❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7  (อ่าน 45820 ครั้ง)

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
งื้อ น่ารักกก  :-[ ชอบตอนคุยกันหลังจากที่รู้ความจริงหมดแล้ว
พี่ชายข้างบ้านนี่เอง ดูอบอุ่นมากๆ ชอบตอนที่น้องขอกอด
แต่คนพี่ก็ดีนะไม่ตามใจน้อง อย่างเรื่องล้างจาน
ถึงเล็กน้อย แต่ก็สอนให้ทำไรได้ด้วยตัวเองเนอะ

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พอเล่าความจริงหมดก็เผยนิสัยจริงเลยนะเจน  :hao6:
ตอนแรกเมมคู่นี้ว่าพี่ฌาน้องไนล์ ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นพี่ฌาณน้องเจนซะแล้ว

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
สนุกจังเลยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
พอรู้ว่าพี่เป็นใครน้องดูนุ่มนิ่มขึ้นเลยนะ งอแงมากด้วย เอ็นดู๊วว 5555

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2

Lies 6: Spinning round and round



วันนี้ฌาณออกไปสอนพิเศษแต่เช้า  ส่วนผมเพิ่งตื่นตอนเกือบๆ เที่ยง นอนขดเป็นหอยทากที่มีกระดองเป็นผ้าห่มผืนหนา ม้วนตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะบิดขี้เกียจยืดตัวและแซะตัวออกออกจากเตียง เพื่อมาทานอาหารเช้าร่วมกับอาหารกลางวัน เป็นวันว่างๆ อีกวัน วันอาทิตย์ฌานสัญญาว่าจะพาผมไป Takapuna Beach เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ผมต้องทำตัวเป็นเด็กดี



แต่หลังจากลองออกไปเที่ยวคนเดียวแล้วเจอแบบวันนั้นผมก็ไม่กล้าซ่าอีกเลย อยู่ในห้องดีกว่า ปลอดภัย



ผมนอนกลิ้งเล่นตามปกติ เปิดดูโน่นดูนี่ในไอแพดไป รอจนกระทั่งตอนเย็น ฌาณกลับมาพร้อมกับวัตถุดิบทำอาหารในถุงผ้า ผมช่วยเขาเก็บของเข้าตู้ก่อนเอ่ยถามอาหารเย็น ฌาณยกยิ้มเอ่ยบอกอาหารโปรดของผมทำให้ผมดีใจ



ทว่าเมื่อทานอาหารเย็นเสร็จผมต้องล้างจานเองอีกครั้ง เมื่อกลางวันผมก็ล้างไปแล้วรอบนึง พอตอนเย็นต้องมาล้างอีกเลยรู้สึกแปลกๆ ปกติแค่ได้ล้างจานสำหรับมันก็มากพอแล้ว แต่นี่ยังต้องทำถึงสองครั้งแถมยังต้องทำมันอีกเรื่อยๆ ผมรู้ว่ามาอาศัยกับเขาก็ควรช่วยเรื่องแบบนี้ แต่ยังไงผมก็ไม่ชินอยู่ดีนี่



พอล้างจานเสร็จผมก็ไปอาบน้ำ ทำตามชีวิตประจำวันของที่นี่ ส่วนฌาณก็คงนั่งทำงานเหมือนเดิม ผมก้าวเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าพาดไว้ตรงชั้นวางของข้างๆ อ่างล้างหน้า ก่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำ ที่มีประตูกระจกใสกั้นไว้ไม่ให้พื้นส่วนอื่นเปียกพร้อมกับยกระดับพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าถึงยังไงตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จก็ลากตัวเปียกๆ นี้ไปยังอ่างล้างหน้า และพื้นห้องน้ำก็เปียกอยู่ดี



แต่ก็คงดีกว่าเปียกไปทั้งหมดทุกส่วน



ผมเปิดน้ำอุ่นจนอุณหภูมิได้ที่ก่อนลงมือทำความสะอาดร่างกาย มีชั้นวางสบู่อยู่ข้างฝักบัว ผมออกแรงกดขวดสบู่เหลวมาถูตัวก่อนกดน้ำยาสระผมมาฟอกหัว ทว่าในระหว่างที่กำลังล้างชำระแชมพูบนหัวอยู่นั้นผมได้ยินเสียงกึกกัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโครม!



ผมหลับตาอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่แรงกระแทกเต็มฝ่าเท้าทำให้ผมสะดุ้ง เซจนเหยียบกับวัตถุทรงกลมสักอย่าง พลันเสียการทรงตัว ลื่นล้มไปอีกโครมใหญ่ๆ ในห้องอาบน้ำแคบๆ



เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย



“เจน...เป็นอะไร”



“...”



ผมตอบคนข้างนอกไม่ถูก ได้แต่พยายามขยี้ตาล้างแชมพูออกจากหน้าก่อนมองสภาพที่เกิดขึ้น...



ชั้นวางของข้างๆ ฝักบัวหลุดหล่นใส่เท้าผมพร้อมกับขวดแชมพูสบู่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น



“เจน เปิดประตูหน่อย”



“ป...แป๊บนึง”



ผมร้องบอกฌาณ เนื้อตัวยังเปลือยเปล่าจะให้เขาเข้ามาเห็นผมตอนโป๊ได้ยังไง แต่ทันทีที่ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บ แสบๆ คันๆ ที่เท้าขวา พอลงน้ำหนักลงเท้าซ้ายผมกลับพบว่ามันปวดผิดปกติ...



ก่อนที่ผมจะสรุปได้ว่าผมข้อเท้าพลิก



ผมเกาะผนังไว้ไม่รู้จะลงน้ำหนักไปที่ขาไหนดี แต่คิดว่าข้างที่โดนชั้นวางของตกใส่น่าจะเจ็บน้อยกว่า เลยพยายามพยุงตัวเองด้วยขาขวา กระเผลกๆ ไปจนคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ข้างนอกได้ ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ต้องเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้ได้ก่อน



ยังไม่ทันที่ผมจะได้พันผ้าขนหนูดีกลับได้ยินเสียงก๊อกแก๊กข้างนอก คล้ายคนกำลังบิดประตู จนผมนึกได้ว่าฌาณอาจจะกำลังใช้กุญแจสำรองเปิดประตูห้องน้ำ



“ฌาณ! เดี๋ยว!”



ผมรีบร้อนร้องห้ามเขาพร้อมกับพยายามเอื้อมไปปิดประตูที่กำลังแง้มออกมา ไม่ทันคิดว่าเท้าทั้งสองข้างผมเจ็บอยู่ ก่อนจะก้าวไปเหยียบกับพรหมเช็ดเท้าหน้าประตู เมื่อลงน้ำหนักลงเท้าซ้ายที่พึ่งพลิกไปทำให้ความเจ็บแล่นขึ้นปรี๊ด จนเสียการทรงตัวและ



โครม!



อีกรอบ...



“เป็นอะไรน่ะ”



“ฌาณอย่าเพิ่งเปิ-”



ผมโป๊อยู่และยังไม่ทันได้เอาผ้าขนหนูปิดส่วนลับได้ทันก่อนเจ้าของห้องจะเปิดเข้ามา เลยได้แต่นั่งหน้าแดง สัมผัสได้ถึงความร้อนของเลือดที่แล่นขึ้นมากองบนหน้า รีบใช้มือปิดเจ้าหนูของผมทันที เจ็บเท้าก็เจ็บ ยังจะต้องมาให้ฌาณเห็นสภาพแบบนี้อีก อยากจะร้องไห้แล้ว



ฌาณเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมหน้าขึ้นสี



“อายอะไร ตอนเด็กๆ อาบน้ำด้วยกันออกจะบ่อย”



“ไม่...ไม่เหมือนกันนี่ ฌาณออกไปก่อน”



เจ้าของชื่อฌาณ ไม่ทำตามคำขอของผมเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามา มองไปรอบๆ ห้องน้ำก่อนส่ายหน้า เอื้อมตัวไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองที่พาดไว้อีกฝั่งหนึ่งของห้องอาบน้ำ ปล่อยผมนั่งโป๊มองเขาอยู่กลางห้องน้ำเงียบๆ...



พลันคนตัวโตกว่าก็เอาผ้าขนหนูสีน้ำตาลของตัวเองมาห่อตัวผมไว้ พร้อมกับช้อนตัวผมขึ้น อุ้มจนผมลอยจากพื้น



“ฌาณ!”



“นิ่งๆ สิ”



เขาว่า น้ำเสียงทุ้มดังใกล้หูทำให้ผมชะงัก นิ่งเกร็งยอมให้เขาอุ้มไปวางไว้บนเตียงดีๆ หน้าผมยังคงร้อนผ่าวเมื่อฌาณจ้องมา ผมอ้าปากพะงาบๆ รีบค้นหาข้อความในหัวตัวเอง



“...ผมไม่ได้ทำมันพังนะ มันร่วงมาเอง...”



“...” โอเค อาจจะเพราะว่าผมใช้แรงกดแชมพูมากไปก็ได้ แต่ปกติมันก็ไม่พังนี่ ต้องเป็นเพราะมันเก่ามากแล้วนั่นแหละ



ฌาณไม่ตอบแต่จ้องหน้าผมพร้อมยกยิ้ม ก่อนเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ



“ยังล้างแชมพูไม่หมดเลยนี่”



“อือ...ซวยเป็นบ้า”



“เดี๋ยวรอพี่เก็บของในห้องน้ำแป๊บนึง”



เขาว่าพร้อมลุกขึ้นจากไป ทิ้งผมกับผ้าขนหนูของเขาที่ห่อตัวไว้ กับผ้าขนหนูตัวเองที่ผมกำไม่ปล่อย ให้นั่งอยู่บนเตียงเนื้อตัวเปลือยเปล่า ฌาน...ผมหนาวนะ



เหมือนเขาจะรู้เมื่อไม่นานฌาณก็โผล่มา อุ้มผมไปยังห้องอาบน้ำอีกรอบ ครานี้ฌาณจัดการวางขวดสบู่แชมพูไว้บนพื้นห้องอาบน้ำ ส่วนชั้นวางเนรคุณนั่นก็เอาออกมาวางที่ข้างๆ ชั้นวางรองเท้าหน้าห้อง



เนื่องจากชักโครกอยู่คนละฝั่งกับห้องอาบน้ำและฝักบัว ทำให้ฌาณวางผมลงบนพื้นยกระดับของห้องอาบน้ำแทน ผมอยากจะงอแงที่ต้องนั่งพื้น แต่อดทนเอาหน่อยก็ได้ ยังไงฌาณก็อุตสาห์เสียแรงยกผมไปมาขนาดนี้ ผมนั่งลงขอบพื้นที่ยกระดับ เอาผ้าขนหนูตัวเองมาปิดส่วนลับไว้ ส่วนผ้าขนหนูของฌาณก็ให้เขาเอาไปพาดไว้อีกที่



เขาเปิดน้ำอุ่นรดหัวผมอีกครั้ง ก่อนค่อยๆสางเส้นผมของผมเบาๆ ลูบหัวไล่น้ำและฟองแชมพูออกไปเรื่อยๆ จนผมเคลิ้มแทบหลับ แต่ก่อนผมจะหลับไปจริงๆ ฌาณก็ปิดน้ำ เป็นอันว่าการอาบน้ำของผมเสร็จสิ้นไปแบบทุลักทุเล



ฌาณอุ้มผมกลับมาไว้บนเตียงอีกครั้ง



“ใส่เสื้อเองได้มั้ย”



“ใส่ได้!”



เขายกยิ้มมุมปากก่อนออกจากห้องนอนไป นิสัยไม่ดี ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย เหมือนถูกเยาะเย้ยยังไงไม่รู้



ผมหยิบเสื้อนอนที่ฌาณเอามาวางไว้ข้างๆ พยายามใส่เสื้อให้ตัวเองเสร็จ ไม่นานฌาณก็เข้ามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล ผมไม่เคยเห็นเจ้ากล่องนี้เลยคิดว่าฌาณไปยืมมาจากกุสตัฟ



“มา ทายา”



“...”



ผมมองเขาปริบๆ ก่อนยื่นขาข้างที่มีแผลให้ฌาณ ระแวงว่าเขาจะจะทำให้ผมเจ็บหนักกว่าเดิมไหมเมื่อความทรงจำเก่าที่มีไม่ค่อยสวยงามนัก และตามคาดเมื่อฌาณจิ้มยาทาแผลใส่ผมเสียเต็มแรงจนผมร้องจ๊ากน้ำตาร่วง



“แผลนิดเดียวเอง”



“มันเจ็บ!”



“ทายาเดี๋ยวก็หาย”



“ก็ฌาณทำแผลเจ็บ โอ๊ย”  ผมร้องลั่นกว่าเดิมเมื่อเขาจิ้มใส่แผลผมอย่างไม่ปราณี น้ำตาผมร่วงเผาะๆ คนมือหนักอย่างฌาณไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ยังมือหนักอย่างนั้น ตอนเด็กๆ เวลาผมได้แผล ไม่มีเสียหรอกจะวิ่งไปหาฌาณ ผมให้ไจไม่ก็ป้าปุ้มที่เป็นพี่เลี้ยงทำแผลให้ตลอดนั่นแหละ เสียแต่บางทีสองคนนั้นก็ไม่ว่าง และผมต้องทนรับความเจ็บปวดมากกว่าเดิมหลายเท่าจากฝ่ามือปิศาจอย่างฌาณ ช่วงหลังๆ ผมเลยพยายามไม่เล่นผาดโผนอีกเพราะกลัวได้แผล



“อยู่นิ่งๆ” นินทาเขาในใจจบคนพี่ก็ดุ จับข้อเท้าผมแน่น ป้ายยาแสบๆ อีกสองสามครั้ง ก่อนปล่อย



“เอาอีกข้างมา”



ครานี้ผมหดขา ระแวงเขาใหญ่ น้ำตาจากบาดแผลเมื่อครู่ยังคลออยู่เต็มเบ้า



“เร็วๆ เดี๋ยวก็ไม่หาย อาทิตย์นี้ไปเที่ยวไม่ได้ไม่รู้นะ” เพราะเขาหลอกล่อผมด้วยที่เที่ยว ทำให้ผมยอมยื่นขาอีกข้างไปให้ฌาณอย่างช่วยไม่ได้ ผมอยากหายเร็วๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่อยากเจ็บมากกว่าเดิมนะ



ฌาณจับข้อเท้าผมก่อนที่ผมจะร้องลั่นเมื่อเขาจับไปโดนบริเวณที่มันพลิก ฌาณเอ่ยขอโทษก่อนหยิบยามาทาให้เบาๆ แต่ยังคงหนักไปจนน้ำตาเล็ดสำหรับผม เมื่อทายาเสร็จ เขาก็หยิบผ้าพันแผลมาพันให้



“พันเป็นเหรอ” ผมถาม



“เป็น ตอนไฮสคูลเคยเล่นบอลแล้วทำแผลให้เพื่อน”



“...ขนาดเคยทำแผลยังมือหนักขนาดนี้... โอ๊ย”



“อยู่เฉยๆ สิ”



ผมน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง จ้องมองคนมือหนักอย่างอาฆาตแค้น จนกระทั่งเขาพันข้อเท้าผมเสร็จสรรพก็ลุกขึ้น บอกให้ผมเข้านอน



“ร้องไห้เป็นเด็กเลย จบป.ตรีแล้วจริงเหรอ อย่างกับเพิ่งจบประถม”



“ยุ่ง”



“หึ ขี้แย”



เขาล้อก่อนออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมอารมณ์เสียอยู่คนเดียว...





หลังจากจบเรื่องผมพยายามเข้านอนตามปกติ คืนนี้ไม่หนาวเท่าไหร่ ผมไม่ต้องพึ่งไออุ่นจากฌาณ ปล่อยให้เขานั่งทำงานของเขาไป น่าแปลกที่พอรู้ว่าเป็นฌาณผมไม่ได้มีอาการเคอะเขินหรือเกร็งอย่างคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานเหมือนคนอื่นๆ ความสนิทกับฌาณยังคงเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยน



โอเค เขินตอนที่ผมโป๊ต่อหน้าเขาก็ได้... สถานการณ์แบบนั้นเป็นใครก็ต้องอายใช่มั้ยล่ะ



เพียงแค่นอกเหนือจากนั้นผมก็ไม่ได้เกร็งอะไรแล้ว เหมือนความสนิทที่มีต่อเขามันยังคงเท่ากับเมื่อตอนเด็ก






พอรุ่งเช้ามาถึง ผมได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ของฌาณดังเป็นเสียงปลุก จึงชันตัวลุกขึ้นมานั่งงัวเงียมองหาต้นเสียงที่เดินไปมาอยู่รอบห้อง พลันเขาก็หันมาเจอผมนั่งหน้ามุ่ยเพราะถูกเสียงรบกวนทำลายการนอน



“อ่ะ นี่ไง เจนตื่นแล้ว”



“?”



“ไจโทรมา คุยมั้ย”



“ไม่คุย”



ฌาณหัวเราะ ถามปลายสายว่าได้ยินไหม ผมไม่ได้ยินเสียงไจตอบกลับมาเห็นแต่ฌานส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนยกโทรศัพท์ออกจากหู กดๆ หน้าจอสองสามทีก่อนหันโทรศัพท์มาทางผม ทำให้ผมรู้ว่าเขาทำอะไร



ฌาณเปิดวิดีโอคอลอ่ะ!



“ฌาณ บอกว่าไม่คุยไง!”



“คุยเถอะ ไจอุตสาห์สละเวลานอนโทรมา”



“เจน ทำไมพูดงี้กับพี่อ่ะ”



“...” ผมทำปากเป็ดใส่ ไม่พอใจที่โดนขัดใจ แต่เพราะฌานเดินเข้ามาใกล้แล้วทำให้ผมหนีไปไหนไม่ได้ เท้าก็เจ็บอยู่ ถึงผมจะเดินหนีได้แต่จะได้สักเท่าไหร่ ห้องก็มีแค่นี้ บวกกับคำพูดของฌาณ เวลาของที่นี่เร็วกว่าที่ไทยไปหกชั่วโมง ตอนนี้ที่นี่แปดโมงกว่าแล้ว ที่ไทยก็ประมาณตีสาม... สุดท้ายเห็นแก่ความพยายามของไจก็เลยต้องยอมหันหน้ามารับโทรศัพท์ฌาณเพื่อคุยกับพี่ชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นเดือน



ผมรับโทรศัพท์ของฌาณมาหันหน้าจอเข้าหาตัวเอง เจอหน้าพี่ชายคนรองที่ไม่ได้เจอมาหนึ่งเดือนกว่า และไจก็ดุผมแทบทันที



“ทำไมไม่ตอบไลน์พี่”



“เจนลบไปหมดแล้ว ทั้งไลน์ทั้งเฟส ทุกอย่างเลย”



“เจน... แล้วถ้าเจนเป็นอะไรพี่จะรู้มั้ย”



“ถ้าเจนเป็นอะไรเจนก็ไม่บอกไจหรอก”



“เจน เด็กดื้อ!”



“เจนเปล่า”



“หลอกพี่แล้วมานิวซีแลนด์คนเดียวแล้วยังมีเรื่องอีก ฌาณฟ้องพี่หมดแล้ว คอยดูนะกลับมาจะทำโทษให้เข็ด”



“ไม่เอา ไม่ทำโทษเจนดิ...”



“ก็เจนหลอกพี่ แล้วยังไปที่นั่นคนเดียวอีก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง”



“ก็เจนไม่อยากอยู่ไทยแล้วนี่ ไจก็น่าจะรู้...”



“...เรื่องไนล์...พี่จะจัดการให้”



“ไม่ต้อง ไจไม่ต้องยุ่ง”



“เจน...”



“ช่างมันเถอะ”



ผมถอดหายใจพรืด จากที่เมื่อกี้ไม่ยอมสบตาคนในหน้าจอดีๆ ตอนนี้เลยหันไปมองหน้าไจอีกครั้งชัดๆ ไจยังเหมือนเดิม ก็แหงล่ะ ผ่านมาแค่เดือนเดียวจะเปลี่ยนไปได้มากแค่ไหน



“แล้ว...อยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง เงินพอมั้ย”



“ก็ดี...อากาศหนาวนิดหน่อยแต่ยังทนไหว ส่วนเงินก็พออยู่ ฌาณไม่ยอมรับเงินที่เจนให้เลยได้เงินสดกลับมาอีกเยอะเลย”



“อืม พี่จ่ายส่วนของเจนให้เขาแล้ว”



ผมหันไปมองฌาณ...ที่แท้ก็มีรายรับอยู่แล้ว ส่วนเขาแค่ยักไหล่ไม่แยแสกับคำพูดที่ถูกเปิดโปง



“ถ้าไม่พอก็รูดการ์ด”



“รู้แล้วหน่า” ทุกวันนี้ถ้าที่ไหนใช้การ์ดได้ผมก็ใช้ ส่วนใหญ่ที่นี่ก็รับการ์ดกันทั้งนั้น มีแต่เรื่องที่ต้องจ่ายค่าห้องค่าเบียร์ให้เพื่อนเลวกับจ่ายค่าวัตถุดิบสำหรับทำอาหารให้ฌาณเป็นเงินสด นอกนั้นผมก็แทบไม่ได้ใช้เงินสดมากเท่าไหร่



“ฌานทำอะไรไม่ดีใส่เจนมั้ย”



“เฮ้ ได้ยินนะ”



ผมหัวเราะขำพร้อมเอ่ยตอบพี่ชายในหน้าจอ



“ไม่เลย ฌาณใจดี ใจดีกว่าไจด้วย”



“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวตัดเงินเลย”



“งั้นไจใจดีกว่า”



“ฮะๆๆ”



เสียงหัวเราะพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มของไจทำให้ผมอมยิ้มตาม ให้ตาย ในส่วนลึกของจิตใจแล้ว...ผมคิดถึงบ้านมากจริงๆ เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะกลับไปไทย



“ไจทำอะไรไม่หลับไม่นอน”



“ทำงานน่ะสิ กว่าจะหาเวลาโทรหาฌาณได้ แล้วเจนก็ไม่เคยตอบไลน์พี่ด้วย”



ผมยักไหล่ ไม่สนใจเขา อย่างที่บอก ผมลบแอพพลิเคชั่นนี้ไปแล้ว



“แล้วอย่างนี้พี่จะติดต่อเจนได้ยังไง”



“...ไม่รู้ส่งส่งเมล์มั้ย”



“ล้อเล่นหรือไง”



“งั้นก็ส่งจดหมาย”



“โอเค เมล์ก็ได้ ถ้าพี่ส่งไปแล้วเจนต้องตอบกลับพี่นะ”



“...”



“ไม่งั้นตัดค่าขนมนะ”



“ก็ได้”



ผมคุยกับไจเรื่องที่บ้าน สลับกับเล่าว่าผมเจออะไรมาบ้าง เพียงแต่ผมเล่าคร่าวๆ ไม่รู้ว่าฌาณเล่าไปมากแค่ไหน อีกอย่างผมไม่อยากให้ไจเป็นห่วง พยายามบอกปัดไปว่าสบายดี แล้วก็ถามเรื่องทางบ้านมากกว่า ไจบ่นว่ากรุงเทพร้อนมาก ส่วนผมก็อวดว่าที่นี่หนาวมาก ผมโม้อีกด้วยว่าจะซื้อช็อกโกแล็ตไปให้ไจกับคนที่บ้าน ไจแถมมาว่าอย่าลืมซื้อครีมผึ้ง โคลนมาร์กหน้าให้แม่ด้วย ผมก็เออออไป จนฌาณปีนขึ้นมาบนเตียง เข้ากล้องคุยกับไจด้วยอีกคน



“มึงน่ะ ดูแลน้องกูดีๆ นะ”



“ไม่อ่ะ หลังจากนี้ว่าจะเทแล้ว”



จบเสียงฌาณ ผมหันหน้าไปจ้องเขาคิ้วมุ่น



“เมื่อคืนทำชั้นวางของพังไปอัน”



“มันหล่นมาเอง!” ผมแย้ง ส่วนฌาณยกยิ้ม แล้วไจก็รีบตอบกลับทันที



“เท่าไหร่”



ต้องอย่างนี้สิพี่ผม ใช้เงินแก้ปัญหาตลอด เพราะอย่างนี้ไงผมถึงติดนิสัยเขามา



 “หึ...ไม่เอาเป็นเงินนะ”



“เอาเป็นอะไร”



คำตอบของฌาณไม่ใช่คำพูด แต่เป็นการดึงตัวผมไปชนกับไหล่เขา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากนุ่มหยุ่นประทับลงมาที่กลางหน้าผาก



“ได้ละ”



ไจร้องไม่เป็นภาษา สบถคำหยาบคายแสบหูมากมาย



ฌาณคว้ามือถือไปจากมือผม ส่วนผมทำหน้าเหวอ ไม่คิดว่าฌาณกลายเป็นคนอย่างนี้ เขาไม่ใช่พวกชอบถึงเนื้อถึงตัว แต่ไม่แน่ว่ามาอยู่ต่างประเทศอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ถึงยังไงก็ไม่คิดว่าฌาณจะมาจุ๊บหน้าผากผมอยู่ดีอ่ะ



“มึงรออยู่ตรงนั้นเลยนะ กูจะบินไปฆ่ามึงเดี๋ยวนี้แหละ”



“มาดิ ขี้เกียจดูเด็กแถวนี้แล้ว ดื้อแล้วยังซน”



“ฌาณ!” ผมร้องแย้ง ไม่ได้ดื้อแล้วก็ไม่ได้ซนเสียหน่อย



“เจนกลับมาหาพี่เลย เดี๋ยวเลื่อนไฟล์ทให้”



“ไม่กลับ!”



“ฮะๆ” จนกระทั่งเสียงหัวเราะฌาณดังขึ้น เสียงโต้เถียงเมื่อครู่ถึงได้หยุดลง



“ล้อเล่นน่ะ ก็ดูแลให้เหมือนที่ทำตอนเด็กๆ นั่นแหละ”



“ดูแลให้มันดีๆ อย่าให้กูเห็นนะว่ามึงทำอะไรน้องกู”



“ถ้าทำคงไม่ทำให้ไจเห็นหรอก เนอะ” ยังมีหน้ามาเนอะใส่ผม ผมแยกเขี้ยวใส่ฌาณ ขู่เขาว่าผมดูแลตัวเองได้ ถ้าทำอะไรแปลกๆ ผมไม่ปล่อยเขาไว้แน่



ไจโวยวายไม่เลิก จนสุดท้ายคนข้างตัวผมบ่นใส่พี่รองสองสามคำก่อนกดวาง ผมหันหน้าไปมองเขาตาปริบ



“อะไร”



“ฌาณจะไม่ทิ้งผมจริงๆ ใช่มั้ย”



เขาหัวเราะเสียงใส เจิดจ้าจนใจผมกระตุก “ฮะๆ ไม่หรอก แกล้งไจไปงั้นแหละ”



“แล้ว...” ที่จูบหน้าผากผมเมื่อกี้... ผมสลัดคำถามแปลกๆ ออกจากหัวเพราะคิดว่าคงไม่จำเป็นที่ต้องถาม ยังไงคำตอบก็คงเหมือนประโยคเมื่อกี้ แค่แกล้งแหย่ไจไปก็เท่านั้น



ฌาณเห็นผมไม่ได้ว่าอะไรอีกก็ลุกจากเตียงไปเปิดแล็ปท็อป ตอนนี้เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว ผมยังนอนเน่าอยู่บนเตียง พลางขบคิดเรื่องราวในหัว ที่เริ่มกลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง...









❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄

 

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
เจ็บตัวตลอดเลยน้องงงง ไม่ออกไปข้างนอกก็เจ็บตัวได้
ชั้นวางไม่รักดี แกล้งน้องเจนทำไม!! //ผิด 555555
พี่ไจน่ารักนะ ติดน้อง หวงน้องงงง
ฌาณก็ไปแกล้งน้องงงง ถึงเนื้อถึงตัวไปแล้ววว ต้องปรับ?!! 5555

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องเจนโดนเห็นซะแล้ว แถมยังโดนหอมหน้าผากอีก พี่ฌาณเริ่มหวั่นไหวแล้วหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนนี้ไม่มีอะไรให้จับผิดเลยว้า
เจนดื้อจังเลยลูกกก ต้องโดนพี่ฌานจุ๊บอีก

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อืม จริงนะ ถ้าไจไม่เห็นก็ไม่เป็นไรหรอกเนอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สับสนแล้วล่ะซี่ ท่าทางพี่ชายจะหวงน้องมากๆ เลยนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เจ็บตัวได้ตลอดสินะ

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น้องเจนนนนนนนร
ว่าแต่ไนล์คือใคร ใช่เพื่อนที่ทะเลาะกันก่อนมาไหมน้าาาาา

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
คนพี่ก็ชอบแหย่พี่ชายน้องนะ ฮ่าๆ

รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ไนล์ คือใคร

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
น่าร้ากกกก งือออ หยักจุ๊บหน้าผากน้องบ้าง ไนล์คือใครอ่ะ น้องแกะปิดบังอะไรไว้อีกคะลูก รอเฉลย 5555

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ตัวละครค่อยๆเพิ่มมาทีละคน ปมเรื่องค่อยๆคลายออกมาให้ลุ้นทีละเรื่อง ส่วนความสัมพันธ์จองน้องเจนหับพี่ฌาณก็ค่อยๆเติบโต ชอบอะไรแบบนี้จัง ค่อยๆลุ้น ค่อยๆรัก :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 7: I’ll color me blue



ผมดีใจที่ขาหายทันวันอาทิตย์ ข้อเท้าที่พลิกตอนนี้หายแล้ว ส่วนแผลถลอกยังไม่ถึงกับหายสนิท แต่แผลตกสะเก็ดและไม่เจ็บแล้ว ผมจึงยืนยันกับฌาณว่าเดินได้สบายมาก เขาขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราเลยออกเดินทางกันแต่เช้า เพราะที่นี่ช่วงเช้ามีตลาดนัดขายของมือสองอยู่ด้วย แม้ตอนตื่นจะอิดออดนิดหน่อยแต่สุดท้ายเราก็มาถึง Takapuna beach ตอนเก้าโมง



ทันทีที่ลงจากรถบัสผมก็เห็นร้านรวงวางขายเต็มไปหมด มีทั้งเสื้อผ้ามือสอง หนังสือเก่า นาฬิกาเครื่องประดับยันผักสด ขนมหวาน อาหารแต่ละชนชาติ มีหมูปิ้งของไทยขายด้วย แต่ผมสนใจขนมปังแฮนด์เมคอีกร้านมากกว่า เรียกได้ว่าที่นี่เป็นตลาดที่รวบรวมของแทบทุกประเภทเลยก็ว่าได้



ฌาณบอกจะพาผมมาซื้อเสื้อผ้าที่นี่ แต่พอเห็นว่ามันเป็นตลาดนัดมือสองผมก็ไม่ได้สนใจพวกเสื้อผ้าอีก ให้ความสนใจกับร้านอาหารหรือขนมมากกว่า



ผมต่อคิวซื้อขนมปังแฮนด์เมคก่อนเดินไปยังส่วนอื่นๆ พร้อมฌาณ เขาเลือกซื้อผักบางชนิดเพราะราคาถูกกว่าในมาร์เก็ต ส่วนผมก็เดินดูร้านเรื่อยเปื่อย คนที่นี่น่ารักมากเลย ยิ้มแย้มทักทุกคนที่เดินผ่าน มีแต่คนส่งยิ้มให้กันจนผมรู้สึกใจพองฟู เป็นเช้าที่สดใสจริงๆ



นอกจากนี้ผมยังเจอคนจูงหมามาเดินเล่นด้วย มีหลายสายพันธุ์ บางพันธุ์ผมก็ไม่เคยเห็นที่ไทย มีตัวนึงเหมือนพุดเดิ้ลบ้านเราแต่ขายาวตัวสูง ผมเลยแอบเรียกมันว่าพุดเดิ้ลยาวในใจ ก่อนจะมารู้ทีหลังว่ามันคือพุดเดิ้ลแท้ ส่วนพุดเดิ้ลตัวเล็กๆ ที่ไทยคือพุดเดิ้ลทอย...



ระหว่างเดินดูของ มีหมาสีดำตัวใหญ่ตัวนึงมามุดๆ ใส่เอวผม สงสัยได้กลิ่นขนมในมือ เจ้าของเขาขอโทษที่มันมารบกวน แต่ผมยิ้มให้เขา บอกไม่เป็นไรพร้อมเล่นกับเจ้าตัวโต ผมไม่รู้จักพันธุ์นี้อีกแล้ว แต่มันเป็นสุนัขตัวใหญ่ สูงเท่าเอวผม ขนสั้นเตียน ดูน่ากลัวมากแต่นิสัยน่ารักของมันทำให้ผมไม่กลัว แม้จะคิดในใจว่าถ้ามันยืนสองขาต้องสูงกว่าผมแน่ๆ ก็เถอะ เจ้าของเจ้าหมาตัวโตนี่ก็ยอมให้ผมเล่นกับมัน จนพอใจเราก็ต่างแยกย้าย



มาที่นี่ผมได้พบปะผู้คนมากมาย ทำให้รู้สึกได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์บ้าง เพราะก่อนหน้านี้เอาแต่คุดคู้อยู่ในห้อง พอได้คุยกับคนใหม่ๆ ก็ทำให้ใจผมร่าเริงตามไปด้วย อย่างน้อยคนที่นี่ก็น่ารักจริงใจอย่างสัมผัสได้



ฌาณพาเดินอีกสักพักก็ครบทั้งตลาด เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงขอเขาไปต่อแถวซื้อร้านฮอทด็อกที่ผ่านมาเมื่อครู่ ฌาณอนุญาต แต่บอกว่าจะรออยู่แถวนี้แทน ผมจึงไม่ไปกวนเขา เดินแยกออกมาไปต่อแถวรอซื้อฮอทด็อก เพราะกลิ่นของมันหอมมากจนอดใจไม่ไหว



หลังจากที่รอคิวสักพักผมก็ได้ฮอทด็อกแสนอร่อยอยู่ในมือ เดินไปหาจุดนัดพบที่ฌาณว่าแต่ไม่เจอเจ้าตัว ผมหันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าฌาณไปไหน จึงตั้งใจรอเขาอยู่ตรงนี้ อย่างไรเสียถ้าฌาณหายไปนานๆ ผมค่อยโทรหาเขาก็ได้



แต่ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงเสื้อในมือ



“โทษที รอนานมั้ย”



“ไม่นาน เพิ่งมา ฌาณได้อะไรมาอ่ะ”



“โค้ทมือสอง สวยดี ถูกด้วย”



ผมพยักหน้า เหลือบมองโค้ทสีดำในถุงก่อนจะไร้ความสนใจกับมัน เสื้อผ้ามือสองไม่ได้อยู่ในความคิดที่จะซื้อของผม ผมไม่ชอบใส่เสื้อใครก็ไม่รู้ แถมกลัวว่ามันจะสกปรก ก็เจ้าของคนก่อนหน้านี้เขาทำอะไรกับเสื้อพวกนี้มาบ้างก็ไม่รู้นี่ ผมไว้วางใจจะซื้อของมือหนึ่งมากกว่า



หลังจากที่เรารวมตัวกันแล้ว ฌาณก็พาผมไปทะเล



ทะเลที่นี่เป็นอ่าวกว้าง แต่เม็ดทรายไม่ละเอียดและไม่ขาวเท่าที่ไทย ทำเอาผมผิดหวังเล็กๆ ฌาณบอกว่าทะเลที่นี่นิยมเอาสุนัขมาวิ่งเล่น ทำกิจกรรมครอบครัวกันโดยส่วนใหญ่ ผมเลยคิดว่าทะเลไทยนี่แหละเจ๋งที่สุดในโลก



วันนี้อากาศหนาวเหมือนปกติ แต่พอมาทะเลแล้วลมแรงกว่าทุกที ผมที่ใส่เสื้อโค้ทตัวใหม่คิดว่าอุ่นแล้ว แต่พอลมพัดมาทีนึงผมก็แอบหลบข้างหลังฌาณทีนึง ฌาณตัวสูงกว่าผมไปเป็นคืบ บังลมผมได้เต็มๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอุ่นขึ้นเท่าไหร่ ทำไมผมถึงไม่มีภูมิต้านทานความหนาวเอาเสียเลย ส่วนฌาณเมื่อเห็นผมหลบลมก็เอาแต่ยิ้มขำ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับลมแรงๆ นี่เลย



สุดท้าย แม้เราจะเดินไปไม่สุดฝั่งของทะเล แต่ฌาณกลัวว่าผมจะป่วยเอาเลยพาไปสตาร์บัค เพื่อหลบอากาศเย็นๆ นี้ แถมด้วยโกโก้อุ่นๆ ให้ผมจิบคลายหนาวด้วย



หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ไปไหนต่อ ด้วยเพราะฌาณกลัวผมป่วยจากลมแรงๆ ส่วนผมก็ไม่กล้าบอกเขาว่าเริ่มเจ็บเท้านิดๆ แล้ว เราเลยตกลงกันกลับห้อง แม้ว่าวันนี้จะได้เที่ยวนิดเดียวแต่ผมก็พอใจมากพอควร เพราะได้คุยกับคนเยอะแยะมากมาย ทุกคนที่ผมคุยด้วยล้วนมีแต่รอยยิ้มเจิดจ้าคอยส่งมา ขนาดพ่อค้าแม่ค้ายังยิ้มให้เลย ทำให้ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ดีแล้ว



พอกลับถึงห้องไจก็ส่งเมล์มาถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เพราะอย่างงี้ไงผมถึงขี้เกียจหาช่องทางติดต่อกับไจ ไจชอบเป็นห่วงผมมากจนเกินไป แม้ว่าผมจะทำให้ไจรู้สึกแบบนั้นก็ตาม



ส่วนฌาณก็ตรงดิ่งไปเปิดแล็ปท็อปทันที ผมคิดว่าฌาณนี่จริงๆ แล้วก็เนิร์ดพอควรเลย เห็นว่างทีไรก็ทำแต่งาน



ระหว่างนั้นเหมือนฌานจะนึกได้ว่าควรสอนผมใช้เครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาผมรอให้ฌาณซักผ้าก่อนจะฝากของตัวเองให้เขาด้วย ในห้องมีเครื่องซักผ้ากับตู้อบผ้าอยู่ข้างๆ ห้องครัว เปิดใช้งานทีก็ดังไปทั้งห้อง แต่ผมไม่เคยแตะต้องมันเลย ผมกลัวทำพัง ส่วนฌาณเองก็ไม่เคยว่าอะไรที่ต้องคอยซักผ้าให้ผมด้วย



แต่ตอนนี้ฌานไม่ใช่ฌาแล้ว ส่วนผมก็ไม่ใช่ไนล์ เขาไม่ยอมให้ผมงอมืองอเท้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงต้องมาฟังหลักสูตรการซักผ้าไปอย่างช่วยไม่ได้



หลักๆ แล้วก็ง่ายกว่าที่คิด แค่ใส่ผ้า ใส่น้ำยาซักผ้าประมาณหนึ่งฝา ปิดฝาตู้ กดปุ่มสองสามปุ่ม รอให้มันแห้งก็เอาเข้าเครื่องอบผ้า กดอีกสองสามที



ปกติแล้วเราจะซักผ้ากันประมาณอาทิตย์ละครั้งหรือนานกว่านั้น ฌาณบอกจริงๆ เขาซักสองอาทิตย์ครั้ง ผมทำหน้าเหยเกที่ต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำ แต่ฌาณแก้ตัวว่าที่นี่ฝุ่นควันไม่เยอะเหมือนที่ไทย คนที่นี่ไม่นิยมซักผ้ากันด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ชินนี่ อยู่ที่ไทยต้องซักผ้าทุกวันถึงจะรู้สึกว่าสะอาด แต่ยังไงผมมาต่างถิ่น เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คอยปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไปอย่างไม่สามารถขัดได้



ระหว่างรอผ้า ผมนอนเล่นไอแพดในมือไปจนใกล้เย็น ฌานก็ลุกไปทำหน้าที่พ่อครัวที่ดี พอเครื่องอบผ้าหยุดร้องเสียงดังแล้วฌาณก็เรียกให้ผมไปเก็บผ้า ผมเดินลงจากเตียง เปิดเครื่องอบผ้า กวาดกองเสื้อผ้าอุ่นที่ยับยู่ยี่ทั้งของผมและของฌาณมาไว้บนโซฟาเบด ก่อนจะสังเกตว่าฌาณเปิดหน้าเฟสทิ้งไว้



ผมคงไม่สะกิดใจอะไรถ้าหน้าเฟสที่ฌาณเปิดอยู่ไม่ใช่เฟสของผม...



แถมยังเลื่อนไปยังหน้าไทม์ไลน์ที่มีโพสต่างๆ แปะอยู่หน้าวอล์ ผมวางผ้า หันหน้ามาเลื่อนดูหน้าจออย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เมื่อโพสที่แปะหน้าวอล์ผมมีแต่คนเดิมที่โพสติดๆ กัน



ความรู้สึกบางอย่างโถมเข้าใส่ผมอย่างจัง จากที่ตัวเองอุตสาห์หลีกเลี่ยงโซเชี่ยลพวกนี้แล้ว แต่กลับมาเจอมันเข้า ทำให้ผมรับมือกับคลื่นข้อความพวกนี้ไม่ถูก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ตัวเองอ่านโพสของคนๆ นี้ ตัวเองรู้สึกอย่างไร



“เจนข้าวเสร็จแล้ว”



“...”



จนฌาณเรียผมจึงได้สติกลับคืนมา ผมจ้องเขาก่อนเอ่ย



“ฌาณแอบส่องเฟสผมเหรอ”



“อืม...” เขายอมรับ เมื่อหลักฐานอยู่คาตาผมเสียขนาดนี้



“อยากรู้ว่าไนล์เป็นใคร วันก่อนเห็นไจพูดถึง...” เขาว่าต่อ เฉลยถึงเหตุผลที่แท้จริง โถ่ ผมนึกว่าเขานั่งทำงาน ที่ไหนได้มานั่งส่องเฟสผมแบบนี้น่ะหรือ อยากจะขำให้ตาย เพียงแต่สีหน้าผมกลับราบเรียบ ไม่แสดงอะไรออกไป กลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคือก่อนเอ่ยตอบเขา



“...ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่”



เย็นวันนี้ เรากินข้าวกันในความเงียบ... ผมไม่ชวนฌาณคุยเหมือนเคย ส่วนฌาณเองก็ไม่พูดอะไรกับผมเช่นกัน ความคิดหลายอย่างของผมวิ่งวนในหัว ผ่านไปผ่านมาจนจับไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองคิดอะไรอยู่ พอข้าวหมดจานแล้วผมก็ลุกไปล้างจาน ไม่อิดออดเหมือนทุกที ทำตามกิจวัตรประจำวันตามเดิม



ไม่มีคำพูดระหว่างเราจนถึงเวลาเข้านอน



ฌาณใช้โซฟาเบดเป็นที่นอนหลังจากไม่ได้ใช้มันมานาน ทิ้งให้ผมนอนอยู่บนเตียงกว้างๆ นี้คนเดียว จนสุดท้ายตัวเองก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ยอมเป็นฝ่ายจบสงครามประสาทนี้



“ฌาณไม่มานอนนี่อ่ะ”



“...ได้เหรอ”



“ก็เตียงฌาณ”



“นึกว่าโกรธพี่อยู่”



“...ไม่ได้โกรธ...แค่แบบ...ไม่รู้อ่ะ”



“อืม พี่ผิดเอง ไปแอบค้นข้อมูลส่วนตัวของเจน”



“เฟสไม่ใช่ที่ส่วนตัวสักหน่อย...ช่างมันเถอะ มานอนเร็ว ผมหนาว”



อาจจะผิดที่ผมเองด้วยซ้ำที่ไปแอบดูแล็ปท็อปของเขา



คนพี่ไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มขำเหมือนเคย เขาพับโซฟาเบดเก็บก่อนปิดไฟ ขึ้นเตียงมานอนข้างๆ ผม ยังไงฌาณก็ถือว่าเป็นพี่ชายผมคนหนึ่ง... เรื่องในวันนี้ผมไม่อยากเอามาเป็นปัญหาให้เราต้องมาทะเลาะกัน



ผิดที่ผมเองแหละที่ทำใจที่ต้องเห็นโพสของคนๆ นั้นไม่ได้ คนที่ผมจงใจหลีกเลี่ยงมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นิวซีแลนด์ ต้นเหตุของเรื่องราวทุกอย่าง คนที่เคยเป็นเกือบทุกความรู้สึกของผม คนที่ใช้อำนาจเงินเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจไม่ได้



เพื่อนสนิทผมที่ชื่อว่าไนล์...



ผมนอนไม่หลับ จ้องเพดานห้องที่มืดตื๋อ ครุ่นคิดถึงไนล์ที่โพสหน้าวอล์เฟสผม ขบคิดถึงตัวอักษรสวยงามที่ผ่านการร้อยเรียงมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนเผยสู่สาธารณะ ไม่รู้ว่าช่องทางอื่นๆ ของผมจะเป็นยังไง ผมไม่อยากรู้และไม่ต้องการรับรู้มันอีก



พลันคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครานั้นติดอยู่ในใจผมเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน วนเวียนอยู่ในความคิด ตามหลอกหลอนทุกครั้งที่เผลอเหม่อ สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ผมเหนื่อยกับการที่ต้องรู้สึกอย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากย้ายมาอยู่ที่ที่ไกลแสนไกลอย่างนิวซีแลนด์ ไกลมากพอที่เขาจะตามตัวผมไม่ได้ ไกลจนคิดว่ามันมากพอที่จะลืมสิ่งที่เขาทำได้



นิวซีแลนด์เป็นตัวเลือกที่ดี



แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่เราเคยสัญญาไว้ว่าจะมาด้วยกัน



ตลกดี ผมตีตัวออกห่างจากเขาเพราะไม่อยากเจอ ไม่อยากนึกถึง แต่กลับเลือกประเทศที่ครั้งหนึ่งเราเคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน สัญญาที่เคยมั่นหมายเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาให้ได้สักครั้ง บัดนี้คำสัญญากลายเป็นเพียงลมปาก  ป่นปี้ย่อยยับไม่เหลือซาก เมื่อสัญญามีแค่ผมคนเดียวที่ทำตาม



‘เจน เราขอโทษ



เราคิดว่าเจนเป็นเพื่อนคนสำคัญมาตลอด ไม่ว่าเจนจะเป็นยังไง เราจะอยู่ข้างเจนนะ’



‘เจนอยู่ไหน ทำไมจู่ๆ ถึงหายไป’



 ‘เจนตอบไลน์เราหน่อย ใจไม่ดีเลย’



‘เจน พี่ไจบอกว่าเจนไปนิวซีแลนด์เหรอ...’



‘เจน...’



‘เจน...’



‘เจน...’





ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้





แต่เผลอตื่นมาตอนกลางดึก ท้องฟ้ามืดมิด อากาศหนาวกว่าตอนกลางวันทำให้ผมขดตัว กระเถิบไปยังฝั่งที่ฌาณนอนอยู่ ทว่าไม่เจอร่างของเจ้าตัวเหมือนทุกที...ผมชันตัวลุก หันซ้ายหันขวา รอบข้างมีเพียงความมืดที่ปกคลุม ลมหนาวพยายามแทรกตัวมาเฉือนผิวหนังผมจนสั่นสะท้าน



ฌาณหายไปไหน



ทั้งห้องเงียบเหงาวังเวง ราวกับผมตกอยู่ในความฝัน แต่ผมมีสติพอที่จะรู้ว่านี่คือความจริง ผมลุกจากเตียงไปสอดส่องอีกห้อง ทว่ามีแต่ความมืดที่ทักทายผม ไร้ร่องรอยของฌาณ ฌาณทิ้งผมไว้กับความมืดคนเดียว เมื่อเดินจนทั่วห้องแล้วไม่เจอเงาของเจ้าของห้อง ห้องน้ำเองก็ไม่มีใครใช้งาน ผมจึงเดินกลับมายังเตียงนอน



ก่อนที่น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ



ความกลัวอะไรบางอย่างกัดกร่อนจิตใจจนเผยความอ่อนแอออกมา ผมไม่ได้เตรียมใจรับมือกับการตื่นมาอยู่คนเดียว ในวันที่สภาพจิตใจเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเช่นนี้



“ร้องไห้ทำไม?”



“...”



ผมเงยหน้าหันไปตามต้นเสียง ฌาณกลับมาแล้ว ผมคงตั้งใจร้องไห้เกินไปจนไม่ได้ยินเสียงยามร่างสูงเข้ามาใกล้ คนเป็นพี่ขยับตัวขึ้นเตียงมาหาผม เอ่ยถามประโยคเดิมอีกครั้ง



“ร้องไห้ทำไม”



ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของมันคืออะไร แต่สาเหตุหลักๆ ของมันคงจะเป็นเพราะ…



“ฌาณหายไป...”



“พี่ไปห้องกุสตัฟมา หมอนั่นโทรมาขอยืมแฟลชไดร์ฟ”



“ฮึก” ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ยังกลั้นน้ำตาให้ไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้



“เด็กโง่ ไม่ต้องร้องแล้ว พี่อยู่นี่” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม ขยับนิ้วมือเกลี่ยไล่น้ำตาที่เกาะอยู่ข้างแก้มผมออกไป ผมก้มหน้าหนีก่อนทิ้งตัวซุกลงบนอกเขา ฌาณกวาดมือมาโอบรอบตัวผม ลูบหลังเบาๆ คล้ายปลอบใจ



ปลอบใจจากอะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่แน่ใจ



ว่าที่จริงแล้วผมกลัวที่ฌาณหายไป หรือเพราะเรื่องราวของคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเมื่อตอนเย็นกระทบจิตใจมากเกินไปกันแน่...



แต่ไม่ว่ายังไง สุดท้ายผมก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของฌาณอีกครั้ง





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄





ทีละนิดทีละหน่อย

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ


ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ชอบตอนน้องแกะพาเที่ยว น่าร้ากกกก
น้องเก็บความลับอะไรไว้บ้างนะ เหมือนกดความรู้สึกไว้ พยายามลืมแต่ความจริงมันอัดแน่นเต็มไปหมด ให้พี่ฌาณกอดนะ
รอวันที่น้องจะยอมเผชิญหน้ากับปัญหา เอาใจช่วยนะเจ้าแกะ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2018 20:46:11 โดย makok_num »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
สงสัยๆ ว่าไนล์ทำอะไร
น้องถึงหนีมานิวซีแลนด์

มาต่อไวๆนะ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
อ่านแล้วอยากไปเดินเที่ยวเลยยยย
กอดเจนโอ๋ๆนะ ไม่ร้องนะ ; ^ ;
 :sad4:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เจนเจอแต่ละคน แล้วทำไมน้องดูซื่อ
เค้าดูแลก็ว่าดีด้วยแล้วหรอ ดีนะกุสตาฟกับฌาณมาช่วยทัน

เห็นน้องเศร้า พี่ฌาณเลยต้องโอ๋ใหญ่โต
ฌาณชอบแกล้งน้องด้วย แกล้งพี่ด้วย

เจนติดกอดฌาณแล้วไม่รู้
ไจเลี้ยงเจนแบบไข่ในหินมาก
มาเจอพี่ฌาณเข้าไป งานนี้มีทำเองหลายอย่าง 

ชีวิตการอยู่คนเดียวไม่ง่ายนะ
ทำไมเจนถึงเลือกหนีมา
ไนล์เป็นใคร เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรอเจน

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 8 : Dying like a shooting star



ในที่สุด ฌาณก็พาผมมาดูแกะที่ One tree hill ที่นี่มีแต่ทุ่งหญ้า เนินเขาและต้นไม้อีกแล้ว แต่นิวซีแลนด์เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติ เพราะงั้นผมจะไม่บ่นว่าทำไมมีอยู่แค่นี้ อย่างน้อยก็ยังได้เห็นเจ้าแกะเดินไปเดินมา มันไม่ยอมให้คนเข้าใกล้หรือจับตัว แต่ดันมากินหญ้าใกล้ๆ คนอ่ะ แกะย้อนแย้ง



จุดเด่นของที่นี่คือยอดเขาที่มีอนุสรณ์สถานของใครสักคนอยู่ แต่กว่าจะเดินถึงก็เล่นเอาผมแทบตาย ทางขึ้นเขาทั้งชันทั้งไกล ผมหอบจนเหนื่อย แม้ว่าอากาศจะดีมากๆ ก็ตามเถอะ ระหว่างทางเห็นมีคนขับรถขึ้นก็ได้แต่โกรธฌาณว่าทำไมไม่มีรถใช้ จะได้ไม่ต้องเดินไกลขนาดนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย จะตายอยู่แล้ว



แน่นอนว่าฌาณแค่หัวเราะขำเหมือนทุกที ไม่ได้สนใจคำพูดผมนักหรอก แม้ว่าผมจะจริงจังกับเรื่องนี้ก็ตาม



เราเดินกันเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงยอดเขา เพราะผมเอาแต่พักเหนื่อย วิ่งไล่แกะ แวะดูนู่นดูนี่ ในระหว่างที่ผมออกนอกลู่นอกทางฌาณก็ถ่ายรูปรอไป ที่นี่มีแกะกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด พวกมันอยู่ด้วยกันเป็นฝูง จะย้ายที่ทีนึงก็เคลื่อนกันเป็นขบวนก้อนขนวิ่งตุบตับๆ ผ่านไป



บางตัวขนฟูแต่บางตัวก็ไม่มีขน ฌาณบอกว่าสงสัยโดนตัดขนไปแล้ว มันดูตลกแต่ก็น่ารักไปอีกแบบ



ผมเล่นจนเหนื่อย พอถึงยอดเขาก็ไม่มีอะไรนอกจากลมเย็นๆ วิวสวยๆ และความภาคภูมิใจของตัวเองที่เดินมาจนถึงปลายทางได้สำเร็จ ที่นี่มีคนเอาสุนัขมาวิ่งเล่นด้วยอีกแล้ว ผมได้ทักทายไปบางตัว มีหลายพันธุ์ที่ผมไม่เคยเห็น มันตลกและน่ารักดี



เราเอ้อระเหยอยู่บนยอดเขาสักพัก เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงนี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆ ผมอยากชื่นชมความพยายามของตัวเองก่อน อีกอย่างคือขี้เกียจเดินลง...



เราเดินขึ้นเนินนู้นไปเนินนี้ เสร็จแล้วก็ไปเนินนั้น เพราะว่ามันมีแค่นี้ เนินเขาทุ่งหญ้าสีเขียวท้องฟ้าสีฟ้าและแกะประปราย ฌาณไม่ได้มีแพลนไปไหนต่อ ผมเองก็เช่นกันเพราะอย่างนั้นเราเลยเอ้อระเหยกันนานหน่อย



ผมเดินหลบขี้แกะที่เป็นเหมือนกับดักระเบิดตามพื้นหญ้า หวังจะไปดูวิวตรงหน้า เมื่อเห็นเมืองโอ๊คแลนด์ในมุมสูงและเนินสีเขียวเรียงรายสวยงามจนผมฉีกยิ้มหว้าง ผมหันไปฌาณ รีบบอกให้เขามาดูด้วยกัน



ทว่ากลับได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์ พร้อมกับเลนส์กล้องที่ส่องมาทางผม



ฌาณลดกล้องลง เผยรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาก่อนเงยหน้าขึ้นมา



“หน้าตาตลกดี”



“เดี๋ยวเถอะ ไหนเอามาดู”



ผมร้องโวยวาย ฌาณเล่นถ่ายทีเผลอเลยไม่ได้เก๊กหล่อเลย เขาเปิดรูปในกล้องตัวเก่งให้ผมดู ก่อนที่จะเห็นรูปตัวเองยิ้มแฉ่งกำลังหันมาทางกล้อง ลมพัดเส้นผมปลิวลู่ลมถูกแช่ค้างไว้ในรูปภาพ มีแสงอาทิตย์ที่ฉาบใบหน้าผมไปเกือบครึ่ง พร้อมกับท้องฟ้าสีสดใส



มันดู...ตลกเพราะผมหน้าบาน แต่กลับเป็นรูปที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป...ฌาณถ่ายรูปสวย จนไม่คิดว่าคนในรูปจะเป็นผมจริงๆ มันดู...สดใสและเจิดจ้าเกินไป



“...ออกจะดูดี”



เมื่อฌาณเห็นผมเงียบไปจนผิดสังเกต เขาจึงขยับตัวเหมือนต้องการเรียกสติผม ทำให้ผมต้องตอบกลับไป เชิดหน้าหนีแต่ไม่ลืมดึงแขนเสื้อฌาณให้มาดูวิวตรงหน้าด้วยกันตามความตั้งใจแรก



“ตรงนี้วิวสวย ถ่ายมาเยอะๆ นะ” ผมบอกเขา ฌาณเลิกคิ้วแต่ก็มุดลงไปในกล้อง กดเล็งภาพก่อนจะได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์ตามมาแชะๆ



ฌานไม่ค่อยถ่ายรูปคน และผมก็ไม่ค่อยขอให้เขาถ่ายตัวเองสักเท่าไหร่ มันเขินๆ แถมรู้สึกไม่ชิน มีแค่ไม่กี่ที่หรอกที่ผมจะขอให้เขาถ่ายให้เพราะเซลฟี่แล้วมันบังวิวมิด เพราะงั้นรูปผมเมื่อครู่นี้จึงทำให้ผมคิดว่าฌาณถ่ายรูปคนเก่งเป็นบ้า



“หนาวมั้ย”



“ไม่ค่อย”



หลังจากที่ผมแอบมองฌาณถ่ายรูปรอบๆ แล้วเขาก็เดินกลับมาถามผม วันนี้แดดแรงเป็นพิเศษทำให้อากาศอุ่นๆ มีลมเย็นๆ พัดโกรกมาบ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดหนาวจนเข้ากระดูก ไม่เจ็บจมูกเวลาหายใจ ไม่เจ็บหูด้วย



“หิวรึยัง”



“...นิดหน่อย”



“งั้นลงไปหาอะไรกินกัน”



“แต่ผมไม่อยากเดินลง”



“...”



“มันเหนื่อย...ฌาณแบกผมหน่อยดิ”



“...งั้นก็อยู่ตรงนี้ไป”



ผมร้องโอดครวญ ฌาณไม่ใจดีเลย มันเมื่อยขาอ่ะ แต่ไม่ลงก็ไม่ได้ ผมไม่อยากติดแหง็กอยู่บนนี้แย่งเจ้าพวกแกะกินหญ้า เลยได้แต่เดินตามฌาณไปบ่นไป ถ้าได้มาอีกคราวหน้าขอมีรถนะ…



วันต่อมาผมพักตัวอยู่ในห้อง ขาล้าไปหมดจนคร้านที่จะเดิน ส่วนฌาณก็ออกไปทำงานที่ห้องสมุดเพราะนัดกุสตัฟไว้ ผมทำตัวเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซน ไม่ออกไปไหนคนเดียวตามคำสั่งเขา เสียแต่น่าเบื่อเป็นบ้า ซีรีส์ก็ดูจบหมดแล้ว หนังสือก็อ่านแล้ว ทีวีก็ไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ เบื่อ เบื่อ



วันถัดมาฌาณมีสอนพิเศษตั้งแต่เช้าจนค่ำ บอกให้ผมหากินเอง แต่ห้ามออกไปไหน แล้วผมทำไงได้อ่ะนอกจากต้มน้ำร้อนเทใส่มาม่ากินเปล่าๆ เพราะต้มไข่หรือไส้กรอกไม่เป็น อันที่จริงผมเปิดเตาไม่เป็นด้วยซ้ำ



ก็ฌาณไม่สอนอ่ะ



ผมทำได้แค่ล้างจานกับซักผ้า อุปกรณ์นอกเหนือจากนี้ผมไม่กล้าแตะแล้ว กลัวทำมันระเบิด



ฌาณเคยบอกว่าถ้าทำอาหารให้เปิดเครื่องดูดอากาศด้วย เพราะถ้าควันมันไปทำให้สัญญาณดับเพลิงทำงาน รถดับเพลิงจะมาถึงที่ คนในที่พักต้องออกมาข้างนอก และถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราจะเสียค่าปรับสองหมื่นดอลฯ ผมไม่กลัวเสียตังหรอก ผมกลัวจะรบกวนคนอื่นมากกว่า กลัวห้องระเบิดด้วย เพราะงั้นผมขอไม่เสี่ยงดีกว่า



แต่จะให้กินมาม่าทั้งวันผมก็ไม่เอาอ่ะ เพราะงั้นตอนเย็นเลยแอบฝ่าคำสั่งเขาออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแถวที่พัก ผมรีบไปรีบกลับ และทุกอย่างก็ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น



บางทีทั้งผมทั้งฌาณอาจจะระแวงเพื่อนเลวคนนั้นเกินไป แต่ป้องกันไว้ก็ดีกว่าแก้



ผมกลับขึ้นห้องอีกครั้ง ฟ้ามืดแล้วแต่ผมไม่ง่วงเลยสักนิด ผมนอนทั้งวัน ไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเลย ตัวแทบจะเปื่อยยุ่ยติดกับเตียง ตอนนี้ก็ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมา ใช้เวลาอย่างไร้ค่าจริงๆ



ผมว่างจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่มีฌาณให้พูดด้วยแล้วแทบบ้ากว่าเดิม เบื่ออ่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะอยู่ได้สบายๆ นะ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้เบื่อแบบนี้ ทั้งว่างทั้งเหงาจนคิดฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว อาบน้ำก็แล้วเล่นเกมในมือถือก็แล้ว แต่ก็ยังหยุดความคิดฟุ้งซ่านไม่ได้



และคงจะฟุ้งซ่านมากไปหน่อยเมื่อผมโหลดแอพพลิเคชั่นที่ไม่คิดจะใช้ตลอดสามเดือนกลับมาเล่นอีกครั้ง...



แอพพลิเคชั่นสีเขียวเริ่มใช้งานทันทีที่ผมล็อกอินเข้าไป ตัวเลขสีแดงแจ้งเตือนทะลุเป็นหลักพัน ผมกดเข้าไปอ่านข้อความของไจก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนมากก็มีแต่เรื่องที่ไจโวยวายที่ติดต่อผมไม่ได้ ผมกดออก ไล่ดูกลุ่มแชทอื่นๆ กดเข้าไปในกลุ่มแต่ไม่ได้อ่านทั้งหมด เพราะแค่อยากให้แจ้งเตือนหายไป



จนกระทั่งถึงแชทล่าสุดที่ผมละเลยไว้สักพัก...



ผมกดเข้าไปก่อนรีบกดออก ไม่อยากอ่านข้อความในนั้นเลยสักนิด สุดท้ายแล้วผมก็ไม่รู้จะโหลดไลน์กลับมาเล่นทำไมทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากติดต่อใครหรืออ่านข้อความของใคร...



จนกระทั่งโทรศัพท์แจ้งเตือนว่ามีคนแชทมา ผมก้มส่องหน้าจอก็ขึ้นชื่อเป็นบุคคลที่ผมหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด...



ผมไม่ได้กดเข้าไปอ่าน ปล่อยให้มันเด้งแจ้งเตือนขึ้นข้อความตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จับจ้องตัวอักษรที่อีกฝ่ายส่งมาข้อความแล้วข้อความเล้าอย่างเหม่อลอย



ทันใดนั้น มือถือของผมก็สั่นเป็นจังหวะยาว ผมสะดุ้งและถึงได้รู้ว่าคนๆ นั้นคอลมา...



ไม่รับ ไม่ต้องรับ อย่ากดรับ กดวาง ตัดสาย ปิดเครื่อง ทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ได้คุยกับเขาอีก อย่าสนใจ กดปิดไปสิ



“เจน...?”



“...”



ทั้งที่สมองสั่งการให้ปฏิเสธมากมายขนาดนั้นแท้ๆ สุดท้ายผมก็แตะลงตรงปุ่มสีเขียวอยู่ดี...



เพียงแต่ผมกดเปิดลำโพงแล้วรีบวางทันทีที่กดรับสาย ราวกับว่าวางมันไว้ไกลๆ แล้วจะช่วยอะไรได้



“เจน? ฮัลโหล”



“...”



“เห็นว่าอ่านไลน์ เราเลยแชทหา แต่เจนไม่ตอบเลยโทรมา...”



“...”



“เราอยากคุยด้วย เจน... ถ้าได้ยินก็ตอบเราหน่อย”



ไม่อยากคุย



“อืม”



“...เจน...เรื่องตอนนั้นเราขอโทษ...”



“อือ”



“...ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนี้ เราผิดเอง...”



ไม่ใช่หรอก...



“คือ...ไม่รู้จะพูดยังไงอ่ะ เราไม่อยากให้เจนเสียใจ...แต่มันก็...”



“...ช่างมันเถอะ”



“เจน...”



“ไนล์ไม่ต้องใส่ใจหรอก...”



“ไม่ได้ดิ ยังไงเจนเป็นเพื่อนคนสำคัญของเรานะ”



สำคัญยังไง ถ้าสำคัญจริงจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ ที่จริงแล้วไม่ได้สำคัญอะไรเลยไม่ใช่หรือไง



แย่แล้ว...ก่อนสะอื้นมันมาจุกที่คอจนผมพูดอะไรกลับไปไม่ได้...



“เจน...ยังฟังอยู่รึเปล่า”



“...”



“ถ้ายังไงก็กลับมางานแต่งของเราเถอะนะ ยังไงเจนก็-”



ผมคว้าโทรศัพท์มือถือมากดตัดสายก่อนโยนมันทิ้งไป น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลออกมานองหน้า



“...เมื่อกี้คุยกับใคร-”



“...”



ฌาณกลับมาแล้ว ผมได้ยินเสียงเปิดประตูในระหว่างที่คนในสายกำลังจะพล่ามประโยคที่ผมไม่ต้องการรับรู้ แต่ที่ผมตัดสายเขาทิ้งไม่ใช่เพราะฌาณ เป็นเพราะผมเองที่ไม่สามารถทนฟังเสียงจากเขาได้อีกแล้ว



“ร้องไห้ทำไม”



ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้ว มันไปตกอยู่บนพื้นพรมปลายเตียง ฌาณเก็บมันขึ้นมาก่อนเลิกคิ้วสงสัย เพราะโทรศัพท์เจ้ากรรมยังคงสั่นครืดร้องโวยวายเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนใช้ไลน์โทรมา



เป็นใครไมได้หรอกนอกจากคนที่ผมตัดสายไปก่อนหน้านี้



ผมไม่ตอบเขา ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ จ้องเจ้าของห้องว่าจะทำยังไงกับมือถือของผมต่ออย่างไม่คิดจะเอ่ยแนะนำอะไร แค่จ้อง…เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะกระทำสิ่งอื่น



จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนเงียบลง และไม่มีเสียงใดแทรกเข้ามา ฌาณโยนโทรศัพท์ของผมที่จอดำมืดมาไว้บนเตียง ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าฌาณกดปิดเครื่องให้ไปแล้ว



คนตัวโตเคลื่อนตัวมาบนเตียงนุ่ม ขยับตัวเข้าหาผมก่อนสองมือเย็นๆ นั่นจะสัมผัสเข้ากับแก้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตา



“ไม่ร้อง...”



สิ้นสุดความเข้มแข็ง ผมทิ้งตัวปล่อยให้ความอ่อนแอโจมตีตัวเอง สะอื้นไห้ในอ้อมกอดฌาณอย่างหนัก



...ผมอยากจะร้องจนหลับไป แต่ในความเป็นจริงผมไม่หลับ แถมน้ำตาก็หมดก๊อกแล้ว ผมฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ จากฌาณอยู่อย่างนั้นและเขาก็ลูบหลังผมอยู่ไม่หยุด ฌาณยังไม่ทันได้ถอดโค้ทสีดำของเขาด้วยซ้ำแต่ต้องมาปลอบผม ที่จู่ๆ ก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าใส่ พอมาคิดดูแล้วก็น่าอายนิดหน่อย



ผมขยับตัวซุกเข้ากับอกฌาณ อยากให้เขาคอยลูบหลังปลอบใจอย่างนี้ต่อไป แต่พอเขาเห็นว่าผมหยุดร้องไห้แล้วจึงค่อยๆ ผละออก



“ตาบวมหมดแล้ว”



“...”



“นอนเถอะ เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดหน้าให้”



ผมกดหน้าลงต่ำ ส่วนฌาณก็ลุกออกจากเตียงไป ทั้งที่เขายังคงอยู่ในห้องแต่ผมกลับรู้สึกเคว้างคว้างอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากให้ฌาณอยู่ใกล้ๆ กับผมก่อน กอดผมไว้ก่อนอย่าเพิ่งลุกไปไหน



เขากลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำหมาดๆ ฌาณค่อยๆ บรรจงเช็ดหน้าผมช้าๆ



ผมเงยหน้าขึ้น สบตากับเขา



ถ้าเป็นฌาณ...จะเป็นไปได้มั้ยนะ



“แล้วเป็นอะไร จู่ๆ ก็ร้องไห้ซะหนัก”



“...”



“คนที่โทรมา...”



“อืม...ไนล์”



“...เป็นอะไรกับเขา”



“เพื่อน...”



“โกหก...”



“นอนเถอะ”



“เจน...”



ฌาณกดเสียงต่ำเหมือนจะดุเมื่อผมหนีคำตอบ ทิ้งตัวลงกับเตียงก่อนคลุมโปง ทว่าผมสัมผัสได้ว่าฌาณยังไม่ลุกไปไหน และผมก็ไม่อยากนอนคนเดียวด้วย เลยค่อยๆ แง้มผ้าห่มมาจ้องหน้าเขา...ที่จ้องผมก่อนอยู่แล้ว



“เจน” เขากดเสียงต่ำอีกครั้ง



“ฌาณมานอนด้วยกัน” ส่วนผมร้องเสียงอ่อน หวังออดอ้อน ตบพื้นที่ข้างตัวปุๆ



“ไม่กินข้าวหรือไง”



“ไม่หิวแล้ว...”



“ต้องไปอาบน้ำก่อน”



“ไม่เอานะ...”



“...”



“ฌาณอยู่กับผมก่อน”



“อาบน้ำก่อน เรานั่นแหละ เล่ามาเลยเป็นอะไร”



“ฌาณจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ”



“...เอาไว้ประกอบการตัดสินใจในการดูแล”



“มานอนก่อน ถ้านอนผมจะเล่านะ”



ผมไม่อยากนอนคนเดียวตอนนี้เลยบอกเขาเช่นนั้น สุดท้ายฌาณก็ถอนหายใจ ยอมทำตามความเอาแต่ใจของผม เขาขยับตัวถอดเสื้อโค้ทสีดำโยนไปไว้ตรงโซฟาเบด ถอดเสื้อกันหนาวอีกชั้นจนเหลือเพียงเสื้อคำเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงเดฟสีดำ ขยับตัวมายังที่ว่างข้างๆ ตัวผม ถึงจะขัดกับสถานการณ์แต่ผมอยากชมว่าพอฌาณใส่ชุดรัดรูปแบบนี้แล้วเท่เป็นบ้าเลย



ฌาณล้มตัวนอน หันหน้ามาจ้องผม เลิกคิ้วเป็นเชิงว่าเขาทำตามที่ผมบอกแล้ว



พอจ้องใบหน้าของเขาแล้วผมเกิดความลังเลขึ้นมา ไม่กล้าเล่าความจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมกลัวว่าพอรู้ความจริงแล้วฌาณจะไม่กอดผมอย่างนี้อีก แต่เพราะแววตาจริงจังของเขาทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น เรียบเรียงใหม่ในหัวเพื่อเตรียมกล่าวออกไป



ก่อนจะเอ่ย ผมขยับตัวเข้าหาฌาณ ซุกลงไปในอ้อมกอดอบอุ่น ปล่อยให้เขากอดตัวเองไว้อย่างนั้น หลับตานิ่งนึกถึงเรื่องราววุ่นวายก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่ทำให้ผมลี้ตัวเองมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ เรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะคนๆ เดียว...





คนเรารับมือกับความผิดหวังได้ต่างกัน...





คนที่เคยได้รับทุกสิ่งมาอย่างง่ายดายอย่างผม เปราะบางกว่าที่คิด เหตุเพราะทั้งชีวิตนี้ผมแทบไม่เคยผิดหวังเลย... ดังนั้น ผมจึงรับมือกับความผิดหวังไม่เป็นเท่าไหร่



ผมถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม ด้วยเพราะเป็นลูกคนเล็กของบ้าน อันที่จริงจะว่าคล้ายจะเป็นลูกหลงก็ได้... ในทีแรก พ่อกับแม่ตั้งใจจะมีลูกแค่สองคนคือเจดกับไจ และตั้งใจจะให้พี่ชายสองคนนี้สืบทอดกิจการที่บ้านต่อ แต่ผมดันโผล่มาแบบงงๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผมออกมาเป็นลูกคนที่สาม



ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบอะไร ทำตามใจชอบได้อย่างอิสระ ไม่เคยถูกบีบบังคับ ไม่ต้องแบกรับอะไร ทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ผมถูกสปอยมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตสุขสบายจนน่าอิจฉา



และทั้งนี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตระกูล...



เคยคิดเช่นนี้ตอนกระทั่งพบว่าตัวเองช่างไร้ความสามารถ เหมือนเกิดมาใช้ชีวิตให้จบๆ ไป แต่เพราะไนล์เข้ามาทำให้ผมรู้สึกมองเห็นค่าอะไรบางอย่างในตัวเอง



ความรู้สึกที่อยากจะก้าวข้ามผ่านความไม่ต้องดิ้นรนอะไร เพื่อใครสักคน



และคนๆ นั้นคือไนล์



ผมหลงรักเขามาตั้งแต่มัธยม และรักมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้



ทว่าการหลงรักก็เป็นได้แค่การรักข้างเดียว เมื่อไนล์ไม่ได้มีท่าทีเช่นเดียวกับผม แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะในช่วงนั้นไนล์เองก็ไม่ได้เป็นของใคร ไนล์ไม่ได้คบใคร ไม่มีแฟน ไม่มีคนรัก ไม่มีคนที่ชอบ ไนล์ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม ราวกับว่าผมได้ครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว และผมก็คิดเช่นนั้นมาตลอดว่าเขาเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว



เราสนิทกันมาก ขนาดที่มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังตลอด ไปเที่ยวเล่นกันที่บ้านจนพ่อแม่ของเรารู้จักกัน ตัวติดกันจนเพื่อนทุกคนรู้ว่าถ้ามีผมก็ต้องมีไนล์ และถ้ามีไนล์ต้องมีผม



และสุดท้ายในวันจบม.หก เราจูบกัน



ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่นชายสองคน แต่เราก็จูบกัน



แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนกันไม่กระทำเช่นนี้ก็ตาม...



หลังจากวันนั้น ไนล์มีท่าทีเปลี่ยนไปจนผมแอบเข้าข้างตัวเองว่าไนล์ก็มีใจ ทว่าพอเริ่มเข้ามหาลัยได้ไม่กี่เดือน ไนล์กลับพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผมเพื่อบอกว่าหล่อนคือแฟนคนแรกของเขา



เธอผู้โชคดีคนนั้นชื่อลินดา สวยสมชื่อสมความหมาย ดีกรีดาวคณะ แน่นอนใจผมแตกสลาย อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่ม ในทีแรกผมไม่อยากคาดหวังกับความสัมพันธ์ของเราอยู่แล้ว ไม่คิดว่ามันจะไปได้ไกลมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่เพราะการกระทำที่เลยเถิดคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ทำให้ผมเสียใจเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว



และดูเหมือนมีแค่ผมเพียงคนเดียวที่เสียใจ



หลังจากนั้นไนล์กับเธอก็คบกันมาเรื่อยๆ ผมภาวนาให้ทั้งคู่เลิกกันเข้าสักวันด้วยความอิจฉา แต่อนิจจา สุดท้ายฟ้าก็ตอบแทนผมโดยวันที่จบภาคเรียนปีที่สาม ไนล์บอกว่าจะหมั้นกับลิน



โลกของผมดับมืดอีกครั้ง ไนล์ไม่เคยคบใคร ผมคิดว่าไนล์เป็นของผมแค่คนเดียว ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเขาคิดจริงจังกับผู้หญิงคนนี้ ไนล์หลงรักเธอจนหมดใจ และถ้ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องเคยจูบกันด้วย



ทำไมต้องทำอะไรที่มันเกินเลยเกินกว่าคำว่าเพื่อน



ทำไมต้องทำให้ผมมีความหวัง



ทำไมต้องทำให้มันเกิด



แล้วทำไมถึงยอมนอนกับผม



ผมเคยนอนกับไนล์ในช่วงแรกๆ ที่เขาคบกับลิน คงเพราะความอยากรู้อยากลอง ไม่ก็ความไร้สติของเขาหรือเพราะไม่อยากเสียหน้าโดนตราหน้าว่าเป็นหนุ่มซิงไร้ประสบการณ์ตอนนอนกับหล่อนล่ะมั้ง ถึงได้มาทำเช่นนี้กับผม



และผมที่หลงรักเขามีหรือจะกล้าปฏิเสธ คิดเป็นเด็กว่าถ้าเขานอนกับผม มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วไนล์อาจจะหันมาชอบผมบ้างก็ได้



ทั้งที่สุดท้ายก็เป็นแค่ความคิดโง่เง่า...



ความเสียใจผมล้นท้นจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้



ถ้อยคำต่อว่าด่าทอคนบนฟ้าไม่ทำให้พวกเขาเห็นใจ ผมทรมานกับการที่ไนล์เป็นของคนอื่นถึงสามปีเต็ม จวบจนปีสุดท้ายของการศึกษา ไนล์บอกว่าจะแต่งงานกับลินทันทีหลังเรียนจบ



คำพูดของไนล์ราวกับฟ้าผ่าฟาดลงมาจนแทบหมดสติ ผมถูกเขาทำลายความหวังอย่างย่อยยับ ไม่เหลือพื้นที่ให้เผื่อความสัมพันธ์ ความคิดขัดแย้งมากมายถาโถมเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่



ถ้าจะเป็นแบบนี้ ทำไมต้องจูบ



ทำไมต้องยอมนอนกับผม



ทำไมไม่ทำให้มันจบแค่คำว่าเพื่อน



ทำไมต้องทำให้ผมมีความหวัง



และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไนล์กล่าวประกาศว่าจะแต่งงานกับลินดา ผมก็เผยความในใจออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป



ไนล์ไม่ได้มีท่าทีตกใจ ราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของผมอยู่แล้ว ยิ่งตอกย้ำให้ผมใจสลายมากกว่าเดิมเมื่อเขาไม่คิดจะรัก แต่ก็ยังทำท่าทีเหมือนมีใจ ทั้งๆ ที่รู้ดีแท้ๆ ว่าผมรู้สึกอย่างไร



น้ำตากี่พันล้านหยดก็ไม่อาจทดแทนความรู้สึกของผมได้



จนสุดท้าย เมื่อกำหนดวันแต่งงานของไนล์ออกมา ผมก็เลือกที่จะบินหนีมาไกลๆ อย่างนิวซีแลนด์ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเราเคยให้สัญญาว่าจะมาด้วยกันสักครั้ง



หากแต่สุดท้ายแล้วคำสัญญาก็เป็นแค่ลมปาก



ถ้าการดิ้นรนแล้วทำให้ผมแตกสลายอย่างนี้ เช่นนั้นผมก็ขออยู่เฉยๆ เสียดีกว่า







❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



Trust me...

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ หยาดน้ำค้าง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โถ่วววว น้องเจน ไม่เป็นไรนะ โอ๋ๆ พี่ฌาณรีบๆดามใจน้องเร็ว เห็นเจนเศร้าแบบนี้ไม่ดีต่อใจคนอ่านเลย  :o12: :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด