Lies 2: My head stuck in the clouds
ผมไม่ได้ตื่นก่อนสิบโมงมานานแล้ว แต่วันนี้ฌาปลุกผมตอนแปดโมงทำให้สะลึมสะลือไม่น้อย อากาศวันนี้หนาวกว่าทุกวันทำให้ผมงอแงอยู่บนเตียงอยู่นานกว่าปกติ จนฌาเริ่มดุทำให้ยอมลุกออกจากผ้าห่ม เดินงัวเงียไปล้างหน้าล้างตาตามคำสั่งเจ้าของห้องอย่างมึนๆ เพราะยังไม่ตื่นดี ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้เขาจะพาผมไปเที่ยว ถึงได้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย
ฌาไม่ได้ว่าผมเรื่องที่ผมโกหกเขาเมื่อวานแล้ว หลังจากได้ข้อยุติเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก แค่กดยิ้มก่อนวางหนังสือไว้ที่เดิม บอกให้ผมหยิบอ่านได้ตามสบาย ส่วนผมก็หน้างอเพราะเซ็งที่โดนจับโกหก ก่อนมุดตัวนอนหนีความผิดตัวเองไป
เจ้าของห้องลอบหัวเราะที่เห็นผมของผมยุ่งฟูหลังจากตื่นนอน ผมพยายามหวีให้มันเรียบร้อยแล้วมานั่งทานข้าวเช้ากับฌา แต่เจ้าของห้องนิสัยไม่ดีกลับยีหัวผมจนยุ่งอีกครั้งพลางหัวเราะชอบใจ
“ตลกดี หัวฟูเหมือนขนแกะเลย”
เพราะผมเคยผ่านการทำสีผมจนผมเสีย ทั้งยังหยักศกเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะย้อมดำแล้วแต่จากการผ่านสมรภูมิสารเคมีมามากมายทำให้มันไม่ค่อยเรียบตรงเหมือนผมฌา ที่แม้จะสั้นแต่ก็ดูสุขภาพดี
“ไม่เหมือนสักหน่อย...” ผมแย้งก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “ที่เขามีแกะมั้ย”
“หึๆ ไม่มี”
“...อ่า”
“ไว้จะพาไป One tree hill ที่นั่นมีแกะเป็นฝูง”
ผมเคยเห็นแกะตัวเป็นๆ อยู่แล้วหรอกน่า แค่อยากเห็นแกะที่นิวซีแลนด์ดูบ้างก็เท่านั้น ไหนๆ ที่นี่ก็เป็นดินแดนแห่งแกะ ที่มีจำนวนแกะมากกว่าจำนวนคนถึงสามเท่าแล้วทั้งที
ผมไม่ได้เจอคนดังอย่างแกะที่นี่ก็ไม่เป็นไร แต่ไหนๆ ฌาบอกจะพาไปดูผมก็ย่อมยินดีที่จะไปอยู่แล้ว จึงพยักหน้าตอบเขาไป
หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้วฌาก็พาผมไปขึ้นรถบัสประจำทาง นั่งไปลงที่ Mount Eden แต่หลังจากลงจากรถบัสแล้วเรายังต้องเดินกันอีกเยอะมากๆ กว่าจะถึงทางขึ้นเขาผมก็เหนื่อยแล้ว ฌาก็ไม่รีบ รอผมพักจนหายเหนื่อยแล้วเดินต่อจนเข้าถึงเขตเขา ต้นไม้ข้างทางสงบร่มรื่นเสียจนอยากนั่งพักนานๆ แต่ฌาบอกข้างบนสวยกว่าผมจึงรีบเดิน
ต้นไม้ของที่นี่บิดเป็นทรงประหลาด ผมไม่รู้จักสายพันธุ์ต้นไม้ แต่รู้ว่าต้นไม้ที่นี่ไม่มีในไทยแน่นอน กิ่งก้านหงิกงอยังกับป่าต้องห้ามในแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ดูแปลกตาจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้
ฌาพาผมเดินขึ้นเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นผมเห็นว่ามีรถรับส่งขึ้นเขาด้วย เลยหันไปถามเขา
“เรานั่งอันนี้ขึ้นไม่ได้หรือ”
“เดินไปสนุกกว่านะ ได้ชมบรรยากาศด้วย”
“ง่า”
“ต้องออกกำลังกายได้แล้ว เอาแต่นอนอยู่ในห้องทั้งวัน”
“...” ผมไม่เถียงฌา แต่ทำหน้าบู้ไม่พอใจ ผมไม่ชอบออกกำลังกายนี่ มันเหนื่อยและก็เหม็นเหงื่อด้วย แต่ก็เป็นอย่างที่เขาว่า ค่อยๆ เดินรับบรรยากาศก็ดูเข้าที ผมไม่ได้มาเดินเล่นในที่แบบนี้เลยสักครั้ง ถึงจะเหนื่อยแต่จะถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกัน
เมื่อเดินใกล้ถึงยอดเขาเรื่อยๆ ลมหนาวก็เริ่มพัดแรงขึ้นจนผมถดไปอยู่ข้างหลังฌา ใช้เขาเป็นเกราะกำบังลมแต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
“หนาวเหรอ”
ผมพยักหน้า วันนี้รู้สึกหนาวกว่าทุกวัน ยิ่งเดินขึ้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งหนาว ลมเย็นๆ ตีหน้าจนผมแสบไปหมด พัดมาแต่ละครั้งทำเอาเหมือนจะบาดเอาหูให้หลุดออกมา จมูกเองก็แสบเพราะสูดเอาลมหนาวเข้าไป ฌาควักอะไรบางอย่างในกระเป๋าเป้ ก่อนนำมันมาสวมให้ผม
มันคือหมวกไหมพรหมสีดำ ฌาดึงให้มันลงมาถึงหูผม พอหูอุ่นแล้วเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นหน่อย
ระหว่างทางผมเห็นคนมาวิ่งออกกำลังกายด้วย รู้สึกนับถือพวกเขาอยู่ในใจ อากาศหนาวขนาดนี้ยังวิ่งต้านลมได้เหมือนไม่รู้สึกอะไร แถมดูไม่เหนื่อยเหมือนผมทั้งๆ ที่ค่อยๆ เดินขึ้นมาแท้ๆ
ฌาเดินนำผมจนในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขาอีเดน ผมมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ที่นี่ทั้งสวยทั้งสงบ เห็นวิวทั่วเมือง ไม่มีอะไรมาบดบัง ถ้าไม่หนาวขนาดนี้ผมคงมีเวลาชื่นชมที่นี่ได้นานกว่านี้ แต่พอลมพัดมาทีนึงผมก็มุดเข้าหาฌาทีนึง จนเขาหัวเราะขำ
วันนี้วันศุกร์ แถมเป็นช่วงเช้า ฌาบอกคนเลยไม่เยอะมาก ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะกว่านี้ Mount Eden เป็นภูเขาไฟที่มอดไปแล้ว ตรงกลางภูเขาเป็นหลุมลึกและใหญ่เป็นวงกว้าง บ่งบอกถึงการเคยเกิดการปะทุ ผมมองใจกลางภูเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ มันไม่ได้ดูลึกและน่ากลัวอะไรเพราะเห็นก้นหลุมชัดเจน แถมในหลุมปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวขจี เพียงแต่ความกว้างใหญ่ของมันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเผลอกลิ้งตกลงไปจะปีนขึ้นมาไหวรึเปล่า
อันที่จริงนอกจากวิวเมือง กับหลุมกลางภูเขาแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว แต่ผมก็ชอบบรรยากาศที่นี่ สงบดี เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกได้อย่างที่ต้องการ
“เป็นไง”
“หืม”
“ชอบไหม”
“...ชอบมาก” ผมตอบฌา ฉีกยิ้มกว้างให้เขาเพื่อแสดงความจริงใจ “ถ้ามีโกโก้ร้อนมานั่งจิบคงจะดี”
“หึ”
ผมว่าตามความคิด ส่วนฌาก็แค่หัวเราะออกมาเบาๆ ลมข้างบนนี้พัดแรงกว่าข้างล่างทำให้ผมหนาวกว่าทุกทีจึงอยากได้น้ำอุ่นๆ มาดื่มแก้หนาวสักหน่อย แต่ฌาดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับความหนาวระดับที่ทำให้ผมตัวสั่น
“ฌาไม่หนาวหรือไง”
“แค่เย็นๆ นี่ยังไม่เข้ากลางฤดูหนาวเลยนะ”
“...”
ตอนนี้เดือนมิถุนายน เป็นหน้าหนาวของที่นี่แล้ว ถ้าเข้าเดือนกรกฏาคมจะหนาวกว่านี้หน่อย แต่แค่นี้ผมก็ทนไม่ได้แล้ว อุณหภูมิสิบองศานิดๆ ทำให้ผมสั่นแทบตาย ยิ่งมีลมพัดด้วยยิ่งฆ่าผมได้ง่ายๆ เลย
ผมเดินเล่นอยู่บนเขาอีกสักพัก ฌาพกกล้องมาถ่ายรูปด้วย เขาถ่ายวิวต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ เพิ่งรู้ว่าฌาชอบถ่ายรูปก็วันนี้แหละ ปกติเห็นเขาจมอยู่กับหนังสืออย่างเดียว ผมเดินตามเขาไปบ้าง แวะหยุดดูวิวบ้าง ผมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปวิวเล็กน้อยก่อนเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง ยกมือกอดตัวเองไว้กันหนาวดีกว่า
จนกระทั่งเดินจนรอบเขาแล้ว ฌาก็ชวนผมลงไปทานข้าวกลางวัน ผมตอบรับแทบทันทีเมื่อรู้สึกระคายคอเล็กน้อยจากการสูดหายใจเอาลมหนาวเข้าปากแทนเพราะแสบจมูก
ฌาชวนผมไปทานข้าวที่ Parnell Village บอกว่ารู้จักร้านอาหารไทยรสชาติใช้ได้อยู่ร้านนึง ผมพยักหน้าเออออตามเขาไปแม้จะไม่รู้ว่า Parnell Village คืออะไรก็เถอะ เราออกเดินทางจากที่นี่ไปถึงก็เที่ยงครึ่งพอดี ผมไม่เคยมาบริเวณนี้แต่อาคารหลังเล็กๆ ที่มีทั้งอาคารโมเดิร์นและแบบโบราณแทรกอยู่เรียงรายทำให้รู้ว่าเป็นย่านเมืองเก่า
ฌาเริ่มอธิบายว่าที่นี่เป็นย่านชุมชนแรกๆ ที่ตะวันตกเข้ามาอยู่อาศัย ทำให้มีสถาปัตยกรรมเก่าหลงเหลืออยู่ ผมพยักหน้าฟัง ระหว่างเดินทางไปยังร้านอาหารที่ฌาว่า ผมเดินชมเมืองไป ฟังฌาไป รู้สึกง่วงนอนแปลกๆ แต่ก็ยังเดินต่อไป อากาศวันนี้หนาวจริงๆ นั่นแหละ
ระหว่างทางฌาถ่ายรูปบ้าง ทำให้ผมยกมือถือมาถ่ายตามแบบกากๆ แม้จะเลียนแบบมุมกล้องจากเขาแล้วแต่ก็ยังออกมาบิดๆ เบี้ยวๆ น่าเกลียดอยู่ดี จนมาถึงร้านอาหารที่เขาว่า ผมถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะในร้านเปิดฮีทเตอร์อุ่นๆ ทำให้ผมไม่ต้องทนหนาวอีก
ผมเอ่ยสั่งอาหารไปส่วนฌาก็พูดคุยกับเจ้าของร้านที่เป็นหญิงชาวไทยอย่างเป็นกันเอง คาดว่าคงรู้จักกันมาก่อนแล้ว ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นอาหารไทยผสมกับฝรั่ง ไม่ได้เป็นรสชาติต้นตำรับแต่เป็นรสชาติแบบที่ฝรั่งน่าจะชอบกิน ผมว่ามันก็อร่อยดี ถึงจะไม่ค่อยชินกับรสแบบนี้ก็ตามแต่ก็กินจนอิ่ม
เรานั่งพักที่ร้านอาหารนี้อีกสักพัก ก่อนจะขอตัวออกมา ฌาพาผมเดินไปยังร้านช็อกโกแลตบูติคของที่นี่ เขาบอกว่าเป็นร้านดังขึ้นชื่อเรื่องช็อกโกแลต ได้ยินอย่างนั้นผมก็ตาโตทันที ผมชอบกินช็อกโกแลต จึงมีแรงเดินจ้ำอย่างรวดเร็ว
หน้าร้านเป็นอาคารตะวันตกแบบเก่า มีตู้โทรศัพท์สีแดงที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดเด่นของร้าน ในร้านขายช็อกโกแลตมากมายจริงๆ และมีโต๊ะให้นั่งด้วย เราเลือกโต๊ะข้างในนั่งกันก่อนผมจะเดินไปสั่งช็อกโกแลตที่เคาท์เตอร์แทนฌา เพราะเขาไม่ได้อยากทานอะไรเป็นพิเศษ
ส่วนผมอยากกินไปหมด
ผมสั่งเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ กับอย่างอื่นอีกนิดหน่อย พร้อมโกโก้ร้อน ผมบังคับให้ฌากินด้วยกันเพราะกินคนเดียวไม่หมด ฌาก็ยอมช่วยผมกิน พอมีช็อกโกแล็ตตกลงท้อง ผมค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยจากอาการมึนๆ เมื่อครู่ เมื่อทานช็อกโกแลตจนหมด ผมเลยวิ่งไปดูแผงขายช็อกโกแลตอย่างตั้งใจ ว่าจะซื้อกลับไปฝากพี่ๆ แม่ และคนในบ้านอีก แต่ฌาขัดไว้ บอกค่อยมาซื้อตอนจะกลับ จะได้เก็บได้นานๆ ผมยอมเชื่อเขา เลยซื้อแค่ส่วนที่ตัวเองจะกินก็พอ
“ยังกับเด็ก” ฌาว่าเมื่อเห็นผมโกยช็อกโกแลตหลายถุงไปจ่ายเงิน
“อายุเท่ากันนั่นแหละ” ผมเถียงกลับและซื้ออมยิ้มราคาห้าสิบเซนให้ฌาด้วย
กะจะให้เขาหงุดหงิดที่ต้องมากินอะไรเด็กๆ แต่ฌารับไปอมเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ผมกะจะแกล้งเขาสักหน่อย นึกว่าเขาจะเบ้หน้าไม่รับอมยิ้มหน้าตาตลกๆ นี่เสียอีก ฌาก็เด็กเหมือนกันนั่นแหละ
เราเดินเล่นที่นี่จนบ่ายสามครึ่ง ก่อนขึ้นรถบัสกลับที่พัก ผมนั่งข้างฌาก่อนจะเริ่มงัวเงีย รู้สึกตาร้อนหน้าร้อนไปหมด จึงหลับตาฟุบนิ่งๆ กอดถุงช็อกโกแลตในมือไป
“ไนล์...ไนล์...”
“...”
“ถึงแล้ว...ไนล์”
ผมได้ยินเสียงของฌาไกลๆ จนเขาสะกิดนั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าหลับไป ผมลืมตาตื่นแล้วรีบลุกขึ้นตามฌาลงรถเมื่อรถบัสจอด หลังจากลงจากรถ ผมเดินโงนเงนแปลกๆ จนฌาเข้ามาถามว่าเป็นอะไร ผมคิดว่าผมแค่เหนื่อยจึงส่ายหน้ากลับไป
จนสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ฝ่ามือฌาแตะลงมาที่หน้าผากผม
“เป็นไข้แล้ว...”
“มือฌาเย็นต่างหาก”
“รีบกลับห้องเถอะ เดี๋ยวต้มโจ๊กให้”
“...”
ไม่ได้ว่าขัดขืนหรือปฏิเสธอะไรอีก ปล่อยให้เขาเดินจูงมือไปตามทางพร้อมกับความมึนหัวที่เริ่มคุกคามหนักมากขึ้น ขอบตาผมร้อนผ่าว แสบจมูกไปหมด จากการเดินตากลมหนาวๆ ทั้งวัน ผมคงเป็นไข้จริงๆ อย่างที่เขาว่านั่นแหละ
จนกระทั่งเรากลับถึงห้อง ฌาบอกให้ผมไปเปลี่ยนเสื้อนอน เช็ดหน้าเช็ดตา ส่วนเขาจะทำโจ๊กร้อนๆ ให้ ผมทำตามคำสั่งอย่างเชื่องช้า รู้สึกร่างกายหนักอึ้งไปหมดกว่าจะเปลี่ยนเสื้อได้ จนสุดท้ายก็มานอนแผ่อยู่บนเตียง ได้ยินเสียงฌาดุแว่วๆ บอกว่าผมใส่เสื้อบางไป แต่ผมไม่มีแรงขยับแล้ว
ผมรู้สึกว่ามีคนมาช้อนตัวผมขึ้น จับแขนผมยัดใส่ช่องอะไรสักอย่างสองข้าง ก่อนจะเอาคลุมหัว ผมถึงได้รู้ว่าฌากำลังพยายามสวมเสื้อให้ผมอีกชั้น พร้อมกับมีผ้าพันคออุ่นๆ พันรอบคอผมอีกรอบ ผมพยายามลืมตาแต่ภาพตรงหน้าก็เบลอเหลือเกินจึงหลับตาต่อไป
“ตื่นก่อน กินข้าวจะได้กินยา”
ฌาพยายามปลุกผม พร้อมกับจับให้ผมนั่งพิงหัวเตียง ไม่นานผมก็ได้กลิ่นโจ๊กหอมๆ ลอยมาจึงเปิดตามาดู
“กินเองได้มั้ย หรือจะให้ป้อน”
“กินเองได้” ผมบอกเขา เสียงแหบแห้ง หวัดเริ่มเล่นงานผมแล้ว
ผมตักโจ๊กมาเป่าฟู่ๆ ให้มันหายร้อนก่อนเอาเข้าปากทีละคำ ทำแบบนี้ไปจนหมดถ้วย ฌายกน้ำอุ่นมาให้ผมจิบ ทำให้ค่อยลื่นคอหน่อย แต่ก็รู้สึกแสบคออยู่ดี หลังจากทานยาเสร็จ ผมไอแค่กๆ เพื่อคลายความระคายคอเล็กน้อย แต่นั่นทำให้ฌามุ่นคิ้วหนักกว่าเดิม
“อยากดื่มโกโก้...” ผมบอกเขา อุตสาห์ซื้อผงโกโก้จากร้านช็อกโกแลตบูติคมาเพื่อชงกินวันนี้ทั้งที
ฌาหัวเราะหึ ก่อนลุกไป ผมได้ยินเสียงล้างจานแล้วเสียงกาต้มน้ำ ทำให้มีความหวังว่าจะได้ดื่มโกโก้ร้อนๆ จึงพยายามถ่างตารอฌากลับมา
เจ้าของห้องกลับมาพร้อมแก้วโกโก้จริงๆ ด้วย ในนั้นมีมาชเมลโล่อยู่ในแก้วสองก้อน ผมอมยิ้มไม่หยุดก่อนดื่มมันทีละนิด เสียดายนิดหน่อยที่ถ้าได้ดื่มตอนไม่ได้ป่วยน่าจะอร่อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวผมพักเยอะๆ ก็หายหวัดหายไข้แล้ว เพราะงั้นเลยไม่เป็นกังวล
ผมดื่มจนหมดแก้วฌาถึงค่อยลุกเอาแก้วไปล้างให้ รู้สึกตัวเองเป็นง่อย แต่ผมป่วยนี่ เพราะงั้นคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงฌาก็ไม่ยอมให้ผมล้างแก้วล้างจานอยู่แล้ว คิดเรื่องเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มง่วงเพราะฤทธิ์ยาขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ไถลงไปนอนแนวราบ กอดผ้าห่มอุ่นๆ แล้วหลับไป...
ผมสะดุ้งตื่นมาตอนกลางดึก ไฟในห้องยังสว่างอยู่ทำให้รู้ว่าฌายังไม่นอน แต่ผมเริ่มหนาวจึงได้แต่ขยับตัวยุกยิกอยู่ในผ้าห่ม ผมไม่อยากให้ฌามานอนด้วยกันเหมือนคืนก่อนๆ เพราะกลัวว่าเขาจะติดหวัด แต่อีกใจก็อยากได้ไออุ่นจากเขาเพื่อคลายหนาว เป็นความย้อนแย้งที่สรุปคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
“หนาว...” สุดท้ายผมก็ได้แต่เอ่ยความในใจบอกฌาไป บอกเขาแค่หนาว ฌาจะทำยังไงก็แล้วแต่ ปล่อยให้เขาตัดสินใจไปคนเดียว
“ตื่นแล้วหรือ” เขาส่งเสียงขึ้น ผมขยับตัวยุกยิกอยู่ในผ้าห่มให้เป็นคำตอบ และตามคาด ฌาขึ้นมาบนเตียง แง้มผ้าห่มออกก่อนเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผม ผมกระพริบตาปริบๆ ก่อนช้อนมองเจ้าของห้อง
“หนาวเหรอ”
ผมพยักหน้า หดตัวมากกว่าเดิม หนาว แต่ในร่างกายกลับร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด อาการของคนเป็นไข้ทั่วไป แต่ผมกลับอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถ้าอยู่ที่ไทยคงมีคนมาดูแลผมรอบห้อง แต่ตอนนี้กลับมีเพียงฌา คนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงเดือน
“หิวน้ำไหม”
ผมส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้า เวลาป่วยใครๆ ก็ล้วนอ่อนแอทั้งนั้น ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่กับพ่อ คิดถึงพี่ๆ ผมห่อตัวมากกว่าเดิม อยากมีใครสักคนให้อ้อน คอยลูบหัวเบาๆ อยู่เป็นเพื่อนก่อนนอน
ฌาลุกออกไป ผมใจหวิวกว่าเดิม น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าไฟในห้องกลับมืด พร้อมกับปลายเตียงที่ยวบลงไปอีกครั้ง ผมถึงรู้ว่าฌาลุกไปปิดไฟ
“ร้องไห้ทำไม”
ผมส่ายหน้า นึกว่าเขารำคาญแล้ว
ฌาสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม ขยับมานอนข้างๆ ผมมากกว่าปกติ ผมเห็นอย่างนั้นเลยขยับตัวไปซุกเขาบ้าง ตัวฌาอุ่นและผมชอบไออุ่นจากตัวเขา มันทำให้สบายใจเหมือนฌาเป็นพี่ชายอีกคน
“เด็กน้อยจริงๆ”
ผมได้ยินฌาว่าอย่างนั้น จึงงึมงำตอบกลับไป “เด็กกว่าแค่ไม่กี่ปีเอง”
ฌาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สุดท้ายผมก็ผล็อยหลับไปเมื่อได้รับความอุ่นที่มากเพียงพอ รวมถึงสัมผัสจางๆ คอยลูบหัวผมกล่อมให้หลับสบาย...
รุ่งเช้ามาถึง ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ร่างกายไม่หนักเหมือนเมื่อคืนแล้ว ทว่าพอลองขยับตัวแขนขาถึงรู้ว่าผมนอนอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของฌา ผมตกใจเบิกตาโพลงแต่ไม่กล้าขยับตัวมากกว่านี้ กลัวฌาจะตื่น เลยค่อยๆ เงยหน้าไปมองเจ้าของอ้อมกอดแทน
ฌายังหลับตาอยู่ ขนตายาวเรียงเป็นแพสวย ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดทำให้รู้สึกเหมือนจ้องรูปปั้นอยู่อย่างนั้น ทว่ามีไรหนวดจางๆ ขึ้นที่คางและแรงกระเพื่อมที่หน้าอกขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ จึงทำให้ตระหนักได้ว่าคนๆ นี้ยังเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดา ผมเผลอจ้องเขานานไปหน่อยจนรู้สึกว่าฌาเริ่มมุ่นคิ้ว ก่อนเริ่มเปิดเปลือกตาช้าๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมาทางผมแวบนึงก่อนหันไปจ้องเพดาน กระพริบตาสองสามที เดาว่าฌาคงกำลังสะลึมสะลืออยู่
และไม่นาน เจ้าของเครื่องหน้าราวรูปปั้นก็ขยับตัว ชันตัวไปพิงหัวเตียง เอื้อมมือมาแตะหน้าผากผม ผมยังครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ถึงพลังหมดแบบเมื่อวานแล้ว
“ดีขึ้นรึยัง”
เพราะงั้นตอนเขาถามคำถามนี้ขึ้นมาผมถึงพยักหน้าตอบ
“เดี๋ยวไปทำข้าวเช้าให้”
“...” ผมอ้าปากตั้งใจจะพูดออกมาทว่าเสียงหาย จึงกระแอมสองสามครั้งก่อนเอ่ยบอกฌาเสียงแหบแห้ง
“ไม่เอาโจ๊ก”
ฌายกยิ้มอีกแล้ว “อยากกินอะไร”
“แค่กๆ อะไรอุ่นๆ...”
“ซุปข้าวโพดไหม”
ผมเงียบไปพักนึงก่อนพยักหน้า ฌาบอกว่าเป็นซุปข้าวโพดกระป๋อง ผมเคยเห็นยี่ห้อนี้ในตู้เย็นของฌา ยี่ห้อนี้รสชาติไม่เลว จึงพยักหน้ารับอีกครั้ง ฌาส่งเสียงอืมตอบก่อนลุกไปจากเตียง ส่วนผมก็รีบนอนทับไออุ่นของฌาทันที
“หึ เด็กน้อย”
“ไม่เด็กสักหน่อย” ผมเถียง
“เมื่อคืนบอกเด็กกว่าไม่กี่ปี”
“...”
ผมเงียบ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีเรื่องแบบนั้น ตอนนั้นผมต้องเบลอมากแน่ๆ เลยถึงได้เผลอหลุดปากออกไป ตอนเจอฌาครั้งแรก ผมชิงถามอายุฌาก่อน ก่อนจะบอกว่าตัวเองอายุเท่ากัน เพราะคิดว่าอายุเท่ากันน่าจะสนิทกันได้เร็วกว่า รวมถึงผมขี้เกียจเรียกเขาว่าพี่...
ความจริงคือฌาแก่กว่าผมสี่ปี ผมเพิ่งเรียนจบป.ตรี ส่วนฌากำลังเรียนป.โท ผมส่งสายตาล่อกแล่กให้เมื่อพูดอะไรไม่ออก คนตรงหน้ายกยิ้มเมื่อเห็นสภาพจนตรอกของผมอีกครั้ง
“ว่าไง ยังมีเรื่องอะไรที่โกหกพี่อีกไหม”
“...ไม่มีแล้ว”
ผมบอกเขา หลุบตาลงต่ำ เจ้าของห้องส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมาก่อนเอ่ย
“โกหก”
❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄
เอาน้องแกะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ
ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน มีความสุขมากๆ นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้น้า