-24-
ความเย็นของพัดลมยังไม่หนาวเท่ารังสีโหดที่แผ่ออกมาจากตัวพ่อ สายตาดุบังคับผมไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหน พ่อจ้องผมชนิดที่ว่าตาไม่กระพริบเลยทีเดียว
“พ่อ”
“เออ กูพ่อมึง เรียกย้ำซะเหมือนกูความจำเสื่อม”
หน้าเครียดแต่ก็ยังจะตลก
“ผมก็เล่าให้ฟังหมดทุกเรื่องแล้ว ขึ้นไปนอนได้หรือยัง”
ที่โรงพักนั้นหลังจากพ่อดีขึ้น ผมก็ถูกลากให้กลับบ้าน โชคดีที่ตอนนั้นด้านนอกไม่มีนักข่าว ไม่งั้นหน้าหนึ่งอาจพาดหัวข่าวว่าพี่ขิงหนีจากการจับกุมก็เป็นได้
“ถ้ามึงบอกเรื่องพวกนี้ตั้งแต่วันแรกๆ กูคงจะไปรับมึงกลับมาบ้านแล้ว ไม่ปล่อยให้พวกนั้นโขกสับแบบนี้หรอก” พ่อพูดน้ำเสียงจริงจัง “ส่วนมึงก็โง่ทนอยู่ได้ รู้ว่าโดนเขาหลอกแต่ก็ยังเต็มใจให้หลอก” นี่ถ้าไม่ติดว่าสีหน้าพ่อจริงจังละก็ ผมคงต่อประโยคด้วยเพลงไปแล้ว “โง่ได้ใครวะ”
“ก็ผมลูกพ่อไง”
“นี่กูด่าตัวเองเหรอเนี่ย”
แล้วผมก็ขำออกมา ส่วนพ่อตอนแรกก็หลุดขำแต่ก็รีบดึงหน้าเก๊กขรึมใหม่
“ผมแค่อยากรู้ ว่าพี่ขิงหายไปไหนก็แค่นั้น”
“รู้แล้วเป็นยังไง พอรู้แล้ว มันช่วยอะไรมึงได้ไหม เกือบโดนจับไปแบบนั้นน่ะ มันคุ้มกับความอยากรู้ของมึงไหมไอ้ขมิ้น” พ่อใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมหลายจึ๊ก “ไอ้ขิงก็เหมือนกัน เป็นพี่ภาษาอะไรทำร้ายน้องตัวเอง สมองมันยังดีอยู่ใช่ไหม พอพูดเรื่องนี้แล้วความดันจะขึ้น”
“คนแก่ก็เงี้ย ความดันขึ้นบ่อย อูย” โดนพ่อตวัดสายตาโหดใส่เพราะคิดเสียงดังไปหน่อย
ย้อนกลับไปตอนมาถึงบ้านใหม่ๆ พ่อดูซึมเศร้ามาก แถมน้ำตายังคลอที่หน่วยตาอยู่ตลอด โคตรรู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นแบบนั้น ก่อนผมจะถูกบังคับให้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบบ้านหลังนั้น พ่อก็ฟังบ้าง ด่าบ้าง เวลาได้ยินว่าแม่พาผมไปทำงานแทนที่จะไปเรียน ผมบอกพ่อทุกเรื่อง ไม่ว่าจะโดนต่อย โดนตีนกี่รอบก็บอก แต่ที่ทำให้พายุความเกรี้ยวกราดทะยานสูง คือเรื่องที่ผมถูกพี่ขิงหลอกให้ไปหา แต่ดันส่งคนมาจับเพื่อจะให้ผมทำงานแทน ส่วนตัวเองก็จะกลับมาใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาตามเดิม ความเสียใจและรู้สึกผิดที่ติดตัวมาตั้งแต่อยู่บนโรงพักก็มลายหายสิ้นไปจนหมด
“ผมว่าพ่อไปพักเถอะ เดี๋ยวป่วยขึ้นมาจะยุ่ง”
“ห่วงกูด้วยเหรอมึงน่ะ” มีความประชดทั้งสายตาและน้ำเสียง ผมขยับลุกขึ้นไปกอดพ่อพลางซบหน้าที่ไหล่ “กอดกูทำไมเนี่ย ขนลุก”
“ผมขอโทษที่ทำอะไรไม่คิด ต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
ไม่รู้เป็นเพราะห่างพ่อไปนานหรือเปล่าถึงทำให้ผมคิดถึงพ่อมาก ถึงขนาดกล้าที่จะกอด หากเป็นเมื่อก่อน แค่จับมือ จับแขนก็ว่าเยอะพอแล้ว
“ยังคิดจะมีครั้งต่อไปอีกเหรอ แม่มึงก็หนีไปแล้ว พี่มึงก็อยู่ในคุก”
“พ่อละก็” ถึงกับพูดต่อไม่ได้ แต่ผมก็ยังกอดพ่อไม่ยอมปล่อย “เพิ่งรู้ว่าผมโคตรคิดถึงพ่อเลย ตอนอยู่บ้านนั้นไม่มีใครบ่นเช้าบ่นเย็นให้ฟัง ไม่มีใครทำบ้านรกให้ผมเก็บกวาด ไม่มีใคร...”
“เหมือนจะดีนะ ไอ้ประโยคที่มึงพูดถึงกูเนี่ย” โดนพ่อใช้มือดันหน้าออกจากไหล่ “ไปนอนไป พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน มีเรื่องที่กูต้องถามจากมึงอีกเยอะ” ถึงกับหัวเราะแห้งเมื่อพ่อเน้นประโยคหลังพร้อมแสยะยิ้ม
ตายเรื่องไหนดีวะ ไอ้ขมิ้น
“เออใช่” อยู่ๆ ผมก็ร้องขึ้นจนพ่อสะดุ้ง “ผมมีอะไรจะให้พ่อดู”
“ของอะไร พรุ่งนี้ค่อยดู” ไม่ได้สนใจในสิ่งที่พ่อถามเพราะผมกำลังค้นหาของสำคัญ ซองสีน้ำตาลถูกเก็บอย่างดีในเป้ถูกเอาออกมาวางบนโต๊ะ “ซองอะไร หรือซองผ้าป่าวะ”
“ผ้าป่าที่ไหนเขาใช้ซองเอกสารเล่า พ่อถามไม่คิด”
“อ่าวไอ้นี่”
“อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย ดูนี่ก่อน” ว่าแล้วก็ดึงแผ่นกระดาษออกมาให้พ่อดู คนรับก็มองแบบผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไร “เป็นไง” ถามอย่างตื่นเต้น แต่พ่อกลับตีหน้านิ่ง “พ่อ เป็นไง”
“ก็โฉนดที่ดิน แล้วมันจะเป็นยังไง”
“อ่าว พ่อดูดีๆ สิ ตรงนี้ๆ” ชี้ตรงบ้านเลขที่ให้พ่อดู “เป็นไง”
“เลขที่บ้านมันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” แล้วพ่อก็ทำหน้าคิดหนัก “หรือกูเคยออกแบบบ้านให้เขาวะ”เมื่อเห็นพ่อยังคิดไม่ได้ ผมเลยพลิกด้านหลังให้ดู ช่องตารางบอกรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อเจ้าของโฉนด “ชื่อสุดท้ายนี่เหมือนมึงเลยว่ะไอ้ขมิ้น”
“ไม่ใช่แค่เหมือนนะ พ่อดูนามสกุลด้วยสิ นามสกุลก็เหมือน”
“เออว่ะ ใครวะ ใช้ชื่อกับนามสกุลเหมือนมึง”
อยากจะหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อพ่อทำหน้าสงสัย
“จะใครที่ไหน ก็ผมนี่แหละ ชื่อนี้ นามสกุลนี้ก็มีผมคนเดียว”
“ชื่อมึง?” ยิ้มแฉ่งเมื่อพ่อสะบัดหน้ามามอง “ชื่อมึงมีบนโฉนด?”
“พ่อนี่เข้าใจยากจริง ง่ายๆ เลยนะ ตอนนี้บ้านนี้เป็นของผม บ้านนี้เป็นของเราแล้วไง” บอกพร้อมรอยยิ้มที่กว้าง พ่อตีหน้างงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผุดรอยยิ้มออกมา แต่ก็กลับไปตีหน้างงใหม่
“มึงเอามาได้ยังไง”
“ลุงเจ้าของบ้านเขาให้มา คือผมหมายถึงพ่อเลี้ยงพี่ขิงเขาให้ผมมา เขาบอกยกบ้านนี้ให้ผม”
“ยกให้ทำไม”
“ผมก็ไม่รู้ อยากจะถาม แต่เขาไปเมืองนอกซะก่อน” ก็ไม่ได้ดีใจมากนักหรอกที่ได้ของชิ้นใหญ่ขนาดนี้ “แต่ลุงเขาเขียนโน้ตทิ้งไว้ ว่าไม่อยากให้ผมลำบากเมื่อต้องกลับมาเป็นตัวเอง”
“ไอ้คนรวยนั่นน่ะหรือวะ ไม่อยากจะเชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แล้วก็นี่อีก” ผมยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆ ให้พ่อ “เขาให้ผมไว้เป็นค่าเรียน”
“เช็คเงินสด ห้าสิบ...บาท”
“ห้าสิบล้าน ห้าสิบบาทที่ไหน พ่อ!!!!!”
ไปแล้วครับ พ่อผมเป็นลมไปแล้ว หมดสติไปพร้อมกับมือที่กำเช็คเงินสด ตอนที่ผมเห็นครั้งแรกก็เกือบเป็นลมเหมือนกัน ชีวิตคนธรรมดาแบบผม ตื่นเช้าไปทำงาน ตอนเย็นกลับบ้านนอน ใครเล่าจะคิด ว่าชาตินี้จะจับเงินเป็นล้านกับเขาด้วย ก็คงอย่างที่พี่ขิงว่า หากพี่ขิงไม่ติดหนี้บอล ไม่หนีออกจากบ้าน ชีวิตผมก็คงไม่ได้เจอสิ่งที่ดีแบบนี้ แต่กว่าจะเจอ ต้องผ่านมือผ่านตีนมาก่อน ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ นะครับเนี่ย
***
หลังจากพี่ขิงถูกจับ อีกวันหน้าหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าวหราอย่างที่คิดไว้ พ่อผมขยำหนังสือพิมพ์ทิ้งลงพื้นอย่างหัวเสียก่อนเดินเหยียบออกจากบ้านไป คงเพราะข่าวที่เขียนมันดูเกินจริง อีกทั้งตอนนี้ผู้คนในโลกโซเชียลต่างก็ให้ความสนใจกันมาก โดยเฉพาะประวัติของพี่ขิง ซึ่งนั่น มันทำให้ทุกคนรู้ว่า ไอ้ขมิ้นมีตัวตน เป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันมาก และไม่รู้พวกเขาไปหารูปสมัยเด็กของผมกับพี่ขิงมาจากไหน ถึงขั้นเปรียบเทียบความต่างของหน้าตากันเลยทีเดียว
มันต้องจริงจังขนาดนี้กันเลยเหรอครับ
พอพ่อออกไปทำงานได้ไม่นาน หน้าบ้านของผมก็มีรถคุ้นตาวิ่งโฉบเข้ามาจอด ซึ่งข้อความที่คนในรถส่งมาก็คือให้ผมออกไปหาหน่อย คงกลัวพ่อผมละมั้ง คนไม่จริงนี่หว่า
“พี่มาทำไม” ลากรองเท้าแตะออกไปหา พี่ไฮท์ยืนเท่พิงรถตัวเองอย่างกับพระเอกในซีรี่ย์ชอบทำ ซึ่งมันก็เท่จริงๆ นั่นแหละ
“พ่อมึงล่ะ” พี่ไฮท์มองลอดผ่านเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งทำให้ผมขำออกมา “ไม่ตลก เมื่อวานพ่อมึงเกือบจะกินหัวกูอยู่แล้ว”
“ก็ใครให้พี่พูดทะลึ่งตอนนั้นเล่า” นึกแล้วยังขำไม่หาย ตอนพ่อโวยวายลั่นโรงพัก “แล้วพี่มาทำไม วันนี้มีเรียนไม่ใช่เหรอ” สนิทกันถึงขั้นรู้ตารางเรียนแล้วนะครับ ผมเนี่ย
“อยากเห็นหน้าแฟนก่อนไปเรียน”
อื่อฮือ พูดแบบนี้กะฆ่าผมให้ตายด้วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะใช่ไหมครับ ผมพยายามกลั้นยิ้มเขินแต่ก็หลุดออกมาอยู่ดี ก็ใครใช้ให้คนที่ยืนตรงหน้าผมยิ้มหวานมาให้ล่ะ โธ่
“พูดเลี่ยนแต่เช้าเลยนะคนเรา” ปากว่าไปงั้นแต่ก็ยิ้มจนปากจะฉีกแล้วผมน่ะ “กินข้าวมาหรือยัง”
“ยัง รอกินพร้อมมึงนั่นแหละ”
“เอาจริงๆ สิ อย่าหยอด”
“พูดจริงๆ กินกับมึงมาตั้งนาน พอไม่เห็นหน้า มันกินไม่ลง”
“พี่ไฮท์โว๊ย”
หน้าไอ้ขมิ้นจะละลายเพราะความร้อนแล้วครับ มิน่าพ่อพี่ไฮท์ถึงว่า ลูกชายเขาก็คารมณ์ไม่ต่างกัน เพิ่งจะรู้ว่ามันคือเรื่องจริง
“พ่อมึงล่ะ”
“ไปทำงาน”
ระหว่างที่คุยกับพี่ไฮท์ คนในหมู่บ้านที่ผ่านไปมาต่างก็หันมามองหน้าผมกันแทบทุกคน บางคนถึงกับหยุดรถเปิดกระจกเพื่อมองหน้าผม หรือมีอะไรติดหน้าผมวะ
“เข้าบ้านเถอะ กูรำคาญ” พี่ไฮท์ชักสีหน้าใส่ทุกคนที่ดูผม ก่อนดึงแขนเดินนำผมเข้าบ้าน
“พวกเขามองหน้าผมทำไม หรือมีอะไรติดหน้าผม พี่ดูให้หน่อย”
“ไม่มีอะไรติดหน้ามึงหรอก ที่เขาดูก็เพราะข่าวของไอ้ขิงนั่นแหละ” พูดจบก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาขนาดเล็กที่พ่อผมใช้เป็นพี่นอนเวลาเมา “มีคนขุดคุ้ยประวัติเลยรู้ว่ามันมีแฝด”
“ผมก็เห็นเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจขนาดนี้” โดยเฉพาะคนในหมู่บ้านผมเนี่ย
“อีกหน่อยคนก็เลิกสนใจเองนั่นแหละ อย่าสนเลย” พี่ไฮท์ว่าอย่างเซ็ง ก่อนมองไปรอบๆ ตัวบ้านอย่างสนใจ “บ้านมึงก็น่าอยู่ดีนะ ต้นไม้เยอะดี”
“พ่อผมปลูกไว้ เวลาคิดงานไม่ได้ จะได้ออกไปนั่งคุย” พี่ไฮท์ตีหน้ายุ่งแต่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ พ่อผมเวลาคิดงานไม่ออกก็จะคุยกับสิ่งรอบตัวทุกอย่างเสมอ ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด แม้กระทั่งมดก็เป็นเพื่อนคุยเวลาเครียดได้ “พี่ไฮท์กินข้าวไข่เจียวไหม จะได้ไปเรียนทัน”
“อืม กินอะไรก็ได้” คนกินอะไรก็ได้ตอนนี้ลุกเดินสำรวจบ้าน “นี่รูปมึงเหรอ”
“น่ารักป่ะ” เป็นรูปที่ผมชูสองนิ้วตอนพ่อพาไปเที่ยวงานวันเด็ก และเป็นปีเดียวที่ผมได้ไปเที่ยวเพราะพ่อต้องทำงาน
“น่ารักกว่าตอนนี้อีกว่ะ” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมา ทำซะผมอยากมือลั่นเขวี้ยงไข่ไก่ใส่หน้าเลย “รูปนี้ใครวะ” คำถามของพี่ไฮท์ทำให้ผมละความสนใจจากไข่แผ่นเหลืองในกระทะที่กำลังใกล้จะสุก “ทำไมต้องกอดมึงด้วย” คงจะเป็นรูปตอนผมไปกินเลี้ยงงานรับปริญญาคนรู้จักแน่
“พี่ชายข้างบ้าน”
“ข้างไหนของบ้าน”
พูดไม่จบดีก็โดนแทรกเฉย แถมถามเสียงเขียว หน้าก็โหด หรือจะโมโหหิววะ
“ข้างซ้าย แต่ตอนนี้เขามีลูกสองไปละ” รีบบอกเพราะพี่ไฮท์ทำท่าเหมือนจะออกจากบ้านไปหาเรื่องจริงๆ ไม่ได้อยากคิดไปเองว่าพี่เขาหึงผม แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ “พี่จะกินข้าวโปะไข่เจียว หรือไข่เจียวโปะข้าว”
“มันต่างกันยังไงวะ”
“ถ้าอย่างแรก ข้าวอยู่บนไข่ อย่างที่สอง ไข่วางอยู่บนข้าวไง”
ตีสีหน้ายียวนใส่คนทำหน้างง ก่อนพี่ไฮท์จะทำหน้าตึงเมื่อเห็นผมยิ้ม
“กวนตีนกูเหรอมึง เดี๋ยวจะโดนดี”
คำว่าจะโดนดีไม่ได้มาแค่ปากเปล่า ขามาถึงก้นผมแล้วด้วย ชอบนักใช้กำลังนี่นะ พี่ไฮท์อยู่กินข้าวไข่เจียวจนหมดจานก่อนจะขับรถไปเรียน ผมยืนยิ้มให้กับความว่างเปล่าหลังท้ายรถหายไปจากสายตา ขับรถมาบ้านผมตั้งไกลเพื่อมากินข้าวไข่เจียวจานเดียว บ้าโคตร แต่แม่ง น่ารักฉิบหาย ผมหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน พอดีกับเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดัง ตอนแรกคิดว่าเป็นพี่ไฮท์โทรมา แต่กลายเป็นเจมส์
“ว่าไงมึง”
(ไอ้ขมิ้น พี่ไฮท์ยังอยู่บ้านมึงหรือเปล่า)
เจมส์รู้ได้ไงวะ ว่าพี่ไฮท์มาบ้านผม
“เพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้ มีอะไรวะ”
(เชี่ยไม่ทัน) เจมส์สบถเสียงดังจนผมต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหู (กูกะจะให้มึงฝากหนังสือเรียนมากับพี่ไฮท์)
“หนังสือเรียนอะไร...อ๋อ เล่มที่มึงให้กูยืมใช่ไหม”
(เออนั่นแหละ วันนี้กูต้องใช้ ทำไงดีวะ)
ผมเม้มริมฝีปากเมื่อสมองกำลังคิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป
“เดี๋ยวกูเอาไปให้ มึงต้องใช้กี่โมง” เอาวะ ใส่หมวกปิดหน้าก็ได้ คงไม่มีใครสนใจหรอก “มึงรอกูใต้ตึกนะ เดี๋ยวกูเอาไปให้”
(ขอบใจนะขมิ้น แต่มันจะไม่เป็นอะไรเหรอ)
“คงไม่หรอกมั้ง ก็กูไม่ใช่คนโดนจับสักหน่อย สบายๆ” บอกไปงั้นแต่คิ้วผมย่นสุด “เดี๋ยวเจอกัน”
ว่าแล้วผมก็รีบแต่งตัว มือหยิบหนังสือเรียนของเจมส์ใส่กระเป๋าและไม่ลืมหยิบหมวกแก๊ปไปด้วย ผมขี่มอเตอร์ไซค์ KSR สีดำคู่ใจไปมหาวิทยาลัยที่ทำให้ผมได้เจอโลกใหม่ที่ผมไม่รู้จัก มันทำให้ผมเจอเรื่องที่ดีและเลวร้ายซึ่งผมจะจำไว้ทั้งสองเรื่องนั่นล่ะ
ลานจอดรถหน้าตึกยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถของนักศึกษา ผมถอดหมวกกันน็อคออกก็รีบหยิบหมวกแก๊ปขึ้นมาสวมเพื่อปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินขึ้นตึกไปหาคนที่นัดไว้ เจมส์นั่งรออยู่ที่โต๊ะประจำ มันตีหน้ายุ่งเขียนอะไรสักอย่างที่คาดว่าคงเป็นรายงาน ภาพนี้ทำให้ผมยิ้มออกมา เจมส์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม และผมก็รักมันมาก
“พี่ขิงหรือเปล่าคะ” อีกไม่กี่ก้าวจะถึงโต๊ะอยู่แล้ว อยู่ๆ ก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางหน้าพร้อมกับสอบถาม แต่แล้วเธอก็ถูกเพื่อนข้างๆ ตีเข้าที่แขนเสียงดัง
“อีโง่ พี่ขิงเขาโดนจับอยู่ นี่ต้องเป็นพี่ขมิ้น...ใช่ไหมคะ” คิ้วกระตุกเมื่อได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากน้องคณะของพี่ขิง เธอเอียงซ้ายขวาช้อนตามองผม ทั้งที่ผมพยายามหลบ “หนูเห็นตอนพี่ถอดหมวกกันน็อคที่ลานจอดรถเมื่อกี้” อุตส่าห์รีบแล้วนะ ยังมีคนเห็นอีก “พี่เหมือนพี่ขิงมากจริงๆ นะคะ”
“ตอนนี้ทุกคนในคณะยังคุยกันอยู่เลย ว่าพี่หรือพี่ขิงกันแน่ ที่มาเรียนช่วงหลังๆ นี้”
“แต่ให้หนูเดา ต้องเป็นพี่แน่เลย เพราะพี่นิสัยดี น่ารัก”
แทบจะลอยอยู่แล้วครับ
“ขอบคุณครับ” ยิ้มแห้งๆ ส่งคืนให้น้องเขาไป ก่อนจะได้ยิ้มหวานกลับมา “ขอตัวนะครับ” ต้องรีบชิ่งก่อน ตอนนี้เริ่มมีคนมองแล้ว ผมไม่อยากตอบคำถามเรื่องของพี่ขิงจากความอยากรู้ของทุกคน เดินมาถึงโต๊ะ เจมส์ก็เงยหน้าขึ้นมา ปากมันคาบปลายปากกาเอาไว้
“อ่าวไอ้ขมิ้น มาถึงเมื่อไหร่”
“เมื่อกี้” บอกเสร็จก็ส่งหนังสือเรียนคืน “กลับละนะ”
“อ่าว” ผมพูดจบ เจมส์ก็ร้องออกมาแถมอ้าปากอีก ท่าทางตลกดีแต่ก็น่ารัก “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูหน่อย”
“กูกินมาแล้ว”
“กูก็กินแล้ว แต่พอเครียดมากๆ ท้องก็ร้องเฉย”
“คิดถึงกูล่ะสิ”
“เมื่อวานก็เพิ่งเจอกัน เหม็นขี้หน้าจะตาย”
พูดแบบนั้นแต่เจมส์มันก็ยิ้มกว้าง นี่ถ้าผมยื่นหน้าไปหอมแก้มมัน ผมจะโดนถีบไหมครับเนี่ย
“อยู่นี่ๆ เอง” จังหวะที่ผมรอเจมส์เก็บของ เสียงทักก็ดังจากด้านหลัง พอหันไปก็เจอกับคนที่ไม่ค่อยอยากเจอเท่าไหร่ “ไม่คิดจะทักทายพี่หน่อยเหรอ”
“ทักทาย” ตอบแบบกวนตีนไป แต่พี่นาวกลับขำซะงั้น “พี่มาทำไมที่นี่”
“นี่ไม่ใช่มหาลัยมึงซะหน่อย กูจะเดินไปไหนมาไหนก็ได้” เอาแล้วไง โดนมันกวนตีนกลับแล้วไง “พอดีได้ยินว่ามีคนหน้าเหมือนไอ้ขิงมาที่ตึกนี้ กูก็เลยลองมาดูหน้าหน่อย”
“พอดีผมไม่ได้ชื่อหน่อย ขอตัวนะ”
“กวนตีนไม่เลิก” คราวนี้โดนจิ้มหัวหลายจึ๊ก “ไอ้ขิงโดนหนักสินะ” พี่นาวสอดตัวนั่งข้างผม มันตีหน้าเครียดเมื่อพูดถึงพี่ชายของผม
“พี่ได้ไปหาพี่ขิงไหม”
“ไปเมื่อเช้า แต่เขาเอามันไปฝากขังแล้ว” แววตาทะเล้นเมื่อกี้หม่นแสงลงจนผมสะอึกในใจ ถ้าพี่ขิงสนใจคนๆ นี้ บางทีชีวิตอาจมีความสุขก็ได้ “ถึงแม้มันจะทำกับกูไว้มาก แต่กูก็เกลียดมันไม่ลง”
“พี่โคตรเป็นคนดีกว่าที่ผมคิดเยอะ” เจมส์แทรกขึ้นมา ผมหลุดขำออกมาจนโดนถลึงตาใส่
“กูไม่ใช่คนดีเว้ย แต่ก็ไม่ได้เลวแบบที่พวกมึงใส่ร้าย”
“พวกเราไม่เคยใส่ร้ายสักหน่อย”
“ใช่”
“อ๋อ นี่พวกมึงจะว่ากูเลวงั้นสิ รุมกูเลยนะ”
ผมมองครึ่งหน้าของคนที่ยิ้มข้างๆ ใบหน้าของพี่นาวยังคงหลงเหลือรอยช้ำอยู่จางๆ ก่อนสะดุ้งเมื่อคนที่ผมนั่งจ้องหันมองมาสบตาเข้าพอดี
“อะไรพี่”
“กูต้องถามมากกว่า ว่าจ้องหน้ากูทำไม หรือว่าหลงรักกู”
“ตีนกูนี่”
ไม่ใช่เสียงผม แต่มันช่างคุ้นหูซะเหลือเกิน ก่อนจะได้หันไปดู ตัวผมก็ลอยหวือขึ้นจนขาเกี่ยวกับโต๊ะเกือบล้ม ปากเตรียมจะด่าหากไม่ติดที่ใบหน้าพี่ไฮท์บูดบึ้งชนิดที่ว่า...
หากพูดไม่เข้าหู เบ้าตาอาจมีสี
“อะไรของมึงไอ้ไฮท์” พี่นาวถามอย่างไม่เข้าใจพลางลุกขึ้นยืน “มึงไม่เห็นเหรอ ว่าไอ้นี่เกือบล้มน่ะ”
“กูเห็น”
“เห็นแล้วก็ยังเสือกทำ”
เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องชกต่อยมากกว่าสาดคำด่าด้วยปาก ผมก็รีบก้มตัวลูบขาตัวเองราวกับเจ็บปวดมาก พี่ไฮท์รีบละสายตาดุจากคนตรงหน้ามาสนใจผมทันที พอเลิกขากางเกงขึ้น หน้าแข้งผมก็มีรอยช้ำจริงๆ ซึ่งรอดตัวอยากการโกหกไป
“เจ็บป่ะ” พี่ไฮท์ถามอย่างห่วงใย ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงทำให้หัวใจผมทำงานหนักอีกแล้ว “พี่ขอโทษนะ ต่อไปพี่จะระวังมากกว่านี้”
“เจ็บนิดหน่อย” ตอบแบบนั้น ก่อนเผลอจ้องตาคนห่วงใย “แต่จริงๆ ก็เจ็บมากนั่นแหละ”
“สรุปมึงเจ็บมากหรือเจ็บน้อยวะ เลือกเอาสักอย่าง” จากน้ำเสียงห่วงใยเริ่มจะเกรี้ยวกราด จนสุดท้ายพี่บิ๊กคงทนไม่ไหวเปิดฉากหัวเราะออกมาคนแรก พลอยทำให้ทุกคนหัวเราะตาม ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งไป “สำออยนะมึง”
“พี่ไม่ไปเรียนเหรอ”
“ตอนแรกก็รอเรียน แต่พวกที่เพิ่งขึ้นไปบอกเจอแฝดไอ้ขิงอยู่ใต้ตึก กูเลยลงมา” ว่าเสร็จก็ดันให้ผมนั่งลง และพี่ไฮท์ก็นั่งคั่นผมกับพี่นาว “มึงไม่ไปเรียนหรือไง” ตอบผมเสร็จก็หันไปหาเรื่องอีกฝั่ง
“มี” สั้นๆ แต่ได้ใจความ “งั้นกูไปเรียนก่อน น้อง...ขมิ้นใช่ไหม แล้วเจอกัน...”
“ถ้ากูไม่ให้เจอ มึงก็ไม่มีทางเจอไอ้นาว รีบๆ ไปห่างๆ ตีนกูได้แล้ว”
“ไอ้เชี่ยไฮท์”
“ทำไม”
เอาอีกแล้วครับ ทะเลาะกันอีกแล้ว ดีที่พี่นาวลุกออกไปก่อน ไม่งั้นอาจมีมวยสดให้ดูจริงๆ
“พี่จะไปว่าพี่นาวทำไม”
“ก็มันทำตาเล็กตาน้อยใส่มึง ตาบอดเหรอ”
นั่น โดนด่าอีกผม
“ไม่ได้บอด แต่ไม่ได้สนใจ จบปะ”
พูดจบก็เห็นมุมปากพี่ไฮท์ยกยิ้มนิดๆ
“ปากดี”
“นี่ถ้ากูรู้ว่าต้องลงมาเจออะไรแบบนี้ สู้นั่งง่วงอยู่ในห้องดีกว่า” พี่บิ๊กแทรกขึ้นมาพลางทำตาขวาง ก่อนที่เจมส์จะเอาขนมให้ถึงเลิกบ่น
พูดได้คำเดียวว่า...แหม
“ตอนกูออกจากบ้านมึงมา มึงไม่เห็นบอกว่าจะมาด้วย” เลิกสนใจโลกสีชมพูของคนตรงหน้า มาสนใจคนข้างตัวผมต่อ พี่ไฮท์ตีหน้ายุ่งทำจริงจัง “หรือแอบมาทำอะไรลับหลังกู”
“เอาหนังสือมาคืนเจมส์ ตอนแรกมันจะให้ฝากพี่ แต่พี่ขับรถออกมาซะก่อน ผมเลยต้องเอามาให้มันเอง” อธิบายซะยาวเหยียด ดูเหมือนคนฟังจะเข้าใจเพราะพยักหน้าตาม “ว่าแต่ มันรู้ได้ยังไงว่าพี่ไปบ้านผม”
“ไอ้บิ๊กคงบอกมั้ง” ก็พอเดาออกอยู่เหมือนกัน “แล้วจะกลับหรือยัง”
“ทำไมเหรอ หรือไม่อยากให้อยู่”
“ใช่” โคตรใจแป้วเลย หากไม่มีประโยคถัดมาละก็นะ “เพราะมึงอยู่ กูเรียนไม่รู้เรื่อง กลัวคนอื่นจะมายุ่งกับมึง” โดนจิ้มหน้าผากหลายจึ๊กแต่ผมก็ยังยิ้มออกมา “กลับยัง กูจะขึ้นไปเรียนแล้ว”
“กลับก็กลับ ไล่จริง”
“หึ”
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำลากับเจมส์ก็ถูกพี่ไฮท์ล็อกคอให้เดิน แล้วพี่แกไม่สนใจสายตาคนที่มองเลย แค่ผมคนเดียวก็มีคนสนใจมากอยู่แล้ว นี่ยังมีพี่ไฮท์อีก สายตาคนใต้ตึกแทบทุกคู่ก็ว่าได้ที่มอง
“พี่ไฮท์เดินดีๆ” พยายามดึงแขนที่ล็อกคอออก แต่เจ้าของแขนกลับทำหูทวนลม “พี่ไฮท์คนมองเห็นป่ะ”
“ก็ช่างหัวคนมอง” น้ำเสียงและท่าทางดูไม่สนใจอย่างที่พูด
“แต่...”
“คนอื่นจะได้รู้ ว่ากูมีสิทธิ์ทำแบบนี้แค่คนเดียว”
ผมไม่ตอบโต้หรืออะไรอีกแล้ว เพียงแค่เจอรอยยิ้มสุดเท่ในระยะประชิดก็ทำให้หาเสียงไม่เจอ รู้สึกอิจฉาแฟนพี่ไฮท์จริงๆ ที่ได้คนเพอเฟกแบบนี้...
นี่ผมไม่ได้อวดตัวเองเลยนะครับเนี่ย (เสียงสูง)
...TBC
กราบสวีดัด สวัสดีค่าา มาช้าอีกแล้ว (-_-;

ต้องกราบขอโทษจริงๆ นะคะที่มาล่าช้า เพราะอาการป่วยที่เป็น มันค่อยๆ ไต่ระดับทีละขั้น จนพีคขั้นสุดถึงขนาดนั่งแล้วโลกหมุน เลยเลทมาหลายวัน (กะจะลงช่วง ศ-อา) ต้องขอโทษทุกคนจริงๆ ที่ดูแลตัวเองไม่ดีทำให้งานล่าช้าไปมาก ขอโทษค่าา ต่อไปจะพยายามรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีกว่านี้ค่ะ (ชูสามนิ้ว)
...
และเรื่องนี้อีกสองตอนก็จะจบแล้วค่ะ ตอนหลักจบ แต่ตอนของพี่ไฮท์กับขิงจะมีอย่างละตอนนะคะ แล้วก็ต่อด้วยตอนพิเศษของคู่รักแป้งเด็ก ซึ่งหากถามหาน้ำตาลในตอนหลักนั้นแทบไม่มี ต้องไปหาในตอนพิเศษค่ะ (นี่ไม่ได้สปอยนะคะเนี่ย)
...
แล้วพบกันค่าาา ช่วงนี้ต้องอัดยาเยอะ เลยมึนๆ เบลอๆ ไปบ้าง ตกหล่นตรงไหนขออภัยด้วยค่า เม้นท์ติได้เลยค่ะ จะได้รีบแก้ไข ขอบพระคุณค่า *กราบร่องอก -..-* (นี่ขนาดเบลอยานะ ถถถ)