-21-
ตอนแรกคิดว่าจะตรงไปบ้านพี่ไฮท์เลย แต่เพราะเจมส์ทวงรายงานที่ผมยืมไป ผมเลยต้องวนกลับมาเอาที่บ้านหลังใหญ่ก่อน พอมาถึงก็รีบวิ่งขึ้นชั้นสอง แต่ประตูห้องทำงานของลุงเจ้าของบ้านเปิดอยู่มันทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าห้อง
หรือมีขโมยอีก?
คิดได้แบบนั้นผมก็ค่อยๆ ย่องไปที่ประตู เผื่อเป็นขโมยจริงจะได้หาวิธีรับมือถูก ตอนนี้หัวใจเต้นแรงเพราะความกลัวผสมความตื่นเต้น เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปดู ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลก็มลายหายสิ้น เพราะคนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานคือเจ้าของห้องนั่นเอง
“คุณลุงไปเมืองนอกไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไม...”
“พวกมันไม่ให้ฉันออกน่ะสิ” เสียงทุ้มตอบกลับ ลุงเจ้าของบ้านขยับตัวขึ้นนั่งตัวตรง หลังจากเอนหลังหลับตาอยู่ “ไม่คิดเลยว่าจะเล่นกันขนาดนี้” เสียงพึมพำนั่นทำให้ผมก้าวเข้าไปหา
“มีอะไรร้ายแรงหรือเปล่าครับ” ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะใบหน้าเคร่งเครียดของลุงเจ้าของบ้านนั้นทำให้ผมคิดไปในทางลบซะมากกว่า
“พวกนั้นขู่ให้ฉันลบคลิปขโมยเงินของพี่เธอ แล้วนี่เธอยังไม่ได้เปิดซองที่ฉันให้ไปใช่ไหม” คำตอบที่ปิดท้ายด้วยคำถาม ผมพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนคุณลุงจะเอนหลังพิงพนักตามเดิม “เก็บไว้ให้ดี เผื่อฉันเป็นอะไรไป หลักฐานจะได้ไม่ถูกทำลาย”
“ทำไมถึงพูดเป็นลางแบบนั้นล่ะครับ” รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “หรือมีคนคิดจะทำร้ายคุณลุงเหรอ” อย่างเช่นฆ่าทิ้งเหมือนในละคร
“ตอนนี้ยัง แต่มันก็ไม่แน่ เพราะพวกมันเล่นงานธุรกิจฉันไม่ได้” ริมฝีปากที่ขยับพูดเหยียดยิ้มออกมานิดๆ ก่อนลุงเจ้าของบ้านจะมองหน้าผม “ธุรกิจมืดมักโหดร้ายเสมอ พวกนี้มองคนเหมือนผักปลา คิดจะฆ่าเมื่อไหร่ก็ได้”
“ธุรกิจมืด? คุณลุงก็ทำธุรกิจมืดเหรอครับ” ความหวาดกลัวมันผุดขึ้นมาจนต้องเม้มริมฝีปาก ผมไม่รู้หรอกว่าลุงแกเปิดบริษัทอะไร หรือทำธุรกิจอะไร เพราะไม่มีใครบอก อีกอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผม เพราะที่ผมมาอยู่ที่นี่ ก็เพราะแม่ขอร้องให้มาเป็นพี่ขิง ดังนั้นเรื่องอื่นนอกจากนั้นก็ไม่รู้เลย
“กว่าบริษัทฉันจะใหญ่โตขนาดนี้มาได้ มันก็ต้องมีบ้าง” ลุงเจ้าของบ้านตอบพร้อมขำในลำคอ “เธอลองไปถามดูสิ ว่ามีบริษัทใหญ่โตในบ้านเมืองนี้ที่ไหน ที่ธุรกิจมีแต่สีขาวบ้าง คนพวกนี้ไม่เทาก็ดำ ขนาดองค์กรการกุศลยังไม่ขาวสะอาดเลย”
มันก็จริงอย่างที่ลุงแกว่า แต่มันก็น่าตกใจอยู่ดี เคยดูแต่ในละคร ไม่คิดว่าจะได้เจอในชีวิตจริง ถึงว่า ลูกน้องลุงแกแต่ละคนพกปืนติดตัวกัน ที่แท้ก็เพราะป้องกันตัวเองจากคนอื่นนี่เอง
“หลักฐานที่ให้ผม ทำไมคุณลุงไม่เอาไปให้ตำรวจจัดการล่ะครับ เพราะให้ผมมามันก็ไม่มีประโยชน์”
“ถ้าตำรวจจัดการได้ ฉันก็เอาไปให้แล้วสิ” ขมวดคิ้วหลังจากได้ยิน ก่อนคลายความสงสัยด้วยประโยคถัดมา “ไอ้เสี่ยเจ้าของบ่อนนั่นมีคนหนุนหลังที่ใหญ่กว่าคนของฉัน”
“คนหนุนหลังนี่หมายถึงคนที่มียศสูงๆ เหรอครับ” ลุงเจ้าของบ้านพยักหน้ารับช้าๆ “ไม่น่าเชื่อ” อย่างกับละครหลังข่าวจริงๆ
“ถึงบอกไง ธุรกิจพวกนี้ หากไม่มีพวกนี้คุ้มหัวก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่โดนจับก็โดนฆ่าหมด”
“ที่เขาเรียกจ่ายแต๊ะเอียหรือเปล่าครับ”
“แป๊ะเจี๊ยะต่างหาก แต๊ะเอียเขาให้วันตรุษจีน”
หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยทีเดียว แต่ก็ยังดีที่มันทำให้ลุงเจ้าของบ้านคลี่ยิ้มออกมา
“แล้วคุณลุงจะทำยังไงต่อไปละครับ”
“ก็อยู่เฉยๆ อย่างที่พวกมันบอก”
“ทำไมเราไม่หาคนยศใหญ่ๆ ให้เขาช่วย”
“ถ้าหาได้ง่ายฉันก็เอาหลักฐานให้ไปแล้วสิ” แล้วคุณลุงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมรู้ว่าลุงเขาเครียด เป็นผมๆ ก็เครียด โดนตามขู่จะฆ่าแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะครับ “แล้วอีกซองที่ฉันให้ เธอเปิดดูหรือยัง”
“อีกซอง? ยังครับ” ซองเอกสารที่ผมได้นั้น อยู่ในลิ้นชักห้องนอนของพี่ไฮท์หมด “มันมีอะไรเหรอครับ หรือหลักฐานเด็ด”
“ไม่ใช่ มันเป็นของที่ฉันจะเอาให้พี่ชายเธอ แต่ตอนนี้ ฉันให้เธอน่าจะดีกว่า”
“ของให้พี่ขิง? อะไรเหรอครับ”
“ไปเปิดดูก็จะรู้เอง แต่มีบางอย่างที่ฉันตั้งใจให้เธอ ไม่ใช่ของๆ ขิง”
ชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าของที่ตั้งใจให้ผมคืออะไร
“ไหนคุณบอกไปเมืองนอกไง ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ!”
ระหว่างที่ผมกำลังยืนมองคุณลุงเจ้าของบ้าน เสียงแหลมจากด้านหลังก็ดังขึ้น คนพูดปรี่เข้ามายืนข้างกับผม ใบหน้าแม่แน่นด้วยเครื่องสำอาง
“มันไม่ใช่เรื่องของคุณ” คำตอบกลับของลุงเจ้าของบ้านทำเอาแม่กระทืบกรี๊ดขึ้นมาจนผมสะดุ้ง “หนวกหู ออกไปได้แล้วไป ทั้งแม่ ทั้งลูก”
“คุณกล้าไล่ฉันแบบนี้ได้ยังไงฮะ!”
“ก็นี่มันห้องทำงานผม แล้วนี่ก็บ้านผม คุณลืมไปแล้วหรือไง”
แม่ผมกรี๊ดออกมาอีกรอบจนตู้กระจกสั่น ผมยกมืออุดหูพร้อมหันหลังเดินออกมา ไม่ได้ดูว่าแม่เป็นยังไงหรือทำอะไรต่อ บางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่เหมือนกัน ที่ไม่ได้ดูแลใส่ใจแม่เท่าที่ควร เดินออกมาจากห้อง ผมก็ตรงไปยังห้องนอนที่ตอนนี้แทบไม่ได้นอน แต่เพียงแค่จับลูกบิด เสียงแม่ก็หวีดเรียกชื่อผมจนสะดุ้ง
“แม่จะตะโกนทำไม ผมไม่ได้อยู่นอกโลกนะ ถึงจะต้องใช้เสียงดังน่ะ” ในหูผมตอนนี้ได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ เหมือนยุงบิน
“นี่แกด่าแม่เหรอฮะ” แล้วแม่ก็ปรี่เข้ามาหยิกริ้วแขนจนผมต้องรีบดึงมือแม่ออก “อย่าทำนิสัยเหมือนพ่อแกนะ”
“พ่อทำอะไรผิด แม่ถึงต้องพาลไปด่า”
“ปกป้องพ่อแกทำไม คนนิสัยอันธพาลแบบนั้น”
“อันธพาลตรงไหน แม่นั่นแหละที่พาล หาเรื่องลุงเขาไม่ได้เลยมาลงที่ผมกับพ่อล่ะสิ” แม่ชักสีหน้าทันทีที่ผมรู้ทัน ก่อนใบหน้าขาวจะสะบัดหันหนี “แม่เรียกผมทำไม ถ้าไม่มีอะไรผมจะไปเก็บของ”
“แกไปนอนที่ไหน ทุกวันนี้ฉันไม่เคยเห็นหัวแกอยู่บ้านเลยสักวัน อย่าลืมว่าแกเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะของขิง ไม่ใช่ขมิ้น”
จุก ความรู้สึกเดียวในตอนนี้ ผมเม้มปากมองแม่ที่ปั้นหน้านิ่งไม่สนใจความรู้สึกของผม
“ผมรู้ ว่าผมมาที่นี่ทำไม และผมไม่ใช่พี่ขิง” รีบกระพริบตาไล่น้ำที่มันเริ่มบดบังการมองเห็น “แต่แม่รู้ไหม ว่าผมก็ไม่ได้อยากเป็นพี่ขิง ถ้าให้ย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ผมจะไม่มาที่นี่แบบที่พ่อเคยเตือน พ่อบอกที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม และไม่เหมาะกับคนแบบผม ตอนนี้รู้แล้ว ว่าพ่อพูดโคตรจะจริง”
“คำพูดพ่อแกเชื่อได้ด้วยเหรอ” แล้วแม่ก็ส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก “มะรืนฉันรับงานไว้...”
“แม่ให้พี่ขิงไปก็แล้วกัน” รีบตัดประโยค “ผมรู้ว่าแม่ติดต่อกับพี่ขิงมาตลอด และพี่ขิงก็มาหาแม่บ่อยๆ”
“ถึงจะอย่างนั้น แต่พี่แกก็ยังทำไม่ได้”
“ทำไม พี่ขิงเป็นอะไร ทำไมถึงทำไม่ได้”
“เขากำลังทำธุรกิจ แล้วงานก็ยุ่งมาก”
“ธุรกิจ? พี่ขิงทำธุรกิจอะไร แม่บอกผมได้ไหม”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือพี่แกเอาเงินมาให้ฉันทีละหลายแสน ช่างเป็นลูกที่น่ารักจริงๆ”
“แม่ได้ถามหรือเปล่า ว่าหลายแสนที่ให้มา ได้มาจากงานอะไร”
“ถามทำไม ลูกให้เงินแม่ มันผิดเหรอ”
ผมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดว่าแม่จะมีตรรกะความคิดแบบนี้ ถามว่าผิดหวังไหม ก็คงมี แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ในเมื่อแม่ยังชื่นชมพี่ขิงอยู่อย่างนี้
“ผมว่า แม่ควรสนใจพี่ขิงให้มากกว่านี้” แม่ทำเพียงแค่ปรายตามองมา เพราะกำลังอวดแหวนเพชรเม็ดโตที่แสงส่องเข้าตาผมจนพร่าไปหมด “บางที แม่อาจจะรู้ว่า สิ่งที่แม่คิดว่ามันถูก มันดี แท้จริงอาจเป็นแค่สิ่งหลอกลวง”
ต่อให้ผมพูดหรือแสดงออกมากกว่านี้แม่ก็ไม่สนใจอยู่ดี และที่เรียกผม ก็เพราะอยากอวดแหวนที่ซื้อใหม่จากเงินที่พี่ขิงเอามาให้ ผมรู้ ว่าแม่เคยคิดอยากจะเอาผมกับพี่ขิงออกตอนรู้ว่าท้องแรกๆ แต่ปู่กับย่าขอร้องทั้งน้ำตาเพื่อให้เก็บหลานของท่านไว้ เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยโทษหรือโกรธแม่เลย แม้แต่เรื่องที่แม่เลือกพี่ขิงมาอยู่ด้วย เพียงเพราะว่าตอนเด็กผมขี้โรค ผมก็ไม่เคยโกรธ พ่อด่าผมเสมอว่าผมโง่ที่ไม่โกรธแม่ จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อผมไม่เคยได้รู้จัก ไม่เคยได้อยู่ใกล้ ผมคิดเสมอว่าถ้าได้อยู่ด้วย แม่ก็คงรักผม ตอนนี้รู้แล้วว่าพ่อพูดจริง ผมมันโง่ที่คิดไปแบบนั้น
แม่ไม่ได้ไม่รักผม เพราะแม่ไม่เคยสนใจผมตั้งแต่แรกเลยต่างหาก ต่อไปผมจะไม่เถียงพ่ออีกแล้ว
สะบัดศีรษะไล่ความคิดเรื่องเสียใจให้ออกจากสมอง ผมเดินเข้าห้องหยิบของที่ต้องใช้ พอดึงรายงานที่ซุกไว้ในตู้ ปลายเท้าก็มีสมุดโน้ตเล่มเล็กตกลงมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยความอยากออกจากที่นี่ ผมก้มลงหยิบสมุดนั่นใส่กระเป๋าเป้มาด้วย แล้วจ้ำอ้าวออกจากห้อง ลงไปชั้นล่างโดยไม่สนใจแม่ที่ยังอวดความหรูหราของเครื่องประดับให้แม่บ้านฟัง
“จะไปไหนอีก!”
“ไปนอนบ้านเพื่อน” ก้าวขาไปได้สองก้าวผมก็หยุดนิ่ง “ผมจะกลับไปอยู่บ้านแล้วนะ แม่บอกพี่ขิงให้กลับมาได้แล้ว หรือถ้าไม่กลับก็แล้วแต่ ผมจะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก”
ไม่อยู่รอคำถามหรือคำตอบของแม่ ผมรีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปทันที ในเมื่อแม่ไม่ได้สนใจผมอยู่แล้ว ผมก็ขอเป็นลูกเนรคุณที่ไม่สนใจแม่เช่นกัน มันบาปผมรู้ แต่ผมขอกลับไปใช้ชีวิตเป็นไอ้ขมิ้นคนธรรมดากินปลากระป๋องครึ่งเดือน กินบะหมี่อีกครึ่งเดือนยังดีซะกว่า
***
มาถึงบ้านพี่ไฮท์ก็เจอลูกชายเจ้าของบ้านนั่งรออยู่ที่โรงจอดรถ ที่เท้ามีหมาตัวใหญ่สองตัวฟุบหลับ คงจะรอนานสินะ ถึงนั่งหน้าบูดขนาดนั้น ทันทีที่หันมาเห็นผม พี่ไฮท์ก็ลุกขึ้นยืนก่อนบิดขี้เกียจ
“มารอนานแล้วเหรอ” ถามขณะประตูเลื่อนเปิด
“เออสิ หลับไปตั้งหลายรอบ” พี่ไฮท์ตอบหน้าบึ้ง แต่กลับทำให้ยิ้มออก หลังจากเจอเรื่องเครียดเมื่อกี้ “ทำไมมาช้าวะ”
“มีเรื่องนิดหน่อย ไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ผมบอกก่อนจะใช้เท้าไถรถเข้าบ้าน มีพี่ไฮท์ช่วยดันอยู่ด้านหลัง และหมาสองตัวที่สะดุ้งตื่นก็เห่าต้อนรับพร้อมกระดิกหางจนตัวอ้วนๆ บิดไปมา “แล้วเมื่อกี้พี่นั่งหลับเหรอ”
“ไม่ได้หลับ พูดไปงั้นแหละ” อยากจะหัวเราะให้ หลักฐานคือตาแดง ยังบอกไม่ได้หลับอีก “กินข้าวมายัง”
“ยัง หิวมาก กินหมาพี่ได้ทั้งสองตัวเลย”
“ไอ้ฆาตกร”
ถูกตราหน้าพร้อมชี้ ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด พี่ไฮท์เหมือนพ่อผมอยู่หลายอย่าง แต่ที่เหมือนมากคือทำปากร้ายไปงั้น แท้จริงแล้วใจดีจะตายไป บางทีแกล้งทำเหมือนไม่สนใจ แต่จริงๆ แล้วใส่ใจมากที่สุด
“ขอบคุณที่ทำให้ผมหัวเราะ”
“ก็กูไม่ชอบเห็นมึงทำหน้าเศร้า มันรู้สึกเหมือนกูเป็นแฟนที่แย่” ไปต่อไม่ถูกเลยเมื่อได้ยินคำว่าแฟนออกจากปากพี่ไฮท์ แม้พี่เขาดูแข็งกระด้างไปนิด “กูพูดเพราะกับผู้ชายไม่เป็น” พี่ไฮท์ยกมือถูจมูกไปมา คงจะเขินเหมือนผม แต่ผมเก็บอาการเก่งกว่า
“ผมรู้ จะพูดยังไงก็ได้ เอาที่พี่สบายใจ” บอกตามความจริง พี่ไฮท์เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด อยู่ๆ ก็เปลี่ยนแนว มันก็ต้องปรับตัวมากเป็นธรรมดา “เพราะพี่ก็แฟนคนแรกของผมเหมือนกัน แถมแจ็คพอร์ตเป็นผู้ชายซะด้วย”
“อ่าว แล้วมันดีหรือไม่ดี มึงพูดให้มันเคลียร์ๆ นะ” พี่ไฮท์ตาแทบถลนแล้วโวยวาย ผมรีบเกาะแขนแล้วดึงเข้าบ้าน อยู่ข้างนอกบ้านแถมพูดจาเสี่ยวๆ ใส่กัน คนข้างบ้านเขาจะแอบมองได้ “เนียนเลยนะมึง”
“ไม่จับก็ได้” รีบผละออก แต่ก็โดนดึงเข้าไปใหม่ คราวนี้ไม่ใช่ผมที่กอดแขน แต่เป็นพี่ไฮท์ที่โอบไหล่ผมแทน
“มึงไม่จับ งั้นกูจับเอง เพราะมึงบอกเมื่อกี้ว่าเอาตามที่กูสบายใจ” แล้วคนสบายใจก็ลอยหน้าลอยตาโอบไหล่ผมขึ้นชั้นสองของบ้าน
ห้องนอนของพี่ไฮท์ก็ไม่ได้ตกแต่งมากมายสักเท่าไหร่ มีแค่เตียงที่วางอยู่กลางห้อง มีตู้เสื้อผ้าชิดผนัง มีโต๊ะและตู้หนังสือที่เต็มทุกชั้น เห็นห้องสะอาดๆ แบบนี้ไม่ใช่เจ้าของห้องทำความสะอาดเองหรอกนะครับ แต่เป็นคุณลุงหมอที่เก็บกวาดให้ งานคลินิกก็ยุ่งแล้ว ยังทำงานบ้านอีก ไอดอลผมเลยแบบนี้
จะว่าไป พ่อผมก็ประมาณนี้เหมือนกันนะ หากตัดความขี้บ่นออกไปก็คงเป็นไอดอลผมได้
“พี่เห็นซองสีน้ำตาลที่ผมเอาไว้ที่นี่ไหม” วางเป้ลงก็เริ่มมองหาซองเอกสาร พี่ไฮท์บุ้ยปากไปที่บนโต๊ะหนังสือตัวเอง “พี่อ่านแล้วเหรอ” เพราะมีแผ่นกระดาษปึกหนึ่งวางอยู่บนซอง
“โกรธกูไหม ที่กูอ่านของมึง” ผมมองพี่ไฮท์ด้วยแววตาไร้ความรู้สึก มองจนคนถูกจ้องใจไม่ดี “ขอโทษจริงๆ ต่อไปพี่จะไม่ทำแล้ว ขมิ้นอย่าโกรธ...”
“ไม่ได้โกรธสักหน่อย” หลุดยิ้มออกมาเมื่อพี่ไฮท์ง้อ เวลาได้เห็นคนแข็งๆ อ้อนนี่มันก็น่ารักดีนะครับ ทำตาเล็กตาน้อยด้วย
“เฮอะ” คนถูกหลอกสะบัดหน้ากอดอก ก่อนจะหันมายิ้มให้ “ชอบให้กูง้อละสิ แผนสูงนักนะ”
“ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่นั่นแหละ”
แล้วผมก็ถูกผลักจนหงายหลังลงเตียง
“อย่าทำให้กูเขินบ่อย กูใจไม่ดี”
ผมมองคนเขินจนใจไม่ดีเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะลุกมาที่โต๊ะหนังสือ หลักฐานที่คุณลุงเจ้าของบ้านว่า คือเอกสารรายการที่คนข่มขู่ทำผิด ทั้งเรื่องของผิดกฎหมาย ของหนีภาษี รวมทั้งบัญชีที่มีการนำไปฟอก เอาเป็นว่า ละเอียดจนผมทึ่งในการหาข้อมูลมาก แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ เอกสารสองแผ่นที่จั่วหัวว่า รายชื่อคนที่ใช้บริการและข้อมูลเกี่ยวกับการค้าประเวณีในและนอกประเทศ นี่มันอะไรกัน ทำไมเรื่องมันชักจะน่ากลัวขึ้นทุกที มีการค้ามนุษย์ด้วย ไล่ดูแล้ว มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายที่ถูกนำมาค้า นี่คนนะ ไม่ใช่สัตว์ถึงได้มีการค้าขายแบบนี้
“พี่...” เรียกคนที่เดินออกจากห้องน้ำมา ตอนแรกจะถามเรื่องเอกสารพวกนี้ แต่หน้าและผมพี่ไฮท์เปียกปอนก็ทำให้ต้องตกใจแทน “พี่อาบน้ำเหรอ ทำไมเปียกหมดทั้งตัววะ” น้ำที่ศีรษะไหลลงมาจนเสื้อเปียกไปหมด
“กูร้อน เลยเอาน้ำราดหัว เย็นดี”
“เหรอ” ก็ตามนั้น เอาที่พี่เขาสบายใจ
“มีอะไร” พี่ไฮท์ขยับเข้ามาหา มือยกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าขึ้น โคตรเท่ “อ่านแล้วเหรอ”
“อืม มิน่า ลุงเขาถึงโดนเล่นงาน หลักฐานมันแน่นขนาดนี้นี่เอง”
“ต้องเอาไปให้ตำรวจ”
“ผมก็บอกแล้ว แต่พวกเขาเส้นใหญ่” แล้วพี่ไฮท์ก็เงียบไป “พี่ว่า พี่ขิงจะทำส่วนไหน ระหว่างค้าของหนีภาษี กับค้ามนุษย์” พี่ไฮท์ไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยักไหล่ไม่ออกความคิดเห็น ผมโคตรกลัวเลย กลัวว่าพี่ขิงจะทำเรื่องชั่วๆ แบบนี้ เมื่อย้อนนึกถึงที่แม่ว่า พี่ขิงเอาเงินมาให้ทีละเยอะๆ “ผมหวังว่า พี่ขิงจะไม่ทำทั้งสองอย่าง”
ผมเก็บเอกสารใส่ซองตามเดิม ก่อนจะเปิดอีกซองที่ยังปิดสนิท
“อันนี้ไม่ได้เปิดนะ”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ร้อนตัวนะเรา”
“เออ ร้อนไปทั้งตัว”
ไม่ได้สนใจคนพูดสักเท่าไหร่ ผมดึงแผ่นกระดาษจากซองออกมา หน้าตาโคตรจะคุ้นๆ
“โฉนดที่ดิน” อ่านตามตัวหนังสือบนหัวกระดาษ “ที่ดินกับบ้านเลขที่คุ้นๆ พี่ดูสิ”
“กูไม่เห็นคุ้นเลย” พี่ไฮท์พลิกโฉนดที่ดินอีกด้าน ไล่ดูแต่ละช่องจนไปหยุดที่ช่องสุดท้ายที่มีชื่อผมอยู่ “เจ้าของบ้านชื่อคุ้นๆ ว่ะ”
“ชื่อจริงผมเอง แต่เดี๋ยว ทำไมมีชื่อผม” แย่งโฉนดมาดูใกล้ๆ ก่อนจะตาโตเมื่อจำได้ว่า เลขที่บ้านที่เห็นมันคือบ้านที่พ่อกับผมอาศัยอยู่ “พี่ บ้านผมอะ”
“โฉนดบ้านมึง?”
พยักหน้ารัวๆ ก่อนจะย้อนนึกถึงใบหน้ายิ้มนิดๆ ของลุงเจ้าของบ้านยามบอกว่ามีของที่ตั้งใจให้ผม นี่ลุงเขาไปซื้อบ้านแล้วโอนเป็นชื่อผมเหรอ ทำไมทำแบบนั้นได้ล่ะ
“พี่ไฮท์...”
“ไม่ดีใจเหรอ ทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออก”
“ทำไมเขาโอนบ้านให้ผมล่ะ”
“จะรู้ไหมล่ะ ถ้าเจอก็ลองถามดูสิ” รีบพยักหน้ารัวๆ มือที่ถือโฉนดบ้านสั่นไปหมด “นอกจากบ้านแล้ว เขาให้นี่ด้วยนะ” หันไปมองพี่ไฮท์ที่หยิบใบเล็กๆ ออกมาจากซอง “ฉิบหาย”
“อะไรหายเหรอ”
“เงิน”
“เงินหาย ทำไงอะ ไปแจ้งความ”
“หน่วย สิบ....ห้าสิบล้าน!”
“เงินหายห้าสิบล้าน ชีวิตแล้ว”
“ไม่ใช่ พ่อเลี้ยงมึงนอกจากให้บ้านแล้ว ยังให้เงินอีก ห้าสิบล้าน!”
“พี่ล้อเล่นหรือเปล่า อย่างเขา...เชี่ย!”
เช็กเงินสดห้าสิบล้านบาทจริงๆ ผมนับแล้วนับอีกก็ได้จำนวนที่พี่ไฮท์ว่า ก่อนที่เราทั้งคู่จะตกใจจนสติหลุด ในซองยังมีกระดาษโน้ตอีกหนึ่งแผ่น ข้อความคร่าวๆ ว่าคุณลุงเจ้าของบ้านได้ให้ทนายจัดการซื้อและโอนบ้านให้ผม เพราะผมจะได้ไม่ลำบากตอนไป ยังไงซะผมก็เหมือนลูกอีกคนของเขา แม้จะไม่ได้เลี้ยงมาก็ตาม ส่วนเงินนั้น ตอนแรกเป็นของพี่ขิงที่เขาฝากไว้ให้ แต่ตอนนี้เอาให้ผมแทน ให้ใช้เป็นค่าเล่าเรียนเท่าที่ผมอยากจะเรียน แม้ตอนแรกๆ จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม เพราะผมทำหน้าบึ้งใส่ แต่พอได้เจอบ่อยๆ ถึงรู้ว่าผมเป็นเด็กดีและฉลาด
“เด็กดีและฉลาด...ต่อไปก็ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ”
“พี่ไฮท์ก็” จะรู้สึกดีใจแต่ก็ไม่สุด เพราะยังไงซะ ทุกอย่างที่ได้มามันก็มากเกินไป “ผมว่า มันเยอะเกินไป”
“มันยังน้อยกว่าที่พี่มึงได้อีก” ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ผมก็รู้สึกไม่ค่อยกล้าดีใจอยู่ดีนั่นแหละ “เอาน่า ไว้ค่อยกลับไปถามก็ได้ อย่าคิดมากสิ ดูซิ ทำหน้าบูดเป็นปลาบู่เลย” พี่ไฮท์ยื่นมือสองข้างมาบีบแก้มผมจนปากจู๋ แถมยังขยับไปมาอีก ก่อนจะชะงักแล้วรีบปล่อยมือออก
“พี่หน้าแดง เขินผมเหรอ” ถามจี้ คนหน้าแดงขยับหนีไปอยู่อีกฝั่ง “ขี้เขินนะเรา”
“กับมึงคนเดียวนั่นแหละ”
การยอมรับของพี่ไฮท์มันทำให้ผมรู้ว่า ผมโคตรจะสำคัญ
“ขอบคุณที่ให้ผมเป็นคนนั้น”
“อย่าทำให้ห้องมันเป็นสีชมพู” พี่ไฮท์ขว้างหมอนใส่ผม
“ห้องพี่เป็นสีขาวนะ ตาบอดสีเหรอ”
“ไอ้ขมิ้น”
แกล้งพูดไปงั้น แท้จริงกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง ผมดีใจที่ถูกรัก และผมก็รักคนไม่ผิด
เขินกันไปมาจนเสียงไลน์ดังขัด เจมส์ถามหารายงานตัวเองผมก็เพิ่งนึกได้ รีบเอาการบ้านออกมาถ่ายรูปส่งไปให้ว่ามาเอาได้ ส่วนพี่ไฮท์กำลังหยิบสมุดโน้ตที่ผมหยิบติดมือมาไปเปิดดู
“ของมึงเหรอ”
“ไม่ใช่ คงจะของพี่ขิง” ตอบขณะส่งรูปส่งไปให้เจมส์ “มีอะไรเหรอ”
“มีเรื่องของกู”
“หา?”
เหมือนโดนด่าแปลกๆ แต่พอฟังดีๆ คงจะไม่ใช่ ผมยื่นหน้าไปดู พร้อมๆ กับพี่ไฮท์ยื่นมาให้
“เอาไปดูเอง”
รับมาแบบงงๆ ก่อนเปิดอ่าน หน้าแรกก็ไม่มีอะไรแค่เขียนคำว่า
เริ่มต้น คงจะหมายถึงเริ่มเรียนปีหนึ่งละมั้ง และหน้าต่อๆ ไปเริ่มมีรูปที่ถ่ายจากกล้องโพลารอยด์แปะ จากที่เป็นรูปดอกไม้ ก็เริ่มเป็นรูปบรรยากาศรอบมหาลัย ก่อนจะเป็นรูปพี่ไฮท์ที่มีทั้งยิ้ม และหน้าบึ้งยืนอยู่กับเพื่อนๆ
“พี่เล่นบาสด้วยเหรอ” ถามพร้อมยื่นสมุดโน้ตให้ดู พี่ขิงถ่ายรูปพี่ไฮท์แล้วแปะติดไว้ในหน้ากระดาษ พร้อมข้อความสั้นๆ ว่า
พี่ไฮท์ปีสอง...เท่มาก “ก็แค่เล่นๆ” คนในรูปถ่ายตอบพลางยักไหล่
ผมละความสนใจพี่ไฮท์มาดูรูปต่อ จนมาสะดุดอยู่รูปหนึ่งที่พี่ไฮท์คล้ายจะนั่งเหม่อ ทั้งที่เพื่อนเล่นบาสในสนาม แต่ดวงตาเหม่อมองไปคนละทาง
“อยากปลอบจัง” ผมอ่านข้อความที่พี่ขิงเขียน พี่ไฮท์รีบยื่นหน้าเข้ามาดู
“ไปนั่งทำไมตรงนั้นวะ” แล้วผมจะรู้กับพี่ไหมล่ะ “จำไม่ได้แล้วว่ะ” มือกำลังจะพลิกหน้ากระดาษ อยู่ๆ คนจำไม่ได้ก็ร้องออกมา “อ๋อ น่าจะช่วงที่โรสมันตาย”
“โรสตาย? ดอกกุหลาบเหรอ”
“หมา”
“โรส...อ๋า แจ็คกับโรสสินะ” นั่นปะไร ผมเคยพูดชื่อนี้ด้วย ตอนทายชื่อของอเล็ก “มันเป็นแฟนของแจ็คเหรอ”
“เปล่า เป็นหมาตัวแรกที่เลี้ยง แม่ตั้งชื่อให้” ผมพยักหน้ารับรู้ “มันแก่ตาย”
“ที่ข้างๆ ปุยเมฆใช่ไหม ที่พี่เคยบอก”
“อืม”
“นี่มัน...” รูปหน้าต่อไปเป็นอะไรที่พีคสุดๆ รูปหมาขนปุยสีขาวตัวเล็กเท่าฝ่ามือ “พี่ไฮท์ตั้งชื่อให้ว่า ปุยเมฆ น่ารักว่ะ” อ่านตามข้อความอีกรอบ ผมเบิกตาโตมองหน้าพี่ไฮท์ทันที “พี่เคยเห็นปุยเมฆด้วยเหรอ ทำไมไม่บอก”
“ก็มึงไม่ได้ถาม” ก็จริง ผมไม่ได้ถามเอง แต่ใครมันจะไปรู้เองได้วะ “ที่จริง มันซื้อให้กู” อยู่ๆ พี่ไฮท์ก็พูดขึ้น พร้อมๆ กับผมพลิกหน้าสมุดไป ซึ่งก็เป็นแบบนั้น พี่ขิงเขียนระบุไว้ชัดเจนว่าซื้อให้พี่ไฮท์ เป็นหมาพันธุ์เดียวกับตัวที่ตายไปที่ชื่อโรส “แต่กูไม่เอา เพราะแม่ไม่อยากให้มันมาแทนที่หมาตัวที่ตายไป”
“ผมว่า พี่ขิงไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าพี่รังเกียจ ดูสิ” ยื่นข้อความที่พี่ขิงตัดพ้อให้ดู เพราะแบบนี้หรือเปล่า ถึงทิ้งขว้างปุยเมฆ จากรูปที่เห็นก็ดูรักนะ พาขึ้นไปนอนด้วย ดูแลอย่างดี แต่ทำไมถึงยังทิ้งลง ผมโคตรไม่ชอบเลย คนที่ทำแบบนี้ สัตว์เลี้ยงมันไม่ได้ขอมาอยู่ด้วย เราต่างหากที่ไปพามันมา ดูแลไม่ได้ก็อย่าทำ
พลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ จนหน้าสุดท้ายที่มีรูปและข้อความ นั่นคือรูปของพี่ไฮท์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าทั้งสองคนยิ้มแย้มดูมีความสุข แต่ข้อความที่พี่ขิงเขียนมันต่างกันสุดขั้ว
ในวันที่เห็นเขามีความสุข แต่เราเศร้า ทำไมถึงไม่เห็นกัน ทำไมไม่มองมาทางนี้บ้าง ทำไมไม่สนใจความรู้สึกที่มีให้ พี่ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่หมือนสายลมที่พัดมาให้รู้สึก แต่กลับสัมผัสไม่ได้ ผมชอบพี่จริงๆ นะ พี่ไฮท์... พี่ขิงคงรักพี่ไฮท์จริงๆ แต่คนรักกัน ต้องทำร้ายกันเหรอวะ แค่เขาไม่รักตอบถึงขั้นไปทำลายความรักของคนอื่น โคตรโง่เลยว่ะ
“ไม่อ่านแล้วเหรอ” พี่ไฮท์ถามเพราะผมล้มตัวนอนตะแคงข้างบนเตียง
“มันหมดแล้ว” ตอบทั้งที่ยังหลับตา ผมไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือสงสารพี่ขิง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ผมคิดถึงปุยเมฆ มันต้องมาทนกับเรื่องบ้าๆ ของคนโง่ที่ทำอะไรไปโดยไม่รู้จักคิด เอาชีวิตเล็กๆ มาแล้วทิ้งขว้างมัน พี่ขิงไม่คิดว่ามันจะเสียใจ ร้องไห้เป็นเหรอ หมามันก็มีความรู้สึกนะ
“ร้องไห้เหรอ” พี่ไฮท์ขยับมานั่งชิดด้านหลัง แขนข้างหนึ่งยื่นมาคร่อมตัวผมไว้กับเตียง “ร้องไห้ทำไม”
“สงสารปุยเมฆอะ” บอกพร้อมเสียงสะอื้น ผมจำแววตาของมันได้ ตอนที่เห็นหน้าผมครั้งแรก จากที่กลัวจนตัวสั่นก็ขยับออกมาหา คงคิดว่าเป็นพี่ขิง แค่นี้ก็รู้แล้ว ว่ามันรักพี่ขิงมากแค่ไหน
“มันไปสบายแล้ว” ผมสะอื้นนิดๆ เมื่อถูกมือลูบศีรษะ “อย่าคิดมาก”
“ห้ามคิดว่าหัวผม เป็นหัวไอ้อเล็กนะ”
“จะเศร้าหรือจะฮา เลือกเอาสักอย่าง”
“อยากจะเศร้าแต่ก็ไม่อยากเศร้า”
“งง”
ผมก็งงครับ ก่อนที่จะงงไปมากกว่านี้ มือพี่ไฮท์ก็ลูบมาที่หน้า ผมถูแก้มที่ฝ่ามือนั่น ทำให้พี่ไฮท์ชะงักไปนิดๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ขมิ้นยังมีพี่อยู่ข้างๆ นะ พี่ไม่ทิ้งไปไหน”
คลี่ยิ้มให้กับประโยคที่ได้ยิน รู้สึกอบอุ่นที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก ผมขยับหน้าเพื่อจูบฝ่ามือร้อนที่แก้มเป็นคำขอบคุณแทน และพี่ไฮท์ก็ไม่ตอบอะไรกลับมา นอกจากโน้มหน้ามาจูบหน้าผากผมอย่างแผ่วเบา ผมลืมตาขึ้นก็เจอดวงตาคมคู่สวยที่กำลังจ้องมองผมอย่างอ่อนโยน ก่อนใบหน้าขาวจะค่อยๆ ชัดขึ้นเมื่อขยับเข้ามาใกล้...
“ไอ้ไฮท์โว๊ย! มุดหัวอยู่ไหน กูอยู่หน้าบ้านมึงเนี่ย ไอ้ไฮท์!”
เสียงตะโกนแหวกอากาศดังขึ้น ผมกับพี่ไฮท์สะดุ้งก่อนจะรีบผละออกจากกัน เกือบแล้ว เกือบจูบกันแล้ว ตอนนี้หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาอยู่ข้างนอก
“พี่บิ๊กมา” บอกเจ้าของบ้านเบาๆ พี่ไฮท์จิ๊ปากเสียงดัง พลางลุกออกไปที่ระเบียงห้องนอน
“ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ!”
“พ่อกูไม่ได้อยู่บ้านนี้ไอ้สัด รีบๆ ลงมาเปิด กูรำคาญหมามึงเห่า”
พี่ไฮท์ผลุบเข้ามาในห้อง ปรายตาคมมองผมที่ยังนั่งบนเตียง
“กลัดกระดุมเสร็จค่อยลงไปนะ”
“หา?”
ตอนแรกก็งงๆ ว่ากลัดกระดุมอะไรวะ แต่พอก้มมองเสื้อตัวเอง ฉิบหาย พี่ไฮท์มือโคตรไว ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาผมออกตอนไหนวะ แถมปลดหมดแถวแล้วด้วยนะ
คนๆ นี้ช่างน่ากลัวซะจริงๆ
...TBC
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่าาา ไม่ว่าจะเม้นท์หรือแค่กดเข้ามาอ่าน ทุกๆ อย่างก็ถือเป็นกำลังใจค่ะ จะพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้ และจะไม่ช้ามากไปกว่านี้ (ก้มกราบ)
ขอบพระคุณมากๆ ค่า ที่ชอบพี่ไฮท์น้องขมิ้น ฝากคู่รักแป้งเด็กไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ >w<