❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7  (อ่าน 46889 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อื้อหือ คนพี่ต้องเจ้าเล่ห์มากๆนะคะ ดูท่าแล้ว

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกดี

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โถ่ โกหกพอกันทั้งคู่ 55555555555555555555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้สักที ชอบฌาคิดว่าคนพี่ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆถึงชวนน้องมาอยู่ด้วยไม่น่าจะแค่บังเอิญหรอก

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
น่าติดตามมากค่ะ คิดว่าคงได้ติดบ่วงคุณนักเขียนคนนี้อีกแน่ๆค่ะ ฮือออ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
สนุกจัง เหมือนดูรายการสายลับจับแกะ
คนสองคนมาจับโกหกกัน อยากรู้ว่าโกหกอะไรกัรอีกน้ออออ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
คนพี่โกหกอะไรอ่ะ น้องจะจับได้บ้างมั้ย 5555

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
คนพี่ไม่โกหกแค่พูดไม่หมด 5555

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ใครจะโกหกเก่งกว่ากันนะ  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2

Lies 4: Somebody I used to know





วันนี้เป็นวันอังคาร อากาศอุ่นกว่าปกติ แสงแดดสว่างจ้าท้องฟ้าโปร่งโล่ง มีเมฆเล็กน้อย เหมือนว่าข้างนอกน่าจะอากาศดีไม่เบา ผมนั่งซุกอยู่ในผ้านวมบนเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จับจ้องแสงอาทิตย์ที่อาบแผ่นกระจกด้านนอก ดูสดใสแต่เงียบสงบ



หลังจากกุสตัฟกลับห้องไป ฌาก็ถามผมว่าอยากไปที่ไหนเพราะเขารู้ว่าผมฟังตอนที่พวกเขาคุยกันรู้เรื่อง ที่ๆ กุสตัฟเอ่ยขึ้นมาผมไม่รู้จักเลยสักที่และไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นยังไง จึงบอกฌาไปว่าอยากไปที่เงียบๆ ไม่มีคน ฌาเลยบอกว่างั้นก็อยู่ในห้องไป ผมคิดว่ามันก็จริง เมื่อวานเลยเลือกจะอยู่ในห้องตามความต้องการ ส่วนในวันนี้ผมไม่มีแพลน ฌาก็ออกไปมหาลัย



แต่ไม่คิดว่ามันจะเหงาแปลกๆ



ผมเพิ่งทานข้าวกลางวันที่จริงๆ แล้วฌาเตรียมให้เป็นข้าวเช้าเสร็จตอนสิบเอ็ดโมง ก่อนจะมานั่งเหม่ออยู่บนเตียงอย่างนี้ ผมหายไข้แล้ว เหลือน้ำมูกอีกนิดหน่อยแต่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก ผมนั่งจ้องหน้าต่างในห้องพร้อมจิบโกโก้อุ่นๆ บนเตียง พลางคิดว่าโกโก้ที่ฌาชงมันอร่อยกว่าที่ผมชงหลายเท่า วันหลังต้องถามสูตรจากเขา



ผมไม่มีอะไรทำ ทุกอย่างเริ่มน่าเบื่อไปหมด จากการที่ฌาพาผมไปเที่ยวเมื่อวันก่อนทำให้ผมเริ่มอยากรู้จักประเทศนี้มากขึ้น ไหนๆ วันนี้ก็อากาศดีขนาดนี้



สุดท้าย ผมตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปข้างนอก...



ผมเช็คทางไป Domain จากที่ได้ยินกุสตัฟพูดถึงสถานที่เที่ยวในวันนั้น ผมจำชื่อที่เขาพล่ามออกมาได้ไม่หมดหรอก แต่จำชื่อนี้ได้เพราะสั้นที่สุด...



เมื่อลองเปิดหาสถานที่นี้ดูแล้วก็น่าสนใจไม่น้อย Domain ที่ว่านั้นหมายถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สงครามโลกของที่นี่ ผมไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์หรอก แต่พื้นที่รอบๆ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยผืนหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้หลากหลายชนิด รวมถึงมี Winter gardens ที่เป็นสวนกระจกทำให้ผมสนใจที่จะไปแวะดูสักครั้ง



เมื่อบันทึกสายรถในอินเตอร์เน็ตลงมือถือเสร็จสรรพ เพราะมือถือผมใช้เนตระหว่างทางไม่ได้ ผมก็ออกเดินทาง รอรถบัสมาให้ตรงกับสายที่ต้องการก่อนก้าวขึ้นรถ ถามคนขับอีกนิดเพื่อความแน่ใจ ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเป็นการออกไปเที่ยวคนเดียวเป็นครั้งแรก ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ผมเดินเข้าประตูทางเข้าที่มีป้ายบอกขนาดใหญ่ ตื่นเต้นกับสถาปัตยกรรมที่ไม่มีในไทย



ผมเดินเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ก็พบต้นไม้รายล้อมมากมาย เป็นสวนเล็กใหญ่กระจายเป็นที่ๆ ผืนหญ้าสีเขียวขจี ต้นไม้บางต้นออกดองสีเหลืองสดใส เป็นเพราะอากาศดี มีแดดอ่อนๆ กับลมเย็นๆ บรรยากาศก็เหมาะกับการผ่อนคลาย ทำให้มีคนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัว มีคนมาวิ่งออกกำลังกายอยู่ไม่น้อยเลยด้วย



ผมไล่เดินไปตามทาง แวะถ่ายรูปต้นไม้บ้าง แม้จะไม่รู้จักสายพันธุ์มันก็ตาม บางต้นมีกิ่งหงิกงอแปลกตา บางต้นสูงใหญ่เหมือนอยู่มานานกว่าร้อยปี มีสระน้ำเล็กๆ และมีเป็ดหลายตัวว่ายน้ำป๋อมแป๋มอยู่ในนั้น ผมสามารถนั่งจ้องพวกมันได้เป็นชั่วโมงเลย



ถึงแม้ที่นี่จะคนเยอะ ไม่ค่อยเงียบ มีเสียงเด็กโหวกเหวก เสียงคนคุยกัน เสียงนกเสียงเป็ดตีกันไป แต่ผมกลับรู้สึกสงบไม่น้อย



บางทีคนเราก็ต้องการธรรมชาติจริงๆ



ผมนั่งมองสระน้ำเล็กๆ นี่ได้ทั้งวันก็จริง แต่เพราะยังอยากดูสวนกระจกก่อนจึงรีบลุกเดินไปตามป้ายบอกทาง เพราะกลัวว่ามันจะปิดก่อนผมไปถึง ถัดจากสระน้ำเป็นสนามหญ้าโล่งกว้างเป็นเนินสลับกับที่ราบ ราวกับมีสนามฟุตบอลสักสิบที่อยู่ในนี้ กว้างจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่บนยอดเนินมีสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ผมเดาว่าตรงนั้นคงเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ผมเลือกเลี้ยวไปอีกทาง เพื่อไปดูเรือนกระจกตามที่ตั้งใจก่อน



ยังดีที่ผมมาทันเวลา ตอนนี้บ่ายสองครึ่งแล้วแต่เรือนกระจกปิดตอนสี่โมงครึ่ง ผมมีเวลาเดินชมราวๆ สองชั่วโมง ซึ่งก็เพียงพอแล้ว



ดอกไม้สายพันธุ์ต่างๆ ถูกจัดขึ้นในนี้ ไม่ว่าจะเป็นพืชเขตร้อนหรือพันธุ์เฟิร์นต่างๆ ผมค่อนข้างชอบห้องกระจกเพราะมันอุ่น แต่อยู่นานๆ ก็ร้อน ผมไม่ได้รีบไปไหนจึงค่อยๆ เดินดูดอกไม้แต่ละโซนช้าๆ ก่อนจะครบหมดทุกที่แล้วจึงออกไปยังพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเนิน



ตัวอาคารใหญ่มหึมามาก เสาดอริคตรงทางเข้าสูงและใหญ่ ทำเอาเหมือนคนที่เข้ามาเป็นมดตัวเล็กๆ ไปเลย ผมไม่ได้เข้าไปดูข้างในพิพิธภัณฑ์ เพราะต้องจ่ายเงินค่าเข้า ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน ปัญหาคือผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แถมคนก็เยอะ วุ่นวายกว่าส่วนอื่นๆ จึงทำเพียงแค่เดินสอดส่องเล็กน้อยเท่านั้นก่อนออกมา



พร้อมคิดว่าถ้ามีฌามาด้วยก็คงจะดี ผมจะได้ขอให้เขาถ่ายรูปให้สักรูปเป็นที่ระลึก ผมไม่กล้าขอคนอื่นถ่ายให้เท่าไหร่ แถมเซลฟี่ตัวเองหน้าผมก็บังไปครึ่งรูปจนแทบมองไม่เห็นว่าผมมาที่ไหน



เริ่มเย็นแล้ว ลมหนาวเริ่มพัดมาทำเอาผมสั่น คิดว่าคงได้เวลากลับห้องแล้วจึงเดินกลับตามทางเดิม แม้ว่าใจจริงผมอยากจะลองเดินสำรวจส่วนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน แต่ผมกลัวหลงตายอยู่ที่นี่ สถานที่กว้างขวางขนาดนี้ผมจำทางไม่ได้แน่ๆ ถ้าลองเดินมั่วดู



ผมเดินตามทางเดิมมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เดินมาจนถึงทางเข้าที่มาตอนแรกพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มมืด ที่นี่มืดไวเพราะเข้าฤดูหนาวและผมควรรีบกลับได้แล้ว ผมตั้งใจจะเดินไปรอรถบัสที่ป้าย ทว่ากลับรู้สึกคุ้นตากับผู้ชายเอเชียคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มยืนรอรถบัสอย่างน่าขนลุก



จนกระทั่งเขาหันมาสบตาพร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อผม



ผมเบิกตาโต อ้าปากค้าง ขนในตัวลุกชัน ทั้งร่างเกร็งไปหมด สมองสั่งการให้ก้าวถอยหลัง วิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผมยืนนิ่ง ค้าง ปล่อยให้เขาเดินมาหาผมง่ายๆ



“ว่าไง...ไม่เจอตั้งนานเลยนะ” มันเอื้อมแขนมาโอบรอบไหล่ผม เอ่ยทักทายเป็นภาษาไทยราวกับคนสนิท แนบเนียนจนคนที่เดินผ่านไม่สังเกตว่าผมหวาดกลัวแค่ไหน



รถบัสสายที่ผมต้องการมาถึงแล้ว แต่คนข้างตัวไม่ยอมให้ผมไป เขาเอ่ยอะไรสักอย่างกับคนอื่นที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่ม ก่อนรถบัสจะเคลื่อนตัวออกไป ทิ้งไว้แค่ผมกับเขาที่ป้ายรอรถ พร้อมกับอากาศหนาวที่ไร้แสงอาทิตย์อีกครา



สิ่งที่ผมกลัวที่สุดไม่ใช่การไปไหนมาไหนคนเดียว แต่เป็นเพราะกลัวการได้เจอกับ ‘เพื่อน’ เก่าคนนี้อีกต่างหาก การไม่ยอมออกจากห้องไม่ใช่ว่าผมกลัวตัวเองจะหลง ผมใช้ภาษาได้ถ้าหลงทางขึ้นมาก็แค่ถามคนแถวนั้น...



คนข้างตัวผมตอนนี้หรือซีนคือเพื่อนที่ผมมาพักด้วยในอาทิตย์แรก ก่อนจะหนีออกมาเมื่อพบว่ามันไม่ได้บริสุทธิ์ใจกับผม



และใช่ ผมแอบหนีมา...ไม่ได้ถูกไล่ออกมาอย่างที่เคยบอกไว้



เวลาล่วงเลยผ่านไปนานมากพอจนผมวางใจ คิดว่าคงไม่ได้เจอกับมันอีก เพราะโอ๊คแลนด์ก็ไม่ใช่เมืองเล็กๆ โอกาสที่ผมจะได้เจอกับเพื่อนคนนี้คงไม่ได้มีมากมาย



ทว่าวันนี้กลับบังเอิญเจอ ความบังเอิญที่ผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้น



ไม่น่าออกจากห้องมาจริงๆ ด้วย...







หลังจากรถบัสจากไปสักพัก เพื่อนผมไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงกดมือถือส่วนแขนอีกข้างก็โอบไหล่ผมไว้ ล็อกแน่นราวกับต้องการกันไม่ให้ผมวิ่งหนี ก่อนจะค่อยๆ พาผมเดินไปยังทิศทางที่ผมไม่รู้จัก



“ไหนๆ ก็ไม่ได้เจอกันนาน ไปนั่งดื่มกันมั้ยล่ะ”



“...”



“ไม่ตอบอะไรหน่อยล่ะ”



“ไม่ไป...”



“เสียใจนะ นายต้องไป”



“...”



“เพราะนายหายไปเลยยังไม่ได้พาไปเที่ยวที่ไหนเลย”



ไม่ไป ไม่อยากไป...ผมร้องท้วงอยู่ในใจ สองเท้าพยายามฝืนตัวไม่ยอมเดินไปตามทางที่เขาบังคับ แต่ผมฝืนได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายเขาก็แรงเยอะกว่า บังคับให้ผมเดินไปตามที่เขาต้องการได้อยู่ดี



“โถ หนาวเหรอ ไม่แปลกหรอก ก็นายเล่นทิ้งเสื้อผ้าไว้ในห้องฉันตั้งเยอะ”



“...”



“เดี๋ยวพาไปที่สนุกๆ นะ ตอบแทนที่ได้เจอกันไง”



“ปล่อย”



ผมร้อง บอกเขาเสียงสั่น ทว่ามันไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด โอบไหล่บังคับให้ผมเดินไปเรื่อยๆ พร้อมคุยอะไรไร้สาระอยู่คนเดียว เพราะผมไม่สนใจฟัง แค่เสียงมันผมยังรังเกียจเลย



กระเป๋ากางเกงผมสั่นครืด คงมีคนโทรมาและคงเป็นใครไม่ได้นอกจากฌา ผมสันนิษฐานว่าเขาคงถึงห้องแล้วไม่เจอผมในห้องล่ะมั้งถึงได้โทรตาม ผมอยากควักโทรศัพท์มาตอบฌาแทบตาย แต่คนข้างๆ ราวกับรับรู้ว่ามีคนติดต่อมาหาผม ถึงได้ล้วงเอามือถือของผมไปก่อนกดตัดสาย



“มาเที่ยวสองคนก็อย่าให้ใครมาขัดเลยเนอะ” มันว่าเองเออเอง พร้อมนำโทรศัพท์ผมเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเอง ผมร้องขอมือถือคืน เสียแต่โดนปฏิเสธหนัก มันแสยะยิ้มออกมา ทำเอาผมสะอิดสะเอียน



ขยะแขยง ขยะแขยง ขยะแขยง



นอกเหนือความรู้สึกนี้ ผมกลัว กลัวว่าเหตุการณ์ที่ผมหนีมันออกมาจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง และในครั้งนี้ผมคงหนีออกมาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนคราวที่แล้วแน่ๆ



ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียแต่ฟ้ามืดแล้ว และขาผมก็กำลังจะแข็ง ผมเดินขืนตัวแต่ก็ช่วยอะไรเลยเมื่อแรงมันมากกว่าผม ลากผมให้ไปตามทางที่มันต้องการได้ง่ายๆ เราเดินมาราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ แต่อย่างน้อยผมก็วางใจเมื่อเส้นทางที่มันพาผมเดินมานั้นมีผู้คนเดินสวนไปมา ไม่ได้เปลี่ยวร้างอย่างที่กลัว



จนกระทั่งมาถึงท่าเรือที่ผมคุ้นเคย ถ้าจากตรงนี้ ผมจำทางไปขึ้นรถกลับที่พักได้ เสียแต่มันคงไม่ยอมให้ผมทำตามใจ เราเดินเลียบท่าเรือมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่บาร์แห่งหนึ่งอยู่ติดกับทะเล ขึ้นป้ายชื่อว่า PROVADOL



มันให้ผมแสดงพาสปอร์ตตรงทางเข้าผมราวกับรู้ว่าผมพกมา เพราะวันนี้ตั้งใจออกมาเที่ยวและไม่รู้ว่าต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อแสดงตนตอนไหนบ้าง ผมจึงพกมาด้วย และเหมือนเป็นความคิดที่ผิดพลาด เมื่อที่ๆ ผมไปเที่ยวไม่ได้ใช้พาสปอร์ตเลย แต่กลับต้องมาให้ไอ้หมอนี่นำไปใช้เพื่อเข้าบาร์ที่ผมไม่อยากเข้า



ใจผมสั่นกลัว หนีไม่ได้ ต่อต้านไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ อะไรกับตัวเองอีกรึเปล่า ผมกลัวแทบจะร้องไห้ออกออกมาแล้ว



มันพาผมมานั่งข้างใน สั่งเครื่องดื่มสองสามอย่างมาให้ผม ผมส่ายหน้ารัว ไม่อยากดื่ม



คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นก่อนจ่อเบียร์ขวดนึงมาที่ปากผม ผมส่ายหน้าอีกรอบ มันเอ่ยเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงและเสียงจ๊อกแจ๊กของคนในร้าน



“จะดื่มเอง”



“หรือจะให้กรอกปาก”



ผมจึงยกขวดเบียร์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนคนเชี่ยอย่างมันยกยิ้ม เอ่ยบอกให้ดื่มเครื่องดื่มตรงหน้าให้หมด จากที่คิดไว้ว่าจะค่อยๆ จิบเบียร์ขวดนี้ให้หมดเพราะกลัวมันสั่งอย่างอื่นมาให้ กลายเป็นว่าเครื่องดื่มทั้งหมดที่มันสั่งมาคือต้องการให้ผมดื่มคนเดียว



ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร เพียงแต่ไม่กล้าขัดขืน วางแผนในหัวว่ารอให้ซีนไปเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็ขอไปเข้าห้องน้ำแล้วค่อยหาทางหนีตอนนั้น



ทว่าทุกอย่างกลับทำแผนการผมพังทลาย เมื่อต่อมาไม่นานพวกเพื่อนๆ มันที่จากกันที่ป้ายรถบัสคราวนั้นกลับมาอยู่เต็มร้าน ในกลุ่มมีทั้งชาวไทยชาวต่างชาติรวมกันราวๆ หกคน ซีนเอ่ยแนะนำผมให้รู้จักก่อนขอเงินสดจากผมไปหลายดอลลาร์ เพื่อไปซื้อเครื่องดื่มแจกจ่ายเพื่อนๆ ที่มาใหม่



ครานี้ผมจึงรู้แล้วว่ามันพาผมมาที่นี่ทำไม คงกะให้ผมเป็นคนออกเงินเลี้ยงค่าเครื่องดื่มจนหมดตัว เอาเถอะ ผมไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าการจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มพวกนี้ให้แล้วมันจะยอมปล่อยผมไปผมยอมจ่ายก็ได้



เมื่อได้เครื่องดื่มกันครบทุกคนแล้ว จึงพากันชนแก้วไม่ต่างจากกลุ่มคนที่มาสังสรรค์ทั่วไป



ผมดื่มเครื่องดื่มสามขวดตรงหน้าของตัวเองจนหมด มึนอยู่ไม่น้อย ไม่นานก็มีขวดใหม่มาจ่อหน้าผมจากเพื่อนเลวคนเดิม



“เครื่องดื่มนายฉันเลี้ยง แต่นายต้องเลี้ยงพวกเพื่อนๆ ฉัน โอเคมั้ย”



ผมไม่ส่ายหน้าหรือตอบรับ ทำเพียงรับขวดเบียร์ราคาสามเหรียญมาอยู่ในมือเงียบๆ



ผมก้มหน้าก้มตาไม่คุยกับใคร คิดเอาแต่หาทางหนีออกไปจากที่นี่ ผมแอบขโมยโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋าของไอ้หมอนั่นมาได้แล้ว ใช้โอกาสตอนที่มันคุยกับเพื่อน ไม่ได้หันมาสนใจผมรีบหยิบโทรศัพท์ตัวเอง เพียงแต่ยังหาทางติดต่อฌาไม่ได้ ถ้าผมควักมือถือออกมากดตอนนี้ต้องเป็นที่สังเกตแน่ๆ แล้วผมก็คงจะโดนริบมือถืออีกรอบ



ดังนั้นทางออกอีกทางคือไปเข้าห้องน้ำ



ผมบอกคนข้างๆ ที่เป็นคนไทยเหมือนกันว่าอยากเข้าห้องน้ำ เขาจึงตะโกนบอกเพื่อนอีกคนให้มาส่งผมเป็นเพื่อน ปรากฏว่ามีผม คนไทยและคนต่างชาติอีกคนทีมาส่งผมถึงในห้องน้ำ ในห้องน้ำจริงๆ พวกมันไม่ยอมให้ผมใช้ห้องน้ำที่มีประตู บังคับให้ใช้โถข้างนอกในการทำธุระเท่านั้น แผนการแอบส่งข้อความหาฌาของผมจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า



 “คนนี้น่ะเหรอที่จะมาหมู่กับเรา”



“เห็นไอ้หมอนั่นว่างั้น”



“หน้าตาก็น่ารักดี แต่ดูเนิร์ดเป็นบ้า”



“เรื่องบนเตียงอาจจะเชี่ยวก็ได้ใครจะรู้”




ผมได้ยินบทสนทนาจากคนข้างตัวคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก่อนที่ตัวจะแข็งทื่อเมื่อรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของไอ้เหี้ยนั่น มันไม่ได้ต้องการเงินผม มันต้องการตัวผม...ทั้งยังเรียกพวกเพื่อนชั่วของมันมาอีก ผมหน้าซีด แสร้งทำเป็นทำธุระอยู่พวกนั้นจึงไม่ได้สนใจผมมากนัก อีกทั้งผมเคยบอกเพื่อนผมไปว่าฟังพูดอังกฤษได้นิดหน่อย ไม่ชำนาญ ซ้ำยังเอาแต่นั่งเงียบจึงไม่มีใครคิดว่าผมจะฟังพวกมันรู้เรื่อง



ผมต้องหนี ต้องหนี หนีให้พ้นจากที่นี่ แต่ผมต้องทำยังไง ในเมื่อพวกมันมีคนเยอะกว่า



“เสร็จยัง”



ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินภาษาไทยดังออกมาจากหนึ่งในคนที่มาส่งผม ผมพยักหน้า รีบล้างมือเดินตามพวกมันกลับโต๊ะ ทำไงดี ผมคงหวังพึ่งใครไม่ได้ ขนาดแค่มือถือที่อยู่ในโค้ทผมยังไม่มีโอกาสได้จับเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมแทรกผ่านฝูงคนตอนนี้จะหนีได้มั้ย



เท่าความคิด ผมแสร้งแทรกตัวไปยังฝูงคนที่แออัด ทำทีเปลี่ยนเส้นทางกลับโต๊ะด้วยตัวเอง ทว่าก้าวไปไม่กี่ก้าวผมกลับโดนลากแขนกลับมาแทบจะทันที คนลากตัวผมยกยิ้มก่อนจะจูงแขนผมกลับมาที่โต๊ะอย่างขัดขืนไม่ได้



แต่จากการลากแขนผมอย่างกะทันหันทำให้ผมเซไปชนคนในบาร์ค่อนข้างแรง ผมหันไปก้มหน้าขอโทษให้ก่อนจะพบว่าคนที่ผมชนคือกุสตัฟ!



“อ้าว...เพื่อนชาร์ลนี่ มาดื่มเหมือนกันเหรอ แล้วชาร์ลอยู่ไหน”



ผมคว้าแขนเขาทันทีก่อนรีบกระซิบบอก



“ช่วยผมด้วย”



กุสตัฟทำหน้าไม่เข้า แต่ผมโดนลากห่างออกไปทุกที จึงทำได้แค่ขยับปากเป็นคำพูด



H e l p… m e



พอผมกลับมาที่โต๊ะ บนโต๊ะมีเครื่องดื่มมากมายจากเงินผม ผมโดนเหวี่ยงให้เข้าไปนั่งกลางวงอีกครั้ง ซีนขยับมานั่งข้างๆ ก่อนเอื้อมแขนมาพาดบ่าล็อคผมไว้ ผมนั่งตัวสั่น กลัวเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างถึงที่สุด ได้แต่หวังว่ากุสตัฟจะเข้าใจความหมายของผม



“จะไป Bungalow กันตอนไหนดี”



“โรงแรมที่จองไว้อยู่ไหนนะ”



“Queen Street”



“งั้นเดี๋ยวสักพักค่อยไป หมดขวดนี้กันก่อน”




ยิ่งได้ยินบทสนทนาผมยิ่งรู้ว่าพวกมันไม่ได้ตั้งใจกลับหอพักของเพื่อนผม แต่ถึงขั้นจองโรงแรมเตรียมไว้แล้ว แถมยังมีชื่อผับอีกร้านในบทสนทนาอีก ผมได้แต่ภาวนาให้กุสตัฟเข้าใจและสามารถพาผมออกไปจากที่นี่ได้ ทว่าเวลาผ่านไปสักพักกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กุสตัฟไม่ได้โผล่หน้ามา และขวดเบียร์ในมือพวกนี้กำลังจะหมด ผมเริ่มน้ำตาคลอ



“เฮ้ ไนล์ มาทำอะไรที่นี่ ปาร์ตี้กับเพื่อนเหรอ”



“...”



“ยินดีที่ได้รู้จักพวกนาย ฉันเป็นเพื่อนเขาน่ะ ว่าไง ขอร่วมวงด้วยได้มั้ย”



“อ่า ได้สิ”




กุสตัฟปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดฝัน จากตอนแรกที่ผมเกือบถอดใจไปแล้ว ผมเริ่มใจชื้นเมื่อคิดว่ามีคนที่น่าจะพึ่งพาได้อยู่ที่นี่ กุสตัฟชวนเพื่อนผมและคนอื่นๆ คุยอย่างไหลรื่น เขาเป็นนักพูดที่ค่อนข้างเก่งเลยทีเดียว เมื่อทุกคนหัวเราะคล้อยตามกับบทสนทนาของกุสตัฟไปอย่างง่ายดาย ยืดเวลาให้ผมหาทางช่วยเหลือตัวเอง



ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน กุสตัฟยังเล่าเรื่องตลกๆ ให้พวกนั้นผังได้ไม่กี่เรื่อง ซีนกลับพูดแทรกออกมา



“เราจะไปแล้ว”



“ไปไหนหรือ”



“ไปต่อน่ะ ไม่รู้สิ ถ้าคนเยอะก็อาจจะกลับ”



“ไม่เอาน่า ไนล์ อยู่ด้วยกันก่อน”




กุสตัฟร้องอิดออดเมื่อเพื่อนเลวเอ่ยขัดบทสนทนาขึ้นมา ซีนเหมือนรู้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกับผม คงคิดอยากพาผมออกไปห่างๆ จากคนที่ผมรู้จัก



“เพื่อนนายแน่เหรอ” มันถาม



ผมพยักหน้า



“ถ้างั้นทำไมถึงเรียกนายว่าไนล์?”



“...”



“ว่าไง”



“บอกเขาไปว่าชื่อนั้น...”



“ฮ่าๆๆ งั้นแสดงว่าไม่ใช่เพื่อนจริงๆ สิ Hey guys, Let’s move”



สิ้นสุดคำสั่ง คนอื่นๆ เริ่มบอกลากุสตัฟ ส่วนผมได้แต่หันซ้ายหันขวา รีบหาทางหนีทีไล่ คนข้างตัวผมยังคงเกาะไหล่ผมไว้แน่น และออกแรงลากผมจนขืนตัวไม่ได้ พวกเราพากันออกจากข้างในบาร์มาสู่ตรงหน้าร้านได้สำเร็จ ผมไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว แต่ท้องฟ้ามืดสนิท แถมลมหนาวยังตีหน้าจนแสบ



“Bungalow or Hotel?”



“Hotel”



เพื่อนมันถาม และคำตอบของซีนทำให้ผมแทบทรุด ผมคิดว่าหมดหนทางแล้ว ผมขัดขืนไม่ได้ ดิ้นรนไม่ได้ เอ่ยขอความช่วยเหลือแล้วก็ไม่ได้ผล ผมไม่น่าออกจากห้องมาเลย หรืออันที่จริง...ผมไม่ควรมาประเทศนี้เลยกันแน่...



สองขาผมฝืนไม่ขยับ ไม่ยอมไปตามแรงที่ซีนพยายามลากให้ผมไป พยายามขัดขืนสุดชีวิต ท่าทีไม่สมยอมของผมทำให้พวกมันเดินไปไหนได้ไม่ไกล เพราะเอาแต่เหลียวหลังมามองผมที่ไม่ยอมขยับตัว เพื่อนเลวก็พยายามออกแรงลากผมจนเคลื่อนที่ไปได้ทีละนิด จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา



“ไนล์!”



ผมจำน้ำเสียงคุ้นเคยนี้ได้ ไม่ทันได้เห็นหน้าคนเรียกแต่ใจผมกลับชื้นขึ้นเป็นเท่าตัว พอรีบหันไปตามต้นเสียงก็พบกับฌาตามคาด ฌาสวมโค้ทสีดำยาวถึงเข่า เสื้อผ้าทั้งตัวสีดำสนิทกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาผม ส่วนคนข้างตัวเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงกระชับอ้อมแขนตัวเองแน่นกว่าเดิม คล้ายบอกเป็นนัยว่าไม่ยอมให้ผมได้หนีออกไป



ซีนเดินหนีไม่ได้เมื่อผมขืนตัวสุดแรงเกิด ทำให้ฌาตามมาจนทัน



คนตัวสูงหยุดยืนประจันหน้ากับพวกชั่วทั้งเจ็ดคน ฌากวาดตามองทุกคนช้าๆ ราวกับกำลังพิจารณา จนมีคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยปากถามขึ้นมา



“คุณเป็นใคร”



“ผมเป็นผู้ปกครองเด็กคนนี้ พวกคุณคือใคร”



“พวกเราน่ะหรือ เพื่อนเขาไง”



“...ผมจะให้อภัยที่พวกคุณโกหก แต่ส่งตัวเขามาให้ผม”




ซีนถอนหายใจก่อนเอ่ยขัดขึ้นมา



“อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย นายเป็นคนไทยใช่ไหม งั้นรู้ไว้ซะว่าผมเป็นเพื่อนของเขา หมอนี่มาพักกับผมตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วหายไป ตอนนี้ผมแค่พาตัวเขากลับ”



“ผมรู้...เพียงแต่ให้พาเขากลับไม่ได้หรอก เขาพักกับผม”



“คุณไม่รู้ ขนาดชื่อไอ้หมอนี่คุณยังไม่รู้จริงๆ เลย”



“ผมรู้...รู้ว่าเขาไม่ได้ชื่อไนล์ รวมถึงเรื่องที่เขาหนีออกมาจากคุณด้วย”



!!



“...ผมรู้จักเขาดีกว่าพวกคุณ ขอโทษด้วยที่เขาทำให้วุ่นวาย ทีนี้ส่งตัวเขามาได้แล้ว...”



“...”



“หรือจะไปคุยกับตำรวจ?”



สิ้นสุดเสียงฌา มีคนในเครื่องแบบเดินเข้ามาหาสองคน พวกนั้นถอยกรูด เหลือแค่เพื่อนผมที่ยังยืนประจันหน้ากับฌาและตำรวจข้างหลังเขา



“มีเพื่อนผมแจ้งว่าเห็นเขาไม่เต็มใจไปกับพวกคุณ ผมเลยอยากรู้ว่าพวกคุณไปบังคับอะไรน้องผมหรือเปล่า ถึงได้รีบมารับพร้อมเชิญตำรวจมาด้วย เผื่อเราจะตกลงกันไม่ได้...”



“...”



“ว่าไง”



“ฮะๆ ผมแค่ดีใจไม่ได้เจอเพื่อนเก่าเสียนาน เลยพามาปาร์ตี้สักหน่อย หมอนี่คงไม่ชอบ ไม่มีอะไรหรอก เนอะ”



มันพูดพร้อมตบบ่าผมแรง ผมพยักหน้า แม้จะได้ยินเรื่องที่พวกมันคุยกันชัดเจน เพียงแต่ไม่มีหลักฐานมากพอ



“ถ้างั้น ผมขอน้องผมคืนด้วยครับ”



“ได้สิ”



ในที่สุดมันก็ปล่อยแขนจากผม ปล่อยให้ผมเดินไปหาฌาอย่างง่ายดาย ฌารับตัวผมไว้ กางแขนโอบรอบคอผมแน่น เขาคุยกับมันอีกสองสามคำก่อนที่ซีนจะหมุนตัวจากไป ผมเห็นกุสตัฟยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล พลันน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่



ฌาคุยกับตำรวจสองคนข้างหลังที่ผมจับใจความได้ว่าไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณที่มาช่วย ทางตำรวจเอ่ยยินดีก่อนจะจากไป เป็นกุสตัฟที่เข้ามาแทนพร้อมถามถึงเรื่องราวรัวๆ



ผมตอบใครไม่ได้ สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดฌา ความกลัวที่สะสมมาค่อนวันค่อยๆ ถูกปลดออกทีละนิด พอรู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้วจึงระบายความรู้สึกทั้งหมดที่สะสมมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนเขาบอกให้กุสตัฟหยุดถามอะไรต่อ ผมกลัว กลัว กลัว ถ้าไม่เจอกุสตัฟจะทำยังไง ถ้าฌามาไม่ทันจะเป็นยังไง ถ้า...ถ้า...



“หยุดร้องได้แล้ว กลับบ้านกัน”



ผมพยักหน้า พยายามเช็ดน้ำตาและน้ำมูกที่เกรอะเต็มหน้า ทว่าไม่เป็นผลเมื่อน้ำตาผมไม่ยอมหยุดไหลเลยสักนิด แถมลมหนาวยังคงพัดมาอย่างแรงทำให้ผมหน้าชา เจ็บจมูกไปหมดด้วย จนฌาต้องมายืนบังลมให้ แถมเช็ดน้ำหูน้ำตาให้ผมอีก



เป็นตัวภาระจริงๆ เลย...



“ขอโทษนะฌา...”



“เฮ้อ นี่จำกันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม เจนนินทร์





!!







❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄

!??!!


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มันมีเรื่องปิดบังเยอะเกินไปแล้ว
ที่สำคัญไนล์บอกว่าจบป.ตรีแล้ว แต่ทำไมทำตัวเหมือนเด็กมัธยมอยู่เลย
ให้คนขู่บังคับแบบไม่หือไม่อือ ถ้าไม่มีกุสตาฟมาเห็นเข้า
มนุษย์คนอื่นบนท้องถนนหรือในบาร์นั่นเป็นมดปลวกหรือไง ถึงไม่ขอให้เขาช่วย


ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หงุดหงิดน้องไนล์เว่อร์ ตะโกนให้คนช่วยตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ เอาแต่เงียบแล้วใครจะช่วยได้ ทักษะการใช้ชีวิตเป็นศูนย์เลยอะ /อินจัด
สรุปคือรู้จักกันมาก่อนเหรอออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2018 09:44:17 โดย baibuabuaz »

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
โอ้โห ความโชคร้ายของน้อง... //ลูบผมโอ๋เอ๋
ซีนเลววววว น่าจะต่อยให้เลือดออกจากสมองซะบ้าง ฟฟฟฟ

อ้าว ตกลงฌาเป็นอะไรกับน้องงง

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
อ่านไปลุ้นไป  :a6: :a6:

ใจหายใจคว้ำหมด  :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ใครจำใครลืมเอาไว้ก่อน ดีใจที่ไนล์ปลอดภัย
พวกซีนจะยอมรามือมั้ยนะ... :hao5:

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี สรุปนี่สองคนเคยเจอกันมาก่อนสินะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
กะแล้วว่าฌาต้องรู้จักน้องมาก่อนแน่ๆไม่งั้นคงไม่ยอมให้มาอยู่ด้วยหรอกแถมยังรู้อะไรๆเกี่ยวกับน้องอีก แต่น้องก็นะงงใจมากคือกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลยเหรอ จะขัดขืนก็ไม่ได้ทั้งๆที่ไอ่พวกนั้นก็มามือเปล่านะกำลังคิดว่าตอนอยู่ไทยนี่เป็นลูกคุณหนูเลยรึเปล่าถึงช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลยเนี่ย

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
มีความซับซ้อน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ลูกแกะเกือบโดนฝูงหมาป่าลากไปกินแล้ววว ดีนะที่เจ้าของแกะตามมาทัน  :katai2-1:
ความลับของเด็กเลี้ยงแกะเฉลยอีกอย่างแล้ว โกหกอะไรไว้บ้างเนี่ยลูกกก

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เกือบแล้วมั๊ยล่ะเด็กเลี้ยงแกะเอ๊ย
สนุกมากค่ะ ชอบๆๆๆ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เกือบไปแล้วนะน้องไนล์ ฮือ ไม่สิ น้องชื่อเจนนินต่างหาก  :ruready

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรื่องนี้จะมีอะไรที่เดาทางไม่ทันอีกเนี่ย  :katai1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย สงสารน้อง กลัวมาก แล้วพวกนั้นก็ชั่วน่ะ
ไม่น่ามีเพื่อนแบบนี้เลย

ต้องขอบคุณกุสตัฟนะ ที่โผล่มาตอนที่ฉุกเฉิน

แล้วขอบคุณที่ฌามาช่วยทัน
สรุปคือต่างคนต่างโกหก ฌารู้จักน้องดี แต่น้องดันลืม ว่างั้น

ลุ้นตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2

Lies 5 : Don’t cry snowman



ผมทั้งที่ยังร้องไห้อยู่กลับต้องตกใจที่ฌาเอ่ยชื่อนั้นออกมา แต่ก็ยังตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อครู่เลยห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ เป็นสภาพน่าอนาจจนฌายังหัวเราะ



“กุสตัฟ เอารถกลับอพาร์ทเม้นท์ให้หน่อย”



“อะไรนะ”



“ฉันเอาหมวกนิรภัยมาอันเดียว ให้เขาซ้อนกลับไม่ได้”



“อะไรนะ เชี่ยแม่ง ไม่เอาโว้ย หนาวจะตาย ใครจะไปขับ”



“ถือว่าขอนะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเลย”



“ชิท”



ฌาโยนกุญแจรถให้กุสตัฟพร้อมยกยิ้ม บอกที่จอดรถก่อนจะพาผมเดินไปขึ้นรถบัส ผมยังสะอื้นไม่หาย แต่ก็เดินตามฌา ปล่อยให้เขาจูงมือไปเรื่อยๆ มีความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ในหัว ทั้งเรื่องที่อยากเล่า ทั้งเรื่องที่ปิดบัง ทั้งเรื่องที่อยากรู้



แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป มีแค่เสียงสะอึกสะอื้นลอบดังมาเป็นระยะๆ กระทั่งขึ้นรถแล้วผมก็ยังไม่หยุดร้อง สะอึกสะอื้นจนฌาต้องลูบหัวผมเพื่อปลอบใจ คนในรถมีไม่กี่คนเหลือบมองมาทางผมเป็นพักๆ



ฌาพาผมมาถึงอพาร์ทเม้นท์ เข้าสู่สถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง ผมร้องไห้โฮ คิดว่าคืนนี้จะไม่ได้กลับมาที่นี่เสียแล้ว



“ไม่ร้องแล้วสิ พี่ยังอยากจะดุเราอีกเยอะเลยนะ”



“ไม่...ไม่ดุ ฮือออ”



“ก็อยากทำตัวให้ดุทำไมล่ะ...คิดว่าโลกนี้ทุกคนต้องใจดีกับเจนหมดเลยหรือไง”



ฌาว่าพร้อมขยับตัวหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมปล่อยให้เขาเช็ดน้ำหูน้ำตาไปทั้งๆ ที่ยังปล่อยโฮไม่หยุด สรรพนามเรียกผมที่คุ้นหูทำให้ผมสงสัยฌามากกว่าเดิม เสียยังรวบรวมประโยคในหัวไม่ได้ เลยได้แต่ปล่อยให้ฌาบ่นไป เช็ดหน้าผมไป



“...คิดง่ายไปแล้ว หนีทุกคนมาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วคิดว่าจะใช้ชีวิตได้เหรอ นิวซีแลนด์ปลอดภัยก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะต้องเป็นคนดี เข้าใจมั้ย”



“ผมรู้ รู้หน่า...ฮึก”



“รู้แล้วยังจะทำอีก มาอยู่กับใครก็ไม่รู้ ดีแค่ไหนแล้วไม่โดนทำร้าย”



“ก็ก่อนหน้านี้ผม...เคยคุยกับเขามาก่อน...คิดว่าเขา...เป็นเพื่อน...จะเป็นคนดี...”



“แล้วเป็นยังไงล่ะ”



“ก็...ฮึก....ทีฌา...ยังดีกับผมเลย”



“...นี่จำกันไม่ได้จริงๆ เหรอ”



“...”



“ไม่ได้ชื่อฌา ชื่อฌาณ... ฌอเฌอ-สระอา-ณอเณร”



“...”



ผมเบิกตาโตเมื่อความทรงจำเก่าวิ่งเข้ามาในหัว ชื่อแปลกๆ แบบนี้ผมจำได้แม่น มีไม่กี่คนหรอกที่จะชื่อนี้แถมยังรู้จักผมดี ฌาณ...ชื่อที่เอาคำว่าฌานกับญาณมารวมกัน ทำให้ตอนเด็กผมสับสนเวลาเขียนชื่อของเขา ใบหน้าของเจ้าของชื่อสมัยเด็กแล่นขึ้นมาในความทรงจำ ฌาณเป็นคนข้างบ้านสมัยผมอยู่ประถม พี่ชายที่คอยมาเล่นกับผมแทนพี่แท้ๆ เพราะอายุใกล้กับผมมากกว่า คนที่ผมตัวติดหนึบตั้งแต่ป.หนึ่งถึงป.หก จนกระทั่งเขาย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเมื่อขึ้นม.ปลาย...



“ฌาณ...?”



“อืม ฌาณ”



“ฌาณ...จริงๆ เหรอ”



“อืม ฌาณที่เจนคอยวิ่งตามต้อยๆ ตอนเด็กๆ ไง”



สิ้นสุดเสียงของเขา น้ำตาผมทะลัก ร้องไห้โฮหนักกว่าเดิมจนฌาณตกใจ รีบกอดพร้อมลูบหัวลูบหลังผมใหญ่ ปลอบใจให้ผมหยุดร้องเสียแต่ผมห้ามน้ำตาไม่ได้



ความกลัวที่ต้องอยู่คนเดียวมาตลอดหนึ่งเดือนถูกปลดปล่อยเมื่อรู้ว่าคนข้างตัวผมเป็นคนที่เคยรู้จักกันดี ผมไม่เคยอยู่คนเดียวในที่ต่างแดนแบบนี้มาก่อน คิดว่าไม่น่าจะยาก แต่มันก็ไม่ง่าย ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองปลอดภัยอย่างนิวซีแลนด์แล้วก็ตาม คิดว่าโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ แบบฌา แต่กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนรู้จักผมมาก่อนแล้ว



“ถ้าอย่างนั้น...ฌาณ โกหกผมทำไม...”



“ก็เราโกหกพี่ก่อนทำไม...”



“...”



“ไจบอกว่าเจนนินทร์จะมาที่นี่ ตอนแรกเราบอกว่าจะไปกับเพื่อน แต่ไจดันไปเจอเพื่อนเราที่ไทยเลยรู้ว่าโดนน้องชายตัวเองหลอก หมอนั่นแทบจะบินมาหาอยู่แล้ว ดีที่พี่บอกว่าจะดูแลให้”



“...”



“โกหกพี่ชายทำไมหืม เจนนินทร์”



“...ผม...”



ผมโกหกไจที่เป็นพี่ชายคนรองของผมจริงๆ อย่างที่ฌาณว่า บอกเขาไปว่าจะมาเที่ยวสองคนกับเพื่อนสนิท ทว่าจริงๆ แล้วผมมาที่นี่แค่คนเดียว ไจคงไปเจอเพื่อนผมเข้าเลยความลับแตก...



“ผมทะเลาะกับเพื่อน...”



“...อันนี้ก็โกหกใช่ไหม”



“ไม่ใช่ ผมพูดจริงนะ”



“แล้วทำไมไม่ติดต่อหาไจบ้าง”



“ผม...ลบแอพที่ใช้ติดต่อหมดแล้ว ทั้งเฟส ไลน์ อินสตราแกรม”



“เฮ้อ... ดีนะที่ไจขอที่อยู่เราไว้ก่อนเราจะมาที่นี่ พี่เลยแอบตามดูได้”



“...แอบดู?”



“คิดว่าการที่พี่มาเจอเราเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง”



“...แล้วไม่ใช่เหรอ...”



“ตามมาตั้งเกือบอาทิตย์ จู่ๆ ก็เห็นเจนรีบร้อนออกมาจากที่พักเดิม เดินสุ่มมั่วขึ้นรถบัสแถมยังลงสถานีไปเรื่อยอีก”



“ฌาณ... ตามมาด้วยหรือตอนนั้น”



“ใช่ แอบเดินตามจนรู้ว่าเราไม่มีที่ไปนั่นแหละถึงได้ออกมาทัก”



“...”



“บางทีความบังเอิญก็ช่วยเราได้นะ เหมือนอย่างที่กุสตัฟบังเอิญเจอเจนวันนี้ แต่ไม่ใช่กับทุกครั้ง รู้ไหม...”



“...รู้แล้ว”



“พี่แทบบ้าตอนเจนหายไป ไจต้องฆ่าพี่แน่ถ้าเราเป็นอะไร”



ผมไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป ประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมา ฌาณผละตัวออกไปจากผมก่อนเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน หรือก็คือกุสตัฟ



“นี่กุญแจรถนาย จอดไว้ให้ที่เดิมแล้ว หนาวเป็นบ้าฉันจะแข็งตายอยู่กลางถนนแล้ว”



“ขอบคุณมาก เข้ามาก่อนไหม”



“...ไม่ล่ะ”



“...กุสตัฟ ขอบคุณจริงๆ เลือกร้านอาหารรอได้เลย”



“คิดมากน่า”



สิ้นสุดประโยค ฌาณก็ปิดประตู  หันกลับเข้ามาสบตากับผมอีกครั้งพร้อมถอนหายใจ



“ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวชงโกโก้ให้”



ผมพยักหน้ารับคำ เช็ดน้ำตาที่เกรอะเต็มหน้าออก ทำตามคำพูดของฌาณอย่างง่ายดาย



ฌานชงโกโก้ให้ผมทันทีที่ผมออกจากห้องน้ำ ผมได้ดื่มโกโก้ร้อนๆ ฝีมือของเขาแล้วถึงค่อยใจเย็นลง ค่อยๆ เอ่ยบอกเรื่องราวให้เจ้าของห้องรับรู้ไปอย่างช้าๆ เล่าทุกอย่างไปตามความจริงที่เจอมา ทั้งเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ผมหนีมาพร้อมทิ้งเสื้อผ้าไว้จำนวนหนึ่งเพราะไม่มีเวลาเก็บ



และก็รู้จากเขาว่าตำรวจที่ฌาณพามาด้วยนั้นฌาณไปเจอตอรพวกเขากำลังออกตรวจตราอยู่แถวนั้นพอดีเลยขอให้มาด้วยกัน



“น่าจะแจ้งตำรวจจับ”



“...แต่ก็ไม่มีหลักฐานนี่”



“เฮ้อ...เรานี่นะ...”



“...”



“เอาเถอะ ต่อไปห้ามไปไหนคนเดียวแล้วนะ”



“อือ...”  ผมรับคำ



“เข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวไว้จะพาไปซื้อเสื้อใหม่ที่ New market”



ผมพยักหน้า หลังจากดื่มโกโก้จนหมดแก้วแล้วจึงปีนขึ้นเตียงเข้านอนอย่างว่าง่าย เสียแต่ดันตาค้าง เมื่อขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนี้... มีหลายเรื่องวิ่งวนอยู่ในหัวมากเกินไป ผมจำฌาณไม่ได้จริงๆ และตั้งใจจะมาที่นี่โดยไม่ต้องการให้มีคนรู้จักมาร่วมเดินทางด้วยรวมถึงไม่ต้องการรู้จักใคร แต่กลับกลายเป็นว่าในช่วงที่ผมกำลังแย่ กลับมีคนที่เคยรู้จักคอยช่วยอยู่ข้างๆ เสียอย่างนั้น... 



ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองคิดตื้นแค่ไหน เป็นเด็กหนีเที่ยวที่มั่นใจว่าตัวเองอยู่รอดได้ แต่ความเป็นจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด เกือบจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้อีกครั้ง... ผมไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะปกติถ้ามีเรื่องอะไรผมแค่ฟ้องไจก็จบแล้ว หรือถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นผมก็มีเพื่อนคอยช่วยเหลือตลอด



ผมไม่เคยรับน้ำใจจากคนไม่รู้จัก และไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างผมด้วย อีกอย่างคือผมไม่ใช่คนพูดเก่ง สถานการณ์ตรงนั้นมันพูดยากนะ ถ้าลองขอความช่วยเหลือคนอื่นไปต่อหน้าซีน มันคงแก้ตัวให้ตัวเองสารพัดวิธีที่จะทำให้ผมไม่มีทางหนีอยู่ดี



พอไม่มีไจผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย และไม่มีใครเป็นหูเป็นตาให้เหมือนตอนอยู่ไทย



มาคิดดูถึงรู้ว่าผมโชคดีจริงๆ ที่เจอกุสตัฟ



ผมนอนพยายามหลับตานิ่ง ปัดเรื่องวันนี้ให้ออกจากหัว แต่หลับไม่ลงเสียทีจนกระทั่งฌาณขึ้นมานอน



ผมพลิกตัวไปหาเขา



“...ยังไม่นอนอีก”



“...ผมนอนไม่หลับ”



“เป็นอะไร...ไม่มีอะไรแล้ว...”



“ผมกลัว...ถ้าไม่มีฌาณจะเป็นยังไง”



“...แต่ก็มีไง ไม่ต้องห่วงหรอก ไจไม่ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวหรอก ถึงไม่มีพี่ ไจก็คงแอบส่งคนอื่นมาเฝ้าน้องชายตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ”



เพราะผมบอกพี่ไปว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนซี้ ปกติแล้วเพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือผมได้ทุกอย่าง ไจเลยวางใจ และอย่างที่ฌาณว่า ไจคงไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวแน่ๆ ถ้ารู้ว่าผมต้องอยู่คนเดียว เขาต้องรู้ว่าผมใช้ชีวิตคนเดียวได้แย่แค่ไหน



“...ฌาณ”



“หือ”



“จริงๆ แล้วฌาณก็รู้มาตลอดเลยดิว่าผมโกหกอ่ะ”



“ใช่ ไอ้เด็กเลี้ยงแกะ โกหกมันทุกอย่าง”



“ง่ะ...ก็นี่ไง...ผมไม่ได้เชื่อคนง่ายหมดทุกคนสักหน่อย ผมก็ระแวงฌาณเหมือนกันนั่นแหละ”



“ระแวงแต่ก็ยอมนอนเตียงเดียวกันกับคนแปลกหน้าเนี่ยนะ”



“ง่า...ก็มัน...”



“จริงๆ พี่เองก็พยายามทำให้เจนรู้เหมือนกันว่าพี่ไม่ใช่คนแปลกหน้า”



“...”



“ไม่มีใครเขาจู่ๆ ก็มาชวนคนไม่รู้จักที่เจอกันข้างถนนมาแชร์ห้องกันหรอกนะ...ไม่มีใครเขายอมล้างจาน ทำอาหาร ซักผ้าให้รูมเมทด้วย ไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง”



“ก็...ก็ผมคิดว่าเพราะผมจ่ายตังให้ฌาณเยอะนี่”



“จ่ายให้เยอะแค่ไหนถ้าเป็นแค่เมทส่วนใหญ่เขาก็ไม่ยอมทำให้หรอก ไม่ใช่แม่บ้านนี่”



“งือ...”



“ที่ยอมพาไปเที่ยว ให้ยืมเสื้อ ชงโกโก้ ดูแลตอนเป็นไข้ให้นี่คิดว่าเพราะใจดีเหรอ”



“อือ...ไม่ใช่เหรอ”



“ทำเพราะอยากให้เจนรู้สึกตัวต่างหากว่ามันไม่ปกติ อย่างที่ไจว่า เราอยู่คนเดียวไม่น่ารอดจริงๆ”



ครานี้เขาบ่นพร้อมถอนหายใจ ผมเบ้หน้า แต่เพราะฌานปิดไฟห้องแล้วทำให้มองไม่เห็นว่าผมรู้สึกยังไง ผมแอบเคืองๆ ฌาณนิดหน่อยที่หลอกผม ทำเป็นไม่รู้จักกัน เหมือนผมเล่นเป็นคนโง่โกหกอยู่คนเดียวเลย



“บอกมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ฌาณจะโกหกทำไม”



“อยากลองเชิงไง...แล้วพี่ก็โกหกแค่เรื่องชื่ออย่างเดียวด้วย...”



ผมจ้องเขา มองไปยังดวงตาสีรัตติกาล คาดเค้นว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือเปล่า



“...โอเค ไม่มีคนในคลาสชื่อชาช่าอีกเรื่องก็ได้ นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว มีแต่เรานั่นแหละ”



“ผมจำเป็นเถอะ...อีกอย่าง ฌาณบอกว่าไม่ใช่คนกรุงเทพนี่” ผมร้องแย้ง เมื่อตอนเด็กๆ เขาอยู่บ้านติดกับผมและเรามักเล่นด้วยกันตลอด จะให้ไม่เป็นคนกรุงเทพได้ยังไงในเมื่อบ้านเขาอยู่ข้างบ้านผมอ่ะ



“ก็ไม่ใช่ไง พี่เกิดเชียงใหม่ แต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพ...จำไม่ได้เหรอ”



“...”



“นี่แหละนะคนเรา แถมตอนพี่มาเรียนที่นี่พ่อแม่พี่ก็ย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่ ไม่รู้เหรอ”



“รู้...” แต่จำไม่ได้นี่...ตอนนั้นผมยังเด็กมากนี่นา



“ขี้โกหกแล้วยังขี้ลืม”



“ผมเปล่า”



แน่นอน ผมโกหก ผมจำไม่ได้จริงๆ นี่ ผ่านมาตั้งขนาดนั้น ผมก็คิดว่าฌาณไปใช้ชีวิตใหม่แล้ว คงลืมกันไปเหมือนที่ผมลืมฌาณนั่นแหละ



 “...เจนนินทร์จอมเอาแต่ใจ”



“...ผมไม่ได้เอาแต่ใจสักหน่อย”



“แต่ขี้โกหกใช่มั้ย”



“ไม่ใช่ ผมโกหกเพราะจำเป็นหรอก ฌาณนั่นแหละโกหกผม”



“ตอนแรกก็แค่ลองเชิง แต่ใครจะไปคิดว่านายจำพี่ไม่ได้จริงๆ”



“โห ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตั้ง 8 ปี ใครจะไปรู้ว่าฌาณโตมาแล้วจะหน้าแบบนี้”



“แบบนี้นี่คือยังไง?”



“ก็...ก็เป็นแบบนี้ไง”



“หึ แต่เจนไม่เปลี่ยนเลย พี่จำเราได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก”



“แต่ฌาณหน้าเปลี่ยน...”



ฌาณหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับลูบหัวผมก่อนเอ่ย



“ที่จริง...พี่ติดต่อกับไจตลอดเลยได้เห็นหน้าเจน  ไจชอบส่งรูปเรามาให้กับเอาแต่บ่นว่าเราชอบงอแง”



“...ไม่ได้งอแง”



“หึ”



“ทำไมไจไม่เห็นบอกเลยว่ายังติดต่อกับฌานอยู่ ตอนแรกผมเข้าใจว่าฌาณเรียนที่ออสเตเรียซะอีก”



“ก็ปกตินะ คนเคยสนิทนี่ มีแต่เรานั่นแหละ พอพี่ย้ายออกไปแล้วก็ไม่ติดต่อมาเลย แล้วพี่ก็เรียนที่นิวซีแลนด์มาตลอดต่างหาก”



“ก็...ตอนนั้นผมยังเด็กนี่ ใครจะไปจำได้เล่า”



“อ้าง หึ”



“ก็...”



“เอาเถอะ นอนซะ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวไม่สบายอีก”



“อือ...ฌาณ...”



“หืม”



ผมเงียบไปพักนึง ครุ่นคิดว่าจะขอเขาในสิ่งที่คิดในหัวดีมั้ย แต่ถ้าฌาณเป็นฌาณที่ผมรู้จักล่ะก็ เรื่องแค่นี้เขาต้องไม่ว่าแน่ๆ... ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมขอมันออกจะแปลกๆ แต่ผมห้ามความต้องการตัวเองไม่ได้อ่ะ...ผมทำใจก่อนเอ่ยถามเสียงเบา



“...ตอนนี้รู้จักกันแล้ว ผมกอดได้มั้ย”



“...ก็นอนกอดพี่ทุกคืนอยู่แล้วนี่”



“หือ”



“กลิ้งมากอดพี่ทุกคืนอยู่แล้ว ยังจะขอกอดอะไรอีก”



ผมไม่ทันได้ถามอะไรต่อฌานก็คว้าผมเข้าไปซุกอกอุ่น แม้จะตกใจเล็กน้อยกับสัมผัสที่ไม่คุ้นชิน ทว่ากลับคุ้นเคยจนทำให้ผมคลายความกังวลไปได้ง่ายๆ อ้อมกอดอบอุ่นของฌาณทำให้ผมเริ่มง่วง เคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนที่คอยลูบหัวผมช้าๆ พร้อมกับได้ยินเสียงนุ้มทุ้มว่าอะไรบางอย่าง ก่อนจะผล็อยหลับไป



“เด็กน้อย...”



พระอาทิตย์ลุกมาทำงานแล้ว...ส่วนผมนอนขึ้นอืดอยู่บนเตียงทั้งวัน ปล่อยให้ฌาณคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน ดีที่ผมไม่ได้เป็นไข้อย่างที่นึกกลัว แต่คราวนี้กลับแปลกกว่าทุกทีเมื่อผมโดนคนแก่กว่าดุให้ลุกไปล้างจานหลังจากที่ผมกินสปาเกตตี้บนเตียงเสร็จ



“ง่ะ...ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นให้ผมล้าง”



“เพราะอยากให้เจนสะกิดใจไง ตอนนี้รู้จักกันแล้วเพราะงั้นไปล้างจาน”



“เกี่ยวด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นถ้าความไม่แตกผมก็ไม่ต้องล้างจานไปตลอดเลยงั้นสิ”



“ไม่หรอก กะจะบอกเร็วๆ นี้นั่นแหละ”



“บรือออออ” ผมกระพือปากเหมือนสมัยเวลาเป็นเด็กยามไม่พอใจ ไจดุผมเสมอว่ามันไม่สุภาพ แต่ผมก็ติดที่จะทำแบบนี้อยู่ดี



“เดี๋ยวเถอะ”



“ถ้างั้นฌาณเอาเงินผมคืนมาเลย” ผมยังคงร้องงอแง ขี้เกียจล้างจาน อากาศหนาวๆ แบบนี้ไม่อยากให้มือเปียกนี่นา แถมผมยังจ่ายราคาค่าห้องให้ฌาณไปตั้งเยอะตามข้อตกลงที่ให้เขาดูแลผม



“อ่ะ มาเอาไปเลย” แต่ฌาณกลับไม่สนใจเมื่อหยิบเงินหนึ่งฟ่อนขึ้นมายื่นให้ผม



“...”



“ไม่เคยเอาไปใช้อยู่แล้ว ว่าจะคืนให้ขากลับนั่นแหละ”



“ฌาณ...”



“ไม่งอแง ไปล้างจานเองเลยไป”



“บรือออออ” ผมงอแงอีกครั้งก่อนลุกจากเตียง นำจานที่เคยมีสปาเกตตี้แสนอร่อยของฌาณไปไว้ในซิงค์ ก่อนเริ่มเปิดน้ำ ทันทีที่หยดน้ำสัมผัสกับมือผม ผมก็สะดุ้งทันที



“ฌาณ มันเย็นไปอ่ะ”



“เด็กโง่ น้ำอุ่นอยู่ตรงนี้”



เขาดุผมอีกครั้งพร้อมกับเข้ามาเปิดวาล์วน้ำอุ่นให้ ผมไม่รู้นี่ มันไม่เหมือนที่บ้านอ่ะ พอมีน้ำอุ่นแล้วผมถึงได้วางใจ ลงมือหยิบสก็อตไบร์ทขึ้นมา ก่อนจะลงมือขัด ทว่าโดนฌาณเอ่ยห้ามไว้ก่อน



“เดี๋ยวสิ ล้างน้ำให้หมดก่อน”



“ง่ะ...” ผมทำตามที่เขาบอก ใช้สายน้ำชโลมจานที่เปรอะคราบซอสจนหมด ก่อนจะนำสก็อตไบร์ทมาถู



“ผิดด้านแล้ว เอาด้านที่เป็นสีเขียวถูจานสิ”



“...”



ผมเปลี่ยนข้างสก็อตไบร์ท ลงมือขัดใหม่จนเกิดฟองฟ่อด ผมไม่เคยล้างจานเองนี่ ไจไม่เคยให้ผมแตะอะไรแบบนี้เลย แถมไม่เคยมีใครสอนผมด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าฌาณยืนซ้อนหลังผมเพื่อคอยจับตาดูว่าผมล้างจานถูกหรือเปล่า...ผมดูโง่ไปเลยอ่ะ



“ดีมาก เสร็จแล้วเอาไปตากตรงนี้” เขาบอกพร้อมชี้ชั้นวางจาน ผมเสียบจานให้เข้ากับร่องจนมันวางพอดีถึงได้ปล่อยมือ ก่อนนำช้อนส้อมที่ทำความสะอาดแล้วไปไว้ในตะกร้าข้างๆ เป็นอันเสร็จ



“ทำได้มั้ย”



ผมพยักหน้า



“ดีแล้ว ครั้งต่อไปถ้ากินเสร็จก็ล้างจานด้วย”



“ฌาณ...” ผมร้อง ไม่อยากล้างจานนี่ แต่พอเห็นตาดุๆ ของฌาณผมก็หงอทันที แต่ผมยังต้องพึ่งเขาอีกเยอะ เพราะงั้นผมยอมล้างจานก็ได้



ฌาณบอกว่าวันนี้จะพาผมไป New market ย่านช็อปปิ้งที่น่าสนใจอีกที่ ให้ผมหาซื้อเสื้อกันหนาวเพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ผมทิ้งไว้ที่หอซีนคนชั่ว และไม่คิดจะไปขอเอากลับมา เพราะฉะนั้นเมื่อทานข้าวล้างจานเสร็จฌาณจึงบอกให้ผมไปเตรียมตัว ผมอยากเอ้อระเหยอยู่อีกสักพัก แต่ร้านค้าที่นี่ปิดไว ตอนหกโมงบางทีก็ปิดเกือบหมดทุกร้านแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงบ่ายจึงถือเป็นฤกษ์งามยามดี



ผมเปลี่ยนชุด แต่งตัวไม่นานก็พร้อมออก ส่วนฌาณแต่งตัวรอตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว พอถึงเวลาเขาก็แค่หยิบโค้ทกับผ้าพันคอมาสวม



“เสร็จแล้ว” ผมบอกเขา ฌาณพยักหน้ารับก่อนยกมือมาทาบหน้าผากผม



“ไม่มีไข้นะ”



“ไม่มี ผมสบายดี”



“ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกนะ”



“อือ”



ผมตอบรับพี่ชายตรงหน้า ฌาณคงกังวลว่าผมจะไม่สบายเพราะร้องไห้หนักเมื่อคืน แต่ผมยังแข็งแรงดี การได้ออกไปข้างนอกกับฌาณคงทำให้ผมสดชื่นขึ้นหน่อย



เราออกเดินทางกันประมาณบ่ายโมง นั่งรถบัสไปเพราะฌาณมีหมวกนิรภัยแค่ใบเดียว ผมร้องบอกว่าจะซื้อเพิ่มให้ตัวเองแต่โดนฌาณดุกลับมาเลย บอกว่าสิ้นเปลือง อยู่แป๊บเดียวก็กลับแล้ว ให้นั่งรถบัสไป ผมเบ้ปาก อยากลองซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่นี่บ้างนี่...



เมื่อมาถึงย่าน New market ฌาณพาผมเดินดูช็อปต่างๆ ที่นี่ดูไม่ต่างจาก Queen street เท่าไหร่ ในแง่ของผู้คนและข้าวของ แต่ตัวสถาปัตยกรรมค่อนข้างต่างกันมาก ที่นี่ไม่ค่อยมีตึกสูงเท่าไหร่ เป็นช็อปชั้นสองชั้นตั้งเรียงรางข้างทาง ทว่าแต่ละช็อปมียี่ห้อติดหรูหรา ผมเลือกเดินเข้าเดินออกตามแต่ละร้าน สุ่มดูบ้าง เข้าตามแบรนด์ช็อปที่ผมมักซื้อเสื้อผ้าเวลาอยู่ไทย จนได้เสื้อกันหนาวเพิ่มมาทีละถุงสองถุง



ส่วนฌาณคอยเดินตามผมอยู่ไม่ห่าง เขาเดินดูเสื้อผ้าเช่นกันแต่ไม่ได้เลือกซื้ออะไร แถมเสื้อผ้าที่ฌาณสนใจเห็นจะมีแต่เสื้อผ้าสีดำ



“ฌาณทำไมถึงมีแต่เสื้อผ้าสีดำอ่ะ”



“...All blacks ไง”



“คือไรอ่ะ?”



“ชื่อทีมรักบี้ของที่นี่ ดังมากนะ”



“ผมไม่ดูรักบี้” อันที่จริง ผมไม่ดูกีฬาอะไรเลยต่างหาก



“ไว้กลับไปจะเปิดให้ดู”



“...” ผมไม่ได้อยากดูสักหน่อย



“อันที่จริง คนที่นี่ก็นิยมใส่สีดำหรือสีทึมๆ แบบนี้กันนะ นิวซีแลนด์เป็นเมือง old fashion คนไม่ค่อยแต่งตัวกันมากหรอก”



ผมพยักหน้า เป็นตามที่ฌาณว่าจริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นคนที่นี่แต่งตัวจัด ถ้าคนไหนใส่โค้ทหรือบู้ทสีสดๆ ก็อนุมานได้เลยว่าเป็นชาวต่างชาติ



ผมเลือกเสื้ออีกสองสามชุด เข้าออกแต่ละที่เป็นว่าเล่น ถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่เอา จนถุงช็อปปิ้งในมือผมเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นฌาณที่คว้าไปช่วยถือ ก่อนปล่อยให้ผมมีความสุขกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าต่อ อันที่จริงผมซื้อของพวกนี้ที่ Queen street เองก็ได้ แต่ไหนๆ ฌาณก็พามาเที่ยวทั้งทีเลยไม่อยากปล่อยให้เสียเที่ยว



ตอนแรกผมคิดว่าคงไม่ได้จำเป็นต้องออกห้องเท่าไหร่ เพราะผมกลัวเจอเพื่อนชั่ว คิดว่าเอาแต่อยู่ในห้องไปเรื่อยๆ ก็ได้เลยไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม แต่พอฌาณเฉลยว่าเป็นฌาณ  ผมเลยมั่นใจว่าเขาจะต้องพาผมไปเที่ยวข้างนอกแน่ๆ และผมจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา คิดได้อย่างนั้นผมเลยเลือกช็อปปิ้งให้สมกับที่อัดอั้นมานาน ทว่าก็ไม่ใช่ทุกร้านที่ผมจะถูกใจ



จนฌานเอ่ยขึ้นเมื่อช่วงหลังๆ ผมเข้าๆ ออกๆ ร้านเสื้อแต่ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ “ถ้ายังไม่ถูกใจไว้จะพาไปที่ Takapuna beach”



“ไป”



ผมตอบทันควันส่วนคนชวนก็ยกยิ้ม



จนผมช็อปจนพอใจแล้วฌาณก็พากลับห้อง บอกให้เอาของไปเก็บก่อนที่จะให้เตรียมตัวออกไปทานข้าวข้างนอกอีกครั้ง ผมถึงได้รู้ว่าฌาณตั้งใจจะไปหากุสตัฟที่ร้าน ตอบแทนที่เขาช่วยผมเมื่อวันนั้น แน่นอนผมยินดีอย่างยิ่ง เลยใส่โค้ทตัวใหม่เพื่อไปเลี้ยงข้าวเย็นเขาเลย



ระหว่างเดินทางฌาณเล่าว่ากุสตัฟมาหาเขาเมื่อเช้า ตอนที่ผมกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ ฌาณจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนเขาฟัง ทั้งเรื่องที่ผมเจอทั้งเรื่องที่จริงๆ แล้วผมกับฌาณรู้จักกัน ผมไม่รู้ว่ากุสตัฟว่าอะไรไหมแต่ฌาณบอกจะไปรับเขาที่ทำงานพิเศษผมเลยคิดว่ากุสตัฟน่าจะไม่ได้คิดมากเรื่องที่ฌาณบอกจะเลี้ยง แถมดูเหมือนจะไม่อยากรับค่าตอบแทนอะไร ฌาณถึงต้องบุกไปหาถึงที่



และตามคาด เมื่อกุสตัฟเห็นพวกเรามารอหน้าร้าน เขาก็สบถคำหยาบมากมายใส่ฌานทันทีจนผมยิ้มขำ



“ชิท บอกแล้วว่าไม่ต้อง น้องชายนายก็เหมือนน้องชายฉันนั่นแหละ กลับไปเลย ชิ่วๆ”



“หน่า อุตสาห์มาถึงที่นี่แล้วทั้งที ไปด้วยกันหน่อย”



“แม่งเอ๊ย นายนี่มัน...”



“กุสตัฟ ให้ผมขอบคุณคุณเถอะนะครับ ถ้าไม่ได้คุณวันนั้นผมคงแย่”
ผมร้องขัดขึ้นมาเมื่อเขามีทีท่าว่าจะไม่ยอม



“หา...อะไรนะ นี่นาย...พูดภาษาอังกฤษได้งั้นเหรอ”



“อ่า ฉันลืมบอกไป”



“แม่งเอ๊ย พวกนายนี่มัน”



“ไปว่าเขานู่น ฉันไม่เกี่ยวนะ เขามันเด็กเลี้ยงแกะ”



“ไนล์...ฉันหมายถึง เจน...นายไม่ควรโกหกเพื่อนพี่ชายนายนะ ดีแค่ไหนที่ฉันไม่ได้นินทานายออกไป โอ้พระเจ้า พวกนายนี่มันแย่สุดๆ เลย คุยภาษาไทยนินทาฉันได้แต่ฉันไม่รู้เรื่องเนี่ย”



“ไปกันใหญ่แล้วกุสตัฟ มาเถอะ ยืนตากลมเดี๋ยวเจนป่วยอีก มีร้านอาหารดีๆ แถวนี้เยอะแยะเลยนี่ นายอยากเข้าร้านไหนล่ะ”



“ไม่เข้าสักร้านนั่นแหละแม่งเอ๊ย”



“งั้นให้ฉันเลือก...Cloody ดีมั้ยล่ะ”



“โอ้ ชิท เลี้ยง Wendy ฉันก็พอ โอเคมั้ย”



“โอเค ป่ะ Cloody”



“ชาร์ล!”



สุดท้ายฌาณก็โอบไหล่เพื่อนเขาไว้ ส่วนผมก็เดินตามหลังไม่ห่างเพื่อไม่ให้กุสตัฟเดินหนี กุสตัฟร้องโวยวายแต่สุดท้ายก็ยอมเดินดีๆ ตามพวกเรามาร้านอาหารที่ฌาณว่า Cloody เป็นร้านสเต็กที่ดูหรูหราอยู่พอตัว หน้าร้านเป็นตึกเก่าดูขลังแต่สวยงามแบบออริจินัล ส่วนในร้านกลับตกแต่งอย่างโมเดิร์น โดยใช้ไม้สีเข้มเป็นหลัก พร้อมกับไฟสีส้มและมีอะไรไม่รู้ระยิบระยับไปหมด



พวกเรานั่งลงตามที่เด็กเสิร์ฟจัดที่ให้ ก่อนเริ่มดินเนอร์กัน กุสตัฟบ่นไม่หยุด แต่พอหนีไม่ได้เลยเลือกสั่งมาเสียเต็มคราบ แน่นอน ไม่มีปัญหาสำหรับผม สเต็กที่นี่รสชาติดีพอสมควรเลย ไม่เหนียวไม่คาวแถมซอสราดก็อร่อย เสียแต่ผมกินได้นิดเดียวก็อิ่ม ไม่เหมือนสองคนนั้นที่กินเยอะ กินได้หลายอย่าง ผมอิจฉาชะมัด ถึงแม้ว่าผมจะกินได้ไม่เยอะเท่า แต่ก็พยายามชิมอาหารแต่ละจานอยู่เหมือนกันจนท้องป่อง



จากนั้นก็เข้าสู่วงสนทนา ผมเพิ่งรู้ว่ากุสตัฟกับฌาณเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ฌานอยู่ไฮสคูล ตอนฌาณเพิ่งมาที่นี่ใหม่ๆ ก็ได้เข้าเรียนพิเศษเพื่อปรับภาษา และได้เจอกับกุสตัฟที่กำลังจะเข้ามหาลัยที่โคลัมเบีย เลยมาเรียนภาษาเหมือนกัน เจอกันแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่กุสตัฟต้องกลับไปเรียนต่อที่โคลัมเบีย ส่วนฌานก็ใช้ชีวิตที่นี่ไปเรื่อยๆ แล้วทั้งคู่ได้มาเจอกันอีกครั้งตอนที่กุสตัฟกลับมาต่อโทที่โอ๊คแลนด์เพราะที่ทำงานต้องการ ฌาณจึงชวนให้มาพักที่เดียวกันเสียเลย



เพราะงั้นตอนนี้กุสตัฟก็อายุ 28 เข้าไปแล้ว ส่วนฌาณอายุ 25 ความต่างของอายุไม่ได้ทำให้ความเป็นเพื่อนของสองคนนี้ลดลงเลย พวกผมคุยกันเรื่อยเปื่อยจนอาหารหมด กุสตัฟดุผมใหญ่เลยเรื่องที่ผมโกหกเขาและเรื่องที่ผมไปคบเพื่อนเลวๆ ผมก็ได้แต่ก้มหน้าขอโทษเขา บทเรียนคราวนี้จะไม่ลืมจริงๆ



แล้ววันนี้ของผมก็กลับมาปกติธรรมดา และจบวันด้วยท้องที่เต็มไปด้วยเนื้อและพุงป่องๆ





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



ถึงจะเฉลยแล้วแต่ระหว่างนี้ก็ลองจับผิดกันดูเล่นๆ นะคะ 555555






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทุกอย่างเฉลยแล้วก็โล่งเลยละซิเจน

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เฉลยแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่ต้องจับผิดกันอยู่อีกเหรอ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
รู้จักกันมาก่อนจริงๆด้วย สนิทซะด้วยนะะะ
เฉลยแล้วแต่มันต้องมีอะไรเหลืออีกใช่ม่ะ
หรือไม่เหลือแต่โกหกเพิ่ม? 55555

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ยังมีอะไรอีกไหมเนี่ยย55

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด