❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7  (อ่าน 46936 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ diltosscap

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
ชอบพี่ฌาณ อบอุ่นมาก รู้ทันน้อง แต่ยอมตามใจ มีขัดใจบ้างเล็กน้อย น่ารักจริงๆ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
น้องงงงงง หลอกเก่งงงง 55555 ปิดบังอะไรอีกลูก เล่ามาให้หมดได้แล้วววว  :ling1:

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
นุ้งเจนลูกกกกกกกก
เราอาจจะไปเป็นตัวร้ายของคู่อื่น แต่เราก็มีสิทธิ์เป็นตัวเอกกับคู่ของเราเนาะ
หมาป่าฌานช่างร้ายไม่เบา ตะล่อมแกะน้อยซะอยู่หมัดเลย :katai2-1:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 12: There’ll be no sunlight and clear skies



หากให้กรอเทปกลับไปใหม่ เผยความจริงที่ถูกบิดเบือน ก็คงจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย



ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นผมเองที่ร้องขอให้ไนล์จูบผมลับหลังลินอยู่บ่อยๆ ครั้งแรกอาจเกิดจากความเต็มใจของเราทั้งคู่ วัยรุ่นชายวัยอยากรู้อยากลองทำตามเฮอร์โมนที่พลุกพล่าน เรื่องควรจบแค่นั้น เพียงแค่ผมไม่รู้จักพอ เมื่อเคยชินกับการเป็นผู้รับมาโดยตลอด



และสำหรับผม ไนล์ก็เคยชินกับการเป็นผู้ให้มาตลอดเช่นกัน



เขาไม่ปฏิเสธคำร้องขอ เพียงแต่ไนล์ก็ไม่เคยทำไปมากกว่านั้น เขาไม่ได้อยากล่วงเกินผม และหลังๆ มา ท่าทางไนล์เห็นได้ชัดว่าไม่อยากทำเรื่องอย่างนี้กับผมแล้ว เขาหาทางปฏิเสธ รวมถึงไนล์ดูไม่ใคร่ที่จะอยู่ใกล้กับผมเหมือนเมื่อก่อน ไนล์มีคนรัก ผมรู้อยู่แก่ใจ แค่ไม่เคยคิดว่าเขาจะจริงจังกับมัน



จนกระทั่งเขาบอกว่าเขาจะหมั้นกับลิน



ความโกรธ ความหึงหวงอันน่าสมเพชถล่มทับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และสุดท้าย ผมก็มอมเหล้าเขาจนขาดสติ พร้อมกับยกตัวเองให้ไนล์อย่างเต็มใจ



ด้วยคำถามเดิมซ้ำซากเข้าครอบงำ...



ทำไมไนล์ไม่เลือกผม



ผมเรียบเรียงความจริงใหม่ เรื่องนี้ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเพราะผมตั้งใจปิดมันไว้ จะสำคัญอะไรในเมื่อสุดท้ายผมก็คิดร้ายกับไนล์อยู่ดี



ตั้งสติ บอกเล่าให้ฌาณฟังอีกครั้ง “ผมมอมเหล้าไนล์จริง พาเขาเข้าโรงแรมจริงๆ แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ถึงผมตั้งใจจะทำก็เถอะ...”



“อืม...”



“ผมถอดเสื้อตัวเอง ถอดเสื้อเขาแล้ว แต่...แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำ จบลงด้วยการนอนเปลือยข้างๆ ไนล์ จัดฉากเสแสร้งว่าเรามีอะไรกัน...”



“...”



 “...ถ่ายรูปแบล็คเมล์ ข่มขู่ว่าถ้าเขาไม่ทำตามที่ผมต้องการผมจะเอาเรื่องนี้ไปบอกไจกับลิน...ไนล์รู้ดีว่าครอบครัวผมเป็นยังไง ถ้า...ถ้าผมเอาเรื่องขึ้นมา ไนล์คงลำบาก ผมก็รู้...แต่ก็ยังทำ”



ผมสูดหายใจ กลั้นเสียงไม่ให้สั่น “ผมไม่รู้ต้องทำยังไงให้ไนล์เลือกผม ถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ นี้ขึ้นมา ผมเสียใจนะ...ที่สุดท้ายแม้แต่เพื่อนก็คงเป็นให้ไม่ได้ แต่...แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนที่เราจูบกันแล้วไม่ใช่หรือไง”



จบคำสุดท้าย ผมร้องไห้โฮ ความลับโสมมที่ปกปิดไว้มานานจนอึดอัดได้รับการปลดปล่อย หยดน้ำตาที่คิดว่าร้องจนแห้งเหือดหมดแล้วกลับล้นทะลักเบ้าตา ผมโทษทุกสิ่งทุกอย่าง หาเรื่องอ้างโทษคนอื่นไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่ชั่วช้าที่สุดคือตัวผมเอง...



เพียงแค่ผมยอมรับไม่ได้แค่นั้นเอง



ผมทำร้ายเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตด้วยการแบล็คเมล์ไนล์ไว้ เป็นข้ออ้างไม่ให้เขาตีตัวออกห่างผมเหมือนที่แล้วมา แน่นอนว่ามันได้ผลแค่ช่วงแรก



ความชั่วช้าของผมไม่ได้ลอยนวลตลอดไป เมื่อปีสี่เทอมสอง ไนล์เปิดใจคุยกับลินพร้อมเล่าเรื่องผมให้ฟังทั้งหมด



และหลังจากวันนั้นมันคือนรกดีๆ นั่นเอง



ทุกคนที่ผมรู้จักกล่าวต่อว่าเสียจนผมแทบไม่มีที่ยืน ไนล์ไม่พูดกับผมอีก ผมทรมานเจียนตายแต่ก็ยังกระเสือกกระสนหน้าด้านหน้าทนไปเรียนหนังสือทุกวันจนจบ อย่างน้อยเรื่องก็มาเกิดตอนปลายเทอมสองของปีสุดท้าย ไม่งั้นผมคงย้ายมหาลัยไปแล้ว ผมไม่โทษลินหรอกถ้าหากว่าเธอเป็นคนปล่อยข่าว ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด และคงได้รับโทษเช่นนี้สักวันหนึ่ง



แน่นอนว่าทุกคนรังเกียจผมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่สุดท้ายผมก็ยังเลือกจะไปปาร์ตี้สละโสดของเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร



เพียงเพราะอยากคุยกับไนล์อีกสักครั้ง



แล้วทุกอย่างก็พังครืนลงมาเมื่อไม่เป็นดังที่หวัง แค่หน้าผมไนล์ยังไม่มองเลยด้วยซ้ำ



เมื่อในที่นั้นไม่มีที่ของผมอีกต่อไป ผมจึงเลือกที่จะบินหนีไปให้ไกล



แม้ว่าไนล์จะมาหาผมและพร้อมให้อภัยภายหลังจากนั้น แต่ในตอนนั้นผมไม่มีความต้องการที่อยากจะคุยกับเขาอีกแล้ว ผมเริ่มเรื่องทั้งหมดก็จริง ผมทำผิดเองก็จริง การที่ไนล์จะเกลียดผมไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ความจริงที่ปะทะใส่ผมทำเอาผมเซ จนสุดท้ายก็เลือกที่จะละเลยเขาไป เพราะคิดว่าทำแบบนี้คงสบายใจกว่า



บอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่รับมือกับปัญหาได้ดี



เก่งแต่หาเรื่องจนน่าสมเพช นอกจากจะเสียเพื่อนแล้วทุกคนในครอบครัวคงผิดหวังในตัวผมที่ก่อเรื่องอื้อฉาว พ่อกับเจดคงเกลียดผมแล้วที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีแต่ไจที่ยังคอยโอ๋ผมอยู่ แต่มันก็ไม่พอ เมื่อสุดท้ายความสบายใจที่บ้านมันหายไปผมจึงเลือกออกมา พักผ่อนใจจากความจริงสักพัก



เมื่อจบเรื่องเล่า ผมก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับฌาณ กลัวว่าเขาก็คงไม่ต่างจากคนอื่นที่ต่อว่าผม ซึ่งสมควรที่จะโดนแล้ว เพียงแต่ฌาณไม่ได้พูดอะไร ยังคงลูบหลังผมให้หายสะอึกสะอื้นไม่หยุด



จนเสียงสะอื้นผมหยุดลง ฌาณถึงเอ่ยปาก



“ไม่เป็นไร”



สุดท้ายแล้วในคืนนั้น ฌาณก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานอกจากคำว่าไม่เป็นไร ลูบหัวและกอดปลอบผมให้จมลงไปในห้วงนิทรา







เช้าวันต่อมา ผมปวดหัวตามคาด เพราะดื่มเบียร์ไปหลายขวดรวมถึงร้องไห้เยอะด้วย ผมได้ยินเสียงก๊องแก๊งจึงลุกมาดู เห็นฌาณกำลังเก็บกวาดซากขวดเบียร์ที่ผมดื่มหมดไปเมื่อคืนลงในถุงดำ ผมลุกจากเตียงเดินไปหาเขา



“...ตื่นเช้านะ”



“อือ ฌาณไม่ไปห้องสมุดแล้วเหรอ”



“แคนเซิลไปแล้ว ป่วยอยู่ไม่ใช่หรือไง”



“...”



ผมพยักหน้าเบาๆ อันที่จริงแค่ปวดหัวกับมีไข้หน่อยเดียว นิดเดียวแบบที่ว่าแทบไม่มีผลอะไรต่อชีวิตประจำวัน นั่งๆ นอนๆ ก็หายแล้ว แต่ก็ยังอยากให้เขาอยู่ดูแลผมอยู่ดี ฌาณห่างจากผมไปหลายวันแล้ว



ฌาณพาผมไปนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนอีก จนผมเป็นฝ่ายเอ่ยถาม



“ฌาณไม่รู้สึกยังไงหน่อยเหรอกับเรื่องที่ผมเล่า”



“ให้รู้สึกอะไรล่ะ”



“ก็...อย่างเช่นคิดว่าผมนิสัยเสียเหมือนที่ใครๆ คิดไง”



“อยากให้พี่คิดอย่างนั้นเหรอ”



“...เปล่า”



“พี่ก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น ในบริบทของเจน พี่เข้าใจนะ ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจเจน แต่เข้าใจว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น”



“แล้ว...”



“อย่างน้อยเจนก็รู้ว่าตัวเองผิด แค่นั้นก็เริ่มต้นใหม่ได้ดีแล้วไม่ใช่หรือ”



ผมไม่ตอบ เบ้หน้าใส่เขา ทำไมต้องทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะซ้ำๆ ด้วย



“ขอแค่อย่าโกหกอีก”



“...อืม...”



เขายกยิ้ม เดินไปมัดถุงขยะที่เต็มไปด้วยขวดเบียร์เปล่าๆ พร้อมบ่นงุบงิบ “เจนเล่นดื่มเบียร์พี่หมดตู้เลย”



“เท่าไหร่” ผมถามเขา ใช้นิสัยเดิมเพื่อแก้ตัว



ฌาณหัวเราะ พร้อมเดินมาทางผมก่อนก้มประกบปากแนบลงที่ริมฝีปากผม ลอบแลบลิ้นเลียแล้วจึงผละออก ชอบทำให้ใจสั่นอีกแล้ว



“เท่านี้”



“...”



“ขอแบบนี้อีกสามสิบวัน”



“...ผมก็กลับพอดี”



“ก็ใช่ไง”



จบคำพูด ใจผมโหวงแปลกๆ หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกเคว้งๆ เมื่อใกล้วันกลับ



ฌาณเดินออกไปทิ้งขยะข้างนอก ส่วนผมเรียบเรียงความคิดและความรู้สึกตัวเองใหม่อีกครั้ง ผมรักไนล์ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวั่นไหว ผมไม่มีทางไม่รู้จักความรู้สึกที่ผมมีต่อไนล์มาตลอดหลายปีนี้หรอก ทว่าการได้อยู่ใกล้ๆ กับฌาณ สัมผัสของฌาณ ทุกการกระทำของฌาณเองก็ทำให้ผมสบายใจ แทบไม่แตกต่างจากไนล์



ผมไม่เข้าใจตัวเอง...



ผมรักไนล์มากขนาดที่คิดว่าคงรักใครไม่ได้เท่านี้แล้ว แต่พอเจอฌาณ ทุกอย่างเหมือนตีโต้กลับมาใส่ผม ราวกับว่าความรักของผมที่มีต่อไนล์มันไม่จริง เพราะผมดันใจเต้นกับฌาณ ทั้งๆ ที่เจอกันไม่กี่เดือน



หนำซ้ำ ฌาณยังมาบอกรักผมอีก ผมสงสัยมากจริงๆ ว่าคนเราจะตกหลุมรักใครได้ไวขนาดนี้ด้วยหรือ



ผมไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไงกับฌาณ มันใกล้เคียงความรู้สึกที่มีต่อไนล์ เสียแต่ยังไม่กล้ายอมรับ ผมกลัวว่ามันไวเกินไป การที่เริ่มต้นรักใครใหม่ทั้งๆ ที่ยังรักคนเก่าเช่นนี้ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้



คนเราไม่ควรมีหัวใจถึงสองดวง



แต่ถึงอย่างนั้น...ผมกลับตอบรับรสจูบของฌาณทุกครั้ง มันตลกดีที่ความคิดของผมย้อนแย้งกันไปมาอย่างหาคำตอบไม่ได้



หลังจากที่ฌาณเก็บกวาดการกระทำของผมเสร็จ เราก็กินข้าวเช้าด้วยกัน ฌาณไม่เอ่ยถามเรื่องราวของผมในอดีตอีก เขาคงแค่อยากรับฟังให้รับรู้เท่านั้นเฉยๆ มั้ง อีกอย่าง...จะให้มาแก้ไขอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้วด้วย เมื่อฌาณไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องอดีตของผม ผมจึงปล่อยให้ชีวิตประจำวันธรรมดาดำเนินต่อไป



ผมรักชีวิตธรรมดาๆ แบบนี้นะ ถ้ามันเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงดี ไม่ต้องมีเรื่องมาให้วุ่นวายใจ ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ต้องมีเรื่องตื่นเต้นก็ได้ ผมเหนื่อยกับการจัดการปัญหา เพราะทำไม่เป็น แต่ผมก็รู้...ชีวิตเรามีความสุขตลอดไปไม่ได้หรอก



เมื่อวันนี้ ที่จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว



เมื่อวานซืน ผมไปห้องสมุดกับฌาณเพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศ อยู่ห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำ ไปห้องสมุดเมืองก็ไม่มีอะไรให้ทำ แต่ผมเลือกอย่างหลังเพราะอย่างน้อยก็ไปไม่มีอะไรทำในบรรยากาศใหม่ๆ ดีกว่า เพื่อนฌาณยังคงอยู่ครบแก๊งค์ แต่ผมไม่ได้คุยด้วยเท่าไหร่ พวกเขาก็คุยกัน ถกเถียงเรื่องวิจัยเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีคนสนใจผมเท่าไหร่นั่งผมเลยนั่งฝังตัวหลบมุมให้พวกพี่ๆ ได้ทำงาน ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าเล่นแล็ปท็อป ใช้พื้นที่ให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด



จนกระทั่งจู่ๆ ฌาณก็ลุกออกไปรับโทรศัพท์ พร้อมกับเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด



ในตอนเย็นวันนั้นฌาณถึงได้เฉลยว่าจะมีคนมาหาในวันมะรืน ต้องออกไปรับแต่เช้า ทีแรกผมก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งได้เจอกับหล่อน



บิวคือชื่อของเธอ ผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวผมดำหยักเป็นลอน อายุน่าจะพอๆ กับผมไม่ก็เด็กกว่า ใบหน้าสวยคมราวกับนางแบบปรากฏตัวในห้องพักของฌาณ...หรือต้องบอกว่าห้องของผมกับฌาณ



“อย่าบอกนะว่านี่คือคนใหม่?”



“...ไม่เกี่ยวกับบิวนี่”



“ไม่เกี่ยวได้ยังไง พี่ฌาณก็รู้นี่”



“...”



ผมไม่เคยเห็นฌาณเงียบแบบนี้ เป็นความเงียบที่ไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่เงียบเพราะจนคำพูด



ความประทับใจแรกของผมกับหล่อนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มาถึงก็เอ่ยประโยคไม่น่าฟัง พูดยังกะผมเป็นเด็กของฌาณ ไหนจะสายตาที่มองมาที่ผมราวกับจะดูถูกเหยียดหยาม...ไม่ได้คิดไปเองนะ เป็นใครเห็นหล่อนจ้องจิกอย่างนั้นก็ต้องรู้สึกเหมือนผมทั้งนั้นแหละ



สุดท้ายฌาณก็ไม่ไปตอบคำพูดก่อนหน้าของเธอ แต่แนะนำตัวของผมกับเจ้าหล่อนให้เราได้รู้จักกัน บอกตามตรง ก็ไม่ได้อยากรู้จักคนอย่างนี้เท่าไหร่นักหรอก และดูเหมือนอีกฝ่ายก็คิดแบบเดียวกัน เมื่อฌาณแนะนำตัวผมเสร็จ แขกผู้มาเยือนก็เชิดหน้าลากกระเป๋าวางแผ่จับจองที่ปลายเตียง



“บิวจะมาค้างด้วยสักคืนสองคืนนะ ระหว่างนี้เราก็นอนโซฟาเบดไปก่อน ได้มั้ย?”



“...”



หลายความคิดวิ่งเข้ามาในหัวผมอีกแล้ว บิวเป็นคนรู้จักของฌาณมาก่อน และคงเคยสนิทสนมกันถึงขั้นมานอนพักห้องเดียวกันได้ขนาดนี้ ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ บิวก็สวย...แถมฌาณก็ดูให้ความสำคัญ ผู้หญิงมาขอนอนห้องผู้ชายโดยที่ไม่ใช่ญาติตัวเองขนาดนี้ ก็คงเป็นแฟน...



แฟนเก่ารึเปล่า...



ฌาณไม่เคยบอกผมว่าคบใครอยู่ แต่การที่เขากล้าบอกรักผม รวมถึงการกระทำหลายๆ อย่างทำให้ผมคิดว่าเขาคงโสด และคิดว่าตัวเองคิดถูกมาตลอดจนกระทั่งมาเจอบิวเนี่ย หงุดหงิดแล้วนะ



“เจน?”



พอฌาณเรียกชื่อผมอีกที สติก็กลับเข้าร่าง เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนกัน จะให้หนีไปเปิดโรงแรมนอนคนเดียวก็ไม่อยากให้ฌาณอยู่กับหล่อนสองต่อสอง...



“ก็ได้”



พลันคิดถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ฌาณอยู่กับเธอ...นี่ผมกำลัง...หวง?



ฌาณบอกให้บิวทำตัวตามสบาย เจ้าหล่อนก็ทำอย่างที่ฌาณว่าจริงๆ ราวกับครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ เดินเข้าออก หยิบจับนู่นนี่อย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังขอตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก โดยที่ฌาณไม่ได้ไปเป็นเพื่อนอีก คงคุ้นทางน่าดู ผมเลยแย๊บถามฌาณไปหน่อยๆ



“อืม บิวมาที่นี่...ครั้งที่สิบเอ็ดแล้วมั้ง...หรือสิบสอง?”



“แล้ว...ก็มานอนกับฌาณตลอดเลยเหรอ”



“ก็ใช่”



“...”



“...ไม่ได้มีอะไร อย่าคิดลึก”



“...ยังไม่ทันคิดอะไรเลย”



“บอกแล้วว่าอย่าโกหก” ผมเงยหน้ามองฌาณ ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “หน้ามันฟ้อง”



แล้วผมก็ทำหน้าบูด มุดหน้าหนีฌาณพร้อมขยับตัวหมายจะเดินไปอีกห้องแต่โดนอีกฝ่ายรั้งแขนไว้ ก่อนจะเชยคางผมให้หันมารับรสจูบที่เขาป้อนให้



ครานี้ไม่ยอมคล้อยตามแล้ว



ผมเบือนหน้าหนี ขบเม้มริมฝีปากตัวเองไม่ให้เขาฉวยไปชิมอีก



“เจน?” และดูท่าคนฉลาดอย่างฌาณก็รับรู้ได้ในความผิดปกติของผม



“ฌาณกำลังทำตัวเหมือน...ไนล์”



คนถูกกล่าวหาคิ้วกระตุก โต้กลับ “ไม่เหมือน”



“เหมือน”



“โอเค...เจนอาจจะคิดว่าเหมือน แต่มันไม่เหมือนเข้าใจนะ”



“ไม่เข้าใจ” ผมวรรคก่อนเอ่ยต่อ “You are the one who mess with my feelings, aren’t you?”



“No…” เขาถอนหายใจ “ไม่ใช่ เรื่องนี้แน่นอนเลย สัญญา”



“มันต่างยังไง สุดท้ายฌาณก็คงไม่เลือกผมอยู่ดี”



“นี่เจนกำลัง...หึงพี่?”



“...”



“หึ อย่าเดินหนีสิ ฟังกันก่อน” เขารีบคว้าตัวผมไว้ โอบกอดรอบตัวจนผมดิ้นหลุดไม่ได้



“ไม่ใช่บิว...คนที่ทำให้พี่รู้สึกดีด้วยได้...ไม่ใช่บิว แต่เป็นเรา”



“...”



“บิวเป็นน้องคนรู้จัก รู้จักกันมานาน พี่เห็นเหมือนบิวเป็นน้อง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย...เพราะถ้าพี่จะคิดเกินเลยกับบิวล่ะก็พี่ทำไปนานแล้ว”



“...”



“บิวมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และหลายครั้งก็มานอนที่ห้องนี้ มาคนเดียวบ้าง มากับน้องสาวบ้าง มาเป็นเดือนบ้าง อาทิตย์เดียวบ้าง เชื่อเถอะว่าพี่ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอเลย แต่กับเรา...แค่เดือนเดียวก็ทำเอาพี่เป็นเสียขนาดนี้แล้ว”



“...”



ว่าจบ เขาก็ฝังใบหน้าเข้ากับซอกคอผม แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะ



“รู้ตัวนะ เจน...”



“ปล่อยได้แล้ว ร้อน”



“หึ ไหนว่าขี้หนาว”



“ก็ตอนนี้ร้อน...”



เขาหัวเราะขำ ก่อนยอมปล่อยผมออก ผมไม่แน่ใจว่าคำพูดฌาณเชื่อถือได้มากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผมเชื่อไปมากกว่าครึ่ง...



เย็นวันนั้นฌาณพาเราออกไปกินข้าวข้างนอก ร้านอาหารหรูหราดูเหมาะกับคนอย่างบิวดี จริงๆ ก็ว่าหล่อนไม่ได้นักหรอก ในเมื่อแต่เดิมผมก็ติดกินหรูอย่างนี้เหมือนกัน แค่ตอนนี้ติดฝีมือฌาณจนเกือบจะลืมรสชาติของภัตตาคารอะไรอย่างนี้ไปแล้ว



คืนนั้นเรานอนด้วยกันที่โซฟาเบด บิวเอาแต่ทำเสียงอะไรไม่รู้กุกกักน่ารำคาญ ผมนอนพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ อยากจะฟ้องฌาณแต่เพราะอีกฝ่ายก็อยู่ในห้องด้วยจึงต้องได้แต่อดกลั้น



หงุดหงิดเป็นบ้า



แล้วเรื่องก็น่าหงุดหงิดเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อวันต่อมาฌาณพาผมมาที่ Mission bay พร้อมกับบิว ผมอยากมาที่นี่ก็จริง แต่ไม่ใช่มากับคนที่ผมไม่ชอบนี่!



แน่นอน ผมหน้างอไปทั้งวัน บิวก็เอาแต่จิกกัดผมตลอดเวลา Mission bay เลยไม่สนุกไปเลยในวันนี้



ที่นี่มีหาดทราย ทะเล ลมหนาวพัดจนแสบหู ไหนจะพวกนกที่พยายามแย่งฟิชแอนด์ชิพในมือผมอีก ถ้าไม่มีบิวผมคงไม่อารมณ์เสียขนาดนี้ เพราะนอกจากจะโดนนกแย่งกินแล้ว ยังโดนบิวจิกกัดอะไรไร้สาระอีก



“มา Mission bay ทำไมเนี่ย ก็รู้อยู่ว่ามันไม่มีอะไร”



ก็ผมอยากมา จะทำไม



“ฟิชแอนด์ชิพเหรอ น่าเบื่อสุดๆ โคตรจะเชย”



ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินสิ



“นอกจากแถบทะเลตรงนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว กลับเหอะ เบื่อ”



กลับไปเองสิ แล้วก็หุบปากเสียที ไม่อยากมาก็ไม่มีใครว่าสักหน่อย โอ๊ย ผมอารมณ์เสียมากจริงๆ แล้ว เมื่อไหร่แม่นี่จะไปให้พ้นๆ หน้าเสียที ฌาณคงเห็นผมหน้าบูดเลยหยิกแก้มผมไปที ผมหันหน้าค้อนใส่เขาก่อนคนตรงหน้าจะเอ่ยถามเพื่อระงับความหัวเสียของผม



“หิวน้ำมั้ย”



“...อือ”



“งั้นรอแป๊บ”



แล้วฌาณก็วิ่งไปซื้อน้ำฝั่งตรงข้าม โดยทิ้งผมกับบิวไว้ให้น่าหงุดหงิดกว่าเดิม



ผมเบ้หน้า ยืนมองตรงไปหาฌาณที่อยู่ถนนฝั่งตรวข้าม พยายามยืนห่างจากเธอเพื่อที่จะได้ไม่สติแตก แต่ไม่สำเร็จเมื่อเจ้าหล่อนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับข้อความเสียงที่ผมไม่ได้ต้องการได้ยิน



“...คิดว่าเขาจะรักนายจริงงั้นหรือ”



“...”



“ถ้าคิดจะรักพี่ฌาณ ฉันแนะนำให้ตัดใจเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า พี่ฌาณไม่เคยรักใครหรอก”



“งั้นเหรอ”



“ใช่ เพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว”



“...ไม่เห็นฌาณจะเคยพูดถึง”



“นายสำคัญแค่ไหนล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สำคัญมากพอ จะไม่รู้ก็ไม่แปลก”



“...” ผมเหม่อมองฌาณที่จ่ายเงินซื้อน้ำเสร็จแล้ว กำลังรอสัญญาณไฟข้ามถนนกลับมา “งั้นหรือ ไม่เห็นรู้เลย”



“พี่ฌาณไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคู่นอนคนไหนหรอก มันไม่จำเป็น”



“ผมไม่ใช่คู่นอนเขา”



“จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่แค่พี่ฌาณไม่บอกเรื่องนี้กับนาย ก็แปล่วาไม่ต่างจากคนก่อนๆ หรอก”



“...”



“ไม่ได้อยากขัดขวางเท่าไร แค่เตือนไว้ว่าคนที่พี่ฌาณรักหมดใจจะไม่มีทางเป็นนาย และนายสู้คนๆ นั้นไม่ได้หรอก”



“....มั่นใจจังเลยนะ”



“แน่นอน...ผ่านมากี่ปีก็ยังมั่นใจ ตราบใดที่พี่ฌาณยังใส่แต่เสื้อสีดำอยู่อย่างนี้”



ผมมุ่นคิ้ว ไม่ค่อยแน่ใจกับคำพูดของบิวนัก



“นายไม่มีทางสู้คนที่จากไปแล้วได้หรอก”



“...”



“เพราะคนรักของพี่ฌาณคือพี่สาวฉันเอง”



สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้คนเดิน







❄❄❄❄❄❄







อันที่จริงเจนนินทร์เป็นเด็กที่น่าตีมากๆ คนนึงเลยค่ะ ._.)

แต่เพราะเป็นเจนนินทร์บรรยาย ทุกคนเลยไม่ค่อยรู้ถึงความเอาแต่ใจของน้องเท่าไหร่

คิดว่าถ้ามองในมุมของฌาณน่าจะเข้าใจนิสัยของน้องมากขึ้นนะ



แต่ในตอนนี้มีเรื่องของคนพี่เข้ามาซะแล้ว 555

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ



ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
มีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันเต็มไปหมด  :a5: :a5:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
โอะ ฌาณณณณ มาเคลียยยยยยยยร์ ทำไมทุกคนมีลับลมคมในเบื้องลึกเบื้องหลังไปหมด เครียดละนะ  :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ปมเยอะะะะะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
มีเรื่องเข้ามาไม่หยุดหย่อน แล้วผู้หญิงคนนี้ยังไง
จะหวงฌาณไว้ให้ตัวเองหรอ ถึงสกัดเจนขนาดนี้

เจนน่ารักนะ น้องยังเป็นเหมือนเด็กน้อย ไม่รู้จักโต
แล้วเจนยังคิดไม่ตก และถูกกระทำเพราะการกระทำของตัวเอง
เลยเลือกที่จะโกหก แต่ฌาณก็จับผิดได้ และไม่ทิ้งน้อง

ถึงจะมีเรื่องคนรักเก่าจริง แต่เชื่อว่าฌาณไม่โกหกนะ

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ฌาณไม่ได้โกหกน้องใช่มั้ย แต่ละคนมีแต่เบื้องหลังอันคาดไม่ถึง ติดตามนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 13: As deep as a bite, as dark as the night.





บิวกลับไปแล้ว หมายถึง...เธอออกจากเมืองโอ๊คแลนด์ บินไปเมืองหลวงอย่างเวลลิงตัน เพื่อไปท่องเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ เพียงแต่บินมาถึงก่อนเพื่อแวะมาเยี่ยมฌาณ เห็นความทุ่มเทของหล่อนผมก็นึกทึ่ง รวมถึงหงุดหงิดใจในเวลาเดียวกัน ถ้าผมเดาไม่ผิด บิวต้องแอบชอบฌาณแน่ๆ ถึงได้พูดเหมือนอยากกันผมขนาดนั้น



ผมไม่ได้เชื่อในคำพูดของบิวทั้งหมดใจ เพียงแต่เกือบครึ่งก็เป๋ไปแล้วเหมือนกัน



ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฌาณเลย...แล้วจู่ๆ ก็มีคนมากล่าวอ้างว่ารู้จักฌาณดีเลยทำให้ผมหวั่นไหว ผมไม่ได้ถามฌาณ...เพราะกลัวคำตอบที่จะได้ฟัง และนึกเสียดายที่บิวไม่ได้ให้คำพูดแค่ลมปาก เพราะถ้าอย่างนั้นผมอาจจะทำเป็นปล่อยผ่านไปได้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่เมื่อคำสุดท้ายก่อนจากกันเธอได้แอบกระซิบบอกผมถึงหลักฐานยืนยันคำพูดของตัวเอง ทำให้ความตั้งใจในการปล่อยเบลอของผมล้มเหลว



ลองดูรูปในกล้องพี่ฌาณ...



และนั่นทำให้คำพูดของเธอมีมูลฐานเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย...



ในวันต่อมา ผมทำตามคำพูดของหล่อน หลังจากที่ฌาณออกไปห้องสมุด ผมก็หากล้องของเขาจนเจอในตู้ข้างเตียง ผมถือวิสาสะแอบเปิดมันเพื่อดูรูปถ่าย รูปแรกที่ผมเจอทำให้ผมอมยิ้มเมื่อเห็นตัวเองถูกเจ้าของกล้องแอบถ่าย และรูปต่อมาผมยังคงถูกแอบถ่ายตามที่ต่างๆ เห็นหน้าบ้าง ไม่เห็นบ้าง ส่วนใหญ่จะเน้นวิวกว้างๆ แล้วมีแผ่นหลังของผมประดับอยู่มุมเล็กๆ มากกว่า



ฌาณถ่ายรูปสวยจริงๆ นั่นแหละ...



ผมแย้มยิ้ม กดไล่ดูไปเรื่อยๆ บางรูปผมไม่รู้ตัวเลยว่าถูกฌาณแอบถ่าย ไม่สิ...แทบทุกรูปที่มีผม ผมแทบไม่รู้เลยว่าเขาถ่ายไว้ด้วย ฌาณชอบเดินตามหลังเวลาพาผมไปเที่ยว ทีแรกก็นึกว่าเพราะอยากจะถ่ายรูปวิวเพราะหันไปทีไรก็เห็นเขาเล็งกล้องไปที่ไกลๆ ตลอด



สองมือกดไล่ดูไปเรื่อยๆ จนถึงวันแรกๆ ที่ผมมา รูปถ่ายช่วงนี้มีแต่รูปวิวเสียส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นว่าฌาณเพิ่งมาเริ่มถ่ายรูปผมตอนหลังๆ...



รูปภาพไม่ได้หมดที่วันแรกที่ผมมา แต่ยังมีให้กดไปต่ออีก ทีแรกผมลังเล หวั่นใจในคำพูดของบิว ไม่กล้าแอบดูไปมากกว่านี้ แต่ไหนๆ  ก็คิดว่าฌาณคงถ่ายแต่รูปวิว ก็เลยตัดสินใจกดไล่ดูเรื่อยๆ



และมันก็เป็นรูปวิวสวยๆ ในเมืองอย่างที่คาด



แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก เมื่อเจอรูปผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในภาพถ่าย...



แตกต่างจากรูปถ่ายทั้งหมดที่ผมเห็น ผู้หญิงในรูปไม่ได้ถูกแอบถ่ายจากที่ไกลๆ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของกล้องจงใจขอให้เธอหันมายิ้มให้กล้องเพื่อเก็บรูปไว้ ภาพรอยยิ้มกว้างสดใสของหญิงสาวไม่ได้มีแค่รูปเดียว...



ผมไล่ดูรูปในกล้องจนหมด พลันเรี่ยวแรงก็หายไปราวกลับถูกคนในภาพขโมยไปอย่างนั้น



หญิงสาวในรูปหน้าตาดี เจ้าหล่อนสวยหมดจดแบบไทยๆ คิ้วเข้ม ตาโต ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมสีดำขลับยาวตรงสลวย รูปร่างดีไร้ที่ตำหนิราวกับนางแบบ หน้าตาละม้ายคล้ายกับบิวจนผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นพี่สาวของบิวจากที่หล่อนอ้าง ผู้หญิงคนนี้ครอบครองพื้นที่รูปถ่ายที่เหลือจนหมด สถานที่ที่เธออยู่ในรูปนั้นล้วนเป็นสถานที่เดียวกับที่ผมเคยไป



ควีนสตรีท เมาท์อีเดน วันทรีฮิลล์ โดเมน ทาคาปูน่าบีช ดีวอนพอร์ต เมาท์วิคตอเรีย เชคสเปียร์ปาร์ค มิชชั่นเบย์ รวมไปถึงสถานที่ที่ผมอาศัยอยู่ตลอดช่วงเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมา



ภายในห้องนี้...



จวบจนรูปสุดท้ายที่เป็นรูปแรกสุด ปรากฏเป็นใบหน้าของฌาณขนาบแนบแก้มของหล่อนอย่างชิดใกล้ รูปคู่รูปเดียวในกล้องนี้ และคงเป็นรูปคู่รูปเดียวที่เขาตั้งใจให้มี



หน้าผมชาวาบ ความรู้สึกที่พองฟูเมื่อครู่ฟีบเหี่ยวเหมือนลูกโป่งถูกเจาะ เกิดเสียงดังปั้ง! สนั่นลั่นอยู่ในใจ คล้ายกับโดนค้อนทุบหัวให้รู้ความจริง



ความรู้สึกผิดหวังถาโถมเข้ามาใส่อีกครั้ง... แต่ดันทำอะไรไม่ได้ เพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง...



ความรู้สึกจุกอกจนเจ็บปวดกลั่นออกมาเป็นน้ำตา



ภายในหัวดำมืดราวกับตกลงไปในหลุมอวกาศขนาดยักษ์ โดนดูดกลืนลงไปอย่างไร้ซึ่งทางออก หลงทางเคว้างคว้างอยู่ในความมืด



.



“สุดท้าย...ที่ฌาณบอกว่ารักผมก็โกหกงั้นเหรอ”



รอบตัวดังเป็นเสียงความเงียบ มวลอากาศหนักในห้องพุ่งเข้าใส่ทันทีที่ผมพูดจบ ฌาณยืนนิ่ง เขาขมวดคิ้วก่อนส่ายหน้าช้าๆ



“ไม่ได้โกหก”



ผมหลุบตาลงต่ำ เอ่ยคำพูดปฏิเสธของฌาณ



 “โกหก”



พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ร่วงออกมาจากขอบตาอีกครั้ง ไม่หวังที่จะได้ยินเสียงของเขาอีกต่อไป



หลังจากที่ฌาณกลับมาจากหอสมุดและทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ผมที่ทนไม่ไหวต่อความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาจึงยืนลุกขึ้นไปหาเขาพร้อมกับกล้องของฌาณในมือ ผมรู้ผมอาจเสียมารยาท แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมและฌาณ...ผมก็ควรที่จะมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่หรือ



ฌาณดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทันที เมื่อเขามองหน้าผมสลับกับกล้องในมือ



ทว่าเขากลับนิ่งเงียบไปนานจนผมทำความเข้าใจความเงียบได้เอง เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว…



สุดท้ายก็คงไม่ต่าง



ทันทีที่ผมเบือนหน้าหนี เป็นฌาณที่พุ่งเข้ามาจับแขนผมไว้ รวบตัวผมให้ปะทะกับอกแกร่ง โอบกอดผมจนแทบจมลงไปในตัวเขา



“...ฌาณปล่อย”



“ไม่ปล่อย”



“ฌาณ พอเถอะ ผมเหนื่อย”



เหมือนหนีความรู้สึกแย่ๆ เพื่อมาเจอเรื่องห่วยๆ หวังคิดว่าเขาอาจจะจริงใจแต่มันก็ไม่ใช่ ผมถูกล้อเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าฌาณคงช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องที่ผ่านมาได้ แต่สุดท้ายก็เป็นซะอย่างนี้  เหนื่อยใจแล้ว เหนื่อยจะร้องไห้แล้วด้วย แต่น้ำตาก็ยังกลั่นตัวไหลออกมาไม่หยุดอย่างน่ารำคาญ



“รู้เรื่องจากบิวใช่ไหม”



“...”



“ถ้าพี่ขอโอกาสอธิบาย จะให้พี่ไหม...”



“...”



“เจนครับ”



ในใจผมอยากจะหนี วิ่งไปให้ไกลๆ วิ่งไปจนกว่าจะเจอที่ที่ไม่มีใคร ให้เหลือแต่โลกที่มีผมแค่ลำพัง จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก แต่สุดท้ายความจริงที่รัดผมแน่นไม่ปล่อยให้ผมออกวิ่ง ฌาณไม่ได้พูดอะไร อ้อมกอดของเขากักขังผมไว้ไม่ให้ไปไหน คล้ายรอคำอนุญาต ไหนๆ ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว



“...ยังไงฌาณก็ไม่ปล่อยนี่”



ผมยอมฟังก็ได้



จบประโยค เขากระชับอ้อมกอดแทนคำตอบยืนยัน



“ขอโทษ...ที่ไม่เคยบอกเรื่องนี้”



“ไม่เป็นไร ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นนี่”



“ไม่ใช่...เพราะสำคัญถึงไม่กล้าบอกต่างหาก”



“...”



“โบนิตาเป็นพี่สาวของบิว เคยเป็นแฟนพี่...เป็นคนที่พี่เคยรักที่สุด”



“...และเป็นสาเหตุที่ฌาณเอาแต่ใส่เสื้อสีดำด้วยใช่ไหม” ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างแทบจะทันทีเมื่อจบคำพูดของฌาณ ปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว คำใบ้ว่าคนที่จากไปของบิวไม่ได้หมายถึงการเลิกร้างจากกัน เพราะถ้าหากฌาณยังรักเธออยู่ หรือยังมีการติดต่อกับน้องสาวอย่างสนิทกันขนาดนี้ มันคงไม่ใช่แค่การเลิกกัน



แต่เป็นการจากกันไปแบบตลอดกาล...



“ใช่...”



“ฌาณโกหก” ผมต่อว่าเขาทันที เมื่อเหตุผลที่ผมถามเขาเรื่องชุดในตอนแรกไม่ใช่เหตุผลอย่างนี้ ฌาณบอกว่าแต่งชุดดำเพราะคนที่นี่นิยม ไม่ใช่เพราะกำลังไว้อาลัยแฟนตัวเอง



ทำมาเป็นว่าผม ตัวเองก็ไม่ได้ต่าง..



“...ไม่ได้ตั้งใจ ตั้งแต่วันที่โบเสีย พี่ก็ใส่แต่สีดำมาตลอด...จะบอกว่าจนเคยชินก็ใช่ แต่จะบอกว่าเพราะยังลืมโบไม่ได้ก็ใช่”



น้ำตาผมไหลมากกว่าเดิม



“แต่นั่นเป็นเรื่องจนถึงสองเดือนก่อน...ก่อนจะเจอเจน...”



“...”



“หลังจากที่โบเสียเมื่อห้าปีก่อน ทีแรกพี่ทำใจไม่ได้ อยู่อย่างล่องลอยไร้ความหมายมาเป็นปีๆ แต่พอลุกขึ้นอีกครั้ง พยายามหาใครมาแทนแต่ก็ไม่มีใครสามารถแทนที่โบได้ พยายามเริ่มใหม่กับหลายคนแล้ว แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดสักคน”



“...”



“จากที่เคยคิดว่าคงรักใครไม่ได้แล้ว แต่ดันรู้สึกแบบนี้กับเจน จากที่คิดว่าลืมโบไม่ได้ แต่พอได้ดูแลเจน กลับลืมเรื่องโบไปเสียง่ายๆ อย่างนั้น ความรู้สึกที่คิดว่าชาตินี้คงไม่รู้สึกกับใครแล้วแต่ดันมาเกิดขึ้นกับเจนแค่คนเดียว เจนเข้าใจความหมายใช่ไหม”



ผมเงียบเป็นคำตอบ ไม่แน่ใจในความหมายที่ให้คิดเองเอาเท่าไหร่นัก



“พี่รักโบ เป็นเรื่อจริง ตอนนี้ก็ยังรักอยู่ รักมาก แต่มันจะไม่มีวันเพิ่มขึ้นแล้ว”



“...”



“มีแต่เจนที่ยังรักเพิ่มขึ้นทุกวัน”



“...”



“และคิดว่าจะรักให้ได้มากกว่าเดิม...”



จบถ้อยคำ ความสงัดพุ่งเข้าจู่โจมอีกครั้ง อ้อมกอดอุ่นไม่ได้ทำให้ผมผ่อนคลายเหมือนทุกที ผมปล่อยให้เรื่องที่ได้ยินตกตะกอนอยู่ในหัว เนิ่นนานกว่าจะยอมเอ่ย



“ฌาณโกหก”



“พี่ไม่ได้โกหก”



“ผมไม่เชื่อ...”



“...ไม่เป็นไร”



“...”



“ยังไม่ต้องรีบเข้าใจหรือเชื่อพี่ตอนนี้ก็ได้...มันคงเร็วไป...”



“แค่คำพูดใครก็พูดได้”



“ก็ใช่ พี่เลยไม่ว่าเจน เพราะเจนรับรู้ความรู้สึกของพี่ได้แค่จากคำพูด...พี่พยายามจะทำให้เจนรู้สึกนะ...แต่สองสามเดือนมันคงน้อยเกินไป”



“...”



“รวมถึงในตอนนี้ใจของเจนยังมีคนอื่นอยู่ด้วย”



“...ผมรักไนล์”



“พี่ก็รักโบ”



“...คนเรารักใครพร้อมกันสองคนไม่ได้หรอกฌาณ”



“พี่รู้...”



“พี่บอกว่ารักผม แต่ก็ยังรักคนที่ชื่อโบ”



“ความรักบนโลกใบนี้มันมีหลายประเภทนะเจน...รักพ่อแม่ครอบครัว รักเพื่อน...พี่รักโบก็จริง...แต่ในตอนนี้มันเป็นความรักรักแบบอาลัยอาวรณ์ โหยหาคิดถึง แต่กับเจน...” เขาเว้นวรรค



“พี่รักแบบที่ต้องการจะเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เหลือใหม่อีกครั้ง อยากให้อีกครึ่งชีวิตของพี่มีเจนร่วมอยู่ด้วย...”



ฌาณกระชับอ้อมกอดแน่น ซบหน้าลงมาที่ไหล่ผม ไม่ปล่อยให้ผมจมอยู่ในความเงียบ



“อยากโอบกอด ครอบครอง หวงแหน มอบความสุขให้”



“...”



“เข้าใจพี่ไหมครับ”



ผมไม่ตอบ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ขลาดเขลาเกินกว่าจะตอบ แกลนกลัวว่าหากตอบไปจะเป็นการยอมรับในความรู้สึกของเขา กริ่นเกรงว่าจะยินยอมให้เขาเข้ามาครอบครองเป็นเจ้าของตัวเอง



ทั้งๆ ที่หัวใจผมยังมีไนล์อยู่



ฌาณไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงลูบหัวผมแผ่วเบาก่อนผละออก เดินไปถอดเสื้อคลุมแขวนไว้กับผนัง อากัปกริยาปกติทำตัวตามชีวิตประจำวันเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น



และผมคงคิดว่าฝันไปถ้าฌาณไม่ได้เอ่ยขึ้นมา ดึงให้ผมสู่ความจริง



“พี่ไม่รีบหรอก เจนค่อยๆ รับรู้ความรู้สึกพี่ไปก่อนก็ได้”



“...”



“รอเวลาที่จะเจอใครมาหลายปีแล้ว รออีกหน่อยก็คงไม่ตาย”



เขาว่า เยื้อนยิ้มเจือจาง ก่อนหันไปเก็บข้าวของตามความเคยชิน ผมมองการกระทำของเขาจวบจนฌาณลงมือทำอาหารค่ำ ถึงได้ละความสนใจ



หลังจากนั้นฌาณก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ ทิ้งให้ผมจมอยู่ในความรู้สึกสับสนอยู่คนเดียว ใจร้าย...ถ้ารักผมจริงทำไมต้องทำให้ผมกังวล ทำไมไม่เอาใจผมบ้าง ใครๆ เขาก็ทำกันไม่ใช่หรือไง ผมสับสนกับการกระทำของฌาณ ปากบอกว่ารักว่าชอบ แต่การกระทำไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผ่านมา...



หรือว่าที่ผ่านมาเขาก็ชอบผมอยู่แล้ว การกระทำแบบนี้คือเอาใจแล้วงั้นหรือ



แต่สุดท้ายเขาก็ทำดีกับผมเหมือนที่เคยทำ ใจดีแต่ไม่เอาใจ ผมแอบเบ้ปากเล็กน้อย คิดว่าชอบผมแล้วจะยอมทำตามใจผมนี่นา ผมเปิดตู้นำจานชามออกมาตามคำสั่งของเขาอย่างไม่เข้าใจ แน่นอนว่าฌาณพูดสอนผมโดยไม่ต้องรอให้ตั้งคำถาม



“พี่อยากให้เจนโตขึ้น หัดรู้จักกับความรู้สึกหลายๆ อย่าง รวมถึงทำอะไรหลายๆ อย่างที่ปกติไม่เคยทำด้วย”



“ผมไม่เห็นอยากทำ”



“เจนจะรอให้มีคนมาทำให้ตลอดไม่ได้หรอก คนเรามันต้องโตขึ้นกันบ้าง”



“...มันยุ่งยากเกินไป...ไม่เห็นอยากโตเลย ไม่โตไม่ได้เหรอ”



“เจนก็รู้นี่ว่าเจนกำลังเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เจนทำ”



“งั้นถ้าผมไม่สร้างปัญหาก็จะเป็นเด็กได้ตลอดไปใช่มั้ย” เป็นผู้ใหญ่มันยุ่งยาก น่าเบื่อและน่ารำคาญด้วย ผมไม่เห็นอยากจะมารับผิดชอบอะไรพวกนี้เลย



“...ก็อาจจะ แต่คนเราย่อมเจอปัญหาทั้งนั้น เจนก็น่าจะรู้...แล้วเราก็ล้วนเติบโตได้จากปัญหานั่นแหละ”



“ถ้าอย่างนั้นผมเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องก็ได้นี่ ไม่ต้องสนใจปัญหา ในเมื่อมีคนพร้อมจะจัดการกับมันแทนผม หรือถ้าจัดการไม่ได้ ผมก็หนีได้”



“ก็ได้...อยู่ที่เราจะพอใจรึเปล่าล่ะ...”



“...”



“อีกอย่าง คนเราหนีไปตลอดไม่ได้หรอกเจนนินทร์”



เขาสอน สอนทั้งๆ ที่หั่นผักเตรียมทำกับข้าวนั่นแหละ พูดคุยกับผมราวกับคุยหัวข้อชีวิตประจำวันทั่วไป บอกเล่าเรื่องราวเฉยๆ เหมือนวันนี้ไปเจอร้านอาหารร้านนึงอร่อยมากนั่นแหละ



ผมหนีปัญหามาได้เรื่อยๆ ก็จริง ในเมื่อมีหลายทางเลือกที่จะทำให้ผมหาทางมีความสุข ทำไมผมจะไม่เลือก...แต่อย่างที่ฌาณว่า เราหนีตลอดไปไม่ได้ อาจหนีจากปัญหาอย่างหนึ่งได้แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจอกับปัญหาอีกอย่าง



เป็นมนุษย์นี่ยุ่งยากชะมัด อยากเกิดเป็นแกะ เล็มหญ้ารอคนตัดขนไปวันๆ แล้วก็หมดอายุขัยตายไป



เหนืออื่นใด อ้อมกอดของฌาณยามค่ำคืนกระชับแน่นขึ้นทุกวัน ตระกองกอดผมราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไป หรือกำลังพยายามทำให้ผมเชื่อใจเขาให้ได้ก็ไม่รู้...



ผมใช้ชีวิตกับฌาณเรื่อยเปื่อยในเดือนสุดท้าย ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนไกลอีกเพราะฌาณไม่ค่อยว่าง ต้องรีบปั่นวิจัย ส่วนผมก็ได้แต่เดินเล่นแถวควีนสตรีท หาซื้อของฝากไปให้ครอบครัวที่ไทย ช็อปปิ้งให้ตัวเองด้วยและส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง ที่บ้านผมของเยอะจนจะล้นแล้ว กลัวซื้อมากไปแล้วไจจะเอาไปถมที่มากกว่า



แต่ฌาณก็ยังอุตสาห์เจียดเวลาพาผมกลับไปที่ Parnell Village อีกครั้ง เพื่อซื้อช็อกโกแลตเป็นของฝากให้ทางบ้านตามที่เขาเคยเสนอ นอกจากตอนนั้น ผมจะได้เจอฌาณแค่ตอนเย็น หลังจากเขาทำงานเสร็จนั่นแหละ



แน่นอน ผมงอแง อยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อน แต่ฌาณก็ไม่เอาใจผมอีกตามเคยจนอารมณ์บูด ผมอยากเจอหน้าเขา อยากอยู่กับเขานานๆ ก่อนที่จะต้องกลับไทย แต่เพราะคำถามของฌาณทำให้ผมต้องหยุดงี่เง่า หันกลับมาถามตัวเอง



“รักพี่แล้วหรือไง”



ผมไม่แน่ใจในคำตอบ รู้แค่ว่าอยากอยู่กับเขา ทั้งๆ ที่ผมยังคิดถึงไนล์นั่นแหละ ผมรู้ว่าอารมณ์มนุษย์ยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่คิด และคนโง่อย่างผมคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอก



ผมคุยกับไจเป็นพักๆ ปล่อยให้ไจติดต่อผ่านฌาณเหมือนที่ผ่านมาหรือถ้ามีเรื่องเร่งด่วนเขาก็จะส่งเมล์มาแทน และส่วนใหญ่เขาก็ส่งเมล์มา แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเมล์ถามสารทุกข์สุกดิบไปวันๆ ส่วนผมคงขยาดกับไลน์ไปอีกสักพักใหญ่ๆ เลย ไจดีใจที่ใกล้จะได้เวลากลับของผมแล้ว แต่ตัวผมเองกลับห่อเหี่ยวมากขึ้นทุกวันเมื่อเวลากลับไทยเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเลื่อนตั๋วไม่ได้หรือ...



เคยบ่นกับฌาณไป แต่เขาก็ยิ้มมุมปากเหมือนทุกที และสอนผมเหมือนทุกที



“เจนกลับไปแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อเถอะ จะได้สบายใจ”



และจริงอย่างที่เขาว่าทุกคำ ทุกวันนี้ผมเอาแต่วิตกเกี่ยวกับเรื่องของไนล์ แม้จะไม่ได้แสดงออก แต่เรื่องราวของเขาต้องมาโผล่อยู่ในหัวแทบทุกวัน เหมือนมาตอกย้ำความผิดพลาดที่ตีตราเป็นรอยสักในชีวิตของผมไป รอยสักที่จงใจสักมันลงตรงไหนสักที่ของจิตใจ ด้วยความผิดพลาดของตัวเอง



ผมควรกลับไป...ไม่ได้จะไปลบรอยสัก



แต่เพื่อเปลี่ยนรอยสักที่คิดว่าเป็นความผิดพลาดเป็นความหมายอะไรสักอย่างในชีวิต



ทั้งที่ตั้งใจแน่วแน่แล้ว ทว่าเพียงสองวันก่อนกลับ…ในอ้อมกอดอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศหนาว



ผมร้องไห้ไม่หยุดเมื่อคิดว่าจะต้องจากคนตรงหน้าไป...







❄❄❄❄❄❄




ไม่มีปมดราม่าอะไรหรอกนะ จริงๆ 

เป็นนิยายเรื่อยๆ เอื่อยๆ นี่แหละค่ะ 5555

น้องกลับไทยแล้ว และอีกสองตอนก็จบแล้วนะ

:catrun:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โล่งใจ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เก็บเรื่องคนรักเก่าไว้เป็นความทรงจำดีๆดีกว่า ไม่ลืมไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้าหรือเร็ว
เป็นกำลังใจให้ฌานกับน้องเจนนะ จะได้เริ่มต้นใหม่กันซักที

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ก็ต้องรู้ใจตัวเองเร็วๆนะ เพื่อคนที่เขารออยู่  :mew1:

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ไม่รู้จะสงสารใคนก่อนดีระหว่างฌาน เจน หรือตัวเองที่ลุ้นตาม 555
อย่างน้อยเจนก็กำลังค่อยๆเรียนรู้และเติบโตขึ้นละนะ
สู้เค้า ทาเคฌาน! :hao7:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
กลับไปเคลียร์ปัญหาให้จบแล้วเริ่มต้นใหม่กับพี่เค้าเนอะลูกแกะเนอะ

ออฟไลน์ diltosscap

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
สงสารเจน เจนที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง อยากให้น้องมีความสุข

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 14 : Is it true that pain is beauty?



ผมไม่อยากกลับ...



ไม่ได้เอ่ยออกไปแต่ฌาณคงสัมผัสได้ เขายืนลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา แย้มยิ้มจางๆ คล้ายกับพยายามปลอบประโลมผมอยู่



“ป่ะ รถมาแล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่ง”



เงียบเป็นคำตอบ ปล่อยให้เขายกกระเป๋าของผมขึ้นรถบัสที่จะไปสนามบินให้ เขาจ่ายค่าเดินทางสำหรับสองที่พร้อมกับจูงแขนผมไปหาที่นั่ง ท่าทางราวกับแค่จะพาผมไปส่งที่โรงเรียน  ไม่เห็นมีทีท่าอาลัยอาวรณ์เหมือนผมเลย



“ซึมอะไร ทำเหมือนจะไม่ได้กลับมาแล้ว”



“...”



“ถ้าเจนคิดถึงที่นี่ก็แค่บอกไจ เดี๋ยวก็ได้กลับมาแล้ว”



“แต่ฌาณเป็นคนบอกเองว่าจะไม่มาเจอ”



“ก็ใช่...พี่จะไม่เจอเจน แต่ถ้าเจนอยากมาก็มาอีกได้ไง แค่จะไม่เจอพี่”



“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้ามาแล้วไม่เจอฌาณ”



“ทำไม? อยากเจอพี่ขนาดนั้นเลย”



“...”



ผมกัดปาก เกลียดที่ฌาณชอบพูดดักทางไปหมด



คืนก่อนจะถึงวันกลับ เขาตกลงกับผมว่าหลังจากนี้ไปจนถึงปีหน้า จนกว่าจะทำวิจัยเสร็จ เขาจะไม่มาเจอผม จะไม่กลับไทย หรือต่อให้ผมมาหาเขาก็จะไม่มาเจอ



เพราะเขาอยากให้ผมไปทำความเข้าใจตัวเองให้เรียบร้อยก่อน



ถ้าผมชอบฌาณจริง เขาขอให้มิถุนายนปีหน้ามาเจอกันที่สนามบินที่ Christchurch และระหว่างนี้ขอให้เราไม่เจอกันเลย



ฌาณจะบ้าเหรอ! ทำไมผมต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งเกือบปี ทำไมผมจะมาหาฌาณไม่ได้ ที่อยู่เขาผมก็รู้ มหาลัยเขาผมก็ไปเป็น ไทยกับนิวซีแลนด์อยู่ไกลกันก็จริงแต่ใช่ว่าผมจะมาไม่ได้ ผมคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วถึงได้ยื่นข้อเสนองี่เง่าเช่นนี้



“พี่ก็คิดว่าตัวเองบ้าเหมือนกันแต่พี่ให้เวลาเจนนะ เจนบอกเจนยังรักไนล์ ถึงแม้ว่าพี่อยากอยู่ข้างเจนและทำให้เจนลืมเขา แต่ยังไงพี่ก็อยากให้เจนหัดรับมือกับปัญหาที่เจนสร้างขึ้นมาเหมือนกัน เจนรักไนล์มานานแล้วใช่ไหมล่ะ พี่ไม่คิดหรอกว่าเจนจะตัดใจได้ง่ายๆ ในเดือนสองเดือนหรอก เพราะพี่ก็เคยเป็น”



“...”



“เพราะอย่างนั้น ถึงได้ให้เวลาเจนยาวๆ เพื่อให้เจนสรุปความรู้สึกตัวเองได้ ถ้ายังรักไนล์อยู่ ก็อย่ากลับมา แต่ถ้าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ ก็ขอให้กลับมา”



“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าถึงตอนนั้นแล้วฌาณจะคิดแบบเดียวกับผม”



“นั่นสินะ...พี่ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นแล้วเจนจะรักพี่ไหมเหมือนกัน ก็แฟร์กันดีเนอะ”



แฟร์บ้าบออะไรเล่า ฌาณงี่เง่า จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวตั้งเกือบปี ให้อยู่กับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกอย่างสุ่มเสี่ยงว่าจะรอดหรือไม่รอด แล้วก็จะรอให้กลับไปเนี่ยนะ



แต่เอาเข้าจริง ผมก็เริ่มคิดว่าถ้าตัวเองโวยวายได้ขนาดนี้ ไม่ได้แปลว่าว่าตัวเองเริ่มมีใจให้เขาแล้วหรอกหรือ



ในเมื่อผมไม่ชอบใจที่จะไม่ได้เจอฌาณ



ผมไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน และหลังจากที่เถียงกับเขาแทบตาย ผมก็ได้ข้อสรุปว่าผมควรกลับไปจัดการเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้จบสิ้นเสียดีกว่า ถ้าผมมีความกล้าที่จะเจอไนล์มากพอ และถ้าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้มันคงง่ายขึ้น



“แต่ระหว่างนี้เรายังติดต่อกันได้ใช่ไหม” ผมถามขึ้นขณะที่พวกเรานั่งอยู่ในรถบัส รอเวลาที่รถจะออกเดินทางไปสู่สนามบิน



“อืม แต่ติดต่อผ่านไจนะ”



“ฌาณ!” ผมร้อง หันไปค้อนใส่เขา “ไจยุ่งจะตาย กว่าจะได้คุยกับฌาณก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไจจะว่างอ่ะ”



“อยากคุยกับพี่ขนาดนั้นเชียว”



“แล้วฌาณไม่อยากคุยกับผมขนาดนั้นเลยหรือไง”



“...”



ผมโต้ เบะปากไม่พอใจ เอาแต่ต้อนผมอยู่นั่นแหละ คนบอกว่าชอบผมก็เขาทั้งนั้น ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขให้ยุ่งยากด้วย อยากเจอก็ไปเจอ อยากคุยก็คุยไม่ได้หรือไง



ฌาณยกยิ้มมุมปาก



“พี่อยากตามเจนกลับไทยเลยด้วยซ้ำ”



“ก็มาสิ” ฌาณเองก็มีเงินอยู่พอสมควร หรือถ้าเขาไม่มีผมออกให้ก็ได้



“...ไม่ได้หรอก ไม่งั้นเจนจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”



“แล้วผมต้องเรียนรู้อะไรให้มันมากกว่านี้ด้วยเหรอ ถ้าผมชอบฌาณระหว่างที่อยู่ไทย แต่ผมไปหาฌาณไม่ได้ ฌาณไม่กลัวว่าผมจะเลิกรักฌาณหรือไง แล้วยังไงล่ะ ถ้าผมยังชอบฌาณก็หมายความว่าผมต้องทรมานไปตลอดปีเลยใช่มั้ย”



“...”



“ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเสียเวลาด้วย” ผมโวยวาย สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว อารมณ์เสียใจน้อยใจ ไม่ได้ดั่งใจตีรวนเข้ามาเต็มไปหมด และผมก็ไม่ใช่คนอดทนเก่ง



คงเป็นอย่างที่เขาเคยว่า ที่เวลาเจออะไรไม่ถูกใจก็จะร้องไห้ เกลียดนิสัยตัวเองแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้นี่



“ไม่ร้องสิ โอเค...ปีใหม่ โอเคมั้ย ปีใหม่จะกลับไปหาที่ไทย”



“...อีกตั้งสี่เดือน”



“ก็ดีกว่าสิบเดือน จริงไหม”



“แล้วทำไมเราถึงเจอกันเร็วกว่านั้นไม่ได้”



ผมสะอื้นฮัก จนคนขับหันมามอง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ส่วนฌาณก็พยายามเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ



“พี่...” เขาเว้นวรรค ก่อนจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจ



“...”



“...เคยสัญญากับแม่เขาไว้ว่าจะรักแค่โบตลอดชีวิต และพี่กำลังทำผิดสัญญา เรื่องมันผ่านมานานแล้ว มันอาจไม่ได้สำคัญอะไร แต่อย่างน้อยพี่ก็อยากจัดการเรื่องนี้ให้มันจบเหมือนกัน”



“...”



“พี่ไม่ได้กำลังจะลืมโบ แต่สิ่งที่พี่กำลังทำคือทำให้เจนเข้ามาในชีวิตพี่ได้ง่ายขึ้น ส่วนเจนเอง...ก็กลับไปจัดการเรื่องไนล์ให้เคลียร์ เข้าใจใช่ไหม”



“มันจะง่ายขึ้นยังไง...”



ผมแย้งเงียบๆ รวมถึงเกลียดคำว่าเข้าใจใช่ไหมของฌาณ มันเหมือนเป็นการบังคับให้ผมเข้าใจ



“ไม่ร้องสิ กลับไปไม่มีใครเช็ดน้ำตาให้แล้วนะ”



“...ฌาณก็กลับมาเช็ด...ให้ผมสิ” ผมสะอื้นตอบเขา สุดท้ายยังไงผมก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องหาเรื่องให้เราไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้น



“พี่เชื่อว่าถ้าเจนมีระยะเวลาในคิดหรืออยู่กับตัวเองมากๆ ความรู้สึกเจนจะชัดขึ้น”



ว่าจบ รถบัสก็แล่นออกจากป้ายรอรถ ขับตรงไปยังเส้นทางสู่สนามบิน



ใช้เวลากว่าสิบสองชั่วโมงในการบินข้ามทวีปมาสู่ประเทศไทย ประเทศที่คงความร้อนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไจเป็นคนมารับผมถึงที่ และเอาแต่บ่นเมื่อเห็นว่าตาผมบวมจากการร้องไห้ขนาดไหน แหงล่ะ ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบินผมเอาแต่ร้องไห้และนอนไม่หลับ ครั้นเหนื่อยอยากจะนอนก็มีหน้าฌาณโผล่เข้ามาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมจะไม่เจอเขาไปอีกเกือบปี น้ำตาก็ไหลพรากๆ



เป็นอย่างนี้วนไปจนถึงประเทศไทย ผมเหนื่อยแทบตาย ตาไม่บวมก็ให้มันรู้ไป



ไจก็บ่น หาว่าสายการบินไม่ดูแล ทั้งๆ ที่ผมนั่งเฟิร์สคลาส ได้รับการดูแลอย่างดี เพียงแค่คนที่อยากให้ดูแลไม่ได้อยู่ด้วยก็แค่นั้น



เราเดินมาถึงรถโดยที่ผมไม่ต้องแบกกระเป๋าตัวเองเลยสักนิด เมื่อไจให้คนของเขาช่วยลากกระเป๋าให้ รวมถึงขับรถให้ด้วย ระหว่างทางผมเล่าเรื่องการใช้ชีวิตคนเดียวที่ผ่านมา รวมถึงโม้เรื่องนิวซีแลนด์ตลอดเลย ชอบอันโน้น ถูกใจอันนี้ จนไจบอกว่าถ้าอยากไปอีกก็ให้บอก



ผมเลยพูดถึงฌาณ บอกว่าครานี้ถ้าไปที่นั่น ฌาณจะไม่มาเจอผมแล้ว แต่ไจกลับดูไม่ใส่ใจอะไร เพราะเขาบอกให้หาคนที่นี่ไปเป็นเพื่อนเอาก็ได้ แต่ผมไม่ได้สนิทกับพี่ๆ ในบริษัทนี่ อันที่จริง ก่อนจะเจอฌาณผมก็ไม่ได้สนิทกับเขานี่นา...



แม่ออกมาต้อนรับผมทันทีที่ถึงบ้าน ผมโดนเขกหัวเบาๆ จากผู้เป็นแม่ไปทีนึง ข้อหาทำให้เป็นห่วง แต่สุดท้ายแม่ก็กอดผมแน่น คิดถึงและดีใจที่ผมกลับมา แม่บอกว่ากลัวผมเลื่อนตั๋วไม่ยอมกลับแล้ว และผมก็เคยคิดอย่างนั้นจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาอยู่ดี



“แม่...แล้วพ่อกับเจด...”



“อยู่บริษัทน่ะ แม่บอกเขาแล้วว่าเจนกลับมาวันนี้ เดี๋ยวตอนเย็นไปทานข้าวด้วยกันนะ”



ผมก้มหน้าหงอย ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าพวกเขาอยู่ไหน เพียงแต่เรื่องที่ผมอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนี้เสียหน่อย



“...เรื่องไนล์ พี่จัดการให้แล้วน่า”



สุดท้ายก็เป็นไจที่เดาใจผมได้



“จัดการอะไร”



“ก็อธิบายให้พ่อกับเจดเข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เชื่อพี่สิ”



ผมพยักหน้า ไม่แน่ใจเต็มร้อยแต่ก็เชื่อเขา ไจไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และเย็นวันนั้นก็เป็นตามคาด พ่อกับเจดที่ผมคิดว่าจะต้องโกรธที่ผมทำเรื่องงามหน้าไว้ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ชวนผมกินนู่นนี่ หาว่าอาหารไทยที่นิวซีแลนด์ยังไงก็สู้ที่นี่ไม่ได้ ชวนผมคุยเรื่องที่นู่น ถามว่ามีแนวโน้มธุรกิจอะไรให้ลองไปลงทุนไหม แน่นอนว่าผมไม่รู้หรอก ก็เอาแต่เที่ยวอย่างเดียวนี่ แต่ผมรู้ว่าพ่อแค่หาเรื่องคุยเฉยๆ



ผมดีใจนะที่พวกเขาไม่โกรธผม แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ตัวเองดีว่าผิดและสร้างปัญหาให้พวกเขามากขนาดไหน



ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะนอนคนเดียวได้โดยไม่ร้องไห้ คิดถึงฌาณแทบบ้าตาย ระยะเวลาแค่สามเดือนทำให้ผมติดเขางอมแงม คิดถึงผ้าห่มอุ่นๆ ในเวลาที่อากาศหนาวๆ คิดถึงโกโก้ร้อนฝีมือเขา คิดถึงอาหารฝีมือเขา คิดถึงเสียงเครื่องอบผ้า คิดถึงเมืองโอ๊คแลนด์ และคิดถึงฌาณ...



ผมพอจะรู้ใจตัวเองมาสักพักแล้ว ติดตรงที่ผมไม่แน่ใจเรื่องของไนล์ การที่ไม่ได้เจอไนล์ทำให้ความรู้สึกมันคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือมันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเปลี่ยนยังไง



เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจึงเลือกที่จะไปงานแต่งงานของไนล์อีกครั้ง



ไนล์กับลินจัดงานแต่งสองครั้ง ครั้งแรกคืองานแต่งแบบทางการ เชิญญาติผู้ใหญ่ต่างๆ มาร่วมพิธี แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งงานแค่ในกลุ่มเพื่อน จัดกันเองและมีแต่เพื่อนๆ เท่านั้นที่มาร่วมงาน



ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับรึเปล่า



แต่เพราะไจฝากการ์ดเชิญมาให้ บนการ์ดจ่าหน้าซองที่เป็นชื่อของผม ผมถึงได้เข้าข้างตัวเองว่าผมมีสิทธิไปงานนั้น และหวังว่าตัวเองจะกล้าพอที่จะไปเผชิญหน้ากับเขา



พอยิ่งใกล้วันนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็กระสับกระส่ายถึงขั้นนอนไม่หลับ ไจเองก็ไม่ค่อยว่างทำให้ผมไม่ได้ติดต่อกับฌาณเท่าไหร่ ทำไงดี ผมอยากให้เขากอดปลอบผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมอาจจะสงบลงได้ และอาจจะมีความกล้ามากขึ้น



ผมรู้...ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะงอแงให้เขามาปลอบเหมือนทุกที ถึงเวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง และมันควรจบได้แล้ว

 



❄❄❄❄❄❄



“ร้องไห้ทำไมหืม”



“...ผมคิดถึงฌาณ”



“พี่ก็คิดถึงเรา”



“ผมไปหาได้หรือยัง ผมเคลียร์เรื่องไนล์แล้ว เข้าใจกันแล้ว ตอนนี้ผมคิดถึงฌาณ”



“เด็กดื้อ สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ”



“ผมไม่ได้สัญญากับฌาณสักหน่อยว่าจะทำตาม”



“ก็แย่สิ...เพราะพี่สัญญากับไจไว้”



“...”



“อ่า...ซวยล่ะ”



“หมายความว่าไง ไจบอกไม่ให้ฌาณมาเจอผมเหรอ”



เขายกยิ้ม และนั่นทำให้ผมรู้ว่าฌาณจงใจหลุดความลับออกมา คนไม่ดี โกหกผมงั้นหรือ



“ดึกแล้วเจ้าแกะน้อย ไปนอนได้แล้ว”



“ฌาณอย่าเปลี่ยนเรื่อง!”



“ถามไจเองแล้วกัน พูดเรื่องวันนี้ดีกว่า เป็นไงบ้าง”



ผมเกลียดที่ฌาณเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย แต่ก็เกลียดตัวเองด้วยที่ยอมคล้อยตามเขา ผมเล่าเรื่องราววันนี้ให้ฌาณฟัง ด้วยหวังว่าเขาจะยอมใจอ่อน ยอมมาหาผมหรือให้ผมไปเจอเสียที..



งานแต่งจัดขึ้นที่พัทยา ไนล์กับลินจองหาดส่วนตัวก่อนจัดปาร์ตี้กันริมทะเลที่นั่น งานเริ่มช่วงเย็น และผมก็ไปหลังจากเริ่มไปได้สักพัก...อันที่จริง ผมอยากไปตอนงานใกล้เลิก เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นตัวทำลายบรรยากาศงานมงคลของเพื่อนสนิท แต่เพราะไจบอกให้ไปเร็วๆ จะได้ไม่เสียมารยาทผมเลยทำตามที่ไจว่า



โดยลืมไปว่างานนี้มีแต่เพื่อนกันทั้งนั้น ผมไม่จำเป็นต้องเคร่งมารยาทขนาดนี้ก็ได้



เพราะถ้าก้าวขาไปในงานแล้วทุกคนจะมองมาขนาดนี้...



ผมใจเสีย อยากจะหนีออกไปจริงๆ แต่ไนล์เดินมารับผมเข้าไปในงาน นึกขอบคุณตัวเองที่อย่างน้อยการมาเร็วก็ทำให้คนร่วมงานยังมากันไม่เยอะมากเท่าที่ควร



“เจน...ขอบคุณที่มานะ”



“...”



“กินอะไรมาหรือยัง”



“...”



“ทางนั้นมีบาร์บีคิว”



“ไนล์...”



“ห้ะ หืม?”



“เราขอโทษ...”



“อ่อ...เรื่องนั้น...”



“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เราแม่งโคตรเหี้ย ขอโทษที่ก่อเรื่อง ขอโทษที่ทำให้เสียความรู้สึกนะ ขอโทษ...ขอโทษ”



ไม่รอช้า เมื่อเห็นหน้าเขาคำพูดผมหล่นออกจากปากโดยแทบไม่ต้องผ่านความคิดด้วยซ้ำ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเรียบเรียงคำพูดที่จะมาพูดกับไนล์ แตว่าเมื่อเจอหน้าเขาก็มีแต่คำว่าขอโทษอย่างเดียว ทันทีที่คำพูดพรั่งพรูออกมาจนหมด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ล้นทะลักออกมา ผมร้องไห้อีกแล้ว น่าเบื่อเป็นบ้า แต่ถึงอย่างนั้นกลับหยุดร้องไม่ได้เมื่อได้เผยความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจ



 “เจน...ไม่เป็นไร เราไม่โกรธแล้ว”



“ขอโทษ...ถึงรู้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้...แต่ขอโทษจริงๆ”



ไนล์เอื้อมแขนมาตบบ่าผม โอบไหล่ผมไว้แล้วโยกตัวไปมา ส่วนผมก็สะอื้นอยู่นั่นแหละ



“ไม่เป็นไรแล้ว เราไม่คิดอะไรเรื่องนั้นแล้วถึงแม้ตอนแรกจะโกรธนั่นแหละ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้วเราก็รู้ว่าเรามีส่วนผิด”



“...”



“เรารู้ว่าเจนชอบเรามานานแล้ว...ตั้งแต่มัธยม”



“...”



“แต่เราก็ยังทำแบบนั้นกับเจน...เราแม่งก็เหี้ยเนอะ”



“ไม่...ฮึก ไม่หรอก”



“อันที่จริงตอนแรกเราคิดว่าเราอาจจะชอบเจนก็ได้ แต่พอเราได้จูบกันจริงๆ เราถึงรู้ว่าไม่ใช่ เราเองสิที่ผิด เริ่มเรื่องเองทั้งหมดเพราะอยากพิสูจน์ความรู้สึกตัวเอง แล้วพอเจนทำกลับบ้างเราดันไปโกรธจะเป็นจะตาย โดยที่ลืมไปว่าตัวเองทำอะไรไว้”



“...” ผมไม่มีเสียงตอบกลับแล้ว ก้อนสะอื้นมันดันขึ้นมาจนจุกไปหมด



“แล้วพอเกิดเรื่องขึ้น เราก็โทษว่าเป็นความผิดเจน แต่หลังจากได้บอกลินแล้วคิดดีๆ เราถึงรู้ตัวว่าเราเองต่างหากที่โคตรเหี้ย เราเป็นคนเริ่มเอง เป็นคนทำให้เจนเสียใจเอง”



“ไม่...ไนล์ ฮึก...ไม่...”



“เพราะงั้นเราก็ขอโทษเจนนะ ขอโทษมากๆ เลย”



ผมไม่คิดว่าไนล์ผิดอะไร แม้เขาจะสารภาพเรื่องราวมาตั้งแต่ต้น แต่ผมก็คิดว่าเป็นผมเองที่หวังมากไปเอง และทำร้ายเขาจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เป็นแผลดำมืดกัดกินอยู่ในใจ จนสุดท้ายผมก้มหน้าสะอื้นจนไนล์ต้องประคองผมไว้ไม่ให้ทรุดลงไปนั่งกับพื้นทราย ไม่ได้ทรุดเพราะเจ็บปวดแต่เพราะยินดีที่เรื่องราวที่ราวกับเป็นเนื้อร้ายในอกค่อยๆ จางหายไป ผมร้องไห้ไม่หยุด เมื่อคิดว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ผมคาดหวัง



ผมไม่ต้องทนทรมานกับการคิดว่าจะโดนไนล์เกลียดแล้ว



กว่าจะเลิกร้องไห้ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ไนล์ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่ไปไหน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปค่อนข้างนาน ผมเกรงใจเจ้าบ่าวเอาเสียมากๆ เลยบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรแล้ว ให้เขาออกไปต้อนรับเพื่อนๆ สนุกสนานกับคนอื่นๆ เถอะ พร้อมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิท ไนล์ถามย้ำว่าผมโอเคจริงๆ แล้วใช่ไหมตั้งนานกว่าจะยอมไป



ผมนั่งดูพวกเขาหยอกล้อกัน ทั้งคู่บ่าวสาว ทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ต่างตั้งวงพูดคุยอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผมไม่ขอให้ทุกคนเข้าใจเรื่องทั้งหมดหรอก ยังไงเสียมากกว่าครึ่งมันก็เป็นความผิดของผม การกระทำของผมสมควรที่จะได้รับการถูกรังเกียจจริง ผมขอแค่ไนล์เข้าใจว่าผมเสียใจมากจริงๆ ก็พอแล้ว



อันที่จริง มีอีกคนหนึ่งที่ผมอยากให้รู้ว่าผมเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ก็คือลินดา เสียแต่ผมไม่ค่อยได้คุยกับเธอเท่าไหร่ แหงล่ะ เพื่อนที่ผมสามารถคุยได้อย่างสนิทใจก็มีแค่ไนล์คนเดียว



ถึงอย่างนั้น ก็จะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเหมือนกัน



ผมใช้เวลาตัดสินใจและรวบรวมความกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งทำใจได้แล้วจึงเดินเข้าไปหาลินท่ามกลางเพื่อนๆ มากมาย



“ลิน...เราอยากขอโทษ...”



จบคำพูด ผมกลืนน้ำลายตัวเองดังเอื๊อก พวกเพื่อนคนอื่นๆ  หันมามองทางผมราวกับเห็นพฤติกรรมผมเป็นเรื่องประหลาด ผมจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มากมาย แต่ไม่คิดว่าปฏิกิริยาของหล่อนจะเป็นการส่งยิ้มมาให้



“ไม่เป็นไร ไม่โกรธแล้ว ไนล์เล่าให้ฟังหมดแล้วล่ะ”



“...”



“เจนไม่ต้องโทษตัวเองแล้วนะ มา มากินปูกันดีกว่า”



ไม่ว่าเปล่า เจ้าสาวจูงแขนผมที่กำลังงงงวย ฝ่าวงล้อมของเพื่อนๆ พาไปยังเตาบาร์บีคิว หยิบอาหารใส่จานแล้วนำมาให้ผม



“อร่อยนะ ไม่กินล่ะพลาดแย่เลย”



จนผมต้องยิ้มตอบ รับจานกระดาษไว้ในมือ เอ่ยขอบคุณเธออีกครั้ง พร้อมกับขอตัวเดินออกมา แต่ลินดาไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว เธอเดินตามมานั่งข้างๆ ผม จนผมเกร็ง ครั้นจะขอให้เธอกลับไปร่วมงานลินก็พูดขึ้นมาก่อน



“ตอนแรกคิดว่าเจนจะไม่อยากมาร่วมวงด้วยเลยไม่กล้าชวน” เธอสารภาพ ส่วนผมปฏิเสธยกใหญ่



“เรากลัวเราไปทำให้เสียบรรยากาศมากกว่า ตอนที่ไปหาลินก็กลัวแทบตายว่างานจะพังเอา”



“ฮะๆๆ คิดมากน่า เราเองก็ผิดนะที่เอาเรื่องของเจนกับไนล์ออกไปบอกคนอื่นแบบนี้”



“ไม่...ไม่หรอก ถ้าเราเป็นลินเราก็คงทำเหมือนกัน” ผมว่าเสียงเบา...



“ไม่อะไร เราผิดสิ ทำให้เจนต้องเสียใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องของเจนกับไนล์แท้ๆ เราไม่ควรทำอะไรไปมากกว่าแค่รับฟัง แต่ก็ยัง... เฮ้อ ตอนนั้นก็นะ...”



“เราเข้าใจ”



“ขอโทษนะ”



“ลินอย่าขอโทษเลย เราต่างหากที่ผิด”



“เราเลิกโทษว่าใครผิดกันดีมั้ย ในเมื่อมีแต่คนอยากรับผิดกันไปหมด”



“ฮะๆ...” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้ผมต้องพลอยขำไปด้วยกับประโยคที่เจือไปด้วยความจริง



“ขอบคุณที่มางานนะ...ไนล์เขาเครียดมากเลยเรื่องเจน”



“...”



“เราก็อยากให้ทั้งสองคนดีกันนะ”



“...อืม เราก็ยินดีกับทั้งสองคนนะ”



ผมอมยิ้ม คิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องดีใจจนลิงโลดแน่ๆ และคงคิดเข้าข้างตัวเอง คิดว่าไนล์เครียดเรื่องผมแสดงว่ามีใจอะไรแบบนี้ คิดๆ ดูแล้วก็ตลกดี พอตกหลุมรักใครแล้วทุกอย่างก็ดูจะต้องเข้าข้างตัวเองไปหมดเลย



เพียงแต่ในตอนนี้ผมกลับนึกถึงใบหน้าของอีกคนขึ้นมา



และนั่นทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เมื่อคิดว่าเขาจะต้องสั่งสอนอะไรผมอีกต่างๆ มากมายเพื่อให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น ฌาณเป็นแบบนั้นแหละ



ผมมองบรรยากาศในงาน แม้ว่าจะไม่กล้าไปร่วมสนุกกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดีเพียงพอสำหรับผมแล้ว ตะกอนขุ่นมัวในใจถูกลบหายไป จากที่เคยจมอยู่ในความรู้สึกผิดตลอดมา ในครานี้ผมโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



คิดว่าตัวเองควรจะมีความสุขได้เสียที



ผมไม่ได้อยู่จนจบงานเมื่อยิ่งมองไนล์กับลินอยู่ด้วยกันก็ยิ่งคิดถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกล ผมเลยขอตัวกลับก่อน แม้ว่าจะจองที่พักไว้แล้วก็ตาม แต่นั่นไม่เป็นปัญหาเมื่อไจส่งคนให้มารับผมในอีกชั่วโมงต่อมา ส่วนห้องพักก็ยกให้ใครสักคนในงานไป



โชคดีที่ไจทำงานจนดึกดื่น และนั่นทำให้ผมขอโทรศัพท์เขามาติดต่อกับฌาณได้เช่นนี้



“เก่งแล้วนี่”



“อือ เก่งแล้วไปหาได้มั้ย”



“ฮะๆๆ ถามพี่เราเองนะ”



“แล้วทำไมฌาณต้องไปตกลงกับไจด้วย”



“ไม่งั้นไจก็ไม่ยกน้องตัวเองให้พี่น่ะสิ”



ผมหน้าบูด มองหน้าเขาผ่านจอแก้วของโทรศัพท์ จ้องใบหน้าหล่อเหลานั่นก่อนจะเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป



“อยากจูบ”



“พรู่ด”



ฌาณสำลัก ไอจนต้องยกมือปิดหน้าปิดจมูกและปาก ส่งสายตาไปซ้ายทีขวาทีก่อนจะปล่อยมือมาเกาท้ายทอย หันหน้าไปมา ผมยิ้มกว้าง หัวเราะขำเมื่อได้เห็นอาการเขินของเขา จนฌาณหันกลับมาจ้องหน้าจอ ยกมือชี้นิ้วไปยังเลนส์กล้องมือถือ คล้ายกับต้องการจะชี้หน้าผม



“ไปนอนเลยไป”



❄❄❄❄❄❄



ตอนหน้าก็จบแล้วน้า

จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้มีดราม่ามากมายอะไรเลย

แต่ที่หน่วงๆ คงเป็นเพราะเจนไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า

หรือไม่ก็เพราะเขียนในฟีลลิ่งเครียดๆ 55555

ช่วงนี้งานค่อนข้างหนัก เลยไม่ได้เอามาลงบ่อยๆ ขออภัยด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ

หลังจากจบแล้วยังมีตอนพิเศษหวานๆ ให้คลายเครียดกันอีกน้าไม่ต้องห่วงง  :mew1:


ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สบายใจแล้วเนอะ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ดีใจที่น้องเคลียร์กับเพื่อนแล้ววว

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ในที่สุดก็สบายใจเสียทีนะเจน
อยากเห็นหมาป่าทนคิดถึงแกะไม่ไหวจนต้องขัดคำสั่งรีบมาหาแกะจังเลยย :laugh:

ออฟไลน์ diltosscap

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
รู้สึกดีที่เจนปลดล็อคความรู้สึกกับไนล์ เจนเหมาะกับความกับพี่มาก และก็ชอบบ้านเจใน ทุกคนเลย  ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ดีแล้วๆทุกคนเข้าใจก็ดีแล้ว  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เคลียร์กันแล้ว ฝั่งฌานเคลียร์เรียบร้อยใช่มั้ยยยยยย ขอให้เจนมีความสุขไวๆ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เราขอโทษษษษษษ เราลืมไปเลยว่าตามอ่านเรื่องนี้อยู่เลยต้องมาอ่านรวดเดียวจนทัน เจนนี่ทำเราเอือมหน่อยๆนะเป็นเด้กที่ไม่รู้จักโตแบบของจริงเลย ถ้าไม่บอกว่าเรียนจบแล้วเรายังคิดว่าอยู่ประถมหรือเปล่า การจัดการตัวเองเท่ากับศูนย์ทั้งความคิดและเรื่องการกระทำ ไม่รวมเรื่องการรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่างๆที่ต้องเจออีกนี่มันยิ่งกว่านิสัยลูกคุณหนูเอาแต่ใจอีกมั้ง ส่วนพี่ฌาณนี่ไม่คิดเลยว่าพี่แกจะโกหกเหมือนกัน เราจับโกหกพี่แกไม่ได้จริงๆ ตอนหน้าจะจบแล้วพี่ฌาณจะกลับไทยรึเปล่า

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
เคลีย์เรื่องเก่าออกให้หมดก็ดีนะ จะได้ไม่ติดค้างอะไรอีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด