❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❄ Once upon a lie #บันทึกเด็กเลี้ยงแกะ ❄ - END -|True 3 |- 14.4.2018 - p.7  (อ่าน 46874 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :o12: ช้ำรัก

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ไนล์ทำตัวไม่ดีเลยนะ ให้ความหวังน้องงง //ตี

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 9: Warm sun and wind in my ears



ผมมองค้อนฌาณอย่างหงุดหงิด โกรธที่เขาพามาที่ไกลๆ ยังไม่พอ ต้องเดินเยอะ แถมฝนยังตกจนต้องมาหลบฝนในห้องน้ำสาธารณะที่หนาวๆ นี่อีก แต่ฌาณก็ได้แต่ยิ้มขำใส่ผมอยู่นั่นแหละ เสื้อผมเปียกไปจนถึงกางเกงในแล้ว และมันก็หนาวมากๆ ด้วย ผมโกรธฌาณแล้ว โกรธมากๆ มากๆ



“ไหนมากอดกัน”



“ไม่ต้องมายุ่ง!”



“ไม่หนาวหรือ”



“ไม่!”



“เด็กดีไม่โกหกนะ”



ผมหน้ามุ่ย ขยับตัวหนีอ้อมแขนของเขา เพราะฌาณนั่นแหละทำให้ผมต้องมาเปียกฝนแถมหนาวแบบนี้ โกรธมาก ไม่ต้องมายุ่งเลย



จากเรื่องที่ผมเล่าให้ฌาณฟังพอคิดดูก็ตลกดี ผมอยากจะหนีจากไนล์ แต่พอจะหนีไปไกลๆ ที่แรกที่ผมนึกถึงกลับเป็นประเทศที่เราเคยสัญญาว่าจะมาด้วยกันให้ได้สักครั้ง



ตลกซ้ำสองเมื่อผมถูกซีนหักหลังอีกครา ครั้งนี้ผมไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเอง ผมไว้ใจคนง่ายไปจริงๆ คิดง่ายเกินไปเพียงเพราะไม่ต้องการจะอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำของผมกับไนล์เต็มไปหมด จนเกือบพลาดท่า



ตลกที่สามคือพอผมได้มาเจอฌาณแต่กลับกังวลว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีเหมือนซีนรึเปล่า แต่ผมโง่ในการใช้ชีวิตเหลือเกิน ไม่รู้จะปกป้องตัวเองยังไง คิดว่าการไม่บอกข้อมูลตัวเองออกไปน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และเป็นตลกที่สี่...ที่ผมเลือกใช้ชื่อไนล์แทนชื่อตัวเอง...



น่าขำที่ชื่อแรกที่โผล่เข้ามาในหัวกลับเป็นชื่อของคนที่ผมหนีมา ยิ่งตอกย้ำว่าผมไม่มีทางลบเขาออกไปได้เลย



บอกแล้ว ผมรับมือกับปัญหาไม่เก่งหรอก มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด แต่สุดท้ายคนที่ประกอบเศษซากร่างกายที่แหลกละเอียดของผมให้กลับมาก็คือฌาณ...



จบเรื่องราว ฌาณไม่ได้เอ่ยความเห็นอะไร เพียงแค่ลูบหลังเช็ดน้ำตาให้ผมไปเรื่อยๆ สัมผัสอุ่นกล่อมผมจนเคลิ้มหลับไป...



เช้าวันต่อมาผมปวดหัวเพราะเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เรื่องราวที่กดไว้ในส่วนลึกของหัวใจถูกตะกรุยขึ้นมาอย่างเละเทะ ทุกอย่างที่ผมหนีมากลับย้อนเข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง เพียงเพราะผมไม่หนักแน่นเอง



เพราะสุดท้ายคนที่แหวกพื้นที่ต้องห้ามให้มาโจมตีใส่ผมก็คือตัวผมเอง



ฌาณยื่นแก้วโกโก้อุ่นๆ มาให้เมื่อผมลืมตาตื่น ชันตัวพิงหัวเตียงได้พักนึง ผมเอ่ยขอบคุณเขา รับน้ำโกโก้แสนอร่อยมาจิบ เรื่องราวหนักหัวคล้ายจะหายไปเหมือนโกโก้ของฌาณช่วยเยียวยา



“นอนพักซะ เหมือนจะมีไข้หน่อยๆ ด้วยนี่” ฌาณบอกผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้าเมื่อรู้สึกตาร้อนและปวดหัว เมื่อโกโก้หมดแก้วแล้วก็ส่งกลับไปให้ฌาณ ก่อนนอนคลุมโปงปวกเปียกอยู่บนเตียงอีกครั้ง



ผมซึมกะทือไปทั้งวัน แม้ว่าวันต่อมาฌาณจะพาผมไปเที่ยวที่ Devonport แล้วก็ตาม Devonport อยู่ในเมืองโอ๊คแลนด์ เป็นพื้นที่ที่ยื่นเข้าไปในทะเลเกือบจะเป็นเกาะอยู่แล้ว เราเดินทางโดยเรือเพราะใกล้กว่านั่งรถไป นั่งเรือไปประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่เพราะมันเป็นเกาะเล็กๆ เลยไม่มีอะไรนอกจากเนินเขาสูงๆ ให้เดิน...อีกแล้ว



ครานี้เนินเขาวิคตอเรียไม่ได้ทำให้ผมประทับใจเหมือนเขาอีเดน หรือวันทรีฮิลล์แล้ว เพราะมันเหมือนกันหมด ข้างบนเป็นฟ้าข้างล่างเป็นหญ้า สีฟ้าตัดกับสีเขียว เหมือนกับทุกที่นั่นแหละ จะมีก็แต่เขาวิคตอเรียมีท่อเห็ดสีแดงสดที่วางเรียงรายอยู่บนยอดเขาให้ถ่ายรูปเหมือนอยู่ในเกมมาริโอ้ แต่ก็แค่นั้น



ฌาณพาผมไปกินฟิชแอนด์ชิพแถวนั้น มันก็อร่อยดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมร่าเริงขึ้นเริง จะมีก็แต่ร้านช็อกโกแล็ตบูติคของที่นี่ที่พอทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง ผมซื้อช็อกโกแลตมาหลายกล่องเพราะคิดว่งคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ฌาณก็ไม่ว่าอะไร เราจบวันกันอย่างงงๆ



ผมถอนหายใจเหม่อลอยอยู่บนโซฟาเบด ส่วนฌาณนั่งพิมพ์วิจัย ผมไม่น่าโหลดไลน์กลับมาเล่นเลย ตอนนั้นคิดอะไรอยู่อ่ะ...



หรือหวังอะไรอยู่...



ป๊อก



“เลิกคิดมากได้แล้ว”



ผมตกใจที่จู่ๆ ฌาณก็เอาปากกามาเคาะหัวผม ผมคงถอนหายใจน่ารำคาญมากไปหน่อย และเพราะผมนั่งอยู่ข้างเขาที่โซฟาเบดทำให้ฌาณทำร้ายผมได้อย่างง่ายดาย



“...คนเรามันเลิกคิดได้ด้วยหรือไง” ผมเถียง เบ้ปากบู้



“ทีก่อนหน้านี้ยังไม่คิดมากขนาดนี้เลย”



“ก่อนหน้านี้ผมหนีความจริงหรอก”



“อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ”



“...”



“ยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อยู่แล้ว กลุ้มใจไปก็เหนื่อยเปล่า คิดหาความสุขให้ตัวเองดีกว่าน่า...”



“...หูย เพิ่งรู้ว่าพูดอะไรอย่างนี้ได้ด้วย”



“เดี๋ยวเถอะ” ผมอมยิ้มให้ฌาณ จริงอย่างที่เขาว่า ยังไงผมก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว สู้สรรหาความสุขให้ตัวเองมากๆ ว่าแล้วก็กินช็อกโกแล็ตดีกว่า



ฌาณหลุดหัวเราะพรืดเมื่อเห็นผมลุกไปหยิบช็อกโกแล็ตที่ซื้อจาก Devonport มานั่งกินข้างเขา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแซวอะไรผมต่อนอกจากลูบหัวผมเงียบๆ



มาถึงวันนี้ ฌาณพาผมมา Shakespear Park เพราะเขาบอกว่าเป็นที่ไกลๆ และไม่ค่อยมีคนอย่างที่ผมต้องการ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงแต่ก็ยอมตกลงตามฌาณมา แล้วก็หงุดหงิดทันทีเมื่อเราใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการเดินทางมาถึงที่นี่ แถมแถวนี้ไม่มีร้านอาหารอะไรอีกต่างหาก ดีนะที่ฌาณซื้อแม็คโดนัลเก็บไว้ ทำให้ตอนเที่ยงเราได้มีข้าวกินระหว่างทาง



สวนเชคสเปียร์กว้างมาก พื้นที่ใหญ่โตจนแทบจะเป็นหนึ่งอำเภอได้เลย แน่นอนว่าผมไม่รู้พื้นที่ที่แน่ชัดของมันหรอก แต่กะเอาจากการเดินอย่างเหนื่อยล้าแล้วนี่ผมว่ามันต้องถึงหนึ่งอำเภอแน่ๆ เผลอๆ อาจจะเป็นหนึ่งจังหวัดด้วยซ้ำ มันใหญ่อ่ะ ใหญ่เกินไป



เรามาถึงทางเข้าสวนหลังจากเดินไปกินแฮมเบอร์เกอร์ไป เป็นครั้งแรกที่ผมไม่อิ่ม เพราะใช้พลังงานในการเดินเยอะมากๆ พอมาถึงมันก็ไม่มีอะไรนอกจากทุ่งหญ้ากับท้องฟ้าอีกแล้ว แต่ระหว่างทางผมได้เห็นบรรยากาศชานเมืองของโอ๊คแลนด์ ทำให้อารมณ์ดี



จนกระทั่งเราเดินมาถึงทะเลอะไรสักอย่าง ที่หาดทรายเป็นสีดำ ผมตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็น ก้มเล่นทรายสีประหลาด เดินตามชายหาดไปเรื่อยๆ จู่ๆ ฝนก็ตก ทีแรกฌาณพาไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะคิดว่าคงตกไม่หนัก



แต่ฌาณคิดผิด เพราะหลังจากที่เรามาหลบใต้ร่มไม้แล้ว ทั้งลมทั้งฝนก็โหมกระหน่ำเทลงมาราวกับเจอพายุลูกใหญ่ ผมตกใจมาก แถวนี้ไม่มีที่หลบฝนเลย และเราก็เดินมาไกลนิดหน่อยด้วย แต่สุดท้ายเมื่อต้นไม้ใหญ่ปกป้องเราไม่ได้อีกต่อไป ซ้ำพายุยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คลื่นน้ำในทะเลคลั่ง ท้องฟ้ามืดและมีฟ้าแลบด้วย ฌาณจึงพาผมฝ่าลมและฝนวิ่งกลับทางเดิม



ก่อนมาแอบหลบฝนกันในห้องน้ำสาธารณะที่ใกล้ที่สุด...



แต่กว่าจะมาถึงที่นี่ผมก็เปียกโชกไปทั้งตัว เปียกไปถึงกางเกงในก็ให้รู้แล้วกันว่าเปียกมากแค่ไหน แทบเอาสบู่มาอาบน้ำได้แล้ว ฮึ่ย ฌาณแย่



“ไหนเจ้าแกะขี้หนาว ขนเปียกจนลู่หมดแล้ว”



“ขนผมไม่ได้ลู่ เอ๊ย...”



ฌาณหัวเราะชอบใจที่ผมเผลอพูดตามเขา นี่คนนะ ไม่มีขนแกะอะไรนั่นหรอก ผมกอดตัวเอง หันหลังให้ฌาณ หนาวจนสั่น อากาศปกติผมก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว นี่เล่นเปียกโชกทั้งตัวไปอีก ไม่ชอบเลย มันแฉะๆ ไม่สบายตัว แล้วเดี๋ยวก็จะไม่สบายอีก



จนผมสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนจากคนข้างๆ ฌาณยืนซ้อนหลังผมก่อนกอดผมเบาๆ เอาคางมาวางบนหัวผมด้วย มันน่าตีนัก



ในห้องน้ำไม่ได้มีกลิ่นเหม็นอะไร เพราะดูไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้ รวมถึงในตอนนี้ในห้องน้ำสี่เหลี่ยมกว้างๆ นี้ก็มีแค่ผมกับเขาที่ยึดพื้นที่นี้ ผมไม่ได้อายที่ฌาณกอด แต่เพราะยังโกรธอยู่จึงพยายามขยับตัวหนี



ถึงอ้อมกอดฌาณจะอุ่นมากจนอยากอยู่นานๆ ก็เถอะ



ผมขยับตัวออก ฌาณก็ดึงผมให้หลังชิดกับอกเขา ตอนแรกมันหนาวเพราะทั้งเสื้อผมและเขาเปียกทั้งคู่ แต่สักพักมันก็อุ่น... ผมยอมไม่ขยับก็ได้ กลัวเป็นหวัดหรอก



ฌาณยังคงเอาคางทิ่มหัวผมอยู่อย่างนั้น ทำยังกับหัวผมเป็นที่รองคางให้เขา ยิ่งรู้สึกตอกย้ำในความสูงของตัวเอง อือ ฌาณสูงกว่าผมไปเกือบหนึ่งช่วงหัวเลยนั่นแหละ ผมสูงประมาณปลายจมูกเขาเอง... พอผมยอมนิ่งฌาณก็เหมือนได้ใจ จับตัวผมโยกไปมาอย่างไร้ความหมาย



“หนาวไหม”



“...หนาว”



“ขอโทษนะ ลืมเช็คพยากรณ์ฯ”



ได้เหรอวะ “เพราะฌาณอ่ะ ถ้าผมป่วยผมจะฟ้องไจ”



“ผิดไปแล้วครับ”



เขาหัวเราะในลำคอ แต่คำว่าครับของฌาณทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลย ปกติเขาไม่พูดลงท้ายด้วยหางเสียงอย่างนี้ ผมขยับตัวหันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขาทั้งที่ยังถูกกักขังอยู่ในอ้อมกอด



ระยะห่างระหว่างเราใกล้กันนิดเดียว



ใกล้จนผมมองเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาเขา



“หายนอยด์ยัง”



“...ไม่ได้นอยด์สักหน่อย”



“ก็เห็นอยู่...”



“...”



ผมโกหกเขาไม่ได้หรอก การกระทำผมมันฟ้องขนาดนั้นว่าสองสามวันที่ผ่านมาผมทำตัวนอยด์แดกจริงๆ



“ผม...” ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมไม่ได้อยากทำตัวซึมกะทือแบบนี้ แต่มันหยุดคิดไม่ได้



ฌาณกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนผมเงยหน้าไปมองหน้าเขาอีกครั้ง เหมือนจะใกล้กว่าเดิม



“ผมไม่ได้อยากรู้สึกอย่างนี้เลย มันอึดอัด น่ารำคาญ จะหนีก็ไม่ได้ มันติดอยู่ในหัวอยู่อย่างนั้น...”



“อยู่กับปัจจุบันก็พอ” คนพี่สั่งสอน ก่อนก้มมาจูบหน้าผากผมแผ่วเบา



ประโยคของเขาเหมือนเปิดทางให้ผมอีกครั้ง อยู่กับปัจจุบัน ไม่เห็นต้องไปคิดถึงเรื่องในอดีตเลย ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องคิดเผื่ออนาคต เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คิดไปก็ปวดหัวเปล่า



ผมจับจ้องไปยังแววตาสีรัตติกาลที่เป็นกระจกสะท้อนตัวผม มันค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็มองไม่เห็นมัน ภาพตรงหน้าดำมืดเพราะผมหลับตา



พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปาก...



รสจูบของฌาณมันแปลก ริมฝีปากเขาเย็นเพราะอุณหภูมิ แต่รู้สึกดี แตกต่างจากตอนที่ผมจูบกับไนล์ ฌาณประกบปากผมแนบสนิท ดูดคลึงริมฝีปากล่างก่อนค่อยๆ ผละออกไป ผมเห็นดวงตาของเขาอีกครั้ง และหลับตาลงอีกครั้งเพื่อฉกชิมริมฝีปากหวานที่เพิ่งผละจากไป



ผมเผยอปาก ปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามาสำรวจในโพรงปาก ไม่รอช้า ผมใช้ลิ้นตัวเองทักทายกับลิ้นอุ่นของเขา หยอกเอิน แหย่เย้าไปกับจังหวะสอดลิ้นของฌาณ แขนของผมโอบรอบคอเขาไว้แน่น สองเท้าผมเขย่งขึ้นเพื่อจะได้รับรสจูบแสนหวานได้ง่ายขึ้น



ฝนยังคงตกเปาะแปะ เสื้อผ้าของเรายังคงเปียกโชก แต่ร่างกายผมกลับร้อนรุ่ม เรารุกไล่จูบใส่กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ผมโน้มให้ฌาณเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้น รวมถึงฌาณเองก็โอบเอวผมจนตัวเราแนบติดกัน ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ตามจังหวะเขาไม่ไหว หายใจไม่ทันแล้ว...



ฌาณผละจูบออก



จ้องหน้าผมที่เห่อร้อน และคงแดงมากอย่างไม่ต้องสืบ



ก่อนที่ผมจะเอ่ยอะไรออกมา เป็นฌาณที่ชิงพูดก่อน



“ปวดคอ...”



นิสัยเสีย!



“Ur…” ไม่ทันได้เถียงฌาณ ก็มีเสียงจากคนแปลกหน้าดังขึ้นจากทางเข้าห้องน้ำ เราหันขวับไปมองต้นเสียงก็เห็นผู้ชายฝรั่งคนนึงที่น่าจะเป็นคนที่นี่ กำลังทำท่าทีอึกอัก จนฌาณต้องเอ่ย



“เชิญครับ...”



“เอ่อ...”
ฝรั่งคนนั้นพยักหน้ารับ เดินเข้ามาในห้องน้ำสาธารณะ ทว่าไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ตัวเขาเปียกโชก คงมาหลบฝนเหมือนกับพวกผม “น้องชายคุณเหรอ?”



“ครับ”



“อ้อ...มาเที่ยวสินะ แย่เลยนะ ฝนตกแบบนี้”



“นิดหน่อยครับ”



ฌาณส่งยิ้มให้เขาเป็นทันจบบทสนทนา ส่วนผมก็ฝังร่างตัวเองเข้ากับอกฌาณ อายจะบ้าอยู่แล้ว ฌาณนั่นแหละผิด มาทำอะไรในที่สาธารณะเล่า...



หัวใจผมเต้นกระหน่ำอย่างผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นในรสจูบเมื่อครู่ ตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาหรือด้วยเหตุผลอื่นกันแน่...



“เป็นอะไร? หนาวหรือไง”



ผมส่ายหน้า



“เขินเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ใช่ที่ไทยสักหน่อย”



“ไม่เกี่ยวนี่!” ผมไม่รู้ว่าฝรั่งคนนั้นเห็นไหมว่าผมกับฌาณจูบกัน แต่เขาก็เข้ามาตอนที่เรากอดกันแนบชิดเสียจนผมอาย และเพราะอายนั่นแหละผมถึงมุดอยู่กับอกฌาณไม่ยอมผละออกมา ถึงฌาณจะอ้างไปว่าเป็นน้องชายก็เถอะ แต่ผมก็ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้านั้นอยู่ดี



เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เรานั่งลงตรงเก้าอี้ที่มีไว้สำหรับรอคนเข้าห้องน้ำ ผมกอดฌาณนิ่งอยู่อย่างนั้น จนฌาณบอกว่าฟ้าโปร่งแล้ว...



เราออกมาจากห้องน้ำสาธาณะพร้อมฝรั่งคนนั้น ฟ้าโปร่งแล้วจริงด้วย แสงอาทิตย์จ้าเสียจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อครู่เพิ่งผ่านพายุไป



“เดินต่อไหม”



เขาเดินมาถาม เมื่อผมวิ่งจ้าไปรับแสงแดดอุ่น รับรู้ความรู้สึกของผ้าตอนโดนตากก็ตอนนี้ อุ่นดีจัง



“ไปสิ” ผมบอกฌาณ ไหนๆ ก็อุตสาห์นั่งรถมาตั้งนาน แถมยังไม่ทันได้เข้าสู่สวนจริงๆ เลย ไม่อยากมาให้เสียเที่ยว อีกอย่าง...ฟ้าหลงฝนมันสวยจนผมยังไม่อยากจากมันไป



ฌาณพาผมเดินไปตามทาง แวะถ่ายรูปตามป้ายบ้าง คราวนี้ฌาณแอบยกกล้องมาลั่นชัตเตอร์ ถ่ายผมเป็นพักๆ ไม่ได้แอบถ่ายแต่ก็ไม่บอกผมก่อนถ่ายอยู่ดี ยังไงซะผมก็มั่นใจว่ารูปของผมเมื่อผ่านฝีมือฌาณแล้วมันต้องออกมาสวยแน่ๆ ถึงจะสภาพเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำก็ตาม และเราก็ไม่ได้พูดถึงจูบในห้องน้ำนั้นอีก...



พลานุภาพของแสงอาทิตย์นี่แข็งแกร่งจริงๆ เมื่อเราเดินตากแดดกันสักพักเสื้อก็แห้ง ผมรู้สึกดีกว่าเดิมเป็นพันเท่า ระหว่างทางเราเจอแกะด้วย แต่มีรั้วกั้นไว้ทำให้ผมเข้าไปดูมันใกล้ๆ ไม่ได้ เดาเอาเองว่าคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวของใครสักคนที่เลี้ยงแกะไว้



เราเดินมาเรื่อยๆ จนผมชักเหนื่อย แต่วิวมันก็สวย ไม่ใช่ภูเขาเล็กๆ ทางชันๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วเมื่อสองข้างทางเต็มไปด้วยเนินหญ้า ต้นไม้ใหญ่ และท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฟังดูอาจจะไม่ต่าง แต่มันต่างนะ อย่างน้อยก็ต้นไม้เยอะกว่า



ผมเดินนำ ส่วนฌาณก็ถ่ายรูปแล้วก็เดินตามผม ที่นี่มีแค่นี้จริงๆ นั่นแหละ นอกจากเนินหญ้า ต้นไม้ ท้องฟ้า ก้อนเมฆก็ไม่มีอะไรแล้ว คนก็แทบไม่เห็นเลย มีรถแล่นผ่านไปบ้างประปราย แต่ก็น้อยมากอยู่ดี



ผมชื่นชมธรรมชาติตรงหน้าได้ราวกับเป็นเจ้าของมัน



จนกระทั่งเราเดินมาถึงจุดชมวิวของที่นี่ มีกรอบรูปใหญ่ๆ ตั้งไว้ให้เข้าไปถ่ายรูป ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้วผมเลยขอให้ฌาณแชะให้สักรูป คนพี่ก็ไม่มีท่าทีอิดออด ซ้ำยังแนะนำให้ผมขยับไปทางโน้นทีทางนั้นที รูปที่ออกมาก็สวยงามสมฝีมือ เป็นที่น่าพอใจของผม



ผมนั่งเหม่อมองวิวตรงหน้า ตรงนี้เป็นเนินสูงทำให้เห็นเส้นทางไปสู่เบื้องล่าง แต่แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว เดินไปไม่เท่าไหร่ เดินกลับนี่ดิ ผมว่าเราเดินมาไกลมากอยู่นะ และเหมือนฌาณจะอ่านความคิดผมได้เมื่อเขาเอ่ยถาม



“จะเดินต่อไหม? หรือกลับเลย”



“กลับเลย” ผมตอบแทบทันที ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว เราใช้เวลาเดินตั้งสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงตรงนี้ แถมตอนนี้ผมก็หิวมากๆ แล้วด้วย กลัวจะหิวตายก่อนกลับไปถึงที่พัก



ฌาณยิ้ม จับมือช่วยผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วเราก็เดินตรงกลับทางเดิม



เพราะขามาผมเดินแวะนู่นแวะนี่จนทั่วหมดแล้ว ขากลับเลยเดินตรงสถานเดียวไม่เตร็ดเตร่เหมือนขามาอีก



“หิวอ่ะ...”



เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางท้องผมก็ร้องประท้วง เพราะตอนกลางวันเรากินแค่แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดียวเอง ไม่อิ่มท้อง แถมฝนยังมาตก รีดเอาพลังงานผมไปจนหมด ตอนนี้ท้องว่างจนหิวไส้กิ่วแล้ว



“กินนี่ไปก่อน”



ฌาณยื่นแท่งช็อกโกแล็ตมาให้ผม ผมทำตาโต ในกระเป๋าสะพายเล็กๆ นั่นพกอะไรมาด้วยเนี่ย คิดว่าแค่ใส่กล้องมาอย่างเดียวก็เต็มแล้ว



ผมแทะช็อกโกแล็ตแท่งจากฌาณไปเงียบๆ เดินไปกินไปจนมันหมดแท่งแต่ผมก็ยังไม่อิ่ม แล้วฌาณก็ยื่นอมยิ้มมาให้ผมเมื่อเห็นผมหันซ้ายหันขวา ผมรับอมยิ้มจากเขาไปแกะกิน น้ำตาลช่วยทำให้มีพลังขึ้นมานิดหน่อย แต่ผมก็หิวของคาวอยู่ดี



“หิววว” ผมร้องโวยวาย ฌาณบอกให้ทนก่อน เดี๋ยวกลับถึงเมืองเขาจะพาไปกินร้านหมูย่างเกาหลี ทำให้มีแรงเดินต่ออีกหน่อยเมื่อคิดถึงเนื้อหมูที่จะได้กิน



เราเดินมาจนถึงจุดที่มีแกะ ที่ตอนนี้ผมไม่เห็นสักตัว พร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มอีกครั้ง...



“ฌาณ...”



“อืม รีบเดินกันเถอะ”



ผมเรียกชื่อเขาหวังจะบอกสิ่งที่คิดว่าฝนทำท่าจะตก แต่ฌาณเองก็ดูเหมือนจะคิดแบบนั้นอยู่ เราจึงได้แต่เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น



แต่เร็วไม่เท่าเมฆฝน



เมื่อสุดท้าย ระหว่างทางที่เรากำลังเดินนั้น ฝนก็เทลงมา ผมร้องเรียกเขาลั่น



“ฌาณณณณ ฝนตก!”



“รู้แล้ว”



“ทำไงอ่ะ” ผมโวยวาย ที่นี่แย่กว่าขามาอีก เนินเขาโล่งร้างไร้ซึ่งสถาปัตยกรรมใดๆ แม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ๆ สักต้นยังไม่มีตรงนี้เลย



“งั้นมา Hitchhike กัน”



“หา”



“โบกรถไง” เขาว่า อมยิ้มมายังผมก่อนชูนิ้วโป้งโบกข้างทางเมื่อเห็นรถแล่นมา คันแรกผ่านไป...



“จะได้เหรอ...”



“ไม่รู้สิ ไม่เคยลองเหมือนกัน แต่ถ้าเดินต่อต้องเปียกหนักแน่ๆ”



“...”



ผมไร้คำพูดดกับฌาณ ผมไม่เคยต้องพึ่งพาคนแปลกหน้าแบบนี้มาก่อน หมายถึงการโบกรถน่ะ เหตุการณ์ไม่มีรถใช้เคยเกิดขึ้นกับผมที่ไหน แค่โทรกริ๊งเดียวไจก็ส่งคนมารับผมแทบจะทันทีตลอด



ฌาณยังคงไม่ยอมแพ้เมื่อรถคันที่สองแล่นจากไป ผมใจเสียนิดหน่อย...อยากให้มีใครสักคนรับเราขึ้นรถไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินตากฝน แถมฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วเนี่ย



คันที่สามผ่านไป ผมคิดในใจว่าไม่เป็นไรหรอก คันนี้ผู้หญิงขับมาคนเดียว คงกลัวที่จะให้ผู้ชายแปลกหน้าสองคนขึ้นรถด้วย



คันที่สี่ผ่านไป คันนี้มีเด็กนั่งจนเต็มคันรถไปหมด คงไม่เหลือที่นั่งให้เราหรอก



“ฌาณ...” ผมเรียกเขา ส่วนฌาณแค่ลูบหัวผมเฉยๆ เราเดินไปด้วย โบกรถไปด้วย คันที่ห้าผ่านไปโดยที่เราไม่ทันได้โบกรถเพราะเดินหันหลังให้เส้นทาง



ฌาณหันไปมองข้างหลังบ่อยๆ เผื่อว่ามีรถผ่านมา แต่เราก็ต้องเดินไปด้วยเช่นกันเผื่อว่าไม่เหลือรถให้เราโบกแล้ว เพราะคนที่ผมเจอที่นี่น้อยมากจนแทบเป็นสวนร้าง



จนกระทั่งคันที่หก ฌาณรีบชูมือสัญญาณ รถขับผ่านเราไปจนผมใจเสีย ก่อนค่อยๆ ชะลอความเร็ว จอดรออยู่ข้างหน้าเรา



“ฌาณ!” ผมร้องอย่างตื่นเต้น



“ไปกัน” เขาว่า แล้วเราก็รีบวิ่งหนีฝน เปิดประตูฝั่งเบาะหลังเข้าไป



“ขอบคุณครับ” ฌาณเอ่ยทันทีเมื่อเราเข้ามาในรถ



“นักท่องเที่ยวเหรอ แย่เลยนะฝนตกแบบนี้”



“ครับ ผมดันลืมดูพยากรณ์อากาศเสียได้”



“มาจากที่ไหนกันหรือ”



“ไทยครับ”



“อ้อ เพื่อนฉันเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง เป็นประเทศที่สุดยอดมากนะ”



“ขอบคุณครับ”



ฌาณพูดคุยกับคนใจดีอย่างเป็นกันเอง คนใจดีที่รับเราคือคนกีวี่ที่น่าจะเป็นแฟนกัน ผู้ชายขับรถ ส่วนผู้หญิงนั่งข้างๆ ฌาณกับผู้ชายคนนั้นยังคงพูดคุยกัน มีเสียงผู้หญิงแทรกถามมาเป็นระยะ ส่วนผมนั่งเงียบๆ



“จะให้ส่งตรงไหนดีล่ะ”



“ตรงป้ายรถเมล์ก็ได้ครับ”



“โอเค”




หลังจากนั้นภายในรถก็เงียบกริบ ผมนั่งตัวเกร็งจนฌาณต้องแอบเอามือผมไปกุม ช่วยไม่ได้นี่ ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้อ่ะ ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ตัวผมก็เปียกอยู่ กลัวขยับตัวเยอะแล้วรถเขาจะเปื้อน ผมซาบซึ้งกับน้ำใจของคนที่นี่มากจริงๆ นะ ถ้าเป็นที่ไทยผมคงให้ไจส่งของขวัญชิ้นใหญ่ตามไปทีหลังเพื่อขอบคุณไปแล้ว แต่คิดดู...ถ้าเป็นที่ไทย คงหาคนจอดรับนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักกันแบบนี้ยาก



แต่เอาเข้าจริง แค่โทรหาไจกริ๊งเดียวผมก็ไม่มีปัญหาแล้ว



พอมาอยู่ที่นี่ ผมก็เป็นแค่คนโง่ธรรมดาที่ทำอะไรไม่เป็นเลย



รถจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์ ส่วนฝนก็หยุดตกตั้งแต่เราอยู่ในรถแล้ว พวกเราเอ่ยขอบคุณทั้งสอง แล้วรถคันนั้นก็จากไป ครานี้เหลือแค่เราสองคนเคว้งคว้างอยู่ริมถนน เป็นเวลาเกือบห้าโมง ผมกลัวว่าฟ้ามืดแล้วจะน่ากลัว เลยบอกให้ฌาณรีบกลับ



“รอบรถบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงแหน่ะ” เขาเอ่ยเมื่อเช็ครอบรถในมือถือ คงเพราะที่นี่อยู่ไกลตัวเมืองด้วย รถบัสเลยไม่ค่อยมี



“โหยย นานเป็นบ้า ผมหิวแล้ว ง่วงด้วย เหนื่อยด้วย”



“ทนหน่อยน่า”



“บรืออออออ” ผมกระพือปากอย่างไม่พอใจอีกครั้ง แต่ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เป็นอาการธรรมดาของผมเวลาโดนขัดใจ ไจชอบดุผมอยู่บ่อยๆ เรื่องที่ผมทำแบบนี้ ไจบอกว่ามันกวนตีนและก็ไม่สุภาพ



และเหมือนว่าฌาณก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน ผมถึงโดนดีดปากเบาๆ ไปทีนึง



เราไม่มีอะไรทำนอกจากยืนรอรถ ผมภาวนาให้ฝนไม่ตกอีก เมื่อกี้ยังดีหน่อยที่ไม่ได้เปียกหนักเหมือนขามา ตากลมแป๊บเดียวก็แห้ง แต่พอตกเย็น ไม่มีแสงอาทิตย์แล้วทำให้ผมเริ่มหนาว



ผมขยับเข้าไปซุกฌาณอีกครั้ง และเขาก็ตอบรับผมอย่างดีเมื่ออ้อมแขนสองข้างวาดโอบรอบตัวผมไว้ ไออุ่นจากคนตัวสูงช่วยทำให้ผมคลายหนาว



“ฌาณพาผมมาลำบากนะ ทั้งเดินไกล นั่งรถไกล ฝนก็ตก เหนื่อยด้วย หิวด้วย ง่วงด้วย”



“ขี้บ่น”



“ก็มันจริงนี่ พาผมมาตากฝนเฉยเลย”



“โทษที อันนี้พี่ผิดเอง”



“แต่ก็ขอบคุณนะ”



“...หืม”



ผมกระซิบขอบคุณเขา ฌาณจะไม่ได้ยินก็ช่าง เอาเป็นว่าผมขอบคุณเขาไปแล้วก็ละกัน จากพฤติกรรมหลายๆ อย่างของเขาทำให้ผมรู้ว่าฌาณพยายามทำให้ผมร่าเริงขึ้น และมันก็อาจจะสำเร็จก็ได้



เขาเอาปลายจมูกเขี่ยเส้นผมบนหัวผมไปมาจนจั๊กจี้ ผมเงยหน้าช้อนตามองฌาณ เขาจะได้เลยหยุดถูจมูกกับหัวผมสักที ทว่าพอเห็นดวงตาคมของเขาแล้ว ความรู้สึกหนึ่งก็บังเกิดขึ้น...



อยากจูบ...อีก



แต่คงไม่ได้ เราอยู่ข้างนอก ริมถนนเลยนะ ถึงเมืองนอกจะไม่สนใจอะไรแบบนี้ก็เถอะ แต่ถ้าใครผ่านมาเจอผมคงอายแย่ แต่เหมือนฌาณไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเขาช้อนศรีษะผมให้เงยหน้าขึ้น รับรสจูบที่เขามอบให้อีกครา



ผมหลับตารับสัมผัสอ่อนหวาน สองมือขยุ้มเสื้อสีดำของเขาแน่น ฌาณกระชับเอวผมให้ขยับเข้าแนบตัวเขามากกว่าเดิม กดย้ำที่ริมฝีปาก แลบลิ้นลอบเลียแผ่วเบาก่อนผละออก



ผมเงยหน้ามองเขาค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมนั้นก็จ้องผมไม่ขยับเหมือนกัน...



ผมไม่กล้าถามว่าเพราะอะไรถึงจูบ



เพราะผมก็ตอบตัวเองที่ชอบรสจูบของเขาไม่ได้เช่นกัน...





❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄



เอาหวานมาตัดขมบ้าง

ตอนนี้เป็นตอนที่ชอบตอนนึงเลย ^-^

ใครมีประสบการณ์ Hitchhike มาแชร์กันได้นะคะ  o13

ปล.จริงๆ ตอนนี้ผ่านไปครึ่งเรื่องแล้วน้า กะให้อยู่ที่ประมาณ 15+5 ตอน

ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2018 22:04:47 โดย Raccool »

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อยากกอดเจนบ้างงง กอดๆ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
คงไม่เจอเรื่องเฟลอีกนะเจน
หนีมาขนาดนี้ ยังอยากให้กลับไปเจอเรื่องแย่อีก

ไนล์ผิดตั้งแต่เริ่มละ เหมือนพยายามกลบเกลื่อน
แต่ยอมรับตัวเองให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ เลยเลือกไป

ฌาณคือพ่อหนุ่มคนเท่ห์ของเจน
อะไรก็ดีไปหมด ดูแลแต่ไม่ตามใจ
แล้วจูบนี้คืออะไร ฌาณโตแล้ว คงมีคำตอบนะ

โอ๋เจนนะ น่าสงสาร เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ
แล้วเพื่อนก็ยังไม่ซื่อไปอีก เหมือนเจนว่า
ถ้าไม่รัก จะมาให้ความหวังทำไม แถมมีอะไรกันด้วย

เอาใจช่วยให้เจนรักษาแผลให้ได้นะคะ รอพี่ฌาณเปิดตัวนะ

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
จูบปลอบใจงี้เปล่าพี่ อิอิ
หายเศร้าก็ดีแล้ว เขาแต่งงาน
แต่เราก็ยังต้องดำเนินชีวิตของเราไป


ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
น้องงงง เอ็นดูแรง กอดๆนะ ฮื่อออ อย่างที่พี่บอก อย่าคิดมาก อย่าจมอยู่กับอดีตเลยนะ มีพี่ฌาณอยู่ทั้งคน ซุกเตียงนุ่มๆ ดื่มโกโก้อุ่นๆได้อย่างสบายใจเลยนะลูก ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น พี่ฌาณจะปกป้องหนูเองงง :hao5:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 10 : Like a bullet falling from the sky



หลังจากกลับมาจาก Shakespear park แล้วผมก็แทบตาย เรามัวแต่จุ๊บกันอยู่นั่นเลยพลาดรถเที่ยวนึงไป ต้องรอคันใหม่อีกชั่วโมงนึง ทั้งหนาวทั้งหิว กว่ารถจะมาก็มืดแล้ว แถมเราได้รถเที่ยวสุดท้ายพอดีเลยด้วย เกือบไม่ได้กลับแล้วไง



กว่าจะมาถึง Queen Street ก็ปาไปสองทุ่ม และกว่าจะได้กินหมูย่างเกาหลีก็เกือบสามทุ่มเพราะต้องรอคิว ผมงอแงแทบตายแต่ก็หมดแรงจะเดินหาร้านอื่นต่อ พอเรากินเสร็จ กลับถึงห้องผมก็ล้มใส่เตียง ก่อนจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการอาบน้ำเข้านอน



พอเช้ามาผมก็ปวดขาแทบขาดใจ ความปวดจากการเดินเมื่อวานทำให้ผมแทบลุกขึ้นยืนไม่ได้ มันปวดอ่ะ เดินไปไหนก็ตึงๆ ปวดๆ ไปหมด แถมเพราะตากฝนหนาวๆ ด้วยทำให้ผมมีไข้อ่อนๆ เพลียไปหมดเลย ความผิดฌาณคนเดียว และเหมือนเขาเองก็รู้ว่าทำผิดไปถึงได้มานั่งนวดขาให้ผมตอนนี้



ผมนอนคว่ำให้เขานวดตั้งแต่ช่วงเอวลงไป มือของฌาณกดน้ำหนักลงมาจากเอวไปขา จนถึงปลายนิ้วเท้าแล้วก็วนขึ้นมานวดเอวใหม่ วนลงไป



“ฌาณเอาต้นขา”



ผมสั่ง และเขาก็ทำตามอย่างง่ายดายเมื่อมือใหญ่เปลี่ยนมากดน้ำหนักนวดคลึงที่ต้นขาของผม ตอนนี้กลิ่นยาทาคลายกล้ามเนื้อลอยเต็มห้องไปหมด แต่ผมทายาท่วมขาขนาดนี้แล้วก็ยังไม่หายอ่ะ



“ฌาณลงไปอีกหน่อย”



คนพี่ทำตามอย่างว่าง่าย ทำให้ผมได้ใจหน่อยๆ เมื่อก่อนไจกับฌาณก็ชอบใช้ผมนวดหลังให้ ตอนเด็กผมตัวเบา ทั้งสองคนเลยชอบให้ผมเหยียบหลัง ผมไม่รู้ว่ามันทำให้หายปวดได้จริงหรือ แต่ตอนนั้นผมขัดอะไรไม่ได้นี่ ต้องการเป็นเครื่องนวดหลังมีชีวิตให้พวกพี่ชายสองคนนี้ไป



...พี่ชายงั้นหรือ



ปกติพี่น้องเขาไม่จูบกันหรอก...



เอาเถอะ ผมจะไม่เอาเรื่องนี้มาคิดอีกก็แล้วกัน



วันต่อมาผมเริ่มหายปวดขาแล้ว แม้จะยังตึงๆ แต่บรรเทาลงกว่าเมื่อวานมาก แต่ยังมีไข้อยู่นิดหน่อยเลยเพลียๆ ผมนอนกินบ้านกินเมืองจนสาย วันนี้ฌาณไม่ออกไปไหนคงเพราะกลัวผมเป็นอะไรไป ทำหน้าที่พี่เลี้ยงดีเด่นอยู่ในห้อง



“เจนไปกินข้าวได้แล้ว”



“ไว้ก่อน ผมง่วง”



“เจน จะสิบโมงแล้ว”



“...” ปกติผมกินข้าวมื้อแรกตอนเกือบเที่ยงด้วยซ้ำ ผมไม่ตอบฌาณแต่นอนนนิ่งไม่ขยับ เป็นการต่อต้านเล็กๆ



“เจน” เขากดเสียงต่ำ



“...”



พรึ่บ!



“ฌาณ!!”



ผมโวยวายเสียงดังทันทีที่เขาดึงผ้าห่มออกไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว นิสัยไม่ดี



“ตื่น ไปกินข้าว เดี๋ยวก็เป็นกระเพาะหรอก”



ผมขอคืนคำ ฌาณไม่ใช่พี่เลี้ยงดีเด่นเลย เขาควรปล่อยให้ผมนอนต่ออีกหน่อย บังคับให้ตื่นแบบนี้ผมไม่ชอบเลย ฮือ หนาว ง่วงด้วย ปวดหัว



“เอาผ้าห่มมา”



“ตื่นเดี๋ยวนี้ จะนอนไปถึงไหน กินข้าวจะได้กินยา เร็ว”



“ผมอยากนอน”



“เสียสุขภาพ ลุกได้แล้ว”



“ไม่เอา! ฌาณอ่ะ ผมยังไม่หิว ง่วงด้วย ปวดหัวด้วย อยากนอน ขาก็ปวด ไม่อยากขยับตัว”



“เด็กนิสัยเสีย”



“...”



“รีบกินแล้วค่อยมานอน...”



“...”



“...เจน...เป็นอะไร ร้องไห้หรือ?”



ก็ฌาณนิสัยไม่ดี บังคับผมแล้วยังว่าผมอีก ฌาณนั่นแหละนิสัยเสีย ผมไม่อยากลุกตอนนี้ มันปวดขาปวดหัว อยากพักก่อนอีกนิดหน่อย แล้วทำไมฌาณไม่เอาข้าวมาให้ ตอนผมป่วยฌาณก็เอาถ้วยข้าวมาเสิร์ฟถึงเตียง แล้วตอนนี้ทำไมต้องบังคับกันด้วย เมื่อวานยังใจดีนวดขาให้ผมอยู่เลย แล้ววันนี้จู่ๆ เป็นอะไร ผียักษ์เข้าสิงหรือไง



ผมหาคำตอบไม่ได้เลยร้องไห้เงียบๆ



ฌาณคืนผ้าห่มให้ผมแล้ว แต่ผมยังไม่หยุดร้อง พอน้ำตามันไหลแล้วจะห้ามก็ยากแล้วอ่ะ ผมเลยสะอึกสะอื้นอยู่ใต้ผ้าห่ม สมเพชตัวเองอยู่หน่อยๆ แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะฌาณขัดใจผมนั่นแหละ



เคยเป็นไหม เวลาเป็นไข้แล้วอารมณ์มันจะอ่อนไหวง่ายมากๆ เอาเป็นว่าผมเป็นอย่างนั้น



“เจน ขอโทษ อย่าร้อง”



“ฮึก...”



ผมพลิกตัวหนีเมื่อฌาณเข้ามาใกล้ ไม่หายโกรธหรอก ไปไกลๆ เลยไป



แล้วฌาณก็ไปจริงๆ เมื่อผมสัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของเขา ผมแอบเหลือบตาผ่านผ้าห่มก็ไม่เจอฌาณในห้องนอนแล้ว ...ผมไม่ได้น้อยใจนะ แต่ฌาณไม่คิดจะสนใจกันจริงๆ น่ะเหรอ น้ำตาผมไหลมากกว่าเดิม



จนฌาณเดินกลับมาพร้อมถาดอาหาร ผมถึงได้รู้ว่าเขาออกไปเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงที่



ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยในความเอาแต่ใจของตัวเอง รู้สึกเหมือนเป็นง่อย และเพราะตัวเองไม่ยอมลุกจากเตียงก็เลยเป็นภาระให้เขาต้องมาเสิร์ฟอาหารให้ แต่อีกใจก็โทษฌาณนั่นแหละ ถ้าเขาไม่บังคับปลุกผม ผมก็ลุกไปกินดีๆ ได้หรอก



“อ่ะ กินข้าว”



ผมเลยยอมชันตัวนั่งพิงหัวเตียง ถ้าผมยังงอแงจะนอนต่อก็ดูจะทำตัวเป็นเด็กเกินไป แค่นี้ผมก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเอาแต่ใจมากแค่ไหน



ผมลงมือทานอาหารตรงหน้าจนหมด ฌาณที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมรอจนผมกินเสร็จจึงค่อยยกเอาจานไปเก็บ ไม่ลืมกำชับให้ผมกินยาที่เขาเตรียมให้ด้วย ผมใช้สิทธิ์คนป่วยไม่ยอมล้างจานมาสองวันแล้ว และฌาณก็ไม่ว่าอะไร



พอได้ขยับตัวเยอะๆ กลายเป็นว่าผมไม่ง่วงแล้ว แม้จะอยากนอนต่อแต่มันก็นอนไม่หลับ พอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต็มที่ เลยคิดว่าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนค่อยมานอนน่าจะดีกว่านอนเน่าทั้งวัน  ผมเดินผ่านฌาณที่ล้างหม้อล้างจานก่อนเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ผมบอกฌาณแล้ว ถ้าไม่บังคับเดี๋ยวผมก็ตื่นได้เองนั่นแหละ



“ดื่มโกโก้ไหม”



ฌาณถามขึ้นเมื่อผมกำลังจะเดินเข้าห้องนอน เขาคงง้อที่ทำให้ผมร้องไห้แน่ๆ ผมเลยพยักหน้าตอบเขาไป แล้วก็ปีนขึ้นโซฟาเบด กดเปิดทีวีหาอะไรดู



ฌาณเดินเข้ามาพร้อมโกโก้ของผมและกาแฟของเขา ผมรับแก้วโกโก้มาส่วนฌาณก็ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ทีวีมีช่องหนังกำลังฉายหนังเรื่องนึงทำให้ผมตัดสินใจดูมันฆ่าเวลา พร้อมกับจิบโกโก้แสนอร่อยของฌาณไปพลางๆ จนมันหมดแก้ว ผมวางมันไว้บนโต๊ะเล็ก แอบเหลือบมองฌาณนิดหน่อย เขายังคงยุ่งกับแล็ปท็อปบนตัก



ผมดูหนังไปอีกสักพักก็เริ่มง่วงเพราะฤทธิ์ยา แต่ขี้เกียจเดินไปที่เตียง โซฟาเบดตั้งอยู่ติดหน้าต่าง และตอนนี้แดดข้างนอกก็กำลังส่องเข้ามา กำลังอุ่นได้ที่ ผมเลยเริ่มเคลิ้ม ก่อนเอนหัวไปพิงคนข้างๆ



“ง่วงก็ไปนอนดีๆ”



“อือ ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจเดิน เหนื่อย”



“หึ”



จบเสียงหัวเราะในลำคอของเขา ผมก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปาก มันอุ่น และก็แฉะนิดหน่อย ผมปล่อยให้เขาสอดลิ้นเข้ามาโดยที่ตัวเองก็ขยับตัวตอบรับกับจังหวะจุมพิตที่เขามอบให้ เราบดคลึงริมฝีปากกันอยู่อย่างนั้น ยาวนาน... เป็นฌาณที่ผละออกก่อน



ผมจ้องตาเขานิ่ง สองแขนกอดเอวเขาไว้แน่นไม่ปล่อย



ฌาณไม่ขยับตัวหนีซ้ำยังจ้องผมกลับ พร้อมเลิกคิ้วสงสัย...



ถ้าผมถามเขาตอนนี้จะได้ไหมนะ...



ไวเท่าความคิด ผมเอ่ยถาม



“ผมถามได้มั้ย...”



“...”



“ทำไมถึงจูบล่ะ?”



เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววประกายอะไรสักอย่างที่ผมตีความไม่ถูก



“มีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ...”



คำตอบที่ได้กลับมาเป็นคำถาม ฌาณลูบหัวผมเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็พยายามโน้มตัวผมให้ลงไปนอนบนตักเขา หัวใจผมเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทำความเข้าใจมัน...



ผมตื่นมาบนเตียงตอนประมาณบ่ายสาม คิดว่าคงเป็นฌาณนั่นแหละที่อุ้มผมมาไว้ตรงนี้ แต่ตื่นมากลับไม่เจอเจ้าตัวอยู่แถวนี้ ผมบิดขี้เกียจสองสามที ลุกจากเตียงไปอีกห้อง และได้ยินเสียงก่อกแก่กดังขึ้นในห้องน้ำ



“ฌาณ?”



“หือ ตื่นแล้วเหรอ” เจ้าของห้องตอบรับกลับมาทั้งๆ ที่ร่างยังอยู่ในห้องน้ำ



“ทำไรอ่ะ”



“ขัดห้องน้ำ”



“อ้อ...”



“ไหนๆ แล้วก็มาช่วยกันเลย”



“ไม่เอา!”



ฌาณไม่ได้ตอบอะไรกลับมาส่วนผมวิ่งหนีกลับห้องนอนไป เรื่องอะไรจะต้องขัดห้องน้ำ ไม่เอาด้วยหรอก ผมป่วยอยู่นะ ผมมาขดตัวที่โซฟาเบด กดเปิดทีวีหาอะไรดู



เขาทำความสะอาดเสร็จในไม่ช้า เดินเข้ามาในห้องนอน เอื้อมหยิบเครื่องดูดฝุ่นที่พิงอยู่ข้างโซฟาเบดออกมาใช้งาน เสียงมันดั่งสนั่นจนผมหนวกหู เบ้หน้าเหยเก ดูหนังไม่รู้เรื่องอ่ะ เลยลุกไปถามฌาณว่ามีอะไรให้ผมช่วยไหม



ฌาณอบผ้าไว้ใกล้จะเสร็จแล้ว มีส่วนของผมด้วยเลยบอกให้รอผ้าเอาผ้ามาพับ ตัวไหนจะให้ฌาณรีดก็แยกไว้ ที่จริงที่บ้านผมต้องรีดผ้าทุกตัว แต่มาอยู่ที่นี่บางตัวเป็นตัวที่ใส่ซับใน ฌาณเลยจะไม่รีดเพราะขี้เกียจ...



และผมก็ไปบังคับให้เค้ารีดให้ทุกตัวไม่ได้ เพราะฌาณไม่ได้เป็นพ่อบ้าน เลยต้องยอมๆ ไป และค้นพบว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมช่วยฌาณพับผ้าก็สนุกดีไปอีกแบบ ผมเคยถามฌาณว่าทำไมไม่สอนให้ผมรีดผ้า แต่ฌาณทำแค่ปรายตามองผมแล้วบอกว่าเรื่องนี้สอนผมแค่สามเดือนไม่น่าสำเร็จ ผมไม่รู้ว่ารีดผ้ามันยากตรงไหน แต่ก็ดี ผมก็ไม่ได้อยากรีดผ้าเป็นขนาดนั้นหรอก



ฌาณดูดฝุ่นเสร็จแล้ว เขาถามผมว่าเย็นนี้อยากกินอะไร



“พาสต้า”



คือคำตอบของผม ฌาณพยักหน้าเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบออกมาเตรียม เดินผ่านผมที่นั่งพับผ้าไปหยิบของนู่นนี่ แล้วก็เดินมาจุ๊บปากผมอีกครั้งก่อนจะไปยังครัว ผมไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมที่ฌาณทำเท่าไหร่ มันคันยุบยิบที่หัวใจ แล้วหน้าก็พลันร้อนขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย แต่ผมก็ก้มหน้าก้มตาพับผ้าต่อไป











พอใกล้เวลาเข้านอน ผมคลอเคลียซุกเอวเขาก่อนนอน ส่วนฌาณก็เอาแล็ปท็อปมาวางบนตัก นั่งพิมพ์งานยุกยิก ผมกอดเอวเขา กลิ้งไปกลิ้งมาสักพักฌาณก็พับแล็ปท็อปเก็บไว้ข้างๆ แล้วเราก็เข้านอนด้วยกัน





ทั้งที่ทั้งวันก็ใช้ชีวิตปกติธรรมดาแท้ๆ แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้





แล้วมันแปลกไปตรงไหนนะ...





ทำไมผมถึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเฉอะแฉะที่ระหว่างขา...





ทันทีที่ผมรู้ตัว ผมรีบวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำไป เพื่อพบว่าตัวเองฝันเปียก...



...ผมจำได้ว่าไม่ได้ฝันอะไรนะ แต่คงเพราะไม่ได้ระบายออกมาสักพักแล้วหมือนกัน... ก็ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมคิดเรื่องอย่างว่ากันเสียที่ไหนเล่า...



ผมถอนหายใจ น่าอายเป็นบ้าที่ต้องแอบมาซักกางเกงตอนกลางคืนเนี่ย ผมซักไม่เป็นหรอก ปกติก็โยนลงตะกร้าให้คนอื่นเอาไปเข้าเครื่องซัก แต่ขยี้ๆ เอาคราบออกน่าจะพอไหวมั้ง แล้วค่อยเนียนเอาไปซักวันต่อไป แต่ฌาณเพิ่งซักผ้าไปเองนี่ ถ้างั้นผมต้องรอเป็นอาทิตย์เลยหรือ กางเกงผมคงเน่าพอดี แล้วต้องทำยังไงกับมันอ่ะ แง



ล้างน้ำเปล่าไปก่อนเหรอ ต้องใช้น้ำยาซักฟอกขัดด้วยใช่มั้ย แล้วมันต้องใช้ประมาณไหน ใช้สบู่ไปก่อนได้รึเปล่า แล้วมันต้องขยี้ออกยังไง โอย ทำไมมันยากงี้ ผมแอบใช้เครื่องซักผ้าตอนนี้เลยจะเป็นไรมั้ย



และในระหว่างที่กำลังคิดไม่ตก ยืนแก้ผ้าช่วงล่างเอากางเกงจ่อสายน้ำจากก๊อกน้ำอยู่นั้น จู่ๆ ฌาณก็โผล่มาแบบไม่รู้ตัวจนผมสะดุ้งเฮือก



“ทำอะไรน่ะ”



“ฌ...ฌาณ...”



เสียงผมหายวับไปกับสายลม ทำได้แค่ตอบเป็นชื่อเขาอย่างตะกุกตะกัก ผมแค่แง้มประตูห้องน้ำเลยทำให้ฌาณเข้ามาได้ และแก้ตัวอะไรไม่ได้เลย เมื่อหลักฐานทุกอย่างชัดเจนจนไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนพ้น...ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวเมื่อสบตากับฌาณ แล้วเราก็เงียบใส่กัน ปล่อยให้เสียงน้ำไหลจากก๊อกน้ำดังตัดความเงียบ



ฌาณจ้องตาผมก่อนเหลือบมองลงไปยังอ่างล้างหน้า ที่มีกางเกงนอนผมแช่อยู่ในน้ำ



“ฝันเปียก?”



แล้วเขาก็ตัดสินใจตัดสินว่าเป็นเช่นนั้นทันที ผมหน้าร้อนผ่าวกว่าเดิมเป็นคำตอบ ในใจนึกอยากผลักฌาณให้ออกไปพ้นๆ หรือไม่ก็อยากวิ่งหนีทะลุผนังห้องน้ำออกไปให้รู้แล้วรู้รอด



“อายอะไร เรื่องปกติออก ไหนมาให้พี่ดู”



“ฌ...ฌาณ! ออกไปเลย!” ผมโวยวาย พยายามกั้นไม่ให้เขาเข้ามาแย่งกางเกงที่มีคราบหลักฐานไปจากผม แต่ตัวเองเปลือยล่อนจ้อนใส่แค่กางเกงในตัวเดียวเลยไม่กล้าสู้หน้าเขาเท่าไหร่ ถึงชายเสื้อนอนจะยาวพอคลุมกางเกงในผมมิดอยู่ก็เถอะ



แล้วฌาณก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาแทรกตัวเข้ามา ดันผมให้เข้าไปในห้องน้ำลึกกว่าเดิม สองมือหยิบกางเกงชุ่มน้ำของผมขึ้นมาดู ก่อนจะก้มลงไปหยิบน้ำยาซักผ้าที่ซ่อนอยู่ใต้อ่างล้างหน้ามาเทใส่กางเกงผม



ฌาณลงมือขยี้กางเกงผมจนเกิดฟอง



ผมร้องลั่น “ฌาณ! ผมทำเอง หยุดเลยนะ!”



“ทำเป็นหรือไง?” ผมเถียงไม่ออก ได้แต่ยืนจังก้าหน้าแดง พอเถอะ มันน่าอายจนจะร้องไห้แล้ว



ฌาณยังคงขยับมือซักฟอกกางเกงผมจนเสร็จสรรพ เขาบิดน้ำออกจากางเกงขายาว เดินเอาไปตากบนราวแขวนผ้าที่ฝังท่อให้ความร้อนอยู่ทำให้มันอุ่นๆ พอตากผ้าได้



“...กางเกงในไม่เปื้อนเหรอ”



“!!”



“ถอดมาสิเดี๋ยวซักให้”



“ไม่เอา!!”



ผมร้องเสียงดัง ยิ่งร้องในห้องน้ำเสียงยิ่งดังก้อง คิดว่าถ้าห้องไม่ได้เก็บเสียงคงดังไปทั้งตึก ฌาณเป็นบ้าหรือไง แค่ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว



“เร็วๆ”



“ไม่เอา ผมทำเอง”



“อย่าดื้อสิ ถอดมา หรือจะให้พี่ถอดให้”



“ฌาณโคตรแย่ ผมจะฟ้องไจ!”



“ฟ้องสิ พี่ก็จะฟ้องไจด้วยว่าเราทำที่นอนพี่เปื้อน”



“!!”



ผมใบ้กินอีกครั้ง ตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรกับตัวเองผมก็รบถลกผ้าห่มวิ่งเข้าห้องน้ำทันที ไม่ทันได้ดูว่ามันเลอะตรงไหนรึเปล่า ผมคิดว่ามันเลอะแค่เป้ากางเกงอ่ะ..



“เห้ยๆ ร้องทำไม เจนเป็นคนที่ถ้าใครทำอะไรขัดใจหน่อยก็จะร้องไห้ไปหมดเลยหรือไง”



“...”



ผมไม่ตอบ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกไปมากกว่านี้ ผมทั้งโกรธทั้งอายทั้งโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้น้ำตามันก็เลยไหลอกมาเอง ถ้าเป็นคนอื่นผมต่อยไปแล้วแม่ง ฮือ



“ยังไงเจนก็ต้องถอดอยู่แล้วนี่ คงไม่คิดจะใส่กางเกงในเปียกๆ นั่นต่อใช่ไหม”



“...”



“ส่งมาเถอะเดี๋ยวซักให้ แป๊บเดียว จะได้ไปนอน”



“...ผม...จะซักเอง”



“ดูก็รู้ว่าเจนซักไม่เป็น...”



“ผมจะซักเอง ฌาณออกไปได้แล้ว!”



“...เจน อย่าดื้อ เร็วๆ พี่ง่วง”



“ไม่เอา!” ให้ตายผมก็ไม่ยอมถอดกางเกงในต่อหน้าเขาเด็ดขาด



“อายอะไร เห็นมาหมดแล้วน่า”



สิ่งที่ฌาณพูดทำให้ผมอยากร้องไห้มากกว่าเดิมอีก ไม่เอาได้มั้ย ฌาณไปไกลๆ ก่อนได้มั้ย เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นต้องมารู้นี่ แค่เขารู้ว่าผมฝันเปียกก็อายจะบ้าตายอยู่แล้ว นี่เล่นมาขอกางเกงในผมเอาไปซักอีก แถมซักด้วยมือด้วย ผมเอาหน้ามุดชักโครกตายได้มั้ย



หมับ



!!



ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ฌาณก็เดินมาประชิดตัวผม ทั้งยังจับเอวผมไว้แน่น เมื่อเงยหน้ามองเขาฌาณก็กำลังก้มมองผมอยู่เช่นกัน ก่อนที่ฝ่ามืออุ่นของเขาจะล้วงเข้าไปที่ขอบกางเกงในของผม



“ฌาณไม่เอา!!”



“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ปล่อยผม!!”



ผมร้อง ดิ้น โวยวาย ทรุดตัวลงไปนั่ง ไม่ให้เขาทำตามความคิดได้สำเร็จ ช่วงล่างผมมันเหนอะหนะก็จริง แต่ผมก็ทนไม่ได้ที่จะต้องถอดมันต่อหน้าเขาอยู่ดี ผมยอมทนไม่สบายตัว หรือหัดซักผ้าเองก็ได้ ไม่ต้องมายุ่งกับผมได้มั้ยอ่ะ



“...เจนทำเหมือนพี่กำลังรังแกเจน”



ก็แล้วมันจริงมั้ยเล่า “ฌาณ...ปล่อยผม”



เขาก้มตัวลงมานั่งไปกับผม มือแกร่งยังคงยึดขอบกางเกงไว้แน่น ผมเองก็ยึดมันแน่นเหมือนกัน



“โอเค ผมถอดเอง ฌาณปล่อยก่อน นะ...”



สุดท้ายผมก็ร้องเสียงอ่อน อ้อนวอนให้เขาอย่าถลกปราการด่านสุดท้ายของผมไป เพราะถ้าวัดกันเรื่องกำลัง ผมคงสู้เขาไม่ได้แน่ๆ พอจบคำขอ ฌาณจึงยอมปล่อยมือ



“...ฌาณ หันไปไม่ได้หรือไง มาจ้องทำไมเล่า”



“เรื่องมาก” เขาบ่น แต่ก็ยอมหันหลังให้ ผมหงุดหงิด ถ้าเป็นฌาณเองจะยอมถอดกางเกงต่อหน้าผมแบบนี้มั้ยเล่า



ฌาณหันมาตอนที่ผมถอดเสร็จแล้ว เขาเลยรับก้อนกางเกงในยู่ยี่ในมือผมไปคลี่ออก เปิดน้ำล้างและลงมือซักตรงอ่างล้างหน้าต่อหน้าต่อตาผมอีกครั้ง ผมอยากจะวิ่งหนีออกจากห้องน้ำไปซุกผ้าห่มแล้วม้วนตัวให้หายไปจากโลกใบนี้เอาเสียมากๆ ติดอยู่ตรงที่ฌาณยืนขวางหน้าห้องน้ำอ่ะ เพราะอ่างล้างหน้ามันอยู่ติดประตู และฌาณก็บังประตูเสียมิด



ทำให้ผมติดแหง่กอยู่ในซอกห้องน้ำแบบนี้



คราบน้ำเจ้าปัญหามันเลอะที่ต้นขาผมหน่อยๆ แต่ผมว่าจะทำความสะอาดมันหลังจากที่ฌาณออกไปแล้ว ตอนนี้เลยได้แต่ยืนทื่อๆ พยายามดึงชายเสื้อให้ลงมาปิดช่วงล่างให้มากที่สุดแทน



จนกระทั่งเสียงก๊อกน้ำหยุดลง



ฌาณเอากางเกงในผมไปตากที่ราวร้อนๆ นั่น ข้างๆ กางเกงของผม แล้วเขาก็หันมามองตัวปัญหาอย่างผมที่ยืนเป็นคนโง่อยู่ในซอกห้องน้ำ เขาปรายตาลงต่ำก่อนเอ่ย



“...ตรงนั้นต้องให้พี่ช่วยทำความสะอาดมั้ย”



“ไม่ต้อง!”



“หึ”



“ออกไปเลยไป!!”



คราวนี้ฌาณทำตามคำขอของผม เขาเดินออกจากห้องน้ำไปพร้อมปิดประตูให้ด้วย ผมรอจนแน่ใจว่าเขาไปจริงๆ แล้วจึงค่อยทำความสะอาดตัวเอง



ผมถอดถุงเท้า เข้าห้องอาบน้ำเพื่อเปิดฝักบัว หวังจะชำระล้างคราบเหนียวๆ ระหว่างขา อย่างที่บอก ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ก็ไม่ได้คิดเรื่องอย่างว่าเลย รวมถึงไม่ได้ช่วยตัวเองด้วย พอสายน้ำอุ่นๆ มันแตะตรงจุดลับ สัมผัสมันนิดหน่อยผมก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว... ใจจริงผมอยากรีบๆ ล้าง แล้วรีบเข้านอนเสีย ทว่าร่างกายกลับต่อต้าน…



เอาออกอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง... รีบๆ ทำฌาณคงไม่สังเกต...



ขณะเริ่มต้นภารกิจ ผมภาวนาให้ฌาณเข้านอนไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจผม ทว่าคำขอของผมคงส่งไปไม่ถึงคนบนฟ้า เมื่อจู่ๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาพร้อมกับร่างของเจ้าของห้อง



“ทำอะไรนาน...”



“...”



“...ว่าแล้วว่าให้พี่ช่วยดีกว่าจริงๆ ด้วย”



“ออกไป!!”



หน้าผมร้อนผ่าวเมื่อฌาณเข้ามาเห็นตอนผมจับส่วนนั้นของตัวเองอยู่พอดี น้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า เขาทำให้ผมอายอีกครั้งไม่พอ ยังทำอะไรไม่ได้อีกด้วย ผมลืมไปเลยว่าฌาณไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำให้ อยากตายจริงๆ แล้ว



“ถ...ถ้าเข้ามาผมยิงจริงๆ นะ”



ผมร้อง ขู่เขาด้วยฝักบัวอย่างโง่เง่าจนปัญญาแล้ว ฌาณทำเพียงเลิกคิ้วขึ้น และเขาก็ไวกว่าผมอีกครั้งเมื่อฌาณเอื้อมมือไปกุมก๊อกฝักบัวไว้และบิดมันให้ปิดจนสุด



“ฌาณจะเข้ามาทำไมเล่า!”



“ก็มาดูว่าเจนทำอะไรนาน”



“นั่นมันเรื่องของผมไหม”



“กลัวว่าจะลื่นล้มหัวฟาดห้องน้ำอีก”



“ไม่ลื่นแล้ว!”



“น่ะ ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว ให้พี่ช่วยเลยแล้วกัน”



“ไม่เอา!!”



“ทำไมต้องเสียงดัง เขินหรือ?”



“ฌาณ! ถ้าฌาณเป็นผม ฌาณจะรู้สึกยังไงล่ะ”



“...ก็ดีนะ มีคนช่วย”



ดีกับผีน่ะสิ ฌาณแม่งบ้าไปแล้ว! ผมหวีดร้องอยู่ในใจ พื้นที่ในตอนนี้แคบกว่าเมื่อกี้อีก ห้องอาบน้ำแคบๆ ยิ่งทำให้ผมหนีไปไหนไม่ได้



“หึๆ ไม่ร้องสิ มานี่” เขาคว้าตัวผมไว้ พร้อมกับเคลื่อนตัวมาใกล้จนร่างกายเราแทบแนบสนิท



“...”



“อยู่เฉยๆ” มือใหญ่ลูบสะโพกผม ส่วนอีกข้างก็เลื่อนมากุมส่วนนั้นไว้



“...ฮึก...ไม่เอา”



“ชู่ว...เด็กดี” เขากดจูบลงขมับผม



ฝ่ามืออุ่นที่ครอบครองส่วนนั้นของผมไว้เริ่มขยับเบาๆ



แล้วผมก็ปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างง่ายดาย ปล่อยให้ตัวอ่อนยวบไปกับสัมผัสของฌาณอย่างไม่คิดขัดขืนอีกต่อไป เมื่อสัมผัสของเขาทำให้ผมเคลิบเคลิ้มจนสิ้นสติ



ตัวอ่อนย้วยอยู่ในอ้อมกอดของเขา สั่นเกร็งกับสัมผัสวาบหวามส่วนกลางลำตัว สองมือผมโอบรอบคอคนพี่ไว้แน่นอย่างไม่คิดจะปล่อย



เจนนินทร์นายมันคนใจง่าย





❄❄❄❄❄❄


 :hao6:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เจนนินคนใจง่ายยย

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ฌาณณณณณณณณณ คนลามกกกกกกแกล้งน้องงงงงง จะฟ้องไจจจจจจจจจจจจ :ling1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ LOЯPOR

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยยย อิพี่!! ทำไมลวนลามน้องงงง
โอยยยย เขินตายแล้ววว
ผู้ชายไทป์ฌาณคือดีย์

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
นายมันร้าย! รังแกน้อง
กรี๊ดดดด :katai2-1:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โอ๊ยยยยยยยยยยยย น้องเจนรู้กกกกกก ฌานนนนนนนี่แหละหมาป่าในคราบลูกแกะ

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ฌานนน หิวแกะซะแล้ว  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
Lies 11: The pretty lie, the ugly true



หลังจากวันนั้น ฌาณทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาช่วยผมเสร็จเราก็พากันเข้านอน และตื่นมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ผมยังมองหน้าฌาณไม่ติด แต่ดูเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้าฌาณไม่พูดถึงผมก็จะไม่คิดถึงมันอีก น่าอายเป็นบ้า



ถึงแม้ในใจจะสงสัยในการกระทำของเขาอยู่มากพอสมควรก็เถอะ ผมไม่รู้ว่าการที่ฌาณมาทำแบบนี้กับผมมีความหมายอะไรไหม แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป ในใจตอนนี้สับสนและกังวลจนไม่อยากรับเรื่องราวเพิ่มอีก



ผมจูบกับอดีตพี่ชายข้างบ้าน หนำซ้ำยังปล่อยให้เขาช่วยปลดปล่อยอีกต่างหาก...



ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรกับความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ดี



นับจากวันนี้ยังเหลือเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะกลับไทย



อันที่จริง อยู่กับฌาณอย่างนี้มันก็ดี ไม่มีอะไรให้วุ่นวาย ติดตรงที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนและเมืองมันก็ไม่มีอะไรที่ผมสนใจให้เที่ยวเยอะด้วย แต่มันก็สบายดี



ผมเลื่อนตั๋วกลับดีมั้ยนะ...



ไม่ได้แปลว่าผมอยากอยู่กับฌาณนานๆ หรอก แค่ไม่รู้จะกลับไปทำอะไร ผมเรียนจบแล้ว แถมที่บ้านก็ดูไม่ได้กังวลเรื่องงานหรืออาชีพของผมอีก ผมขอไจอยู่อย่างนี้สักพักเป็นแก็ปเยียร์ไจคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง



ผมยังไม่อยากกลับไทยเร็วๆ นี้



ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อกับเจดจะว่าไงเรื่องผม ไม่รู้ว่าไนล์กับลินจะเป็นยังไงและไม่อยากรู้ด้วย ผมอยากหนีความจริงอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ฌาณจะอนุญาตมั้ยนะ หรือผมจะอยู่เป็นเพื่อนฌาณจนฌาณเรียนป.โทจบเลยดี วีซ่าของผมยังไม่หมดอายุ หรือถ้าหมดก็กลับไปต่อได้



ผมคิดฟุ้งซ่านไร้สาระ เพราะฌาณออกไปทำงานกับกุสตัฟที่ห้องสมุด และผมก็ไม่อยากไปที่นั่น มันน่าเบื่อไม่มีอะไรทำ ผมไม่ใช่คนชอบหนังสือขนาดนั้น อ่านบ้างเป็นบางครั้งแต่ไม่ได้ถึงกับคลั่งไคล้ เพราะงั้นเลยเลือกนอนเล่นอยู่ที่ห้อง ผมอยากออกไปเที่ยวอีกแต่ฌาณคงไม่ว่างพาผมไป ผมไม่กล้าไปคนเดียวแล้วด้วย



ถึงแม้ว่าเรื่องซีนไจจะจัดการให้แล้วก็เถอะ



ผมรู้เพราะว่าไจส่งเมล์มาหา บอกว่าเรื่องซีนให้วางใจได้ จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกแล้ว ผมเลยรู้ว่าเขาคงจัดการอะไรบางอย่างกับคนชั่วนั่นไปแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่วางใจ กลัวไปเจอคนไม่ดีแบบซีนอีกแล้วผมก็จะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง



แต่นอนอยู่เฉยๆ แบบนี้มันก็น่าเบื่อ ผมไม่มีงานอดิเรกอะไร เอาแต่ดูหนังดูซีรี่ย์ เล่นเกมไปวันๆ อยากออกไปเที่ยวแต่เท่าที่เสิร์ชดู ที่เที่ยวในโอ๊คแลนด์มันก็มีเท่านี้ แม้ว่ายังเหลือ mission bay ที่ผมยังไม่ได้ไป มันอยู่ค่อนข้างไกล ไปไม่ยากเท่าไหร่ แต่ไม่มีฌาณพาไปผมก็ไม่อยากไปคนเดียว



เพราะถึงผมไปได้ แต่ไปถึงผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าต้องทำอะไร มันมีอะไรน่าสนใจ



อยากไปเที่ยวแล้ว ฌาณรีบๆ กลับมาได้แล้ว



ตอนเย็นฌาณพาผมออกมากินข้าวข้างนอก ใช้คำว่าพาคงไม่ถูกเพราะเขาส่งแผนที่ให้ บอกให้ผมมาเองเพราะขี้เกียจไปรับ ผมเบ้หน้า ไม่พอใจอยู่หน่อยๆ แต่ไปเองก็ได้ ร้านที่ฌาณนัดอยู่ที่ Queen Street ทำให้ผมพอไปเองไหว



ฌาณพาผมมารู้จักกับเพื่อนๆ ที่มหาลัยอีกสองสามคน เป็นชาวกีวี่ทั้งหมด ผมเอ่ยทักทายก่อนเราจะพากันเข้าไปข้างในร้าน



ร้านอาหารญี่ปุ่นค่อนข้างถูกใจผม ผมฟังฌาณกับกุสตัฟคุยกันกับเพื่อนชาวกีวี่ ส่วนตัวเองขอนั่งกินอย่างเดียวไม่สุงสิงด้วย เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไร แต่เพื่อนฌาณไม่ปล่อยให้ผมนั่งเงียบ เขาชวนผมคุยเรื่องโน่นนี่เรื่อยเปื่อยจนผมต้องคุยด้วย ทีแรกมันก็เกร็ง แต่เพราะทุกคนน่ารักผมเลยยิ้มหัวเราะออกมาได้อย่างง่ายดาย



เวลาประมาณเกือบๆ สองทุ่มเราก็แยกย้ายกันกลับ



“เป็นไง” ฌาณถามผมเมื่อเราขึ้นรถบัสเตรียมกลับ



“หมายถึงอะไร?”



“ก็ทั่วไป...”



“ก็ดี...เพื่อนฌาณน่ารักดี”



“ใช่ไหมล่ะ ไว้จะพาไปหาอีก”



“อือ...ฌาณ เมื่อไหร่จะได้ไปเที่ยว”



“หึๆ เบื่อห้องล่ะสิ”



“อือ เบื่อ”



“ที่เที่ยวมี่นี่มีไม่มากหรอก พี่เองก็ไม่ค่อยได้ไปไหน”



“แต่ฌาณยังมีอะไรทำไง” ส่วนผมว่างแล้วว่างอีก



“งั้นเราก็ไปหาครอสลงเรียนสิ”



“ไม่เอา ผมเบื่อจะเรียนแล้ว” คนเพิ่งจบนะ ขอห่างๆ จากหนังสือหรือการเรียนหน่อยเถอะ



ฌาณไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาแค่หัวเราะขำ



“อยากไป Mission bay”



“เอาสิ วันไหนล่ะ”



“...ฌาณนั่นแหละว่างวันไหนเหอะ”



“นั่นสิ...” เขาว่าพร้อมกับนิ่งนึก “อาทิตย์หน้าเลยมั้ง”



คำตอบของเขาทำให้ผมไม่พอใจ นี่ไม่เท่ากับว่าผมต้องรอไปอีกห้าหกวันเลยหรือไง



“ถ้าเบื่อห้องก็มานั่งเล่นห้องสมุดสิ”



“ไม่เอา น่าเบื่อกว่าเดิมอีก”



“มีหนังสือนิยายให้อ่านเยอะแยะ”



“ตอนนี้ผมไม่อยากอ่าน”



“ข้างๆ หอสมุดก็มีอาร์ตมิวเซียม ข้างอาร์ตมิวเซียมก็มีสวนสาธารณะ ไปลองเดินเล่นดูก็ได้”



“ไม่เอาอ่ะ...” ผมเบ้ปาก อยากไปเที่ยว หมายถึงอยากไปไกลๆ ผมไม่ได้ชื่นชอบงานศิลปะ และเบื่อสวนสาธารณะอะไรแบบนี้แล้วด้วย เห็นมันก็มีทุกที่อ่ะ ละก็ไม่ได้ต่างกัน ผมอยากให้ฌาณพาผมไปเที่ยวได้แล้ว



“ไม่งอแงสิ อาทิตย์นี้พี่ไม่ว่างจริงๆ ต้องทำวิจัย เนี่ยถึงขั้นยกเลิกสอนพิเศษแล้ว”



“...”



ผมไม่ได้ตอบเขา ฌาณก็ไม่เอ่ยอะไรเพิ่มเติม เขาแค่เอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ ส่วนผมก็หงุดหงิดที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ



วันต่อมา เป็นอีกวันที่ผมนอนเน่าตัวเปื่อยอยู่บนเตียง เพราะฌาณออกไปทำงาน อันที่จริง ผมตั้งใจจะขอให้ฌาณพาไปMission bay วันนี้ แต่อย่างที่เขาบอก อาทิตย์นี้เขาไม่ว่าง หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้



วันนี้เป็นวันแต่งงานของไนล์กับลินและผมต้องรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง



ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมไม่อยากคิดฟุ้งซ่าน อยากออกไปเที่ยว มีเรื่องให้ทำจะได้ยุ่งๆ ไม่ได้ต้องมาคิดเรื่องราววุ่นวายน่าปวดหัว



เสียแต่ความเป็นจริงคือผมอยู่คนเดียว และกำลังคิดฟุ้งซ่านอย่างหยุดไม่อยู่



ผมอยากได้อ้อมกอดของฌาณ...



อย่างน้อย แค่เขาอยู่ข้างตัวผมไม่ให้ผมคิดมากก็ได้ แต่เพราะฌาณไม่ว่าง ทุกคนต่างมีธุระ มีชีวิตต้องดำเนินต่อไป ส่วนผมก็ยังคงจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกเก่าๆ อย่างไร้ทางออก



ผมแม่ง...ใช้ชีวิตได้ห่วยจริงๆ นั่นแหละ



กะอีแค่เรื่องแค่นี้ทำเหมือนจะเป็นจะตาย เพราะไม่อยากอยู่ประเทศไทยในวันแต่งงานของเพื่อนสนิท ถึงขั้นต้องหนีมาอยู่ที่ไกลๆ ขนาดนี้ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย



ผมพยายามหลับตานอนเพื่อให้เลิกคิดเรื่องพวกนี้ แต่เพราะผมนอนมากไปถึงได้นอนไม่หลับ กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอย่างไร้ค่า ผมไม่ได้อยากรู้สึกอย่างนี้เลย แต่แค่คิดว่าไนล์กำลังจะไปเป็นของคนอื่นผมก็เคว้งแล้ว หึงหวงจะเป็นจะตายทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์



ทำไมไนล์ถึงไม่เลือกผม ทั้งที่ผมมาก่อนแท้ๆ ทั้งๆ ที่เราผ่านอะไรด้วยกันมามากกว่าผู้หญิงคนนั้นแท้ๆ



ทำไมไนล์ถึงไม่ใช่ของผม



ทำไม



ผมเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นมาตอนเกือบบ่ายสี่ ผมนอนลืมตามองเพดานห้อง ก่อนคว้ามือถือมากดเล่น ไจส่งเมล์มาหาทำให้ผมเปิดดู



และพบว่ามันเป็นเมล์เกี่ยวกับงานแต่งงานของไนล์วันนี้...



ไจไปงานแต่งของไนล์แทนผม อย่างที่บอก...ครอบครัวผมกับไนล์สนิทกันมาก ผมเสียใจที่ไม่สามารถไปร่วมยินดีในวันมงคลของเพื่อนซี้ได้ แต่เหนืออื่นใด ผมเสียใจที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของหัวใจเขาได้จวบจนโอกาสสุดท้าย



ผมนอนเหม่อมองเพดานอีกครั้ง ปล่อยมือถือลงข้างตัว อยากส่งตัวไปดาวอังคาร ลอยคว้างอยู่ในอวกาศคนเดียวไม่ต้องมีใคร



เมื่อนึกบางสิ่งที่เคยเห็นในตู้เย็นของฌาณได้ ทำให้ผมตัดสินใจชันตัวลุกขึ้นจากเตียง สุดท้าย ผมก็เลือกการกระทำโง่ๆ โดยการขโมยเบียร์ในตู้เย็นของเขามาดื่ม



...จนหมด...



แม้ไม่ได้เมาจนขาดสติไปอวกาศอย่างที่หวัง แต่พอทำให้มึนหัวอยู่บ้าง



ผมคิดถึงรูปที่ไจส่งมา ภาพที่ได้เห็นปรากฏเป็นรูปคู่ของไจกับไนล์ ไม่ได้มีเจ้าสาวในรูป แต่นั่นก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากพอแล้ว เมื่อเห็นเจ้าของหัวใจในชุดเจ้าบ่าวและบรรยากาศงานแต่งที่ดูเหมือนว่าจะจัดในโรงแรมหรู โคมไฟระย้าดอกไม้หวานแหววสื่อถึงความรัก กระแทกตาให้รับรู้ว่าเป็นเรื่องจริง



สุดท้ายผมก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว ผมร้องไห้จนปวดตาไปหมดเหมือนเป็นคนบ้า แต่ความปวดภายนอกคงเทียบไม่ได้กับความรู้สึก เหมือนจะตายให้ได้เลย...



พระอาทิตย์ตกดิน แสงสว่างของวันหมดไป...ผมนั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง จับตามองความมืดที่ปรากฏบนท้องฟ้า แสงไฟจากตึกรอบๆ แข่งกันส่องสว่าง แล้วมันก็คงดับหายไปในความมืดยามกลางดึก



ผมได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ทว่ากำลังนั่งหันหลังให้ประตู จึงไม่เห็นคนเข้ามา แต่ผมเชื่อว่าตัวเองเดาไม่ผิดหรอก ว่าต้องเป็นเขา



ฌาณกลับมาแล้ว...



“ทำอะไร...”



“...”



“แอบเอาเบียร์พี่ไปกินทำไม”



“...ฌาณ”



“หืม”



“...”



ผมได้แต่เปิดปากแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ยังคงนั่งหันหลังให้เขาจนฌาณเดินมานั่งข้างๆ ผมจ้องหน้าต่างเบื้องหน้า ไม่ใคร่จะหันไปมองหน้าเขาตอนนี้



จนสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วอุ่นๆ ที่แตะลงบนแก้มผม พร้อมกับลูบคราบน้ำตาออกช้าๆ



“เป็นอะไร”



ผมส่ายหน้า



ไม่ได้เป็นอะไร...ก็แค่ไม่ได้ถูกรัก



เหตุผลสั้นๆ เสียแต่ความเจ็บปวดกลับทะลักล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เท่านั้น



“ไม่เป็นไร...พี่อยู่นี่”



ครานี้เขาไม่ได้บอกให้หยุดร้องเหมือนที่แล้วมา แต่กลับดึงตัวผมเข้าสู่อ้อมกอด ปลอบประโลมราวกับกำลังโอบอุ้มเศษแก้วเปราะบาง



ผมพลิกตัวเข้าหาฌาณ ซุกหน้าลงกับอกแกร่ง มุดหาที่พึ่งพิง ก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกทะลักออกมา



...ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกจากปากผมอย่างห้ามไม่ได้ เนื้อหากล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อไนล์คำแล้วคำเล่า สะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพชเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ซ้ำยังถูกทำร้ายหัวใจเพราะตัวเอง



เพราะเลือกที่จะรักเอง



ทำไมไนล์ไม่เลือกผม ทำไมผมถึงเป็นของไนล์ไม่ได้ ทำไมไนล์ถึงเลือกเธอ ทั้งๆ ที่ผมมาก่อน ทำไมถึงทิ้งผมไว้ ผมไม่สำคัญแล้วหรือ ทำไมต้องทำให้เรื่องมันเกิด ทำไมถึงห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้



หลากล้านคำว่าทำไมล้นออกจากปาก ฌาณไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กอดผมไว้อย่างนั้นพร้อมกับลูบหลังเบาๆ จนกระทั่งผมสงบสติลง ภายในห้องจึงดังเป็นความเงียบ



เรากอดกันนิ่ง ปล่อยให้เวลาเลยผ่าน ต่างคนต่างมีความคิดอยู่ในหัว



“ฌาณ...กอดผมหน่อย”



“...กอดอยู่นี่ไง”



และไม่รู้ว่าเพราะอะไร คงเพราะความสัมพันธ์ของผมกับฌาณมันก้าวกระโดดไปไวมาก จากการกระทำของฌาณที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าเขาคงชอบผมล่ะมั้ง และถ้าเป็นอย่างนั้นจะผิดไหมถ้าผมอยากให้เขาช่วยคลายเศร้าให้ตัวเอง... ถ้าเป็นฌาณ...ผมคงยอม...



“กอด...ที่มากกว่านี้”



“...”



อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ผมกล้าเอ่ยออกไป เมื่อความต้องการถูกเสนอออกไปอย่างไม่อาจย้อนกลับ ผมไม่กล้าสู้หน้าฌาณ กลัวเขาปฏิเสธหรือดุที่ผมเป็นคนอย่างนี้ จึงได้แต่ซุกลงหน้าอกเขา ฌาณนิ่งเงียบไปพักใหญ่จนผมใจเสีย อยากจะบอกว่าล้อเล่น แต่อีกใจผมไม่ได้ล้อเล่น ผมอยากให้เขากอด…



ให้อย่างน้อยก็รู้ว่ายังมีคนต้องการผม



ตอนนั้นมันก็เขินที่ฌาณมาทำโน่นทำนี่ใส่ แต่เพราะมันผ่านมาแล้วแถมเขาก็ดูไม่รังเกียจที่ต้องสัมผัสผมนี่...ถ้าอย่างนั้นผมขอมากกว่านี้เขาคงยอม... มันอาจเป็นเรื่องไม่ดีและน่าอายก็จริง แต่ตอนนี้ความรู้สึกเศร้ามันล้นทะลักมากกว่าอารมณ์ไหนๆ ผมอยากให้เขาช่วยทำให้ผมคลายเจ็บ



แต่ฌาณนิ่งนานเกินไป จนสุดท้ายผมก็ขยับตัวออกมา ตั้งท่าจะเอ่ยบอกให้เขาอย่าใส่ใจ



ทว่าทันทีที่อ้าปาก กลับได้รับรสจูบจากคนตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว



ฌาณช้อนคางผมให้เงยหน้ารับมุมกับองศาที่เขาต้องการ ใช้ริมฝีปากดูดดึงริมฝีปากล่างผมจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอาย เขาผละออกไปเล็กน้อยแต่ไม่ปล่อยให้ผมหยุดพัก ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากพร้อมกับเกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นผมจนพันกันวุ่นวาย



ผมสะดุ้งเมื่อฝ่ามือร้อนมุดเข้ามาในสาบเสื้อ บีบเฟ้นสะโพกเสียเต็มแรงก่อนจะลูบไล้สะเปะสะปะจนทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา ฌาณลูบมือผ่านยอดอกผมไปมา วนลงหน้าท้องเลื้อยเข้าไปลูบหลังก่อนจะวนขึ้นมาวุ่นวายแถวหน้าอกผมใหม่ จนปลายนิ้วแหย่เย้ายอดอกทำให้ผมตกใจจนเกร็งตัว



ฌาณยอมถอนจูบออกไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจ้องตาผมเขม็ง ลอบเลียริมฝีปากตัวเองราวหมาป่าหิวกระหายที่เห็นผมเป็นเหยื่อ



มือสองข้างจับเสื้อผมถลกขึ้น ผืนเนื้อผมปะทะกับอากาศหนาวจนขนลุก ผมซุกตัวเข้าหาไออุ่นจากคนแก่กว่า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ส่งเสียงดังโครมครามราวกับหัวใจจะหลุดออกมาอย่างนั้น แม้จะตกใจที่จู่ๆ เขาก็เริ่มรุกไล่โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ ปล่อยให้ฌาณทำตามต้องการ



ฌาณช้อนตัวผมขึ้นไป อุ้มไปยังเตียงใหญ่อย่างไม่ใคร่จะใส่ใจที่จะปิดไฟหรือปิดม่าน



เอาเถอะ ห้องก็อยู่ตั้งสูง...แถมตึกข้างๆ ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ คงไม่มีใครมองผ่านเข้ามาได้หรอกมั้ง...



ผมปล่อยให้เจ้าของห้องกางแขนคร่อมผมไว้ ฌาณจับคางผมก่อนก้มลงประกบจูบ แลกลิ้นกันอีกครั้ง ครานี้ เขากระตุกกางเกงผมจนหลุดไปอยู่ที่เข่า และสุดท้ายผมก็สลัดมันออกไปเอง เนื้อผิวร้อนของฌาณแผ่มาจนสัมผัสได้ และคิดว่าผมเองก็คงตัวร้อนหน้าแดงไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก



มือไม้ผมเกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน เลยได้แต่คล้องคอเขาไว้อย่างเก้ๆ กังๆ ปล่อยให้เขามอบจูบกลับมาอย่างไม่คิดจะเล้าโลมเขากลับ



ความสัมพันธ์ของผมกับฌาณค่อนข้างจะรวดเร็วอย่างคิดไม่ถึงเหมือนกัน ทีแรกผมแค่มาขอเขาอยู่ด้วยเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นนี้ ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว ตราบใดที่ฌาณยังกอดผมไว้อย่างนี้



“เจน...”



“...อือ?” จู่ๆ เขาก็ถอนจูบพร้อมเรียกชื่อผม ทำให้เอ่ยรับไปตามความเคยชิน



“รักไนล์ไหม”



“...รัก”



“พี่ก็รักเรา...รู้ใช่ไหม”



“...”



“อย่าใช้พี่เป็นเครื่องมือเพื่อลืมใคร”



“ผมเปล่า...”



“Don't mess with my feelings.”



“…”



“และอีกอย่าง อยู่ต่อหน้าพี่ อย่าโกหก...”



“...ผม...”



ผมตั้งท่าจะปฏิเสธอีกครั้ง ทว่าฌาณจ้องลงมาราวกับมองผมออกทะลุปรุโปร่งจนต้องหลุบตาหนี มันคงจะจริงอย่างที่เขาว่า...ผมในตอนนี้ตั้งใจใช้ฌาณเพื่ออยากจะลืมไนล์ และคงกำลังเล่นกับความรู้สึกเขาจริงๆ...



“เจนนินทร์”



“...”



“รับปากพี่”



“...”



“อย่าโกหกอีก ตกลงไหม”



“...”



“เจนนินทร์”



“ครับ...”



จบคำตอบรับ เขาก้มลงมาจูบผมเบาๆ ก่อนละออกไป หนึ่งมือลูบใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา สายตาคมยังคงจ้องลงมาอย่างไม่ลดละ



ความรุ่มร้อนเมื่อครู่จางหาย ฌาณไม่มีทีท่าว่าจะทำต่อแล้ว เหมือนเขาแค่ปล้ำจูบผมเท่านั้น พอจบคำพูดของฌาณ คนตัวโตกว่าก็ทำเพียงจ้องหน้าและลูบหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมปล่อยให้เขาทำตามใจ จนยอมแพ้เมื่อสายตาของฌาณทำให้ผมหายใจติดขัด ผมเบือนหน้าหนี เมื่ออ่านใจฌาณผ่านสายตาเขาไม่ออกจึงตั้งท่าจะจบเรื่องนี้ พลิกตัวตะแคงข้างได้ไม่ทันไร ฌาณก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง



“เจน...เรื่องไนล์”



“...”



“โกหกใช่ไหม?”



ผมหน้าชาวาบ หายใจไม่ทั่วท้อง และจากที่เริ่มควบคุมความร้อนรุ่มของร่างกายได้แล้ว ในตอนนี้ เหงื่อผมกลับผุดออกมาอีกครั้งท่ามกลางอากาศหนาว



“ไม่เคยนอนกับไนล์จริงๆ ใช่ไหม?”



“ผม...”



ฌาณขยับตัวมานอนข้างๆ ผม หันหน้าจ้องหน้าผมพร้อมกับกอดล็อกผมไว้ไม่ให้หันหนีอีก ผมถูกดวงตาคมจับจ้องมา ราวกับโซ่หนาตรึงทุกส่วนของร่างกายจนขยับไม่ได้ ในสายตาของผมตอนนี้คงวูบไหวกับคำพูดก่อนหน้าของเขาแน่ๆ ผมเผยอปาก ตั้งท่าจะตอบกลับแต่ไร้เสียงใดเปล่งออกมา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วคราว กระทั่งฌาณกระพริบตา ราวกับถูกปลดจากพันธนาการ ผมหลบตาหนีทันที



“คนเคยแล้วไม่เป็นแบบนี้หรอก”



“...”



“บอกความจริงพี่มาเสียที เจนนินทร์”



ผมส่ายหน้า



ไม่อยากจะบอก ในเมื่อความจริงทำให้ผมเจ็บปวด สู้หลงอยู่ในโลกลวงยังจะดีกว่า



“เจนหนีมันไปไม่ได้หรอก รู้ใช่ไหม...”



“...”



“ให้พี่รู้ความจริงได้ไหมครับ”



“มันไม่ใช่เรื่องดีหรอก...”



“ใครๆ ก็เคยทำผิดทั้งนั้น”



“มันไม่เหมือนกัน ที่ผมทำ...แย่ยิ่งกว่าเดรัจฉาน”



“อย่างน้อยเจนก็รู้สึกผิดนี่”



“แต่กว่าจะสำนึก...ผมก็ต้องเสียเพื่อนไปแล้ว”



“เชื่อสิว่ามันจะมีทางแก้”



“มันสายไปแล้วฌาณ...มันไม่มีทางแล้ว...”



“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก”



ผมส่ายหน้า ยังไงก็ไม่มีทาง ความจริงอันแสนโสมมที่ผมได้กระทำลงไปเลวร้ายจนไม่คิดว่าจะได้รับการให้อภัยจากใครทั้งนั้น ฌาณไม่เร่งให้ผมพูดอะไรอีก สัมผัสอ่อนโยนของเขาค่อยๆ ลูบหัวผมให้ผ่อนคลาย ทั้งๆ ที่น้ำตาเอ่อล้นแทบจะทะลักอยู่รอมร่อ



“ไม่มีทางหรอก...เพราะยังไง เรื่องที่ผมตั้งใจจะนอนกับไนล์ก็เป็นเรื่องจริง...”





❄❄❄❄❄❄



...อันที่จริง...เจนนินทร์เป็นคนที่ถ้าไปอยู่ในเรื่องของคนอื่น น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตัวร้ายค่ะ...555

หวานได้ไม่ทันไรน้องก็มีเรื่องอีกแล้ว

ตอนหน้าจะเป็นเฉลยจริงๆ แล้วค่ะ TvT

ขอให้เอ็นดูเด็กน้อยคนนี้หน่อยน้า

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เอ้า เจนไม่ได้หลอกแค่นี้ เจนก็หลอกเราด้วย
เอ้า นี่ทำข้อสอบไม่ได้ยังโดนหลอกซ้ำๆอีก :z3:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เจนร้ายจริง  :a5: :a5:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
นั่นน สรุปแล้ว เจนเข้าหาไนล์เองใช่ไหม

สงสารเจนนะ รักมานาน เพื่อนก็สนิทมาก
คุ้นเคยกันดี เลยอาจทำเจนเข้าใจผิด

พี่ฌาณคนดีก็รักน้องนะ เจนอย่าโกหกอีกเลย
มันเจ็บทั้งคู่ ถ้าอยากลืมและเริ่มใหม่
เจนต้องซื่อตรงกว่านี้นะ

ฌาณพูดเรื่องเจนยังไม่เคยขึ้นมา คือมีอึ้งค่ะ
สงสารมากกว่าไปอีก ทำไมต้องเจอคำโกหกซ้ำ ๆ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น้องเจนลูก มีเรื่องไหนที่หนูยังพูดไม่หมดอีก

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เจนลูก

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ลูกแกะมีอะไร ก็รีบสารภาพให้หมดนะ  :hao6:

ออฟไลน์ kikilululu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อดใจไม่ไหวขอเม้นตั้งแต่อ่านไปแค่สองตอน ชอบบรรยากาศในเรื่องมากเลยค่ะ อ่านแล้วลืมอากาศร้อนๆที่บ้านเราไปได้เยอะเลย เท่าที่อ่านถึงตอนที่สองเราว่ามันเหมือนบันทึกของลูกคนรวยที่นิสัยแมวๆมาเล่าเรื่องทาสหนุ่มให้ฟัง5555555555 ยอมรับเลยว่าติดใจสำนวนของคุณนีกเขียน มาก ตั้งแต่คุณเกรย์แล้ว อ่านแล้วสบายตาไม่ต้องเค้นสมองต่อให้เนื้อเรื่องจะชวนให้เราคิดมากแค่ไหนแค่เราก็จะสายชิวแบบน้องนอนเปื่อยๆในกองผ้าห่มต่อปัยยยย
ป.ล.เม้นเล้าผ่านเบราว์เซอร์ในมือถือเป็นอะไรที่ทรมานทรกรรมมากจริงๆ แต่อดไปเม้นผ่านพีซีตอนพรุ่งนี้ไม่ไหว กลัวไม่ได้ฟีลลิ่งแบบตอนนี้แล้ว5555555

*แก้ชื่อน้องออก หน้าแตกมากเว่อ55555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 14:41:53 โดย kikilululu »

ออฟไลน์ kikilululu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอเคอ่านถึงตอนล่าสุดแล้วพบว่าเราเป็นไก่ให้น้องต้มอยู่นานเลยอ่ะ แงงงงงงงงงง  :hao7:
น้องหลอกพรี่ทำมายยยย แต่รวมๆแล้วน้องก็ยังแมวๆอยู่ดี ถึงดูท่าทางแล้วจะเป็นแมวที่ร้ายกาจมากด้วย
ส่วนพี่ฌาณก็เหมือนเครื่องจับเท็จในร่างผู้ชายหน้าตาดีเงี้ยะ จับไต๋น้องได้ตลอด ชักอยากจะรู้แล้วว่าหลังจากคนพี่รู้ความจริงว่าน้องร้ายขนสดไหนจะจัดการกับน้องยังไง แต่เราก็ยังเงิบอยู่เลยกับเรื่องโกหกหลายๆอย่าง คุณนักเขียนวางกับดักไว้แทบทุกจุดหลบไม่พ้นเลยสักกะหลุม ถึงตอนนี้ก็จับโกหกอะไรน้องไม่ได้เลยค่ะ555555 :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด