ลิขิตรัก...เพลิงเทวา Author : Tan-Yung 020 File : 11
โชคชะตามักทดสอบให้เราได้เผยธาตุแท้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความดีงามที่เปิดเผยหรือความชั่วร้ายที่ซ่อนเร้น ความกลัวที่มิอยากให้เกิด แม้เราจะพยายามต่อสู้หรือคอยหาทางตั้งรับไว้มากมายเท่าไร บางครั้งมันก็ไม่เป็นดังใจหวัง
ดั่งรพีพงศ์ผู้สง่าเก่งกล้าฝ่าภยันต์อันตรายมานับร้อยนับพัน ไม่ว่าจักคมเขี้ยวของราพณาสูรหรือเหตุการณ์ร้ายจนแทบวายชนม์ รพีพงศ์ก็มิเคยจะเผยความหวาดหวั่นออกมาเลยสักครั้ง จนกระทั่งได้พบเจอกับนาคินทร์เชลยรักผู้กุมหฤทัยดวงนี้และได้สร้างความกลัวเอาไว้กับรพีพงศ์ ความกลัวที่จะสูญเสียนาคินทร์ไปอีกครั้งและไม่มีวันได้หวนคืน
“เทพโอสถ...บุตรแห่งข้าเป็นเช่นไรบ้าง” พระเสาร์ถามไถ่อาการจากแพทย์สวรรค์ที่ถูกเชิญมาอย่างกะทันหันเพื่อรักษานาคินทร์บุตรของตน
“มิมีสิ่งใดผิดปกติ หากจากที่เทพรพีพงศ์เล่ามาก็นับว่าเป็นเรื่องปกติยามที่ความทรงจำได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา” เทพโอสถให้คำตอบหลังจากตรวจอาการอย่างถี่ถ้วน รพีพงศ์ได้สดับฟังดังนั้นแล้วก็ดีใจกับนิมิตรหมายอันดี หากนาคินทร์จักสามารถจำตนเองได้
“และถ้านาคินทร์เป็นเช่นนี้อีกมิต้องตกใจไป เพียงท่านให้บุตรของท่านนอนพักเท่านั้น อาการก็จักดีขึ้นเอง” เทพโอสถกล่าวต่อ
“ขอบน้ำใจท่านมากเทพโอสถ” รพีพงศ์เอ่ย
“ไม่เป็นไร เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยของเทพทั้งหลายล้วนแล้วเป็นหน้าที่ของข้า เพลานี้ก็หมดหน้าที่ของข้าแล้วข้าขอตัวลา”
“ข้าขอบน้ำใจท่านอีกครา” พระเสาร์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปส่งเทพโอสถร่วมกับรพีพงศ์ถึงหน้าวิมาน อันผิดวิสัยของพระเสาร์ยิ่งนัก เมื่อลับตาราชรถของเทพโอสถใบหน้าที่เป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
“เจ้าดูเอาไว้รพีพงศ์ว่าใครเข้าหาเราเพื่ออะไร” พระเสาร์เอ่ยขึ้นขณะหมุนตัวกลับ
“ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่ากระไรหรือ” รพีพงศ์ถามกลับ
“เทพโอสถอย่างไรเล่า ยามใดที่ข้าไหว้วานมักจะปฏิเสธอยู่ร่ำไปแต่ครานี้ พอข้าให้ทหารไปเชิญก็รีบมาเสียทันทีทันใด ไหนจะสายตาที่คอยสอดส่องในวิมานข้าอีก คงอยากรู้อยากเห็นมุตตาเป็นแน่...ฮึ!! คงอยากมีเรื่องไปเล่าให้พวกเพื่อนพ้องได้ฟังยามรินสุรา” พระเสาร์ร่ายคำออกมายาวเหยียด รพีพงศ์เองได้ฟังก็ขบคิดตามไปด้วย เมื่อครู่ตนก็มิได้สังเกตเพราะมัวเป็นห่วงนาคินทร์ที่นอนหลับอยู่
“การคบค้าสมาคมกับใครเจ้าจักต้องระวังให้ดี ยิ่งในกาลหน้าเจ้าจักต้องขึ้นสืบบัลลังก์จากบิดาของเจ้าแล้วไซร้ ครั้นยังทำตัวอ่อนหัด เหยาะแหยะ ถึงคราวสุริยงต้องดับสูญเป็นแน่ เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบน้ำใจท่านมากที่ช่วยชี้แนะข้า” รพีพงศ์คลี่ยิ้มออกมา จากการเสวนาเมื่อครู่รพีพงศ์สัมผัสได้ว่าพระเสาร์มิได้ดูถูกดูแคลนตนเลยสักนิด ตนกลับรู้สึกได้ว่าพระเสาร์กำลังส่งสอนตนเสียมากกว่า
“ข้าบอกเจ้าไว้เพราะเห็นว่าเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก บางครั้งความดีและคุณธรรมมันไม่เพียงพอหากไร้เล่ห์เหลี่ยม” พระเสาร์เอ่ย แล้วเดินรุดหน้าไปยังห้องรับรองที่ถูกปิดเอาไว้ ด้านรพีพงศ์เองก็เลี้ยวไปยังห้องของนาคินทร์เพื่อดูแลต่อไป
“นึกว่าพุธจักต้องถูกขังอยู่ในนี้กับพี่หญิงไปจนถึงวันพรุ่งเสียแล้ว” ทันทีที่บานประตูเปิดออกพระพุธก็เอ่ยออกมา ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ พระเสาร์และพระพุธได้รุดหน้ามาถึงวิมานก่อนรพีพงศ์และนาคินทร์ เจ้าของวิมานจึงได้พาพระพุธไปพบกับมุตตาพร้อมกับบอกเหตุผลในการพาพระพุธมารวมถึงขอความช่วยเหลือแกมบังคับให้ช่วยแก้คำสาป ทว่ารพีพงศ์ได้มาถึงในอ้อมแขนมีร่างไร้สติของนาคินทร์ นั่นคือเหตุที่ทำให้พระเสาร์พาพระพุธและมุตตาไปหลบอยู่อีกห้องเพื่อมิให้เทพโอสถที่พระเสาร์ได้ให้ทหารกอบัวมาพบเข้า
“ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่กับเมียข้าสองต่อสองนานดอก แล้วนี่สนิทกันแล้วหรือไร เจ้าถึงได้เรียกมุตตาว่าพี่หญิง...เจ้าพุธ” พระเสาร์เอ่ย ทั้งที่รู้อยู่ว่าพระพุธไม่มีทางที่จะลอบเล่นชู้กับมุตตาได้
“นั่นสิพระพุธ ข้าเองต่ำต้อยยิ่งนักไหนจะรูปโฉมอัปลักษณ์อีก ท่านมิน่าจะลดเกียรติเรียกข้าว่าพี่เลย” มุตตาเอ่ย
“ต่ำต้อยอันใดกัน พี่หญิงเป็นเมียพี่เสาร์ ผู้เป็นหนึ่งในเทพแห่งดาวนพเคราะห์เชียวนะ อีกอย่างจากที่ใช้ญาณตรวจดูคำสาป ข้าพอจะมีวิธีที่จะทำให้พี่หญิงรูปงามดังเดิม” พระพุธยิ้มออกมา ทำให้มุตตาและพระเสาร์ดีอกดีใจจนเนื้อเต้น
“เจ้าว่ากระไรเจ้าพุธ!! เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่!!” ผู้ที่ตื่นเต้นกว่าผู้โดนสาปเข้ามาจับที่ต้นแขนของพระพุธไว้แล้วเขย่าตามแรงอารมณ์จนลืมไปว่าพระพุธนั้นรูปร่างผอมบางมากกว่าตนหลายเท่า
“ท่านพี่...ใจเย็นๆก่อน ประเดี๋ยวพระพุธก็บาดเจ็บดอก” มุตตาเอ่ย พระเสาร์ได้สติจึงปล่อยพระพุธให้เป็นอิสระ
“ขอบน้ำใจพี่หญิงมากที่ช่วยข้า...พี่เสาร์จักฆ่าพุธหรือไร” พระพุธหันไปกล่าวคำขอบคุณกับนางนาคีและมิวายตัดพ้ออีกคน ก่อนจะกุมแขนที่น่าจักช้ำนิดๆอันเกิดจากแรงบีบของพระเสาร์
“ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจจักทำให้เจ้าเจ็บ” พระเสาร์เอ่ย พระพุธได้ฟังแทบจะไม่เชื่อหูของตน ตั้งแต่เกิดมาน้อยครั้งที่พระเสาร์จะเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกมาด้วยเป็นเทพที่ปากหนัก ปากแข็งเกินใครในหล้า แต่ถ้าให้คิดอีกแง่คงเป็นเพราะอยู่ต่อหน้านางมุตตาจึงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดออกมา พอคิดเช่นนี้แล้วความเจ็บเล็กๆบังเกิดในใจของพระพุธ
“มิเป็นไร พุธมิได้ถือสาดอกที่เอ่ยออกมาเพียงอยากจะหยอกล้อพี่เสาร์เท่านั้น” ถึงจะมีความน้อยใจจะเข้ามาแทรกแซง หากพระพุธยังคงเผยรอยยิ้มซ่อนอารมณ์อันแท้จริงเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
“เจ้านี่นะ...ไหนบอกข้ามาโดยไวว่าเจ้าจักแก้คำสาปให้กับมุตตาได้เช่นไร” พระเสาร์เร่งเอาคำตอบ
“ให้พี่หญิงลงไปในสรงน้ำอันมีผงหยกจากพุธดาราผสมอยู่” พระพุธตอบ จากที่พิจารณาผลลัพธ์ของคำสาปประมวลกับวิธีแก้คำสาปที่ตนได้เคยศึกษาจากตำราของพระจันทร์และพระพฤหัสบดี ทำให้พระพุธมั่นใจในวิธีการที่ตนได้เอ่ย หากวิธีที่ดูแสนง่ายหนำซ้ำไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงตามหา พระเสาร์ได้ฟังถึงกับเลิกคิ้วไม่คิดว่าสิ่งที่จักแก้คำสาปมันจักง่ายยิ่งเสียกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
“ข้ามิยักรู้ว่าหยกจากวิมานเจ้าจักแก้คำสาปได้” พระเสาร์เอ่ย พลางนึกถึงวิมานของพระพุธในความทรงจำที่ตนเองเคยเหยียบย่างเพียงไม่กี่หน นอกจากมณีรัตนาที่ก่อร่างสร้างเป็นที่อาศัยแลตลอดสระปทุมพรล้อมรอบแล้ว อัญมณีาสีเขียวนานาๆรวมหยกก้อนใหญ่น้อยกระจัดกระจายอยู่ถ้วนทั่วไปต่างจากผืนหญ้า
“มันก็หาได้ใช้แก้คำสาปถาวรดอกหนา อาบครั้งหนึ่งฤทธิ์ของมันใช้ได้เพียง ๓ ราตรีเท่านั้น ด้วยวิธีแก้คำสาปส่วนใหญ่ล้วนผูกกับผู้สาปจึงมิอาจจักทำลายให้หายสิ้นได้ ดังนั้นพุธขออภัยพี่เสาร์และพี่หญิงที่มิอาจแก้คำสาปได้หมด” พระพุธเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่คิดจะลงรายละเอียดเกี่ยวคำสาปให้พระเสาร์ได้รับรู้ อีกทั้งใจนั้นกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้ความหวังของพระเสาร์และมุตตาจักพังทลายลง
“อย่าได้กล่าวโทษตนเองเลยพระพุธ เพียงเท่านี้สำหรับข้าก็นับว่าเป็นบุญอยู่มากโข” นางมุตตาเอ่ยตามความรู้สึกของตัวเอง อันที่จริงนางเผื่อใจไปเสียด้วยซ้ำว่าพระพุธมิอาจจักแก้คำสาปได้
“นั่นสิ...อย่างน้อยเจ้าสามารถหาทางแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ข้าคิดไม่ผิดที่ขอความช่วยเหลือจากเจ้า” พระเสาร์เองก็หาได้ตำหนิพระพุธ ถึงจะเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แต่ในบางเรื่องก็หาได้ชำนาญด้วยตนเองรู้ตัวว่าตนเชี่ยวชาญการสาปส่งมากกว่าการแก้คำสาป เลยไหว้วานให้พระพุธเข้าช่วย
“เมื่อพี่เสาร์และพี่หญิงประสงค์ที่จักให้พุธช่วย พุธนี้ยินดีที่จักช่วยให้สุดความสามารถ ประเดี๋ยวพุธจักไปนำผงหยกมาให้ พี่เสาร์เองตระเตรียมสระสรงให้พี่หญิงได้ลงอาบเถิด” พระพุธกล่าวจบ มือก็พนมร่ายคาถาเสกกระจกมายาขึ้นมาแล้วก้าวข้ามผ่านบานกระจกไป
นับได้ว่าราตรีนั้นเป็นราตรีแรกที่รูปโฉมอันแท้จริงของนางมุตตาได้กลับคืนมาอีกครั้ง ประจวบกับนาคินทร์ได้สติฟื้นขึ้นมา แลเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นสิ่งดีสำหรับพระเสาร์เสียเหลือเกิน ไม่ว่าความสุขที่มุตตาพ้นคำสาปแม้เพียงชั่วคราวหรือจักเป็นนาคินทร์ที่คอยออดอ้อนเสียจนมิอยากให้แก้วตาดวงใจนี้ไปไหน นานเพียงใดแล้วที่พระเสาร์มีความสุขจนแทบล้นอกเยี่ยงนี้...มันนช่างสุขใจเหลือคณา
“ท่านอา...ท่านอาพุธ ข้าทำได้แล้ว” นาคินทร์เรียกพระพุธให้ดูมวลน้ำตรงหน้าที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามใจนึก น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจทำให้ผู้ถูกเรียกนามอดยิ้มไม่ได้
“เก่งมากนาคินทร์ อาสอนเจ้าไม่กี่หนเจ้าก็สามารถทำได้แล้ว” พระพุธผู้สวมบทบาทครูจำเป็นกล่าวชมลูกศิษย์ที่กำลังใช้มนตราควบคุมสายน้ำ สาเหตุที่พระพุธได้ทำหน้าที่นี้เป็นเพราะเทพผู้ทรงคชสารเป็นนักปราชญ์ทรงความรู้ กิริยามารยาท วาจา อ่อนหวาน พระเสาร์จึงอยากให้พระพุธมาคอยสั่งสอนไม่ว่าจะเป็นเวทย์มนตร์คาถาหรือมารยาทต่างๆในสถานการณ์ที่แตกต่างกันให้กับมุตตาและนาคินทร์ โดยพระเสาร์ยินยอมที่จะรับผิดชอบในส่วนของพระพุธเรื่องหน้าที่ใน ‘ธุมเกตุวสันต์’
“ที่ข้าทำได้ดีเพราะมีครูดีต่างหากเล่า ๒-๓ วันมานี้ ท่านอาคอยสั่งสอนอบรมข้าตลอดจนแม่ของข้าด้วย ข้ารักท่านอาเหลือเกิน” แค่คำพูดนาคินทร์กลัวว่ามันอาจจะไม่ชัดเจนพอให้พระพุธรับรู้ได้จึงจับแขนของพระพุธมาสวมกอด
“ดูเจ้าสิ อยากให้อาถูกรพีพงศ์เขม่นหรือไร” พระพุธกล่าวออกมาไม่จริงจัง มือวางบนเกศาดำขลับแล้วลูบอย่างแผ่วเบาอย่างเอ็นดู
“ใครเล่าจะบังอาจเขม่นท่านอา” บุคคลที่สามเอ่ยขึ้น นาคินทร์เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของใครก็รีบวิ่งเข้าหาเพื่อสวมกอด
“นาคินทร์อย่าได้วิ่งเข้าไปกอดรพีพงศ์เช่นนั้นสิ อาเคยสอนเจ้าเรื่องการวางตัว เจ้าลืมไปแล้วหรือ” ราวกับถูกแกล้ง รพีพงศ์ที่กำลังดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อนาคินทร์เป็นฝ่ายเข้าหา กลับถูกหยุดปฏิกริยาไว้เพราะคำสอนของพระพุธ
...‘ข้าว่าข้าคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่...ยังทันหรือไม่ถ้าข้านั้นขอเขม่นท่าน...อาพุธ’...
“ข้าขออภัยท่านอา คือข้า...ข้าดีใจที่ได้เจอกับรพีพงศ์” นาคินทร์เอ่ยพร้อมก้มหน้าก้มตาซ่อนแก้มแดงทั้งสองข้างมิให้ใครได้เห็นได้ล้อ
“อาเข้าใจเจ้าทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันเพราะไม่ค่อยจะได้เจอกันในช่วงนี้ คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากจะกอดเจ้ามิต้องวิ่ง เดินเข้าไปกอดจะได้ไม่ล้ม” สุดท้ายพระพุธหาได้ห้ามกอดอย่างที่ทั้งสองเข้าใจ แท้จริงพระพุธไม่มีสิทธิ์ห้ามด้วยซ้ำเพราะตนเองก็ชอบโผเข้ากอดเพียงไม่วิ่งตึงตังเฉกเช่นนาคินทร์เมื่อครู่
นาคน้อยได้ยินประโยคที่พระพุธเอ่ยขึ้นมาก็ยิ้มกว้าง จากที่ก้มงุดหน้าไม่ยอมเงยก็แหงนพักตร์ขึ้นตามปกติ ดวงตาวิบวับมองไปยังรพีพงศ์ที่ยืนอ้าแขนรอตนเข้าสวมกอด ด้วยความกลัวว่ารพีพงศ์จะเมื่อยแขนนาคินทร์เร่งฝีเท้าก้าวยาวเข้าหา กอดรัดเอวหนาของรพีพงศ์ไว้แน่น
“ท่านรพีพงศ์...ข้าคิดถึงท่าน” นาคินทร์บอกความรู้สึกของตัวเอง เนื่องจากรพีพงศ์ต้องไปทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของสวนขวัญจึงมิค่อยได้มาหานาคินทร์ บางครามาเสียดึกดื่นและกลับไปเพราะพระเสาร์ผู้เป็นบิดาหวงตนไม่ยอมให้รพีพงศ์ร่วมค้างอ้างแรมที่วิมาน โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งพระเสาร์พยายามแยกให้ทั้งสองออกห่าง ความคิดถึงจากจิตใต้สำนึก...จากก้นบึ้งของจิตใจได้เปรียบเสมือนเส้นไหมที่ถักทอจนเป็นผืนกว้างคลุมดวงใจ
...........จัดไปก่อน 50%นะคะ......