-22-
ผ่านคืนที่ใจเต้นหนักมาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมใช้หมอนข้างคั่นกลางเอาไว้ ถึงจะอย่างนั้น พี่ไฮท์ก็ชอบแอบตีเนียนหยิบมันปาทิ้งอยู่เรื่อย และก่อนจะหลับสนิท ผมก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า รัก
ผมกลับมาบ้านหลังใหญ่เพราะอยากคุยกับคุณลุงเจ้าของบ้าน แต่ดันพบว่า มีคนพาลุงแกออกต่างประเทศไปเมื่อเช้ามืด สรุปแล้วผมก็ต้องรับของพวกนั้นใช่ไหม ทำไมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
“มาแล้วเหรอ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เสียงแม่ดังมาจากด้านหลัง ผมที่กำลังจะก้าวขาขึ้นชั้นบนจำใจต้องเดินตามแม่ไปในสวนข้างบ้านแทน “ที่แกพูดหมายความว่ายังไง จะไม่เป็นพี่แกแล้ว”
“ก็ตามที่พูด ผมจะกลับไปอยู่บ้าน จะกลับไปเป็นไอ้ขมิ้น”
“ไม่ได้ ฉันไม่อนุญาต”
“แม่ไม่มีสิทธิ์ที่จะกักขังผมไว้ ผมเป็นพี่ขิงตลอดไปไม่ได้ เพราะชีวิตของผมจะหายไป ชีวิตของขมิ้นจะหายไป แม่เข้าใจไหม ผมช่วยพี่ขิงมาเยอะแล้ว โดนด่า โดนตบ โดนต่อยแทนมามากพอ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว”
“นั่นพี่แกนะ แกไม่รักพี่แกเหรอ”
“แล้วพี่ขิงรักผมไหม พ่อเคยบอกว่าอย่ารักคนที่ไม่รักเรา เพราะเราจะเจ็บเอง”
“อย่าพูดถึงพ่อแกต่อหน้าฉัน”
“พ่อผม พ่อผม พ่อผม”
ตีรวนจนแม่ยกมือจะฟาด หากมีมือใหญ่คว้าเอาไว้ทัน ตอนนี้ใบหน้าพี่ไฮท์นิ่งมาก เรียกได้ว่าไร้ความรู้สึกใดๆ ต่างจากแม่ผมที่ยืนตัวสั่นด้วยความโมโห
“แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง!”
“ผมเป็นแฟนของขมิ้น”
“แฟน...แฟนขมิ้น? นี่แกมีผัวเป็นผู้ชายเหรอฮะ ไอ้ลูกชั่ว” เจ็บมากกับคำๆ นี้ ผมกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกคาวในปาก “ฉันให้แกมาเป็นขิง ไม่ได้ให้มาหาผัว เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบ” สายตาของแม่ตอนนี้ดูรังเกียจผมมาก ร่างผอมๆ ขยับออกห่าง
“ขมิ้นไม่ได้หาหรอกครับ ผมยัดเหยียดให้เอง ขอโทษด้วยที่ผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อไฮท์ รุ่นพี่ของขิง” พี่ไฮท์ตอบเสียงเย็นมาก มือใหญ่ดึงให้ผมมายืนด้านหลัง ผมรีบจับแขนเสื้อพี่ไฮท์แน่น “คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ เพราะไม่ว่าจะรักกับผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเกิดจากความรักจริงๆ มันก็มีความสุข อ้อ ฝากบอกขิงด้วยนะครับ ว่าไอ้นาว ผู้ชายของขิง มันตาสว่างแล้ว และจะไม่เข้าไปตอแยอีก มันคงเข็ดขยาดที่ถูกเสี่ยของขิงทำร้ายเอา ฝากด้วยนะครับ”
ตอนนี้สติของผมแทบไม่เหลือ สมองมันว่างเปล่าไปหมด ผิดหวังมากที่แม่พูดแบบนั้น พี่ไฮท์ดึงผมขึ้นมาบนห้องและเป็นคนเก็บเสื้อผ้าผมยัดลงกระเป๋า ดีที่ข้าวของผมมีไม่มาก
“อย่าลืมสิ ว่าขมิ้นมีพี่อยู่ข้างๆ” พี่ไฮท์จับหน้าผมด้วยมือทั้งสองข้าง ทั้งแววตาและรอยยิ้มที่ส่งให้ผม ทำให้รู้สึกดีขึ้นมา “ไปกันเถอะ”
พี่ไฮท์จูงมือผมลงมาชั้นล่าง เจอแม่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ และพอเห็นผมก็รีบเดินมาขวาง
“ที่แกพูดหมายความว่าไง ผู้ชายของขิงอะไร เสี่ยอะไร”
“ผมขอไม่อธิบายก็แล้วกัน คุณน้าลองไปถามขิงดูนะครับ”
ตอบแค่นั้นก่อนพี่ไฮท์จะรีบพาผมไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านนอก และไม่รอช้าที่จะออกตัวไป จบสิ้นสักที บ้านหลังนี้ ผมจะไม่มาเหยียบอีกเลย ลาก่อนการเป็นพี่ขิง ต่อไปนี้ ผมคือขมิ้น
“ขอบคุณที่ปกป้องผม” บีบมือพี่ไฮท์ที่ยังจับมือผมไว้ไม่ปล่อย
“แฟนคนเดียวปกป้องไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“ขอบคุณจริงๆ ครับ”
แทบยกมือไหว้ หากติดอยู่ที่มือข้างหนึ่งถูกจับไว้แน่นเลยยกได้ข้างเดียว พี่ไฮท์ขำออกมาเสียงดังที่เห็นผมยกมือไหว้
แม้ในวันที่เลวร้ายที่สุด ก็จะมีเรื่องดีที่สุดเช่นกัน
ผมบอกทางกลับบ้านให้พี่ไฮท์ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมบอกจะไม่เข้าหูคนขับรถเลย ตอนนี้รถคันนี้มุ่งหน้ากลับบ้านของตัวเองซะงั้น
“ทางไปบ้านพี่ไม่ใช่เหรอ”
“อืม”
“อ่าว ทำไม...”
“จะกลับทั้งที่สภาพเป็นแบบนี้เหรอ” ผมก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนพี่ไฮท์ถอนหายใจออกมา “หมายถึงสภาพจิตใจ อยากให้พ่อมึงเป็นกังวลเหรอ ที่เห็นลูกไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อนน่ะ”
“ก็จริง” ผมเม้มริมฝีปากนึกภาพตามที่พี่ไฮท์ว่า สภาพผมตอนนี้คงจะแย่มาก ความรู้สึกภายในใจมันตีปนกันไปหมด “ขอบคุณที่พี่เตือนผม” ขืนกลับไปตอนนี้ ผมต้องโดนคั้นแน่ คงต้องรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน “แต่ผมอยู่บ้านพี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ เกรงใจ”
“ยังต้องเกรงใจอะไรอีก ทุกวันนี้กูแทบจะเป็นฝ่ายเกรงใจมึงกับพ่อกูอยู่แล้ว ทำเอาซะกูเหมือนเป็นผู้อาศัยซะงั้น” รอยยิ้มของพี่ไฮท์มันทำให้ผมยิ้มตาม
อยากขอบคุณนับพันครั้ง ที่ทำให้ผมยิ้มได้ในยามอ่อนแอ
“พี่ตลกเหมือนกันนะเนี่ย”
พี่ไฮท์หัวเราะออกมา ก่อนผมจะหัวเราะตาม ต้องขอบคุณความเลวของพี่ขิงที่มันทำให้ผมได้รู้จักพี่ไฮท์ หากพี่ชายฝาแฝดของผมไม่ทำเรื่องชั่วๆ กับเขา วันนี้ผมก็อาจได้แค่มองแล้วก็ผ่านเลยไป
***
จากวันที่ออกจากบ้านหลังใหญ่นั้น ผมก็มาอาศัยอยู่กับพี่ไฮท์ คอยช่วยเหลือคุณหมอเรื่องงานบ้านแลกค่าอาหารกับที่พักแทน แม้คุณหมอจะบ่นว่าไม่อยากให้ผมคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่จะให้ผมมานั่งๆ นอนๆ ใช้น้ำ ใช้ไฟฟรีๆ มันก็ไม่ดี อะไรที่พอช่วยได้ ผมก็อยากจะช่วย
“วันนี้พี่กลับดึกนะ มีพรีเซ็นต์งาน ไม่รู้เลิกกี่โมง” พี่ไฮท์บอกก่อนจะออกรถไป ส่วนพ่อของพี่เขาก็กลับดึกทุกวันอยู่แล้ว
“แล้วจะกลับมากินข้าวไหม หรือจะกินมาจากข้างนอก” ถามแบบนี้ทุกวัน จากเขินๆ ก็เริ่มชิน
“เดี๋ยวพี่โทรบอกอีกที” พี่ไฮท์เตรียมจะออกรถ แต่มือก็กวักเรียกผมให้เข้าไปหา พอเข้าไปยืนใกล้ก็ทำมือให้ก้มลงเหมือนจะกระซิบบางอย่าง
“พี่ไฮท์!” โวยวายเมื่อถูกฉกหอมแก้ม โคตรเจ้าเล่ห์ ไอ้เราก็คิดว่าจะมีเรื่องคุย ที่ไหนได้ “รีบๆ ไปเลย เดี๋ยวเข้าสาย”
“ครับๆ” เสียงหัวเราะร่าทำให้นึกภาพวันแรกๆ ที่เจอแทบไม่ออก
เมื่อท้ายรถลับตาไป เสียงข้อความมือถือในกางเกงก็ดังขัด ผมลูบหัวแจ็คที่มาอ้อนขอขนม อีกมือก็กดดูข้อความ ซึ่งผมได้ข้อความแบบนี้มาเกือบสิบ และผมก็ทำแบบเดิมคือไม่สนใจ ไม่รู้หรอกว่าพี่ขิงอยากเจอผมทำไม หากอยากจะคุยเรื่องให้ผมใช้ชีวิตแทนละก็ ผมไม่มีทางกลับไปแน่นอน
ผมทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ทักทายปุยเมฆและนอนแผ่บนโซฟากับหมาอ้วนสองตัว กำลังจะเคลิ้มๆ เสียงข้อความก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้มาแบบรัวๆ จนต้องเปิดดู
‘ขมิ้น ได้โปรด พี่อยากเจอจริงๆ ก่อนที่พี่จะไม่อยู่ อยากปรับความเข้าใจกับขมิ้นจริงๆ นะ มาหาพี่หน่อย นี่เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ’ ย่นคิ้วเมื่ออ่านข้อความจบลง พี่ขิงจะไปไหน นี่คือสิ่งที่สงสัย หรือจะไปต่างประเทศวะ อ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาอย่างลังเล สุดท้ายก็ตัดสินใจไปเปลี่ยนชุด เอาวะ อย่างน้อยถ้าพี่ขิงไปที่อื่นจริง นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอ
ผมซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปตามโลเคชั่นที่พี่ขิงบอก ไม่รู้หรอกว่าปลายทางมันคือที่ไหน เพราะยิ่งขี่ไปก็ยิ่งไกลจากตัวเมืองเรื่อยๆ นี่ผมโง่หรือเปล่าวะที่ออกมา
ตอนนี้สองข้างทางแทบไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ นอกจากต้นไม้และพงหญ้า ผมว่า ผมคงโง่จริงๆ ที่มาตามคำบอกนั่น มันต้องมีอะไรแน่ๆ และดูเหมือนผมจะคิดได้ช้าไป ทันทีที่ชะลอรถเพื่อจะเลี้ยวกลับ ก็มีมอเตอร์ไซค์ขี่ออกมาจากข้างทางแล้วประชิดรถของผม
“จอด” คำสั่งที่ไม่ได้มาแค่ลมปาก ยังมีวัตถุสีดำด้ามมันปราบที่ตอนนี้ปลายกระบอกหันมาทางหัวของผม “เจอกันอีกแล้วนะ” คนถือปืนทักทาย ก่อนจะเดินลงมาจากมอเตอร์ไซค์อีกคัน เพื่อมาซ้อนด้านหลังของผม “ขี่ตามคันข้างหน้าไปดีๆ อย่าตุกติก ไม่งั้น...ตาย”
สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความกล้าและสติ ตอนนี้ปืนจ่อท้ายทอยของผมอยู่ ผมรู้ว่ามันไม่ได้ขู่เฉยๆ ดูท่าว่าถ้าผมทำอะไรไม่คิด ลูกตะกั่วต้องฝั่งเข้ามาในร่างผมแน่
มึงมันโคตรโง่เลยไอ้ขมิ้น ก่นด่าตัวเองแบบนี้ตลอดทางที่ขี่รถตามคันข้างหน้า ไม่นึกเลยว่าพี่ขิงจะทำกับผมแบบนี้ อุตส่าห์เชื่อใจ สุดท้าย กลายเป็นควายเฉย นี่แหละ ข้าวไม่ชอบกิน ชอบกินแต่หญ้า
“จะไปไหนเนี่ย” ผมถามคนซ้อนด้านหลัง
“อะไรนะ”
“ถามว่าจะไปไหน” ผมเลื่อนเปิดหน้ากากหมวกกันน็อกแล้วถาม “ที่ไปเนี่ย จะไปไหน นี่มันออกนอกเมืองมาไกลแล้วนะ”
“เดี๋ยวก็รู้เอง ตามๆ ไปเถอะ” ไอ้คนซ้อนมันตอบ
“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะ มีกันอยู่แค่สองคนเนี่ย บอกหน่อยสิ” ตื้อโดยไม่สนใจสิ่งที่จ่อท้ายทอย จะกลัวอะไรกับความตายวะ “พี่ครับ บอกหน่อย”
“โกดังเก่าของเสี่ย” สุดท้ายคงทนผมรบเร้าไม่ไหวเลยบอกออกมา
“โกดังเก่า? มันอยู่ตรงไหน”
“จะอยากรู้ทำไม เดี๋ยวก็ไปถึง รีบๆ ขี่ไปเดี๋ยวก็ยิงทิ้งหรอก”
ผมเบ้ปากเมื่อถูกตัดบท และไม่นานคันที่ขับนำหน้าก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนลูกรัง รอบๆ บริเวณมีแต่ทุ่งนา และปลายทางที่เห็นไกลๆ ก็คงเป็นโกดังอย่างที่ไอ้คนซ้อนผมว่า
“เลี้ยวซ้ายตรงกิโลเมตรที่หกสิบสอง เข้าถนนลูกรัง” ผมว่าออกมาโดยที่ไอ้คนข้างหลังก็นั่งเฉยๆ ไม่สนใจ “เข้ามาแล้วจะเห็นหลังคาโกดังอยู่ลิบๆ”
“บ่นอะไรของมึงวะ รีบๆ ตามไปสิ” โดนปืนขยับจี้
“รู้แล้วๆ” ว่าออกมา ก่อนจะบิดตามทางไปเรื่อยๆ “ไม่มีคนเฝ้าประตูโกดัง เข้าไปได้เลยนะ”
“เออ เข้าไปเลย” เสียงตอบจากด้านหลัง ผมก็ขี่ผ่านประตูเข้าไป
โกดังที่ว่า เป็นโกดังร้างอยู่กลางทุ่งนา สภาพด้านนอกเก่าและทรุดโทรมมาก สนิมกินโครงเหล็กพุพัง จนคิดว่าไม่น่าใช้งานได้แล้วแน่ๆ ผมถูกปืนจี้ที่เอวบังคับให้เดินเข้าไปในโกดัง ไม่รู้เลยว่าด้านในจะมีอะไรบ้าง
“พี่ขิงล่ะ พี่ขิงอยู่ไหน” ถามไอ้คนด้านหลัง มันไม่สนใจเอาแต่บังคับให้ผมเข้าโกดัง พอเข้ามาแล้วก็เจอลังไม้มากมายวางเรียงรายเต็มไปหมด “พี่ขิงล่ะ” ถามอีกคนที่เดินนำเข้ามาก่อน มันยักไหล่แล้วเดินไปนั่งบนลังไม้
“ถ้าเห็นก็แปลว่าอยู่ แต่นี่ไม่เห็นแสดงว่าไม่อยู่” คำตอบตีรวนของไอ้คนที่นั่งลังไม้ทำเอาคิ้วผมกระตุก หากไม่มีปืนของคนด้านหลังจี้เอว ผมคงกระโดดถีบขาคู่ไปแล้ว “คิดเหรอ ว่าพี่มึงจะมาจริงๆ สมองน่ะ ใช้บ้าง”
“อ่าว ไอ้นี่” เผลอสบถด่าออกมา ไอ้คนว่าผมก็ทำแค่ยักไหล่ “ถ้าพี่ขิงไม่อยู่ ผมก็จะกลับ”
“คิดว่ามาแล้วจะกลับได้เหรอ ตลกน่าไอ้หนู”
“ต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่ที่มหาลัยแล้ว จะเอายังไง”
“พวกเราสองคนไม่ได้จะเอายังไง แต่คนที่เอา นู้น ไอ้ขิงนู้น”
“หมายความว่ายังไง”
ตอนนี้คนด้านหลังผมเดินไปยืนข้างกับเพื่อนมัน แต่มือก็ยังถือปืนเล็งมาทางผมอยู่
“ลองคิดตามนะ ถ้าเกิดเราอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม แต่งานที่ทำอยู่มันทำให้กลับไปไม่ได้” ไอ้คนพูดค่อยๆ เดินวนรอบตัวผม สายตามันสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “มันจะดีไหม หากหาคนมาทำแทน ยิ่งไปกว่านั้น คนๆ นั้นหน้าเหมือนเราอย่างกับแกะ”
“หมายความว่ายังไง” เพราะผมไม่อยากคิดไปเองเลยต้องถามย้ำ
“ก็หมายความว่า” รีบหลับตาเมื่อปลายมีดอันแหลมคมช้อนคางให้ผมเงยหน้าขึ้น “ไอ้ขิงอยากให้น้องฝาแฝดมาทำงานแทน โดยที่มันจะกลับไปเป็นคนดังตามเดิมไง”
“โกหก”
“พูดความจริงก็หาว่าโกหกว่ะ” แล้วพวกมันสองคนก็หัวเราะ โดยที่ผมกัดฟันข่มความโกรธเอาไว้ “แล้วใครที่นัดมึงออกมาล่ะ”
“ข่มขู่พี่ขิงให้ทำหรือเปล่า” เหมือนกับที่บังคับให้ผมมาที่นี่
“คนอย่างไอ้ขิงน่ะเหรอที่จะขู่มันได้ ทุกวันนี้มันต่างหากที่ข่มขู่พวกเรา ใช้ความเป็นคนโปรดของเสี่ยสั่งนั่นสั่งนี่” ไอ้คนพูดส่ายหน้าไปมา “พี่มึงเลวกว่าที่คิดเยอะ”
“เลวยังไง” ถามปุ๊บ พวกมันก็หัวเราะกันอีก “พี่ขิงทำงานอะไรให้เสี่ยเจ้าของบ่อนนั่น”
“มึงบอกไปซิ ว่างานอะไรบ้าง” คนที่เอามีดจ่อผมพยักพเยิดไปที่อีกคน ก่อนมันจะเดินย้อนกลับไปนั่งบนลังไม้ที่เดิม “เล่าให้น้องมันฟังให้หมดล่ะ เพราะต่อไป มันจะต้องทำแทน”
“งานของมันก็ง่ายๆ แค่หาเด็ก”
“หาเด็ก? เด็กไหน”
“อ่าวไอ้นี่ ก็หาเด็กส่งออกไง ลูกค้าสั่งมายังไงก็หาแบบนั้น เข้าใจยากตรงไหน” ผมเบิกตาโตตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เอกสารหลักฐานของลุงเจ้าของบ้านแวบเข้ามาในหัวทันที นี่พี่ขิงเป็นพ่อเล้าเหรอวะ “แต่พูดแล้วก็เสียดายไอ้นายแบบนั่น เกือบได้อยู่แล้วเชียว หากไม่ไหวตัวไปซะก่อน” ประโยคนั่นทำให้ผมหันขวับไปมอง
“นั่นสิ สเปคนายหัวเขาล่ะ จ่ายไม่อั้นด้วย กูละเสียดายแทนไอ้ขิง”
“นายแบบคนไหน” ขัดกลางปล้องจนถูกมองหน้า
“ก็คนที่ถ่ายแบบกับพี่มึงบ่อยๆ นั่นไง สูงๆ หน้าคม” ตอนนี้ภาพในหัวผมมีหน้าคนๆ หนึ่งที่ลอยเด่นชัด เขาคือคนที่ผมไปยืนถ่ายแบบด้วยคราวนั้น ต้องใช่แน่ๆ เขาแสดงออกเลยว่าเกลียดพี่ขิง “แต่พลาดคนนั้นก็ได้คนอื่นแทน สมแล้วที่ทำงานแบบนั้น หาเด็กง่ายดี”
“เลว” ด่าออกมาตรงๆ จนถูกมองอีกรอบ ผมมองคนที่พูดเรื่องการค้ามนุษย์เหมือนเป็นเรื่องตลกอย่างโมโห คนทั้งคนนะเว้ย “บ้านเมืองนี้มีกฎหมาย สักวัน พวกมึงต้องโดนจับ”
“ใครหน้าไหนจะมาจับได้วะ ก็ในเมื่อ...” ไม่จบประโยคพวกมันก็หัวเราะ ผมรู้ว่าเพราะอะไรพวกมันถึงไม่กลัวถูกจับ “กูจะบอกให้นะ ตั้งกี่คนแล้วที่จะจับเสี่ย สุดท้ายก็เด้งหมด” ไอ้คนถือมีดพูดอย่างมั่นใจพร้อมแสยะยิ้ม “เอาล่ะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า”
“พี่ขิงอยู่ไหน” ไม่อยากฟังเรื่องบ้าบอ อยากรู้ว่าตอนนี้คนที่นัดผมอยู่ที่ไหนมากกว่า
“ก็มันไม่ได้อยู่ที่นี่ไง”
“แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ”
“กูไม่รู้ มันอาจจะอยู่กับเสี่ย หรือไปทำงานให้เสี่ย ซึ่งกูไม่ได้เสือกมาให้มึง”
“ในลังไม้พวกนั้นของหนีภาษีเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่องแทบจะทันทีที่พวกมันชักสีหน้า “หรือยาเสพติด”
“ก็ทั้งคู่” ไอ้คนถือปืนเปิดฝาลังที่มันนั่งให้ดู ในนั้นมีกระเป๋าแบรนด์เนมที่คงจะนำเข้าแบบผิดกฎหมาย “ของพวกนี้กำไรโคตรงามเลยนะ”
“หยุดสาธยายเรื่องไร้สาระสักที มาเข้าเรื่องได้แล้ว” ไอ้คนถือมีดตวาด ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมอีกรอบ “มึงต้องมาทำงานแทนไอ้ขิง”
“กูไม่ทำ” ตอบทั้งๆ ที่มันพูดไม่จบด้วยซ้ำ และไม่กลัวปลายคมของมีดที่จ่อแก้มด้วย ผมรู้ว่ามันไม่กรีดหรอก เพราะถ้าทำ หน้าผมเป็นรอย พวกมันต้องเดือดร้อนแน่ “เรียกพี่ขิงมาที่นี่ให้กู”
“อย่าออกคำสั่งกับกู เพราะกูไม่ชอบ” ถูกตวาดข้างหูจนสะดุ้ง “แค่พี่มึงคนเดียวกูก็จะบ้าตายอยู่แล้ว”
“กูจะไม่ตกลงอะไรถ้าพี่ขิงไม่อยู่ที่นี่” ยืนยันหนักแน่น ไม่กลัวการถูกข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น “พาพี่ขิงมากูถึงจะยอมคุย”
“มึงไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ เพราะมึงต้องทำ และถึงแม้ไอ้ขิงจะมายืนต่อมึง มันก็จะพูดแบบที่พวกกูพูด ว่ามึงต้องทำงานพวกนี้แทนมัน ไอ้ขิงน่ะ ไม่เห็นมึงเป็นน้องหรอกนะกูจะบอกให้”
“ที่พวกกูตามมึงก็เพราะมันสั่ง” เสียงไอ้คนถือปืนที่นั่งบนลังไม้พูดเสริม “ที่มหาลัย ที่บ้าน ทุกที่ พี่มึงสั่งทั้งนั้น มันเกลียดมึงจะตาย”
“โกหก”
“มันเกลียดที่มึงเอาคนที่มันชอบไป เกลียดที่มึงเอาสมบัติของมันไป เกลียดที่มึงเอาชีวิตของมันไป”
“กูไม่ได้เอาอะไรของพี่ขิงไปสักอย่าง” พอผมเถียง พวกมันทั้งคู่ก็ยักไหล่ นี่พี่ขิงจะมาโยนความเลวมาให้ผมได้ยังไง ในเมื่อทุกอย่างพี่ขิงทำตัวเองทั้งนั้น
“มึงต้องไปบอกมันเองหลังจากนี้ว่ะ เพราะกูไม่ใช่คนส่งสาร” ไอ้คนถือมีดยักไหล่ “มึงนี่เหมือนไอ้ขิงอย่างกับคนๆ เดียวกันจริงๆ ทั้งหน้า ทั้งผิว”
“ตัวหอมด้วย เมื่อกี้กูซ้อนมันมาเกือบห้ามตัวเองไม่ได้ไอ้ห่า” รีบตวัดสายตาขุ่นมองคนพูด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกหรอกนะครับตอนขี่รถมาเมื่อกี้ ไอ้คนซ้อนมันลูบเอวผมด้วย เกือบพามันนอนวัดกับพื้นถนนอยู่หลายรอบแล้ว “ถ้าเราลองก่อนส่งของให้เสี่ย จะได้ไหมวะ”
“นั่นสิ กูไม่เคยนอนกับผู้ชายด้วย อยากรู้ว่ามันน่าติดใจอย่างที่เขาบอกไหม” เริ่มขยับหนีเมื่อถูกโลมเลียทางสายตา ขนแขนผมลุกชัน ไม่ได้กลัว แต่รู้สึกขยะแขยง “วันก่อนเห็นความร่านของไอ้ขิงตอนเอากับเสี่ยในห้องทำงาน กูก็ขึ้นเหมือนกันว่ะ อยากลองจริงๆ”
“ไอ้สัด” ด่ากราดไปแต่พวกมันไม่สน ตอนนี้คางผมถูกบีบจนปวดกรามไปหมด “ปล่อยกู”
“ปากมึงนี่น่าจูบกว่าผู้หญิงอีกนะ” หน้าเหี้ยๆ ของไอ้คนถือมีดโน้มเข้าใกล้ ผมใช้จังหวะที่มันเผลอกระทุ้งเข่าเข้าจุดกลางลำตัวมันเต็มแรงจนมันหวีดร้องแล้วทรุดลงไปกองกับพื้น
“แต่กูไม่ใช่ผู้หญิงไงไอ้สัด” ด่าพร้อมกับเตะเสยเข้าคางมันไปอีกรอบ ผมผู้ชายนะครับ ไม่ได้อ่อนแอหวาดกลัว มือเท้ามีเหมือนกัน พอผมล้มไอ้คนถือมีดได้ ไอ้ถือปืนก็ปรี่เข้ามาหา กำลังจะพุ่งหมัดแต่มันดันยิงปืนถากไหล่ผมไป ความแรงของลูกตะกั่วทำให้ชาไปทั้งแขน
“อยากตายเหรอมึง” รีบหลับตาเมื่อด้ามปืนถูกเงื้อจะฟาดเข้าหน้า แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมลืมตาขึ้นมาเห็นคนที่จะทำร้ายผมกระเด็นไปนอนอยู่ข้างลังไม้
“พี่ไฮท์” ร้องออกมาอย่างดีใจ น้ำตาแทบไหล คนที่ผมเรียกชื่อเพิ่งวางเท้าลงเพราะกระโดดถีบไปเมื่อกี้ “กว่าจะมา”
“เหาะมาได้กูก็เหาะมาแล้ว” พี่ไฮท์ว่าก่อนจะเข้าไปกระทืบไอ้คนยิงผม “ทำร้ายแฟนกูเหรอไอ้สัด” แทบนับจำนวนการถูกเตะไม่ได้ หากไม่ได้พี่บิ๊กที่เข้าห้าม ป่านนี้ไอ้คนที่นอนกองนั่นคงตายไปแล้ว
“เป็นไงบ้างมึง” เจมส์ประคองให้ผมยืน ความห่วงใยผ่านน้ำเสียงและสีหน้าทำให้ผมยิ้มให้เพื่อน แม้จะรู้สึกเจ็บที่ไหล่ก็เถอะ
“สบายมาก แค่เกือบตาย” พูดติดตลก แต่เจมส์ดันไม่ขำ มันปล่อยน้ำตาไหลออกมาเฉย “เอา ขี้แยอีก”
“ก็มึงทำบ้าอะไรแบบนี้ กูหัวใจจะวายตาย”
ผมขำเจมส์ที่มันโวยวายทั้งน้ำตา แต่แล้วเสียงบางอย่างก็ทำให้ผมหยุดนิ่ง และปรายตามองไปอีกด้าน เสียงร้องโอดโอยไม่ได้มาจากคนที่พี่ไฮท์กระทืบ เพราะตอนนี้พี่ไฮท์มายืนข้างผมแล้ว...แล้วนั่น
ภาพหน้าโกดังที่เห็นคือ ไอ้คนที่ผมเตะกล่องดวงใจไปเมื่อกี้ มันกำลังถูกกระทืบ และคนที่กำลังกระทืบเป็นผู้ชายรูปร่างสูง สวมเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพับแขน ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด รอบๆ ตัวของเขามีรังสีความโหดเหี้ยมแผ่ออกมาจนขนลุกไปหมดทั้งตัว ผู้ชายคนนั้นทั้งเตะ ทั้งกระทืบ จนคนที่นอนเลือดกองเต็มพื้นไปหมด
โหดแบบไร้คำบรรยายใดๆ
“มึงเคยพูดว่าอะไรนะ มึงบอกอยากลองนอนกับเมียกูเหรอ เฮอะ” พูดจบรองเท้าสแลคสีดำมันปราบก็ซัดเข้าที่ปลายคางจนเลือดกระเซ็นออกจากปาก ก่อนเขาจะยื่นมือขยุ้มกลุ่มผมจนไอ้คนเจ็บจนมันทำหน้าบิดเบี้ยว “กูจะบอกอะไรให้มึงฟัง ฟังและจำลงไปในรอยหยักของสมอง ว่าแม้แต่ขี้เล็บเมียกู มึงก็ไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัส ไอ้สัด” ช่างเป็นภาพความโหดร้ายที่น่ากลัวมากที่สุดในชีวิต ที่ได้เห็นเองกับตาแบบนี้
“พี่...เขา” แทบพูดไม่ออกเมื่อเจอภาพแบบนั้นในระยะใกล้ ผมดึงชายเสื้อพี่ไฮท์ยิกๆ เพราะอยากรู้ แต่พี่ไฮท์ไม่ทันได้ตอบ ก็มีคนเดินเข้ามาจากหน้าโกดัง ผู้ชายผอมสูงทำหน้าเบื่อหน่ายมองภาพการกระทืบเหมือนเรื่องธรรมดา ก่อนคนนั้นจะตะโกนเรียกใครสักคนให้เข้ามา
“ไอ้เกรียน มาห้ามผัวมึงได้แล้ว เดี๋ยวมันก็ฆ่าคนหรอกไอ้ห่า”
“พี่จอมทำไมไม่ห้ามเล่า” แล้วคนที่ถูกเรียกก็ตามเข้ามา ตอนแรกผมก็งงๆ ใครวะไอ้เกรียน แต่พอเห็นหน้าตาปุ๊บผมก็แทบทรุด “พี่โช พอแล้ว เดี๋ยวมันตายนะ”
“กูอยากกระทืบมันจมดินด้วยซ้ำ” คนถูกห้ามพูดจบ หน้าแข้งก็ฟาดเข้าท้องคนนอนอยู่อีกรอบจนร่างนั้นแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว ว่าสภาพคนที่พี่ไฮท์กระทืบแย่แล้วนะ อีกคนนี่ต้องเรียกได้ว่าเละ!
“เอาปีศาจออกร่างได้แล้ว เดี๋ยวเขาก็กลัวกันหมดหรอก” พี่กลอยทำหน้ายุ่งแล้วดึงคนที่กระทืบโหดเข้ามาหาพวกผม ทันทีที่ถูกดวงตาดุมอง ผมก็รีบขยับไปยืนซ้อนหลังพี่ไฮท์ทันที
โคตรน่ากลัว
“ขอบคุณครับที่มาช่วย” พี่ไฮท์พูดพร้อมยกมือไหว้ ผมมองภาพนี้ด้วยความงงปนสงสัย “แล้วเรื่องนั้น?”
“เดี๋ยวก็คงได้เรื่อง” คนกระทืบโหดบอกเสียงนิ่ง “แล้ว...นั่นไม่เป็นไรใช่ไหม” สะดุ้งเมื่อถูกถาม หากไม่เห็นพี่เขากระทืบคนเมื่อกี้ ผมคงจะไม่รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้
“ครับ ขอบคุณครับ” รีบยกมือไหว้ แต่ความเจ็บแปลบที่หัวไหล่ทำให้ต้องนิ่วหน้าจนพี่ไฮท์ตกใจ
“โดนอะไร หรือเสียงปืนเมื่อกี้ มันยิงมึงเหรอ ไอ้สัดเอ๊ย” พอพี่ไฮท์เห็นแผลก็แทบจะพุ่งเข้าไปหาคนที่ยิงผม แต่ได้พี่บิ๊กดึงไว้
“แค่ถากไปนิดเดียวเอง มันขู่เฉยๆ” ผมว่า พยายามทำให้พี่ไฮท์ใจเย็น แต่สีหน้าและท่าทางไม่ได้เย็นลงเลย เพราะพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปกระทืบได้ทุกนาทีหากพี่บิ๊กปล่อย “พี่ได้อัดเสียงที่ผมคุยกับมันไว้ใช่ไหม” เมื่อพี่ไฮท์มองไอ้คนยิงผมไม่วางตา เลยต้องหาเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“เออ” ตอบโคตรห้วน “ต่อไปไม่ให้ทำแบบนี้แล้วนะ”
“ไม่มีอีกแล้วแน่นอน”
ผมยิ้มอ้อนเมื่อถูกดุ ก่อนเสียงคนเดินเข้ามาใกล้จะทำให้ผมยกแขนขึ้นตั้งการ์ด พอเกิดเรื่องแย่ๆ แบบนี้กับตัวเอง ประสาทสัมผัสทุกส่วนมักจะไวเป็นพิเศษ แต่พอเห็นว่าเป็นใคร ผมก็รีบยกมือไหว้ขอโทษที่ทำให้ทุกคนตกใจ
“ถ้าต่อยกูมา กูสวนนะมึง อ่ะ ไอ้แทมโทรมา” ผู้ชายร่างผอมที่เรียกพี่กลอยเข้ามาเมื่อกี้ทำหน้าโหด ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาตรงกลางวง ผมมองหน้าทุกคนอย่างมึนงงและสงสัย เพราะไม่รู้จักใคร ทั้งที่ยืนอยู่ด้วยกันและบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องแพง
“ไงมึง ทางนั้นจัดการเรียบร้อยไหม” พี่โหดเอ่ยถามออกมา คนที่อยู่อีกฟากก็ยิ้มร่าทันที
(เรียบร้อยสิวะ พวกลุงกูก็พยายามหาทางจับพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีหลักฐานที่สาวไปถึงตัวใหญ่ๆ ต้องขอบใจคนที่เอาหลักฐานมาให้ นี่ถ้าออกใบอนุโมทนาบัตรได้ คงออกให้ไปแล้ว)
“ใบอนุโมทนาบัตร? เอามาทำไมวะ”
(มุกไอ้ห่า ว่าแต่มึงเถอะ ไม่ใช่ว่ากระทืบพวกนั้นจนมันตายหรอกนะ)
“กูไม่ได้โหดขนาดนั้น” คำพูดพร้อมรอยยิ้มเท่นั่นผมคงจะเชื่อ หากไม่เห็นกับตา ว่าคนที่พี่เขากระทืบนอนเป็นผักไร้ความรู้สึกอยู่หน้าโกดัง
“แล้วคนอื่นล่ะครับ” คราวนี้พี่ไฮท์ถามบ้าง คนปลายสายมองหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอีก
(สบายมากไอ้น้อง พ่อพี่สั่งลูกน้องกวาดเรียบหมดละ ทั้งบ่อน ทั้งซ่อง อ่อ เดี๋ยวโกดังที่นั่นด้วยนะ มีคนซัดทอดว่าของอยู่ที่นั่น รีบๆ ออกมาก่อจะซวย) พูดจบก็ตัดสายไปจนพี่โหดสบถเอาผมสะดุ้ง น่ากลัวไปไหนครับพี่
“เอาล่ะ หมดเรื่องละ กลับเถอะ” พี่โหดว่า ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนจะเดินออกไป พี่กลอยก็เดินย้อนเข้ามาหาผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะ ทำตัวแบบพี่เบิร์ดก็พอ”
“แบบพี่เบิร์ดเหรอครับ?”
“ก็แบบสบายๆ ยังไงล่ะ” แล้วพี่กลอยก็หัวเราะอยู่คนเดียว และผมก็คงจะสบายตาม หากพี่กลอยไม่ตบไหล่ข้างที่ผมถูกปืนถาก พอผมร้องโอยออกมาพี่เขาก็รีบชักมือกลับ “โทษที ไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับที่มาช่วยผม หากไม่ได้พวกพี่ ผมคงแย่” ไม่รู้หรอก ว่าทำไมพี่กลอยกับพวกถึงมาช่วย แต่ยังไงแล้ว ก็ต้องขอบคุณอยู่ดี
“อย่าคิดมาก ช่วยกันได้ก็ช่วยไป เราคนกันเอง” แทบอยากกราบพี่เขา หากไม่ได้ยินประโยคถัดมา “อย่าลืมเลี้ยงชาบูชุดใหญ่นะ จะล้างท้องรอ” แล้วพี่กลอยก็หัวเราะเสียงดังอีกรอบพลางกับเดินเข้าไปกอดแขนพี่โหด
“พี่ไฮท์...”
“กูถึงเตือนไง ว่าอย่าเข้าใกล้ไอ้กลอยมันมาก ไม่ใช่เพราะมันเพี้ยนหรอกนะ แต่เพราะแฟนมันโหด” เงยหน้ามองพี่ไฮท์เมื่อเข้าใจในความหมาย เพราะแม่งโหดจริง “กลับเถอะ เดี๋ยวไปแวะทำแผลที่คลินิก”
“แล้วพี่ขิง” ผมชะงักแล้วถามหาคนที่นัดผมมาที่นี่ “พี่ขิงละ”
“คงกำลังถูกตามจับ หรือไม่ก็ถูกจับแล้ว” เจมส์ตอบแทน มันยิ้มก่อนยื่นมือมาจับมือผม “มันไปไกลกว่าที่พวกเราคิดมาก”
“ติดคุกยาวแน่พี่มึงน่ะ” พี่บิ๊กขัด ซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วย “กลับเถอะ เดี๋ยวตำรวจมาพวกเราจะซวย”
.
.
(มีต่อด้านล่างค่า )