ตอนที่ 15
ผมทำเรื่องยกเลิกสัญญาการเข้าใช้บริการในฟิตเนสในเดือนต่อมา
ซึ่งครบรอบการหมดสัญญาในแบบรายปีที่ผมไว้พอดี
ธันว์มันเสนอให้ผมทำสัญญารายเดือน ซึ่งมันจะช่วยจ่ายให้ในเดือนไหนที่ผมติดขัด
แต่ผมไม่ทำต่อ เพราะด้วยเกรงใจมันที่มันยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง
แต่กลับจะมาแบกรับภาระให้ผมในเรื่องพวกนี้
ซึ่งดูแล้วไม่สมควร ก็รู้แหละว่าชีวิตความเป็นอยู่ของมันแม้ไม่ได้ทำงาน
มันก็น่าจะอยู่ได้ด้วยการโดนซับพอร์ตจากที่บ้านของมัน
นั่นมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ที่จะให้มันเอาเงินจากที่บ้านมาใช้จ่ายในส่วนนี้ให้กับผม
เรื่องที่มันเอาเงินเก็บส่วนตัวไว้ให้ญาติผมเพื่อช่วยดูแลการรักษาตัวแม่ผม
เป็นจำนวนเท่าไหร่ ผมก็ยังไม่ได้รู้ เพราะทางญาติๆ ผมไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับผมเลย
ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรมาก ก็ยังคงแบกรับภาระในส่วนที่ผมยังพอช่วยได้ไปตามกำลัง
การที่ผมไม่ได้ไปออกกำลังกายทำให้ผมห่างกับธันว์มันจริงๆ
แต่ไม่ใช่แค่ธันว์ ใครคนอื่นที่ผมรู้จักผมก็ห่างเหินออกไปด้วย
เพราะจันทร์ถึงศุกร์ผมต้องทำงานเช้าจรดเย็น ในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
ก็กลับไปเยี่ยมแม่เพื่อดูอาการถี่ขึ้น โดยที่ผมไม่บอกธันว์หรือไอซ์
เพราะผมไม่อยากให้ทั้งสองคนมาแสดงน้ำใจในการขับรถพาผมกลับไป
สองคนมารู้พร้อมกันในวันที่ติดต่อพูดคุยกับผมผ่านทางไลน์
ขณะผมอยู่ที่บ้านในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของเดือนต่อมา
ไอซ์นั้นยอมเข้าใจ เพราะเจ้าตัวรู้ดีอยู่ว่าผมไม่ได้ให้ความสนิทกับเจ้าตัว
ขนาดที่เจ้าตัวจะต้องเทียวรับเทียวส่งผมแบบนั้นในทุกๆ ที
ส่วนธันว์ ก็ออกอาการโวยถามตามนิสัยว่าทำไมผมชอบทำอะไรโดย
ที่คิดว่าไม่มีมันอยู่บนโลกใบนี้
เราสองคนคุยกันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง อยู่อย่างนั้น
จนเวลาผ่านมาช่วงหนึ่ง โชนเป็นอีกคนหนึ่ง
ซึ่งมารับรู้อาการป่วยของแม่ผมในช่วงเวลาที่แม่ผมกำลังวิกฤติ
เพราะการตอบสนองทางร่างกายของแม่ไม่ค่อยสอดคล้อง
กับการรักษาเท่าที่ควร แม่ของผมทรุดหนักลงเรื่อยๆ
ในการยื้อเวลาของแม่ก็ต้องใช้วิธีการรักษาด้วยเม็ดขึ้นที่เพิ่มมากขึ้น
โชนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในช่วงจังหวะนั้น และขอโอกาสให้ผมพากลับไปเยี่ยมดูอาการแม่
ผมไม่กล้าขัดใจ เพราะอย่างน้อยโชนก็น่าจะได้ไปเยี่ยมแม่ผมในฐานะคนๆ หนึ่ง
ซึ่งมีน้ำใจช่วยจุนเจือรายจ่ายในพักหลังๆ
ธันว์มารับรู้ตอนหลังว่าผมพาโชนกลับไปที่บ้านในตอนที่มันติดต่อพูดคุยกับผม
ตอนที่ผมอยู่กับโชนที่บ้านเกิดของผม มันออกอาการเย็นชา
และพูดจาห่างเหินกับผมจนผมสังเกตน้ำเสียงได้
ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่เพราะด้วยภาวะจิตใจผมกำลังว้าวุ่นอยู่กับอาการป่วยของแม่ผม
ผมจึงไม่ได้ใส่ใจจะเคลียร์ปัญหาใดๆ กับมัน
จนวันหนึ่งที่ผมกลับเข้ามาทำงานปกติ
และบังเอิญเจอกับมันซึ่งเดินคู่อยู่กับซีในทางผ่านที่ผมต้องกลับห้องพัก
เราจึงมีโอกาสคุยกันจริงๆ จังๆ ตอนนั้น โดยที่ซียืนอยู่ด้วย
“ไม่ค่อยได้เจอกัน มึงเป็นยังไงบ้างไนท์”
ธันว์มันทักผม ในขณะที่ซีออกความเห็น
“ซีว่าพี่ไนท์ผอมและโทรมไปนะ งานหนักเหรอครับ”
“อืม พี่พักผ่อนน้อย และก็มีเรื่องเครียดด้วยแหละ”
ผมตอบซี สังเกตรูปร่างซีตอนนี้ดูดีสมส่วนขึ้นมาบ้าง
อาจจะเพราะด้วยการออกกำลังกายนั่นล่ะ
และคนที่คอยช่วยสอนช่วยเทรนซีก็น่าจะเป็นธันว์
ธันว์มันไม่ถามถึงอาการของแม่ผมเลย
ผมนึกเสียใจอยู่หน่อยๆ ที่มันดูจะลืมไปแล้วว่าแม่ผมกำลังไม่สบายอยู่
“แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอ”
ผมตัดสินใจเอ่ยถามในตอนที่ผมหาทางเลี่ยงหนีสองคนไม่ได้
เริ่มรู้สึกน้อยใจที่เห็นธันว์มันแสดงท่าทีเหินห่างจากผมอย่างชัดเจนตอนอยู่ต่อหน้าซี
“ก็นัดเจอกันทั่วไปน่ะครับ ยังไม่ได้คิดจะไปไหนกัน
หากไม่มีที่ไป ซีก็ว่าจะให้พี่ธันว์สอนซีทำอาหารที่คอนโดพี่ธันว์หน่อย
พี่ธันว์ทำอาหารหารเก่ง ทำให้ซีทานบ่อยๆ จนซีชักติดใจ
อืม พี่ไนท์ไปด้วยกันมั้ย ไปช่วยซีเป็นนักเรียนพี่ธันว์หน่อย”
ซีตอบออกมาอีกยิ้มๆ ผมมองสบตาธันว์ เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงลืมอาการป่วยของแม่ผม
มันก็น่าจะใช้เวลาระยะหลังที่เราห่างกันคลุกคลีอยู่กับซีจนเป็นคนสนิทใจกันนั่นล่ะ
นึกถึงตอนนี้ก็อดนึกถึงตอนที่มันคอยเอาอกเอาใจผมไม่ได้
ปากมันก็บอกว่าจะคอยยืนข้างผมอย่างนั้นอย่างนี้
แต่เอาเข้าจริงๆ สิ่งที่มันทำตอนนี้กลับมีกะจิตกะใจหาความสุขสำราญใจกับซี
ในขณะที่ผมกำลังจมอยู่กับภาวะเครียดจากอาการป่วยของแม่
แต่ก็นั่นล่ะ มันก็เคยเตือนผมอยู่ว่าผมจะไปถือสาคำพูดอะไรของมัน
ในตอนที่มันว่าจะค้างห้องผมในคืนนั้น แต่สุดท้ายมันก็ออกมาพบกับซีกลางดึกจนได้นอนค้างด้วยกัน
ผมก็ไม่น่าจะไปจริงจังและฝากความหวังอะไรไว้กับมันให้ต้องรู้สึกเสียใจ
“อืม พี่ว่าไม่ดีมั้งซี อย่าไปกวนอะไรไอ้ไนท์มันเลย
มันคงไม่มีเวลาว่างให้พี่แล้วมั้ง ที่ซีอยากให้พี่สอนทำอาหารก็ฟังดูดีนะ
พอซีทำเป็น ซีจะได้ทำให้พี่ทานบ้าง บางทีพี่ก็อยากมีคนเอาใจบ้าง
ตามเอาใจคนอื่นมากๆ พี่ชักเริ่มเหนื่อยและท้อขึ้นมาละ”
ธันว์มันเอ่ยออกมา ผมใจกระตุกวาบ เข้าใจว่ามันคงเอ่ยกระทบผมนั่นล่ะ
แต่ผมก็ฝืนยิ้มเอ่ยออกไปด้วยไม่อยากให้ธันว์มันเห็นว่าผมกำลังปวดใจ
“งั้นก็ตามสบายกันนะสองคน ขอตัวล่ะ”
ผมรีบเดินหนีหน้าจากซีและก็ธันว์ หากธันว์มันเริ่มเหนื่อยและท้อในการ
ที่จะคอยดูแลผมอย่างที่มันเคยสัญญา ก็สุดแท้แต่มันจะเลิก
ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรมัน เพราะอย่างน้อยๆ ช่วงเวลาหนึ่งมันก็เอาใจใส่ผมได้ดี
และยังเป็นคนที่มีน้ำใจในการช่วยค่าใช้จ่ายดูแลรักษาแม่ของผม
ถึงผมจะปลงตกได้เช่นนั้น แต่ผมก็สั่งให้ใจไม่ให้ไหวหวั่นได้อยู่ดี
ที่สุดแล้ว คำพูดและแววตาเฉยชาของธันว์ก็ทำให้ผมร้องให้ได้อีกครั้ง
ผมกลับถึงห้องโทรสอบถามอาการแม่กับที่บ้าน
ญาติๆ เอ่ยบอกให้ผมเตรียมใจไว้หน่อยก็ดี
เพราะแม่มีแต่ทรุดกับทรุด ผมใจหายถามไปว่าการรักษาที่เสียเงินไปมากมาย
ไม่ช่วยทำให้แม่ดีขึ้นบ้างเลยหรือ
ญาติบอกว่าหมอบอกว่ามันก็ดีขึ้นได้เท่านี้ เพราะกว่าที่แม่ผมจะเข้าทำการรักษา
ก็อยู่ในภาวะสุดท้ายของการยื้อลมหายใจแล้ว
“ไนท์ค่าใช้จ่ายมันเริ่มสูงขึ้นจนพวกเราหลายคนหมดหนทาง
ที่จะต่อลมหายใจแม่ไปได้อีกแล้ว
ไนท์จะเสียใจมากมั้ยถ้าสุดท้ายแม่อาจจะต้องอยู่กับเราได้ไม่นาน”
ญาติซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านเอ่ยกับผมแบบนั้น
ผมเข้าใจในความหมายที่สื่อออกมาได้ดี แต่ผมไม่อยากให้เวลานั้นเกิดขึ้น
จึงบอกกับญาติๆ ไปว่าผมจะหาวิธียื้อลมหายใจของแม่ให้ได้นานที่สุด
ให้ญาติๆ รอการตัดสินใจสิ่งใดที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียก่อน
ญาติยอมรับฟัง ผมวางสายไป นั่งร้องไห้จนตัวสั่น
สุดท้ายจึงลุกนั่งปาดน้ำตาตัดสินใจติดต่อไปหาธันว์
เพราะผมเคยคิดเอาไว้แล้วว่าเมื่อถึงที่สุดจริงๆ
ผมคงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากมัน
“มีอะไรไนท์” โชนมันรับสายผม พร้อมๆ
กับที่ผมได้ยินเสียงซีแทรกมาในโทรศัพท์
ตอนนี้สองคนน่าอยู่ในห้องคอนโดของธันว์
เพราะเสียงของซีแทรกมาอยู่เรื่อยๆ
ถึงการถามหาว่าอุปกรณ์ทำครัวของธันว์อยู่ตรงไหนบ้าง
จะได้เอามาเตรียมไว้ในการทำกิจกรรมทำอาหารร่วมกัน
“มึงสะดวกคุยมั้ย” ผมกลั้นเสียงสะอื้นถามธันว์ออกไป
ความรู้สึกใจหายจากการรับฟังข่าวร้ายจากทางญาติยังไม่จางดี
ผมก็ต้องมาสะท้านใจกับการต้องมารับรู้ว่าซีอยู่กับธันว์ในตอนนี้อีก
“คุยได้ แต่ไม่นานนะ ซีรอกูสอนทำอาหารอยู่” ธันว์มันตอบกลับมา
ผมเริ่มลังเลว่าจะเอ่ยขอร้องให้มันช่วยเหลือผมในการรักษาแม่ของผมดีหรือไม่
จึงเงียบไปพัก เริ่มไม่แน่ใจว่าธันว์มันจะจำสัญญาว่าจะยืนเคียงข้างผมได้หรือไม่
สักพักธันว์มันก็ถามออกมาใหม่
“ถ้าไม่มีอะไรกูวางสายนะ โทรมาแล้วก็เงียบ ว่างนักหรือไง”
ผมปวดใจในถ้อยคำนั้นจนล้มเลิกความคิด
ที่จะขอความช่วยเหลือจากมัน เบี่ยงไปคุยประเด็นอื่นไป
“ก็ไม่มีอะไร แค่โทรมาทักทายนะ” ผมฝืนบอก ใจหวิวอีกเมื่อธันว์มันทักกลับมา
“เด็กมึงไม่ว่างแล้วอ่ะดิถึงได้คิดถึงกู”
“กะ ก็อย่างนั้นแหละ” ผมเอ่ยตามน้ำไป เพราะรู้สึกตื้อจนพูดไม่ออก”
“ถ้ามึงแค่คิดว่ากูเป็นเพียงแค่คนคอยปลอบใจมึง
ยามมึงมีปัญหากับเด็กมึง กูขอให้มึงไม่ต้องโทรมาอีกไนท์”
ใจผมสั่นไหวได้อีก คิดไปไกลว่าที่ธันว์มันเอ่ยกับผมแบบนี้
คงเพราะมันคงน่าจะเริ่มต้นคบกับซี จึงทำใจแข็งเอ่ยถามมันออกไป
“เราต้องจบกันแบบนี้จริงเหรอวะธันว์”
ธันว์เงียบ ผมก็เงียบ สุดท้ายธันว์มันก็เอ่ยออกมา
“แล้วเรายังไปได้ไกลกว่านี้อีกมั้ยล่ะ กูเข้าใจแล้วว่าตอนนี้กูฝืนทำดีกับมึงไป
มึงก็คงไม่ลืมคนของมึง ขอโทษนะที่กูรอมึงไม่ไหว กูอาจจะขอเริ่มต้นใหม่
กับใครสักคนที่มองเห็นค่าของกู แค่นี้นะ โชคดีเพื่อน”
ธันว์มันวางสายไป ผมเก็บกลั้นความรู้สึกปวดใจเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้
ตอนที่ได้ยินถ้อยคำบอกลานั่น เวลาของผมกับธันว์สิ้นสุดลงตรงนี้แล้วจริงๆ น่ะหรือ
TBC