนหอมที่ไม่ใช่กลิ่นลาเวนเดอร์
ซึ่งกลิ่นๆ นี้มักจะมาพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงชุดขาวคนนั้น

ในเวลาเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ผมสอบถามกับคุณชลวิทย์ที่ตื่นมาเข้าห้องน้ำว่าเขาได้ซื้อเทียนหอมมาให้จันทร์บ้างหรือเปล่า เพราะผมจำได้ว่าผมซื้อแต่เทียนกลิ่นลาเวนเดอร์ให้เขาเท่านั้น ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือการปฏิเสธ ผมจึงต้องหอบความสงสัยและขนมปังฝีมือของจันทร์กลับเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง แต่ระหว่างที่ผมกำลังขับรถผ่านทิวสน และบังเอิญมองไปยังทุ่งสโนว์ดรอปส์ข้างๆ ทาง ผมกลับมองเห็นภาพของเด็กผู้หญิงชุดขาวนอนแฝงตัวอยู่ที่นั่นอย่างเลือนราง เพราะเธออยู่ในระยะไกลจากทางเดินรถมากพอสมควร แต่พอผมจอดรถในตำแหน่งที่แสงไฟสาดส่องไปยังร่างๆ นั้น ผมกลับมองไม่เห็นร่างของเธอในตำแหน่งเดิมอีกแล้ว..
ซึ่งผมมั่นใจว่าเมื่อครู่..
ผมไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ

゚゚❀゚゚

[18/02/2018 แก้คำตกหล่น / edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
เด็กผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน แล้วทำไมถึงออกมาแต่ตอนกลางคืน ติดตามกันต่อไปจ้า เธอเริ่มจะปรากฏตัวแบบไม่ผลุบๆ โผล่ๆ แล้ว ส่วนน้องจันทร์ตอนนี้ก็เริ่มจะแสดงออกแล้วว่าตัวเองชอบพี่หมอ และพี่หมอก็เริ่มจะมีปฏิกิริยาบางแล้ว ฮ่าๆ เป็นคู่ที่อายุห่างกันสุดๆ ไปเลย T_T เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเราเขียนให้สะกิดใจชอบกันเร็วไปหรือเปล่า แต่ความเป็นความตายในตอนนั้นมันทำให้จันทร์มองพี่หมอแบบฮีโร่ได้เลยแหละ ส่วนพี่หมอนี่ก็ออกอาการตั้งแต่ได้กลิ่นเทียนที่ไม่ใช่กลิ่นที่ตัวเองซื้อให้แล้วล่ะนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:30:10 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 5 (update 02/03/2018)
«ตอบ #12 เมื่อ02-03-2018 01:54:47 »

ตอน 5

“โทรเรียกกระผมมา มีอะไรไม่ทราบครับ?” ไอ้บาสนั่งรอจนกระทั่งผมดีดตัวขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ ก่อนจะเอ่ยถามเปิดประเด็นอย่างกวนประสาท ผมจึงรีบว่ายน้ำไปทางเก้าอี้นั่งริมสระทางด้านซ้ายมือ จากนั้นก็วางแขนทั้งสองข้างลงบนพื้นไม้ข้างหน้า ส่วนลำตัวยังคงแช่อยู่ในสระน้ำตรงหน้าบ้าน พลางมองไปยังไอ้ญาติผู้น้องที่มีบ้านอยู่ในรั้วบริเวณเดียวกัน เพียงแต่บ้านของผมและของพ่อกับแม่จะอยู่ทางฝั่งขวามือ ส่วนครอบครัวของมันจะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ โดยมีสวนหย่อมขนาดพอเหมาะแยกสัดส่วนของแต่ละครอบครัวไว้
“กูบังเอิญได้ข้อมูลดีๆ มาว่ะ”

“พี่หมายถึงข้อมูลของไอ้ชลน่ะเหรอ?” ไอ้บาสรีบถามกลับอย่างสนใจ
“เออ! เมื่อวันเสาร์ กูต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด ระหว่างทางกูเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีขาวนอนอยู่ในทุ่งสโนว์ดรอปส์ว่ะ แล้วคืนก่อนหน้านั้น กูก็ตั้งใจจะแอบเดินตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป แต่พอกูหันหลังกลับไปปิดประตูบ้าน เธอก็หายไปแล้ว..” ผมเล่าพลางหยุดสังเกตพฤติกรรมของไอ้ญาติผู้น้องตรงหน้าสักเล็กน้อย

“อย่าบอกนะว่า.. ตอนเช้ามืด เธอก็หายตัวไปอีกครั้ง?” ไอ้บาสพูดขึ้นด้วยท่าทางสยดสยอง
“เออดิ แต่มึงเลิกคิดถึงเรื่องลี้ลับอะไรนั่นได้เลย” ผมรีบเบรกความคิดอันบรรเจิดของไอ้ญาติผู้น้องอย่างรวดเร็ว

“พี่เอาอะไรมามั่นใจนักหนาวะ หายตัวไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น ยังจะบอกว่าไม่ใช่”
“เพราะกูแอบล็อกประตูตอนที่เดินกลับเข้ามาในบ้านไงวะ แล้วผลก็คือเธอกลับเข้าบ้านไม่ได้เว้ยมึง ถ้าเป็นสิ่งลี้ลับจริงๆ คงไม่น่าจะไร้น้ำยาขนาดนั้น” ผมรีบเฉลยคำตอบให้ไอ้นักจิตวิทยาตรงหน้าได้เข้าใจ ก่อนที่มันจะคิดไปถึงสิ่งลี้ลับขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นใครกันวะ ผมไม่เคยเจอคนอื่นที่บ้านหลังนั้นเลยนะ นอกจากวันนั้นที่ผมเล่าให้พี่ฟังน่ะแหละ”
“กูก็ไม่รู้.. แต่ว่าเธอชอบปรากฏตัวพร้อมๆ กับเทียนหอมกลิ่นวานิลลาในตอนกลางคืน” ผมเฉลยพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเคาะลงบนพื้นไม้เพียงเบาๆ

“แต่ประเด็นคือ.. กูไม่เคยซื้อเทียนหอมกลิ่นนี้ให้จันทร์ แล้วคุณชลวิทย์เพื่อนมึงก็ไม่เคยซื้อเทียนให้จันทร์ด้วย”
“พี่กำลังจะบอกว่า.. เพื่อนผมมันโกหก?” ไอ้บาสรีบถามกลับอย่างหยั่งเชิง

“หรือมึงคิดว่าไม่ใช่ ?” ผมย้อนถามอย่างจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไอ้ชลกับเด็กผู้หญิงคนนั้น.. ก็ต้องรู้จักกันน่ะสิ?” หลังจากไอ้นักจิตวิทยาตรงหน้าวิเคราะห์จบ ผมก็รีบพยักหน้าแสดงความคิดเห็น

“อ่อ มีอีกเรื่องที่กูคิดว่ามึงน่าจะยังไม่รู้”
“จันทร์มีงานอดิเรกเป็นการทำขนมว่ะ แล้วสูตรทั้งหมด คุณชลวิทย์ก็เป็นคนไปหามาให้จากร้านอินเตอร์เน็ต แต่กูไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำขนมพวกนั้นจะมีครบครันมากแค่ไหน”

“แล้ว?”
“มึงคิดว่าคนที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย จะมีเวลามาทำอะไรพวกนี้ให้น้องชายเหรอวะ? เขาจะหาภาระเพิ่มให้ตัวเองจริงดิ?”

“อ้าว คนรักน้องมันก็ทำได้ไงพี่ภัทร โห่! อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน!”
“กวนตีนไอ้สัส!” ผมด่าไอ้บาสพร้อมกับดึงขามันเตรียมจะลากลงน้ำมาด้วยกัน แต่มันเสือกโวยวายจนแม่เดินออกมาด่าผมเสียนี่

“นั่นแม่กูหรือแม่มึงวะเนี่ย” ผมบ่นพลางส่ายหัว
“ต่อๆ อย่าเพิ่งบ่นสิวะ พี่ภัทรนี่ก็.. ทำตัวเป็นตาแก่ขี้น้อยใจไปได้”

“มึงน่าจะโดนตีนกูสักทีนะไอ้บาส” ผมย้อนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางสะบัดน้ำใส่ไอ้ญาติผู้น้องจนเนื้อตัวเปียกซก
“เข้าเรื่องเถอะนะสุดหล่อ กูกราบล่ะนะพี่ภัทร กูหนาวไปหมดแล้วเว้ย!”
“ก่อนหน้านี้คุณชลวิทย์เคยบอกกับกูว่า เขาไม่กล้าห้ามจันทร์เรื่องเปิดปิดแอร์ เพราะเขากลัวว่าจันทร์จะไม่เข้าใจแล้วก็กลัวว่าจันทร์จะเหงา แต่สมุดจดสูตรขนมของจันทร์มันก็แสดงให้เห็นว่า วันๆ จันทร์คงทำแต่ขนม โทรทัศน์คงไม่ค่อยได้เปิดเท่าไหร่ แล้วน้องก็ไม่น่าจะเหงาอย่างที่คุณชลวิทย์ให้เหตุผลกับกูด้วย เพราะเขามีงานอดิเรกที่ชอบทำอยู่แล้ว อ้อ! กูเห็นจันทร์มีตู้หนังสือส่วนตัวด้วย ดูท่าทางน่าจะชอบอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน กูว่าเรื่องค่าใช้จ่ายกับเรื่องของจันทร์คงไม่ใช่สาเหตุจริงๆ ที่ทำให้เกิดอาการแพนิคว่ะ แล้วกูก็คิดว่าสาเหตุจริงๆ มันน่าจะมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่มันแปลกตรงที่ตอนนี้เขาไม่มีอาการแพนิคเลย”
“ที่ไม่มีอาการ อาจจะเป็นเพราะยาที่พี่สั่งให้เขากินหรือเปล่า?”

“นั่นก็อาจจะใช่ แต่มันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ไหมวะ คือกูก็ดีใจนะที่เขาไม่มีอาการแพนิคแล้ว แต่กูกังวลแค่ว่า.. เขาจะปกปิดเรื่องอาการที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุจริงๆ ของเขาน่ะสิ มึงก็รู้ว่าคนเป็นแพนิคสุ่มเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าแล้วก็โรคอื่นๆ ด้วย”
“ก็จริงของพี่ แต่ตอนที่ผมใช้วิธีบำบัดแบบ CBT ไอ้ชลมันก็ดูรับมือได้ดีอยู่นะ”

“ยังไงมึงก็ลองหาทางสอบถามเขาหน่อยแล้วกัน เราเองจะได้รู้ด้วยว่าไอ้การเพิ่มหรือลดโดสยาในตอนนี้ มันมาถูกทางแล้วจริงๆ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็ดำน้ำลงไปยังพื้นสระเบื้องล่างอย่างต้องการจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ผมไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าอาการของเธอดูไม่ค่อยปกตินัก นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของบ้านต้องแอบซ่อนเธอเอาไว้ด้วยหรือเปล่า ถึงได้ทำให้คำตอบที่ผมเคยได้รับมีแต่การปฏิเสธแทบทั้งนั้น
ผมสะบัดหน้าพลางว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหอบหายใจและเสยปลายเส้นผมที่ปรกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่เมื่อมองขึ้นไปยังฟากฟ้า ผมกลับเห็นดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนนั้น และมันก็ทำให้ผมอดคิดถึงใครบางคนที่มีชื่อเสียงเรียงนามเหมือนกับ ‘พระจันทร์’ ที่กำลังส่องประกายอย่างงดงามอยู่บนแผ่นฟ้าในยามราตรีไม่ได้

ครืด ครืด

“โทษทีครับพี่ พอดีเมื่อกี้ผมไม่สะดวกรับสาย” พอขึ้นมาจากสระน้ำ ผมก็รีบโทรหาพี่ทรายเจ้าของคาเฟ่แถวโรงพยาบาลที่ผมมักจะแวะไปอุดหนุนอยู่บ่อยๆ  พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมสระเพราะเนื้อตัวยังไม่แห้งดี และถ้าหากผมรีบกลับเข้าไปในบ้านตอนนี้ละก็ เห็นทีผมคงต้องมานั่งเช็ดบ้านอีกรอบ เนื่องจากบ้านของผมสร้างแยกออกมาจากตัวบ้านของพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากตัวบ้านของพวกท่านมากนัก ดังนั้นทุกอย่างภายในบ้าน ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนจัดการดูแล ส่วนแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดแค่อาทิตย์ละหนึ่งครั้งเท่านั้น

(ไม่เป็นไรจ้ะ คือพี่อยากจะรบกวนอะไรภัทรสักหน่อย พอดีร้านคุกกี้เจ้าประจำของพี่ เขามีแพลนจะเลิกกิจการแล้ว พี่เลยอยากจะถามว่าน้องที่ภัทรรู้จักพอจะทำคุกกี้เป็นหรือเปล่า?) ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเพราะก่อนหน้านั้นผมเคยเปิดสมุดจดสูตรขนมของจันทร์ดูเพียงคร่าวๆ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะมีฝีมือในการทำขนมได้หลากหลาย 
“คิดว่าน่าจะทำได้นะครับ”

(อ่า ดีเลย! ถ้ายังไงภัทรลองให้เขาเสนอราคามาได้เลยนะ พี่ต้องการคุกกี้ประมาณ 20 ชุดต่อวัน แล้วก็ขนมปังสัก 10 ชุดน่ะ น้องเขาจะไหวหรือเปล่า?)
“อ่า ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องปรึกษากับเขาก่อนนะครับพี่ทราย แล้วยังไงผมจะรีบแจ้งพี่อีกที” ผมตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจันทร์จะตอบตกลงในข้อเสนอนี้หรือเปล่า ในเมื่อจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด มันเกิดจากการที่ผมอยากจะเรียกความมั่นใจของอีกฝ่ายก็เลยเอาขนมมาแจกจ่ายให้พวกพยาบาลแล้วก็พี่ทรายลองชิมดู ทีนี้ดันกลายเป็นว่าพวกสาวๆ ต่างก็ชื่นชอบขนมฝีมือของจันทร์มาก โดยเฉพาะพี่ทรายที่อยากจะลองเอาขนมปังน่ารักๆ พวกนั้นมาขายที่ร้าน

(ได้ๆ แต่อย่านานนักนะภัทร เพราะถ้าหากน้องเขาไม่โอเค พี่จะได้มีเวลาไปหาขนมของเจ้าอื่นด้วย แต่ยังไงพี่ก็อยากได้ยินข่าวดีจากภัทรอยู่นะ เพราะน้องเข้าฝีมือดีมากจริงๆ)
“ครับพี่ ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถเลยครับ ไม่ต้องห่วง” ผมตกปากรับคำอย่างแข็งขัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์นั้น มันเกิดจากสาเหตุใด..
ระหว่าง..
ต้องการช่วยเหลือเจ้าของร้านกาแฟ หรือว่าดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางป่าสน..

หลังจากลงเวรด้วยสภาพร่อแร่เต็มที วันนี้ผมก็ได้ฤกษ์ไปคุยรายละเอียดกับจันทร์ในเรื่องที่พี่ทรายฝากฝังไว้ โดยก่อนออกเดินทาง ผมได้แวะเข้าเซเว่นเพื่อซื้อมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกมากินให้อิ่มท้อง จากนั้นก็ขับรถมุ่งตรงไปยังอำเภอฮอดที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางมากพอสมควร
ดังนั้นในคืนนี้.. ผมคงต้องพักค้างคืนอย่างแน่นอน
 
แต่ก็โชคดีที่เมื่อวานไอ้ตี๋บาสเดินทางไปยังบ้านหลังนั้นก่อน ผมจึงฝากข้อความส่งผ่านไปยังเจ้าของบ้าน ซึ่งมันก็น่าเหลือเชื่อสำหรับผมมากที่คุณชลวิทย์เห็นด้วยเกี่ยวกับไอเดียการทำขนมส่งให้กับร้านกาแฟของพี่ทราย

“อ้าวจันทร์ ทำไมออกมานั่งตรงนี้ล่ะ” ผมลงจากรถพลางเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้านตัวเล็กที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างลำธารพร้อมด้วยเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ให้แสงสว่างในมุมกว้าง เนื่องจากจันทร์นำติดตัวมาด้วยถึงสองแท่ง
“…” จันทร์ไม่ตอบแต่กลับยกยิ้มพร้อมกับเดินถือเทียนหอมแท่งใหญ่นำทางไปยังประตูบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มให้กับพฤติกรรมนั้น เพราะทราบดีว่า..
เด็กผู้ชายที่กลัวความมืดอย่างจันทร์ คงจะกำลังนั่งรอผม ทั้งๆ ที่ไฟฟ้ามันดับสนิทไปหมดแล้ว

“เมื่อวานพี่บาสบอกกับจันทร์ว่า วันนี้พี่หมออยากจะคุยกับจันทร์เรื่องขนม” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่างที่แสงจันทร์ส่องถึง เจ้าของบ้านตัวเล็กก็เปิดปากพูดเพื่อเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
“อ่า ใช่ จันทร์สนใจจะทำขนมขายไหม หลายๆ คนเขาชอบฝีมือของจันทร์มากเลยนะ พี่ยังกะจะเก็บไว้กินเองชิ้นนึงแต่ก็ยังเก็บไม่ได้เลย” ผมเอ่ยถามอย่างคาดหวัง เพราะถ้าหากจันทร์ตอบตกลงก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว

“มันอร่อยจริงๆ เหรอครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังพี่หมอโม้จนคล้อยตามกันไปหมด” จันทร์ย่นจมูกพลางเกาข้างแก้มของตัวเองและพูดอย่างคนไม่มั่นใจ แต่ดูท่าทางคำตอบที่ได้รับน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี
อาจเพราะอีกฝ่ายน่าจะโดนคุณชลวิทย์เกลี้ยกล่อมมาด้วยก็เป็นได้

“จริงสิ ระดับพี่น่ะ ไม่เคยโม้หรอก” ผมกล่าวพลางยักคิ้วให้กับคนที่กำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริ ซึ่งท่าทางแบบนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นและดีใจกับเพราะบอกกล่าวเมื่อครู่อยู่ลึกๆ

“จริงๆ จันทร์ก็ทำเล่นทุกวันอยู่แล้วครับ” แต่แล้วอีกฝ่ายตอบกลับอย่างอ้อมโลก
“อ่าฮะ พูดแบบนี้แสดงว่าจันทร์.. ตอบตกลงแล้วใช่ไหม ?” ผมถามพลางยกยิ้มอย่างดีใจ

“ก็.. อื้อ แต่รายละเอียดคงต้องให้พี่ชลเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านดูนะครับ เพราะจันทร์ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอะไรพวกนี้เลย”
“ได้สิ แต่เท่าที่พี่ทราบ ทางร้านเขาอยากให้จันทร์ทำคุกกี้เพิ่มขึ้นด้วย จันทร์ทำเป็นหรือเปล่า?”

“เป็นครับ เดี๋ยวยังไงจันทร์จะลองให้พี่ชลเอาเมนูไปเสนออีกทีก็แล้วกันว่าทางร้านอยากได้คุกกี้แบบไหน”
“ได้สิ แต่เบื้องต้นทางร้านบอกว่าอยากจะให้จันทร์ทำขนมส่งแบบวันต่อวัน คุกกี้ 20 ชุด ส่วนขนมปัง 10 ชุด จันทร์พอจะทำไหวหรือเปล่า?”

“ก็น่าจะไหวมั้งครับ” จันทร์ตอบพลางมองจ้องเข้ามานัยน์ตาผม
“ว่าแต่พี่ชลเกลี้ยกล่อมจันทร์ยังไงเนี่ย ถึงได้ยอมตอบตกลงเอาง่ายๆ วันนี้พี่อุตส่าห์วางแผนมาไซโคเราเต็มที่เลยนะ” ผมกล่าวพลางยกมือขึ้นเสยปรอยผมอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ความลับครับ” จันทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางกระซิบเสียงแผ่ว คล้ายกับเจ้าตัวกลัวว่าเจ้าของบ้านอีกคนที่ในตอนนี้ได้เข้านอนไปแล้วจะบังเอิญมาได้ยินเข้า ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแก้เก้อขณะที่ใจก็เต้นระรัวด้วยความผิดปกติ จึงพยายามควบคุมตัวเองด้วยการครุ่นคิดอย่างสงสัยว่า ความลับระหว่างสองพี่น้องคู่นี้มันคืออะไรกันแน่ แต่เพราะถึงอยากจะรู้มากมายแค่ไหนก็คงจะไม่ได้รับรู้มันอยู่ดี ผมจึงถือโอกาสชวนจันทร์ออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อที่จะได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเทียนหอมกลิ่นวานิลลาอะไรนั่นด้วย
“วันนี้ไม่ใช่คืนเดือนมืด” ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนฟากฟ้าพลางหันมาส่งยิ้มให้กับเด็กชายตัวเล็กที่กำลังเดินอยู่เคียงข้างกัน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ จนผมเผลอขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย แต่หลังนั้นเพียงไม่นานอาการแปลกๆ ของอีกฝ่ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง เราสองคนจึงค่อยๆ ก้าวย่ำลงบนพื้นดินอันเป็นเส้นทางรถที่มีทิวสนโอบล้อมจนแสงจันทร์สาดส่องได้เพียงบางช่วง
ส่งผลให้เราต้องอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์ในการนำทาง

“จันทร์ชอบเทียนหอมกลิ่นวานิลลาหรือเปล่า?” ผมถือโอกาสถามขณะที่แขนข้างหนึ่งของเราก็เสียดสีกันไปมาเพียงเบาๆ ด้วยเพราะว่าจันทร์กำลังเดินแนบชิดผมเหมือนกับครั้งนั้นที่เรามาเดินเล่นท่ามกลางป่าสนด้วยกัน
“ไม่ชอบครับ” ผมขมวดคิ้วพลางหันหน้าไปทางคนอายุน้อยกว่าอย่างสงสัย เมื่อน้ำเสียงของเขามันฟังดูแปลกๆ แต่เพราะคำตอบที่ได้รับ มันทำให้ผมเลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป

“ถ้าอย่างนั้นจันทร์ชอบเทียนหอมกลิ่นอะไรเหรอ?” ผมเอ่ยถามอย่างคาดหวังในคำตอบด้วยหัวใจที่สั่นระรัวราวกับกลองที่กำลังถูกตีเป็นจังหวะร็อค
“ลาเวนเดอร์ครับ”

ทันทีที่ได้รับคำตอบ ผมก็แอบหันไปยิ้มให้กับต้นสนข้างทางอย่างลืมตัว

“ทำไมล่ะ ?”
“เพราะพี่หมอเป็นคนให้จันทร์” น้องตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวจนผมอดจะหันไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงเห็นว่าคนคนนั้นก็หันหน้าไปมองยังข้างทางอย่างเก้อเขินเหมือนกับที่ผมทำเมื่อครู่

“พี่ขอถามได้ไหม ใครเป็นคนซื้อเทียนหอมกลิ่นวานิลลามาเหรอ?” ผมเกริ่นถามด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวขณะที่ริมฝีปากก็พยายามจะกลั้นรอยยิ้มจากคำตอบก่อนหน้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อรอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ให้คำตอบกันเสียที ผมจึงหันกลับไปมองยังคนข้างๆ แล้วก็เริ่มสังเกตอาการของอีกฝ่าย จึงพบว่าในตอนนี้ใบหน้าของจันทร์กำลังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ขณะที่จังหวะการหายใจก็เริ่มจะติดขัดมากขึ้นทุกที เพียงเท่านั้นผมก็รับรู้ได้แล้วว่า..
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับจันทร์..

“จันทร์ยังพอจะจำจังหวะการหายใจที่พี่เคยสอนได้ไหม?” ผมหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายและกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้น พลางกล่าวเตือนความทรงจำว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เจ้าตัวควรจะทำอย่างไร แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลมากนัก เพราะในตอนนี้ความหวาดกลัวกำลังฟุ้งกระจายไปทั่วความรู้สึกของคนตรงหน้าจนทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวด้วยสองขาของตัวเองได้อีกต่อไป
เราสองคนจึงพลอยมอมแมมไปด้วยกัน..
 
ต่างกันแค่..

ผมกำลังประคองอีกฝ่ายให้กึ่งนั่งกึ่งนอนและแสดงสีหน้าอย่างห่วงใย แต่คนป่วยกลับร้องไห้และพยายามจะอ้าปากกอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างน่าสงสาร ซึ่งผมก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี เพราะในความรู้สึกของผู้ป่วย มันจะเหมือนกับว่าเขากำลังจะหยุดหายใจ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว..
เขายังคงหายใจอยู่..

“ไม่เป็นไรนะจันทร์ พี่อยู่นี่.. เดี๋ยวเราค่อยๆ หายใจตามจังหวะที่พี่นับเหมือนตอนนั้นนะ” ผมเลือกใช้โทนเสียงที่คิดว่าอ่อนโยนกับอีกฝ่ายให้มากที่สุด แม้ว่าใจจะไม่ได้รู้สึกสงบอย่างที่แสดงออกเลยก็ตาม จากนั้นจึงเริ่มนับเลขอย่างเชื่องช้า พร้อมกับคอยเช็ดน้ำตาที่ยังคงเปรอะเปื้อนใบหน้าของคนป่วยเป็นพักๆ 
“ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จันทร์หวาดกลัว พี่อยากให้จันทร์ลองบอกกับตัวเองในใจ ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัวเลย” พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะหายใจในจังหวะปกติได้ ผมก็เริ่มพูดชักนำให้เจ้าของบ้านตัวเล็กเอาชนะความหวาดกลัวของตัวเองให้ได้ เพราะวิธีนี้มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด

กระทั่งอาการของอีกฝ่ายค่อยๆ ทุเลาลง ผมจึงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกของตัวเองสักที แต่ทว่าก็ต้องมานั่งตกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็โผตัวเข้ามากอดผมไว้ ซึ่งครั้งหนึ่งเจ้าตัวก็เคยโอบกอดผมในลักษณะนี้มาแล้ว
เพียงแต่ในครั้งนี้..
ผมดันตื่นตระหนกด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“จ..จันทร์กลัว จันทร์ไม่กล้ามาเดินเล่นที่นี่.. เมื่อกี้เหมือนจันทร์จะตายอยู่ตรงนี้อีกแล้วพี่หมอ จ..จันทร์คิดว่าจันทร์ฝึกหายใจจนชำนาญแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง สมองมันกลับว่างเปล่าไปหมด จันทร์กลัวจนคิดอะไรไม่ออกเลยครับ” ยิ่งจันทร์บอกกล่าวอาการของเขาด้วยสีหน้าหวาดผวาและน้ำเสียงสั่นไหว หัวใจของผมก็ยิ่งวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
เพราะผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวจนถึงขั้นเรียบเรียงคำพูดก็ยังเรียบเรียงแทบไม่เป็นประโยค

“ต่อไปถ้าหากจันทร์กลัวหรือว่าไม่ชอบอะไร จันทร์บอกพี่ได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่” ผมพูดปลอบโยนอีกฝ่ายพลางลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาอยู่หลายหน จนกระทั่งจันทร์รับปากผมถึงค่อยสบายใจขึ้น

“พรุ่งนี้เราไปหาหมอกันนะ” ผมประคองจันทร์ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังตัวบ้านอันมืดมิด โดยมีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเน่าๆ ในการนำทาง ซึ่งผมก็อาศัยจังหวะนี้ชักชวนให้อีกฝ่ายไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด เนื่องจากผมเริ่มจะมั่นใจแล้วล่ะว่าจันทร์น่าจะเป็นโรคแพนิคด้วยแน่ๆ
เหตุเพราะในตอนนี้แววตากลมใสคู่นั้นยังคงมองไปทางป่าสนด้วยความหวาดกลัว

“ต..แต่พี่ชล” น้องหันกลับมาคัดค้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไปหาหมอเถอะนะ เรื่องพี่ชลเดี๋ยวพี่คุยให้” ผมหยุดการก้าวเดินและพาตัวเองไปยืนตรงหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเว้าวอนด้วยความเป็นห่วง
“ครับ” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วพลางหันไปมองยังทิศทางอื่นด้วยสีหน้าเก้อเขิน ทำเอาผมเริ่มจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าเมื่อครู่เราดันเผลอจ้องตากันในระยะประชิด

“จันทร์ใจเต้น.. แต่ไม่ได้ใจเต้นเหมือนกับเมื่อกี้..” ระหว่างที่เรากำลังก้าวเดินต่อไป จันทร์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวคล้ายกับจะกลืนหายไปในสายลม ส่วนผมได้แต่นิ่งเงียบ แม้ว่าในขณะที่ได้ยินประโยคนั้นหัวใจของผมจะเต้นรัวในจังหวะที่คาดว่าน่าจะเป็นจังหวะเดียวกันก็ตาม

“จันทร์คิดว่ามัน.. ไม่ใช่อาการป่วย” น้องขยายความเพียงสั้นๆ ซ้ำยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในประโยคสุดท้าย แต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงความรู้สึกในรูปแบบไหน
“จันทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนเถอะ ดึกแล้วล่ะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า” เมื่อก้าวเข้ามายังตัวบ้านผมก็ปิดไฟฉายในโทรศัพท์พลางออกปากเฉไฉไปเรื่องอื่นทำเอาอีกฝ่ายหน้าจ๋อยสนิท

“ครับ.. เอ่อ.. จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้พี่หมออาบแล้วนะครับ” น้องพูดพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“อื้ม ขอบคุณนะ ฝันดี”

“ครับ.. ฝันดี” จันทร์ยกยิ้มอย่างน่ารัก จากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดเชื่อมห้องใต้หลังคาไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนอมยิ้มให้กับเหตุการณ์เมื่อครู่จนเมื่อยปาก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมควรจะต้องไปเอาเสื้อผ้าที่ท้ายรถ ไม่ใช่มายืนยิ้มแป้นอยู่แบบนี้
ซึ่งมันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะยืนยันได้ว่าในค่ำคืนนี้ ผมได้ล็อกประตูอย่างแน่นหนาเป็นอย่างดีแล้ว..

หลังอาบน้ำจนเย็นสบาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ค่ำคืนนี้ผมจึงเผลอผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดี โดยไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด
ซึ่งผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร..

คลิก!

ทันทีที่ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูและตามมาด้วยเสียงประตูกำลังถูกเปิดออกจากด้านใน ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งและตัดสินใจเดินออกจากห้องเมื่อประตูบานดังกล่าวถูกปิดลง และในช่วงที่กำลังจะหันกลับมาปิดประตูบ้านในครั้งนี้ ผมก็ใช้หางตามองไปทางด้านหลังจึงเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่มุ่งตรงไปยังป่าสน
ก่อนจะหายลับไปในความมืด

ปลายเท้าของผมจึงสะกดรอยตามอีกฝ่ายให้เบาเสียงที่สุด ครั้นเมื่อได้ยินเสียงหวานละมุนของสาวเจ้ากำลังฮัมเพลงๆ เดิมที่เคยได้ยิน หัวใจของผมก็เริ่มเต้นรัวด้วยความลิงโลด และท่ามกลางแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านกิ่งก้านของสนป่าก็ทำให้ผมมองเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวสวมชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ กำลังวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่ผลิบานโอบล้อมป่าสนขนาดใหญ่เอาไว้อย่างสนุกสนานร่าเริง จึงทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิด ไม่ได้ผิดพลาดไปเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่า..
บ้านหลังนี้มีสมาชิกประจำบ้านถึงสามคนด้วยกัน

“จะเข้าไปถามโต้งๆ เอาตอนนี้เลยดีไหมวะ” ผมบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ แต่แล้วก็ต้องใจหาย เมื่อเธอคนนั้นหันหน้ามายังทิศทางที่ผมกำลังแอบซ่อนตัวอยู่ ผมจึงรีบหลบวิถีสายตาของเธอด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เพราะยังนึกวิธีเข้าหาอีกฝ่ายไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าหากผมปรากฏตัวออกไปตอนนี้จะทำให้เธอหนีเตลิดเข้าไปในป่าด้วยหรือเปล่า
ผมจึงได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น..

จนกระทั่งถึงเวลาที่เธอกำลังจะเดินกลับเข้าไปยังบ้านสีน้ำตาลอ่อนหลังนั้น ผมจึงรีบโผล่มาจากที่ซ่อนตัวพร้อมทั้งแอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จากนั้นก็เดินมุ่งตรงไปยังบ้านที่อยู่ท่ามกลางป่าสนอีกครั้ง

“นี่กูถูกจับได้แล้วเหรอวะ?” ผมอดจะอุทานออกมาไม่ได้ เมื่อประตูบ้านดันเปิดอ้าซ่าเอาไว้ ราวกับมีใครจงใจที่จะทำแบบนั้น
ซึ่งใครคนนั้นก็คือเด็กผู้หญิงที่ผมนึกสงสัย!

คลิก!

“เทียนหอมกลิ่นวานิลลา” หลังจากปิดประตูจนเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมแสนอันคุ้นเคยก็ปรากฏ ผมจึงมองไปยังเทียนแท่งสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวด้วยความสงสัย พร้อมถือโอกาสเดินสำรวจบ้านของคนอื่นอย่างถือวิสาสะ
กระทั่งปลายเท้าสัมผัสกับเศษดินอันเกลื่อนกลาดเหมือนกับวันนั้น แถมยังไร้ร่องรอยของผู้กระทำอีกต่างหาก ทำเอาผมรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน ถ้าหากไม่มีกลิ่นหอมของวานิลลา พร้อมด้วยแสงสว่างจากเปลวเทียนที่กำลังสั่นไหว และเงาร่างของตัวเองที่ส่องสะท้อนอยู่บนกำแพงบ้านอย่างชัดเจน
ซึ่งหลักฐานชั้นดีเหล่านี้ ก็สามารถยืนยันได้ว่า..
ผมไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยล้า แล้วดันฝันเฟื่องไปเรื่อยเปื่อย


゚゚❀゚゚

[edit 02/03/2018 เรียบเรียงบางประโยคให้อ่านสมูธขึ้น และแก้คำที่เผลอเขียนสลับที่กัน
ปล. ถ้ายังเจอคำไหนที่มันผิดหรือว่าเขียนสลับกัน รบกวนแจ้งด้วยนะคะ บางทีเราอาจจะอ่านเพลินแล้วมองไม่เห็น
edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

เรื่องนี้มาต่อได้ช้ามาก ส่วนหนึ่งคือเขียนยากและติดละคร รวมทั้งยังต้องปั่นฟิคด้วย ฮือ
ต้องขออภัยที่ให้รอนานนะคะ แต่มันต้องใช้ฟีลลึกลับในการเขียนยังไงไม่รู้ เค้นฟีลนี้ยากมาก
ใครที่เคยกลัวว่าจะเป็นนิยายผี ก็สบายใจได้แล้วเนอะ เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นโผล่มาให้เห็นแบบจังๆ แล้ว
และน้องจันทร์ก็หวั่นไหว ส่วนพี่หมอก็หวั่นไหวเหมือนกัน 555
ตอนหน้าคงได้รู้กันว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร >.<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:38:15 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 6 (update 06/03/2018)
«ตอบ #13 เมื่อ06-03-2018 12:38:44 »

ตอน 6

เช้ามืดวันนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวจนหอมฟุ้งเพื่อเตรียมลุยงานอย่างเต็มที่ จากนั้นผมก็ออกมานั่งพิมพ์ข้อความส่งผ่านทางไลน์ไปยังหมอกิตตรงโต๊ะทานข้าวริมหน้าต่าง เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าวันนี้ผมจะพาคนไข้ในความดูแลไปเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อเจาะเลือดเช็คความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ รวมถึงตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อดูการทำงานของมัน เนื่องจากการตรวจด้วยวิธีการเหล่านี้จะช่วยวินิจฉัยอาการที่เกิดขึ้นได้ว่ามีสาเหตุมาจากสุขภาพทางด้านร่างกายหรือไม่ เพราะถ้าหากตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จันทร์ก็จะต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคแพนิคต่อไป โดยอาศัยการทำแบบทดสอบทางหลักจิตวิทยาร่วมด้วย เนื่องจากอาการป่วยของจันทร์ยังไม่ทราบสาเหตุอย่างชัดเจนเท่าที่ควร
แม้อันที่จริงผมจะมั่นใจมากๆ แล้วก็ตามว่าจันทร์ป่วยเป็นโรคแพนิค

“อ้าว คุณหมอสวัสดีครับ เมื่อวานผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับ พอดีผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ” คุณชลวิทย์กล่าวทักทาย เมื่อเปิดประตูออกมาเจอผมกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ท่ามกลางความมืด
เพราะในเวลานี้มันเพิ่งจะตีสามเท่านั้น

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็มาถึงดึกมากๆ แล้วด้วย และอันที่จริงมันควรจะเป็นทางผมมากกว่าที่ต้องขอโทษเจ้าของบ้าน” ผมกล่าวพลางยกยิ้มพร้อมกับครุ่นคิดหาวิธีในการพูดคุยกับคุณชลวิทย์เกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของจันทร์ ขณะที่เป้าหมายก็เดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง

“เอ่อ.. คุณชลวิทย์ ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ เกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของจันทร์น่ะครับ” กระทั่งเจ้าของบ้านคนพี่เดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็ร้องเรียกความสนใจของเขาไว้และไม่ลืมจะพูดเกริ่นนำอย่างตรงประเด็น
“อาการป่วยของจันทร์เหรอครับ?” คุณชลวิทย์ย้อนถามด้วยสีหน้าซีดเผือดจนผมต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพื่อที่จะได้พูดถึงเรื่องราวสำคัญที่ยังไงวันนี้จันทร์ก็จะต้องเดินทางออกจากบ้านกลางป่าสนเพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลให้ได้

“ครับ เมื่อคืนผมพาเขาไปเดินเล่น หลังจากนั้นจันทร์ก็มีอาการเหมือนโรคแพนิค” หลังจากพูดจบผมก็เริ่มสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า จึงทำให้เห็นว่าสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงมาก ซึ่งมันก็สร้างความสงสัยให้กับผมได้อีกครั้ง
“จันทร์คงโชคร้ายที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากโรคนั้นเพราะผม..” คุณชลวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย จนผมคลายความสงสัยทั้งหมดไป

“คุณชลวิทย์ครับ วันนี้ผมขอพาเขาไปตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลอย่างละเอียดได้ไหมครับ อย่างน้อยจันทร์ก็จะได้สบายใจด้วยน่ะครับ เพราะเมื่อวานไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“เอ๊ะ! ไม่เห็นจันทร์เขาบอกผมเลยครับ” ทันทีที่เจ้าของบ้านคนพี่ได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยของน้องชายจากปากผม เขาก็อุทานออกมาด้วยความสงสัย

“เขาคงยังไม่มั่นใจน่ะครับก็เลยไม่ได้บอกคุณ” ผมแก้ตัวแทนจันทร์คล้ายกับไม่เคยรับรู้ว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้จันทร์ไม่กล้าเอ่ยปากถึงเรื่องนี้ มาจากการที่คุณชลวิทย์ไม่เคยอนุญาตให้จันทร์ไปไหนมาไหนอย่างอิสระ
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอเวลาเตรียมตัวสักครู่นะครับ ส่วนคุณหมอผมว่าเดินทางเข้าเมืองไปก่อนเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวจะสายเอา”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ผมตอบปฏิเสธพลางยกยิ้ม พร้อมกับมองคุณชลวิทย์ที่เดินเลี่ยงไปยังบันไดเชื่อมต่อกับห้องใต้หลังคาแบบเปิดโล่ง จากนั้นร่างสูงของเขาก็หายลับไปจากสายตา เนื่องจากเขากำลังก้าวเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของจันทร์ที่มีกำแพงสีขาวสะอาดบดบังไว้ ผมจึงถือโอกาสออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนริมลำธารพร้อมกับส่งข้อความไปหาหมอแนนที่อยู่ในแผนกเดียวกันว่าวันนี้ผมจะพาคนไข้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่ไม่แน่ใจว่าอาการแพนิคของเขาจะทำให้ผมเข้างานสายหรือเปล่า เพราะผมคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าในระหว่างที่จันทร์จะต้องเดินทางผ่านป่าสนอันทอดยาวที่เขาหวาดกลัว
คนป่วยอาจจะมีอาการแพนิคกำเริบขึ้นมาอีกก็เป็นได้

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมีโอกาสได้มาเดินเล่นรอบๆ บ้านกลางป่าสน จึงทำให้ทราบว่าหลังบ้านมีโรงปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์เสียด้วยและนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณป้าหรือก็คือแม่ของไอ้บาสติดอกติดใจผักปลอดสารพิษของคุณชลวิทย์นั่นเอง แต่พอเดินวนออกมายังหน้าบ้านก็เจอกับดอกไม้เมืองหนาวจำพวกไฮเดรนเยีย ไซคลาเมน และอีกมากมายที่กำลังชูช่ออย่างสวยงาม เพียงแต่ในวันนี้ไม่มีดอกสโนว์ดรอปส์อยู่ใกล้ๆ ตัวบ้านเหมือนอย่างเคย
ซึ่งผมก็ไม่เคยสังเกตเลยว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
และทำไมจะต้องเป็นดอกไม้แค่เพียงชนิดเดียวที่ถูกขุดรากถอนโคนออกไปด้วย?

“เรียบร้อยแล้วครับ” จันทร์เดินเข้ามาบอกผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงมุมดอกไม้หลากชนิดที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ เพื่อคิดวิเคราะห์เหตุผลที่ไม่น่าสงสัย
แต่จู่ๆ ผมกลับรู้สึกสงสัยโดยไม่มีสาเหตุ

“เรารีบเดินทางกันเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณหมอจะสายไปมากกว่านี้” ผมเหลือบมองไปยังคุณชลวิทย์ที่แวะมาบอกกล่าวกันก่อนจะเดินนำจันทร์ไปยังรถกระบะของตัวเอง ผมจึงรีบเดินตรงไปที่รถของตัวเองบ้าง จากนั้นก็เปิดโอกาสให้เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายนำทางเพื่อที่เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินผมจะได้ให้ความช่วยเหลือพวกเขาได้ทัน

กระทั่งระยะเวลาดำเนินผ่านไปโดยไม่มีหยุดพัก ผมก็ยังคงจ้องไฟสีแดงท้ายรถกระบะที่กระพริบตามจังหวะการเหยียบเบรกด้วยความกังวลใจ จากนั้นเพียงไม่นานสิ่งที่ผมเป็นกังวลก็เกิดขึ้น ผมจึงรีบวิ่งลงจากรถและมุ่งตรงไปยังรถกระบะคันนั้นพร้อมกับออกแรงทุบกระจกทางฝั่งคนขับเพียงเบาๆ เพื่อให้เขารีบตั้งสติ
ครั้นเมื่อประตูถูกปลดล็อก ผมก็รีบวิ่งอ้อมไปยังฝั่งที่จันทร์นั่งอยู่พลางกระชากประตูรถออกอย่างร้อนใจ และภาพที่ผมเห็นก็คือภาพของจันทร์ที่กำลังนั่งน้ำตาไหลนองพร้อมกับจังหวะการหายใจอันติดขัด ราวกับเจ้าตัวใกล้จะขาดอากาศหายใจอยู่ร่อมร่อ อีกทั้งเนื้อตัวของเขาก็ยังเกร็งแข็งคล้ายกับไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ขยับเขยื้อนได้

“จันทร์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายพลางคว้าฝ่ามืออันชื้นเหงื่อมากอบกุมไว้ จึงสามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหวน้อยๆ อันเป็นหนึ่งในอาการของโรคแพนิค
“ช..ชา” จันทร์หันมาบอกผมเสียงสั่นจึงทำให้ผมทราบว่า อาการของเขามันเพิ่มความชาเหน็บที่บริเวณฝ่ามือและเท้าจนคล้ายกับถูกเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงไม่หยุด ผมจึงพยายามนวดฝ่ามือให้เขาเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้

“จันทร์ยังจำวิธีที่พี่บอกเมื่อวานได้ไหม ?” แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังถามคนป่วยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนให้มากที่สุด จากนั้นจันทร์ก็พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่องช้า แล้วก็เริ่มหายใจเข้าออกในจังหวะที่ผมเคยสอน ขณะที่คุณชลวิทย์ก็คอยเอาปลายนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ยังคงไหลนองเพราะความหวาดกลัว
“ถ้าจันทร์กลัวป่าสน พี่อยากให้จันทร์คิดว่ามันเป็นแค่เส้นทางหนึ่งที่เราจำเป็นต้องเดินทางผ่าน และมันก็สั้นแค่เพียงนิดเดียว อีกเดี๋ยวเราก็จะไปถึงเส้นชัยที่อยู่ข้างหน้านั่นแล้ว” ผมพูดกับจันทร์พลางชี้ไปข้างหน้าเพื่อให้คนป่วยได้มองโลกในแง่บวก
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความคิดฟุ้งซ่านและอาการวิตกกังวลต่างๆ ได้

“แล้วพอเราไปถึงตรงนั้น มันก็จะไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว” ผมพูดพลางยกยิ้มให้กับเจ้าของดวงตากลมใสที่ยังคงฉ่ำน้ำ
“ใช่แล้ว อดทนอีกนิดเดียว จันทร์ก็จะถึงเส้นชัยแล้วนะ” คุณชลวิทย์กล่าวพลางลูบเรือนผมของน้องชายด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากของเขาก็ไม่อาจหุบยิ้มลงได้ เพียงแค่นั้นจันทร์ก็น่าจะมั่นใจขึ้น
“จันทร์เริ่มรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มจะหายใจเป็นปกติแล้ว
“ขาจันทร์ยังชาอยู่เลยครับพี่หมอ” ผมพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปบีบนวดขาของอีกฝ่าย

“เท้าด้วยไหม ?” ผมถามขณะที่ยังคงจดจ่ออยู่กับการบีบนวดให้กับเจ้าของบ้านตัวเล็กอย่างตั้งใจ
“อื้อ” สิ้นคำตอบอันแผ่วเบา ผมก็ค่อยๆ ถอดรองเท้าและถุงเท้าของเจ้าตัวออก จากนั้นก็เริ่มบีบนวดปลายเท้าให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่นึกรังเกียจ

“จันทร์ดื่มน้ำหน่อยนะ จะได้รู้สึกดีขึ้น” คุณชลวิทย์กล่าวพร้อมกับขยับตัวเพียงเบาๆ เพื่อเอื้อมไปหยิบน้ำดื่มมาให้น้องชายสุดที่รัก
“ดีขึ้นไหม ?” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามจันทร์ที่กำลังดูดน้ำจากปลายหลอดสีขาวดังอึกๆ ราวกับกระหายน้ำอย่างหนัก ฝ่ายคนถูกถามก็รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูจะสดใสขึ้น

“ผมว่าเรารีบเดินทางกันต่อดีไหมครับ?” คุณชลวิทย์เอ่ยถามความเห็นเมื่อประเมินดูแล้วว่าอาการของน้องชายในตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“ก็ดีครับ” ผมพยักหน้าพลางตอบรับอย่างเห็นด้วย แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังจะผละตัวออกห่างจากรถกระบะคันดังกล่าว คนป่วยก็ยึดข้อมือของผมไว้

“จันทร์ไปด้วย.. จันทร์กลัวเป็นเหมือนเดิมอีก..” คำร้องขอจากคนป่วยทำเอาผมได้แต่เหลือบตามองคนพี่อย่างขอความเห็น กระทั่งใบหน้าเรียบนิ่งเริ่มขยับไหวในเชิงอนุญาต ผมจึงเริ่มขยับตัวเข้ามายืนในตำแหน่งเดิม
“จันทร์พอจะลุกไหวหรือเปล่า?” ผมทอดเสียงถามด้วยความห่วงใย จนกระทั่งอีกฝ่ายให้คำตอบด้วยการพยักหน้า ผมจึงก้าวถอยหลังเพียงเล็กน้อย และรอจนกระทั่งอีกฝ่ายสวมถุงเท้าและรองเท้าจนเสร็จจึงค่อยประคองคนป่วยให้เดินไปยังรถของตัวเอง โดยไม่ลืมปิดประตูรถให้กับคุณชลวิทย์ และบอกกล่าวให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงน้องชายที่ในตอนนี้กำลังอยู่ในความดูแลของผม

“เดี๋ยวพี่เปิดเพลงบรรเลงให้เราฟังดีกว่า เผื่อจะช่วยให้หายกังวลได้บ้าง” ผมพูดพลางเอื้อมมือไปเปิดเพลงที่ไอ้บาสมันเคยยัดเหยียดมาให้ จากนั้นก็เริ่มขับรถตามคุณชลวิทย์ที่ในตอนนี้ทิ้งระยะห่างจากผมมากพอสมควร
“พอจันทร์อยู่ใกล้กับพี่หมอ.. จันทร์มักจะรู้สึกอุ่นใจ” เมื่อรถเคลื่อนผ่านป่าสนอันมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถของผมและไฟสีแดงจากท้ายรถของคุณชลวิทย์ไปได้สักพัก จันทร์ก็พูดขึ้นทั้งๆ ที่ยังนั่งหลับตาแน่น คล้ายกับเจ้าตัวกำลังต่อสู้กับความหวาดกลัวของตัวเองอยู่  ซึ่งการต่อสู้ของเขา มันคือการฝากฝังความไว้วางใจเอาไว้ที่ผม เพราะทุกครั้งที่เกิดอาการเหล่านี้ ก็ไม่เคยจะมีครั้งไหนเลยที่จันทร์ไม่มีผมอยู่ข้างๆ ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่จะทำให้จันทร์ไว้วางใจผมมากกว่าคุณชลวิทย์ที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง บวกกับอาชีพ ‘หมอ’ ก็ย่อมต้องได้รับความไว้วางใจจาก ‘คนไข้’ อยู่แล้ว
คุณชลวิทย์ถึงได้กล้าปล่อยให้น้องชายเดินทางไปกับผมได้

“หึ” เมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของจันทร์ ผมก็อดจะหัวเราะพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยไม่ได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะพยายามบอกกับตัวเองเป็นอย่างดีซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า..
ความไว้วางใจที่ได้รับอยู่นั้น มันก็แค่ในสถานะของ ‘หมอ’ กับ ‘คนไข้’

“จันทร์พูดจริงๆ นะ” อีกฝ่ายรีบแก้ตัวพัลวัน จนผมเผลอขยับยิ้มตรงมุมปากขึ้นมาจนได้
“แล้วใครบอกจันทร์ว่าพี่ไม่เชื่อล่ะ หืม?” ผมหันไปถามตุ๊กตาหน้ารถพลางโยกศีรษะของคนป่วยที่ในตอนนี้กลับมาพูดจาเจื้อยแจ้วได้เสียแล้ว

“ก็เมื่อกี้พี่หมอหัวเราะ” จันทร์แย้งอย่างขึงขังส่วนผมก็ได้แต่ยกยิ้มเพียงบางๆ อย่างไร้คำอธิบายใดๆ ว่าทำไมผมถึงต้องหัวเราะออกมา
ฉะนั้นแล้ว.. บนโลกใบนี้ก็เห็นจะมีแค่ผมนี่แหละที่เข้าใจ..

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลผมก็ทำเรื่องให้อีกฝ่ายตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง จากนั้นผมก็ขอแยกตัวไปทำงานแล้วติดต่อหมอกิตเพื่อฝากฝังผู้ป่วยอย่างจันทร์อีกครั้ง โดยขอร้องให้เขาช่วยวินิจฉัยโรคให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากผลตรวจออกมาว่าไม่พบเจอสิ่งผิดปกติใดๆ ผมจะได้เริ่มให้จันทร์ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาเสียที
พูดได้เลยว่าคนที่ใจร้อนน่ะ ไม่ใช่ใครหรอก แต่เป็นผมเองต่างหากล่ะ!

หลังจากถามไถ่กับพยาบาลประจำวอร์ดของตัวเองจนได้ความว่าหมอแนนที่ผมฝากฝังให้ช่วยเหลือในตอนนี้วนไปยังวอร์ดไหนแล้ว ผมก็รีบมุ่งตรงไปยังวอร์ดนั้น เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ 
และก็โชคดีที่จิตแพทย์สาวกำลังเดินออกมาจากวอร์ดดังกล่าวเข้าพอดี

“ขอบคุณนะแนน ยังเหลืออีกเยอะหรือเปล่า?”
“เยอะดิ แถมคนไข้ยังเอาแต่ถามหาคุณหมอสุดหล่อแล้วยังใจดีโคตรๆ ทั้งนั้นด้วย” จิตแพทย์สาวกล่าวพลางยักคิ้วหลิ่วตาพร้อมกับเบะปากดูไม่สมกับอาชีพที่เป็นเหมือนหัวโขนที่ต้องสวมใส่ อีกทั้งครอบครัวของสาวเจ้าก็ยังมีกิจการส่งออกดอกไม้สวยๆ งามๆ ตั้งใหญ่โต แถมยังมีดีกรีเป็นถึงลูกหลานของอดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่อีกต่างหาก 
แล้วทำไมกิริยาวาจาถึงได้กลายเป็นม้าดีดกะโหลกขนาดนี้ไปได้!

“…” ผมไม่ตอบอะไร แต่กลับยักคิ้วให้เพื่อนร่วมงานที่มีดีกรีเป็นถึงเพื่อนสนิทอย่างงงๆ เพราะถ้าให้นึกดีๆ ว่าเรามาสนิทกันได้ยังไงก็เห็นทีจะหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะเรื่องเรียนหรือว่าเพราะที่บ้านของเราต่างก็สนิทกันมาก
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นช่วยเพื่อนไม่ให้ต้องไปดูตัวจะดีกว่าไหมคะ ?”

“หยุดเลยไอ้แนน มึงหยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้ กูบอกแล้วไงว่าเรื่องส่วนตัวกูจะไม่ยื่นมือเข้าไปเสือกแน่ๆ” ผมว่าพร้อมกับดีดหน้าผากมันแรงๆ สักที
“เจ็บนะเว้ย! มึงแม่ง! ไสหัวไปทำงานเลยไป!” สาวเจ้าเริ่มบ่นด้วยน้ำเสียงติดจะขุ่นพร้อมกับยกแข้งขาเตรียมจะถีบผมตามนิสัยสาวห้าวที่ไม่เคยได้ดั่งใจพ่อกับแม่

“ตอนนี้เราอยู่ที่โรงพยาบาลนะครับ แถมยังเป็นวอร์ดอื่นอีก สำรวมหน่อยสิครับหมอแนน” ผมกล่าวพลางยักคิ้วกวนประสาทใส่เพื่อนสนิทที่รู้เช่นเห็นชาติกันเป็นอย่างดี จากนั้นก็แบมือขอชาร์ตคนไข้ในส่วนที่ผมต้องรับผิดชอบมาทำต่อเสียเอง
“นี่ค่ะ รับไปแล้วก็ช่วยไสหัวไปทำงานเลยนะคะหมอภัทร เหม็นขี้หน้าค่ะ” ดูเอาเถอะ ขนาดจะแยกกันไปทำงาน ก็ยังไม่วายจะกวนตีนใส่กันอยู่ดี แต่ผมก็ชินเสียแล้วล่ะเลยได้แต่ยืนส่ายหัว
และเริ่มต้นราวนด์วอร์ดตามหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เสียที

หลังจากราวนด์คนไข้จนครบทุกเตียงแล้ว ผมก็ต้องมาตรวจ OPD เหมือนปกติ เพียงแต่วันนี้หนึ่งในคนไข้ของผมก็คือคุณชลวิทย์ เพราะเขาให้เหตุผลว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมารบกวนผมอีก เนื่องจากวันนี้พวกเขาต่างก็รบกวนผมมากจนเกินพอแล้ว

“ตอนนี้อาการแพนิคของคุณชลวิทย์เป็นยังไงบ้างครับ ?” ผมเริ่มสอบถามผู้ป่วยในความดูแลเหมือนทุกครั้ง และคำตอบก็ยังคงไม่ต่างไปจากเดิม
“ตอนผมขับรถไปที่ตลาด มันก็ไม่เคยเกิดอาการแบบนั้นขึ้นอีกแล้วนะครับ อาจเป็นเพราะผมมองโลกในแง่บวกมากขึ้นก็ได้มั้ง” คนไข้ตรงหน้ากล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ดีแล้วล่ะครับ คุณจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้น”
“แต่ผมเองก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันนะครับ ทั้งๆ ที่ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับการออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรกของจันทร์แทบตาย แต่วันนี้กลับไม่เกิดอาการอะไรกับผมเลย” คุณชลวิทย์กล่าวเปิดประเด็นเรื่องใหม่ขึ้นอย่างน่าสนใจ

“แสดงว่าคุณเชื่อใจน้องจันทร์แล้วไงครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม
“คงงั้นมั้งครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” เขาตอบพลางยกยิ้มด้วยสีหน้าเป็นกังวล จนผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังคิดมากกับการออกนอกบ้านเป็นครั้งแรกของจันทร์

“แต่ทางเดียวที่คุณจะทำได้ ก็คือการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เหรอครับ?”
“นั่นสิครับ เพราะไม่อย่างนั้นจันทร์ก็คงจะไม่ได้มาตรวจอาการที่โรงพยาบาลแบบวันนี้หรอก” ผมยกยิ้มแสดงถึงการเห็นด้วย จากนั้นก็บอกกับคนไข้ในความดูแลเกี่ยวกับยาทั้งสองตัว ที่ในตอนนี้ยังคงต้องทานควบคู่กันอย่างต่อเนื่องไปอีกสักระยะ แล้วถ้าอาการของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ผมถึงจะยอมลดยากล่อมประสาทให้เหลือเพียงแค่ตัวยาแก้ซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว

ช่วงเที่ยงผมชวนสองพี่น้องออกไปทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาล โดยผมอาสาเป็นเจ้ามือให้กับทั้งคู่ ซึ่งระหว่างนั้นก็บังเอิญเจอกับหมอกิต เขาเลยแจ้งให้ผมทราบว่าช่วงบ่ายผลตรวจของจันทร์จะออกแล้ว ถ้ายังไงเขาจะโทรแจ้งให้ผมทราบอีกที คาดว่าวันนี้จันทร์น่าจะได้ตรวจโรคทางจิตเวชจนเสร็จสิ้น ซึ่งผมก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะการออกมานอกบ้านของอีกฝ่าย ดูจะเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน ในเมื่อคุณชลวิทย์ยังไม่เชื่อใจจันทร์มากมายขนาดนั้น
แต่ที่ต้องยอมเชื่อ ก็เพราะว่ามีเหตุจำเป็นต่างหากล่ะ

หลังจากอิ่มท้องผมก็ถือโอกาสพาทั้งสองคนไปแนะนำกับพี่ทรายเจ้าของคาเฟ่ เพื่อที่จะได้พูดคุยรายละเอียดเบื้องต้น เนื่องจากผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร้านท่านนี้ ต้องการจะทราบผลลัพธ์แบบเร่งด่วน แต่บังเอิญว่าดันประจวบเหมาะกับช่วงที่จันทร์ป่วยเข้าพอดี ผมก็เลยลืมเรื่องที่พี่ทรายฝากฝังเอาไว้ไปชั่วขณะ
กระทั่งช่วงบ่ายสองกว่าๆ ผลตรวจของจันทร์ก็ออกแล้ว พบว่าเขาไม่มีอาการผิดปกติทางด้านร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นช่วงเวลาแบบนี้จันทร์ถึงได้มีโอกาสเข้ามานั่งอยู่ในห้องทำงานของผม ซึ่งบรรยากาศโดยรอบจะให้ความรู้สึกสบายๆ ไม่เหมือนกับห้องตรวจของคุณหมอท่านอื่น เนื่องจากห้องตรวจของวอร์ดจิตเวชนั้น ทางโรงพยาบาลได้ออกแบบตกแต่งด้วยโทนสีที่สบายตา เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกไว้วางใจและผ่อนคลายจนสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาให้มากที่สุด

“ห้องทำงานของพี่หมอดูอบอุ่นจังครับ” จันทร์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พลางมองไปรอบๆ ห้องพร้อมกับยกยิ้มบางๆ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มรับท่าทางตื่นตาตื่นใจของอีกฝ่ายที่ไม่เคยปรากฏให้เห็น
“จันทร์พอจะบอกพี่ได้ไหมว่าก่อนจะเกิดอาการแบบนั้น จันทร์เห็นอะไรที่ป่าสน ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน โดยเว้นระยะห่างเอาไว้เพียงเล็กน้อย ซึ่งปกติผมจะเลือกนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวทางด้านขวามือของผู้ป่วย

“ดอกไม้” สิ้นคำถามคนป่วยก็รีบให้ข้อมูลอย่างเลื่อนลอย
“จันทร์หมายถึง.. จันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์?”

“อื้อ ดอกสีขาวๆ นั่นแหละครับ”
“ทำไมล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างนึกสงสัย เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้จันทร์หวาดกลัว กลับไม่ใช่ ‘ป่าสน’ แต่กลายเป็น ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ไปเสียได้

“พอเห็นมัน.. จ..จันทร์ก็เห็นภาพอะไรไม่รู้ มีแต่เปลวไฟเต็มไปหมดเลยครับ” จันทร์ตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลและยังสับสนในตัวเองอยู่มาก เพราะสิ่งที่เขาเห็น ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“ดอกไม้กับเปลวไฟงั้นเหรอ?” ผมอุทานออกมาเพียงเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังร่างเล็กที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ กันด้วยความไม่สบายใจ เพราะจากคำพูดของจันทร์ มันทำให้ผมนึกไปถึงสาเหตุของอาการแพนิคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีต
ซึ่งอดีตที่ว่านั้นกลับถูกลบเลือนหายไปจากความทรงจำเพียงชั่วขณะ
โดยมีดอกสโนว์ดรอปส์เป็นสิ่งกระตุ้น 

“จันทร์พยายามนึก แต่ยิ่งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แถมยังทำให้อาการแย่ลงเรื่อยๆ ด้วย” จันทร์ยังคงอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอย่างเชื่องช้า คล้ายกับเจ้าตัวกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
“จันทร์ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาที่เห็นดอกไม้สีขาวๆ นั่น จันทร์จะต้องรู้สึกเจ็บปวด แล้วภาพของเปลวไฟก็ต้องแวบเข้ามาในหัว มันน่ากลัวมากจริงๆ ครับ น่ากลัวจนจันทร์ไม่สามารถขยับตัวได้ และแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจก็ยังไม่มี..” น้ำเสียงของจันทร์ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างสับสน กลับทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะสีหน้าของเขาฉายแววแห่งความเจ็บปวดอย่างไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกออกมาได้

“เดี๋ยวเราไปทำแบบทดสอบกันนะ” ผมเอื้อมไปกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้ พลางเสนอทางออกให้คนป่วยได้พักสมองจากเรื่องราวในอดีตที่ยังคงเป็นปริศนาอันคลุมเครือ จนกระทั่งจันทร์เดินหายเข้าไปยังห้องทำงานของไอ้บาสที่เชื่อมต่อกับห้องทำงานของผม ภวังค์แห่งความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวที่เพิ่งจะได้ยินมาหมาดๆ ก็เริ่มย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง..
โดยผมเริ่มคิดวิเคราะห์ตั้งแต่ปากทางเข้าบ้านหลังนั้นที่เต็มไปด้วยต้นสโนว์ดรอปส์จนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวที่ประดับประดาอยู่รอบๆ ป่าสนอันสูงตระหง่าน ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้ เป็นดอกไม้จากต่างประเทศที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เองและจันทร์ก็หวาดกลัวดอกสโนว์ดรอปส์นั่นจนเกิดอาการแพนิค แถมบ้านหลังนั้นก็ยังมีเด็กผู้หญิงที่ชอบใส่ชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ ซึ่งผมแอบคาดเดาเอาไว้ว่าเธอน่าจะมีอดีตร่วมกันกับจันทร์ เพราะเธอคนนั้นชอบออกมาเดินเล่นในทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ทุกค่ำคืน ขณะที่จันทร์กลับรู้สึกหวาดกลัวมันจนถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างนั้นต้นสโนว์ดรอปส์กลับมีการปลูกเอาไว้ข้างๆ ตัวบ้าน แล้วสุดท้ายก็ถูกขุดรากถอนโคนออกไป ราวกับว่าคนคนนั้นรับรู้ความลับอะไรบางอย่าง ซึ่งความลับนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับจันทร์ ที่สามารถมีตัวตนในบ้านหลังนั้น และยังเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ไม่เคยมีโอกาสได้แสดงตัวตนให้ใครรับรู้ ซ้ำร้ายมันยังอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณชลวิทย์มีอาการแพนิค ?
ดังนั้นหากเรื่องราวเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ล่ะก็..
การปรากฏตัวของผมและอาการป่วยของจันทร์ จะยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลจนเกิดอาการแพนิคกำเริบมากขึ้น!


゚゚❀゚゚

edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ปริศนาใหม่มาอีกแล้วไม่รู้ว่าจะมีใครเดาได้มั้ย แต่ปมยังออกมาไม่หมดเลย 55
รู้สึกว่าการเขียนทิ้งปมมันยากเย็นสุดขีด แถมยังต้องทิ้งแบบลึกลับไปอีก
แต่ละตอนต้องเขียนตอนที่อยู่ในช่วงสงบจริงๆค่ะ มันเขียนยาก ฮือ ไม่ถนัดเลย
ปล. เจอคำผิดหรือเขียนสลับกันรบกวนแจ้งทีนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:45:25 โดย Chomin »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 6 (update 06/03/2018)
«ตอบ #14 เมื่อ06-03-2018 19:33:19 »

จันทร์กับเด็กหญิงคนนั้นเป็นคนเดียวกัน จันทร์มีสองบุคลิก
กลางวันเป็นจันทร์ กลางคืนเป็นเด็กผู้หญิง
ดอกสโนดร็อป ชลวิทย์ปลูกไว้เพื่อกันไม่ให้จันทร์ออกไปจากตัวบ้าน
แต่เด็กหญิงคนนั้นไม่กลัวสโนดร็อปและออกมาตอนจันทร์หลับ /มโนเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 7 (update 07/03/2018)
«ตอบ #15 เมื่อ07-03-2018 05:11:48 »

ตอน 7

หลังจากตรวจวินิจฉัยจนได้ความว่าจันทร์มีอาการ specific phobia[1] จึงทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะหวาดกลัว โดยมี ‘วัตถุ’ หรือ ‘สถานการณ์’ เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคร่วมด้วย ซึ่งสิ่งกระตุ้นที่ว่านั้นก็คือ ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’
ผมจึงเลือกใช้วิธีในการรักษาด้วยจิตบำบัดแบบ Exposure therapy[2] ที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญหน้าต่อสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว ส่วนเรื่องราวในอดีตที่ยังคงเป็นปริศนา ผมก็ยังคงต้องค้นหามันต่อไป
ซึ่งในส่วนนี้ผมอาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“สวัสดีครับคุณชลวิทย์ พอดีผมแวะมาดูอาการของจันทร์น่ะครับ” หลังจากเสร็จสิ้นงานหลวงเรียบร้อยแล้ว ผมก็แวะมาทำงานราษฎร์ที่อำเภอฮอดอันเป็นที่ตั้งของบ้านกลางป่าสนตามคำสัญญาที่ผมได้ให้ไว้กับจันทร์ว่าผมจะแวะไปหาหลังจากเลิกงาน เพียงแต่เวลานัดแนะของเราคือเมื่อวานไม่ใช่วันนี้
“จันทร์อยู่ข้างบนโน่นแน่ะครับ” คุณชลวิทย์บอกพร้อมกับชี้นิ้วไปทางห้องใต้หลังคาที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้าอยู่ เพราะวันนี้ผมเลิกงานเร็วกว่าปกติ เนื่องจากเมื่อวานเกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายที่โรงพยาบาลอยู่หลายชั่วโมงก็เลยต้องอยู่ลากยาวจนเป็นเหตุให้ผิดสัญญากับเจ้าของบ้านตัวเล็ก

“เมื่อวานตอนขากลับ เขามีอาการแพนิคหรือเปล่าครับ ?” ผมเอ่ยถามคุณชลวิทย์ด้วยความเป็นห่วงน้องชายของเจ้าตัว
“มีครับ แต่รู้สึกว่าจะเกิดอาการนานกว่าช่วงเช้า ผมเลยคิดว่าจันทร์น่าจะไม่มั่นใจเวลาที่ไม่มีคุณหมออยู่ข้างๆ น่ะครับ ก็เลยทำให้ควบคุมอาการได้ยาก” คุณชลวิทย์กล่าวพลางวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะรับแขก

“คืนนี้คุณหมอจะอยู่ค้างคืนก็ได้นะครับ ผมเองก็เกรงใจที่จันทร์ไปงอแงเอาแต่ใจกับคุณแบบนั้น”
“ขอบคุณครับ ส่วนเรื่องของจันทร์คุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอกครับ เพราะสิ่งที่เขาร้องขอ ไม่ได้ลำบากอะไรกับผมเลย” ผมพยายามอธิบายให้คุณชลวิทย์เข้าใจ แม้ว่าอันที่จริงแล้ว การเดินทางมายังบ้านป่าสนแห่งนี้จะทำให้ผมพักผ่อนไม่เพียงพอก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะมาเยือนที่บ้านหลังนี้อยู่ดี
และสาเหตุคงจะเป็นเพราะปริศนาต่างๆ ที่มันยังคลุมเครือ
และประการสุดท้ายก็คือ ‘จันทร์’

คุณชลวิทย์อยู่คุยกับผมครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ขอตัวเข้าไปนอน ผมจึงถือโอกาสเดินขึ้นไปหาจันทร์บนห้องใต้หลังคาที่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปข้างบนนั้นเลยสักครั้ง และเมื่อเดินไปถึงยังที่หมาย สิ่งแรกที่ผมเห็นทางด้านขวามือก็คือตู้หนังสือ ไม่สิ มันควรจะเรียกว่าชั้นหนังสือเสียมากกว่า ซึ่งชั้นหนังสือของจันทร์นั้นมีอยู่มากมายจนละลานตา โดยการออกแบบจะเป็นไปตามรูปทรงของห้องใต้หลังคาในลักษณะสามเหลี่ยม ถัดมาทางซ้ายมือจะเป็นเก้าอี้ที่มีลักษณะคล้ายกับเปลชิงช้า คาดว่าเจ้าของห้องคงจะเอาไว้นั่งเล่นตอนอ่านหนังสือ 

ส่วนด้านซ้ายมือสุดที่มีกำแพงสีขาวสะอาดบดบังต่อการมองเห็น ก็คือพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของห้องที่มีทั้งเตียงนอนสีขาวสะอาด กระจกบานเล็กเอาไว้ตรวจตราเครื่องแต่งกาย และยังมีชั้นวางของเล็กๆ ที่มีเทียนหอมของผมวางเอาไว้หนึ่งแท่ง ส่วนแท่งอื่นๆ จันทร์วางเอาไว้ตามมุมห้องจนทั่วทุกมุม เพื่อที่เวลาไฟดับห้องใต้หลังคาจะได้มีแสงสว่างสาดส่องอย่างทั่วถึง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ภายห้องใต้หลังคายังมีเตียงนอนอีกหนึ่งเตียงที่ซุกซ่อนอยู่ตรงหัวนอนของจันทร์
ซึ่งการจะไปนอนข้างบนนั้นได้ เจ้าของพื้นที่เล็กๆ จะต้องปีนบันไดขึ้นไป

“พี่ชลยังไม่นอนอีก..” จันทร์ที่กำลังนอนคว่ำหน้าเพื่ออ่านหนังสือถึงกับพูดไม่เป็นขึ้นมาชั่วขณะ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่อยู่ในความคิด
“จันทร์น้อยใจที่พี่ผิดสัญญาเหรอ ?” ผมสาวเท้าเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ชิงช้าที่อยู่ตรงปลายเตียง เพราะไม่กล้าจะล่วงล้ำเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายมากกว่านี้ ลำพังแค่ขึ้นมาถึงบนนี้ก็ถือว่ามากจนเกินพอดีแล้วด้วยซ้ำ
แต่ผมก็ห้ามการกระทำของตัวเองไม่ได้

“พี่ติดงานกะทันหันน่ะ เมื่อวานก็เลย..” ทันทีที่ผมแก้ตัวอย่างมีเหตุผล จันทร์ก็รีบพลิกตัวขึ้นมานั่งและใช้ดวงตากลมจ้องมองมายังผม จนทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซ้ำร้ายหัวใจก็ยังเต้นกระหน่ำราวกับคนกำลังมีรัก
“…” จันทร์ไม่ตอบอะไร นอกจากใช้ดวงตากลมคู่นั้นสอดส่องมายังผม ราวกับต้องการจะค้นหาคำพูดที่ขาดหายไป ซึ่งแตกต่างกับคนรักที่ผ่านมาของผม เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะหงุดหงิดและนำมาซึ่งการทะเลาะกัน แต่จันทร์กลับใช้ดวงตากลมๆ เฝ้ารอเหตุผลจากผมอย่างใจเย็น ทำเอาผมถึงกับลืมเลือนข้อจำกัดที่ตัวเองเคยตั้งกำแพงเอาไว้ ว่า ‘ช่องว่างระหว่างวัย มันอาจจะนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน’ ในทันที
และมันก็ส่งผลให้จันทร์มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมมากขึ้นกว่าเดิม..

“…ไม่ได้มาหาจันทร์” ผมต่อประโยคจนความถ้วนกระบวนความพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ เมื่อดวงตากลมของอีกฝ่ายยังคงมองจ้องมายังผมอย่างแน่วแน่

“เอ่อ.. เมื่อวานตอนขากลับ จันทร์มีอาการแพนิคอีกแล้วใช่ไหม ?”
“ครับ จันทร์ถึงได้อยากให้พี่หมอกลับมาพร้อมกับจันทร์” เจ้าของห้องใต้หลังคาเอื้อมไปหยิบที่คั่นที่วางอยู่บนชั้นเล็กๆ ตรงข้างเตียง ก่อนจะนำมาคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ จากนั้นหนังสือที่เคยตกอยู่ในความสนใจของอีกฝ่ายก็ต้องระเห็จไปวางอยู่บนชั้นวางของเล็กๆ แทน
เหตุเพราะในตอนนี้ ทุกความสนใจของจันทร์กำลังกลายเป็นของ ‘ผม’

“แต่จันทร์ก็เข้าใจนะว่าพี่หมองานยุ่ง” น้องพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับเอื้อมไปหยิบหมอนมากอดแนบอกและฝังใบหน้าลงบนหมอนใบนุ่มในมือ
“รู้ได้ยังไง หืม?” ผมย้อนถามและพยายามจะกลั้นยิ้ม แต่มันก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ผมจึงเลือกใช้ปลายเท้าไกวเก้าอี้ชิงช้าที่ตัวเองครอบครองแก้เก้อ

“ก็จันทร์สังเกตจากตอนที่นั่งรอคิวหน้าห้องตรวจน่ะครับ”
“อ้อ” ผมครางรับในลำคอพลางพยักหน้าเพียงเบาๆ ขณะที่หัวใจกลับลิงโลดจนเกินงาม ที่จันทร์ดูเป็นเด็กมีเหตุผล ซ้ำยังช่างสังเกตเสียด้วย ทำเอาผมเหมือนได้ย้อนกลับมาเป็นเด็กอายุ 15 ที่มักจะปลดปล่อยให้ความรู้สึกอยู่เหนือการควบคุมอีกครั้ง

“เอ่อ.. จันทร์จะเริ่มบำบัดเลยไหม หรือว่าจะเอาไว้ทำวันหลัง”
“เริ่มเลยก็ได้ครับ” ทันทีที่จันทร์อนุญาต ผมก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อหยิบกระเป๋าสะพายข้างที่ตัวเองพกติดตัวมาด้วย

“เดี๋ยวจันทร์ลองมองภาพพวกนี้สักสิบนาทีนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นพรมตรงปลายเตียงตามความต้องการของเจ้าของห้อง จากนั้นก็หยิบกระดาษที่ปรากฏรูปดอกสโนว์ดรอปส์ออกมาวางตรงหน้าของจันทร์เพื่อสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่าย
โดยภาพที่ผมเลือกจะเริ่มจากรูปดอกสโนว์ดรอปส์ที่มีเพียงดอกเดียว จากนั้นถึงค่อยเพิ่มเป็นกอเล็กๆ สักกอ และสุดท้ายก็คือรูปของทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ ซึ่งผลปรากฏว่าจันทร์มีอาการหวาดกลัวเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถควบคุมตนเองได้ เท่ากับว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ต่อเมื่อได้เห็นของจริง ผมจึงตัดสินใจจะเดินไปเก็บตัวอย่างมาทำการบำบัด แต่ดันใกล้เวลาที่ไฟฟ้าจะหยุดการทำงานเข้าเสียก่อน จันทร์ก็เลยให้ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัว วิธีนั้นจึงต้องพับเก็บไปชั่วคราว

กระทั่งอาบน้ำจนเรียบร้อยแล้ว ความมืดมิดก็เข้ามาเยือน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาต่อการแต่งตัวของผมนัก ครั้นเมื่อจัดการกับตัวเองจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่นอกห้อง เพราะดันคาดหวังเอาไว้ว่าจะได้เห็นจันทร์นั่งรออยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่างตัวเดิม
เพียงแต่ในวันนี้ มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น..

ผมจึงเงยหน้ามองไปยังห้องใต้หลังคาก็พบกับแสงสว่างจากเทียนหอมที่ผมมอบให้จันทร์ จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาอีกฝ่ายจนพบว่าเจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่บนพื้นพรมตรงที่เดิม
เพียงแต่ในเวลานี้ เขากำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่

“นอนไม่หลับน่ะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นพรมพลางกล่าวอ้างกับคนตรงหน้า ฝ่ายเจ้าของห้องก็ไม่ได้สงสัยอะไรกลับยกยิ้มจนเต็มแก้มเป็นคำตอบเสียอย่างนั้น
“พี่หมอชอบอ่านหนังสือไหมครับ เลือกอ่านได้เลยนะ เผื่อจะช่วยให้ง่วงนอนขึ้นมาบ้าง” จันทร์ปิดหนังสือพลางแนะนำให้ผมไปเลือกหนังสือจากชั้นหนังสือของเจ้าตัว ผมจึงลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสืออันอลังการนั่น ก่อนจะใช้สายตาไล่ไปตามสันหนังสือเพื่ออ่านชื่อเรื่องที่น่าสนใจ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่สะดุดใจผมเข้าอย่างจัง

“จันทร์ชอบอ่านนิยายของคุณอนธการเหรอ ?” ผมหันมาสอบถามเจ้าของห้องตัวเล็กด้วยความสงสัย เพราะส่วนใหญ่แล้วนิยายบนชั้นหนังสือมักจะมีแต่ผลงานของนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า ‘อนธการ’

“ครับ”
“แนวดราม่าทั้งนั้นเลยนะ” ผมอ่านเรื่องย่อจากหลังปกพลางออกความคิดเห็น

“จริงๆ จันทร์ก็อ่านได้ทุกแนวนะครับ แต่ส่วนใหญ่จันทร์จะได้อ่านนิยายของพี่พีเยอะหน่อย เพราะว่าพี่พีเป็นเพื่อนกับพี่ชลน่ะครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมยามว่างของจันทร์ก็มักจะผ่านการยินยอมจากพี่ชายอย่างคุณชลวิทย์ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากว่าการมีเพื่อนเป็นนักเขียนก็ย่อมต้องมีการแบ่งปันเล่มนิยายให้กับเพื่อนสนิทอยู่แล้ว
“แล้วจันทร์ชอบเรื่องไหนมากที่สุดเหรอ ?” ผมเอ่ยถามอย่างมีความนัยแอบแฝง เพราะผมเคยได้ยินมาว่าการอ่านหนังสือในแต่ละประเภทจะสามารถบ่งบอกตัวตนของคนคนนั้นได้

“เรื่องนี้ครับ” จันทร์ละมือจากหนังสือเล่มที่ตัวเองอ่านค้างไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาค้นหาหนังสือตามที่ผมเอ่ยถาม
“สิเน่หา.. อืม ก็น่าสนใจดี” ผมอ่านชื่อเรื่องพร้อมกับพลิกดูเรื่องย่อตรงหลังปก

“ถ้าพี่หมอสนใจจะยืมไปอ่านก็ได้นะครับ สนุกดี”
“งั้นพี่ยืมเล่มนี้ไปอ่านแล้วกัน” ผมเอ่ยขอพลางหันหน้าไปหาอีกฝ่าย จึงพบว่าเจ้าของหนังสือเล่มนี้กำลังใช้ดวงตากลมๆ ของตัวเอง จ้องมองมายังผมด้วยแววตาที่สื่อความหมายอย่างลึกซึ้ง และผมเองก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งแรงดึงดูดนั้น จึงทำให้สายตาของเราสบผสานกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะผละห่างออกจากกัน
ซ้ำร้าย.. สายตาอันซุกซน ก็ยังเลยเถิดไปจ้องมองริมฝีปากอันอวบอิ่มตรงหน้านั่นอีก..

“จ..จันทร์ง่วงแล้ว” ทันทีที่ได้ยินเสียงของจันทร์ ผมก็หลุดจากภวังค์ที่สร้างขึ้น
“ถ้างั้น.. เอ่อ.. ฝันดีนะจันทร์ วันพุธเจอกันครับ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไร้ซึ่งความมั่นคง จากนั้นก็หมุนตัวเดินลงบันไดที่เชื่อมกับห้องใต้หลังคาด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นระรัว เพราะในขณะที่จันทร์กำลังร้องเรียนว่าตัวเองนั้นง่วงเหงาหาวนอนจนเต็มทีแล้ว  ริมฝีปากคู่นั้นกลับเม้มเข้าหากันเพียงเบาๆ อย่างเชื่องช้า ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาขยี้ตาอย่างไร้เดียงสา ซึ่งมันทำให้ผมอดจะคิดอกุศลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะยั่วยวนให้มาตกหลุมพรางที่เจ้าตัวขุดไว้

“เจอมาก็เยอะ แต่ไหงมาแพ้ทางเด็กได้วะเนี่ย ไอ้ภัทรเอ้ย!” เมื่อปิดประตูห้องพักรับรองของตัวเอง ผมก็อดจะบ่นขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งในขณะที่บ่นตัวเองอยู่นั้น ริมฝีปากของผมก็ไม่เคยจะปราศจากรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย

ตุบ ตุบ ตุบ!

ผมสะดุ้งด้วยความตกใจจึงรีบเดินเข้าไปเมียงมองตรงข้างหน้าต่างอันเป็นที่มาของต้นเสียง จากนั้นม่านสายตาก็ปรากฎภาพของเด็กผู้หญิงผมยาวสลวยถึงกลางหลัง ในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ กำลังเหยียบย่ำอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นดินด้วยความโมโห จนทำให้เสียงดังมาถึงห้องนอนของผม ซึ่งผมก็ได้แต่แปลกใจที่ในวันนี้ไม่ได้ยินเสียงเปิดหรือปิดประตูบ้านของเธอเลย
แต่พอนึกไปนึกมาก็พบว่าตัวเองเอาแต่ครุ่นคิดถึงใบหน้าของใครบางคนที่ตอนนี้คงจะนอนหลับสบายอยู่บนห้องใต้หลังคา ผมเลยเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมวันนี้ประสิทธิภาพในการสังเกตการณ์ถึงได้ลดน้อยถอยลงขนาดนี้

“ทำอะไรของเขานะ” ผมได้แต่อุทานด้วยความสงสัยพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างคิดไม่ตก เพราะจากมุมมองที่ได้เห็น มันทำให้ผมมองไม่ค่อยจะออกว่าเธอกำลังเหยียบย่ำอะไรอยู่ จนกระทั่งเธอหันหน้ามายังตัวบ้าน ผมเลยมองเห็นเสี้ยวหน้าของเธอที่ดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วจังหวะการก้าวเดินของเธอก็หยุดนิ่งลงพร้อมกับหันมองมายังห้องที่ผมพักพิง ทำเอาผมเกือบจะใช้กำแพงเป็นที่กำบังแทบไม่ทัน
“นั่นจันทร์เหรอ ?” ผมได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ อย่างคนย้ำคิดย้ำทำ ขณะที่เนื้อตัวก็เอาแต่สั่นเทาอย่างคนตื่นตระหนก หัวใจพลันเต้นระรัวราวกับถูกสายฟ้าฟาด เมื่อได้เห็นใบหน้าของจันทร์บนร่างกายของเด็กผู้หญิงคนนั้น

“ไม่จริงหรอก ตั้งสติสิวะไอ้ภัทร!” ผมตบหน้าตัวเองพลางพร่ำบอกให้ตั้งสติ เมื่อครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้วว่าน้ำเสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับจันทร์แต่อย่างใด

คลิก!

“จันทร์” กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตู ผมก็รีบถลาออกไปประจันหน้ากับผู้มาใหม่ราวกับคนไร้สติที่ยังคงไม่อาจละทิ้งความคิดเมื่อครู่ได้ จึงส่งผลให้ชื่อเสียงเรียงนามที่เปล่งออกไปกลายเป็นชื่อของคนที่สมควรจะนอนอยู่บนห้องใต้หลังคา
“หนูชื่อลียากรค่ะ เป็นน้องสาวของพี่จันทร์” เด็กหญิงวัยที่คาดว่าน่าจะอายุ 15 ปีกล่าวเสียงใสพลางแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร ผมจึงได้แต่ยกยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน

“ฝาแฝด?” ผมเอ่ยถามพลางพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายท่ามกลางแสงเทียน จึงทำให้ผมรับรู้ได้ว่าวินาทีแรกที่มองเห็นใบหน้าของเธอนั้น
ผมไม่ได้ตาฝาด

“ค่ะ”

“แล้วทำไม..” ผมเปิดปากเตรียมจะถาม แต่แล้วก็ปิดปากเงียบคล้ายกับคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะผมไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าจันทร์มีน้องสาวฝาแฝด
“โรงเรียนหนูปิดเทอมน่ะค่ะ ก็เลยกลับมาค้างที่นี่” เด็กหญิงในชุดเดสสีขาวกล่าวพลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะริมหน้าต่าง

“แล้ว..” ผมเปิดปากอยากจะถามขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายสมองก็ยังคงว่างเปล่าเพราะหลายๆ สิ่งหลายอย่าง ผมก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี แม้ว่าคนตรงหน้าจะบอกว่าตนเองเป็นน้องสาวฝาแฝดของจันทร์ แต่ทำไมคุณชลวิทย์ถึงบอกกับผมว่า ‘พวกเขามีกันแค่สองคนพี่น้อง’ อีกทั้งจันทร์ก็ยังไม่เคยปริปากเล่าเรื่องน้องสาวฝาแฝดให้ผมฟัง แต่จะคิดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะอันที่จริงผมก็แทบจะไม่เคยรับรู้เรื่องราวส่วนตัวของอีกฝ่ายในระดับลึกซึ้งเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องราวส่วนมากที่ผมรับรู้ จึงเกิดจากการสังเกตในช่วงเวลาที่พวกเราได้พูดคุยกัน

คลิก!

“ยังไม่นอนกันอีกเหรอครับ?” คุณชลวิทย์ที่ตื่นขึ้นมากลางดึกกล่าวทักทายผมกับน้องลียากรด้วยสีหน้าของคนที่กำลังง่วงนอนจนเต็มแก่ แต่บังเอิญปวดห้องน้ำขึ้นมากลางดึกก็เลยต้องยอมลุกออกจากที่นอน
“กำลังจะไปเข้านอนแล้วล่ะครับ แต่บังเอิญเจอน้องลียากรเข้าเสียก่อน ผมก็เลยแวะทักทายแกสักหน่อย” ผมตอบพลางยกยิ้มคล้ายกับไม่ได้มีความรู้สึกสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

“ไปนอนได้แล้วลี พี่บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนดึก ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” คุณชลวิทย์ส่งยิ้มให้ผมพลางหันไปเฉ่งน้องสาวคนเล็กจนอีกฝ่ายแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก่อนจะรีบลี้ภัยเข้าไปซ่อนตัวในห้องครัว ซึ่งผมคาดเดาเอาเองว่าภายในนั้นน่าจะมีอีกห้องหนึ่งซุกซ่อนอยู่
เพราะว่าเมื่อวานตอนที่ผมกำลังเดินเล่นรอบๆ บ้าน ผมเห็นม่านตรงหน้าต่างห้องที่อยู่ติดกับห้องครัวพลิ้วไหวเพียงเบาๆ ซึ่งทีแรกผมเข้าใจว่ามันเป็นห้องของคุณชลวิทย์ แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ผ้าม่านลูกไม้สีขาวแบบนั้นยังไงก็ไม่มีทางเป็นของเขาไปได้หรอก

“น้องสาวเหรอครับ ?” ก่อนที่คุณชลวิทย์จะแยกตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมก็หลุดปากถามออกไปด้วยความสงสัย

“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” สิ้นคำตอบ คุณชลวิทย์ก็เดินมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดอยู่ที่เดิม จนกระทั่งอีกฝ่ายทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปยังห้องพักรับรองของตัวเองและนอนครุ่นคิดถึงคำบอกกล่าวของเจ้าของบ้านคนพี่ด้วยความงุนงงว่าทำไมเขาถึงตอบออกมาแบบนั้น
หรือว่าอันที่จริงแล้วน้องลียากรกับคุณชลวิทย์จะไม่ใช่พี่น้องกัน ?
ถ้าอย่างนั้นจันทร์กับคุณชลวิทย์ก็ต้องไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันมาน่ะสิ


゚゚❀゚゚

[1] specific phobia ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวมากและเป็นทุกครั้งที่พบสิ่งของ สัตว์ หรือ สถานการณ์ ความสูง ถูกฉีดยา หรือกลัวว่าจะพบสิ่งที่กลัว ผู้ป่วยจะพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวอย่างมาก หรือมีความรู้สึกไม่สบายมากจนถึงขั้นเป็น panic attack (มีอาการแพนิค) ได้ ซึ่งคนที่กลัวก็จะรู้ว่ามันไม่มีเหตุผลและหวาดกลัวมากเกินไป
     ที่มา : หนังสือ human behavior and mental disorders

[2] Exposure therapy คือการรักษาแบบพฤติกรรมบำบัดโดยให้ผู้ป่วยเข้าหาและเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว
     ที่มา : https://med.mahidol.ac.th/ramamental/sites/default/files/public/pdf/Cognitive%20behavior%20therapy.pdf

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
วันนี้มาต่อเร็วหน่อย จู่ๆ ก็เกิดฟิตเขียนจนจบตอนเฉยเลย สำหรับเรื่องนี้ความสัมพันธ์จะเป็นไปในแบบซึมลึกนะคะ มันเลยต้องใช้เวลานานสักหน่อย รวมไปถึงความสงสัยในเรื่องราวต่างๆ ที่จะค่อยๆ สะกิดใจพี่หมอมากขึ้นเรื่อยๆ นะคะ 
ปล. ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ควรนิยามว่ามันคือแนวลึกลับและโรแมนติกดีมั้ยนะ เพราะโมเม้นน้อยนิดเหลือเกิน 555 (แต่บรรยากาศมันก็เกือบๆ จะได้แหละ ถ้าหากจันทร์ไม่มีอาการแพนิคทุกครั้งที่ออกไปเดินเล่น 555)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 21:52:28 โดย Chomin »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 7 (update 07/03/2018)
«ตอบ #16 เมื่อ07-03-2018 12:34:24 »

เผยโฉมแล้ว  น้องลียากร

แต่ก็ไม่คลายปม  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 7 (update 07/03/2018)
«ตอบ #17 เมื่อ07-03-2018 22:54:28 »

ตาม

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
«ตอบ #18 เมื่อ13-03-2018 09:17:44 »

ตอน 8

ผมเคยได้ยินมาว่าการว่ายน้ำถือเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งและยังทำให้มีสุขภาพจิตที่ดี อีกทั้งยังช่วยพัฒนาสมอง โดยสมองจะเริ่มสร้างเซลล์ทดแทนในส่วนที่สูญเสียจากความเครียดสะสม และเมื่อลงไปอยู่ใต้น้ำอารมณ์ของเราก็จะดีขึ้น เพราะอุณหภูมิความเย็นของน้ำจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจนสามารถลดอาการเมื่อยล้าและปลดปล่อยเราจากอารมณ์ซึมเศร้าได้ จึงเป็นสาเหตุให้ผมชอบมาว่ายน้ำในขณะที่มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิด
ซึ่งเรื่องที่ต้องคิดก็หนีไม่พ้นเรื่องของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้านกลางป่าสน

เนื่องจากตอนนี้ผมกำลังสับสน เพราะเท่าที่ทราบครอบครัวของคุณชลวิทย์ มีกันแค่สองคนพี่น้อง แล้วจู่ๆ ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยสมาชิกใหม่ที่ผมเพิ่งจะทราบนั้น ก็คือที่มาของเรื่องราวแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นผมได้มีการสอบถามไปยังเจ้าของบ้าน แต่คำตอบที่เคยได้รับกลับเป็นคำตอบที่สื่อไปถึงการไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ทั้งสิ้น
จนกระทั่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้พบเจอกับน้องลียากรและได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย จากนั้นบทสนทนาของเราก็จำเป็นต้องยุติลง.. เพราะคุณชลวิทย์
มิหนำซ้ำเขายังทิ้งปริศนาไว้ให้ผมได้ขบคิดต่อไปอีกด้วย

แต่อันที่จริงพวกเขาทั้งหมดจะเป็นพี่น้องกันหรือไม่ก็ไม่สำคัญกับผมนัก เพียงแต่มันน่าสงสัยว่าเพราะเหตุใดคนในบ้านหลังนั้นถึงต้องปิดบังเรื่องราวที่เกี่ยวกับน้องลียากร ในเมื่อตัวตนจริงๆ ของเธอ จากที่ผมได้สัมผัสในระยะสั้นๆ ก็เห็นว่าปกติดี ถ้าไม่นับว่าเธอชอบทำตัวแปลกๆ ในตอนกลางคืน และถ้าหากคุณชลวิทย์ไม่ชอบทำตัวให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า เขายังมีอะไรปิดบังเกี่ยวกับความกังวลที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้สารเคมีในสมองสูญเสียความสมดุล จนเป็นเหตุให้ระบบประสาทอัตโนมัติเกิดการทำงานผิดปกติ แถมน้องลียากรยังบอกอีกว่า ตัวเองเป็นฝาแฝดกับจันทร์ ซึ่งพี่ชายของเธอก็เป็นน้องชายของคุณชลวิทย์ ก็เท่ากับว่าทั้งสามคนจะต้องเป็นพี่น้องกันสิ แต่ผลปรากฏว่าคนไข้ในความดูแลของผมกลับตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของน้องสาวฝาแฝด
และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมต้องกลับมานั่งขบคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง..

“จะห้าทุ่มแล้วนะภัทร ยังไม่เลิกว่ายน้ำอีกเหรอครับ?” หลังจากโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ คุณแม่ก็ตะโกนถามผ่านทางระเบียงห้องของท่านที่ยื่นออกมาทางฝั่งสระว่ายน้ำ
“กำลังจะไปนอนแล้วครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปหาท่าน จากนั้นก็รีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเข้านอนตามคำบอกกล่าว เพราะในตอนนี้เนื้อตัวของผมแทบจะเปื่อยไปหมดแล้ว เนื่องจากผมใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในขณะที่กำลังว่ายน้ำอยู่นานหลายชั่วโมง

“ฝันดีครับ” คุณแม่ยกยิ้มพร้อมกับกล่าวคำอวยพร ขณะที่ผมขึ้นฝั่งมายืนซับเนื้อตัวให้แห้งหมาดอยู่ตรงเก้าอี้นอนตัวยาวที่ริมสระว่ายน้ำ
“ฝันดีเหมือนกันครับแม่” ผมเงยหน้าขึ้นไปอวยพรท่านพร้อมกับส่งจูบผ่านไปทางอากาศและยกยิ้มจนตาปิดในแบบที่คุณแม่มักจะชอบพูดว่า ‘ภัทรน่ะโตแล้วนะ แต่ทำไมถึงชอบทำตัวเป็นเด็กกับแม่อยู่เรื่อย’
และจนป่านนี้ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม..
แต่ว่ากันว่า ลูกชายมักจะชอบ ‘อ้อน’ คุณแม่

หลังจากตรากตรำทำหน้าที่ของตัวเองจนเต็มอัตรา บางวันร่างของผมก็เหมือนกับจะพังตามไปด้วย แต่พอตกดึกทีไรคล้ายกับว่าความเหนื่อยล้าทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ผมถึงได้มีเวลามานอนครุ่นคิดว่าผมควรจะทำให้การรักษาของจันทร์ไม่ดูตึงเครียดอย่างไรดี จนกระทั่งไอ้แนนมันส่งรูปงานดีไอวายของมันมาอวด ผมถึงได้นึกออกว่าควรจะต้องใช้วิธีไหน เพราะงานดีไอวายของคุณหมอแสนห้าว ไม่ใช่งานลุยๆ เหมือนทุกครั้ง ในเมื่อคราวนี้มันเล่นใหญ่จนถึงกับจัดทำโหลใส่เทียนที่ประดับด้วยดอกไม้แล้วจบด้วยการเทน้ำใส่เพื่อเอาไว้ตกแต่งบ้าน
ผมจึงเกิดไอเดียว่าจะเอากิจกรรมนี้มาให้จันทร์ได้ลองหยิบจับ ‘สิ่งกระตุ้น’ อย่าง ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ดูบ้าง แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นก็คงต้องใช้เวลาอีกมาก เพราะการเอาชนะโฟเบียที่ส่งผลให้มีอาการแพนิคไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ผมเลยต้องรอให้เขามีความกล้าที่จะเฝ้ามองมันด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปให้ได้เสียก่อน และเท่าที่ทราบดอกไม้ชนิดนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวบางอย่างที่เจ้าตัวไม่อยากจดจำ 
ดังนั้นการรักษาก็ย่อมต้องเผลอกวนตะกอนให้ขุ่นมัวขึ้นมาได้

ช่วงเวลาค่ำๆ หลังเลิกงานที่ไม่เคยจะตรงเวลาแบบนี้ ผมจำเป็นจะต้องแวะเซเว่นเพื่อหาอะไรประทังชีวิตก่อนจะขับรถมุ่งตรงไปยังอำเภอข้างเคียงเพื่อให้การรักษากับจันทร์ ส่วนคุณชลวิทย์หลังจากที่ผมค่อยๆ ลดโดสยากล่อมประสาท เพื่อที่ในอนาคตจะได้รับเพียงแค่ยาแก้ซึมเศร้า ไอ้บาสก็ไม่ต้องทำหน้าที่บำบัดอะไรอีก เพราะดูเหมือนว่าคนไข้รายนี้จะเข้าใจที่มาที่ไปของโรคและยังรู้จักรับมือกับอาการของโรคได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากที่เขาได้รับยาไปประมาณหนึ่งเดือนก็ไม่มีอาการแพนิคอีกเลย แต่ผมก็ยังต้องสั่งยาให้กับคุณชลวิทย์ต่อไป เพราะผมจะต้องคอยสังเกตให้มั่นใจว่าอาการของเขาจะไม่กำเริบขึ้นมาอีก และการหยุดยาก็ควรจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้คนไข้ดื้อยา และดีไม่ดีก็อาจจะถึงขั้นต้องกินยาตลอดชีวิต ดังนั้นคนไข้ก็ไม่ควรจะหยุดยาเอง ซึ่งผมก็มักจะย้ำเตือนกับเขาอยู่บ่อยๆ เพราะเท่าที่ผมเจอมา คนไข้หลายรายมักจะหยุดยาเองหรือไม่ก็กินยาเกินกว่าที่แพทย์สั่ง รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนก็ต้องนอนให้เพียงพอ แต่เท่าที่สังเกตพฤติกรรมเวลาที่เขาอยู่บ้านตอนช่วงกลางคืน ก็ดูจะปฏิบัติตามคำแนะนำของผมอย่างเคร่งครัด เพราะในวันที่ผมไม่ได้มาเยือนที่บ้านหลังนั้นเพื่อตรวจดูอาการ เจ้าของบ้านคนพี่ก็มักจะเก็บตัวอยู่ในห้องทุกครั้ง จะมีก็แต่วันที่ต้องรอพบผมเท่านั้นเขาถึงจะเข้านอนช้ากว่าปกติ

แต่สาเหตุที่ทำให้ผมยิ่งปักใจเชื่อว่าคุณชลวิทย์ยังมีอะไรบางอย่างปิดบังผมอยู่ ก็คืออาการของเขามันราวกับหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยยาและพฤติกรรมบำบัดเพียงแค่หนึ่งเดือน ซึ่งเท่าที่เคยพบในช่วงหนึ่งเดือนคนไข้มักจะทิ้งระยะห่างการเกิดอาการเสียมากกว่า อย่างบางคนเคยเป็นสามครั้งต่อวันก็จะลดเหลือเพียงแค่สองถึงหนึ่งครั้งต่อวัน แต่กับคุณชลวิทย์ที่แต่ก่อนถึงขั้นนอนไม่ได้อีกทั้งยังมีอาการแพนิคกำเริบที่ตลาดและในช่วงที่กำลังขับรถอยู่บ่อยๆ ก็ออกจะน่าสงสัย ซ้ำยังมีเรื่องราวหลายๆ เรื่อง ที่มักจะขัดแย้งกับคำบอกเล่าของจันทร์ ผมจึงไม่ค่อยจะวางใจสักเท่าไหร่
ซึ่งความไม่ไว้วางใจของผม ก็มาจากความกังวลที่ว่า ‘การรักษาจะเกิดความผิดพลาด’

แถมช่วงนี้คุณชลวิทย์มักจะมารับการรักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากว่าเขาจะต้องเข้ามาส่งขนมของจันทร์ที่ร้านของพี่ทราย ซึ่งได้ข่าวว่าขายดีมากๆ ทำให้ผมแทบไม่มีโอกาสได้ซื้อมันกินด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้นึกเสียดายอะไร เนื่องจากเชฟปาติซิเยร์[1] อย่างจันทร์ มักจะฝากพี่ชายให้นำขนมประเภทต่างๆ มาให้ผมลองชิมทุกวัน จนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ชอบเก็บเอาเรื่องนี้ไปเล่ากันปากต่อปากอย่างสนุกสนาน ซึ่งในบรรดาขนมเหล่านั้นก็มักจะมีจดหมายน้อยซุกซ่อนอยู่ในหีบห่อที่เขาตั้งใจจะมอบให้ผมเป็นพิเศษ  จนเดี๋ยวนี้ผมมักจะเผลอยิ้มอยู่บ่อยๆ เมื่อนึกไปถึงข้อความเหล่านั้น
ที่คอยบอกว่า..

‘วันจันทร์.. วันแห่งการเริ่มต้นประจำสัปดาห์ แค่พี่หมอกินพายกรอบของจันทร์ก็หายเหนื่อยแล้ว’
‘วันอังคาร.. วันที่สองประจำสัปดาห์ แค่พี่หมอกินบานอฟฟี่ของจันทร์ก็สดชื่นไปทั้งวันแล้ว เพราะจันทร์ทำอร่อยมากๆ’

และการกระทำแบบนี้ของเชฟปาติซิเยร์ประจำบ้านกลางป่าสนก็บ่งบอกได้ดีว่าผมกำลังถูก ‘จีบ’ และยังเป็นครั้งแรกของการถูกเด็กอายุ 15 เต๊าะเสียด้วย ซึ่งวิธีการที่เขาใช้ มันก็ทำให้ผมเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ซึ่งถ้าหากมีคนมาถามว่าผมหวั่นไหวบ้างหรือเปล่า ผมก็คงตอบได้แค่ความสัตย์จริงที่ว่า..
ผมกำลังหวั่นไหว..

บรรยากาศของเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลท่ามกลางป่าสนยังคงลึกลับในความรู้สึกของผมอยู่ดี อาจเพราะผมมักจะเดินทางมายังบ้านหลังนี้ในช่วงเวลากลางคืนก็เป็นได้ จึงทำให้รอบๆ กายมีแต่ความมืดมิด หากไม่ได้แสงสว่างจากไฟหน้ารถดวงใหญ่ บรรยากาศในละแวกนี้ก็คงจะยิ่งวังเวงมากกว่าเดิม
กระทั่งขับลึกเข้ามาจนถึงครึ่งทาง ผมก็ตัดสินใจจอดรถทิ้งไว้และเดินเข้าไปยังทุ่งสโนว์ดรอปส์อันเปรียบเสมือนผืนพรมสีขาวสะอาดที่ปูรองพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ของป่าสนแห่งนี้อย่างอลังการ โดยมีตัวช่วยอย่างไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือในการคัดเลือกดอกไม้ชนิดนี้ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการรักษาอย่างพิถีพิถัน
และดอกที่ผมเลือกก็คือดอกที่มันผลิบานอย่างสวยงามแล้ว

“พี่หมอ” ทันทีที่ผมดับเครื่องยนต์จอดตรงหน้าบ้านกลางป่าสนพร้อมกับเปิดกระจกออกมาทักทาย อีกฝ่ายก็รีบยกยิ้มแป้นต่างกับเมื่อครู่ที่เอาแต่เดินถือเทียนหอมที่ผมซื้อให้วนไปวนมาอยู่ตรงหน้าบ้าน คล้ายกับเจ้าตัวเป็นกังวลว่าตัวเองจะเข้าใจผิด เนื่องจากผมฝากบอกผ่านคุณชลวิทย์ไปว่านับตั้งแต่นี้ผมจะแวะมาหาจันทร์ทุกวันพุธและวันศุกร์
“หืม?” ผมหันหน้าไปหาอีกฝ่ายพลางส่งเสียงถามในลำคอพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“ขนมจันทร์อร่อยไหมครับ?” เชฟปาติซิเยร์ประจำบ้านกลางป่าสนรีบเอ่ยถามด้วยความกังวล
“อร่อยครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มกริ่มเพราะคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำว่าสิ่งที่เขาอยากรู้ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้

“แล้ว..” จันทร์เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายกำลังเก้อเขิน
“ครับ?” ผมย้อนถามพลางขยับตัวเข้าไปใกล้กับหน้าต่างรถให้มากขึ้น ทำเอาเจ้าของบ้านตัวเล็กถึงกับผงะถอยด้วยความตื่นตระหนก

“พี่หมอ.. เอ่อ.. เห็นกระดาษอะไรไหม?” จันทร์ถามขณะที่สายตาก็มองจ้องไปยังจุดโฟกัสอื่นๆ ที่ไม่ใช่ใบหน้าผม ขณะที่ฝ่ามือของเจ้าตัว กลับกอบกุมแท่งเทียนในมือเสียจนแนบแน่น บ่งบอกถึงความเก้อเขินที่มีมากจนเกินพอดี
“ข้อความของจันทร์น่ะเหรอ?” ผมย้อนถามอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาคนอ้อมค้อมถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบประสานสายตาเข้าอย่างจัง แต่แล้วเจ้าของบ้านตัวเล็กก็รีบเสสายตาหลบอย่างเป็นธรรมชาติ

“อื้อ” เสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากของจันทร์ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“เห็นครับ พี่ว่าเราเข้าบ้านกันเถอะ” ผมตอบคำถามของอีกฝ่ายพลางเอื้อมมือไปยีหัวของเจ้าตัวด้วยความเอ็นดู พร้อมกับชักชวนให้รีบเข้าบ้าน ซึ่งจันทร์ก็ยืนรอผมหยิบข้าวของจำเป็นในวันนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงจะยอมเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“พี่หมออาบน้ำก่อนดีกว่านะครับ วันนี้จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นจันทร์รอพี่สักสิบนาทีแล้วกันนะ” ผมตอบรับพร้อมกับให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะเดิมทีผมคิดว่าจะทำอะไรให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยอาบน้ำ แต่ในเมื่อจันทร์แนะนำผมเองก็ไม่ปฏิเสธ เนื่องจากการรักษาในวันนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน

“พี่หมอครับ..” ขณะที่ผมกำลังจะเอาของเข้าไปเก็บในห้องพักรับรอง จันทร์ก็ร้องเรียกผมไว้พร้อมกับเอื้อมมือมาฉุดรั้งประตูไม่ให้ปิดลง ฝ่ามือของเราเลยแตะต้องกันเพียงเบาๆ ด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะเมื่อครู่ผมดันเผลอเอามือไปป้องตรงขอบประตู เพื่อบังคับให้เสียงปิดประตูมันเบาลง เนื่องจากว่าประตูห้องพักส่วนตัวเพียงชั่วคราวของผม มันออกจะฝืดๆ สักเล็กน้อย
“เอ่อ.. ไม่มีอะไรครับ” จันทร์กล่าวทิ้งท้ายแล้วก็รีบวิ่งหนีขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาทำเอาผมตั้งตัวแทบไม่ทัน แต่ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะเขินที่ฝ่ามือของเราบังเอิญสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่การถูกเนื้อต้องตัวด้วยความรู้สึกในใจที่ไม่ชัดเจนเหมือนอย่างเคย

ผมอมยิ้มแล้วก็ปิดประตูให้สนิท จากนั้นก็หยิบดอกสโนว์ดรอปส์จากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตออกมาวางไว้บนโต๊ะตรงข้างเตียง แล้วจึงหันมายุ่งวุ่นวายกับเครื่องแต่งกายของตัวเอง ต่อจากนั้นก็ใช้เวลาในการอาบน้ำเพียงไม่นาน ผมก็ขึ้นมานั่งอยู่บนพื้นพรมสีเทาตุ่นในห้องใต้หลังคา
 
“คราวที่แล้วพี่ลองให้จันทร์มองภาพสโนว์ดรอปส์ไปแล้วเนอะ แถมจันทร์ยังหยิบรูปนั้นมาดูได้อย่างสบายๆ วันนี้พี่เลยไปเก็บดอกสโนว์ดรอปส์ของจริงติดตัวมาด้วย” ผมพูดเกริ่นนำเพื่อให้อีกฝ่ายตั้งตัวว่าต่อไปจะต้องเจอกับอะไร
“ครับ..” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วบ่งบอกได้ว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะไม่เกิดอาการแพนิคขึ้นมาอีก

“ถ้าจันทร์พร้อมแล้วเราค่อยเริ่มก็ได้นะ” ผมยืดหยุ่นให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวเตรียมใจต่ออีกหน่อย
“เริ่มเลยก็ได้ครับ” คนป่วยย้ายตัวเองมานั่งอิงแอบอยู่ตรงปลายเตียงข้างๆ ผม คล้ายกับค้นหาที่ยึดเหนี่ยวความมั่นใจของตัวเองได้แล้ว ถึงยอมให้วิธีการรักษาในขั้นตอนต่อไปเริ่มต้นขึ้น ผมจึงหยิบดอกสโนว์ดรอปส์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอนของตัวเองแล้วก็วางมันลงบนฝ่ามือที่อยู่ตรงหน้าของจันทร์แน่นิ่ง

“จันทร์ลองสังเกตลักษณะของดอกไม้ชนิดนี้นะ ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ ให้บอกพี่” ทันทีที่ผมให้คำแนะนำ อีกฝ่ายก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขณะที่ผมก็ได้แต่จ้องมองเครื่องหน้าของจันทร์ในระยะประชิดอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งเครื่องหน้าของเจ้าของบ้านคนนี้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผมได้ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือขี้แมลงวันเล็กๆ ที่แปะอยู่ตรงข้างแก้มซ้าย จนเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านคนน้องดูมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง มิหนำซ้ำกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกหอมเย็นเหมือนกับกลิ่นมิ้น ซึ่งเป็นกลิ่นสบู่ก้อนที่วางอยู่ในช่องใส่สบู่ติดกำแพงที่ปกติมักจะถูกแทนที่ด้วยถุงใยบวบสีขาวสะอาด โดยที่ผมก็เพิ่งจะรู้ในวันนี้ว่ามันเป็นของจันทร์ เพราะกลิ่นหอมที่กำลังลอยอบอวนมาจากผิวเนื้อของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับกลิ่นสบู่เหลวที่วางอยู่ในห้องน้ำ
“จันทร์โอเคไหม ?” ผมรีบเอ่ยถามอีกฝ่ายเมื่อสังเกตเห็นว่าหยาดเหงื่อเริ่มจะออกมากกว่าปกติ อีกทั้งจังหวะการหายใจมันก็ชักจะแปลกๆ เข้าให้แล้ว ผมจึงกำฝ่ามือของตัวเองแน่นเพื่อบดบังไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นสิ่งกระตุ้นชิ้นดังกล่าว

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:00:09 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
«ตอบ #19 เมื่อ13-03-2018 09:18:10 »

“…” จันทร์ไม่ตอบแต่กลับสั่นหัว พร้อมกับพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนก ผมจึงรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเพื่อให้เขาใช้ตัวผมเป็นที่พักพิง
“จันทร์ชอบดอกไม้อะไรเหรอ?” กระทั่งเหตุการณ์ปกติดีแล้ว ผมก็เริ่มซักถามอีกฝ่ายเพื่อหาทางช่วยประคับประคองการรักษาให้ง่ายขึ้น

“ไม่มีครับ” จันทร์ผละตัวออกห่างจากผมก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าบ้านไม่มีดอกไหนที่จันทร์ชอบสักนิดเลยเหรอ?” ผมย้อนถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะถึงน้องจะเป็นผู้ชายแต่ก็น่าจะมีมุมที่อ่อนหวานกันบ้าง
เพราะขนาดผมเองยังมีดอกไม้ที่ชอบเลย

“ก็ชอบครับ แต่ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ”
“อืม..” ผมลากเสียงยาวในลำคอพลางครุ่นคิดว่าจะใช้ดอกอะไรมาแทนสิ่งกระตุ้นอย่างดอกสโนว์ดรอปส์ดี

“แล้วพี่หมอชอบดอกอะไรเหรอครับ ?”
“พี่ชอบดอกเนโมฟีลาน่ะ” ผมตอบพลางยกยิ้มเพียงเท่านั้นก็เรียกความสนใจจากคนข้างกายได้เป็นอย่างดี

“มันเป็นยังไงเหรอครับ ?” จันทร์สอบถามด้วยความสงสัยพร้อมกับแววตาที่ฉายแววสนใจอย่างเต็มเปี่ยม
“มันเป็นดอกสีฟ้าๆ ที่มีกลีบกลมมนทั้งหมดห้ากลีบ แต่ตรงส่วนปลายกลีบที่อยู่ติดกับเกสรจะมีสีขาว” ผมอธิบายพลางหย่อนดอกสโนว์ดรอปส์ที่มีรูปร่างแตกต่างกับดอกไม้ชนิดที่ผมพูดถึงไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเสิร์ชข้อมูลให้จันทร์ดู ซึ่งก็ต้องรอเป็นเวลานานมากถึงมากที่สุด เพราะสัญญาณไม่ค่อยจะแรงสักเท่าไหร่

“จันทร์ชอบดอกเนโมฟีลา” เจ้าของดวงตากลมใสละจากหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อหันมาจ้องมองใบหน้าของผมพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างสดใส ขณะที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายกลับซับสีเลือดจางๆ เพราะแสงเทียนสีเหลืองนวลกำลังหลอกตาจนลดประสิทธิภาพในการมองเห็นไปมากโข
“ถ้าอย่างนั้นจันทร์ลองจินตนาการถึงความชอบที่มีต่อดอกเนโมฟีลาในตอนที่กำลังมองดอกสโนว์ดรอปส์ในมือพี่ดีไหม แต่สิ่งสำคัญคือจันทร์จะต้องเชื่อมั่นว่ามันไม่ได้น่ากลัว และมันไม่มีทางจะทำให้จันทร์เกิดอันตรายใดๆ ได้ เพราะมันก็แค่ดอกไม้ชนิดหนึ่ง และมันก็เหมือนกับดอกเนโมฟีลาที่มีแต่ความสวยงาม” ผมให้คำแนะนำกับจันทร์อย่างค่อยเป็นค่อยไปเพราะการจะเปลี่ยนมุมมองความคิดของใครสักคนมันเป็นเรื่องยาก

“ยังไงพี่ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าหากสังเกตว่าจันทร์เริ่มจะรับมือไม่ไหว พี่จะโยนเจ้าดอกไม้นี่ทิ้งไป แล้ววันหลังเราค่อยมาพยายามกันใหม่” ผมพูดตอกย้ำความมั่นใจกับจันทร์อีกครั้ง เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายยังคงหวาดกลัวอยู่มาก
หากเมื่อครู่ผมไม่ทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติขึ้นมาเสียก่อน จันทร์ก็อาจจะมีอาการแพนิคในระดับสูงสุดเหมือนทุกครั้ง

“ครับ” ทันทีที่น้ำเสียงแผ่วหวิวของคนไร้ความมั่นใจดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เอาแต่เม้มแน่นคู่นั้น ผมก็นำดอกสโนว์ดรอปส์ขึ้นมาปรากฏสู่สายตาของใครอีกคนอย่างเชื่องช้า จากนั้นแววตาของผมก็ไม่เคยละห่างออกจากใบหน้าของจันทร์เลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะผมเองก็กลัวว่าเขาจะเกิดอาการแพนิค
ซึ่งมันก็เป็นการกระทำที่ดูจะเกินหน้าที่ไปมาก..
เพียงแต่มันยังไม่มากพอที่จะเรียกว่า ‘ความรัก’

กระทั่งความพยายามล้มเหลวลงอีกครั้ง เพราะจันทร์ฝืนตัวเองมากจนเกินไปจึงทำให้เกิดอาการแพนิค แต่เขาก็เริ่มควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น อาจเพราะผมคอยแนะนำให้เจ้าตัวคิดเสียว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัว และมันก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น

“พี่เพิ่งรู้ว่าจันทร์มีน้องสาวฝาแฝดด้วย” ผมเปิดประเด็นหลังจากที่ปิดคอร์สการรักษาในวันนี้
“หือ? พี่หมอรู้ได้ยังไงครับ” จันทร์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่แล้วความคลางแคลงใจก็พลันหายไป เมื่อจันทร์รีบพูดอีกประโยคหนึ่งขึ้นมา

“แบบนี้ก็แสดงว่าพี่หมอเจอลีแล้วน่ะสิ แต่ห้ามจีบนะครับ จันทร์หวง” 
“หวง?” ผมถามพลางยกยิ้มเพราะอีกฝ่ายเน้นย้ำที่คำว่า ‘หวง’ เสียเหลือเกิน ซึ่งคำว่า ‘หวง’ ในที่นี้ มันคือการหวง ‘น้องสาว’ หรือว่าใครกันแน่
“ครับ หวงมาก”
“เพราะหวงมาก จันทร์ก็เลยไม่ยอมบอกพี่ว่ามีน้องสาว ?”

“อื้อ” จันทร์ตอบพลางพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ผมจึงเข้าใจสาเหตุที่เจ้าของบ้านคนน้องไม่ยอมเปิดเผยเรื่องราวของ ‘น้องสาวฝาแฝด’ ให้ผมทราบ แต่กับคุณชลวิทย์ผมก็ยังนึกสงสัยอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงบอกกับผมว่า ‘พวกเรามีกันแค่สองคนพี่น้อง’ และยังให้คำตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เกี่ยวกับเรื่องของน้องลียากรอีก
“ปกติลีจะอยู่ที่โรงเรียนประจำครับจะกลับมาบ้านก็ช่วงปิดเทอม” จันทร์อธิบายไขข้อข้องใจที่ผมเองก็ทราบดีอยู่แล้ว เหลือก็แต่เรื่องที่ยังไม่รู้นั่นละที่ทำให้ผมนึกลังเลอยู่ว่าจะถามออกไปเลยดีไหม

“แล้วทำไมลีถึงชอบทำตัวแปลกๆ ล่ะ ?”
“ลีเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงครับ ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แล้วก็ชอบดื้อกับพี่ชลมากๆ ยิ่งพี่ชลห้ามอะไร ไม่ชอบอะไร ลีก็จะยิ่งทำครับ เรียกได้ว่าสองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยแหละ” จันทร์พูดพร้อมกับอมยิ้มและหลุดขำออกมาเพียงเบาๆ คล้ายกับว่าเขากำลังมีความสุขที่ได้เล่าถึงวีรกรรมของน้องสาวที่มีนิสัยแตกต่างกับตัวเองมาก

“เพราะแบบนั้นน้องก็เลยชอบทำเสียงดังตอนกลางคืนน่ะเหรอ ?” ผมถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ครับ แต่พอถูกพี่ชลดุแกก็เลยเพลาๆ ลงบ้าง แต่นิสัยชอบหนีออกไปวิ่งเล่นข้างนอก แก้ยังไงก็แก้ไม่หายสักที” ผมพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะผมเองก็เห็นด้วยสายตาของตัวเองมาแล้ว เพียงแต่ใจของผมก็ยังคงสงสัยอยู่ดี

“แล้วทำไมถึงต้องปิดบังตัวตนของลีด้วยล่ะ พี่ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ผมสอบถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะได้รับคำตอบที่กำลังสงสัยอยู่หรือเปล่า
“ถ้าจันทร์บอกความลับกับพี่หมอ สัญญานะครับว่าจะต้องเหยียบให้มิด” อีกฝ่ายกล่าวพลางชูนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าคล้ายกับเจ้าตัวต้องการทั้งคำตอบและคำสัญญาตามธรรมเนียมนิยม

“สัญญา..” ผมเกี่ยวปลายนิ้วก้อยกับเรียวนิ้วของจันทร์เพียงครู่ จากนั้นใบหน้าของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ จนทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง อีกทั้งหัวใจก็ยังเต้นระรัวราวกับตีกลอง
“พี่ชลไม่ค่อยไว้ใจให้ลีอยู่ข้างนอกครับ กลัวว่าจะเป็นอันตรายเหมือนกับที่ไม่ยอมให้จันทร์ออกไปไหน แต่ที่จำเป็นจะต้องให้ลีไปเรียนที่โรงเรียนประจำก็เพราะว่าพี่ชลอยากให้ลีเรียนหนังสือ แล้วจันทร์ก็อยากให้ลีเรียนด้วยเหมือนกัน จันทร์ก็เลยต้องยอมตามใจพี่ชลเพราะถ้าพี่ชลกังวลลีก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ” เสียงกระซิบชิดริมหูทำเอาผมต้องรวบรวมสมาธิในการประมวลผลความลับสุดยอดของจันทร์เป็นอย่างมาก

“แล้วจันทร์ล่ะไม่อยากเรียนบ้างเหรอ?” ผมย้อนถามเมื่ออีกฝ่ายผละตัวออกห่างจากระยะอันตรายไปแล้ว
“ก็อยากครับ แต่จันทร์ฝึกจากการอ่านนิยายก็ได้” อีกฝ่ายเอ่ยตอบพร้อมกับยกยิ้มอย่างไร้ร่องรอยของความน้อยใจที่ตนเองไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ เหมือนกับน้องสาว

“เรารีบเข้านอนกันดีกว่า” ผมกล่าวตัดบทเมื่อวันนี้มีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมายจนเกินไปแล้ว
“ฝันดีครับ” จันทร์กล่าวพลางยกยิ้ม

“ฝันดี” ผมเอ่ยกับอีกฝ่ายพลางเอื้อมมือไปยีหัวคนยิ้มแป้นเพียงเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและก้าวเดินลงบันไดไปยังห้องพักรับรองของตัวเอง
ขณะที่ในหัวก็ยังคงใช้ความคิดอย่างหนัก

เพราะสาเหตุที่คุณชลวิทย์ปิดบังเรื่องของน้องลียากร ดูท่าทางน่าจะเป็นเพราะความกังวลที่มีมากจนเกินพอดี ซึ่งความกังวลเหล่านั้นก็คงจะเหมือนกับกรณีของจันทร์ และมันก็กลายเป็นตัวกระตุ้นให้สารเคมีในสมองสูญเสียความสมดุล จนเป็นที่มาของ ‘โรคแพนิค’ เนื่องจากระบบอัตโนมัติที่ทำหน้าที่ในการรักษาความสมดุลทางร่างกายที่เราไม่สามารถบังคับมันได้ จู่ๆ ก็ดันทำงานขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เพราะโดยปกติแล้ว คนเราจะมีสารในสมองที่สมดุลกัน จึงทำให้เวลาที่เราไปดูหนังผี เราจะแค่ตกใจ ใจเต้นเร็ว หรือเหงื่อแตกได้ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคแพนิคจะเกิดอาการแปลกๆ จนทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลว่าตัวเองกำลังจะป่วยหนักและอาจจะตายได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งอันที่จริงแล้วปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอย่างแน่ชัด แต่ก็มีการสันนิษฐานว่ามันน่าจะเกี่ยวกับความผิดปกติทางพันธุกรรม และปัจจัยทางด้านจิตใจ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีความเชื่อว่า อาการตื่นตระหนกนั้นเกิดขึ้นจากการเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ที่มีอาการ หรือผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการแพนิคในขณะที่มีสิ่งกระตุ้น หรืออยู่ในสถานที่ที่เคยเกิดอาการแพนิคจึงทำให้อาการกำเริบ รวมถึงการใช้สารเสพติดก็สามารถทำให้สารสื่อประสาทในสมองสูญเสียการสมดุลได้เหมือนกัน และนอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชีวิต อย่างเช่น การผ่านเหตุการณ์เลวร้าย โดยเฉพาะช่วงวัยเด็กจะทำให้มีโอกาสเป็นแพนิคได้มากกว่าปกติ

และถึงแม้ว่าอาการแพนิคมันจะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยไม่มีลางบอกเหตุ แต่ผู้ป่วยก็มักจะชอบหาสาเหตุเชื่อมโยงเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว อย่างเช่นกรณีของคุณชลวิทย์ เขาตีความว่าอาการเหล่านั้น มีสาเหตุมาจากความเครียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ก็เพราะอาการมักจะเกิดขึ้นเมื่อเขาคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากได้ฟังมาจากจันทร์และเปรียบเทียบกับคำบอกเล่าของเจ้าตัว มันก็เริ่มจะทำให้ผมสับสนในสาเหตุที่แท้จริงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในกรณีของจันทร์นั้น เกิดจากสเปซิฟิค โฟเบีย หรือโรคกลัวเฉพาะอย่างที่มีผลต่อเนื่องให้เกิดอาการแพนิค จนกระทั่งมันกลายเป็นโรคแพนิค เนื่องจากหวาดความกลัวของจันทร์ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ตรงที่เจ้าของบ้านคนน้องไม่สามารถใช้ทางผ่านที่ขนาบข้างด้วยทุ่งสโนว์ดรอปส์ได้เลย และทุกครั้งที่เกิดอาการจันทร์มักจะคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย และหวาดระแวงว่าจะรับมือไม่ไหว ซึ่งหลังจากเกิดอาการ จันทร์ก็มักจะหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวเสมอ แต่เมื่อผมชวนเขาไปเดินเล่น เพราะไม่กล้าจะปฏิเสธก็เลยทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวได้ มิหนำซ้ำดอกไม้ชนิดนี้ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีต ที่ปัจจุบันถูกลบเลือนด้วยกลไกในการป้องกันตัวที่เรียกว่า Defense Mechanism [2] 
ซึ่งมนุษย์มักจะใช้กลไกนี้ ขจัดประสบการณ์และความทรงจำอันเจ็บปวดโดยการเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก


゚゚❀゚゚

[1] เชฟปาติซิเยร์ คือ เชฟประจำครัวของหวาน
[2] Defence mechanism คือกลไกการป้องกันตนเองทางจิตของมนุษย์ เป็นการหาทางออกให้กับจิตใจ เมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือเป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองเพื่อแก้ไขความสับสนในจิตใจ หรือการต่อต้านความเจ็บปวดของจิต

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้แลจะยาวกว่าตอนที่แล้วนิดหน่อย เพราะเราต้องการจะเขียนให้มันจบหนึ่งวันต่อหนึ่งตอน เหตุการณ์อาจเกิดทีละนิด เพราะว่าตัวพระเอกก็เป็นหมอเนอะ อยู่ไกลกันเลยไปมาลำบาก แค่นี้ก็สู้ชีวิตมากแล้ว 5555 น้องจันทร์เหมือนจะเงียบๆ เรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วก็ไม่นะจ๊ะ ลองทายกันดูนะคะว่าแต่ละปมเป็นยังไง เพราะอะไร ไม่รู้ว่าปมที่ปล่อยๆมามันช่วยให้เดาอะไรได้มั้ย 5555 หรือมันช่วยให้งงกว่าเดิมก็ไม่รู้สินั่น ส่วนวิธีการบำบัดที่พี่หมอเอามาใช้กับน้องจันทร์ไว้เราจะเอาบทความมาแปะให้อ่านนะคะ ขอเขียนให้สำเร็จทุกขั้นตอนก่อน เดี๋ยวมันจะสปอยเรื่อง

บทความและคลิปวีดิโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
- การว่ายน้ำ
- โรคแพนิค
- กลไกการป้องกันตัวเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:04:08 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
« ตอบ #19 เมื่อ: 13-03-2018 09:18:10 »





ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 8 (update 13/03/2018)
«ตอบ #20 เมื่อ13-03-2018 15:29:49 »

ยังมองว่าปมไม่คลายเลย  :hao3:
แต่มีความไหวหวั่นของพี่หมอกับจันทร์เพิ่มขึ้น
จันทร์ บอกว่าหวง หวงลี หรือว่าหวงพี่หมอกันแน่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 9 (update 15/03/2018)
«ตอบ #21 เมื่อ15-03-2018 15:41:25 »

ตอน 9

เช้ามืดสำหรับการเดินทางกลับมายังตัวเมืองเชียงใหม่ รอบๆ กายยังคงเงียบสงัด ผมจึงทิ้งกระดาษโน๊ตไว้บนโต๊ะทานข้าวเพื่อบอกกล่าวให้เจ้าของบ้านทราบ เนื่องจากเช้าวันนี้คุณชลวิทย์ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทักทายกันเหมือนอย่างเคย อาจเพราะช่วงนี้เขาไม่ต้องเอาผักไปขายที่ตลาดแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้การเดินทางเข้าเมืองเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะคาเฟ่ของพี่ทรายกว่าจะเปิดก็สิบโมงเข้าไปแล้ว แถมตอนนี้เขายังมีช่องทางในการขายส่งผักสลัดที่ใช้วิธีการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ [1] ให้กับทางร้านอาหารที่เป็นเพื่อนกับพี่ทรายอีก จึงส่งผลให้ช่วงเวลาในการทำงานของพ่อค้าขายผักคนนี้ดูจะผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และยังทำให้เขามีเวลาในการวางแผนสร้างโรงเรือนเพื่อขยับขยายหนทางในการหารายได้ ซึ่งผมคิดว่าเขาน่าจะมีเงินเก็บมากพอสมควรถึงได้มีความคิดแบบนั้น และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าพี่ชายของจันทร์ไม่ได้เครียดหรือเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งมันก็สอดคล้องกับคำบอกกล่าวของจันทร์ที่เกี่ยวกับน้องลียากร เพราะดูท่าทางแล้วเจ้าของบ้านคนพี่น่าจะเป็นห่วงน้องสาวที่จำเป็นจะต้องไปเรียนอยู่ไกลหูไกลตาจนถึงขนาดลงทุนปิดบังตัวตนของเธอ
ราวกับถ้าหากใครล่วงรู้การมีตัวตนนั้นจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ถ้าหากเขาไม่อยากให้ผมรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวมากนัก ทำไมเขาถึงไม่ไปหาผมที่โรงพยาบาล แทนที่จะชักจูงให้ผมเข้ามาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องราวที่ตัวเองไม่อยากเปิดเผย ซึ่งพอคิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นไปได้ว่าการตัดสินใจของเขาคือการหลีกเลี่ยงต่อสิ่งเร้าอันเป็นเหตุให้เกิดอาการแพนิคก็เป็นได้ เนื่องจากคุณชลวิทย์เคยมีอาการในขณะที่กำลังขับรถและยังเคยมีอาการในขณะที่กำลังขายผักอยู่ที่ตลาด ซึ่งการไปเช่าแผงลอยขายผักในตลาดก็ทำให้เขามีความจำเป็นที่จะต้องฝืนตัวเอง กระทั่งกลับมาที่บ้านอาการแพนิคที่เคยเกิดขึ้นก็สร้างความกังวลใจ อีกทั้งยังทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง
เขาจึงเกิดความไว้วางใจที่จะปลดแอกความรู้สึกหนักอกเอาไว้ที่บ้านถึงได้ยอมเสี่ยงกุเรื่องขึ้นมาขนาดนี้

คลิก!

ผมปิดประตูบ้านให้เบาที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ จากนั้นก็ตั้งท่าจะเดินไปยังรถที่ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แต่ปรากฏว่าสายตากลับมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจเข้าเสียก่อน ผมจึงโน้มตัวลงไปหยิบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับพวงมาลัยทรงกลมที่ใช้ประดับตกแต่งในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ เพียงแต่พวงมาลัยที่ถูกโยนทิ้งลงถังขยะกลับเป็นพวงมาลัยที่ทำจากช่อดอกสโนว์ดรอปส์ทั้งสิ้น
และมันก็บ่งบอกได้ดีว่าเป็นฝีมือของมนุษย์

“ของลีเหรอ? แต่ถ้าเป็นของลีก็ไม่น่าจะเอามาทิ้งแบบนี้สิ” ผมได้แต่บ่นงึมงำอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจนำพวงมาลัยคริสมาสต์ผิดช่วงเวลาที่ทำจากดอกสโนว์ดรอปส์กลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ด้วย
เหตุเพราะเจ้าของสิ่งนี้ มันอาจจะมีประโยชน์ในวันข้างหน้าก็เป็นได้

“ทำไมวันนี้มึงมาถึงก่อนกูได้วะ” เมื่อมาถึงโรงพยาบาลโดยสวัสดิภาพ ผมก็ทักทายญาติผู้น้องในขณะที่กำลังเดินสวนกันตรงเคาน์เตอร์ประจำวอร์ดจิตเวช
“แวะไปรับเพื่อนที่สนามบินดิพี่ภัทร แม่งมาซะไฟลต์เช้าเลย” ไอ้บาสกล่าวพลางทำหน้ามึนๆ เพราะปกติมันจะมาก่อนเวลาเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เผื่อเวลาเป็นชั่วโมงๆ แบบนี้
แล้วอีกอย่างนักจิตวิทยาก็เข้างานช้ากว่าผมชั่วโมงนึงด้วย

“อ้อ ตั้งแต่พรุ่งนี้มึงลานี่หว่า”
“ถูกต้องครับ! แต่พี่ภัทรไม่ต้องเป็นห่วงเลยเว้ย ผู้ช่วยกูนี่เก่งอย่างนี้เลย” ไอ้บาสคุยโวพลางชูนิ้วโป้งบ่งบอกถึงความเก่งกาจของผู้ช่วยที่ผ่านการเทรนมาอย่างดี

“คนเราวกกลับมาชมตัวเองทางอ้อมก็ได้เว้ย”
“เออนี่พี่ภัทร เย็นนี้แม่จะทำกับข้าวมื้อใหญ่ต้อนรับพวกเพื่อนๆ ผม ถ้าเสร็จงานแล้วพี่ก็แวะมากินด้วยกันดิ พ่อกับแม่พี่ก็ตอบตกลงแล้วด้วย” ไอ้บาสยักคิ้วอย่างไม่ปฏิเสธพลางกล่าวชักชวนให้มาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

“งานกูมันเลิกไม่ค่อยแน่นอนเลยว่ะ เกรงใจลุงกับป้าแล้วก็เพื่อนของมึงด้วย”
“เกรงใจทำไมวะ เพื่อนผมน่ะช่างหัวพวกมันดิ เป็นแขกก็ต้องคอยไปนั่นแหละ ส่วนพ่อกับแม่ผมแกก็อยากเจอพี่ภัทรนะเว้ย บ้านอยู่รั้วเดียวกันแต่แทบไม่เคยเห็นหน้า นานๆ ได้กินข้าวด้วยกันสักที คอยนิดคอยหน่อยจะเป็นไรไป” ไอ้บาสกล่าวพลางตบไหล่ผมเบาๆ ผมจึงพยักหน้าตอบตกลงให้มันจบๆ ไป ไว้ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเหมือนอย่างวันที่ผิดสัญญากับจันทร์เมื่อไหร่ก็ค่อยโทรไปขอโทษเอาแล้วกัน เพราะงานของผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเหตุที่ว่านั่นตอนไหน
เนื่องจากคนไข้ในวอร์ดก็มีอยู่หลากหลายโรคและยังอยู่ในสภาวะที่ต้องพึงระวัง
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับการรักษา แต่ญาติกลับหลอกให้มานี่แหละ

หลังจากตรวจ OPD หรือผู้ป่วยนอกในช่วงเช้าและบ่ายจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องมานั่งคิดวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ รวมถึงวางแผนการรักษาอย่างละเอียด เพราะว่าโรคทางจิตใจเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก จึงทำให้บางอาการไม่ปรากฏอย่างเด่นชัดเหมือนกับโรคทางร่างกาย

ก๊อก ก๊อก

“เสร็จหรือยังมึง จะได้ไปหาอะไรกินกัน” หมอแนนหรือจิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านจิตเวชศาสตร์ในผู้สูงอายุไม่รอให้ผมตอบรับ ก็รีบเปิดประตูและแทรกตัวเข้ามายังห้องทำงานของผมพร้อมกับยืนกอดอกถามอย่างกดดัน
“เสียใจด้วยนะหมอแนน วันนี้กูมีนัดกับไอ้บาสว่ะ” ผมวางปากกาลงบนโต๊ะทำงานจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปยักคิ้วใส่จิตแพทย์สาวที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างขุ่นเคือง

“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่ช่วงเที่ยงวะ เสียเวลาชะมัด” ไอ้แนนจีบปากจีบคอพูดพลางเบะปากใส่ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากห้องอย่างมีจริตจะก้านให้พอไม่ลืมเลือนว่ามันเองก็เป็นผู้หญิง ผมจึงได้แต่ส่ายหัวกับอาการผีเข้าผีออกของมันเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะรู้ดีว่าอาการสะบัดสะบิ้งของมันเมื่อครู่ก็แค่ต้องการแกล้งทำให้มันดูโอเวอร์แอคติ้งไปอย่างนั้น
กระทั่งหกโมงกว่าๆ ผมก็ได้ฤกษ์กลับบ้านเสียที โชคดีที่วันนี้ไม่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นผมคงได้ผิดสัญญาซ้ำสองกันพอดี ซึ่งถ้าหากเป็นเวลาปกติผมจะไม่ค่อยกังวลสักเท่าไหร่
แต่ถ้าเผลอไปสัญญิงสัญญากับใครไว้มันก็อดจะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้

ผมเลือกที่จะขับรถไปจอดไว้ในโรงรถของบ้านตัวเอง แล้วเดินผ่านสวนหย่อมขนาดเล็กที่ขวางกั้นสองครอบครัวเอาไว้ เพื่อที่ตอนขากลับจะได้มีเวลาเดินเล่นไปในตัว กระทั่งเดินมาจนถึงที่หมายก็พบว่าในบ้านดูเงียบเหงาผิดกับคำโฆษณาของไอ้ญาติผู้น้อง ผมจึงเดินไปยังห้องอาหารที่อยู่อีกมุมหนึ่งของตัวบ้าน ซึ่งมุมนั้นเป็นมุมที่อยู่ติดกับสระบัวเลยเห็นว่าเวลานี้สมาชิกของบ้าน รวมทั้งแขกผู้มาเยือนกำลังนั่งเล่นอยู่ตรงศาลาริมสระบัวที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก ผมจึงหมุนตัวเดินไปยังประตูกระจกที่เชื่อมกับทางเดินที่มุ่งสู่ศาลาแบบเปิดโล่ง
“อ้าว มาพอดีเลยภัทร เดี๋ยวรอป้าครู่นึงนะ” ขณะที่ผมกำลังถอดรองเท้าอยู่ตรงหน้าศาลา ป้าจั่นแม่ของไอ้บาสก็หันมาเจอเข้าพอดี ผมเลยถือโอกาสไหว้ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่จนครบวง พร้อมรับไหว้เพื่อนของไอ้บาส จากนั้นคุณป้า คุณแม่ และไอ้บาสก็พากันเดินกลับไปยังห้องครัว ผมเลยถือโอกาสเข้ามานั่งร่วมวงกับคนอื่นๆ โดยเลือกที่นั่งในตำแหน่งใกล้ๆ กับพ่อของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะนั่งให้ครบนาที ลุงเต็มก็ออกปากขอความช่วยเหลือให้พวกเรายกโต๊ะไม้ไปวางไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของศาลา เนื่องจากวันนี้ป้าจั่นได้จัดเตรียม ‘ขันโตก’ ไว้ต้อนรับเพื่อนๆ ของลูกชาย ซึ่งถ้าหากวางขันโตกลงบนโต๊ะ
เกรงว่าจะกินกันลำบาก

สำหรับชุดขันโตกที่คุณป้าจัดเตรียมไว้ต้อนรับเพื่อนๆ ของไอ้บาสก็มีเมนูมากมายหลายอย่าง เช่น กล้วยทอด แกงฮังเลหมู ไก่ทอด น้ำพริกหนุ่มพร้อมกับผักลวกจิ้ม น้ำพริกอ่อง แคบหมู ผัดผักรวม หมี่กรอบ ข้าวสวย ซุปใส และผลไม้สดที่จะได้ทานกันหลังจากผ่านมื้อหนักไปแล้ว โดยอาหารแต่ละอย่างจะบรรจุอยู่ในถ้วยเซรามิคลายไทยในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งการจับกลุ่มกินขันโตกของเราในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มของไอ้บาสและเพื่อนๆ รวมถึงเด็กชายวัยประมาณ 2-3 เดือน ดังนั้นกลุ่มนี้จึงมีสมาชิกประมาณ 7 คน แล้วก็กลุ่มของผมกับผู้หลักผู้ใหญ่ อีก 5 คน โดยเราจะนั่งรวมกันเป็นวงใหญ่ เพียงแต่จะรับประทานอาหารจากขันโตกคนละชุดเท่านั้น

“ใครแดกไม่อิ่มไม่ต้องใจเสียไปเว้ย แม่กูแค่อยากจัดขันโตกน่ากินๆ เหมือนกับร้านอาหารเฉยๆ ในครัวยังมีอีกเพียบ” ไอ้บาสพูดกับเพื่อนของมันอย่างรู้ใจ
จากนั้นมื้อเย็นในช่วงหัวค่ำที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคึกคักก็เริ่มขึ้น

 ซึ่งเรื่องในวงสนทนาของเรานั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยวงของผมคุณป้ามักจะสอบถามเรื่องงานแล้วก็เรื่องความรัก จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องญาติๆ คนอื่นเสียมากกว่า ส่วนวงของไอ้บาสกับเพื่อนๆ ดูเหมือนจะคุยเรื่องแผนการท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ แล้วก็คอยแหย่เด็กน้อยที่ได้แต่มองผู้ใหญ่พูดคุยกันไปมาด้วยสายตาแป๋วแหววจนถึงกับร้องไห้จ้า เดือดร้อนถึงคนเป็นแม่ที่เป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มต้องพาเจ้าลูกชายตัวน้อยไปนั่งดูปลาในสระบัวตรงอีกมุมหนึ่งของศาลา จากนั้นพ่อเด็กก็ใช้ฝ่ามือพิฆาตตีหัวเจ้าผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตจนเสียงดังลั่น บ่งบอกได้ดีว่าการลงโทษในครั้งนี้ไม่มีการออมแรง
แต่ทว่าบทลงโทษดังกล่าวกลับยกเว้นแค่เพียงชายหนุ่มยิ้มสวยคนหนึ่ง

“ไอ้บาส! ไหงมึงลำเอียงวะ น้องรันแม่งก็แกล้งลูกมึงนะโว้ย” ไอ้บาสรีบร้องทักอย่างเหลืออดพร้อมกับชี้ไปยังชายหนุ่มที่กำลังกลั้นยิ้ม แต่ดูเหมือนจะกลั้นเอาไว้ไม่สำเร็จ เพราะในตอนนี้ดวงตาของเขากลายเป็นเส้นตรงไปเสียแล้ว
“…” ฝ่ายคนเป็นพ่อก็หาได้สนใจในสิ่งที่เพื่อนประท้วงไม่กลับนั่งทานข้าวต่ออย่างหน้าตาเฉย กระทั่งหญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มพาตัวเด็กน้อยกลับมานั่งร่วมวงอีกครั้ง คนเป็นพ่อก็ผลัดเปลี่ยนมาอุ้มลูกชายเอาไว้เสียเองเพื่อที่คุณแม่ยังสาวจะได้ทานอาหารสะดวกขึ้น
เพราะเมื่อครู่เธอต้องคอยดูแลลูกชายจนแทบไม่เป็นอันกิน

กระทั่งมื้อค่ำของกลุ่มผมจบลง พวกผู้ใหญ่ก็ขอตัวไปอาบน้ำเข้านอน ผมเลยกะจะขอตัวกลับพร้อมกับพ่อและแม่ แต่ปรากฏว่าไอ้บาสมันชวนให้ผมดื่มกับเพื่อนๆ ของมันก่อน ผมก็เลยต้องอยู่ต่อแต่มีข้อแม้ว่าอาจจะอยู่ได้แค่เพียงไม่นาน เพราะว่าพรุ่งนี้ผมยังต้องทำงานแต่เช้า ถ้าจะให้ไปทำงานในสภาพที่ยังไม่สร่างดี ก็เห็นทีจะร่างพัง
เนื่องจากหลังเลิกงานผมต้องขับรถไปยังอำเภอข้างเคียง โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านกลางป่าสน

การมาร่วมวงเหล้าในครั้งนี้ทำให้ผมรู้จักกับเพื่อนในสมัยมหาวิทยาลัยของไอ้บาส ซึ่งคนแรกมีชื่อเดียวกับญาติผู้น้องของผมเลยเพียงแต่หน้าตาของเขาไม่ได้ออกแนวตี๋ๆ คนต่อมาก็คือน้องเปรมหุ่นนักกีฬาที่หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ใครต่อใครก็คงจะคิดว่าน้องคือนักกีฬาทีมชาติมากกว่านักจิตวิทยา ส่วนสาวสวยของกลุ่มที่ในตอนนี้ไม่โสดเสียแล้ว เธอมีชื่อว่าเอ้และลูกชายของเธอก็ชื่อน้องเมฆ ถัดมาคือชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่มีชื่อว่าอาคเนย์ โดยนิสัยของเขาดูจะติดนิ่งๆ ไปบ้าง แต่สกิลการกวนตีนเพื่อนก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน และคนสุดท้ายที่มีรอยยิ้มสวยเหมือนกับจันทร์ ต่างกันแค่เขาไม่มีลักยิ้ม และเวลาที่ยิ้มดวงตาก็มักจะกลายเป็นเส้นตรงมีชื่อว่าน้องเนรัน
 
“เดี๋ยวกูไปเอาอูคูเลเล่มาเล่นสร้างบรรยากาศดีกว่า” ชายหนุ่มหุ่นนักกีฬาพูดขึ้น จากนั้นก็รีบผละออกจากวงเหล้าเพื่อมุ่งตรงไปยังส่วนของตัวบ้านในทันที
“ไอ้เปรมแม่งไม่รู้จะมีดนตรีในสายเลือดอะไรขนาดนั้น มึงรู้ป่ะ ก่อนจะมาเชียงใหม่แม่งโทรมาหากูเว้ย บอกให้กูหิ้วกีตาร์ไปด้วย กูเลยด่าไปชุดใหญ่ เพราะลำพังแค่กระเป๋าของกูกับไอ้รันแม่งก็เทอะทะจะแย่ แล้วไหนจะของฝากตอนขากลับอีก ถ้ากูแบกมาคงทุลักทุเลฉิบหาย” ชายหนุ่มติดนิสัยนิ่งๆ รีบแฉเพื่อนสนิทคนเมื่อครู่แทบจะทันที ทำเอาผมได้แต่ยกยิ้มบางๆ เมื่อนึกไปถึงช่วงเวลาของตัวเองในวัยมหาวิทยาลัยที่ก็มีกลุ่มเพื่อนนักเรียนแพทย์อยู่ประมาณสามสี่คน เพียงแต่ตอนนี้ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปตามเส้นทางของชีวิต เพราะทุกคนต่างก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบก็เลยเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะได้กลับมาพบเจอกันจึงเป็นไปได้ยากเย็น แต่ยังดีหน่อยที่ไอ้แนนมาทำงานที่เดียวกัน แล้วครอบครัวของเราก็ค่อนข้างสนิทสนมกัน
เวลานี้ผมจึงพอจะมีเพื่อนต่างกลุ่มที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทหลงเหลืออยู่บ้าง

“เหยดดด มึงอย่าบอกนะเว้ยว่าแม่งลงทุนถอยอูคูมาเพื่อทริปนี้ ?” หญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มเอ่ยถามพร้อมกับทำสีหน้าเหลือเชื่อ
“ถูกต้อง!” ชายหนุ่มที่ชื่ออาคเนย์กล่าวพร้อมกับทำมือเหมือนกับยิงปืนใส่เจ้าของคำถาม

“นินทากูนะไอ้สัสเนย์” ไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาก็เดินกลับมายังศาลาริมสระบัวพร้อมกับเครื่องดนตรีในมือ
“พอๆ เดี๋ยวลูกกูได้จำนิสัยไม่ดีของพวกมึงกันพอดี” หลังจากทานกันจนอิ่มหนำแล้ว หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มก็รับช่วงต่อในการดูแลลูกชาย ด้วยการไปหามุมนั่งเล่นตรงริมสระบัวกันสองคน
ส่วนคนอื่นๆ รวมถึงผมที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก ก็ยังคงนั่งดื่มเหล้าเคล้าเสียงอูคูเลเล่จากน้องเปรมอย่างชิวๆ

ปึ่ก!

ผมเหล่มองไปยังใครบางคนที่เป็นต้นกำเนิดเสียง จึงพบกับสายตาดุดันของชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘อาคเนย์’ เข้าอย่างจัง ผมเลยได้แต่นั่งงงงวยอยู่พักใหญ่ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้าให้หรือเปล่า เพราะแววตาคู่นั้นเอาแต่จ้องมองมายังผมอย่างไม่ลดละ ทั้งๆ ที่ผมก็เอาแต่นั่งดื่มเงียบๆ มาตลอด แต่ก็อาจจะมีบ้างที่เผลอไปจ้องมองรอยยิ้มของน้องรันอย่างเลื่อนลอย เพราะรอยยิ้มแสนบริสุทธิ์แบบนั้น มันทำให้ผมนึกถึงรอยยิ้มของจันทร์ที่เป็นรอยยิ้มที่น่ามองที่สุดในความคิดของผม จนเผลอคิดเลยเถิดไปว่าพรุ่งนี้ผมจะลองให้เจ้าของบ้านกลางป่าสนสัมผัสกับดอกสโนว์ดรอปส์เลยดีไหม แต่อีกใจหนึ่งก็ยังคิดกังวลอยู่ไม่น้อยเพราะว่าจันทร์ยังมีอาการแพนิคในขณะที่มองเห็นดอกไม้ชนิดนี้อยู่ ถ้าหากอีกฝ่ายจะต้องมาสัมผัสมันจะมีอาการหนักหนามากแค่ไหน
ฉะนั้นผมควรหาแรงจูงใจให้เขามีเป้าหมายในการสัมผัสกับดอกไม้ที่ว่านั่นอย่างไรดี หรือว่าควรจะทำเป็นช่อดอกไม้มอบให้จันทร์เลยดีล่ะ อีกฝ่ายจะได้มีแรงจูงใจที่อยากจะเอาชนะความหวาดกลัวเหล่านั้นได้ ซึ่งถ้าหากจันทร์ทำสำเร็จ เราก็จะได้เริ่มลงพื้นที่จริงที่เคยทำให้จันทร์เกิดอาการแพนิคกันเสียที
แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงจันทร์อยู่นั้น ผมคงจะเผลอหลุดยิ้มพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังน้องรันหรือเปล่า
ใครบางคนถึงได้มองผมจนตาเขียวปัดขนาดนี้

“เป็นอะไรครับ?” น้องรันเอ่ยถามเจ้ายักษ์หน้าบึ้ง ส่วนฝ่ายนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าเพียงเบาๆ พร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นจิบและไม่วายจะใช้สายตาดุๆ มองผมอีก คนข้างกายของเจ้าตัวเลยต้องหันหน้ามามองผมตามสายตาของคนที่ตัวเองห่วงใย ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแล้วก็จิบเหล้าไปเรื่อยๆ

“พี่เนย์ครับไปเดินเล่นกัน”
“อืม” จากนั้นชายหนุ่มสองคนก็พากันเดินลงศาลา โดยมุ่งตรงไปยังสวนหย่อมขนาดเล็กใกล้ๆ บ้าน
เพี๊ยะ!

“อะไรของมึงวะไอ้บาส” ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ เมื่อจู่ๆ ก็ถูกไอ้ญาติผู้น้องฟาดเข้าให้
“ทำอะไร! ผมเห็นนะเว้ย คนนี้ไม่ได้ มีเจ้าของแล้ว!” ไอ้บาสใช้น้ำเสียงกระซิ ราวกับไม่อยากให้เพื่อนๆ ของตัวเองรู้สึกไม่ดีกับผมไปด้วย

“กูไม่ได้คิดอะไรเว้ย” ผมหันไปกระซิบตอบอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ชัดๆ โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมผมถึงต้องยิ้มในขณะที่จ้องมองไปยังน้องรัน
“กูกลับบ้านก่อนดีกว่าว่ะ พรุ่งนี้หนทางยังอีกยาวไกล” ว่าแล้วผมก็รีบชิ่งหนีทันที เพราะขี้เกียจจะแก้ตัวให้มากความ ฝ่ายญาติผู้น้องมันก็หรี่ตามองราวกับไม่ไว้ใจ จนผมต้องถลึงตาใส่มันถึงได้พยักหน้าส่งๆ
เวลานี้ผมจึงมีโอกาสมาเดินเล่นชมจันทร์ในยามค่ำคืนก่อนจะเข้านอนได้สักที


-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:10:34 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 9 (update 15/03/2018)
«ตอบ #22 เมื่อ15-03-2018 15:41:53 »

ว่าไปแล้วการจะล่วงล้ำเข้ามายังเขตป่าสนที่พร่างพรมไปด้วยสีขาวสะอาดของดอกสโนว์ดรอปส์อันเป็นเครื่องหมายของความหวังและความบริสุทธิ์ ก็ต้องใช้ตัวช่วยอย่างไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งที่บัดนี้หน้าจอก็ยังแตกร้าวอยู่เหมือนเดิม เพราะผมไม่มีเวลาจะเอามันไปซ่อมที่ร้าน และตอนนี้ผมก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเก็บดอกสโนว์ดรอปส์ก้านยาวมารวบรวมเป็นช่อเดียวกันประมาณหนึ่งกำมือ จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถเพื่อเอายางวงมัดก้านสีเขียวนั่นไว้ และปิดท้ายด้วยการผูกริบบิ้นที่บังคับขู่เข็นให้ไอ้แนนเอามาแบ่งกันใช้ เนื่องจากผมไม่มีเวลาจะไปหาซื้อ
อีกทั้งไอเดียนี้ก็เป็นความคิดที่ออกจะกะทันหันและไร้การวางแผนไปสักหน่อย

แต่ถึงยังไงวันนี้ก็ยังเหมือนกับวันนั้น เพราะจากมุมมองในระยะไกล ผมมองเห็นเจ้าของบ้านคนน้องกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าบ้านพร้อมกับถือเทียนหอมเล่มใหญ่ไว้ในมือ เนื่องจากเวลานี้ไฟฟ้าทั้งหลังหยุดทำการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กระทั่งผมจอดรถในตำแหน่งเดิมเสร็จสรรพ คนไข้ในความดูแลก็รีบวิ่งเข้ามายืนอออยู่ตรงข้างหน้าต่าง

“วันนี้พี่เก็บดอกสโนว์ดรอปส์มาเยอะเลย จันทร์รีบเข้าบ้านไปก่อนดีกว่า” ผมลดกระจกลงหลังจากที่ควานหาอะไรบางอย่างมาปกปิดช่อดอกไม้เอาไว้ ซึ่งสาเหตุที่กระทำแบบนั้น ไม่ใช่เพราะผมกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เซอร์ไพรส์
แต่เป็นเพราะผมกลัวว่าคนคนนี้จะเกิดอาการแพนิคเสียมากกว่า

“อ้อ.. ครับ แล้ว.. ขนมวันนี้พี่หมอคิดว่ามันอร่อยหรือเปล่าครับ ?” จันทร์ลากเสียงยาวในลำคอเพียงครู่ พร้อมกับหรี่ตามองผมอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจถามถึงฝีมือการทำขนมของตัวเองตามความตั้งใจแรก
“อร่อยสิ” ผมตอบพลางเอื้อมมือไปยีหัวเชฟปาติซิเยร์ที่กำลังอมยิ้มอย่างชอบใจในคำตอบ

“แต่เสียอย่างเดียว..” ทันทีที่ผมกล่าวประโยคต่อมาจนจบ รอยยิ้มของใครบางคนก็เลือนหายไป
“มาการองมันน่ารักเกินไป ทีหลังถ้าจันทร์จะเตรียมขนมไว้ให้พี่ ขอเป็นแบบที่มันไม่น่ารักจะดีกว่านะ พี่จะได้สะดวกใจกินหน่อย ไม่อย่างนั้นมันเสียดายน่ะ” กระทั่งผมเฉลยเหตุผลอันยืดยาวจนครบถ้วน รอยยิ้มและลักยิ้มของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

“อื้อ” คนตรงหน้ารีบตอบรับในลำคอพลางย่นจมูกเพียงเล็กน้อยอย่างน่ารัก
“…”

“จันทร์เตรียมน้ำไว้ให้พี่หมออาบแล้ว ถ้ายังไงพี่หมอไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาหาจันทร์ที่ห้องก็ได้ครับ” ดวงตากลมใสมองมายังผมพร้อมกับบอกกล่าวเหมือนวันก่อนไม่มีผิด ทำเอาผมรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของจันทร์ที่มีให้ผมเป็นอย่างดี
“ครับ”

ผมรอจนกระทั่งจันทร์เดินหายเข้าไปในบ้าน ถึงค่อยหยิบสัมภาระลงจากรถ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือช่อสโนว์ดรอปส์เจ้าปัญหา จากนั้นก็รีบเข้าไปอาบน้ำท่ามกลางความมืด โดยอาศัยความเคยชินว่าอะไรมันวางอยู่ตรงไหน
กระทั่งทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องพักรับรองพร้อมด้วยช่อสโนว์ดรอปส์ แต่ขณะที่ผมกำลังก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้น ผมก็ต้องนำตัวช่วยในการรักษาไปซ่อนไว้ข้างหลัง จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางหนังสือแน่นิ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักหน่อย
เนื่องจากวันนี้ผมไม่ได้นำดอกไม้ชนิดนี้มาเพียงแค่ดอกเดียว..

“ของที่พี่หมอถืออยู่ข้างหลังคือดอกไม้ใช่ไหมครับ?” จันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เปลตรงปลายเตียง รีบละความสนใจจากหนังสือในมือ เมื่อรับรู้ถึงการมาถึงของผมแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะก่อนหน้านี้ผมเกริ่นนำไปบ้างแล้วว่าตัวเองเตรียมอะไรมาด้วย จึงพยักหน้าตอบคนป่วยเพียงเบาๆ
“พี่ลงทุนไปเก็บอยู่นานเลยนะ แต่ริบบิ้นนี่ไม่ได้ลงทุนหรอก ข่มขู่ให้เพื่อนมันเอามาให้น่ะ” ผมกล่าวติดตลก พลางเลื่อนช่อสโนว์ดรอปส์ที่แอบซ่อนไว้ข้างหลังออกมาให้เจ้าของได้ยลโฉม
แต่ใครบางคนที่จะได้ถือกรรมสิทธิ์ กลับจ้องมองมายัง ‘สิ่งกระตุ้น’ ที่ผมกำลังถืออยู่แน่นิ่งและเนิ่นนาน

“จันทร์!” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ จันทร์ก็ทำท่าเหมือนกับจะอาเจียน ผมเลยโยนสิ่งกระตุ้นที่ว่านั่นลงไปข้างล่างและวิ่งเข้าไปประคองคนป่วยที่น่าจะมีอาการวิงเวียนศีรษะให้เอนตัวนั่งในท่าทางที่สบายขึ้น ขณะที่หยาดเหงื่อบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มไหลซึมออกมาเรื่อยๆ รวมทั้งมือและเท้าที่กำลังสั่นระริกจนผมต้องย้ายตัวเองลงมานั่งตรงหน้าของเจ้าของบ้านตัวเล็กและกอบกุมฝ่ามือของเขาไว้

“จ..เจ็บ” จันทร์เอ่ยเพียงสั้นๆ พร้อมกับหอบหายใจราวกับขาดอากาศ เท่านั้นผมก็ทราบแล้วว่าเวลานี้ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้ากำลังเกิดอาการชาเหน็บราวกับถูกเข็มหลายๆ เล่มทิ่มแทงอย่างแสนสาหัส
“จันทร์พยายามหายใจเข้าลึกๆ เดี๋ยวพี่จะนวดมือกับเท้าให้ ส่วนช่อสโนว์ดรอปส์ มันก็แค่ช่อดอกไม้ที่พี่ตั้งใจจะเอามาให้จันทร์ คิดแค่นั้นก็พอนะ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างสุดความสามารถ พลางเกลี่ยปอยผมอันชื้นเหงื่อเพียงเบาๆ จากนั้นก็บีบนวดฝ่ามือให้กับคนที่กำลังพยายามจะกอบโกยอากาศหายใจอย่างยากลำบาก

“จันทร์แค่มีอาการแพนิค ไม่ได้ป่วยเป็นโรคทางกาย เพราะฉะนั้นอาการแบบนี้จะไม่ทำให้จันทร์เป็นอะไรไปอย่างแน่นอน อีกอย่างพี่ก็อยู่ตรงนี้แล้ว ยังไงจันทร์ก็ปลอดภัยแน่ๆ” ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นพลางยกเท้าของอีกฝ่ายมาบีบนวด พร้อมกับพูดให้เจ้าตัวมั่นใจ เพราะในตอนนี้เนื้อตัวของจันทร์กำลังสั่นไหวอย่างหนัก
คล้ายกับเขากำลังหวาดกลัวเจ้า ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ในระดับที่มากมายกว่าเดิม 

“แพนิคไม่เคยทำให้ใครถึงแก่ชีวิตหรอกนะ” ผมพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้จันทร์จนอีกฝ่ายจำต้องส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้
“พี่หมอครับ จันทร์โอเคขึ้นแล้ว” หลังจากนั้นประมาณ 30 นาที อาการของจันทร์ก็เริ่มดีขึ้น แต่ทว่าใบหน้าของเขายังคงฉายแววอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวพี่ลงไปเอาน้ำให้” หลังจากบอกอีกฝ่ายแล้ว ผมก็เดินลงไปข้างล่างและถือวิสาสะเปิดประตูครัวเพื่อเข้าไปเอาแก้วน้ำ โดยอาศัยแสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือคู่ใจ พร้อมกับสังเกตเครื่องมือทำขนมของอีกฝ่ายที่เคยนึกสงสัยไปด้วยในตัว ซึ่งจากการประเมินแบบไม่ค่อยจะรู้รายละเอียดมากนัก ผมคิดว่าอุปกรณ์ของจันทร์น่าจะมีอย่างครบครันเชียวล่ะ เพราะเจ้าตัวดูจะทำเมนูขนมได้อย่างหลากหลาย และก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องครัวที่ไม่เคยได้มีโอกาสเข้ามา ผมก็เหลือบมองไปยังห้องของน้องลียากรที่อยู่ในอาณาเขตเดียวกันด้วยสีหน้าแน่นิ่ง เนื่องจากจู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายมักจะออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกในช่วงเวลาเดิมๆ ทุกครั้ง
“ขอโทษที่ช้านะจันทร์ พอดีพี่หาแก้วไม่เจอน่ะ” หลังจากดึงสติตัวเองให้กลับมาสนใจในจุดประสงค์เดิมได้ ผมก็รีบเดินกลับไปรินน้ำให้จันทร์ แล้วก้มลงหยิบช่อสโนว์ดรอปส์เจ้าปัญหาโยนไปทางหน้าห้องพักรับรองของตัวเอง ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปหาจันทร์พร้อมพูดแก้ตัวอย่างไหลลื่นด้วยความจำเป็น
เหตุเพราะบางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านหลังนี้ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตเวชที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญก็เป็นได้

“ไม่เป็นไรครับ” จันทร์กล่าวพร้อมกับยกยิ้มเพียงบางๆ จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากและดื่มน้ำเย็นๆ เข้าไปอึกใหญ่
“ตอนที่เกิดอาการแพนิคเมื่อกี้ จันทร์ยังเห็นภาพแบบเดิมอยู่หรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามพลางรับแก้วกระเบื้องมาจากอีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นและวางแก้วใบใสลงข้างๆ ตัว

“ครับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม จันทร์ยังรู้สึกหวาดระแวงว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย แถมยังมีภาพเปลวไฟอะไรก็ไม่รู้ตามมาหลอกหลอนจันทร์อีก” จันทร์กล่าวอย่างสับสนจากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตัวเอง บ่งบอกให้รู้ว่าคราวนี้สิ่งกระตุ้นดังกล่าว นอกจากมันจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการ ‘แพนิค’ ยังไปกระตุ้นความทรงจำที่เปรียบเสมือน ‘จิ๊กซอว์’ ที่เคยหล่นหายไปให้กลับคืนมา
หากแต่กลไกในการป้องกันตัวยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“จันทร์ยังจำได้ไหม คราวก่อนพี่เคยบอกให้จันทร์เชื่อว่าสโนว์ดรอปส์มันก็เป็นแค่เพียงดอกไม้ชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางจะทำให้จันทร์ตกอยู่ในอันตรายได้หรอก แล้วอีกอย่าง.. ดอกไม้ชนิดนี้ มันก็เหมือนกับดอกเนโมฟีลาที่เราสองคนชอบไง”
“…”

“กลีบของมันจะนุ่มๆ ลื่นๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย มิหนำซ้ำถ้าหากเราสัมผัสมันด้วยน้ำหนักมือแรงๆ กลีบของมันก็จะช้ำได้ แล้วแบบนี้มันจะเป็นอันตรายกับจันทร์ได้ยังไง จริงไหม ?” ผมอธิบายให้อีกฝ่ายเห็นภาพของความเป็นจริงที่เจ้าตัวไม่เคยมองเห็น
“จันทร์ไม่เชื่อพี่เหรอ?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและเดินลงไปข้างล่างเพื่อมุ่งตรงไปยังช่อสโนว์ดรอปส์ที่ผมโยนทิ้งไว้ จากนั้นก็เด็ดดอกไม้ชนิดนั้นออกมาหนึ่งดอก ก่อนจะแตะสัมผัสกลีบดอกไม้สีขาวสะอาดด้วยน้ำหนักไม่เบามือ กระทั่งกลีบดอกไม้อันบอบบางเริ่มจะช้ำมือ
ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปให้อีกฝ่ายดูผลลัพธ์จากการทดลอง

“พี่ไปพิสูจน์มาแล้วนะ เห็นไหมไม่มีส่วนไหนของพี่บาดเจ็บเลย” เมื่อเดินขึ้นมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของจันทร์ ผมก็รีบหมุนตัวพร้อมกับพูดให้อีกฝ่ายมองเห็นในสิ่งที่ผมเห็น
เพื่อที่เราจะได้เชื่อในสิ่งเดียวกัน

“แต่ดอกไม้ที่จันทร์กลัว เห็นไหม.. มีรอยช้ำจนหมดสวยไปเลย” ผมเดินไปหยุดยืนข้างๆ อีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เปลพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าตัวเห็นผลการทดลอง จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อชี้ไปยังกลีบดอกไม้อันแสนบอบบางที่เกิดอาการบอบช้ำเพราะฝีมือของมนุษย์
และเพราะความใกล้ชิด มันก็ทำให้กลิ่นกายหอมเย็นคล้ายกับกลิ่นมิ้นลอยมาแตะจมูกของผมเหมือนคืนนั้น..

“คราวหน้าจันทร์ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูสิ” ผมเอ่ยชักชวนพร้อมกับมองจ้องเข้าไปยังดวงตากลมใสคู่นั้นที่หันมาสบกัน
แต่ทว่านัยน์ตาคู่ใสตรงหน้า ยังคงสั่นระริกด้วยความสับสนและหวาดกลัว

“ถ้าเกิดมันทำให้จันทร์เป็นอันตรายจริงๆ พี่จะขยำมันให้เละเลย!” ผมกล่าวพร้อมกับทำสีหน้าหมายมั่น จนเจ้าของห้องใต้หลังคาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขัน
“ครับ” ท้ายที่สุดจันทร์ก็ยอมตอบตกลงอย่างง่ายดาย
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ง่ายเลยก็คือ การห้ามไม่ให้หัวใจสั่นไหวไปกับสายตาที่อีกฝ่ายมองมาอย่างเปิดเผย

“เอ่อ.. พี่ว่าวันนี้จันทร์รีบเข้านอนก่อนดีกว่า พี่เองก็เริ่มง่วงแล้วล่ะ” ผมกระเด้งตัวกลับมายืนในท่าปกติ พลางเกาหัวแก้เก้อจากนั้นก็เดินหนีเข้าห้องพักรับรองของตัวเอง
โดยไม่ลืมที่จะเก็บช่อสโนว์ดรอปส์เจ้าปัญหาติดมือมาด้วย..

คลิก!

ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงไปยังข้างหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงของหล่นดังตุ้บ! แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปสนใจยังทิศทางของประตูอีกครั้ง เมื่อผมได้ยินเสียงคนปิดประตู ซึ่งใครคนนั้นคงจะหนีไม่พ้น ‘น้องลียากร’ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินวนไปวนมาอย่างมีน้ำโห กระทั่งผมแง้มประตูออกไปดู จึงพบว่าเด็กผู้หญิงในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่กำลังใช้ลิปสติกสีแดงละเลงลงบนประตูห้องของคุณชลวิทย์ ซึ่งผมก็ได้แต่ยืนมองภาพนั้นด้วยความสงสัยจนทำเอาหัวคิ้วแทบจะพันกันจนยุ่งเหยิง
เมื่อน้องลีละเลงลิปสติกแท่งนั้นจนสาแก่ใจ เธอก็ผละออกห่างจากประตูบานนั้นเลยมองเห็นผมที่แง้มประตูออกมาดูพฤติกรรมแปลกๆ ของเจ้าตัวเข้าพอดี เธอจึงยกปลายนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากพร้อมกับส่งเสียงในลำคอเพียงเบาๆ เพื่อบอกกล่าวให้ผมปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มให้ ก่อนจะปิดประตูเพื่อปิดกั้นการรับรู้จากภายนอก และเดินกลับมายังเตียงนอนของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจว่าน้องสาวฝาแฝดของจันทร์จะบอกให้ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ยังไง ในเมื่อทั้งบ้านก็มีกันแค่สามคนพี่น้อง หรือถ้าหากจะนับรวมผมด้วยก็มีเพียงแค่สี่คน ซึ่งเป็นเพศชายไปแล้วสามคน
ฉะนั้นใครล่ะที่จะเป็นเจ้าของลิปสติกสีแดงแท่งนั้น ?
ถ้าหากไม่ใช่น้องลียากร..

“เด็กหนอเด็ก” ผมเอ่ยพลางส่ายหัวก่อนจะล้มตัวลงนอนพร้อมกับปล่อยวางเรื่องราวยุ่งเหยิงทั้งหมด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอีกครั้ง 


゚゚❀゚゚

[1] ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) เป็นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแต่ใช้น้ำที่มีธาตุอาหารพืชละลายอยู่ หรือ การปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหารพืชทดแทน

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

มีตัวละครจากฟอลอินยูโผล่มาเล็กน้อยนะคะ ถือว่าทริปนี้เป็นทริปที่มาจากความตั้งใจเดิมของพี่เนย์และน้องรันในตอนพิเศษสำหรับรวมเล่มเนอะ ไม่รู้ว่าหลายๆ คน จะพอเดาได้บ้างหรือยังว่าฝีมือใคร แต่ไม่น่าจะยากนะ แต่เหตุผลที่ว่าทำไปทำไมก็คงต้องรอให้เรื่องมันดำเนินต่อไปอีกนิดก่อน ช่วงนี้ก็เอาใจช่วยน้องจันทร์ให้ต่อสู้กับโรคนี้ให้ได้ไปก่อน
ปล. อีกไม่กี่ตอนน่าจะช่วยคลายปมใหญ่ได้บางส่วนแล้วจ้า 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:14:00 โดย Chomin »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 9 (update 15/03/2018)
«ตอบ #23 เมื่อ15-03-2018 20:46:05 »

 มันก็น่าให้ถูกมองแบบไม่ชอบใจ
ก็ไปจ้องหน้าคนรักของคนอื่นเฉยเลย    :z6:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 10 (update 16/03/2018)
«ตอบ #24 เมื่อ16-03-2018 08:36:50 »

ตอน 10

โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่มีอาการแพนิค มักจะมีอาการตั้งแต่ 4 อย่างขึ้นไป โดยอาการรวมๆ ที่มักจะเกิดขึ้นก็มีตั้งแต่ ใจสั่น หัวใจเต้นแรงหรือเต้นเร็วเหมือนตีกลอง มือสั่นหรือตัวสั่น เหงื่อแตก หายใจติดขัด หายใจไม่อิ่ม หรือแน่นหน้าอก เจ็บบริเวณหน้าอกหรือปั่นป่วนในท้อง มึนงง วิงเวียนศีรษะ โคลงเคลง หรือรู้สึกว่าตัวเองแปลกไป มีอาการมึนชาหรือปวดเสียวตามเนื้อตัว หนาวสั่น หรือร้อนวูบวาบไปทั้งตัว กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า กลัวว่าตัวเองจะเสียชีวิต ซึ่งอาการทั้งหมดนี้จะต้องเกิดขึ้นโดยไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆ แต่ทว่ากรณีของจันทร์กลับมีผลอันเนื่องมาจาก ‘โรคสเปซิฟิค โฟเบีย’ ซึ่งความหวาดกลัวของเจ้าตัวนั้น อาจมีบางอย่างซ้อนทับกับภาพในอดีต
เช่นว่า..
เจ้าของบ้านคนน้องเคยประสบอุบัติเหตุอะไรสักอย่างแล้วบังเอิญมีดอกไม้ชนิดนั้นปรากฏอยู่ในระยะการมองเห็น

“เห้อ~ คุณชลวิทย์เป็นคนทำจริงๆ เหรอวะ? แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?” หลังจากเลิกงานผมก็ได้แต่นอนลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำพร้อมกับขบคิดอย่างไม่เข้าใจ เนื่องจากเมื่อเช้าตอนก่อนออกจากบ้านกลางป่าสน ผมเห็นพวงมาลัยทรงกลมที่ทำจากดอกสโนว์ดรอปส์อีกแล้ว ซึ่งเมื่อคืนผมได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านออกไปข้างนอก จากนั้นผมก็เห็นน้องลีกำลังเอาลิปสติกละเลงประตูห้องของคุณชลวิทย์จนเละเทะ
ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าตัวการเป็นเจ้าของบ้านคนพี่ ซ้ำยังมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่น ไม่ยอมซื้อเทียนมาให้จันทร์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจันทร์กลัวความมืด แต่กลับซื้อเทียนให้น้องลียากร ทั้งๆ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันน่ะเหรอ ?
ทำไมมันถึงได้ซับซ้อนอะไรขนาดนี้

“หรือว่าทั้งสามคนจะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ วะ” ผมอดจะบ่นอย่างหงุดหงิดไม่ได้ เมื่อใจมันกำลังร้อนรนด้วยความหวาดกลัวว่า ‘จันทร์’ ดวงนั้นจะกลายเป็น ‘จันทร์’ หม่นแสง
“เอาวะ เดี๋ยวกูลองถามความจริงจากฝั่งน้องลีดูบ้างก็ได้”

เมื่อหาทางออกให้กับสิ่งที่กำลังครุ่นคิดได้แล้ว ผมก็รีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งและยืนเช็ดตัวให้แห้งเพื่อกลับเข้าไปยังตัวบ้าน
และเตรียมตัวเข้านอนเพื่อรอรับมือกับการผจญภัยในวันรุ่งขึ้น

กระทั่งวันแห่งการรอคอยเดินทางมาถึง ผมก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจนผิดวิสัยนายแพทย์ ผู้ตรากตรำทำงานจนเลยเวลาเลิกงานครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้กว่าจะเดินทางมายังบ้านกลางป่าสนก็ดึกดื่นครึ่งค่อนคืนเข้าไปแล้ว
แต่ทว่าปลายเส้นทางอันคุ้นเคย มักจะพบเจอกับ ‘ดวงจันทร์’ ดวงเดิมอยู่เสมอ
ต่างกันแค่ ในค่ำคืนนี้ ‘จันทร์’ ดวงนั้น กลับนั่งนิ่งไร้ชีวิตชีวาเหมือนอย่างเคย

“วันนี้จันทร์ทำขนมให้พี่หมอไม่ทัน..” เมื่อผมนั่งลงตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนทางฝั่งตรงข้าม จันทร์ก็รีบบอกสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการหงอยๆ เสียจนผิดสังเกต
“เรื่องแค่นี้เอง ฮึ ?” ผมกล่าวพร้อมกับยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

“เรารีบเข้าบ้านกันเถอะ” กระทั่งอีกฝ่ายแย้มยิ้ม ผมถึงได้ชักชวนเจ้าของบ้านให้เดินเข้าบ้านของตัวเอง โดยไม่ลืมจะกลับไปขนสัมภาระที่รถติดมือมาด้วย
ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังดูแลผมเป็นอย่างดีด้วยการรองน้ำเอาไว้ให้ผมอาบเหมือนอย่างเคย

“วันนี้จันทร์ทำใจในการพิสูจน์ผลของการทดลองได้หรือยัง ?” พอขึ้นมายังห้องใต้หลังคา ผมก็เอ่ยถามอีกฝ่ายเพื่อบ่งบอกให้เจ้าของห้องได้รับรู้ว่าบัดนี้ คุณหมอพร้อมจะทำการทดลองแล้ว ซึ่งจันทร์ก็ตอบรับด้วยการวางหนังสือนิยายไว้บนเตียงนอน จากนั้นก็ค่อยย้ายตัวเองลงมานั่งพิงปลายเตียงเหมือนกับวันก่อน
“พี่หมอ จันทร์จะลองหลับตาแล้วค่อยวางมันลงบนมือของจันทร์ได้ไหมครับ ?”
“ได้สิ” สิ้นคำตอบรับจากผม ฝ่ามืออันสั่นเทาของจันทร์ก็ยื่นออกมาตรงหน้าผม จากนั้นดวงตากลมใสก็ค่อยๆ ปิดสนิทพร้อมสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเชื่องช้า
ราวกับวันนี้คนป่วยตั้งใจฝึกการหายใจมาอย่างโชกโชน

หลังจากนั้นผมก็เอื้อมไปจับฝ่ามือของจันทร์ เพื่อส่งผ่านความอบอุ่นให้เขาได้รู้สึกอุ่นใจ จากนั้นก็ค่อยๆ วางดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไร้พิษสง แต่สำหรับผู้ที่เป็น ‘โรคกลัว’ อย่างจันทร์แล้ว ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ถือเป็นสิ่งอันตราย ถ้าหากเลือกได้เจ้าตัวก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับมันนัก และทันทีที่ผิวลื่นๆ ของกลีบดอกไม้แตะสัมผัสลงบนฝ่ามือเล็ก ลมหายใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป แต่ทว่ายังคงอยู่ในระดับที่ไม่ย่ำแย่นัก
ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจได้ดีว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร เนื่องจากริมฝีปากของจันทร์กำลังขยับเพียงเบาๆ เป็นประโยคที่ว่า..

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป.. มันไม่มีอะไรน่ากลัว.. มันก็เหมือนกับดอกไม้ที่เราชอบ”

“กลีบของมันจะลื่นๆ” จันทร์กล่าวพร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบไล้เจ้าดอกไม้ที่ตัวเองหวาดกลัวอย่างเชื่องช้า
“…”

“ถ้าสัมผัสแรงๆ มันก็จะช้ำ” คนป่วยกล่าวพร้อมกับขยำดอกไม้ในมือเพียงเบาๆ จากนั้นถึงค่อยแบออก แล้วจันทร์ก็แน่นิ่งไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ กระทั่งเปลือกตาของอีกฝ่ายค่อยๆ ขยับเพียงเบาๆ แล้วดวงตากลมใสก็มองจ้องไปยังอุปกรณ์ในการทดลองแน่นิ่ง
แต่ทว่าความล้มเหลวก็มาเยือน..

ผมใช้เวลาปลอบขวัญอีกฝ่ายอยู่นานกว่าร่างกายจะกลับมาเป็นปกติ จึงชักชวนให้พูดคุยเรื่องทั่วไปเพื่อไม่ให้คนไข้ตกอยู่ในภาวะตึงเครียด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่เราพูดคุยกันก็มักจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผมเสียมากกว่า เช่นว่า ทำไมผมถึงอยากเป็นหมอ แล้วทำไมถึงเลือกเรียนจิตเวช หรือแม้กระทั่งช่วงชีวิตนักเรียนนอกอันยากลำบาก ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของผมทั้งสิ้น ทำเอาเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงต้องรีบตัดบทสนทนาเหล่านั้นเพื่อให้คนป่วยได้นอนพักผ่อน เพราะดูท่าทางเขาจะอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งผมก็เลือกเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องพักรับรองของตัวเอง จากนั้นก็รอเวลาให้น้องลียากรออกมาเที่ยวเล่นเหมือนทุกครั้ง กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูผมก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับย้ายตัวเองมาปักหลักอยู่ตรงข้างหน้าต่าง แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่พบเจอใครสักคน ผมจึงแง้มประตูออกไปสังเกตการณ์ด้านนอก ปรากฏว่าบ้านทั้งหลังมีแต่ความเงียบสงัด แต่แล้วสายตาของผมก็สบกับ ‘พวงมาลัยดอกสโนว์ดรอปส์’ จากนั้นน้องลียากรก็ปรากฏตัวพร้อมกับเทียนหอมกลิ่นวานิลลา โดยเธอหันมาส่งยิ้มทักทายผมเพียงครู่ แล้วก็มุ่งตรงไปยังเป้าหมายก่อนจะกระชากประตูบ้านให้เปิดกว้าง แล้วนำ ‘ของต้องห้าม’ สำหรับพี่ชายไปโยนทิ้งถังขยะ

“ลี.. ทำไม ?” ผมเอ่ยถามหลังจากเดินมาสมทบกับอีกฝ่ายตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อน โดยมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์กลมโตและแสงเทียนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของ ‘วนิลลา’
“พี่ชลเห็นแก่ตัว พี่ชลไม่รักพวกเรา..” น้องลีกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ขณะที่ดวงตากลมใสเหมือนแววตาของจันทร์กลับคลอวาวน้ำจนแทบล้นปริ่ม

“แต่..” ผมอยากจะเอ่ยคัดค้านตามคำบอกเล่าของจันทร์ แต่ผมก็สับสนเกินกว่าจะพูดอะไรออกไป
เพราะคำบอกเล่าจากสองพี่น้องคู่นี้มันราวกับหนังคนละม้วน

“เพราะเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ พี่ชลเลยทำแบบนี้ได้ลงคอ” น้องลีกล่าวพร้อมกับเดินหุนหันเข้าไปในบ้าน ผมจึงต้องหยิบเทียนหอมของอีกฝ่ายเข้ามาด้วย ขณะเดียวกันเจ้าของเทียนเล่มนี้ก็หายตัวไปจากกรอบทางสายตา แต่เพียงไม่นานร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และในมือของเธอก็มีลิปสติกสีแดงแท่งเดิม
จากนั้นสีแดงฉานก็ถูกละเลงไปทั่วประตูบานเดิม
โดยที่สีแดงเหล่านั้นมักจะถูกลบเลือนก่อนที่คนในห้องจะล่วงรู้

“โรงเรียนเริ่มทยอยเปิดเรียนกันแล้วเหรอวะ ?” หลังจากเดินทางออกมาจากบ้านกลางป่าสน จนกระทั่งต้องมาติดแหงกเพื่อรอสัญญาณไฟจราจร ผมก็อุทานออกมาด้วยความสงสัยเพราะปกติจะไม่ค่อยเห็นเด็กนักเรียนตามท้องถนนสักเท่าไหร่
ถ้าอย่างนั้นน้องลียากรก็อาจจะต้องกลับมาอยู่ที่โรงเรียนประจำแล้วน่ะสิ

พูดตรงๆ สิ่งที่ได้รับรู้เมื่อคืนทำเอาผมนอนไม่ค่อยหลับ ร่างกายในวันนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ผมจึงตัดสินใจแวะโรงอาหารของโรงพยาบาลเพื่อหาคาเฟ่อีนใส่ร่างกาย จึงทำให้ทราบว่าโรงเรียนเปิดเรียนมานานแล้วเพราะเหล่าพยาบาลที่ไม่มีเวลาทำกับข้าวในตอนเช้ามักจะพาลูกๆ มาทานข้าวที่นี่ก่อนจะไปส่งที่โรงเรียน ซึ่งเด็กบางคนก็ถือโอกาสเอาการบ้านออกมาทำอย่างตั้งใจ ผมจึงยิ่งรู้สึกแปลกๆ เพราะว่าหลายอาทิตย์มานี้ ผมเจอน้องลีทุกครั้งที่เดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน
“ไอ้ภัทร! มึงน่ะคิดเยอะ โรงเรียนมันอาจจะยังเปิดไม่ครบทุกโรงเรียนก็ได้นี่หว่า” ผมเอ่ยเพียงเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา
เพราะในตอนนี้ผมกำลังสับสนและว้าวุ่นใจจนร้อนรน

หลังจากราวนด์วอร์ดเสร็จแล้ว ผมก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเคส จากนั้นก็ต้องมาตรวจผู้ป่วยนอกตามปกติ แต่ในระหว่างที่ผมเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ผมก็เจอกับคุณชลวิทย์ที่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาคือการนำขนมของจันทร์มาให้
ผมเลยถือโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของน้องลียากรเสียเลย

“ช่วงนี้น้องลีเปิดเรียนหรือยังครับ พอดีผมสัญญากับแกไว้ว่าจะเอาเทียนหอมกลิ่นวานิลลาไปให้” ผมทำเป็นดูคุกกี้ในกล่องกลมๆ ที่จันทร์ฝากมาให้พร้อมกับเอ่ยปากสอบถามถึงเรื่องที่สงสัย
“เปิดแล้วล่ะครับ วันนี้ผมเพิ่งจะไปส่งแกที่โรงเรียน ถ้ายังไงคุณหมอฝากผมเอาไปให้ลีก็ได้ครับ”

“แกเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเหรอครับ ประมาณ ม.4 ได้หรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามราวกับมันคือเรื่องทั่วไป
“ครับ”

“ดีเลยครับ พอดีหลานผมกำลังจะขึ้น ม.4 ปีหน้าแล้ว ไม่ทราบว่าน้องลีเรียนอยู่ที่ไหนเหรอครับ การเรียนการสอนโอเคหรือเปล่า”
“หมอภัทรคะ” ผมหันไปมองพยาบาลตรงหน้าเคาน์เตอร์เมื่อเธอร้องเรียกจนขัดบทสนทนาที่ผมเปิดประเด็นไว้

“มีคนไข้มาเพิ่มแล้วค่ะ จะรับเลยไหมคะ?”
“อ้อ รับเลยครับ” ผมตอบรับพยาบาลสาวพลางส่งยิ้มให้ จากนั้นก็หันมารอคอยคำตอบจากคุณชลวิทย์ ก่อนจะรีบร้อนเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง ราวกับผมสนใจเพียงแค่ชื่อสถาบันเท่านั้นว่ามันดีพอสำหรับการศึกษาเล่าเรียนของหลานตัวเองหรือไม่

เพียงแต่ในขณะที่พี่ชายผู้แสนใจดีกำลังจะบอกชื่อโรงเรียนของน้องสาว ลมหายใจของเขาก็เริ่มติดขัดอย่างน่าสงสัย ซ้ำยังมีเหงื่อออกมากกว่าปกติ
บ่งบอกถึงอาการแพนิคกำลังกำเริบ?   

“วันนี้วันที่ 24 พฤษภาแล้วนี่หว่า ปกติเขาเปิดเรียนกันตอนช่วง 16 พฤษภาหรือเปล่าวะไอ้แนน” เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ผมก็เอ่ยถามจิตแพทย์สาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาโซ้ยข้าวซอยประจำครัวโรงพยาบาลอย่างหิวโหย
“เออ!” สาวเจ้าตอบรับเพียงสั้นๆ อย่างไม่ใคร่จะสนใจผมนัก ขณะที่ผมก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวแปลกๆ อีกอย่างที่เกี่ยวกับน้องลียากร

“เพื่อนมึงสอนที่ไหนนะ?”
“สนใจเพื่อนกูเหรอคะ?” สิ้นคำถามจากผมไอ้แนนก็รีบเสนอหน้าย้อนถามด้วยสายตาแพรวพราว

“เออ กูสนใจว่าเพื่อนมึงเป็นครูที่ไหนเฉยๆ ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น”
“มงฟอร์ต”

“จริงดิ” ผมถามย้ำอย่างดีอกดีใจเมื่อโรงเรียนที่เพื่อนของไอ้แนนสอนกับโรงเรียนของน้องลียากรเป็นโรงเรียนเดียวกัน
“ดูปากกูนะ จริงค่ะหมอภัทร โอเค๊ ?”

“แนนกูมีอะไรจะให้มึงช่วยว่ะ แต่กูขอเวลาเตรียมอะไรบางอย่างสักสองวัน”
“มึงไม่ได้จะจีบเพื่อนกู แล้วมึงจะให้กูช่วยอะไรวะ งงใจ เป็นบ้านะมึงเนี่ย!” ไอ้แนนพูดพลางส่ายหัว ก่อนจะเดินเอาจานไปเก็บแล้วก็เดินขึ้นตึกโดยไม่สนใจผมแม้แต่นิด

กระทั่งวันศุกร์เวียนมาถึงอีกครั้ง คราวนี้ผมให้จันทร์ลองสัมผัสกับดอกสโนว์ดรอปส์เหมือนอย่างเคย เพราะคราวก่อนดูเหมือนว่าจันทร์จะมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น ซึ่งผมก็ต้องลงทุนเดินลุยทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่เริ่มจะกลายเป็นสีเขียวขจีไม่ต่างกับสีของใบไม้ใบหญ้าชนิดอื่น และด้วยความกังวลว่าการรักษาอาจจะต้องหยุดชะงักเร็วกว่าที่คิด ผมจึงลองเสิร์ชหาข้อมูลของดอกไม้ชนิดนี้ จึงพบว่ามันมีชื่อไทยแบบเก๋ๆ ว่า ‘ดอกหยาดหิมะ’ ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้จะบานเป็นชนิดแรกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความบริสุทธิ์
แต่ทว่าดอกไม้ชนิดนี้ยังมีอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มักจะเบ่งบานตอนช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว

“ฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่มีนาถึงมิถุนา แสดงว่ามันอาจจะเติบโตในเมืองไทยได้ยาก อย่างนี้คนปลูกก็ต้องมีความรู้เรื่องดอกไม้เป็นอย่างดีด้วย” หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับข้อมูลของดอกไม้ชนิดนี้จบ ผมก็อดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์
และแอบฟันธงไปเลยว่าคุณชลวิทย์นั่นแหละที่เป็นคนปลูกดอกไม้ชนิดนี้

หลังจากเก็บดอกหยาดหิมะเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถมุ่งตรงไปยังตัวบ้าน แต่ครั้งนี้กลับน่าแปลกใจเมื่อจุดหมายปลายทางไร้ซึ่งคนคุ้นเคย ผมจึงรีบวิ่งพรวดพราดลงจากรถ โดยมีจุดหมายปลายทางคือบ้านกลางป่าสนที่ด้านในยังคงมืดมิด มีเพียงแค่ห้องใต้ที่ยังมีแสงเทียนอบอวนด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ ผมจึงสาวเท้าเดินขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนด้วยอารามเป็นห่วงอีกฝ่ายจับใจ กระทั่งเห็นจันทร์กำลังนอนหลับใหลอย่างสุขสบาย ผมจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ถือโอกาสสำรวจห้องนอนของอีกฝ่ายเพื่อหากระดาษโน๊ตสักแผ่นมาเขียนบอกเจ้าตัวว่าผมมาถึงแล้ว ซึ่งก็หาไม่ยากเย็นนักเพราะอุปกรณ์เครื่องเขียนวางอยู่บนชั้นเล็กๆ ตรงข้างเตียงนั่นแหละ
เพียงแต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินผละออกมากลับมองเห็นหยดน้ำตาเปื้อนข้างแก้มของอีกฝ่าย จึงถือโอกาสนั้นปลอบโยนคนกำลังหลับใหลอย่างเลื่อนลอย พร้อมเช็ดน้ำตาเหล่านั้นจนเหือดแห้งไป
ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากนุ่มของดวงจันทร์ที่กำลังเปล่งประกายอยู่ตรงหน้าอย่างเผลอไผล
“สโนว์ดรอปส์ ?” กระทั่งผมเดินลงมาข้างล่างก็อดจะอุทานออกมาด้วยความแปลกใจที่เห็นดอกไม้ที่เจ้าของบ้านคนน้องหวาดกลัวกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นตรงหน้าบันไดเชื่อมห้องใต้หลังคาไม่ได้
“หรือว่าก่อนหน้านี้จันทร์มีอาการแพนิค ?” ผมหยิบดอกไม้ชนิดดังกล่าวขึ้นมาดูก็พบว่าสภาพของมันช้ำมือจนกลีบดอกร่วงหลุดออกจากกัน พอคิดได้อย่างนั้นผมก็อดจะกลับไปหาจันทร์อีกครั้งไม่ได้ และเมื่อลองสังเกตใบหน้าของอีกฝ่ายดีๆ ก็เห็นว่าริมฝีปากของจันทร์ มีแผลคล้ายกับเขาใช้วิธีกัดปากตัวเองเพื่อข่มความหวาดกลัว

หลังจากที่ผมนั่งมองอีกฝ่ายมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ผมก็ตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติพร้อมบอกกล่าวตัวเองในใจว่า ‘ไอ้ภัทร! มึงต้องทำตัวให้เป็นปกติสิวะ อย่าเพิ่งเผยไต๋ ให้ทำเป็นโง่ไปก่อน’ จากนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปของจันทร์ไว้ โดยไม่ลืมจะปิดแฟลชและเสียงจะได้ไม่รบกวนคนกำลังหลับใหล
ก่อนจะส่งรูปดังกล่าวไปให้เพื่อนของไอ้แนนช่วยหาคำตอบ
พร้อมกับภาวนาไม่ให้มันเป็นอย่างที่คิด!

กลางดึกบรรยากาศของบ้านกลางป่าสนยังคงเงียบสงัด แต่ผมกลับนอนไม่หลับเพราะผมกำลังคิดมากและผมก็เริ่มจะรู้สึกตัวแล้วว่า ตอนนี้ผมคงจะ ‘ชอบ’ จันทร์เข้าให้แล้ว ผมจึงลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับนั่งมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกอัดแน่น เนื่องจากตอนนี้ผมยังไม่มีหลักฐานใดๆ แต่หลายๆ อย่างมันบ่งชัดได้ว่า คุณชลวิทย์มีจุดประสงค์ที่ไม่ดี ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำร้ายน้องชายของตัวเอง
ไม่สิ ลีเคยพูดทำนองว่าคุณชลวิทย์ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเธอ

“เสียงชัตดาวน์คอมพิวเตอร์นี่ ?” ผมได้แต่นั่งอุทานอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่อลีก็ไปโรงเรียนแล้ว
อีกอย่างที่บ้านหลังนี้ก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เหรอ ?

ผมตัดสินใจเปิดประตูออกไปสำรวจข้างนอก แต่สุดท้ายก็พบกับความว่างเปล่า ราวกับเมื่อครู่ผมเกิดอาการหูฝาดไปเอง ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะตรงมุมเดิมที่เคยนั่งคุยกับจันทร์ ซึ่งมันทำให้ท้องแขนของผมสัมผัสกับความอุ่นร้อนของอุปกรณ์เทคโนโลยีที่คาดว่าน่าจะเป็นแบบพกพา มิหนำซ้ำผมยังได้กลิ่นหอมของอะไรสักอย่าง..
ที่มีกลิ่นคล้ายกับ..
‘มะลิ’


゚゚❀゚゚

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ตอนนี้สั้นเพราะมันตัดจบพอดี  สรุปแล้วน้องลีคืออะไรยังไง แล้วคุณชลวิทย์เล่า 5555
ปล. สรุปเรื่องนี้ไม่ได้ลึกลับสยองขวัญอะไรเลย เพราะมันมีแต่ความงงใจของคนในบ้านหลังนี้ 5555

บทความที่เกี่ยวข้อง

- แพนิค
- โฟเบีย
- Snowdrop
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:22:13 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 11 (update 17/03/2018)
«ตอบ #25 เมื่อ17-03-2018 21:07:43 »

ตอน 11

เช้าวันแรกของสัปดาห์ใหม่มีเรื่องวุ่นวายจนวอร์ดจิตเวชแทบแตก เนื่องจากผู้ป่วยรายหนึ่งเกิดอาละวาดและกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับร่ำไห้อย่างทุรนทุราย ทีมแพทย์และพยาบาลจำนวน 5-6 คนจึงต้องจับเธอมัดไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา เพราะเธอไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยท่านอื่นๆ ต่างพากันแตกตื่นเป็นทิวแถว
กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เล่นเอาหมดพลังงานไปมากโข แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกล่าวโทษหรือติเตียนเธอเลย ออกจะเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเด็กหญิงวัย 10 ปีรายนี้ ถูกนำตัวมาเข้ารับการรักษาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
และสาเหตุที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะเธอถูกพ่อเลี้ยงกระทำชำเราจนจิตใจบิดเบี้ยวไม่เหลือชิ้นดี

กระทั่งเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า คนไข้ที่นัดไว้ก็เริ่มซาลง ผมจึงถือโอกาสเดินไปดูกิจกรรมการบำบัดด้วยการทำอาหาร โดยเมนูของวันนี้คือ ‘ซูชิรูปหัวใจ’ ซึ่งคนไข้จะได้รับอุปกรณ์สำหรับการทำอาหารประเภทดังกล่าว เช่น สาหร่ายแผ่นใหญ่ ไม้ไผ่ที่ใช้ห่อซูชิ ข้าวญี่ปุ่น น้ำส้มสายชูสำหรับทำซูชิ  ทูน่าสับ มายองเนส ไข่กุ้งที่ไม่ใช่ไข่กุ้งแต่มันคือไข่ของปลาเคปลิน ซอสศรีราชาแบบเผ็ด อาโวคาโด และทูน่าสไลด์บาง
กว่าผมจะมาเข้าร่วมกิจกรรมได้คนไข้หลายๆ คนก็เกือบจะทำซูชิจนเสร็จหมดแล้ว เหลือก็แต่หนูน้อยวัย 10 ปีที่ยังคงม้วนแท่งซูชิให้เป็นรูปทรงของหัวใจขนาดครึ่งดวงไม่ได้เสียที เธอจึงทำสีหน้ายุ่งเหยิงอย่างขัดใจ แต่พอเธอหันมาเห็นผมเข้าก็รีบฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ด้วยเพราะเธอถูกอกถูกใจผมมากเป็นพิเศษ ยิ่งเวลาผมมาราวนด์วอร์ดที่ห้องพักของผู้ป่วยจิตเวชหญิง เธอก็มักจะชอบเดินตามผมต้อยๆ เหมือนกับลูกเป็ดตัวเล็กที่ชอบเดินตามก้นแม่เป็ดอย่างไรอย่างนั้น

“พี่หมอม้วนให้หนูหน่อยค่ะ” เด็กน้อยรีบเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผมพร้อมกับเอ่ยขอร้องพลางเปิดกางเกงโชว์ของสงวนให้ผมดู ราวกับเธอฝังใจว่าถ้าหากทำแบบนี้จะได้รับความเห็นใจ ซึ่งการกระทำแบบนี้ ไม่ได้ทำกับผมแค่เพียงคนเดียว แต่เธอยังทำกับพยาบาล จิตแพทย์ท่านอื่น รวมถึงคนไข้ร่วมห้อง และคุณป้าของเธอเป็นประจำ
“น้องพราวเป็นเด็กผู้หญิง ต้องห้ามโชว์ร่างกายให้ใครดูนะคะ แค่หนูพูดเพราะๆ พี่หมอก็ยินดีจะช่วยหนูแล้ว” ผมกล่าวพลางย่อตัวลงกับพื้นเพื่อจัดแจงกางเกงของเธอให้เข้าที่เข้าทาง

“แต่พ่อก็เคยเห็นของหนูหมดแล้วนี่คะ” เด็กหญิงตรงหน้ากล่าววาจาใสซื่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับเธอเห็นมันเป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าจิตใจของเธอกลับร้าวรานจนส่งผลถึงการกระทำหลายๆ อย่าง เช่น พฤติกรรมชอบเปิดโชว์ร่างกายให้ผู้อื่นดู การพูดคำหยาบที่ส่อไปถึงการร่วมเพศ การอาละวาดเมื่อพบเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ตอกย้ำความรู้สึกอันเลวร้าย การทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นผลกระทบมาจากเหตุการณ์อันเลวร้ายทั้งสิ้น
และทุกครั้งที่ผมได้ฟังก็มักจะรู้สึกหดหู่ใจอยู่เสมอ

“ถึงคุณพ่อจะเคยเห็นแล้ว แต่น้องพราวก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไหนมาดูซิคนเก่งของพี่หมอทำซูชิไปถึงไหนแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายพร้อมกับทำเป็นเมียงมองปัญหาที่เด็กหญิงกำลังพบเจออย่างสนใจ แม้ว่าผมจะทราบดีอยู่แล้วว่าเธอกำลังทำอะไรค้างไว้
“หนูม้วนซูชิเป็นรูปหัวใจครึ่งดวงไม่ได้ค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพลางชี้ไปที่ก้อนซูชิที่ในตอนนี้ถูกไม้ไผ่สำหรับม้วนอาหารประเภทดังกล่าววางทับอยู่

“เดี๋ยวพี่หมอขอไปดูผลงานของคนอื่นก่อนนะ” ผมเอ่ยกับน้องพราวในเชิงยอมรับคำขอ จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปดูผลงานของคนไข้ท่านอื่นที่อายุมากกว่าเด็กหญิงตัวน้อยไปมากโข ก่อนจะตั้งอกตั้งใจม้วนอาหารญี่ปุ่นที่ผมเพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะถึงแม้ผมจะเคยเป็นนักเรียนนอก แต่ก็ทำอาหารเป็นแค่เมนูพื้นๆ เช่น ต้มจืดเต้าหู้ใส่หมูสับ ข้าวต้ม และอาหารประเภทไข่ทั้งหลายแหล่
“ตรงไส้เนี่ยพี่เบลสอนให้น้องพราวทำยังไงคะ” ผมเอ่ยถามเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสนใจ ในขณะที่เธอกำลังตั้งอกตั้งใจวางเนื้อทูน่าสดลงบนซูชิที่ผมม้วนออกมาจนเป็นรูปร่างตามที่เธอต้องการ

“พี่เบลบอกว่าให้เอามายองเนส ไข่กุ้ง ซอสศรีราชาแบบเผ็ดคลุกกับเนื้อทูน่าบดค่ะ” น้องพราวอธิบายขณะที่เธอค่อยๆ วางเนื้อทูน่าสดลงบนเนื้อข้าวญี่ปุ่นทีละชิ้นอย่างตั้งใจ จนกระทั่งซูชิก้อนนี้ไม่มีพื้นที่ให้เธอเติมเนื้อทูน่าลงไปอีกแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กที่ดูท่าทางจะคล่องแคล่วในเรื่องการทำอาหารอยู่บ้าง ก็ค่อยๆ ดึงพลาสติกที่ใช้สำหรับซีลอาหารมาวางคลุมลงบนแท่งซูชิ จากนั้นพยาบาลผู้มีความเชี่ยวชาญการทำอาหารอย่างน้องเบลก็เข้ามาหั่นซูชิให้เด็กหญิงตัวน้อยและจิตแพทย์อย่างผมดู โดยการหั่นซูชิจะเริ่มจากการหั่นส่วนหัวและส่วนท้ายทิ้งไป เนื่องจากเครื่องยังไม่แน่นหนาพอ จากนั้นก็จะเริ่มหั่นตรงส่วนกลาง แล้วค่อยๆ หั่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแท่งด้วยความหนาที่พอเหมาะพอดี
“เดี๋ยวพี่หมอดูนะคะ หนูจะประกอบเป็นรูปหัวใจแล้ว” น้องพราวกล่าวอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหันมาชักชวนให้ผมรอดูฝีมือการทำอาหารของเธอที่หลังจากนี้จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะเธอจะเริ่มใช้ทักษะในด้านศิลปะเข้าช่วย

“เสร็จแล้ว” ทันทีที่เธอนำซูชิรูปครึ่งหัวใจมาประกบกันจนเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงพราวก็รีบหันมายกยิ้มอย่างภาคภูมิใจเพื่อชักชวนให้ผมดูซูชิรูปหัวใจเต็มดวงที่มาจากฝีมือของเธอ
“เก่งมาก!” ผมเอ่ยชมพร้อมกับยีหัวเธอเบาๆ

จากนั้นพยาบาลรุ่นน้องก็ชักชวนให้คนไข้นำผลงานของตัวเองไปนั่งทานที่ห้องอาหาร ผมเลยถือโอกาสปลีกตัวไปหาอะไรใส่ท้องของตัวเองบ้าง พร้อมกับคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการอย่างกระจ่างแจ้ง เนื่องจากเมื่อวานผมส่งรูปของจันทร์ไปให้ไอ้แนนเรียบร้อยแล้ว และในวันนี้เพื่อนของมันบอกว่าจะให้คำตอบ
แต่ทว่าคำตอบที่ว่านั่นยังไม่มาถึงผมเสียที

“ไอ้ภัทร!” หลังจากต่อคิวซื้อเย็นตาโฟเจ้าอร่อยจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยืนหาที่นั่งมุมเหมาะๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไอ้แนนก็ตะโกนเรียก ผมเลยรีบเดินเข้าไปนั่งร่วมวงกับมันทันที จากนั้นก็รีบวิ่งไปซื้อน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด
“เพื่อนมึงได้คำตอบหรือยัง?” หลังจากซดน้ำสีชมพูเข้มรสจัดจนสาแก่ใจ ผมก็เอ่ยถามหมอแนนที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม

“มันบอกว่าไม่มีว่ะ มึงจำโรงเรียนผิดหรือเปล่า?”
“กูไม่มีทางจำผิดแน่ๆ กูมั่นใจ”

“งั้นก็ชัวร์ว่ามึงโดนหลอก” สิ้นคำตอกย้ำของจิตแพทย์สาว ผมก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชลวิทย์ถึงต้องโกหกเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนของน้องลียากรด้วย
หรือเขาเริ่มจะจับสังเกตได้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาและครอบครัว?
แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวผมจะลองถามจันทร์ดูอีกที

กระทั่งวันพุธที่รอคอยเวียนวนมาถึง สีหน้าของผมดูจะสดชื่นมากกว่าทุกวัน ทำเอาเหล่าพยาบาลและหมอจิตเวชท่านอื่นๆ ต่างพากันออกปากแซวเสียยกใหญ่ จนเขาลือกันไปทั้งบางว่าคุณหมอจิรภัทรดูท่าทางจะจีบสาวจนติดเสียแล้ว มิหนำซ้ำสาวปริศนายังฝากขนมมาให้ทุกวัน พาเอาใครต่อใครต่างก็อิจฉาจนตารุกวาว

 ก๊อก ก๊อก

“เชิญครับ” ผมออกปากอนุญาต เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเพียงเบาๆ
“ขนมค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมวางปากกาลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบถุงขนมที่ด้านในบรรจุโดนัทรูปหมูจำนวนสองชิ้น ซึ่งชิ้นล่างจะมีขนาดใหญ่กว่าชิ้นบน
“เอ่อ.. หมอภัทรคะ คุณชลวิทย์ฝากมาบอกว่าตอนนี้หมดช่วงฤดูของสโนว์ดรอปส์แล้ว เขาเลยจะของดการบำบัดเอาไว้ก่อน” พยาบาลสาวกล่าวพร้อมกับเดินออกจากห้องทำงานของผมไป ซึ่งผมก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เมื่อจู่ๆ ก็ถูกลอยแพเอาง่ายๆ
ทำเอาอาการดีอกดีใจตลอดครึ่งเช้าเลือนหายไปจนแทบจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้

อันที่จริงผมก็พอจะเข้าใจคุณชลวิทย์อยู่หรอก เพราะการรักษามันต้องใช้เงิน เมื่อสิ่งกระตุ้นเลือนหายไปอาการของจันทร์ก็ย่อมต้องหายไปด้วย แต่การจะหยุดการรักษาควรจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงต้องมาประจวบเหมาะกับช่วงที่ผมมีอะไรอยากจะถามจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของน้องลียากรด้วย แต่ก็ช่างเถอะอย่างน้อยการหมดฤดูกาลของดอกสโนว์ดรอปส์ก็ทำให้ผมพอจะเบาใจในความปลอดภัยของจันทร์ขึ้นมาได้บ้าง
แต่ทว่าในคืนวันพุธที่ผมจะต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านของตัวเอง..
มันกลับเป็นค่ำคืนที่ผมไม่อาจจะคุ้นชินอีกต่อไป..

แล้วถ้า ‘ดอกหยาดหิมะ’ กลายสภาพเป็นดอกแห้งๆ เหี่ยวๆ เหมือนกับพวงมาลัยและช่อดอกไม้ที่วางตั้งอยู่บนตู้ไม้สีขาวในห้องของผมล่ะ จันทร์จะยังหวาดกลัวมันอีกหรือเปล่า เพราะจากการประเมินแล้ว ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ที่จันทร์สามารถต่อสู้ได้อย่างสบายๆ ก็คือดอกไม้ที่อยู่ใน ‘ภาพถ่าย’
แต่ในเมื่อเจ้าของบ้านคนพี่ออกปากห้ามถึงขนาดนั้น ผมคงต้องหาข้ออ้างเพื่อไปพิสูจน์อย่างดื้อด้าน เพราะอย่างน้อยๆ ผมจะได้สบายใจว่ามีเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้อาการแพนิคของจันทร์กำเริบ
เพราะถ้าหากผลออกมาในทิศทางตรงกันข้าม..
จากที่จันทร์จะมีแค่อาการแพนิค อาจจะกลายเป็นเพิ่มอาการซึมเศร้าและอื่นๆ ไปด้วย
 
ครืด ครืด

(มึงจะนอนหรือยัง?) ทันทีที่ผมรับสายอีกฝ่ายก็รีบถามกลับอย่างรวดเร็ว
“ยัง” ผมตอบแบบไม่เกินจริงนัก เพราะในตอนนี้ผมกำลังตาสว่าง เนื่องจากการขบคิดเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์ แม้จะเป็นห่วงอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่หน้าที่การงานก็ยังบังคับให้ผมต้องพักผ่อนให้เพียงพอ จึงทำให้ผมต้องแบ่งเวลาไปหาอีกฝ่ายอย่างที่เคยเป็น แต่ทว่าตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
แม้กระทั่งความรู้สึกของผมที่เริ่มจะลึกซึ้งขึ้นด้วย..

(ไอ้พรีมมันโทรมาบอกกูเมื่อกี้ว่ะ คือแม่มันน่ะ เคยสอนเด็กผู้ชายในรูปตอน ป.6) ทันทีที่ได้ยินประโยคเกริ่นนำของเพื่อนสนิท ผมก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่า
(แกบอกว่าเด็กคนนี้ดูเป็นคนเงียบๆ ชอบปลีกตัวไปเล่นคนเดียว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่อะไรนี่แหละ น่าจะมีข่าวลงหนังสือพิมพ์ด้วย มึงลองไปหารายละเอียดดูแล้วกัน)

หลังจากหมดธุระไอ้แนนก็รีบวางสายไป ผมจึงได้แต่นั่งคิดไม่ตกพร้อมกับเริ่มเชื่อมโยงอะไรบางอย่างอีกครั้ง โดยเริ่มจากการที่จันทร์มีอาการของโรค ‘สเปซิฟิค โฟเบีย’ หรือโรคกลัวเฉพาะอย่าง ที่มีสิ่งกระตุ้นเป็น ‘ดอกสโนว์ดรอปส์’ ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้เชื่อมโยงกับภาพซ้อนทับในอดีตอย่าง ‘เปลวไฟ’
“ถ้าตอนนั้นจันทร์อยู่ชั้น ป. 6 ก็น่าจะอายุประมาณ 11 ขวบ แสดงว่าเรื่องก็น่าจะผ่านมาแล้ว 5 ปี แต่ถ้าลงข่าวหน้าหนึ่งด้วย ในเน็ตก็น่าจะพอมีข้อมูลอยู่บ้าง” หลังจากคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยิบแมคบุ๊กบนโต๊ะเขียนหนังสือมาเปิดหาข้อมูลดังกล่าวบนเตียง แต่กลับไม่พบข้อมูลที่ต้องการ ผมจึงพยายามหามันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเช้าถึงได้ลุกขึ้นไปอาบน้ำและออกเดินทางไปยังโรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ถึงจุดหมายก่อนเวลาเจ็ดโมงตรง
จากนั้นกิจวัตรประจำวันก็ดำเนินต่อไปเหมือนอย่างเคย..

“ช่วงนี้ถึงจะได้งดยากล่อมประสาทแล้ว แต่คุณชลวิทย์ก็ยังต้องทานยาแก้ซึมเศร้าต่อไปอีกประมาณหนึ่งปีนะครับ หลังจากนั้นถึงจะค่อยๆ ลดโดสยาจนสามารถหยุดทานได้ เพราะถ้าเกิดหยุดยาเองจะทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ทีนี้แหละครับการรักษาจะยากขึ้น”
“ครับ” คุณชลวิทย์กล่าวพร้อมกับยกยิ้มอย่างเชื่อฟัง ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะคนไข้บางรายหลังจากที่ลดเหลือเพียงแค่ยาซึมเศร้าที่ออกฤทธิ์ช้าเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่ก็มักจะท้อแท้จนแอบหยุดยาเอง ซึ่งผลของมันแรกๆ ก็ยังพอไหว แต่นานวันเข้าก็ต้องกลับมาหาหมออีกครั้ง และต้องเริ่มรักษาใหม่หมด มิหนำซ้ำยังดื้อยาที่เคยถูกโฉลกก็มี

“คุณชลวิทย์ครับ คือผมอยากจะสอบถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาการของจันทร์น่ะครับ” ผมตัดสินใจสอบถามกับเจ้าของบ้านคนพี่ เพราะผมเองก็ยังหาหลักฐานไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่หวังดีกับน้องชายจริงๆ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับไฟไหม้ผมคิดว่าคุณชลวิทย์น่าจะทราบมันดีที่สุด
“มีอะไรเหรอครับคุณหมอ ?”

“ตอนที่ผมรักษาอาการแพนิคของจันทร์น่ะครับ แกมองเห็นภาพของเปลวไฟ ซึ่งอาการแพนิคของแกมันเกิดจากโรคสเปซิฟิค โฟเบีย หรือโรคกลัวเฉพาะอย่าง ส่วนสิ่งกระตุ้นก็คือดอกสโนว์ดรอปส์ และเท่าที่ผมทราบอาการของโรคนี้ มันเกิดได้จากเหตุการณ์ในอดีตของผู้ป่วย อย่างเช่น ผู้ป่วยอาจจะเคยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยที่ในขณะเกิดเหตุ เขามองเห็นแมวปรากฏอยู่ในกรอบสายตา ทำให้ปัจจุบันเขามีอาการสเปซิฟิค โฟเบีย และสิ่งกระตุ้นของเขาก็คือแมว ซึ่งในกรณีนี้มันคล้ายกับอาการของจันทร์ ผมเลยอยากจะสอบถามข้อมูลในเชิงลึกจากคุณดูน่ะครับ”
“จันทร์เคยประสบอุบัติเหตุไฟไหม้มาก่อนครับ แกเลยฝังใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นทำให้จดจำอะไรไม่ได้อีกเลย ส่วนสาเหตุที่ทำให้จันทร์กลัวดอกสโนว์ดรอปส์ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าหากหมอไม่บอกผมคงจะไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”

“น้องลีก็ตกอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยใช่ไหมครับ ?” หลังจากได้ฟังคำอธิบายก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมถามออกไปโต้งๆ
“ก..เกี่ยวอะไรกับลีเหรอครับ ?”

“น้องลียากรดูจะรักพี่ชายของเธอมากนะครับ ผมคิดว่าแกน่าจะเกาะติดจันทร์จนแจเลยล่ะ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าน้องลีอาจจะตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้นด้วยไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อจันทร์เกิดอาการแพนิค น้องลีก็น่าจะมีอาการเหมือนกันนะครับ คุณพอจะสังเกตอาการผิดปกติของแกได้บ้างไหม?”
“…” หลังจากนั้นคุณชลวิทย์นั่งเงียบกริบ ราวกับจมอยู่ในความคิดทำเอาผมรู้สึกอึดอัด

“ที่จริงแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น ลีก็เสียชีวิตแล้วครับ” คุณชลวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงติดสั่น ขณะที่ผมกำลังช็อกกับคำเกริ่นนำอันโหดร้าย
“แล้ว..” ผมอยากจะเอ่ยถาม แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออกเพราะว่าเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอที่บ้านกลางป่าสน
ทำให้ผมมั่นใจว่าน้องลียากรมีตัวตนจริงๆ

“หลังจากนั้น.. จันทร์ก็ถูกประเมินว่ามีอาการแคปกราส์ (Capgras Syndrome)”
“แคปกราส์..” ผมกล่าวด้วยจิตใจอันเลื่อนลอย เพราะอาการแคปกราส์ มันคืออาการผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งที่เรียกว่ากลุ่มอาการระบุสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนเพราะความหลงผิด ซึ่งผู้ป่วยจะหลงคิดว่า เพื่อน สามี ภรรยา หรือบุคคลใกล้ชิดไม่ใช่ตัวจริง แต่เป็นตัวปลอมที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน

“จันทร์รักน้องสาวฝาแฝดมากครับ เพราะลีคือครอบครัวจริงๆ ของเขา พอหลังจากเกิดเรื่อง จันทร์ก็เห็นน้องสาวกับแม่ของตัวเองที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นตัวปลอม จำได้ว่าตอนนั้นแกอาละวาดกลางงานศพยกใหญ่ที่หาน้องสาวกับแม่ไม่เจอ”
“แล้วพ่อของจันทร์ล่ะครับ?” ผมเอ่ยถามออกมาอย่างยากลำบาก เพราะหัวข้อสนทนาที่เรากำลังพูดคุยกัน มันเปรียบเสมือนโศกนาฏกรรมของเด็กคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

“จันทร์ไม่มีพ่อครับ แต่สุดท้ายทั้งแม่ทั้งน้องก็ยังมาตายจากไปอีก ผมก็เลยเอาแกมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสนด้วยกัน เพราะผมไม่อยากเห็นแกเจ็บปวดแบบนั้นอีก” คุณชลวิทย์เอ่ยพลางร้องไห้น้ำตานองหน้า ผมเลยต้องลุกไปหยิบกระดาษทิชชู่มาให้เขาใช้ปัดเป่าความโศกเศร้าให้หมดไป
ขณะที่ใจของผมกลับรู้สึกหวิวไหวและเจ็บแปลบไปกับเรื่องราวของคนที่ตัวเองกล้าพูดได้เต็มปากว่า ‘ผมชอบเขา’

“สาเหตุที่ผมมักจะย้ำว่าแกอยู่ที่บ้านกลางป่าสนจะปลอดภัยที่สุด เพราะผมกลัวว่าแกจะไปได้ยินหรือไปเห็นอะไรที่ทำให้ความทรงจำร้ายๆ หวนคืนกลับมา”
“แล้วสาเหตุที่คุณชลวิทย์เป็นแพนิคก็เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหมครับ ?”

“ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่โกหกหมอ แต่ผมกลัวครับ กลัวว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกเปิดเผย” คุณชลวิทย์กล่าวพร้อมสะอื้นสลับกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับอาการของเขากำลังกำเริบ แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้ดีเพราะเคยเข้ารับการบำบัดกับไอ้บาสและยังได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกหายใจมาบ้างแล้ว

“คุณชลวิทย์โอเคไหมครับ ?”
“ครับ”

“ที่คุณบอกว่าคุณกลัวว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกเปิดเผย มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ ?” เมื่อเขารับปากแบบนั้น ผมก็เริ่มถามคำถามที่สงสัยต่อไป เพราะอะไรหลายๆ อย่างมันยังทำให้ผมมีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวอีกมากมาย
“ที่จริงแล้ว ผมหลอกจันทร์ว่าที่บ้านกลางป่าสนมีน้องลีกับคุณแม่รออยู่ แกถึงได้เลิกอาละวาดแล้วก็กลับมาร่าเริงเหมือนแต่ก่อน ซึ่งลียากรคนที่กำลังมีตัวตนอยู่ในตอนนี้ ก็คือแฟนของผมเองครับ ผมให้เธอไปทำศัลยกรรมให้เหมือนกับลีทุกอย่าง แล้วก็สร้างสถานการณ์ให้จันทร์เชื่อว่าน้องสาวกับคุณแม่ยังมีตัวตนอยู่จริง”

“หมายถึงให้แฟนของคุณทำเสียงดังในตอนกลางคืน แล้วก็หลอกจันทร์ว่าลีกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ ทำให้กลับมาหาแกได้แค่ช่วงปิดเทอมเหรอครับ ?”
“ใช่ครับ”

“ส่วนดอกสโนว์ดรอปส์ ผมก็จ้างฟาร์มแห่งหนึ่งมาเพาะพันธุ์ เพราะว่าลีกับคุณแม่ของจันทร์ชอบดอกไม้ชนิดนี้ แต่ผมก็ไม่ทันคิดว่ามันจะกลายเป็นดาบสองคมจริงๆ ครับ เพราะตอนนั้นผมคิดแค่อยากจะสร้างตัวตนใหม่ของลีให้สมจริงที่สุด”
“แล้วตัวตนของคุณแม่ล่ะครับ คุณจัดการยังไง ?”

“ผมหลอกว่าคุณแม่ของแกทำงานอยู่ต่างประเทศ แล้วก็ใช้วิธีโทรศัพท์คุยกันแทน แต่ก็ไม่ได้คุยกันนานหรอกครับ เพราะผมเอาเรื่องที่เราอยู่กลางป่าสัญญาณไม่ค่อยดีมาอ้าง ไฟฟ้าก็เหมือนกันครับ ที่ต้องดับให้เป็นเวลาก็เพื่อจะได้ป้องกันความลับแตกด้วยส่วนนึง แล้วก็เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยส่วนนึง”
“แสดงว่าจันทร์ จำเสียงของคุณแม่ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?”

“ใช่ครับ มันเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ”
“แล้วคุณให้ใครเป็นคนคุยโทรศัพท์กับจันทร์ล่ะครับ แฟนของคุณเหรอ ?”

“ครับ ว่าไปแล้วพอได้พูดเรื่องนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย”
“ดีแล้วล่ะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่จันทร์ผมก็จะไม่พูด คุณชลวิทย์สบายใจได้เลยครับ” ผมกล่าวพร้อมกับยกยิ้มให้อีกฝ่าย เพื่อให้เขารับรู้ว่าผมเองก็เข้าใจในการกระทำของเขาดี
แม้ว่าในใจจะยังคงเกิดคำถามอยู่บ้างก็ตาม..

“ขอบคุณครับ”
“ผมคิดว่ายากล่อมประสาท น่าจะยังจำเป็นสำหรับคุณอยู่นะครับ เอาไว้ทานตอนที่เกิดอาการแพนิคก็ได้ เพราะว่าปัญหานี้ยังไงมันก็ไม่มีวันจบสิ้นจนกว่าจันทร์จะได้รับการรักษาจนหายขาด อีกอย่างถ้าหากคุณยังมีอาการแพนิค ขอให้บอกผมตรงๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลเสียต่อตัวคุณเอง”

“ครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมแค่กลัวว่าถ้าหากคนรู้เรื่องนี้มากจนเกินไป แผนก็อาจจะแตกได้ ผมไม่อยากเห็นภาพที่จันทร์เอาแต่เจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้วครับ เพราะผมกับจันทร์แล้วก็ลีเราถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน ผมถึงได้รักพวกแกเหมือนกับน้องแท้ๆ และรักคุณแม่ของแกเหมือนกับแม่ของตัวเอง ถ้าแกเจ็บผมก็เจ็บครับหมอ”

“ผมเอาใจช่วยคุณชลวิทย์นะครับ แต่อาการแคปกราส์ที่จันทร์เป็น ผมอาจจะต้องขอเวลาวางแผนการรักษาสักหน่อย เพราะโรคนี้ทางเรายังไม่เคยให้การรักษากับใครมาก่อนเลยครับ และผมอาจจะต้องขอบันทึกข้อมูลไว้เพื่อเป็นกรณีศึกษาของทางโรงพยาบาลด้วยนะครับ”
“ได้ครับ”

เมื่อกลับมาถึงบ้านในช่วงเวลาเลิกงาน สิ่งแรกที่ผมทำก็คือการว่ายน้ำ เพราะตอนนี้ผมต้องการใช้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องของจันทร์ เนื่องจากโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นโรคใหม่ที่ผมเพิ่งจะค้นพบว่ามันซุกซ่อนอยู่ในตัวของจันทร์ และยังเป็นโรคที่ผมไม่ค่อยจะมีข้อมูลสักเท่าไหร่ แต่จากที่เคยศึกษาข้อมูลมาบ้าง โรคนี้ผู้ป่วยจะจดจำใบหน้าของคนคุ้นเคยได้หมดทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมรับว่าคนคนนั้นเป็นตัวจริง เช่น เมื่อเจอน้องสาวของตัวเอง ผู้ป่วยจะมีความคิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนกับน้องสาวของเขา แต่ก็ไม่ใช่น้องสาวตัวจริง ซึ่งอาการแบบนี้อาจเกิดกับพ่อแม่หรือญาติพี่น้องคนอื่นๆ จึงทำให้บางครั้งผู้ป่วยมักจะตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของคนในความคิด พลางอาละวาดและสาดคำถามบางอย่างเข้าใส่ เช่น
‘บอกมาเดี๋ยวนี้นะ! แกเอาน้องสาวตัวจริงของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน!’
ขณะที่ในความเป็นจริง คนที่กำลังถูกถามนั่นแหละคือน้องสาวคนดังกล่าว

ซึ่งกลุ่มอาการของโรคจิตเภทแบบนี้ มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่สมองได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะส่วนหลังหรือท้ายทอยของสมองซีกขวาที่ทำหน้าที่จดจำใบหน้า หากสมองส่วนนี้ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียความสามารถดังกล่าวไป จะทำให้เกิดอาการหลอนจนมองเห็นตัวปลอมได้ เพราะโดยปกติสมองของเราจะจดจำใบหน้าอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการเชื่อมผ่านระหว่างความรู้สึกอันคุ้นเคยกับใบหน้าของคนคนนั้น
หากความรู้สึกดังกล่าวถูกตัดขาดเหมือนอย่างคนที่ตกอยู่ในกลุ่มอาการของโรคแคปกราส์ คนคนนั้นก็จะยังจดจำใบหน้าได้ว่าใครเป็นใคร แต่ความรู้สึกอบอุ่นไว้ใจเป็นกันเองเหมือนที่เคยมีกลับขาดหายไป จนทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ สมองจึงพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่ออธิบายอาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นว่าคนเหล่านี้หน้าตาเหมือนก็จริง
แต่พวกเขาคือตัวปลอม!
 
และด้วยความที่อาการของโรคมันส่งผลออกมาแบบนั้น จึงทำให้คุณชลวิทย์เลือกที่จะปกป้องน้องชายด้วยวิธีการที่เขาคิดว่ามันดีที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่วิธีทางการแพทย์ เขาถึงได้พยายามจะปิดบังผมกับไอ้บาสด้วยการปฏิเสธทุกข้อซักถาม แล้วจู่ๆ เขาก็ดันยอมรับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ขึ้นมา ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่ามันฟังดูขัดๆ
ในเมื่อจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขายอมสารภาพความจริง..
ก็คือการที่เขาถูกผมตะล่อมถาม!

゚゚❀゚゚

[edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

คึคึคึ เขียนมาหลายตอนก็เพื่อตอนนี้นี่แหละนะ
วิชาการอาจจะเยอะสักหน่อย เพราะคิดว่าโรคนี้ไม่น่าจะมีคนรู้จักมากนัก
อะไรๆ มันก็ดูง่ายดาย แต่จะง่ายดายจริงมั้ย โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
สามารถคอมเมนต์ติดแท็กในทวิต #ที่ป่าสน ได้นะคะ พอดีแท็กเดียวกับชื่อเรื่องมีคนใช้ไปแล้ว T^T

บทความที่เกี่ยวข้อง
- Capgras Syndrome (โรคแคปกราส์)
- วิธีทำซูชิรูปหัวใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:26:13 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 12 (update 10/05/2018)
«ตอบ #26 เมื่อ10-05-2018 19:24:30 »

ตอน 12

ช่วงนี้ผมมักจะเข้าประชุมเพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับการรักษาโรคแคปกราส์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทราบว่าโรคนี้สามารถเกิดกับผู้ป่วยโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยสมองเสื่อมในวัยชรา และผู้ป่วยที่มีความเสียหายทางสมอง
ซึ่งอาการของมันสามารถเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันในลักษณะชั่วคราวหรือเรื้อรังก็ได้

ทว่าปัญหามันอยู่ที่ว่าจันทร์ไม่เคยมีอาการส่อแววไปทางโรคจิตเภทแบบหวาดระแวงเลย ซึ่งอาการของโรคก็อย่างเช่น การพูดคุยจะขาดเหตุผล หรือขาดความหมายสัมพันธ์ระหว่างคำ ความคิดจะขาดความต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน มีอาการประสาทหลอนอย่างชัดเจน มีความหลงผิดที่แปลกประหลาด เช่น หลงผิดว่าความคิดของตัวเองจะถูกคนอื่นดึงออกจากสมอง หรือมีความหลงผิดหลายๆ เรื่อง ซึ่งแตกแยกไม่ต่อเนื่องกัน
ดังนั้นอาการแคปกราส์ของจันทร์ อาจจะมีสาเหตุมาจากสมองได้รับความเสียหายก็เป็นได้

แม้ทีมแพทย์จะตกลงกันแล้วว่าจะให้จันทร์เข้ามารับการตรวจระบบประสาทและสแกนสมองในวันจันทร์หน้า แต่ผมก็ยังไม่วางใจนักเลยอาศัยช่วงเวลาหลังเลิกงานไปค้นหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เนื่องจากผมทราบมาว่าทางมหาวิทยาลัยจะมีการจัดเก็บหนังสือพิมพ์ทั้งหมดไว้ ซึ่งช่วงเวลาที่ผมต้องการก็คือช่วงเวลาเมื่อห้าปีที่แล้ว
ดังนั้นกว่าผมจะได้ทานมื้อเย็นก็ประมาณสี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว เพราะห้องสมุดจะปิดประมาณสามทุ่มของทุกวัน

ซึ่งผมก็เจอข่าวไฟไหม้ไม่มากนัก แถมข่าวที่เจอยังเป็นข่าวที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจันทร์อีก แต่ผมก็ไม่คิดจะถอดใจหรอก ในเมื่อผมยังหาเนื้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ภายในปีที่ต้องการไม่ครบ อีกอย่างผมเองก็ยังไม่ไว้ใจคุณชลวิทย์มากนัก เมื่ออะไรหลายๆ อย่าง มันยังดูขัดๆ กันอยู่ เช่นว่า น้องลีที่คุณชลวิทย์กล่าวอ้างว่าเป็นคนรักของเขา ทำไมถึงได้มีอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อเห็นพวงมาลัยดอกสโนว์ดรอปส์แขวนอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน จากนั้นเธอก็รีบหุนหันแก้แค้นแบบเด็กๆ ซ้ำยังพูดถึงเจ้าของบ้านคนโตในเชิงที่ไม่ดีอีกต่างหาก
คนเป็นแฟนกันและมีการวางแผนร่วมกันจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ?
แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นไปได้ว่าแฟนของคุณชลวิทย์อาจจะไม่ชอบจันทร์

หลังจากคว้าน้ำเหลวในการค้นหาข้อมูลผ่านทางหนังสือพิมพ์ในเวลาสามทุ่มของวันนี้ เป็นการคว้าน้ำเหลวแบบซ้ำๆ ซากๆ จนจะครบอาทิตย์อยู่แล้ว ผมจึงตัดสินใจแวะกินสุกี้แถวๆ หลังมหาวิทยาลัยเป็นการปิดท้าย ซึ่งระหว่างที่รอเมนูที่สั่ง ผมก็ลองเสิร์จหาข่าวที่ต้องการอีกครั้ง จนกระทั่งสุกี้น้ำถูกยกออกมาเสิร์ฟ ผมจึงได้โอกาสโซ้ยมื้อเย็นที่มันค่อนไปทางดึกอย่างหิวโหย จากนั้นก็ต่อด้วยสุกี้แห้งอีกหนึ่งจาน พร้อมกับเปิดดูรูปของจันทร์ระหว่างนั่งสวาปามมื้ออร่อยเป็นมื้อสุดท้ายของวันนี้ เนื่องจากผมไม่ได้เจอหน้าจันทร์มาหลายวันแล้ว เพราะผมต้องเอาเวลาพวกนั้นมาหาข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้และยังต้องเข้าเวรตามประสาคนไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ลืมจะฝากข่าวคราวผ่านทางคุณชลวิทย์เพื่อที่จันทร์จะได้ไม่ต้องชะเง้อคอมองหา
ส่วนวันพรุ่งนี้ผมจะเริ่มพูดคุยกับคุณชลวิทย์สักทีว่าเบื้องต้นเราจะทำการตรวจร่างกายของจันทร์ยังไงบ้าง จากนั้นจันทร์อาจจะต้องมาทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อประเมินโรคทางจิตเวชเป็นลำดับต่อไป ซึ่งผมคิดว่าการดึงตัวของจันทร์ออกมาจากบ้านกลางป่าสนไม่น่าจะยากนัก
เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็เคยเดินทางมาที่โรงพยาบาลตั้งครั้งนึงแล้ว

“ถ้าคุณชลวิทย์มาแล้ว รบกวนแจ้งให้เขารอพบผมทีนะครับ” หลังจากราวนด์วอร์ดในช่วงเช้าเสร็จ ผมก็เดินไปบอกพยาบาลตรงหน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะกลับเข้ามายังห้องตรวจผู้ป่วยนอกเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนทุกวัน กระทั่งถึงเวลาที่ขนมมาส่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
แต่ปรากฏว่าคนที่ก้าวเข้ามา กลับไม่ใช่คนในความคิด

“พอดีคุณชลวิทย์ติดธุระน่ะค่ะ เห็นว่าต้องรีบไปส่งผักก็เลยไม่ได้อยู่รอพบหมอภัทร” น้องจี๊ดพยาบาลที่รับเรื่องนำขนมของจันทร์มาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็บอกกล่าวตามคำบอกเล่าของคุณชลวิทย์อย่างครบถ้วน แล้วก็เดินออกจากห้องตรวจเพื่อทำหน้าที่ของเธอต่อไป ขณะที่ผมก็ได้แต่ขัดใจเพราะไม่รู้ทำไมมันถึงต้องมาประจวบเหมาะกับวันที่ผมต้องการจะแจ้งข่าวให้ทราบด้วย
เห็นทีผมคงต้องงดหาข่าวไฟไหม้ แล้วเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนเสียที

“ช่วงนี้พี่ภัทรดูยุ่งๆ เนอะ” เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ผมก็ชวนไอ้บาสออกมาหาอะไรกินด้วยกัน ส่วนไอ้แนนมันชอบออกไปกินข้างนอก ซึ่งผมขี้เกียจออกไปเพราะมันเสียเวลาชีวิตเยอะจนเกินไป
“อืม” ผมตอบรับในลำคอ ขณะที่กำลังตักมื้อเที่ยงกินอย่างเอร็ดอร่อย

“แสดงว่าเดี๋ยวจะมีเคสใหญ่เหรอวะพี่ภัทร ?” ไอ้บาสเอ่ยถามอย่างสนใจ
“ก็ทำนองนั้น” ผมตอบแบบไม่ขยายความอะไรนัก เพราะผมเคยสัญญากับคุณชลวิทย์เอาไว้ว่าผมจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหลอกลวงจันทร์ แต่กะว่าจะปล่อยให้ไอ้บาสมันรู้ด้วยตัวเอง เพราะถึงยังไงมันก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเกี่ยวกับการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นจะต้องมีการสัมภาษณ์กันเบื้องต้น
แล้วมันก็จะสังเกตได้เองว่าคำพูดของจันทร์กับความกังวลของคุณชลวิทย์มันสวนทางกัน
 
“ว่าแต่พี่ภัทรเถอะ ช่วงนี้มีแฟนเหรอวะ เห็นป้าภาบอกว่ากลับบ้านดึกทุกวัน” ไอ้บาสเอ่ยถามอย่างคนหูตาไว
“ไม่มีเว้ย” ผมตอบออกไปตามตรง

“แล้วทุกวันนี้ที่กลับบ้านดึกคือยังไง? ไม่ใช่ว่าโผล่มาอีกทีผมกลายเป็นลุงมีหลานให้ต้องเลี้ยงแล้วนะเว้ย”
“ตลกละ กูก็ต้องมีธุระอย่างอื่นบ้างสิวะ” ผมตอบพลางเอาเท้าเตะหน้าแข้งไอ้ญาติผู้น้องสักหนึ่งทีจากนั้นก็ตักข้าวเข้าปากอีกหนึ่งคำ

“ธุระของพี่แต่ก่อนเห็นจะมีแต่บ้านกลางป่าสน หรือว่าที่ยุ่งๆ ช่วงนี้จะเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นอีก ?” ไอ้บาสเอ่ยถามพลางหรี่ตามองอย่างจับผิด
“ก็ประมาณนั้น” ผมตอบไปตามความจริงอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะผมไม่ได้คิดจะมีความลับอะไรกับไอ้ญาติผู้น้องคนนี้อยู่แล้ว
ซึ่งอะไรที่ตอบได้ ผมก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ถามจริง พี่ภัทรติดใจอะไรบ้านหลังนั้นนักหนาวะ ผมว่ามันดูทุ่มเทเกินหน้าที่ไปเยอะเลยว่ะ”
“…”

“หรือว่าพี่ชอบเพื่อนผม ?”
“ไม่ได้ชอบเว้ย” ผมรีบตอบทันควัน

“อะไรวะ น้องรันก็ไม่ได้ชอบ ไอ้ชลก็ไม่ได้ชอบ แล้วที่ทำไปทั้งหมดนี่คือยังไง ? หรือว่าเอ็นดูจันทร์ ?” ไอ้บาสถามพลางหรี่ตาอย่างจับผิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมมึงคิดอย่างนั้นวะ ?” ผมวางช้อนส้อมพร้อมกับเอ่ยถามอย่างสนใจ
เพราะผมเองก็เริ่มจะอยากรู้ขึ้นมาแล้ว ว่าตัวเองทำตัวผิดสังเกตไปมากแค่ไหน

“เอาจริงป่ะ ปริศนาในบ้านหลังนั้น ถึงมันจะน่าสงสัยมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้วิถีชีวิตของพี่เปลี่ยนไป แล้วอีกอย่างเรื่องการบำบัด เป็นผมก็ได้นี่ จริงไหม? เพราะพี่เองก็งานเยอะจะตาย จะลงทุนถ่อสังขารไปถึงบ้านหลังนั้นตั้งสองวันต่อสัปดาห์เพื่ออะไร? แถมคนเขาก็ลือกันให้แซ่ดว่าตอนนี้หมอภัทรกำลังอินเลิฟ มีคนส่งขนมมาให้ทุกวันไม่เคยขาด” ผมคิดว่าผมเริ่มจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมอะไร ๆ มันถึงได้ทำให้ผมดูมีพิรุธขนาดนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวลือ แล้วไหนจะการจีบในสไตล์ของจันทร์อีก ใครมองไม่ออกก็แย่แล้ว

“แล้วมึงคิดว่ายังไง ?” ผมย้อนถามไอ้ญาติผู้น้องที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ด้วยคำถามที่คิดว่ามันน่าจะเข้าใจดีว่าประโยคเมื่อครู่มันคือประโยคกึ่งสารภาพความจริง
“ก็ไม่คิดว่าพี่จะชอบเด็ก.. ที่แบบ.. เด็กโคตรๆ บอกตรงๆ ว่าผมโคตรจะแปลกใจและโคตรจะอึ้งเลยว่ะ”

“อย่าว่าแต่มึงเลย กูเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมาลงเอยแบบนี้” ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครสนใจฟังเรื่องที่พวกเราพูดคุยกันนัก
เมื่อเสียงของแต่ละคนมันออกจะดังก้องโรงอาหารจนฟังไม่ได้ศัพท์ขนาดนี้

“ช่างเถอะ สำหรับผมยังไงความรักมันก็คือความรักว่ะ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป แต่พี่น่ะ.. ระวังพ่อกับแม่จะเป็นลมตอนที่รู้เรื่องเถอะว่ะ”
“ตอนนี้กูยังไม่คิดถึงขั้นนั้นว่ะ เพราะมันยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้น” ผมบอกกับไอ้บาสอย่างจริงจัง โดยไม่คิดจะขยายความว่าสิ่งสำคัญที่ว่ามันคือเรื่องอะไร
และสำคัญมากแค่ไหน..

ครืด ครืด

“สวัสดีครับ” หลังเลิกงานผมแวะซื้อมื้อเย็นที่เซเว่นก่อนจะต้องออกเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสน แต่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์กลับขัดจังหวะการสวาปามของผมเสียได้
(สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของคุณหมอจิรภัทรหรือเปล่าครับ?) ปลายสายเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ผมกลับจดจำเสียงของเขาได้

“ใช่ครับ นั่นคุณชลวิทย์หรือเปล่าครับ ?” ผมย้อนถามเพื่อคลายความสงสัย
(ครับคุณหมอ คือว่าเมื่อตอนสายผมยุ่งจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ)

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
(ครับ พอดีผมเอาเบอร์โทรของคุณมาจากพยาบาลตรงหน้าเคาน์เตอร์ เห็นว่าคุณหมอมีธุระจะคุยกับผม ?)

“คืออย่างนี้ครับคุณชลวิทย์ ทางเราอยากให้จันทร์มาตรวจระบบประสาทแล้วก็สแกนสมองดูน่ะครับ จากนั้นค่อยให้จันทร์มาทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อตรวจโรคทางจิตเวช เพราะเราต้องการจะเก็บข้อมูลไว้เพื่อศึกษา แต่ถ้าหากคุณชลวิทย์มีผลการตรวจอยู่แล้ว สามารถเอามายื่นให้ผมดูเพิ่มเติมได้นะครับ ผมกำลังจะไปหาคุณที่บ้านอยู่พอดี”
(เอ่อ.. ช่วงนี้ผม..) คุณชลวิทย์กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ จนผมได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จากนั้นสายก็ตัดไป คงเป็นเพราะสัญญาแถวๆ บ้านกลางป่าไม่ค่อยจะดีนัก ผมจึงรีบกินข้าวเย็นที่มันค่อนไปทางดึกจนหมด
แล้วก็เริ่มออกเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนที่ไม่ได้มาเยือนเป็นเวลานานพอสมควร

บรรยากาศของเส้นทางที่โอบล้อมไปด้วยสนป่าขนาดใหญ่ ยังคงน่าเกรงขามในความรู้สึกของผมทุกครั้ง ต่างกันแค่ในช่วงเวลานี้ไม่มีผืนพรมสีขาวสะอาดตาหลงเหลืออยู่ ทำเอาผืนป่าแห่งนี้ดูมืดมนเกินกว่าจะคุ้นเคย เพราะถึงแม้บรรยากาศรอบกายในวันวานจะดูมืดมิด แต่เวลาที่แสงไฟจากหน้ารถสาดส่องไปยังหนทางเบื้องหน้า ผมก็มักจะเห็นต้นสโนว์ดรอปส์ออกดอกดีขาวสะอาดอยู่ตามริมทางอย่างมากมาย
แต่พอวันนี้ไม่มีภาพอย่างวันนั้น ก็รู้สึกว่ามันช่างเป็นภาพที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

ทันทีที่รถขับเคลื่อนเข้ามาจนถึงหน้าบ้านสีน้ำตาลหลังเดิม ผมก็รีบดับเครื่องยนต์ จึงทำให้แสงไฟดวงใหญ่จากหน้ารถเลือนหายไป เพราะตอนนี้ถึงช่วงเวลาของการหยุดจ่ายกระแสไฟเรียบร้อยแล้ว จากนั้นผมก็เดินลงจากรถและหยิบข้าวของเครื่องใช้จำเป็น มุ่งตรงไปยังหน้าประตูบ้าน พอดีกับเสียงอะไรบางอย่างหล่นแตก แต่ผมไม่สามารถเข้าไปสำรวจยังจุดเกิดเหตุได้ เนื่องจากเวลานี้ประตูทางเข้ากลับลงกลอนอย่างแน่นหนา
ราวกับเจ้าของบ้านไม่รับรู้ว่าผมกำลังจะเดินทางมาที่นี่ในวันนี้

คลิก!

“เมื่อกี้พี่ได้ยินเหมือนเสียงอะไรแตก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามเจ้าของบ้านคนน้องที่เป็นฝ่ายล่วงรู้การมาถึงของผมจึงรีบเดินมาเปิดประตูให้
“พี่ชลมีอาการแพนิคครับ เลยเผลอทำแก้วหลุดมือ” จันทร์กล่าวพร้อมกับเดินไปยังห้องครัวเพื่อหยิบที่โกยขยะและไม้กวาดมากำจัดเศษกระเบื้องในห้องนอนของคุณชลวิทย์

“คุณชลวิทย์เป็นยังไงบ้างครับ ?” ผมหยุดยืนอยู่ตรงปากประตูพลางเอ่ยถามคนไข้ในความดูแลด้วยความเป็นห่วง เพราะผมทราบดีว่าเขาคงจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเข้ามาคุยในวันนี้
“กินยาไปสักพักแล้วครับ เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น” เจ้าของบ้านคนพี่กล่าวด้วยน้ำเสียงติดหอบอย่างเหนื่อยล้า พลางนั่งพิงหัวเตียงขณะที่กำลังจ้องมองน้องชายเก็บกวาดเศษกระเบื้องอย่างยากลำบาก เพราะต้องอาศัยแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผมจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดโหมดไฟฉายเพื่อให้ความสว่างอีกทางหนึ่ง

“เป็นมาหลายวันหรือยังครับ ?” ผมเอ่ยถามแม้พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นมาหลายวันแล้ว
“ก็เป็นตั้งแต่วันศุกร์แล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดนอนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่กลับชัดเจนมากที่สุดเท่าที่เขาเคยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องอาการแพนิคของตัวเอง เพราะปกติเขามักจะบอกกับผมว่า ตัวเขาสามารถควบคุมมันได้ดี
จากนั้นอาการดังกล่าวที่เคยเป็นปัญหาก็ค่อยๆ เลือนหายไป

“เป็นเฉพาะเวลานอนหรือเปล่าครับ ?”
“ครับ เพราะเหตุผลอื่น ผมสามารถเอาชนะมันได้แล้ว แต่บางเหตุผลมันก็ยากจะเอาชนะ” คุณชลวิทย์กล่าวขณะที่จันทร์กำลังเดินออกไปจากห้อง เพื่อเอาเศษกระเบื้องไปทิ้งถังขยะด้านนอก

“ผมเข้าไปได้หรือเปล่าครับ ?” ผมเอ่ยถามเจ้าของห้อง เพราะผมยังมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเขาอีกสักหน่อยและเรื่องดังกล่าวก็เห็นจะหนีไม่พ้นความกังวลของเจ้าตัว เนื่องจากคุณชลวิทย์เก็บเอาไปคิดมากจนเกิดอาการแพนิคตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว
ซึ่งก็คือวันที่เขาเผลอพูดความจริงให้ผมฟัง

“ครับ.. รบกวนคุณหมอปิดประตูให้ด้วยครับ ผมไม่อยาก..” คุณชลวิทย์กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ผมจึงยกยิ้มพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เดินก้าวเข้ามายังพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องให้ความสว่าง

“ผมเข้าใจคุณชลวิทย์นะครับที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ผมคิดว่าถ้าหากเราไม่หัดก้าวเดิน เราก็จะไม่มีวันก้าวเดินได้สำเร็จ เพราะความสำเร็จมันต้องเกิดจากการเริ่มต้นไม่ใช่เหรอครับ ?” ผมลากเก้าอี้จากมุมหนึ่งมานั่งตรงข้างเตียงของอีกฝ่าย พร้อมกับพูดเกริ่นนำให้เขาได้ลองฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง
“มันก็จริงครับคุณหมอ แต่กว่าจะถึงปลายทาง เขาต้องเจ็บปวดสักแค่ไหนครับ ? มันจะคุ้มกันหรือเปล่า ?” ฉับพลันที่ประโยคนั้นถูกเปล่งออกมา
ความเงียบก็โรยตัวเข้าหาพวกเราทันที

“ในมุมมองของผมนะครับ ถ้าหากทางเลือกมีแต่ความเจ็บปวด ผมคงเลือกเส้นทางที่เจ็บปวดให้น้อยที่สุด” ผมบอกกับอีกฝ่ายขณะที่มองลอดออกไปยังนอกหน้าต่าง เพราะการตัดสินใจจะรักษาจันทร์ในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่หวาดกลัวว่าเขาจะเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีต เพียงแต่การรักษามันคือหนทางเยียวยาที่ดีที่สุด
“เราสามารถช่วยกันทำให้จันทร์มีความสุขจากใจจริงได้นะครับ แล้วคุณเองก็จะได้มีความสุขจริงๆ สักที”

“ครับ ถ้ายังไงคุณหมอช่วยพูดกับจันทร์ให้ผมทีได้ไหม ผมไม่รู้จะบอกเขายังไง”
“ไม่มีปัญหาครับ” ผมรับปากอีกฝ่ายแล้วเดินออกจากห้องเมื่อหัวข้อในการพูดคุยจบลง จากนั้นสายตาก็สบผสานกับจันทร์ที่กำลังนั่งรออยู่ตรงโต๊ะข้างหน้าต่างตัวเดิม

“พี่ชลเป็นยังไงบ้างครับพี่หมอ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ช่วงนี้จันทร์ต้องคอยดูแลพี่ชลหน่อยนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม พร้อมกับฝากฝังให้จันทร์คอยดูแลพี่ชายของตัวเอง เพราะดูท่าทางเขาน่าจะเครียดจริงๆ

“ครับ”
“จันทร์มองพี่แบบนี้หมายความว่ายังไง ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายที่เอาแต่นั่งท้าวคางมองอย่างจับผิด ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังจับผิดผมเรื่องอะไร

“พี่หมอหายไปไหนมาเหรอครับ จันทร์ยังไม่ทันจะหายป่วยเลย”
“ทำงานสิครับ” ผมเฉลยพร้อมกับเอื้อมมือไปยีหัวคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ขณะที่ในใจก็อดจะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจันทร์ถึงไม่รู้ว่าผมจะต้องทำงานและจะไม่ได้มาที่นี่ตลอดหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งพอนับรวมกับอาทิตย์ก่อนๆ ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าเราทั้งคู่ไม่ได้เจอหน้ากันจนเกือบจะครบสองอาทิตย์แล้ว
คงเพราะผมมัวแต่ยุ่งๆ ก็เลยไม่มีเวลามานั่งนับวันนับคืนเหมือนกับจันทร์

“ไม่โกรธเหรอ ?” ผมเอ่ยถามอย่างลองเชิง เพราะคราวก่อนที่ผมผิดสัญญา จันทร์ยังมีอาการน้อยอกน้อยใจให้เห็น แต่นี่ผมเล่นหายหน้าไปตั้งสองอาทิตย์ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเกี่ยวกับเรื่องนี้
“จันทร์โกรธจนหายโกรธไปแล้วครับ..” เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง พลางขมุบขมิบปากบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยิน ทำเอาริมฝีปากวาดเป็นรอยยิ้มขึ้นมาจนได้

“ไปเดินเล่นกัน” ผมลุกขึ้นยืนพลางเอื้อมไปคว้าข้อมือของคนป่วยที่เมื่อครู่กำลังเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง
“พี่หมอ.. เราจะไปเดินเล่นที่ป่าสนกันเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดกังวล ขณะที่ผมก็ใช้มือข้างที่ว่างหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาให้แสงสว่าง

“พี่แค่อยากรู้ว่าถ้าหมดช่วงเวลาของดอกสโนว์ดรอปส์แล้ว จันทร์จะยังเกิดอาการแพนิคอยู่หรือเปล่า” ผมอธิบายพร้อมกับหันมายิ้มให้คนป่วยที่เอาแต่มองจ้องผมด้วยดวงตาใสแจ๋ว
“แล้วถ้าหากจันทร์ยังมีอาการอยู่ พี่หมอจะหายหน้าไปนานๆ อีกหรือเปล่าครับ?” เจ้าของบ้านตัวเล็กเอ่ยถามพลางขยับข้อมือของตัวเองเพียงเล็กน้อย
เพื่อให้กลายเป็นว่า..
เราสองคนกำลังเดินจับมือกันท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ

“ถึงจะไม่มีอาการ แต่ถ้าหากจันทร์อนุญาตพี่ก็มาหาจันทร์ได้” ผมเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็พาจันทร์เดินเหยียบย่ำเข้าไปยังทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่ตอนนี้ไม่มีวี่แววของดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ซึ่งมันก็ทำให้ผมทราบคำตอบที่เคยสงสัย
เพราะจันทร์ไม่เคยหวาดกลัวลำต้น แต่กลับฝังใจดอกไม้สีขาวสะอาดที่หมดฤดูกาลไปแล้ว

“เพราะอะไรครับ ?” จันทร์เอ่ยถามพลางกระตุกฝ่ามือของผมเพียงเบาๆ จากนั้นอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ คล้ายกับเจ้าตัวต้องการจะฟังเหตุผลอย่างตั้งใจ
 
“ที่สวนฮิตาชินากะโคเอ็นจะมีทุ่งดอกเนโมฟีลาเบ่งบานทั้งทิวเขา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีฟ้าจนรอบทิศทาง” ผมเริ่มเปิดประเด็น จากนั้นก็พาอีกฝ่ายก้าวเดินลัดเลาะผ่านสนป่าต้นใหญ่ไปเรื่อยๆ ราวกับเดินอยู่ในเขาวงกตอันคดเคี้ยว
“คำว่า ‘เนมัส (nemus)’ ในภาษาลาตินจะหมายถึงป่าละเมาะ ส่วนคำว่า ‘ฟีลอส (philos)’ ในภาษากรีกจะหมายถึงความรัก”

“ถ้าแปลรวมๆ กัน ก็น่าจะหมายถึงป่าละเมาะแห่งความรัก ใช่ไหมครับ ?” จันทร์เอ่ยถามเสียงใสพร้อมกับอมยิ้มจนเห็นข้างแก้มบุ๋ม
“ก็ได้อยู่นะ แต่เท่าที่พี่รู้คำว่าเนโมฟีลา (Nemophila) เหมือนจะแปลว่ารักป่าละเมาะ เพราะดอกไม้ชนิดนี้จะชอบขึ้นจนเต็มทุ่งเลยทำให้เนินเขาเหมือนกับป่าที่มีแต่ไม้พุ่มเล็กๆ จนไม่มีที่ว่างให้กับดอกไม้สีสันอื่นอีกเลย ซึ่งก็เหมือนกับคนที่กำลังมีความรัก เพราะว่าหัวใจของเขาไม่มีที่ว่างให้กับใครนอกจากคนที่เขารักเท่านั้น”

“แต่จริงๆ แล้ว เนโมฟีลาก็มียังมีชื่อเรียกตามลักษณะเด่นอีกชื่อนึงเหมือนกัน”
“ชื่อว่าอะไรเหรอครับ ?”

“ชื่อว่า ‘เบบี้บลูอายส์’ เพราะดอกไม้ชนิดนี้ มันสวยงามเหมือนกับดวงตาสีฟ้าของเด็กทารก”
“…”

“และในสายตาของพี่ จันทร์ก็เหมือนกับดอกเนโมฟีลา..” ผมเอ่ยปิดประเด็นในวินาทีที่พบช่องว่างของทิวสนที่สามารถมองเห็นม่านกำมะหยี่สีนิลดำบนฟากฟ้า ประดับประดาด้วยแสงสีขาวของดวงดาวราวกับเพชรเม็ดงาม

“ทำไมเหรอครับ ?” จันทร์ก้าวออกมาหยุดยืนตรงหน้าผมพร้อมกับสอบถามด้วยความสงสัย ขณะที่ฝ่ามือของเรากำลังกระชับแน่นกว่าที่เคย
“เพราะดอกเนโมฟีลามันหอมหวานจนดึงดูดให้ฝูงผึ้งเข้ามาดอมดม” ผมก้มลงมองคนตรงหน้าที่สูงเพียงแค่อก ขณะที่ดวงตาก็จ้องมองเข้าไปยังดวงตากลมใสของอีกฝ่าย พร้อมกับเฉลยถ้อยคำที่ไม่รู้ว่าเด็กอย่างจันทร์จะตีความได้มากน้อยแค่ไหน

“แล้วฝูงผึ้งที่ว่า..”
“…”

“มีพี่ภัทรรวมอยู่ในนั้นด้วย.. ใช่ไหมครับ ?”
“ใช่” ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าหาจันทร์อย่างเชื่องช้าพร้อมกระซิบเสียงแผ่วตรงข้างใบหูของคนช่างสงสัย ส่งผลให้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่ที่เจ้าตัวใช้ลอยเข้ามาเตะที่ปลายจมูก
ซึ่งวันนี้มันไม่ใช่กลิ่นมิ้น..
แต่กลับเป็นกลิ่นของสบู่เหลวขวดใหญ่ที่วางอยู่บนชั้นในห้องน้ำอันมืดมิด..


゚゚❀゚゚

[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

ที่เราหายไปพอดีว่าโน๊ตบุ๊กเจ๊งแบบไม่บอกไม่กล่าว กว่าจะซ่อมเสร็จก็ปาเข้าไปเดือนนึง ทีนี้เราเห็นว่าเขียนตอนนี้จบไว้สักพักแล้ว น่าจะก่อนที่โน๊ตบุ๊กจะเจ๊งก็เลยเอามาลงให้อ่านกันก่อนค่ะ และหลังจากนี้ก็รอเราเคลียร์รวมเล่มฟิคให้เรียบร้อยก่อน ประมาณเดือนสองเดือน เราจะกลับมาอัพเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ เพราะว่ารวมเล่มเราไม่สามารถเลื่อนได้แล้วค่ะ อีกอย่างเราไม่กล้าเขียนพร้อมกัน เพราะเรื่องนี้รายละเอียดมันซับซ้อนเหลือเกิน
ปล. พี่หมอสารภาพแบบอ้อมโลกไปอีก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:32:46 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 13 (update 25/05/2018)
«ตอบ #27 เมื่อ25-05-2018 13:56:38 »

ตอน 13

หลังจากโน้มน้าวให้จันทร์มาเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องไปตรวจร่างกายซ้ำอีก แต่เมื่อผมอ้างถึง ‘ความสบายใจ’ ของคุณชลวิทย์ จันทร์ก็ยอมตอบตกลงโดยไม่เอ่ยถามอะไร แต่ทว่าขณะที่ความรักของเรากำลังเจริญงอกงามอยู่นั้น บาดแผลจากการถูกเศษกระเบื้องบาดก็ส่งผลให้ปลายเท้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเลือด ทำเอาผมตกใจจนเกือบจะทำอะไรไม่ถูก ดีหน่อยที่ยังพอจะมีสติให้จันทร์ขี่หลังกลับไปยังตัวบ้านเพื่อทำแผล ไม่อย่างนั้นแผลของจันทร์จะบาดลึกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ นึกๆ ดูแล้วผมอยากจะตีจันทร์สักทีที่ไม่ยอมบอกกล่าวกันเลยว่าระหว่างที่เรากำลังเดินเล่นอยู่นั้นเจ้าตัวรู้สึกเจ็บเท้า
แต่ก็ช่างเถอะ จันทร์ปลอดภัยก็ดีแล้ว

การอยู่เวรในยามค่ำคืนท่าทางจะเงียบสงบไร้ปัญหา เพราะช่วงนี้ไม่มีคนไข้จิตเวชรายใหม่และคนอยู่เก่าก็เริ่มจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว ซึ่งกิจกรรมบำบัดต่างๆ ที่โรงพยาบาลจัดให้ก็คงจะทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย ผมจึงอาศัยช่วงเวลาแบบนี้ เปิดดูผลการตรวจของจันทร์ ซึ่งผลที่อยู่ในมือของผมนั้น ทุกอย่างกลับปกติดี ไม่ว่าจะเป็นการเอกซเรย์ทางคอมพิวเตอร์ หรือว่าการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดังนั้นหากจันทร์มีอาการแคปกราส์ด้วยสาเหตุทางสมอง ทางเราก็จะต้องตรวจเจออาการสมองบวมหรือมีเลือดคลั่งในสมองสิ แต่นี่ทุกอย่างกลับปกติเลยทำให้ผมยิ่งเป็นกังวล
เพราะจุดบอดจุดนี้ สามารถตีความได้ว่า..
คุณชลวิทย์กำลังโกหก

กระทั่งวันพุธเดินทางมาถึง ผมจึงนำผลตรวจไปให้สองพี่น้องที่บ้าน พร้อมกับออกปากว่าอาจจะต้องวินิจฉัยกันใหม่ ซึ่งผมก็คอยลอบสังเกตพฤติกรรมของเจ้าของบ้านคนพี่ไปด้วย แต่กลับพบว่าเขาไม่ได้แสดงพิรุธอะไร นอกจากนั่งอ่านผลตรวจของจันทร์เงียบๆ จนถึงเวลาที่ไฟฟ้ากำลังจะหยุดทำงาน คุณชลวิทย์ก็ขอตัวไปเข้านอน ผมเลยถือโอกาสชวนจันทร์ออกมานั่งเล่นข้างนอกเพื่อที่จะได้ซักถามอะไรบางอย่าง

“ปกติหน้าฝน น้ำในลำธารเยอะหรือเปล่าจันทร์ ?” ผมเอ่ยถามเจ้าของบ้านพร้อมกับโน้มตัวลงไปข้างหน้าเพื่อพับขากางเกงให้ขึ้นมาเหนือหัวเข่า
“ไม่นะครับ ตรงนี้น่าจะเป็นปลายน้ำแล้ว” จันทร์ตอบพร้อมกับถือเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ไว้ในมือ เพื่อให้ผมพับขากางเกงทั้งสองข้างได้ถนัดขึ้น จนกระทั่งผมพร้อมที่จะไปเดินลุยน้ำเล่นในยามค่ำคืนแล้ว คนขาเจ็บก็ยังพยายามจะใช้แสงเทียนสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยโขดหิน

“ขายังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนก่อนก็ได้ พี่ว่าจะไปเดินแช่น้ำครู่เดียว” ผมหันไปจับข้อมือของจันทร์เพื่อประคองคนบาดเจ็บที่ยังคงเดินตามผมอย่างไม่ลดละ
“จันทร์อยากไปนั่งด้วย” อีกฝ่ายกล่าวเสียงอ่อยจนผมต้องยอมแพ้ จึงพากันเดินไปบนก้อนหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะอย่างเชื่องช้า

“ระวังลื่น เดี๋ยวแทนที่แผลจะหาย จันทร์จะได้แผลเพิ่มขึ้นมาอีก” ผมกล่าวเตือนไปตลอดทาง จนกระทั่งเดินมาจนถึงหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ผิวน้ำมากที่สุด จากนั้นผมก็ค่อยๆ พยุงอีกฝ่ายให้นั่งลงบนหินก้อนนั้นอย่างระมัดระวัง ขณะที่จันทร์ก็ถือเทียนแท่งใหญ่ไว้ในมือ
“จันทร์เคยเห็นลีบ้างไหม ?” ผมตัดสินใจถามคำถามที่มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ถ้าหากผลตรวจมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าคำถามของผมไม่น่าจะแปลกเลย

“พี่หมอหมายถึงยังไงเหรอครับ ?”
“พี่แค่อยากรู้ว่าช่วงเวลาอื่น น้องลีเคยมาเล่นกับจันทร์บ้างไหม พี่กลัวว่าจันทร์จะเหงาน่ะ” สุดท้ายผมก็ต้องเอ่ยถามด้วยคำถามอ้อมโลก เพราะผมยังไม่อยากให้จันทร์สงสัย

“เดี๋ยวนี้ลีไม่มาเล่นกับจันทร์หรอกครับ น้องเป็นเด็กผู้หญิงไม่ชอบเล่นเหมือนจันทร์หรอก” จันทร์ตอบพลางส่ายหัว
“แล้วจันทร์ไม่เหงาเหรอ ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโขดหินก้อนที่เตี้ยกว่าจันทร์ จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ไม่ครับ จันทร์ชินแล้ว” น้องตอบพลางยกยิ้ม   
“…” ผมจึงเอื้อมมือไปยีหัวเด็กชายตัวเล็กที่กำลังนั่งยิ้มแป้นด้วยความมันเขี้ยว

“พี่หมอ หัวใจของจันทร์เต้นแรงอีกแล้ว” จันทร์พูดขึ้นอย่างมีนัยนะ
“ถ้าเรามีความรักแล้วได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ชอบ ใจมันก็เต้นแรงแบบนี้แหละ” ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาคนตรงหน้ารีบเสสายตามองไปทางอื่น
เพราะในวันนี้คำตอบและปฏิกิริยาที่เจ้าตัวเคยได้รับ มันแตกต่างไปจากวันวาน

“พี่หมอ”
“หืม ?” ผมหันหน้าไปหาอีกฝ่าย หลังจากนั่งเหม่อมองดวงดาวบนฟากฟ้าเป็นเวลายาวนาน

“จันทร์ขอเรียกพี่หมอว่า ‘พี่ภัทร’ ได้ไหมครับ ?”
“หึ” ผมหลุดหัวเราะออกมาสั้นๆ พร้อมกับมองไปยังเจ้าของเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า

“เอาสิ.. พี่ก็อยากฟัง” กระทั่งกระซิบถ้อยคำจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นก็เดินไปย่ำน้ำเล่นให้พอชุ่มฉ่ำ แล้วค่อยกลับมาหาจันทร์ที่กำลังนั่งอยู่บนโขดหินพร้อมแสงเทียนที่ยังคงส่องสว่าง
“พี่ว่าเราไปนอนกันเถอะ เริ่มจะดึกแล้วล่ะ” ผมเอ่ยชวนก่อนจะนำเทียนไปวางตั้งไว้บนหินก้อนหนึ่ง แล้วค่อยๆ พยุงจันทร์ที่ขายังคงบาดเจ็บให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็หันไปหยิบเทียนหอมแท่งใหญ่มาถือไว้ พร้อมกับประคองแขนเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเสียหลัก

“พี่ภัทร” หลังจากก้าวเข้ามาในตัวบ้านและจัดการล็อกประตูจนเรียบร้อย จันทร์ที่กำลังยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สามก็เอ่ยเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา
“หืม ?” ผมเลิกคิ้วพลางส่งเสียงถามด้วยความงุนงง

“ฝันดีครับ” จันทร์โน้มหน้าเข้ามาใกล้เพียงเล็กน้อยแล้วกระซิบคำอวยพรแสนรื่นหู จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนห้องใต้หลังคาอย่างรวดเร็ว ผมจึงได้แต่อมยิ้มแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องรับรองของตัวเองเพื่อที่จะได้เตรียมตัวอาบน้ำแล้วเข้านอน
เผื่อว่าผมจะได้ฝันดีเหมือนกับที่จันทร์อวยพร..

แต่ดูท่าแล้วคืนนี้ผมคงติดอยู่ในห้วงแห่งความคิดไม่ต่างจากคืนไหนๆ เพราะเรื่องของจันทร์กับน้องลียังคงวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งเมื่อครู่จันทร์พูดราวกับน้องลีไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น มันก็ยิ่งทำให้ผมปักใจเชื่อว่า..
ณ เวลานี้ ผมอาจจะกำลังหลงทาง
ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจในเจตนารมณ์ของคุณชลวิทย์

เพราะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแคปกราส์ ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเห็นคนรู้จักเป็นตัวปลอม ซึ่งมันก็มีสาเหตุอยู่หลายอย่าง แต่สำหรับจันทร์พวกเราคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการได้รับบาดเจ็บจนเกิดภาวะสมองช้ำ จากนั้นสมองก็จะค่อยๆ บวมขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แล้วอาการผิดปกติทางจิตและระบบประสาทก็จะตามมา แต่มันจะลุกลามมายังภาวะแคปกราส์ได้ ผู้ป่วยย่อมต้องมีอาการทางจิตเภทอยู่ก่อนแล้ว แต่เท่าที่ผมคลุกคลีอยู่กับจันทร์ นอกจากอาการแพนิคก็ไม่เคยเห็นว่าจันทร์จะมีอาการใดๆ ที่มันเข้าข่าย อีกทั้งผลการวินิจฉัยที่คุณชลวิทย์กล่าวอ้างก็ไม่ได้เอามาให้ผมดูเพิ่มเติมเสียด้วย ทุกอย่างมันเลยยิ่งน่าสงสัยและยิ่งไม่เข้าใจว่าสรุปแล้ว ปัจจุบันนี้น้องลีมีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า เพราะในมุมมองของจันทร์ ดูเหมือนเขาจะรับรู้แค่เพียงว่าน้องลียังมีตัวตนอยู่จริง แต่จะกลับมาที่บ้านทุกช่วงปิดเทอม ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมได้กลิ่นหอมคล้ายกับกลิ่นของวานิลลา อีกทั้งน้องลียังชื่นชอบดอกสโนว์ดรอปส์เป็นชีวิตจิตใจ แต่พอหมดฤดูของเจ้าดอกหยาดหิมะนั่น เธอก็หายตัวไป ซึ่งมันเป็นช่วงที่โรงเรียนน่าจะยังไม่เปิดเรียน แต่ถึงเปิดแล้วก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี เพราะว่าเพื่อนของไอ้แนนที่เป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนของน้องลียากร ดูเหมือนจะไม่เคยรู้จักน้องเลย

หรือว่ามันจะเป็นผลมาจากการที่ผมใช้รูปของจันทร์ในการสอบถามข้อมูลของน้องลีล่ะ แต่ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันหรอก เพราะถึงอย่างไรสองพี่น้องคู่นี้ก็หน้าตาเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ไม่อย่างคุณชลวิทย์จะลงทุนให้แฟนไปทำศัลยกรรมให้มีหน้าตาเหมือนจันทร์ไปเพื่ออะไรล่ะ
อีกอย่างผมเองก็เคยเห็นตัวตนของลีที่คุณชลวิทย์สร้างขึ้นมาตั้งหลายครั้งแล้ว

ผมนอนคิดวิเคราะห์อยู่หลายตลบ จนกระทั่งได้ยินเสียงอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็น่าจะเป็นโน๊ตบุ๊กเสียมากกว่า เพราะผมจำได้ว่าคืนก่อนๆ ผมเคยได้ยินเสียงชัตดาวน์ตอนกลางดึก จากนั้นตอนที่ผมเดินออกไปข้างนอกแขนของผมเลยสัมผัสกับความอุ่นร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่บนโต๊ะ พร้อมด้วยกลิ่นหอมของ ‘มะลิ’ ที่ลอยอบอวนอยู่ตรงบริเวณนั้น
เพียงแต่วันนี้.. เสียงที่ผมได้ยินคือเสียงเปิดอุปกรณ์เทคโนโลยีดังกล่าวต่างหากล่ะ

“เหมือนเสียงกำลังพิมพ์อะไรอยู่เลย” ผมอุทานออกมาเบาๆ เพราะสถานที่ที่ใครบางคนใช้ทำงาน มันคือโต๊ะข้างหน้าต่างใกล้ๆ กับห้องพักรับรองของผม และดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะกำลังทำงานอย่างมุ่งมั่น เพราะเสียงระรัวแป้นพิมพ์ของเขามันรวดเร็วมาก ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูว่าใครที่มานั่งทำงานในช่วงเวลามืดๆ ค่ำๆ อย่างนี้ ซึ่งมันผิดวิสัยของคนทำงานมาก เนื่องจากเวลานี้ไฟฟ้าหยุดการทำงานแล้ว เท่ากับว่าการทำงานของเขาจะต้องเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งแสงสว่างที่มันเอื้อต่อการพิมพ์งานก็แทบจะไม่มี
“หรือว่ากลิ่นมะลินั่นจะเป็นกลิ่นเทียนหอม” ผมกล่าวกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย ซึ่งมันก็เป็นไปได้สูงเพราะอย่างน้อยแสงเทียนก็ยังช่วยอำนวยความสะดวกได้เพียงชั่วคราว

คลิก!

“อ้าวจันทร์” ผมร้องทักอีกฝ่ายด้วยความงุนงง เมื่อเห็นว่าใครคือคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโน๊ตบุ๊ก
“…”

“ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ ?” ผมยังคงตั้งคำถามใส่จันทร์ที่เอาแต่ระรัวปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์โดยไม่สนใจผมที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย มันทำให้ผมนึกประหลาดใจ
“…”

“แล้วนี่จันทร์กำลังพิมพ์อะไรอยู่เหรอ ?” ผมหาเรื่องชวนคุยพลางยกยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด คล้ายกับว่าสิ่งที่ผมทำคือการรบกวนการทำงานของอีกฝ่าย เพราะในเวลานี้หัวคิ้วของเขากำลังขมวดมุ่นจนแทบจะผูกเป็นโบว์ โดยที่คำถามของผมก็เป็นคำถามที่ผมสงสัยจริงๆ เพราะผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าจันทร์จะมีงานอดิเรกเกี่ยวกับงานเขียน
เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายเคยแสดงออกว่าชื่นชอบมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำอาหารและการอ่านหนังสือเสียมากกว่า

“หรือว่าจันทร์กำลังแต่งนิยายอยู่ล่ะ ใช่ไหม?” แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายชื่นชอบการอ่านหนังสือมากพอสมควร ผมจึงลองสอบถามเขาดู เผื่อเด็กชายตรงหน้าจะหันมาให้ความสนใจผมที่กำลังเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของผมจะใช้ไม่ได้ผล
เพราะเขาดูเอาจริงเอาจังกับกิจกรรมในครั้งนี้มาก
ราวกับมีนักเขียนชื่อดังเป็นแรงบันดาลใจ

“…” ผมนั่งมองจันทร์พลางอมยิ้มนิดๆ เพราะผมไม่เคยเห็นจันทร์ในมุมมองที่ดูมุ่งมั่นแบบนี้มาก่อน กระทั่งเสียงชัตดาวน์เครื่องดังขึ้นพร้อมกับจังหวะการพับหน้าจอโน๊ตบุ๊กที่ค่อนข้างจะใส่อารมณ์ไปสักหน่อย รอยยิ้มของผมถึงได้หุบลงอย่างกะทันหัน
และยิ่งงุนงงมากขึ้น เมื่อจันทร์เอาแต่เดินตึงตังไปยังห้องใต้หลังคา

กระทั่งความเงียบหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ผมก็นั่งจมอยู่กับความไม่เข้าใจในพฤติกรรมของจันทร์เพียงครู่ เพราะสุดท้ายสิ่งที่ร้องเรียกความสนใจจากผมก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘เทียนหอมกลิ่นมะลิ’ ซึ่งจันทร์เคยบอกกับผมว่าเขาชอบเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ เพราะผมเป็นคนซื้อให้
แต่ทำไมเวลานี้ เขาถึงเลือกใช้เทียนหอมกลิ่นอื่นล่ะ ?
หรือว่าจันทร์จะเบื่อเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์แล้ว ?

“นอนไม่พอหรือไงวะพี่ภัทร สภาพโคตรเหมือนผีดิบเลยว่ะ” ไอ้บาสเอ่ยถามเมื่อเราบังเอิญเจอกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะมันต้องพาพ่อกับแม่ไปใส่บาตรเลยถือโอกาสรีบมาทำงานเร็วหน่อย
“เออดิ” ผมตอบอย่างเนือยๆ เพราะเมื่อคืนผมนอนคิดทั้งคืนว่าทำไมจันทร์ถึงทำตัวเย็นชาและห่างเหินแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมก็สารภาพไปแล้ว
ว่าผมคือ ‘ผึ้ง’ ที่ชอบดอมดมดอกเนโมฟีลาอย่างจันทร์..

“แล้วนี่เครียดเรื่องอะไรอีกวะ?”
“เห้อ~” ผมได้แต่ถอนหายใจเนื่องจากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เพราะเมื่อตอนหัวค่ำเราทั้งคู่ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย แต่พอตกดึกอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

พอได้รับกาแฟที่สั่งแล้ว ผมก็ยืนรอจนกระทั่งไอ้บาสได้รับเครื่องดื่มที่ตัวเองต้องการ แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับไปยังวอร์ดจิตเวช ผมก็เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะตัดสินใจเปิดปากปรึกษากับไอ้ญาติผู้น้อง

“มึง..”
“ว่าไงครับพี่ เปิดปากพูดได้แล้วสินะ”

“คือแบบ.. สถานการณ์มันประมาณว่ากูสารภาพความรู้สึกออกไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ยังคลุมเครืออยู่นิดหน่อย คือกูไม่อยากรีบร้อนเพราะอีกฝ่ายก็ยังเด็กอยู่มาก แล้วอะไรหลายๆ อย่างมันยังรุมเร้าพอสมควร แต่ผ่านไปไม่กี่วันช่วงหัวค่ำเขาก็ยังดีๆ อยู่หรอก แต่พอตกดึกกลับทำตัวเย็นชาใส่กูซะงั้น เขาไม่พอใจอะไรหรือเปล่าวะ เพราะตอนกูเจอเขาอีกที เขากำลังตั้งใจพิมพ์อะไรสักอย่าง แต่กูเดาว่าน่าจะเขียนนิยาย แล้วตอนนั้นกูดันชวนเขาคุยด้วยไง”
“เออ! มันก็สมควรจะโดนเมินหรือเปล่าวะพี่ เขียนนิยายนะเว้ย มันต้องใช้ความคิด ยิ่งโดนรบกวนขนาดนั้นนะ เป็นผมจะโบกให้หัวแตกเลย” ไอ้น้องเวรกล่าวพลางส่งยิ้มทะเล้นจากนั้นก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ผมจึงถือโอกาสจัดแจงอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเตรียมตัวราวนด์วอร์ด และยังต้องรอเข้าประชุมตอนเก้าโมงอีก แถมวันนี้ยังต้องออกตรวจโอพีดีอีก
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
หากวันนี้ร่างกายไม่ได้รับคาเฟอีนละก็.. เห็นทีจะไม่ไหว


゚゚❀゚゚

[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

พอดีเราเขียนตอนนี้เอาไว้ได้ครึ่งนึงตั้งแต่ก่อนที่โน๊ตบุ๊กจะพัง ก็เลยเขียนต่อจนจบตอนเลยสามารถเอามาลงให้อ่านกันก่อนจะถึงเวลาได้ค่ะ แต่หลังจากนี้คงต้องรอจริงๆ แล้วค่ะ เพราะเรากำลังคิดอีกเรื่องที่ต้องเขียนออกแล้ว ถ้าเคลียร์เสร็จจะรีบมาปั่นเรื่องนี้ต่อทันทีเลยค่ะ ต้องขอโทษที่ให้รอนานนะคะ แต่เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยถนัดด้วยค่ะ เลยไม่ค่อยกล้าเสี่ยงมาก
สำหรับตอนนี้มีการหย่อนปมปริศนาไว้อีกหนึ่งปมเนอะ แล้วคนอ่านล่ะคิดว่าคนที่กำลังพิมพ์งานอยู่เป็นใคร 555
ปล. ตอนนี้สั้นไปหน่อย พอดีเราอยากให้ตัดจบที่ปมใหม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 22:36:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 14 (update 28/05/2018)
«ตอบ #28 เมื่อ28-05-2018 01:01:35 »

ตอน 14

ค่ำวันนี้ผมตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านกลางป่าสนอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง บรรยากาศโดยรอบยังคงเงียบสงบ อีกทั้งยังร้างไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาไม่แปรเปลี่ยน กระทั่งรถยนต์คันเก่งขับเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่าตรงหน้าบริเวณบ้าน เวลาต่อมาแสงไฟที่เคยสว่างไสวก็มืดสนิทลง ผมจึงเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย

คลิก!

“พี่ภัทร” จันทร์เอ่ยเรียกพร้อมยกยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้ม มิหนำซ้ำน้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ดูจะดีอกดีใจมากเป็นพิเศษที่เห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าประตูบานนี้
“โทษทีนะที่พี่ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะมาวันนี้” ผมกล่าวพลางยกยิ้มพร้อมก้าวเดินเข้าไปยังตัวบ้านตามการเชื้อเชิญของเจ้าของบ้าน โดยที่วันนี้ผมไม่ได้แวะคุยกับจันทร์ข้างนอกห้อง แต่กลับเลือกเดินเข้ามายังห้องพักรับรอง จึงทำให้ใครบางคนต้องเดินตามหลังด้วยความเงียบเชียบ

“ไม่เป็นไรครับ ดีนะที่จันทร์ยังใช้น้ำไม่หมดถัง” อีกฝ่ายกล่าวพลางทำหน้ามู่ทู่พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนที่ผมมักจะถือกรรมสิทธิ์เมื่อได้มาเยือนที่บ้านหลังนี้
“ทีหลังจันทร์ก็รองน้ำใส่ถังทุกวันเลยสิ เผื่อวันไหนพี่อยากมาหานอกเหนือจากตารางงาน พี่จะได้มีน้ำอาบ” ผมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เมื่อเราสองคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าใจของเราตรงกันมากแค่ไหน
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องทำตัวครึ่งๆ กลางๆ เหมือนกับที่ผ่านมา

“อื้ม” จันทร์เอ่ยงึมงำในลำคอพลางเตะขาของตัวเองไปมาเพียงเบาๆ ขณะที่สายตาก็มองโน่นมองนี่อย่างวอกแวก สุดท้ายดวงตากลมใสคู่นั้นก็บังเอิญหันมาสบกับผมที่กำลังเฝ้ามองอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้แววตาไหวระริกยิ่งเด่นชัด และถ้าหากแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจนถึงบริเวณนี้ ผมคงจะเห็นพวงแก้มแดงๆ ของอีกฝ่ายไปนานแล้ว
“พี่ภัทรอย่ามองจันทร์แบบนั้นสิ” เด็กชายตัวเล็กเอ่ยประท้วงพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนเพื่อซุกใบหน้าให้ผ่านพ้นจากรัศมีทางสายตาของผม
ที่ในเวลานี้..
มันคงจะสื่อความหมายจนทำให้อีกฝ่ายใจสั่น

“อ้าวแล้วกัน ถ้าอย่างนั้นจันทร์อยากให้พี่มองแบบไหนล่ะ? อีกอย่างพี่ก็เป็นของพี่แบบนี้มานานแล้ว” ผมเอ่ยถามแกมขำขัน แม้จะรู้ดีว่าเวลานี้สายตายามที่ผมมองจันทร์มันเปลี่ยนไปแล้ว
เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่หัวใจมันซื่อตรงต่อความรู้สึก

“แต่ก่อนสายตาของพี่ภัทรไม่ใช่แบบนี้..” จันทร์กล่าวเสียงแผ่วพร้อมกับพลิกตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง
“หึ” ผมหัวเราะด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเพียงเบาๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปยีผมของอีกฝ่ายจนยุ่งฟู

“จันทร์ยังชอบเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อยู่ไหม?” ผมเอ่ยถามหลังจากที่ความเงียบเริ่มจะโรยตัวอยู่รอบๆ เราสองคน
“อื้อ” จันทร์ตอบรับในลำคอพลางพลิกตัวหันหน้ามาทางผม พร้อมกับใช้ดวงตากลมคู่นั้นจ้องมองด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ส่วนจันทร์ก็รีบเข้านอนได้แล้ว” ผมปฏิเสธคำถามที่ส่งผ่านมาทางสายตาของจันทร์ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงแขนให้จันทร์ยอมลุกขึ้นนั่ง แล้วออกปากบอกให้อีกฝ่ายรีบเข้านอน เพราะเวลานี้ผมพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
เนื่องจาก ‘จันทร์’ ตรงหน้าของผมในตอนนี้ คือจันทร์คนที่ผมคุ้นเคย แต่ ‘จันทร์’ คนที่ผมพบเจอเมื่อคืนวันก่อนน่าจะเป็น ‘คนรัก’ ของคุณชลวิทย์
หรือถ้าหาก ‘เขา’ ไม่ใช่คนในความคิด
ก็น่าจะเป็นใครสักคนที่ทำให้ใจของผมยังไม่พร้อมจะยอมรับความจริง..

“ฝันดีนะจันทร์” ผมกล่าวในขณะที่กำลังรุนหลังคนตัวเล็กกว่าให้เดินออกจากห้อง เพราะถ้าหากจันทร์ยังอยู่กับผมข้างในนั้นนานกว่านี้ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเผลอล่วงเกินอีกฝ่ายเข้าให้ก็เป็นได้ ซึ่งมันก็แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่การล่วงเกินแบบหน่อมแน้มแน่ๆ
เพราะอย่างน้อยผมก็น่าจะตั้งใจจูบอีกฝ่ายอย่างดูดดื่มเลยล่ะ

“ฝันดีเหมือนกันครับ” จันทร์กล่าวคำอวยพรเสียงแผ่ว จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่ผมกำลังพลั้งเผลอ ยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่ ก่อนที่ร่างเล็กๆ ตรงหน้าจะอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมก็ได้แต่ลูบข้างแก้มของตัวเองแก้เก้อ พร้อมกับปิดประตูด้วยรอยยิ้มที่มันคงจะกว้างมากที่สุดเลยล่ะมั้ง

จากนั้นผมก็ใช้เวลาในการอาบน้ำไม่นานนัก เพราะน้ำที่เหลืออยู่ก้นถังไม่เพียงพอให้ผมพิถีพิถันอะไรมาก กระทั่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกไปข้างนอกห้อง แล้วเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แต่เพราะมันไม่มีแก้วน้ำแช่อยู่ในนั้น ผมจึงถือโอกาสล่วงล้ำเข้าไปในห้องครัวที่เคยเข้ามาเพียงครั้งเดียว แต่หลังจากที่ผมหยิบแก้วน้ำตามที่ต้องการได้แล้ว ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมก้าวเดินเข้าไปใกล้ๆ ห้องนอนของน้องลียากร
พร้อมกับความกล้าที่จะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องๆ นั้น
ซึ่งมันไม่ได้มีการล็อกกลอนแต่อย่างใด..

กระทั่งล่วงล้ำเข้ามายังห้องดังกล่าวได้สำเร็จ ผมก็ควานหาเทียนหอมประจำตัวของเด็กหญิงที่ชอบสวมใส่ชุดสีขาวลายดอกเดซี่อย่างรวดเร็ว และในที่สุดผมก็พบเทียนแท่งใหญ่วางตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงพร้อมด้วยไม้ขีดไฟหนึ่งกล่องที่วางอยู่ข้างๆ กัน ผมจึงรีบจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่างมันสาดส่องไปรอบๆ ห้อง เลยทำให้พบว่าห้องนอนของเด็กสาวคนนี้ก็เหมือนกับห้องนอนของสาวหวานที่มักจะใช้ผ้าปูที่นอนลายดอกไม้ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ก็ยังเป็นสีขาวออกแนววินเทจไม่ต่างกับเตียงนอนขนาดพอเหมาะที่วางตั้งอยู่ตรงกลางห้อง หรือแม้แต่โต๊ะข้างเตียงก็ยังเข้าชุดกันดี นอกจากนี้ห้องนอนของน้องลีก็ยังประดับประดาไปด้วยดอกเดซี่แบบแห้ง
ซึ่งก็มีทั้งแบบที่เป็นพวงมาลัยทรงกลมและจัดใส่แจกันไว้

ส่วนบนโต๊ะเครื่องแป้งของเด็กสาวผู้นี้ นอกจากจะมีแจกันดอกเดซี่ประดับประดาอยู่ ก็ยังมีลิปสติกหลากสีวางเกลื่อนกลาดอยู่บนนั้น ผมจึงถือวิสาสะเปิดปลอกลิปสติกออกดู จึงพบว่าเนื้อลิปมันยับเยินจนแทบไร้รูปทรง เนื่องจากมีอยู่หลายครั้งที่น้องลีใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการระบายอารมณ์จนเต็มบานประตูของคุณชลวิทย์ จากนั้นในวันรุ่งขึ้นประตูบานนั้นก็จะสะอาดเอี่ยมอ่องราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเธอน่าจะใช้ผ้าเช็ดหน้าลายลูกไม้สีขาวที่เวลานี้มันเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงสดและถูกพับเก็บเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้ววางซ่อนเอาไว้ใต้ฐานแจกันเพื่อทำลายหลักฐาน

จากนั้นผมก็ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าสีขาวสะอาดที่อยู่ตรงปลายเตียงอย่างเงียบเชียบ จึงทำให้เห็นว่าสไตล์การแต่งตัวของเธอนั้น มีแต่ชุดกระโปรงลายดอกเดซี่แขวนอยู่
และบางตัวยังคงเปื้อนคราบสกปรกอยู่เลย

“ภาพนี้จะใช่คุณแม่ของจันทร์หรือเปล่านะ” ผมอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อเดินมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าโต๊ะข้างเตียงทางฝั่งซ้ายมืออันเป็นที่ตั้งของรูปผู้หญิงหน้าตาสะสวยท่านหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกับจันทร์ โดยเธอกำลังนั่งแฝงตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีขาวสะอาดตา
ซึ่งผมขอคาดเดาเอาเองว่า..
ทุ่งดอกไม้ในภาพนี้น่าจะเป็น ‘ทุ่งดอกเก๊กฮวย’ ที่สะเมิง

“Where flowers bloom, so does hope[1]” ผมอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงลงบนกระดาษสีขาวแผ่นเล็ก โดยมีแจกันดอกเดซี่ข้างๆ รูปถ่ายวางทับไว้ ซึ่งประโยคภาษาอังกฤษประโยคนี้ มันเป็นสำนวนออกแนวเปรียบเปรยนิดๆ ที่เด็กวัยมัธยมและผู้ใหญ่วัยทำงานก็สามารถเข้าใจความหมายของมันได้
ผมจึงยิ่งหนักอกหนักใจมากกว่าเดิม
 
เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่า ‘น้องลี’ อาจจะเสียชีวิตไปแล้วตามที่คุณชลวิทย์บอก ซึ่งผมเองก็ยังหาข่าวที่ว่านั่นไม่พบ แต่คุณแม่ของเพื่อนไอ้แนนก็มาให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่าสมัยเด็กจันทร์มักจะชอบเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เพราะเหตุการณ์จากไฟไหม้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของบ้านคนพี่ไม่ได้โกหก แต่เรื่องของน้องลีมันยังมีจุดบอดอยู่มาก และอีกประเด็นก็คือถ้าหากประโยคนี้มาจาก ‘แฟน’ ของคุณชลวิทย์ตามที่กล่าวอ้างจริงๆ อย่างน้อยผมก็จะได้ตัดเหตุผลลึกๆ ที่ยังทำใจยอมรับไม่ได้ออกไป..

ผมตัดสินใจดับเทียนหอมกลิ่นวานิลลา และเดินออกจากห้องด้วยความกังวลว่ามันจะประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ ‘จันทร์’ ผู้แสนเย็นชาถือโอกาสออกมานั่งพิมพ์งานเหมือนกับวันวานหรือไม่
เพราะจันทร์คนนั้นมีความเป็นไปได้ว่าเขาคือ ‘แฟน’ ของคุณชลวิทย์
หรือบางทีก็อาจจะเป็นใครอีกคนที่ผมไม่อยากให้เป็น..

ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องครัว ผมก็ถึงกับใจหายวาบเมื่อพบใครบางคนกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ท่ามกลางแสงเทียนกรุ่นกลิ่นมะลิอย่างที่คิดกังวลจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการกระโตกกระตากใดๆ ออกไป เพราะในมือของผมมีแก้วน้ำเป็นตัวประกัน และสาเหตุที่ทำให้ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะออกมานั่งทำงานข้างนอกแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติผมจะต้องได้ยินเสียงวอร์มเครื่องทุกครั้ง แต่ในวันนี้มันคงจะเป็นเพราะผมให้ความสนใจกับการค้นหาความลับหรือเบาะแสอะไรบางอย่างในห้องของน้องลียากรเป็นเวลานานสองนาน

“นอนไม่หลับเหรอจันทร์?” หลังจากดื่มน้ำแก้กระหายพอเป็นพิธีแล้ว ผมก็แสร้งเอ่ยถามอีกฝ่ายราวกับยังไม่รับรู้หรือสงสัยเรื่องราวใดๆ

“น่ารำคาญ” สุ้มเสียงแข็งกระด้างกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดทันทีที่ผมเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังระรัวแป้นพิมพ์อย่างชำนาญ
“จริงๆ แล้ว.. นักเขียนที่จันทร์เคยเล่าให้ผมฟัง คือคุณใช่ไหมครับ?” เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผมนัก ผมจึงรีบหยิบยกประเด็นหลักขึ้นมาพูดคุยอย่างรวดเร็ว
โดยประเด็นนั้นก็คือการมุ่งกล่าวไปถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่ได้รับข้อมูลมาจากคุณชลวิทย์
หาใช่การคิดและคาดเดาเอาเองในใจ..

“แล้วก็.. จริงๆ แล้ว คุณไม่ได้เป็นแค่ ‘เพื่อน’ ของคุณชลวิทย์ ถูกไหมครับ?” ผมยังคงตั้งคำถามใส่ผู้ชายที่มีหน้าตาเหมือนจันทร์ทุกกระเบียดนิ้ว
และมันก็ได้ผลเมื่อฝ่ามือที่กำลังระรัวแป้นพิมพ์ค่อยๆ หยุดนิ่งลง

“สิ่งที่คุณทำ มันน่าขยะแขยง” อีกฝ่ายกล่าวด้วยถ้อยคำอันเจ็บแสบพร้อมกับปิดอุปกรณ์อันทันสมัยตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเดินตึงตังขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาเหมือนกับค่ำคืนนั้น
ซึ่งผมที่จู่ๆ ก็ถูกก่นด่าและจ้องมองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
ก็ได้แต่นั่งงุนงงอยู่ตรงที่เดิม..

ผมดับเทียนหอมกลิ่นมะลิที่อีกฝ่ายลืมไว้ ก่อนจะกลับเข้ามายังห้องพักรับรองของตัวเองอย่างหนักใจ เพราะพฤติกรรมของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ผมเคยนึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เวลานี้มันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็เป็นได้ ซึ่งผมต้องเริ่มวิเคราะห์จากการที่จันทร์ไม่เคยเห็นตัวตนของ ‘น้องลี’ ด้วยสายตาของตัวเอง อีกทั้ง ‘คุณนักเขียน’ คนเมื่อครู่ก็ดันพูดจาราวกับเห็นอะไรบางอย่างที่ผมกระทำ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าผมไปทำอะไรให้เขานึกรังเกียจขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขมากๆ แถมวันๆ ยังทำงานมากกว่าพักผ่อนเสียอีก
แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวให้ใครรังเกียจ ?
อีกอย่าง.. แม้ใจของผมจะตรงกับจันทร์แล้ว แต่ผมก็ยังวางตัวกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเสมอมา

“แม่งเอ้ย! มันเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย!” ผมได้แต่บ่นพลางลูบหน้าลูบตาอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็นอนแผ่หลาอยู่ท่ามกลางที่นอนนุ่มพร้อมกับเริ่มวิเคราะห์ต่อไป โดยที่เวลานี้ผมเลือกจะตัดคำจำกัดความเกี่ยวกับอาการป่วยของจันทร์ที่เกี่ยวเนื่องกับ ‘กลุ่มอาการแคปกราส์’ ออกไป เพราะเท่าที่ผมไปสำรวจห้องนอนของน้องลียากรมาเมื่อครู่ ประโยคภาษาอังกฤษนั่นยังติดตราตรึงใจผมอยู่เลย
และมันก็บ่งบอกได้ถึงสามทางเลือก..

ทางเลือกที่หนึ่งคือ ขณะนี้น้องลีเติบโตพอที่จะเข้าใจอะไรยากๆ ได้แล้ว ซึ่งมันก็แปลได้ว่า ถ้าหากน้องลียังมีตัวตนอยู่จริง คนที่ผมพบเห็นก็คือตัวตนของเธอจริงๆ
ส่วนทางเลือกที่สองก็คือ ถ้าหากข้อแรกยังไม่ใช่คำตอบ แสดงว่าคุณนักเขียนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคนรักของคุณชลวิทย์ปลอมตัวเป็นน้องลีอย่างที่เขาสารภาพออกมาจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นอะไรบางอย่างมันก็ยังขัดๆ กับสิ่งที่ผมพบเจอ และในหัวก็ยังมีแต่คำถามว่าทำไมเจ้าของบ้านคนพี่ถึงได้ออกอุบายเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์ที่ยังไงผมก็ต้องจับผิดได้แน่ๆ

และทางเลือกสุดท้ายก็คือ ถ้าหากคุณนักเขียนท่านนั้น ไม่ใช่ ‘คนรัก’ ของพี่ชายจันทร์จริงๆ ยังไงเรื่องรูปร่างหน้าตาที่เหมือนจันทร์ราวกับพิมพ์เดียวกันก็ยังเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดอยู่ดี เพราะเท่าที่ผมจำได้จันทร์เคยพูดถึงแค่น้องสาวฝาแฝด ซึ่งก็คือ ‘น้องลียากร’ ซ้ำร้ายเธอยังมักจะปรากฏตัวเป็นช่วงเวลา จนกระทั่งหมดช่วงของฤดูดอกสโนว์ดรอป เธอก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งพฤติกรรมสุดแสนจะเกรี้ยวกราดของเธอนั้น มันก็ฟังดูขัดๆ กับสถานะ ‘คนรัก’ ที่คุณชลวิทย์เคยกล่าวอ้าง มิหนำซ้ำคุณ ‘นักเขียน’ คนเมื่อครู่ ก็มักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาเดียวกับที่น้องลีเคยออกมาเที่ยวเล่น แถมเวลาที่เขาอยากจะเดินหนีผม กลับเดินขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาเสียอย่างนั้น และผมก็มั่นใจว่าในห้องนอนของจันทร์ไม่มีทางมีห้องลับซุกซ่อนอยู่แน่
อีกทั้ง ‘น้องลี’ ยังมีเทียนหอมกลิ่น ‘วานิลลา’ เป็นกลิ่นประจำตัว ส่วน ‘คุณนักเขียน’ ก็มีเทียนหอมกลิ่น ‘มะลิ’ เป็นกลิ่นประจำตัว ซึ่งหลายๆ เหตุผลที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นี้  ทำให้ผมเริ่มหันไปโฟกัสอาการป่วยของจันทร์ในทิศทางใหม่
ซึ่งทิศทางที่ว่านั้นก็คือ..
โรคหลายบุคลิก หรือ Dissociative Identity Disorder (DID)


゚゚❀゚゚

[1] 'Where flowers bloom, so does hope' คำพูดของคุณ Lady Bird Johnson

[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]

แฮร่ เอามาลงก่อนกำหนดอีกแล้ว พอดีว่าเราเขียนเลิฟซีนฟิคไม่ออก เลยมาปั่นเรื่องนี้แทน เอาเป็นว่าถ้าเราเขียนออกก็จะมาอัพแล้วกันเนอะ สำหรับตอนนี้พี่หมอคิดตรงกับทุกคนที่ได้ทายกันไปในตอนที่แล้วละ มาติดตามกันต่อไปค่ะว่ารายละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้มันยังมีโรคอื่นแอบแฝงได้อีกหรือเปล่า 555 และทำไมคุณชลวิทย์ต้องทำตัวเหมือนชักจูงหมอภัทรให้เข้ามาในวงโคจรแต่แรก แล้วจู่ ๆ ก็มาปิดบังกันแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไร และคุณนักเขียนทำไมถึงดูไม่ชอบขี้หน้าหมอภัทรขนาดนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ และขอบคุณที่ยังมีคนอ่านเรื่องนี้อยู่บ้าง เป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่รู้สึกดีใจมากที่คนอ่านชอบ เพราะเราไม่ถนัดของจริง หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ T_T
ปล. ขอยังไม่เอาข้อมูล did ลงนะคะ ไว้จะมาอธิบายต่อในตอนหน้า และรอให้เฉลยปมออกมาก่อน ถึงจะมาแปะให้อีกทีค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 22:40:28 โดย Chomin »

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: εїз ในป่าสน εїз ตอน 14 (update 28/05/2018)
«ตอบ #29 เมื่อ28-05-2018 22:12:06 »

เข้ามาหลงในดงสน เดินงงๆหาทางลงไม่เจอ



อ่านรวดเดียวเลย มาต่อเร็วนะคะ ลุ้นมากก
ตอนนี้หมอกับเราทางเดียวกันละ โรคหลายบุคลิค ท่าจะเปลี่ยนตามกลิ่นของเทียนหอม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด