พิมพ์หน้านี้ - ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Raccool ที่ 25-12-2017 15:27:12

หัวข้อ: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 25-12-2017 15:27:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐



M y N o v e l ::

๐ ▆ ▇ █ Maybe….I’ll try?-เล่นของสูง █ ▇ ▆  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41260.0)   [F i n i s h e d ]
๐   ☀ ☼ Dear Sunshine : วาดตะวัน ☼ ☀ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51550.0)    [ F i n i s h e d ]
๐   ※ MR.GREY ※  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58733.0)    [ F i n i s h e d ]
๐   ♦ Wake me up #รีบตื่น ♦  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61411.0)    [ F i n i s h e d ]


๐  [เรื่องสั้น] ✡ ส ม ห ม า ย ✎  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52526.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] :: ◤| Summer Wine |⊿ ::   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52774.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] ♪ ♫ :: SENSORY SERIES :: HEAR ♪ ♫    (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56968.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น]░【 GROWTH 】#รีบโต    (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57556.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] 。• ✈ Page 49 ✈ •。  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59146.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น]♡ ☽ Lucky Cat ☾ ♡  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60785.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] ✖ Soon We'll be found ✖  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61590.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] #อย่าปล่อยให้ความตายหลงรักคุณ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63610.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] ▣ Don't kick the chair ▣  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65435.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น] ■ Have a ghost day #ผีของผม ■  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64808.0)   [ F i n i s h e d ]
๐  [เรื่องสั้น]┼ In another life ┼ #หากชาติหน้า  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66337.0)   [ F i n i s h e d ]




❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



“Help! Help! The wolf is carrying away a lamp”



#บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ



❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 25-12-2017 15:28:31
Lies 0: Prologue







หนาว...



ผมถดขาหดตัวอยู่ในผ้าห่มหนา พยายามให้ไออุ่นแก่ร่างกายตนเองทว่าไร้ผล อากาศหนาวในเวลาห้าทุ่มยังคงพยายามแทรกตัวผ่านเกราะป้องกันเข้ามาเฉือนผิวหนังผมให้ทรมานกว่าเดิม



“ฌา...หนาวอ่ะ”



“เปิดฮีทเตอร์แล้วไง”



“หนาว”



“ไหนเคยบอกว่าขี้ร้อน”



“มันหนาว เร่งฮีทเตอร์ให้หน่อย...”



“ก็รู้อยู่ว่ามันเร่งได้แค่นี้”



“...ก็มันหนาว”



“กอดถุงน้ำร้อนไหม”



“ไม่”



ผมขยับตัวยุกยิกอย่างรำคาญใจ เมื่อคนตรงหน้าขัดใจ ซ้ำยังเอ่ยอะไรขัดหู



“ไปหาเสื้อมาใส่สิ”



“หยิบให้หน่อย...”



“ไนล์...”



“ผมหนาว...ไม่อยากลุก”



ว่าพลางกระชับผ้านวมในมือแน่น รีบขยับตัวลุกขึ้นนั่ง โผล่เพียงใบหน้าออกจากผ้าห่มเพื่อจ้องไปยังคนตรงหน้า ก่อนที่จะโดนดุ สบตาหวังเอาใจให้คนนอกผ้าห่มอ่อนใจ และทุกอย่างเป็นไปตามสมใจอยาก เมื่อเจ้าของชื่อฌายอมลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าตัวเอง ก่อนหยิบเสื้อกันหนาวขนวูลตัวอุ่นของเขาโยนมาให้ผมที่สิงอยู่ในก้อนผ้าห่มยักษ์



“ขอบคุณ”



ผมเอ่ย คนมีน้ำใจไม่ตอบกลับอะไรทำเพียงแค่ส่ายหน้า ก่อนหันไปตั้งใจกับหนังสือกองโต นักศึกษาป.โทอย่างเขาคงมีชีวิตมอบให้กับงานวิจัยอย่างเดียว



ผมสวมเสื้อกันหนาวของฌาทับอีกชั้น ก่อนล้มตัวนอน ขมวดผ้าห่มผืนหนานุ่มให้ห่อรอบตัวจนกลายเป็นก้อนผ้าขนาดยักษ์ ขยับตัวยุกยิกจัดท่านอนให้ตัวเองอีกครั้งก่อนนอนนิ่งไป พร้อมจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ภายในห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ซึ่งก็ดีต่อทั้งสองฝ่าย ฌาต้องใช้สมาธิในการทำงาน ส่วนผมก็ต้องการความเงียบเพื่อที่จะนอน...



สองคนในหนึ่งห้อง..ใช้ชีวิตกันร่วมเดือน



โดยที่ทั้งผมและเขาไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ...





❄❄❄❄❄❄







เปิดเรื่องใหม่แล้วค่ะ

เป็นเรื่องที่ไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น5555

ยังไงก็ขอฝาก #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ไว้ด้วยนะคะ

<3


หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-12-2017 15:49:39
เจิมมมมม เรื่องใหม่  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: มาชิ มาชิ ที่ 25-12-2017 16:04:31
ตามมมมมค้าาา เด็กเลี้ยงแกะจะยังไง
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-12-2017 16:05:58
อ่านแล้ว ขอซุกผ้าห่มด้วยคนได้มั้ย งือออ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 25-12-2017 19:29:15
บางทีน้องอาจจะอยากให้ฌากอด
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 25-12-2017 19:32:03
ตามค่าาาา
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 25-12-2017 20:19:26
ตามคร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-12-2017 03:19:25
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 26-12-2017 03:55:11
ตามมมมค่าาาา
เปิดเรื่องมาแล้วอยากจะซุกผ้าห่มตามเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 26-12-2017 06:04:30
ติดตามต่ะ น่าสนใจมาก เริ่มตอนแรกก็ถูกใจแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 0 |- 25.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 26-12-2017 11:58:28
น่าสนใจจจ ตามน้าา //กอดซุกด้วย หนาว---
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 1 |- 28.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 28-12-2017 17:24:48


Lies 1 : Sick of all the insincere









ช่วงนี้คือฤดูหนาวของนิวซีแลนด์ ผมมาอยู่ที่นี่ได้สามอาทิตย์กว่าแล้ว อาทิตย์แรกโดนเพื่อนไล่ออกมาจากหอเพียงเพราะเหตุผลทุเรศๆ ที่ว่าผมไม่ยอมร่วมรักกับมัน เชื่อเขาเลยให้ตาย ผมบินมาที่นี่แบบกะทันหันก็จริง แต่ระหว่างอยู่ไทยผมติดต่อเพื่อนคนนี้มาตลอดและตกลงกันเสร็จสรรพแล้วว่าเขาจะยอมให้ผมพักด้วยตลอดการเดินทาง



แต่หลังจากที่ผมจ่ายค่าที่พักให้มันไม่นาน มันก็เปิดเผยความต้องการที่แท้จริงคือต้องการหลับนอนกับผม เพื่อนเลวคงเชื่อว่าผมไม่มีใครให้พึ่งพาในเมืองใหญ่อย่างโอ๊คแลนด์แล้ว มีแต่ต้องยอมตกลง แต่ขอเถอะ ผมไม่ใช่คนที่จะยอมนอนกับใครเพื่อแลกกับที่พัก เลยเลือกเดินจากมันมาทั้งอย่างนั้น ส่วนค่าที่พักก็ช่างแม่ง



ในขณะที่กำลังเดินร่อนเร่หลงทางอยู่นั้นฟ้าก็เริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ จนดึกดื่น ผมก็ยังเดินหาโรงแรมไม่เจอเสียที ความสามารถในการใช้ชีวิตก็เข้าขั้นติดลบ แม้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ไม่มีปัญญาเอาตัวรอดเอง เลยได้แต่เดินโต้ลมหนาวไปอย่างนั้น



จนได้เจอกับฌา



เขาชวนผมเข้าที่พักเมื่อเห็นว่าผมหลงทาง แน่นอน ในทีแรกผมปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา แต่ยังไม่ทันได้จากกันดี เม็ดฝนก็เริ่มตกลงมา ด้วยความจนใจ รวมถึงผมเพิ่งเคยมานิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกและไม่รู้จักเส้นทางของที่นี่ ไม่รู้ว่าอาศัยความหลงทิศของตัวเองเดินไปเรื่อยๆ แล้วจะได้เจอโรงแรมไหม หรือจะตายเพราะความหนาวจากอากาศและน้ำฝนเสียก่อน ผมจึงเลือกเดินตามเขากลับที่พักตามคำชวนของชายหนุ่มแปลกหน้า โดยมีข้อแม้ว่าผมจะไม่หลับนอนกับเขาเด็ดขาด



ฌาทำเพียงแค่เค้นหัวเราะหึออกมา พร้อมบอกให้วางใจ เขาแค่หารูมเมทแชร์ค่าห้องก็เท่านั้น



ผมระแวงเขาไม่น้อย แต่ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาฌาทำให้ผมไว้วางใจเขาในระดับนึง เขาทำตามข้อตกลงที่ว่าผมจะช่วยออกค่าห้องให้เขามากกว่าครึ่งเล็กน้อย แลกกับการที่เขาทำอาหารและดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ผม ส่วนค่าอาหารหรือวัตถุดิบจ่ายแยกต่างหาก ผมแค่อยากให้มีคนดูแลผมก็เท่านั้น



ช่วยไม่ได้นี่ อยู่ที่ไทยผมไม่เคยได้หยิบจับทำอะไรพวกนี้เลย แม้แต่กระเป๋ายังไม่ต้องลากเองด้วยซ้ำ ถ้าให้ผมลองทำกับข้าวเองมีหวังได้ทำครัวไหม้ และผมก็ไม่สามารถออกไปหาอะไรกินเองได้ด้วยเพราะไม่รู้วิธีเข้าเมือง ร้านอาหารเล็กๆ ในย่านที่พักนี้ก็พอมีอยู่บ้าง บางวันถ้าฌาไม่สามารถทำอาหารได้ผมก็ไปฝากท้องกับร้านแถวนั้น การใช้ชีวิตคนเดียวของผมย่ำแย่มากจริงๆ



ผมได้ไปย่านหลักของเมืองอย่าง Queen Street บ้างบางครั้งจากการติดตามฌาไปโดยอาศัยรถบัส ฌาชอบไปห้องสมุดในวันว่างๆ เพราะทุกวันอังคารฌาต้องเข้ามหาลัยไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิจัย และทุกเย็นวันจันทร์ฌาจะไปทำงานพิเศษ รวมถึงมีสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้นักเรียนคนไทยบ้างตามโอกาส



 ส่วนผมไปเพื่อเดินเล่น ถนน Queen Street เป็นเส้นตรง สองฝั่งของถนนมีร้านค้าเรียงราย คนพลุกพล่าน ทำให้ผมสามารถเดินเที่ยวได้โดยไม่ต้องกลัวหลงทาง เคยเดินเล่นไปถึงท่าเรือ ผ่าน Britomart ที่เป็นสถานีรถไฟหลักของเมือง จากตรงนี้กลับไปหอสมุดเมืองแค่เดินตรงไปเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายตรงแยก Civic ก็จะเจอแล้ว เส้นทางแค่นี้ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับผมนักหรอก



แต่นอกจากทางตรงกับเลี้ยวสักแยกแล้ว ผมก็ไม่สามารถจดจำเส้นทางอื่นได้อีก เพราะฉะนั้นถึงได้เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ก็ตามฌาไปที่อื่นๆ



ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินแม้แต่น้อย ทั้งที่มาไกลถึงนิวซีแลนด์ทั้งทีแต่เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง อย่างไรเสียถ้าที่นี่ถูกใจผมก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะบินกลับมาอีกรอบ



อย่างในวันนี้ผมก็เลือกนอนอืดอยู่ในห้องกลิ้งอยู่บนเตียงไปมา ส่วนฌาไปห้องสมุดเหมือนทุกที อพาร์ทเม้นท์ของฌาแบ่งเป็นสองโซนสามห้อง เริ่มจากโซนทางซ้ายของประตูทางเข้าห้องคือห้องน้ำ ถัดจากห้องน้ำคือห้องครัว มีเคาท์เตอร์ครัวและอุปกรณ์ครบครัน พร้อมด้วยโต๊ะทานข้าวเล็กๆ ที่นั่งได้สองคน และโซนทางขวาของประตูห้องคือห้องนอน มีมุมนั่งเล่นอยู่ปลายเตียง ประกอบด้วยโซฟาเบด หรือโซฟาที่สามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ กับโทรทัศน์ เป็นมุมประจำของฌา



ที่นี่ค่อนข้างกว้างและมีราคา เทียบกับหอพักของเพื่อนผมแล้ว แต่ก็ดี มีสิ่งอำนวยสะดวกเยอะแยะมากมายจนแทบไม่อยากออกไปไหน เพราะในห้องก็สบายอยู่แล้ว ผมเข้าใจเลยว่าถ้าฌาอยู่ที่นี่คนเดียวก็ต้องจ่ายหนักพอควร ถึงได้ต้องหารูมเมทมาแชร์ค่าที่พัก



แต่ถ้าสำหรับผมนั้น ราคาเท่านี้ผมจ่ายได้สบาย



โดยปกติแล้วฌาณอนบนเตียงใหญ่มาก่อน แต่พอผมมาเขาก็ให้ผมนอนเตียงใหญ่แทน ส่วนตัวเองไปนอนที่โซฟาเบดเพราะบางทีต้องอ่านหนังสือที่โซฟาจนดึกดื่น จะได้ไม่ต้องมากวนผมอย่างที่ผมต้องการ



แต่หลังจากที่ผมเริ่มไว้วางใจเขาแล้ว ผมจึงบอกให้เขามานอนบนเตียงด้วยกัน หนึ่งเพราะเกรงใจ อย่างน้อยเขาก็เป็นเจ้าของห้อง สองคือเตียงมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับผู้ชายสองคนนอนด้วยกันได้อย่างไม่อึดอัด สามคือผมหนาว...พอมีฌามานอนข้างๆ แล้วมันอุ่นขึ้น และผมนอนร่วมเตียงกับคนแปลกหน้านี้มาได้ร่วมสี่คืนแล้ว



ผมรู้ว่ามันแปลกที่ต้องมานอนร่วมเตียงกับคนไม่รู้จัก



แต่ทำไงได้...ผมหนาวนี่นา...



ในทีแรก ผมบอกฌาว่าขี้ร้อน เพื่อบอกปัดเขาไปเท่านั้น ไม่คิดว่าต่อมาผมจะทนความหนาวไม่ไหว ยอมกลับคำยอมรับว่าเป็นคนขี้หนาวหลังจากนอนสั่นมาทั้งคืน



ถ้าฌายอมซื้อฮีทเตอร์ใหม่ก็คงไม่ต้องยอมให้เขามานอนเตียงเดียวกัน แต่ผมหว่านล้อมยังไง จะออกเงินให้มากแค่ไหนฌาก็ยืนยันที่จะไม่ซื้อฮีทเตอร์ใหม่เพราะเขาไม่ได้ขี้หนาวเหมือนผม สำหรับเขาแล้วอากาศประมาณนี้กำลังสบาย ซื้อมาก็เปลืองที่เปล่าๆ ผมไม่ได้จะอยู่ถาวรตลอดไปเสียหน่อย ถ้าผมกลับไปเขาก็ต้องหาทางกำจัดมันอีก วุ่นวายเสียเวลา



ซึ่งผมก็เถียงอะไรไม่ได้ ได้แต่นอนหนาวแอบขโมยไออุ่นจากเขาเท่านั้น



ฌาอยู่ที่นี่คนเดียวตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเรื่อยๆ กลับไทยบ้างเป็นครั้งคราว แต่ชอบใช้ชีวิตเงียบๆ ที่นี่มากกว่าเลยเลือกเรียนต่อโท ผมถามเขาว่าเรียนจบแล้วจะกลับไปทำงานที่ไทยไหม เขาบอกว่าไม่รู้... ผมอยากให้เขากลับไทยบ่อยๆ จะได้พาไปกินอาหารร้านอร่อยๆ ตอบแทนที่เขาดูแลผมที่เป็นคนแปลกหน้าดีเสียขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กรุงเทพฯก็เถอะ



วันๆ ผมอยู่แต่ในห้อง น่าเบื่อก็จริง แต่ข้างนอกก็ไม่ต่างกัน ผมยอมทนเบื่อในห้องดีกว่า อย่างน้อยก็อุ่นกว่า อพาร์ทเม้นท์ที่นี่มีอินเตอร์เนตให้ใช้ไม่จำกัด แต่ส่วนใหญ่เขาก็ออกไปใช้ไวไฟจากหอสมุดอยู่แล้ว กลับมาที่นี่ก็ใช้เนตบ้างครั้งคราว ไม่ได้ใช้เยอะอะไรราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา



ผมไม่มีแอพลิเคชั่นสมัยนิยมในโทรศัพท์มือถืออย่างที่วัยรุ่นทั่วไปควรมี ผมมีมือถือไว้เพื่อเล่นเกมและติดต่อฌากับที่บ้านเป็นบางครั้งเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ก็เล่นเกมจากไอแพดที่ผมพกมา ยืมต่อไวไฟเพื่อดูซีรี่ย์บ้าง สลับกับดูโทรทัศน์ ชีวิตน่าเบื่อแต่ผมมีความสุขดี ไม่ต้องมีอะไรให้มากมายวุ่นวาย แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ



แรกๆ ผมตื่นเช้าพร้อมฌา แต่เพราะตื่นมาก็ไม่มีอะไรทำ แถมถ้าไม่ออกไปไหน ตอนกลางวันก็ไม่มีข้าวกินอีก ได้แต่กดน้ำร้อนใส่มาม่ากิน หลังๆ เลยเลือกที่จะตื่นสายแทน จะได้กินอาหารเช้าที่ฌาทำให้รวดเป็นอาหารเที่ยงเสียเลย วิถีชีวิตคนขี้เกียจของผมมันก็อย่างนี้



ที่นี่ตอนกลางวันจะอุ่นขึ้นมาหน่อย อุณหภูมิขึ้นหลักสิบ แต่พระอาทิตย์ตกเมื่อไหร่ผมจะเริ่มหนาวทันที ต้องพึ่งพาผ้าห่มอุ่นเพื่อป้องกันความเย็น ฌาบอกผมว่าโอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่ต่อให้หนาวแค่ไหนหิมะก็ไม่ตก มีแต่ฝนที่ตก ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หนาวจนติดลบ ออกจะอุ่นด้วยซ้ำถ้าเทียบกับทางเกาะใต้ของนิวซีแลนด์แล้ว



แต่ถึงยังไงผมก็หนาวอยู่ดี



ผมม้วนผ้าห่มเข้ากับตัว ลุกเดินไปนั่งบนโซฟาเบดเพื่อดูหนังหรือรายการอะไรก็ได้ในโทรทัศน์ แต่วันนี้หนังที่เอามาฉายหน้าเบื่อเสียจนผมเบือนหน้าหนี ซีรี่ย์ที่ดูอยู่ก็จบแล้ว ผมลุกไปยังชั้นหนังสือข้างเตียงของฌา ก่อนเจอหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษเรื่องหนึ่งบนชั้น จึงถือวิสาสะหยิบมาอ่านฆ่าเวลาแทน



ผมอ่านหนังสือเพลินจนตกเย็น อากาศเริ่มหนาวและฌาก็กลับมาพอดีในเวลาหกโมง ผมคั่นหนังสือไว้ก่อนปิดมันลง วางไว้ที่โต๊ะเล็ก เก็บผ้าห่มไปไว้ที่เตียงแล้วเดินออกไปหาเจ้าของห้อง ฌาลงมือทำอาหารเย็นให้ผมกิน ผมเป็นคนเลือกกินและขี้จุกจิก แต่อาหารฝีมือฌาผมกินได้ทุกมื้อเลยเพราะอร่อย เชื่อว่าอยู่กับเขาแล้วผมไม่มีวันอดตายแน่ๆ



ฌาทำไข่ยัดไส้ให้ผมเสร็จก็ตักข้าวมาให้ เราร่วมกินข้าวด้วยกันแทบทุกเย็น ฌาพูดน้อยและเป็นผมที่จะชวนเขาคุยก่อนเสมอ



“อันนี้อร่อยอ่ะ วันหลังทำอีกบ่อยๆ นะ”



“อืม”



“วันนี้ช่องหนังฉายแต่หนังอะไรไม่รู้น่าเบื่อมากเลย”



“...ฟังรู้เรื่องเหรอ”



“...ก็ไม่หรอก แต่ดูจากภาพ จังหวะการตัดต่อ เสียงเพลง การแสดงของนักแสดงก็รู้แล้วว่าแย่”



“อืม”



“พอไม่มีหนังดูก็น่าเบื่อหน่อยๆ ฌาอ่ะ ไปห้องสมุดทำวิจัยทุกวันไม่เบื่อเหรอ”



“เบื่อ บางครั้งก็ออกไปเดิน Queen street เล่น ดูหนังใน Civic แก้เบื่อบ้าง”



“อ้าว ไปดูหนังมาเหรอ ไม่ชวนกันเลย”



“...เห็นบอกว่าอ่อนภาษาเลยคิดว่าจะไม่อยากดู”



“อยากเข้าไปสัมผัสบรรยากาศโรงหนังต่างประเทศบ้าง” ผมว่าพลางฉีกยิ้ม บอกเขาเป็นนัยว่าเสียเงินแค่ไม่กี่ร้อยเข้าไปนั่งเล่นเฉยๆ ยังไงก็ไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งผมร่วง



“ไว้วันหลังจะชวน”



“อย่าลืมนะ”



“อืม...”



เรานั่งกินข้าวกันไปจนเสร็จ ฌาก็ลุกขึ้นนำจานไปล้าง ผมเคยขอช่วยแล้วครั้งนึงแต่ฌาบอกให้นั่งเฉยๆ คงรู้ว่าผมทำไม่เป็น



“ทำไมไม่ใช้เครื่องล้างจานอ่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากจ้องมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังทำความสะอาดจานอยู่ที่ซิงค์น้ำ เห็นเขาค่อยๆ ล้างจานทีละใบแล้วก็คิดว่าสู้เอายัดเข้าเครื่องล้างจานนี่ทีเดียวก็จบแล้ว ไม่ต้องลำบาก



“มันไม่สะอาด ล้างด้วยมือจะรู้สึกสบายใจกว่า”



ฌาไขปริศนาที่ผมสงสัยมานาน ผมไม่มีอะไรทำแล้วจึงลุกขึ้น ว่าจะเดินไปเปิดทีวีดูอะไรสักหน่อย บรรยากาศในห้องจะได้ไม่เงียบจนน่าอึดอัด



“เอ้อ...ไนล์”



“หืม”



“วันพรุ่งนี้ถ้าว่างจะพาไป Mount Eden”



ผมฉีกยิ้มกว้างให้ฌา ยินดีที่เขาจะพาผมไปเที่ยว



“เอาสิ ผมว่างทุกวันอยู่แล้ว”



ฌาคงเห็นว่าผมอยู่ในห้องคงเบื่อแย่แน่ๆ ถึงเขาจะพูดน้อยหรือพูดไม่เก่งก็ตาม แต่ใจดีมากเลยทีเดียว



“จากที่นี่ไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไปเช้าๆ จะอากาศดี ตอนบ่ายจะร้อนแล้ว เพราะงั้นตื่นเช้าด้วยล่ะ”



ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนเอ่ย “ฌาปลุกด้วยล่ะ”



คนตรงหน้าได้แต่กดยิ้มมุมปากเหล่มองมาอย่างขบขำ ที่ผมมองว่ามีสเน่ห์โคตรๆ ฌาเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว จมูกเป็นสัน ตาคม ปากบาง ไว้ผมทรงอันเดอร์คัทยิ่งทำให้ดูเท่ เหมาะกับรูปร่างสูงๆ ของเขา ฌาชอบใส่เสื้อผ้าสีดำ ไม่ก็โทนมืดๆ ทำให้ฌาเหมือนกับเทพอีกาอย่างนั้น แต่บางทีถ้าดุขึ้นมาผมจะมองเขาเป็นเทพแห่งความตาย ผมเคยโดนเขาดุครั้งนึงเพราะเผลอทำถ้วยอาหารหล่นใส่พื้นพรหมในห้อง ฌาน่ากลัวมาก ทำผมจ๋อยตัวหดเป็นลูกหมาไปเลย



หลังจากทานข้าวเก็บโต๊ะเสร็จ ผมก็ไปอาบน้ำ ส่วนฌามักจะรออาบหลังผมเสมอ ห้องน้ำเป็นแบบฝักบัว ต่อให้ผมอยากแช่อ่างแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีอ่างให้แช่ แม้จะขัดใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็เท่านั้น ยืนอาบก็ไม่ได้ยากอะไรแค่ไม่ชินเฉยๆ



หลังจากที่มีความสุขกับการปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ไหลผ่านตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำตัวสั่นเพราะอากาศในห้องหนาวกว่าที่ผมจะทนไหว ฌามักลอบยิ้มกับท่าทีของผมอย่างนี้ทุกที ถ้าเห็นว่ามันตลกแล้วช่วยซื้อฮีทเตอร์ใหม่จะเป็นพระคุณมาก



ผมรีบปืนขึ้นเตียง มุดเข้าไปในผ้าห่มหนานุ่ม เกราะป้องกันอากาศหนาวชั้นยอดของผม ก่อนจะได้ยินเสียงของฌาดังทักขึ้นมา



“ไนล์”



“หืม”



“อ่านเรื่องนี้อยู่เหรอ”



“...”



ผมที่กำลังขดตัวหาไออุ่นอยู่บนเตียงชะงักกึกทันทีที่ฌาพูดจบประโยค ก่อนนึกได้ถึงหนังสือของฌาที่ผมแอบหยิบมาโดยไม่ขออนุญาต ถ้าเพียงแค่นั้นผมคงไม่กลัวมาก อย่างมากก็แค่โดนฌาดุนิดหน่อย แต่เพราะผมเคยบอกเขาไปว่าอ่อนภาษา พูดไม่ได้อ่านไม่ออกฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งนี้ก็เพราะคิดว่าการปล่อยให้เขาคิดว่าผมโง่น่าจะเป็นเรื่องดีกว่า ผมไม่ต้องจัดการอะไรเอง มีอะไรก็ให้ฌาคุยให้ สะดวกสบาย



เสียแต่หนังสือนวนิยายที่มีร่องรอยว่าผมหยิบมาอ่านได้หนึ่งส่วนสี่ของเรื่องทำให้ผมหน้าซีด



“...ก็อืม...เปิดมาอ่านผ่านๆ ตอนกลางวัน ไม่ได้เข้าใจหรอก”



“งั้นเหรอ ถ้าแค่อ่านผ่านๆ คงไม่ต้องคั่นหน้าไว้หรอกมั้ง”



“ง่ะ...”



“ว่าไง อ่านออกหรือ”



“...จริงๆ ก็นิดหน่อย” ผมจนใจเลยบอกเขาไปกึ่งจริงกึ่งโกหก



ผมจบอินเตอร์มา เพราะฉะนั้นเรื่องภาษาค่อนข้างมั่นใจว่าสื่อสารได้แน่ๆ แต่ปิดบังเขาไว้เพราะขี้เกียจพูดคุยกับใคร ปล่อยให้เป็นธุระของฌาอยู่บ่อยๆ



“เป็นนิดหน่อยคงไม่อ่านได้ไกลขนาดนี้หรอก”



“...ก็เปิดดิกฯช่วยตั้งเยอะ”



“เพราะอย่างนั้นแหละ ถ้าเปิดดิกฯไม่น่าจะอ่านเร็วขนาดนี้นะ”



“...”



“ผมเคยอ่านมาก่อน รู้ว่าเรื่องนี้ใช้คำศัพท์ค่อนข้างยาก ถ้าเพิ่งเริ่มอ่านคงอ่านไม่ไวขนาดนี้หรอก”



“...จริงๆ ก็อ่านทิ้งไว้หลายวันแล้วน่ะ” ผมรีบแก้ตัว



“เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าอ่านตอนกลางวันนี้...”



“...”



“ว่าไงล่ะ”



“...ผมขอโทษที่เอาหนังสือคุณมาอ่านโดยที่ไม่บอกนะ แต่จริงๆ เลย ผมแค่เอามาฝึกภาษา” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องให้เขาไปโฟกัสเรื่องที่ผมเอาของเขามาใช้โดนไม่ขอแทน



“จริงหรือ” แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล...



“จริงๆ...”



“Don’t lie to me, Shepherd boy” ฌาพูดพร้อมฉีกยิ้มรุกฆาต สายตาคมส่งมาทางผมราวกับว่าเขารับรู้ความจริงแล้ว บ่งบอกว่าผมไม่สามารถโกหกเขาได้อีกต่อไป



ผมถอนหายใจออกมา ยกมือสองข้างขึ้นยอมจำนน ยอมแพ้ก็ได้




“Ok, I give up”





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄






มาเริ่มเกมจับโกหกน้องแกะกันเถอะ!

เรื่องก่อนๆ เขียนแต่ในสถานที่ใกล้ตัว มาครั้งนี้เลยอยากพาไปที่ไกลๆ ดูบ้างค่ะ

ว่าจะให้ทายกันว่าที่ไหนแต่ไม่ทันแล้ว 5555

เมืองโอ๊คแลนด์ ในนิวซีแลนด์ไม่มีหิมะนะคะ แต่ก็ยังหนาวสำหรับน้องแกะอยู่ดี...

ไม่แน่ใจเลยว่าจะเขียนเรื่องนี้ได้ยาวแค่ไหน แต่ยังไงก็ฝากไว้ด้วยนะคะ ^^



หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 1 |- 28.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 28-12-2017 18:56:36
เราก็ไม่ชอบอากาศ​หนาว​ๆ

น้องแกะเจ้าเล่ห์​นะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 1 |- 28.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-12-2017 19:10:42
น้องไนล์มาทำไรที่นี่อ่ะ ย้ายที่นอนเหรอ เจ้าตัวขี้เกียจจจ 555
อ่านแล้วอยากซุกผ้าห่มด้วย ฮือออ หนาววว
เด็กเลี้ยงแกะโกหกอะไรไว้บ้าง รอให้ฌารีดออกมาให้หมดนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 1 |- 28.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 28-12-2017 19:20:24
ชอบพี่ฌา แง้
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 1 |- 28.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 28-12-2017 19:37:46
โอ้ อ่านละชอบบบบ อยากไปเที่ยวเลย 5555
ชอบไนล์ น่ารักนะ เอ็นดู ฌาก็ชอบบบ /////
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 1 |- 28.12.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-12-2017 19:40:16
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 01-01-2018 17:04:59
Lies 2: My head stuck in the clouds





ผมไม่ได้ตื่นก่อนสิบโมงมานานแล้ว แต่วันนี้ฌาปลุกผมตอนแปดโมงทำให้สะลึมสะลือไม่น้อย อากาศวันนี้หนาวกว่าทุกวันทำให้ผมงอแงอยู่บนเตียงอยู่นานกว่าปกติ จนฌาเริ่มดุทำให้ยอมลุกออกจากผ้าห่ม เดินงัวเงียไปล้างหน้าล้างตาตามคำสั่งเจ้าของห้องอย่างมึนๆ เพราะยังไม่ตื่นดี ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้เขาจะพาผมไปเที่ยว ถึงได้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย



ฌาไม่ได้ว่าผมเรื่องที่ผมโกหกเขาเมื่อวานแล้ว หลังจากได้ข้อยุติเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก แค่กดยิ้มก่อนวางหนังสือไว้ที่เดิม บอกให้ผมหยิบอ่านได้ตามสบาย ส่วนผมก็หน้างอเพราะเซ็งที่โดนจับโกหก ก่อนมุดตัวนอนหนีความผิดตัวเองไป



เจ้าของห้องลอบหัวเราะที่เห็นผมของผมยุ่งฟูหลังจากตื่นนอน ผมพยายามหวีให้มันเรียบร้อยแล้วมานั่งทานข้าวเช้ากับฌา แต่เจ้าของห้องนิสัยไม่ดีกลับยีหัวผมจนยุ่งอีกครั้งพลางหัวเราะชอบใจ



“ตลกดี หัวฟูเหมือนขนแกะเลย”



เพราะผมเคยผ่านการทำสีผมจนผมเสีย ทั้งยังหยักศกเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะย้อมดำแล้วแต่จากการผ่านสมรภูมิสารเคมีมามากมายทำให้มันไม่ค่อยเรียบตรงเหมือนผมฌา ที่แม้จะสั้นแต่ก็ดูสุขภาพดี



“ไม่เหมือนสักหน่อย...” ผมแย้งก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “ที่เขามีแกะมั้ย”



“หึๆ ไม่มี”



“...อ่า”



“ไว้จะพาไป One tree hill ที่นั่นมีแกะเป็นฝูง”



ผมเคยเห็นแกะตัวเป็นๆ อยู่แล้วหรอกน่า แค่อยากเห็นแกะที่นิวซีแลนด์ดูบ้างก็เท่านั้น ไหนๆ ที่นี่ก็เป็นดินแดนแห่งแกะ ที่มีจำนวนแกะมากกว่าจำนวนคนถึงสามเท่าแล้วทั้งที



ผมไม่ได้เจอคนดังอย่างแกะที่นี่ก็ไม่เป็นไร แต่ไหนๆ ฌาบอกจะพาไปดูผมก็ย่อมยินดีที่จะไปอยู่แล้ว จึงพยักหน้าตอบเขาไป



หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้วฌาก็พาผมไปขึ้นรถบัสประจำทาง นั่งไปลงที่ Mount Eden แต่หลังจากลงจากรถบัสแล้วเรายังต้องเดินกันอีกเยอะมากๆ กว่าจะถึงทางขึ้นเขาผมก็เหนื่อยแล้ว ฌาก็ไม่รีบ รอผมพักจนหายเหนื่อยแล้วเดินต่อจนเข้าถึงเขตเขา ต้นไม้ข้างทางสงบร่มรื่นเสียจนอยากนั่งพักนานๆ แต่ฌาบอกข้างบนสวยกว่าผมจึงรีบเดิน



ต้นไม้ของที่นี่บิดเป็นทรงประหลาด ผมไม่รู้จักสายพันธุ์ต้นไม้ แต่รู้ว่าต้นไม้ที่นี่ไม่มีในไทยแน่นอน กิ่งก้านหงิกงอยังกับป่าต้องห้ามในแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ดูแปลกตาจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้



ฌาพาผมเดินขึ้นเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นผมเห็นว่ามีรถรับส่งขึ้นเขาด้วย เลยหันไปถามเขา



“เรานั่งอันนี้ขึ้นไม่ได้หรือ”



“เดินไปสนุกกว่านะ ได้ชมบรรยากาศด้วย”



“ง่า”



“ต้องออกกำลังกายได้แล้ว เอาแต่นอนอยู่ในห้องทั้งวัน”



“...” ผมไม่เถียงฌา แต่ทำหน้าบู้ไม่พอใจ ผมไม่ชอบออกกำลังกายนี่ มันเหนื่อยและก็เหม็นเหงื่อด้วย แต่ก็เป็นอย่างที่เขาว่า ค่อยๆ เดินรับบรรยากาศก็ดูเข้าที ผมไม่ได้มาเดินเล่นในที่แบบนี้เลยสักครั้ง ถึงจะเหนื่อยแต่จะถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกัน



เมื่อเดินใกล้ถึงยอดเขาเรื่อยๆ ลมหนาวก็เริ่มพัดแรงขึ้นจนผมถดไปอยู่ข้างหลังฌา ใช้เขาเป็นเกราะกำบังลมแต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่



“หนาวเหรอ”



ผมพยักหน้า วันนี้รู้สึกหนาวกว่าทุกวัน ยิ่งเดินขึ้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งหนาว ลมเย็นๆ ตีหน้าจนผมแสบไปหมด พัดมาแต่ละครั้งทำเอาเหมือนจะบาดเอาหูให้หลุดออกมา จมูกเองก็แสบเพราะสูดเอาลมหนาวเข้าไป ฌาควักอะไรบางอย่างในกระเป๋าเป้ ก่อนนำมันมาสวมให้ผม



มันคือหมวกไหมพรหมสีดำ ฌาดึงให้มันลงมาถึงหูผม พอหูอุ่นแล้วเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นหน่อย



ระหว่างทางผมเห็นคนมาวิ่งออกกำลังกายด้วย รู้สึกนับถือพวกเขาอยู่ในใจ อากาศหนาวขนาดนี้ยังวิ่งต้านลมได้เหมือนไม่รู้สึกอะไร แถมดูไม่เหนื่อยเหมือนผมทั้งๆ ที่ค่อยๆ เดินขึ้นมาแท้ๆ



ฌาเดินนำผมจนในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขาอีเดน ผมมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ที่นี่ทั้งสวยทั้งสงบ เห็นวิวทั่วเมือง ไม่มีอะไรมาบดบัง ถ้าไม่หนาวขนาดนี้ผมคงมีเวลาชื่นชมที่นี่ได้นานกว่านี้ แต่พอลมพัดมาทีนึงผมก็มุดเข้าหาฌาทีนึง จนเขาหัวเราะขำ



วันนี้วันศุกร์ แถมเป็นช่วงเช้า ฌาบอกคนเลยไม่เยอะมาก ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะกว่านี้ Mount Eden เป็นภูเขาไฟที่มอดไปแล้ว ตรงกลางภูเขาเป็นหลุมลึกและใหญ่เป็นวงกว้าง บ่งบอกถึงการเคยเกิดการปะทุ ผมมองใจกลางภูเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ มันไม่ได้ดูลึกและน่ากลัวอะไรเพราะเห็นก้นหลุมชัดเจน แถมในหลุมปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวขจี เพียงแต่ความกว้างใหญ่ของมันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเผลอกลิ้งตกลงไปจะปีนขึ้นมาไหวรึเปล่า



อันที่จริงนอกจากวิวเมือง กับหลุมกลางภูเขาแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว แต่ผมก็ชอบบรรยากาศที่นี่ สงบดี เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกได้อย่างที่ต้องการ



“เป็นไง”



“หืม”



“ชอบไหม”



“...ชอบมาก” ผมตอบฌา ฉีกยิ้มกว้างให้เขาเพื่อแสดงความจริงใจ “ถ้ามีโกโก้ร้อนมานั่งจิบคงจะดี”



“หึ”



ผมว่าตามความคิด ส่วนฌาก็แค่หัวเราะออกมาเบาๆ ลมข้างบนนี้พัดแรงกว่าข้างล่างทำให้ผมหนาวกว่าทุกทีจึงอยากได้น้ำอุ่นๆ มาดื่มแก้หนาวสักหน่อย แต่ฌาดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับความหนาวระดับที่ทำให้ผมตัวสั่น



“ฌาไม่หนาวหรือไง”



“แค่เย็นๆ นี่ยังไม่เข้ากลางฤดูหนาวเลยนะ”



“...”



ตอนนี้เดือนมิถุนายน เป็นหน้าหนาวของที่นี่แล้ว ถ้าเข้าเดือนกรกฏาคมจะหนาวกว่านี้หน่อย แต่แค่นี้ผมก็ทนไม่ได้แล้ว อุณหภูมิสิบองศานิดๆ ทำให้ผมสั่นแทบตาย ยิ่งมีลมพัดด้วยยิ่งฆ่าผมได้ง่ายๆ เลย



ผมเดินเล่นอยู่บนเขาอีกสักพัก ฌาพกกล้องมาถ่ายรูปด้วย เขาถ่ายวิวต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ เพิ่งรู้ว่าฌาชอบถ่ายรูปก็วันนี้แหละ ปกติเห็นเขาจมอยู่กับหนังสืออย่างเดียว ผมเดินตามเขาไปบ้าง แวะหยุดดูวิวบ้าง ผมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปวิวเล็กน้อยก่อนเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง ยกมือกอดตัวเองไว้กันหนาวดีกว่า



จนกระทั่งเดินจนรอบเขาแล้ว ฌาก็ชวนผมลงไปทานข้าวกลางวัน ผมตอบรับแทบทันทีเมื่อรู้สึกระคายคอเล็กน้อยจากการสูดหายใจเอาลมหนาวเข้าปากแทนเพราะแสบจมูก



ฌาชวนผมไปทานข้าวที่ Parnell Village บอกว่ารู้จักร้านอาหารไทยรสชาติใช้ได้อยู่ร้านนึง ผมพยักหน้าเออออตามเขาไปแม้จะไม่รู้ว่า Parnell Village คืออะไรก็เถอะ เราออกเดินทางจากที่นี่ไปถึงก็เที่ยงครึ่งพอดี ผมไม่เคยมาบริเวณนี้แต่อาคารหลังเล็กๆ ที่มีทั้งอาคารโมเดิร์นและแบบโบราณแทรกอยู่เรียงรายทำให้รู้ว่าเป็นย่านเมืองเก่า



ฌาเริ่มอธิบายว่าที่นี่เป็นย่านชุมชนแรกๆ ที่ตะวันตกเข้ามาอยู่อาศัย ทำให้มีสถาปัตยกรรมเก่าหลงเหลืออยู่ ผมพยักหน้าฟัง ระหว่างเดินทางไปยังร้านอาหารที่ฌาว่า ผมเดินชมเมืองไป ฟังฌาไป รู้สึกง่วงนอนแปลกๆ แต่ก็ยังเดินต่อไป อากาศวันนี้หนาวจริงๆ นั่นแหละ



ระหว่างทางฌาถ่ายรูปบ้าง ทำให้ผมยกมือถือมาถ่ายตามแบบกากๆ แม้จะเลียนแบบมุมกล้องจากเขาแล้วแต่ก็ยังออกมาบิดๆ เบี้ยวๆ น่าเกลียดอยู่ดี จนมาถึงร้านอาหารที่เขาว่า ผมถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะในร้านเปิดฮีทเตอร์อุ่นๆ ทำให้ผมไม่ต้องทนหนาวอีก



ผมเอ่ยสั่งอาหารไปส่วนฌาก็พูดคุยกับเจ้าของร้านที่เป็นหญิงชาวไทยอย่างเป็นกันเอง คาดว่าคงรู้จักกันมาก่อนแล้ว ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นอาหารไทยผสมกับฝรั่ง ไม่ได้เป็นรสชาติต้นตำรับแต่เป็นรสชาติแบบที่ฝรั่งน่าจะชอบกิน ผมว่ามันก็อร่อยดี ถึงจะไม่ค่อยชินกับรสแบบนี้ก็ตามแต่ก็กินจนอิ่ม



เรานั่งพักที่ร้านอาหารนี้อีกสักพัก ก่อนจะขอตัวออกมา ฌาพาผมเดินไปยังร้านช็อกโกแลตบูติคของที่นี่ เขาบอกว่าเป็นร้านดังขึ้นชื่อเรื่องช็อกโกแลต ได้ยินอย่างนั้นผมก็ตาโตทันที ผมชอบกินช็อกโกแลต จึงมีแรงเดินจ้ำอย่างรวดเร็ว



หน้าร้านเป็นอาคารตะวันตกแบบเก่า มีตู้โทรศัพท์สีแดงที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดเด่นของร้าน ในร้านขายช็อกโกแลตมากมายจริงๆ และมีโต๊ะให้นั่งด้วย เราเลือกโต๊ะข้างในนั่งกันก่อนผมจะเดินไปสั่งช็อกโกแลตที่เคาท์เตอร์แทนฌา เพราะเขาไม่ได้อยากทานอะไรเป็นพิเศษ



ส่วนผมอยากกินไปหมด



ผมสั่งเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ กับอย่างอื่นอีกนิดหน่อย พร้อมโกโก้ร้อน ผมบังคับให้ฌากินด้วยกันเพราะกินคนเดียวไม่หมด ฌาก็ยอมช่วยผมกิน พอมีช็อกโกแล็ตตกลงท้อง ผมค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยจากอาการมึนๆ เมื่อครู่ เมื่อทานช็อกโกแลตจนหมด ผมเลยวิ่งไปดูแผงขายช็อกโกแลตอย่างตั้งใจ ว่าจะซื้อกลับไปฝากพี่ๆ แม่ และคนในบ้านอีก แต่ฌาขัดไว้ บอกค่อยมาซื้อตอนจะกลับ จะได้เก็บได้นานๆ ผมยอมเชื่อเขา เลยซื้อแค่ส่วนที่ตัวเองจะกินก็พอ



“ยังกับเด็ก” ฌาว่าเมื่อเห็นผมโกยช็อกโกแลตหลายถุงไปจ่ายเงิน



“อายุเท่ากันนั่นแหละ” ผมเถียงกลับและซื้ออมยิ้มราคาห้าสิบเซนให้ฌาด้วย



กะจะให้เขาหงุดหงิดที่ต้องมากินอะไรเด็กๆ แต่ฌารับไปอมเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ผมกะจะแกล้งเขาสักหน่อย นึกว่าเขาจะเบ้หน้าไม่รับอมยิ้มหน้าตาตลกๆ นี่เสียอีก ฌาก็เด็กเหมือนกันนั่นแหละ



เราเดินเล่นที่นี่จนบ่ายสามครึ่ง ก่อนขึ้นรถบัสกลับที่พัก ผมนั่งข้างฌาก่อนจะเริ่มงัวเงีย รู้สึกตาร้อนหน้าร้อนไปหมด จึงหลับตาฟุบนิ่งๆ กอดถุงช็อกโกแลตในมือไป



“ไนล์...ไนล์...”



“...”



“ถึงแล้ว...ไนล์”



ผมได้ยินเสียงของฌาไกลๆ จนเขาสะกิดนั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าหลับไป ผมลืมตาตื่นแล้วรีบลุกขึ้นตามฌาลงรถเมื่อรถบัสจอด หลังจากลงจากรถ ผมเดินโงนเงนแปลกๆ จนฌาเข้ามาถามว่าเป็นอะไร ผมคิดว่าผมแค่เหนื่อยจึงส่ายหน้ากลับไป



จนสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ฝ่ามือฌาแตะลงมาที่หน้าผากผม



“เป็นไข้แล้ว...”



“มือฌาเย็นต่างหาก”



“รีบกลับห้องเถอะ เดี๋ยวต้มโจ๊กให้”



“...”



ไม่ได้ว่าขัดขืนหรือปฏิเสธอะไรอีก ปล่อยให้เขาเดินจูงมือไปตามทางพร้อมกับความมึนหัวที่เริ่มคุกคามหนักมากขึ้น ขอบตาผมร้อนผ่าว แสบจมูกไปหมด จากการเดินตากลมหนาวๆ ทั้งวัน ผมคงเป็นไข้จริงๆ อย่างที่เขาว่านั่นแหละ



จนกระทั่งเรากลับถึงห้อง ฌาบอกให้ผมไปเปลี่ยนเสื้อนอน เช็ดหน้าเช็ดตา ส่วนเขาจะทำโจ๊กร้อนๆ ให้ ผมทำตามคำสั่งอย่างเชื่องช้า รู้สึกร่างกายหนักอึ้งไปหมดกว่าจะเปลี่ยนเสื้อได้ จนสุดท้ายก็มานอนแผ่อยู่บนเตียง ได้ยินเสียงฌาดุแว่วๆ บอกว่าผมใส่เสื้อบางไป แต่ผมไม่มีแรงขยับแล้ว



ผมรู้สึกว่ามีคนมาช้อนตัวผมขึ้น จับแขนผมยัดใส่ช่องอะไรสักอย่างสองข้าง ก่อนจะเอาคลุมหัว ผมถึงได้รู้ว่าฌากำลังพยายามสวมเสื้อให้ผมอีกชั้น พร้อมกับมีผ้าพันคออุ่นๆ พันรอบคอผมอีกรอบ ผมพยายามลืมตาแต่ภาพตรงหน้าก็เบลอเหลือเกินจึงหลับตาต่อไป



“ตื่นก่อน กินข้าวจะได้กินยา”



ฌาพยายามปลุกผม พร้อมกับจับให้ผมนั่งพิงหัวเตียง ไม่นานผมก็ได้กลิ่นโจ๊กหอมๆ ลอยมาจึงเปิดตามาดู



“กินเองได้มั้ย หรือจะให้ป้อน”



“กินเองได้” ผมบอกเขา เสียงแหบแห้ง หวัดเริ่มเล่นงานผมแล้ว



ผมตักโจ๊กมาเป่าฟู่ๆ ให้มันหายร้อนก่อนเอาเข้าปากทีละคำ ทำแบบนี้ไปจนหมดถ้วย ฌายกน้ำอุ่นมาให้ผมจิบ ทำให้ค่อยลื่นคอหน่อย แต่ก็รู้สึกแสบคออยู่ดี หลังจากทานยาเสร็จ ผมไอแค่กๆ เพื่อคลายความระคายคอเล็กน้อย แต่นั่นทำให้ฌามุ่นคิ้วหนักกว่าเดิม



“อยากดื่มโกโก้...” ผมบอกเขา อุตสาห์ซื้อผงโกโก้จากร้านช็อกโกแลตบูติคมาเพื่อชงกินวันนี้ทั้งที



ฌาหัวเราะหึ ก่อนลุกไป ผมได้ยินเสียงล้างจานแล้วเสียงกาต้มน้ำ ทำให้มีความหวังว่าจะได้ดื่มโกโก้ร้อนๆ จึงพยายามถ่างตารอฌากลับมา



เจ้าของห้องกลับมาพร้อมแก้วโกโก้จริงๆ ด้วย ในนั้นมีมาชเมลโล่อยู่ในแก้วสองก้อน ผมอมยิ้มไม่หยุดก่อนดื่มมันทีละนิด เสียดายนิดหน่อยที่ถ้าได้ดื่มตอนไม่ได้ป่วยน่าจะอร่อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวผมพักเยอะๆ ก็หายหวัดหายไข้แล้ว เพราะงั้นเลยไม่เป็นกังวล



ผมดื่มจนหมดแก้วฌาถึงค่อยลุกเอาแก้วไปล้างให้ รู้สึกตัวเองเป็นง่อย แต่ผมป่วยนี่ เพราะงั้นคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงฌาก็ไม่ยอมให้ผมล้างแก้วล้างจานอยู่แล้ว คิดเรื่องเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มง่วงเพราะฤทธิ์ยาขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ไถลงไปนอนแนวราบ กอดผ้าห่มอุ่นๆ แล้วหลับไป...











ผมสะดุ้งตื่นมาตอนกลางดึก ไฟในห้องยังสว่างอยู่ทำให้รู้ว่าฌายังไม่นอน แต่ผมเริ่มหนาวจึงได้แต่ขยับตัวยุกยิกอยู่ในผ้าห่ม ผมไม่อยากให้ฌามานอนด้วยกันเหมือนคืนก่อนๆ เพราะกลัวว่าเขาจะติดหวัด แต่อีกใจก็อยากได้ไออุ่นจากเขาเพื่อคลายหนาว เป็นความย้อนแย้งที่สรุปคำตอบให้ตัวเองไม่ได้



“หนาว...” สุดท้ายผมก็ได้แต่เอ่ยความในใจบอกฌาไป บอกเขาแค่หนาว ฌาจะทำยังไงก็แล้วแต่ ปล่อยให้เขาตัดสินใจไปคนเดียว



“ตื่นแล้วหรือ” เขาส่งเสียงขึ้น ผมขยับตัวยุกยิกอยู่ในผ้าห่มให้เป็นคำตอบ และตามคาด ฌาขึ้นมาบนเตียง แง้มผ้าห่มออกก่อนเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผม ผมกระพริบตาปริบๆ ก่อนช้อนมองเจ้าของห้อง



“หนาวเหรอ”



ผมพยักหน้า หดตัวมากกว่าเดิม หนาว แต่ในร่างกายกลับร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด อาการของคนเป็นไข้ทั่วไป แต่ผมกลับอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถ้าอยู่ที่ไทยคงมีคนมาดูแลผมรอบห้อง แต่ตอนนี้กลับมีเพียงฌา คนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงเดือน



“หิวน้ำไหม”



ผมส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้า เวลาป่วยใครๆ ก็ล้วนอ่อนแอทั้งนั้น ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่กับพ่อ คิดถึงพี่ๆ ผมห่อตัวมากกว่าเดิม อยากมีใครสักคนให้อ้อน คอยลูบหัวเบาๆ อยู่เป็นเพื่อนก่อนนอน



ฌาลุกออกไป ผมใจหวิวกว่าเดิม น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าไฟในห้องกลับมืด พร้อมกับปลายเตียงที่ยวบลงไปอีกครั้ง ผมถึงรู้ว่าฌาลุกไปปิดไฟ



“ร้องไห้ทำไม”



ผมส่ายหน้า นึกว่าเขารำคาญแล้ว



ฌาสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม ขยับมานอนข้างๆ ผมมากกว่าปกติ ผมเห็นอย่างนั้นเลยขยับตัวไปซุกเขาบ้าง ตัวฌาอุ่นและผมชอบไออุ่นจากตัวเขา มันทำให้สบายใจเหมือนฌาเป็นพี่ชายอีกคน



“เด็กน้อยจริงๆ”



ผมได้ยินฌาว่าอย่างนั้น จึงงึมงำตอบกลับไป “เด็กกว่าแค่ไม่กี่ปีเอง”



ฌาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สุดท้ายผมก็ผล็อยหลับไปเมื่อได้รับความอุ่นที่มากเพียงพอ รวมถึงสัมผัสจางๆ คอยลูบหัวผมกล่อมให้หลับสบาย...











รุ่งเช้ามาถึง ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ร่างกายไม่หนักเหมือนเมื่อคืนแล้ว ทว่าพอลองขยับตัวแขนขาถึงรู้ว่าผมนอนอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของฌา ผมตกใจเบิกตาโพลงแต่ไม่กล้าขยับตัวมากกว่านี้ กลัวฌาจะตื่น เลยค่อยๆ เงยหน้าไปมองเจ้าของอ้อมกอดแทน



ฌายังหลับตาอยู่ ขนตายาวเรียงเป็นแพสวย ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดทำให้รู้สึกเหมือนจ้องรูปปั้นอยู่อย่างนั้น ทว่ามีไรหนวดจางๆ ขึ้นที่คางและแรงกระเพื่อมที่หน้าอกขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ จึงทำให้ตระหนักได้ว่าคนๆ นี้ยังเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดา ผมเผลอจ้องเขานานไปหน่อยจนรู้สึกว่าฌาเริ่มมุ่นคิ้ว ก่อนเริ่มเปิดเปลือกตาช้าๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมาทางผมแวบนึงก่อนหันไปจ้องเพดาน กระพริบตาสองสามที เดาว่าฌาคงกำลังสะลึมสะลืออยู่



และไม่นาน เจ้าของเครื่องหน้าราวรูปปั้นก็ขยับตัว ชันตัวไปพิงหัวเตียง เอื้อมมือมาแตะหน้าผากผม ผมยังครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ถึงพลังหมดแบบเมื่อวานแล้ว



“ดีขึ้นรึยัง”



เพราะงั้นตอนเขาถามคำถามนี้ขึ้นมาผมถึงพยักหน้าตอบ



“เดี๋ยวไปทำข้าวเช้าให้”



“...” ผมอ้าปากตั้งใจจะพูดออกมาทว่าเสียงหาย จึงกระแอมสองสามครั้งก่อนเอ่ยบอกฌาเสียงแหบแห้ง



“ไม่เอาโจ๊ก”



ฌายกยิ้มอีกแล้ว “อยากกินอะไร”



“แค่กๆ อะไรอุ่นๆ...”



“ซุปข้าวโพดไหม”



ผมเงียบไปพักนึงก่อนพยักหน้า ฌาบอกว่าเป็นซุปข้าวโพดกระป๋อง ผมเคยเห็นยี่ห้อนี้ในตู้เย็นของฌา ยี่ห้อนี้รสชาติไม่เลว จึงพยักหน้ารับอีกครั้ง ฌาส่งเสียงอืมตอบก่อนลุกไปจากเตียง ส่วนผมก็รีบนอนทับไออุ่นของฌาทันที



“หึ เด็กน้อย”



“ไม่เด็กสักหน่อย” ผมเถียง



“เมื่อคืนบอกเด็กกว่าไม่กี่ปี”



“...”



ผมเงียบ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีเรื่องแบบนั้น ตอนนั้นผมต้องเบลอมากแน่ๆ เลยถึงได้เผลอหลุดปากออกไป ตอนเจอฌาครั้งแรก ผมชิงถามอายุฌาก่อน ก่อนจะบอกว่าตัวเองอายุเท่ากัน เพราะคิดว่าอายุเท่ากันน่าจะสนิทกันได้เร็วกว่า รวมถึงผมขี้เกียจเรียกเขาว่าพี่...



ความจริงคือฌาแก่กว่าผมสี่ปี ผมเพิ่งเรียนจบป.ตรี ส่วนฌากำลังเรียนป.โท ผมส่งสายตาล่อกแล่กให้เมื่อพูดอะไรไม่ออก คนตรงหน้ายกยิ้มเมื่อเห็นสภาพจนตรอกของผมอีกครั้ง



“ว่าไง ยังมีเรื่องอะไรที่โกหกพี่อีกไหม”



“...ไม่มีแล้ว”



ผมบอกเขา หลุบตาลงต่ำ เจ้าของห้องส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมาก่อนเอ่ย



“โกหก”






❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄





เอาน้องแกะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ

ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน มีความสุขมากๆ นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้น้า


หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-01-2018 18:43:30
ไนล์หนีออกจากบ้านมาหรือไง
แล้วน้องแกะจะโกหกอะไรพี่ฌาอีกนะ
คงไม่มีเรื่องร้าย หรือใหญ่โตนะน้องไนล์

ฌาดูขำน่ะ เหมือนเลี้ยงเด็ก ดูเอ็นดู

________

สวัสดีปีใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 01-01-2018 18:54:45
เอ็นดูเด็กเลี้ยงแกะคนนี้เหลือเกินนน 5555
ค่อยๆหลุดทีละนิดเนอะไนล์ ~ พี่ฌาคือดีมากกก /////
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 02-01-2018 01:22:03
เอ็นดู น้องไนล์น่ารักกก ทำไมเรามโนภาพน้องเขาเป็นตัวก้อนๆก็ไม่รู้ :-[
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 02-01-2018 02:08:03
ทำไมรู้สึกว่าฌาคือมหาป่าที่สวมหนังมนุษย์กำลังหลอกแกะนับกินยังไงไม่รู้แฮะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-01-2018 07:21:04
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 03-01-2018 06:42:02
เอ็นดูไนล์
อยากได้พี่ฌา :-[
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 2 |- 1.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 03-01-2018 14:08:07
ป่วยแล้วโป๊ะเหรอจ๊ะน้องแกะ 55555
น้องไนล์น่าร้ากกก คุณฌาเหมือนเลี้ยงเด็ก เอ็นดู
ตอนหน้าจะโกหกอะไรอีก รอชมมม
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 06-01-2018 16:37:12

Lies 3: Perfect Strangers





 วันนี้ฌาไม่ออกไปไหน เฝ้าไข้อยู่ในห้องเป็นเพื่อนผมทั้งวัน ส่วนผมแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังนอนเป็นผักเปื่อยๆ อยู่บนเตียง ผมอ่านหนังสือนวนิยายเล่มนั้นต่อก่อนจะเริ่มเบื่อ มองไปยังปลายเตียงเห็นฌากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา มีแล็ปท็อปวางอยู่บนตัก เหมือนกำลังพิมพ์อะไรบางอย่าง คงเป็นวิจัยป.โทของเขาเหมือนทุกที



ผมวางหนังสือของฌาไว้ข้างๆ ตัวก่อนลุกออกจากเตียงไปหาฌา อันที่จริงผมไปหยิบไอแพดตัวเองที่ชาร์จไว้ จะเอามาดูซีรี่ย์แก้เบื่อแทน ทว่าพอเห็นหน้าจอแล็ปท็อปของฌาฉายซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones แล้วจึงเปลี่ยนความคิด



“ฌาดูเกมออฟโทรนเหรอ”



“อืม ค้างไว้ตั้งแต่ซีซั่นสี่ ”



“เอามาดูบนเตียงมั้ย จะได้นอนดูสบายๆ”



“...”



“...ผมจะได้นอนดูด้วย” ผมบอกความจริง ซีรี่ย์ที่ผมดูมันจบแล้ว ผมขี้เกียจหาเรื่องใหม่มาดูเพราะผมเรื่องมาก กว่าจะเจอเรื่องที่ถูกจริตแต่ละเรื่องบางทีก็ปาไปเป็นวัน เลยคิดว่าดูเกมออฟโทรนอีกรอบก็น่าสนใจดีเหมือนกัน ผมเริ่มลืมตอนเก่าๆ ไปแล้วด้วย



ฌาหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบตกลง ผมยิ้มแฉ่งให้ หยิบไอแพดตัวเองมาเผื่อไว้ก่อนปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง ฌาตามมาทีหลังพร้อมกับแล็ปท็อปในมือ เราพิงหัวเตียงข้างกัน ผมรอให้ฌากดเล่นซีรี่ย์ต่อ ฌาถอดหูฟังที่เสียบอยู่ออกก่อน กดปุ่มเล่น และเราก็ได้นั่งดูมันไปด้วยกัน ฌาใจดีเหมือนพี่ชายผมเอามากๆ ทำให้ผมดีใจที่เขายอมตามใจผม



ฌาดูแบบไม่มีซับไทย แต่ผมไม่ได้มีสกิลขนาดนั้น สำเนียงบริติชในซีรี่ย์ทำให้ผมจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคำศัพท์ก็ไม่คุ้นหู ผมเคยชินกับสำเนียงอเมริกันมากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหามาก เพราะผมเคยดูมาก่อนแล้ว



ผมเหลือบมองฌาเป็นระยะๆ เพราะเริ่มจำได้แล้วว่าฉากนี้เป็นยังไง พอเห็นฌามุ่นคิ้วเครียดเลยมีความคิดอยากแกล้งเขาขึ้นมา เลยเอ่ยตัดกับเสียงในจอไปว่า



“เดี๋ยวเด็กคนนี้ตาย”



“...”



ฌาหันมาถลึงตาใส่ผม ส่วนผมหลุดขำพรืด รีบบอกล้อเล่นก่อนที่เขาจะบีบคอผมตายหรือไม่ก็ไล่ให้ผมไปนอนนอกห้อง



“เดี๋ยวเถอะ ถ้าดูแล้วก็อย่าสปอย”



“ไม่สปอยๆ เมื่อกี้ล้อเล่นจริงๆ” ผมว่าพร้อมกลั้นขำ ปล่อยให้เขาดูซีรี่ย์ต่อไป ส่วนตัวเองก็ดูบ้างไม่ดูบ้าง ผมเริ่มเปิดไอแพดมาเล่นเกมที่ค้างไว้ เบื่อๆ ก็หันไปดูซีรี่ย์กับฌา



พอฌารู้ว่าผมเด็กกว่าก็เปลี่ยนสรรพนามใช้เรียกตัวเองว่าพี่แทนผม ผมว่ามันทำให้ดูใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมเลยไม่ได้ร้องทักหรือแซวอะไร ผมมีพี่ชายอยู่ที่ไทยสองคน อายุห่างกับพี่คนกลางเจ็ดปี ห่างกับพี่คนโตสิบปี ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เรียกพวกเขาว่าพี่เลยสักครั้ง พวกพี่ๆ เองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ยังบอกว่าดีเสียอีก จะได้ดูใกล้ชิดกัน แต่ส่วนใหญ่สำหรับคนนอกครอบครัวแล้ว ผมก็เรียกคนที่แก่กว่าว่าพี่อยู่ดี คิดว่าคงไม่ทุกคนที่จะยอมรับเรื่องนี้ได้



ดังนั้น พอผมบอกฌาไปแล้วว่าต่อให้ผมเด็กกว่าแต่ผมจะเรียกเขาว่าฌาเหมือนเดิม ฌาไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่ได้ซีเรียส อยู่ที่นี่ก็เรียกชื่อทุกคนเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ได้ถือพี่ถือน้องแบบประเทศไทย และนั่นทำให้ผมพึงพอใจมาก



ตอนกลางวันฌาทำข้าวต้มปลาให้ผมกิน มันอร่อยเสียจนผมทานหมดหม้อ ทั้งยังมีโกโก้อุ่นๆ ที่ฌาชงให้ปิดท้ายอีกด้วย พอกินอิ่ม กินยาเสร็จผมก็เริ่มง่วง เรากลับมานอนขลุกอยู่บนเตียงด้วยกันเหมือนเมื่อเช้า แต่ผมผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้



 ผมหลับไปประมาณสองชั่วโมง ตื่นมาตอนบ่ายสามแล้วรู้สึกอืดท้องนิดหน่อยเพราะกินจนพุงกางเสร็จก็นอนทันที ครั้งนี้พอผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าดีขึ้นมากจนเกือบจะหายไข้แล้ว เหงื่อผมออกเต็มตัวจนเสื้อชื้น จึงตัดสินใจว่าจะอาบน้ำ เมื่อวานหลังจากกลับมาจาก Parnell village ผมก็ป่วยทันที ไม่ทันได้อาบน้ำเช็ดตัวก็สลบ หลับไปทั้งอย่างนั้น เลยกลายเป็นดองเค็มตัวเองมาเป็นวัน



แม้ว่าที่นี่จะอากาศดีไม่ร้อนอบอ้าวให้เหงื่อออกจนต้องอาบน้ำทุกเช้าเย็นเหมือนไทยก็ตาม ฌาบอกว่าคนที่นี่ไม่นิยมอาบน้ำบ่อย แต่ผมก็ชินกับการอาบน้ำทุกวันอยู่ดี ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้อาบน้ำตอนเช้า แต่จะอาบทุกเย็นแทน



วันนี้เหงื่อออกเต็มตัวจนรู้สึกเหนอะหนะ เลยว่าจะอาบน้ำเร็วกว่าปกติ ยังไงผมก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว หลังจากผมตื่นก็เจอฌาชงกาแฟอยู่ที่ครัว ผมเลยบอกเขาว่าจะอาบน้ำ ฌาพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำไป



ผมใช้เวลาในการอาบน้ำสักพัก พอได้ชำระล้างคราบเหงื่อไคลแล้วทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดก่อนนึกขึ้นได้ว่าผมลืมเอาชุดเข้ามาเปลี่ยน ถ้าเป็นปกติผมสวมชุดนอนตัวเดิมก็ได้ แต่ตัวนี้ชุ่มเหงื่อผมจนเหม็นไปหมดแล้ว ผมจึงแง้มประตูห้องน้ำออก หวังว่าจะรบกวนให้ฌาหยิบชุดใหม่มาให้



ทว่าพอผมเปิดออกไปได้นิดเดียวกลับสบตาคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง



“ชิท! นั่นไง ว่าแล้วเชียว นายซ่อนคู่นอนไว้จริงๆ ด้วย!”



“ไม่ใช่แล้ว หมอนั่นเป็นรูมเมท!”



“รูมเมท? รูมเมท!? อย่ามาทำให้ขำ นายไม่มีรูมเมทมาเป็นปีแล้วพวก”



“ก็เพิ่งมีนี่ไง”



“โถ่ ไม่ต้องอายหรอก จะมีเซ็กซ์เฟรนด์ฉันก็ไม่ได้ว่าเสียหน่อย ไม่ได้แคร์ด้วยถ้านายจะมีรสนิยมชอบผู้ชาย”



“กุสตัฟ ออกจากห้องฉันไปเลย”



“เฮ้ๆ ล้อเล่นหรอก โอเค รูมเมทก็ได้ แล้วนี่คือสาเหตุที่นายเบี้ยวนัดฉันวันนี้สินะ”



“ใช่”



ผมตกใจรีบงับประตูหนีทันทีที่เห็นหน้าคนแปลกหน้า แต่ยังได้ยินเสียงทั้งสองคนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษจึงแอบฟังอยู่หลังประตูเงียบๆ ตอนผมอาบน้ำประตูปิดสนิท เสียงน้ำดังกลบเสียงข้างนอกทำให้ไม่รู้ว่ามีคนเข้ามา ผมแอบฟังอีกสักพักจนความหนาวเริ่มเข้าซึมสู่ร่างกายทำให้รู้ตัวว่าตัวเองมีแค่พันขนหนูพันเอวอย่างเดียว จึงแอบแง้มประตูอีกครั้งเพื่อบอกฌา



“เอ่อ...ฌา ผมลืมเอาเสื้อเข้ามาด้วย...เอ่อ จริงๆ ใส่ตัวเก่าก่อนก็ได้”



ผมว่าจะขอความช่วยเหลือก่อนคิดได้ว่าฌาน่าจะยุ่งเพราะมีแขกอยู่ข้างนอก ทำให้รีบเสนอทางออกให้ตัวเอง จะได้ไม่รบกวนฌา



“รออยู่ในนั้นแหละเดี๋ยวไปเอาให้”



“ส่วนนาย ไปนั่งดีๆ”



ประโยคแรกฌาบอกกับเขา ส่วนประโยคภาษาอังกฤษคงบอกกับคนแปลกหน้าในห้อง



ผมรับเสื้อตัวใหม่จากฌามาใส่ก่อนออกจากห้องน้ำด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เอ่ยสวัสดีคนในห้องเสียงเบา คนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนฌาไว้เคราดกดำ ผิวขาวเหลือง เบ้าตาลึกดวงตาสองชั้น จมูกพุ่งเป็นสัน คิ้วหนา เซ็ตผมสีดำขึ้นเรียบร้อย ร่างกายดูบึกบึนใหญ่โต ดูไม่เหมือนคนที่นี่เลยสักนิด ก่อนที่ฌาจะแนะนำให้รู้จัก



“ไนล์นี่เพื่อนพี่ ชื่อกุสตัฟ เป็นคนโคลัมเบีย เรียนที่เดียวกัน”



“ส่วนนาย นี่รูมเมทคนใหม่ ชื่อไนล์ คนไทย”



“โอเค ยินดีทีได้รู้จัก” เจ้าของชื่อกุสตัฟหันมาหาผมก่อนยื่นมือมาให้จับ ผมตกใจที่จู่ๆ เขาก็เสียงดังขึ้นมา เลยมีท่าทีอึกอักก่อนยื่นมือไปจับมือเพื่อนใหม่



“รูมเมทนายฟังภาษาอังกฤษไม่ได้เหรอ”



“...อ่า..ก็...นะ”




ฌาทำท่าจะตอบเขาไปตามความจริง แต่พอเห็นผมส่ายหัวเลยบอกแบบกลางๆ แทน ผมไม่ได้อยากโกหกเขานะ แต่แค่ไม่อยากคุยกับใครก็เท่านั้นเอง



หลังจากนั้นผมก็ขอตัวเข้าห้องนอนไป ปล่อยให้กุสตัฟกับฌาอยู่ด้วยกันที่ห้องทานข้าว



ผมนั่งงงอยู่บนเตียงสักพักก่อนคิดว่าหาอะไรทำให้สงบจิตสงบใจดีกว่า ตอนแรกผมตกใจที่จู่ๆ ก็มีเพื่อนฌาอยู่ในห้อง แต่หลังจากหนีเข้ามาอยู่อีกห้องแล้วถึงได้เลิกเกร็ง นอนกลิ้งเล่นไอแพดอยู่บนเตียงเช่นเดิม จวบจนเวลาผ่านไปสักพักผมถึงเห็นฌาเปิดประตูห้องมา ก่อนเอ่ยถามผม



“ตอนเย็นกินพิซซ่าโดมิโน่มั้ย”



“...หือ”



“กินได้มั้ย ถ้ายังเจ็บคออยู่เดี๋ยวทำอย่างอื่นให้”



“กินได้ เอาหน้าฮาวาเอี้ยนนะ”



“อืม รอสักหกโมง เดี๋ยวกุสตัฟไปซื้อมาให้”



“ไม่สั่งในเนตเอาเหรอ”



“มันอยากออกไปซื้อมาให้ก็ปล่อยมันไปเถอะ”



ผมพยักหน้ารับ ตั้งแต่มาที่นี่ผมได้กินพิซซ่าโดมิโน่แค่ครั้งเดียว เลยคิดว่าฌาน่าจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ถึงไม่ค่อยซื้อมาให้กิน แต่ครั้งนี้คงเพราะมีเพื่อนมาด้วยถึงได้ตกลงกันเช่นนั้น ผมพยายามไม่เรื่องมาก แม้จะแอบอยากกินซุปร้อนๆ ที่ฌาทำมากกว่านิดหน่อย



“Hey Charles”



“อะไรอีกล่ะ”



“กุญแจรถอยู่ไหนนะ”



“บอกไปแล้วไงว่าอยู่ในตะกร้าหน้าห้อง”



“ในนี้มันมีแต่กุญแจอะไรไม่รู้ ฉันจะรู้มั้ยเล่าอันไหนกุญแจรถนาย”



“อันสีน้ำเงิน!”



“Ok, I found it”



จบเสียงโหวกเหวกข้างนอกผมเห็นฌาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนหันมาจ้องผมที่กะพริบตาปริบๆ



“ดื่มโกโก้มั้ย”



“ฌามีรถเหรอ”



“...”



“ไหนว่าไม่มีเงินไง”



“บอกตอนไหน”



“ก็หารูมเมทไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าห้องเหรอ”



“เคยบอกเหรอ”



“...ไม่เคย”



“หึ มีรถมอเตอร์ไซค์ ซื้อมือสองไว้ตั้งแต่เข้ามหาลัย”



“ไม่เห็นรู้เลย”



“จอดไว้อยู่หน้าทางเข้านั่นไง วันไหนนายไม่ได้ไปด้วยก็เอามาใช้”



“...แล้วทำไมต้องหารูมเมท...”



“มีคนหารค่าห้องก็ดีกว่าจ่ายเต็มราคาไม่ใช่หรือไง”



“...”



“ว่าไง สงสัยตรงไหนอีก”



ผมยู่หน้า ไม่ตอบเขาแล้วเพราะเถียงไม่ได้ เดิมคิดว่าฌาไม่ได้มีเงินมากมายอะไรถึงได้ยอมรับข้อเสนอของผม แถมยังทำงานพาร์ทไทม์อีก แต่ปรากฏว่าเป็นเพราะฌาแค่หาทางประหยัดก็เท่านั้น อันที่จริงผมน่าจะรู้อยู่แล้ว คนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์หรูๆ คนเดียวได้ตั้งนานเนี่ยไม่น่าจะไม่มีเงินหรอก



แค่ไม่คิดว่าจะมีรถใช้ด้วย



“ทำไมไม่ให้ผมซ้อนท้ายไปอ่ะ”



“มีหมวกนิรภัยแค่ใบเดียว อีกอย่าง...อยากให้รู้ว่าต้องขึ้นรถบัสยังไง เวลาหลงจะได้กลับถูก”



“...”



ผมเถียงฌาไม่ได้อีกแล้ว เลยเปลี่ยนเรื่องแทน



“ยังมีอีก”



“อะไร” ฌาทำหน้าเหนื่อยหน่าย เหมือนต้องการจะบอกว่าแค่เข้ามาถามว่าจะกินพิซซ่าไหมแค่นั้น ทำไมต้องมาโดนผมต้อนถามอะไรแบบนี้ด้วย อย่างไรอย่างนั้น



“ทำไมเพื่อนเรียกชาร์ล”



เขาถอนหายใจ เงียบไปสักพักก่อนเอ่ย “...ในคลาสเคยมีคนชื่อชาช่า เพื่อนเลยเรียกพี่ว่าชาร์ลจะได้ไม่ซ้ำ”



“อ้อ”



ผมว่าแค่นั้นก่อนเงียบ จ้องหน้าฌาแบบไม่มีอะไรให้เถียงแล้วถึงมุดหน้าหนีไปเล่นเกมต่อ ฌาก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก เพียงแค่เข้ามาในห้องก่อนหยิบแล็ปท็อปที่โซฟาเบดมาเปิด แต่ผมเห็นนะว่าเขาแอบลอบยิ้มอ่ะ



ตอนนี้เกือบห้าโมง ฌาบอกว่ากว่าพิซซ่าจะมาก็หกโมง ผมจึงได้แต่นั่งเงียบๆ รอข้าวเย็น ระหว่างนั้นก็เหลือบมองฌาเป็นระยะ



“มองอะไร”



ผมสะดุ้งเมื่อถูกจับได้ สุดท้ายก็ยอมพูดกับเขา



“ฌามีเพื่อนหลายประเทศเหรอ”



“อืม โอ๊คแลนด์เป็นเมืองการศึกษา มีแต่ชาวต่างชาติเต็มไปหมดนายก็เห็น”



“อื้ม”



“ในคลาสที่เคยเรียนปรับภาษามีกุสตัฟที่เป็นคนโคลัมเบีย มีคนเกาหลี ชิลี อาร์เจนติน่า บราซิล อินเดีย เวียดนาม อินโดเนเซีย”



“โห เกือบทุกทวีปแล้วนั่นน่ะ” ผมเอ่ยบอกเขาเมื่อรับรู้จำนวนชนชาติในห้องเรียนหนึ่ง



“ใช่ หลากหลายมาก แต่ก็สนุกดี แต่ในมหาลัยส่วนใหญ่ก็เป็นคนกีวี่กัน” คนกีวี่ที่ฌาว่าหมายถึงคนที่นี่ ชาวนิวซีแลนด์เรียกแทนตัวเองว่าเป็นคนกีวี่ เขาเคยเล่าให้ผมฟังแล้ว



“แล้วสนิทกับกุสตัฟที่สุดเหรอ”



“อืม เคยเจอหมอนั่นที่เรียนพิเศษเสริมภาษาด้วยกัน มาเรียนต่อโทเหมือนกันแถมอยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกันด้วย”



“ผมไม่เห็นเคยเจอ”



“ก็เล่นเอาแต่นอนอยู่ในห้อง จะไปเจอใครตอนไหนล่ะ”



ผมเงียบ จริงอย่างที่ฌาว่าอีกแล้ว ผมไม่เถียงอะไรแล้วก็ได้



ไม่นานกุสตัฟก็มาพร้อมพิซซ่าห้าถาดและโค้กอีกสองขวดในเวลาหกโมงเศษ ฌาบอกว่าที่กุสตัฟยอมออกไปซื้อพิซซ่าเข้ามาให้เพราะจะออกไปซื้อของข้างนอกด้วย เลยกลับมาช้าเล็กน้อย ผมไม่แปลกใจอะไรที่เขาขนถาดพิซซ่ามาเยอะแยะมากมาย เพราะปกติคนที่นี่กินกันคนละสองถาด ส่วนของผมกินได้แค่ถาดเดียวก็อิ่มแล้ว เราตั้งวงกินพิซซ่ากันที่ห้องครัว แต่เพราะชุดเก้าอี้กับโต๊ะทานข้าวบรรจุได้แค่สองคน และเนื้อที่แคบ เราเลยนั่งกินบนพื้นแทน



“แล้ว...ไปเจอรูมเมทคนนี้ได้ยังไง” เมื่อเราเริ่มกินกันได้สักพัก เพื่อนใหม่ก็เริ่มพูดขึ้น



“เก็บมา”



“ฟัก เอาความจริง”



“นี่ก็ความจริง”



“...”



“ฉันเจอเขาเดินหลงทางเลยชวนมาพักด้วย แล้วพวกเราค่อยทำสัญญาตกลงกัน แค่นั้น”



“...”



คราวนี้กุสตัฟไม่ได้ตอบอะไร แต่ถลึงตาใส่ฌาอย่างไม่คิดจะเชื่อ แต่เชื่อเถอะ นั่นคือเรื่องจริง... เพียงแต่ผมที่ทำเป็นคนฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเลยได้แต่นั่งเงียบเป็นผู้ฟังแทน



“อย่ามาทำให้ขำหน่อยเลย มีใครที่ไหนเขารับคนแปลกหน้ามาเป็นรูมเมทง่ายๆ แบบนี้บ้าง เดี๋ยวฉันต้องเค้นความจริงจากนายแน่”



“เอาเถอะ”



“แล้ว...เขามาทำอะไรล่ะ รูมเมทนาย เขาชื่ออะไรนะ นีล?”



“ไนล์ ไม่รู้สิ น่าจะมาพักผ่อน”



“เฮ้ นายไม่รู้เรื่องคนอาศัยร่วมห้องเดียวกันเรอะ”



“ฉันรู้เท่าที่ฉันควรรู้ ทำไมนายไม่หุบปากแล้วกินดีๆ”



“ช่างสิ ฉันอยากคุยกับนาย เขามาพักผ่อนแล้วได้ไปเที่ยวที่ไหนรึยัง นายได้แนะนำร้านอาหารโคลัมเบียของฉันไปบ้างมั้ย ลองให้เขามาดูสิรับรองว่าเขาจะต้องชอบแน่ หรือบางทีนายก็ควรพาเขามาที่ร้านฉันนะ”



“ไว้ค่อยถามว่าเขาอยากกินมั้ย”



“แล้วเขาได้เที่ยวรอบเมืองหรือยัง ฉันแนะนำตลาดมือสองช่วงเช้าที่ Takapuna beach นะ”



“ยัง เขาเอาแต่นอนอยู่ในห้อง แต่เมื่อวานเพิ่งพาไป Mount Eden”



“เฮ้ นายว่าอะไรนะ Mount Eden? บัดซบ นั่นโคตรจะเชยเลยแถมอยู่ใกล้ที่นี่จะตายชัก ทำไมไม่พาเขาไปที่ไกลๆ ล่ะ Devonport? Hobbiton? Mission bay? Shakespear park? หรือไป Domain ก็ยังดี โอ้ให้ตาย เขามาตั้งไกลแต่นายดันพาไปแค่ Mount Eden เนี่ยนะ”



“ทำไม? เริ่มต้นได้ดีออก อันที่จริงไป Parnell Village ด้วย”



“นั่นก็ไม่ได้ต่างกันเลยพวก พาเขาไปเปิดหูเปิดตาที่ไกลๆ ดูบ้างสิ อย่าบอกนะว่านายพาไปแค่นี้กับแถว Queen Street”



“เสียใจที่ต้องบอกว่าใช่ ฉันไม่ใช่ไกด์นำเที่ยวของเขาเสียหน่อย ฉันแค่เป็นรูมเมทของเขาก็เท่านั้น”



“โถ่ ชาร์ล ทำไมนายไม่มีน้ำใจให้เพื่อนร่วมชาติบ้างเลยล่ะ ไม่เอาน่า”



“...ถ้านายหุบปากฉันสัญญาว่าจะพาเขาไปตามที่นายบอก โอเคมั้ย”



“ให้มันได้อย่างนี้”



ผมฟังพวกเขาคุยกันแล้วแอบขำ อยากจะหัวเราะออกมาตรงๆ หรือแสดงความสนใจชื่อสถานที่ที่ไม่คุ้นหูบ้าง เสียแต่ผมต้องทำเป็นฟังไม่ออก นั่งกินพิซซ่างกๆ อยู่คนเดียวพร้อมกับซดน้ำโค้กเงียบๆ



ก่อนลืมไปว่าเจ็บคอ...



ให้ตายเถอะ ผมจะหายหวัดใช่ไหม...







                                                                           
❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



ให้ทายว่าคนพี่ขี้โกหกมั้ย...


หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 06-01-2018 16:49:11
เราว่าต่างคนก็ต่างโกหก ไม่สิ เรียกว่าปกปิดความจริงดีกว่า 555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 06-01-2018 17:16:22
เด็กเลี้ยงแกะไม่น่ามีแค่คนเดียวแล้วสิ 55555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 06-01-2018 17:33:31
คือผมไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องพวกโลเคชั่นต่างประเทศ
เหตุผลคือ (กลัวไม่อิน) ฮ่าๆ
แต่พอลองอ่านตอนแรกจบ แบบเฮ้ย! อ่านแล้วรู้สึกสนุกดีแฮะ
เหมือนผู้อ่านก็ได้เล่นเกมจับผิดคนด้วย
ลุ้นด้วยว่าแต่ละตอนใครจะโกหกเรื่องไรอีก
คนแต่งเขียนได้น่าติดตามด้วย

รออ่านตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 06-01-2018 17:38:30
 :m22: :m22:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 06-01-2018 18:23:09
อื้อหือ คนพี่ต้องเจ้าเล่ห์มากๆนะคะ ดูท่าแล้ว
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2018 20:20:35
สนุกดี
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 06-01-2018 21:02:31
โถ่ โกหกพอกันทั้งคู่ 55555555555555555555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-01-2018 00:13:41
ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้สักที ชอบฌาคิดว่าคนพี่ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆถึงชวนน้องมาอยู่ด้วยไม่น่าจะแค่บังเอิญหรอก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 07-01-2018 01:44:53
น่าติดตามมากค่ะ คิดว่าคงได้ติดบ่วงคุณนักเขียนคนนี้อีกแน่ๆค่ะ ฮือออ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-01-2018 01:49:59
สนุกจัง เหมือนดูรายการสายลับจับแกะ
คนสองคนมาจับโกหกกัน อยากรู้ว่าโกหกอะไรกัรอีกน้ออออ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-01-2018 09:02:16
คนพี่โกหกอะไรอ่ะ น้องจะจับได้บ้างมั้ย 5555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-01-2018 10:49:23
คนพี่ไม่โกหกแค่พูดไม่หมด 5555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 3 |- 6.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 10-01-2018 01:30:58
ใครจะโกหกเก่งกว่ากันนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 11-01-2018 17:33:04

Lies 4: Somebody I used to know





วันนี้เป็นวันอังคาร อากาศอุ่นกว่าปกติ แสงแดดสว่างจ้าท้องฟ้าโปร่งโล่ง มีเมฆเล็กน้อย เหมือนว่าข้างนอกน่าจะอากาศดีไม่เบา ผมนั่งซุกอยู่ในผ้านวมบนเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จับจ้องแสงอาทิตย์ที่อาบแผ่นกระจกด้านนอก ดูสดใสแต่เงียบสงบ



หลังจากกุสตัฟกลับห้องไป ฌาก็ถามผมว่าอยากไปที่ไหนเพราะเขารู้ว่าผมฟังตอนที่พวกเขาคุยกันรู้เรื่อง ที่ๆ กุสตัฟเอ่ยขึ้นมาผมไม่รู้จักเลยสักที่และไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นยังไง จึงบอกฌาไปว่าอยากไปที่เงียบๆ ไม่มีคน ฌาเลยบอกว่างั้นก็อยู่ในห้องไป ผมคิดว่ามันก็จริง เมื่อวานเลยเลือกจะอยู่ในห้องตามความต้องการ ส่วนในวันนี้ผมไม่มีแพลน ฌาก็ออกไปมหาลัย



แต่ไม่คิดว่ามันจะเหงาแปลกๆ



ผมเพิ่งทานข้าวกลางวันที่จริงๆ แล้วฌาเตรียมให้เป็นข้าวเช้าเสร็จตอนสิบเอ็ดโมง ก่อนจะมานั่งเหม่ออยู่บนเตียงอย่างนี้ ผมหายไข้แล้ว เหลือน้ำมูกอีกนิดหน่อยแต่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก ผมนั่งจ้องหน้าต่างในห้องพร้อมจิบโกโก้อุ่นๆ บนเตียง พลางคิดว่าโกโก้ที่ฌาชงมันอร่อยกว่าที่ผมชงหลายเท่า วันหลังต้องถามสูตรจากเขา



ผมไม่มีอะไรทำ ทุกอย่างเริ่มน่าเบื่อไปหมด จากการที่ฌาพาผมไปเที่ยวเมื่อวันก่อนทำให้ผมเริ่มอยากรู้จักประเทศนี้มากขึ้น ไหนๆ วันนี้ก็อากาศดีขนาดนี้



สุดท้าย ผมตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปข้างนอก...



ผมเช็คทางไป Domain จากที่ได้ยินกุสตัฟพูดถึงสถานที่เที่ยวในวันนั้น ผมจำชื่อที่เขาพล่ามออกมาได้ไม่หมดหรอก แต่จำชื่อนี้ได้เพราะสั้นที่สุด...



เมื่อลองเปิดหาสถานที่นี้ดูแล้วก็น่าสนใจไม่น้อย Domain ที่ว่านั้นหมายถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สงครามโลกของที่นี่ ผมไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์หรอก แต่พื้นที่รอบๆ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยผืนหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้หลากหลายชนิด รวมถึงมี Winter gardens ที่เป็นสวนกระจกทำให้ผมสนใจที่จะไปแวะดูสักครั้ง



เมื่อบันทึกสายรถในอินเตอร์เน็ตลงมือถือเสร็จสรรพ เพราะมือถือผมใช้เนตระหว่างทางไม่ได้ ผมก็ออกเดินทาง รอรถบัสมาให้ตรงกับสายที่ต้องการก่อนก้าวขึ้นรถ ถามคนขับอีกนิดเพื่อความแน่ใจ ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเป็นการออกไปเที่ยวคนเดียวเป็นครั้งแรก ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ผมเดินเข้าประตูทางเข้าที่มีป้ายบอกขนาดใหญ่ ตื่นเต้นกับสถาปัตยกรรมที่ไม่มีในไทย



ผมเดินเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ก็พบต้นไม้รายล้อมมากมาย เป็นสวนเล็กใหญ่กระจายเป็นที่ๆ ผืนหญ้าสีเขียวขจี ต้นไม้บางต้นออกดองสีเหลืองสดใส เป็นเพราะอากาศดี มีแดดอ่อนๆ กับลมเย็นๆ บรรยากาศก็เหมาะกับการผ่อนคลาย ทำให้มีคนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัว มีคนมาวิ่งออกกำลังกายอยู่ไม่น้อยเลยด้วย



ผมไล่เดินไปตามทาง แวะถ่ายรูปต้นไม้บ้าง แม้จะไม่รู้จักสายพันธุ์มันก็ตาม บางต้นมีกิ่งหงิกงอแปลกตา บางต้นสูงใหญ่เหมือนอยู่มานานกว่าร้อยปี มีสระน้ำเล็กๆ และมีเป็ดหลายตัวว่ายน้ำป๋อมแป๋มอยู่ในนั้น ผมสามารถนั่งจ้องพวกมันได้เป็นชั่วโมงเลย



ถึงแม้ที่นี่จะคนเยอะ ไม่ค่อยเงียบ มีเสียงเด็กโหวกเหวก เสียงคนคุยกัน เสียงนกเสียงเป็ดตีกันไป แต่ผมกลับรู้สึกสงบไม่น้อย



บางทีคนเราก็ต้องการธรรมชาติจริงๆ



ผมนั่งมองสระน้ำเล็กๆ นี่ได้ทั้งวันก็จริง แต่เพราะยังอยากดูสวนกระจกก่อนจึงรีบลุกเดินไปตามป้ายบอกทาง เพราะกลัวว่ามันจะปิดก่อนผมไปถึง ถัดจากสระน้ำเป็นสนามหญ้าโล่งกว้างเป็นเนินสลับกับที่ราบ ราวกับมีสนามฟุตบอลสักสิบที่อยู่ในนี้ กว้างจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่บนยอดเนินมีสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ผมเดาว่าตรงนั้นคงเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ผมเลือกเลี้ยวไปอีกทาง เพื่อไปดูเรือนกระจกตามที่ตั้งใจก่อน



ยังดีที่ผมมาทันเวลา ตอนนี้บ่ายสองครึ่งแล้วแต่เรือนกระจกปิดตอนสี่โมงครึ่ง ผมมีเวลาเดินชมราวๆ สองชั่วโมง ซึ่งก็เพียงพอแล้ว



ดอกไม้สายพันธุ์ต่างๆ ถูกจัดขึ้นในนี้ ไม่ว่าจะเป็นพืชเขตร้อนหรือพันธุ์เฟิร์นต่างๆ ผมค่อนข้างชอบห้องกระจกเพราะมันอุ่น แต่อยู่นานๆ ก็ร้อน ผมไม่ได้รีบไปไหนจึงค่อยๆ เดินดูดอกไม้แต่ละโซนช้าๆ ก่อนจะครบหมดทุกที่แล้วจึงออกไปยังพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเนิน



ตัวอาคารใหญ่มหึมามาก เสาดอริคตรงทางเข้าสูงและใหญ่ ทำเอาเหมือนคนที่เข้ามาเป็นมดตัวเล็กๆ ไปเลย ผมไม่ได้เข้าไปดูข้างในพิพิธภัณฑ์ เพราะต้องจ่ายเงินค่าเข้า ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน ปัญหาคือผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แถมคนก็เยอะ วุ่นวายกว่าส่วนอื่นๆ จึงทำเพียงแค่เดินสอดส่องเล็กน้อยเท่านั้นก่อนออกมา



พร้อมคิดว่าถ้ามีฌามาด้วยก็คงจะดี ผมจะได้ขอให้เขาถ่ายรูปให้สักรูปเป็นที่ระลึก ผมไม่กล้าขอคนอื่นถ่ายให้เท่าไหร่ แถมเซลฟี่ตัวเองหน้าผมก็บังไปครึ่งรูปจนแทบมองไม่เห็นว่าผมมาที่ไหน



เริ่มเย็นแล้ว ลมหนาวเริ่มพัดมาทำเอาผมสั่น คิดว่าคงได้เวลากลับห้องแล้วจึงเดินกลับตามทางเดิม แม้ว่าใจจริงผมอยากจะลองเดินสำรวจส่วนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน แต่ผมกลัวหลงตายอยู่ที่นี่ สถานที่กว้างขวางขนาดนี้ผมจำทางไม่ได้แน่ๆ ถ้าลองเดินมั่วดู



ผมเดินตามทางเดิมมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เดินมาจนถึงทางเข้าที่มาตอนแรกพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มมืด ที่นี่มืดไวเพราะเข้าฤดูหนาวและผมควรรีบกลับได้แล้ว ผมตั้งใจจะเดินไปรอรถบัสที่ป้าย ทว่ากลับรู้สึกคุ้นตากับผู้ชายเอเชียคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มยืนรอรถบัสอย่างน่าขนลุก



จนกระทั่งเขาหันมาสบตาพร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อผม



ผมเบิกตาโต อ้าปากค้าง ขนในตัวลุกชัน ทั้งร่างเกร็งไปหมด สมองสั่งการให้ก้าวถอยหลัง วิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผมยืนนิ่ง ค้าง ปล่อยให้เขาเดินมาหาผมง่ายๆ



“ว่าไง...ไม่เจอตั้งนานเลยนะ” มันเอื้อมแขนมาโอบรอบไหล่ผม เอ่ยทักทายเป็นภาษาไทยราวกับคนสนิท แนบเนียนจนคนที่เดินผ่านไม่สังเกตว่าผมหวาดกลัวแค่ไหน



รถบัสสายที่ผมต้องการมาถึงแล้ว แต่คนข้างตัวไม่ยอมให้ผมไป เขาเอ่ยอะไรสักอย่างกับคนอื่นที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่ม ก่อนรถบัสจะเคลื่อนตัวออกไป ทิ้งไว้แค่ผมกับเขาที่ป้ายรอรถ พร้อมกับอากาศหนาวที่ไร้แสงอาทิตย์อีกครา



สิ่งที่ผมกลัวที่สุดไม่ใช่การไปไหนมาไหนคนเดียว แต่เป็นเพราะกลัวการได้เจอกับ ‘เพื่อน’ เก่าคนนี้อีกต่างหาก การไม่ยอมออกจากห้องไม่ใช่ว่าผมกลัวตัวเองจะหลง ผมใช้ภาษาได้ถ้าหลงทางขึ้นมาก็แค่ถามคนแถวนั้น...



คนข้างตัวผมตอนนี้หรือซีนคือเพื่อนที่ผมมาพักด้วยในอาทิตย์แรก ก่อนจะหนีออกมาเมื่อพบว่ามันไม่ได้บริสุทธิ์ใจกับผม



และใช่ ผมแอบหนีมา...ไม่ได้ถูกไล่ออกมาอย่างที่เคยบอกไว้



เวลาล่วงเลยผ่านไปนานมากพอจนผมวางใจ คิดว่าคงไม่ได้เจอกับมันอีก เพราะโอ๊คแลนด์ก็ไม่ใช่เมืองเล็กๆ โอกาสที่ผมจะได้เจอกับเพื่อนคนนี้คงไม่ได้มีมากมาย



ทว่าวันนี้กลับบังเอิญเจอ ความบังเอิญที่ผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้น



ไม่น่าออกจากห้องมาจริงๆ ด้วย...







หลังจากรถบัสจากไปสักพัก เพื่อนผมไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงกดมือถือส่วนแขนอีกข้างก็โอบไหล่ผมไว้ ล็อกแน่นราวกับต้องการกันไม่ให้ผมวิ่งหนี ก่อนจะค่อยๆ พาผมเดินไปยังทิศทางที่ผมไม่รู้จัก



“ไหนๆ ก็ไม่ได้เจอกันนาน ไปนั่งดื่มกันมั้ยล่ะ”



“...”



“ไม่ตอบอะไรหน่อยล่ะ”



“ไม่ไป...”



“เสียใจนะ นายต้องไป”



“...”



“เพราะนายหายไปเลยยังไม่ได้พาไปเที่ยวที่ไหนเลย”



ไม่ไป ไม่อยากไป...ผมร้องท้วงอยู่ในใจ สองเท้าพยายามฝืนตัวไม่ยอมเดินไปตามทางที่เขาบังคับ แต่ผมฝืนได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายเขาก็แรงเยอะกว่า บังคับให้ผมเดินไปตามที่เขาต้องการได้อยู่ดี



“โถ หนาวเหรอ ไม่แปลกหรอก ก็นายเล่นทิ้งเสื้อผ้าไว้ในห้องฉันตั้งเยอะ”



“...”



“เดี๋ยวพาไปที่สนุกๆ นะ ตอบแทนที่ได้เจอกันไง”



“ปล่อย”



ผมร้อง บอกเขาเสียงสั่น ทว่ามันไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด โอบไหล่บังคับให้ผมเดินไปเรื่อยๆ พร้อมคุยอะไรไร้สาระอยู่คนเดียว เพราะผมไม่สนใจฟัง แค่เสียงมันผมยังรังเกียจเลย



กระเป๋ากางเกงผมสั่นครืด คงมีคนโทรมาและคงเป็นใครไม่ได้นอกจากฌา ผมสันนิษฐานว่าเขาคงถึงห้องแล้วไม่เจอผมในห้องล่ะมั้งถึงได้โทรตาม ผมอยากควักโทรศัพท์มาตอบฌาแทบตาย แต่คนข้างๆ ราวกับรับรู้ว่ามีคนติดต่อมาหาผม ถึงได้ล้วงเอามือถือของผมไปก่อนกดตัดสาย



“มาเที่ยวสองคนก็อย่าให้ใครมาขัดเลยเนอะ” มันว่าเองเออเอง พร้อมนำโทรศัพท์ผมเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเอง ผมร้องขอมือถือคืน เสียแต่โดนปฏิเสธหนัก มันแสยะยิ้มออกมา ทำเอาผมสะอิดสะเอียน



ขยะแขยง ขยะแขยง ขยะแขยง



นอกเหนือความรู้สึกนี้ ผมกลัว กลัวว่าเหตุการณ์ที่ผมหนีมันออกมาจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง และในครั้งนี้ผมคงหนีออกมาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนคราวที่แล้วแน่ๆ



ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียแต่ฟ้ามืดแล้ว และขาผมก็กำลังจะแข็ง ผมเดินขืนตัวแต่ก็ช่วยอะไรเลยเมื่อแรงมันมากกว่าผม ลากผมให้ไปตามทางที่มันต้องการได้ง่ายๆ เราเดินมาราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ แต่อย่างน้อยผมก็วางใจเมื่อเส้นทางที่มันพาผมเดินมานั้นมีผู้คนเดินสวนไปมา ไม่ได้เปลี่ยวร้างอย่างที่กลัว



จนกระทั่งมาถึงท่าเรือที่ผมคุ้นเคย ถ้าจากตรงนี้ ผมจำทางไปขึ้นรถกลับที่พักได้ เสียแต่มันคงไม่ยอมให้ผมทำตามใจ เราเดินเลียบท่าเรือมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่บาร์แห่งหนึ่งอยู่ติดกับทะเล ขึ้นป้ายชื่อว่า PROVADOL



มันให้ผมแสดงพาสปอร์ตตรงทางเข้าผมราวกับรู้ว่าผมพกมา เพราะวันนี้ตั้งใจออกมาเที่ยวและไม่รู้ว่าต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อแสดงตนตอนไหนบ้าง ผมจึงพกมาด้วย และเหมือนเป็นความคิดที่ผิดพลาด เมื่อที่ๆ ผมไปเที่ยวไม่ได้ใช้พาสปอร์ตเลย แต่กลับต้องมาให้ไอ้หมอนี่นำไปใช้เพื่อเข้าบาร์ที่ผมไม่อยากเข้า



ใจผมสั่นกลัว หนีไม่ได้ ต่อต้านไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ อะไรกับตัวเองอีกรึเปล่า ผมกลัวแทบจะร้องไห้ออกออกมาแล้ว



มันพาผมมานั่งข้างใน สั่งเครื่องดื่มสองสามอย่างมาให้ผม ผมส่ายหน้ารัว ไม่อยากดื่ม



คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นก่อนจ่อเบียร์ขวดนึงมาที่ปากผม ผมส่ายหน้าอีกรอบ มันเอ่ยเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงและเสียงจ๊อกแจ๊กของคนในร้าน



“จะดื่มเอง”



“หรือจะให้กรอกปาก”



ผมจึงยกขวดเบียร์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนคนเชี่ยอย่างมันยกยิ้ม เอ่ยบอกให้ดื่มเครื่องดื่มตรงหน้าให้หมด จากที่คิดไว้ว่าจะค่อยๆ จิบเบียร์ขวดนี้ให้หมดเพราะกลัวมันสั่งอย่างอื่นมาให้ กลายเป็นว่าเครื่องดื่มทั้งหมดที่มันสั่งมาคือต้องการให้ผมดื่มคนเดียว



ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร เพียงแต่ไม่กล้าขัดขืน วางแผนในหัวว่ารอให้ซีนไปเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็ขอไปเข้าห้องน้ำแล้วค่อยหาทางหนีตอนนั้น



ทว่าทุกอย่างกลับทำแผนการผมพังทลาย เมื่อต่อมาไม่นานพวกเพื่อนๆ มันที่จากกันที่ป้ายรถบัสคราวนั้นกลับมาอยู่เต็มร้าน ในกลุ่มมีทั้งชาวไทยชาวต่างชาติรวมกันราวๆ หกคน ซีนเอ่ยแนะนำผมให้รู้จักก่อนขอเงินสดจากผมไปหลายดอลลาร์ เพื่อไปซื้อเครื่องดื่มแจกจ่ายเพื่อนๆ ที่มาใหม่



ครานี้ผมจึงรู้แล้วว่ามันพาผมมาที่นี่ทำไม คงกะให้ผมเป็นคนออกเงินเลี้ยงค่าเครื่องดื่มจนหมดตัว เอาเถอะ ผมไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าการจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มพวกนี้ให้แล้วมันจะยอมปล่อยผมไปผมยอมจ่ายก็ได้



เมื่อได้เครื่องดื่มกันครบทุกคนแล้ว จึงพากันชนแก้วไม่ต่างจากกลุ่มคนที่มาสังสรรค์ทั่วไป



ผมดื่มเครื่องดื่มสามขวดตรงหน้าของตัวเองจนหมด มึนอยู่ไม่น้อย ไม่นานก็มีขวดใหม่มาจ่อหน้าผมจากเพื่อนเลวคนเดิม



“เครื่องดื่มนายฉันเลี้ยง แต่นายต้องเลี้ยงพวกเพื่อนๆ ฉัน โอเคมั้ย”



ผมไม่ส่ายหน้าหรือตอบรับ ทำเพียงรับขวดเบียร์ราคาสามเหรียญมาอยู่ในมือเงียบๆ



ผมก้มหน้าก้มตาไม่คุยกับใคร คิดเอาแต่หาทางหนีออกไปจากที่นี่ ผมแอบขโมยโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋าของไอ้หมอนั่นมาได้แล้ว ใช้โอกาสตอนที่มันคุยกับเพื่อน ไม่ได้หันมาสนใจผมรีบหยิบโทรศัพท์ตัวเอง เพียงแต่ยังหาทางติดต่อฌาไม่ได้ ถ้าผมควักมือถือออกมากดตอนนี้ต้องเป็นที่สังเกตแน่ๆ แล้วผมก็คงจะโดนริบมือถืออีกรอบ



ดังนั้นทางออกอีกทางคือไปเข้าห้องน้ำ



ผมบอกคนข้างๆ ที่เป็นคนไทยเหมือนกันว่าอยากเข้าห้องน้ำ เขาจึงตะโกนบอกเพื่อนอีกคนให้มาส่งผมเป็นเพื่อน ปรากฏว่ามีผม คนไทยและคนต่างชาติอีกคนทีมาส่งผมถึงในห้องน้ำ ในห้องน้ำจริงๆ พวกมันไม่ยอมให้ผมใช้ห้องน้ำที่มีประตู บังคับให้ใช้โถข้างนอกในการทำธุระเท่านั้น แผนการแอบส่งข้อความหาฌาของผมจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า



 “คนนี้น่ะเหรอที่จะมาหมู่กับเรา”



“เห็นไอ้หมอนั่นว่างั้น”



“หน้าตาก็น่ารักดี แต่ดูเนิร์ดเป็นบ้า”



“เรื่องบนเตียงอาจจะเชี่ยวก็ได้ใครจะรู้”




ผมได้ยินบทสนทนาจากคนข้างตัวคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก่อนที่ตัวจะแข็งทื่อเมื่อรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของไอ้เหี้ยนั่น มันไม่ได้ต้องการเงินผม มันต้องการตัวผม...ทั้งยังเรียกพวกเพื่อนชั่วของมันมาอีก ผมหน้าซีด แสร้งทำเป็นทำธุระอยู่พวกนั้นจึงไม่ได้สนใจผมมากนัก อีกทั้งผมเคยบอกเพื่อนผมไปว่าฟังพูดอังกฤษได้นิดหน่อย ไม่ชำนาญ ซ้ำยังเอาแต่นั่งเงียบจึงไม่มีใครคิดว่าผมจะฟังพวกมันรู้เรื่อง



ผมต้องหนี ต้องหนี หนีให้พ้นจากที่นี่ แต่ผมต้องทำยังไง ในเมื่อพวกมันมีคนเยอะกว่า



“เสร็จยัง”



ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินภาษาไทยดังออกมาจากหนึ่งในคนที่มาส่งผม ผมพยักหน้า รีบล้างมือเดินตามพวกมันกลับโต๊ะ ทำไงดี ผมคงหวังพึ่งใครไม่ได้ ขนาดแค่มือถือที่อยู่ในโค้ทผมยังไม่มีโอกาสได้จับเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมแทรกผ่านฝูงคนตอนนี้จะหนีได้มั้ย



เท่าความคิด ผมแสร้งแทรกตัวไปยังฝูงคนที่แออัด ทำทีเปลี่ยนเส้นทางกลับโต๊ะด้วยตัวเอง ทว่าก้าวไปไม่กี่ก้าวผมกลับโดนลากแขนกลับมาแทบจะทันที คนลากตัวผมยกยิ้มก่อนจะจูงแขนผมกลับมาที่โต๊ะอย่างขัดขืนไม่ได้



แต่จากการลากแขนผมอย่างกะทันหันทำให้ผมเซไปชนคนในบาร์ค่อนข้างแรง ผมหันไปก้มหน้าขอโทษให้ก่อนจะพบว่าคนที่ผมชนคือกุสตัฟ!



“อ้าว...เพื่อนชาร์ลนี่ มาดื่มเหมือนกันเหรอ แล้วชาร์ลอยู่ไหน”



ผมคว้าแขนเขาทันทีก่อนรีบกระซิบบอก



“ช่วยผมด้วย”



กุสตัฟทำหน้าไม่เข้า แต่ผมโดนลากห่างออกไปทุกที จึงทำได้แค่ขยับปากเป็นคำพูด



H e l p… m e



พอผมกลับมาที่โต๊ะ บนโต๊ะมีเครื่องดื่มมากมายจากเงินผม ผมโดนเหวี่ยงให้เข้าไปนั่งกลางวงอีกครั้ง ซีนขยับมานั่งข้างๆ ก่อนเอื้อมแขนมาพาดบ่าล็อคผมไว้ ผมนั่งตัวสั่น กลัวเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างถึงที่สุด ได้แต่หวังว่ากุสตัฟจะเข้าใจความหมายของผม



“จะไป Bungalow กันตอนไหนดี”



“โรงแรมที่จองไว้อยู่ไหนนะ”



“Queen Street”



“งั้นเดี๋ยวสักพักค่อยไป หมดขวดนี้กันก่อน”




ยิ่งได้ยินบทสนทนาผมยิ่งรู้ว่าพวกมันไม่ได้ตั้งใจกลับหอพักของเพื่อนผม แต่ถึงขั้นจองโรงแรมเตรียมไว้แล้ว แถมยังมีชื่อผับอีกร้านในบทสนทนาอีก ผมได้แต่ภาวนาให้กุสตัฟเข้าใจและสามารถพาผมออกไปจากที่นี่ได้ ทว่าเวลาผ่านไปสักพักกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กุสตัฟไม่ได้โผล่หน้ามา และขวดเบียร์ในมือพวกนี้กำลังจะหมด ผมเริ่มน้ำตาคลอ



“เฮ้ ไนล์ มาทำอะไรที่นี่ ปาร์ตี้กับเพื่อนเหรอ”



“...”



“ยินดีที่ได้รู้จักพวกนาย ฉันเป็นเพื่อนเขาน่ะ ว่าไง ขอร่วมวงด้วยได้มั้ย”



“อ่า ได้สิ”




กุสตัฟปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดฝัน จากตอนแรกที่ผมเกือบถอดใจไปแล้ว ผมเริ่มใจชื้นเมื่อคิดว่ามีคนที่น่าจะพึ่งพาได้อยู่ที่นี่ กุสตัฟชวนเพื่อนผมและคนอื่นๆ คุยอย่างไหลรื่น เขาเป็นนักพูดที่ค่อนข้างเก่งเลยทีเดียว เมื่อทุกคนหัวเราะคล้อยตามกับบทสนทนาของกุสตัฟไปอย่างง่ายดาย ยืดเวลาให้ผมหาทางช่วยเหลือตัวเอง



ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน กุสตัฟยังเล่าเรื่องตลกๆ ให้พวกนั้นผังได้ไม่กี่เรื่อง ซีนกลับพูดแทรกออกมา



“เราจะไปแล้ว”



“ไปไหนหรือ”



“ไปต่อน่ะ ไม่รู้สิ ถ้าคนเยอะก็อาจจะกลับ”



“ไม่เอาน่า ไนล์ อยู่ด้วยกันก่อน”




กุสตัฟร้องอิดออดเมื่อเพื่อนเลวเอ่ยขัดบทสนทนาขึ้นมา ซีนเหมือนรู้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกับผม คงคิดอยากพาผมออกไปห่างๆ จากคนที่ผมรู้จัก



“เพื่อนนายแน่เหรอ” มันถาม



ผมพยักหน้า



“ถ้างั้นทำไมถึงเรียกนายว่าไนล์?”



“...”



“ว่าไง”



“บอกเขาไปว่าชื่อนั้น...”



“ฮ่าๆๆ งั้นแสดงว่าไม่ใช่เพื่อนจริงๆ สิ Hey guys, Let’s move”



สิ้นสุดคำสั่ง คนอื่นๆ เริ่มบอกลากุสตัฟ ส่วนผมได้แต่หันซ้ายหันขวา รีบหาทางหนีทีไล่ คนข้างตัวผมยังคงเกาะไหล่ผมไว้แน่น และออกแรงลากผมจนขืนตัวไม่ได้ พวกเราพากันออกจากข้างในบาร์มาสู่ตรงหน้าร้านได้สำเร็จ ผมไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว แต่ท้องฟ้ามืดสนิท แถมลมหนาวยังตีหน้าจนแสบ



“Bungalow or Hotel?”



“Hotel”



เพื่อนมันถาม และคำตอบของซีนทำให้ผมแทบทรุด ผมคิดว่าหมดหนทางแล้ว ผมขัดขืนไม่ได้ ดิ้นรนไม่ได้ เอ่ยขอความช่วยเหลือแล้วก็ไม่ได้ผล ผมไม่น่าออกจากห้องมาเลย หรืออันที่จริง...ผมไม่ควรมาประเทศนี้เลยกันแน่...



สองขาผมฝืนไม่ขยับ ไม่ยอมไปตามแรงที่ซีนพยายามลากให้ผมไป พยายามขัดขืนสุดชีวิต ท่าทีไม่สมยอมของผมทำให้พวกมันเดินไปไหนได้ไม่ไกล เพราะเอาแต่เหลียวหลังมามองผมที่ไม่ยอมขยับตัว เพื่อนเลวก็พยายามออกแรงลากผมจนเคลื่อนที่ไปได้ทีละนิด จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา



“ไนล์!”



ผมจำน้ำเสียงคุ้นเคยนี้ได้ ไม่ทันได้เห็นหน้าคนเรียกแต่ใจผมกลับชื้นขึ้นเป็นเท่าตัว พอรีบหันไปตามต้นเสียงก็พบกับฌาตามคาด ฌาสวมโค้ทสีดำยาวถึงเข่า เสื้อผ้าทั้งตัวสีดำสนิทกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาผม ส่วนคนข้างตัวเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงกระชับอ้อมแขนตัวเองแน่นกว่าเดิม คล้ายบอกเป็นนัยว่าไม่ยอมให้ผมได้หนีออกไป



ซีนเดินหนีไม่ได้เมื่อผมขืนตัวสุดแรงเกิด ทำให้ฌาตามมาจนทัน



คนตัวสูงหยุดยืนประจันหน้ากับพวกชั่วทั้งเจ็ดคน ฌากวาดตามองทุกคนช้าๆ ราวกับกำลังพิจารณา จนมีคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยปากถามขึ้นมา



“คุณเป็นใคร”



“ผมเป็นผู้ปกครองเด็กคนนี้ พวกคุณคือใคร”



“พวกเราน่ะหรือ เพื่อนเขาไง”



“...ผมจะให้อภัยที่พวกคุณโกหก แต่ส่งตัวเขามาให้ผม”




ซีนถอนหายใจก่อนเอ่ยขัดขึ้นมา



“อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย นายเป็นคนไทยใช่ไหม งั้นรู้ไว้ซะว่าผมเป็นเพื่อนของเขา หมอนี่มาพักกับผมตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วหายไป ตอนนี้ผมแค่พาตัวเขากลับ”



“ผมรู้...เพียงแต่ให้พาเขากลับไม่ได้หรอก เขาพักกับผม”



“คุณไม่รู้ ขนาดชื่อไอ้หมอนี่คุณยังไม่รู้จริงๆ เลย”



“ผมรู้...รู้ว่าเขาไม่ได้ชื่อไนล์ รวมถึงเรื่องที่เขาหนีออกมาจากคุณด้วย”



!!



“...ผมรู้จักเขาดีกว่าพวกคุณ ขอโทษด้วยที่เขาทำให้วุ่นวาย ทีนี้ส่งตัวเขามาได้แล้ว...”



“...”



“หรือจะไปคุยกับตำรวจ?”



สิ้นสุดเสียงฌา มีคนในเครื่องแบบเดินเข้ามาหาสองคน พวกนั้นถอยกรูด เหลือแค่เพื่อนผมที่ยังยืนประจันหน้ากับฌาและตำรวจข้างหลังเขา



“มีเพื่อนผมแจ้งว่าเห็นเขาไม่เต็มใจไปกับพวกคุณ ผมเลยอยากรู้ว่าพวกคุณไปบังคับอะไรน้องผมหรือเปล่า ถึงได้รีบมารับพร้อมเชิญตำรวจมาด้วย เผื่อเราจะตกลงกันไม่ได้...”



“...”



“ว่าไง”



“ฮะๆ ผมแค่ดีใจไม่ได้เจอเพื่อนเก่าเสียนาน เลยพามาปาร์ตี้สักหน่อย หมอนี่คงไม่ชอบ ไม่มีอะไรหรอก เนอะ”



มันพูดพร้อมตบบ่าผมแรง ผมพยักหน้า แม้จะได้ยินเรื่องที่พวกมันคุยกันชัดเจน เพียงแต่ไม่มีหลักฐานมากพอ



“ถ้างั้น ผมขอน้องผมคืนด้วยครับ”



“ได้สิ”



ในที่สุดมันก็ปล่อยแขนจากผม ปล่อยให้ผมเดินไปหาฌาอย่างง่ายดาย ฌารับตัวผมไว้ กางแขนโอบรอบคอผมแน่น เขาคุยกับมันอีกสองสามคำก่อนที่ซีนจะหมุนตัวจากไป ผมเห็นกุสตัฟยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล พลันน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่



ฌาคุยกับตำรวจสองคนข้างหลังที่ผมจับใจความได้ว่าไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณที่มาช่วย ทางตำรวจเอ่ยยินดีก่อนจะจากไป เป็นกุสตัฟที่เข้ามาแทนพร้อมถามถึงเรื่องราวรัวๆ



ผมตอบใครไม่ได้ สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดฌา ความกลัวที่สะสมมาค่อนวันค่อยๆ ถูกปลดออกทีละนิด พอรู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้วจึงระบายความรู้สึกทั้งหมดที่สะสมมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนเขาบอกให้กุสตัฟหยุดถามอะไรต่อ ผมกลัว กลัว กลัว ถ้าไม่เจอกุสตัฟจะทำยังไง ถ้าฌามาไม่ทันจะเป็นยังไง ถ้า...ถ้า...



“หยุดร้องได้แล้ว กลับบ้านกัน”



ผมพยักหน้า พยายามเช็ดน้ำตาและน้ำมูกที่เกรอะเต็มหน้า ทว่าไม่เป็นผลเมื่อน้ำตาผมไม่ยอมหยุดไหลเลยสักนิด แถมลมหนาวยังคงพัดมาอย่างแรงทำให้ผมหน้าชา เจ็บจมูกไปหมดด้วย จนฌาต้องมายืนบังลมให้ แถมเช็ดน้ำหูน้ำตาให้ผมอีก



เป็นตัวภาระจริงๆ เลย...



“ขอโทษนะฌา...”



“เฮ้อ นี่จำกันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม เจนนินทร์





!!







❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄

!??!!

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-01-2018 18:09:52
 :z6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-01-2018 19:41:05
มันมีเรื่องปิดบังเยอะเกินไปแล้ว
ที่สำคัญไนล์บอกว่าจบป.ตรีแล้ว แต่ทำไมทำตัวเหมือนเด็กมัธยมอยู่เลย
ให้คนขู่บังคับแบบไม่หือไม่อือ ถ้าไม่มีกุสตาฟมาเห็นเข้า
มนุษย์คนอื่นบนท้องถนนหรือในบาร์นั่นเป็นมดปลวกหรือไง ถึงไม่ขอให้เขาช่วย

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 12-01-2018 09:40:48
หงุดหงิดน้องไนล์เว่อร์ ตะโกนให้คนช่วยตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ เอาแต่เงียบแล้วใครจะช่วยได้ ทักษะการใช้ชีวิตเป็นศูนย์เลยอะ /อินจัด
สรุปคือรู้จักกันมาก่อนเหรอออออ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 12-01-2018 11:17:52
โอ้โห ความโชคร้ายของน้อง... //ลูบผมโอ๋เอ๋
ซีนเลววววว น่าจะต่อยให้เลือดออกจากสมองซะบ้าง ฟฟฟฟ

อ้าว ตกลงฌาเป็นอะไรกับน้องงง
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 12-01-2018 14:21:27
อ่านไปลุ้นไป  :a6: :a6:

ใจหายใจคว้ำหมด  :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 12-01-2018 15:00:07
ใครจำใครลืมเอาไว้ก่อน ดีใจที่ไนล์ปลอดภัย
พวกซีนจะยอมรามือมั้ยนะ... :hao5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 12-01-2018 15:38:01
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี สรุปนี่สองคนเคยเจอกันมาก่อนสินะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-01-2018 16:06:46
กะแล้วว่าฌาต้องรู้จักน้องมาก่อนแน่ๆไม่งั้นคงไม่ยอมให้มาอยู่ด้วยหรอกแถมยังรู้อะไรๆเกี่ยวกับน้องอีก แต่น้องก็นะงงใจมากคือกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลยเหรอ จะขัดขืนก็ไม่ได้ทั้งๆที่ไอ่พวกนั้นก็มามือเปล่านะกำลังคิดว่าตอนอยู่ไทยนี่เป็นลูกคุณหนูเลยรึเปล่าถึงช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-01-2018 16:18:04
มีความซับซ้อน
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 12-01-2018 16:52:50
ลูกแกะเกือบโดนฝูงหมาป่าลากไปกินแล้ววว ดีนะที่เจ้าของแกะตามมาทัน  :katai2-1:
ความลับของเด็กเลี้ยงแกะเฉลยอีกอย่างแล้ว โกหกอะไรไว้บ้างเนี่ยลูกกก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 13-01-2018 11:34:25
เกือบแล้วมั๊ยล่ะเด็กเลี้ยงแกะเอ๊ย
สนุกมากค่ะ ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-01-2018 14:48:46
เกือบไปแล้วนะน้องไนล์ ฮือ ไม่สิ น้องชื่อเจนนินต่างหาก  :ruready
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 13-01-2018 17:36:00
เรื่องนี้จะมีอะไรที่เดาทางไม่ทันอีกเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 4 |- 11.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 13-01-2018 18:53:25
โอ๊ยยย สงสารน้อง กลัวมาก แล้วพวกนั้นก็ชั่วน่ะ
ไม่น่ามีเพื่อนแบบนี้เลย

ต้องขอบคุณกุสตัฟนะ ที่โผล่มาตอนที่ฉุกเฉิน

แล้วขอบคุณที่ฌามาช่วยทัน
สรุปคือต่างคนต่างโกหก ฌารู้จักน้องดี แต่น้องดันลืม ว่างั้น

ลุ้นตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 16-01-2018 18:42:29

Lies 5 : Don’t cry snowman



ผมทั้งที่ยังร้องไห้อยู่กลับต้องตกใจที่ฌาเอ่ยชื่อนั้นออกมา แต่ก็ยังตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อครู่เลยห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ เป็นสภาพน่าอนาจจนฌายังหัวเราะ



“กุสตัฟ เอารถกลับอพาร์ทเม้นท์ให้หน่อย”



“อะไรนะ”



“ฉันเอาหมวกนิรภัยมาอันเดียว ให้เขาซ้อนกลับไม่ได้”



“อะไรนะ เชี่ยแม่ง ไม่เอาโว้ย หนาวจะตาย ใครจะไปขับ”



“ถือว่าขอนะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเลย”



“ชิท”



ฌาโยนกุญแจรถให้กุสตัฟพร้อมยกยิ้ม บอกที่จอดรถก่อนจะพาผมเดินไปขึ้นรถบัส ผมยังสะอื้นไม่หาย แต่ก็เดินตามฌา ปล่อยให้เขาจูงมือไปเรื่อยๆ มีความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ในหัว ทั้งเรื่องที่อยากเล่า ทั้งเรื่องที่ปิดบัง ทั้งเรื่องที่อยากรู้



แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป มีแค่เสียงสะอึกสะอื้นลอบดังมาเป็นระยะๆ กระทั่งขึ้นรถแล้วผมก็ยังไม่หยุดร้อง สะอึกสะอื้นจนฌาต้องลูบหัวผมเพื่อปลอบใจ คนในรถมีไม่กี่คนเหลือบมองมาทางผมเป็นพักๆ



ฌาพาผมมาถึงอพาร์ทเม้นท์ เข้าสู่สถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง ผมร้องไห้โฮ คิดว่าคืนนี้จะไม่ได้กลับมาที่นี่เสียแล้ว



“ไม่ร้องแล้วสิ พี่ยังอยากจะดุเราอีกเยอะเลยนะ”



“ไม่...ไม่ดุ ฮือออ”



“ก็อยากทำตัวให้ดุทำไมล่ะ...คิดว่าโลกนี้ทุกคนต้องใจดีกับเจนหมดเลยหรือไง”



ฌาว่าพร้อมขยับตัวหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมปล่อยให้เขาเช็ดน้ำหูน้ำตาไปทั้งๆ ที่ยังปล่อยโฮไม่หยุด สรรพนามเรียกผมที่คุ้นหูทำให้ผมสงสัยฌามากกว่าเดิม เสียยังรวบรวมประโยคในหัวไม่ได้ เลยได้แต่ปล่อยให้ฌาบ่นไป เช็ดหน้าผมไป



“...คิดง่ายไปแล้ว หนีทุกคนมาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วคิดว่าจะใช้ชีวิตได้เหรอ นิวซีแลนด์ปลอดภัยก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะต้องเป็นคนดี เข้าใจมั้ย”



“ผมรู้ รู้หน่า...ฮึก”



“รู้แล้วยังจะทำอีก มาอยู่กับใครก็ไม่รู้ ดีแค่ไหนแล้วไม่โดนทำร้าย”



“ก็ก่อนหน้านี้ผม...เคยคุยกับเขามาก่อน...คิดว่าเขา...เป็นเพื่อน...จะเป็นคนดี...”



“แล้วเป็นยังไงล่ะ”



“ก็...ฮึก....ทีฌา...ยังดีกับผมเลย”



“...นี่จำกันไม่ได้จริงๆ เหรอ”



“...”



“ไม่ได้ชื่อฌา ชื่อฌาณ... ฌอเฌอ-สระอา-ณอเณร”



“...”



ผมเบิกตาโตเมื่อความทรงจำเก่าวิ่งเข้ามาในหัว ชื่อแปลกๆ แบบนี้ผมจำได้แม่น มีไม่กี่คนหรอกที่จะชื่อนี้แถมยังรู้จักผมดี ฌาณ...ชื่อที่เอาคำว่าฌานกับญาณมารวมกัน ทำให้ตอนเด็กผมสับสนเวลาเขียนชื่อของเขา ใบหน้าของเจ้าของชื่อสมัยเด็กแล่นขึ้นมาในความทรงจำ ฌาณเป็นคนข้างบ้านสมัยผมอยู่ประถม พี่ชายที่คอยมาเล่นกับผมแทนพี่แท้ๆ เพราะอายุใกล้กับผมมากกว่า คนที่ผมตัวติดหนึบตั้งแต่ป.หนึ่งถึงป.หก จนกระทั่งเขาย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเมื่อขึ้นม.ปลาย...



“ฌาณ...?”



“อืม ฌาณ”



“ฌาณ...จริงๆ เหรอ”



“อืม ฌาณที่เจนคอยวิ่งตามต้อยๆ ตอนเด็กๆ ไง”



สิ้นสุดเสียงของเขา น้ำตาผมทะลัก ร้องไห้โฮหนักกว่าเดิมจนฌาณตกใจ รีบกอดพร้อมลูบหัวลูบหลังผมใหญ่ ปลอบใจให้ผมหยุดร้องเสียแต่ผมห้ามน้ำตาไม่ได้



ความกลัวที่ต้องอยู่คนเดียวมาตลอดหนึ่งเดือนถูกปลดปล่อยเมื่อรู้ว่าคนข้างตัวผมเป็นคนที่เคยรู้จักกันดี ผมไม่เคยอยู่คนเดียวในที่ต่างแดนแบบนี้มาก่อน คิดว่าไม่น่าจะยาก แต่มันก็ไม่ง่าย ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองปลอดภัยอย่างนิวซีแลนด์แล้วก็ตาม คิดว่าโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ แบบฌา แต่กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนรู้จักผมมาก่อนแล้ว



“ถ้าอย่างนั้น...ฌาณ โกหกผมทำไม...”



“ก็เราโกหกพี่ก่อนทำไม...”



“...”



“ไจบอกว่าเจนนินทร์จะมาที่นี่ ตอนแรกเราบอกว่าจะไปกับเพื่อน แต่ไจดันไปเจอเพื่อนเราที่ไทยเลยรู้ว่าโดนน้องชายตัวเองหลอก หมอนั่นแทบจะบินมาหาอยู่แล้ว ดีที่พี่บอกว่าจะดูแลให้”



“...”



“โกหกพี่ชายทำไมหืม เจนนินทร์”



“...ผม...”



ผมโกหกไจที่เป็นพี่ชายคนรองของผมจริงๆ อย่างที่ฌาณว่า บอกเขาไปว่าจะมาเที่ยวสองคนกับเพื่อนสนิท ทว่าจริงๆ แล้วผมมาที่นี่แค่คนเดียว ไจคงไปเจอเพื่อนผมเข้าเลยความลับแตก...



“ผมทะเลาะกับเพื่อน...”



“...อันนี้ก็โกหกใช่ไหม”



“ไม่ใช่ ผมพูดจริงนะ”



“แล้วทำไมไม่ติดต่อหาไจบ้าง”



“ผม...ลบแอพที่ใช้ติดต่อหมดแล้ว ทั้งเฟส ไลน์ อินสตราแกรม”



“เฮ้อ... ดีนะที่ไจขอที่อยู่เราไว้ก่อนเราจะมาที่นี่ พี่เลยแอบตามดูได้”



“...แอบดู?”



“คิดว่าการที่พี่มาเจอเราเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง”



“...แล้วไม่ใช่เหรอ...”



“ตามมาตั้งเกือบอาทิตย์ จู่ๆ ก็เห็นเจนรีบร้อนออกมาจากที่พักเดิม เดินสุ่มมั่วขึ้นรถบัสแถมยังลงสถานีไปเรื่อยอีก”



“ฌาณ... ตามมาด้วยหรือตอนนั้น”



“ใช่ แอบเดินตามจนรู้ว่าเราไม่มีที่ไปนั่นแหละถึงได้ออกมาทัก”



“...”



“บางทีความบังเอิญก็ช่วยเราได้นะ เหมือนอย่างที่กุสตัฟบังเอิญเจอเจนวันนี้ แต่ไม่ใช่กับทุกครั้ง รู้ไหม...”



“...รู้แล้ว”



“พี่แทบบ้าตอนเจนหายไป ไจต้องฆ่าพี่แน่ถ้าเราเป็นอะไร”



ผมไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป ประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมา ฌาณผละตัวออกไปจากผมก่อนเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน หรือก็คือกุสตัฟ



“นี่กุญแจรถนาย จอดไว้ให้ที่เดิมแล้ว หนาวเป็นบ้าฉันจะแข็งตายอยู่กลางถนนแล้ว”



“ขอบคุณมาก เข้ามาก่อนไหม”



“...ไม่ล่ะ”



“...กุสตัฟ ขอบคุณจริงๆ เลือกร้านอาหารรอได้เลย”



“คิดมากน่า”



สิ้นสุดประโยค ฌาณก็ปิดประตู  หันกลับเข้ามาสบตากับผมอีกครั้งพร้อมถอนหายใจ



“ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวชงโกโก้ให้”



ผมพยักหน้ารับคำ เช็ดน้ำตาที่เกรอะเต็มหน้าออก ทำตามคำพูดของฌาณอย่างง่ายดาย



ฌานชงโกโก้ให้ผมทันทีที่ผมออกจากห้องน้ำ ผมได้ดื่มโกโก้ร้อนๆ ฝีมือของเขาแล้วถึงค่อยใจเย็นลง ค่อยๆ เอ่ยบอกเรื่องราวให้เจ้าของห้องรับรู้ไปอย่างช้าๆ เล่าทุกอย่างไปตามความจริงที่เจอมา ทั้งเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ผมหนีมาพร้อมทิ้งเสื้อผ้าไว้จำนวนหนึ่งเพราะไม่มีเวลาเก็บ



และก็รู้จากเขาว่าตำรวจที่ฌาณพามาด้วยนั้นฌาณไปเจอตอรพวกเขากำลังออกตรวจตราอยู่แถวนั้นพอดีเลยขอให้มาด้วยกัน



“น่าจะแจ้งตำรวจจับ”



“...แต่ก็ไม่มีหลักฐานนี่”



“เฮ้อ...เรานี่นะ...”



“...”



“เอาเถอะ ต่อไปห้ามไปไหนคนเดียวแล้วนะ”



“อือ...”  ผมรับคำ



“เข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวไว้จะพาไปซื้อเสื้อใหม่ที่ New market”



ผมพยักหน้า หลังจากดื่มโกโก้จนหมดแก้วแล้วจึงปีนขึ้นเตียงเข้านอนอย่างว่าง่าย เสียแต่ดันตาค้าง เมื่อขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนี้... มีหลายเรื่องวิ่งวนอยู่ในหัวมากเกินไป ผมจำฌาณไม่ได้จริงๆ และตั้งใจจะมาที่นี่โดยไม่ต้องการให้มีคนรู้จักมาร่วมเดินทางด้วยรวมถึงไม่ต้องการรู้จักใคร แต่กลับกลายเป็นว่าในช่วงที่ผมกำลังแย่ กลับมีคนที่เคยรู้จักคอยช่วยอยู่ข้างๆ เสียอย่างนั้น... 



ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองคิดตื้นแค่ไหน เป็นเด็กหนีเที่ยวที่มั่นใจว่าตัวเองอยู่รอดได้ แต่ความเป็นจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด เกือบจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้อีกครั้ง... ผมไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะปกติถ้ามีเรื่องอะไรผมแค่ฟ้องไจก็จบแล้ว หรือถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นผมก็มีเพื่อนคอยช่วยเหลือตลอด



ผมไม่เคยรับน้ำใจจากคนไม่รู้จัก และไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างผมด้วย อีกอย่างคือผมไม่ใช่คนพูดเก่ง สถานการณ์ตรงนั้นมันพูดยากนะ ถ้าลองขอความช่วยเหลือคนอื่นไปต่อหน้าซีน มันคงแก้ตัวให้ตัวเองสารพัดวิธีที่จะทำให้ผมไม่มีทางหนีอยู่ดี



พอไม่มีไจผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย และไม่มีใครเป็นหูเป็นตาให้เหมือนตอนอยู่ไทย



มาคิดดูถึงรู้ว่าผมโชคดีจริงๆ ที่เจอกุสตัฟ



ผมนอนพยายามหลับตานิ่ง ปัดเรื่องวันนี้ให้ออกจากหัว แต่หลับไม่ลงเสียทีจนกระทั่งฌาณขึ้นมานอน



ผมพลิกตัวไปหาเขา



“...ยังไม่นอนอีก”



“...ผมนอนไม่หลับ”



“เป็นอะไร...ไม่มีอะไรแล้ว...”



“ผมกลัว...ถ้าไม่มีฌาณจะเป็นยังไง”



“...แต่ก็มีไง ไม่ต้องห่วงหรอก ไจไม่ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวหรอก ถึงไม่มีพี่ ไจก็คงแอบส่งคนอื่นมาเฝ้าน้องชายตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ”



เพราะผมบอกพี่ไปว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนซี้ ปกติแล้วเพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือผมได้ทุกอย่าง ไจเลยวางใจ และอย่างที่ฌาณว่า ไจคงไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวแน่ๆ ถ้ารู้ว่าผมต้องอยู่คนเดียว เขาต้องรู้ว่าผมใช้ชีวิตคนเดียวได้แย่แค่ไหน



“...ฌาณ”



“หือ”



“จริงๆ แล้วฌาณก็รู้มาตลอดเลยดิว่าผมโกหกอ่ะ”



“ใช่ ไอ้เด็กเลี้ยงแกะ โกหกมันทุกอย่าง”



“ง่ะ...ก็นี่ไง...ผมไม่ได้เชื่อคนง่ายหมดทุกคนสักหน่อย ผมก็ระแวงฌาณเหมือนกันนั่นแหละ”



“ระแวงแต่ก็ยอมนอนเตียงเดียวกันกับคนแปลกหน้าเนี่ยนะ”



“ง่า...ก็มัน...”



“จริงๆ พี่เองก็พยายามทำให้เจนรู้เหมือนกันว่าพี่ไม่ใช่คนแปลกหน้า”



“...”



“ไม่มีใครเขาจู่ๆ ก็มาชวนคนไม่รู้จักที่เจอกันข้างถนนมาแชร์ห้องกันหรอกนะ...ไม่มีใครเขายอมล้างจาน ทำอาหาร ซักผ้าให้รูมเมทด้วย ไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง”



“ก็...ก็ผมคิดว่าเพราะผมจ่ายตังให้ฌาณเยอะนี่”



“จ่ายให้เยอะแค่ไหนถ้าเป็นแค่เมทส่วนใหญ่เขาก็ไม่ยอมทำให้หรอก ไม่ใช่แม่บ้านนี่”



“งือ...”



“ที่ยอมพาไปเที่ยว ให้ยืมเสื้อ ชงโกโก้ ดูแลตอนเป็นไข้ให้นี่คิดว่าเพราะใจดีเหรอ”



“อือ...ไม่ใช่เหรอ”



“ทำเพราะอยากให้เจนรู้สึกตัวต่างหากว่ามันไม่ปกติ อย่างที่ไจว่า เราอยู่คนเดียวไม่น่ารอดจริงๆ”



ครานี้เขาบ่นพร้อมถอนหายใจ ผมเบ้หน้า แต่เพราะฌานปิดไฟห้องแล้วทำให้มองไม่เห็นว่าผมรู้สึกยังไง ผมแอบเคืองๆ ฌาณนิดหน่อยที่หลอกผม ทำเป็นไม่รู้จักกัน เหมือนผมเล่นเป็นคนโง่โกหกอยู่คนเดียวเลย



“บอกมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ฌาณจะโกหกทำไม”



“อยากลองเชิงไง...แล้วพี่ก็โกหกแค่เรื่องชื่ออย่างเดียวด้วย...”



ผมจ้องเขา มองไปยังดวงตาสีรัตติกาล คาดเค้นว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือเปล่า



“...โอเค ไม่มีคนในคลาสชื่อชาช่าอีกเรื่องก็ได้ นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว มีแต่เรานั่นแหละ”



“ผมจำเป็นเถอะ...อีกอย่าง ฌาณบอกว่าไม่ใช่คนกรุงเทพนี่” ผมร้องแย้ง เมื่อตอนเด็กๆ เขาอยู่บ้านติดกับผมและเรามักเล่นด้วยกันตลอด จะให้ไม่เป็นคนกรุงเทพได้ยังไงในเมื่อบ้านเขาอยู่ข้างบ้านผมอ่ะ



“ก็ไม่ใช่ไง พี่เกิดเชียงใหม่ แต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพ...จำไม่ได้เหรอ”



“...”



“นี่แหละนะคนเรา แถมตอนพี่มาเรียนที่นี่พ่อแม่พี่ก็ย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่ ไม่รู้เหรอ”



“รู้...” แต่จำไม่ได้นี่...ตอนนั้นผมยังเด็กมากนี่นา



“ขี้โกหกแล้วยังขี้ลืม”



“ผมเปล่า”



แน่นอน ผมโกหก ผมจำไม่ได้จริงๆ นี่ ผ่านมาตั้งขนาดนั้น ผมก็คิดว่าฌาณไปใช้ชีวิตใหม่แล้ว คงลืมกันไปเหมือนที่ผมลืมฌาณนั่นแหละ



 “...เจนนินทร์จอมเอาแต่ใจ”



“...ผมไม่ได้เอาแต่ใจสักหน่อย”



“แต่ขี้โกหกใช่มั้ย”



“ไม่ใช่ ผมโกหกเพราะจำเป็นหรอก ฌาณนั่นแหละโกหกผม”



“ตอนแรกก็แค่ลองเชิง แต่ใครจะไปคิดว่านายจำพี่ไม่ได้จริงๆ”



“โห ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตั้ง 8 ปี ใครจะไปรู้ว่าฌาณโตมาแล้วจะหน้าแบบนี้”



“แบบนี้นี่คือยังไง?”



“ก็...ก็เป็นแบบนี้ไง”



“หึ แต่เจนไม่เปลี่ยนเลย พี่จำเราได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก”



“แต่ฌาณหน้าเปลี่ยน...”



ฌาณหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับลูบหัวผมก่อนเอ่ย



“ที่จริง...พี่ติดต่อกับไจตลอดเลยได้เห็นหน้าเจน  ไจชอบส่งรูปเรามาให้กับเอาแต่บ่นว่าเราชอบงอแง”



“...ไม่ได้งอแง”



“หึ”



“ทำไมไจไม่เห็นบอกเลยว่ายังติดต่อกับฌานอยู่ ตอนแรกผมเข้าใจว่าฌาณเรียนที่ออสเตเรียซะอีก”



“ก็ปกตินะ คนเคยสนิทนี่ มีแต่เรานั่นแหละ พอพี่ย้ายออกไปแล้วก็ไม่ติดต่อมาเลย แล้วพี่ก็เรียนที่นิวซีแลนด์มาตลอดต่างหาก”



“ก็...ตอนนั้นผมยังเด็กนี่ ใครจะไปจำได้เล่า”



“อ้าง หึ”



“ก็...”



“เอาเถอะ นอนซะ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวไม่สบายอีก”



“อือ...ฌาณ...”



“หืม”



ผมเงียบไปพักนึง ครุ่นคิดว่าจะขอเขาในสิ่งที่คิดในหัวดีมั้ย แต่ถ้าฌาณเป็นฌาณที่ผมรู้จักล่ะก็ เรื่องแค่นี้เขาต้องไม่ว่าแน่ๆ... ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมขอมันออกจะแปลกๆ แต่ผมห้ามความต้องการตัวเองไม่ได้อ่ะ...ผมทำใจก่อนเอ่ยถามเสียงเบา



“...ตอนนี้รู้จักกันแล้ว ผมกอดได้มั้ย”



“...ก็นอนกอดพี่ทุกคืนอยู่แล้วนี่”



“หือ”



“กลิ้งมากอดพี่ทุกคืนอยู่แล้ว ยังจะขอกอดอะไรอีก”



ผมไม่ทันได้ถามอะไรต่อฌานก็คว้าผมเข้าไปซุกอกอุ่น แม้จะตกใจเล็กน้อยกับสัมผัสที่ไม่คุ้นชิน ทว่ากลับคุ้นเคยจนทำให้ผมคลายความกังวลไปได้ง่ายๆ อ้อมกอดอบอุ่นของฌาณทำให้ผมเริ่มง่วง เคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนที่คอยลูบหัวผมช้าๆ พร้อมกับได้ยินเสียงนุ้มทุ้มว่าอะไรบางอย่าง ก่อนจะผล็อยหลับไป



“เด็กน้อย...”



พระอาทิตย์ลุกมาทำงานแล้ว...ส่วนผมนอนขึ้นอืดอยู่บนเตียงทั้งวัน ปล่อยให้ฌาณคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน ดีที่ผมไม่ได้เป็นไข้อย่างที่นึกกลัว แต่คราวนี้กลับแปลกกว่าทุกทีเมื่อผมโดนคนแก่กว่าดุให้ลุกไปล้างจานหลังจากที่ผมกินสปาเกตตี้บนเตียงเสร็จ



“ง่ะ...ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นให้ผมล้าง”



“เพราะอยากให้เจนสะกิดใจไง ตอนนี้รู้จักกันแล้วเพราะงั้นไปล้างจาน”



“เกี่ยวด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นถ้าความไม่แตกผมก็ไม่ต้องล้างจานไปตลอดเลยงั้นสิ”



“ไม่หรอก กะจะบอกเร็วๆ นี้นั่นแหละ”



“บรือออออ” ผมกระพือปากเหมือนสมัยเวลาเป็นเด็กยามไม่พอใจ ไจดุผมเสมอว่ามันไม่สุภาพ แต่ผมก็ติดที่จะทำแบบนี้อยู่ดี



“เดี๋ยวเถอะ”



“ถ้างั้นฌาณเอาเงินผมคืนมาเลย” ผมยังคงร้องงอแง ขี้เกียจล้างจาน อากาศหนาวๆ แบบนี้ไม่อยากให้มือเปียกนี่นา แถมผมยังจ่ายราคาค่าห้องให้ฌาณไปตั้งเยอะตามข้อตกลงที่ให้เขาดูแลผม



“อ่ะ มาเอาไปเลย” แต่ฌาณกลับไม่สนใจเมื่อหยิบเงินหนึ่งฟ่อนขึ้นมายื่นให้ผม



“...”



“ไม่เคยเอาไปใช้อยู่แล้ว ว่าจะคืนให้ขากลับนั่นแหละ”



“ฌาณ...”



“ไม่งอแง ไปล้างจานเองเลยไป”



“บรือออออ” ผมงอแงอีกครั้งก่อนลุกจากเตียง นำจานที่เคยมีสปาเกตตี้แสนอร่อยของฌาณไปไว้ในซิงค์ ก่อนเริ่มเปิดน้ำ ทันทีที่หยดน้ำสัมผัสกับมือผม ผมก็สะดุ้งทันที



“ฌาณ มันเย็นไปอ่ะ”



“เด็กโง่ น้ำอุ่นอยู่ตรงนี้”



เขาดุผมอีกครั้งพร้อมกับเข้ามาเปิดวาล์วน้ำอุ่นให้ ผมไม่รู้นี่ มันไม่เหมือนที่บ้านอ่ะ พอมีน้ำอุ่นแล้วผมถึงได้วางใจ ลงมือหยิบสก็อตไบร์ทขึ้นมา ก่อนจะลงมือขัด ทว่าโดนฌาณเอ่ยห้ามไว้ก่อน



“เดี๋ยวสิ ล้างน้ำให้หมดก่อน”



“ง่ะ...” ผมทำตามที่เขาบอก ใช้สายน้ำชโลมจานที่เปรอะคราบซอสจนหมด ก่อนจะนำสก็อตไบร์ทมาถู



“ผิดด้านแล้ว เอาด้านที่เป็นสีเขียวถูจานสิ”



“...”



ผมเปลี่ยนข้างสก็อตไบร์ท ลงมือขัดใหม่จนเกิดฟองฟ่อด ผมไม่เคยล้างจานเองนี่ ไจไม่เคยให้ผมแตะอะไรแบบนี้เลย แถมไม่เคยมีใครสอนผมด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าฌาณยืนซ้อนหลังผมเพื่อคอยจับตาดูว่าผมล้างจานถูกหรือเปล่า...ผมดูโง่ไปเลยอ่ะ



“ดีมาก เสร็จแล้วเอาไปตากตรงนี้” เขาบอกพร้อมชี้ชั้นวางจาน ผมเสียบจานให้เข้ากับร่องจนมันวางพอดีถึงได้ปล่อยมือ ก่อนนำช้อนส้อมที่ทำความสะอาดแล้วไปไว้ในตะกร้าข้างๆ เป็นอันเสร็จ



“ทำได้มั้ย”



ผมพยักหน้า



“ดีแล้ว ครั้งต่อไปถ้ากินเสร็จก็ล้างจานด้วย”



“ฌาณ...” ผมร้อง ไม่อยากล้างจานนี่ แต่พอเห็นตาดุๆ ของฌาณผมก็หงอทันที แต่ผมยังต้องพึ่งเขาอีกเยอะ เพราะงั้นผมยอมล้างจานก็ได้



ฌาณบอกว่าวันนี้จะพาผมไป New market ย่านช็อปปิ้งที่น่าสนใจอีกที่ ให้ผมหาซื้อเสื้อกันหนาวเพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ผมทิ้งไว้ที่หอซีนคนชั่ว และไม่คิดจะไปขอเอากลับมา เพราะฉะนั้นเมื่อทานข้าวล้างจานเสร็จฌาณจึงบอกให้ผมไปเตรียมตัว ผมอยากเอ้อระเหยอยู่อีกสักพัก แต่ร้านค้าที่นี่ปิดไว ตอนหกโมงบางทีก็ปิดเกือบหมดทุกร้านแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงบ่ายจึงถือเป็นฤกษ์งามยามดี



ผมเปลี่ยนชุด แต่งตัวไม่นานก็พร้อมออก ส่วนฌาณแต่งตัวรอตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว พอถึงเวลาเขาก็แค่หยิบโค้ทกับผ้าพันคอมาสวม



“เสร็จแล้ว” ผมบอกเขา ฌาณพยักหน้ารับก่อนยกมือมาทาบหน้าผากผม



“ไม่มีไข้นะ”



“ไม่มี ผมสบายดี”



“ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกนะ”



“อือ”



ผมตอบรับพี่ชายตรงหน้า ฌาณคงกังวลว่าผมจะไม่สบายเพราะร้องไห้หนักเมื่อคืน แต่ผมยังแข็งแรงดี การได้ออกไปข้างนอกกับฌาณคงทำให้ผมสดชื่นขึ้นหน่อย



เราออกเดินทางกันประมาณบ่ายโมง นั่งรถบัสไปเพราะฌาณมีหมวกนิรภัยแค่ใบเดียว ผมร้องบอกว่าจะซื้อเพิ่มให้ตัวเองแต่โดนฌาณดุกลับมาเลย บอกว่าสิ้นเปลือง อยู่แป๊บเดียวก็กลับแล้ว ให้นั่งรถบัสไป ผมเบ้ปาก อยากลองซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่นี่บ้างนี่...



เมื่อมาถึงย่าน New market ฌาณพาผมเดินดูช็อปต่างๆ ที่นี่ดูไม่ต่างจาก Queen street เท่าไหร่ ในแง่ของผู้คนและข้าวของ แต่ตัวสถาปัตยกรรมค่อนข้างต่างกันมาก ที่นี่ไม่ค่อยมีตึกสูงเท่าไหร่ เป็นช็อปชั้นสองชั้นตั้งเรียงรางข้างทาง ทว่าแต่ละช็อปมียี่ห้อติดหรูหรา ผมเลือกเดินเข้าเดินออกตามแต่ละร้าน สุ่มดูบ้าง เข้าตามแบรนด์ช็อปที่ผมมักซื้อเสื้อผ้าเวลาอยู่ไทย จนได้เสื้อกันหนาวเพิ่มมาทีละถุงสองถุง



ส่วนฌาณคอยเดินตามผมอยู่ไม่ห่าง เขาเดินดูเสื้อผ้าเช่นกันแต่ไม่ได้เลือกซื้ออะไร แถมเสื้อผ้าที่ฌาณสนใจเห็นจะมีแต่เสื้อผ้าสีดำ



“ฌาณทำไมถึงมีแต่เสื้อผ้าสีดำอ่ะ”



“...All blacks ไง”



“คือไรอ่ะ?”



“ชื่อทีมรักบี้ของที่นี่ ดังมากนะ”



“ผมไม่ดูรักบี้” อันที่จริง ผมไม่ดูกีฬาอะไรเลยต่างหาก



“ไว้กลับไปจะเปิดให้ดู”



“...” ผมไม่ได้อยากดูสักหน่อย



“อันที่จริง คนที่นี่ก็นิยมใส่สีดำหรือสีทึมๆ แบบนี้กันนะ นิวซีแลนด์เป็นเมือง old fashion คนไม่ค่อยแต่งตัวกันมากหรอก”



ผมพยักหน้า เป็นตามที่ฌาณว่าจริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นคนที่นี่แต่งตัวจัด ถ้าคนไหนใส่โค้ทหรือบู้ทสีสดๆ ก็อนุมานได้เลยว่าเป็นชาวต่างชาติ



ผมเลือกเสื้ออีกสองสามชุด เข้าออกแต่ละที่เป็นว่าเล่น ถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่เอา จนถุงช็อปปิ้งในมือผมเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นฌาณที่คว้าไปช่วยถือ ก่อนปล่อยให้ผมมีความสุขกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าต่อ อันที่จริงผมซื้อของพวกนี้ที่ Queen street เองก็ได้ แต่ไหนๆ ฌาณก็พามาเที่ยวทั้งทีเลยไม่อยากปล่อยให้เสียเที่ยว



ตอนแรกผมคิดว่าคงไม่ได้จำเป็นต้องออกห้องเท่าไหร่ เพราะผมกลัวเจอเพื่อนชั่ว คิดว่าเอาแต่อยู่ในห้องไปเรื่อยๆ ก็ได้เลยไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม แต่พอฌาณเฉลยว่าเป็นฌาณ  ผมเลยมั่นใจว่าเขาจะต้องพาผมไปเที่ยวข้างนอกแน่ๆ และผมจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา คิดได้อย่างนั้นผมเลยเลือกช็อปปิ้งให้สมกับที่อัดอั้นมานาน ทว่าก็ไม่ใช่ทุกร้านที่ผมจะถูกใจ



จนฌานเอ่ยขึ้นเมื่อช่วงหลังๆ ผมเข้าๆ ออกๆ ร้านเสื้อแต่ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ “ถ้ายังไม่ถูกใจไว้จะพาไปที่ Takapuna beach”



“ไป”



ผมตอบทันควันส่วนคนชวนก็ยกยิ้ม



จนผมช็อปจนพอใจแล้วฌาณก็พากลับห้อง บอกให้เอาของไปเก็บก่อนที่จะให้เตรียมตัวออกไปทานข้าวข้างนอกอีกครั้ง ผมถึงได้รู้ว่าฌาณตั้งใจจะไปหากุสตัฟที่ร้าน ตอบแทนที่เขาช่วยผมเมื่อวันนั้น แน่นอนผมยินดีอย่างยิ่ง เลยใส่โค้ทตัวใหม่เพื่อไปเลี้ยงข้าวเย็นเขาเลย



ระหว่างเดินทางฌาณเล่าว่ากุสตัฟมาหาเขาเมื่อเช้า ตอนที่ผมกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ ฌาณจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนเขาฟัง ทั้งเรื่องที่ผมเจอทั้งเรื่องที่จริงๆ แล้วผมกับฌาณรู้จักกัน ผมไม่รู้ว่ากุสตัฟว่าอะไรไหมแต่ฌาณบอกจะไปรับเขาที่ทำงานพิเศษผมเลยคิดว่ากุสตัฟน่าจะไม่ได้คิดมากเรื่องที่ฌาณบอกจะเลี้ยง แถมดูเหมือนจะไม่อยากรับค่าตอบแทนอะไร ฌาณถึงต้องบุกไปหาถึงที่



และตามคาด เมื่อกุสตัฟเห็นพวกเรามารอหน้าร้าน เขาก็สบถคำหยาบมากมายใส่ฌานทันทีจนผมยิ้มขำ



“ชิท บอกแล้วว่าไม่ต้อง น้องชายนายก็เหมือนน้องชายฉันนั่นแหละ กลับไปเลย ชิ่วๆ”



“หน่า อุตสาห์มาถึงที่นี่แล้วทั้งที ไปด้วยกันหน่อย”



“แม่งเอ๊ย นายนี่มัน...”



“กุสตัฟ ให้ผมขอบคุณคุณเถอะนะครับ ถ้าไม่ได้คุณวันนั้นผมคงแย่”
ผมร้องขัดขึ้นมาเมื่อเขามีทีท่าว่าจะไม่ยอม



“หา...อะไรนะ นี่นาย...พูดภาษาอังกฤษได้งั้นเหรอ”



“อ่า ฉันลืมบอกไป”



“แม่งเอ๊ย พวกนายนี่มัน”



“ไปว่าเขานู่น ฉันไม่เกี่ยวนะ เขามันเด็กเลี้ยงแกะ”



“ไนล์...ฉันหมายถึง เจน...นายไม่ควรโกหกเพื่อนพี่ชายนายนะ ดีแค่ไหนที่ฉันไม่ได้นินทานายออกไป โอ้พระเจ้า พวกนายนี่มันแย่สุดๆ เลย คุยภาษาไทยนินทาฉันได้แต่ฉันไม่รู้เรื่องเนี่ย”



“ไปกันใหญ่แล้วกุสตัฟ มาเถอะ ยืนตากลมเดี๋ยวเจนป่วยอีก มีร้านอาหารดีๆ แถวนี้เยอะแยะเลยนี่ นายอยากเข้าร้านไหนล่ะ”



“ไม่เข้าสักร้านนั่นแหละแม่งเอ๊ย”



“งั้นให้ฉันเลือก...Cloody ดีมั้ยล่ะ”



“โอ้ ชิท เลี้ยง Wendy ฉันก็พอ โอเคมั้ย”



“โอเค ป่ะ Cloody”



“ชาร์ล!”



สุดท้ายฌาณก็โอบไหล่เพื่อนเขาไว้ ส่วนผมก็เดินตามหลังไม่ห่างเพื่อไม่ให้กุสตัฟเดินหนี กุสตัฟร้องโวยวายแต่สุดท้ายก็ยอมเดินดีๆ ตามพวกเรามาร้านอาหารที่ฌาณว่า Cloody เป็นร้านสเต็กที่ดูหรูหราอยู่พอตัว หน้าร้านเป็นตึกเก่าดูขลังแต่สวยงามแบบออริจินัล ส่วนในร้านกลับตกแต่งอย่างโมเดิร์น โดยใช้ไม้สีเข้มเป็นหลัก พร้อมกับไฟสีส้มและมีอะไรไม่รู้ระยิบระยับไปหมด



พวกเรานั่งลงตามที่เด็กเสิร์ฟจัดที่ให้ ก่อนเริ่มดินเนอร์กัน กุสตัฟบ่นไม่หยุด แต่พอหนีไม่ได้เลยเลือกสั่งมาเสียเต็มคราบ แน่นอน ไม่มีปัญหาสำหรับผม สเต็กที่นี่รสชาติดีพอสมควรเลย ไม่เหนียวไม่คาวแถมซอสราดก็อร่อย เสียแต่ผมกินได้นิดเดียวก็อิ่ม ไม่เหมือนสองคนนั้นที่กินเยอะ กินได้หลายอย่าง ผมอิจฉาชะมัด ถึงแม้ว่าผมจะกินได้ไม่เยอะเท่า แต่ก็พยายามชิมอาหารแต่ละจานอยู่เหมือนกันจนท้องป่อง



จากนั้นก็เข้าสู่วงสนทนา ผมเพิ่งรู้ว่ากุสตัฟกับฌาณเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ฌานอยู่ไฮสคูล ตอนฌาณเพิ่งมาที่นี่ใหม่ๆ ก็ได้เข้าเรียนพิเศษเพื่อปรับภาษา และได้เจอกับกุสตัฟที่กำลังจะเข้ามหาลัยที่โคลัมเบีย เลยมาเรียนภาษาเหมือนกัน เจอกันแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่กุสตัฟต้องกลับไปเรียนต่อที่โคลัมเบีย ส่วนฌานก็ใช้ชีวิตที่นี่ไปเรื่อยๆ แล้วทั้งคู่ได้มาเจอกันอีกครั้งตอนที่กุสตัฟกลับมาต่อโทที่โอ๊คแลนด์เพราะที่ทำงานต้องการ ฌาณจึงชวนให้มาพักที่เดียวกันเสียเลย



เพราะงั้นตอนนี้กุสตัฟก็อายุ 28 เข้าไปแล้ว ส่วนฌาณอายุ 25 ความต่างของอายุไม่ได้ทำให้ความเป็นเพื่อนของสองคนนี้ลดลงเลย พวกผมคุยกันเรื่อยเปื่อยจนอาหารหมด กุสตัฟดุผมใหญ่เลยเรื่องที่ผมโกหกเขาและเรื่องที่ผมไปคบเพื่อนเลวๆ ผมก็ได้แต่ก้มหน้าขอโทษเขา บทเรียนคราวนี้จะไม่ลืมจริงๆ



แล้ววันนี้ของผมก็กลับมาปกติธรรมดา และจบวันด้วยท้องที่เต็มไปด้วยเนื้อและพุงป่องๆ





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



ถึงจะเฉลยแล้วแต่ระหว่างนี้ก็ลองจับผิดกันดูเล่นๆ นะคะ 555555





หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-01-2018 19:23:05
ทุกอย่างเฉลยแล้วก็โล่งเลยละซิเจน
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 16-01-2018 19:54:44
เฉลยแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่ต้องจับผิดกันอยู่อีกเหรอ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 16-01-2018 21:56:20
รู้จักกันมาก่อนจริงๆด้วย สนิทซะด้วยนะะะ
เฉลยแล้วแต่มันต้องมีอะไรเหลืออีกใช่ม่ะ
หรือไม่เหลือแต่โกหกเพิ่ม? 55555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 16-01-2018 22:14:24
ยังมีอะไรอีกไหมเนี่ยย55
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 16-01-2018 22:59:56
งื้อ น่ารักกก  :-[ ชอบตอนคุยกันหลังจากที่รู้ความจริงหมดแล้ว
พี่ชายข้างบ้านนี่เอง ดูอบอุ่นมากๆ ชอบตอนที่น้องขอกอด
แต่คนพี่ก็ดีนะไม่ตามใจน้อง อย่างเรื่องล้างจาน
ถึงเล็กน้อย แต่ก็สอนให้ทำไรได้ด้วยตัวเองเนอะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 17-01-2018 00:22:03
พอเล่าความจริงหมดก็เผยนิสัยจริงเลยนะเจน  :hao6:
ตอนแรกเมมคู่นี้ว่าพี่ฌาน้องไนล์ ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นพี่ฌาณน้องเจนซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 17-01-2018 00:37:18
สนุกจังเลยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-01-2018 07:24:31
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 5 |- 16.1.2018 - p.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 19-01-2018 21:10:21
พอรู้ว่าพี่เป็นใครน้องดูนุ่มนิ่มขึ้นเลยนะ งอแงมากด้วย เอ็นดู๊วว 5555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 21-01-2018 14:35:06

Lies 6: Spinning round and round



วันนี้ฌาณออกไปสอนพิเศษแต่เช้า  ส่วนผมเพิ่งตื่นตอนเกือบๆ เที่ยง นอนขดเป็นหอยทากที่มีกระดองเป็นผ้าห่มผืนหนา ม้วนตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะบิดขี้เกียจยืดตัวและแซะตัวออกออกจากเตียง เพื่อมาทานอาหารเช้าร่วมกับอาหารกลางวัน เป็นวันว่างๆ อีกวัน วันอาทิตย์ฌานสัญญาว่าจะพาผมไป Takapuna Beach เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ผมต้องทำตัวเป็นเด็กดี



แต่หลังจากลองออกไปเที่ยวคนเดียวแล้วเจอแบบวันนั้นผมก็ไม่กล้าซ่าอีกเลย อยู่ในห้องดีกว่า ปลอดภัย



ผมนอนกลิ้งเล่นตามปกติ เปิดดูโน่นดูนี่ในไอแพดไป รอจนกระทั่งตอนเย็น ฌาณกลับมาพร้อมกับวัตถุดิบทำอาหารในถุงผ้า ผมช่วยเขาเก็บของเข้าตู้ก่อนเอ่ยถามอาหารเย็น ฌาณยกยิ้มเอ่ยบอกอาหารโปรดของผมทำให้ผมดีใจ



ทว่าเมื่อทานอาหารเย็นเสร็จผมต้องล้างจานเองอีกครั้ง เมื่อกลางวันผมก็ล้างไปแล้วรอบนึง พอตอนเย็นต้องมาล้างอีกเลยรู้สึกแปลกๆ ปกติแค่ได้ล้างจานสำหรับมันก็มากพอแล้ว แต่นี่ยังต้องทำถึงสองครั้งแถมยังต้องทำมันอีกเรื่อยๆ ผมรู้ว่ามาอาศัยกับเขาก็ควรช่วยเรื่องแบบนี้ แต่ยังไงผมก็ไม่ชินอยู่ดีนี่



พอล้างจานเสร็จผมก็ไปอาบน้ำ ทำตามชีวิตประจำวันของที่นี่ ส่วนฌาณก็คงนั่งทำงานเหมือนเดิม ผมก้าวเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าพาดไว้ตรงชั้นวางของข้างๆ อ่างล้างหน้า ก่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำ ที่มีประตูกระจกใสกั้นไว้ไม่ให้พื้นส่วนอื่นเปียกพร้อมกับยกระดับพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าถึงยังไงตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จก็ลากตัวเปียกๆ นี้ไปยังอ่างล้างหน้า และพื้นห้องน้ำก็เปียกอยู่ดี



แต่ก็คงดีกว่าเปียกไปทั้งหมดทุกส่วน



ผมเปิดน้ำอุ่นจนอุณหภูมิได้ที่ก่อนลงมือทำความสะอาดร่างกาย มีชั้นวางสบู่อยู่ข้างฝักบัว ผมออกแรงกดขวดสบู่เหลวมาถูตัวก่อนกดน้ำยาสระผมมาฟอกหัว ทว่าในระหว่างที่กำลังล้างชำระแชมพูบนหัวอยู่นั้นผมได้ยินเสียงกึกกัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโครม!



ผมหลับตาอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่แรงกระแทกเต็มฝ่าเท้าทำให้ผมสะดุ้ง เซจนเหยียบกับวัตถุทรงกลมสักอย่าง พลันเสียการทรงตัว ลื่นล้มไปอีกโครมใหญ่ๆ ในห้องอาบน้ำแคบๆ



เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย



“เจน...เป็นอะไร”



“...”



ผมตอบคนข้างนอกไม่ถูก ได้แต่พยายามขยี้ตาล้างแชมพูออกจากหน้าก่อนมองสภาพที่เกิดขึ้น...



ชั้นวางของข้างๆ ฝักบัวหลุดหล่นใส่เท้าผมพร้อมกับขวดแชมพูสบู่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น



“เจน เปิดประตูหน่อย”



“ป...แป๊บนึง”



ผมร้องบอกฌาณ เนื้อตัวยังเปลือยเปล่าจะให้เขาเข้ามาเห็นผมตอนโป๊ได้ยังไง แต่ทันทีที่ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บ แสบๆ คันๆ ที่เท้าขวา พอลงน้ำหนักลงเท้าซ้ายผมกลับพบว่ามันปวดผิดปกติ...



ก่อนที่ผมจะสรุปได้ว่าผมข้อเท้าพลิก



ผมเกาะผนังไว้ไม่รู้จะลงน้ำหนักไปที่ขาไหนดี แต่คิดว่าข้างที่โดนชั้นวางของตกใส่น่าจะเจ็บน้อยกว่า เลยพยายามพยุงตัวเองด้วยขาขวา กระเผลกๆ ไปจนคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ข้างนอกได้ ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ต้องเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้ได้ก่อน



ยังไม่ทันที่ผมจะได้พันผ้าขนหนูดีกลับได้ยินเสียงก๊อกแก๊กข้างนอก คล้ายคนกำลังบิดประตู จนผมนึกได้ว่าฌาณอาจจะกำลังใช้กุญแจสำรองเปิดประตูห้องน้ำ



“ฌาณ! เดี๋ยว!”



ผมรีบร้อนร้องห้ามเขาพร้อมกับพยายามเอื้อมไปปิดประตูที่กำลังแง้มออกมา ไม่ทันคิดว่าเท้าทั้งสองข้างผมเจ็บอยู่ ก่อนจะก้าวไปเหยียบกับพรหมเช็ดเท้าหน้าประตู เมื่อลงน้ำหนักลงเท้าซ้ายที่พึ่งพลิกไปทำให้ความเจ็บแล่นขึ้นปรี๊ด จนเสียการทรงตัวและ



โครม!



อีกรอบ...



“เป็นอะไรน่ะ”



“ฌาณอย่าเพิ่งเปิ-”



ผมโป๊อยู่และยังไม่ทันได้เอาผ้าขนหนูปิดส่วนลับได้ทันก่อนเจ้าของห้องจะเปิดเข้ามา เลยได้แต่นั่งหน้าแดง สัมผัสได้ถึงความร้อนของเลือดที่แล่นขึ้นมากองบนหน้า รีบใช้มือปิดเจ้าหนูของผมทันที เจ็บเท้าก็เจ็บ ยังจะต้องมาให้ฌาณเห็นสภาพแบบนี้อีก อยากจะร้องไห้แล้ว



ฌาณเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมหน้าขึ้นสี



“อายอะไร ตอนเด็กๆ อาบน้ำด้วยกันออกจะบ่อย”



“ไม่...ไม่เหมือนกันนี่ ฌาณออกไปก่อน”



เจ้าของชื่อฌาณ ไม่ทำตามคำขอของผมเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามา มองไปรอบๆ ห้องน้ำก่อนส่ายหน้า เอื้อมตัวไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองที่พาดไว้อีกฝั่งหนึ่งของห้องอาบน้ำ ปล่อยผมนั่งโป๊มองเขาอยู่กลางห้องน้ำเงียบๆ...



พลันคนตัวโตกว่าก็เอาผ้าขนหนูสีน้ำตาลของตัวเองมาห่อตัวผมไว้ พร้อมกับช้อนตัวผมขึ้น อุ้มจนผมลอยจากพื้น



“ฌาณ!”



“นิ่งๆ สิ”



เขาว่า น้ำเสียงทุ้มดังใกล้หูทำให้ผมชะงัก นิ่งเกร็งยอมให้เขาอุ้มไปวางไว้บนเตียงดีๆ หน้าผมยังคงร้อนผ่าวเมื่อฌาณจ้องมา ผมอ้าปากพะงาบๆ รีบค้นหาข้อความในหัวตัวเอง



“...ผมไม่ได้ทำมันพังนะ มันร่วงมาเอง...”



“...” โอเค อาจจะเพราะว่าผมใช้แรงกดแชมพูมากไปก็ได้ แต่ปกติมันก็ไม่พังนี่ ต้องเป็นเพราะมันเก่ามากแล้วนั่นแหละ



ฌาณไม่ตอบแต่จ้องหน้าผมพร้อมยกยิ้ม ก่อนเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ



“ยังล้างแชมพูไม่หมดเลยนี่”



“อือ...ซวยเป็นบ้า”



“เดี๋ยวรอพี่เก็บของในห้องน้ำแป๊บนึง”



เขาว่าพร้อมลุกขึ้นจากไป ทิ้งผมกับผ้าขนหนูของเขาที่ห่อตัวไว้ กับผ้าขนหนูตัวเองที่ผมกำไม่ปล่อย ให้นั่งอยู่บนเตียงเนื้อตัวเปลือยเปล่า ฌาน...ผมหนาวนะ



เหมือนเขาจะรู้เมื่อไม่นานฌาณก็โผล่มา อุ้มผมไปยังห้องอาบน้ำอีกรอบ ครานี้ฌาณจัดการวางขวดสบู่แชมพูไว้บนพื้นห้องอาบน้ำ ส่วนชั้นวางเนรคุณนั่นก็เอาออกมาวางที่ข้างๆ ชั้นวางรองเท้าหน้าห้อง



เนื่องจากชักโครกอยู่คนละฝั่งกับห้องอาบน้ำและฝักบัว ทำให้ฌาณวางผมลงบนพื้นยกระดับของห้องอาบน้ำแทน ผมอยากจะงอแงที่ต้องนั่งพื้น แต่อดทนเอาหน่อยก็ได้ ยังไงฌาณก็อุตสาห์เสียแรงยกผมไปมาขนาดนี้ ผมนั่งลงขอบพื้นที่ยกระดับ เอาผ้าขนหนูตัวเองมาปิดส่วนลับไว้ ส่วนผ้าขนหนูของฌาณก็ให้เขาเอาไปพาดไว้อีกที่



เขาเปิดน้ำอุ่นรดหัวผมอีกครั้ง ก่อนค่อยๆสางเส้นผมของผมเบาๆ ลูบหัวไล่น้ำและฟองแชมพูออกไปเรื่อยๆ จนผมเคลิ้มแทบหลับ แต่ก่อนผมจะหลับไปจริงๆ ฌาณก็ปิดน้ำ เป็นอันว่าการอาบน้ำของผมเสร็จสิ้นไปแบบทุลักทุเล



ฌาณอุ้มผมกลับมาไว้บนเตียงอีกครั้ง



“ใส่เสื้อเองได้มั้ย”



“ใส่ได้!”



เขายกยิ้มมุมปากก่อนออกจากห้องนอนไป นิสัยไม่ดี ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย เหมือนถูกเยาะเย้ยยังไงไม่รู้



ผมหยิบเสื้อนอนที่ฌาณเอามาวางไว้ข้างๆ พยายามใส่เสื้อให้ตัวเองเสร็จ ไม่นานฌาณก็เข้ามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล ผมไม่เคยเห็นเจ้ากล่องนี้เลยคิดว่าฌาณไปยืมมาจากกุสตัฟ



“มา ทายา”



“...”



ผมมองเขาปริบๆ ก่อนยื่นขาข้างที่มีแผลให้ฌาณ ระแวงว่าเขาจะจะทำให้ผมเจ็บหนักกว่าเดิมไหมเมื่อความทรงจำเก่าที่มีไม่ค่อยสวยงามนัก และตามคาดเมื่อฌาณจิ้มยาทาแผลใส่ผมเสียเต็มแรงจนผมร้องจ๊ากน้ำตาร่วง



“แผลนิดเดียวเอง”



“มันเจ็บ!”



“ทายาเดี๋ยวก็หาย”



“ก็ฌาณทำแผลเจ็บ โอ๊ย”  ผมร้องลั่นกว่าเดิมเมื่อเขาจิ้มใส่แผลผมอย่างไม่ปราณี น้ำตาผมร่วงเผาะๆ คนมือหนักอย่างฌาณไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ยังมือหนักอย่างนั้น ตอนเด็กๆ เวลาผมได้แผล ไม่มีเสียหรอกจะวิ่งไปหาฌาณ ผมให้ไจไม่ก็ป้าปุ้มที่เป็นพี่เลี้ยงทำแผลให้ตลอดนั่นแหละ เสียแต่บางทีสองคนนั้นก็ไม่ว่าง และผมต้องทนรับความเจ็บปวดมากกว่าเดิมหลายเท่าจากฝ่ามือปิศาจอย่างฌาณ ช่วงหลังๆ ผมเลยพยายามไม่เล่นผาดโผนอีกเพราะกลัวได้แผล



“อยู่นิ่งๆ” นินทาเขาในใจจบคนพี่ก็ดุ จับข้อเท้าผมแน่น ป้ายยาแสบๆ อีกสองสามครั้ง ก่อนปล่อย



“เอาอีกข้างมา”



ครานี้ผมหดขา ระแวงเขาใหญ่ น้ำตาจากบาดแผลเมื่อครู่ยังคลออยู่เต็มเบ้า



“เร็วๆ เดี๋ยวก็ไม่หาย อาทิตย์นี้ไปเที่ยวไม่ได้ไม่รู้นะ” เพราะเขาหลอกล่อผมด้วยที่เที่ยว ทำให้ผมยอมยื่นขาอีกข้างไปให้ฌาณอย่างช่วยไม่ได้ ผมอยากหายเร็วๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่อยากเจ็บมากกว่าเดิมนะ



ฌาณจับข้อเท้าผมก่อนที่ผมจะร้องลั่นเมื่อเขาจับไปโดนบริเวณที่มันพลิก ฌาณเอ่ยขอโทษก่อนหยิบยามาทาให้เบาๆ แต่ยังคงหนักไปจนน้ำตาเล็ดสำหรับผม เมื่อทายาเสร็จ เขาก็หยิบผ้าพันแผลมาพันให้



“พันเป็นเหรอ” ผมถาม



“เป็น ตอนไฮสคูลเคยเล่นบอลแล้วทำแผลให้เพื่อน”



“...ขนาดเคยทำแผลยังมือหนักขนาดนี้... โอ๊ย”



“อยู่เฉยๆ สิ”



ผมน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง จ้องมองคนมือหนักอย่างอาฆาตแค้น จนกระทั่งเขาพันข้อเท้าผมเสร็จสรรพก็ลุกขึ้น บอกให้ผมเข้านอน



“ร้องไห้เป็นเด็กเลย จบป.ตรีแล้วจริงเหรอ อย่างกับเพิ่งจบประถม”



“ยุ่ง”



“หึ ขี้แย”



เขาล้อก่อนออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมอารมณ์เสียอยู่คนเดียว...





หลังจากจบเรื่องผมพยายามเข้านอนตามปกติ คืนนี้ไม่หนาวเท่าไหร่ ผมไม่ต้องพึ่งไออุ่นจากฌาณ ปล่อยให้เขานั่งทำงานของเขาไป น่าแปลกที่พอรู้ว่าเป็นฌาณผมไม่ได้มีอาการเคอะเขินหรือเกร็งอย่างคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานเหมือนคนอื่นๆ ความสนิทกับฌาณยังคงเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยน



โอเค เขินตอนที่ผมโป๊ต่อหน้าเขาก็ได้... สถานการณ์แบบนั้นเป็นใครก็ต้องอายใช่มั้ยล่ะ



เพียงแค่นอกเหนือจากนั้นผมก็ไม่ได้เกร็งอะไรแล้ว เหมือนความสนิทที่มีต่อเขามันยังคงเท่ากับเมื่อตอนเด็ก






พอรุ่งเช้ามาถึง ผมได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ของฌาณดังเป็นเสียงปลุก จึงชันตัวลุกขึ้นมานั่งงัวเงียมองหาต้นเสียงที่เดินไปมาอยู่รอบห้อง พลันเขาก็หันมาเจอผมนั่งหน้ามุ่ยเพราะถูกเสียงรบกวนทำลายการนอน



“อ่ะ นี่ไง เจนตื่นแล้ว”



“?”



“ไจโทรมา คุยมั้ย”



“ไม่คุย”



ฌาณหัวเราะ ถามปลายสายว่าได้ยินไหม ผมไม่ได้ยินเสียงไจตอบกลับมาเห็นแต่ฌานส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนยกโทรศัพท์ออกจากหู กดๆ หน้าจอสองสามทีก่อนหันโทรศัพท์มาทางผม ทำให้ผมรู้ว่าเขาทำอะไร



ฌาณเปิดวิดีโอคอลอ่ะ!



“ฌาณ บอกว่าไม่คุยไง!”



“คุยเถอะ ไจอุตสาห์สละเวลานอนโทรมา”



“เจน ทำไมพูดงี้กับพี่อ่ะ”



“...” ผมทำปากเป็ดใส่ ไม่พอใจที่โดนขัดใจ แต่เพราะฌานเดินเข้ามาใกล้แล้วทำให้ผมหนีไปไหนไม่ได้ เท้าก็เจ็บอยู่ ถึงผมจะเดินหนีได้แต่จะได้สักเท่าไหร่ ห้องก็มีแค่นี้ บวกกับคำพูดของฌาณ เวลาของที่นี่เร็วกว่าที่ไทยไปหกชั่วโมง ตอนนี้ที่นี่แปดโมงกว่าแล้ว ที่ไทยก็ประมาณตีสาม... สุดท้ายเห็นแก่ความพยายามของไจก็เลยต้องยอมหันหน้ามารับโทรศัพท์ฌาณเพื่อคุยกับพี่ชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นเดือน



ผมรับโทรศัพท์ของฌาณมาหันหน้าจอเข้าหาตัวเอง เจอหน้าพี่ชายคนรองที่ไม่ได้เจอมาหนึ่งเดือนกว่า และไจก็ดุผมแทบทันที



“ทำไมไม่ตอบไลน์พี่”



“เจนลบไปหมดแล้ว ทั้งไลน์ทั้งเฟส ทุกอย่างเลย”



“เจน... แล้วถ้าเจนเป็นอะไรพี่จะรู้มั้ย”



“ถ้าเจนเป็นอะไรเจนก็ไม่บอกไจหรอก”



“เจน เด็กดื้อ!”



“เจนเปล่า”



“หลอกพี่แล้วมานิวซีแลนด์คนเดียวแล้วยังมีเรื่องอีก ฌาณฟ้องพี่หมดแล้ว คอยดูนะกลับมาจะทำโทษให้เข็ด”



“ไม่เอา ไม่ทำโทษเจนดิ...”



“ก็เจนหลอกพี่ แล้วยังไปที่นั่นคนเดียวอีก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง”



“ก็เจนไม่อยากอยู่ไทยแล้วนี่ ไจก็น่าจะรู้...”



“...เรื่องไนล์...พี่จะจัดการให้”



“ไม่ต้อง ไจไม่ต้องยุ่ง”



“เจน...”



“ช่างมันเถอะ”



ผมถอดหายใจพรืด จากที่เมื่อกี้ไม่ยอมสบตาคนในหน้าจอดีๆ ตอนนี้เลยหันไปมองหน้าไจอีกครั้งชัดๆ ไจยังเหมือนเดิม ก็แหงล่ะ ผ่านมาแค่เดือนเดียวจะเปลี่ยนไปได้มากแค่ไหน



“แล้ว...อยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง เงินพอมั้ย”



“ก็ดี...อากาศหนาวนิดหน่อยแต่ยังทนไหว ส่วนเงินก็พออยู่ ฌาณไม่ยอมรับเงินที่เจนให้เลยได้เงินสดกลับมาอีกเยอะเลย”



“อืม พี่จ่ายส่วนของเจนให้เขาแล้ว”



ผมหันไปมองฌาณ...ที่แท้ก็มีรายรับอยู่แล้ว ส่วนเขาแค่ยักไหล่ไม่แยแสกับคำพูดที่ถูกเปิดโปง



“ถ้าไม่พอก็รูดการ์ด”



“รู้แล้วหน่า” ทุกวันนี้ถ้าที่ไหนใช้การ์ดได้ผมก็ใช้ ส่วนใหญ่ที่นี่ก็รับการ์ดกันทั้งนั้น มีแต่เรื่องที่ต้องจ่ายค่าห้องค่าเบียร์ให้เพื่อนเลวกับจ่ายค่าวัตถุดิบสำหรับทำอาหารให้ฌาณเป็นเงินสด นอกนั้นผมก็แทบไม่ได้ใช้เงินสดมากเท่าไหร่



“ฌานทำอะไรไม่ดีใส่เจนมั้ย”



“เฮ้ ได้ยินนะ”



ผมหัวเราะขำพร้อมเอ่ยตอบพี่ชายในหน้าจอ



“ไม่เลย ฌาณใจดี ใจดีกว่าไจด้วย”



“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวตัดเงินเลย”



“งั้นไจใจดีกว่า”



“ฮะๆๆ”



เสียงหัวเราะพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มของไจทำให้ผมอมยิ้มตาม ให้ตาย ในส่วนลึกของจิตใจแล้ว...ผมคิดถึงบ้านมากจริงๆ เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะกลับไปไทย



“ไจทำอะไรไม่หลับไม่นอน”



“ทำงานน่ะสิ กว่าจะหาเวลาโทรหาฌาณได้ แล้วเจนก็ไม่เคยตอบไลน์พี่ด้วย”



ผมยักไหล่ ไม่สนใจเขา อย่างที่บอก ผมลบแอพพลิเคชั่นนี้ไปแล้ว



“แล้วอย่างนี้พี่จะติดต่อเจนได้ยังไง”



“...ไม่รู้ส่งส่งเมล์มั้ย”



“ล้อเล่นหรือไง”



“งั้นก็ส่งจดหมาย”



“โอเค เมล์ก็ได้ ถ้าพี่ส่งไปแล้วเจนต้องตอบกลับพี่นะ”



“...”



“ไม่งั้นตัดค่าขนมนะ”



“ก็ได้”



ผมคุยกับไจเรื่องที่บ้าน สลับกับเล่าว่าผมเจออะไรมาบ้าง เพียงแต่ผมเล่าคร่าวๆ ไม่รู้ว่าฌาณเล่าไปมากแค่ไหน อีกอย่างผมไม่อยากให้ไจเป็นห่วง พยายามบอกปัดไปว่าสบายดี แล้วก็ถามเรื่องทางบ้านมากกว่า ไจบ่นว่ากรุงเทพร้อนมาก ส่วนผมก็อวดว่าที่นี่หนาวมาก ผมโม้อีกด้วยว่าจะซื้อช็อกโกแล็ตไปให้ไจกับคนที่บ้าน ไจแถมมาว่าอย่าลืมซื้อครีมผึ้ง โคลนมาร์กหน้าให้แม่ด้วย ผมก็เออออไป จนฌาณปีนขึ้นมาบนเตียง เข้ากล้องคุยกับไจด้วยอีกคน



“มึงน่ะ ดูแลน้องกูดีๆ นะ”



“ไม่อ่ะ หลังจากนี้ว่าจะเทแล้ว”



จบเสียงฌาณ ผมหันหน้าไปจ้องเขาคิ้วมุ่น



“เมื่อคืนทำชั้นวางของพังไปอัน”



“มันหล่นมาเอง!” ผมแย้ง ส่วนฌาณยกยิ้ม แล้วไจก็รีบตอบกลับทันที



“เท่าไหร่”



ต้องอย่างนี้สิพี่ผม ใช้เงินแก้ปัญหาตลอด เพราะอย่างนี้ไงผมถึงติดนิสัยเขามา



 “หึ...ไม่เอาเป็นเงินนะ”



“เอาเป็นอะไร”



คำตอบของฌาณไม่ใช่คำพูด แต่เป็นการดึงตัวผมไปชนกับไหล่เขา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากนุ่มหยุ่นประทับลงมาที่กลางหน้าผาก



“ได้ละ”



ไจร้องไม่เป็นภาษา สบถคำหยาบคายแสบหูมากมาย



ฌาณคว้ามือถือไปจากมือผม ส่วนผมทำหน้าเหวอ ไม่คิดว่าฌาณกลายเป็นคนอย่างนี้ เขาไม่ใช่พวกชอบถึงเนื้อถึงตัว แต่ไม่แน่ว่ามาอยู่ต่างประเทศอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ถึงยังไงก็ไม่คิดว่าฌาณจะมาจุ๊บหน้าผากผมอยู่ดีอ่ะ



“มึงรออยู่ตรงนั้นเลยนะ กูจะบินไปฆ่ามึงเดี๋ยวนี้แหละ”



“มาดิ ขี้เกียจดูเด็กแถวนี้แล้ว ดื้อแล้วยังซน”



“ฌาณ!” ผมร้องแย้ง ไม่ได้ดื้อแล้วก็ไม่ได้ซนเสียหน่อย



“เจนกลับมาหาพี่เลย เดี๋ยวเลื่อนไฟล์ทให้”



“ไม่กลับ!”



“ฮะๆ” จนกระทั่งเสียงหัวเราะฌาณดังขึ้น เสียงโต้เถียงเมื่อครู่ถึงได้หยุดลง



“ล้อเล่นน่ะ ก็ดูแลให้เหมือนที่ทำตอนเด็กๆ นั่นแหละ”



“ดูแลให้มันดีๆ อย่าให้กูเห็นนะว่ามึงทำอะไรน้องกู”



“ถ้าทำคงไม่ทำให้ไจเห็นหรอก เนอะ” ยังมีหน้ามาเนอะใส่ผม ผมแยกเขี้ยวใส่ฌาณ ขู่เขาว่าผมดูแลตัวเองได้ ถ้าทำอะไรแปลกๆ ผมไม่ปล่อยเขาไว้แน่



ไจโวยวายไม่เลิก จนสุดท้ายคนข้างตัวผมบ่นใส่พี่รองสองสามคำก่อนกดวาง ผมหันหน้าไปมองเขาตาปริบ



“อะไร”



“ฌาณจะไม่ทิ้งผมจริงๆ ใช่มั้ย”



เขาหัวเราะเสียงใส เจิดจ้าจนใจผมกระตุก “ฮะๆ ไม่หรอก แกล้งไจไปงั้นแหละ”



“แล้ว...” ที่จูบหน้าผากผมเมื่อกี้... ผมสลัดคำถามแปลกๆ ออกจากหัวเพราะคิดว่าคงไม่จำเป็นที่ต้องถาม ยังไงคำตอบก็คงเหมือนประโยคเมื่อกี้ แค่แกล้งแหย่ไจไปก็เท่านั้น



ฌาณเห็นผมไม่ได้ว่าอะไรอีกก็ลุกจากเตียงไปเปิดแล็ปท็อป ตอนนี้เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว ผมยังนอนเน่าอยู่บนเตียง พลางขบคิดเรื่องราวในหัว ที่เริ่มกลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง...









❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄

 
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 21-01-2018 14:53:01
เจ็บตัวตลอดเลยน้องงงง ไม่ออกไปข้างนอกก็เจ็บตัวได้
ชั้นวางไม่รักดี แกล้งน้องเจนทำไม!! //ผิด 555555
พี่ไจน่ารักนะ ติดน้อง หวงน้องงงง
ฌาณก็ไปแกล้งน้องงงง ถึงเนื้อถึงตัวไปแล้ววว ต้องปรับ?!! 5555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 21-01-2018 16:08:40
น้องเจนโดนเห็นซะแล้ว แถมยังโดนหอมหน้าผากอีก พี่ฌาณเริ่มหวั่นไหวแล้วหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-01-2018 01:14:32
ตอนนี้ไม่มีอะไรให้จับผิดเลยว้า
เจนดื้อจังเลยลูกกก ต้องโดนพี่ฌานจุ๊บอีก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 22-01-2018 06:00:08
อืม จริงนะ ถ้าไจไม่เห็นก็ไม่เป็นไรหรอกเนอะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 22-01-2018 13:13:44
สับสนแล้วล่ะซี่ ท่าทางพี่ชายจะหวงน้องมากๆ เลยนะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-01-2018 13:48:56
เจ็บตัวได้ตลอดสินะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 22-01-2018 14:08:22
น้องเจนนนนนนนร
ว่าแต่ไนล์คือใคร ใช่เพื่อนที่ทะเลาะกันก่อนมาไหมน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 22-01-2018 18:23:51
คนพี่ก็ชอบแหย่พี่ชายน้องนะ ฮ่าๆ

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-01-2018 21:41:04
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Cardiac ที่ 28-01-2018 08:16:04
ไนล์ คือใคร
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 29-01-2018 02:44:49
น่าร้ากกกก งือออ หยักจุ๊บหน้าผากน้องบ้าง ไนล์คือใครอ่ะ น้องแกะปิดบังอะไรไว้อีกคะลูก รอเฉลย 5555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 6 |- 21.1.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 29-01-2018 10:03:52
ตัวละครค่อยๆเพิ่มมาทีละคน ปมเรื่องค่อยๆคลายออกมาให้ลุ้นทีละเรื่อง ส่วนความสัมพันธ์จองน้องเจนหับพี่ฌาณก็ค่อยๆเติบโต ชอบอะไรแบบนี้จัง ค่อยๆลุ้น ค่อยๆรัก :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 02-02-2018 14:36:02
Lies 7: I’ll color me blue



ผมดีใจที่ขาหายทันวันอาทิตย์ ข้อเท้าที่พลิกตอนนี้หายแล้ว ส่วนแผลถลอกยังไม่ถึงกับหายสนิท แต่แผลตกสะเก็ดและไม่เจ็บแล้ว ผมจึงยืนยันกับฌาณว่าเดินได้สบายมาก เขาขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราเลยออกเดินทางกันแต่เช้า เพราะที่นี่ช่วงเช้ามีตลาดนัดขายของมือสองอยู่ด้วย แม้ตอนตื่นจะอิดออดนิดหน่อยแต่สุดท้ายเราก็มาถึง Takapuna beach ตอนเก้าโมง



ทันทีที่ลงจากรถบัสผมก็เห็นร้านรวงวางขายเต็มไปหมด มีทั้งเสื้อผ้ามือสอง หนังสือเก่า นาฬิกาเครื่องประดับยันผักสด ขนมหวาน อาหารแต่ละชนชาติ มีหมูปิ้งของไทยขายด้วย แต่ผมสนใจขนมปังแฮนด์เมคอีกร้านมากกว่า เรียกได้ว่าที่นี่เป็นตลาดที่รวบรวมของแทบทุกประเภทเลยก็ว่าได้



ฌาณบอกจะพาผมมาซื้อเสื้อผ้าที่นี่ แต่พอเห็นว่ามันเป็นตลาดนัดมือสองผมก็ไม่ได้สนใจพวกเสื้อผ้าอีก ให้ความสนใจกับร้านอาหารหรือขนมมากกว่า



ผมต่อคิวซื้อขนมปังแฮนด์เมคก่อนเดินไปยังส่วนอื่นๆ พร้อมฌาณ เขาเลือกซื้อผักบางชนิดเพราะราคาถูกกว่าในมาร์เก็ต ส่วนผมก็เดินดูร้านเรื่อยเปื่อย คนที่นี่น่ารักมากเลย ยิ้มแย้มทักทุกคนที่เดินผ่าน มีแต่คนส่งยิ้มให้กันจนผมรู้สึกใจพองฟู เป็นเช้าที่สดใสจริงๆ



นอกจากนี้ผมยังเจอคนจูงหมามาเดินเล่นด้วย มีหลายสายพันธุ์ บางพันธุ์ผมก็ไม่เคยเห็นที่ไทย มีตัวนึงเหมือนพุดเดิ้ลบ้านเราแต่ขายาวตัวสูง ผมเลยแอบเรียกมันว่าพุดเดิ้ลยาวในใจ ก่อนจะมารู้ทีหลังว่ามันคือพุดเดิ้ลแท้ ส่วนพุดเดิ้ลตัวเล็กๆ ที่ไทยคือพุดเดิ้ลทอย...



ระหว่างเดินดูของ มีหมาสีดำตัวใหญ่ตัวนึงมามุดๆ ใส่เอวผม สงสัยได้กลิ่นขนมในมือ เจ้าของเขาขอโทษที่มันมารบกวน แต่ผมยิ้มให้เขา บอกไม่เป็นไรพร้อมเล่นกับเจ้าตัวโต ผมไม่รู้จักพันธุ์นี้อีกแล้ว แต่มันเป็นสุนัขตัวใหญ่ สูงเท่าเอวผม ขนสั้นเตียน ดูน่ากลัวมากแต่นิสัยน่ารักของมันทำให้ผมไม่กลัว แม้จะคิดในใจว่าถ้ามันยืนสองขาต้องสูงกว่าผมแน่ๆ ก็เถอะ เจ้าของเจ้าหมาตัวโตนี่ก็ยอมให้ผมเล่นกับมัน จนพอใจเราก็ต่างแยกย้าย



มาที่นี่ผมได้พบปะผู้คนมากมาย ทำให้รู้สึกได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์บ้าง เพราะก่อนหน้านี้เอาแต่คุดคู้อยู่ในห้อง พอได้คุยกับคนใหม่ๆ ก็ทำให้ใจผมร่าเริงตามไปด้วย อย่างน้อยคนที่นี่ก็น่ารักจริงใจอย่างสัมผัสได้



ฌาณพาเดินอีกสักพักก็ครบทั้งตลาด เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงขอเขาไปต่อแถวซื้อร้านฮอทด็อกที่ผ่านมาเมื่อครู่ ฌาณอนุญาต แต่บอกว่าจะรออยู่แถวนี้แทน ผมจึงไม่ไปกวนเขา เดินแยกออกมาไปต่อแถวรอซื้อฮอทด็อก เพราะกลิ่นของมันหอมมากจนอดใจไม่ไหว



หลังจากที่รอคิวสักพักผมก็ได้ฮอทด็อกแสนอร่อยอยู่ในมือ เดินไปหาจุดนัดพบที่ฌาณว่าแต่ไม่เจอเจ้าตัว ผมหันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าฌาณไปไหน จึงตั้งใจรอเขาอยู่ตรงนี้ อย่างไรเสียถ้าฌาณหายไปนานๆ ผมค่อยโทรหาเขาก็ได้



แต่ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงเสื้อในมือ



“โทษที รอนานมั้ย”



“ไม่นาน เพิ่งมา ฌาณได้อะไรมาอ่ะ”



“โค้ทมือสอง สวยดี ถูกด้วย”



ผมพยักหน้า เหลือบมองโค้ทสีดำในถุงก่อนจะไร้ความสนใจกับมัน เสื้อผ้ามือสองไม่ได้อยู่ในความคิดที่จะซื้อของผม ผมไม่ชอบใส่เสื้อใครก็ไม่รู้ แถมกลัวว่ามันจะสกปรก ก็เจ้าของคนก่อนหน้านี้เขาทำอะไรกับเสื้อพวกนี้มาบ้างก็ไม่รู้นี่ ผมไว้วางใจจะซื้อของมือหนึ่งมากกว่า



หลังจากที่เรารวมตัวกันแล้ว ฌาณก็พาผมไปทะเล



ทะเลที่นี่เป็นอ่าวกว้าง แต่เม็ดทรายไม่ละเอียดและไม่ขาวเท่าที่ไทย ทำเอาผมผิดหวังเล็กๆ ฌาณบอกว่าทะเลที่นี่นิยมเอาสุนัขมาวิ่งเล่น ทำกิจกรรมครอบครัวกันโดยส่วนใหญ่ ผมเลยคิดว่าทะเลไทยนี่แหละเจ๋งที่สุดในโลก



วันนี้อากาศหนาวเหมือนปกติ แต่พอมาทะเลแล้วลมแรงกว่าทุกที ผมที่ใส่เสื้อโค้ทตัวใหม่คิดว่าอุ่นแล้ว แต่พอลมพัดมาทีนึงผมก็แอบหลบข้างหลังฌาณทีนึง ฌาณตัวสูงกว่าผมไปเป็นคืบ บังลมผมได้เต็มๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอุ่นขึ้นเท่าไหร่ ทำไมผมถึงไม่มีภูมิต้านทานความหนาวเอาเสียเลย ส่วนฌาณเมื่อเห็นผมหลบลมก็เอาแต่ยิ้มขำ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับลมแรงๆ นี่เลย



สุดท้าย แม้เราจะเดินไปไม่สุดฝั่งของทะเล แต่ฌาณกลัวว่าผมจะป่วยเอาเลยพาไปสตาร์บัค เพื่อหลบอากาศเย็นๆ นี้ แถมด้วยโกโก้อุ่นๆ ให้ผมจิบคลายหนาวด้วย



หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ไปไหนต่อ ด้วยเพราะฌาณกลัวผมป่วยจากลมแรงๆ ส่วนผมก็ไม่กล้าบอกเขาว่าเริ่มเจ็บเท้านิดๆ แล้ว เราเลยตกลงกันกลับห้อง แม้ว่าวันนี้จะได้เที่ยวนิดเดียวแต่ผมก็พอใจมากพอควร เพราะได้คุยกับคนเยอะแยะมากมาย ทุกคนที่ผมคุยด้วยล้วนมีแต่รอยยิ้มเจิดจ้าคอยส่งมา ขนาดพ่อค้าแม่ค้ายังยิ้มให้เลย ทำให้ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ดีแล้ว



พอกลับถึงห้องไจก็ส่งเมล์มาถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เพราะอย่างงี้ไงผมถึงขี้เกียจหาช่องทางติดต่อกับไจ ไจชอบเป็นห่วงผมมากจนเกินไป แม้ว่าผมจะทำให้ไจรู้สึกแบบนั้นก็ตาม



ส่วนฌาณก็ตรงดิ่งไปเปิดแล็ปท็อปทันที ผมคิดว่าฌาณนี่จริงๆ แล้วก็เนิร์ดพอควรเลย เห็นว่างทีไรก็ทำแต่งาน



ระหว่างนั้นเหมือนฌานจะนึกได้ว่าควรสอนผมใช้เครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาผมรอให้ฌาณซักผ้าก่อนจะฝากของตัวเองให้เขาด้วย ในห้องมีเครื่องซักผ้ากับตู้อบผ้าอยู่ข้างๆ ห้องครัว เปิดใช้งานทีก็ดังไปทั้งห้อง แต่ผมไม่เคยแตะต้องมันเลย ผมกลัวทำพัง ส่วนฌาณเองก็ไม่เคยว่าอะไรที่ต้องคอยซักผ้าให้ผมด้วย



แต่ตอนนี้ฌานไม่ใช่ฌาแล้ว ส่วนผมก็ไม่ใช่ไนล์ เขาไม่ยอมให้ผมงอมืองอเท้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงต้องมาฟังหลักสูตรการซักผ้าไปอย่างช่วยไม่ได้



หลักๆ แล้วก็ง่ายกว่าที่คิด แค่ใส่ผ้า ใส่น้ำยาซักผ้าประมาณหนึ่งฝา ปิดฝาตู้ กดปุ่มสองสามปุ่ม รอให้มันแห้งก็เอาเข้าเครื่องอบผ้า กดอีกสองสามที



ปกติแล้วเราจะซักผ้ากันประมาณอาทิตย์ละครั้งหรือนานกว่านั้น ฌาณบอกจริงๆ เขาซักสองอาทิตย์ครั้ง ผมทำหน้าเหยเกที่ต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำ แต่ฌาณแก้ตัวว่าที่นี่ฝุ่นควันไม่เยอะเหมือนที่ไทย คนที่นี่ไม่นิยมซักผ้ากันด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ชินนี่ อยู่ที่ไทยต้องซักผ้าทุกวันถึงจะรู้สึกว่าสะอาด แต่ยังไงผมมาต่างถิ่น เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คอยปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไปอย่างไม่สามารถขัดได้



ระหว่างรอผ้า ผมนอนเล่นไอแพดในมือไปจนใกล้เย็น ฌานก็ลุกไปทำหน้าที่พ่อครัวที่ดี พอเครื่องอบผ้าหยุดร้องเสียงดังแล้วฌาณก็เรียกให้ผมไปเก็บผ้า ผมเดินลงจากเตียง เปิดเครื่องอบผ้า กวาดกองเสื้อผ้าอุ่นที่ยับยู่ยี่ทั้งของผมและของฌาณมาไว้บนโซฟาเบด ก่อนจะสังเกตว่าฌาณเปิดหน้าเฟสทิ้งไว้



ผมคงไม่สะกิดใจอะไรถ้าหน้าเฟสที่ฌาณเปิดอยู่ไม่ใช่เฟสของผม...



แถมยังเลื่อนไปยังหน้าไทม์ไลน์ที่มีโพสต่างๆ แปะอยู่หน้าวอล์ ผมวางผ้า หันหน้ามาเลื่อนดูหน้าจออย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เมื่อโพสที่แปะหน้าวอล์ผมมีแต่คนเดิมที่โพสติดๆ กัน



ความรู้สึกบางอย่างโถมเข้าใส่ผมอย่างจัง จากที่ตัวเองอุตสาห์หลีกเลี่ยงโซเชี่ยลพวกนี้แล้ว แต่กลับมาเจอมันเข้า ทำให้ผมรับมือกับคลื่นข้อความพวกนี้ไม่ถูก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ตัวเองอ่านโพสของคนๆ นี้ ตัวเองรู้สึกอย่างไร



“เจนข้าวเสร็จแล้ว”



“...”



จนฌาณเรียผมจึงได้สติกลับคืนมา ผมจ้องเขาก่อนเอ่ย



“ฌาณแอบส่องเฟสผมเหรอ”



“อืม...” เขายอมรับ เมื่อหลักฐานอยู่คาตาผมเสียขนาดนี้



“อยากรู้ว่าไนล์เป็นใคร วันก่อนเห็นไจพูดถึง...” เขาว่าต่อ เฉลยถึงเหตุผลที่แท้จริง โถ่ ผมนึกว่าเขานั่งทำงาน ที่ไหนได้มานั่งส่องเฟสผมแบบนี้น่ะหรือ อยากจะขำให้ตาย เพียงแต่สีหน้าผมกลับราบเรียบ ไม่แสดงอะไรออกไป กลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคือก่อนเอ่ยตอบเขา



“...ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่”



เย็นวันนี้ เรากินข้าวกันในความเงียบ... ผมไม่ชวนฌาณคุยเหมือนเคย ส่วนฌาณเองก็ไม่พูดอะไรกับผมเช่นกัน ความคิดหลายอย่างของผมวิ่งวนในหัว ผ่านไปผ่านมาจนจับไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองคิดอะไรอยู่ พอข้าวหมดจานแล้วผมก็ลุกไปล้างจาน ไม่อิดออดเหมือนทุกที ทำตามกิจวัตรประจำวันตามเดิม



ไม่มีคำพูดระหว่างเราจนถึงเวลาเข้านอน



ฌาณใช้โซฟาเบดเป็นที่นอนหลังจากไม่ได้ใช้มันมานาน ทิ้งให้ผมนอนอยู่บนเตียงกว้างๆ นี้คนเดียว จนสุดท้ายตัวเองก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ยอมเป็นฝ่ายจบสงครามประสาทนี้



“ฌาณไม่มานอนนี่อ่ะ”



“...ได้เหรอ”



“ก็เตียงฌาณ”



“นึกว่าโกรธพี่อยู่”



“...ไม่ได้โกรธ...แค่แบบ...ไม่รู้อ่ะ”



“อืม พี่ผิดเอง ไปแอบค้นข้อมูลส่วนตัวของเจน”



“เฟสไม่ใช่ที่ส่วนตัวสักหน่อย...ช่างมันเถอะ มานอนเร็ว ผมหนาว”



อาจจะผิดที่ผมเองด้วยซ้ำที่ไปแอบดูแล็ปท็อปของเขา



คนพี่ไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มขำเหมือนเคย เขาพับโซฟาเบดเก็บก่อนปิดไฟ ขึ้นเตียงมานอนข้างๆ ผม ยังไงฌาณก็ถือว่าเป็นพี่ชายผมคนหนึ่ง... เรื่องในวันนี้ผมไม่อยากเอามาเป็นปัญหาให้เราต้องมาทะเลาะกัน



ผิดที่ผมเองแหละที่ทำใจที่ต้องเห็นโพสของคนๆ นั้นไม่ได้ คนที่ผมจงใจหลีกเลี่ยงมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นิวซีแลนด์ ต้นเหตุของเรื่องราวทุกอย่าง คนที่เคยเป็นเกือบทุกความรู้สึกของผม คนที่ใช้อำนาจเงินเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจไม่ได้



เพื่อนสนิทผมที่ชื่อว่าไนล์...



ผมนอนไม่หลับ จ้องเพดานห้องที่มืดตื๋อ ครุ่นคิดถึงไนล์ที่โพสหน้าวอล์เฟสผม ขบคิดถึงตัวอักษรสวยงามที่ผ่านการร้อยเรียงมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนเผยสู่สาธารณะ ไม่รู้ว่าช่องทางอื่นๆ ของผมจะเป็นยังไง ผมไม่อยากรู้และไม่ต้องการรับรู้มันอีก



พลันคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครานั้นติดอยู่ในใจผมเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน วนเวียนอยู่ในความคิด ตามหลอกหลอนทุกครั้งที่เผลอเหม่อ สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ผมเหนื่อยกับการที่ต้องรู้สึกอย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากย้ายมาอยู่ที่ที่ไกลแสนไกลอย่างนิวซีแลนด์ ไกลมากพอที่เขาจะตามตัวผมไม่ได้ ไกลจนคิดว่ามันมากพอที่จะลืมสิ่งที่เขาทำได้



นิวซีแลนด์เป็นตัวเลือกที่ดี



แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่เราเคยสัญญาไว้ว่าจะมาด้วยกัน



ตลกดี ผมตีตัวออกห่างจากเขาเพราะไม่อยากเจอ ไม่อยากนึกถึง แต่กลับเลือกประเทศที่ครั้งหนึ่งเราเคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน สัญญาที่เคยมั่นหมายเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาให้ได้สักครั้ง บัดนี้คำสัญญากลายเป็นเพียงลมปาก  ป่นปี้ย่อยยับไม่เหลือซาก เมื่อสัญญามีแค่ผมคนเดียวที่ทำตาม



‘เจน เราขอโทษ



เราคิดว่าเจนเป็นเพื่อนคนสำคัญมาตลอด ไม่ว่าเจนจะเป็นยังไง เราจะอยู่ข้างเจนนะ’



‘เจนอยู่ไหน ทำไมจู่ๆ ถึงหายไป’



 ‘เจนตอบไลน์เราหน่อย ใจไม่ดีเลย’



‘เจน พี่ไจบอกว่าเจนไปนิวซีแลนด์เหรอ...’



‘เจน...’



‘เจน...’



‘เจน...’





ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้





แต่เผลอตื่นมาตอนกลางดึก ท้องฟ้ามืดมิด อากาศหนาวกว่าตอนกลางวันทำให้ผมขดตัว กระเถิบไปยังฝั่งที่ฌาณนอนอยู่ ทว่าไม่เจอร่างของเจ้าตัวเหมือนทุกที...ผมชันตัวลุก หันซ้ายหันขวา รอบข้างมีเพียงความมืดที่ปกคลุม ลมหนาวพยายามแทรกตัวมาเฉือนผิวหนังผมจนสั่นสะท้าน



ฌาณหายไปไหน



ทั้งห้องเงียบเหงาวังเวง ราวกับผมตกอยู่ในความฝัน แต่ผมมีสติพอที่จะรู้ว่านี่คือความจริง ผมลุกจากเตียงไปสอดส่องอีกห้อง ทว่ามีแต่ความมืดที่ทักทายผม ไร้ร่องรอยของฌาณ ฌาณทิ้งผมไว้กับความมืดคนเดียว เมื่อเดินจนทั่วห้องแล้วไม่เจอเงาของเจ้าของห้อง ห้องน้ำเองก็ไม่มีใครใช้งาน ผมจึงเดินกลับมายังเตียงนอน



ก่อนที่น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ



ความกลัวอะไรบางอย่างกัดกร่อนจิตใจจนเผยความอ่อนแอออกมา ผมไม่ได้เตรียมใจรับมือกับการตื่นมาอยู่คนเดียว ในวันที่สภาพจิตใจเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเช่นนี้



“ร้องไห้ทำไม?”



“...”



ผมเงยหน้าหันไปตามต้นเสียง ฌาณกลับมาแล้ว ผมคงตั้งใจร้องไห้เกินไปจนไม่ได้ยินเสียงยามร่างสูงเข้ามาใกล้ คนเป็นพี่ขยับตัวขึ้นเตียงมาหาผม เอ่ยถามประโยคเดิมอีกครั้ง



“ร้องไห้ทำไม”



ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของมันคืออะไร แต่สาเหตุหลักๆ ของมันคงจะเป็นเพราะ…



“ฌาณหายไป...”



“พี่ไปห้องกุสตัฟมา หมอนั่นโทรมาขอยืมแฟลชไดร์ฟ”



“ฮึก” ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ยังกลั้นน้ำตาให้ไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้



“เด็กโง่ ไม่ต้องร้องแล้ว พี่อยู่นี่” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม ขยับนิ้วมือเกลี่ยไล่น้ำตาที่เกาะอยู่ข้างแก้มผมออกไป ผมก้มหน้าหนีก่อนทิ้งตัวซุกลงบนอกเขา ฌาณกวาดมือมาโอบรอบตัวผม ลูบหลังเบาๆ คล้ายปลอบใจ



ปลอบใจจากอะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่แน่ใจ



ว่าที่จริงแล้วผมกลัวที่ฌาณหายไป หรือเพราะเรื่องราวของคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเมื่อตอนเย็นกระทบจิตใจมากเกินไปกันแน่...



แต่ไม่ว่ายังไง สุดท้ายผมก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของฌาณอีกครั้ง





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄





ทีละนิดทีละหน่อย

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 02-02-2018 15:04:06
ชอบตอนน้องแกะพาเที่ยว น่าร้ากกกก
น้องเก็บความลับอะไรไว้บ้างนะ เหมือนกดความรู้สึกไว้ พยายามลืมแต่ความจริงมันอัดแน่นเต็มไปหมด ให้พี่ฌาณกอดนะ
รอวันที่น้องจะยอมเผชิญหน้ากับปัญหา เอาใจช่วยนะเจ้าแกะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-02-2018 16:12:19
 :z13:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-02-2018 19:29:42
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Cardiac ที่ 02-02-2018 20:29:27
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-02-2018 22:41:18
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 02-02-2018 23:08:18
สงสัยๆ ว่าไนล์ทำอะไร
น้องถึงหนีมานิวซีแลนด์

มาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 02-02-2018 23:12:36
อ่านแล้วอยากไปเดินเที่ยวเลยยยย
กอดเจนโอ๋ๆนะ ไม่ร้องนะ ; ^ ;
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 7 |- 2.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-02-2018 19:23:19
เจนเจอแต่ละคน แล้วทำไมน้องดูซื่อ
เค้าดูแลก็ว่าดีด้วยแล้วหรอ ดีนะกุสตาฟกับฌาณมาช่วยทัน

เห็นน้องเศร้า พี่ฌาณเลยต้องโอ๋ใหญ่โต
ฌาณชอบแกล้งน้องด้วย แกล้งพี่ด้วย

เจนติดกอดฌาณแล้วไม่รู้
ไจเลี้ยงเจนแบบไข่ในหินมาก
มาเจอพี่ฌาณเข้าไป งานนี้มีทำเองหลายอย่าง 

ชีวิตการอยู่คนเดียวไม่ง่ายนะ
ทำไมเจนถึงเลือกหนีมา
ไนล์เป็นใคร เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรอเจน
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 8 |- 14.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 14-02-2018 17:52:46
Lies 8 : Dying like a shooting star



ในที่สุด ฌาณก็พาผมมาดูแกะที่ One tree hill ที่นี่มีแต่ทุ่งหญ้า เนินเขาและต้นไม้อีกแล้ว แต่นิวซีแลนด์เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติ เพราะงั้นผมจะไม่บ่นว่าทำไมมีอยู่แค่นี้ อย่างน้อยก็ยังได้เห็นเจ้าแกะเดินไปเดินมา มันไม่ยอมให้คนเข้าใกล้หรือจับตัว แต่ดันมากินหญ้าใกล้ๆ คนอ่ะ แกะย้อนแย้ง



จุดเด่นของที่นี่คือยอดเขาที่มีอนุสรณ์สถานของใครสักคนอยู่ แต่กว่าจะเดินถึงก็เล่นเอาผมแทบตาย ทางขึ้นเขาทั้งชันทั้งไกล ผมหอบจนเหนื่อย แม้ว่าอากาศจะดีมากๆ ก็ตามเถอะ ระหว่างทางเห็นมีคนขับรถขึ้นก็ได้แต่โกรธฌาณว่าทำไมไม่มีรถใช้ จะได้ไม่ต้องเดินไกลขนาดนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย จะตายอยู่แล้ว



แน่นอนว่าฌาณแค่หัวเราะขำเหมือนทุกที ไม่ได้สนใจคำพูดผมนักหรอก แม้ว่าผมจะจริงจังกับเรื่องนี้ก็ตาม



เราเดินกันเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงยอดเขา เพราะผมเอาแต่พักเหนื่อย วิ่งไล่แกะ แวะดูนู่นดูนี่ ในระหว่างที่ผมออกนอกลู่นอกทางฌาณก็ถ่ายรูปรอไป ที่นี่มีแกะกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด พวกมันอยู่ด้วยกันเป็นฝูง จะย้ายที่ทีนึงก็เคลื่อนกันเป็นขบวนก้อนขนวิ่งตุบตับๆ ผ่านไป



บางตัวขนฟูแต่บางตัวก็ไม่มีขน ฌาณบอกว่าสงสัยโดนตัดขนไปแล้ว มันดูตลกแต่ก็น่ารักไปอีกแบบ



ผมเล่นจนเหนื่อย พอถึงยอดเขาก็ไม่มีอะไรนอกจากลมเย็นๆ วิวสวยๆ และความภาคภูมิใจของตัวเองที่เดินมาจนถึงปลายทางได้สำเร็จ ที่นี่มีคนเอาสุนัขมาวิ่งเล่นด้วยอีกแล้ว ผมได้ทักทายไปบางตัว มีหลายพันธุ์ที่ผมไม่เคยเห็น มันตลกและน่ารักดี



เราเอ้อระเหยอยู่บนยอดเขาสักพัก เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงนี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆ ผมอยากชื่นชมความพยายามของตัวเองก่อน อีกอย่างคือขี้เกียจเดินลง...



เราเดินขึ้นเนินนู้นไปเนินนี้ เสร็จแล้วก็ไปเนินนั้น เพราะว่ามันมีแค่นี้ เนินเขาทุ่งหญ้าสีเขียวท้องฟ้าสีฟ้าและแกะประปราย ฌาณไม่ได้มีแพลนไปไหนต่อ ผมเองก็เช่นกันเพราะอย่างนั้นเราเลยเอ้อระเหยกันนานหน่อย



ผมเดินหลบขี้แกะที่เป็นเหมือนกับดักระเบิดตามพื้นหญ้า หวังจะไปดูวิวตรงหน้า เมื่อเห็นเมืองโอ๊คแลนด์ในมุมสูงและเนินสีเขียวเรียงรายสวยงามจนผมฉีกยิ้มหว้าง ผมหันไปฌาณ รีบบอกให้เขามาดูด้วยกัน



ทว่ากลับได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์ พร้อมกับเลนส์กล้องที่ส่องมาทางผม



ฌาณลดกล้องลง เผยรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาก่อนเงยหน้าขึ้นมา



“หน้าตาตลกดี”



“เดี๋ยวเถอะ ไหนเอามาดู”



ผมร้องโวยวาย ฌาณเล่นถ่ายทีเผลอเลยไม่ได้เก๊กหล่อเลย เขาเปิดรูปในกล้องตัวเก่งให้ผมดู ก่อนที่จะเห็นรูปตัวเองยิ้มแฉ่งกำลังหันมาทางกล้อง ลมพัดเส้นผมปลิวลู่ลมถูกแช่ค้างไว้ในรูปภาพ มีแสงอาทิตย์ที่ฉาบใบหน้าผมไปเกือบครึ่ง พร้อมกับท้องฟ้าสีสดใส



มันดู...ตลกเพราะผมหน้าบาน แต่กลับเป็นรูปที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป...ฌาณถ่ายรูปสวย จนไม่คิดว่าคนในรูปจะเป็นผมจริงๆ มันดู...สดใสและเจิดจ้าเกินไป



“...ออกจะดูดี”



เมื่อฌาณเห็นผมเงียบไปจนผิดสังเกต เขาจึงขยับตัวเหมือนต้องการเรียกสติผม ทำให้ผมต้องตอบกลับไป เชิดหน้าหนีแต่ไม่ลืมดึงแขนเสื้อฌาณให้มาดูวิวตรงหน้าด้วยกันตามความตั้งใจแรก



“ตรงนี้วิวสวย ถ่ายมาเยอะๆ นะ” ผมบอกเขา ฌาณเลิกคิ้วแต่ก็มุดลงไปในกล้อง กดเล็งภาพก่อนจะได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์ตามมาแชะๆ



ฌานไม่ค่อยถ่ายรูปคน และผมก็ไม่ค่อยขอให้เขาถ่ายตัวเองสักเท่าไหร่ มันเขินๆ แถมรู้สึกไม่ชิน มีแค่ไม่กี่ที่หรอกที่ผมจะขอให้เขาถ่ายให้เพราะเซลฟี่แล้วมันบังวิวมิด เพราะงั้นรูปผมเมื่อครู่นี้จึงทำให้ผมคิดว่าฌาณถ่ายรูปคนเก่งเป็นบ้า



“หนาวมั้ย”



“ไม่ค่อย”



หลังจากที่ผมแอบมองฌาณถ่ายรูปรอบๆ แล้วเขาก็เดินกลับมาถามผม วันนี้แดดแรงเป็นพิเศษทำให้อากาศอุ่นๆ มีลมเย็นๆ พัดโกรกมาบ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดหนาวจนเข้ากระดูก ไม่เจ็บจมูกเวลาหายใจ ไม่เจ็บหูด้วย



“หิวรึยัง”



“...นิดหน่อย”



“งั้นลงไปหาอะไรกินกัน”



“แต่ผมไม่อยากเดินลง”



“...”



“มันเหนื่อย...ฌาณแบกผมหน่อยดิ”



“...งั้นก็อยู่ตรงนี้ไป”



ผมร้องโอดครวญ ฌาณไม่ใจดีเลย มันเมื่อยขาอ่ะ แต่ไม่ลงก็ไม่ได้ ผมไม่อยากติดแหง็กอยู่บนนี้แย่งเจ้าพวกแกะกินหญ้า เลยได้แต่เดินตามฌาณไปบ่นไป ถ้าได้มาอีกคราวหน้าขอมีรถนะ…



วันต่อมาผมพักตัวอยู่ในห้อง ขาล้าไปหมดจนคร้านที่จะเดิน ส่วนฌาณก็ออกไปทำงานที่ห้องสมุดเพราะนัดกุสตัฟไว้ ผมทำตัวเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซน ไม่ออกไปไหนคนเดียวตามคำสั่งเขา เสียแต่น่าเบื่อเป็นบ้า ซีรีส์ก็ดูจบหมดแล้ว หนังสือก็อ่านแล้ว ทีวีก็ไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ เบื่อ เบื่อ



วันถัดมาฌาณมีสอนพิเศษตั้งแต่เช้าจนค่ำ บอกให้ผมหากินเอง แต่ห้ามออกไปไหน แล้วผมทำไงได้อ่ะนอกจากต้มน้ำร้อนเทใส่มาม่ากินเปล่าๆ เพราะต้มไข่หรือไส้กรอกไม่เป็น อันที่จริงผมเปิดเตาไม่เป็นด้วยซ้ำ



ก็ฌาณไม่สอนอ่ะ



ผมทำได้แค่ล้างจานกับซักผ้า อุปกรณ์นอกเหนือจากนี้ผมไม่กล้าแตะแล้ว กลัวทำมันระเบิด



ฌาณเคยบอกว่าถ้าทำอาหารให้เปิดเครื่องดูดอากาศด้วย เพราะถ้าควันมันไปทำให้สัญญาณดับเพลิงทำงาน รถดับเพลิงจะมาถึงที่ คนในที่พักต้องออกมาข้างนอก และถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราจะเสียค่าปรับสองหมื่นดอลฯ ผมไม่กลัวเสียตังหรอก ผมกลัวจะรบกวนคนอื่นมากกว่า กลัวห้องระเบิดด้วย เพราะงั้นผมขอไม่เสี่ยงดีกว่า



แต่จะให้กินมาม่าทั้งวันผมก็ไม่เอาอ่ะ เพราะงั้นตอนเย็นเลยแอบฝ่าคำสั่งเขาออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแถวที่พัก ผมรีบไปรีบกลับ และทุกอย่างก็ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น



บางทีทั้งผมทั้งฌาณอาจจะระแวงเพื่อนเลวคนนั้นเกินไป แต่ป้องกันไว้ก็ดีกว่าแก้



ผมกลับขึ้นห้องอีกครั้ง ฟ้ามืดแล้วแต่ผมไม่ง่วงเลยสักนิด ผมนอนทั้งวัน ไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเลย ตัวแทบจะเปื่อยยุ่ยติดกับเตียง ตอนนี้ก็ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมา ใช้เวลาอย่างไร้ค่าจริงๆ



ผมว่างจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่มีฌาณให้พูดด้วยแล้วแทบบ้ากว่าเดิม เบื่ออ่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะอยู่ได้สบายๆ นะ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้เบื่อแบบนี้ ทั้งว่างทั้งเหงาจนคิดฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว อาบน้ำก็แล้วเล่นเกมในมือถือก็แล้ว แต่ก็ยังหยุดความคิดฟุ้งซ่านไม่ได้



และคงจะฟุ้งซ่านมากไปหน่อยเมื่อผมโหลดแอพพลิเคชั่นที่ไม่คิดจะใช้ตลอดสามเดือนกลับมาเล่นอีกครั้ง...



แอพพลิเคชั่นสีเขียวเริ่มใช้งานทันทีที่ผมล็อกอินเข้าไป ตัวเลขสีแดงแจ้งเตือนทะลุเป็นหลักพัน ผมกดเข้าไปอ่านข้อความของไจก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนมากก็มีแต่เรื่องที่ไจโวยวายที่ติดต่อผมไม่ได้ ผมกดออก ไล่ดูกลุ่มแชทอื่นๆ กดเข้าไปในกลุ่มแต่ไม่ได้อ่านทั้งหมด เพราะแค่อยากให้แจ้งเตือนหายไป



จนกระทั่งถึงแชทล่าสุดที่ผมละเลยไว้สักพัก...



ผมกดเข้าไปก่อนรีบกดออก ไม่อยากอ่านข้อความในนั้นเลยสักนิด สุดท้ายแล้วผมก็ไม่รู้จะโหลดไลน์กลับมาเล่นทำไมทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากติดต่อใครหรืออ่านข้อความของใคร...



จนกระทั่งโทรศัพท์แจ้งเตือนว่ามีคนแชทมา ผมก้มส่องหน้าจอก็ขึ้นชื่อเป็นบุคคลที่ผมหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด...



ผมไม่ได้กดเข้าไปอ่าน ปล่อยให้มันเด้งแจ้งเตือนขึ้นข้อความตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จับจ้องตัวอักษรที่อีกฝ่ายส่งมาข้อความแล้วข้อความเล้าอย่างเหม่อลอย



ทันใดนั้น มือถือของผมก็สั่นเป็นจังหวะยาว ผมสะดุ้งและถึงได้รู้ว่าคนๆ นั้นคอลมา...



ไม่รับ ไม่ต้องรับ อย่ากดรับ กดวาง ตัดสาย ปิดเครื่อง ทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ได้คุยกับเขาอีก อย่าสนใจ กดปิดไปสิ



“เจน...?”



“...”



ทั้งที่สมองสั่งการให้ปฏิเสธมากมายขนาดนั้นแท้ๆ สุดท้ายผมก็แตะลงตรงปุ่มสีเขียวอยู่ดี...



เพียงแต่ผมกดเปิดลำโพงแล้วรีบวางทันทีที่กดรับสาย ราวกับว่าวางมันไว้ไกลๆ แล้วจะช่วยอะไรได้



“เจน? ฮัลโหล”



“...”



“เห็นว่าอ่านไลน์ เราเลยแชทหา แต่เจนไม่ตอบเลยโทรมา...”



“...”



“เราอยากคุยด้วย เจน... ถ้าได้ยินก็ตอบเราหน่อย”



ไม่อยากคุย



“อืม”



“...เจน...เรื่องตอนนั้นเราขอโทษ...”



“อือ”



“...ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนี้ เราผิดเอง...”



ไม่ใช่หรอก...



“คือ...ไม่รู้จะพูดยังไงอ่ะ เราไม่อยากให้เจนเสียใจ...แต่มันก็...”



“...ช่างมันเถอะ”



“เจน...”



“ไนล์ไม่ต้องใส่ใจหรอก...”



“ไม่ได้ดิ ยังไงเจนเป็นเพื่อนคนสำคัญของเรานะ”



สำคัญยังไง ถ้าสำคัญจริงจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ ที่จริงแล้วไม่ได้สำคัญอะไรเลยไม่ใช่หรือไง



แย่แล้ว...ก่อนสะอื้นมันมาจุกที่คอจนผมพูดอะไรกลับไปไม่ได้...



“เจน...ยังฟังอยู่รึเปล่า”



“...”



“ถ้ายังไงก็กลับมางานแต่งของเราเถอะนะ ยังไงเจนก็-”



ผมคว้าโทรศัพท์มือถือมากดตัดสายก่อนโยนมันทิ้งไป น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลออกมานองหน้า



“...เมื่อกี้คุยกับใคร-”



“...”



ฌาณกลับมาแล้ว ผมได้ยินเสียงเปิดประตูในระหว่างที่คนในสายกำลังจะพล่ามประโยคที่ผมไม่ต้องการรับรู้ แต่ที่ผมตัดสายเขาทิ้งไม่ใช่เพราะฌาณ เป็นเพราะผมเองที่ไม่สามารถทนฟังเสียงจากเขาได้อีกแล้ว



“ร้องไห้ทำไม”



ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้ว มันไปตกอยู่บนพื้นพรมปลายเตียง ฌาณเก็บมันขึ้นมาก่อนเลิกคิ้วสงสัย เพราะโทรศัพท์เจ้ากรรมยังคงสั่นครืดร้องโวยวายเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนใช้ไลน์โทรมา



เป็นใครไมได้หรอกนอกจากคนที่ผมตัดสายไปก่อนหน้านี้



ผมไม่ตอบเขา ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ จ้องเจ้าของห้องว่าจะทำยังไงกับมือถือของผมต่ออย่างไม่คิดจะเอ่ยแนะนำอะไร แค่จ้อง…เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะกระทำสิ่งอื่น



จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนเงียบลง และไม่มีเสียงใดแทรกเข้ามา ฌาณโยนโทรศัพท์ของผมที่จอดำมืดมาไว้บนเตียง ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าฌาณกดปิดเครื่องให้ไปแล้ว



คนตัวโตเคลื่อนตัวมาบนเตียงนุ่ม ขยับตัวเข้าหาผมก่อนสองมือเย็นๆ นั่นจะสัมผัสเข้ากับแก้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตา



“ไม่ร้อง...”



สิ้นสุดความเข้มแข็ง ผมทิ้งตัวปล่อยให้ความอ่อนแอโจมตีตัวเอง สะอื้นไห้ในอ้อมกอดฌาณอย่างหนัก



...ผมอยากจะร้องจนหลับไป แต่ในความเป็นจริงผมไม่หลับ แถมน้ำตาก็หมดก๊อกแล้ว ผมฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ จากฌาณอยู่อย่างนั้นและเขาก็ลูบหลังผมอยู่ไม่หยุด ฌาณยังไม่ทันได้ถอดโค้ทสีดำของเขาด้วยซ้ำแต่ต้องมาปลอบผม ที่จู่ๆ ก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าใส่ พอมาคิดดูแล้วก็น่าอายนิดหน่อย



ผมขยับตัวซุกเข้ากับอกฌาณ อยากให้เขาคอยลูบหลังปลอบใจอย่างนี้ต่อไป แต่พอเขาเห็นว่าผมหยุดร้องไห้แล้วจึงค่อยๆ ผละออก



“ตาบวมหมดแล้ว”



“...”



“นอนเถอะ เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดหน้าให้”



ผมกดหน้าลงต่ำ ส่วนฌาณก็ลุกออกจากเตียงไป ทั้งที่เขายังคงอยู่ในห้องแต่ผมกลับรู้สึกเคว้างคว้างอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากให้ฌาณอยู่ใกล้ๆ กับผมก่อน กอดผมไว้ก่อนอย่าเพิ่งลุกไปไหน



เขากลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำหมาดๆ ฌาณค่อยๆ บรรจงเช็ดหน้าผมช้าๆ



ผมเงยหน้าขึ้น สบตากับเขา



ถ้าเป็นฌาณ...จะเป็นไปได้มั้ยนะ



“แล้วเป็นอะไร จู่ๆ ก็ร้องไห้ซะหนัก”



“...”



“คนที่โทรมา...”



“อืม...ไนล์”



“...เป็นอะไรกับเขา”



“เพื่อน...”



“โกหก...”



“นอนเถอะ”



“เจน...”



ฌาณกดเสียงต่ำเหมือนจะดุเมื่อผมหนีคำตอบ ทิ้งตัวลงกับเตียงก่อนคลุมโปง ทว่าผมสัมผัสได้ว่าฌาณยังไม่ลุกไปไหน และผมก็ไม่อยากนอนคนเดียวด้วย เลยค่อยๆ แง้มผ้าห่มมาจ้องหน้าเขา...ที่จ้องผมก่อนอยู่แล้ว



“เจน” เขากดเสียงต่ำอีกครั้ง



“ฌาณมานอนด้วยกัน” ส่วนผมร้องเสียงอ่อน หวังออดอ้อน ตบพื้นที่ข้างตัวปุๆ



“ไม่กินข้าวหรือไง”



“ไม่หิวแล้ว...”



“ต้องไปอาบน้ำก่อน”



“ไม่เอานะ...”



“...”



“ฌาณอยู่กับผมก่อน”



“อาบน้ำก่อน เรานั่นแหละ เล่ามาเลยเป็นอะไร”



“ฌาณจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ”



“...เอาไว้ประกอบการตัดสินใจในการดูแล”



“มานอนก่อน ถ้านอนผมจะเล่านะ”



ผมไม่อยากนอนคนเดียวตอนนี้เลยบอกเขาเช่นนั้น สุดท้ายฌาณก็ถอนหายใจ ยอมทำตามความเอาแต่ใจของผม เขาขยับตัวถอดเสื้อโค้ทสีดำโยนไปไว้ตรงโซฟาเบด ถอดเสื้อกันหนาวอีกชั้นจนเหลือเพียงเสื้อคำเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงเดฟสีดำ ขยับตัวมายังที่ว่างข้างๆ ตัวผม ถึงจะขัดกับสถานการณ์แต่ผมอยากชมว่าพอฌาณใส่ชุดรัดรูปแบบนี้แล้วเท่เป็นบ้าเลย



ฌาณล้มตัวนอน หันหน้ามาจ้องผม เลิกคิ้วเป็นเชิงว่าเขาทำตามที่ผมบอกแล้ว



พอจ้องใบหน้าของเขาแล้วผมเกิดความลังเลขึ้นมา ไม่กล้าเล่าความจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมกลัวว่าพอรู้ความจริงแล้วฌาณจะไม่กอดผมอย่างนี้อีก แต่เพราะแววตาจริงจังของเขาทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น เรียบเรียงใหม่ในหัวเพื่อเตรียมกล่าวออกไป



ก่อนจะเอ่ย ผมขยับตัวเข้าหาฌาณ ซุกลงไปในอ้อมกอดอบอุ่น ปล่อยให้เขากอดตัวเองไว้อย่างนั้น หลับตานิ่งนึกถึงเรื่องราววุ่นวายก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่ทำให้ผมลี้ตัวเองมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ เรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะคนๆ เดียว...





คนเรารับมือกับความผิดหวังได้ต่างกัน...





คนที่เคยได้รับทุกสิ่งมาอย่างง่ายดายอย่างผม เปราะบางกว่าที่คิด เหตุเพราะทั้งชีวิตนี้ผมแทบไม่เคยผิดหวังเลย... ดังนั้น ผมจึงรับมือกับความผิดหวังไม่เป็นเท่าไหร่



ผมถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม ด้วยเพราะเป็นลูกคนเล็กของบ้าน อันที่จริงจะว่าคล้ายจะเป็นลูกหลงก็ได้... ในทีแรก พ่อกับแม่ตั้งใจจะมีลูกแค่สองคนคือเจดกับไจ และตั้งใจจะให้พี่ชายสองคนนี้สืบทอดกิจการที่บ้านต่อ แต่ผมดันโผล่มาแบบงงๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผมออกมาเป็นลูกคนที่สาม



ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบอะไร ทำตามใจชอบได้อย่างอิสระ ไม่เคยถูกบีบบังคับ ไม่ต้องแบกรับอะไร ทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ผมถูกสปอยมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตสุขสบายจนน่าอิจฉา



และทั้งนี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตระกูล...



เคยคิดเช่นนี้ตอนกระทั่งพบว่าตัวเองช่างไร้ความสามารถ เหมือนเกิดมาใช้ชีวิตให้จบๆ ไป แต่เพราะไนล์เข้ามาทำให้ผมรู้สึกมองเห็นค่าอะไรบางอย่างในตัวเอง



ความรู้สึกที่อยากจะก้าวข้ามผ่านความไม่ต้องดิ้นรนอะไร เพื่อใครสักคน



และคนๆ นั้นคือไนล์



ผมหลงรักเขามาตั้งแต่มัธยม และรักมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้



ทว่าการหลงรักก็เป็นได้แค่การรักข้างเดียว เมื่อไนล์ไม่ได้มีท่าทีเช่นเดียวกับผม แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะในช่วงนั้นไนล์เองก็ไม่ได้เป็นของใคร ไนล์ไม่ได้คบใคร ไม่มีแฟน ไม่มีคนรัก ไม่มีคนที่ชอบ ไนล์ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม ราวกับว่าผมได้ครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว และผมก็คิดเช่นนั้นมาตลอดว่าเขาเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว



เราสนิทกันมาก ขนาดที่มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังตลอด ไปเที่ยวเล่นกันที่บ้านจนพ่อแม่ของเรารู้จักกัน ตัวติดกันจนเพื่อนทุกคนรู้ว่าถ้ามีผมก็ต้องมีไนล์ และถ้ามีไนล์ต้องมีผม



และสุดท้ายในวันจบม.หก เราจูบกัน



ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่นชายสองคน แต่เราก็จูบกัน



แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนกันไม่กระทำเช่นนี้ก็ตาม...



หลังจากวันนั้น ไนล์มีท่าทีเปลี่ยนไปจนผมแอบเข้าข้างตัวเองว่าไนล์ก็มีใจ ทว่าพอเริ่มเข้ามหาลัยได้ไม่กี่เดือน ไนล์กลับพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผมเพื่อบอกว่าหล่อนคือแฟนคนแรกของเขา



เธอผู้โชคดีคนนั้นชื่อลินดา สวยสมชื่อสมความหมาย ดีกรีดาวคณะ แน่นอนใจผมแตกสลาย อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่ม ในทีแรกผมไม่อยากคาดหวังกับความสัมพันธ์ของเราอยู่แล้ว ไม่คิดว่ามันจะไปได้ไกลมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่เพราะการกระทำที่เลยเถิดคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ทำให้ผมเสียใจเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว



และดูเหมือนมีแค่ผมเพียงคนเดียวที่เสียใจ



หลังจากนั้นไนล์กับเธอก็คบกันมาเรื่อยๆ ผมภาวนาให้ทั้งคู่เลิกกันเข้าสักวันด้วยความอิจฉา แต่อนิจจา สุดท้ายฟ้าก็ตอบแทนผมโดยวันที่จบภาคเรียนปีที่สาม ไนล์บอกว่าจะหมั้นกับลิน



โลกของผมดับมืดอีกครั้ง ไนล์ไม่เคยคบใคร ผมคิดว่าไนล์เป็นของผมแค่คนเดียว ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเขาคิดจริงจังกับผู้หญิงคนนี้ ไนล์หลงรักเธอจนหมดใจ และถ้ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องเคยจูบกันด้วย



ทำไมต้องทำอะไรที่มันเกินเลยเกินกว่าคำว่าเพื่อน



ทำไมต้องทำให้ผมมีความหวัง



ทำไมต้องทำให้มันเกิด



แล้วทำไมถึงยอมนอนกับผม



ผมเคยนอนกับไนล์ในช่วงแรกๆ ที่เขาคบกับลิน คงเพราะความอยากรู้อยากลอง ไม่ก็ความไร้สติของเขาหรือเพราะไม่อยากเสียหน้าโดนตราหน้าว่าเป็นหนุ่มซิงไร้ประสบการณ์ตอนนอนกับหล่อนล่ะมั้ง ถึงได้มาทำเช่นนี้กับผม



และผมที่หลงรักเขามีหรือจะกล้าปฏิเสธ คิดเป็นเด็กว่าถ้าเขานอนกับผม มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วไนล์อาจจะหันมาชอบผมบ้างก็ได้



ทั้งที่สุดท้ายก็เป็นแค่ความคิดโง่เง่า...



ความเสียใจผมล้นท้นจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้



ถ้อยคำต่อว่าด่าทอคนบนฟ้าไม่ทำให้พวกเขาเห็นใจ ผมทรมานกับการที่ไนล์เป็นของคนอื่นถึงสามปีเต็ม จวบจนปีสุดท้ายของการศึกษา ไนล์บอกว่าจะแต่งงานกับลินทันทีหลังเรียนจบ



คำพูดของไนล์ราวกับฟ้าผ่าฟาดลงมาจนแทบหมดสติ ผมถูกเขาทำลายความหวังอย่างย่อยยับ ไม่เหลือพื้นที่ให้เผื่อความสัมพันธ์ ความคิดขัดแย้งมากมายถาโถมเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่



ถ้าจะเป็นแบบนี้ ทำไมต้องจูบ



ทำไมต้องยอมนอนกับผม



ทำไมไม่ทำให้มันจบแค่คำว่าเพื่อน



ทำไมต้องทำให้ผมมีความหวัง



และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไนล์กล่าวประกาศว่าจะแต่งงานกับลินดา ผมก็เผยความในใจออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป



ไนล์ไม่ได้มีท่าทีตกใจ ราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของผมอยู่แล้ว ยิ่งตอกย้ำให้ผมใจสลายมากกว่าเดิมเมื่อเขาไม่คิดจะรัก แต่ก็ยังทำท่าทีเหมือนมีใจ ทั้งๆ ที่รู้ดีแท้ๆ ว่าผมรู้สึกอย่างไร



น้ำตากี่พันล้านหยดก็ไม่อาจทดแทนความรู้สึกของผมได้



จนสุดท้าย เมื่อกำหนดวันแต่งงานของไนล์ออกมา ผมก็เลือกที่จะบินหนีมาไกลๆ อย่างนิวซีแลนด์ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเราเคยให้สัญญาว่าจะมาด้วยกันสักครั้ง



หากแต่สุดท้ายแล้วคำสัญญาก็เป็นแค่ลมปาก



ถ้าการดิ้นรนแล้วทำให้ผมแตกสลายอย่างนี้ เช่นนั้นผมก็ขออยู่เฉยๆ เสียดีกว่า







❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



Trust me...
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 8 |- 14.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-02-2018 18:43:29
 :ling2: :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 8 |- 14.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: หยาดน้ำค้าง ที่ 17-02-2018 01:05:29
โถ่วววว น้องเจน ไม่เป็นไรนะ โอ๋ๆ พี่ฌาณรีบๆดามใจน้องเร็ว เห็นเจนเศร้าแบบนี้ไม่ดีต่อใจคนอ่านเลย  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 8 |- 14.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-02-2018 04:03:51
 :o12: ช้ำรัก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 8 |- 14.2.2018 - p.3
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 17-02-2018 07:24:09
ไนล์ทำตัวไม่ดีเลยนะ ให้ความหวังน้องงง //ตี
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 17-02-2018 17:01:41
Lies 9: Warm sun and wind in my ears



ผมมองค้อนฌาณอย่างหงุดหงิด โกรธที่เขาพามาที่ไกลๆ ยังไม่พอ ต้องเดินเยอะ แถมฝนยังตกจนต้องมาหลบฝนในห้องน้ำสาธารณะที่หนาวๆ นี่อีก แต่ฌาณก็ได้แต่ยิ้มขำใส่ผมอยู่นั่นแหละ เสื้อผมเปียกไปจนถึงกางเกงในแล้ว และมันก็หนาวมากๆ ด้วย ผมโกรธฌาณแล้ว โกรธมากๆ มากๆ



“ไหนมากอดกัน”



“ไม่ต้องมายุ่ง!”



“ไม่หนาวหรือ”



“ไม่!”



“เด็กดีไม่โกหกนะ”



ผมหน้ามุ่ย ขยับตัวหนีอ้อมแขนของเขา เพราะฌาณนั่นแหละทำให้ผมต้องมาเปียกฝนแถมหนาวแบบนี้ โกรธมาก ไม่ต้องมายุ่งเลย



จากเรื่องที่ผมเล่าให้ฌาณฟังพอคิดดูก็ตลกดี ผมอยากจะหนีจากไนล์ แต่พอจะหนีไปไกลๆ ที่แรกที่ผมนึกถึงกลับเป็นประเทศที่เราเคยสัญญาว่าจะมาด้วยกันให้ได้สักครั้ง



ตลกซ้ำสองเมื่อผมถูกซีนหักหลังอีกครา ครั้งนี้ผมไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเอง ผมไว้ใจคนง่ายไปจริงๆ คิดง่ายเกินไปเพียงเพราะไม่ต้องการจะอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำของผมกับไนล์เต็มไปหมด จนเกือบพลาดท่า



ตลกที่สามคือพอผมได้มาเจอฌาณแต่กลับกังวลว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีเหมือนซีนรึเปล่า แต่ผมโง่ในการใช้ชีวิตเหลือเกิน ไม่รู้จะปกป้องตัวเองยังไง คิดว่าการไม่บอกข้อมูลตัวเองออกไปน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และเป็นตลกที่สี่...ที่ผมเลือกใช้ชื่อไนล์แทนชื่อตัวเอง...



น่าขำที่ชื่อแรกที่โผล่เข้ามาในหัวกลับเป็นชื่อของคนที่ผมหนีมา ยิ่งตอกย้ำว่าผมไม่มีทางลบเขาออกไปได้เลย



บอกแล้ว ผมรับมือกับปัญหาไม่เก่งหรอก มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด แต่สุดท้ายคนที่ประกอบเศษซากร่างกายที่แหลกละเอียดของผมให้กลับมาก็คือฌาณ...



จบเรื่องราว ฌาณไม่ได้เอ่ยความเห็นอะไร เพียงแค่ลูบหลังเช็ดน้ำตาให้ผมไปเรื่อยๆ สัมผัสอุ่นกล่อมผมจนเคลิ้มหลับไป...



เช้าวันต่อมาผมปวดหัวเพราะเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เรื่องราวที่กดไว้ในส่วนลึกของหัวใจถูกตะกรุยขึ้นมาอย่างเละเทะ ทุกอย่างที่ผมหนีมากลับย้อนเข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง เพียงเพราะผมไม่หนักแน่นเอง



เพราะสุดท้ายคนที่แหวกพื้นที่ต้องห้ามให้มาโจมตีใส่ผมก็คือตัวผมเอง



ฌาณยื่นแก้วโกโก้อุ่นๆ มาให้เมื่อผมลืมตาตื่น ชันตัวพิงหัวเตียงได้พักนึง ผมเอ่ยขอบคุณเขา รับน้ำโกโก้แสนอร่อยมาจิบ เรื่องราวหนักหัวคล้ายจะหายไปเหมือนโกโก้ของฌาณช่วยเยียวยา



“นอนพักซะ เหมือนจะมีไข้หน่อยๆ ด้วยนี่” ฌาณบอกผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้าเมื่อรู้สึกตาร้อนและปวดหัว เมื่อโกโก้หมดแก้วแล้วก็ส่งกลับไปให้ฌาณ ก่อนนอนคลุมโปงปวกเปียกอยู่บนเตียงอีกครั้ง



ผมซึมกะทือไปทั้งวัน แม้ว่าวันต่อมาฌาณจะพาผมไปเที่ยวที่ Devonport แล้วก็ตาม Devonport อยู่ในเมืองโอ๊คแลนด์ เป็นพื้นที่ที่ยื่นเข้าไปในทะเลเกือบจะเป็นเกาะอยู่แล้ว เราเดินทางโดยเรือเพราะใกล้กว่านั่งรถไป นั่งเรือไปประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่เพราะมันเป็นเกาะเล็กๆ เลยไม่มีอะไรนอกจากเนินเขาสูงๆ ให้เดิน...อีกแล้ว



ครานี้เนินเขาวิคตอเรียไม่ได้ทำให้ผมประทับใจเหมือนเขาอีเดน หรือวันทรีฮิลล์แล้ว เพราะมันเหมือนกันหมด ข้างบนเป็นฟ้าข้างล่างเป็นหญ้า สีฟ้าตัดกับสีเขียว เหมือนกับทุกที่นั่นแหละ จะมีก็แต่เขาวิคตอเรียมีท่อเห็ดสีแดงสดที่วางเรียงรายอยู่บนยอดเขาให้ถ่ายรูปเหมือนอยู่ในเกมมาริโอ้ แต่ก็แค่นั้น



ฌาณพาผมไปกินฟิชแอนด์ชิพแถวนั้น มันก็อร่อยดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมร่าเริงขึ้นเริง จะมีก็แต่ร้านช็อกโกแล็ตบูติคของที่นี่ที่พอทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง ผมซื้อช็อกโกแลตมาหลายกล่องเพราะคิดว่งคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ฌาณก็ไม่ว่าอะไร เราจบวันกันอย่างงงๆ



ผมถอนหายใจเหม่อลอยอยู่บนโซฟาเบด ส่วนฌาณนั่งพิมพ์วิจัย ผมไม่น่าโหลดไลน์กลับมาเล่นเลย ตอนนั้นคิดอะไรอยู่อ่ะ...



หรือหวังอะไรอยู่...



ป๊อก



“เลิกคิดมากได้แล้ว”



ผมตกใจที่จู่ๆ ฌาณก็เอาปากกามาเคาะหัวผม ผมคงถอนหายใจน่ารำคาญมากไปหน่อย และเพราะผมนั่งอยู่ข้างเขาที่โซฟาเบดทำให้ฌาณทำร้ายผมได้อย่างง่ายดาย



“...คนเรามันเลิกคิดได้ด้วยหรือไง” ผมเถียง เบ้ปากบู้



“ทีก่อนหน้านี้ยังไม่คิดมากขนาดนี้เลย”



“ก่อนหน้านี้ผมหนีความจริงหรอก”



“อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ”



“...”



“ยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อยู่แล้ว กลุ้มใจไปก็เหนื่อยเปล่า คิดหาความสุขให้ตัวเองดีกว่าน่า...”



“...หูย เพิ่งรู้ว่าพูดอะไรอย่างนี้ได้ด้วย”



“เดี๋ยวเถอะ” ผมอมยิ้มให้ฌาณ จริงอย่างที่เขาว่า ยังไงผมก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว สู้สรรหาความสุขให้ตัวเองมากๆ ว่าแล้วก็กินช็อกโกแล็ตดีกว่า



ฌาณหลุดหัวเราะพรืดเมื่อเห็นผมลุกไปหยิบช็อกโกแล็ตที่ซื้อจาก Devonport มานั่งกินข้างเขา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแซวอะไรผมต่อนอกจากลูบหัวผมเงียบๆ



มาถึงวันนี้ ฌาณพาผมมา Shakespear Park เพราะเขาบอกว่าเป็นที่ไกลๆ และไม่ค่อยมีคนอย่างที่ผมต้องการ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงแต่ก็ยอมตกลงตามฌาณมา แล้วก็หงุดหงิดทันทีเมื่อเราใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการเดินทางมาถึงที่นี่ แถมแถวนี้ไม่มีร้านอาหารอะไรอีกต่างหาก ดีนะที่ฌาณซื้อแม็คโดนัลเก็บไว้ ทำให้ตอนเที่ยงเราได้มีข้าวกินระหว่างทาง



สวนเชคสเปียร์กว้างมาก พื้นที่ใหญ่โตจนแทบจะเป็นหนึ่งอำเภอได้เลย แน่นอนว่าผมไม่รู้พื้นที่ที่แน่ชัดของมันหรอก แต่กะเอาจากการเดินอย่างเหนื่อยล้าแล้วนี่ผมว่ามันต้องถึงหนึ่งอำเภอแน่ๆ เผลอๆ อาจจะเป็นหนึ่งจังหวัดด้วยซ้ำ มันใหญ่อ่ะ ใหญ่เกินไป



เรามาถึงทางเข้าสวนหลังจากเดินไปกินแฮมเบอร์เกอร์ไป เป็นครั้งแรกที่ผมไม่อิ่ม เพราะใช้พลังงานในการเดินเยอะมากๆ พอมาถึงมันก็ไม่มีอะไรนอกจากทุ่งหญ้ากับท้องฟ้าอีกแล้ว แต่ระหว่างทางผมได้เห็นบรรยากาศชานเมืองของโอ๊คแลนด์ ทำให้อารมณ์ดี



จนกระทั่งเราเดินมาถึงทะเลอะไรสักอย่าง ที่หาดทรายเป็นสีดำ ผมตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็น ก้มเล่นทรายสีประหลาด เดินตามชายหาดไปเรื่อยๆ จู่ๆ ฝนก็ตก ทีแรกฌาณพาไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะคิดว่าคงตกไม่หนัก



แต่ฌาณคิดผิด เพราะหลังจากที่เรามาหลบใต้ร่มไม้แล้ว ทั้งลมทั้งฝนก็โหมกระหน่ำเทลงมาราวกับเจอพายุลูกใหญ่ ผมตกใจมาก แถวนี้ไม่มีที่หลบฝนเลย และเราก็เดินมาไกลนิดหน่อยด้วย แต่สุดท้ายเมื่อต้นไม้ใหญ่ปกป้องเราไม่ได้อีกต่อไป ซ้ำพายุยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คลื่นน้ำในทะเลคลั่ง ท้องฟ้ามืดและมีฟ้าแลบด้วย ฌาณจึงพาผมฝ่าลมและฝนวิ่งกลับทางเดิม



ก่อนมาแอบหลบฝนกันในห้องน้ำสาธารณะที่ใกล้ที่สุด...



แต่กว่าจะมาถึงที่นี่ผมก็เปียกโชกไปทั้งตัว เปียกไปถึงกางเกงในก็ให้รู้แล้วกันว่าเปียกมากแค่ไหน แทบเอาสบู่มาอาบน้ำได้แล้ว ฮึ่ย ฌาณแย่



“ไหนเจ้าแกะขี้หนาว ขนเปียกจนลู่หมดแล้ว”



“ขนผมไม่ได้ลู่ เอ๊ย...”



ฌาณหัวเราะชอบใจที่ผมเผลอพูดตามเขา นี่คนนะ ไม่มีขนแกะอะไรนั่นหรอก ผมกอดตัวเอง หันหลังให้ฌาณ หนาวจนสั่น อากาศปกติผมก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว นี่เล่นเปียกโชกทั้งตัวไปอีก ไม่ชอบเลย มันแฉะๆ ไม่สบายตัว แล้วเดี๋ยวก็จะไม่สบายอีก



จนผมสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนจากคนข้างๆ ฌาณยืนซ้อนหลังผมก่อนกอดผมเบาๆ เอาคางมาวางบนหัวผมด้วย มันน่าตีนัก



ในห้องน้ำไม่ได้มีกลิ่นเหม็นอะไร เพราะดูไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้ รวมถึงในตอนนี้ในห้องน้ำสี่เหลี่ยมกว้างๆ นี้ก็มีแค่ผมกับเขาที่ยึดพื้นที่นี้ ผมไม่ได้อายที่ฌาณกอด แต่เพราะยังโกรธอยู่จึงพยายามขยับตัวหนี



ถึงอ้อมกอดฌาณจะอุ่นมากจนอยากอยู่นานๆ ก็เถอะ



ผมขยับตัวออก ฌาณก็ดึงผมให้หลังชิดกับอกเขา ตอนแรกมันหนาวเพราะทั้งเสื้อผมและเขาเปียกทั้งคู่ แต่สักพักมันก็อุ่น... ผมยอมไม่ขยับก็ได้ กลัวเป็นหวัดหรอก



ฌาณยังคงเอาคางทิ่มหัวผมอยู่อย่างนั้น ทำยังกับหัวผมเป็นที่รองคางให้เขา ยิ่งรู้สึกตอกย้ำในความสูงของตัวเอง อือ ฌาณสูงกว่าผมไปเกือบหนึ่งช่วงหัวเลยนั่นแหละ ผมสูงประมาณปลายจมูกเขาเอง... พอผมยอมนิ่งฌาณก็เหมือนได้ใจ จับตัวผมโยกไปมาอย่างไร้ความหมาย



“หนาวไหม”



“...หนาว”



“ขอโทษนะ ลืมเช็คพยากรณ์ฯ”



ได้เหรอวะ “เพราะฌาณอ่ะ ถ้าผมป่วยผมจะฟ้องไจ”



“ผิดไปแล้วครับ”



เขาหัวเราะในลำคอ แต่คำว่าครับของฌาณทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลย ปกติเขาไม่พูดลงท้ายด้วยหางเสียงอย่างนี้ ผมขยับตัวหันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขาทั้งที่ยังถูกกักขังอยู่ในอ้อมกอด



ระยะห่างระหว่างเราใกล้กันนิดเดียว



ใกล้จนผมมองเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาเขา



“หายนอยด์ยัง”



“...ไม่ได้นอยด์สักหน่อย”



“ก็เห็นอยู่...”



“...”



ผมโกหกเขาไม่ได้หรอก การกระทำผมมันฟ้องขนาดนั้นว่าสองสามวันที่ผ่านมาผมทำตัวนอยด์แดกจริงๆ



“ผม...” ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมไม่ได้อยากทำตัวซึมกะทือแบบนี้ แต่มันหยุดคิดไม่ได้



ฌาณกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนผมเงยหน้าไปมองหน้าเขาอีกครั้ง เหมือนจะใกล้กว่าเดิม



“ผมไม่ได้อยากรู้สึกอย่างนี้เลย มันอึดอัด น่ารำคาญ จะหนีก็ไม่ได้ มันติดอยู่ในหัวอยู่อย่างนั้น...”



“อยู่กับปัจจุบันก็พอ” คนพี่สั่งสอน ก่อนก้มมาจูบหน้าผากผมแผ่วเบา



ประโยคของเขาเหมือนเปิดทางให้ผมอีกครั้ง อยู่กับปัจจุบัน ไม่เห็นต้องไปคิดถึงเรื่องในอดีตเลย ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องคิดเผื่ออนาคต เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คิดไปก็ปวดหัวเปล่า



ผมจับจ้องไปยังแววตาสีรัตติกาลที่เป็นกระจกสะท้อนตัวผม มันค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็มองไม่เห็นมัน ภาพตรงหน้าดำมืดเพราะผมหลับตา



พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปาก...



รสจูบของฌาณมันแปลก ริมฝีปากเขาเย็นเพราะอุณหภูมิ แต่รู้สึกดี แตกต่างจากตอนที่ผมจูบกับไนล์ ฌาณประกบปากผมแนบสนิท ดูดคลึงริมฝีปากล่างก่อนค่อยๆ ผละออกไป ผมเห็นดวงตาของเขาอีกครั้ง และหลับตาลงอีกครั้งเพื่อฉกชิมริมฝีปากหวานที่เพิ่งผละจากไป



ผมเผยอปาก ปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามาสำรวจในโพรงปาก ไม่รอช้า ผมใช้ลิ้นตัวเองทักทายกับลิ้นอุ่นของเขา หยอกเอิน แหย่เย้าไปกับจังหวะสอดลิ้นของฌาณ แขนของผมโอบรอบคอเขาไว้แน่น สองเท้าผมเขย่งขึ้นเพื่อจะได้รับรสจูบแสนหวานได้ง่ายขึ้น



ฝนยังคงตกเปาะแปะ เสื้อผ้าของเรายังคงเปียกโชก แต่ร่างกายผมกลับร้อนรุ่ม เรารุกไล่จูบใส่กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ผมโน้มให้ฌาณเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้น รวมถึงฌาณเองก็โอบเอวผมจนตัวเราแนบติดกัน ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ตามจังหวะเขาไม่ไหว หายใจไม่ทันแล้ว...



ฌาณผละจูบออก



จ้องหน้าผมที่เห่อร้อน และคงแดงมากอย่างไม่ต้องสืบ



ก่อนที่ผมจะเอ่ยอะไรออกมา เป็นฌาณที่ชิงพูดก่อน



“ปวดคอ...”



นิสัยเสีย!



“Ur…” ไม่ทันได้เถียงฌาณ ก็มีเสียงจากคนแปลกหน้าดังขึ้นจากทางเข้าห้องน้ำ เราหันขวับไปมองต้นเสียงก็เห็นผู้ชายฝรั่งคนนึงที่น่าจะเป็นคนที่นี่ กำลังทำท่าทีอึกอัก จนฌาณต้องเอ่ย



“เชิญครับ...”



“เอ่อ...”
ฝรั่งคนนั้นพยักหน้ารับ เดินเข้ามาในห้องน้ำสาธารณะ ทว่าไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ตัวเขาเปียกโชก คงมาหลบฝนเหมือนกับพวกผม “น้องชายคุณเหรอ?”



“ครับ”



“อ้อ...มาเที่ยวสินะ แย่เลยนะ ฝนตกแบบนี้”



“นิดหน่อยครับ”



ฌาณส่งยิ้มให้เขาเป็นทันจบบทสนทนา ส่วนผมก็ฝังร่างตัวเองเข้ากับอกฌาณ อายจะบ้าอยู่แล้ว ฌาณนั่นแหละผิด มาทำอะไรในที่สาธารณะเล่า...



หัวใจผมเต้นกระหน่ำอย่างผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นในรสจูบเมื่อครู่ ตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาหรือด้วยเหตุผลอื่นกันแน่...



“เป็นอะไร? หนาวหรือไง”



ผมส่ายหน้า



“เขินเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ใช่ที่ไทยสักหน่อย”



“ไม่เกี่ยวนี่!” ผมไม่รู้ว่าฝรั่งคนนั้นเห็นไหมว่าผมกับฌาณจูบกัน แต่เขาก็เข้ามาตอนที่เรากอดกันแนบชิดเสียจนผมอาย และเพราะอายนั่นแหละผมถึงมุดอยู่กับอกฌาณไม่ยอมผละออกมา ถึงฌาณจะอ้างไปว่าเป็นน้องชายก็เถอะ แต่ผมก็ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้านั้นอยู่ดี



เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เรานั่งลงตรงเก้าอี้ที่มีไว้สำหรับรอคนเข้าห้องน้ำ ผมกอดฌาณนิ่งอยู่อย่างนั้น จนฌาณบอกว่าฟ้าโปร่งแล้ว...



เราออกมาจากห้องน้ำสาธาณะพร้อมฝรั่งคนนั้น ฟ้าโปร่งแล้วจริงด้วย แสงอาทิตย์จ้าเสียจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อครู่เพิ่งผ่านพายุไป



“เดินต่อไหม”



เขาเดินมาถาม เมื่อผมวิ่งจ้าไปรับแสงแดดอุ่น รับรู้ความรู้สึกของผ้าตอนโดนตากก็ตอนนี้ อุ่นดีจัง



“ไปสิ” ผมบอกฌาณ ไหนๆ ก็อุตสาห์นั่งรถมาตั้งนาน แถมยังไม่ทันได้เข้าสู่สวนจริงๆ เลย ไม่อยากมาให้เสียเที่ยว อีกอย่าง...ฟ้าหลงฝนมันสวยจนผมยังไม่อยากจากมันไป



ฌาณพาผมเดินไปตามทาง แวะถ่ายรูปตามป้ายบ้าง คราวนี้ฌาณแอบยกกล้องมาลั่นชัตเตอร์ ถ่ายผมเป็นพักๆ ไม่ได้แอบถ่ายแต่ก็ไม่บอกผมก่อนถ่ายอยู่ดี ยังไงซะผมก็มั่นใจว่ารูปของผมเมื่อผ่านฝีมือฌาณแล้วมันต้องออกมาสวยแน่ๆ ถึงจะสภาพเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำก็ตาม และเราก็ไม่ได้พูดถึงจูบในห้องน้ำนั้นอีก...



พลานุภาพของแสงอาทิตย์นี่แข็งแกร่งจริงๆ เมื่อเราเดินตากแดดกันสักพักเสื้อก็แห้ง ผมรู้สึกดีกว่าเดิมเป็นพันเท่า ระหว่างทางเราเจอแกะด้วย แต่มีรั้วกั้นไว้ทำให้ผมเข้าไปดูมันใกล้ๆ ไม่ได้ เดาเอาเองว่าคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวของใครสักคนที่เลี้ยงแกะไว้



เราเดินมาเรื่อยๆ จนผมชักเหนื่อย แต่วิวมันก็สวย ไม่ใช่ภูเขาเล็กๆ ทางชันๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วเมื่อสองข้างทางเต็มไปด้วยเนินหญ้า ต้นไม้ใหญ่ และท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฟังดูอาจจะไม่ต่าง แต่มันต่างนะ อย่างน้อยก็ต้นไม้เยอะกว่า



ผมเดินนำ ส่วนฌาณก็ถ่ายรูปแล้วก็เดินตามผม ที่นี่มีแค่นี้จริงๆ นั่นแหละ นอกจากเนินหญ้า ต้นไม้ ท้องฟ้า ก้อนเมฆก็ไม่มีอะไรแล้ว คนก็แทบไม่เห็นเลย มีรถแล่นผ่านไปบ้างประปราย แต่ก็น้อยมากอยู่ดี



ผมชื่นชมธรรมชาติตรงหน้าได้ราวกับเป็นเจ้าของมัน



จนกระทั่งเราเดินมาถึงจุดชมวิวของที่นี่ มีกรอบรูปใหญ่ๆ ตั้งไว้ให้เข้าไปถ่ายรูป ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้วผมเลยขอให้ฌาณแชะให้สักรูป คนพี่ก็ไม่มีท่าทีอิดออด ซ้ำยังแนะนำให้ผมขยับไปทางโน้นทีทางนั้นที รูปที่ออกมาก็สวยงามสมฝีมือ เป็นที่น่าพอใจของผม



ผมนั่งเหม่อมองวิวตรงหน้า ตรงนี้เป็นเนินสูงทำให้เห็นเส้นทางไปสู่เบื้องล่าง แต่แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว เดินไปไม่เท่าไหร่ เดินกลับนี่ดิ ผมว่าเราเดินมาไกลมากอยู่นะ และเหมือนฌาณจะอ่านความคิดผมได้เมื่อเขาเอ่ยถาม



“จะเดินต่อไหม? หรือกลับเลย”



“กลับเลย” ผมตอบแทบทันที ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว เราใช้เวลาเดินตั้งสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงตรงนี้ แถมตอนนี้ผมก็หิวมากๆ แล้วด้วย กลัวจะหิวตายก่อนกลับไปถึงที่พัก



ฌาณยิ้ม จับมือช่วยผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วเราก็เดินตรงกลับทางเดิม



เพราะขามาผมเดินแวะนู่นแวะนี่จนทั่วหมดแล้ว ขากลับเลยเดินตรงสถานเดียวไม่เตร็ดเตร่เหมือนขามาอีก



“หิวอ่ะ...”



เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางท้องผมก็ร้องประท้วง เพราะตอนกลางวันเรากินแค่แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดียวเอง ไม่อิ่มท้อง แถมฝนยังมาตก รีดเอาพลังงานผมไปจนหมด ตอนนี้ท้องว่างจนหิวไส้กิ่วแล้ว



“กินนี่ไปก่อน”



ฌาณยื่นแท่งช็อกโกแล็ตมาให้ผม ผมทำตาโต ในกระเป๋าสะพายเล็กๆ นั่นพกอะไรมาด้วยเนี่ย คิดว่าแค่ใส่กล้องมาอย่างเดียวก็เต็มแล้ว



ผมแทะช็อกโกแล็ตแท่งจากฌาณไปเงียบๆ เดินไปกินไปจนมันหมดแท่งแต่ผมก็ยังไม่อิ่ม แล้วฌาณก็ยื่นอมยิ้มมาให้ผมเมื่อเห็นผมหันซ้ายหันขวา ผมรับอมยิ้มจากเขาไปแกะกิน น้ำตาลช่วยทำให้มีพลังขึ้นมานิดหน่อย แต่ผมก็หิวของคาวอยู่ดี



“หิววว” ผมร้องโวยวาย ฌาณบอกให้ทนก่อน เดี๋ยวกลับถึงเมืองเขาจะพาไปกินร้านหมูย่างเกาหลี ทำให้มีแรงเดินต่ออีกหน่อยเมื่อคิดถึงเนื้อหมูที่จะได้กิน



เราเดินมาจนถึงจุดที่มีแกะ ที่ตอนนี้ผมไม่เห็นสักตัว พร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มอีกครั้ง...



“ฌาณ...”



“อืม รีบเดินกันเถอะ”



ผมเรียกชื่อเขาหวังจะบอกสิ่งที่คิดว่าฝนทำท่าจะตก แต่ฌาณเองก็ดูเหมือนจะคิดแบบนั้นอยู่ เราจึงได้แต่เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น



แต่เร็วไม่เท่าเมฆฝน



เมื่อสุดท้าย ระหว่างทางที่เรากำลังเดินนั้น ฝนก็เทลงมา ผมร้องเรียกเขาลั่น



“ฌาณณณณ ฝนตก!”



“รู้แล้ว”



“ทำไงอ่ะ” ผมโวยวาย ที่นี่แย่กว่าขามาอีก เนินเขาโล่งร้างไร้ซึ่งสถาปัตยกรรมใดๆ แม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ๆ สักต้นยังไม่มีตรงนี้เลย



“งั้นมา Hitchhike กัน”



“หา”



“โบกรถไง” เขาว่า อมยิ้มมายังผมก่อนชูนิ้วโป้งโบกข้างทางเมื่อเห็นรถแล่นมา คันแรกผ่านไป...



“จะได้เหรอ...”



“ไม่รู้สิ ไม่เคยลองเหมือนกัน แต่ถ้าเดินต่อต้องเปียกหนักแน่ๆ”



“...”



ผมไร้คำพูดดกับฌาณ ผมไม่เคยต้องพึ่งพาคนแปลกหน้าแบบนี้มาก่อน หมายถึงการโบกรถน่ะ เหตุการณ์ไม่มีรถใช้เคยเกิดขึ้นกับผมที่ไหน แค่โทรกริ๊งเดียวไจก็ส่งคนมารับผมแทบจะทันทีตลอด



ฌาณยังคงไม่ยอมแพ้เมื่อรถคันที่สองแล่นจากไป ผมใจเสียนิดหน่อย...อยากให้มีใครสักคนรับเราขึ้นรถไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินตากฝน แถมฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วเนี่ย



คันที่สามผ่านไป ผมคิดในใจว่าไม่เป็นไรหรอก คันนี้ผู้หญิงขับมาคนเดียว คงกลัวที่จะให้ผู้ชายแปลกหน้าสองคนขึ้นรถด้วย



คันที่สี่ผ่านไป คันนี้มีเด็กนั่งจนเต็มคันรถไปหมด คงไม่เหลือที่นั่งให้เราหรอก



“ฌาณ...” ผมเรียกเขา ส่วนฌาณแค่ลูบหัวผมเฉยๆ เราเดินไปด้วย โบกรถไปด้วย คันที่ห้าผ่านไปโดยที่เราไม่ทันได้โบกรถเพราะเดินหันหลังให้เส้นทาง



ฌาณหันไปมองข้างหลังบ่อยๆ เผื่อว่ามีรถผ่านมา แต่เราก็ต้องเดินไปด้วยเช่นกันเผื่อว่าไม่เหลือรถให้เราโบกแล้ว เพราะคนที่ผมเจอที่นี่น้อยมากจนแทบเป็นสวนร้าง



จนกระทั่งคันที่หก ฌาณรีบชูมือสัญญาณ รถขับผ่านเราไปจนผมใจเสีย ก่อนค่อยๆ ชะลอความเร็ว จอดรออยู่ข้างหน้าเรา



“ฌาณ!” ผมร้องอย่างตื่นเต้น



“ไปกัน” เขาว่า แล้วเราก็รีบวิ่งหนีฝน เปิดประตูฝั่งเบาะหลังเข้าไป



“ขอบคุณครับ” ฌาณเอ่ยทันทีเมื่อเราเข้ามาในรถ



“นักท่องเที่ยวเหรอ แย่เลยนะฝนตกแบบนี้”



“ครับ ผมดันลืมดูพยากรณ์อากาศเสียได้”



“มาจากที่ไหนกันหรือ”



“ไทยครับ”



“อ้อ เพื่อนฉันเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง เป็นประเทศที่สุดยอดมากนะ”



“ขอบคุณครับ”



ฌาณพูดคุยกับคนใจดีอย่างเป็นกันเอง คนใจดีที่รับเราคือคนกีวี่ที่น่าจะเป็นแฟนกัน ผู้ชายขับรถ ส่วนผู้หญิงนั่งข้างๆ ฌาณกับผู้ชายคนนั้นยังคงพูดคุยกัน มีเสียงผู้หญิงแทรกถามมาเป็นระยะ ส่วนผมนั่งเงียบๆ



“จะให้ส่งตรงไหนดีล่ะ”



“ตรงป้ายรถเมล์ก็ได้ครับ”



“โอเค”




หลังจากนั้นภายในรถก็เงียบกริบ ผมนั่งตัวเกร็งจนฌาณต้องแอบเอามือผมไปกุม ช่วยไม่ได้นี่ ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้อ่ะ ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ตัวผมก็เปียกอยู่ กลัวขยับตัวเยอะแล้วรถเขาจะเปื้อน ผมซาบซึ้งกับน้ำใจของคนที่นี่มากจริงๆ นะ ถ้าเป็นที่ไทยผมคงให้ไจส่งของขวัญชิ้นใหญ่ตามไปทีหลังเพื่อขอบคุณไปแล้ว แต่คิดดู...ถ้าเป็นที่ไทย คงหาคนจอดรับนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักกันแบบนี้ยาก



แต่เอาเข้าจริง แค่โทรหาไจกริ๊งเดียวผมก็ไม่มีปัญหาแล้ว



พอมาอยู่ที่นี่ ผมก็เป็นแค่คนโง่ธรรมดาที่ทำอะไรไม่เป็นเลย



รถจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์ ส่วนฝนก็หยุดตกตั้งแต่เราอยู่ในรถแล้ว พวกเราเอ่ยขอบคุณทั้งสอง แล้วรถคันนั้นก็จากไป ครานี้เหลือแค่เราสองคนเคว้งคว้างอยู่ริมถนน เป็นเวลาเกือบห้าโมง ผมกลัวว่าฟ้ามืดแล้วจะน่ากลัว เลยบอกให้ฌาณรีบกลับ



“รอบรถบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงแหน่ะ” เขาเอ่ยเมื่อเช็ครอบรถในมือถือ คงเพราะที่นี่อยู่ไกลตัวเมืองด้วย รถบัสเลยไม่ค่อยมี



“โหยย นานเป็นบ้า ผมหิวแล้ว ง่วงด้วย เหนื่อยด้วย”



“ทนหน่อยน่า”



“บรืออออออ” ผมกระพือปากอย่างไม่พอใจอีกครั้ง แต่ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เป็นอาการธรรมดาของผมเวลาโดนขัดใจ ไจชอบดุผมอยู่บ่อยๆ เรื่องที่ผมทำแบบนี้ ไจบอกว่ามันกวนตีนและก็ไม่สุภาพ



และเหมือนว่าฌาณก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน ผมถึงโดนดีดปากเบาๆ ไปทีนึง



เราไม่มีอะไรทำนอกจากยืนรอรถ ผมภาวนาให้ฝนไม่ตกอีก เมื่อกี้ยังดีหน่อยที่ไม่ได้เปียกหนักเหมือนขามา ตากลมแป๊บเดียวก็แห้ง แต่พอตกเย็น ไม่มีแสงอาทิตย์แล้วทำให้ผมเริ่มหนาว



ผมขยับเข้าไปซุกฌาณอีกครั้ง และเขาก็ตอบรับผมอย่างดีเมื่ออ้อมแขนสองข้างวาดโอบรอบตัวผมไว้ ไออุ่นจากคนตัวสูงช่วยทำให้ผมคลายหนาว



“ฌาณพาผมมาลำบากนะ ทั้งเดินไกล นั่งรถไกล ฝนก็ตก เหนื่อยด้วย หิวด้วย ง่วงด้วย”



“ขี้บ่น”



“ก็มันจริงนี่ พาผมมาตากฝนเฉยเลย”



“โทษที อันนี้พี่ผิดเอง”



“แต่ก็ขอบคุณนะ”



“...หืม”



ผมกระซิบขอบคุณเขา ฌาณจะไม่ได้ยินก็ช่าง เอาเป็นว่าผมขอบคุณเขาไปแล้วก็ละกัน จากพฤติกรรมหลายๆ อย่างของเขาทำให้ผมรู้ว่าฌาณพยายามทำให้ผมร่าเริงขึ้น และมันก็อาจจะสำเร็จก็ได้



เขาเอาปลายจมูกเขี่ยเส้นผมบนหัวผมไปมาจนจั๊กจี้ ผมเงยหน้าช้อนตามองฌาณ เขาจะได้เลยหยุดถูจมูกกับหัวผมสักที ทว่าพอเห็นดวงตาคมของเขาแล้ว ความรู้สึกหนึ่งก็บังเกิดขึ้น...



อยากจูบ...อีก



แต่คงไม่ได้ เราอยู่ข้างนอก ริมถนนเลยนะ ถึงเมืองนอกจะไม่สนใจอะไรแบบนี้ก็เถอะ แต่ถ้าใครผ่านมาเจอผมคงอายแย่ แต่เหมือนฌาณไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเขาช้อนศรีษะผมให้เงยหน้าขึ้น รับรสจูบที่เขามอบให้อีกครา



ผมหลับตารับสัมผัสอ่อนหวาน สองมือขยุ้มเสื้อสีดำของเขาแน่น ฌาณกระชับเอวผมให้ขยับเข้าแนบตัวเขามากกว่าเดิม กดย้ำที่ริมฝีปาก แลบลิ้นลอบเลียแผ่วเบาก่อนผละออก



ผมเงยหน้ามองเขาค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมนั้นก็จ้องผมไม่ขยับเหมือนกัน...



ผมไม่กล้าถามว่าเพราะอะไรถึงจูบ



เพราะผมก็ตอบตัวเองที่ชอบรสจูบของเขาไม่ได้เช่นกัน...





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



เอาหวานมาตัดขมบ้าง

ตอนนี้เป็นตอนที่ชอบตอนนึงเลย ^-^

ใครมีประสบการณ์ Hitchhike มาแชร์กันได้นะคะ  o13

ปล.จริงๆ ตอนนี้ผ่านไปครึ่งเรื่องแล้วน้า กะให้อยู่ที่ประมาณ 15+5 ตอน

ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-02-2018 19:23:04
 :m3: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-02-2018 00:59:54
อยากกอดเจนบ้างงง กอดๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-02-2018 13:49:13
คงไม่เจอเรื่องเฟลอีกนะเจน
หนีมาขนาดนี้ ยังอยากให้กลับไปเจอเรื่องแย่อีก

ไนล์ผิดตั้งแต่เริ่มละ เหมือนพยายามกลบเกลื่อน
แต่ยอมรับตัวเองให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ เลยเลือกไป

ฌาณคือพ่อหนุ่มคนเท่ห์ของเจน
อะไรก็ดีไปหมด ดูแลแต่ไม่ตามใจ
แล้วจูบนี้คืออะไร ฌาณโตแล้ว คงมีคำตอบนะ

โอ๋เจนนะ น่าสงสาร เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ
แล้วเพื่อนก็ยังไม่ซื่อไปอีก เหมือนเจนว่า
ถ้าไม่รัก จะมาให้ความหวังทำไม แถมมีอะไรกันด้วย

เอาใจช่วยให้เจนรักษาแผลให้ได้นะคะ รอพี่ฌาณเปิดตัวนะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 18-02-2018 14:48:39
จูบปลอบใจงี้เปล่าพี่ อิอิ
หายเศร้าก็ดีแล้ว เขาแต่งงาน
แต่เราก็ยังต้องดำเนินชีวิตของเราไป

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 19-02-2018 02:56:54
น้องงงง เอ็นดูแรง กอดๆนะ ฮื่อออ อย่างที่พี่บอก อย่าคิดมาก อย่าจมอยู่กับอดีตเลยนะ มีพี่ฌาณอยู่ทั้งคน ซุกเตียงนุ่มๆ ดื่มโกโก้อุ่นๆได้อย่างสบายใจเลยนะลูก ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น พี่ฌาณจะปกป้องหนูเองงง :hao5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 9 |- 17.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 20-02-2018 12:14:31
 :-[
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 28-02-2018 17:11:53
Lies 10 : Like a bullet falling from the sky



หลังจากกลับมาจาก Shakespear park แล้วผมก็แทบตาย เรามัวแต่จุ๊บกันอยู่นั่นเลยพลาดรถเที่ยวนึงไป ต้องรอคันใหม่อีกชั่วโมงนึง ทั้งหนาวทั้งหิว กว่ารถจะมาก็มืดแล้ว แถมเราได้รถเที่ยวสุดท้ายพอดีเลยด้วย เกือบไม่ได้กลับแล้วไง



กว่าจะมาถึง Queen Street ก็ปาไปสองทุ่ม และกว่าจะได้กินหมูย่างเกาหลีก็เกือบสามทุ่มเพราะต้องรอคิว ผมงอแงแทบตายแต่ก็หมดแรงจะเดินหาร้านอื่นต่อ พอเรากินเสร็จ กลับถึงห้องผมก็ล้มใส่เตียง ก่อนจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการอาบน้ำเข้านอน



พอเช้ามาผมก็ปวดขาแทบขาดใจ ความปวดจากการเดินเมื่อวานทำให้ผมแทบลุกขึ้นยืนไม่ได้ มันปวดอ่ะ เดินไปไหนก็ตึงๆ ปวดๆ ไปหมด แถมเพราะตากฝนหนาวๆ ด้วยทำให้ผมมีไข้อ่อนๆ เพลียไปหมดเลย ความผิดฌาณคนเดียว และเหมือนเขาเองก็รู้ว่าทำผิดไปถึงได้มานั่งนวดขาให้ผมตอนนี้



ผมนอนคว่ำให้เขานวดตั้งแต่ช่วงเอวลงไป มือของฌาณกดน้ำหนักลงมาจากเอวไปขา จนถึงปลายนิ้วเท้าแล้วก็วนขึ้นมานวดเอวใหม่ วนลงไป



“ฌาณเอาต้นขา”



ผมสั่ง และเขาก็ทำตามอย่างง่ายดายเมื่อมือใหญ่เปลี่ยนมากดน้ำหนักนวดคลึงที่ต้นขาของผม ตอนนี้กลิ่นยาทาคลายกล้ามเนื้อลอยเต็มห้องไปหมด แต่ผมทายาท่วมขาขนาดนี้แล้วก็ยังไม่หายอ่ะ



“ฌาณลงไปอีกหน่อย”



คนพี่ทำตามอย่างว่าง่าย ทำให้ผมได้ใจหน่อยๆ เมื่อก่อนไจกับฌาณก็ชอบใช้ผมนวดหลังให้ ตอนเด็กผมตัวเบา ทั้งสองคนเลยชอบให้ผมเหยียบหลัง ผมไม่รู้ว่ามันทำให้หายปวดได้จริงหรือ แต่ตอนนั้นผมขัดอะไรไม่ได้นี่ ต้องการเป็นเครื่องนวดหลังมีชีวิตให้พวกพี่ชายสองคนนี้ไป



...พี่ชายงั้นหรือ



ปกติพี่น้องเขาไม่จูบกันหรอก...



เอาเถอะ ผมจะไม่เอาเรื่องนี้มาคิดอีกก็แล้วกัน



วันต่อมาผมเริ่มหายปวดขาแล้ว แม้จะยังตึงๆ แต่บรรเทาลงกว่าเมื่อวานมาก แต่ยังมีไข้อยู่นิดหน่อยเลยเพลียๆ ผมนอนกินบ้านกินเมืองจนสาย วันนี้ฌาณไม่ออกไปไหนคงเพราะกลัวผมเป็นอะไรไป ทำหน้าที่พี่เลี้ยงดีเด่นอยู่ในห้อง



“เจนไปกินข้าวได้แล้ว”



“ไว้ก่อน ผมง่วง”



“เจน จะสิบโมงแล้ว”



“...” ปกติผมกินข้าวมื้อแรกตอนเกือบเที่ยงด้วยซ้ำ ผมไม่ตอบฌาณแต่นอนนนิ่งไม่ขยับ เป็นการต่อต้านเล็กๆ



“เจน” เขากดเสียงต่ำ



“...”



พรึ่บ!



“ฌาณ!!”



ผมโวยวายเสียงดังทันทีที่เขาดึงผ้าห่มออกไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว นิสัยไม่ดี



“ตื่น ไปกินข้าว เดี๋ยวก็เป็นกระเพาะหรอก”



ผมขอคืนคำ ฌาณไม่ใช่พี่เลี้ยงดีเด่นเลย เขาควรปล่อยให้ผมนอนต่ออีกหน่อย บังคับให้ตื่นแบบนี้ผมไม่ชอบเลย ฮือ หนาว ง่วงด้วย ปวดหัว



“เอาผ้าห่มมา”



“ตื่นเดี๋ยวนี้ จะนอนไปถึงไหน กินข้าวจะได้กินยา เร็ว”



“ผมอยากนอน”



“เสียสุขภาพ ลุกได้แล้ว”



“ไม่เอา! ฌาณอ่ะ ผมยังไม่หิว ง่วงด้วย ปวดหัวด้วย อยากนอน ขาก็ปวด ไม่อยากขยับตัว”



“เด็กนิสัยเสีย”



“...”



“รีบกินแล้วค่อยมานอน...”



“...”



“...เจน...เป็นอะไร ร้องไห้หรือ?”



ก็ฌาณนิสัยไม่ดี บังคับผมแล้วยังว่าผมอีก ฌาณนั่นแหละนิสัยเสีย ผมไม่อยากลุกตอนนี้ มันปวดขาปวดหัว อยากพักก่อนอีกนิดหน่อย แล้วทำไมฌาณไม่เอาข้าวมาให้ ตอนผมป่วยฌาณก็เอาถ้วยข้าวมาเสิร์ฟถึงเตียง แล้วตอนนี้ทำไมต้องบังคับกันด้วย เมื่อวานยังใจดีนวดขาให้ผมอยู่เลย แล้ววันนี้จู่ๆ เป็นอะไร ผียักษ์เข้าสิงหรือไง



ผมหาคำตอบไม่ได้เลยร้องไห้เงียบๆ



ฌาณคืนผ้าห่มให้ผมแล้ว แต่ผมยังไม่หยุดร้อง พอน้ำตามันไหลแล้วจะห้ามก็ยากแล้วอ่ะ ผมเลยสะอึกสะอื้นอยู่ใต้ผ้าห่ม สมเพชตัวเองอยู่หน่อยๆ แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะฌาณขัดใจผมนั่นแหละ



เคยเป็นไหม เวลาเป็นไข้แล้วอารมณ์มันจะอ่อนไหวง่ายมากๆ เอาเป็นว่าผมเป็นอย่างนั้น



“เจน ขอโทษ อย่าร้อง”



“ฮึก...”



ผมพลิกตัวหนีเมื่อฌาณเข้ามาใกล้ ไม่หายโกรธหรอก ไปไกลๆ เลยไป



แล้วฌาณก็ไปจริงๆ เมื่อผมสัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของเขา ผมแอบเหลือบตาผ่านผ้าห่มก็ไม่เจอฌาณในห้องนอนแล้ว ...ผมไม่ได้น้อยใจนะ แต่ฌาณไม่คิดจะสนใจกันจริงๆ น่ะเหรอ น้ำตาผมไหลมากกว่าเดิม



จนฌาณเดินกลับมาพร้อมถาดอาหาร ผมถึงได้รู้ว่าเขาออกไปเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงที่



ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยในความเอาแต่ใจของตัวเอง รู้สึกเหมือนเป็นง่อย และเพราะตัวเองไม่ยอมลุกจากเตียงก็เลยเป็นภาระให้เขาต้องมาเสิร์ฟอาหารให้ แต่อีกใจก็โทษฌาณนั่นแหละ ถ้าเขาไม่บังคับปลุกผม ผมก็ลุกไปกินดีๆ ได้หรอก



“อ่ะ กินข้าว”



ผมเลยยอมชันตัวนั่งพิงหัวเตียง ถ้าผมยังงอแงจะนอนต่อก็ดูจะทำตัวเป็นเด็กเกินไป แค่นี้ผมก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเอาแต่ใจมากแค่ไหน



ผมลงมือทานอาหารตรงหน้าจนหมด ฌาณที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมรอจนผมกินเสร็จจึงค่อยยกเอาจานไปเก็บ ไม่ลืมกำชับให้ผมกินยาที่เขาเตรียมให้ด้วย ผมใช้สิทธิ์คนป่วยไม่ยอมล้างจานมาสองวันแล้ว และฌาณก็ไม่ว่าอะไร



พอได้ขยับตัวเยอะๆ กลายเป็นว่าผมไม่ง่วงแล้ว แม้จะอยากนอนต่อแต่มันก็นอนไม่หลับ พอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต็มที่ เลยคิดว่าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนค่อยมานอนน่าจะดีกว่านอนเน่าทั้งวัน  ผมเดินผ่านฌาณที่ล้างหม้อล้างจานก่อนเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ผมบอกฌาณแล้ว ถ้าไม่บังคับเดี๋ยวผมก็ตื่นได้เองนั่นแหละ



“ดื่มโกโก้ไหม”



ฌาณถามขึ้นเมื่อผมกำลังจะเดินเข้าห้องนอน เขาคงง้อที่ทำให้ผมร้องไห้แน่ๆ ผมเลยพยักหน้าตอบเขาไป แล้วก็ปีนขึ้นโซฟาเบด กดเปิดทีวีหาอะไรดู



ฌาณเดินเข้ามาพร้อมโกโก้ของผมและกาแฟของเขา ผมรับแก้วโกโก้มาส่วนฌาณก็ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ทีวีมีช่องหนังกำลังฉายหนังเรื่องนึงทำให้ผมตัดสินใจดูมันฆ่าเวลา พร้อมกับจิบโกโก้แสนอร่อยของฌาณไปพลางๆ จนมันหมดแก้ว ผมวางมันไว้บนโต๊ะเล็ก แอบเหลือบมองฌาณนิดหน่อย เขายังคงยุ่งกับแล็ปท็อปบนตัก



ผมดูหนังไปอีกสักพักก็เริ่มง่วงเพราะฤทธิ์ยา แต่ขี้เกียจเดินไปที่เตียง โซฟาเบดตั้งอยู่ติดหน้าต่าง และตอนนี้แดดข้างนอกก็กำลังส่องเข้ามา กำลังอุ่นได้ที่ ผมเลยเริ่มเคลิ้ม ก่อนเอนหัวไปพิงคนข้างๆ



“ง่วงก็ไปนอนดีๆ”



“อือ ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจเดิน เหนื่อย”



“หึ”



จบเสียงหัวเราะในลำคอของเขา ผมก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปาก มันอุ่น และก็แฉะนิดหน่อย ผมปล่อยให้เขาสอดลิ้นเข้ามาโดยที่ตัวเองก็ขยับตัวตอบรับกับจังหวะจุมพิตที่เขามอบให้ เราบดคลึงริมฝีปากกันอยู่อย่างนั้น ยาวนาน... เป็นฌาณที่ผละออกก่อน



ผมจ้องตาเขานิ่ง สองแขนกอดเอวเขาไว้แน่นไม่ปล่อย



ฌาณไม่ขยับตัวหนีซ้ำยังจ้องผมกลับ พร้อมเลิกคิ้วสงสัย...



ถ้าผมถามเขาตอนนี้จะได้ไหมนะ...



ไวเท่าความคิด ผมเอ่ยถาม



“ผมถามได้มั้ย...”



“...”



“ทำไมถึงจูบล่ะ?”



เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววประกายอะไรสักอย่างที่ผมตีความไม่ถูก



“มีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ...”



คำตอบที่ได้กลับมาเป็นคำถาม ฌาณลูบหัวผมเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็พยายามโน้มตัวผมให้ลงไปนอนบนตักเขา หัวใจผมเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทำความเข้าใจมัน...



ผมตื่นมาบนเตียงตอนประมาณบ่ายสาม คิดว่าคงเป็นฌาณนั่นแหละที่อุ้มผมมาไว้ตรงนี้ แต่ตื่นมากลับไม่เจอเจ้าตัวอยู่แถวนี้ ผมบิดขี้เกียจสองสามที ลุกจากเตียงไปอีกห้อง และได้ยินเสียงก่อกแก่กดังขึ้นในห้องน้ำ



“ฌาณ?”



“หือ ตื่นแล้วเหรอ” เจ้าของห้องตอบรับกลับมาทั้งๆ ที่ร่างยังอยู่ในห้องน้ำ



“ทำไรอ่ะ”



“ขัดห้องน้ำ”



“อ้อ...”



“ไหนๆ แล้วก็มาช่วยกันเลย”



“ไม่เอา!”



ฌาณไม่ได้ตอบอะไรกลับมาส่วนผมวิ่งหนีกลับห้องนอนไป เรื่องอะไรจะต้องขัดห้องน้ำ ไม่เอาด้วยหรอก ผมป่วยอยู่นะ ผมมาขดตัวที่โซฟาเบด กดเปิดทีวีหาอะไรดู



เขาทำความสะอาดเสร็จในไม่ช้า เดินเข้ามาในห้องนอน เอื้อมหยิบเครื่องดูดฝุ่นที่พิงอยู่ข้างโซฟาเบดออกมาใช้งาน เสียงมันดั่งสนั่นจนผมหนวกหู เบ้หน้าเหยเก ดูหนังไม่รู้เรื่องอ่ะ เลยลุกไปถามฌาณว่ามีอะไรให้ผมช่วยไหม



ฌาณอบผ้าไว้ใกล้จะเสร็จแล้ว มีส่วนของผมด้วยเลยบอกให้รอผ้าเอาผ้ามาพับ ตัวไหนจะให้ฌาณรีดก็แยกไว้ ที่จริงที่บ้านผมต้องรีดผ้าทุกตัว แต่มาอยู่ที่นี่บางตัวเป็นตัวที่ใส่ซับใน ฌาณเลยจะไม่รีดเพราะขี้เกียจ...



และผมก็ไปบังคับให้เค้ารีดให้ทุกตัวไม่ได้ เพราะฌาณไม่ได้เป็นพ่อบ้าน เลยต้องยอมๆ ไป และค้นพบว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมช่วยฌาณพับผ้าก็สนุกดีไปอีกแบบ ผมเคยถามฌาณว่าทำไมไม่สอนให้ผมรีดผ้า แต่ฌาณทำแค่ปรายตามองผมแล้วบอกว่าเรื่องนี้สอนผมแค่สามเดือนไม่น่าสำเร็จ ผมไม่รู้ว่ารีดผ้ามันยากตรงไหน แต่ก็ดี ผมก็ไม่ได้อยากรีดผ้าเป็นขนาดนั้นหรอก



ฌาณดูดฝุ่นเสร็จแล้ว เขาถามผมว่าเย็นนี้อยากกินอะไร



“พาสต้า”



คือคำตอบของผม ฌาณพยักหน้าเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบออกมาเตรียม เดินผ่านผมที่นั่งพับผ้าไปหยิบของนู่นนี่ แล้วก็เดินมาจุ๊บปากผมอีกครั้งก่อนจะไปยังครัว ผมไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมที่ฌาณทำเท่าไหร่ มันคันยุบยิบที่หัวใจ แล้วหน้าก็พลันร้อนขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย แต่ผมก็ก้มหน้าก้มตาพับผ้าต่อไป











พอใกล้เวลาเข้านอน ผมคลอเคลียซุกเอวเขาก่อนนอน ส่วนฌาณก็เอาแล็ปท็อปมาวางบนตัก นั่งพิมพ์งานยุกยิก ผมกอดเอวเขา กลิ้งไปกลิ้งมาสักพักฌาณก็พับแล็ปท็อปเก็บไว้ข้างๆ แล้วเราก็เข้านอนด้วยกัน





ทั้งที่ทั้งวันก็ใช้ชีวิตปกติธรรมดาแท้ๆ แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้





แล้วมันแปลกไปตรงไหนนะ...





ทำไมผมถึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเฉอะแฉะที่ระหว่างขา...





ทันทีที่ผมรู้ตัว ผมรีบวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำไป เพื่อพบว่าตัวเองฝันเปียก...



...ผมจำได้ว่าไม่ได้ฝันอะไรนะ แต่คงเพราะไม่ได้ระบายออกมาสักพักแล้วหมือนกัน... ก็ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมคิดเรื่องอย่างว่ากันเสียที่ไหนเล่า...



ผมถอนหายใจ น่าอายเป็นบ้าที่ต้องแอบมาซักกางเกงตอนกลางคืนเนี่ย ผมซักไม่เป็นหรอก ปกติก็โยนลงตะกร้าให้คนอื่นเอาไปเข้าเครื่องซัก แต่ขยี้ๆ เอาคราบออกน่าจะพอไหวมั้ง แล้วค่อยเนียนเอาไปซักวันต่อไป แต่ฌาณเพิ่งซักผ้าไปเองนี่ ถ้างั้นผมต้องรอเป็นอาทิตย์เลยหรือ กางเกงผมคงเน่าพอดี แล้วต้องทำยังไงกับมันอ่ะ แง



ล้างน้ำเปล่าไปก่อนเหรอ ต้องใช้น้ำยาซักฟอกขัดด้วยใช่มั้ย แล้วมันต้องใช้ประมาณไหน ใช้สบู่ไปก่อนได้รึเปล่า แล้วมันต้องขยี้ออกยังไง โอย ทำไมมันยากงี้ ผมแอบใช้เครื่องซักผ้าตอนนี้เลยจะเป็นไรมั้ย



และในระหว่างที่กำลังคิดไม่ตก ยืนแก้ผ้าช่วงล่างเอากางเกงจ่อสายน้ำจากก๊อกน้ำอยู่นั้น จู่ๆ ฌาณก็โผล่มาแบบไม่รู้ตัวจนผมสะดุ้งเฮือก



“ทำอะไรน่ะ”



“ฌ...ฌาณ...”



เสียงผมหายวับไปกับสายลม ทำได้แค่ตอบเป็นชื่อเขาอย่างตะกุกตะกัก ผมแค่แง้มประตูห้องน้ำเลยทำให้ฌาณเข้ามาได้ และแก้ตัวอะไรไม่ได้เลย เมื่อหลักฐานทุกอย่างชัดเจนจนไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนพ้น...ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวเมื่อสบตากับฌาณ แล้วเราก็เงียบใส่กัน ปล่อยให้เสียงน้ำไหลจากก๊อกน้ำดังตัดความเงียบ



ฌาณจ้องตาผมก่อนเหลือบมองลงไปยังอ่างล้างหน้า ที่มีกางเกงนอนผมแช่อยู่ในน้ำ



“ฝันเปียก?”



แล้วเขาก็ตัดสินใจตัดสินว่าเป็นเช่นนั้นทันที ผมหน้าร้อนผ่าวกว่าเดิมเป็นคำตอบ ในใจนึกอยากผลักฌาณให้ออกไปพ้นๆ หรือไม่ก็อยากวิ่งหนีทะลุผนังห้องน้ำออกไปให้รู้แล้วรู้รอด



“อายอะไร เรื่องปกติออก ไหนมาให้พี่ดู”



“ฌ...ฌาณ! ออกไปเลย!” ผมโวยวาย พยายามกั้นไม่ให้เขาเข้ามาแย่งกางเกงที่มีคราบหลักฐานไปจากผม แต่ตัวเองเปลือยล่อนจ้อนใส่แค่กางเกงในตัวเดียวเลยไม่กล้าสู้หน้าเขาเท่าไหร่ ถึงชายเสื้อนอนจะยาวพอคลุมกางเกงในผมมิดอยู่ก็เถอะ



แล้วฌาณก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาแทรกตัวเข้ามา ดันผมให้เข้าไปในห้องน้ำลึกกว่าเดิม สองมือหยิบกางเกงชุ่มน้ำของผมขึ้นมาดู ก่อนจะก้มลงไปหยิบน้ำยาซักผ้าที่ซ่อนอยู่ใต้อ่างล้างหน้ามาเทใส่กางเกงผม



ฌาณลงมือขยี้กางเกงผมจนเกิดฟอง



ผมร้องลั่น “ฌาณ! ผมทำเอง หยุดเลยนะ!”



“ทำเป็นหรือไง?” ผมเถียงไม่ออก ได้แต่ยืนจังก้าหน้าแดง พอเถอะ มันน่าอายจนจะร้องไห้แล้ว



ฌาณยังคงขยับมือซักฟอกกางเกงผมจนเสร็จสรรพ เขาบิดน้ำออกจากางเกงขายาว เดินเอาไปตากบนราวแขวนผ้าที่ฝังท่อให้ความร้อนอยู่ทำให้มันอุ่นๆ พอตากผ้าได้



“...กางเกงในไม่เปื้อนเหรอ”



“!!”



“ถอดมาสิเดี๋ยวซักให้”



“ไม่เอา!!”



ผมร้องเสียงดัง ยิ่งร้องในห้องน้ำเสียงยิ่งดังก้อง คิดว่าถ้าห้องไม่ได้เก็บเสียงคงดังไปทั้งตึก ฌาณเป็นบ้าหรือไง แค่ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว



“เร็วๆ”



“ไม่เอา ผมทำเอง”



“อย่าดื้อสิ ถอดมา หรือจะให้พี่ถอดให้”



“ฌาณโคตรแย่ ผมจะฟ้องไจ!”



“ฟ้องสิ พี่ก็จะฟ้องไจด้วยว่าเราทำที่นอนพี่เปื้อน”



“!!”



ผมใบ้กินอีกครั้ง ตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรกับตัวเองผมก็รบถลกผ้าห่มวิ่งเข้าห้องน้ำทันที ไม่ทันได้ดูว่ามันเลอะตรงไหนรึเปล่า ผมคิดว่ามันเลอะแค่เป้ากางเกงอ่ะ..



“เห้ยๆ ร้องทำไม เจนเป็นคนที่ถ้าใครทำอะไรขัดใจหน่อยก็จะร้องไห้ไปหมดเลยหรือไง”



“...”



ผมไม่ตอบ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกไปมากกว่านี้ ผมทั้งโกรธทั้งอายทั้งโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้น้ำตามันก็เลยไหลอกมาเอง ถ้าเป็นคนอื่นผมต่อยไปแล้วแม่ง ฮือ



“ยังไงเจนก็ต้องถอดอยู่แล้วนี่ คงไม่คิดจะใส่กางเกงในเปียกๆ นั่นต่อใช่ไหม”



“...”



“ส่งมาเถอะเดี๋ยวซักให้ แป๊บเดียว จะได้ไปนอน”



“...ผม...จะซักเอง”



“ดูก็รู้ว่าเจนซักไม่เป็น...”



“ผมจะซักเอง ฌาณออกไปได้แล้ว!”



“...เจน อย่าดื้อ เร็วๆ พี่ง่วง”



“ไม่เอา!” ให้ตายผมก็ไม่ยอมถอดกางเกงในต่อหน้าเขาเด็ดขาด



“อายอะไร เห็นมาหมดแล้วน่า”



สิ่งที่ฌาณพูดทำให้ผมอยากร้องไห้มากกว่าเดิมอีก ไม่เอาได้มั้ย ฌาณไปไกลๆ ก่อนได้มั้ย เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นต้องมารู้นี่ แค่เขารู้ว่าผมฝันเปียกก็อายจะบ้าตายอยู่แล้ว นี่เล่นมาขอกางเกงในผมเอาไปซักอีก แถมซักด้วยมือด้วย ผมเอาหน้ามุดชักโครกตายได้มั้ย



หมับ



!!



ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ฌาณก็เดินมาประชิดตัวผม ทั้งยังจับเอวผมไว้แน่น เมื่อเงยหน้ามองเขาฌาณก็กำลังก้มมองผมอยู่เช่นกัน ก่อนที่ฝ่ามืออุ่นของเขาจะล้วงเข้าไปที่ขอบกางเกงในของผม



“ฌาณไม่เอา!!”



“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ปล่อยผม!!”



ผมร้อง ดิ้น โวยวาย ทรุดตัวลงไปนั่ง ไม่ให้เขาทำตามความคิดได้สำเร็จ ช่วงล่างผมมันเหนอะหนะก็จริง แต่ผมก็ทนไม่ได้ที่จะต้องถอดมันต่อหน้าเขาอยู่ดี ผมยอมทนไม่สบายตัว หรือหัดซักผ้าเองก็ได้ ไม่ต้องมายุ่งกับผมได้มั้ยอ่ะ



“...เจนทำเหมือนพี่กำลังรังแกเจน”



ก็แล้วมันจริงมั้ยเล่า “ฌาณ...ปล่อยผม”



เขาก้มตัวลงมานั่งไปกับผม มือแกร่งยังคงยึดขอบกางเกงไว้แน่น ผมเองก็ยึดมันแน่นเหมือนกัน



“โอเค ผมถอดเอง ฌาณปล่อยก่อน นะ...”



สุดท้ายผมก็ร้องเสียงอ่อน อ้อนวอนให้เขาอย่าถลกปราการด่านสุดท้ายของผมไป เพราะถ้าวัดกันเรื่องกำลัง ผมคงสู้เขาไม่ได้แน่ๆ พอจบคำขอ ฌาณจึงยอมปล่อยมือ



“...ฌาณ หันไปไม่ได้หรือไง มาจ้องทำไมเล่า”



“เรื่องมาก” เขาบ่น แต่ก็ยอมหันหลังให้ ผมหงุดหงิด ถ้าเป็นฌาณเองจะยอมถอดกางเกงต่อหน้าผมแบบนี้มั้ยเล่า



ฌาณหันมาตอนที่ผมถอดเสร็จแล้ว เขาเลยรับก้อนกางเกงในยู่ยี่ในมือผมไปคลี่ออก เปิดน้ำล้างและลงมือซักตรงอ่างล้างหน้าต่อหน้าต่อตาผมอีกครั้ง ผมอยากจะวิ่งหนีออกจากห้องน้ำไปซุกผ้าห่มแล้วม้วนตัวให้หายไปจากโลกใบนี้เอาเสียมากๆ ติดอยู่ตรงที่ฌาณยืนขวางหน้าห้องน้ำอ่ะ เพราะอ่างล้างหน้ามันอยู่ติดประตู และฌาณก็บังประตูเสียมิด



ทำให้ผมติดแหง่กอยู่ในซอกห้องน้ำแบบนี้



คราบน้ำเจ้าปัญหามันเลอะที่ต้นขาผมหน่อยๆ แต่ผมว่าจะทำความสะอาดมันหลังจากที่ฌาณออกไปแล้ว ตอนนี้เลยได้แต่ยืนทื่อๆ พยายามดึงชายเสื้อให้ลงมาปิดช่วงล่างให้มากที่สุดแทน



จนกระทั่งเสียงก๊อกน้ำหยุดลง



ฌาณเอากางเกงในผมไปตากที่ราวร้อนๆ นั่น ข้างๆ กางเกงของผม แล้วเขาก็หันมามองตัวปัญหาอย่างผมที่ยืนเป็นคนโง่อยู่ในซอกห้องน้ำ เขาปรายตาลงต่ำก่อนเอ่ย



“...ตรงนั้นต้องให้พี่ช่วยทำความสะอาดมั้ย”



“ไม่ต้อง!”



“หึ”



“ออกไปเลยไป!!”



คราวนี้ฌาณทำตามคำขอของผม เขาเดินออกจากห้องน้ำไปพร้อมปิดประตูให้ด้วย ผมรอจนแน่ใจว่าเขาไปจริงๆ แล้วจึงค่อยทำความสะอาดตัวเอง



ผมถอดถุงเท้า เข้าห้องอาบน้ำเพื่อเปิดฝักบัว หวังจะชำระล้างคราบเหนียวๆ ระหว่างขา อย่างที่บอก ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ก็ไม่ได้คิดเรื่องอย่างว่าเลย รวมถึงไม่ได้ช่วยตัวเองด้วย พอสายน้ำอุ่นๆ มันแตะตรงจุดลับ สัมผัสมันนิดหน่อยผมก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว... ใจจริงผมอยากรีบๆ ล้าง แล้วรีบเข้านอนเสีย ทว่าร่างกายกลับต่อต้าน…



เอาออกอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง... รีบๆ ทำฌาณคงไม่สังเกต...



ขณะเริ่มต้นภารกิจ ผมภาวนาให้ฌาณเข้านอนไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจผม ทว่าคำขอของผมคงส่งไปไม่ถึงคนบนฟ้า เมื่อจู่ๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาพร้อมกับร่างของเจ้าของห้อง



“ทำอะไรนาน...”



“...”



“...ว่าแล้วว่าให้พี่ช่วยดีกว่าจริงๆ ด้วย”



“ออกไป!!”



หน้าผมร้อนผ่าวเมื่อฌาณเข้ามาเห็นตอนผมจับส่วนนั้นของตัวเองอยู่พอดี น้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า เขาทำให้ผมอายอีกครั้งไม่พอ ยังทำอะไรไม่ได้อีกด้วย ผมลืมไปเลยว่าฌาณไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำให้ อยากตายจริงๆ แล้ว



“ถ...ถ้าเข้ามาผมยิงจริงๆ นะ”



ผมร้อง ขู่เขาด้วยฝักบัวอย่างโง่เง่าจนปัญญาแล้ว ฌาณทำเพียงเลิกคิ้วขึ้น และเขาก็ไวกว่าผมอีกครั้งเมื่อฌาณเอื้อมมือไปกุมก๊อกฝักบัวไว้และบิดมันให้ปิดจนสุด



“ฌาณจะเข้ามาทำไมเล่า!”



“ก็มาดูว่าเจนทำอะไรนาน”



“นั่นมันเรื่องของผมไหม”



“กลัวว่าจะลื่นล้มหัวฟาดห้องน้ำอีก”



“ไม่ลื่นแล้ว!”



“น่ะ ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว ให้พี่ช่วยเลยแล้วกัน”



“ไม่เอา!!”



“ทำไมต้องเสียงดัง เขินหรือ?”



“ฌาณ! ถ้าฌาณเป็นผม ฌาณจะรู้สึกยังไงล่ะ”



“...ก็ดีนะ มีคนช่วย”



ดีกับผีน่ะสิ ฌาณแม่งบ้าไปแล้ว! ผมหวีดร้องอยู่ในใจ พื้นที่ในตอนนี้แคบกว่าเมื่อกี้อีก ห้องอาบน้ำแคบๆ ยิ่งทำให้ผมหนีไปไหนไม่ได้



“หึๆ ไม่ร้องสิ มานี่” เขาคว้าตัวผมไว้ พร้อมกับเคลื่อนตัวมาใกล้จนร่างกายเราแทบแนบสนิท



“...”



“อยู่เฉยๆ” มือใหญ่ลูบสะโพกผม ส่วนอีกข้างก็เลื่อนมากุมส่วนนั้นไว้



“...ฮึก...ไม่เอา”



“ชู่ว...เด็กดี” เขากดจูบลงขมับผม



ฝ่ามืออุ่นที่ครอบครองส่วนนั้นของผมไว้เริ่มขยับเบาๆ



แล้วผมก็ปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างง่ายดาย ปล่อยให้ตัวอ่อนยวบไปกับสัมผัสของฌาณอย่างไม่คิดขัดขืนอีกต่อไป เมื่อสัมผัสของเขาทำให้ผมเคลิบเคลิ้มจนสิ้นสติ



ตัวอ่อนย้วยอยู่ในอ้อมกอดของเขา สั่นเกร็งกับสัมผัสวาบหวามส่วนกลางลำตัว สองมือผมโอบรอบคอคนพี่ไว้แน่นอย่างไม่คิดจะปล่อย



เจนนินทร์นายมันคนใจง่าย





❄❄❄❄❄❄


 :hao6:

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-02-2018 18:40:58
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-02-2018 19:37:32
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 28-02-2018 22:32:44
เจนนินคนใจง่ายยย
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-02-2018 23:31:19
ฌาณณณณณณณณณ คนลามกกกกกกแกล้งน้องงงงงง จะฟ้องไจจจจจจจจจจจจ :ling1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-03-2018 04:23:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: LOЯPOR ที่ 01-03-2018 11:32:55
โอยยยย อิพี่!! ทำไมลวนลามน้องงงง
โอยยยย เขินตายแล้ววว
ผู้ชายไทป์ฌาณคือดีย์
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 01-03-2018 18:22:48
นายมันร้าย! รังแกน้อง
กรี๊ดดดด :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 02-03-2018 00:30:11
โอ๊ยยยยยยยยยยยย น้องเจนรู้กกกกกก ฌานนนนนนนี่แหละหมาป่าในคราบลูกแกะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 02-03-2018 01:38:07
ฌานนน หิวแกะซะแล้ว  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-03-2018 02:12:35
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 10 |- 28.2.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 02-03-2018 06:46:37
  :hao3:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 03-03-2018 17:27:48
Lies 11: The pretty lie, the ugly true



หลังจากวันนั้น ฌาณทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาช่วยผมเสร็จเราก็พากันเข้านอน และตื่นมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ผมยังมองหน้าฌาณไม่ติด แต่ดูเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้าฌาณไม่พูดถึงผมก็จะไม่คิดถึงมันอีก น่าอายเป็นบ้า



ถึงแม้ในใจจะสงสัยในการกระทำของเขาอยู่มากพอสมควรก็เถอะ ผมไม่รู้ว่าการที่ฌาณมาทำแบบนี้กับผมมีความหมายอะไรไหม แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป ในใจตอนนี้สับสนและกังวลจนไม่อยากรับเรื่องราวเพิ่มอีก



ผมจูบกับอดีตพี่ชายข้างบ้าน หนำซ้ำยังปล่อยให้เขาช่วยปลดปล่อยอีกต่างหาก...



ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรกับความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ดี



นับจากวันนี้ยังเหลือเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะกลับไทย



อันที่จริง อยู่กับฌาณอย่างนี้มันก็ดี ไม่มีอะไรให้วุ่นวาย ติดตรงที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนและเมืองมันก็ไม่มีอะไรที่ผมสนใจให้เที่ยวเยอะด้วย แต่มันก็สบายดี



ผมเลื่อนตั๋วกลับดีมั้ยนะ...



ไม่ได้แปลว่าผมอยากอยู่กับฌาณนานๆ หรอก แค่ไม่รู้จะกลับไปทำอะไร ผมเรียนจบแล้ว แถมที่บ้านก็ดูไม่ได้กังวลเรื่องงานหรืออาชีพของผมอีก ผมขอไจอยู่อย่างนี้สักพักเป็นแก็ปเยียร์ไจคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง



ผมยังไม่อยากกลับไทยเร็วๆ นี้



ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อกับเจดจะว่าไงเรื่องผม ไม่รู้ว่าไนล์กับลินจะเป็นยังไงและไม่อยากรู้ด้วย ผมอยากหนีความจริงอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ฌาณจะอนุญาตมั้ยนะ หรือผมจะอยู่เป็นเพื่อนฌาณจนฌาณเรียนป.โทจบเลยดี วีซ่าของผมยังไม่หมดอายุ หรือถ้าหมดก็กลับไปต่อได้



ผมคิดฟุ้งซ่านไร้สาระ เพราะฌาณออกไปทำงานกับกุสตัฟที่ห้องสมุด และผมก็ไม่อยากไปที่นั่น มันน่าเบื่อไม่มีอะไรทำ ผมไม่ใช่คนชอบหนังสือขนาดนั้น อ่านบ้างเป็นบางครั้งแต่ไม่ได้ถึงกับคลั่งไคล้ เพราะงั้นเลยเลือกนอนเล่นอยู่ที่ห้อง ผมอยากออกไปเที่ยวอีกแต่ฌาณคงไม่ว่างพาผมไป ผมไม่กล้าไปคนเดียวแล้วด้วย



ถึงแม้ว่าเรื่องซีนไจจะจัดการให้แล้วก็เถอะ



ผมรู้เพราะว่าไจส่งเมล์มาหา บอกว่าเรื่องซีนให้วางใจได้ จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกแล้ว ผมเลยรู้ว่าเขาคงจัดการอะไรบางอย่างกับคนชั่วนั่นไปแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่วางใจ กลัวไปเจอคนไม่ดีแบบซีนอีกแล้วผมก็จะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง



แต่นอนอยู่เฉยๆ แบบนี้มันก็น่าเบื่อ ผมไม่มีงานอดิเรกอะไร เอาแต่ดูหนังดูซีรี่ย์ เล่นเกมไปวันๆ อยากออกไปเที่ยวแต่เท่าที่เสิร์ชดู ที่เที่ยวในโอ๊คแลนด์มันก็มีเท่านี้ แม้ว่ายังเหลือ mission bay ที่ผมยังไม่ได้ไป มันอยู่ค่อนข้างไกล ไปไม่ยากเท่าไหร่ แต่ไม่มีฌาณพาไปผมก็ไม่อยากไปคนเดียว



เพราะถึงผมไปได้ แต่ไปถึงผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าต้องทำอะไร มันมีอะไรน่าสนใจ



อยากไปเที่ยวแล้ว ฌาณรีบๆ กลับมาได้แล้ว



ตอนเย็นฌาณพาผมออกมากินข้าวข้างนอก ใช้คำว่าพาคงไม่ถูกเพราะเขาส่งแผนที่ให้ บอกให้ผมมาเองเพราะขี้เกียจไปรับ ผมเบ้หน้า ไม่พอใจอยู่หน่อยๆ แต่ไปเองก็ได้ ร้านที่ฌาณนัดอยู่ที่ Queen Street ทำให้ผมพอไปเองไหว



ฌาณพาผมมารู้จักกับเพื่อนๆ ที่มหาลัยอีกสองสามคน เป็นชาวกีวี่ทั้งหมด ผมเอ่ยทักทายก่อนเราจะพากันเข้าไปข้างในร้าน



ร้านอาหารญี่ปุ่นค่อนข้างถูกใจผม ผมฟังฌาณกับกุสตัฟคุยกันกับเพื่อนชาวกีวี่ ส่วนตัวเองขอนั่งกินอย่างเดียวไม่สุงสิงด้วย เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไร แต่เพื่อนฌาณไม่ปล่อยให้ผมนั่งเงียบ เขาชวนผมคุยเรื่องโน่นนี่เรื่อยเปื่อยจนผมต้องคุยด้วย ทีแรกมันก็เกร็ง แต่เพราะทุกคนน่ารักผมเลยยิ้มหัวเราะออกมาได้อย่างง่ายดาย



เวลาประมาณเกือบๆ สองทุ่มเราก็แยกย้ายกันกลับ



“เป็นไง” ฌาณถามผมเมื่อเราขึ้นรถบัสเตรียมกลับ



“หมายถึงอะไร?”



“ก็ทั่วไป...”



“ก็ดี...เพื่อนฌาณน่ารักดี”



“ใช่ไหมล่ะ ไว้จะพาไปหาอีก”



“อือ...ฌาณ เมื่อไหร่จะได้ไปเที่ยว”



“หึๆ เบื่อห้องล่ะสิ”



“อือ เบื่อ”



“ที่เที่ยวมี่นี่มีไม่มากหรอก พี่เองก็ไม่ค่อยได้ไปไหน”



“แต่ฌาณยังมีอะไรทำไง” ส่วนผมว่างแล้วว่างอีก



“งั้นเราก็ไปหาครอสลงเรียนสิ”



“ไม่เอา ผมเบื่อจะเรียนแล้ว” คนเพิ่งจบนะ ขอห่างๆ จากหนังสือหรือการเรียนหน่อยเถอะ



ฌาณไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาแค่หัวเราะขำ



“อยากไป Mission bay”



“เอาสิ วันไหนล่ะ”



“...ฌาณนั่นแหละว่างวันไหนเหอะ”



“นั่นสิ...” เขาว่าพร้อมกับนิ่งนึก “อาทิตย์หน้าเลยมั้ง”



คำตอบของเขาทำให้ผมไม่พอใจ นี่ไม่เท่ากับว่าผมต้องรอไปอีกห้าหกวันเลยหรือไง



“ถ้าเบื่อห้องก็มานั่งเล่นห้องสมุดสิ”



“ไม่เอา น่าเบื่อกว่าเดิมอีก”



“มีหนังสือนิยายให้อ่านเยอะแยะ”



“ตอนนี้ผมไม่อยากอ่าน”



“ข้างๆ หอสมุดก็มีอาร์ตมิวเซียม ข้างอาร์ตมิวเซียมก็มีสวนสาธารณะ ไปลองเดินเล่นดูก็ได้”



“ไม่เอาอ่ะ...” ผมเบ้ปาก อยากไปเที่ยว หมายถึงอยากไปไกลๆ ผมไม่ได้ชื่นชอบงานศิลปะ และเบื่อสวนสาธารณะอะไรแบบนี้แล้วด้วย เห็นมันก็มีทุกที่อ่ะ ละก็ไม่ได้ต่างกัน ผมอยากให้ฌาณพาผมไปเที่ยวได้แล้ว



“ไม่งอแงสิ อาทิตย์นี้พี่ไม่ว่างจริงๆ ต้องทำวิจัย เนี่ยถึงขั้นยกเลิกสอนพิเศษแล้ว”



“...”



ผมไม่ได้ตอบเขา ฌาณก็ไม่เอ่ยอะไรเพิ่มเติม เขาแค่เอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ ส่วนผมก็หงุดหงิดที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ



วันต่อมา เป็นอีกวันที่ผมนอนเน่าตัวเปื่อยอยู่บนเตียง เพราะฌาณออกไปทำงาน อันที่จริง ผมตั้งใจจะขอให้ฌาณพาไปMission bay วันนี้ แต่อย่างที่เขาบอก อาทิตย์นี้เขาไม่ว่าง หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้



วันนี้เป็นวันแต่งงานของไนล์กับลินและผมต้องรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง



ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมไม่อยากคิดฟุ้งซ่าน อยากออกไปเที่ยว มีเรื่องให้ทำจะได้ยุ่งๆ ไม่ได้ต้องมาคิดเรื่องราววุ่นวายน่าปวดหัว



เสียแต่ความเป็นจริงคือผมอยู่คนเดียว และกำลังคิดฟุ้งซ่านอย่างหยุดไม่อยู่



ผมอยากได้อ้อมกอดของฌาณ...



อย่างน้อย แค่เขาอยู่ข้างตัวผมไม่ให้ผมคิดมากก็ได้ แต่เพราะฌาณไม่ว่าง ทุกคนต่างมีธุระ มีชีวิตต้องดำเนินต่อไป ส่วนผมก็ยังคงจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกเก่าๆ อย่างไร้ทางออก



ผมแม่ง...ใช้ชีวิตได้ห่วยจริงๆ นั่นแหละ



กะอีแค่เรื่องแค่นี้ทำเหมือนจะเป็นจะตาย เพราะไม่อยากอยู่ประเทศไทยในวันแต่งงานของเพื่อนสนิท ถึงขั้นต้องหนีมาอยู่ที่ไกลๆ ขนาดนี้ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย



ผมพยายามหลับตานอนเพื่อให้เลิกคิดเรื่องพวกนี้ แต่เพราะผมนอนมากไปถึงได้นอนไม่หลับ กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอย่างไร้ค่า ผมไม่ได้อยากรู้สึกอย่างนี้เลย แต่แค่คิดว่าไนล์กำลังจะไปเป็นของคนอื่นผมก็เคว้งแล้ว หึงหวงจะเป็นจะตายทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์



ทำไมไนล์ถึงไม่เลือกผม ทั้งที่ผมมาก่อนแท้ๆ ทั้งๆ ที่เราผ่านอะไรด้วยกันมามากกว่าผู้หญิงคนนั้นแท้ๆ



ทำไมไนล์ถึงไม่ใช่ของผม



ทำไม



ผมเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นมาตอนเกือบบ่ายสี่ ผมนอนลืมตามองเพดานห้อง ก่อนคว้ามือถือมากดเล่น ไจส่งเมล์มาหาทำให้ผมเปิดดู



และพบว่ามันเป็นเมล์เกี่ยวกับงานแต่งงานของไนล์วันนี้...



ไจไปงานแต่งของไนล์แทนผม อย่างที่บอก...ครอบครัวผมกับไนล์สนิทกันมาก ผมเสียใจที่ไม่สามารถไปร่วมยินดีในวันมงคลของเพื่อนซี้ได้ แต่เหนืออื่นใด ผมเสียใจที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของหัวใจเขาได้จวบจนโอกาสสุดท้าย



ผมนอนเหม่อมองเพดานอีกครั้ง ปล่อยมือถือลงข้างตัว อยากส่งตัวไปดาวอังคาร ลอยคว้างอยู่ในอวกาศคนเดียวไม่ต้องมีใคร



เมื่อนึกบางสิ่งที่เคยเห็นในตู้เย็นของฌาณได้ ทำให้ผมตัดสินใจชันตัวลุกขึ้นจากเตียง สุดท้าย ผมก็เลือกการกระทำโง่ๆ โดยการขโมยเบียร์ในตู้เย็นของเขามาดื่ม



...จนหมด...



แม้ไม่ได้เมาจนขาดสติไปอวกาศอย่างที่หวัง แต่พอทำให้มึนหัวอยู่บ้าง



ผมคิดถึงรูปที่ไจส่งมา ภาพที่ได้เห็นปรากฏเป็นรูปคู่ของไจกับไนล์ ไม่ได้มีเจ้าสาวในรูป แต่นั่นก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากพอแล้ว เมื่อเห็นเจ้าของหัวใจในชุดเจ้าบ่าวและบรรยากาศงานแต่งที่ดูเหมือนว่าจะจัดในโรงแรมหรู โคมไฟระย้าดอกไม้หวานแหววสื่อถึงความรัก กระแทกตาให้รับรู้ว่าเป็นเรื่องจริง



สุดท้ายผมก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว ผมร้องไห้จนปวดตาไปหมดเหมือนเป็นคนบ้า แต่ความปวดภายนอกคงเทียบไม่ได้กับความรู้สึก เหมือนจะตายให้ได้เลย...



พระอาทิตย์ตกดิน แสงสว่างของวันหมดไป...ผมนั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง จับตามองความมืดที่ปรากฏบนท้องฟ้า แสงไฟจากตึกรอบๆ แข่งกันส่องสว่าง แล้วมันก็คงดับหายไปในความมืดยามกลางดึก



ผมได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ทว่ากำลังนั่งหันหลังให้ประตู จึงไม่เห็นคนเข้ามา แต่ผมเชื่อว่าตัวเองเดาไม่ผิดหรอก ว่าต้องเป็นเขา



ฌาณกลับมาแล้ว...



“ทำอะไร...”



“...”



“แอบเอาเบียร์พี่ไปกินทำไม”



“...ฌาณ”



“หืม”



“...”



ผมได้แต่เปิดปากแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ยังคงนั่งหันหลังให้เขาจนฌาณเดินมานั่งข้างๆ ผมจ้องหน้าต่างเบื้องหน้า ไม่ใคร่จะหันไปมองหน้าเขาตอนนี้



จนสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วอุ่นๆ ที่แตะลงบนแก้มผม พร้อมกับลูบคราบน้ำตาออกช้าๆ



“เป็นอะไร”



ผมส่ายหน้า



ไม่ได้เป็นอะไร...ก็แค่ไม่ได้ถูกรัก



เหตุผลสั้นๆ เสียแต่ความเจ็บปวดกลับทะลักล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เท่านั้น



“ไม่เป็นไร...พี่อยู่นี่”



ครานี้เขาไม่ได้บอกให้หยุดร้องเหมือนที่แล้วมา แต่กลับดึงตัวผมเข้าสู่อ้อมกอด ปลอบประโลมราวกับกำลังโอบอุ้มเศษแก้วเปราะบาง



ผมพลิกตัวเข้าหาฌาณ ซุกหน้าลงกับอกแกร่ง มุดหาที่พึ่งพิง ก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกทะลักออกมา



...ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกจากปากผมอย่างห้ามไม่ได้ เนื้อหากล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อไนล์คำแล้วคำเล่า สะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพชเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ซ้ำยังถูกทำร้ายหัวใจเพราะตัวเอง



เพราะเลือกที่จะรักเอง



ทำไมไนล์ไม่เลือกผม ทำไมผมถึงเป็นของไนล์ไม่ได้ ทำไมไนล์ถึงเลือกเธอ ทั้งๆ ที่ผมมาก่อน ทำไมถึงทิ้งผมไว้ ผมไม่สำคัญแล้วหรือ ทำไมต้องทำให้เรื่องมันเกิด ทำไมถึงห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้



หลากล้านคำว่าทำไมล้นออกจากปาก ฌาณไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กอดผมไว้อย่างนั้นพร้อมกับลูบหลังเบาๆ จนกระทั่งผมสงบสติลง ภายในห้องจึงดังเป็นความเงียบ



เรากอดกันนิ่ง ปล่อยให้เวลาเลยผ่าน ต่างคนต่างมีความคิดอยู่ในหัว



“ฌาณ...กอดผมหน่อย”



“...กอดอยู่นี่ไง”



และไม่รู้ว่าเพราะอะไร คงเพราะความสัมพันธ์ของผมกับฌาณมันก้าวกระโดดไปไวมาก จากการกระทำของฌาณที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าเขาคงชอบผมล่ะมั้ง และถ้าเป็นอย่างนั้นจะผิดไหมถ้าผมอยากให้เขาช่วยคลายเศร้าให้ตัวเอง... ถ้าเป็นฌาณ...ผมคงยอม...



“กอด...ที่มากกว่านี้”



“...”



อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ผมกล้าเอ่ยออกไป เมื่อความต้องการถูกเสนอออกไปอย่างไม่อาจย้อนกลับ ผมไม่กล้าสู้หน้าฌาณ กลัวเขาปฏิเสธหรือดุที่ผมเป็นคนอย่างนี้ จึงได้แต่ซุกลงหน้าอกเขา ฌาณนิ่งเงียบไปพักใหญ่จนผมใจเสีย อยากจะบอกว่าล้อเล่น แต่อีกใจผมไม่ได้ล้อเล่น ผมอยากให้เขากอด…



ให้อย่างน้อยก็รู้ว่ายังมีคนต้องการผม



ตอนนั้นมันก็เขินที่ฌาณมาทำโน่นทำนี่ใส่ แต่เพราะมันผ่านมาแล้วแถมเขาก็ดูไม่รังเกียจที่ต้องสัมผัสผมนี่...ถ้าอย่างนั้นผมขอมากกว่านี้เขาคงยอม... มันอาจเป็นเรื่องไม่ดีและน่าอายก็จริง แต่ตอนนี้ความรู้สึกเศร้ามันล้นทะลักมากกว่าอารมณ์ไหนๆ ผมอยากให้เขาช่วยทำให้ผมคลายเจ็บ



แต่ฌาณนิ่งนานเกินไป จนสุดท้ายผมก็ขยับตัวออกมา ตั้งท่าจะเอ่ยบอกให้เขาอย่าใส่ใจ



ทว่าทันทีที่อ้าปาก กลับได้รับรสจูบจากคนตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว



ฌาณช้อนคางผมให้เงยหน้ารับมุมกับองศาที่เขาต้องการ ใช้ริมฝีปากดูดดึงริมฝีปากล่างผมจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอาย เขาผละออกไปเล็กน้อยแต่ไม่ปล่อยให้ผมหยุดพัก ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากพร้อมกับเกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นผมจนพันกันวุ่นวาย



ผมสะดุ้งเมื่อฝ่ามือร้อนมุดเข้ามาในสาบเสื้อ บีบเฟ้นสะโพกเสียเต็มแรงก่อนจะลูบไล้สะเปะสะปะจนทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา ฌาณลูบมือผ่านยอดอกผมไปมา วนลงหน้าท้องเลื้อยเข้าไปลูบหลังก่อนจะวนขึ้นมาวุ่นวายแถวหน้าอกผมใหม่ จนปลายนิ้วแหย่เย้ายอดอกทำให้ผมตกใจจนเกร็งตัว



ฌาณยอมถอนจูบออกไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจ้องตาผมเขม็ง ลอบเลียริมฝีปากตัวเองราวหมาป่าหิวกระหายที่เห็นผมเป็นเหยื่อ



มือสองข้างจับเสื้อผมถลกขึ้น ผืนเนื้อผมปะทะกับอากาศหนาวจนขนลุก ผมซุกตัวเข้าหาไออุ่นจากคนแก่กว่า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ส่งเสียงดังโครมครามราวกับหัวใจจะหลุดออกมาอย่างนั้น แม้จะตกใจที่จู่ๆ เขาก็เริ่มรุกไล่โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ ปล่อยให้ฌาณทำตามต้องการ



ฌาณช้อนตัวผมขึ้นไป อุ้มไปยังเตียงใหญ่อย่างไม่ใคร่จะใส่ใจที่จะปิดไฟหรือปิดม่าน



เอาเถอะ ห้องก็อยู่ตั้งสูง...แถมตึกข้างๆ ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ คงไม่มีใครมองผ่านเข้ามาได้หรอกมั้ง...



ผมปล่อยให้เจ้าของห้องกางแขนคร่อมผมไว้ ฌาณจับคางผมก่อนก้มลงประกบจูบ แลกลิ้นกันอีกครั้ง ครานี้ เขากระตุกกางเกงผมจนหลุดไปอยู่ที่เข่า และสุดท้ายผมก็สลัดมันออกไปเอง เนื้อผิวร้อนของฌาณแผ่มาจนสัมผัสได้ และคิดว่าผมเองก็คงตัวร้อนหน้าแดงไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก



มือไม้ผมเกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน เลยได้แต่คล้องคอเขาไว้อย่างเก้ๆ กังๆ ปล่อยให้เขามอบจูบกลับมาอย่างไม่คิดจะเล้าโลมเขากลับ



ความสัมพันธ์ของผมกับฌาณค่อนข้างจะรวดเร็วอย่างคิดไม่ถึงเหมือนกัน ทีแรกผมแค่มาขอเขาอยู่ด้วยเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นนี้ ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว ตราบใดที่ฌาณยังกอดผมไว้อย่างนี้



“เจน...”



“...อือ?” จู่ๆ เขาก็ถอนจูบพร้อมเรียกชื่อผม ทำให้เอ่ยรับไปตามความเคยชิน



“รักไนล์ไหม”



“...รัก”



“พี่ก็รักเรา...รู้ใช่ไหม”



“...”



“อย่าใช้พี่เป็นเครื่องมือเพื่อลืมใคร”



“ผมเปล่า...”



“Don't mess with my feelings.”



“…”



“และอีกอย่าง อยู่ต่อหน้าพี่ อย่าโกหก...”



“...ผม...”



ผมตั้งท่าจะปฏิเสธอีกครั้ง ทว่าฌาณจ้องลงมาราวกับมองผมออกทะลุปรุโปร่งจนต้องหลุบตาหนี มันคงจะจริงอย่างที่เขาว่า...ผมในตอนนี้ตั้งใจใช้ฌาณเพื่ออยากจะลืมไนล์ และคงกำลังเล่นกับความรู้สึกเขาจริงๆ...



“เจนนินทร์”



“...”



“รับปากพี่”



“...”



“อย่าโกหกอีก ตกลงไหม”



“...”



“เจนนินทร์”



“ครับ...”



จบคำตอบรับ เขาก้มลงมาจูบผมเบาๆ ก่อนละออกไป หนึ่งมือลูบใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา สายตาคมยังคงจ้องลงมาอย่างไม่ลดละ



ความรุ่มร้อนเมื่อครู่จางหาย ฌาณไม่มีทีท่าว่าจะทำต่อแล้ว เหมือนเขาแค่ปล้ำจูบผมเท่านั้น พอจบคำพูดของฌาณ คนตัวโตกว่าก็ทำเพียงจ้องหน้าและลูบหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมปล่อยให้เขาทำตามใจ จนยอมแพ้เมื่อสายตาของฌาณทำให้ผมหายใจติดขัด ผมเบือนหน้าหนี เมื่ออ่านใจฌาณผ่านสายตาเขาไม่ออกจึงตั้งท่าจะจบเรื่องนี้ พลิกตัวตะแคงข้างได้ไม่ทันไร ฌาณก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง



“เจน...เรื่องไนล์”



“...”



“โกหกใช่ไหม?”



ผมหน้าชาวาบ หายใจไม่ทั่วท้อง และจากที่เริ่มควบคุมความร้อนรุ่มของร่างกายได้แล้ว ในตอนนี้ เหงื่อผมกลับผุดออกมาอีกครั้งท่ามกลางอากาศหนาว



“ไม่เคยนอนกับไนล์จริงๆ ใช่ไหม?”



“ผม...”



ฌาณขยับตัวมานอนข้างๆ ผม หันหน้าจ้องหน้าผมพร้อมกับกอดล็อกผมไว้ไม่ให้หันหนีอีก ผมถูกดวงตาคมจับจ้องมา ราวกับโซ่หนาตรึงทุกส่วนของร่างกายจนขยับไม่ได้ ในสายตาของผมตอนนี้คงวูบไหวกับคำพูดก่อนหน้าของเขาแน่ๆ ผมเผยอปาก ตั้งท่าจะตอบกลับแต่ไร้เสียงใดเปล่งออกมา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วคราว กระทั่งฌาณกระพริบตา ราวกับถูกปลดจากพันธนาการ ผมหลบตาหนีทันที



“คนเคยแล้วไม่เป็นแบบนี้หรอก”



“...”



“บอกความจริงพี่มาเสียที เจนนินทร์”



ผมส่ายหน้า



ไม่อยากจะบอก ในเมื่อความจริงทำให้ผมเจ็บปวด สู้หลงอยู่ในโลกลวงยังจะดีกว่า



“เจนหนีมันไปไม่ได้หรอก รู้ใช่ไหม...”



“...”



“ให้พี่รู้ความจริงได้ไหมครับ”



“มันไม่ใช่เรื่องดีหรอก...”



“ใครๆ ก็เคยทำผิดทั้งนั้น”



“มันไม่เหมือนกัน ที่ผมทำ...แย่ยิ่งกว่าเดรัจฉาน”



“อย่างน้อยเจนก็รู้สึกผิดนี่”



“แต่กว่าจะสำนึก...ผมก็ต้องเสียเพื่อนไปแล้ว”



“เชื่อสิว่ามันจะมีทางแก้”



“มันสายไปแล้วฌาณ...มันไม่มีทางแล้ว...”



“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก”



ผมส่ายหน้า ยังไงก็ไม่มีทาง ความจริงอันแสนโสมมที่ผมได้กระทำลงไปเลวร้ายจนไม่คิดว่าจะได้รับการให้อภัยจากใครทั้งนั้น ฌาณไม่เร่งให้ผมพูดอะไรอีก สัมผัสอ่อนโยนของเขาค่อยๆ ลูบหัวผมให้ผ่อนคลาย ทั้งๆ ที่น้ำตาเอ่อล้นแทบจะทะลักอยู่รอมร่อ



“ไม่มีทางหรอก...เพราะยังไง เรื่องที่ผมตั้งใจจะนอนกับไนล์ก็เป็นเรื่องจริง...”





❄❄❄❄❄❄



...อันที่จริง...เจนนินทร์เป็นคนที่ถ้าไปอยู่ในเรื่องของคนอื่น น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตัวร้ายค่ะ...555

หวานได้ไม่ทันไรน้องก็มีเรื่องอีกแล้ว

ตอนหน้าจะเป็นเฉลยจริงๆ แล้วค่ะ TvT

ขอให้เอ็นดูเด็กน้อยคนนี้หน่อยน้า
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 03-03-2018 18:28:54
เอ้า เจนไม่ได้หลอกแค่นี้ เจนก็หลอกเราด้วย
เอ้า นี่ทำข้อสอบไม่ได้ยังโดนหลอกซ้ำๆอีก :z3:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 03-03-2018 19:56:23
เจนร้ายจริง  :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 04-03-2018 05:36:46
นั่นน สรุปแล้ว เจนเข้าหาไนล์เองใช่ไหม

สงสารเจนนะ รักมานาน เพื่อนก็สนิทมาก
คุ้นเคยกันดี เลยอาจทำเจนเข้าใจผิด

พี่ฌาณคนดีก็รักน้องนะ เจนอย่าโกหกอีกเลย
มันเจ็บทั้งคู่ ถ้าอยากลืมและเริ่มใหม่
เจนต้องซื่อตรงกว่านี้นะ

ฌาณพูดเรื่องเจนยังไม่เคยขึ้นมา คือมีอึ้งค่ะ
สงสารมากกว่าไปอีก ทำไมต้องเจอคำโกหกซ้ำ ๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 04-03-2018 12:52:14
น้องเจนลูก มีเรื่องไหนที่หนูยังพูดไม่หมดอีก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Cardiac ที่ 04-03-2018 16:48:50
เจนลูก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 04-03-2018 19:36:05
ลูกแกะมีอะไร ก็รีบสารภาพให้หมดนะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: kikilululu ที่ 05-03-2018 02:11:31
อดใจไม่ไหวขอเม้นตั้งแต่อ่านไปแค่สองตอน ชอบบรรยากาศในเรื่องมากเลยค่ะ อ่านแล้วลืมอากาศร้อนๆที่บ้านเราไปได้เยอะเลย เท่าที่อ่านถึงตอนที่สองเราว่ามันเหมือนบันทึกของลูกคนรวยที่นิสัยแมวๆมาเล่าเรื่องทาสหนุ่มให้ฟัง5555555555 ยอมรับเลยว่าติดใจสำนวนของคุณนีกเขียน มาก ตั้งแต่คุณเกรย์แล้ว อ่านแล้วสบายตาไม่ต้องเค้นสมองต่อให้เนื้อเรื่องจะชวนให้เราคิดมากแค่ไหนแค่เราก็จะสายชิวแบบน้องนอนเปื่อยๆในกองผ้าห่มต่อปัยยยย
ป.ล.เม้นเล้าผ่านเบราว์เซอร์ในมือถือเป็นอะไรที่ทรมานทรกรรมมากจริงๆ แต่อดไปเม้นผ่านพีซีตอนพรุ่งนี้ไม่ไหว กลัวไม่ได้ฟีลลิ่งแบบตอนนี้แล้ว5555555

*แก้ชื่อน้องออก หน้าแตกมากเว่อ55555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: kikilululu ที่ 05-03-2018 03:29:13
โอเคอ่านถึงตอนล่าสุดแล้วพบว่าเราเป็นไก่ให้น้องต้มอยู่นานเลยอ่ะ แงงงงงงงงงง  :hao7:
น้องหลอกพรี่ทำมายยยย แต่รวมๆแล้วน้องก็ยังแมวๆอยู่ดี ถึงดูท่าทางแล้วจะเป็นแมวที่ร้ายกาจมากด้วย
ส่วนพี่ฌาณก็เหมือนเครื่องจับเท็จในร่างผู้ชายหน้าตาดีเงี้ยะ จับไต๋น้องได้ตลอด ชักอยากจะรู้แล้วว่าหลังจากคนพี่รู้ความจริงว่าน้องร้ายขนสดไหนจะจัดการกับน้องยังไง แต่เราก็ยังเงิบอยู่เลยกับเรื่องโกหกหลายๆอย่าง คุณนักเขียนวางกับดักไว้แทบทุกจุดหลบไม่พ้นเลยสักกะหลุม ถึงตอนนี้ก็จับโกหกอะไรน้องไม่ได้เลยค่ะ555555 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-03-2018 04:03:30
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 05-03-2018 16:44:47
ชอบพี่ฌาณ อบอุ่นมาก รู้ทันน้อง แต่ยอมตามใจ มีขัดใจบ้างเล็กน้อย น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 06-03-2018 02:47:28
น้องงงงงง หลอกเก่งงงง 55555 ปิดบังอะไรอีกลูก เล่ามาให้หมดได้แล้วววว  :ling1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 11 |- 3.3.2018 - p.4
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 06-03-2018 02:48:46
นุ้งเจนลูกกกกกกกก
เราอาจจะไปเป็นตัวร้ายของคู่อื่น แต่เราก็มีสิทธิ์เป็นตัวเอกกับคู่ของเราเนาะ
หมาป่าฌานช่างร้ายไม่เบา ตะล่อมแกะน้อยซะอยู่หมัดเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 09-03-2018 12:58:39
Lies 12: There’ll be no sunlight and clear skies



หากให้กรอเทปกลับไปใหม่ เผยความจริงที่ถูกบิดเบือน ก็คงจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย



ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นผมเองที่ร้องขอให้ไนล์จูบผมลับหลังลินอยู่บ่อยๆ ครั้งแรกอาจเกิดจากความเต็มใจของเราทั้งคู่ วัยรุ่นชายวัยอยากรู้อยากลองทำตามเฮอร์โมนที่พลุกพล่าน เรื่องควรจบแค่นั้น เพียงแค่ผมไม่รู้จักพอ เมื่อเคยชินกับการเป็นผู้รับมาโดยตลอด



และสำหรับผม ไนล์ก็เคยชินกับการเป็นผู้ให้มาตลอดเช่นกัน



เขาไม่ปฏิเสธคำร้องขอ เพียงแต่ไนล์ก็ไม่เคยทำไปมากกว่านั้น เขาไม่ได้อยากล่วงเกินผม และหลังๆ มา ท่าทางไนล์เห็นได้ชัดว่าไม่อยากทำเรื่องอย่างนี้กับผมแล้ว เขาหาทางปฏิเสธ รวมถึงไนล์ดูไม่ใคร่ที่จะอยู่ใกล้กับผมเหมือนเมื่อก่อน ไนล์มีคนรัก ผมรู้อยู่แก่ใจ แค่ไม่เคยคิดว่าเขาจะจริงจังกับมัน



จนกระทั่งเขาบอกว่าเขาจะหมั้นกับลิน



ความโกรธ ความหึงหวงอันน่าสมเพชถล่มทับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และสุดท้าย ผมก็มอมเหล้าเขาจนขาดสติ พร้อมกับยกตัวเองให้ไนล์อย่างเต็มใจ



ด้วยคำถามเดิมซ้ำซากเข้าครอบงำ...



ทำไมไนล์ไม่เลือกผม



ผมเรียบเรียงความจริงใหม่ เรื่องนี้ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเพราะผมตั้งใจปิดมันไว้ จะสำคัญอะไรในเมื่อสุดท้ายผมก็คิดร้ายกับไนล์อยู่ดี



ตั้งสติ บอกเล่าให้ฌาณฟังอีกครั้ง “ผมมอมเหล้าไนล์จริง พาเขาเข้าโรงแรมจริงๆ แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ถึงผมตั้งใจจะทำก็เถอะ...”



“อืม...”



“ผมถอดเสื้อตัวเอง ถอดเสื้อเขาแล้ว แต่...แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำ จบลงด้วยการนอนเปลือยข้างๆ ไนล์ จัดฉากเสแสร้งว่าเรามีอะไรกัน...”



“...”



 “...ถ่ายรูปแบล็คเมล์ ข่มขู่ว่าถ้าเขาไม่ทำตามที่ผมต้องการผมจะเอาเรื่องนี้ไปบอกไจกับลิน...ไนล์รู้ดีว่าครอบครัวผมเป็นยังไง ถ้า...ถ้าผมเอาเรื่องขึ้นมา ไนล์คงลำบาก ผมก็รู้...แต่ก็ยังทำ”



ผมสูดหายใจ กลั้นเสียงไม่ให้สั่น “ผมไม่รู้ต้องทำยังไงให้ไนล์เลือกผม ถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ นี้ขึ้นมา ผมเสียใจนะ...ที่สุดท้ายแม้แต่เพื่อนก็คงเป็นให้ไม่ได้ แต่...แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนที่เราจูบกันแล้วไม่ใช่หรือไง”



จบคำสุดท้าย ผมร้องไห้โฮ ความลับโสมมที่ปกปิดไว้มานานจนอึดอัดได้รับการปลดปล่อย หยดน้ำตาที่คิดว่าร้องจนแห้งเหือดหมดแล้วกลับล้นทะลักเบ้าตา ผมโทษทุกสิ่งทุกอย่าง หาเรื่องอ้างโทษคนอื่นไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่ชั่วช้าที่สุดคือตัวผมเอง...



เพียงแค่ผมยอมรับไม่ได้แค่นั้นเอง



ผมทำร้ายเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตด้วยการแบล็คเมล์ไนล์ไว้ เป็นข้ออ้างไม่ให้เขาตีตัวออกห่างผมเหมือนที่แล้วมา แน่นอนว่ามันได้ผลแค่ช่วงแรก



ความชั่วช้าของผมไม่ได้ลอยนวลตลอดไป เมื่อปีสี่เทอมสอง ไนล์เปิดใจคุยกับลินพร้อมเล่าเรื่องผมให้ฟังทั้งหมด



และหลังจากวันนั้นมันคือนรกดีๆ นั่นเอง



ทุกคนที่ผมรู้จักกล่าวต่อว่าเสียจนผมแทบไม่มีที่ยืน ไนล์ไม่พูดกับผมอีก ผมทรมานเจียนตายแต่ก็ยังกระเสือกกระสนหน้าด้านหน้าทนไปเรียนหนังสือทุกวันจนจบ อย่างน้อยเรื่องก็มาเกิดตอนปลายเทอมสองของปีสุดท้าย ไม่งั้นผมคงย้ายมหาลัยไปแล้ว ผมไม่โทษลินหรอกถ้าหากว่าเธอเป็นคนปล่อยข่าว ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด และคงได้รับโทษเช่นนี้สักวันหนึ่ง



แน่นอนว่าทุกคนรังเกียจผมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่สุดท้ายผมก็ยังเลือกจะไปปาร์ตี้สละโสดของเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร



เพียงเพราะอยากคุยกับไนล์อีกสักครั้ง



แล้วทุกอย่างก็พังครืนลงมาเมื่อไม่เป็นดังที่หวัง แค่หน้าผมไนล์ยังไม่มองเลยด้วยซ้ำ



เมื่อในที่นั้นไม่มีที่ของผมอีกต่อไป ผมจึงเลือกที่จะบินหนีไปให้ไกล



แม้ว่าไนล์จะมาหาผมและพร้อมให้อภัยภายหลังจากนั้น แต่ในตอนนั้นผมไม่มีความต้องการที่อยากจะคุยกับเขาอีกแล้ว ผมเริ่มเรื่องทั้งหมดก็จริง ผมทำผิดเองก็จริง การที่ไนล์จะเกลียดผมไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ความจริงที่ปะทะใส่ผมทำเอาผมเซ จนสุดท้ายก็เลือกที่จะละเลยเขาไป เพราะคิดว่าทำแบบนี้คงสบายใจกว่า



บอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่รับมือกับปัญหาได้ดี



เก่งแต่หาเรื่องจนน่าสมเพช นอกจากจะเสียเพื่อนแล้วทุกคนในครอบครัวคงผิดหวังในตัวผมที่ก่อเรื่องอื้อฉาว พ่อกับเจดคงเกลียดผมแล้วที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีแต่ไจที่ยังคอยโอ๋ผมอยู่ แต่มันก็ไม่พอ เมื่อสุดท้ายความสบายใจที่บ้านมันหายไปผมจึงเลือกออกมา พักผ่อนใจจากความจริงสักพัก



เมื่อจบเรื่องเล่า ผมก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับฌาณ กลัวว่าเขาก็คงไม่ต่างจากคนอื่นที่ต่อว่าผม ซึ่งสมควรที่จะโดนแล้ว เพียงแต่ฌาณไม่ได้พูดอะไร ยังคงลูบหลังผมให้หายสะอึกสะอื้นไม่หยุด



จนเสียงสะอื้นผมหยุดลง ฌาณถึงเอ่ยปาก



“ไม่เป็นไร”



สุดท้ายแล้วในคืนนั้น ฌาณก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานอกจากคำว่าไม่เป็นไร ลูบหัวและกอดปลอบผมให้จมลงไปในห้วงนิทรา







เช้าวันต่อมา ผมปวดหัวตามคาด เพราะดื่มเบียร์ไปหลายขวดรวมถึงร้องไห้เยอะด้วย ผมได้ยินเสียงก๊องแก๊งจึงลุกมาดู เห็นฌาณกำลังเก็บกวาดซากขวดเบียร์ที่ผมดื่มหมดไปเมื่อคืนลงในถุงดำ ผมลุกจากเตียงเดินไปหาเขา



“...ตื่นเช้านะ”



“อือ ฌาณไม่ไปห้องสมุดแล้วเหรอ”



“แคนเซิลไปแล้ว ป่วยอยู่ไม่ใช่หรือไง”



“...”



ผมพยักหน้าเบาๆ อันที่จริงแค่ปวดหัวกับมีไข้หน่อยเดียว นิดเดียวแบบที่ว่าแทบไม่มีผลอะไรต่อชีวิตประจำวัน นั่งๆ นอนๆ ก็หายแล้ว แต่ก็ยังอยากให้เขาอยู่ดูแลผมอยู่ดี ฌาณห่างจากผมไปหลายวันแล้ว



ฌาณพาผมไปนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนอีก จนผมเป็นฝ่ายเอ่ยถาม



“ฌาณไม่รู้สึกยังไงหน่อยเหรอกับเรื่องที่ผมเล่า”



“ให้รู้สึกอะไรล่ะ”



“ก็...อย่างเช่นคิดว่าผมนิสัยเสียเหมือนที่ใครๆ คิดไง”



“อยากให้พี่คิดอย่างนั้นเหรอ”



“...เปล่า”



“พี่ก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น ในบริบทของเจน พี่เข้าใจนะ ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจเจน แต่เข้าใจว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น”



“แล้ว...”



“อย่างน้อยเจนก็รู้ว่าตัวเองผิด แค่นั้นก็เริ่มต้นใหม่ได้ดีแล้วไม่ใช่หรือ”



ผมไม่ตอบ เบ้หน้าใส่เขา ทำไมต้องทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะซ้ำๆ ด้วย



“ขอแค่อย่าโกหกอีก”



“...อืม...”



เขายกยิ้ม เดินไปมัดถุงขยะที่เต็มไปด้วยขวดเบียร์เปล่าๆ พร้อมบ่นงุบงิบ “เจนเล่นดื่มเบียร์พี่หมดตู้เลย”



“เท่าไหร่” ผมถามเขา ใช้นิสัยเดิมเพื่อแก้ตัว



ฌาณหัวเราะ พร้อมเดินมาทางผมก่อนก้มประกบปากแนบลงที่ริมฝีปากผม ลอบแลบลิ้นเลียแล้วจึงผละออก ชอบทำให้ใจสั่นอีกแล้ว



“เท่านี้”



“...”



“ขอแบบนี้อีกสามสิบวัน”



“...ผมก็กลับพอดี”



“ก็ใช่ไง”



จบคำพูด ใจผมโหวงแปลกๆ หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกเคว้งๆ เมื่อใกล้วันกลับ



ฌาณเดินออกไปทิ้งขยะข้างนอก ส่วนผมเรียบเรียงความคิดและความรู้สึกตัวเองใหม่อีกครั้ง ผมรักไนล์ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวั่นไหว ผมไม่มีทางไม่รู้จักความรู้สึกที่ผมมีต่อไนล์มาตลอดหลายปีนี้หรอก ทว่าการได้อยู่ใกล้ๆ กับฌาณ สัมผัสของฌาณ ทุกการกระทำของฌาณเองก็ทำให้ผมสบายใจ แทบไม่แตกต่างจากไนล์



ผมไม่เข้าใจตัวเอง...



ผมรักไนล์มากขนาดที่คิดว่าคงรักใครไม่ได้เท่านี้แล้ว แต่พอเจอฌาณ ทุกอย่างเหมือนตีโต้กลับมาใส่ผม ราวกับว่าความรักของผมที่มีต่อไนล์มันไม่จริง เพราะผมดันใจเต้นกับฌาณ ทั้งๆ ที่เจอกันไม่กี่เดือน



หนำซ้ำ ฌาณยังมาบอกรักผมอีก ผมสงสัยมากจริงๆ ว่าคนเราจะตกหลุมรักใครได้ไวขนาดนี้ด้วยหรือ



ผมไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไงกับฌาณ มันใกล้เคียงความรู้สึกที่มีต่อไนล์ เสียแต่ยังไม่กล้ายอมรับ ผมกลัวว่ามันไวเกินไป การที่เริ่มต้นรักใครใหม่ทั้งๆ ที่ยังรักคนเก่าเช่นนี้ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้



คนเราไม่ควรมีหัวใจถึงสองดวง



แต่ถึงอย่างนั้น...ผมกลับตอบรับรสจูบของฌาณทุกครั้ง มันตลกดีที่ความคิดของผมย้อนแย้งกันไปมาอย่างหาคำตอบไม่ได้



หลังจากที่ฌาณเก็บกวาดการกระทำของผมเสร็จ เราก็กินข้าวเช้าด้วยกัน ฌาณไม่เอ่ยถามเรื่องราวของผมในอดีตอีก เขาคงแค่อยากรับฟังให้รับรู้เท่านั้นเฉยๆ มั้ง อีกอย่าง...จะให้มาแก้ไขอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้วด้วย เมื่อฌาณไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องอดีตของผม ผมจึงปล่อยให้ชีวิตประจำวันธรรมดาดำเนินต่อไป



ผมรักชีวิตธรรมดาๆ แบบนี้นะ ถ้ามันเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงดี ไม่ต้องมีเรื่องมาให้วุ่นวายใจ ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ต้องมีเรื่องตื่นเต้นก็ได้ ผมเหนื่อยกับการจัดการปัญหา เพราะทำไม่เป็น แต่ผมก็รู้...ชีวิตเรามีความสุขตลอดไปไม่ได้หรอก



เมื่อวันนี้ ที่จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว



เมื่อวานซืน ผมไปห้องสมุดกับฌาณเพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศ อยู่ห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำ ไปห้องสมุดเมืองก็ไม่มีอะไรให้ทำ แต่ผมเลือกอย่างหลังเพราะอย่างน้อยก็ไปไม่มีอะไรทำในบรรยากาศใหม่ๆ ดีกว่า เพื่อนฌาณยังคงอยู่ครบแก๊งค์ แต่ผมไม่ได้คุยด้วยเท่าไหร่ พวกเขาก็คุยกัน ถกเถียงเรื่องวิจัยเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีคนสนใจผมเท่าไหร่นั่งผมเลยนั่งฝังตัวหลบมุมให้พวกพี่ๆ ได้ทำงาน ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าเล่นแล็ปท็อป ใช้พื้นที่ให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด



จนกระทั่งจู่ๆ ฌาณก็ลุกออกไปรับโทรศัพท์ พร้อมกับเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด



ในตอนเย็นวันนั้นฌาณถึงได้เฉลยว่าจะมีคนมาหาในวันมะรืน ต้องออกไปรับแต่เช้า ทีแรกผมก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งได้เจอกับหล่อน



บิวคือชื่อของเธอ ผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวผมดำหยักเป็นลอน อายุน่าจะพอๆ กับผมไม่ก็เด็กกว่า ใบหน้าสวยคมราวกับนางแบบปรากฏตัวในห้องพักของฌาณ...หรือต้องบอกว่าห้องของผมกับฌาณ



“อย่าบอกนะว่านี่คือคนใหม่?”



“...ไม่เกี่ยวกับบิวนี่”



“ไม่เกี่ยวได้ยังไง พี่ฌาณก็รู้นี่”



“...”



ผมไม่เคยเห็นฌาณเงียบแบบนี้ เป็นความเงียบที่ไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่เงียบเพราะจนคำพูด



ความประทับใจแรกของผมกับหล่อนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มาถึงก็เอ่ยประโยคไม่น่าฟัง พูดยังกะผมเป็นเด็กของฌาณ ไหนจะสายตาที่มองมาที่ผมราวกับจะดูถูกเหยียดหยาม...ไม่ได้คิดไปเองนะ เป็นใครเห็นหล่อนจ้องจิกอย่างนั้นก็ต้องรู้สึกเหมือนผมทั้งนั้นแหละ



สุดท้ายฌาณก็ไม่ไปตอบคำพูดก่อนหน้าของเธอ แต่แนะนำตัวของผมกับเจ้าหล่อนให้เราได้รู้จักกัน บอกตามตรง ก็ไม่ได้อยากรู้จักคนอย่างนี้เท่าไหร่นักหรอก และดูเหมือนอีกฝ่ายก็คิดแบบเดียวกัน เมื่อฌาณแนะนำตัวผมเสร็จ แขกผู้มาเยือนก็เชิดหน้าลากกระเป๋าวางแผ่จับจองที่ปลายเตียง



“บิวจะมาค้างด้วยสักคืนสองคืนนะ ระหว่างนี้เราก็นอนโซฟาเบดไปก่อน ได้มั้ย?”



“...”



หลายความคิดวิ่งเข้ามาในหัวผมอีกแล้ว บิวเป็นคนรู้จักของฌาณมาก่อน และคงเคยสนิทสนมกันถึงขั้นมานอนพักห้องเดียวกันได้ขนาดนี้ ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ บิวก็สวย...แถมฌาณก็ดูให้ความสำคัญ ผู้หญิงมาขอนอนห้องผู้ชายโดยที่ไม่ใช่ญาติตัวเองขนาดนี้ ก็คงเป็นแฟน...



แฟนเก่ารึเปล่า...



ฌาณไม่เคยบอกผมว่าคบใครอยู่ แต่การที่เขากล้าบอกรักผม รวมถึงการกระทำหลายๆ อย่างทำให้ผมคิดว่าเขาคงโสด และคิดว่าตัวเองคิดถูกมาตลอดจนกระทั่งมาเจอบิวเนี่ย หงุดหงิดแล้วนะ



“เจน?”



พอฌาณเรียกชื่อผมอีกที สติก็กลับเข้าร่าง เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนกัน จะให้หนีไปเปิดโรงแรมนอนคนเดียวก็ไม่อยากให้ฌาณอยู่กับหล่อนสองต่อสอง...



“ก็ได้”



พลันคิดถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ฌาณอยู่กับเธอ...นี่ผมกำลัง...หวง?



ฌาณบอกให้บิวทำตัวตามสบาย เจ้าหล่อนก็ทำอย่างที่ฌาณว่าจริงๆ ราวกับครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ เดินเข้าออก หยิบจับนู่นนี่อย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังขอตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก โดยที่ฌาณไม่ได้ไปเป็นเพื่อนอีก คงคุ้นทางน่าดู ผมเลยแย๊บถามฌาณไปหน่อยๆ



“อืม บิวมาที่นี่...ครั้งที่สิบเอ็ดแล้วมั้ง...หรือสิบสอง?”



“แล้ว...ก็มานอนกับฌาณตลอดเลยเหรอ”



“ก็ใช่”



“...”



“...ไม่ได้มีอะไร อย่าคิดลึก”



“...ยังไม่ทันคิดอะไรเลย”



“บอกแล้วว่าอย่าโกหก” ผมเงยหน้ามองฌาณ ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “หน้ามันฟ้อง”



แล้วผมก็ทำหน้าบูด มุดหน้าหนีฌาณพร้อมขยับตัวหมายจะเดินไปอีกห้องแต่โดนอีกฝ่ายรั้งแขนไว้ ก่อนจะเชยคางผมให้หันมารับรสจูบที่เขาป้อนให้



ครานี้ไม่ยอมคล้อยตามแล้ว



ผมเบือนหน้าหนี ขบเม้มริมฝีปากตัวเองไม่ให้เขาฉวยไปชิมอีก



“เจน?” และดูท่าคนฉลาดอย่างฌาณก็รับรู้ได้ในความผิดปกติของผม



“ฌาณกำลังทำตัวเหมือน...ไนล์”



คนถูกกล่าวหาคิ้วกระตุก โต้กลับ “ไม่เหมือน”



“เหมือน”



“โอเค...เจนอาจจะคิดว่าเหมือน แต่มันไม่เหมือนเข้าใจนะ”



“ไม่เข้าใจ” ผมวรรคก่อนเอ่ยต่อ “You are the one who mess with my feelings, aren’t you?”



“No…” เขาถอนหายใจ “ไม่ใช่ เรื่องนี้แน่นอนเลย สัญญา”



“มันต่างยังไง สุดท้ายฌาณก็คงไม่เลือกผมอยู่ดี”



“นี่เจนกำลัง...หึงพี่?”



“...”



“หึ อย่าเดินหนีสิ ฟังกันก่อน” เขารีบคว้าตัวผมไว้ โอบกอดรอบตัวจนผมดิ้นหลุดไม่ได้



“ไม่ใช่บิว...คนที่ทำให้พี่รู้สึกดีด้วยได้...ไม่ใช่บิว แต่เป็นเรา”



“...”



“บิวเป็นน้องคนรู้จัก รู้จักกันมานาน พี่เห็นเหมือนบิวเป็นน้อง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย...เพราะถ้าพี่จะคิดเกินเลยกับบิวล่ะก็พี่ทำไปนานแล้ว”



“...”



“บิวมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และหลายครั้งก็มานอนที่ห้องนี้ มาคนเดียวบ้าง มากับน้องสาวบ้าง มาเป็นเดือนบ้าง อาทิตย์เดียวบ้าง เชื่อเถอะว่าพี่ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอเลย แต่กับเรา...แค่เดือนเดียวก็ทำเอาพี่เป็นเสียขนาดนี้แล้ว”



“...”



ว่าจบ เขาก็ฝังใบหน้าเข้ากับซอกคอผม แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะ



“รู้ตัวนะ เจน...”



“ปล่อยได้แล้ว ร้อน”



“หึ ไหนว่าขี้หนาว”



“ก็ตอนนี้ร้อน...”



เขาหัวเราะขำ ก่อนยอมปล่อยผมออก ผมไม่แน่ใจว่าคำพูดฌาณเชื่อถือได้มากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผมเชื่อไปมากกว่าครึ่ง...



เย็นวันนั้นฌาณพาเราออกไปกินข้าวข้างนอก ร้านอาหารหรูหราดูเหมาะกับคนอย่างบิวดี จริงๆ ก็ว่าหล่อนไม่ได้นักหรอก ในเมื่อแต่เดิมผมก็ติดกินหรูอย่างนี้เหมือนกัน แค่ตอนนี้ติดฝีมือฌาณจนเกือบจะลืมรสชาติของภัตตาคารอะไรอย่างนี้ไปแล้ว



คืนนั้นเรานอนด้วยกันที่โซฟาเบด บิวเอาแต่ทำเสียงอะไรไม่รู้กุกกักน่ารำคาญ ผมนอนพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ อยากจะฟ้องฌาณแต่เพราะอีกฝ่ายก็อยู่ในห้องด้วยจึงต้องได้แต่อดกลั้น



หงุดหงิดเป็นบ้า



แล้วเรื่องก็น่าหงุดหงิดเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อวันต่อมาฌาณพาผมมาที่ Mission bay พร้อมกับบิว ผมอยากมาที่นี่ก็จริง แต่ไม่ใช่มากับคนที่ผมไม่ชอบนี่!



แน่นอน ผมหน้างอไปทั้งวัน บิวก็เอาแต่จิกกัดผมตลอดเวลา Mission bay เลยไม่สนุกไปเลยในวันนี้



ที่นี่มีหาดทราย ทะเล ลมหนาวพัดจนแสบหู ไหนจะพวกนกที่พยายามแย่งฟิชแอนด์ชิพในมือผมอีก ถ้าไม่มีบิวผมคงไม่อารมณ์เสียขนาดนี้ เพราะนอกจากจะโดนนกแย่งกินแล้ว ยังโดนบิวจิกกัดอะไรไร้สาระอีก



“มา Mission bay ทำไมเนี่ย ก็รู้อยู่ว่ามันไม่มีอะไร”



ก็ผมอยากมา จะทำไม



“ฟิชแอนด์ชิพเหรอ น่าเบื่อสุดๆ โคตรจะเชย”



ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินสิ



“นอกจากแถบทะเลตรงนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว กลับเหอะ เบื่อ”



กลับไปเองสิ แล้วก็หุบปากเสียที ไม่อยากมาก็ไม่มีใครว่าสักหน่อย โอ๊ย ผมอารมณ์เสียมากจริงๆ แล้ว เมื่อไหร่แม่นี่จะไปให้พ้นๆ หน้าเสียที ฌาณคงเห็นผมหน้าบูดเลยหยิกแก้มผมไปที ผมหันหน้าค้อนใส่เขาก่อนคนตรงหน้าจะเอ่ยถามเพื่อระงับความหัวเสียของผม



“หิวน้ำมั้ย”



“...อือ”



“งั้นรอแป๊บ”



แล้วฌาณก็วิ่งไปซื้อน้ำฝั่งตรงข้าม โดยทิ้งผมกับบิวไว้ให้น่าหงุดหงิดกว่าเดิม



ผมเบ้หน้า ยืนมองตรงไปหาฌาณที่อยู่ถนนฝั่งตรวข้าม พยายามยืนห่างจากเธอเพื่อที่จะได้ไม่สติแตก แต่ไม่สำเร็จเมื่อเจ้าหล่อนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับข้อความเสียงที่ผมไม่ได้ต้องการได้ยิน



“...คิดว่าเขาจะรักนายจริงงั้นหรือ”



“...”



“ถ้าคิดจะรักพี่ฌาณ ฉันแนะนำให้ตัดใจเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า พี่ฌาณไม่เคยรักใครหรอก”



“งั้นเหรอ”



“ใช่ เพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว”



“...ไม่เห็นฌาณจะเคยพูดถึง”



“นายสำคัญแค่ไหนล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สำคัญมากพอ จะไม่รู้ก็ไม่แปลก”



“...” ผมเหม่อมองฌาณที่จ่ายเงินซื้อน้ำเสร็จแล้ว กำลังรอสัญญาณไฟข้ามถนนกลับมา “งั้นหรือ ไม่เห็นรู้เลย”



“พี่ฌาณไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคู่นอนคนไหนหรอก มันไม่จำเป็น”



“ผมไม่ใช่คู่นอนเขา”



“จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่แค่พี่ฌาณไม่บอกเรื่องนี้กับนาย ก็แปล่วาไม่ต่างจากคนก่อนๆ หรอก”



“...”



“ไม่ได้อยากขัดขวางเท่าไร แค่เตือนไว้ว่าคนที่พี่ฌาณรักหมดใจจะไม่มีทางเป็นนาย และนายสู้คนๆ นั้นไม่ได้หรอก”



“....มั่นใจจังเลยนะ”



“แน่นอน...ผ่านมากี่ปีก็ยังมั่นใจ ตราบใดที่พี่ฌาณยังใส่แต่เสื้อสีดำอยู่อย่างนี้”



ผมมุ่นคิ้ว ไม่ค่อยแน่ใจกับคำพูดของบิวนัก



“นายไม่มีทางสู้คนที่จากไปแล้วได้หรอก”



“...”



“เพราะคนรักของพี่ฌาณคือพี่สาวฉันเอง”



สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้คนเดิน







❄❄❄❄❄❄







อันที่จริงเจนนินทร์เป็นเด็กที่น่าตีมากๆ คนนึงเลยค่ะ ._.)

แต่เพราะเป็นเจนนินทร์บรรยาย ทุกคนเลยไม่ค่อยรู้ถึงความเอาแต่ใจของน้องเท่าไหร่

คิดว่าถ้ามองในมุมของฌาณน่าจะเข้าใจนิสัยของน้องมากขึ้นนะ



แต่ในตอนนี้มีเรื่องของคนพี่เข้ามาซะแล้ว 555

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 09-03-2018 13:40:29
มีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันเต็มไปหมด  :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 09-03-2018 14:08:53
โอะ ฌาณณณณ มาเคลียยยยยยยยร์ ทำไมทุกคนมีลับลมคมในเบื้องลึกเบื้องหลังไปหมด เครียดละนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2018 14:26:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-03-2018 17:30:23
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 10-03-2018 01:10:59
ปมเยอะะะะะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 10-03-2018 16:00:22
มีเรื่องเข้ามาไม่หยุดหย่อน แล้วผู้หญิงคนนี้ยังไง
จะหวงฌาณไว้ให้ตัวเองหรอ ถึงสกัดเจนขนาดนี้

เจนน่ารักนะ น้องยังเป็นเหมือนเด็กน้อย ไม่รู้จักโต
แล้วเจนยังคิดไม่ตก และถูกกระทำเพราะการกระทำของตัวเอง
เลยเลือกที่จะโกหก แต่ฌาณก็จับผิดได้ และไม่ทิ้งน้อง

ถึงจะมีเรื่องคนรักเก่าจริง แต่เชื่อว่าฌาณไม่โกหกนะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 12 |- 9.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 12-03-2018 12:42:54
ฌาณไม่ได้โกหกน้องใช่มั้ย แต่ละคนมีแต่เบื้องหลังอันคาดไม่ถึง ติดตามนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 15-03-2018 19:40:17
Lies 13: As deep as a bite, as dark as the night.





บิวกลับไปแล้ว หมายถึง...เธอออกจากเมืองโอ๊คแลนด์ บินไปเมืองหลวงอย่างเวลลิงตัน เพื่อไปท่องเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ เพียงแต่บินมาถึงก่อนเพื่อแวะมาเยี่ยมฌาณ เห็นความทุ่มเทของหล่อนผมก็นึกทึ่ง รวมถึงหงุดหงิดใจในเวลาเดียวกัน ถ้าผมเดาไม่ผิด บิวต้องแอบชอบฌาณแน่ๆ ถึงได้พูดเหมือนอยากกันผมขนาดนั้น



ผมไม่ได้เชื่อในคำพูดของบิวทั้งหมดใจ เพียงแต่เกือบครึ่งก็เป๋ไปแล้วเหมือนกัน



ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฌาณเลย...แล้วจู่ๆ ก็มีคนมากล่าวอ้างว่ารู้จักฌาณดีเลยทำให้ผมหวั่นไหว ผมไม่ได้ถามฌาณ...เพราะกลัวคำตอบที่จะได้ฟัง และนึกเสียดายที่บิวไม่ได้ให้คำพูดแค่ลมปาก เพราะถ้าอย่างนั้นผมอาจจะทำเป็นปล่อยผ่านไปได้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่เมื่อคำสุดท้ายก่อนจากกันเธอได้แอบกระซิบบอกผมถึงหลักฐานยืนยันคำพูดของตัวเอง ทำให้ความตั้งใจในการปล่อยเบลอของผมล้มเหลว



ลองดูรูปในกล้องพี่ฌาณ...



และนั่นทำให้คำพูดของเธอมีมูลฐานเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย...



ในวันต่อมา ผมทำตามคำพูดของหล่อน หลังจากที่ฌาณออกไปห้องสมุด ผมก็หากล้องของเขาจนเจอในตู้ข้างเตียง ผมถือวิสาสะแอบเปิดมันเพื่อดูรูปถ่าย รูปแรกที่ผมเจอทำให้ผมอมยิ้มเมื่อเห็นตัวเองถูกเจ้าของกล้องแอบถ่าย และรูปต่อมาผมยังคงถูกแอบถ่ายตามที่ต่างๆ เห็นหน้าบ้าง ไม่เห็นบ้าง ส่วนใหญ่จะเน้นวิวกว้างๆ แล้วมีแผ่นหลังของผมประดับอยู่มุมเล็กๆ มากกว่า



ฌาณถ่ายรูปสวยจริงๆ นั่นแหละ...



ผมแย้มยิ้ม กดไล่ดูไปเรื่อยๆ บางรูปผมไม่รู้ตัวเลยว่าถูกฌาณแอบถ่าย ไม่สิ...แทบทุกรูปที่มีผม ผมแทบไม่รู้เลยว่าเขาถ่ายไว้ด้วย ฌาณชอบเดินตามหลังเวลาพาผมไปเที่ยว ทีแรกก็นึกว่าเพราะอยากจะถ่ายรูปวิวเพราะหันไปทีไรก็เห็นเขาเล็งกล้องไปที่ไกลๆ ตลอด



สองมือกดไล่ดูไปเรื่อยๆ จนถึงวันแรกๆ ที่ผมมา รูปถ่ายช่วงนี้มีแต่รูปวิวเสียส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นว่าฌาณเพิ่งมาเริ่มถ่ายรูปผมตอนหลังๆ...



รูปภาพไม่ได้หมดที่วันแรกที่ผมมา แต่ยังมีให้กดไปต่ออีก ทีแรกผมลังเล หวั่นใจในคำพูดของบิว ไม่กล้าแอบดูไปมากกว่านี้ แต่ไหนๆ  ก็คิดว่าฌาณคงถ่ายแต่รูปวิว ก็เลยตัดสินใจกดไล่ดูเรื่อยๆ



และมันก็เป็นรูปวิวสวยๆ ในเมืองอย่างที่คาด



แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก เมื่อเจอรูปผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในภาพถ่าย...



แตกต่างจากรูปถ่ายทั้งหมดที่ผมเห็น ผู้หญิงในรูปไม่ได้ถูกแอบถ่ายจากที่ไกลๆ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของกล้องจงใจขอให้เธอหันมายิ้มให้กล้องเพื่อเก็บรูปไว้ ภาพรอยยิ้มกว้างสดใสของหญิงสาวไม่ได้มีแค่รูปเดียว...



ผมไล่ดูรูปในกล้องจนหมด พลันเรี่ยวแรงก็หายไปราวกลับถูกคนในภาพขโมยไปอย่างนั้น



หญิงสาวในรูปหน้าตาดี เจ้าหล่อนสวยหมดจดแบบไทยๆ คิ้วเข้ม ตาโต ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมสีดำขลับยาวตรงสลวย รูปร่างดีไร้ที่ตำหนิราวกับนางแบบ หน้าตาละม้ายคล้ายกับบิวจนผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นพี่สาวของบิวจากที่หล่อนอ้าง ผู้หญิงคนนี้ครอบครองพื้นที่รูปถ่ายที่เหลือจนหมด สถานที่ที่เธออยู่ในรูปนั้นล้วนเป็นสถานที่เดียวกับที่ผมเคยไป



ควีนสตรีท เมาท์อีเดน วันทรีฮิลล์ โดเมน ทาคาปูน่าบีช ดีวอนพอร์ต เมาท์วิคตอเรีย เชคสเปียร์ปาร์ค มิชชั่นเบย์ รวมไปถึงสถานที่ที่ผมอาศัยอยู่ตลอดช่วงเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมา



ภายในห้องนี้...



จวบจนรูปสุดท้ายที่เป็นรูปแรกสุด ปรากฏเป็นใบหน้าของฌาณขนาบแนบแก้มของหล่อนอย่างชิดใกล้ รูปคู่รูปเดียวในกล้องนี้ และคงเป็นรูปคู่รูปเดียวที่เขาตั้งใจให้มี



หน้าผมชาวาบ ความรู้สึกที่พองฟูเมื่อครู่ฟีบเหี่ยวเหมือนลูกโป่งถูกเจาะ เกิดเสียงดังปั้ง! สนั่นลั่นอยู่ในใจ คล้ายกับโดนค้อนทุบหัวให้รู้ความจริง



ความรู้สึกผิดหวังถาโถมเข้ามาใส่อีกครั้ง... แต่ดันทำอะไรไม่ได้ เพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง...



ความรู้สึกจุกอกจนเจ็บปวดกลั่นออกมาเป็นน้ำตา



ภายในหัวดำมืดราวกับตกลงไปในหลุมอวกาศขนาดยักษ์ โดนดูดกลืนลงไปอย่างไร้ซึ่งทางออก หลงทางเคว้างคว้างอยู่ในความมืด



.



“สุดท้าย...ที่ฌาณบอกว่ารักผมก็โกหกงั้นเหรอ”



รอบตัวดังเป็นเสียงความเงียบ มวลอากาศหนักในห้องพุ่งเข้าใส่ทันทีที่ผมพูดจบ ฌาณยืนนิ่ง เขาขมวดคิ้วก่อนส่ายหน้าช้าๆ



“ไม่ได้โกหก”



ผมหลุบตาลงต่ำ เอ่ยคำพูดปฏิเสธของฌาณ



 “โกหก”



พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ร่วงออกมาจากขอบตาอีกครั้ง ไม่หวังที่จะได้ยินเสียงของเขาอีกต่อไป



หลังจากที่ฌาณกลับมาจากหอสมุดและทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ผมที่ทนไม่ไหวต่อความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาจึงยืนลุกขึ้นไปหาเขาพร้อมกับกล้องของฌาณในมือ ผมรู้ผมอาจเสียมารยาท แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมและฌาณ...ผมก็ควรที่จะมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่หรือ



ฌาณดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทันที เมื่อเขามองหน้าผมสลับกับกล้องในมือ



ทว่าเขากลับนิ่งเงียบไปนานจนผมทำความเข้าใจความเงียบได้เอง เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว…



สุดท้ายก็คงไม่ต่าง



ทันทีที่ผมเบือนหน้าหนี เป็นฌาณที่พุ่งเข้ามาจับแขนผมไว้ รวบตัวผมให้ปะทะกับอกแกร่ง โอบกอดผมจนแทบจมลงไปในตัวเขา



“...ฌาณปล่อย”



“ไม่ปล่อย”



“ฌาณ พอเถอะ ผมเหนื่อย”



เหมือนหนีความรู้สึกแย่ๆ เพื่อมาเจอเรื่องห่วยๆ หวังคิดว่าเขาอาจจะจริงใจแต่มันก็ไม่ใช่ ผมถูกล้อเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าฌาณคงช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องที่ผ่านมาได้ แต่สุดท้ายก็เป็นซะอย่างนี้  เหนื่อยใจแล้ว เหนื่อยจะร้องไห้แล้วด้วย แต่น้ำตาก็ยังกลั่นตัวไหลออกมาไม่หยุดอย่างน่ารำคาญ



“รู้เรื่องจากบิวใช่ไหม”



“...”



“ถ้าพี่ขอโอกาสอธิบาย จะให้พี่ไหม...”



“...”



“เจนครับ”



ในใจผมอยากจะหนี วิ่งไปให้ไกลๆ วิ่งไปจนกว่าจะเจอที่ที่ไม่มีใคร ให้เหลือแต่โลกที่มีผมแค่ลำพัง จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก แต่สุดท้ายความจริงที่รัดผมแน่นไม่ปล่อยให้ผมออกวิ่ง ฌาณไม่ได้พูดอะไร อ้อมกอดของเขากักขังผมไว้ไม่ให้ไปไหน คล้ายรอคำอนุญาต ไหนๆ ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว



“...ยังไงฌาณก็ไม่ปล่อยนี่”



ผมยอมฟังก็ได้



จบประโยค เขากระชับอ้อมกอดแทนคำตอบยืนยัน



“ขอโทษ...ที่ไม่เคยบอกเรื่องนี้”



“ไม่เป็นไร ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นนี่”



“ไม่ใช่...เพราะสำคัญถึงไม่กล้าบอกต่างหาก”



“...”



“โบนิตาเป็นพี่สาวของบิว เคยเป็นแฟนพี่...เป็นคนที่พี่เคยรักที่สุด”



“...และเป็นสาเหตุที่ฌาณเอาแต่ใส่เสื้อสีดำด้วยใช่ไหม” ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างแทบจะทันทีเมื่อจบคำพูดของฌาณ ปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว คำใบ้ว่าคนที่จากไปของบิวไม่ได้หมายถึงการเลิกร้างจากกัน เพราะถ้าหากฌาณยังรักเธออยู่ หรือยังมีการติดต่อกับน้องสาวอย่างสนิทกันขนาดนี้ มันคงไม่ใช่แค่การเลิกกัน



แต่เป็นการจากกันไปแบบตลอดกาล...



“ใช่...”



“ฌาณโกหก” ผมต่อว่าเขาทันที เมื่อเหตุผลที่ผมถามเขาเรื่องชุดในตอนแรกไม่ใช่เหตุผลอย่างนี้ ฌาณบอกว่าแต่งชุดดำเพราะคนที่นี่นิยม ไม่ใช่เพราะกำลังไว้อาลัยแฟนตัวเอง



ทำมาเป็นว่าผม ตัวเองก็ไม่ได้ต่าง..



“...ไม่ได้ตั้งใจ ตั้งแต่วันที่โบเสีย พี่ก็ใส่แต่สีดำมาตลอด...จะบอกว่าจนเคยชินก็ใช่ แต่จะบอกว่าเพราะยังลืมโบไม่ได้ก็ใช่”



น้ำตาผมไหลมากกว่าเดิม



“แต่นั่นเป็นเรื่องจนถึงสองเดือนก่อน...ก่อนจะเจอเจน...”



“...”



“หลังจากที่โบเสียเมื่อห้าปีก่อน ทีแรกพี่ทำใจไม่ได้ อยู่อย่างล่องลอยไร้ความหมายมาเป็นปีๆ แต่พอลุกขึ้นอีกครั้ง พยายามหาใครมาแทนแต่ก็ไม่มีใครสามารถแทนที่โบได้ พยายามเริ่มใหม่กับหลายคนแล้ว แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดสักคน”



“...”



“จากที่เคยคิดว่าคงรักใครไม่ได้แล้ว แต่ดันรู้สึกแบบนี้กับเจน จากที่คิดว่าลืมโบไม่ได้ แต่พอได้ดูแลเจน กลับลืมเรื่องโบไปเสียง่ายๆ อย่างนั้น ความรู้สึกที่คิดว่าชาตินี้คงไม่รู้สึกกับใครแล้วแต่ดันมาเกิดขึ้นกับเจนแค่คนเดียว เจนเข้าใจความหมายใช่ไหม”



ผมเงียบเป็นคำตอบ ไม่แน่ใจในความหมายที่ให้คิดเองเอาเท่าไหร่นัก



“พี่รักโบ เป็นเรื่อจริง ตอนนี้ก็ยังรักอยู่ รักมาก แต่มันจะไม่มีวันเพิ่มขึ้นแล้ว”



“...”



“มีแต่เจนที่ยังรักเพิ่มขึ้นทุกวัน”



“...”



“และคิดว่าจะรักให้ได้มากกว่าเดิม...”



จบถ้อยคำ ความสงัดพุ่งเข้าจู่โจมอีกครั้ง อ้อมกอดอุ่นไม่ได้ทำให้ผมผ่อนคลายเหมือนทุกที ผมปล่อยให้เรื่องที่ได้ยินตกตะกอนอยู่ในหัว เนิ่นนานกว่าจะยอมเอ่ย



“ฌาณโกหก”



“พี่ไม่ได้โกหก”



“ผมไม่เชื่อ...”



“...ไม่เป็นไร”



“...”



“ยังไม่ต้องรีบเข้าใจหรือเชื่อพี่ตอนนี้ก็ได้...มันคงเร็วไป...”



“แค่คำพูดใครก็พูดได้”



“ก็ใช่ พี่เลยไม่ว่าเจน เพราะเจนรับรู้ความรู้สึกของพี่ได้แค่จากคำพูด...พี่พยายามจะทำให้เจนรู้สึกนะ...แต่สองสามเดือนมันคงน้อยเกินไป”



“...”



“รวมถึงในตอนนี้ใจของเจนยังมีคนอื่นอยู่ด้วย”



“...ผมรักไนล์”



“พี่ก็รักโบ”



“...คนเรารักใครพร้อมกันสองคนไม่ได้หรอกฌาณ”



“พี่รู้...”



“พี่บอกว่ารักผม แต่ก็ยังรักคนที่ชื่อโบ”



“ความรักบนโลกใบนี้มันมีหลายประเภทนะเจน...รักพ่อแม่ครอบครัว รักเพื่อน...พี่รักโบก็จริง...แต่ในตอนนี้มันเป็นความรักรักแบบอาลัยอาวรณ์ โหยหาคิดถึง แต่กับเจน...” เขาเว้นวรรค



“พี่รักแบบที่ต้องการจะเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เหลือใหม่อีกครั้ง อยากให้อีกครึ่งชีวิตของพี่มีเจนร่วมอยู่ด้วย...”



ฌาณกระชับอ้อมกอดแน่น ซบหน้าลงมาที่ไหล่ผม ไม่ปล่อยให้ผมจมอยู่ในความเงียบ



“อยากโอบกอด ครอบครอง หวงแหน มอบความสุขให้”



“...”



“เข้าใจพี่ไหมครับ”



ผมไม่ตอบ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ขลาดเขลาเกินกว่าจะตอบ แกลนกลัวว่าหากตอบไปจะเป็นการยอมรับในความรู้สึกของเขา กริ่นเกรงว่าจะยินยอมให้เขาเข้ามาครอบครองเป็นเจ้าของตัวเอง



ทั้งๆ ที่หัวใจผมยังมีไนล์อยู่



ฌาณไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงลูบหัวผมแผ่วเบาก่อนผละออก เดินไปถอดเสื้อคลุมแขวนไว้กับผนัง อากัปกริยาปกติทำตัวตามชีวิตประจำวันเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น



และผมคงคิดว่าฝันไปถ้าฌาณไม่ได้เอ่ยขึ้นมา ดึงให้ผมสู่ความจริง



“พี่ไม่รีบหรอก เจนค่อยๆ รับรู้ความรู้สึกพี่ไปก่อนก็ได้”



“...”



“รอเวลาที่จะเจอใครมาหลายปีแล้ว รออีกหน่อยก็คงไม่ตาย”



เขาว่า เยื้อนยิ้มเจือจาง ก่อนหันไปเก็บข้าวของตามความเคยชิน ผมมองการกระทำของเขาจวบจนฌาณลงมือทำอาหารค่ำ ถึงได้ละความสนใจ



หลังจากนั้นฌาณก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ ทิ้งให้ผมจมอยู่ในความรู้สึกสับสนอยู่คนเดียว ใจร้าย...ถ้ารักผมจริงทำไมต้องทำให้ผมกังวล ทำไมไม่เอาใจผมบ้าง ใครๆ เขาก็ทำกันไม่ใช่หรือไง ผมสับสนกับการกระทำของฌาณ ปากบอกว่ารักว่าชอบ แต่การกระทำไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผ่านมา...



หรือว่าที่ผ่านมาเขาก็ชอบผมอยู่แล้ว การกระทำแบบนี้คือเอาใจแล้วงั้นหรือ



แต่สุดท้ายเขาก็ทำดีกับผมเหมือนที่เคยทำ ใจดีแต่ไม่เอาใจ ผมแอบเบ้ปากเล็กน้อย คิดว่าชอบผมแล้วจะยอมทำตามใจผมนี่นา ผมเปิดตู้นำจานชามออกมาตามคำสั่งของเขาอย่างไม่เข้าใจ แน่นอนว่าฌาณพูดสอนผมโดยไม่ต้องรอให้ตั้งคำถาม



“พี่อยากให้เจนโตขึ้น หัดรู้จักกับความรู้สึกหลายๆ อย่าง รวมถึงทำอะไรหลายๆ อย่างที่ปกติไม่เคยทำด้วย”



“ผมไม่เห็นอยากทำ”



“เจนจะรอให้มีคนมาทำให้ตลอดไม่ได้หรอก คนเรามันต้องโตขึ้นกันบ้าง”



“...มันยุ่งยากเกินไป...ไม่เห็นอยากโตเลย ไม่โตไม่ได้เหรอ”



“เจนก็รู้นี่ว่าเจนกำลังเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เจนทำ”



“งั้นถ้าผมไม่สร้างปัญหาก็จะเป็นเด็กได้ตลอดไปใช่มั้ย” เป็นผู้ใหญ่มันยุ่งยาก น่าเบื่อและน่ารำคาญด้วย ผมไม่เห็นอยากจะมารับผิดชอบอะไรพวกนี้เลย



“...ก็อาจจะ แต่คนเราย่อมเจอปัญหาทั้งนั้น เจนก็น่าจะรู้...แล้วเราก็ล้วนเติบโตได้จากปัญหานั่นแหละ”



“ถ้าอย่างนั้นผมเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องก็ได้นี่ ไม่ต้องสนใจปัญหา ในเมื่อมีคนพร้อมจะจัดการกับมันแทนผม หรือถ้าจัดการไม่ได้ ผมก็หนีได้”



“ก็ได้...อยู่ที่เราจะพอใจรึเปล่าล่ะ...”



“...”



“อีกอย่าง คนเราหนีไปตลอดไม่ได้หรอกเจนนินทร์”



เขาสอน สอนทั้งๆ ที่หั่นผักเตรียมทำกับข้าวนั่นแหละ พูดคุยกับผมราวกับคุยหัวข้อชีวิตประจำวันทั่วไป บอกเล่าเรื่องราวเฉยๆ เหมือนวันนี้ไปเจอร้านอาหารร้านนึงอร่อยมากนั่นแหละ



ผมหนีปัญหามาได้เรื่อยๆ ก็จริง ในเมื่อมีหลายทางเลือกที่จะทำให้ผมหาทางมีความสุข ทำไมผมจะไม่เลือก...แต่อย่างที่ฌาณว่า เราหนีตลอดไปไม่ได้ อาจหนีจากปัญหาอย่างหนึ่งได้แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจอกับปัญหาอีกอย่าง



เป็นมนุษย์นี่ยุ่งยากชะมัด อยากเกิดเป็นแกะ เล็มหญ้ารอคนตัดขนไปวันๆ แล้วก็หมดอายุขัยตายไป



เหนืออื่นใด อ้อมกอดของฌาณยามค่ำคืนกระชับแน่นขึ้นทุกวัน ตระกองกอดผมราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไป หรือกำลังพยายามทำให้ผมเชื่อใจเขาให้ได้ก็ไม่รู้...



ผมใช้ชีวิตกับฌาณเรื่อยเปื่อยในเดือนสุดท้าย ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนไกลอีกเพราะฌาณไม่ค่อยว่าง ต้องรีบปั่นวิจัย ส่วนผมก็ได้แต่เดินเล่นแถวควีนสตรีท หาซื้อของฝากไปให้ครอบครัวที่ไทย ช็อปปิ้งให้ตัวเองด้วยและส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง ที่บ้านผมของเยอะจนจะล้นแล้ว กลัวซื้อมากไปแล้วไจจะเอาไปถมที่มากกว่า



แต่ฌาณก็ยังอุตสาห์เจียดเวลาพาผมกลับไปที่ Parnell Village อีกครั้ง เพื่อซื้อช็อกโกแลตเป็นของฝากให้ทางบ้านตามที่เขาเคยเสนอ นอกจากตอนนั้น ผมจะได้เจอฌาณแค่ตอนเย็น หลังจากเขาทำงานเสร็จนั่นแหละ



แน่นอน ผมงอแง อยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อน แต่ฌาณก็ไม่เอาใจผมอีกตามเคยจนอารมณ์บูด ผมอยากเจอหน้าเขา อยากอยู่กับเขานานๆ ก่อนที่จะต้องกลับไทย แต่เพราะคำถามของฌาณทำให้ผมต้องหยุดงี่เง่า หันกลับมาถามตัวเอง



“รักพี่แล้วหรือไง”



ผมไม่แน่ใจในคำตอบ รู้แค่ว่าอยากอยู่กับเขา ทั้งๆ ที่ผมยังคิดถึงไนล์นั่นแหละ ผมรู้ว่าอารมณ์มนุษย์ยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่คิด และคนโง่อย่างผมคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอก



ผมคุยกับไจเป็นพักๆ ปล่อยให้ไจติดต่อผ่านฌาณเหมือนที่ผ่านมาหรือถ้ามีเรื่องเร่งด่วนเขาก็จะส่งเมล์มาแทน และส่วนใหญ่เขาก็ส่งเมล์มา แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเมล์ถามสารทุกข์สุกดิบไปวันๆ ส่วนผมคงขยาดกับไลน์ไปอีกสักพักใหญ่ๆ เลย ไจดีใจที่ใกล้จะได้เวลากลับของผมแล้ว แต่ตัวผมเองกลับห่อเหี่ยวมากขึ้นทุกวันเมื่อเวลากลับไทยเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเลื่อนตั๋วไม่ได้หรือ...



เคยบ่นกับฌาณไป แต่เขาก็ยิ้มมุมปากเหมือนทุกที และสอนผมเหมือนทุกที



“เจนกลับไปแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อเถอะ จะได้สบายใจ”



และจริงอย่างที่เขาว่าทุกคำ ทุกวันนี้ผมเอาแต่วิตกเกี่ยวกับเรื่องของไนล์ แม้จะไม่ได้แสดงออก แต่เรื่องราวของเขาต้องมาโผล่อยู่ในหัวแทบทุกวัน เหมือนมาตอกย้ำความผิดพลาดที่ตีตราเป็นรอยสักในชีวิตของผมไป รอยสักที่จงใจสักมันลงตรงไหนสักที่ของจิตใจ ด้วยความผิดพลาดของตัวเอง



ผมควรกลับไป...ไม่ได้จะไปลบรอยสัก



แต่เพื่อเปลี่ยนรอยสักที่คิดว่าเป็นความผิดพลาดเป็นความหมายอะไรสักอย่างในชีวิต



ทั้งที่ตั้งใจแน่วแน่แล้ว ทว่าเพียงสองวันก่อนกลับ…ในอ้อมกอดอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศหนาว



ผมร้องไห้ไม่หยุดเมื่อคิดว่าจะต้องจากคนตรงหน้าไป...







❄❄❄❄❄❄




ไม่มีปมดราม่าอะไรหรอกนะ จริงๆ 

เป็นนิยายเรื่อยๆ เอื่อยๆ นี่แหละค่ะ 5555

น้องกลับไทยแล้ว และอีกสองตอนก็จบแล้วนะ

:catrun:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-03-2018 20:09:34
โล่งใจ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-03-2018 20:19:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 16-03-2018 01:11:46
เก็บเรื่องคนรักเก่าไว้เป็นความทรงจำดีๆดีกว่า ไม่ลืมไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้าหรือเร็ว
เป็นกำลังใจให้ฌานกับน้องเจนนะ จะได้เริ่มต้นใหม่กันซักที
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 16-03-2018 06:36:34
ก็ต้องรู้ใจตัวเองเร็วๆนะ เพื่อคนที่เขารออยู่  :mew1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 19-03-2018 00:36:10
ไม่รู้จะสงสารใคนก่อนดีระหว่างฌาน เจน หรือตัวเองที่ลุ้นตาม 555
อย่างน้อยเจนก็กำลังค่อยๆเรียนรู้และเติบโตขึ้นละนะ
สู้เค้า ทาเคฌาน! :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 20-03-2018 01:33:03
กลับไปเคลียร์ปัญหาให้จบแล้วเริ่มต้นใหม่กับพี่เค้าเนอะลูกแกะเนอะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 13 |- 15.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 20-03-2018 03:04:53
สงสารเจน เจนที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง อยากให้น้องมีความสุข
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 21-03-2018 15:59:40
Lies 14 : Is it true that pain is beauty?



ผมไม่อยากกลับ...



ไม่ได้เอ่ยออกไปแต่ฌาณคงสัมผัสได้ เขายืนลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา แย้มยิ้มจางๆ คล้ายกับพยายามปลอบประโลมผมอยู่



“ป่ะ รถมาแล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่ง”



เงียบเป็นคำตอบ ปล่อยให้เขายกกระเป๋าของผมขึ้นรถบัสที่จะไปสนามบินให้ เขาจ่ายค่าเดินทางสำหรับสองที่พร้อมกับจูงแขนผมไปหาที่นั่ง ท่าทางราวกับแค่จะพาผมไปส่งที่โรงเรียน  ไม่เห็นมีทีท่าอาลัยอาวรณ์เหมือนผมเลย



“ซึมอะไร ทำเหมือนจะไม่ได้กลับมาแล้ว”



“...”



“ถ้าเจนคิดถึงที่นี่ก็แค่บอกไจ เดี๋ยวก็ได้กลับมาแล้ว”



“แต่ฌาณเป็นคนบอกเองว่าจะไม่มาเจอ”



“ก็ใช่...พี่จะไม่เจอเจน แต่ถ้าเจนอยากมาก็มาอีกได้ไง แค่จะไม่เจอพี่”



“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้ามาแล้วไม่เจอฌาณ”



“ทำไม? อยากเจอพี่ขนาดนั้นเลย”



“...”



ผมกัดปาก เกลียดที่ฌาณชอบพูดดักทางไปหมด



คืนก่อนจะถึงวันกลับ เขาตกลงกับผมว่าหลังจากนี้ไปจนถึงปีหน้า จนกว่าจะทำวิจัยเสร็จ เขาจะไม่มาเจอผม จะไม่กลับไทย หรือต่อให้ผมมาหาเขาก็จะไม่มาเจอ



เพราะเขาอยากให้ผมไปทำความเข้าใจตัวเองให้เรียบร้อยก่อน



ถ้าผมชอบฌาณจริง เขาขอให้มิถุนายนปีหน้ามาเจอกันที่สนามบินที่ Christchurch และระหว่างนี้ขอให้เราไม่เจอกันเลย



ฌาณจะบ้าเหรอ! ทำไมผมต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งเกือบปี ทำไมผมจะมาหาฌาณไม่ได้ ที่อยู่เขาผมก็รู้ มหาลัยเขาผมก็ไปเป็น ไทยกับนิวซีแลนด์อยู่ไกลกันก็จริงแต่ใช่ว่าผมจะมาไม่ได้ ผมคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วถึงได้ยื่นข้อเสนองี่เง่าเช่นนี้



“พี่ก็คิดว่าตัวเองบ้าเหมือนกันแต่พี่ให้เวลาเจนนะ เจนบอกเจนยังรักไนล์ ถึงแม้ว่าพี่อยากอยู่ข้างเจนและทำให้เจนลืมเขา แต่ยังไงพี่ก็อยากให้เจนหัดรับมือกับปัญหาที่เจนสร้างขึ้นมาเหมือนกัน เจนรักไนล์มานานแล้วใช่ไหมล่ะ พี่ไม่คิดหรอกว่าเจนจะตัดใจได้ง่ายๆ ในเดือนสองเดือนหรอก เพราะพี่ก็เคยเป็น”



“...”



“เพราะอย่างนั้น ถึงได้ให้เวลาเจนยาวๆ เพื่อให้เจนสรุปความรู้สึกตัวเองได้ ถ้ายังรักไนล์อยู่ ก็อย่ากลับมา แต่ถ้าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ ก็ขอให้กลับมา”



“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าถึงตอนนั้นแล้วฌาณจะคิดแบบเดียวกับผม”



“นั่นสินะ...พี่ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นแล้วเจนจะรักพี่ไหมเหมือนกัน ก็แฟร์กันดีเนอะ”



แฟร์บ้าบออะไรเล่า ฌาณงี่เง่า จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวตั้งเกือบปี ให้อยู่กับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกอย่างสุ่มเสี่ยงว่าจะรอดหรือไม่รอด แล้วก็จะรอให้กลับไปเนี่ยนะ



แต่เอาเข้าจริง ผมก็เริ่มคิดว่าถ้าตัวเองโวยวายได้ขนาดนี้ ไม่ได้แปลว่าว่าตัวเองเริ่มมีใจให้เขาแล้วหรอกหรือ



ในเมื่อผมไม่ชอบใจที่จะไม่ได้เจอฌาณ



ผมไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน และหลังจากที่เถียงกับเขาแทบตาย ผมก็ได้ข้อสรุปว่าผมควรกลับไปจัดการเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้จบสิ้นเสียดีกว่า ถ้าผมมีความกล้าที่จะเจอไนล์มากพอ และถ้าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้มันคงง่ายขึ้น



“แต่ระหว่างนี้เรายังติดต่อกันได้ใช่ไหม” ผมถามขึ้นขณะที่พวกเรานั่งอยู่ในรถบัส รอเวลาที่รถจะออกเดินทางไปสู่สนามบิน



“อืม แต่ติดต่อผ่านไจนะ”



“ฌาณ!” ผมร้อง หันไปค้อนใส่เขา “ไจยุ่งจะตาย กว่าจะได้คุยกับฌาณก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไจจะว่างอ่ะ”



“อยากคุยกับพี่ขนาดนั้นเชียว”



“แล้วฌาณไม่อยากคุยกับผมขนาดนั้นเลยหรือไง”



“...”



ผมโต้ เบะปากไม่พอใจ เอาแต่ต้อนผมอยู่นั่นแหละ คนบอกว่าชอบผมก็เขาทั้งนั้น ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขให้ยุ่งยากด้วย อยากเจอก็ไปเจอ อยากคุยก็คุยไม่ได้หรือไง



ฌาณยกยิ้มมุมปาก



“พี่อยากตามเจนกลับไทยเลยด้วยซ้ำ”



“ก็มาสิ” ฌาณเองก็มีเงินอยู่พอสมควร หรือถ้าเขาไม่มีผมออกให้ก็ได้



“...ไม่ได้หรอก ไม่งั้นเจนจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”



“แล้วผมต้องเรียนรู้อะไรให้มันมากกว่านี้ด้วยเหรอ ถ้าผมชอบฌาณระหว่างที่อยู่ไทย แต่ผมไปหาฌาณไม่ได้ ฌาณไม่กลัวว่าผมจะเลิกรักฌาณหรือไง แล้วยังไงล่ะ ถ้าผมยังชอบฌาณก็หมายความว่าผมต้องทรมานไปตลอดปีเลยใช่มั้ย”



“...”



“ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเสียเวลาด้วย” ผมโวยวาย สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว อารมณ์เสียใจน้อยใจ ไม่ได้ดั่งใจตีรวนเข้ามาเต็มไปหมด และผมก็ไม่ใช่คนอดทนเก่ง



คงเป็นอย่างที่เขาเคยว่า ที่เวลาเจออะไรไม่ถูกใจก็จะร้องไห้ เกลียดนิสัยตัวเองแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้นี่



“ไม่ร้องสิ โอเค...ปีใหม่ โอเคมั้ย ปีใหม่จะกลับไปหาที่ไทย”



“...อีกตั้งสี่เดือน”



“ก็ดีกว่าสิบเดือน จริงไหม”



“แล้วทำไมเราถึงเจอกันเร็วกว่านั้นไม่ได้”



ผมสะอื้นฮัก จนคนขับหันมามอง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ส่วนฌาณก็พยายามเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ



“พี่...” เขาเว้นวรรค ก่อนจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจ



“...”



“...เคยสัญญากับแม่เขาไว้ว่าจะรักแค่โบตลอดชีวิต และพี่กำลังทำผิดสัญญา เรื่องมันผ่านมานานแล้ว มันอาจไม่ได้สำคัญอะไร แต่อย่างน้อยพี่ก็อยากจัดการเรื่องนี้ให้มันจบเหมือนกัน”



“...”



“พี่ไม่ได้กำลังจะลืมโบ แต่สิ่งที่พี่กำลังทำคือทำให้เจนเข้ามาในชีวิตพี่ได้ง่ายขึ้น ส่วนเจนเอง...ก็กลับไปจัดการเรื่องไนล์ให้เคลียร์ เข้าใจใช่ไหม”



“มันจะง่ายขึ้นยังไง...”



ผมแย้งเงียบๆ รวมถึงเกลียดคำว่าเข้าใจใช่ไหมของฌาณ มันเหมือนเป็นการบังคับให้ผมเข้าใจ



“ไม่ร้องสิ กลับไปไม่มีใครเช็ดน้ำตาให้แล้วนะ”



“...ฌาณก็กลับมาเช็ด...ให้ผมสิ” ผมสะอื้นตอบเขา สุดท้ายยังไงผมก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องหาเรื่องให้เราไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้น



“พี่เชื่อว่าถ้าเจนมีระยะเวลาในคิดหรืออยู่กับตัวเองมากๆ ความรู้สึกเจนจะชัดขึ้น”



ว่าจบ รถบัสก็แล่นออกจากป้ายรอรถ ขับตรงไปยังเส้นทางสู่สนามบิน



ใช้เวลากว่าสิบสองชั่วโมงในการบินข้ามทวีปมาสู่ประเทศไทย ประเทศที่คงความร้อนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไจเป็นคนมารับผมถึงที่ และเอาแต่บ่นเมื่อเห็นว่าตาผมบวมจากการร้องไห้ขนาดไหน แหงล่ะ ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบินผมเอาแต่ร้องไห้และนอนไม่หลับ ครั้นเหนื่อยอยากจะนอนก็มีหน้าฌาณโผล่เข้ามาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมจะไม่เจอเขาไปอีกเกือบปี น้ำตาก็ไหลพรากๆ



เป็นอย่างนี้วนไปจนถึงประเทศไทย ผมเหนื่อยแทบตาย ตาไม่บวมก็ให้มันรู้ไป



ไจก็บ่น หาว่าสายการบินไม่ดูแล ทั้งๆ ที่ผมนั่งเฟิร์สคลาส ได้รับการดูแลอย่างดี เพียงแค่คนที่อยากให้ดูแลไม่ได้อยู่ด้วยก็แค่นั้น



เราเดินมาถึงรถโดยที่ผมไม่ต้องแบกกระเป๋าตัวเองเลยสักนิด เมื่อไจให้คนของเขาช่วยลากกระเป๋าให้ รวมถึงขับรถให้ด้วย ระหว่างทางผมเล่าเรื่องการใช้ชีวิตคนเดียวที่ผ่านมา รวมถึงโม้เรื่องนิวซีแลนด์ตลอดเลย ชอบอันโน้น ถูกใจอันนี้ จนไจบอกว่าถ้าอยากไปอีกก็ให้บอก



ผมเลยพูดถึงฌาณ บอกว่าครานี้ถ้าไปที่นั่น ฌาณจะไม่มาเจอผมแล้ว แต่ไจกลับดูไม่ใส่ใจอะไร เพราะเขาบอกให้หาคนที่นี่ไปเป็นเพื่อนเอาก็ได้ แต่ผมไม่ได้สนิทกับพี่ๆ ในบริษัทนี่ อันที่จริง ก่อนจะเจอฌาณผมก็ไม่ได้สนิทกับเขานี่นา...



แม่ออกมาต้อนรับผมทันทีที่ถึงบ้าน ผมโดนเขกหัวเบาๆ จากผู้เป็นแม่ไปทีนึง ข้อหาทำให้เป็นห่วง แต่สุดท้ายแม่ก็กอดผมแน่น คิดถึงและดีใจที่ผมกลับมา แม่บอกว่ากลัวผมเลื่อนตั๋วไม่ยอมกลับแล้ว และผมก็เคยคิดอย่างนั้นจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาอยู่ดี



“แม่...แล้วพ่อกับเจด...”



“อยู่บริษัทน่ะ แม่บอกเขาแล้วว่าเจนกลับมาวันนี้ เดี๋ยวตอนเย็นไปทานข้าวด้วยกันนะ”



ผมก้มหน้าหงอย ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าพวกเขาอยู่ไหน เพียงแต่เรื่องที่ผมอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนี้เสียหน่อย



“...เรื่องไนล์ พี่จัดการให้แล้วน่า”



สุดท้ายก็เป็นไจที่เดาใจผมได้



“จัดการอะไร”



“ก็อธิบายให้พ่อกับเจดเข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เชื่อพี่สิ”



ผมพยักหน้า ไม่แน่ใจเต็มร้อยแต่ก็เชื่อเขา ไจไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และเย็นวันนั้นก็เป็นตามคาด พ่อกับเจดที่ผมคิดว่าจะต้องโกรธที่ผมทำเรื่องงามหน้าไว้ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ชวนผมกินนู่นนี่ หาว่าอาหารไทยที่นิวซีแลนด์ยังไงก็สู้ที่นี่ไม่ได้ ชวนผมคุยเรื่องที่นู่น ถามว่ามีแนวโน้มธุรกิจอะไรให้ลองไปลงทุนไหม แน่นอนว่าผมไม่รู้หรอก ก็เอาแต่เที่ยวอย่างเดียวนี่ แต่ผมรู้ว่าพ่อแค่หาเรื่องคุยเฉยๆ



ผมดีใจนะที่พวกเขาไม่โกรธผม แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ตัวเองดีว่าผิดและสร้างปัญหาให้พวกเขามากขนาดไหน



ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะนอนคนเดียวได้โดยไม่ร้องไห้ คิดถึงฌาณแทบบ้าตาย ระยะเวลาแค่สามเดือนทำให้ผมติดเขางอมแงม คิดถึงผ้าห่มอุ่นๆ ในเวลาที่อากาศหนาวๆ คิดถึงโกโก้ร้อนฝีมือเขา คิดถึงอาหารฝีมือเขา คิดถึงเสียงเครื่องอบผ้า คิดถึงเมืองโอ๊คแลนด์ และคิดถึงฌาณ...



ผมพอจะรู้ใจตัวเองมาสักพักแล้ว ติดตรงที่ผมไม่แน่ใจเรื่องของไนล์ การที่ไม่ได้เจอไนล์ทำให้ความรู้สึกมันคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือมันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเปลี่ยนยังไง



เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจึงเลือกที่จะไปงานแต่งงานของไนล์อีกครั้ง



ไนล์กับลินจัดงานแต่งสองครั้ง ครั้งแรกคืองานแต่งแบบทางการ เชิญญาติผู้ใหญ่ต่างๆ มาร่วมพิธี แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งงานแค่ในกลุ่มเพื่อน จัดกันเองและมีแต่เพื่อนๆ เท่านั้นที่มาร่วมงาน



ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับรึเปล่า



แต่เพราะไจฝากการ์ดเชิญมาให้ บนการ์ดจ่าหน้าซองที่เป็นชื่อของผม ผมถึงได้เข้าข้างตัวเองว่าผมมีสิทธิไปงานนั้น และหวังว่าตัวเองจะกล้าพอที่จะไปเผชิญหน้ากับเขา



พอยิ่งใกล้วันนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็กระสับกระส่ายถึงขั้นนอนไม่หลับ ไจเองก็ไม่ค่อยว่างทำให้ผมไม่ได้ติดต่อกับฌาณเท่าไหร่ ทำไงดี ผมอยากให้เขากอดปลอบผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมอาจจะสงบลงได้ และอาจจะมีความกล้ามากขึ้น



ผมรู้...ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะงอแงให้เขามาปลอบเหมือนทุกที ถึงเวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง และมันควรจบได้แล้ว

 



❄❄❄❄❄❄



“ร้องไห้ทำไมหืม”



“...ผมคิดถึงฌาณ”



“พี่ก็คิดถึงเรา”



“ผมไปหาได้หรือยัง ผมเคลียร์เรื่องไนล์แล้ว เข้าใจกันแล้ว ตอนนี้ผมคิดถึงฌาณ”



“เด็กดื้อ สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ”



“ผมไม่ได้สัญญากับฌาณสักหน่อยว่าจะทำตาม”



“ก็แย่สิ...เพราะพี่สัญญากับไจไว้”



“...”



“อ่า...ซวยล่ะ”



“หมายความว่าไง ไจบอกไม่ให้ฌาณมาเจอผมเหรอ”



เขายกยิ้ม และนั่นทำให้ผมรู้ว่าฌาณจงใจหลุดความลับออกมา คนไม่ดี โกหกผมงั้นหรือ



“ดึกแล้วเจ้าแกะน้อย ไปนอนได้แล้ว”



“ฌาณอย่าเปลี่ยนเรื่อง!”



“ถามไจเองแล้วกัน พูดเรื่องวันนี้ดีกว่า เป็นไงบ้าง”



ผมเกลียดที่ฌาณเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย แต่ก็เกลียดตัวเองด้วยที่ยอมคล้อยตามเขา ผมเล่าเรื่องราววันนี้ให้ฌาณฟัง ด้วยหวังว่าเขาจะยอมใจอ่อน ยอมมาหาผมหรือให้ผมไปเจอเสียที..



งานแต่งจัดขึ้นที่พัทยา ไนล์กับลินจองหาดส่วนตัวก่อนจัดปาร์ตี้กันริมทะเลที่นั่น งานเริ่มช่วงเย็น และผมก็ไปหลังจากเริ่มไปได้สักพัก...อันที่จริง ผมอยากไปตอนงานใกล้เลิก เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นตัวทำลายบรรยากาศงานมงคลของเพื่อนสนิท แต่เพราะไจบอกให้ไปเร็วๆ จะได้ไม่เสียมารยาทผมเลยทำตามที่ไจว่า



โดยลืมไปว่างานนี้มีแต่เพื่อนกันทั้งนั้น ผมไม่จำเป็นต้องเคร่งมารยาทขนาดนี้ก็ได้



เพราะถ้าก้าวขาไปในงานแล้วทุกคนจะมองมาขนาดนี้...



ผมใจเสีย อยากจะหนีออกไปจริงๆ แต่ไนล์เดินมารับผมเข้าไปในงาน นึกขอบคุณตัวเองที่อย่างน้อยการมาเร็วก็ทำให้คนร่วมงานยังมากันไม่เยอะมากเท่าที่ควร



“เจน...ขอบคุณที่มานะ”



“...”



“กินอะไรมาหรือยัง”



“...”



“ทางนั้นมีบาร์บีคิว”



“ไนล์...”



“ห้ะ หืม?”



“เราขอโทษ...”



“อ่อ...เรื่องนั้น...”



“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เราแม่งโคตรเหี้ย ขอโทษที่ก่อเรื่อง ขอโทษที่ทำให้เสียความรู้สึกนะ ขอโทษ...ขอโทษ”



ไม่รอช้า เมื่อเห็นหน้าเขาคำพูดผมหล่นออกจากปากโดยแทบไม่ต้องผ่านความคิดด้วยซ้ำ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเรียบเรียงคำพูดที่จะมาพูดกับไนล์ แตว่าเมื่อเจอหน้าเขาก็มีแต่คำว่าขอโทษอย่างเดียว ทันทีที่คำพูดพรั่งพรูออกมาจนหมด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ล้นทะลักออกมา ผมร้องไห้อีกแล้ว น่าเบื่อเป็นบ้า แต่ถึงอย่างนั้นกลับหยุดร้องไม่ได้เมื่อได้เผยความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจ



 “เจน...ไม่เป็นไร เราไม่โกรธแล้ว”



“ขอโทษ...ถึงรู้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้...แต่ขอโทษจริงๆ”



ไนล์เอื้อมแขนมาตบบ่าผม โอบไหล่ผมไว้แล้วโยกตัวไปมา ส่วนผมก็สะอื้นอยู่นั่นแหละ



“ไม่เป็นไรแล้ว เราไม่คิดอะไรเรื่องนั้นแล้วถึงแม้ตอนแรกจะโกรธนั่นแหละ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้วเราก็รู้ว่าเรามีส่วนผิด”



“...”



“เรารู้ว่าเจนชอบเรามานานแล้ว...ตั้งแต่มัธยม”



“...”



“แต่เราก็ยังทำแบบนั้นกับเจน...เราแม่งก็เหี้ยเนอะ”



“ไม่...ฮึก ไม่หรอก”



“อันที่จริงตอนแรกเราคิดว่าเราอาจจะชอบเจนก็ได้ แต่พอเราได้จูบกันจริงๆ เราถึงรู้ว่าไม่ใช่ เราเองสิที่ผิด เริ่มเรื่องเองทั้งหมดเพราะอยากพิสูจน์ความรู้สึกตัวเอง แล้วพอเจนทำกลับบ้างเราดันไปโกรธจะเป็นจะตาย โดยที่ลืมไปว่าตัวเองทำอะไรไว้”



“...” ผมไม่มีเสียงตอบกลับแล้ว ก้อนสะอื้นมันดันขึ้นมาจนจุกไปหมด



“แล้วพอเกิดเรื่องขึ้น เราก็โทษว่าเป็นความผิดเจน แต่หลังจากได้บอกลินแล้วคิดดีๆ เราถึงรู้ตัวว่าเราเองต่างหากที่โคตรเหี้ย เราเป็นคนเริ่มเอง เป็นคนทำให้เจนเสียใจเอง”



“ไม่...ไนล์ ฮึก...ไม่...”



“เพราะงั้นเราก็ขอโทษเจนนะ ขอโทษมากๆ เลย”



ผมไม่คิดว่าไนล์ผิดอะไร แม้เขาจะสารภาพเรื่องราวมาตั้งแต่ต้น แต่ผมก็คิดว่าเป็นผมเองที่หวังมากไปเอง และทำร้ายเขาจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เป็นแผลดำมืดกัดกินอยู่ในใจ จนสุดท้ายผมก้มหน้าสะอื้นจนไนล์ต้องประคองผมไว้ไม่ให้ทรุดลงไปนั่งกับพื้นทราย ไม่ได้ทรุดเพราะเจ็บปวดแต่เพราะยินดีที่เรื่องราวที่ราวกับเป็นเนื้อร้ายในอกค่อยๆ จางหายไป ผมร้องไห้ไม่หยุด เมื่อคิดว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ผมคาดหวัง



ผมไม่ต้องทนทรมานกับการคิดว่าจะโดนไนล์เกลียดแล้ว



กว่าจะเลิกร้องไห้ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ไนล์ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่ไปไหน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปค่อนข้างนาน ผมเกรงใจเจ้าบ่าวเอาเสียมากๆ เลยบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรแล้ว ให้เขาออกไปต้อนรับเพื่อนๆ สนุกสนานกับคนอื่นๆ เถอะ พร้อมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิท ไนล์ถามย้ำว่าผมโอเคจริงๆ แล้วใช่ไหมตั้งนานกว่าจะยอมไป



ผมนั่งดูพวกเขาหยอกล้อกัน ทั้งคู่บ่าวสาว ทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ต่างตั้งวงพูดคุยอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผมไม่ขอให้ทุกคนเข้าใจเรื่องทั้งหมดหรอก ยังไงเสียมากกว่าครึ่งมันก็เป็นความผิดของผม การกระทำของผมสมควรที่จะได้รับการถูกรังเกียจจริง ผมขอแค่ไนล์เข้าใจว่าผมเสียใจมากจริงๆ ก็พอแล้ว



อันที่จริง มีอีกคนหนึ่งที่ผมอยากให้รู้ว่าผมเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ก็คือลินดา เสียแต่ผมไม่ค่อยได้คุยกับเธอเท่าไหร่ แหงล่ะ เพื่อนที่ผมสามารถคุยได้อย่างสนิทใจก็มีแค่ไนล์คนเดียว



ถึงอย่างนั้น ก็จะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเหมือนกัน



ผมใช้เวลาตัดสินใจและรวบรวมความกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งทำใจได้แล้วจึงเดินเข้าไปหาลินท่ามกลางเพื่อนๆ มากมาย



“ลิน...เราอยากขอโทษ...”



จบคำพูด ผมกลืนน้ำลายตัวเองดังเอื๊อก พวกเพื่อนคนอื่นๆ  หันมามองทางผมราวกับเห็นพฤติกรรมผมเป็นเรื่องประหลาด ผมจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มากมาย แต่ไม่คิดว่าปฏิกิริยาของหล่อนจะเป็นการส่งยิ้มมาให้



“ไม่เป็นไร ไม่โกรธแล้ว ไนล์เล่าให้ฟังหมดแล้วล่ะ”



“...”



“เจนไม่ต้องโทษตัวเองแล้วนะ มา มากินปูกันดีกว่า”



ไม่ว่าเปล่า เจ้าสาวจูงแขนผมที่กำลังงงงวย ฝ่าวงล้อมของเพื่อนๆ พาไปยังเตาบาร์บีคิว หยิบอาหารใส่จานแล้วนำมาให้ผม



“อร่อยนะ ไม่กินล่ะพลาดแย่เลย”



จนผมต้องยิ้มตอบ รับจานกระดาษไว้ในมือ เอ่ยขอบคุณเธออีกครั้ง พร้อมกับขอตัวเดินออกมา แต่ลินดาไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว เธอเดินตามมานั่งข้างๆ ผม จนผมเกร็ง ครั้นจะขอให้เธอกลับไปร่วมงานลินก็พูดขึ้นมาก่อน



“ตอนแรกคิดว่าเจนจะไม่อยากมาร่วมวงด้วยเลยไม่กล้าชวน” เธอสารภาพ ส่วนผมปฏิเสธยกใหญ่



“เรากลัวเราไปทำให้เสียบรรยากาศมากกว่า ตอนที่ไปหาลินก็กลัวแทบตายว่างานจะพังเอา”



“ฮะๆๆ คิดมากน่า เราเองก็ผิดนะที่เอาเรื่องของเจนกับไนล์ออกไปบอกคนอื่นแบบนี้”



“ไม่...ไม่หรอก ถ้าเราเป็นลินเราก็คงทำเหมือนกัน” ผมว่าเสียงเบา...



“ไม่อะไร เราผิดสิ ทำให้เจนต้องเสียใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องของเจนกับไนล์แท้ๆ เราไม่ควรทำอะไรไปมากกว่าแค่รับฟัง แต่ก็ยัง... เฮ้อ ตอนนั้นก็นะ...”



“เราเข้าใจ”



“ขอโทษนะ”



“ลินอย่าขอโทษเลย เราต่างหากที่ผิด”



“เราเลิกโทษว่าใครผิดกันดีมั้ย ในเมื่อมีแต่คนอยากรับผิดกันไปหมด”



“ฮะๆ...” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้ผมต้องพลอยขำไปด้วยกับประโยคที่เจือไปด้วยความจริง



“ขอบคุณที่มางานนะ...ไนล์เขาเครียดมากเลยเรื่องเจน”



“...”



“เราก็อยากให้ทั้งสองคนดีกันนะ”



“...อืม เราก็ยินดีกับทั้งสองคนนะ”



ผมอมยิ้ม คิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องดีใจจนลิงโลดแน่ๆ และคงคิดเข้าข้างตัวเอง คิดว่าไนล์เครียดเรื่องผมแสดงว่ามีใจอะไรแบบนี้ คิดๆ ดูแล้วก็ตลกดี พอตกหลุมรักใครแล้วทุกอย่างก็ดูจะต้องเข้าข้างตัวเองไปหมดเลย



เพียงแต่ในตอนนี้ผมกลับนึกถึงใบหน้าของอีกคนขึ้นมา



และนั่นทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เมื่อคิดว่าเขาจะต้องสั่งสอนอะไรผมอีกต่างๆ มากมายเพื่อให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น ฌาณเป็นแบบนั้นแหละ



ผมมองบรรยากาศในงาน แม้ว่าจะไม่กล้าไปร่วมสนุกกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดีเพียงพอสำหรับผมแล้ว ตะกอนขุ่นมัวในใจถูกลบหายไป จากที่เคยจมอยู่ในความรู้สึกผิดตลอดมา ในครานี้ผมโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



คิดว่าตัวเองควรจะมีความสุขได้เสียที



ผมไม่ได้อยู่จนจบงานเมื่อยิ่งมองไนล์กับลินอยู่ด้วยกันก็ยิ่งคิดถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกล ผมเลยขอตัวกลับก่อน แม้ว่าจะจองที่พักไว้แล้วก็ตาม แต่นั่นไม่เป็นปัญหาเมื่อไจส่งคนให้มารับผมในอีกชั่วโมงต่อมา ส่วนห้องพักก็ยกให้ใครสักคนในงานไป



โชคดีที่ไจทำงานจนดึกดื่น และนั่นทำให้ผมขอโทรศัพท์เขามาติดต่อกับฌาณได้เช่นนี้



“เก่งแล้วนี่”



“อือ เก่งแล้วไปหาได้มั้ย”



“ฮะๆๆ ถามพี่เราเองนะ”



“แล้วทำไมฌาณต้องไปตกลงกับไจด้วย”



“ไม่งั้นไจก็ไม่ยกน้องตัวเองให้พี่น่ะสิ”



ผมหน้าบูด มองหน้าเขาผ่านจอแก้วของโทรศัพท์ จ้องใบหน้าหล่อเหลานั่นก่อนจะเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป



“อยากจูบ”



“พรู่ด”



ฌาณสำลัก ไอจนต้องยกมือปิดหน้าปิดจมูกและปาก ส่งสายตาไปซ้ายทีขวาทีก่อนจะปล่อยมือมาเกาท้ายทอย หันหน้าไปมา ผมยิ้มกว้าง หัวเราะขำเมื่อได้เห็นอาการเขินของเขา จนฌาณหันกลับมาจ้องหน้าจอ ยกมือชี้นิ้วไปยังเลนส์กล้องมือถือ คล้ายกับต้องการจะชี้หน้าผม



“ไปนอนเลยไป”



❄❄❄❄❄❄



ตอนหน้าก็จบแล้วน้า

จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้มีดราม่ามากมายอะไรเลย

แต่ที่หน่วงๆ คงเป็นเพราะเจนไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า

หรือไม่ก็เพราะเขียนในฟีลลิ่งเครียดๆ 55555

ช่วงนี้งานค่อนข้างหนัก เลยไม่ได้เอามาลงบ่อยๆ ขออภัยด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ

หลังจากจบแล้วยังมีตอนพิเศษหวานๆ ให้คลายเครียดกันอีกน้าไม่ต้องห่วงง  :mew1:

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-03-2018 16:28:25
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-03-2018 16:36:45
สบายใจแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 21-03-2018 17:02:39
ดีใจที่น้องเคลียร์กับเพื่อนแล้ววว
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 21-03-2018 17:10:20
ในที่สุดก็สบายใจเสียทีนะเจน
อยากเห็นหมาป่าทนคิดถึงแกะไม่ไหวจนต้องขัดคำสั่งรีบมาหาแกะจังเลยย :laugh:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 21-03-2018 18:00:41
รู้สึกดีที่เจนปลดล็อคความรู้สึกกับไนล์ เจนเหมาะกับความกับพี่มาก และก็ชอบบ้านเจใน ทุกคนเลย  ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-03-2018 19:10:42
ดีแล้วๆทุกคนเข้าใจก็ดีแล้ว  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-03-2018 08:12:30
เคลียร์กันแล้ว ฝั่งฌานเคลียร์เรียบร้อยใช่มั้ยยยยยย ขอให้เจนมีความสุขไวๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-03-2018 15:27:04
เราขอโทษษษษษษ เราลืมไปเลยว่าตามอ่านเรื่องนี้อยู่เลยต้องมาอ่านรวดเดียวจนทัน เจนนี่ทำเราเอือมหน่อยๆนะเป็นเด้กที่ไม่รู้จักโตแบบของจริงเลย ถ้าไม่บอกว่าเรียนจบแล้วเรายังคิดว่าอยู่ประถมหรือเปล่า การจัดการตัวเองเท่ากับศูนย์ทั้งความคิดและเรื่องการกระทำ ไม่รวมเรื่องการรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่างๆที่ต้องเจออีกนี่มันยิ่งกว่านิสัยลูกคุณหนูเอาแต่ใจอีกมั้ง ส่วนพี่ฌาณนี่ไม่คิดเลยว่าพี่แกจะโกหกเหมือนกัน เราจับโกหกพี่แกไม่ได้จริงๆ ตอนหน้าจะจบแล้วพี่ฌาณจะกลับไทยรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 22-03-2018 18:58:40
เคลีย์เรื่องเก่าออกให้หมดก็ดีนะ จะได้ไม่ติดค้างอะไรอีก
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-03-2018 19:58:41
เคลียร์สกายจริงๆค่ะ สดใส ซาบซ่าเลยทีนี้

เจนทั้งน่ารัก น่าสงสาร
กว่าจะทำใจให้ตัวเองรู้ตัวว่าไม่ถูก
ยอมรับและก้าวไปหาเรื่องจริง .. เพราะฌาณนะ
เจนอ้อนน่ารัก น่าฟัดมาก แทบอยากบินกลับมาหาแล้วมั้ง

ฌาณก็พูดชัดนะ แล้วไปเคลียร์มาหรือยังล่ะ
ก่อนที่จะกลับมาหาน้องน่ะ

ไจคือพี่ที่ดีมาก และรักน้องมาก ถึงบางครั้งจะเยอะไปก็เหอะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 14 |- 21.3.2018 - p.5
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 22-03-2018 23:06:38
เราเพิ่งกลับมาอ่านหลังจากพักไปจากตอนที่6 แงงงงงงง พลังของคำโกหกนี่รุนแรงเหลือเกินค่ะ ทำเอาใจเสียไปกับการพูดโกหกของน้อง และการไม่พูดของคนพี่ เกือบสร้างรอยแผลให้กันซะแล้ววว ท้ายที่สุด การโกหกถูกหักล้างด้วยคำขอโทษ แม้บาดแผลจะไม่หายแต่ก็ได้รับการเยียวยา ดีมากๆเลยที่ทุกคนเองก็เข้าใจในความผิดของตัวเอง ไม่ได้โยนความผิดให้ใคร

เรารู้สึกผิดที่ไม่ได้ติดตามแบบเรียลไทม์เลยไม่ได้คอมเมนท์ให้กำลังใจสนับสนุุนคุณแรคคูล แต่ก็รู้สึกดีหน่อยๆ ไม่งั้นทุกครั้งที่จบตอนเราต้องกระวนกระวายเพราะความอยากรู้แน่เลยยย
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 15 |- 31.3.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 31-03-2018 18:27:54
Lies 15 :Once upon a lie



ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ผมงอแงใส่ไจ หาว่าไจใจร้าย ไม่ยอมให้ผมไปหาฌาณ โวยวายใส่ก็หลายทีแต่ไจไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ตามใจผม และนั่นทำให้ผมหงุดหงิด ไจไม่เชื่อว่าฌาณจะรักผมจริง ผสมกับกลัวว่าผมจะเสียใจเหมือนเรื่องของไนล์อีกครั้ง...



ไจไม่ได้บอกหรอก แต่ฌาณเป็นคนบอก กบฏฌาณชอบแอบเอาเรื่องของไจมาบอกผมตลอด



ผมถามเขาเรื่องโบนิตา ฌาณบอกว่ากำลังจัดการ ตอนนี้บอกบิวที่เป็นน้องสาวไปแล้ว เบลล์เองก็รู้เรื่องแล้ว เหลือตะล่อมบอกกับคนแม่ แต่ฌาณบอกว่าไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก คิดว่าท่านคงเข้าใจ อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย ไม่ได้ต้องการเวลาจัดการนานขนาดนั้น เพียงแต่หลักๆ ที่เขาไม่ยอมมาเจอผมก็เพราะไจขอไว้นั่นแหละ ถึงได้หาเรื่องอ้างให้ผมยอมกลับ ไม่งั้นคงเป็นเขาที่ต้องซวย



ผมโกรธไจแล้ว



งอนพี่ชายไปร่วมอาทิตย์แต่ในครั้งนี้ไจไม่ใจอ่อนเหมือนที่ผ่านมา อาจเพราะเขางานยุ่งด้วยเลยไม่มีเวลามาเห็นผมงอน เลยได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว



และผมเพิ่งรู้ว่าน้องสาวของโบนิตาเป็นผู้หญิงสวยๆ สมชื่อทั้งนั้น โบนิตาในภาษาสเปนก็แปลว่าสวย บิวก็มาจากคำว่าบิวตี้ เบลล์ก็เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าสวยเหมือนกัน สวยกันทั้งบ้านจนผมแอบหึงนิดๆ ที่ฌาณเคยรายล้อมด้วยผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ มีความสุขมากมั้ยฮึ



ในช่วงสองเดือนแรก ผมโวยวายใส่ไจทุกวันจนปากเปื่อย ผมมั่นใจว่าผมชอบฌาณ ในเมื่อผมเอาแต่คิดถึงเขาทุกวัน อยากเจอทุกวัน อยากคุยด้วยทุกวัน แต่ไจก็ไม่สนใจผมเลยสักนิด เป็นครั้งแรกที่เขาปฏิเสธคำขอของผม ทำให้ผมไปไม่เป็น จนสองเดือนหลังก่อนถึงปีใหม่ผมไม่ค่อยโวยวายแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าผมรักฌาณน้อยลงหรือเปล่า



มันยังคงมีความรู้สึกอยากเจอ คิดถึงเหมือนเดิม เพียงแต่มันไม่ได้มากจนล้นเหมือนที่ผ่านมา ครั้งนี้มันเป็นความคิดถึงแบบเงียบๆ ผมออกไปทำอย่างอื่นมากมาย แต่ถ้าเผลอปล่อยเหม่อก็จะมีความคิดว่า เฮ้อ คิดถึงฌาณจัง ประมาณนี้ มันเฉยจนกลัวว่าตัวเองจะลืมเขาไปสักวันเหมือนที่ผ่านมา



แต่คงไม่ลืมหรอก ครั้งยังเป็นเด็กกับครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนี่



ผมติดต่อกับฌาณเป็นครั้งคราว เพราะไจไม่ค่อยว่างนั่นแหละ ถึงแม้จะงอแง ต่อรองว่าขอให้ผมติดต่อหาฌาณได้โดยตรงแต่ไจก็ไม่ยอม พอไจไม่ยอมฌาณเลยต้องยอมตามใจไจ เขาบอกว่าไม่อยากทำให้ว่าที่พี่เขยรู้สึกไม่พอใจ และต่อให้ผมหาทางติดต่อฌาณได้ แต่เขาก็จะไม่ตอบผมอยู่ดี สุดท้ายก็มีแต่ต้องอดทน อดทน อดทน จนคิดว่าตัวเองอดทนเก่งขึ้นโคตรๆ เลย



ผมนั่งกาปฏิทินทุกวัน ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว ฌาณเคยสัญญาว่าจะมาหา และเมื่อวันปีใหม่มาถึง ฌาณก็มาหาจริงๆ แต่มาเจอแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วบินไปเชียงใหม่ ได้กอดแค่แป๊บเดียวเอง ได้คุยกันแค่แป๊บเดียวเองด้วย ไม่เห็นสมกับที่รอคอยเลยสักนิด ผมจะร้องไห้แล้ว ไม่สิ ผมร้องไห้ไปแล้ว



ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมเหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่อยากเจอเขาล่ะ



ฌาณไม่อยากเจอผมบ้างหรือไง



หลังปีใหม่ ผมหาอะไรทำ เช่นว่าไปช่วยทำงานกับเพื่อนที่เป็นเบื้องหลังการทำภาพยนตร์ ใช้ความรู้ในสายวิชาที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ รับแปลเอกสารบ้าง ไปช่วยเป็นล่ามบ้าง หาอะไรทำให้ตัวเองหยุดฟุ้งซ่านคิดถึงคนใจร้าย



ส่วนลินเองก็ท้องได้สามเดือนแล้ว ผมในตอนนี้ไม่หลงเหลือความริษยาอีกแล้ว กับไนล์เองก็กลับมาพูดคุยปรึกษากันได้เหมือนเคย ทว่าหัวใจก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาเหมือนกันเมื่อคิดว่าคนที่ทำให้ผมตัดใจจากไนล์ได้กลับไม่ได้ดูแคร์ผมเหมือนที่ผ่านมา



ผมร้องไห้อีกแล้ว



สองเดือนแรกหลังปีใหม่เป็นช่วงทรมานที่สุดของผม แต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มดีขึ้น ผมเริ่มเฉยชา ฌาณจะไม่รักผมก็ช่าง ผมก็หาอะไรทำก็ได้ จะได้ไม่นึกถึงเขา



แต่ผมรู้ ผมกำลังหลอกตัวเอง โกหกว่าไม่เป็นไรแต่ในใจมีแต่คิดถึงเขาตลอดเวลา และเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดว่าฌาณอาจจะไม่รักผมแล้ว



ช่วงหลังมานี้ผมไม่ได้ติดต่อหาฌาณเท่าไหร่ หลังจากเขามาหาผมแป๊บเดียวแล้วไปเชียงใหม่ ฌาณก็ติดต่อมาแค่ครั้งเดียว และผมก็ไม่ติดต่อหาเขาเหมือนเคย ใจจริงผมอยากให้เขาง้อ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฌาณเชื่อมั่นในคำสั่งของไจราวกับเป็นลูกน้องผู้แสนภักดี จนผมนึกเคือง



โกรธก็โกรธ น้อยใจก็มาก แต่ยังไงผมก็คิดว่าตัวเองยังรักเขาอยู่ เมื่อความรู้สึกที่มีต่อเขามันไม่ได้จางลงเลย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเพิ่มขึ้นรึเปล่า



ผมคิดว่ามันพยายามเพิ่มขึ้นนะ แต่เพราะฌาณทำเหมือนผมไม่ได้สำคัญเหมือนที่เคยพูดไว้ ทำให้ผมไม่กล้ารู้สึกกับฌาณมากไปกว่านี้  ผมกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ



เขาอาจจะเจอคนใหม่ที่ดีกว่าผมแล้วก็ได้ อย่างฌาณคงมีผู้หญิงสวยๆ เข้าหาเยอะน่าดู



หึ แล้วเขาก็คงไปกับคนพวกนั้น เผลอๆ อาจจะใช้คำพูดเดียวกันกับที่เคยบอกผมบอกคนพวกนั้น...ผมรู้ ผมกำลังคิดไปเอง แต่ทำไงได้ ฌาณไม่ทำให้ผมเชื่อใจแล้วนี่นา



ผมร้องไห้จนรู้ว่าร้องไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีคนปลอบ ไม่มีคนเห็นใจ



ผมปรึกษาเรื่องนี้กับไนล์บ่อยๆ แต่เขาบอกว่าฌาณคงมีเหตุผลที่หายไป เขาคงไม่ได้หมดรักหมดหรอก ฮึ จะจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ระยะเวลาที่ไจกำหนดที่จริงแล้วอาจจะต้องการพิสูจน์ความรู้สึกของฌาณมากกว่าล่ะมั้ง



แล้วจะทำยังไงถ้าฌาณหมดรักผมจริงๆ



แบบนั้นไม่เอานะ...



ไม่เอาแล้ว



ไม่ไหวแล้ว



ผมหมดความอดทนแล้วในเดือนที่สี่ อีกสองเดือนนจะถึงกำหนดวันที่เขาบอกให้เรามาเจอกัน แต่ตอนนี้ผมทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ที่เลือนรางนี้แล้ว และไม่ทนอีกต่อไปอยากให้มันชัดเจนเสียที ผมบุกเข้าห้องทำงานของไจ พยายามบีบบังคับให้เขาติดต่อฌาณให้ผม



“เจนใจเย็นๆ สิ พี่ทำงานอยู่นะ”



“ก็ถ้าไจยอมให้ผมติดต่อฌาณเองได้ผมก็ไม่ต้องมายุ่งกับเวลางานของไจหรอก”



“เราคุยกันแล้วไง เจนจะคุยกับฌาณได้ก็ต้องหลังจากพี่ทำงาน”



ผมสูดหายใจเข้า พยายามระงับความโกรธและน้อยใจที่พลุกพล่านอยู่ข้างใน



“ไจจะอะไรกับผมนักหนา ผมไม่มีสิทธิ์มีความรู้สึกเองเลยหรือไง”



“เจนก็รู้เหตุผลของพี่แล้วนี่ พี่ไม่อยากให้เรารีบคิดว่ามันเป็นความรัก ยิ่งถ้าเจนได้คุยกับฌาณก็จะยิ่งผูกพัน แต่สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้”



“แล้วไจเป็นใครมารู้จักความคิดผมดีนักหนา ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรือไงว่าผมรักใครชอบใคร!”



“เจน! พี่ไม่อยากให้เจนเป็นเหมือนคราวของไนล์อีก พี่ไม่อยากให้เราเสียใจแล้วตัดสินใจบ้าๆ อีก”



“ตอนนี้ผมก็จะบ้าเพราะการตัดสินใจของไจนั่นแหละ! ไม่เอาแล้ว...ทำไม...ตอนนี้ผมเจ็บกว่าเรื่องของไนล์อีก...ทำไมต้องมาคิดแทน...ผมด้วย”



จากคำตะโกนเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น ประโยคไม่ประติดประต่อกันอีกต่อไปเมื่อผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ สะอื้นไห้อยู่กลางห้องทำงานของไจ ที่รายล้อมด้วยสายตาพี่พนักงานคนอื่น ผมคงโดนมองว่าเป็นเด็กโข่งโง่เง่าเอาแต่ใจ แต่ใครจะสน ผมบ้าได้มากกว่านี้อีกถ้าไจยังทำอย่างนี้



“ไจไม่อยากให้...ผมรักฌาณ...ขนาดนั้นเลยหรือไง”



“เจน...พี่ไม่...”



“ผมไม่รักฌาณก็ได้...”



“...”



“...แต่ก็จะไม่รักไจด้วย จะไม่รักเจด ไม่รักพ่อแม่ ไม่รักตัวเองแล้วด้วย” ผมว่าด้วยเสียงสั่นเครือ ในเมื่อไม่อยากให้ผมรักฌาณ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่รักใครเลยก็แล้วกัน



จบคำพูด ผมพุ่งออกจากห้อง ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน เพียงแค่ความรู้สึกมันบอกให้ออกไป ออกไปจากตรงนี้ ไปหาที่ของผมใหม่ ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงอยู่ไหม



แม้จะรู้ว่าตัวเองงี่เง่าเอาแต่ใจอีกแล้ว ผมไม่ได้จะไม่รักไจหรือครอบครัวอย่างที่ว่า แค่อยากบอกให้รู้ว่าถ้าไจไม่ชอบที่ผมต้องรักกับฌาณขนาดนั้น ผมก็จะไม่ชอบไจแล้วเหมือนกัน



ผมได้ยินเสียงไจร้องเรียกชื่อผมตามหลังมา และสุดท้ายผมก็ทรุดตัวร้องไห้ ซบกับผนังข้างบันไดอย่างอ่อนล้า



มันเหนื่อยนะ กับการถูกจำกัดความรู้สึกเช่นนี้



เหมือนอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ สุดท้ายผมก็ยังรับมือกับปัญหาได้ห่วยอยู่ดี



“เจน...”



“...”



“โอเคๆ พี่ยอมแล้ว โทรหาฌาณให้แล้ว เห็นมั้ย นี่ไงกำลังโทรออก ไม่ร้องแล้วนะ”



ผมเงยหน้ามองไจ เขาชูโทรศัพท์ขึ้นที่หน้าจอแสดงการโทรออกหาชื่อคนที่ผมคิดถึงที่สุด และไม่นานหน้าจอก็เปลี่ยนไป บ่งบอกว่าปลายสายตอบรับกลับมาแล้ว



“ฮัลโหล?” เสียงคุ้นเคยดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ไจยื่นมือถือมาให้ผมที่นั่งคุดคู้ห่อตัวอย่างน่าสมเพชเวทนา



“เจนนี่ไง พี่ให้คุยกับฌาณแล้วนะ”



“...”



“เจน?”



เสียงของฌาณดังขึ้น ผมหอบหายใจเข้าทั้งๆ ที่น้ำตาเปรอะหน้า พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น กลืนก้อนสะอื้นลงไป ก่อนกรอกคำพูดลงไปในสาย



“ฌาณ...ยังรักผมอยู่ไหม”



“...รัก”



ขอเพียงเท่านี้...



.



เดือนมิถุนายนมาถึง ผมรับกระเป๋าจากสายพาน ตรงเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง สนามบินไคร์ตเชิร์ชแปลกจากสนามบินที่โอ๊คแลนด์เล็กน้อย และอากาศข้างนอกคงหนาวกว่าที่โอ๊คแลนด์ด้วย ผมจึงสวมโค้ทหนาตั้งแต่ตอนนี้



ก็เกาะใต้นี่นา อุณหภูมิคงต่ำกว่าเกาะเหนือเท่าตัว ดีที่คราวนี้ผมสวมเสื้อกันหนาวมาพร้อม ปกป้องตัวเองจากลมหนาวที่พยายามจะเฉือนเนื้อผมให้ตายไปข้าง ผมไม่รู้ว่าทำไมฌาณต้องนัดเจอที่นี่ด้วย ทำไมไม่เจอกันที่โอ๊คแลนด์แล้วค่อยบินมาพร้อมกันทีเดียว เพราะถามเท่าไหร่ฌาณก็ไม่ยอมบอก แต่ก็ช่างเถอะ ถึงผมไม่รู้เหตุผลแต่ยังไงผมก็ทำตามที่เขาว่าอยู่ดี



หลังจากวันนั้น ผมไม่ติดต่อหาฌาณอีก แม้ว่าไจจะยอมให้ผมคุยกับเขาแบบส่วนตัวได้แล้วก็ตาม ผมไม่รู้ว่าที่ทำอยู่เรียกว่ากำลังประชดพี่ชายไหม แต่ถ้าไจอยากรู้ว่าผมรักฌาณจริงๆ ไหม ผมก็จะทำให้เขารู้ว่าเงื่อนไขของเขาทำอะไรผมไม่ได้ ผมไม่ติดต่อหาฌาณ ไม่รับสายจากฌาณ คุยกับไจน้อยลงด้วย



ผมคงงอนพี่ชายตัวเองจริงๆ นั่นแหละ



แต่เพราะคำรักของฌาณทำให้ผมเชื่อมั่นว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และเชื่อว่าเขาจะทำตามคำพูด



ผมไม่ได้บอกฌาณว่าจะมาถึงที่นี่ตอนกี่โมง แต่ไจคงบอกฌาณไปแล้วล่ะมั้ง ก็เขาเป็นคนไปส่งผมที่สนามบินเอง... เอาเถอะ หลังจากได้เจอฌาณแล้ว กลับไทยคราวนี้ผมค่อยยอมคุยกับไจดีๆ ก็ได้



ยังไม่โตจริงๆ นั่นแหละเจนนินทร์



จริงๆ ผมก็หวั่นใจไม่น้อยกับการมาถึงครั้งนี้ ผมไม่ได้ติดต่อฌาณอีกเลยและกลัวว่าจะไม่เจอเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงเสียใจน่าดู และคงเป๋จนไปไม่ถูก ถึงแม้จะแอบจองโรงแรมกันไว้ก็เถอะ ผมหอบเสื้อผ้ามาเป็นลัง ตั้งใจมาอยู่ที่นี่หลายเดือน ถ้าฌาณไม่มาหาผมก็คงต้องอกหักแบบเหงาๆ อยู่คนเดียวแน่เลย



แต่ความรู้สึกของผมเชื่อว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น



และมันก็เป็นตามที่คาด เมื่อผมออกมาจากเกตก็เจอร่างคุ้นเคยนั่งรออยู่ที่ที่นั่ง เขาโดดเด่นออกจากทุกคนในนั้น ร่างสูงสวมเสื้อโค้ทสีเทายาวคลุมเข่า ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนเคย แทบไม่แตกต่างจากตอนที่ผมจากมา ฌาณลุกขึ้นยืนมองมาทางผมเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง



เขาเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ครานี้ใบหน้าที่คิดถึงปรากฏขึ้นตรงหน้าจริง ไม่ใช่ความฝันเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป ภายในหัวใจมันอัดแน่นไปด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ทับถมมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้



ขยับยิ้มให้เขา



“ผมกลับมาแล้ว”





 
❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ❄

-End-



❄❄❄❄❄❄





จบแล้ววว ;A;

เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวที่เขียนยากเรื่องนึงเลยค่ะ

เพราะไม่ใช่คนโกหกเก่งด้วย ถ้าเรื่องออกมามึนๆ ก็ขออภัยด้วยนะคะ

ความคิดแรกที่อยากเขียนน้องแกะคืออยากลองเขียนอะไรที่โลเคชั่นไกลๆ และแปลกๆ จากเรื่องอื่นบ้าง

ทีแรกลังเลระหว่างญี่ปุ่นกับนิวซีแลนด์

แต่เพราะอยากนำเสนอประเทศนิวซีแลนด์บ้าง คิดว่าน่าจะเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่

จึงเป็นเลือกประเทศนี้ ด้วยเพราะเคยไปอยู่มารวมสองเดือนแล้วประทับใจในอะไรหลายๆ ในประเทศนี้ค่ะ

อาจจะใส่เรื่องราวของนิวซีแลนด์ได้ไม่ครบหรือขาดๆ ไปบ้าง เพราะกลัวว่าจะเป็นนิยายท่องเที่ยวไป 555



จากจุดเริ่มต้นมาจากแค่อยากเขียนที่ไกลๆ แล้วเลือกนิวซีแลนด์ และหลังจากนั้นก็คิดว่าที่นี่มีอะไรบ้างที่เด่นๆ

ก็มีแกะ

ก็เลยออกมาเป็นคอนเซ็ปต์เด็กเลี้ยงแกะอย่างที่เห็นค่ะ 55555

เป็นอีกเรื่องที่เขียนค่อนข้างยากเลย เราเป็นคนผูกปมไม่เก่ง แล้วปมมันโยงไปมาทั้งเรื่อง

ถ้าแก้ตอนนึงก็ต้องก็ทั้งเรื่องเลย เหนื่อยและท้าทายมากจริงๆ ค่ะ 5555

อย่างที่รู้ว่าเราเขียนไปด้วยทำทีสิสไปด้วย มันเลยเป็นอะไรที่ทรหดมาก

หมดแรงเขียนก็บ่อยมาก และเป็นเรื่องที่อัพช้ากว่าเรื่องที่ผ่านมาด้วย

ระหว่างทางของเรื่องนี้เหนื่อยมากจริงๆ 5555

เพราะอย่างนั้นจึงอยากขอบคุณทุกกำลังใจที่อยู่ด้วยกันระหว่างทางมากๆ เลยค่ะ

ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ





เจนนินทร์เป็นตัวละครที่เรารักไม่แพ้เรื่องอื่นเลย เราชอบที่ได้เห็นความคิดและการเติบโตของน้อง

ถ้าทุกคนอ่านแล้วเอ็นดูเจนนินทร์กันสักนิด ก็มีความสุขแล้วค่ะ

ส่วนพี่ฌาณเป็นพระเอกเรื่องแรกที่ดูเป็นผู้เป็นคนสุดที่เขียนมา 55555

ที่ผ่านมามีแต่พระเอกอะไรไม่รู้กากๆ โจ๊กๆ 55555

พี่ฌาณจึงเป็นคนที่เราได้ทำความรู้จักกับนิสัยใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยได้เจอ และแน่นอน เราก็รักพี่เขาไม่แพ้กัน



ตอนจบเดินทางมาถึงแล้ว แต่ยังมีตอนพิเศษรออยู่น้า

หวังว่าพอได้อ่านมุมมองของฌาณแล้วจะเอ็นดูน้องเจนขึ้นมาอีกนิด

ถ้าไม่เป็นการรบกวน ขอฝาก Once upon a truth ไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ,



รัก


 :pig4: :L1: :pig4:
❄❄❄❄❄❄



หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 15 |- 31.3.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 31-03-2018 19:50:05
ปรบมือ​ให้​เจน เก่ง​มาก​กก​กก​กก​ ที่จัดการตัวเอง​ได้​ดี ถึง​จะ​งอแง​ไป​หน่อย
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 15 |- 31.3.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-03-2018 21:50:20
 :L2: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 15 |- 31.3.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 01-04-2018 00:10:02
การรอคอยจบแล้ว เจนเก่งมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |Lies 15 |- 31.3.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 01-04-2018 01:14:25
เย่ จบแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
ถึงเจนจะดูเป็นเด็กเอาแต่ใจ ยังไม่โต แต่เราชอบน้องนะ
และหวังว่าน้องเจนจะโตขึ้นกว่านี้อีก อย่ามีเรื่องเสียใจอีกเลย

รักกับฌานนานๆเลยนะะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True ? |- 1.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 01-04-2018 15:21:52
Once upon a true …กาลครั้งหนึ่งในความจริง



.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.









สุขสันต์วันโกหกค่ะ แฮ่!

เลยเที่ยงวันไปแล้ว แต่อยากเล่นอยู่5555555

ไหนๆ ตีมเรื่องก็เป็นการโกหกแล้ว จะพลาดวันนี้ได้ไงเนอะ555

แอบเอาตอนพิเศษมาสปอยนิดๆ ชดใช้ความผิด

รออีกแป๊บน้า




❄❄❄





True 0: Once upon a truth



‘ฌาณ มีเรื่องจะขอร้อง’

จู่ๆ ก็ปรากฏคำขอร้องของคนสนิทที่คุ้นเคยกันดี ในวันที่ผมตัดสินใจจะไปโร้ดทริปที่เกาะใต้สักหนึ่งอาทิตย์

 ‘ช่วยดูแลน้องชายกูด้วย’

เด็กดื้อไปทำอะไรมาอีกล่ะ...





❄❄❄
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True ? |- 1.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 01-04-2018 19:22:14
รอ..รอ  :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True ? |- 1.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 01-04-2018 19:44:31
ใจร้ายยยยยย
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True ? |- 1.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-04-2018 01:47:48
ระยะเวลาพิสูจน์ใจเจนจริงเลยค่ะ
เจนอดทนได้ดี หลังจากที่งอนพี่งอนฌาณจนครบ
เจนน่ารักนะ เป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจ และทุกคนพร้อมตามใจ

ฌาณมารอรับแล้ว เจนไม่ต้องมาเก้อเนาะ
ฌาณเคลียร์แล้วจริงใช่ไหมล่ะ
ทีนี้ก็รอรับมือคนมาป่วนได้เลยนะ มาอยู่นาน

ขอบคุณมากนะคะเรื่องน่าลุ้นที่เจนโกหกและน่ารักที่เจนยอมทำตาม
รอติดตามตอนใหม่ค่ะ และตอนพิเศษด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True ? |- 1.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-04-2018 01:56:03
ชอบน้องเจน ยิ่งเวลาน้องอ้อนน่ารักมาก
จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 04-04-2018 18:26:54
Once upon a true …กาลครั้งหนึ่งในความจริง









True 0: Once upon a true



‘ฌาณ มีเรื่องจะขอร้อง’



จู่ๆ ก็ปรากฏคำขอร้องของคนสนิทที่คุ้นเคยกันดีในวันที่ผมตัดสินใจจะไปโร้ดทริปที่เกาะใต้สักหนึ่งอาทิตย์



 ‘ช่วยดูแลน้องชายกูด้วย’



เด็กดื้อไปทำอะไรมาอีกล่ะ...



ผมไถ่ถามจนได้ความ และเป็นอันต้องตัดใจเลื่อนโร้ดทริปที่เกาะใต้ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อใช้เวลาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่จะทำไงได้ ถึงจะไม่ได้เจอกันมานานแต่ผมก็เห็นคนน้องเป็นเหมือนน้องแท้ๆ ดูแลมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด จะให้ทิ้งขว้างไม่ใยดีคงทำใจไม่ลง เด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น คงไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ๆ อย่างโอ๊คแลนด์ได้



ใช้เวลาสักพักกว่าจะเจอตัวน้อง เจนนินทร์โตขึ้นจากที่เคยเห็นมากพอควร แหงล่ะ ผมไม่ได้เจอเขามาเกือบสิบปี แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงละม้ายคล้ายคลึงกับวัยเด็ก แก้มพองๆ ปากแดงชอบยื่นเวลาไม่พอใจยังคงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย ตากลมโตผมดำหยักศกเล็กน้อย ตัวขาวร่างเล็กเหมือนเด็กมัธยม ผมโล่งใจที่หาตัวเขาเจอจนได้



พยายามเดินผ่านเจนอยู่หลายครั้งแต่น้องคงจำไม่ได้ หลายครั้งที่คิดจะเข้าไปทักแต่ก็อยากดูสถานการณ์ไปก่อน ยอมรับว่าใจยักษ์ที่อยากเห็นเจนนินทร์ทดลองเอาตัวรอดในเมืองนอกคนเดียวดูบ้าง จะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่เงินก็ซื้อได้



จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่แอบตามน้องอยู่มาสักพัก จู่ๆ ก็เห็นเขารีบร้อนออกจากที่พัก หอบกระเป๋าวิ่งขึ้นรถบัสที่มาจอดอย่างรวดเร็ว ผมรู้ว่าเขาไม่รู้ทางหรอก ถึงได้แอบตามไป เจนนินทร์ไม่รู้ตัวเช่นเคยว่าผมแอบจับจ้องเขาอยู่ห่างๆ  ให้ตาย พฤติกรรมแบบนี้ถ้ามีใครสังเกตแล้วแจ้งตำรวจขึ้นมา ผมคงโดนโยนกลับประเทศอย่างง่ายดายข้อหาทำตัวเป็นสตอร์กเกอร์



นั่งรถฆ่าเวลาไปสักพัก เจนนินทร์ก็ลงจากรถ และผมก็ตามเขาเช่นเดิม แอบย่องตามอยู่ห่างๆ จนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสีบอกเวลาค่ำคืน แต่ผมยังคงอยากรู้อยากเห็นว่าเด็กคนนี้จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ยังไง และอย่างที่คาด...



เจนนินทร์ไม่สามารถเอาตัวรอดได้จริงๆ เมื่อฝนทำท่าจะตกหนัก และเขากำลังหลงทางอยู่ในย่านที่พักอาศัยของชาวบ้าน ไร้ซึ่งโรงแรมหรืออาคารให้ซุกหัวนอน



ผมจึงปรากฏตัว และเขาก็ตกรับคำเชื้อเชิญง่ายๆ



“ชื่ออะไร...” ผมแสร้งเอ่ยถาม...ไหนๆ ก็จำผมไม่ได้แล้ว ทำความรู้จักกันใหม่จะเป็นไร



“จ...ไนล์ นายล่ะ”



“...” ทว่ากลับต้องชะงัก เมื่อชื่อที่ถูกเปล่งออกมาไม่ตรงกับชื่อที่ผมรู้จัก และไม่รู้ว่าเขาจะโกหกผมไปทำไม เพราะอย่างนั้นตอนที่เจนถามชื่อผมกลับผมจึงเอ่ยไม่จบคำ



“...ฌา...”



เอ่ยตอบไปเพียงเท่านั้นโดยตั้งใจละพยัญชนะตัวหลังไว้



อยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคนแปลกหน้าเช่นผม แต่เจนนินทร์ก็ยังคงเป็นเจนนินทร์ ความสามารถในการใช้ชีวิตต่ำยังไงก็อย่างนั้น ถ้าผมคิดร้ายกับเขาสักหน่อย เด็กโง่ก็คงไปไหนไม่รอดเสียหรอก



ทุกวันหลังจากมีเด็กคนนี้มาเป็นเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ ผมต้องคิดหาเมนูที่ทำง่ายและคุณหนูเจนนินทร์สามารถทานได้ ไม่ได้อยากจะเอาใจ แต่เพราะไจกำชับมาว่าถ้าทำอาหารที่เจนไม่ชอบ เด็กถูกสปอยนั่นก็จะไม่กิน ไม่ว่าจะว่ายังไง และทำไงได้ ผมต้องทำตามคำสั่งของไจผู้เป็นพี่ชาย เพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วงจนต้องตีตั๋วบินมาหาน้องคนสุดท้องถึงที่ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไจส่งมาเองก็มากพอจนยอมมองข้ามความเรื่องมากของคนน้องไปได้



วันๆ คิดแต่เรื่องอาหารของเจนนินทร์ก็หมดไปเป็นวันแล้ว เด็กบ้าอะไรเรื่องมากเป็นบ้า ร้อนไปไม่กิน เย็นไปก็ไม่เอา เผ็ดไปก็ไม่กิน อาหารต้องปรุงกับมือ ห้ามใส่ผงชูรส ไม่กินผักผลไม้บางชนิด ถ้าจะให้กินผักต้องเป็นผักสด ไม่มีสารเคมี ชอบรสหวาน เกลียดรสเปรี้ยว ห้ามทำอาหารเค็มเกินไปและถ้าจืดไปก็จะกินไม่หมด ดีหน่อยที่ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง จึงเป็นที่พอใจเมื่อเจนนินทร์ยอมฟาดอาหารเย็นของผมเรียบแทบทุกครั้ง



เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเรื่องมากขนาดไหน และคนดูแลเขาต้องเหนื่อยขนาดไหน



หน้าที่พี่เลี้ยงเด็กดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเล่นไปตามน้ำส่วนเด็กแสบก็หลุดโกหกออกมาทีละนิด จับผิดเขาทำได้ง่ายมาก ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจที่ที่บ้านเขาไม่ได้สอนให้เป็นเด็กหัดโกหก เจนดูไม่ใช่คนชอบโกหกมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อสีหน้าเวลาโกหกของเขามันชัดเสียขนาดนี้



แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก เจนนินทร์ไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับปัญหา แม้ว่าอายุขนาดนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่ก็ไม่แปลกใจเลยถ้าเขาจะแก้ปัญหาอะไรไม่เป็น ในเมื่อที่ผ่านมามีพี่ชายแสนดีคอยจัดการให้อยู่เสมอ และสิ่งที่เขาทำให้ผมแทบสติแตกก็ตอนที่เขาหายตัวไป จากที่เป็นคนใจเย็นมีสติ ผมแทบบ้าเมื่อติดต่อเขาไม่ได้ และเป็นโชคดีที่กุสตัฟ เพื่อนชาวโคลัมเบียส่งข้อความมา



‘ฉันเห็นเพื่อนนายอยู่ที่PROVADOL มากับวัยรุ่นกลุ่มใหญ่เลย แถมบอกให้ฉันช่วยเขาด้วย



ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นายรีบมาเถอะ’



ทีแรกผมโทรหาบอกกุสตัฟ แต่สุดท้ายก็เพราะเสียงเพลงที่นั่นดังจนทำให้ฟังไม่ได้ความ เลยส่งข้อความไปแทน ขอให้เขาช่วยดูคนพวกนั้นให้ที ผมจะรีบตามไป ขัดใจตรงที่ผมบิดมอเตอร์ไซค์ให้เร็วกว่านี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผมคงโดนตำรวจไล่จับ ทำให้กว่าผมจะไปถึงมันก็ช้าไม่ทันใจ และก็เกือบสายไป



เด็กดื้อร้องไห้จ้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อปัญหาเกินรับมือรุมเร้า เจนนินทร์ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยน้ำตาออกมา



และความอดทนของผมก็ได้หมดลง



“...นี่จำกันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม เจนนินทร์”



สิ้นสุดความอดทน ผมเฉลยความจริงทุกอย่าง เจนนินทร์ยังคงมีนิสัยเหมือนตอนเป็นเด็ก หนึ่งในนั้นคือการที่มีอะไรมากระทบจิตใจนิดหน่อยก็จะร้องไห้งอแง และผมกล่อมเขาตั้งนานกว่าเด็กน้อยจะยอมสงบ อธิบายถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ผมลำบากกับการดูแลเขามากนะ แต่ถึงอย่างนั้นกลับดีใจที่ได้เป็นผู้ปกครองของเขาเพียงคนเดียว



กว่าจะจบเรื่องวุ่นวายก็ใช้เวลาพอสมควร ผมรายงานไจไปตามที่ได้เจอ เพื่อนเจนนินทร์ดวงกุดคนนั้นคงได้หายไปจากชีวิตเจนนินทร์ตลอดกาล ผมรู้ว่าครอบครัวเขามีอิทธิพลมากพอจะทำเช่นนั้น และไจคงไม่ปล่อยให้คนอย่างนั้นมีความสุขตลอดไปหรอก



เป็นดังคาด เมื่อไม่นานไจบอกว่าให้หายห่วง ซีนถูกส่งกลับประเทศไทยไปแล้ว และน้องของเขาจะปลอดภัยอยู่ที่นี่ ผมยกยิ้ม นึกเย้ยหยันเด็กหนุ่มผู้โง่เขลาชะตาขาดที่เลือกเล่นผิดคนนั่น จากนี้ไปเจนนินทร์จะได้ไม่ต้องหวาดกลัวอีก



และตอนนั้นเองที่ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป...



เรื่องราวของคนรักเก่าที่วนเวียนอยู่ในใจผมไม่ไปไหน ไม่เคยไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงโบนิตา หญิงคนรักที่รักสุดใจ และไม่คิดว่าจะรักใครได้เท่าเธอแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอจากไปเมื่อสามปีก่อน ไม่มีวันไหนที่ผมไม่คะนึงหา ใบหน้าโบนิตาวนเวียนอยู่ในหัวเสมอไม่เคยขาดช่วง



จนกระทั่งมาเจอกับเจนนินทร์...



แค่คิดว่าวันนี้เจนนินทร์ต้องกินอะไร ต้องอยู่อย่างไร หายไปไหน ปลอดภัยไหม อยู่ที่ห้องแล้วซนอะไรหรือเปล่า แค่นั้นก็หมดเวลาคิดถึงโบนิตาแล้ว



เป็นเรื่องแปลก...



ผมไม่เคยเลิกคิดถึงเธอ ไม่เคยเลย...



ความพยายามากมายเพื่อต้องการจะลืมโบนิตาไม่เคยเป็นผล ควานหาคนรักใหม่ ไล่นอนกับใครต่อใครแต่ก็ไม่มีคืนไหนที่ไม่คิดถึงหล่อน



และแล้วก็รู้ตัว ว่าผมตกหลุมเด็กคนนี้เข้าอย่างจัง



ทุกจังหวะการเดินของน้องผมจดจำได้หมด แผ่นหลังที่ฉายถึงความสดใส ทวงท่าเมื่อได้เห็นอะไรแปลกตาราวกับเด็กน้อยบริสุทธิ์ รอยยิ้มเจิดจ้า สว่างเป็นประกายอยู่ในใจของผม จนเผลอลั่นชัตเตอร์เก็บไว้เป็นความทรงจำ



ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่ถ่ายรูปใครแล้วแท้ๆ



ทั้งๆ ที่อยากให้โบนิตาเป็นคนสุดท้ายที่จะเก็บความทรงจำไว้



ทุกอย่างมลายหายไปเมื่อได้เจอเจนนินทร์ ราวกับน้องเป็นคำตอบที่เคยค้นหามานาน



ใช่ว่าหลังจากโบนิตาเสียแล้วผมจะไม่กล้าลุกขึ้นมาใหม่ ผมทำแล้ว หลายต่อหลายครั้ง ค้นหาเจ้าของหัวใจคนใหม่คนแล้วคนเล่าเพื่อรู้ว่าไร้ประโยชน์ ในเมื่อผมเอาแต่คิดถึงคนที่จากไปแล้ว และคิดใช้คนที่ผ่านมาเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ก็เท่านั้น



แต่เจนนินทร์กลับแตกต่าง



เขาไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ เพียงแค่อยู่เฉยๆ ให้ผมคอยดูแลแค่นั้น กลับได้เป็นคำตอบของหัวใจที่เคยแหว่งหายไป



เวลาผ่านไป ผมสังเกตเขาบ่อยกว่าที่คิด และสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆ ก็หลายครั้ง จนคาดเค้นมาได้ เรื่องราวของน้องทำให้ผมสะเทือนใจเล็กน้อย...



 เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเจนนินทร์ ผมก็คิดหาวิธีเพื่อไม่ให้เขาต้องทุกข์ใจ สรรหาสารพัดสิ่งมาเพื่อปลอบประโลมให้กับอดีตที่กัดกินจิตใจน้อยๆ ของเขาจนเป็นทุกข์ แม้จะไม่แน่ใจในเรื่องราวที่ได้ฟัง มีตงิดใจในบางช่วง แต่ความเศร้าที่เจนนินทร์แสดงออกมาผมยืนยันได้ว่าเป็นความจริง และนั่นจะมีอะไรสำคัญกว่านั้นอีก เจนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะเป็นคนทำให้น้องกลับมายิ้มแย้มให้ได้









ริมฝีปากคนน้องนุ่มราวกับจุมพิตกลีบดอกไม้ หอมหวานและแผ่วเบา



หัวใจเต้นแรงขึ้นไปอีกเมื่อเจนนินทร์ไม่ปฏิเสธรสจูบที่ผมมอบให้ ในใจลิงโลดที่ได้จูบกลีบดอกไม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จุมพิตเพื่อหวังเบี่ยงความสนใจของเขา เพื่อให้เขาสนใจแค่ผม ผมที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช้อดีตคนที่น้องแอบรัก



แน่นอน จุมพิตครั้งนี้ หวังเพื่อเยียวยาตัวเองด้วยเช่นกัน



ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าความรู้สึกที่มีต่อเด็กคนนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้ เมื่อการนอนบนเตียงเดียวกันกับเจนนินทร์กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา เมื่อหลังจากที่ได้สัมผัสตัวน้องแล้วก็ยากที่จะข่มใจให้ไหว



เพียงแต่เจ้าเด็กแสบนี่คงไม่รู้อะไรด้วย ว่าผมต้องอดทนมากแค่ไหน คืนไหนทนไหวก็ทน ไม่ไหวก็ต้องพึ่งห้องน้ำ...



ไม่ได้อยากจะรีบเร่งนักหรอก เพียงแต่คืนนั้นมันเผลอตัวไปหน่อย เห็นน้องมายืนเปลือยโชว์ขาขาวๆ จิตอกุศลมันก็เตลิด ตั้งแต่รู้ตัวว่าหาใครมาก็แทนโบนิตาไม่ได้ เลยเลิกเรื่องอย่างว่าไปนานโข เพราะไม่อยากทำร้ายใครอีก จนมาตบะแตกกับเด็กข้างบ้านได้ยังไงไม่รู้ รู้เพียงแต่แค่นั้นไม่เพียงพอ...



และแทบจะทำตามความต้องการของใจเมื่อน้องร้องขอให้กอด...



ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีกันมั่วซั่ว แต่สุดท้ายก็เพราะใบหน้าเคลือบหยาดน้ำตาทำให้ผมเกือบใช้อารมณ์ชักนำทุกอย่างเสียแล้ว แน่นอน ผมเป็นวัยรุ่นชายทั่วไปที่ต้องอยากกอดคนที่ตัวเองรักอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าผมรู้ว่าเจนอาจจะใช้ผมเพื่อลืมไนล์ ผมยอมก็ได้ เพราะความคิดด้านชั่วแล่นออกมาบอกว่าหากผมได้กอดเขาแล้ว เจนนินทร์มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใจ ไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วนดี และเกือบทำเรื่องบ้าๆ ลงไป



ถ้าไม่ติดว่าการกระทำของเจนนินทร์ดูตัดขัดไปเสียหมด ทดลองสัมผัสหน้าท้องขาว น้องก็ขดตัวเกร็ง ครั้นไล่ลูบไปตามผิวเนื้อ คนน้องก็ดิ้นราวกับพื้นที่ส่วนนี้ไม่เคยมีใครเคยรุกล้ำ ไหนยังจะมือไม้ที่เปะป่ายไปทั่วนั่นอีก



พลันปะติดปะต่อเรื่องราว...นิสัยชอบจับผิดกลับมาอีกครั้ง ไล่ต้อนถามคนน้องจนได้ความ



“เจน...เรื่องไนล์”



“...”



“โกหกใช่ไหม?”




จากนั้นความจริงก็ถูกเปิดเผยอีกครา ผมรับฟังเรื่องราว ไม่ตอบรับ ไม่แสดงความเห็น ทำเพียงรับฟังเพราะคิดว่าเท่านั้นก็น่าจะมากเพียงพอแล้ว เจ้าเด็กเลี้ยงแกะจอมโกหกไม่เข้มแข็งมากพอจะโดนดุในเวลานี้



แต่ก็ใช่ว่าจะต้องตามใจน้องเสมอไป ผมคิดถึงเรื่องราวของน้องอยู่แทบตลอด เรื่องเลวร้ายที่น้องทำ มีความผิดมากพอที่จะได้รับการสั่งสอนแรงๆ สักที แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่รู้ ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจนนินทร์ได้หรอก ขนาดไจเองก็คงไม่กล้า



ผมพูดคุยกับไจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่ชายคนเก่งของเจนเองก็รู้เรื่องนี้มาสักพักแล้ว ถึงได้ยอมให้เจนนินทร์เที่ยวเล่นในเมืองนอกแบบนี้ได้โดยไม่รีบมาตามตัวกลับ เพราะไม่อยากให้น้องกลับไปแล้วเสียใจ...สู้อยู่ที่นี่ให้สบายใจก่อนค่อยกลับไทยดีกว่า



ก็โดนสปอยเสียขนาดนี้ จะโตมาแบบนี้ก็ไม่แปลก



ถึงได้เข้าใจความคิดของเจนนินทร์อย่างไร ก็เล่นโดนเลี้ยงมาเช่นนี้ อะไรอยากได้ก็ต้องได้ อะไรที่ไม่เป็นดั่งใจร้องไห้สักนิดเดี๋ยวไจก็หามาได้ ทำเช่นนี้จนติดเป็นนิสัยเสีย พอถึงเรื่องของหัวใจ เมื่อทำอย่างไรก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการจึงมีแต่ต้องใช้อำนาจที่ตัวเองมีขู่บังคับ



จนทำร้ายจิตใจของใครอีกคนไปเสียอย่างนั้น



ผมรู้ว่าเจนเองก็รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นลงไป แต่รู้สึกผิดมากแค่ไหนก็แก้ไขสิ่งที่เคยทำลงไปแล้วไม่ได้อยู่ดี



หาทางช่วยให้น้องไม่ต้องลำบาก แต่ครั้นได้ปรึกษากับคนพี่แล้วถึงรู้ว่าไจทำก่อนผมไปแล้ว เขาไปพูดคุยเรื่องไนล์แทนน้องตัวเอง จัดการเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างอยู่หมัด หว่านล้อมพี่ชายคนโตและพ่อตัวเองได้สำเร็จ และรับรู้ว่าเพื่อนสนิทคนสำคัญของน้องไม่ได้รังเกียจน้องอย่างที่น้องกลัวอีกต่อไป



ไนล์เองก็มีส่วนผิด เจ้าตัวก็มาสารภาพความผิดกับไจแล้ว ไนล์เองก็อยากกลับมาเป็นเพื่อนกับเจนนินทร์อีกครั้ง ไจเลยไม่เอาเรื่อง เพราะน้องชายตัวเองก็ผิด เรื่องราวมันควรจะจบลงอย่างราบรื่น น้องควรจะได้กลับไทยได้อย่างสบายใจ และผมจะได้ตามจีบน้องเขาได้เช่นกัน



ทว่าบิวกลับโผล่มาในจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย ผมปฏิเสธเธอไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นน้องสาวของคนรักเก่า และนั่นทำให้ทุกอย่างที่วางแผนไว้พลิกผันทันที เมื่อเจนนินทร์รับรู้เรื่องราวของโบนิตาเร็วกว่าที่ผมคาดไว้



ไม่ได้ตั้งใจจะปิด เพียงแต่คิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีที่จะเปิด



ผมต้องการให้น้องรู้ว่าผมรู้สึกกับน้องจริง ผมรักน้องจริงและกล้าใช้คำว่ารัก เมื่อทุกอย่างมันชี้ไปว่าอย่างนั้น เฝ้ารอคนที่จะฉุดให้พ้นจากห้วงคำนึงถึงโบนิตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีสัมพันธ์ทางกายกับใครต่อใคร ผูกไมตรีต่อผู้คนที่เสนอตัวมาให้ ผ่านไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครเลยที่ทำให้ผมลืมโบนิตาได้ และอยากดูแลได้เท่าเจนนินทร์



ขนาดนี้แล้วไม่เรียกว่ารักให้เรียกว่าอะไร



เสียแต่เจนนินทร์คงไม่เข้าใจ ความรักของผมที่มีต่อเขาไม่ใช่ว่าพึ่งเกิดแค่เดือนสองเดือนนี้ ในเมื่อผมตามหาคนอย่างเจนนินทร์มานานนับปี แต่ก็รู้ว่าแค่ระยะเวลาสั้นๆ คงทำให้น้องไม่มั่นใจความรู้สึกของผม ซึ่งนั่นก็ไม่เป็นไร ผมยังมีเวลาอีกทั้งชีวิตเพื่อทำให้เจนรู้ว่าผมรู้สึกเช่นนี้กับเขาจริงๆ



ทว่าเรื่องราวก็ไม่เป็นดั่งใจอีกครั้ง เมื่อเจนได้คุยกับไจ และผู้เป็นพี่ชายรับรู้ว่าน้องมีความรู้สึกหวั่นไหวกับผม



ไม่อยากจะบอกว่าไจหวงน้องขนาดไหนและขัดขวางผมขนาดไหน เพราะแต่ละเรื่องที่ไจพูดมาทำให้ผมต้องปาดเหงื่อประโยค



กูไม่ยกน้องกูให้มึงหรอก! ไอ้ฌาณ



ไอ้เราก็นึกว่ามึงจะบริสุทธิ์ใจกับน้องกู ที่ไหนได้ แอบมาลอบจีบเจนนินทร์ของกู อย่าหวังเลยมึง



มึงทำอะไรน้องกูไปแล้วบ้าง บอกมา อย่าให้กูสาวได้จากเจนนินทร์ ตอนนั้นโทษเบาจะกลายเป็นหนักแน่



ไอ้เวร! ทำชั่วกับน้องกู ไอ้เลวฌาณ น้องกูยังเด็กไม่ประสีประสา โอ๊ย กูอยากจะบินไปบีบคอมึงตอนนี้จริงๆ



กล้าแตะต้องเจนนินทร์ของกูโดยที่น้องกูยังไม่ตกลงตอบรับว่ารักมึง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าละกัน ถ้ากูจะขอริบน้องกูคืน



ถ้าเจนนินทร์กลับไทยเมื่อไหร่ กูจะไม่ให้พวกมึงได้เจอกันอีกหนึ่งปี ถึงตอนนั้นถ้ามึงยังรักน้องกูและน้องกูรักมึง กูจะไม่ขัดขวาง แต่ระหว่างนี้ถ้าฝ่าฝืน ก็อย่าหาว่ากูไม่เตือน เจนนินทร์ทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้กู



ไม่ได้อยากใจร้าย มึงเข้าใจกูนะ กูไม่อยากให้เจนนินทร์เสียใจจนต้องเป็นอย่างนี้อีก ครั้งนี้กูอยากให้น้องกูกับมึงรู้สึกเหมือนกันแล้วจริงๆ ถึงจะค่อยวางใจ ถ้าที่ผ่านมาเจนหรือมึงแค่หวั่นไหว มันจะได้ไม่ต้องเจ็บไปมากกว่านั้น



กูก็เห็นใจมึงนะ แต่คิดดูว่าถ้าที่ผ่านมาเจนนินทร์แค่หวั่นไหวแล้วคิดไปเองว่ารัก มึงจะไม่เจ็บเหรอ



ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่กูขอเถอะ เซฟๆ ทั้งคู่นั่นแหละ




คำขออะไร คำสั่งต่างหาก ไจโหดชิบหาย หวงน้องอะไรขนาดนั้น แต่ผมจะทำไงได้ ผู้ปกครองตัวจริงเขาสั่งมาแล้ว ถึงเจนนินทร์จะไม่รู้เรื่องอะไร แต่ผมก็ต้องทำใจแข็ง ยอมทำตามคำของไจอย่างจำใจ แถแทบตายกว่าเจนนินทร์จะหยุดโวยวายและร้องไห้



ไม่ใช่แค่เจนที่ต้องล่องลอยกับความสัมพันธ์เช่นนี้ ผมเองก็หวั่นใจไม่แพ้กัน



จากการที่เจนเพิ่งอกหักแล้วมาเจอผมเพียงคนเดียว เจนมีแค่ผมที่พึ่งพาได้ ก็ย่อมต้องรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว และถ้าเจนกลับไทยไปเจอคนใหม่ๆ เข้ามา รับรู้ความจริงแล้วว่าที่ผ่านมาที่แสดงอาการเหมือนจะชอบผม ที่แท้เป็นแค่ความรู้สึกหวั่นไหว แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากต้องปล่อยน้องไป...



ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยไปจริงๆ หรอก กว่าผมจะเจอเจนนินทร์ก็ทรมานมาเป็นปีๆ แค่คิดว่ารอให้ครบปีแล้ว บินกลับไทยไปจีบเจนนินทร์ก็ไม่สาย



แต่ไม่คิดว่าการรอคอยจะทำให้แทบขาดใจขนาดนี้...



เจนนินทร์ที่ทำได้เพียงมอง ไม่อาจสัมผัส ไม่อาจได้กลิ่นนี่แม่งโคตรทรมาน ไจแม่งก็สั่งห้ามนู่นห้ามนี่อยู่นั่นแหละ ห้ามมาเจอ ห้ามติดต่อมาหาก่อน ห้ามตอบน้องนอกเหนือจากไลน์ของไจ แม่งเอ๊ย ปิศาจชัดๆ



น้องคิดว่ามีแต่น้องคนเดียวที่คิดถึงผม ไม่รู้หรอกว่าทางนี้ก็แทบตาย อากาศหนาวๆ เย็นๆ ยังไม่พอ ต้องมาอยู่ในห้องที่เคยมีเจนนินทร์ แต่ไม่มีร่างอุ่นๆ ให้นอนกอดทั้งคืนแบบนี้ แทบจะอกแตกตาย



แต่ดูท่าคนพี่จะใจอ่อนได้ไม่นาน เมื่อเขายอมให้ผมเป็นฝ่ายติดต่อมาหาได้แล้ว และยอมให้เจนคุยกับผมบ่อยกว่าที่ผ่านมา ถึงจะได้แค่เห็นหน้าและเสียง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอ



ผมดีใจที่น้องจัดการปัญหาเองได้ อยากมุดเข้าจอแล้วไปโผล่อีกฟากนึงของทวีป โอบกอดคนเก่งไว้แน่นๆ แต่ผมก็ทำได้แค่มอง มอง มอง และคุย คุย



เรื่องของโบนิตาจัดการได้ไม่ยาก แม่ของเธอไม่ใช่คนหัวโบราณ และยอมรับได้หากผมจะเริ่มต้นใหม่กับใคร ซ้ำยังกล่าวอวยพรให้ผมโชคดีอีก แม้ว่าจะเคยให้คำสัญญามั่นเหมาะว่าจะมีแค่ลูกสาวของเธอตลอดไปก็ตาม แต่แม่โบกลับเข้าใจ และไม่ต่อว่าที่ผมต้องการจะมีรักใหม่



เรื่องราวของโบนิตาจบลงอย่างง่ายดายตามคาด ไม่ใช่ว่าผมจะเลิกรักหล่อน ผมยังคงรักเธอเสมอ เพียงแต่มันจะไม่มีวันเพิ่มขึ้นอีก การจมปลักอยู่แต่ในอดีตมีแต่ทำให้เจ็บช้ำ จะผิดอะไรในเมื่อผมเจออีกครึ่งชีวิตแล้ว



จบเรื่องของโบนิตา ภาพคนที่เจอกันแค่สามเดือนกลับโผล่มาอยู่ในหัวไม่หยุด และสุดท้ายผมก็แอบฝ่าข้อห้ามของไจ แอบมาเจอเจนตอนปีใหม่ตามที่ลอบสัญญากับเขาไว้



ถามเถอะ ใครเห็นหน้าเจนร้องไห้งอแงอย่างนั้นแล้วจะไม่ใจอ่อนบ้าง ไหนเจ้าเด็กแสบยังเล่นอ้อนอ่อยผมอยู่ทุกวัน ผมก็อยากเจอน้องใจจะขาด ถึงได้ยอมสัญญาฝ่ากฏนรกของไจว่าจะมาเจอเจนในวันปีใหม่ เจนไม่รู้หรอกว่าวินาทีแรกที่เห็นเขา ผมอยากอุ้มเขากลับบ้านที่เชียงใหม่เลยด้วยซ้ำ



โชคไม่เข้าข้างเมื่อไจรู้เข้า ทำให้ผมต้องรีบเผ่นกลับเชียงใหม่แทบทันที ด้วยหวังว่าการที่ได้มาเจอน้องแค่แป๊บเดียวจะทำให้ไจลดโทษให้



แต่ไม่เลย เขาสั่งห้ามให้ผมติดต่อก่อน และริดรอนเวลาที่ผมจะได้คุยกับเจนไป ช่วงเวลาหลังปีใหม่แทบเป็นนรกสำหรับผม ผมแทบไม่ได้เจอน้องเลย ไม่ได้คุย ไม่ได้ยินเสียง ได้แค่ข่าวคราวจากไจว่าน้องสบายดีเท่านั้น ระยะเวลานานขนาดนี้แล้วไจยังไม่ยอมใจอ่อนอีก เชื่อเขาเลยให้ตาย



ผมแทบหมดหวัง เมื่อไร้การติดต่อจากเจนนินทร์ คิดว่าเจนคงยอมแพ้กับเรื่องของผมเสียแล้ว เมื่อทุกอย่างดูเงียบเชียบเช่นนี้ และมันดูมีความเป็นไปได้สูงมากที่น้องจะเลิกใส่ใจ เจนนินทร์ไม่ใช่คนอดทนเก่ง และไม่ใช่คนที่ต้องยอมทนขนาดนี้ ป่านนี้น้องคงมีความสุขกับใครแล้วล่ะมั้ง



ยิ่งคิดก็แทบขาดใจ ทั้งหวงทั้งห่วงแทบตายแต่ทำอะไรไม่ได้เลย ผมคิดจะบินกลับไทยก็บ่อย ช่างแม่งไจก็ตั้งหลายครั้ง เหม่อๆ ก็เปิดเว็ปเช็คราคาตั๋วอยู่ตลอด แต่อีกใจก็บอกให้อย่าเพิ่งยอมแพ้ ให้เชื่อใจน้อง



และครั้งสุดท้ายที่เจนโทรมา กลับเป็นเสียงสะอื้น



รอคอยการติดต่อจากเจ้าของหัวใจมานาน แต่กลับได้รับเพียงประโยคคำถาม ที่ไม่ว่ายังไงคำตอบก็เป็น…



รัก



หลังจากวางสายในตอนนั้น ผมไม่ได้รับการติดต่อจากเจนนินทร์อีกเลย...





หนึ่งเดือนผ่านไป สองเดือนผ่านไป ไจไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อมา มีเพียงแค่ส่งข่าวบอกว่าเจนสบายดี สบายดี สบายดี ผมเห็นคำนี้จนเอียน สบายดีหมายความว่าอะไร นอกเหนือจากคำว่าสบายแล้วไม่มีคำอื่นให้บอกอีกหรือไง หงุดหงิดแทบตาย ผมไม่มีสิทธิ์ติดต่อหาน้องก่อน แต่ไจก็ยืนยันว่าเขาอนุญาตให้เจนเป็นฝ่ายติดต่อผมได้เองแล้ว



ทว่าไม่มีการติดต่อใดของเจนเลยสักครั้ง



ผมคงหมดหวังแล้ว...แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ใจก็ไม่เชื่อทั้งร้อย ถ้าเจนไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมจริง แล้วจะถามว่าผมรักเขาอยู่ทำไม



มันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องเดินฝ่าความมืดไปแต่ละวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร รู้แค่ต้องเดินไปเรื่อยๆ ในทางเดินที่มืดและเย็นเยียบ ไร้ซึ่งแสงสว่างนำทาง มีเพียงใจของตัวเองที่เชื่อมั่นว่าอย่าหยุดเดิน ความรู้สึกช่วงนี้ราวกับกำลังตะกายไขว่คว้าหาอะไรที่ไม่รู้ว่าจะได้มาครองไหม มีเพียงต้องกระเสือกกระสนบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งท้อต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้



แต่มันก็จะได้พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน น้องติดคนง่าย ใครใจดีด้วยหน่อยก็ชอบหมด และแน่นอนว่าผมไม่อยากเป็นแค่คนใจดีที่เจนนินทร์รู้สึกดีด้วย



ผมอยากเป็นความรักให้เขา



ในขณะเดียวกัน เจนก็ต้องเติบโตขึ้นด้วย เขาจะไม่ใช่แค่ฝ่ายรับอย่างเดียว น้องต้องรู้จักอดทน รอคอย เรียนรู้และเป็นผู้ให้บ้าง



มันเสี่ยง เจนนินทร์หน้าตาน่ารัก ไม่ยากเลยถ้าจะหาคนมาดามใจสักคน แต่เพราะเชื่อในตัวเจนถึงได้ยอมตกลงกับไจ แม้ว่ามันจะเสี่ยงมากก็ตาม



หลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน



จากอนาคตสีดำมืดมาจนตอนนี้ การรอคอยของผมมีความหวังขึ้นมา เมื่อไจถามว่าผมจองตั๋วไปไคร์ตเชิร์ชแล้วหรือยัง แน่นอน ผมจองไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่เจนนินทร์ขึ้นเครื่องบินกลับไทยไป ผมจองไว้แล้วทุกอย่าง ทั้งรถ ที่พัก ที่เที่ยว สานต่อโร้ดทริปที่ตั้งใจจะไปตั้งแต่ปีก่อน และหวังว่าระยะเวลาแค่หนึ่งปีไม่ทำให้ผมเลิกรักเจนนินทร์ได้หรอก แม้จะรู้ว่าเจนอาจไม่ได้ทนรักกับผมจนถึงตอนนั้น แต่ใจก็ยังเชื่อ



และเมื่อไจบอกว่าให้ไปรอเจนนินทร์ตามที่เคยนัดไว้ ใจผมก็ลิงโลด ถามว่าเจนจะมากี่โมง



ไจแสบกว่าที่คิดเมื่อเขาบอกว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แถมยังหลอกผมด้วยการบอกว่าเจนอาจจะไปที่อื่นก่อนแล้วค่อยบินมาลงที่ไคร์ตเชิร์ช ทำให้ผมหาสายการบินไม่เจอ



ผมในตอนนั้นก็โง่มากพอที่จะเชื่อไจ เพราะมันไม่มีอะไรให้ยึดมั่นแล้วนี่ ที่บ้านของเจนเองก็รวยมากพอที่จะทำอย่างนั้นได้ ขนาดที่ถ้าเขาอยากไปเดินเล่นที่อังกฤษแล้วต่อด้วยช็อปปิ้งที่เกาหลี กินอาหารเย็นที่ญี่ปุ่นแล้วจบที่สิงคโปร์ก็ย่อมทำได้



ผมมารอเจนนินทร์ตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยงคืนของวันนัดหมาย นั่งรออยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากกลางคืนเปลี่ยนเป็นรุ่งเช้า จากรุ่งเช้ามายามสาย จากสายเป็นเที่ยง จากเที่ยงเป็นบ่าย และจากบ่ายเป็นเย็น



ในใจเริ่มกลับมาท้อแท้อีกครั้ง ระยะเวลาของการรอคอยไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมากลับนานเหมือนปี ไจอาจจะหลอกผมก็ได้ ใครจะรู้... ผมถามไปกี่ทีก็ไม่ยอมตอบกลับ แต่ในขณะที่กำลังสิ้นหวัง ผมพลันเห็นร่างคุ้นเคยเดินออกมาจากเกตผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สองขาลุกขึ้นยืน กลัวว่าสายตาจะมองพลาดไป



และภาพตรงหน้าไม่มีอะไรหลอกผมได้อีกแล้ว...



เมื่อความคิดถึงที่ผมเฝ้ารอมาตลอดปีปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แค่ภาพกับเสียงเหมือนที่ผ่านมา



น้องแทบไม่เปลี่ยน น่ารักเหมือนเคย ผมไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหา เมื่อหัวใจกลางอกส่งเสียงดังกระหน่ำราวกับหัวใจจะทะลุออกมาเสียขนาดนี้



เจนนินทร์ขยับยิ้ม



“ผมกลับมาแล้ว”



ผมยกยิ้มตอบ



ยินดีต้อนรับกลับ







❄❄❄





ตาพี่ฌาณเล่าเรื่องบ้าง มุมมองพี่ฌาณมองเจนก็จะประมาณนี้///

จะมีพาร์ทคนพี่อีกหลังจากนี้ด้วย

คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้น้าาา
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-04-2018 19:09:56
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-04-2018 21:50:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 04-04-2018 22:40:25
พีฌานอบอุ่นจัง สงสารพี่เลย พี่ไจ ให้เป็นพระเอกสักเรื่องเถอะ ทรงอิทธิพล เก่งด้วย ชอบตอนพี่เล่านะคะ รอค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-04-2018 00:10:51
ประทับใจพี่ฌาณมากเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ |True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-04-2018 21:14:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-04-2018 23:38:13
พี่ฌานเป็นผู้ชายที่อดทนมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 0 |- 4.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-04-2018 17:16:01
ปลื้มมาก ชอบมาก
ฌาณก็คือผู้ชายคนหนึ่ง มีรัก มีหลง และอยากลืม
ผ่านอะไรมาพอสมควร และไม่ได้ใสซื่อ พร้อมรุกตลอดเวลา
แล้วฌาณก็ยังเลือกเจนนินทร์ ที่อาจเป็นป๊อปปี้เลิฟในวัยเด็กแล้วก็ได้
ฌาณอบอุ่นกับน้องเสมอ และยังเชื่อใจเจนถึงจะเพ้อจะระแวงไปบ้าง 

เจนน่ารัก รอคอยวันนี้เพื่อมาเจอพี่
เจนกลับมาแล้วนะ ฌาณ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 08-04-2018 22:20:13
True 1: Every ending has a new beginning



“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม หลุดหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตาบู้บี้ของคนตรงหน้า น้ำตาน้องไหลเปรอะแก้มขาวที่เจือสีแดง ทั้งหูทั้งจมูกก็แดง สภาพดูไม่ได้แต่น่ารักชะมัด



“ผมคิดว่าจะไม่เจอฌาณ”



“เจอสิ พี่สัญญาแล้วนี่”



“แต่มัน...ฮึก...ตั้งปีนึง...ผมก็คิดว่า...”



ผมไม่รอให้น้องพูดจนจบ คว้าตัวเขามากอดให้จมอก ปลอบประโลมคนตัวเล็กกว่าให้ได้มากที่สุด และแน่นอน ปลอบตัวเองด้วยเช่นกัน



หนึ่งปี ไม่มากไม่น้อย แต่ก็ทำให้หวั่นใจได้ไม่แพ้กัน ถ้าเจนกลัวว่าใจผมจะไม่เหมือนเดิม แน่นอน ผมเองก็กลัวว่าน้องจะไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับผมเช่นกัน และเมื่อท้ายสุดแล้วระยะเวลาไม่ใช่ปัญหาของเราเหมือนอย่างที่ไจคาดไว้ ในตอนนี้ผมก็ขอตักตวงความสุขกลับคืนมาให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน



ผมพาน้องเข้าที่พัก ลากกระเป๋าเดินทางให้หลังจากที่บรรจงจูบความคิดถึงที่นุ่มเหมือนกลีบดอกไม้กลางสนามบิน และนั่นทำให้เจนนินทร์เขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เอาแต่ก้มหน้างุดซุกอยู่กับแขนผมราวกับมันจะช่วยทำให้คนอื่นมองไม่เห็นเขาได้อย่างนั้น



ทันทีที่ถึงห้อง เจนนินทร์ก็รีบรุดเข้าไปนอนคว่ำหน้าบนเตียง ตะกายคว้าหมอนมานอนกอด



“ไม่กอดพี่หน่อยเหรอ”



“...”



เหมือนเจ้าแกะง่วงจะเพิ่งรู้ตัว เมื่อน้องเงยหน้ามาจ้องหน้าผม ก่อนค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้น ทะยานเข้าสู่อ้อมกอดผม เจนนินทร์ซุกไซร้เข้ากับหน้าอกเหมือนลูกหมา ไถหน้าไปมาจนผมจั๊กจี้ แต่ก็ยังไม่พูดไม่จา



“คุยกับพี่หน่อยเร็ว”



“...”



“พี่คิดถึง”



“ผมรักฌาณ”



อา...ให้ตายสิ นี่มันแย่เอามากๆ เลย ผมไม่คิดว่าน้องจะพูดคำนี้ออกมา และนั่นทำให้ตั้งรับไม่ถูก ทำอะไรไม่ได้นอกจากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น อยากฝังตัวเขาไว้ในอก เอาเข็มมาร้อยให้แนบติดกันตลอดไปเลยดีมั้ย



“ผมรักฌาณ...”



“พี่ก็รักเรา”



น้องไม่ตอบอะไรกลับมา แต่อ้อมแขนที่กระชับแน่นขึ้นทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับผม



“อยากจูบ...”



จบน้ำเสียงอู้อู้ในอ้อมกอด เจ้าของคำพูดเงยหน้ามามองผม ขยับตัวเข้าใกล้ใบหน้าของผมมากขึ้น พร้อมกับใช้เรียวแขนตวัดรอบคอให้ผมที่กำลังตกใจให้โน้มลงมา



แต่แน่นอน...ยินดีเสียยิ่งกว่า



รสจูบครานี้ไม่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่อยู่ในสนามบิน หากแต่เนิบช้า ผมค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไป ผลัดกันตวัดลิ้นไล้โลมกันอยู่ในโพรงปาก ลัดเลาะช่องฟันเชยชิมน้ำหวาน ตักตวงความสุขให้ได้มากที่สุดราวกับโลกกำลังจะล่มสลาย ผมรั้งตัวน้องให้แนบชิดยิ่งขึ้น ก่อนจะเริ่มเปิดฉากตะโบมจูบอย่างตะกละตะกลาม



เจนนินทร์ไม่ยอมแพ้ เมื่อสองมือรั้งให้ผมโน้มตัวมาหามากกว่าเดิม ตัวของเรายังคงแนบติดกัน และผมก็ไม่สามารถหยุดให้มือตัวเองไม่ลูบไล้ร่างกายคนตรงหน้าได้



แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสของอีกฝ่าย ที่ล้วงเข้ามาในสาบเสื้อของผม เด็กแสบไปหัดเรียนรู้วิธีแบบนี้มาจากไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดระคนสงสัย ทำให้เพิ่มอารมณ์ร้อนสูงขึ้นไปอีก



จนกระทั่งคนน้องเป็นผู้แพ้ ยอมถอนจูบออกมาก่อนเพื่อหอบเอาลมหายใจเข้า แต่ก็ไม่นาน เพราะเขาเข้ามาประกบปากผมทันทีที่ต่อเติมอากาศหายใจได้เพียงพอแล้ว



“เจน...” ผมคำรามเสียงต่ำ รับรู้ว่าพวกเราในตอนนี้กำลังอารมณ์เตลิดอย่างถึงที่สุด และหมายใช้เสียงเตือนให้เขารับรู้



“อือ”



ไม่เพียงแต่จะไม่หยุด แต่เด็กดื้อยังคงขยับกายเข้าชิดกับผม เขย่งตัวมาแนบริมฝีปากนิ่มเข้ากับปากผมไว้แน่น จนผมต้องต้อนคนตัวเล็กกว่าให้เดินไปยังเตียงนอน และผลักเขาให้ล้มลงไปกับฟูกนุ่มอย่างตั้งใจ



“อย่ายั่ว...”



ข่มขู่คนเด็กกว่าอีกครั้ง เจนนินทร์นอนอยู่ใต้ร่าง แววตาสะท้อนใบหน้าของผม ฉายแวววูบไหวเล็กน้อย ผมรู้...เขาคงรู้สึกไม่ต่างกัน อารมณ์ตอนนี้ยากเกินจะควบคุม แต่ผมก็ยังอยากให้เขารู้ตัว



เจนนินทร์อาจจะยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้ และที่สำคัญ...พรุ่งนี้ผมต้องการจะพาเขาไปเที่ยวเสียด้วย



ทว่าจากที่คิดว่าคนน้องจะยอมถอนตัว แต่เด็กแสบกลับตวัดเรียวขาโอบรัดรอบเอวผมไว้ ส่งเสียตาคล้ายกับจะหยอกเย้า ท้าทายให้ผมลงมือจริงจัง



ผมสูดหายใจเข้าอย่างหนัก ข่มตาพยายามบอกกับตัวเองให้อดใจ



ขืนทำตอนนี้ ทริปที่วางไว้คงจะไม่สนุก...



และจบท้ายด้วยการจูบหน้าผากมนนั้นไปทีนึง ก่อนจะผละตัวออกมา



“เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุกไม่ไหว...”



“...”



“เดินทางมาเหนื่อยๆ พักเอาแรงก่อนแล้วกันนะ”



“ฌาณ!”



เจนนินทร์ร้องลั่นเมื่อโดนขัดใจ ท่าทางน่ารักจนผมเผลอยกยิ้มขำ คนตัวเล็กหน้าแดงปื้น เมื่อไม่เห็นผมง้อจึงได้แต่มองผมอย่างคาดโทษ ก่อนตวัดผ้าห่มคลุมตัวเอง หันหน้าไปอีกทาง



เจ้าเด็กน้อยงอนเสียแล้ว



แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมมีเวลาง้อเขาทั้งชีวิต



ในที่สุดคืนนี้ก็มีไออุ่นที่คุ้นเคยในอ้อมกอด ผมรอที่จะได้นอนกอดเจนนินทร์มาตั้งปี ตัวน้องอุ่นและนุ่มเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แถมกลิ่นหอมๆ จากคนตัวเล็กก็เหมือนกำยานทำให้ผมหลับฝันดี ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ซุกซบไปที่หลังคอของเขา และไม่นานเจนนินทร์ก็หันมาพร้อมกับกอดผมคืน



นี่สิที่รอมาตั้งนาน...มีความสุขจัง



ผมไม่ได้หลับสนิทแบบนี้มานานแล้วจริงๆ



เมื่อยามเช้ามาถึง ผิดคาดที่เจนนินทร์ไม่งอนผมต่อแล้ว อุตสาห์คิดมุกง้อ แต่นั่นก็ดี เพราะนั่นหมายถึงเจนนินทร์เริ่มโตขึ้นแล้ว



ผมนั่งบนเตียงมองคนน้องแต่งตัว เมื่อตอนเขาตื่นเรานอนกอดก่ายกันเนิ่นนาน ก่อนผมจะบอกไปว่าวันนี้จะพาชมเมืองไคร์ตเชิร์ต เด็กน้อยพยักหน้า แต่ก็ยังซุกลงกับหน้าอกผมอีกสักพัก จนผมต้องปลุกเขาให้ลุกไปเตรียมตัวอีกรอบ และเด็กดื้อก็ทำตามอย่างว่าง่าย



อ่า...ต้องเปลี่ยนเป็นเด็กดีแล้วสินะ



ไคร์ตเชิร์ตเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศนี้ ทว่าเงียบและสงบ อันที่จริงส่วนใหญ่แทบทุกเมืองในเกาะใต้ก็ล้วนเงียบเช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะอยู่เกาะเหนือกันทั้งนั้น และนั่นเป็นเหตุให้พื้นที่ในเกาะใต้อุดมไปด้วยจำนวนของแกะและอัลปาก้าที่มากกว่าคน



เราเตรียมตัวกันเสร็จตอนสาย ผมเช่ารถมาเพื่อออกทริปนี้โดยเฉพาะ และขับรถพาเขาเที่ยวชมเมือง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง



Hagley Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ผู้คนนิยมมา สวนเขียวอุดมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ผมพาเขาเดินรอบสวน ชื่นชมต้นไม้แปลกตาไปเรื่อยๆ จนมาถึงพิพิธภัณฑ์ Canterbury เด็กน้อยไม่ได้ดูสนใจพิพิธภัณฑ์อะไรเท่าไหร่ แต่เพราะไหนๆ ก็มาไกลถึงขนาดนี้แล้วจึงยอมเข้าไปดูตามคำชวนของผม



ใช้เวลาเดินดูพิพิธภัณฑ์ไม่นานก็ออกมาเดินเล่นที่ถนน Worcester ที่เชื่อมระหว่างพิพิธภัณฑ์นี้กับโบสถ์ของไคร์ตเชิร์ต ระหว่างทางเดินมีร้านรวงต่างๆ รวมถึงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ และอาร์ตแกลอรี่ให้แวะชมอีกนิดหน่อย เหนืออื่นใด สถาปัตยกรรมของที่นี่ก็สวยไม่น้อย มีทั้งสถาปัตยกรรมเก่าและโมเดิร์นผสมกันสลับเรียงราย รวมถึงระหว่างทางมีรถรางวิ่งผ่าน ช่วยเพิ่มให้สถานที่แห่งนี้ดูน่าสนใจมากขึ้น



 และผมก็ไม่รอช้าที่จะหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้เอาไว้



ผมยกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต หลังจากที่บิวเสีย ผมเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่ถ่ายรูปคนอีกแล้ว  เพราะไม่อยากให้เจ็บปวดเมื่อพบเห็น แต่สุดท้ายปณิธานที่เคยตั้งมั่นไว้ก็สูญสลายเมื่อได้เจอรอยยิ้มเล็กๆ ของเจนนินทร์ กว่าจะรู้ตัว มือก็ลั่นชัตเตอร์ไปแล้วหลายต่อหลายรูป และเจนในกล้องผมก็น่ารักยิ่งกว่าอะไร



มันจึงกลายเป็นเรื่องยากที่จะทำตามความต้องการของอดีต



“เจน”



แชะ



“ฌาณ...ไหนเอามาดู”



ผมตั้งใจถ่ายเขาทีเผลอเพราะเฟรมในกล้องที่มีเจนนินทร์กำลังสวย และคงสวยกว่านี้ถ้าคนตรงหน้าหันมา เจนนินทร์ทำท่าจะโวยวาย แต่ก็เปลี่ยนมาชะเง้อดูรูปในกล้องผมแทน



สวยตามคาด



และคนน้องก็คงเห็นด้วยเมื่อผมเห็นรอยยิ้มประดับมุมปาก



เมื่อเดินมาจนถึงโบสถ์ไคร์ตเชิร์ตตามที่ต้องการ ผมก็มองเด็กน้อยวิ่งวนไปทั่ว คงตื่นเต้นที่ได้เห็นโบสถ์ขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว จึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนกับครั้งแรก



ครั้งแรกผมมากับโบนิตา ครั้งสองผมมาคนเดียวเพราะโบเสียไปแล้ว และครั้งนี้ตั้งใจมากับเจนนินทร์ ที่ถ้าหากว่าเขาไม่ได้กลับมาที่นี่ผมก็คงต้องเที่ยวอย่างโดดเดี่ยวปิดฉากความทรงจำ



ผมยกยิ้มกว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า



ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เคียงข้างรอยยิ้มของเจนนินทร์แล้ว...



“ฌาณ ไปไหนต่ออ่ะ”



“หิวยัง”



“...หิว...ลืมไปเลย”



สงสัยว่าตื่นเต้นจนลืมหิว ผมหัวเราะขำในความน่ารักของน้อง และไม่รอช้าที่จะพาเขาไปกินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง



ตอนบ่ายผมพาเขาไป Re Start Mall ให้ช็อปปิ้งดูของสักพัก ที่นี่คล้ายกับตลาดแต่ร้านค้าทำจากตู้คอนเทนเนอร์ ผมได้ยินมาว่าเป็นการพยายามฟื้นเศรษฐกิจของเมือง หลังจากเจอแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จึงสร้างตลาดนี้ขึ้นมาเหมือนกับเป็นการรีสตาร์ทใหม่เช่นนี้ เจนนินทร์เดินไปทั่วจนหนำใจ อากาศหนาวทำให้น้องมาซุกตัวผมบ่อยๆ เขาซื้อของอยู่ชิ้นสองชิ้นคล้ายเป็นที่ระลึก และหลังจากนั้นผมก็ขับรถพาเขากลับที่พัก



เมื่อถึงห้อง ผมถามน้องว่ามีแผนจะไปไหนมั้ย แต่สิ่งที่ผมได้คือการทำหน้าเหวอของเขาจนแอบหลุดขำ



“...ผมคิดว่าฌาณมีแผนเที่ยวซะอีก”



“ก็มี...แต่อยากรู้ไงว่าเจนมีมั้ย”



“ไม่อ่ะ...ถ้ามานี่แล้วไม่เจอฌาณก็คงลอยไปลอยมา...แต่ผมจองที่พักไว้เหมือนกันนะ”



น้องบอก ส่งเสียงงึมงำคล้ายบ่นกับตัวเองมากกว่า แต่เน้นเสียงในประโยคสุดท้าย ราวกับว่าต้องการบอกว่าเขาก็เตรียมตัวมาเหมือนกัน ถึงจะเล็กน้อยก็เถอะ ผมยิ้มขำ เจนนินทร์ยังคงเป็นเจนนินทร์ เรื่องการใช้ชีวิตห่วยยิ่งกว่าแมวจรจัด ถึงจะเริ่มมีพัฒนาการนิดหน่อยก็เถอะ



ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเขา พร้อมเอ่ยบอก



“พรุ่งนี้จะพาไป Arthur’s pass”



“ฌาณไปที่ไหนผมก็ไปทั้งนั้นแหละ”



ประโยคเหมือนโดนจีบ...แต่พอจ้องหน้าน้องดูดีๆ แล้วถึงรู้ว่าเจนนินทร์คงไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เขาคงหมายตามที่พูดนั่นแหละ



“ฌาณยิ้มอะไร”



ผมไม่ตอบ ขี้เกียจอธิบายให้คนน่ารักฟัง เลยก้มไปจูบหน้าผากเขาให้ยุติบทสนทนาแทน



คืนนั้นผมนอนกอดเขา โอบกอดร่างบางให้จมลงไปในอกตัวเอง สูดดมกลิ่นกายของคนในอ้อมแขนแทนกำยาน หอม สุขสมเคลิบเคลิ้มจนกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่าเจนนินทร์กลับขยับตัวยุกยิกอย่างน่าสงสัย



“เป็นอะไรหืม”



“ฌาณ...”



“นอนไม่หลับเหรอ”



“ผม...เปล่า”



“...”



ผมไม่ตอบน้อง แต่ลูบหัวเขาแทน เจนเงียบไปไม่กี่อึดใจก็เอ่ยออกมา ทำเอาผมแทบสำลัก



“ผมอยากกอดฌาณ”



“...ก็กอดอยู่นี่” ผมว่า เบี่ยงเบนประเด็น แม้จะเข้าใจคำว่ากอดของน้องก็ตาม



“ไม่ใช่กอดแบบนี้” และแน่นอน เจนนินทร์ไม่เคยพูดอ้อมๆ คนตัวเล็กขยับตัวยุกยิกในอ้อมกอดจนผมต้องก้มไปมองเขา สบตากับเจนนินทร์ที่เงยหน้ามองผมก่อนอยู่แล้ว ใบหน้าหวานช้อนตามองของน้องทำให้ใจผมสั่นจนแทบกระดอนออกมา



“ฌาณไม่อยากกอดผมเหรอ...”



อย่ายั่วให้มันมากนัก



ผมกัดปากตัวเอง ข่มใจไม่ให้ทำตามสัญชาตญาณดิบที่ตอนนี้พุ่งขึ้นสูงจนแทบสิ้นสติ เสียงหวานๆ ตากลมๆ ช้อนหน้าอ้อนมองกันแบบนี้ ผมต้องรวบรวมสติทั้งหมด และคิดว่าเป็นการตั้งสติมากที่สุดในชีวิตแล้วในการอดกลั้นใจเช่นนี้



“ฌาณ...”



ยังอีก นอกจากจะเสียงอ้อนๆ แล้วยังจะขยับตัวเอาสะโพกมาเสียดสีใส่กันให้เตลิดอีก



“นอนเถอะ”



“ฌาณไม่อยากกอดผมเหรอ ไม่เจอกันตั้งปีนึงเลยนะ”



คราวนี้ไม่ว่าเปล่า คนตัวเล็กตวัดตัวมาขึ้นคร่อมผม เป็นเด็กใจร้อนอะไรขนาดนี้ ผมจ้องมองน้องในความมืด ดวงตากลมฉายแววประกายไม่พอใจ ริมฝีปากเล็กๆ นั่นเริ่มเบะปากที่โดนขัดใจจนผมลอบยกยิ้ม



“อยากสิ...”



“งั้น...”



“แต่เดี๋ยวเราไม่สบาย นอนเถอะ จะพาไปเที่ยวอีกตั้งหลายที่”



ผมเฉลยความจริง ใครบ้างที่จะไม่อยากกอดคนรักที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน ผมข่มใจตัวเองตั้งหลายครั้งไม่ให้จับน้องกดลงเตียงแล้วฟัดให้จมเขี้ยว เสียแต่อย่างที่บอกไป...ผมวางแผนโร้ดทริปไว้แล้ว และจองที่พักแต่ละเมืองเรียบร้อย กลัวว่าถ้าทำตามใจตัวเองแล้วแผนเที่ยวจะล่มเอา



“เจน!”



เด็กดื้อไม่ยอมแพ้ เมื่อเขาซุกตัวมากอดผม ก่อนงับเข้าที่ซอกคอ ผมตวัดขารัดตัวเขา วาดมือโอบล้อมร่างคนตัวเล็กก่อนพลิกตัวให้เด็กน้อยมานอนข้างตัว ล็อคเขาไว้ไม่ให้ซนอีก



“ผมอยากกอดฌาณอ่ะ”



“ก็กอดอยู่นี่ไง”



“ฌาณ...ฌาณ”



“ชู่ว ไม่ดื้อนะ เดี๋ยวไปเที่ยวไม่ไหวหรอก”



“ฌาณ ไม่รักผมแล้วเหรอ”



เจนนินทร์ยังคงเป็นเจนนินทร์ ตีความอะไรไม่ค่อยเป็นเหมือนเดิม และดูท่าจะขี้น้อยใจมากขึ้นด้วย ผมกดจูบลงบนหน้าผากของน้อง ยอมแพ้ต่อเสียงอ้อนๆ หวานๆ อย่างจนใจ



“...รัก”



“ถ้างั้น...”



“พี่ช่วยแค่มือนะ”



ถึงยังไงก็ไม่ยอมตามใจเขาหรอก แม้สุดท้ายตัวเองแทบจะทนไม่ไหวแล้วกับเสียงครางหวานๆ กับร่างขาวๆ ของน้องก็ตาม แต่เมื่อพาคนน้องไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ ผมก็พอใจแค่นั้นแล้วจริงๆ



Arthur’s pass ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดของที่นี่ ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและทุ่งหญ้า วิวสวยสุดลูกหูลูกตา ซ้ำในหน้าหนาวยังมีหมอกจางๆ ประดับทำให้ดูน่าค้นหาอีกด้วย ผมขับรถมาถึงกลางทางก็แวะจอดให้เจนนินทร์ลงไปรับบรรยากาศและถ่ายรูปกัน น้องดูตื่นเต้นกับวิวธรรมชาติ แต่พอหันมาเจอผมก็ทำหน้าบู้



น่าหยิก



เจนนินทร์ยังคงงอนที่ผมไม่ทำตามใจเขาเมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้งอนจริงจังถึงขั้นไม่ยอมพูดด้วย แค่ชอบมาทำหน้าตาประหลาดน่ามันเขี้ยวใส่แบบนี้เฉยๆ เท่านั้น



ในระหว่างที่คนน้องกำลังเดินลัดเลาะไปตามทาง ผมลอบตามหลังเขาเงียบๆ เจนนินทร์ก้มลงดูน้ำค้างบนยอดหญ้าอย่างสนอกสนใจ และลุกขึ้นมาใหม่เพื่อเดินไปยังจุดอื่นๆ



เส้นทางนี้รถวิ่งผ่านไม่มากเท่าไหร่นัก จวบจนรถคันล่าสุดวิ่งผ่านพวกเราไป  ผมที่เดินตามน้องทันก็จับเขาหันมาสบตา เพื่อประกบริมฝีปากตัวเองเข้ากับกลีบดอกไม้นุ่ม ละเลียดเล็มรสชาติของจุมพิตจนพึงพอใจถึงได้ปล่อยน้องให้เป็นอิสระ



เจนนินทร์หน้าแดงเผือก และผมคิดว่าคงโดนเขาดุไม่ก็โวยวายใส่แน่ๆ



ทว่าคนหน้าแดงกลับเอื้อมตัวมาจูบผมแทนอย่างไม่คาดคิด



อันที่จริง การง้อเด็กก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนี่นา...







❄❄❄❄❄❄



ทริปฮันนีมูนน~~

ยังมีตอนพิเศษอีกสองตอนนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 08-04-2018 22:43:53
เจ้าลูกแกะขี้ยั่วววววววววววว หมาป่าอย่างฌานใจแข็งจริงๆ5555555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 08-04-2018 22:51:23
เจนนินทร์เด็กขี้ยั่วววววว  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-04-2018 23:05:58
เอาให้เต็มที่ไปเบยนะเจนนินทร์
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-04-2018 00:17:11
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-04-2018 00:28:23
ไม่เบื่อเลยค่ะ อยากให้มีอีกสิบตอน

เจนนินทร์น่ารัก พัฒนามาก ทำไมช่างยั่วแล้วอ้อนเบอร์ใหญ่เบอร์โตแบบนี้
ฌาณถึงขั้นอยากเย็บติดเลยหรอ 5555 คนบ้าอะไร หลงน้องหนักไปอีก
ถ้าตบะหลุดเมื่อไหร่ ทริปล่มก็คงยอมล่ะสิ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 1 |- 8.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 10-04-2018 02:14:23
รอหมาป่าตบะแตก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 2 |- 11.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 11-04-2018 23:22:00
True 2: You own me



ถัดจากเมืองไคร์ตเชิร์ต ผมก็ขับรถลงใต้มาเรื่อยๆ ผ่านเมือง Oamaru แวะดูสถานีรถไฟและเมืองที่นั่นเล็กน้อย ก่อนตรงไปยังเมือง Dunedin ระหว่างทางผมตั้งใจขับออกนอกเส้นทางของจีพีเอสนิดหน่อย เพื่อพาน้องมาแวะดูทะเลที่ไม่มีใครรู้จัก อยู่ติดกับบ้านใครสักคน และมีฟาร์มอัลปาก้าอยู่ด้วย เจนนินทร์ดูสนใจเจ้าตัวคอยาวหน้าเด๋อนี่ไม่น้อย เมื่อน้องพยายามถ่ายรูปมันใหญ่แถมยังมาขอให้ผมถ่ายรูปคู่กับเจ้าตัวนี้อีกต่างหาก



ผมไม่ได้อิจฉาอัลปาก้าหรอก ถ้ามันทำให้เจนนินทร์มีความสุขได้ผมก็จะเป็นมิตรกับมันแล้วกัน



ระหว่างทางก่อนถึงเมือง Dunedin ผมแวะจอดรถเพื่อพาเจนไปดูหินรูปร่างประหลาดที่หาด Koelohe ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง Moeraki กับ Humpden ก้อนหินทรงกลมราวกับปฏิมากรรมที่มีคนปั้นขึ้นมาวางเรียงรายอยู่บริเวณชายหาด เสียแต่มันเป็นก้อนหินที่เกิดตามธรรมชาติ



มีคนเรียกพวกมันว่าไข่ไดโนเสาร์ ด้วยเพราะขนาดและรูปร่างทำให้คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วมันคือก้อนหินที่เกิดการกัดกร่อนของคลื่นลมจนกลมดิ๊ก



และเจ้าก้อนหินแปลกๆ นี่ก็ดึงดูดความสนใจของคนน้องได้ไม่น้อย เมื่อเจนนินทร์วิ่งสำรวจหาดนี้ไปทั่ว ก้มดูโน่น มองดูนี่ ปีนป่ายจนผมกลัวว่าน้องจะลื่นล้มเข้า แต่ก็ยังตามถ่ายรูปของคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ



รอยยิ้มของเจนนินทร์ควรค่าแก่การเก็บไว้เป็นภาพนิ่งในความทรงจำ



และรอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยตลอดทั้งวัน...



เจนนินทร์คนเก่งหลับตลอดทางหลังจากเล่นสนุกจนเหนื่อย จนกระทั่งเรามาถึงเมือง Dunedin ช่วงค่ำ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่ดึกมากนักแต่บ้านเมืองและร้านรวงก็ปิดไฟมืดสนิทแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองน่ารัก บ้านหลังเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ตามเนินเขา งดงามราวกับเทพนิยาย ผมจองที่พักไว้ที่จะทำให้เห็นวิวพวกนี้ เสียแต่มืดแล้วจึงมองไม่เห็นอะไรเลย จึงได้แต่หวังว่าตอนเช้าเจนนินทร์จะตื่นมาเจอกับสิ่งที่ผมชอบเหมือนกัน



หลังจากที่กินข้าวในที่พักและอาบน้ำเตรียมเข้านอนเสร็จสรรพ ผมเหนื่อยจากการขับรถทั้งวัน จนหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับทันที แต่ว่าคนน้องกลับเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้ โถมมาทับตัวผมเต็มแรง



“เจน...ทำอะไร”



“กอดกัน”



“...”



“นะ ฌาณ...”



“พี่ง่วง...เหนื่อยแล้ว วันนี้ขับรถทั้งวันเลยครับ นอนกันนะ”



ไม่ว่าเปล่า ผมขยับตัว เอื้อมมือไปลูบหัวของน้องพร้อมกับกดจูบลงที่หน้าผากมน เจนนินทร์พองลมที่แก้มคล้ายไม่พอใจที่ผมปฏิเสธเขาอีกแล้ว แต่ก็ยอมลงมานอนข้างตัวผมแต่โดยดี



เด็กดีของพี่ฌาณ



ผมตื่นก่อนเจนนินทร์ด้วยความเคยชินที่ต้องตื่นเช้าเป็นประจำ และต่อให้ออกมาเที่ยวโร้ดทริปแต่ผมก็ยังคงลงมือทำอาหารเองบางมื้อ เมื่อคืนก่อนจะถึงที่พักผมแวะซื้อของสดนิดหน่อย เพื่อมาทำข้าวเช้าให้เด็กดี ที่พักที่จองไม่ได้เป็นโรงแรมหรู จึงไม่มีข้าวเช้าให้ เป็นเพียงบ้านพักเรียบๆ เท่านั้น แต่เพราะที่ตั้งของมันอยู่ใกล้กับวิวสวยๆ ทำให้ผมเลือกที่นี่ และคิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิด เมื่อได้ยินเสียงใสเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล น้องคงตื่นแล้ว



“ฌาณ! ฌาณ! มาดูนี่สิ สวยอ่ะ โคตรสวยเลย”



เจ้าตัวดีวิ่งมาทางผม พยายามดึงให้ผมไปที่หน้าต่างในห้องนอน แน่นอนว่าผมเคยเห็นวิวพวกนี้แล้ว แต่มันสวยขึ้นเมื่อได้มองกับคนพิเศษ



“เจนชอบก็ดีแล้ว”



“สวยอ่ะ เหมือนหลุดมาจากนิทานเลย”



น้องว่า สายตาสดใสเป็นประกายจ้องไปยังภาพตรงหน้าที่ปรากฏเป็นบ้านหลังเล็กๆ วางเรียงรายสลับกันอยู่บนเนินเขาสีเขียวขจี ซ้ำยังมีหมอกลงจางๆ ทำให้ภาพตรงหน้าดูฟุ้งเหมือนฝัน เหมือนในนิทานอย่างที่น้องว่าจริงๆ นั่นแหละ



“ฌาณ ผมออกไปดูได้มั้ย”



“ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าวเช้าก่อน”



และเด็กดีของผมก็ทำตามอย่างไม่รอช้า น้องฟาดข้าวเช้าเร็วกว่าปกติและรีบวิ่งออกไปทันทีที่ข้าวหมดจาน



“เจน ใส่เสื้อหนาๆ หน่อย” ผมร้องเอ็ด เดินตามคนน้องออกไปพร้อมหยิบโค้ทสีน้ำตาลของตัวเองติดมือ ไม่ลืมหยิบโค้ทและผ้าพันคอของเจนนินทร์ออกมาด้วย จะรีบอะไรขนาดนั้น



“บรือออ ฌาณ หนาววว”



และดังคาด น้องวิ่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รีบวิ่งกลับมาซุกผม ผมแย้มยิ้มให้กับความไร้เดียงสานั้น เอื้อมมือใส่เสื้อโค้ทให้น้องดีๆ ก่อนพาเขาออกไปเดินชมวิวด้วยกัน



อากาศยามเช้าของเมืองดูเนดินหนาวยิ่งกว่าเกาะเหนือ มวลอากาศเย็นตัวเลขหลักเดียวเฉียดศูนย์องศาปกคลุมจนมือแทบแข็ง แต่กลับอุ่นไปทั้งหัวใจเมื่อมีคนข้างๆ อยู่ด้วยกันตอนนี้



ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจนนินทร์ไม่ยอมกลับมาแล้วผมจะเป็นยังไง



คงนอนแข็งตายเพราะช้ำรักอยู่ตรงนี้ล่ะมั้ง



เจนกอดแขนผมแน่น ดูจากสภาพของคนขี้หนาวแล้วเสื้อโค้ทและฮีทเทคอุ่นๆ คงไม่ช่วยบรรเทาความหนาวให้เขาเท่าไหร่ เราเดินเล่นรอบที่พักอยู่พักนึงก็พากันเช็คเอาท์ขับรถออกไป ผมพาน้องไปเที่ยวในเมือง มีสถานีรถไฟสวยๆ ให้เขาได้ถ่ายรูป รวมถึงพาไปมหาลัย Otago ที่ขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย



ตัวมหาลัยเป็นสถาปัตยกรรมสวยงาม ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เงียบสงบ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งก็ว่าได้



เจนนินทร์บอกว่าที่นี่สวยมากจริงๆ แต่ถ้าเขาต้องมาเรียนที่นี่คงเหงาตายแน่ๆ เมืองที่เงียบสงบขนาดนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า นานๆ ทีจะเจอกลุ่มคน น้องบอกว่าถ้าได้อยู่ที่นี่นานๆ เข้าคงพูดภาษาแกะได้



ผมขำในความคิดของคนช่างคิด



หลังจากนั้นผมก็พาเขาไปเมือง Bluff  ที่ซึ่งเป็นเมืองท่าที่อยู่ใต้สุดของประเทศนิวซีแลนด์ ปลายทางใต้สุดของทวีป หลังจากตรงนี้ไปก็จะเป็นขั้วโลกใต้แล้ว อันที่จริงยังมีเกาะ Stewart ที่เป็นเกาะของนิวซีแลนด์ อยู่ใต้ลงไปอีก แต่ว่าต้องนั่งเรือข้าม การเดินทางค่อนข้างลำบาก ผมจึงตัดสินใจไม่ไป เอาแค่สุดทางของผืนดินก็พอ



ลมของขอบขั้วโลกใต้หนาวจับใจจนเจนนินทร์ที่สำรวจพื้นที่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลับมาซุกตัวเกาะผมแน่น ความน่ารักของเขาทำให้ผมยิ้มไม่หุบตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ผมพาเจนนินทร์ไปถ่ายรูปกับป้ายที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ เป็นป้ายบอกทางที่มีความครีเอทก็ตรงที่แต่ละป้ายชี้บอกทางไปเมืองหลวงของแต่ละประเทศ เช่นชี้ไปลอนดอน 18958 km ไปซิดนีย์ 2000 km ไปนิวยอร์ก 15008 km และอีกหลายๆ ที่ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่และถือเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมเลย



บ่งบอกว่าที่แห่งนี้นี่แหละ คือจุดใต้สุดของโลกแล้ว



จบจากตรงนี้ ผมพาน้องไปพักดื่มกาแฟสตาร์บัคที่เมือง Invercagill เป็นอีกซิกเนเจอร์ว่าคือสตาร์บัคที่อยู่ใต้ที่สุดของโลก ผมปล่อยให้คนน้องเช็คอิน ถ่ายรูปอวดไจกับไนล์ไปอย่างมีความสุข



เมื่อพอใจแล้วก็พากันกลับที่พักที่เมือง Invercagill



อีกสองวันจะจบโร้ดทริป และเราจะสิ้นสุดทริปนี้ที่เมือง Queenstown อีกเมืองที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน



และในคืนนี้น้องก็ยังคงขยับตัวยุกยิก มาพร้อมคำถามเดิม



“ฌาณไม่กอดผมเหรอ”



และผมก็ตอบด้วยประโยคเดิม



“กอดอยู่นี่ไง”



“ฌาณ...ไม่คิดถึงผมเหรอ”



“คิดถึงสิ”



“ไม่อยากกอดเหรอ”



“อยากสิ”



“ทำไมไม่ทำ”



“...ไม่อยากให้เราป่วย”



“ผมไม่ป่วย”



“ไม่เอาหรอก ไม่อยากเสี่ยง เดี๋ยวเจนเที่ยวไม่สนุกนะ ควีนส์ทาวน์สวยมาก ถ้าป่วยขึ้นมาคงเที่ยวไม่สนุก”



“แต่ผมอยากกอดฌาณ”



งอแง



เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่รู้เหรอว่าคนเค้าอดทนแค่ไหนไม่ให้จับกดลงเตียงแล้วฟัดให้หายมันเขี้ยว แต่เพราะอย่างที่พูดจริงๆ เจนนินทร์ป่วยง่าย ยิ่งอากาศหนาวๆ แบบนี้แล้วด้วย ลำพังแค่ดูแลเขาไม่ให้ป่วยก็ยากแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าผมกอดน้องขึ้นมาจริงๆ น้องคงต้องนอนซม ผมไม่อยากให้น้องนอนเป็นผักในขณะที่มีเมืองสวยๆ รอให้เที่ยวชมอย่างนี้



วันต่อมาเจนนินทร์หน้าบูดเป็นตูด เมื่อผมไม่ยอมทำตามใจเขา เด็กน้อยนั่งหน้างอไปตลอดทางที่จะไปเมืองควีนส์ทาวน์ แต่พอระหว่างทางผมแวะพักรถที่ริมทะเลสาบ และวิวตรงนั้นก็สวยงามมากพอที่จะทำให้เจนนินทร์หายงอนได้ ภาพทะเลสาบไกลสุดลูกหูลูกตา รวมถึงบรรยากาศเงียบสงบทำให้เขาอารมณ์ดี และแน่นอนว่าผมก็อารมณ์ดีตามน้องไปอย่างช่วยไม่ได้



ระยะทางไปควีนส์ทาวน์ค่อนข้างไกล กว่าเราจะถึงเมืองควีนส์ทาวน์ก็เย็นแล้ว ครานี้ผมจองที่พักที่ควีนส์ทาวน์ติดแม่น้ำที่มาจากทะเลสาบ ที่พักเป็นบ้านพักส่วนตัวมีสามชั้น และวิวจากที่นี่เมื่อมองออกไปถ้าตีเป็นราคาคงถึงพันล้าน ที่พักอยู่ติดขอบทะเลสาบ มองออกไปฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านคนหลังเล็กๆ ปลูกกันเรียงรายริมทะเลสาบ ซ่อนตัวตามเนินเขา คล้ายกับเมือง Dunedin แต่มีแม่น้ำคั่นไว้ เนินเขาสีเขียว ท้องฟ้าโล่งและเงาสะท้อนภาพจากผืนน้ำ เนรมิตให้สถานที่แห่งนี้เหมือนอยู่ในโลกของเทพนิยายอีกครั้ง



เจนนินทร์ตื่นตาตื่นใจกับภาพวิวตรงหน้ามากจนไม่เป็นอันทำอะไร



ผมรู้ว่าน้องคงท่องเที่ยวมาหลายที่ นอนพักโรงแรมหรู รีสอร์ทไฮคลาสหลายแห่ง แต่เชื่อว่าไม่มีที่ไหนที่เหมือนกับที่นี่หรอก และก็เป็นตามคาด เมื่อเขาดูตื่นตากับวิวที่ผมสรรหามาให้



“ฌาณ...สวย สวยมากๆๆ เลย”



“ชอบไหมครับ”



“ชอบ ชอบที่สุดเลย สวยมากอ่ะ สวยจนไม่รู้จะพูดยังไง ขอบคุณนะครับที่พาเจนมาที่นี่”



“...”



“ฮืออ สวยไปหมดเลย ผมถ่ายรูปยังไงก็ออกมาไม่สวยเท่าตาเห็นอ่ะ”



“เจน...”



“หือ”



“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”



“สวย...สวยไปหมดเลย?”



“ก่อนหน้านั้น”



“ก็ขอบคุณ...ที่พาเจน...”



เหมือนน้องจะรู้ตัวแล้วว่าหลุดแทนตัวเองด้วยชื่อเล่น ผมยกยิ้มล้อคนน้อง



“แทนตัวเองว่าเจนบ่อยๆ นะ”



“ทำไมอ่ะ”



“พี่ชอบ”



“...”



คนน้องหน้าแดงกับคำสารภาพของผมอย่างน่ารัก โอย จะน่ารักไปถึงไหนกันนะคนเรา



“ขอบคุณเหมือนกันนะครับที่ยอมให้พี่พามาที่นี่”



“...”



“ไม่งั้นพี่ต้องเหงาตายแน่ๆ เลย”



จบคำหวาน ผมก้มลงไปลิ้มชิมกลีบปากนุ่ม ละเลียดเลียริมฝีปากที่หวานยิ่งกว่าน้ำหวานจากดอกไม้ใดๆ ลุกล้ำเข้าไปในโพรงปาก หยอกล้อเล่นกับปลายลิ้นเล็ก จุมพิตแทนคำขอบคุณและความรักที่ผมมีต่อเขา เนิ่นนานจนแทบขาดใจ



คืนนั้น เจนนินทร์ไม่งอแงขออ้อมกอดของผมเหมือนอย่างเคย



ช่วงสาย ผมพาเขาไปเที่ยวที่  Arrow town อีกเมืองที่สวยเหมือนเทพนิยายและอยู่ใกล้กับควีนส์ทาวน์ ทำให้เดินทางไม่นาน ตัวเมืองมีบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เต็มไปหมด ส่วนใหญ่มักจะขายของที่ระลึกกัน เจนเดินซื้อของฝากในเมืองนี้ไม่น้อย และผมก็ไม่ไปขัดความสุขของเขา ระหว่างทางที่กำลังเดินเล่นในเมือง หิมะก็ตก



เป็นที่น่าตกใจเล็กน้อย แม้จะเข้าหน้าหนาวก็จริง แต่สี่วันที่ผ่านมานั้นไม่มีหิมะเลย วันนี้เป็นวันแรกที่หิมะตกตั้งแต่เราเดินทางมาก เจนนินทร์ไม่ตื่นเต้นกับหิมะ คงเพราะเขาคงเห็นอะไรแบบนี้มาหลายที่แล้ว แต่ที่ดูจะตื่นเต้นคงเป็นเพราะวิวของที่นี่เริ่มเปลี่ยนไป หมอกลงปกคลุม หิมะโรยตัว งดงามจนหาคำบรรยายไม่ได้อีกครั้ง



ผมพาน้องขึ้นรถก่อนที่หิมะจะตกหนักไปมากกว่านี้ และทันทีที่เราออกนอกเมืองก็ไม่เจอหิมะแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ถ้าหิมะตกหนักคงเดินทางลำบากแน่ๆ คราวนี้ผมขับรถขึ้นเขา เพื่อไปยังถนน Crown range road ที่เป็นถนนที่หักโค้งได้โหดที่สุดก็ว่าได้



ทางโค้งหักศอกหลายมุมจนเจนบ่นว่าเมารถ ผมขับรถไต่เขาไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านมันมาได้กลายเป็นทางตรงราบ ระหว่างทางมีทั้งทุ่งหญ้า เนินเขา ภูเขา และซอกเขา วิวระหว่างทางเปลี่ยนไปตลอดทำให้ไม่น่าเบื่อเมื่อมีอะไรใหม่ๆ สวยงามให้ดู จนถึงจุดชมวิวระหว่างเขา ผมจอดรถเพื่อแวะถ่ายรูป



และหนีไม่พ้นถ่ายรูปคนข้างตัว



ภาพตรงหน้าเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ วางสลับซับซ้อน ย้อมไปด้วยสีน้ำตาลของทุ่งหญ้า ความสวยงามตระการตาอีกแบบทำให้เจนนินทร์ตื่นเต้นอีกครั้ง เจ้าแกะน้อยวิ่งโร่ลงไปยังผืนหญ้า และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะลั่นชัตเตอร์เก็บเขาไว้เป็นความทรงจำ



แกะน้อยวิ่งเล่นได้ไม่เท่าไหร่ก็รีบปีนขึ้นมาซุกกับผม ที่นี่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส บวกกับลมบนภูเขาสูงทำให้หนาวสั่นกว่าเคย เจนนินทร์กอดผมแน่นเพื่อเติมความอุ่น ผมยินดีโอบกอดเขาไว้ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว และเมื่อคนน้องพอใจ ผมก็ปล่อยให้เจนนินทร์เป็นอิสระ



ก่อนรั้งให้เขามาอยู่ข้างตัว



ผมไม่ค่อยถนัดการถ่ายรูปเซลฟี่เท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมยกกล้องขึ้นมา หันจอให้กล้องกลับด้าน เล็งมาที่ใบหน้าของเรา ก่อนลั่นชัตเตอร์ดังแชะ และเมื่อเปิดดูรูปก็เป็นที่น่าพอใจไม่น้อย เจนนินทร์เองก็ดูตั้งตัวทันถึงได้ยิ้มแฉ่งให้กล้องขนาดนี้



“เอาอีกรูปนะฌาณ”



ผมทำตามคำสั่ง และรูปคู่ของเราอีกหลายๆ รูปก็ได้บันทึกไว้เป็นความทรงจำ



ระหว่างทางขับรถกลับไปยังเมืองควีนส์ทาวน์ น้องไล่ส่งรูปจากกล้องผมเข้ามือถือของเขา แกะน้อยบ่นบางรูปเมื่อเห็นว่าผมถ่ายเขาทีเผลอ เจนบอกว่าหน้าตาตลก แต่ผมว่าน่ารักมากกว่า



และไม่ทันคาดคิด เจนนินทร์ก็ยกกล้องของผมขึ้นมา ลั่นชัตเตอร์มาที่ผมขณะขับรถ



“ตากล้องไม่มีรูปเดี่ยวเท่ๆ เลย เดี๋ยวผมถ่ายให้เอง”



เขาว่า ลั่นวาจาไว้อย่างมั่นเหมาะ จนผมหลุดยิ้ม



อันที่จริง...ก็ยิ้มมาตลอดทางอยู่แล้วนี่นา



กลับเข้าเมืองก็เกือบเย็น แต่ก็ประจวบเหมาะพอดี เพราะในเมืองจะคึกคักก็ต้องตอนเย็นๆ หน่อย แสงสีในเมืองจะปรากฏสวยงาม เหมาะกับการเดินชมเมือง



เจนนินทร์เที่ยววิ่งสำรวจโน่นนี่อีกแล้ว ผมเดินเร็วๆ ตามเขาไป เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับร้านรวงหลายอย่าง ทั้งร้านขนมหวาน ร้านขายตุ๊กตา ตึกที่เปิดให้เล่นบ้านผีสิง ร้านขายคุกกี้ชื่อดังของเมือง  และหลายต่อหลายอย่าง แสงสีส้มที่ประดับตามถนนยิ่งขับให้เมืองควีนส์ทาวน์มีสเน่ห์มากกว่าเดิม ราวกับต้องมนต์สะกด ดั่งเมืองที่อยู่บนสรวงสวรรค์ สงบแต่ไม่เงียบ คล้ายจะเหงาแต่ครึกครื้นด้วยเสียงดนตรีจากงานเทศกาล ทุกอย่างสวยงามและลงตัวไปหมด



ผมไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก แต่มากี่ครั้งก็ประทับใจทุกครั้ง เป็นความสวยงามที่ที่ไหนก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ เป็นความสวยงามที่ต่อให้มีเลนส์กล้องราคาแพงแค่ไหนก็เก็บภาพได้ไม่ชัดเจนเท่าตาเห็น เป็นความสวยงามที่อยากได้นักกวีมาร่ายบทกลอนให้ฟัง เพราะลำพังแล้วคนธรรมดาอย่างผมไม่สามารถหาคำมาพรรณนาความงามของมันได้เลย



ผมพาเจนทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และเมื่อเดินเล่นจนทั่วแล้ว เราก็พากันกลับที่พัก



แน่นอนว่าวิวของที่พักตอนกลางคืนก็สวยงามไม่แพ้กัน แสงไฟที่สะท้อนผืนน้ำงดงามเกินคำบรรยาย บนท้องฟ้าปรากฏดวงดาวพร่างพรายมากมาย เสียแต่อากาศที่หนาวจับใจทำให้เราดูดาวได้ไม่นานนัก



ผมชงโกโก้อุ่นๆ ให้เจนนินทร์ก่อนเข้านอน



พรุ่งนี้จะถึงวันกลับโอ๊คแลนด์ คนน้องบ่นอุบเมื่อต้องจากสถานที่แสนสวยเช่นนี้ไป



“อยากอยู่ต่ออีกสักอาทิตย์นึงจังเลยฌาณ มันสวยไปหมดจนผมอยากอยู่ที่นี่นานๆ”



“...กลับโอ๊คแลนด์ไม่ดีเหรอ จะได้กลับบ้านของเราไง”



“...”



น้องไม่ตอบ แต่ก้มลงจิบโกโก้ร้อน เรานั่งซุกกันอยู่บนโซฟา มองวิวนอกหน้าต่างที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ จนเจนนินทร์พูดตัดความเงียบออกมา



“ที่นี่สวยมาก แต่ผมก็คิดถึงโอ๊คแลนด์เหมือนกัน”



“ใช่ไหมล่ะ...”



“แต่มันไม่สำคัญเลยถ้าไม่มีฌาณ”



“...”



“ถ้าไม่มีฌาณที่ไหนก็ไม่สวย ที่ไหนก็ไม่น่าอยู่”



โดนน้องจีบอีกแล้ว



“...พี่ก็เหมือนกัน”



ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้ม ก้มลงจุมพิตริมฝีปากนุ่ม กลีบดอกไม้ครานี้มีกลิ่นของโกโก้หวาน เช่นเดียวกับโพรงปากเมื่อได้เชยชิม รสชาติโกโก้เจือจางปะปนอยู่ไปทั่ว ทำให้อยากจะกลืนกินเขาลงไปทั้งตัว ดูดดึงริมฝีปากบางค่อยๆ เป็นไปอย่างเนิบช้า  ไออุ่นจากอีกฝ่ายเริ่มร้อนมากขึ้นท่ามกลางอากาศหนาว พลันเปลี่ยนให้จุมพิตแสนหวานครั้งนี้รุ่มร้อนมากขึ้น เมื่อผมเร่งรุกจังหวะรสจูบให้เร็วกว่าทุกที ราวกับคนตะกละตะกราม ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ



รสชาติแสนหวานของเจนนินทร์ทำให้ผมคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่ได้สัมผัส ที่ผ่านมาผมใช้ความอดทนอย่างสูงที่จะไม่กินมูมมาม แต่เมื่อถึงวันนี้ ทุกอย่างได้ปลดล็อกตามที่ต้องการแล้ว



ทริปฮันนีมูนที่ผมสร้างขึ้น มีหรือที่อยากจะปล่อยน้องไปง่ายๆ



แค่ที่ผ่านมาอยากให้เด็กดีได้เที่ยวเล่นให้สมใจก่อนก็เท่านั้น ถ้าเขาป่วยระหว่างทางจะแย่เอา วิวทิวทัศน์และบรรยากาศสวยงามจึงเป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟ เมื่อเมนคอร์สกำลังจะเริ่มนับจากนี้



“ฌา...ณ?”



“ไม่อยากกอดพี่แล้วหรือครับ”



“อยาก แต่...ตอนนี้? ตรงนี้อ่ะนะ”



“อืม...กอดกันนะ”



ไม่ว่าเปล่า ผมก้มลงฉกชิมเนื้อหวานที่ซอกคออุ่น เจนนินทร์สะดุ้งเฮือก



“ต...แต่ที่ผ่านมาฌาณ...”



“ยอมอดทนจนถึงวันนี้...” ผมเฉลย คลอเคลียหยอกเย้าอยู่แถวต้นคอขาวไม่ห่าง ไม่ได้ไม่อยากทำ ไม่เคยบอกว่าไม่อยากทำ เพียงแต่รู้ว่าตัวเองคงไม่ยั้งมือแน่ๆ หากได้ลงมือกอดน้องจริงๆ ผมไม่อยากให้เจนนินทร์ป่วยระหว่างทริปอย่างที่เคยบอกน้องไว้จริงๆ ถึงได้ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานในวันสุดท้าย



“ไม่อยากให้เจนป่วย”



“อ๊ะ...”



“เพราะพี่คงจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ”



“ฌาณ...”



“...อย่าร้องห้ามแล้วกันนะ เด็กดี”



ในเมื่อร้องขอมาตลอดทริป ตอนนี้ตาผมเอาจริงแล้ว หวังว่าเด็กขี้ยั่วคงจะไม่เปลี่ยนใจ และเป็นดังคาด เมื่อเด็กดีไม่คิดจะต่อต้าน และเอ่ยกลับราวกับท้าทาย



“ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว...”



จบประโยคเด็กน้อยก็มุดเข้าไปซุกที่อกผม พร้อมกับไฟในตัวที่ปะทุขึ้นอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป



ผมรวบตัวน้องขึ้นเหมือนอุ้มลูกลิง ที่ห้องรับแขกออกจะหนาวไปสักหน่อย ผมอุ้มน้องพาไปยังห้องนอนที่น่าจะอุ่นกว่ามากโข และทันทีที่แผ่นหลังของเด็กดีแตะเข้ากับผืนเตียง ผมก็ลงมือลอกคราบเด็กน้อยของผมทันที



“ฌา...อ๊ะ”



เจนนินทร์ร้องเสียงหลงเมื่อผมถอดกางเกงนอนของเขาออกไปอย่างง่ายดาย และประคองเจนนินทร์ตัวน้อยไว้ในกำมืออย่างไม่รอช้า ขยับรูดรั้งอย่างไม่รีรอจนคนน้องร้องเสียงหวาน ก่อนครอบปากตัวเองให้กลืนตัวตันของน้องจนหมด น้ำเสียงครวญครางปลุกให้ผมร้อนรุ่มอย่างง่ายดาย แค่เสียงครางของเจนก็ทำเอาผมแทบบ้าแล้ว



จวบจนปลดปล่อยคนน้องได้ในเวลาไม่ช้า ผมกลืนหยาดน้ำขาวขุ่นลงไปจนหมด ส่วนตัวเองก็ลงมือเตรียมปลดปล่อยบ้าง



“ฌาณ...กิน...?”



คนตัวเล็กนอนหอบน้ำตาคลอหน้าแดงก่ำ ผมทำเพียงยกยิ้มมุมปากตอบกลับไป ไม่คิดรังเกียจอะไรเพราะมันเป็นของเจนนินทร์ ส่วนคนขี้อายพอสบตาผมแล้วก็มุดหน้าหนีลงไปในหมอนใบโต ผมจึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ที่แอบพกมาด้วย น้องแอบเหล่มองผมแวบนึง และไม่คิดจะปิดบังอะไร ผมปีนขึ้นเตียง นั่งคร่อมคนตัวเล็กก่อนเทเจลหล่อลื่นจนชุ่มมือ


เจนนินทร์เบิกตาโตทำหน้าเลิ่กลั่ก



แต่เสียใจด้วย เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว



ผมสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางแน่นแคบ น้องร้องเสียงหลงอีกครั้ง และอีกครั้งเมื่อเริ่มขยับนิ้วหยอกแหย่



“ฌา...ณ อือ”



ไม่ปล่อยให้เขาร้องท้วง ผมประกบจูบกลืนกินเสียงใสให้หายไป แน่นอนว่าไม่ยอมหยุดขยับนิ้วมือที่ละเลงไปทั่วช่องทาง จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง จากสองค่อยๆ เป็นสาม เจนนินทร์บิดตัวเกร็ง เชิดหน้าขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาว แอ่นสะโพกบิดไปมา ปลายเท้าจิกลงผ้าปูที่นอนอย่างหมายระบายอารมณ์ ส่วนปลายนิ้วมือกดจิกลงกับแผ่นหลังของผม ขูดครืดจนแสบ และคิดว่าหลังตัวเองคงเต็มไปด้วยรอยเล็บของเขาแล้วเป็นแน่



เมื่อผละตัวออกมาดูผลงาน ก็เห็นน้องนอนตัวขาวนอนหอบหน้าแดงน้ำตาคลอ



ให้ตาย เด็กน้อยของผมโตมาเซ็กซี่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่



ผมบอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น



ขยับปลายนิ้วระรัวเข้าไปในตัวเจนนินทร์ เร่งจังหวะมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ภายในตัวน้องร้อนจัด และรัดนิ้วผมแน่น ไม่นานนักเด็กดีก็หวีดร้องลั่นเมื่อได้ปลดปล่อยหยาดน้ำขาวขุ่นออกมา คนน้องถึงฝั่งฝันอย่างง่ายดายอีกครั้ง เสียแต่ผมยังไม่ได้ปลดปล่อยเลยสักรอบ และไม่ยอมให้น้องมีความสุขแค่คนเดียวแน่ๆ



เมื่อคิดว่าเบิกเส้นทางจนพร้อมแล้ว ผมก็ค่อยๆ จ่อส่วนนั้นของตัวเองเข้ากับช่องทางของเจน เด็กน้อยที่เพิ่งเสร็จสมอารมณ์หมายไปไม่ถึงนาทีถึงกับเบิกตาโพลง



“ฌาณ...ฌาณ...”



 “ให้พี่กอดนะคนดี”



“...อือ”



“เด็กดี”



“ฌาณ...”



“ครับ”



“เบาๆ...นะ อ๊า!”



สิ้นสุดคำขอร้อง ผมกระแทกตัวเองเข้าไปในตัวน้องจนเกือบมิด ทรยศต่อคำวิงวอนอย่างใจร้าย เจนนินทร์บิดตัวร้องลั่นห้อง หอบฮั่กเอาอากาศหายใจ หน้าแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลเป็นทางอย่างน่าสงสารจนผมต้องกดจูบเพื่อปลอบประโยนเขา แลบลิ้นตวัดเลียน้ำตาให้เหือดแห้งไป ก่อนจะประกบจูบอีกครั้งเพื่อปลอบใจ เริ่มบรรเลงบทเพลงรักที่แท้จริง



เจนนินทร์ร้องครางเสียงหวานลั่นสนั่นหู เสียงใสกรีดร้องตามจังหวะโยกตัวของผม เมื่อกระแทกทีน้องก็หลุดร้องเสียงดังออกมาที ผมไม่ได้ร่วมรักกับใครมานานแล้วก็จริง แต่ที่ผ่านมาคนที่เคยนอนด้วยก็ใช่ว่าจะน้อยที่ไหน และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทรักของผมกับเจนนินทร์ดีอย่างหาที่สุดไม่ได้



“ฌาณ...เบา อื๊อ”



ไม่ปฏิเสธคำร้องขอ เมื่อผมไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เมื่อได้เริ่มสัมผัส ความคิดถึง คะนึงหาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ถาโถมใส่เข้ามาอย่างไม่ยั้ง เจนนินทร์ในจินตนาการตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้โดนผมย่ำยีไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง และมีหรือที่เมื่อเจอตัวจริงแล้วผมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้



รวมถึงไม่สามารถยั้งมือได้เช่นกัน



น้องร้องครวญครางลั่นห้อง ปฏิเสธไม่ได้อีกว่ายิ่งน้องร้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวผมให้มากขึ้นเท่านั้น เสียงใสที่เปล่งออกมาราวกับเป็นการขับร้องให้ปิศาจในตัวผมตื่นขึ้น ผมกอดน้องที่อยู่ใต้ร่างแน่น ขยับสะโพก เบียดตัวตนของตัวเองให้เข้าไปข้างในตัวร้อนๆ ของน้องแล้วถอนออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก่นกายผงาดสู้ข่มเสียงหวานและช่องทางคับแคบ บรรเลงเพลงรักไปอย่างไม่คิดจะหยุด



และไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบทรักครั้งนี้จะสิ้นสุดที่ตรงไหน



กระแทกกระทั้นจนหยาดน้ำกามเปรอะเปื้อนไปทั่วผืนเตียงและทั่วทั้งร่างกายขาวผ่อง ที่ปรากฏรอยรักลายพร้อยไปทั่วตัว ผมจับน้องพลิกตัวเป็นว่าเล่น เมื่อจบหนึ่งรอบ ก็ต่ออีกรอบอย่างไม่รอช้า จับกดเขาให้จมเตียงสมใจปรารถนา ฝังรอยรักไว้ทั่วตัวราวกับรอยสัก ตีตราว่าเขาเป็นของผม ความอัดอั้นที่สะสมมานานถูกปลดปล่อย และมันไม่มีทางเลยที่จะปลดปล่อยออกมาหมดได้เพียงแค่ครั้งเดียว



กับความคิดถึงที่ล้นทะลักมาตลอดปี



เจนนินทร์ครางอื้ออึงตามจังหวะที่ถูกกระแทกใส่ตัว น้องไม่ร้องขอให้หยุด มีแต่เสียงร้องของกามารมณ์ที่แสดงถึงความเสียวซ่านเท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้ปิศาจในตัวผมได้ใจ ปลุกปั้นแก่นกายให้ผงาดขึ้นอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลืนกินเด็กน้อยคนตรงหน้าให้หมดสิ้น



ผมอยากขอพรให้ค่ำคืนนี้นิรันดร ใคร่จะตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขเช่นนี้ตลอดกาล



ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น มีเพียงร่างของสองเราที่รุ่มร้อน บดเบียดแลกไออุ่นให้กันและกัน



และในเช้าวันต่อมา เจนนินทร์ก็ไข้ขึ้นตามระเบียบ…



❄❄❄❄❄❄



พี่ฌาณได้กินสเต็กแกะไปตามระเบียบ .///.

หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 2 |- 11.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-04-2018 23:58:11
ถึงกับป่วยเลยหรือเจน
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 2 |- 11.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Madpinkie ที่ 12-04-2018 07:04:44
 :pighaun: รางวัลของผู้้้้เรียกร้องนะจ้ะนุ้งเจนนน ///บรรยายสถานที่ซะจนอยากเที่ยวตามเลยค่ะ งื้อออออ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 2 |- 11.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 12-04-2018 15:14:21
สมใจน้องแกะ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 2 |- 11.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-04-2018 22:50:49
ฮือออออ ฟินค่ะ อิ่มแปร้เลยนะฌาณ เท่าไหร่ก็ไม่พอใช่ไหม
ฌาณก็คือผู้ชายคนหนึ่ง ที่รักและดูแล เลยมีความอบอุ่นสมกับที่รัก
ทะนุถนอมน้องมาก อยากให้น้องมีความสุขและสดใส
แต่ทำไมฌาณช่างร้ายเหลือเกิน พอได้ร้อนแรงไม่มียั้งเลยนะ

เจนน่ารักมาก เหมือนเด็กน้อยเผชิญโลกกว้าง
มีความอ้อน และงอแง ตอนนี้ก็สมใจแล้วเนาะ ไหวไหม 5555

ทริปนี้ดีมากเลยค่ะ อยากตามรอยเลย
เป็นทริปโรแมนติก พรีฮันนีมูนก่อนส่งท้ายด้วยความอยากกอด

ขอบคุณมากเลยจ้า น่ารักจนยิ้มแก้มปริตลอดเลย
ในที่สุดก็ได้กลับบ้านของเราแล้วนะ ฌาณเจน
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 2 |- 11.4.2018 - p.6
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 12-04-2018 23:06:51
เต็มอิ่มเลยสินะหมาป่าฌาน :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 14-04-2018 01:22:55
True 3 : Jay



ทำไมเด็กคนนี้ต้องมาเป็นน้องของเรา?



เป็นคำถามแรกเมื่อผมเห็นหน้าเด็กชายเจนนินทร์ น้องชายคนใหม่ที่จู่ๆ ก็โผล่มาแทนที่ตำแหน่งลูกคนเล็กของผมเสียอย่างนั้น น้องหน้าตาน่ารัก ตากลมโตตัวขาวจั๊วะ แก้มแดงปากแดง เป็นที่รักใคร่ของทุกคนในบ้าน และดูจะมีเพียงผมคนเดียวที่ไม่ชอบใจเขา



ผมพยายามปฏิเสธตัวตนของน้องมาโดยตลอดเพราะคิดว่าเขาทำให้พ่อกับแม่ไม่เอ็นดูผมเหมือนเคย ชีวิตผมถูกขีดมาแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง ไม่มีอิสระในความชอบ แต่น้องกลับได้หมดทุกอย่าง ไม่ต้องแบกรับหน้าที่หนักอึ้ง เพราะผมกับเจดแบกรับแทนแล้ว



ผมเกลียดเขา เกลียดน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเข้าไส้



“ไม่เล่น!”



“อยากเล่นก็ไปเล่นคนเดียวสิ”



แต่เจนนินทร์เป็นเด็กดื้อที่โง่ เขาไม่เข้าใจว่าที่ผมไม่ยอมคุยกับเขาและที่พูดไม่ดีใส่เพราะผมไม่ชอบเขา ไม่ใช่เพราะกำลังป่วยหรือไม่สบายอย่างที่เด็กโง่คนนี้คิด



เพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน น้องจึงไม่มีเพื่อนเท่าไหร่นัก ถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตเพราะกลัวได้รับอันตราย เด็กน้อยจึงได้แต่เล่นอยู่ในบ้านคนเดียว และด้วยวัยที่แตกต่างกันถึง 7 ปี ทำให้ผมไม่อยากลงไปเล่นอะไรปัญญาอ่อนกับเขา เวลาน้องมาชวนผมเล่นผมก็จะไม่ใส่ใจ เจดเองก็ไม่ค่อยมีเวลาเพราะต้องลงเรียนพิเศษมากมายเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป เจนนินทร์จึงเล่นคนเดียวมาโดยตลอด



ผมไม่เคยรู้ความรู้สึกของเด็กคนนี้และไม่คิดจะใส่ใจเลย จนกระทั่งเด็กน้อยกลับมาจากโรงเรียนพร้อมกับบาดแผลถลอกเต็มตัว คนที่บ้านวิ่งวุ่นกันไปทั่ว ขนาดผมที่อยู่ห่างๆ ยังรู้เรื่องไปกับเขาด้วยแม้ไม่ได้ถามไถ่ใคร



น้องทะเลาะกับเพื่อนเพราะโดนเพื่อนแย่งของเล่น



แถมของเล่นอันนั้นคือของเล่นที่ผมเคยให้เขาเมื่อนานมาแล้ว…



ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยให้ตุ๊กตาหุ่นยนต์กับน้อง และคิดว่าตอนนั้นคงให้ๆ ไปเพื่อตัดความรำคาญด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นสาเหตุให้คนที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมต้องได้รับบาดแผลเต็มตัว



แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนอยากรักเขาขึ้นมาหรอก ผมแค่เห็นใจเขามากขึ้น แต่ก็ไม่ลงไปเล่นกับน้องอยู่ดีเพราะคิดว่าเสียเวลา ไร้สาระ ลำพังแค่ต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติมมากมายก็วุ่นวายจะแย่อยู่แล้ว และมันยิ่งน่าหงุดหงิดเมื่อผมเรียนหนักขนาดนี้แต่คนน้องกลับได้เล่นอะไรไร้สาระตามใจชอบ



ไม่ยุติธรรมเลย



“พี่ไจ เพราะผมเป็นเด็กไม่ดีเหรอถึงไม่มีใครยอมเล่นด้วยเลย...”



“...อะไร”



“ก็ตั้งแต่เจมส์แย่งของเล่นของผมไปก็ไม่มีใครเล่นด้วยเลย...แต่นั่นพี่ไจให้ผมนี่ ผมจะให้เขาได้ยังไง”



“...”



“แล้วเจมส์ก็บอกว่าเจนถูกเก็บมาเลี้ยง ทุกคนเลยรังเกียจ”



“รู้ได้ไง”



“ก็เขาบอก...แถมเจนหน้าไม่เหมือนใครเลยทั้งพี่เจดทั้งพี่ไจ”



“แล้วก็เชื่อ?”



“ก็...อือ เจนไม่รู้ เลยมาถามพี่ไจ...”



“พี่แค่ยุ่ง ต้องเรียนพิเศษ ไม่ว่างมาเล่นด้วยเฉยๆ อย่าไปฟังคนอื่นให้มันมากนัก”



“แต่...เขาบอกว่าเจนเป็นตัวไร้ประโยชน์”



“ก็ทำตัวให้เป็นเด็กดีสิ”



ผมว่า บ่นปัดๆ ไป แต่กลายเป็นว่าน้องร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะคิดว่าผมรำคาญ ผมหงุดหงิดเขามากและใกล้จะรำคาญเขาจริงๆ แล้ว เมื่อน้องร้องไห้ ผมก็แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดออกไป เจดต่อว่าผมเสียยกใหญ่ที่ทำให้น้องเสียน้ำตา แต่ผมไม่สนใจ ใครอยากโอ๋ก็โอ๋ไป ผมขอไม่ยุ่งกับเด็กนี่แล้ว



และหลังจากนั้น เจนนินทร์ก็ไม่มาวอแวอะไรกับผมอีก ผมไม่ค่อยเห็นน้องในห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยของเล่นเหมือนเคย แต่ไม่ได้สนใจอะไร จนในวันหนึ่ง ระหว่างช่วงทานข้าว ผมเผลอบ่นกับพ่อว่าบทเรียนที่เรียนพิเศษวันนี้ค่อนข้างยากและน่าเบื่อ ไม่อยากเรียนแล้ว



“ไม่อยากเรียนแล้วหรือ”



“ครับ ผมเหนื่อย แก้โจทย์ไม่ได้สักที คำถามก็ยาก”



“งั้นก็ไม่ต้องเรียน”



“เอ๊ะ..?”



“ไม่ต้องเรียนแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ ดีไหม”



ทีแรก ผมคิดว่าพ่อเข้าใจและเห็นใจผม อยากให้ผมมีเวลาว่างเป็นของตัวเองเหมือนเด็กคนอื่นๆ บ้าง แต่พอผมไม่ต้องเรียนพิเศษผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ด้วยเพราะที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้มีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษ แค่เบื่อที่ต้องเอาแต่เรียนๆๆ เท่านั้น หลังจากที่เตร่ไปเตร่มาหลายวันจนไม่ได้อะไรแล้ว ผมจึงตัดสินใจแอบไปหาน้องชายคนเดียวของผมดู ตั้งใจว่าจะยอมเล่นด้วยวันนึงก็ได้



ทว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อผมไปหาเจนนินทร์ที่ห้องนั่งเล่นประจำของเขาไม่เจอ และถามไถ่ป้าแม่บ้านจนได้ความมาว่าเจนนินทร์กำลังเรียนพิเศษอยู่



เรียนทำไม? ในเมื่อน้องไม่ต้องเตรียมตัวกับอะไรทั้งนั้นนี่



ผมแอบดูเด็กชายเจนนินทร์นั่งเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในห้องพิเศษ ที่จัดขึ้นเพื่อให้ครูสอนพิเศษเข้ามาสอนที่บ้าน น้องคิ้วขมวดทั้งชั่วโมง และดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่ถูกใจของคุณครูเท่าไหร่ เมื่อคุณครูก็ทำหน้าเหนื่อยใจเช่นกัน



และเมื่อชั่วโมงเรียนพิเศษจบ ผมก็แอบตามน้องออกไป เจนเดินตรงไปยังห้องเรียนอีกห้อง ซึ่งเป็นห้องของเจด น้องยืนรอไม่นานเจดก็ออกมา ดูเหมือนชั่วโมงเรียนของเจดเองก็จบแล้วเช่นกัน ผมแอบยืนฟังสองพี่น้องคุยกันอย่างไม่ตั้งใจ และความจริงที่ผมไม่คาดคิดก็ปรากฏ



“พี่เจด สอนการบ้านให้หน่อย”



“อีกแล้วเหรอ”



“เจนไม่เข้าใจ...”



“เฮ้อ ก็ให้ไจมันเรียนไปสิ เราจะมาลำบากแทนไจทำไม”



“เจนเรียนแทนพี่ไจแล้ว พี่เจดห้ามว่าพี่ไจสิ สัญญาแล้วนะ”



“...”



จากนั้นผมถึงเข้าใจว่าเจนนินทร์ยอมทำทุกอย่างแทนผม เพราะคิดว่าผมไม่อยากทำ และยังคิดว่าถ้าตัวเองทำทุกอย่างแทนผมแล้วผมจะได้มีเวลาไปเล่นกับน้อง โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองก็ยุ่งจนไม่มีเวลาออกไปเล่นไร้สาระเหมือนเดิมด้วยซ้ำ



ในตอนนั้น ความคิดอคติที่มีต่อน้องมากมายก็ค่อยๆ จางลง



ผมไม่มีงานอดิเรกหรือชอบทำอะไรเป็นพิเศษ ระหว่างนี้จึงใช้ช่วงเวลาว่างแอบดูเจนนินทร์ไปโดยไม่รู้ตัว จนวันหนึ่ง เมื่อจบชั่วโมงเรียน คุณครูสอนพิเศษเดินออกจากห้องไปแล้ว แต่เจนนินทร์ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่บนโต๊ะเรียน น้องตัวเล็กอยู่แล้ว พอนั่งห่อไหล่คู้ตัวแบบนี้ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กเขาไปใหญ่ เจนนั่งนิ่งอยู่นานจนกระทั่งน้องเริ่มสะอื้น และหยาดน้ำตาใสก็ไหลออกมาเป็นทางจากดวงตากลมคู่สวย



น้องไม่รู้ว่าผมแอบมองอยู่ถึงได้ร้องไห้โฮ วินาทีที่เห็นน้ำตาของน้องชายเต็มตาเป็นครั้งแรก ใจผมแทบแตกเป็นเสี่ยง เด็กน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเมื่อครานั้น ภายในเวลาไม่กี่วันกลับกลายเป็นเด็กที่ดูเศร้าสร้อยหม่นหมอง อมทุกข์ตลอดเวลาได้ขนาดนี้



“ไม่อยากเรียนแล้ว ฮึก ไม่เห็นเข้าใจเลย”



“อยากไปเล่นแล้ว...”



น้องสะอื้น บ่นพึมพำอยู่คนเดียวแต่ผมได้ยินเต็มสองรูหู นั่นไม่ทำให้ปวดใจเท่ากับประโยคถัดมา



“เด็กดีต้องตั้งใจเรียนเท่านั้นเหรอ”



“แต่เจนเรียนไม่เก่ง...แสดงว่ายังเป็นเด็กไม่ดีเหรอ...”



จบเหตุการณ์ในวันนั้น ผมไปขอร้องให้พ่อทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม ไม่ต้องให้เจนนินทร์มาคอยแบกรับหน้าที่อะไรแทนผม ผมจะทำเอง ในเมื่อน้องทุกข์ใจเสียขนาดนั้นก็ให้เขาออกไปวิ่งเล่นเหมือนเดิมเถอะ



ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมอยากให้ความสดใสของน้องกลับคืนมา



ผมเปิดใจให้น้อง ไม่คิดว่าเขาเป็นเด็กดื้อที่น่ารำคาญอีกต่อไป ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงเอ็นดูเขา และผมก็จะไม่อคติอีกต่อไป ต่อจากนี้ ผมจะเป็นพี่ชายที่แสนดีให้น้อง



และเหมือนว่าพ่อเองก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะกลับมา จึงได้ให้คุณครูเตรียมอัดเนื้อหาที่ผมขาดเรียนไปจนผมแทบกระอักเลือด ทำให้เจนนินทร์ต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกครั้งเมื่อผมไม่มีเวลาให้



ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะยอมเล่นกับน้องแล้ว ทั้งๆ ที่ได้ให้สัญญากับเด็กคนนี้ไว้แล้วแท้ๆ



ผมแทบไม่มีเวลาเจอเจนเลย เพราะนอกจากเวลาเรียนที่โรงเรียนแล้ว กลับมาบ้านก็ต้องเรียนเสริมอีก หนำซ้ำเสาร์อาทิตย์ก็เรียนตั้งแต่เช้า ตารางเรียนถูกอัดจนแน่นเอี๊ยดเพื่อทดแทนเวลาที่หายไป



และนั่นทำให้เกิดเป็นบาดแผลในใจของเด็กชายเจนนินทร์โดยไม่ตั้งใจอีกครั้ง



ช่วงนี้เขามักจะมานอนกับผม ในวันหนึ่งก่อนที่เราจะเข้านอน จู่ๆ เจนก็ถามผมขึ้นมา



“ไจชอบอะไรเหรอ”



“หือ หมายถึงอะไรล่ะ”



“ก็ชอบ...ชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ย”



“ไม่มีนะ...”



“...เหรอ”



“ชอบแมวมั้ง”



“อ้อ”



ผมไม่รู้ว่าน้องถามไปทำไมแต่คนตัวเล็กดูต้องการคำตอบมาก ทำให้ผมต้องหาอะไรสักอย่างที่ตัวเองชอบไปอย่างช่วยไม่ได้ และหลังจากนั้นผมถึงได้รู้ว่าคำพูดตัวเองมีอิทธิพลต่อเด็กคนนี้มากขนาดไหน



เมื่อวันที่น้องหายออกไปจากบ้าน



ทุกคนในบ้านแตกตื่นกันใหญ่ ไม่รู้เจนนินทร์หายไปได้ยังไง แม้บ้านเราจะค่อนข้างใหญ่ แต่ก็มีแม่บ้านอยู่เยอะ ทำให้ไม่น่าคลาดสายตาไปได้ รวมถึงทำให้ใช้เวลาในการค้นหาตัวเขาทั่วบ้านแค่เพียงครู่เดียวก็ครบทุกห้อง ทุกชั้น ทุกซอก แต่ไม่พบแม้เงาของเด็กน้อย คนสวนเองก็ไม่เห็นว่าเจนนินทร์ออกนอกบ้านตอนไหน แค่จู่ๆ น้องก็หายไปราวกับระเหิดได้



แต่ทุกคนรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างนั้น ถึงได้ออกตามหากันให้วุ่น



แน่นอนว่าในใจผมเองก็ว้าวุ่นไม่แพ้กัน



เวลาผ่านไปจนกระทั่งตอนพลบค่ำ น้องกลับมาพร้อมกับเด็กผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เนื้อตัวของน้องเลอะไปด้วยฝุ่นโคลนและบาดแผลจนแม่ผมแทบลมจับ



“ผมเจอเขาที่ท้ายหมู่บ้าน เลยพามาส่งครับ”



เด็กชายคนนั้นพูดขึ้น ดูท่าทางจะเด็กกว่าผมไม่กี่ปี และดูแก่กว่าเจนนินทร์ ทุกคนรีบถามไถ่เรื่องราวจากเด็กคนนั้น ส่วนเจนนินทร์ แม่พาไปล้างเนื้อล้างตัวและทำแผลในบ้าน ในตอนนั้นเองผมถึงได้รู้เหตุผลที่น้องหายไป



“เห็นพยายามปีนต้นไม้ไปจับแมวอยู่ แล้วพลัดตกลงมาเป็นแผลนิดหน่อย...”



“ถามทางกลับบ้านเขาก็บอกว่าจำไม่ได้ ผมเลยพาเดินไปตามแต่ละบ้านมาเรื่อยๆ จนเขาบอกว่าที่นี่คือบ้านเขา”



“น้องเก่งมากครับ ไม่ร้องไห้สักแอะ แถมไม่ค่อยคุยกับผมด้วย เขาบอกว่าพี่ชายไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า”



เจนนินทร์ไม่ร้องไห้จริงๆ แต่เป็นผมเองที่น้ำตาไหลออกมาเป็นสายเมื่อฟังเรื่องเล่าของเด็กคนนี้จบ เด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ แอบออกไปจับแมวนอกบ้านมาให้เพราะคิดว่าผมชอบ  หวังจะเอาใจทำให้ผมหายเหนื่อย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยออกนอกบ้านคนเดียวเลยแท้ๆ



ผมไม่รู้ว่าถ้าไม่เจอกับเด็กคนนี้เข้าน้องชายคนเดียวของผมจะเป็นยังไง จะถูกคนไม่ดีพาไปทำอะไรรึเปล่า จะโดนรถชนมั้ย จะโดนหมากัดรึเปล่า สารพัดสิ่งที่น่ากลัวมากมายรอจู่โจมคนไม่ประสีประสาโลกภายนอกอย่างเขาจนผมเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงเป็นห่วงน้องขนาดนี้



ผมร้องไห้ให้กับความไม่ได้เรื่องของตัวเอง โกรธและเกลียดตัวเองที่ทำให้น้องบาดเจ็บจนแทบบ้า



ทั้งๆ ที่ตัวผมมีศักยภาพที่จะปกป้องน้องมากมายแท้ๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ผมเป็นพี่ชายของเขาแท้ๆ แต่แค่พยายามทำให้น้องมีความสุขผมยังทำไม่ได้เลย มีแต่คนตัวเล็กที่พยายามเพื่อผมมาโดยตลอด



ผมขอบคุณเด็กคนนั้นอย่างใจจริง ที่มารู้ชื่อเอาภายหลังว่าชื่อ ฌาณ



ในค่ำวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าไปนอนกับน้องก่อน เพื่อตอบแทนทุกสิ่งที่น้องพยายามทำเพื่อผม และรับรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ผมกำลังทำเพื่อตอบแทนคนตัวเล็กนี้ไม่อาจเทียบเท่ากับความยิ่งใหญ่ที่น้องพยายามทำให้ผมเลยสักนิด



เด็กตัวแค่นี้ ทำไมถึงต้องมาเสียสละอะไรกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย



“พี่ไจ ไม่ร้องไห้นะ ฟู่วๆ”



“...”



ความใสซื่อและจริงใจทำให้ผมเจ็บปวดที่ตัวเองเคยทำไม่ดีกับน้อง นอกเหนือจากนั้น น้องทำให้ผมรู้ว่าเขามีค่ามากแค่ไหน เด็กดีอย่างนี้ไม่ควรเจอเรื่องอะไรให้ต้องเจ็บปวด



และหลังจากนั้นฌาณก็แวะมาเล่นที่บ้านกับเจนบ่อยๆ เพราะผมขอให้เขามาเอง ผมยังยุ่งกับการเรียนอยู่ทำให้บางวันไม่มีเวลาให้น้อง และฌาณเองก็ดูจะเป็นเพื่อนเล่นที่ดีไม่น้อย เมื่อเจนนินทร์ติดเขาแจ



แต่ผมก็ยินดีที่น้องกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง น้องชายคนเดียวของผมไม่ควรเจอเรื่องเศร้าเสียใจอะไรอีกแล้ว
เจนนินทร์ของผมจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถ้าเจอเรื่องเศร้าก็แค่ร้องไห้ออกมา เพื่อให้ผมจะได้ทำให้เขามีความสุขและยิ้มออกมาได้อีกครั้ง เจนนินทร์จะเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่อย่างไม่ต้องสนใจใคร น้องเป็นเด็กดีที่ควรมีแต่รอยยิ้มตลอดไป





จะไม่มีใครหน้าไหนทำให้น้องของผมเสียใจได้อีก





ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะทำให้เจนนินทร์เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก





❄❄❄❄❄❄



แล้วเจนนินทร์ก็กลายเป็นเด็กถูกสปอย 5555



จบของจริงแล้วค่ะ

ทีแรกตั้งใจจะลงตอนที่แล้วเป็นตอนพิเศษตอนสุดท้าย

แต่อยากให้เห็นมุมมองของพี่ไจด้วยกัน

อยากให้รู้ว่าเพราะอะไรคนพี่ถึงสปอยน้องหนักขนาดนี้

และเพราะอะไร ทุกคนถึงยังเอ็นดูน้องทั้งๆ ที่ชอบทำเรื่องแสบไว้ตั้งมากมาย

ไม่รู้ว่าสื่อได้ถึงทุกคนรึเปล่า แต่ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงประโยคนี้จริงๆ ค่ะ



เรื่องราวหลังจากนี้จะมีในตอนพิเศษรวมเล่มอีกสักสองสามตอนค่ะ

ถ้าใครเอ็นดูน้องเจนพี่ฌาณหรือพี่ไจก็ขอฝาก #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ



ขอบคุณที่ร่วมเดินทาง


หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 14-04-2018 01:39:47
เหมือนเป็นคำสารภาพบาปของไจมากกว่าที่ต้องทำใจยอมรับฌาน เพราะตัวเองเป็นคนเปิดโอกาสให้ฌานกับเจนเองตั้งแต่ยังน้อย 555
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-04-2018 01:45:17
ผู้พิทักษ์
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 14-04-2018 06:09:11
ขอบคุณ​มาก​นะ​คะ
มิน่าล่ะ​ โตขึ้นมาถึงดื้อแบบนี้
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 14-04-2018 11:27:25
อ่านจบแบบรวดเดียวค่ะ  สนุกมากกกกกก  เด็กเลี้ยงแกะสองคนอยูาด้วยกัน สนุกมากกก555 ชอบมากๆๆๆๆๆๆ ภาษาดี บรรยากาษดี อยากเก็บตังไปเองโอ๊คเลยค่ะ  ชอบบบมสกก น้องน่ารักแบบอยากมีติดบ้านเลยยย555555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-04-2018 10:38:14
 เป็นเรื่องที่เรียบๆไม่หวือหวา แต่มันก็มีความน่ารักความอบอุ่นอยู่ด้วย เป็นเรื่องที่เรียบง่ายแต่น่าติดตาม
แม้แรกๆนี่ต้องลุ้นตลอดว่าตกลงใครโกหกอะไรกันบ้างก็เหอะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 15-04-2018 13:05:48
เป็นเรื่องที้น่ารักและสนุกมากเลยค่ะ คนน้องนี่น่าตีดีนะคะ555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 15-04-2018 18:18:27
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 16-04-2018 01:16:35
เป็นความละมุนละไม ... ที่เข้าใจทะลุปรุโปร่ง
เพราะ 3 ตอนพิเศษท้ายเรื่องนี่เอง

ขอบคุณมากนะคะ
รอตามอ่านเรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 16-04-2018 09:54:04
 :katai2-1: พี่ไจคนสปอยน้องแห่งปี
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 16-04-2018 21:05:16
จับผิดกันแบบสนุกไปเล้ยยยย :katai5:
เจนเอาแต่ใจมากแต่ก็น่าเอ็นดู ดีใจที่สุดท้ายน้องยอมอดทน ถึงจริงๆแล้วถ้างอแงอีกหน่อยไจยอมแน่ๆก็เถอะ55555555
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 19-04-2018 22:07:46
อ่านจบแล้ววว
แอบชอบพี่ไจอยู่หน่อยๆนะเนี่ย
5555 ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ สำหรับนิยายน่ารักๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 21-04-2018 00:53:30
 :pig4: ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 21-04-2018 21:23:53
 :กอด1:สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 29-04-2018 01:32:56
ชอบมากๆค่ะ สนุกมากเลย
มีแอบน้ำตาคลอตามเบาๆพาร์ทพี่ไจ :hao5:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 13-08-2018 15:16:38
พี่ไจ คนสปอยน้อง
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: ReiiHarem ที่ 19-09-2018 20:00:34
นี่ว่าจะดุที่ทุกคนสปอยน้องแกะซะหน่อย มาเจอตอนพี่ไจเข้าไปนี่น้ำตาไหลพรากๆ ฮือออออ เซนสิทีฟกับนิยายที่มีเรื่องครอบครัวพี่น้องเข้าอยู่ในเรื้องด้วย บรรยายได้ดีมากๆเลย รออ่านเรื่องต่อไปค่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 26-10-2018 22:34:14
เพิ่งได้มาอ่านรวดเดียว ชอบมากเลยค่ะ <3
น้องเจนถึงดื้อแต่ก็น่ารักขี้อ้อนมากกกกก  ส่วนพี่ฌานก็ดีมากๆๆ มีอีกคนมั้ยคะ555
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวตามเลยค่ะ ขอบคุณที่เขียนนิยายบรรยากาศดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 11-01-2019 04:12:49
สนุกดีค่ะ รู้ตัวอีกทีคือมันตี 4 แล้ว 55555 ไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้วค่ะงานนี้ ส่วนตัวเราคิดว่าน้องขี้แงไปหน่อย แต่ก็เข้าใจเหมือนกันว่าโดนโอ๋มาตลอด ไม่แปลกที่น้องจะน้ำตาไหลง่าย เหมาะแล้วจริงๆกับพี่ฌาณคนหล่อและดีมาก เหมือนจะขัดใจแต่ก็ตามใจนะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-01-2019 17:51:58
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Carina ที่ 04-02-2019 01:47:32
 :pig4: :pig4: อ่านแล้วอยากไปเป็นเด็กเลี้ยงแกะบ้างเลย ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 13:57:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 06-08-2020 12:27:16
อืมมมม จะว่าไงดีล่ะ ถ้าได้อ่านเรื่องนี้ตอนเด็กกว่านี้ซัก 5-6 ปีน่าจะอินกับความอบอุ่นของอิพี่ฌานะ แต่พอมาเข้าวัยทำงานแล้วก็รู้สึกแบบ น้องเจนจะอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้หรอลูกก โดนสปอยจนเสียคนไปซะขนาดนี้แล้ว เกิดไม่มีพี่ไม่มีฌาอยู่ด้วยคงตายสถานเดียวอะ :z13:

ขอบคุณคุณคนเขียนด้วยนะคะพี่แต่งนิยายมาให้อ่านกัน  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-08-2020 22:55:01
 :pig4: :pig4: