❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7  (อ่าน 46958 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เคลียร์สกายจริงๆค่ะ สดใส ซาบซ่าเลยทีนี้

เจนทั้งน่ารัก น่าสงสาร
กว่าจะทำใจให้ตัวเองรู้ตัวว่าไม่ถูก
ยอมรับและก้าวไปหาเรื่องจริง .. เพราะฌาณนะ
เจนอ้อนน่ารัก น่าฟัดมาก แทบอยากบินกลับมาหาแล้วมั้ง

ฌาณก็พูดชัดนะ แล้วไปเคลียร์มาหรือยังล่ะ
ก่อนที่จะกลับมาหาน้องน่ะ

ไจคือพี่ที่ดีมาก และรักน้องมาก ถึงบางครั้งจะเยอะไปก็เหอะ

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เราเพิ่งกลับมาอ่านหลังจากพักไปจากตอนที่6 แงงงงงงง พลังของคำโกหกนี่รุนแรงเหลือเกินค่ะ ทำเอาใจเสียไปกับการพูดโกหกของน้อง และการไม่พูดของคนพี่ เกือบสร้างรอยแผลให้กันซะแล้ววว ท้ายที่สุด การโกหกถูกหักล้างด้วยคำขอโทษ แม้บาดแผลจะไม่หายแต่ก็ได้รับการเยียวยา ดีมากๆเลยที่ทุกคนเองก็เข้าใจในความผิดของตัวเอง ไม่ได้โยนความผิดให้ใคร

เรารู้สึกผิดที่ไม่ได้ติดตามแบบเรียลไทม์เลยไม่ได้คอมเมนท์ให้กำลังใจสนับสนุุนคุณแรคคูล แต่ก็รู้สึกดีหน่อยๆ ไม่งั้นทุกครั้งที่จบตอนเราต้องกระวนกระวายเพราะความอยากรู้แน่เลยยย

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 15 :Once upon a lie



ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ผมงอแงใส่ไจ หาว่าไจใจร้าย ไม่ยอมให้ผมไปหาฌาณ โวยวายใส่ก็หลายทีแต่ไจไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ตามใจผม และนั่นทำให้ผมหงุดหงิด ไจไม่เชื่อว่าฌาณจะรักผมจริง ผสมกับกลัวว่าผมจะเสียใจเหมือนเรื่องของไนล์อีกครั้ง...



ไจไม่ได้บอกหรอก แต่ฌาณเป็นคนบอก กบฏฌาณชอบแอบเอาเรื่องของไจมาบอกผมตลอด



ผมถามเขาเรื่องโบนิตา ฌาณบอกว่ากำลังจัดการ ตอนนี้บอกบิวที่เป็นน้องสาวไปแล้ว เบลล์เองก็รู้เรื่องแล้ว เหลือตะล่อมบอกกับคนแม่ แต่ฌาณบอกว่าไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก คิดว่าท่านคงเข้าใจ อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย ไม่ได้ต้องการเวลาจัดการนานขนาดนั้น เพียงแต่หลักๆ ที่เขาไม่ยอมมาเจอผมก็เพราะไจขอไว้นั่นแหละ ถึงได้หาเรื่องอ้างให้ผมยอมกลับ ไม่งั้นคงเป็นเขาที่ต้องซวย



ผมโกรธไจแล้ว



งอนพี่ชายไปร่วมอาทิตย์แต่ในครั้งนี้ไจไม่ใจอ่อนเหมือนที่ผ่านมา อาจเพราะเขางานยุ่งด้วยเลยไม่มีเวลามาเห็นผมงอน เลยได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว



และผมเพิ่งรู้ว่าน้องสาวของโบนิตาเป็นผู้หญิงสวยๆ สมชื่อทั้งนั้น โบนิตาในภาษาสเปนก็แปลว่าสวย บิวก็มาจากคำว่าบิวตี้ เบลล์ก็เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าสวยเหมือนกัน สวยกันทั้งบ้านจนผมแอบหึงนิดๆ ที่ฌาณเคยรายล้อมด้วยผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ มีความสุขมากมั้ยฮึ



ในช่วงสองเดือนแรก ผมโวยวายใส่ไจทุกวันจนปากเปื่อย ผมมั่นใจว่าผมชอบฌาณ ในเมื่อผมเอาแต่คิดถึงเขาทุกวัน อยากเจอทุกวัน อยากคุยด้วยทุกวัน แต่ไจก็ไม่สนใจผมเลยสักนิด เป็นครั้งแรกที่เขาปฏิเสธคำขอของผม ทำให้ผมไปไม่เป็น จนสองเดือนหลังก่อนถึงปีใหม่ผมไม่ค่อยโวยวายแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าผมรักฌาณน้อยลงหรือเปล่า



มันยังคงมีความรู้สึกอยากเจอ คิดถึงเหมือนเดิม เพียงแต่มันไม่ได้มากจนล้นเหมือนที่ผ่านมา ครั้งนี้มันเป็นความคิดถึงแบบเงียบๆ ผมออกไปทำอย่างอื่นมากมาย แต่ถ้าเผลอปล่อยเหม่อก็จะมีความคิดว่า เฮ้อ คิดถึงฌาณจัง ประมาณนี้ มันเฉยจนกลัวว่าตัวเองจะลืมเขาไปสักวันเหมือนที่ผ่านมา



แต่คงไม่ลืมหรอก ครั้งยังเป็นเด็กกับครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนี่



ผมติดต่อกับฌาณเป็นครั้งคราว เพราะไจไม่ค่อยว่างนั่นแหละ ถึงแม้จะงอแง ต่อรองว่าขอให้ผมติดต่อหาฌาณได้โดยตรงแต่ไจก็ไม่ยอม พอไจไม่ยอมฌาณเลยต้องยอมตามใจไจ เขาบอกว่าไม่อยากทำให้ว่าที่พี่เขยรู้สึกไม่พอใจ และต่อให้ผมหาทางติดต่อฌาณได้ แต่เขาก็จะไม่ตอบผมอยู่ดี สุดท้ายก็มีแต่ต้องอดทน อดทน อดทน จนคิดว่าตัวเองอดทนเก่งขึ้นโคตรๆ เลย



ผมนั่งกาปฏิทินทุกวัน ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว ฌาณเคยสัญญาว่าจะมาหา และเมื่อวันปีใหม่มาถึง ฌาณก็มาหาจริงๆ แต่มาเจอแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วบินไปเชียงใหม่ ได้กอดแค่แป๊บเดียวเอง ได้คุยกันแค่แป๊บเดียวเองด้วย ไม่เห็นสมกับที่รอคอยเลยสักนิด ผมจะร้องไห้แล้ว ไม่สิ ผมร้องไห้ไปแล้ว



ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมเหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่อยากเจอเขาล่ะ



ฌาณไม่อยากเจอผมบ้างหรือไง



หลังปีใหม่ ผมหาอะไรทำ เช่นว่าไปช่วยทำงานกับเพื่อนที่เป็นเบื้องหลังการทำภาพยนตร์ ใช้ความรู้ในสายวิชาที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ รับแปลเอกสารบ้าง ไปช่วยเป็นล่ามบ้าง หาอะไรทำให้ตัวเองหยุดฟุ้งซ่านคิดถึงคนใจร้าย



ส่วนลินเองก็ท้องได้สามเดือนแล้ว ผมในตอนนี้ไม่หลงเหลือความริษยาอีกแล้ว กับไนล์เองก็กลับมาพูดคุยปรึกษากันได้เหมือนเคย ทว่าหัวใจก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาเหมือนกันเมื่อคิดว่าคนที่ทำให้ผมตัดใจจากไนล์ได้กลับไม่ได้ดูแคร์ผมเหมือนที่ผ่านมา



ผมร้องไห้อีกแล้ว



สองเดือนแรกหลังปีใหม่เป็นช่วงทรมานที่สุดของผม แต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มดีขึ้น ผมเริ่มเฉยชา ฌาณจะไม่รักผมก็ช่าง ผมก็หาอะไรทำก็ได้ จะได้ไม่นึกถึงเขา



แต่ผมรู้ ผมกำลังหลอกตัวเอง โกหกว่าไม่เป็นไรแต่ในใจมีแต่คิดถึงเขาตลอดเวลา และเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดว่าฌาณอาจจะไม่รักผมแล้ว



ช่วงหลังมานี้ผมไม่ได้ติดต่อหาฌาณเท่าไหร่ หลังจากเขามาหาผมแป๊บเดียวแล้วไปเชียงใหม่ ฌาณก็ติดต่อมาแค่ครั้งเดียว และผมก็ไม่ติดต่อหาเขาเหมือนเคย ใจจริงผมอยากให้เขาง้อ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฌาณเชื่อมั่นในคำสั่งของไจราวกับเป็นลูกน้องผู้แสนภักดี จนผมนึกเคือง



โกรธก็โกรธ น้อยใจก็มาก แต่ยังไงผมก็คิดว่าตัวเองยังรักเขาอยู่ เมื่อความรู้สึกที่มีต่อเขามันไม่ได้จางลงเลย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเพิ่มขึ้นรึเปล่า



ผมคิดว่ามันพยายามเพิ่มขึ้นนะ แต่เพราะฌาณทำเหมือนผมไม่ได้สำคัญเหมือนที่เคยพูดไว้ ทำให้ผมไม่กล้ารู้สึกกับฌาณมากไปกว่านี้  ผมกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ



เขาอาจจะเจอคนใหม่ที่ดีกว่าผมแล้วก็ได้ อย่างฌาณคงมีผู้หญิงสวยๆ เข้าหาเยอะน่าดู



หึ แล้วเขาก็คงไปกับคนพวกนั้น เผลอๆ อาจจะใช้คำพูดเดียวกันกับที่เคยบอกผมบอกคนพวกนั้น...ผมรู้ ผมกำลังคิดไปเอง แต่ทำไงได้ ฌาณไม่ทำให้ผมเชื่อใจแล้วนี่นา



ผมร้องไห้จนรู้ว่าร้องไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีคนปลอบ ไม่มีคนเห็นใจ



ผมปรึกษาเรื่องนี้กับไนล์บ่อยๆ แต่เขาบอกว่าฌาณคงมีเหตุผลที่หายไป เขาคงไม่ได้หมดรักหมดหรอก ฮึ จะจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ระยะเวลาที่ไจกำหนดที่จริงแล้วอาจจะต้องการพิสูจน์ความรู้สึกของฌาณมากกว่าล่ะมั้ง



แล้วจะทำยังไงถ้าฌาณหมดรักผมจริงๆ



แบบนั้นไม่เอานะ...



ไม่เอาแล้ว



ไม่ไหวแล้ว



ผมหมดความอดทนแล้วในเดือนที่สี่ อีกสองเดือนนจะถึงกำหนดวันที่เขาบอกให้เรามาเจอกัน แต่ตอนนี้ผมทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ที่เลือนรางนี้แล้ว และไม่ทนอีกต่อไปอยากให้มันชัดเจนเสียที ผมบุกเข้าห้องทำงานของไจ พยายามบีบบังคับให้เขาติดต่อฌาณให้ผม



“เจนใจเย็นๆ สิ พี่ทำงานอยู่นะ”



“ก็ถ้าไจยอมให้ผมติดต่อฌาณเองได้ผมก็ไม่ต้องมายุ่งกับเวลางานของไจหรอก”



“เราคุยกันแล้วไง เจนจะคุยกับฌาณได้ก็ต้องหลังจากพี่ทำงาน”



ผมสูดหายใจเข้า พยายามระงับความโกรธและน้อยใจที่พลุกพล่านอยู่ข้างใน



“ไจจะอะไรกับผมนักหนา ผมไม่มีสิทธิ์มีความรู้สึกเองเลยหรือไง”



“เจนก็รู้เหตุผลของพี่แล้วนี่ พี่ไม่อยากให้เรารีบคิดว่ามันเป็นความรัก ยิ่งถ้าเจนได้คุยกับฌาณก็จะยิ่งผูกพัน แต่สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้”



“แล้วไจเป็นใครมารู้จักความคิดผมดีนักหนา ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรือไงว่าผมรักใครชอบใคร!”



“เจน! พี่ไม่อยากให้เจนเป็นเหมือนคราวของไนล์อีก พี่ไม่อยากให้เราเสียใจแล้วตัดสินใจบ้าๆ อีก”



“ตอนนี้ผมก็จะบ้าเพราะการตัดสินใจของไจนั่นแหละ! ไม่เอาแล้ว...ทำไม...ตอนนี้ผมเจ็บกว่าเรื่องของไนล์อีก...ทำไมต้องมาคิดแทน...ผมด้วย”



จากคำตะโกนเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น ประโยคไม่ประติดประต่อกันอีกต่อไปเมื่อผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ สะอื้นไห้อยู่กลางห้องทำงานของไจ ที่รายล้อมด้วยสายตาพี่พนักงานคนอื่น ผมคงโดนมองว่าเป็นเด็กโข่งโง่เง่าเอาแต่ใจ แต่ใครจะสน ผมบ้าได้มากกว่านี้อีกถ้าไจยังทำอย่างนี้



“ไจไม่อยากให้...ผมรักฌาณ...ขนาดนั้นเลยหรือไง”



“เจน...พี่ไม่...”



“ผมไม่รักฌาณก็ได้...”



“...”



“...แต่ก็จะไม่รักไจด้วย จะไม่รักเจด ไม่รักพ่อแม่ ไม่รักตัวเองแล้วด้วย” ผมว่าด้วยเสียงสั่นเครือ ในเมื่อไม่อยากให้ผมรักฌาณ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่รักใครเลยก็แล้วกัน



จบคำพูด ผมพุ่งออกจากห้อง ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน เพียงแค่ความรู้สึกมันบอกให้ออกไป ออกไปจากตรงนี้ ไปหาที่ของผมใหม่ ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงอยู่ไหม



แม้จะรู้ว่าตัวเองงี่เง่าเอาแต่ใจอีกแล้ว ผมไม่ได้จะไม่รักไจหรือครอบครัวอย่างที่ว่า แค่อยากบอกให้รู้ว่าถ้าไจไม่ชอบที่ผมต้องรักกับฌาณขนาดนั้น ผมก็จะไม่ชอบไจแล้วเหมือนกัน



ผมได้ยินเสียงไจร้องเรียกชื่อผมตามหลังมา และสุดท้ายผมก็ทรุดตัวร้องไห้ ซบกับผนังข้างบันไดอย่างอ่อนล้า



มันเหนื่อยนะ กับการถูกจำกัดความรู้สึกเช่นนี้



เหมือนอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ สุดท้ายผมก็ยังรับมือกับปัญหาได้ห่วยอยู่ดี



“เจน...”



“...”



“โอเคๆ พี่ยอมแล้ว โทรหาฌาณให้แล้ว เห็นมั้ย นี่ไงกำลังโทรออก ไม่ร้องแล้วนะ”



ผมเงยหน้ามองไจ เขาชูโทรศัพท์ขึ้นที่หน้าจอแสดงการโทรออกหาชื่อคนที่ผมคิดถึงที่สุด และไม่นานหน้าจอก็เปลี่ยนไป บ่งบอกว่าปลายสายตอบรับกลับมาแล้ว



“ฮัลโหล?” เสียงคุ้นเคยดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ไจยื่นมือถือมาให้ผมที่นั่งคุดคู้ห่อตัวอย่างน่าสมเพชเวทนา



“เจนนี่ไง พี่ให้คุยกับฌาณแล้วนะ”



“...”



“เจน?”



เสียงของฌาณดังขึ้น ผมหอบหายใจเข้าทั้งๆ ที่น้ำตาเปรอะหน้า พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น กลืนก้อนสะอื้นลงไป ก่อนกรอกคำพูดลงไปในสาย



“ฌาณ...ยังรักผมอยู่ไหม”



“...รัก”



ขอเพียงเท่านี้...



.



เดือนมิถุนายนมาถึง ผมรับกระเป๋าจากสายพาน ตรงเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง สนามบินไคร์ตเชิร์ชแปลกจากสนามบินที่โอ๊คแลนด์เล็กน้อย และอากาศข้างนอกคงหนาวกว่าที่โอ๊คแลนด์ด้วย ผมจึงสวมโค้ทหนาตั้งแต่ตอนนี้



ก็เกาะใต้นี่นา อุณหภูมิคงต่ำกว่าเกาะเหนือเท่าตัว ดีที่คราวนี้ผมสวมเสื้อกันหนาวมาพร้อม ปกป้องตัวเองจากลมหนาวที่พยายามจะเฉือนเนื้อผมให้ตายไปข้าง ผมไม่รู้ว่าทำไมฌาณต้องนัดเจอที่นี่ด้วย ทำไมไม่เจอกันที่โอ๊คแลนด์แล้วค่อยบินมาพร้อมกันทีเดียว เพราะถามเท่าไหร่ฌาณก็ไม่ยอมบอก แต่ก็ช่างเถอะ ถึงผมไม่รู้เหตุผลแต่ยังไงผมก็ทำตามที่เขาว่าอยู่ดี



หลังจากวันนั้น ผมไม่ติดต่อหาฌาณอีก แม้ว่าไจจะยอมให้ผมคุยกับเขาแบบส่วนตัวได้แล้วก็ตาม ผมไม่รู้ว่าที่ทำอยู่เรียกว่ากำลังประชดพี่ชายไหม แต่ถ้าไจอยากรู้ว่าผมรักฌาณจริงๆ ไหม ผมก็จะทำให้เขารู้ว่าเงื่อนไขของเขาทำอะไรผมไม่ได้ ผมไม่ติดต่อหาฌาณ ไม่รับสายจากฌาณ คุยกับไจน้อยลงด้วย



ผมคงงอนพี่ชายตัวเองจริงๆ นั่นแหละ



แต่เพราะคำรักของฌาณทำให้ผมเชื่อมั่นว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และเชื่อว่าเขาจะทำตามคำพูด



ผมไม่ได้บอกฌาณว่าจะมาถึงที่นี่ตอนกี่โมง แต่ไจคงบอกฌาณไปแล้วล่ะมั้ง ก็เขาเป็นคนไปส่งผมที่สนามบินเอง... เอาเถอะ หลังจากได้เจอฌาณแล้ว กลับไทยคราวนี้ผมค่อยยอมคุยกับไจดีๆ ก็ได้



ยังไม่โตจริงๆ นั่นแหละเจนนินทร์



จริงๆ ผมก็หวั่นใจไม่น้อยกับการมาถึงครั้งนี้ ผมไม่ได้ติดต่อฌาณอีกเลยและกลัวว่าจะไม่เจอเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงเสียใจน่าดู และคงเป๋จนไปไม่ถูก ถึงแม้จะแอบจองโรงแรมกันไว้ก็เถอะ ผมหอบเสื้อผ้ามาเป็นลัง ตั้งใจมาอยู่ที่นี่หลายเดือน ถ้าฌาณไม่มาหาผมก็คงต้องอกหักแบบเหงาๆ อยู่คนเดียวแน่เลย



แต่ความรู้สึกของผมเชื่อว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น



และมันก็เป็นตามที่คาด เมื่อผมออกมาจากเกตก็เจอร่างคุ้นเคยนั่งรออยู่ที่ที่นั่ง เขาโดดเด่นออกจากทุกคนในนั้น ร่างสูงสวมเสื้อโค้ทสีเทายาวคลุมเข่า ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนเคย แทบไม่แตกต่างจากตอนที่ผมจากมา ฌาณลุกขึ้นยืนมองมาทางผมเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง



เขาเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ครานี้ใบหน้าที่คิดถึงปรากฏขึ้นตรงหน้าจริง ไม่ใช่ความฝันเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป ภายในหัวใจมันอัดแน่นไปด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ทับถมมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้



ขยับยิ้มให้เขา



“ผมกลับมาแล้ว”





 
❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ❄

-End-



❄❄❄❄❄❄





จบแล้ววว ;A;

เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวที่เขียนยากเรื่องนึงเลยค่ะ

เพราะไม่ใช่คนโกหกเก่งด้วย ถ้าเรื่องออกมามึนๆ ก็ขออภัยด้วยนะคะ

ความคิดแรกที่อยากเขียนน้องแกะคืออยากลองเขียนอะไรที่โลเคชั่นไกลๆ และแปลกๆ จากเรื่องอื่นบ้าง

ทีแรกลังเลระหว่างญี่ปุ่นกับนิวซีแลนด์

แต่เพราะอยากนำเสนอประเทศนิวซีแลนด์บ้าง คิดว่าน่าจะเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่

จึงเป็นเลือกประเทศนี้ ด้วยเพราะเคยไปอยู่มารวมสองเดือนแล้วประทับใจในอะไรหลายๆ ในประเทศนี้ค่ะ

อาจจะใส่เรื่องราวของนิวซีแลนด์ได้ไม่ครบหรือขาดๆ ไปบ้าง เพราะกลัวว่าจะเป็นนิยายท่องเที่ยวไป 555



จากจุดเริ่มต้นมาจากแค่อยากเขียนที่ไกลๆ แล้วเลือกนิวซีแลนด์ และหลังจากนั้นก็คิดว่าที่นี่มีอะไรบ้างที่เด่นๆ

ก็มีแกะ

ก็เลยออกมาเป็นคอนเซ็ปต์เด็กเลี้ยงแกะอย่างที่เห็นค่ะ 55555

เป็นอีกเรื่องที่เขียนค่อนข้างยากเลย เราเป็นคนผูกปมไม่เก่ง แล้วปมมันโยงไปมาทั้งเรื่อง

ถ้าแก้ตอนนึงก็ต้องก็ทั้งเรื่องเลย เหนื่อยและท้าทายมากจริงๆ ค่ะ 5555

อย่างที่รู้ว่าเราเขียนไปด้วยทำทีสิสไปด้วย มันเลยเป็นอะไรที่ทรหดมาก

หมดแรงเขียนก็บ่อยมาก และเป็นเรื่องที่อัพช้ากว่าเรื่องที่ผ่านมาด้วย

ระหว่างทางของเรื่องนี้เหนื่อยมากจริงๆ 5555

เพราะอย่างนั้นจึงอยากขอบคุณทุกกำลังใจที่อยู่ด้วยกันระหว่างทางมากๆ เลยค่ะ

ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ





เจนนินทร์เป็นตัวละครที่เรารักไม่แพ้เรื่องอื่นเลย เราชอบที่ได้เห็นความคิดและการเติบโตของน้อง

ถ้าทุกคนอ่านแล้วเอ็นดูเจนนินทร์กันสักนิด ก็มีความสุขแล้วค่ะ

ส่วนพี่ฌาณเป็นพระเอกเรื่องแรกที่ดูเป็นผู้เป็นคนสุดที่เขียนมา 55555

ที่ผ่านมามีแต่พระเอกอะไรไม่รู้กากๆ โจ๊กๆ 55555

พี่ฌาณจึงเป็นคนที่เราได้ทำความรู้จักกับนิสัยใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยได้เจอ และแน่นอน เราก็รักพี่เขาไม่แพ้กัน



ตอนจบเดินทางมาถึงแล้ว แต่ยังมีตอนพิเศษรออยู่น้า

หวังว่าพอได้อ่านมุมมองของฌาณแล้วจะเอ็นดูน้องเจนขึ้นมาอีกนิด

ถ้าไม่เป็นการรบกวน ขอฝาก Once upon a truth ไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ,



รัก


 :pig4: :L1: :pig4:
❄❄❄❄❄❄




ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ปรบมือ​ให้​เจน เก่ง​มาก​กก​กก​กก​ ที่จัดการตัวเอง​ได้​ดี ถึง​จะ​งอแง​ไป​หน่อย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
การรอคอยจบแล้ว เจนเก่งมาก  :katai2-1:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เย่ จบแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
ถึงเจนจะดูเป็นเด็กเอาแต่ใจ ยังไม่โต แต่เราชอบน้องนะ
และหวังว่าน้องเจนจะโตขึ้นกว่านี้อีก อย่ามีเรื่องเสียใจอีกเลย

รักกับฌานนานๆเลยนะะ

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Once upon a true …กาลครั้งหนึ่งในความจริง



.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.









สุขสันต์วันโกหกค่ะ แฮ่!

เลยเที่ยงวันไปแล้ว แต่อยากเล่นอยู่5555555

ไหนๆ ตีมเรื่องก็เป็นการโกหกแล้ว จะพลาดวันนี้ได้ไงเนอะ555

แอบเอาตอนพิเศษมาสปอยนิดๆ ชดใช้ความผิด

รออีกแป๊บน้า




❄❄❄





True 0: Once upon a truth



‘ฌาณ มีเรื่องจะขอร้อง’

จู่ๆ ก็ปรากฏคำขอร้องของคนสนิทที่คุ้นเคยกันดี ในวันที่ผมตัดสินใจจะไปโร้ดทริปที่เกาะใต้สักหนึ่งอาทิตย์

 ‘ช่วยดูแลน้องชายกูด้วย’

เด็กดื้อไปทำอะไรมาอีกล่ะ...





❄❄❄

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ใจร้ายยยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ระยะเวลาพิสูจน์ใจเจนจริงเลยค่ะ
เจนอดทนได้ดี หลังจากที่งอนพี่งอนฌาณจนครบ
เจนน่ารักนะ เป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจ และทุกคนพร้อมตามใจ

ฌาณมารอรับแล้ว เจนไม่ต้องมาเก้อเนาะ
ฌาณเคลียร์แล้วจริงใช่ไหมล่ะ
ทีนี้ก็รอรับมือคนมาป่วนได้เลยนะ มาอยู่นาน

ขอบคุณมากนะคะเรื่องน่าลุ้นที่เจนโกหกและน่ารักที่เจนยอมทำตาม
รอติดตามตอนใหม่ค่ะ และตอนพิเศษด้วยจ้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบน้องเจน ยิ่งเวลาน้องอ้อนน่ารักมาก
จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Once upon a true …กาลครั้งหนึ่งในความจริง









True 0: Once upon a true



‘ฌาณ มีเรื่องจะขอร้อง’



จู่ๆ ก็ปรากฏคำขอร้องของคนสนิทที่คุ้นเคยกันดีในวันที่ผมตัดสินใจจะไปโร้ดทริปที่เกาะใต้สักหนึ่งอาทิตย์



 ‘ช่วยดูแลน้องชายกูด้วย’



เด็กดื้อไปทำอะไรมาอีกล่ะ...



ผมไถ่ถามจนได้ความ และเป็นอันต้องตัดใจเลื่อนโร้ดทริปที่เกาะใต้ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อใช้เวลาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่จะทำไงได้ ถึงจะไม่ได้เจอกันมานานแต่ผมก็เห็นคนน้องเป็นเหมือนน้องแท้ๆ ดูแลมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด จะให้ทิ้งขว้างไม่ใยดีคงทำใจไม่ลง เด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น คงไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ๆ อย่างโอ๊คแลนด์ได้



ใช้เวลาสักพักกว่าจะเจอตัวน้อง เจนนินทร์โตขึ้นจากที่เคยเห็นมากพอควร แหงล่ะ ผมไม่ได้เจอเขามาเกือบสิบปี แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงละม้ายคล้ายคลึงกับวัยเด็ก แก้มพองๆ ปากแดงชอบยื่นเวลาไม่พอใจยังคงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย ตากลมโตผมดำหยักศกเล็กน้อย ตัวขาวร่างเล็กเหมือนเด็กมัธยม ผมโล่งใจที่หาตัวเขาเจอจนได้



พยายามเดินผ่านเจนอยู่หลายครั้งแต่น้องคงจำไม่ได้ หลายครั้งที่คิดจะเข้าไปทักแต่ก็อยากดูสถานการณ์ไปก่อน ยอมรับว่าใจยักษ์ที่อยากเห็นเจนนินทร์ทดลองเอาตัวรอดในเมืองนอกคนเดียวดูบ้าง จะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่เงินก็ซื้อได้



จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่แอบตามน้องอยู่มาสักพัก จู่ๆ ก็เห็นเขารีบร้อนออกจากที่พัก หอบกระเป๋าวิ่งขึ้นรถบัสที่มาจอดอย่างรวดเร็ว ผมรู้ว่าเขาไม่รู้ทางหรอก ถึงได้แอบตามไป เจนนินทร์ไม่รู้ตัวเช่นเคยว่าผมแอบจับจ้องเขาอยู่ห่างๆ  ให้ตาย พฤติกรรมแบบนี้ถ้ามีใครสังเกตแล้วแจ้งตำรวจขึ้นมา ผมคงโดนโยนกลับประเทศอย่างง่ายดายข้อหาทำตัวเป็นสตอร์กเกอร์



นั่งรถฆ่าเวลาไปสักพัก เจนนินทร์ก็ลงจากรถ และผมก็ตามเขาเช่นเดิม แอบย่องตามอยู่ห่างๆ จนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสีบอกเวลาค่ำคืน แต่ผมยังคงอยากรู้อยากเห็นว่าเด็กคนนี้จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ยังไง และอย่างที่คาด...



เจนนินทร์ไม่สามารถเอาตัวรอดได้จริงๆ เมื่อฝนทำท่าจะตกหนัก และเขากำลังหลงทางอยู่ในย่านที่พักอาศัยของชาวบ้าน ไร้ซึ่งโรงแรมหรืออาคารให้ซุกหัวนอน



ผมจึงปรากฏตัว และเขาก็ตกรับคำเชื้อเชิญง่ายๆ



“ชื่ออะไร...” ผมแสร้งเอ่ยถาม...ไหนๆ ก็จำผมไม่ได้แล้ว ทำความรู้จักกันใหม่จะเป็นไร



“จ...ไนล์ นายล่ะ”



“...” ทว่ากลับต้องชะงัก เมื่อชื่อที่ถูกเปล่งออกมาไม่ตรงกับชื่อที่ผมรู้จัก และไม่รู้ว่าเขาจะโกหกผมไปทำไม เพราะอย่างนั้นตอนที่เจนถามชื่อผมกลับผมจึงเอ่ยไม่จบคำ



“...ฌา...”



เอ่ยตอบไปเพียงเท่านั้นโดยตั้งใจละพยัญชนะตัวหลังไว้



อยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคนแปลกหน้าเช่นผม แต่เจนนินทร์ก็ยังคงเป็นเจนนินทร์ ความสามารถในการใช้ชีวิตต่ำยังไงก็อย่างนั้น ถ้าผมคิดร้ายกับเขาสักหน่อย เด็กโง่ก็คงไปไหนไม่รอดเสียหรอก



ทุกวันหลังจากมีเด็กคนนี้มาเป็นเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ ผมต้องคิดหาเมนูที่ทำง่ายและคุณหนูเจนนินทร์สามารถทานได้ ไม่ได้อยากจะเอาใจ แต่เพราะไจกำชับมาว่าถ้าทำอาหารที่เจนไม่ชอบ เด็กถูกสปอยนั่นก็จะไม่กิน ไม่ว่าจะว่ายังไง และทำไงได้ ผมต้องทำตามคำสั่งของไจผู้เป็นพี่ชาย เพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วงจนต้องตีตั๋วบินมาหาน้องคนสุดท้องถึงที่ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไจส่งมาเองก็มากพอจนยอมมองข้ามความเรื่องมากของคนน้องไปได้



วันๆ คิดแต่เรื่องอาหารของเจนนินทร์ก็หมดไปเป็นวันแล้ว เด็กบ้าอะไรเรื่องมากเป็นบ้า ร้อนไปไม่กิน เย็นไปก็ไม่เอา เผ็ดไปก็ไม่กิน อาหารต้องปรุงกับมือ ห้ามใส่ผงชูรส ไม่กินผักผลไม้บางชนิด ถ้าจะให้กินผักต้องเป็นผักสด ไม่มีสารเคมี ชอบรสหวาน เกลียดรสเปรี้ยว ห้ามทำอาหารเค็มเกินไปและถ้าจืดไปก็จะกินไม่หมด ดีหน่อยที่ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง จึงเป็นที่พอใจเมื่อเจนนินทร์ยอมฟาดอาหารเย็นของผมเรียบแทบทุกครั้ง



เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเรื่องมากขนาดไหน และคนดูแลเขาต้องเหนื่อยขนาดไหน



หน้าที่พี่เลี้ยงเด็กดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเล่นไปตามน้ำส่วนเด็กแสบก็หลุดโกหกออกมาทีละนิด จับผิดเขาทำได้ง่ายมาก ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจที่ที่บ้านเขาไม่ได้สอนให้เป็นเด็กหัดโกหก เจนดูไม่ใช่คนชอบโกหกมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อสีหน้าเวลาโกหกของเขามันชัดเสียขนาดนี้



แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก เจนนินทร์ไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับปัญหา แม้ว่าอายุขนาดนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่ก็ไม่แปลกใจเลยถ้าเขาจะแก้ปัญหาอะไรไม่เป็น ในเมื่อที่ผ่านมามีพี่ชายแสนดีคอยจัดการให้อยู่เสมอ และสิ่งที่เขาทำให้ผมแทบสติแตกก็ตอนที่เขาหายตัวไป จากที่เป็นคนใจเย็นมีสติ ผมแทบบ้าเมื่อติดต่อเขาไม่ได้ และเป็นโชคดีที่กุสตัฟ เพื่อนชาวโคลัมเบียส่งข้อความมา



‘ฉันเห็นเพื่อนนายอยู่ที่PROVADOL มากับวัยรุ่นกลุ่มใหญ่เลย แถมบอกให้ฉันช่วยเขาด้วย



ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นายรีบมาเถอะ’



ทีแรกผมโทรหาบอกกุสตัฟ แต่สุดท้ายก็เพราะเสียงเพลงที่นั่นดังจนทำให้ฟังไม่ได้ความ เลยส่งข้อความไปแทน ขอให้เขาช่วยดูคนพวกนั้นให้ที ผมจะรีบตามไป ขัดใจตรงที่ผมบิดมอเตอร์ไซค์ให้เร็วกว่านี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผมคงโดนตำรวจไล่จับ ทำให้กว่าผมจะไปถึงมันก็ช้าไม่ทันใจ และก็เกือบสายไป



เด็กดื้อร้องไห้จ้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อปัญหาเกินรับมือรุมเร้า เจนนินทร์ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยน้ำตาออกมา



และความอดทนของผมก็ได้หมดลง



“...นี่จำกันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม เจนนินทร์”



สิ้นสุดความอดทน ผมเฉลยความจริงทุกอย่าง เจนนินทร์ยังคงมีนิสัยเหมือนตอนเป็นเด็ก หนึ่งในนั้นคือการที่มีอะไรมากระทบจิตใจนิดหน่อยก็จะร้องไห้งอแง และผมกล่อมเขาตั้งนานกว่าเด็กน้อยจะยอมสงบ อธิบายถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ผมลำบากกับการดูแลเขามากนะ แต่ถึงอย่างนั้นกลับดีใจที่ได้เป็นผู้ปกครองของเขาเพียงคนเดียว



กว่าจะจบเรื่องวุ่นวายก็ใช้เวลาพอสมควร ผมรายงานไจไปตามที่ได้เจอ เพื่อนเจนนินทร์ดวงกุดคนนั้นคงได้หายไปจากชีวิตเจนนินทร์ตลอดกาล ผมรู้ว่าครอบครัวเขามีอิทธิพลมากพอจะทำเช่นนั้น และไจคงไม่ปล่อยให้คนอย่างนั้นมีความสุขตลอดไปหรอก



เป็นดังคาด เมื่อไม่นานไจบอกว่าให้หายห่วง ซีนถูกส่งกลับประเทศไทยไปแล้ว และน้องของเขาจะปลอดภัยอยู่ที่นี่ ผมยกยิ้ม นึกเย้ยหยันเด็กหนุ่มผู้โง่เขลาชะตาขาดที่เลือกเล่นผิดคนนั่น จากนี้ไปเจนนินทร์จะได้ไม่ต้องหวาดกลัวอีก



และตอนนั้นเองที่ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป...



เรื่องราวของคนรักเก่าที่วนเวียนอยู่ในใจผมไม่ไปไหน ไม่เคยไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงโบนิตา หญิงคนรักที่รักสุดใจ และไม่คิดว่าจะรักใครได้เท่าเธอแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอจากไปเมื่อสามปีก่อน ไม่มีวันไหนที่ผมไม่คะนึงหา ใบหน้าโบนิตาวนเวียนอยู่ในหัวเสมอไม่เคยขาดช่วง



จนกระทั่งมาเจอกับเจนนินทร์...



แค่คิดว่าวันนี้เจนนินทร์ต้องกินอะไร ต้องอยู่อย่างไร หายไปไหน ปลอดภัยไหม อยู่ที่ห้องแล้วซนอะไรหรือเปล่า แค่นั้นก็หมดเวลาคิดถึงโบนิตาแล้ว



เป็นเรื่องแปลก...



ผมไม่เคยเลิกคิดถึงเธอ ไม่เคยเลย...



ความพยายามากมายเพื่อต้องการจะลืมโบนิตาไม่เคยเป็นผล ควานหาคนรักใหม่ ไล่นอนกับใครต่อใครแต่ก็ไม่มีคืนไหนที่ไม่คิดถึงหล่อน



และแล้วก็รู้ตัว ว่าผมตกหลุมเด็กคนนี้เข้าอย่างจัง



ทุกจังหวะการเดินของน้องผมจดจำได้หมด แผ่นหลังที่ฉายถึงความสดใส ทวงท่าเมื่อได้เห็นอะไรแปลกตาราวกับเด็กน้อยบริสุทธิ์ รอยยิ้มเจิดจ้า สว่างเป็นประกายอยู่ในใจของผม จนเผลอลั่นชัตเตอร์เก็บไว้เป็นความทรงจำ



ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่ถ่ายรูปใครแล้วแท้ๆ



ทั้งๆ ที่อยากให้โบนิตาเป็นคนสุดท้ายที่จะเก็บความทรงจำไว้



ทุกอย่างมลายหายไปเมื่อได้เจอเจนนินทร์ ราวกับน้องเป็นคำตอบที่เคยค้นหามานาน



ใช่ว่าหลังจากโบนิตาเสียแล้วผมจะไม่กล้าลุกขึ้นมาใหม่ ผมทำแล้ว หลายต่อหลายครั้ง ค้นหาเจ้าของหัวใจคนใหม่คนแล้วคนเล่าเพื่อรู้ว่าไร้ประโยชน์ ในเมื่อผมเอาแต่คิดถึงคนที่จากไปแล้ว และคิดใช้คนที่ผ่านมาเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ก็เท่านั้น



แต่เจนนินทร์กลับแตกต่าง



เขาไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ เพียงแค่อยู่เฉยๆ ให้ผมคอยดูแลแค่นั้น กลับได้เป็นคำตอบของหัวใจที่เคยแหว่งหายไป



เวลาผ่านไป ผมสังเกตเขาบ่อยกว่าที่คิด และสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆ ก็หลายครั้ง จนคาดเค้นมาได้ เรื่องราวของน้องทำให้ผมสะเทือนใจเล็กน้อย...



 เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเจนนินทร์ ผมก็คิดหาวิธีเพื่อไม่ให้เขาต้องทุกข์ใจ สรรหาสารพัดสิ่งมาเพื่อปลอบประโลมให้กับอดีตที่กัดกินจิตใจน้อยๆ ของเขาจนเป็นทุกข์ แม้จะไม่แน่ใจในเรื่องราวที่ได้ฟัง มีตงิดใจในบางช่วง แต่ความเศร้าที่เจนนินทร์แสดงออกมาผมยืนยันได้ว่าเป็นความจริง และนั่นจะมีอะไรสำคัญกว่านั้นอีก เจนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะเป็นคนทำให้น้องกลับมายิ้มแย้มให้ได้









ริมฝีปากคนน้องนุ่มราวกับจุมพิตกลีบดอกไม้ หอมหวานและแผ่วเบา



หัวใจเต้นแรงขึ้นไปอีกเมื่อเจนนินทร์ไม่ปฏิเสธรสจูบที่ผมมอบให้ ในใจลิงโลดที่ได้จูบกลีบดอกไม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จุมพิตเพื่อหวังเบี่ยงความสนใจของเขา เพื่อให้เขาสนใจแค่ผม ผมที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช้อดีตคนที่น้องแอบรัก



แน่นอน จุมพิตครั้งนี้ หวังเพื่อเยียวยาตัวเองด้วยเช่นกัน



ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าความรู้สึกที่มีต่อเด็กคนนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้ เมื่อการนอนบนเตียงเดียวกันกับเจนนินทร์กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา เมื่อหลังจากที่ได้สัมผัสตัวน้องแล้วก็ยากที่จะข่มใจให้ไหว



เพียงแต่เจ้าเด็กแสบนี่คงไม่รู้อะไรด้วย ว่าผมต้องอดทนมากแค่ไหน คืนไหนทนไหวก็ทน ไม่ไหวก็ต้องพึ่งห้องน้ำ...



ไม่ได้อยากจะรีบเร่งนักหรอก เพียงแต่คืนนั้นมันเผลอตัวไปหน่อย เห็นน้องมายืนเปลือยโชว์ขาขาวๆ จิตอกุศลมันก็เตลิด ตั้งแต่รู้ตัวว่าหาใครมาก็แทนโบนิตาไม่ได้ เลยเลิกเรื่องอย่างว่าไปนานโข เพราะไม่อยากทำร้ายใครอีก จนมาตบะแตกกับเด็กข้างบ้านได้ยังไงไม่รู้ รู้เพียงแต่แค่นั้นไม่เพียงพอ...



และแทบจะทำตามความต้องการของใจเมื่อน้องร้องขอให้กอด...



ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีกันมั่วซั่ว แต่สุดท้ายก็เพราะใบหน้าเคลือบหยาดน้ำตาทำให้ผมเกือบใช้อารมณ์ชักนำทุกอย่างเสียแล้ว แน่นอน ผมเป็นวัยรุ่นชายทั่วไปที่ต้องอยากกอดคนที่ตัวเองรักอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าผมรู้ว่าเจนอาจจะใช้ผมเพื่อลืมไนล์ ผมยอมก็ได้ เพราะความคิดด้านชั่วแล่นออกมาบอกว่าหากผมได้กอดเขาแล้ว เจนนินทร์มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใจ ไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วนดี และเกือบทำเรื่องบ้าๆ ลงไป



ถ้าไม่ติดว่าการกระทำของเจนนินทร์ดูตัดขัดไปเสียหมด ทดลองสัมผัสหน้าท้องขาว น้องก็ขดตัวเกร็ง ครั้นไล่ลูบไปตามผิวเนื้อ คนน้องก็ดิ้นราวกับพื้นที่ส่วนนี้ไม่เคยมีใครเคยรุกล้ำ ไหนยังจะมือไม้ที่เปะป่ายไปทั่วนั่นอีก



พลันปะติดปะต่อเรื่องราว...นิสัยชอบจับผิดกลับมาอีกครั้ง ไล่ต้อนถามคนน้องจนได้ความ



“เจน...เรื่องไนล์”



“...”



“โกหกใช่ไหม?”




จากนั้นความจริงก็ถูกเปิดเผยอีกครา ผมรับฟังเรื่องราว ไม่ตอบรับ ไม่แสดงความเห็น ทำเพียงรับฟังเพราะคิดว่าเท่านั้นก็น่าจะมากเพียงพอแล้ว เจ้าเด็กเลี้ยงแกะจอมโกหกไม่เข้มแข็งมากพอจะโดนดุในเวลานี้



แต่ก็ใช่ว่าจะต้องตามใจน้องเสมอไป ผมคิดถึงเรื่องราวของน้องอยู่แทบตลอด เรื่องเลวร้ายที่น้องทำ มีความผิดมากพอที่จะได้รับการสั่งสอนแรงๆ สักที แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่รู้ ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจนนินทร์ได้หรอก ขนาดไจเองก็คงไม่กล้า



ผมพูดคุยกับไจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่ชายคนเก่งของเจนเองก็รู้เรื่องนี้มาสักพักแล้ว ถึงได้ยอมให้เจนนินทร์เที่ยวเล่นในเมืองนอกแบบนี้ได้โดยไม่รีบมาตามตัวกลับ เพราะไม่อยากให้น้องกลับไปแล้วเสียใจ...สู้อยู่ที่นี่ให้สบายใจก่อนค่อยกลับไทยดีกว่า



ก็โดนสปอยเสียขนาดนี้ จะโตมาแบบนี้ก็ไม่แปลก



ถึงได้เข้าใจความคิดของเจนนินทร์อย่างไร ก็เล่นโดนเลี้ยงมาเช่นนี้ อะไรอยากได้ก็ต้องได้ อะไรที่ไม่เป็นดั่งใจร้องไห้สักนิดเดี๋ยวไจก็หามาได้ ทำเช่นนี้จนติดเป็นนิสัยเสีย พอถึงเรื่องของหัวใจ เมื่อทำอย่างไรก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการจึงมีแต่ต้องใช้อำนาจที่ตัวเองมีขู่บังคับ



จนทำร้ายจิตใจของใครอีกคนไปเสียอย่างนั้น



ผมรู้ว่าเจนเองก็รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นลงไป แต่รู้สึกผิดมากแค่ไหนก็แก้ไขสิ่งที่เคยทำลงไปแล้วไม่ได้อยู่ดี



หาทางช่วยให้น้องไม่ต้องลำบาก แต่ครั้นได้ปรึกษากับคนพี่แล้วถึงรู้ว่าไจทำก่อนผมไปแล้ว เขาไปพูดคุยเรื่องไนล์แทนน้องตัวเอง จัดการเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างอยู่หมัด หว่านล้อมพี่ชายคนโตและพ่อตัวเองได้สำเร็จ และรับรู้ว่าเพื่อนสนิทคนสำคัญของน้องไม่ได้รังเกียจน้องอย่างที่น้องกลัวอีกต่อไป



ไนล์เองก็มีส่วนผิด เจ้าตัวก็มาสารภาพความผิดกับไจแล้ว ไนล์เองก็อยากกลับมาเป็นเพื่อนกับเจนนินทร์อีกครั้ง ไจเลยไม่เอาเรื่อง เพราะน้องชายตัวเองก็ผิด เรื่องราวมันควรจะจบลงอย่างราบรื่น น้องควรจะได้กลับไทยได้อย่างสบายใจ และผมจะได้ตามจีบน้องเขาได้เช่นกัน



ทว่าบิวกลับโผล่มาในจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย ผมปฏิเสธเธอไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นน้องสาวของคนรักเก่า และนั่นทำให้ทุกอย่างที่วางแผนไว้พลิกผันทันที เมื่อเจนนินทร์รับรู้เรื่องราวของโบนิตาเร็วกว่าที่ผมคาดไว้



ไม่ได้ตั้งใจจะปิด เพียงแต่คิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีที่จะเปิด



ผมต้องการให้น้องรู้ว่าผมรู้สึกกับน้องจริง ผมรักน้องจริงและกล้าใช้คำว่ารัก เมื่อทุกอย่างมันชี้ไปว่าอย่างนั้น เฝ้ารอคนที่จะฉุดให้พ้นจากห้วงคำนึงถึงโบนิตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีสัมพันธ์ทางกายกับใครต่อใคร ผูกไมตรีต่อผู้คนที่เสนอตัวมาให้ ผ่านไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครเลยที่ทำให้ผมลืมโบนิตาได้ และอยากดูแลได้เท่าเจนนินทร์



ขนาดนี้แล้วไม่เรียกว่ารักให้เรียกว่าอะไร



เสียแต่เจนนินทร์คงไม่เข้าใจ ความรักของผมที่มีต่อเขาไม่ใช่ว่าพึ่งเกิดแค่เดือนสองเดือนนี้ ในเมื่อผมตามหาคนอย่างเจนนินทร์มานานนับปี แต่ก็รู้ว่าแค่ระยะเวลาสั้นๆ คงทำให้น้องไม่มั่นใจความรู้สึกของผม ซึ่งนั่นก็ไม่เป็นไร ผมยังมีเวลาอีกทั้งชีวิตเพื่อทำให้เจนรู้ว่าผมรู้สึกเช่นนี้กับเขาจริงๆ



ทว่าเรื่องราวก็ไม่เป็นดั่งใจอีกครั้ง เมื่อเจนได้คุยกับไจ และผู้เป็นพี่ชายรับรู้ว่าน้องมีความรู้สึกหวั่นไหวกับผม



ไม่อยากจะบอกว่าไจหวงน้องขนาดไหนและขัดขวางผมขนาดไหน เพราะแต่ละเรื่องที่ไจพูดมาทำให้ผมต้องปาดเหงื่อประโยค



กูไม่ยกน้องกูให้มึงหรอก! ไอ้ฌาณ



ไอ้เราก็นึกว่ามึงจะบริสุทธิ์ใจกับน้องกู ที่ไหนได้ แอบมาลอบจีบเจนนินทร์ของกู อย่าหวังเลยมึง



มึงทำอะไรน้องกูไปแล้วบ้าง บอกมา อย่าให้กูสาวได้จากเจนนินทร์ ตอนนั้นโทษเบาจะกลายเป็นหนักแน่



ไอ้เวร! ทำชั่วกับน้องกู ไอ้เลวฌาณ น้องกูยังเด็กไม่ประสีประสา โอ๊ย กูอยากจะบินไปบีบคอมึงตอนนี้จริงๆ



กล้าแตะต้องเจนนินทร์ของกูโดยที่น้องกูยังไม่ตกลงตอบรับว่ารักมึง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าละกัน ถ้ากูจะขอริบน้องกูคืน



ถ้าเจนนินทร์กลับไทยเมื่อไหร่ กูจะไม่ให้พวกมึงได้เจอกันอีกหนึ่งปี ถึงตอนนั้นถ้ามึงยังรักน้องกูและน้องกูรักมึง กูจะไม่ขัดขวาง แต่ระหว่างนี้ถ้าฝ่าฝืน ก็อย่าหาว่ากูไม่เตือน เจนนินทร์ทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้กู



ไม่ได้อยากใจร้าย มึงเข้าใจกูนะ กูไม่อยากให้เจนนินทร์เสียใจจนต้องเป็นอย่างนี้อีก ครั้งนี้กูอยากให้น้องกูกับมึงรู้สึกเหมือนกันแล้วจริงๆ ถึงจะค่อยวางใจ ถ้าที่ผ่านมาเจนหรือมึงแค่หวั่นไหว มันจะได้ไม่ต้องเจ็บไปมากกว่านั้น



กูก็เห็นใจมึงนะ แต่คิดดูว่าถ้าที่ผ่านมาเจนนินทร์แค่หวั่นไหวแล้วคิดไปเองว่ารัก มึงจะไม่เจ็บเหรอ



ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่กูขอเถอะ เซฟๆ ทั้งคู่นั่นแหละ




คำขออะไร คำสั่งต่างหาก ไจโหดชิบหาย หวงน้องอะไรขนาดนั้น แต่ผมจะทำไงได้ ผู้ปกครองตัวจริงเขาสั่งมาแล้ว ถึงเจนนินทร์จะไม่รู้เรื่องอะไร แต่ผมก็ต้องทำใจแข็ง ยอมทำตามคำของไจอย่างจำใจ แถแทบตายกว่าเจนนินทร์จะหยุดโวยวายและร้องไห้



ไม่ใช่แค่เจนที่ต้องล่องลอยกับความสัมพันธ์เช่นนี้ ผมเองก็หวั่นใจไม่แพ้กัน



จากการที่เจนเพิ่งอกหักแล้วมาเจอผมเพียงคนเดียว เจนมีแค่ผมที่พึ่งพาได้ ก็ย่อมต้องรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว และถ้าเจนกลับไทยไปเจอคนใหม่ๆ เข้ามา รับรู้ความจริงแล้วว่าที่ผ่านมาที่แสดงอาการเหมือนจะชอบผม ที่แท้เป็นแค่ความรู้สึกหวั่นไหว แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากต้องปล่อยน้องไป...



ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยไปจริงๆ หรอก กว่าผมจะเจอเจนนินทร์ก็ทรมานมาเป็นปีๆ แค่คิดว่ารอให้ครบปีแล้ว บินกลับไทยไปจีบเจนนินทร์ก็ไม่สาย



แต่ไม่คิดว่าการรอคอยจะทำให้แทบขาดใจขนาดนี้...



เจนนินทร์ที่ทำได้เพียงมอง ไม่อาจสัมผัส ไม่อาจได้กลิ่นนี่แม่งโคตรทรมาน ไจแม่งก็สั่งห้ามนู่นห้ามนี่อยู่นั่นแหละ ห้ามมาเจอ ห้ามติดต่อมาหาก่อน ห้ามตอบน้องนอกเหนือจากไลน์ของไจ แม่งเอ๊ย ปิศาจชัดๆ



น้องคิดว่ามีแต่น้องคนเดียวที่คิดถึงผม ไม่รู้หรอกว่าทางนี้ก็แทบตาย อากาศหนาวๆ เย็นๆ ยังไม่พอ ต้องมาอยู่ในห้องที่เคยมีเจนนินทร์ แต่ไม่มีร่างอุ่นๆ ให้นอนกอดทั้งคืนแบบนี้ แทบจะอกแตกตาย



แต่ดูท่าคนพี่จะใจอ่อนได้ไม่นาน เมื่อเขายอมให้ผมเป็นฝ่ายติดต่อมาหาได้แล้ว และยอมให้เจนคุยกับผมบ่อยกว่าที่ผ่านมา ถึงจะได้แค่เห็นหน้าและเสียง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอ



ผมดีใจที่น้องจัดการปัญหาเองได้ อยากมุดเข้าจอแล้วไปโผล่อีกฟากนึงของทวีป โอบกอดคนเก่งไว้แน่นๆ แต่ผมก็ทำได้แค่มอง มอง มอง และคุย คุย



เรื่องของโบนิตาจัดการได้ไม่ยาก แม่ของเธอไม่ใช่คนหัวโบราณ และยอมรับได้หากผมจะเริ่มต้นใหม่กับใคร ซ้ำยังกล่าวอวยพรให้ผมโชคดีอีก แม้ว่าจะเคยให้คำสัญญามั่นเหมาะว่าจะมีแค่ลูกสาวของเธอตลอดไปก็ตาม แต่แม่โบกลับเข้าใจ และไม่ต่อว่าที่ผมต้องการจะมีรักใหม่



เรื่องราวของโบนิตาจบลงอย่างง่ายดายตามคาด ไม่ใช่ว่าผมจะเลิกรักหล่อน ผมยังคงรักเธอเสมอ เพียงแต่มันจะไม่มีวันเพิ่มขึ้นอีก การจมปลักอยู่แต่ในอดีตมีแต่ทำให้เจ็บช้ำ จะผิดอะไรในเมื่อผมเจออีกครึ่งชีวิตแล้ว



จบเรื่องของโบนิตา ภาพคนที่เจอกันแค่สามเดือนกลับโผล่มาอยู่ในหัวไม่หยุด และสุดท้ายผมก็แอบฝ่าข้อห้ามของไจ แอบมาเจอเจนตอนปีใหม่ตามที่ลอบสัญญากับเขาไว้



ถามเถอะ ใครเห็นหน้าเจนร้องไห้งอแงอย่างนั้นแล้วจะไม่ใจอ่อนบ้าง ไหนเจ้าเด็กแสบยังเล่นอ้อนอ่อยผมอยู่ทุกวัน ผมก็อยากเจอน้องใจจะขาด ถึงได้ยอมสัญญาฝ่ากฏนรกของไจว่าจะมาเจอเจนในวันปีใหม่ เจนไม่รู้หรอกว่าวินาทีแรกที่เห็นเขา ผมอยากอุ้มเขากลับบ้านที่เชียงใหม่เลยด้วยซ้ำ



โชคไม่เข้าข้างเมื่อไจรู้เข้า ทำให้ผมต้องรีบเผ่นกลับเชียงใหม่แทบทันที ด้วยหวังว่าการที่ได้มาเจอน้องแค่แป๊บเดียวจะทำให้ไจลดโทษให้



แต่ไม่เลย เขาสั่งห้ามให้ผมติดต่อก่อน และริดรอนเวลาที่ผมจะได้คุยกับเจนไป ช่วงเวลาหลังปีใหม่แทบเป็นนรกสำหรับผม ผมแทบไม่ได้เจอน้องเลย ไม่ได้คุย ไม่ได้ยินเสียง ได้แค่ข่าวคราวจากไจว่าน้องสบายดีเท่านั้น ระยะเวลานานขนาดนี้แล้วไจยังไม่ยอมใจอ่อนอีก เชื่อเขาเลยให้ตาย



ผมแทบหมดหวัง เมื่อไร้การติดต่อจากเจนนินทร์ คิดว่าเจนคงยอมแพ้กับเรื่องของผมเสียแล้ว เมื่อทุกอย่างดูเงียบเชียบเช่นนี้ และมันดูมีความเป็นไปได้สูงมากที่น้องจะเลิกใส่ใจ เจนนินทร์ไม่ใช่คนอดทนเก่ง และไม่ใช่คนที่ต้องยอมทนขนาดนี้ ป่านนี้น้องคงมีความสุขกับใครแล้วล่ะมั้ง



ยิ่งคิดก็แทบขาดใจ ทั้งหวงทั้งห่วงแทบตายแต่ทำอะไรไม่ได้เลย ผมคิดจะบินกลับไทยก็บ่อย ช่างแม่งไจก็ตั้งหลายครั้ง เหม่อๆ ก็เปิดเว็ปเช็คราคาตั๋วอยู่ตลอด แต่อีกใจก็บอกให้อย่าเพิ่งยอมแพ้ ให้เชื่อใจน้อง



และครั้งสุดท้ายที่เจนโทรมา กลับเป็นเสียงสะอื้น



รอคอยการติดต่อจากเจ้าของหัวใจมานาน แต่กลับได้รับเพียงประโยคคำถาม ที่ไม่ว่ายังไงคำตอบก็เป็น…



รัก



หลังจากวางสายในตอนนั้น ผมไม่ได้รับการติดต่อจากเจนนินทร์อีกเลย...





หนึ่งเดือนผ่านไป สองเดือนผ่านไป ไจไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อมา มีเพียงแค่ส่งข่าวบอกว่าเจนสบายดี สบายดี สบายดี ผมเห็นคำนี้จนเอียน สบายดีหมายความว่าอะไร นอกเหนือจากคำว่าสบายแล้วไม่มีคำอื่นให้บอกอีกหรือไง หงุดหงิดแทบตาย ผมไม่มีสิทธิ์ติดต่อหาน้องก่อน แต่ไจก็ยืนยันว่าเขาอนุญาตให้เจนเป็นฝ่ายติดต่อผมได้เองแล้ว



ทว่าไม่มีการติดต่อใดของเจนเลยสักครั้ง



ผมคงหมดหวังแล้ว...แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ใจก็ไม่เชื่อทั้งร้อย ถ้าเจนไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมจริง แล้วจะถามว่าผมรักเขาอยู่ทำไม



มันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องเดินฝ่าความมืดไปแต่ละวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร รู้แค่ต้องเดินไปเรื่อยๆ ในทางเดินที่มืดและเย็นเยียบ ไร้ซึ่งแสงสว่างนำทาง มีเพียงใจของตัวเองที่เชื่อมั่นว่าอย่าหยุดเดิน ความรู้สึกช่วงนี้ราวกับกำลังตะกายไขว่คว้าหาอะไรที่ไม่รู้ว่าจะได้มาครองไหม มีเพียงต้องกระเสือกกระสนบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งท้อต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้



แต่มันก็จะได้พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน น้องติดคนง่าย ใครใจดีด้วยหน่อยก็ชอบหมด และแน่นอนว่าผมไม่อยากเป็นแค่คนใจดีที่เจนนินทร์รู้สึกดีด้วย



ผมอยากเป็นความรักให้เขา



ในขณะเดียวกัน เจนก็ต้องเติบโตขึ้นด้วย เขาจะไม่ใช่แค่ฝ่ายรับอย่างเดียว น้องต้องรู้จักอดทน รอคอย เรียนรู้และเป็นผู้ให้บ้าง



มันเสี่ยง เจนนินทร์หน้าตาน่ารัก ไม่ยากเลยถ้าจะหาคนมาดามใจสักคน แต่เพราะเชื่อในตัวเจนถึงได้ยอมตกลงกับไจ แม้ว่ามันจะเสี่ยงมากก็ตาม



หลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน



จากอนาคตสีดำมืดมาจนตอนนี้ การรอคอยของผมมีความหวังขึ้นมา เมื่อไจถามว่าผมจองตั๋วไปไคร์ตเชิร์ชแล้วหรือยัง แน่นอน ผมจองไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่เจนนินทร์ขึ้นเครื่องบินกลับไทยไป ผมจองไว้แล้วทุกอย่าง ทั้งรถ ที่พัก ที่เที่ยว สานต่อโร้ดทริปที่ตั้งใจจะไปตั้งแต่ปีก่อน และหวังว่าระยะเวลาแค่หนึ่งปีไม่ทำให้ผมเลิกรักเจนนินทร์ได้หรอก แม้จะรู้ว่าเจนอาจไม่ได้ทนรักกับผมจนถึงตอนนั้น แต่ใจก็ยังเชื่อ



และเมื่อไจบอกว่าให้ไปรอเจนนินทร์ตามที่เคยนัดไว้ ใจผมก็ลิงโลด ถามว่าเจนจะมากี่โมง



ไจแสบกว่าที่คิดเมื่อเขาบอกว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แถมยังหลอกผมด้วยการบอกว่าเจนอาจจะไปที่อื่นก่อนแล้วค่อยบินมาลงที่ไคร์ตเชิร์ช ทำให้ผมหาสายการบินไม่เจอ



ผมในตอนนั้นก็โง่มากพอที่จะเชื่อไจ เพราะมันไม่มีอะไรให้ยึดมั่นแล้วนี่ ที่บ้านของเจนเองก็รวยมากพอที่จะทำอย่างนั้นได้ ขนาดที่ถ้าเขาอยากไปเดินเล่นที่อังกฤษแล้วต่อด้วยช็อปปิ้งที่เกาหลี กินอาหารเย็นที่ญี่ปุ่นแล้วจบที่สิงคโปร์ก็ย่อมทำได้



ผมมารอเจนนินทร์ตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยงคืนของวันนัดหมาย นั่งรออยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากกลางคืนเปลี่ยนเป็นรุ่งเช้า จากรุ่งเช้ามายามสาย จากสายเป็นเที่ยง จากเที่ยงเป็นบ่าย และจากบ่ายเป็นเย็น



ในใจเริ่มกลับมาท้อแท้อีกครั้ง ระยะเวลาของการรอคอยไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมากลับนานเหมือนปี ไจอาจจะหลอกผมก็ได้ ใครจะรู้... ผมถามไปกี่ทีก็ไม่ยอมตอบกลับ แต่ในขณะที่กำลังสิ้นหวัง ผมพลันเห็นร่างคุ้นเคยเดินออกมาจากเกตผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สองขาลุกขึ้นยืน กลัวว่าสายตาจะมองพลาดไป



และภาพตรงหน้าไม่มีอะไรหลอกผมได้อีกแล้ว...



เมื่อความคิดถึงที่ผมเฝ้ารอมาตลอดปีปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แค่ภาพกับเสียงเหมือนที่ผ่านมา



น้องแทบไม่เปลี่ยน น่ารักเหมือนเคย ผมไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหา เมื่อหัวใจกลางอกส่งเสียงดังกระหน่ำราวกับหัวใจจะทะลุออกมาเสียขนาดนี้



เจนนินทร์ขยับยิ้ม



“ผมกลับมาแล้ว”



ผมยกยิ้มตอบ



ยินดีต้อนรับกลับ







❄❄❄





ตาพี่ฌาณเล่าเรื่องบ้าง มุมมองพี่ฌาณมองเจนก็จะประมาณนี้///

จะมีพาร์ทคนพี่อีกหลังจากนี้ด้วย

คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้น้าาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ diltosscap

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
พีฌานอบอุ่นจัง สงสารพี่เลย พี่ไจ ให้เป็นพระเอกสักเรื่องเถอะ ทรงอิทธิพล เก่งด้วย ชอบตอนพี่เล่านะคะ รอค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ประทับใจพี่ฌาณมากเลย :katai2-1:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
พี่ฌานเป็นผู้ชายที่อดทนมากจริงๆ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ปลื้มมาก ชอบมาก
ฌาณก็คือผู้ชายคนหนึ่ง มีรัก มีหลง และอยากลืม
ผ่านอะไรมาพอสมควร และไม่ได้ใสซื่อ พร้อมรุกตลอดเวลา
แล้วฌาณก็ยังเลือกเจนนินทร์ ที่อาจเป็นป๊อปปี้เลิฟในวัยเด็กแล้วก็ได้
ฌาณอบอุ่นกับน้องเสมอ และยังเชื่อใจเจนถึงจะเพ้อจะระแวงไปบ้าง 

เจนน่ารัก รอคอยวันนี้เพื่อมาเจอพี่
เจนกลับมาแล้วนะ ฌาณ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
True 1: Every ending has a new beginning



“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม หลุดหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตาบู้บี้ของคนตรงหน้า น้ำตาน้องไหลเปรอะแก้มขาวที่เจือสีแดง ทั้งหูทั้งจมูกก็แดง สภาพดูไม่ได้แต่น่ารักชะมัด



“ผมคิดว่าจะไม่เจอฌาณ”



“เจอสิ พี่สัญญาแล้วนี่”



“แต่มัน...ฮึก...ตั้งปีนึง...ผมก็คิดว่า...”



ผมไม่รอให้น้องพูดจนจบ คว้าตัวเขามากอดให้จมอก ปลอบประโลมคนตัวเล็กกว่าให้ได้มากที่สุด และแน่นอน ปลอบตัวเองด้วยเช่นกัน



หนึ่งปี ไม่มากไม่น้อย แต่ก็ทำให้หวั่นใจได้ไม่แพ้กัน ถ้าเจนกลัวว่าใจผมจะไม่เหมือนเดิม แน่นอน ผมเองก็กลัวว่าน้องจะไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับผมเช่นกัน และเมื่อท้ายสุดแล้วระยะเวลาไม่ใช่ปัญหาของเราเหมือนอย่างที่ไจคาดไว้ ในตอนนี้ผมก็ขอตักตวงความสุขกลับคืนมาให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน



ผมพาน้องเข้าที่พัก ลากกระเป๋าเดินทางให้หลังจากที่บรรจงจูบความคิดถึงที่นุ่มเหมือนกลีบดอกไม้กลางสนามบิน และนั่นทำให้เจนนินทร์เขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เอาแต่ก้มหน้างุดซุกอยู่กับแขนผมราวกับมันจะช่วยทำให้คนอื่นมองไม่เห็นเขาได้อย่างนั้น



ทันทีที่ถึงห้อง เจนนินทร์ก็รีบรุดเข้าไปนอนคว่ำหน้าบนเตียง ตะกายคว้าหมอนมานอนกอด



“ไม่กอดพี่หน่อยเหรอ”



“...”



เหมือนเจ้าแกะง่วงจะเพิ่งรู้ตัว เมื่อน้องเงยหน้ามาจ้องหน้าผม ก่อนค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้น ทะยานเข้าสู่อ้อมกอดผม เจนนินทร์ซุกไซร้เข้ากับหน้าอกเหมือนลูกหมา ไถหน้าไปมาจนผมจั๊กจี้ แต่ก็ยังไม่พูดไม่จา



“คุยกับพี่หน่อยเร็ว”



“...”



“พี่คิดถึง”



“ผมรักฌาณ”



อา...ให้ตายสิ นี่มันแย่เอามากๆ เลย ผมไม่คิดว่าน้องจะพูดคำนี้ออกมา และนั่นทำให้ตั้งรับไม่ถูก ทำอะไรไม่ได้นอกจากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น อยากฝังตัวเขาไว้ในอก เอาเข็มมาร้อยให้แนบติดกันตลอดไปเลยดีมั้ย



“ผมรักฌาณ...”



“พี่ก็รักเรา”



น้องไม่ตอบอะไรกลับมา แต่อ้อมแขนที่กระชับแน่นขึ้นทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับผม



“อยากจูบ...”



จบน้ำเสียงอู้อู้ในอ้อมกอด เจ้าของคำพูดเงยหน้ามามองผม ขยับตัวเข้าใกล้ใบหน้าของผมมากขึ้น พร้อมกับใช้เรียวแขนตวัดรอบคอให้ผมที่กำลังตกใจให้โน้มลงมา



แต่แน่นอน...ยินดีเสียยิ่งกว่า



รสจูบครานี้ไม่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่อยู่ในสนามบิน หากแต่เนิบช้า ผมค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไป ผลัดกันตวัดลิ้นไล้โลมกันอยู่ในโพรงปาก ลัดเลาะช่องฟันเชยชิมน้ำหวาน ตักตวงความสุขให้ได้มากที่สุดราวกับโลกกำลังจะล่มสลาย ผมรั้งตัวน้องให้แนบชิดยิ่งขึ้น ก่อนจะเริ่มเปิดฉากตะโบมจูบอย่างตะกละตะกลาม



เจนนินทร์ไม่ยอมแพ้ เมื่อสองมือรั้งให้ผมโน้มตัวมาหามากกว่าเดิม ตัวของเรายังคงแนบติดกัน และผมก็ไม่สามารถหยุดให้มือตัวเองไม่ลูบไล้ร่างกายคนตรงหน้าได้



แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสของอีกฝ่าย ที่ล้วงเข้ามาในสาบเสื้อของผม เด็กแสบไปหัดเรียนรู้วิธีแบบนี้มาจากไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดระคนสงสัย ทำให้เพิ่มอารมณ์ร้อนสูงขึ้นไปอีก



จนกระทั่งคนน้องเป็นผู้แพ้ ยอมถอนจูบออกมาก่อนเพื่อหอบเอาลมหายใจเข้า แต่ก็ไม่นาน เพราะเขาเข้ามาประกบปากผมทันทีที่ต่อเติมอากาศหายใจได้เพียงพอแล้ว



“เจน...” ผมคำรามเสียงต่ำ รับรู้ว่าพวกเราในตอนนี้กำลังอารมณ์เตลิดอย่างถึงที่สุด และหมายใช้เสียงเตือนให้เขารับรู้



“อือ”



ไม่เพียงแต่จะไม่หยุด แต่เด็กดื้อยังคงขยับกายเข้าชิดกับผม เขย่งตัวมาแนบริมฝีปากนิ่มเข้ากับปากผมไว้แน่น จนผมต้องต้อนคนตัวเล็กกว่าให้เดินไปยังเตียงนอน และผลักเขาให้ล้มลงไปกับฟูกนุ่มอย่างตั้งใจ



“อย่ายั่ว...”



ข่มขู่คนเด็กกว่าอีกครั้ง เจนนินทร์นอนอยู่ใต้ร่าง แววตาสะท้อนใบหน้าของผม ฉายแวววูบไหวเล็กน้อย ผมรู้...เขาคงรู้สึกไม่ต่างกัน อารมณ์ตอนนี้ยากเกินจะควบคุม แต่ผมก็ยังอยากให้เขารู้ตัว



เจนนินทร์อาจจะยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้ และที่สำคัญ...พรุ่งนี้ผมต้องการจะพาเขาไปเที่ยวเสียด้วย



ทว่าจากที่คิดว่าคนน้องจะยอมถอนตัว แต่เด็กแสบกลับตวัดเรียวขาโอบรัดรอบเอวผมไว้ ส่งเสียตาคล้ายกับจะหยอกเย้า ท้าทายให้ผมลงมือจริงจัง



ผมสูดหายใจเข้าอย่างหนัก ข่มตาพยายามบอกกับตัวเองให้อดใจ



ขืนทำตอนนี้ ทริปที่วางไว้คงจะไม่สนุก...



และจบท้ายด้วยการจูบหน้าผากมนนั้นไปทีนึง ก่อนจะผละตัวออกมา



“เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุกไม่ไหว...”



“...”



“เดินทางมาเหนื่อยๆ พักเอาแรงก่อนแล้วกันนะ”



“ฌาณ!”



เจนนินทร์ร้องลั่นเมื่อโดนขัดใจ ท่าทางน่ารักจนผมเผลอยกยิ้มขำ คนตัวเล็กหน้าแดงปื้น เมื่อไม่เห็นผมง้อจึงได้แต่มองผมอย่างคาดโทษ ก่อนตวัดผ้าห่มคลุมตัวเอง หันหน้าไปอีกทาง



เจ้าเด็กน้อยงอนเสียแล้ว



แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมมีเวลาง้อเขาทั้งชีวิต



ในที่สุดคืนนี้ก็มีไออุ่นที่คุ้นเคยในอ้อมกอด ผมรอที่จะได้นอนกอดเจนนินทร์มาตั้งปี ตัวน้องอุ่นและนุ่มเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แถมกลิ่นหอมๆ จากคนตัวเล็กก็เหมือนกำยานทำให้ผมหลับฝันดี ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ซุกซบไปที่หลังคอของเขา และไม่นานเจนนินทร์ก็หันมาพร้อมกับกอดผมคืน



นี่สิที่รอมาตั้งนาน...มีความสุขจัง



ผมไม่ได้หลับสนิทแบบนี้มานานแล้วจริงๆ



เมื่อยามเช้ามาถึง ผิดคาดที่เจนนินทร์ไม่งอนผมต่อแล้ว อุตสาห์คิดมุกง้อ แต่นั่นก็ดี เพราะนั่นหมายถึงเจนนินทร์เริ่มโตขึ้นแล้ว



ผมนั่งบนเตียงมองคนน้องแต่งตัว เมื่อตอนเขาตื่นเรานอนกอดก่ายกันเนิ่นนาน ก่อนผมจะบอกไปว่าวันนี้จะพาชมเมืองไคร์ตเชิร์ต เด็กน้อยพยักหน้า แต่ก็ยังซุกลงกับหน้าอกผมอีกสักพัก จนผมต้องปลุกเขาให้ลุกไปเตรียมตัวอีกรอบ และเด็กดื้อก็ทำตามอย่างว่าง่าย



อ่า...ต้องเปลี่ยนเป็นเด็กดีแล้วสินะ



ไคร์ตเชิร์ตเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศนี้ ทว่าเงียบและสงบ อันที่จริงส่วนใหญ่แทบทุกเมืองในเกาะใต้ก็ล้วนเงียบเช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะอยู่เกาะเหนือกันทั้งนั้น และนั่นเป็นเหตุให้พื้นที่ในเกาะใต้อุดมไปด้วยจำนวนของแกะและอัลปาก้าที่มากกว่าคน



เราเตรียมตัวกันเสร็จตอนสาย ผมเช่ารถมาเพื่อออกทริปนี้โดยเฉพาะ และขับรถพาเขาเที่ยวชมเมือง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง



Hagley Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ผู้คนนิยมมา สวนเขียวอุดมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ผมพาเขาเดินรอบสวน ชื่นชมต้นไม้แปลกตาไปเรื่อยๆ จนมาถึงพิพิธภัณฑ์ Canterbury เด็กน้อยไม่ได้ดูสนใจพิพิธภัณฑ์อะไรเท่าไหร่ แต่เพราะไหนๆ ก็มาไกลถึงขนาดนี้แล้วจึงยอมเข้าไปดูตามคำชวนของผม



ใช้เวลาเดินดูพิพิธภัณฑ์ไม่นานก็ออกมาเดินเล่นที่ถนน Worcester ที่เชื่อมระหว่างพิพิธภัณฑ์นี้กับโบสถ์ของไคร์ตเชิร์ต ระหว่างทางเดินมีร้านรวงต่างๆ รวมถึงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ และอาร์ตแกลอรี่ให้แวะชมอีกนิดหน่อย เหนืออื่นใด สถาปัตยกรรมของที่นี่ก็สวยไม่น้อย มีทั้งสถาปัตยกรรมเก่าและโมเดิร์นผสมกันสลับเรียงราย รวมถึงระหว่างทางมีรถรางวิ่งผ่าน ช่วยเพิ่มให้สถานที่แห่งนี้ดูน่าสนใจมากขึ้น



 และผมก็ไม่รอช้าที่จะหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้เอาไว้



ผมยกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต หลังจากที่บิวเสีย ผมเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่ถ่ายรูปคนอีกแล้ว  เพราะไม่อยากให้เจ็บปวดเมื่อพบเห็น แต่สุดท้ายปณิธานที่เคยตั้งมั่นไว้ก็สูญสลายเมื่อได้เจอรอยยิ้มเล็กๆ ของเจนนินทร์ กว่าจะรู้ตัว มือก็ลั่นชัตเตอร์ไปแล้วหลายต่อหลายรูป และเจนในกล้องผมก็น่ารักยิ่งกว่าอะไร



มันจึงกลายเป็นเรื่องยากที่จะทำตามความต้องการของอดีต



“เจน”



แชะ



“ฌาณ...ไหนเอามาดู”



ผมตั้งใจถ่ายเขาทีเผลอเพราะเฟรมในกล้องที่มีเจนนินทร์กำลังสวย และคงสวยกว่านี้ถ้าคนตรงหน้าหันมา เจนนินทร์ทำท่าจะโวยวาย แต่ก็เปลี่ยนมาชะเง้อดูรูปในกล้องผมแทน



สวยตามคาด



และคนน้องก็คงเห็นด้วยเมื่อผมเห็นรอยยิ้มประดับมุมปาก



เมื่อเดินมาจนถึงโบสถ์ไคร์ตเชิร์ตตามที่ต้องการ ผมก็มองเด็กน้อยวิ่งวนไปทั่ว คงตื่นเต้นที่ได้เห็นโบสถ์ขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว จึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนกับครั้งแรก



ครั้งแรกผมมากับโบนิตา ครั้งสองผมมาคนเดียวเพราะโบเสียไปแล้ว และครั้งนี้ตั้งใจมากับเจนนินทร์ ที่ถ้าหากว่าเขาไม่ได้กลับมาที่นี่ผมก็คงต้องเที่ยวอย่างโดดเดี่ยวปิดฉากความทรงจำ



ผมยกยิ้มกว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า



ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เคียงข้างรอยยิ้มของเจนนินทร์แล้ว...



“ฌาณ ไปไหนต่ออ่ะ”



“หิวยัง”



“...หิว...ลืมไปเลย”



สงสัยว่าตื่นเต้นจนลืมหิว ผมหัวเราะขำในความน่ารักของน้อง และไม่รอช้าที่จะพาเขาไปกินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง



ตอนบ่ายผมพาเขาไป Re Start Mall ให้ช็อปปิ้งดูของสักพัก ที่นี่คล้ายกับตลาดแต่ร้านค้าทำจากตู้คอนเทนเนอร์ ผมได้ยินมาว่าเป็นการพยายามฟื้นเศรษฐกิจของเมือง หลังจากเจอแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จึงสร้างตลาดนี้ขึ้นมาเหมือนกับเป็นการรีสตาร์ทใหม่เช่นนี้ เจนนินทร์เดินไปทั่วจนหนำใจ อากาศหนาวทำให้น้องมาซุกตัวผมบ่อยๆ เขาซื้อของอยู่ชิ้นสองชิ้นคล้ายเป็นที่ระลึก และหลังจากนั้นผมก็ขับรถพาเขากลับที่พัก



เมื่อถึงห้อง ผมถามน้องว่ามีแผนจะไปไหนมั้ย แต่สิ่งที่ผมได้คือการทำหน้าเหวอของเขาจนแอบหลุดขำ



“...ผมคิดว่าฌาณมีแผนเที่ยวซะอีก”



“ก็มี...แต่อยากรู้ไงว่าเจนมีมั้ย”



“ไม่อ่ะ...ถ้ามานี่แล้วไม่เจอฌาณก็คงลอยไปลอยมา...แต่ผมจองที่พักไว้เหมือนกันนะ”



น้องบอก ส่งเสียงงึมงำคล้ายบ่นกับตัวเองมากกว่า แต่เน้นเสียงในประโยคสุดท้าย ราวกับว่าต้องการบอกว่าเขาก็เตรียมตัวมาเหมือนกัน ถึงจะเล็กน้อยก็เถอะ ผมยิ้มขำ เจนนินทร์ยังคงเป็นเจนนินทร์ เรื่องการใช้ชีวิตห่วยยิ่งกว่าแมวจรจัด ถึงจะเริ่มมีพัฒนาการนิดหน่อยก็เถอะ



ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเขา พร้อมเอ่ยบอก



“พรุ่งนี้จะพาไป Arthur’s pass”



“ฌาณไปที่ไหนผมก็ไปทั้งนั้นแหละ”



ประโยคเหมือนโดนจีบ...แต่พอจ้องหน้าน้องดูดีๆ แล้วถึงรู้ว่าเจนนินทร์คงไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เขาคงหมายตามที่พูดนั่นแหละ



“ฌาณยิ้มอะไร”



ผมไม่ตอบ ขี้เกียจอธิบายให้คนน่ารักฟัง เลยก้มไปจูบหน้าผากเขาให้ยุติบทสนทนาแทน



คืนนั้นผมนอนกอดเขา โอบกอดร่างบางให้จมลงไปในอกตัวเอง สูดดมกลิ่นกายของคนในอ้อมแขนแทนกำยาน หอม สุขสมเคลิบเคลิ้มจนกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่าเจนนินทร์กลับขยับตัวยุกยิกอย่างน่าสงสัย



“เป็นอะไรหืม”



“ฌาณ...”



“นอนไม่หลับเหรอ”



“ผม...เปล่า”



“...”



ผมไม่ตอบน้อง แต่ลูบหัวเขาแทน เจนเงียบไปไม่กี่อึดใจก็เอ่ยออกมา ทำเอาผมแทบสำลัก



“ผมอยากกอดฌาณ”



“...ก็กอดอยู่นี่” ผมว่า เบี่ยงเบนประเด็น แม้จะเข้าใจคำว่ากอดของน้องก็ตาม



“ไม่ใช่กอดแบบนี้” และแน่นอน เจนนินทร์ไม่เคยพูดอ้อมๆ คนตัวเล็กขยับตัวยุกยิกในอ้อมกอดจนผมต้องก้มไปมองเขา สบตากับเจนนินทร์ที่เงยหน้ามองผมก่อนอยู่แล้ว ใบหน้าหวานช้อนตามองของน้องทำให้ใจผมสั่นจนแทบกระดอนออกมา



“ฌาณไม่อยากกอดผมเหรอ...”



อย่ายั่วให้มันมากนัก



ผมกัดปากตัวเอง ข่มใจไม่ให้ทำตามสัญชาตญาณดิบที่ตอนนี้พุ่งขึ้นสูงจนแทบสิ้นสติ เสียงหวานๆ ตากลมๆ ช้อนหน้าอ้อนมองกันแบบนี้ ผมต้องรวบรวมสติทั้งหมด และคิดว่าเป็นการตั้งสติมากที่สุดในชีวิตแล้วในการอดกลั้นใจเช่นนี้



“ฌาณ...”



ยังอีก นอกจากจะเสียงอ้อนๆ แล้วยังจะขยับตัวเอาสะโพกมาเสียดสีใส่กันให้เตลิดอีก



“นอนเถอะ”



“ฌาณไม่อยากกอดผมเหรอ ไม่เจอกันตั้งปีนึงเลยนะ”



คราวนี้ไม่ว่าเปล่า คนตัวเล็กตวัดตัวมาขึ้นคร่อมผม เป็นเด็กใจร้อนอะไรขนาดนี้ ผมจ้องมองน้องในความมืด ดวงตากลมฉายแววประกายไม่พอใจ ริมฝีปากเล็กๆ นั่นเริ่มเบะปากที่โดนขัดใจจนผมลอบยกยิ้ม



“อยากสิ...”



“งั้น...”



“แต่เดี๋ยวเราไม่สบาย นอนเถอะ จะพาไปเที่ยวอีกตั้งหลายที่”



ผมเฉลยความจริง ใครบ้างที่จะไม่อยากกอดคนรักที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน ผมข่มใจตัวเองตั้งหลายครั้งไม่ให้จับน้องกดลงเตียงแล้วฟัดให้จมเขี้ยว เสียแต่อย่างที่บอกไป...ผมวางแผนโร้ดทริปไว้แล้ว และจองที่พักแต่ละเมืองเรียบร้อย กลัวว่าถ้าทำตามใจตัวเองแล้วแผนเที่ยวจะล่มเอา



“เจน!”



เด็กดื้อไม่ยอมแพ้ เมื่อเขาซุกตัวมากอดผม ก่อนงับเข้าที่ซอกคอ ผมตวัดขารัดตัวเขา วาดมือโอบล้อมร่างคนตัวเล็กก่อนพลิกตัวให้เด็กน้อยมานอนข้างตัว ล็อคเขาไว้ไม่ให้ซนอีก



“ผมอยากกอดฌาณอ่ะ”



“ก็กอดอยู่นี่ไง”



“ฌาณ...ฌาณ”



“ชู่ว ไม่ดื้อนะ เดี๋ยวไปเที่ยวไม่ไหวหรอก”



“ฌาณ ไม่รักผมแล้วเหรอ”



เจนนินทร์ยังคงเป็นเจนนินทร์ ตีความอะไรไม่ค่อยเป็นเหมือนเดิม และดูท่าจะขี้น้อยใจมากขึ้นด้วย ผมกดจูบลงบนหน้าผากของน้อง ยอมแพ้ต่อเสียงอ้อนๆ หวานๆ อย่างจนใจ



“...รัก”



“ถ้างั้น...”



“พี่ช่วยแค่มือนะ”



ถึงยังไงก็ไม่ยอมตามใจเขาหรอก แม้สุดท้ายตัวเองแทบจะทนไม่ไหวแล้วกับเสียงครางหวานๆ กับร่างขาวๆ ของน้องก็ตาม แต่เมื่อพาคนน้องไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ ผมก็พอใจแค่นั้นแล้วจริงๆ



Arthur’s pass ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดของที่นี่ ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและทุ่งหญ้า วิวสวยสุดลูกหูลูกตา ซ้ำในหน้าหนาวยังมีหมอกจางๆ ประดับทำให้ดูน่าค้นหาอีกด้วย ผมขับรถมาถึงกลางทางก็แวะจอดให้เจนนินทร์ลงไปรับบรรยากาศและถ่ายรูปกัน น้องดูตื่นเต้นกับวิวธรรมชาติ แต่พอหันมาเจอผมก็ทำหน้าบู้



น่าหยิก



เจนนินทร์ยังคงงอนที่ผมไม่ทำตามใจเขาเมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้งอนจริงจังถึงขั้นไม่ยอมพูดด้วย แค่ชอบมาทำหน้าตาประหลาดน่ามันเขี้ยวใส่แบบนี้เฉยๆ เท่านั้น



ในระหว่างที่คนน้องกำลังเดินลัดเลาะไปตามทาง ผมลอบตามหลังเขาเงียบๆ เจนนินทร์ก้มลงดูน้ำค้างบนยอดหญ้าอย่างสนอกสนใจ และลุกขึ้นมาใหม่เพื่อเดินไปยังจุดอื่นๆ



เส้นทางนี้รถวิ่งผ่านไม่มากเท่าไหร่นัก จวบจนรถคันล่าสุดวิ่งผ่านพวกเราไป  ผมที่เดินตามน้องทันก็จับเขาหันมาสบตา เพื่อประกบริมฝีปากตัวเองเข้ากับกลีบดอกไม้นุ่ม ละเลียดเล็มรสชาติของจุมพิตจนพึงพอใจถึงได้ปล่อยน้องให้เป็นอิสระ



เจนนินทร์หน้าแดงเผือก และผมคิดว่าคงโดนเขาดุไม่ก็โวยวายใส่แน่ๆ



ทว่าคนหน้าแดงกลับเอื้อมตัวมาจูบผมแทนอย่างไม่คาดคิด



อันที่จริง การง้อเด็กก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนี่นา...







❄❄❄❄❄❄



ทริปฮันนีมูนน~~

ยังมีตอนพิเศษอีกสองตอนนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เจ้าลูกแกะขี้ยั่วววววววววววว หมาป่าอย่างฌานใจแข็งจริงๆ5555555

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เจนนินทร์เด็กขี้ยั่วววววว  :hao6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอาให้เต็มที่ไปเบยนะเจนนินทร์

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ไม่เบื่อเลยค่ะ อยากให้มีอีกสิบตอน

เจนนินทร์น่ารัก พัฒนามาก ทำไมช่างยั่วแล้วอ้อนเบอร์ใหญ่เบอร์โตแบบนี้
ฌาณถึงขั้นอยากเย็บติดเลยหรอ 5555 คนบ้าอะไร หลงน้องหนักไปอีก
ถ้าตบะหลุดเมื่อไหร่ ทริปล่มก็คงยอมล่ะสิ

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอหมาป่าตบะแตก  :hao7:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
True 2: You own me



ถัดจากเมืองไคร์ตเชิร์ต ผมก็ขับรถลงใต้มาเรื่อยๆ ผ่านเมือง Oamaru แวะดูสถานีรถไฟและเมืองที่นั่นเล็กน้อย ก่อนตรงไปยังเมือง Dunedin ระหว่างทางผมตั้งใจขับออกนอกเส้นทางของจีพีเอสนิดหน่อย เพื่อพาน้องมาแวะดูทะเลที่ไม่มีใครรู้จัก อยู่ติดกับบ้านใครสักคน และมีฟาร์มอัลปาก้าอยู่ด้วย เจนนินทร์ดูสนใจเจ้าตัวคอยาวหน้าเด๋อนี่ไม่น้อย เมื่อน้องพยายามถ่ายรูปมันใหญ่แถมยังมาขอให้ผมถ่ายรูปคู่กับเจ้าตัวนี้อีกต่างหาก



ผมไม่ได้อิจฉาอัลปาก้าหรอก ถ้ามันทำให้เจนนินทร์มีความสุขได้ผมก็จะเป็นมิตรกับมันแล้วกัน



ระหว่างทางก่อนถึงเมือง Dunedin ผมแวะจอดรถเพื่อพาเจนไปดูหินรูปร่างประหลาดที่หาด Koelohe ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง Moeraki กับ Humpden ก้อนหินทรงกลมราวกับปฏิมากรรมที่มีคนปั้นขึ้นมาวางเรียงรายอยู่บริเวณชายหาด เสียแต่มันเป็นก้อนหินที่เกิดตามธรรมชาติ



มีคนเรียกพวกมันว่าไข่ไดโนเสาร์ ด้วยเพราะขนาดและรูปร่างทำให้คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วมันคือก้อนหินที่เกิดการกัดกร่อนของคลื่นลมจนกลมดิ๊ก



และเจ้าก้อนหินแปลกๆ นี่ก็ดึงดูดความสนใจของคนน้องได้ไม่น้อย เมื่อเจนนินทร์วิ่งสำรวจหาดนี้ไปทั่ว ก้มดูโน่น มองดูนี่ ปีนป่ายจนผมกลัวว่าน้องจะลื่นล้มเข้า แต่ก็ยังตามถ่ายรูปของคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ



รอยยิ้มของเจนนินทร์ควรค่าแก่การเก็บไว้เป็นภาพนิ่งในความทรงจำ



และรอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยตลอดทั้งวัน...



เจนนินทร์คนเก่งหลับตลอดทางหลังจากเล่นสนุกจนเหนื่อย จนกระทั่งเรามาถึงเมือง Dunedin ช่วงค่ำ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่ดึกมากนักแต่บ้านเมืองและร้านรวงก็ปิดไฟมืดสนิทแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองน่ารัก บ้านหลังเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ตามเนินเขา งดงามราวกับเทพนิยาย ผมจองที่พักไว้ที่จะทำให้เห็นวิวพวกนี้ เสียแต่มืดแล้วจึงมองไม่เห็นอะไรเลย จึงได้แต่หวังว่าตอนเช้าเจนนินทร์จะตื่นมาเจอกับสิ่งที่ผมชอบเหมือนกัน



หลังจากที่กินข้าวในที่พักและอาบน้ำเตรียมเข้านอนเสร็จสรรพ ผมเหนื่อยจากการขับรถทั้งวัน จนหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับทันที แต่ว่าคนน้องกลับเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้ โถมมาทับตัวผมเต็มแรง



“เจน...ทำอะไร”



“กอดกัน”



“...”



“นะ ฌาณ...”



“พี่ง่วง...เหนื่อยแล้ว วันนี้ขับรถทั้งวันเลยครับ นอนกันนะ”



ไม่ว่าเปล่า ผมขยับตัว เอื้อมมือไปลูบหัวของน้องพร้อมกับกดจูบลงที่หน้าผากมน เจนนินทร์พองลมที่แก้มคล้ายไม่พอใจที่ผมปฏิเสธเขาอีกแล้ว แต่ก็ยอมลงมานอนข้างตัวผมแต่โดยดี



เด็กดีของพี่ฌาณ



ผมตื่นก่อนเจนนินทร์ด้วยความเคยชินที่ต้องตื่นเช้าเป็นประจำ และต่อให้ออกมาเที่ยวโร้ดทริปแต่ผมก็ยังคงลงมือทำอาหารเองบางมื้อ เมื่อคืนก่อนจะถึงที่พักผมแวะซื้อของสดนิดหน่อย เพื่อมาทำข้าวเช้าให้เด็กดี ที่พักที่จองไม่ได้เป็นโรงแรมหรู จึงไม่มีข้าวเช้าให้ เป็นเพียงบ้านพักเรียบๆ เท่านั้น แต่เพราะที่ตั้งของมันอยู่ใกล้กับวิวสวยๆ ทำให้ผมเลือกที่นี่ และคิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิด เมื่อได้ยินเสียงใสเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล น้องคงตื่นแล้ว



“ฌาณ! ฌาณ! มาดูนี่สิ สวยอ่ะ โคตรสวยเลย”



เจ้าตัวดีวิ่งมาทางผม พยายามดึงให้ผมไปที่หน้าต่างในห้องนอน แน่นอนว่าผมเคยเห็นวิวพวกนี้แล้ว แต่มันสวยขึ้นเมื่อได้มองกับคนพิเศษ



“เจนชอบก็ดีแล้ว”



“สวยอ่ะ เหมือนหลุดมาจากนิทานเลย”



น้องว่า สายตาสดใสเป็นประกายจ้องไปยังภาพตรงหน้าที่ปรากฏเป็นบ้านหลังเล็กๆ วางเรียงรายสลับกันอยู่บนเนินเขาสีเขียวขจี ซ้ำยังมีหมอกลงจางๆ ทำให้ภาพตรงหน้าดูฟุ้งเหมือนฝัน เหมือนในนิทานอย่างที่น้องว่าจริงๆ นั่นแหละ



“ฌาณ ผมออกไปดูได้มั้ย”



“ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าวเช้าก่อน”



และเด็กดีของผมก็ทำตามอย่างไม่รอช้า น้องฟาดข้าวเช้าเร็วกว่าปกติและรีบวิ่งออกไปทันทีที่ข้าวหมดจาน



“เจน ใส่เสื้อหนาๆ หน่อย” ผมร้องเอ็ด เดินตามคนน้องออกไปพร้อมหยิบโค้ทสีน้ำตาลของตัวเองติดมือ ไม่ลืมหยิบโค้ทและผ้าพันคอของเจนนินทร์ออกมาด้วย จะรีบอะไรขนาดนั้น



“บรือออ ฌาณ หนาววว”



และดังคาด น้องวิ่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รีบวิ่งกลับมาซุกผม ผมแย้มยิ้มให้กับความไร้เดียงสานั้น เอื้อมมือใส่เสื้อโค้ทให้น้องดีๆ ก่อนพาเขาออกไปเดินชมวิวด้วยกัน



อากาศยามเช้าของเมืองดูเนดินหนาวยิ่งกว่าเกาะเหนือ มวลอากาศเย็นตัวเลขหลักเดียวเฉียดศูนย์องศาปกคลุมจนมือแทบแข็ง แต่กลับอุ่นไปทั้งหัวใจเมื่อมีคนข้างๆ อยู่ด้วยกันตอนนี้



ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจนนินทร์ไม่ยอมกลับมาแล้วผมจะเป็นยังไง



คงนอนแข็งตายเพราะช้ำรักอยู่ตรงนี้ล่ะมั้ง



เจนกอดแขนผมแน่น ดูจากสภาพของคนขี้หนาวแล้วเสื้อโค้ทและฮีทเทคอุ่นๆ คงไม่ช่วยบรรเทาความหนาวให้เขาเท่าไหร่ เราเดินเล่นรอบที่พักอยู่พักนึงก็พากันเช็คเอาท์ขับรถออกไป ผมพาน้องไปเที่ยวในเมือง มีสถานีรถไฟสวยๆ ให้เขาได้ถ่ายรูป รวมถึงพาไปมหาลัย Otago ที่ขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย



ตัวมหาลัยเป็นสถาปัตยกรรมสวยงาม ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เงียบสงบ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งก็ว่าได้



เจนนินทร์บอกว่าที่นี่สวยมากจริงๆ แต่ถ้าเขาต้องมาเรียนที่นี่คงเหงาตายแน่ๆ เมืองที่เงียบสงบขนาดนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า นานๆ ทีจะเจอกลุ่มคน น้องบอกว่าถ้าได้อยู่ที่นี่นานๆ เข้าคงพูดภาษาแกะได้



ผมขำในความคิดของคนช่างคิด



หลังจากนั้นผมก็พาเขาไปเมือง Bluff  ที่ซึ่งเป็นเมืองท่าที่อยู่ใต้สุดของประเทศนิวซีแลนด์ ปลายทางใต้สุดของทวีป หลังจากตรงนี้ไปก็จะเป็นขั้วโลกใต้แล้ว อันที่จริงยังมีเกาะ Stewart ที่เป็นเกาะของนิวซีแลนด์ อยู่ใต้ลงไปอีก แต่ว่าต้องนั่งเรือข้าม การเดินทางค่อนข้างลำบาก ผมจึงตัดสินใจไม่ไป เอาแค่สุดทางของผืนดินก็พอ



ลมของขอบขั้วโลกใต้หนาวจับใจจนเจนนินทร์ที่สำรวจพื้นที่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลับมาซุกตัวเกาะผมแน่น ความน่ารักของเขาทำให้ผมยิ้มไม่หุบตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ผมพาเจนนินทร์ไปถ่ายรูปกับป้ายที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ เป็นป้ายบอกทางที่มีความครีเอทก็ตรงที่แต่ละป้ายชี้บอกทางไปเมืองหลวงของแต่ละประเทศ เช่นชี้ไปลอนดอน 18958 km ไปซิดนีย์ 2000 km ไปนิวยอร์ก 15008 km และอีกหลายๆ ที่ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่และถือเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมเลย



บ่งบอกว่าที่แห่งนี้นี่แหละ คือจุดใต้สุดของโลกแล้ว



จบจากตรงนี้ ผมพาน้องไปพักดื่มกาแฟสตาร์บัคที่เมือง Invercagill เป็นอีกซิกเนเจอร์ว่าคือสตาร์บัคที่อยู่ใต้ที่สุดของโลก ผมปล่อยให้คนน้องเช็คอิน ถ่ายรูปอวดไจกับไนล์ไปอย่างมีความสุข



เมื่อพอใจแล้วก็พากันกลับที่พักที่เมือง Invercagill



อีกสองวันจะจบโร้ดทริป และเราจะสิ้นสุดทริปนี้ที่เมือง Queenstown อีกเมืองที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน



และในคืนนี้น้องก็ยังคงขยับตัวยุกยิก มาพร้อมคำถามเดิม



“ฌาณไม่กอดผมเหรอ”



และผมก็ตอบด้วยประโยคเดิม



“กอดอยู่นี่ไง”



“ฌาณ...ไม่คิดถึงผมเหรอ”



“คิดถึงสิ”



“ไม่อยากกอดเหรอ”



“อยากสิ”



“ทำไมไม่ทำ”



“...ไม่อยากให้เราป่วย”



“ผมไม่ป่วย”



“ไม่เอาหรอก ไม่อยากเสี่ยง เดี๋ยวเจนเที่ยวไม่สนุกนะ ควีนส์ทาวน์สวยมาก ถ้าป่วยขึ้นมาคงเที่ยวไม่สนุก”



“แต่ผมอยากกอดฌาณ”



งอแง



เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่รู้เหรอว่าคนเค้าอดทนแค่ไหนไม่ให้จับกดลงเตียงแล้วฟัดให้หายมันเขี้ยว แต่เพราะอย่างที่พูดจริงๆ เจนนินทร์ป่วยง่าย ยิ่งอากาศหนาวๆ แบบนี้แล้วด้วย ลำพังแค่ดูแลเขาไม่ให้ป่วยก็ยากแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าผมกอดน้องขึ้นมาจริงๆ น้องคงต้องนอนซม ผมไม่อยากให้น้องนอนเป็นผักในขณะที่มีเมืองสวยๆ รอให้เที่ยวชมอย่างนี้



วันต่อมาเจนนินทร์หน้าบูดเป็นตูด เมื่อผมไม่ยอมทำตามใจเขา เด็กน้อยนั่งหน้างอไปตลอดทางที่จะไปเมืองควีนส์ทาวน์ แต่พอระหว่างทางผมแวะพักรถที่ริมทะเลสาบ และวิวตรงนั้นก็สวยงามมากพอที่จะทำให้เจนนินทร์หายงอนได้ ภาพทะเลสาบไกลสุดลูกหูลูกตา รวมถึงบรรยากาศเงียบสงบทำให้เขาอารมณ์ดี และแน่นอนว่าผมก็อารมณ์ดีตามน้องไปอย่างช่วยไม่ได้



ระยะทางไปควีนส์ทาวน์ค่อนข้างไกล กว่าเราจะถึงเมืองควีนส์ทาวน์ก็เย็นแล้ว ครานี้ผมจองที่พักที่ควีนส์ทาวน์ติดแม่น้ำที่มาจากทะเลสาบ ที่พักเป็นบ้านพักส่วนตัวมีสามชั้น และวิวจากที่นี่เมื่อมองออกไปถ้าตีเป็นราคาคงถึงพันล้าน ที่พักอยู่ติดขอบทะเลสาบ มองออกไปฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านคนหลังเล็กๆ ปลูกกันเรียงรายริมทะเลสาบ ซ่อนตัวตามเนินเขา คล้ายกับเมือง Dunedin แต่มีแม่น้ำคั่นไว้ เนินเขาสีเขียว ท้องฟ้าโล่งและเงาสะท้อนภาพจากผืนน้ำ เนรมิตให้สถานที่แห่งนี้เหมือนอยู่ในโลกของเทพนิยายอีกครั้ง



เจนนินทร์ตื่นตาตื่นใจกับภาพวิวตรงหน้ามากจนไม่เป็นอันทำอะไร



ผมรู้ว่าน้องคงท่องเที่ยวมาหลายที่ นอนพักโรงแรมหรู รีสอร์ทไฮคลาสหลายแห่ง แต่เชื่อว่าไม่มีที่ไหนที่เหมือนกับที่นี่หรอก และก็เป็นตามคาด เมื่อเขาดูตื่นตากับวิวที่ผมสรรหามาให้



“ฌาณ...สวย สวยมากๆๆ เลย”



“ชอบไหมครับ”



“ชอบ ชอบที่สุดเลย สวยมากอ่ะ สวยจนไม่รู้จะพูดยังไง ขอบคุณนะครับที่พาเจนมาที่นี่”



“...”



“ฮืออ สวยไปหมดเลย ผมถ่ายรูปยังไงก็ออกมาไม่สวยเท่าตาเห็นอ่ะ”



“เจน...”



“หือ”



“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”



“สวย...สวยไปหมดเลย?”



“ก่อนหน้านั้น”



“ก็ขอบคุณ...ที่พาเจน...”



เหมือนน้องจะรู้ตัวแล้วว่าหลุดแทนตัวเองด้วยชื่อเล่น ผมยกยิ้มล้อคนน้อง



“แทนตัวเองว่าเจนบ่อยๆ นะ”



“ทำไมอ่ะ”



“พี่ชอบ”



“...”



คนน้องหน้าแดงกับคำสารภาพของผมอย่างน่ารัก โอย จะน่ารักไปถึงไหนกันนะคนเรา



“ขอบคุณเหมือนกันนะครับที่ยอมให้พี่พามาที่นี่”



“...”



“ไม่งั้นพี่ต้องเหงาตายแน่ๆ เลย”



จบคำหวาน ผมก้มลงไปลิ้มชิมกลีบปากนุ่ม ละเลียดเลียริมฝีปากที่หวานยิ่งกว่าน้ำหวานจากดอกไม้ใดๆ ลุกล้ำเข้าไปในโพรงปาก หยอกล้อเล่นกับปลายลิ้นเล็ก จุมพิตแทนคำขอบคุณและความรักที่ผมมีต่อเขา เนิ่นนานจนแทบขาดใจ



คืนนั้น เจนนินทร์ไม่งอแงขออ้อมกอดของผมเหมือนอย่างเคย



ช่วงสาย ผมพาเขาไปเที่ยวที่  Arrow town อีกเมืองที่สวยเหมือนเทพนิยายและอยู่ใกล้กับควีนส์ทาวน์ ทำให้เดินทางไม่นาน ตัวเมืองมีบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เต็มไปหมด ส่วนใหญ่มักจะขายของที่ระลึกกัน เจนเดินซื้อของฝากในเมืองนี้ไม่น้อย และผมก็ไม่ไปขัดความสุขของเขา ระหว่างทางที่กำลังเดินเล่นในเมือง หิมะก็ตก



เป็นที่น่าตกใจเล็กน้อย แม้จะเข้าหน้าหนาวก็จริง แต่สี่วันที่ผ่านมานั้นไม่มีหิมะเลย วันนี้เป็นวันแรกที่หิมะตกตั้งแต่เราเดินทางมาก เจนนินทร์ไม่ตื่นเต้นกับหิมะ คงเพราะเขาคงเห็นอะไรแบบนี้มาหลายที่แล้ว แต่ที่ดูจะตื่นเต้นคงเป็นเพราะวิวของที่นี่เริ่มเปลี่ยนไป หมอกลงปกคลุม หิมะโรยตัว งดงามจนหาคำบรรยายไม่ได้อีกครั้ง



ผมพาน้องขึ้นรถก่อนที่หิมะจะตกหนักไปมากกว่านี้ และทันทีที่เราออกนอกเมืองก็ไม่เจอหิมะแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ถ้าหิมะตกหนักคงเดินทางลำบากแน่ๆ คราวนี้ผมขับรถขึ้นเขา เพื่อไปยังถนน Crown range road ที่เป็นถนนที่หักโค้งได้โหดที่สุดก็ว่าได้



ทางโค้งหักศอกหลายมุมจนเจนบ่นว่าเมารถ ผมขับรถไต่เขาไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านมันมาได้กลายเป็นทางตรงราบ ระหว่างทางมีทั้งทุ่งหญ้า เนินเขา ภูเขา และซอกเขา วิวระหว่างทางเปลี่ยนไปตลอดทำให้ไม่น่าเบื่อเมื่อมีอะไรใหม่ๆ สวยงามให้ดู จนถึงจุดชมวิวระหว่างเขา ผมจอดรถเพื่อแวะถ่ายรูป



และหนีไม่พ้นถ่ายรูปคนข้างตัว



ภาพตรงหน้าเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ วางสลับซับซ้อน ย้อมไปด้วยสีน้ำตาลของทุ่งหญ้า ความสวยงามตระการตาอีกแบบทำให้เจนนินทร์ตื่นเต้นอีกครั้ง เจ้าแกะน้อยวิ่งโร่ลงไปยังผืนหญ้า และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะลั่นชัตเตอร์เก็บเขาไว้เป็นความทรงจำ



แกะน้อยวิ่งเล่นได้ไม่เท่าไหร่ก็รีบปีนขึ้นมาซุกกับผม ที่นี่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส บวกกับลมบนภูเขาสูงทำให้หนาวสั่นกว่าเคย เจนนินทร์กอดผมแน่นเพื่อเติมความอุ่น ผมยินดีโอบกอดเขาไว้ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว และเมื่อคนน้องพอใจ ผมก็ปล่อยให้เจนนินทร์เป็นอิสระ



ก่อนรั้งให้เขามาอยู่ข้างตัว



ผมไม่ค่อยถนัดการถ่ายรูปเซลฟี่เท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมยกกล้องขึ้นมา หันจอให้กล้องกลับด้าน เล็งมาที่ใบหน้าของเรา ก่อนลั่นชัตเตอร์ดังแชะ และเมื่อเปิดดูรูปก็เป็นที่น่าพอใจไม่น้อย เจนนินทร์เองก็ดูตั้งตัวทันถึงได้ยิ้มแฉ่งให้กล้องขนาดนี้



“เอาอีกรูปนะฌาณ”



ผมทำตามคำสั่ง และรูปคู่ของเราอีกหลายๆ รูปก็ได้บันทึกไว้เป็นความทรงจำ



ระหว่างทางขับรถกลับไปยังเมืองควีนส์ทาวน์ น้องไล่ส่งรูปจากกล้องผมเข้ามือถือของเขา แกะน้อยบ่นบางรูปเมื่อเห็นว่าผมถ่ายเขาทีเผลอ เจนบอกว่าหน้าตาตลก แต่ผมว่าน่ารักมากกว่า



และไม่ทันคาดคิด เจนนินทร์ก็ยกกล้องของผมขึ้นมา ลั่นชัตเตอร์มาที่ผมขณะขับรถ



“ตากล้องไม่มีรูปเดี่ยวเท่ๆ เลย เดี๋ยวผมถ่ายให้เอง”



เขาว่า ลั่นวาจาไว้อย่างมั่นเหมาะ จนผมหลุดยิ้ม



อันที่จริง...ก็ยิ้มมาตลอดทางอยู่แล้วนี่นา



กลับเข้าเมืองก็เกือบเย็น แต่ก็ประจวบเหมาะพอดี เพราะในเมืองจะคึกคักก็ต้องตอนเย็นๆ หน่อย แสงสีในเมืองจะปรากฏสวยงาม เหมาะกับการเดินชมเมือง



เจนนินทร์เที่ยววิ่งสำรวจโน่นนี่อีกแล้ว ผมเดินเร็วๆ ตามเขาไป เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับร้านรวงหลายอย่าง ทั้งร้านขนมหวาน ร้านขายตุ๊กตา ตึกที่เปิดให้เล่นบ้านผีสิง ร้านขายคุกกี้ชื่อดังของเมือง  และหลายต่อหลายอย่าง แสงสีส้มที่ประดับตามถนนยิ่งขับให้เมืองควีนส์ทาวน์มีสเน่ห์มากกว่าเดิม ราวกับต้องมนต์สะกด ดั่งเมืองที่อยู่บนสรวงสวรรค์ สงบแต่ไม่เงียบ คล้ายจะเหงาแต่ครึกครื้นด้วยเสียงดนตรีจากงานเทศกาล ทุกอย่างสวยงามและลงตัวไปหมด



ผมไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก แต่มากี่ครั้งก็ประทับใจทุกครั้ง เป็นความสวยงามที่ที่ไหนก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ เป็นความสวยงามที่ต่อให้มีเลนส์กล้องราคาแพงแค่ไหนก็เก็บภาพได้ไม่ชัดเจนเท่าตาเห็น เป็นความสวยงามที่อยากได้นักกวีมาร่ายบทกลอนให้ฟัง เพราะลำพังแล้วคนธรรมดาอย่างผมไม่สามารถหาคำมาพรรณนาความงามของมันได้เลย



ผมพาเจนทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และเมื่อเดินเล่นจนทั่วแล้ว เราก็พากันกลับที่พัก



แน่นอนว่าวิวของที่พักตอนกลางคืนก็สวยงามไม่แพ้กัน แสงไฟที่สะท้อนผืนน้ำงดงามเกินคำบรรยาย บนท้องฟ้าปรากฏดวงดาวพร่างพรายมากมาย เสียแต่อากาศที่หนาวจับใจทำให้เราดูดาวได้ไม่นานนัก



ผมชงโกโก้อุ่นๆ ให้เจนนินทร์ก่อนเข้านอน



พรุ่งนี้จะถึงวันกลับโอ๊คแลนด์ คนน้องบ่นอุบเมื่อต้องจากสถานที่แสนสวยเช่นนี้ไป



“อยากอยู่ต่ออีกสักอาทิตย์นึงจังเลยฌาณ มันสวยไปหมดจนผมอยากอยู่ที่นี่นานๆ”



“...กลับโอ๊คแลนด์ไม่ดีเหรอ จะได้กลับบ้านของเราไง”



“...”



น้องไม่ตอบ แต่ก้มลงจิบโกโก้ร้อน เรานั่งซุกกันอยู่บนโซฟา มองวิวนอกหน้าต่างที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ จนเจนนินทร์พูดตัดความเงียบออกมา



“ที่นี่สวยมาก แต่ผมก็คิดถึงโอ๊คแลนด์เหมือนกัน”



“ใช่ไหมล่ะ...”



“แต่มันไม่สำคัญเลยถ้าไม่มีฌาณ”



“...”



“ถ้าไม่มีฌาณที่ไหนก็ไม่สวย ที่ไหนก็ไม่น่าอยู่”



โดนน้องจีบอีกแล้ว



“...พี่ก็เหมือนกัน”



ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้ม ก้มลงจุมพิตริมฝีปากนุ่ม กลีบดอกไม้ครานี้มีกลิ่นของโกโก้หวาน เช่นเดียวกับโพรงปากเมื่อได้เชยชิม รสชาติโกโก้เจือจางปะปนอยู่ไปทั่ว ทำให้อยากจะกลืนกินเขาลงไปทั้งตัว ดูดดึงริมฝีปากบางค่อยๆ เป็นไปอย่างเนิบช้า  ไออุ่นจากอีกฝ่ายเริ่มร้อนมากขึ้นท่ามกลางอากาศหนาว พลันเปลี่ยนให้จุมพิตแสนหวานครั้งนี้รุ่มร้อนมากขึ้น เมื่อผมเร่งรุกจังหวะรสจูบให้เร็วกว่าทุกที ราวกับคนตะกละตะกราม ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ



รสชาติแสนหวานของเจนนินทร์ทำให้ผมคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่ได้สัมผัส ที่ผ่านมาผมใช้ความอดทนอย่างสูงที่จะไม่กินมูมมาม แต่เมื่อถึงวันนี้ ทุกอย่างได้ปลดล็อกตามที่ต้องการแล้ว



ทริปฮันนีมูนที่ผมสร้างขึ้น มีหรือที่อยากจะปล่อยน้องไปง่ายๆ



แค่ที่ผ่านมาอยากให้เด็กดีได้เที่ยวเล่นให้สมใจก่อนก็เท่านั้น ถ้าเขาป่วยระหว่างทางจะแย่เอา วิวทิวทัศน์และบรรยากาศสวยงามจึงเป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟ เมื่อเมนคอร์สกำลังจะเริ่มนับจากนี้



“ฌา...ณ?”



“ไม่อยากกอดพี่แล้วหรือครับ”



“อยาก แต่...ตอนนี้? ตรงนี้อ่ะนะ”



“อืม...กอดกันนะ”



ไม่ว่าเปล่า ผมก้มลงฉกชิมเนื้อหวานที่ซอกคออุ่น เจนนินทร์สะดุ้งเฮือก



“ต...แต่ที่ผ่านมาฌาณ...”



“ยอมอดทนจนถึงวันนี้...” ผมเฉลย คลอเคลียหยอกเย้าอยู่แถวต้นคอขาวไม่ห่าง ไม่ได้ไม่อยากทำ ไม่เคยบอกว่าไม่อยากทำ เพียงแต่รู้ว่าตัวเองคงไม่ยั้งมือแน่ๆ หากได้ลงมือกอดน้องจริงๆ ผมไม่อยากให้เจนนินทร์ป่วยระหว่างทริปอย่างที่เคยบอกน้องไว้จริงๆ ถึงได้ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานในวันสุดท้าย



“ไม่อยากให้เจนป่วย”



“อ๊ะ...”



“เพราะพี่คงจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ”



“ฌาณ...”



“...อย่าร้องห้ามแล้วกันนะ เด็กดี”



ในเมื่อร้องขอมาตลอดทริป ตอนนี้ตาผมเอาจริงแล้ว หวังว่าเด็กขี้ยั่วคงจะไม่เปลี่ยนใจ และเป็นดังคาด เมื่อเด็กดีไม่คิดจะต่อต้าน และเอ่ยกลับราวกับท้าทาย



“ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว...”



จบประโยคเด็กน้อยก็มุดเข้าไปซุกที่อกผม พร้อมกับไฟในตัวที่ปะทุขึ้นอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป



ผมรวบตัวน้องขึ้นเหมือนอุ้มลูกลิง ที่ห้องรับแขกออกจะหนาวไปสักหน่อย ผมอุ้มน้องพาไปยังห้องนอนที่น่าจะอุ่นกว่ามากโข และทันทีที่แผ่นหลังของเด็กดีแตะเข้ากับผืนเตียง ผมก็ลงมือลอกคราบเด็กน้อยของผมทันที



“ฌา...อ๊ะ”



เจนนินทร์ร้องเสียงหลงเมื่อผมถอดกางเกงนอนของเขาออกไปอย่างง่ายดาย และประคองเจนนินทร์ตัวน้อยไว้ในกำมืออย่างไม่รอช้า ขยับรูดรั้งอย่างไม่รีรอจนคนน้องร้องเสียงหวาน ก่อนครอบปากตัวเองให้กลืนตัวตันของน้องจนหมด น้ำเสียงครวญครางปลุกให้ผมร้อนรุ่มอย่างง่ายดาย แค่เสียงครางของเจนก็ทำเอาผมแทบบ้าแล้ว



จวบจนปลดปล่อยคนน้องได้ในเวลาไม่ช้า ผมกลืนหยาดน้ำขาวขุ่นลงไปจนหมด ส่วนตัวเองก็ลงมือเตรียมปลดปล่อยบ้าง



“ฌาณ...กิน...?”



คนตัวเล็กนอนหอบน้ำตาคลอหน้าแดงก่ำ ผมทำเพียงยกยิ้มมุมปากตอบกลับไป ไม่คิดรังเกียจอะไรเพราะมันเป็นของเจนนินทร์ ส่วนคนขี้อายพอสบตาผมแล้วก็มุดหน้าหนีลงไปในหมอนใบโต ผมจึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ที่แอบพกมาด้วย น้องแอบเหล่มองผมแวบนึง และไม่คิดจะปิดบังอะไร ผมปีนขึ้นเตียง นั่งคร่อมคนตัวเล็กก่อนเทเจลหล่อลื่นจนชุ่มมือ


เจนนินทร์เบิกตาโตทำหน้าเลิ่กลั่ก



แต่เสียใจด้วย เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว



ผมสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางแน่นแคบ น้องร้องเสียงหลงอีกครั้ง และอีกครั้งเมื่อเริ่มขยับนิ้วหยอกแหย่



“ฌา...ณ อือ”



ไม่ปล่อยให้เขาร้องท้วง ผมประกบจูบกลืนกินเสียงใสให้หายไป แน่นอนว่าไม่ยอมหยุดขยับนิ้วมือที่ละเลงไปทั่วช่องทาง จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง จากสองค่อยๆ เป็นสาม เจนนินทร์บิดตัวเกร็ง เชิดหน้าขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาว แอ่นสะโพกบิดไปมา ปลายเท้าจิกลงผ้าปูที่นอนอย่างหมายระบายอารมณ์ ส่วนปลายนิ้วมือกดจิกลงกับแผ่นหลังของผม ขูดครืดจนแสบ และคิดว่าหลังตัวเองคงเต็มไปด้วยรอยเล็บของเขาแล้วเป็นแน่



เมื่อผละตัวออกมาดูผลงาน ก็เห็นน้องนอนตัวขาวนอนหอบหน้าแดงน้ำตาคลอ



ให้ตาย เด็กน้อยของผมโตมาเซ็กซี่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่



ผมบอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น



ขยับปลายนิ้วระรัวเข้าไปในตัวเจนนินทร์ เร่งจังหวะมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ภายในตัวน้องร้อนจัด และรัดนิ้วผมแน่น ไม่นานนักเด็กดีก็หวีดร้องลั่นเมื่อได้ปลดปล่อยหยาดน้ำขาวขุ่นออกมา คนน้องถึงฝั่งฝันอย่างง่ายดายอีกครั้ง เสียแต่ผมยังไม่ได้ปลดปล่อยเลยสักรอบ และไม่ยอมให้น้องมีความสุขแค่คนเดียวแน่ๆ



เมื่อคิดว่าเบิกเส้นทางจนพร้อมแล้ว ผมก็ค่อยๆ จ่อส่วนนั้นของตัวเองเข้ากับช่องทางของเจน เด็กน้อยที่เพิ่งเสร็จสมอารมณ์หมายไปไม่ถึงนาทีถึงกับเบิกตาโพลง



“ฌาณ...ฌาณ...”



 “ให้พี่กอดนะคนดี”



“...อือ”



“เด็กดี”



“ฌาณ...”



“ครับ”



“เบาๆ...นะ อ๊า!”



สิ้นสุดคำขอร้อง ผมกระแทกตัวเองเข้าไปในตัวน้องจนเกือบมิด ทรยศต่อคำวิงวอนอย่างใจร้าย เจนนินทร์บิดตัวร้องลั่นห้อง หอบฮั่กเอาอากาศหายใจ หน้าแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลเป็นทางอย่างน่าสงสารจนผมต้องกดจูบเพื่อปลอบประโยนเขา แลบลิ้นตวัดเลียน้ำตาให้เหือดแห้งไป ก่อนจะประกบจูบอีกครั้งเพื่อปลอบใจ เริ่มบรรเลงบทเพลงรักที่แท้จริง



เจนนินทร์ร้องครางเสียงหวานลั่นสนั่นหู เสียงใสกรีดร้องตามจังหวะโยกตัวของผม เมื่อกระแทกทีน้องก็หลุดร้องเสียงดังออกมาที ผมไม่ได้ร่วมรักกับใครมานานแล้วก็จริง แต่ที่ผ่านมาคนที่เคยนอนด้วยก็ใช่ว่าจะน้อยที่ไหน และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทรักของผมกับเจนนินทร์ดีอย่างหาที่สุดไม่ได้



“ฌาณ...เบา อื๊อ”



ไม่ปฏิเสธคำร้องขอ เมื่อผมไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เมื่อได้เริ่มสัมผัส ความคิดถึง คะนึงหาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ถาโถมใส่เข้ามาอย่างไม่ยั้ง เจนนินทร์ในจินตนาการตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้โดนผมย่ำยีไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง และมีหรือที่เมื่อเจอตัวจริงแล้วผมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้



รวมถึงไม่สามารถยั้งมือได้เช่นกัน



น้องร้องครวญครางลั่นห้อง ปฏิเสธไม่ได้อีกว่ายิ่งน้องร้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวผมให้มากขึ้นเท่านั้น เสียงใสที่เปล่งออกมาราวกับเป็นการขับร้องให้ปิศาจในตัวผมตื่นขึ้น ผมกอดน้องที่อยู่ใต้ร่างแน่น ขยับสะโพก เบียดตัวตนของตัวเองให้เข้าไปข้างในตัวร้อนๆ ของน้องแล้วถอนออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก่นกายผงาดสู้ข่มเสียงหวานและช่องทางคับแคบ บรรเลงเพลงรักไปอย่างไม่คิดจะหยุด



และไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบทรักครั้งนี้จะสิ้นสุดที่ตรงไหน



กระแทกกระทั้นจนหยาดน้ำกามเปรอะเปื้อนไปทั่วผืนเตียงและทั่วทั้งร่างกายขาวผ่อง ที่ปรากฏรอยรักลายพร้อยไปทั่วตัว ผมจับน้องพลิกตัวเป็นว่าเล่น เมื่อจบหนึ่งรอบ ก็ต่ออีกรอบอย่างไม่รอช้า จับกดเขาให้จมเตียงสมใจปรารถนา ฝังรอยรักไว้ทั่วตัวราวกับรอยสัก ตีตราว่าเขาเป็นของผม ความอัดอั้นที่สะสมมานานถูกปลดปล่อย และมันไม่มีทางเลยที่จะปลดปล่อยออกมาหมดได้เพียงแค่ครั้งเดียว



กับความคิดถึงที่ล้นทะลักมาตลอดปี



เจนนินทร์ครางอื้ออึงตามจังหวะที่ถูกกระแทกใส่ตัว น้องไม่ร้องขอให้หยุด มีแต่เสียงร้องของกามารมณ์ที่แสดงถึงความเสียวซ่านเท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้ปิศาจในตัวผมได้ใจ ปลุกปั้นแก่นกายให้ผงาดขึ้นอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลืนกินเด็กน้อยคนตรงหน้าให้หมดสิ้น



ผมอยากขอพรให้ค่ำคืนนี้นิรันดร ใคร่จะตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขเช่นนี้ตลอดกาล



ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น มีเพียงร่างของสองเราที่รุ่มร้อน บดเบียดแลกไออุ่นให้กันและกัน



และในเช้าวันต่อมา เจนนินทร์ก็ไข้ขึ้นตามระเบียบ…



❄❄❄❄❄❄



พี่ฌาณได้กินสเต็กแกะไปตามระเบียบ .///.


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ถึงกับป่วยเลยหรือเจน

ออฟไลน์ Madpinkie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :pighaun: รางวัลของผู้้้้เรียกร้องนะจ้ะนุ้งเจนนน ///บรรยายสถานที่ซะจนอยากเที่ยวตามเลยค่ะ งื้อออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด