-15-
หลังกลับจากค่าย ตัวผมดำลงนิดหน่อย แค่นิดเดียวเท่านั้น แต่แม่กลับโวยวายหาว่าผมตัวดำเหมือนถ่าน จับผมไปขัดตัวนวดหน้าซะขี้ไคลหลุดหมด ไม่ได้เป็นห่วงว่าผมจะหมดหล่อหรอกนะครับ แต่เดี๋ยวจะรับงานไม่ได้เพราะผิวกร้าน ไอ้ขมิ้นคนนี้เลยได้แต่ทำใจ
“เจอกันบนห้องนะเว้ย” ผมตะโกนบอกเจมส์หลังจากออกไปกินข้าวหน้ามหาลัยแล้วดันซวย มอเตอร์ไซค์สุดที่รักเหยียบตะปูล้อแบนจนต้องเข็นกลับเข้ามา และที่ซวยไปกว่านั้นคือร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่หลังมหาลัย ดังนั้นผมต้องจูงรถจากด้านหน้ามาด้านหลังเพื่อไปปะยาง แม้หนทางจะยาวไกลแต่ก็ต้องยอม ไม่งั้นผมกลับบ้านไม่ได้แน่
ผมจูงรถมอเตอร์ไซค์ KSR สีดำคู่ใจผ่านตึกคณะศิลปกรรม เพิ่งรู้ว่าตึกนี้ดูขลังดี ปกติขี่รถผ่านก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ อาจเพราะสภาพตึกครึ่งเก่าครึ่งใหม่ด้วย นักศึกษาที่เดินแถวนั้นดูเป็นตัวของตัวเองสุดโต่ง ทั้งทรงผมและเสื้อผ้า เดินจูงรถผ่านตึกนั้นมาก็เจอสวนขนาดใหญ่ที่เป็นทางผ่านไปหลังมหาลัย ระหว่างผ่านไปครึ่งทาง ผมเห็นผู้ชายสวมชุดนักศึกษานั่งหันหลังกำลังทำอะไรสักอย่าง ด้วยความสงสัยเลยรีบจูงรถไปในระยะที่จะสามารถเห็นชัด
“เหี้ย!” หลุดสบถออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ จนคนที่นั่งอยู่สะดุ้งแล้วหันมามอง “ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจ” พอเห็นสีหน้าคนตกใจแล้วก็รู้สึกผิด ถุงในมือของเขาร่วงทันทีที่ได้ยินเสียงผม
“เออ ไม่เป็นไร ไม่ถือ” เสียงเล็กๆ ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่น่ามองจนลืมสนใจคำห้วนๆ นั่น
“นั่นมันอะไรเหรอครับ” ผมชี้ไปที่ตัวที่นอนอยู่ข้างๆ เขา
“เพื่อนสนิทผมเอง” คนว่ายิ้มแป้นจนตาหยี
“เพื่อนสนิท?” เหมือนมีเครื่องหมายคำถามผุดเข้ามาในหัว “หมายถึง...ไอ้นั่น”
“อยากรู้จักป่ะ มานี่สิ” คนที่ยืนอยู่ในสวนกวักมือเรียก ผมก็บ้าจี้เดินเข้าไปหา โดยจอดรถตัวเองไว้ชิดขอบฟุตบาท กันรถอื่นชน พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกได้ว่า ผู้ชายคนนี้น่ารักชะมัด ตัวเล็กกว่าผมน่าจะหลายเซ็นอยู่ ตัวขาวแก้มป่องเชียว “เซย์ไฮเขาสิ นี่” มัวแต่มองคนพูดจนถูกเรียกซ้ำสองรอบ กว่าจะก้มลงไปดูที่เขาชี้ ขาผมก็เกือบถูกงับ
“ตัวเหี้ยเนี่ยนะ ที่บอกว่าเป็นเพื่อน” กระโดดหนีแทบไม่ทัน หัวใจก็เต้นแรงมากยามลิ้นมันตวัดออกมา คงเพราะผมยืนอยู่ข้างถุงไก่ปิ้ง
“ตัวเงินตัวทองเว้ย เหี้ยอะไรไม่น่ารักเลย” อยากจะหัวเราะให้กับใบหน้ายู่ๆ แสนตลกนั่น แต่ก็ขำไม่ออก ตอนนี้ไอ้ตัวสี่ขากำลังเดินต้วมเตี้ยมๆ แลบลิ้นไปมาดูน่าขนลุก
“ทองก็ทอง ว่าแต่มันไม่กัดจริงๆ เหรอ” หน้าตามันดูไม่น่าคบหาเลยให้ตาย
“กัดสิ แต่เมื่อก่อนนะ กว่าจะสนิทใจก็เสียเงินโคตรเยอะ” คนตอบทำหน้ายู่อีกรอบจนผมสงสัยว่า มหาลัยพี่ขิงมีผู้ชายน่ารักแบบนี้สักกี่คน “แล้วจะจูงรถไปไหน ทำไมไม่ขี่ไปวะ”
“ไปปะยางมอเตอร์ไซค์อะ” ชี้ไปที่รถที่จอดอยู่
“หลังมอใช่ป่ะ”
“ก็ใช่อยู่”
“ฝากซื้อลูกชิ้นทอดกับไก่ย่างหน่อยสิ ขี้เกียจเดิน”
นี่ผมกับเขาสนิทกันถึงขนาดฝากซื้อของได้แล้วเหรอครับเนี่ย ไอ้ขมิ้นงง
“ก็คงได้มั้ง”
พูดจบคนตรงหน้าก็ล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกง จังหวะที่ผมยื่นมือออกไปหยิบแบงค์สีแดง เสียงแตรรถก็ดังขึ้นจนเราสองคนสะดุ้งเฮือก และเพื่อนต้วมเตี้ยมก็รีบหนีไป
“บีบแตรหาเหี้ยหรือไงวะ แม่งตกใจ” คำอุทานช่างไม่เข้ากับใบหน้าซะจริง “แต่เหี้ยมันเพื่อนกูนี่หว่า หรือมันจะรู้จักวะ...ใครอะ” หลุดขำออกมาจนได้ เมื่อคนที่ยืนข้างผมพูดเองเออเอง ก่อนจะยื่นมือมาสะกิดถาม
ผมหรี่ตาดูรถบีเอ็มสีดำที่คนขับกำลังลดกระจกลง เจ้าของรถชะโงกหน้ามาอีกฝั่งถึงได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นใคร
“ไปทำอะไรตรงนั้นวะ!” พี่ไฮท์ตะโกนถามมา
“มึงถามกูเหรอ!” กำลังจะอ้าปากตอบ คนตัวเล็กที่ยืนด้านหลังดันตอบไปซะก่อน
“กูไม่ได้ถามมึง” พี่ไฮท์ก็ตะโกนตอบกลับมาทันที
“ก็มึงไม่ระบุชื่อ ใครจะไปรู้ เขาเรียกมึงอะ นู้น”
เผลอหลุดขำออกมาอีกรอบเมื่อเห็นใบหน้าง้ำงอนั่น ผมเดินไปหาพี่ไฮท์ที่จอดรถข้างกับรถของผม คนนั่งหลังพวงมาลัยเอาแต่ขมวดคิ้วมองคนที่ยังยืนอยู่ในสวน
“รู้จักกันเหรอวะ” มาใกล้ปุ๊บก็ถูกถามปั๊บ ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่รู้จักแต่ไปยืนคุยกันเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า แล้วนี่จะไปไหน” ผมต้องตอบคำถามไหนก่อน
“รถผมยางแบน จะเอาไปปะยางหลังมอ พี่ไฮท์จะไปไหนเหรอ”
“กลับบ้าน งั้นรอแป๊บ เดี๋ยวมา”
พูดเสร็จพี่ไฮท์ก็ขับรถไปทันที ไม่รู้ขับไปไหนแต่บอกให้ผมรอ ผมก็ต้องรอใช่ไหม คงใช่แหละเนอะ คิดแบบนั้นผมก็เลยเดินย้อนกลับไปหาคนที่ยังนั่งกวักมือเรียกตัวเงินตัวทอง แต่มันไม่ยอมเดินมาหา
ว่าแต่ นั่นเรียกตัวเงินตัวทอง หรือเรียกหมูวะครับ เรียกอู๊ดๆ เนี่ย
“มันอิ่มแล้วมั้ง” ผมย่อตัวนั่งลงข้างๆ รู้สึกตัวเองก็บ้าจี้ตามคนแปลกหน้า เขาทำอะไรผมก็ทำตามเฉย เมื่อกี้ก็เผลอยกมือกวักเรียกด้วย
“สงสัยจะอิ่มจริงว่ะ กินไปตั้งหลายไม้” เหล่ตามองคนข้างๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาหันมา ทำให้เราสบตากันพอดี “หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
“ครับ?” ขมวดคิ้วยามถูกดวงตากลมโตมองสำรวจ ไม่แน่อาจเคยเจอพี่ขิงมาก่อน หรือไม่ก็เคยเห็นผ่านป้ายโฆษณา “รู้จักผมด้วยเหรอ”
“ก็เหมือนเคยเห็น อ๋อ” พอเจอคำสร้อยสุดท้ายผมก็ทำตาโตไปด้วย พร้อมรอฟังในสิ่งที่เขาคิดออก
“จำได้แล้วเหรอครับ”
“ไม่อะ” แทบทรุดตัวนั่งกับพื้นหลังจากได้ยิน “ช่างมัน ไม่อยากคิด แค่ข้อสอบเมื่อกี้หัวก็จะระเบิดอยู่ละ เครียด อยากกินลูกชิ้นทอด!”
เอ่อ ผมต้องปรับอารมณ์ตามเขาด้วยไหมเนี่ย อยู่ๆ ก็ตะโกนออกมาเฉย ผมกำลังจะอ้าปากถามชื่อ แต่พี่ไฮท์ดันตะโกนเรียกซะก่อน
“ผมไปก่อนนะครับ” บอกลาคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก เขาก็ยิ้มหวานให้ส่งท้ายทำเอาซะผมสมองว่างเลยทีเดียว
โคตรน่ารักเลยว่ะ
“ไหนบอกว่าไม่รู้จักไง” เดินมาถึง พี่ไฮท์ก็เริ่มถาม ใบหน้าบูดบึ้งยามมองเลยไปหาคนด้านหลัง “คุยซะสนิทเลยนะมึง”
“แล้วพี่จะอารมณ์เสียทำไมเนี่ย”
“กูไม่ได้อารมณ์เสีย”
“แต่หน้าพี่บึ้งอยู่ คิ้วขมวดจนจะรวมกันอยู่แล้ว”
“แค่หงุดหงิด ไม่ได้อารมณ์เสีย”
“มันต่างกันเหรอพี่”
“ต่าง”
“ก็ได้ ต่างก็ต่าง”
ผมขำให้กับคนที่อารมณ์แปรปรวน หลังกลับจากค่ายมา พี่ไฮท์ดูใจดีกับผมมากขึ้น แต่บางครั้งก็ยังเหวี่ยงหากเผลอเรียกชื่อผมเป็นพี่ขิง
“ขี่ยังไงให้เหยียบตะปูได้วะ” พี่ไฮท์ปัดมือผมออกแล้วจูงมอเตอร์ไซค์ให้แทน
“ถ้าตาผมอยู่ที่ล้อ คงไม่เหยียบหรอก”
“กวนตีนนะมึง”
แม้จะด่า แต่พี่ไฮท์ก็ยังยิ้ม หากเป็นเมื่อก่อนผมอาจถูกกระโดดถีบไปติดต้นไม้สักต้นในสวนแล้วก็ได้
“พี่รู้จักคนที่ผมคุยเมื่อกี้ไหม”
“ถามทำไม”
“ก็แค่อยากรู้”
“มันเรียนศิลปกรรม” ผมจ้องหน้าคนพูด จนพี่ไฮท์ต้องถอนหายใจในความอยากรู้ของผม “อยู่ปีเดียวกับกูนี่แหละ”
“จริงเหรอ ผมนึกว่าอยู่ปีหนึ่งไม่ก็ปีสองซะอีก” เขาหน้าเด็กมากจริงๆ นะครับ ผิวก็ขาวกว่าผมนิดหน่อย “เขาชื่ออะไรเหรอ”
“ไอ้กลอย”
“กลอย? ชื่อน่ารักสมตัว” แล้วผมก็ถูกเขกหัวโดยไร้สาเหตุ
“ถ้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเหมือนพี่มึง อย่าไปยุ่งกับมัน”
“ทำไม? หรือเขานิสัยไม่ดี แต่ผมว่า เขาน่ารักดีนะ ดูใจดีด้วย”
“มันเป็นเพื่อนของคนที่พี่มึงขี่รถชน”
เหมือนมีดาวตรงหางตาเมื่อได้ยิน คนที่พี่ขิงขี่รถชนเหรอ หมายถึง คนที่ทำให้ผมถูกต่อยหน้าตึกคณะในวันแรกที่มาเรียนใช่ไหม
“พี่นี่รู้จักเขาดีเนอะ” พูดตามความรู้สึก แต่พี่ไฮท์กลับหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าผม “อะไร”
“กูไม่ได้สนใจเขา”
“หา?”
ใบหน้าตึงราวกับฉีดโบท็อกซ์ทำให้ผมงง พี่ไฮท์หมายถึงอะไร
“ช่างมัน” พูดจบก็เดินต่อเฉย ผมเลยต้องรีบก้าวขาให้ยาวขึ้นจะได้เดินทัน “กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้วครับ” ตอนแรกว่าจะถามกลับ แต่เพราะแถวนี้มีแค่ผม ฉะนั้นพี่ไฮท์ก็ต้องถามผมแน่นอน “พี่กินหรือยัง”
“อืม” สั้นๆ แต่ได้ใจความสุด “พ่อกูให้ชวนไปกินหมูจุ่มที่บ้าน”
“วันนี้เหรอ” พี่ไฮท์ไม่ตอบ “วันนี้ไม่ได้ ตอนเย็นผมต้องไปคุยงานกับแม่”
แม่ผมไปรับงานมาอีกแล้ว แถมไม่บอกผมเลย ที่จริงวันนี้ผมก็เกือบไม่ได้มาเรียนแล้ว เพราะแม่จะลากผมไปคุยงาน ไม่เข้าใจจริงๆ นะ แม่เจอพี่ขิงแล้ว ทำไมไม่ให้พี่ขิงไปถ่าย อยากรู้จริงๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้พี่ขิงหายไป
“นี่มึงต้องเป็นไอ้ขิงอีกนานแค่ไหน”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”
“มึงนี่นะ หัดเป็นตัวของตัวเองบ้าง อยากเป็นพี่มึงตลอดหรือไง”
พี่ไฮท์ก็พูดถูก ถ้าผมยืนกรานจะเป็นตัวเองก็คงได้ แต่ก็ไม่ทำ
“แม่บอกอีกไม่นานพี่ขิงก็จะกลับมา พอถึงตอนนั้น ผมก็คงกลับไปเป็นไอ้ขมิ้นเหมือนเก่า” ผมพูดจบ พี่ไฮท์ก็ไม่ถามอะไรต่อ แต่ปากบางๆ นั่นเหมือนพึมพำอะไรอยู่ “ถ้าพี่ขิงกลับมาแล้ว ผมก็คงต้องกลับบ้าน อยากให้ถึงวันนั้นจัง”
“ไม่ดี”
“พี่ว่าอะไรนะ”
“เปล่า รีบๆ เดิน ร้อน”
เมื่อกี้ผมเหมือนได้ยินพี่ไฮท์พูดอะไรบางอย่าง แต่ถ้าพี่เขาบอกเปล่าผมก็ต้องเชื่อ ไปคาดคั้นก็คงไม่ได้ เราสองคนจูงรถมาจนถึงร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ นั่งรอคิวเปลี่ยนยางแทบหลับ รู้แบบนี้ทิ้งรถไว้แล้วไปเล่นเกมส์ดีกว่า ร้านก็อยู่ไม่ไกลด้วย เห็นป้ายที่ติดหน้าซอยข้างๆ บอกมีแปลงของคณะเกษตร อยากเห็นจังว่าจะปลูกอะไรบ้าง
“แล้วรถของพี่ล่ะ” นั่งเฉยๆ ก็ง่วง เลยลองชวนคนข้างๆ คุย พี่ไฮท์กวาดสายตามองรอบร้านอย่างสนใจ
“เอาไปจอดที่ลานศิลปกรรม” ตอบผม แต่ตาก็ยังมองอะไหล่รถอยู่
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“ก็มึงเป็นรุ่นน้องกู”
“พี่บอกว่าผมไม่ใช่รุ่นน้องไม่ใช่เหรอ”
“ความจำดีนะมึง”
แล้วเราทั้งคู่ก็เผลอหัวเราะออกมา พอดีกับรถซ่อมเรียบร้อยแล้ว เราเลยเดินไปรับ พี่ไฮท์ควักแบงค์สีเทาออกมาจ่ายให้ แม้ผมจะปฏิเสธแต่ลุงเจ้าของกลับหยิบไปแล้ว
“เงินผมก็มีนะพี่”
“กูเต็มใจออกให้”
“ขอบคุณครับรุ่นพี่”
“กวนตีน”
ผมขยิบตาให้ก่อนถูกพี่ไฮท์เขกหัว แล้วเราก็หัวเราะพร้อมกันอีกครั้ง
พี่ทำผมใจเต้นอีกแล้ว
***
บนรถตู้คันแพง ผมนั่งถอนหายใจรอบที่ร้อยและถูกบิดแขนจนช้ำรอบที่ล้าน หลังจากไปคุยงานเรื่องคอนเซ็ปการถ่ายโปรโมทกางเกงชั้นในมา นี่ผมต้องใส่กางเกงในถ่ายแบบเหรอวะ บ้าไปแล้ว
“แม่ให้พี่ขิงมาถ่ายนะ ผมไม่ถ่าย” ยืนยันไปอย่างหนักแน่น แม่ก็รีบเงยหน้าจากจอมือถือทันที “ผมพูดจริง”
“ขมิ้นนี่ยังไงนะ แม่ก็บอกแล้วว่าพี่ขิงมาไม่ได้”
“ก็ทำไมถึงมาไม่ได้ล่ะ แม่ก็บอกมาสิ”
“พี่เขา...”
“หนีหนี้เหรอ แม่มีเงินตั้งเยอะก็ใช้ให้ไปสิ”
“หุบปากเลยนะขมิ้น” คำสั่งมาพร้อมแรงที่ตีเข้าปากจนผมสะดุ้ง ความชายังคงแผ่ไปทั่วใบหน้า โดยเฉพาะริมฝีปาก “แม่สั่งให้ทำก็ต้องทำ”
“ผมควรเชื่อพ่อ ว่าไม่ควรมาที่นี่” ความอดกลั้นมันก็ถึงจุดสูงสุด ผมโพล่งออกมาแม่ก็ยกมือเตรียมจะฟาดลงมาอีก แต่พอเห็นผมนั่งนิ่งไม่ขยับก็เลยลดมือลงไป “แม่รักผมบ้างป่ะ”
“แกเป็นลูกฉันก็ต้องรักสิ”
พอได้ยินผมก็ขำออกมา ไม่ได้ดีใจหรอกนะครับ แต่ขำเพราะสมเพชตัวเอง น้ำเสียง สีหน้าและแววตามันสวนทางกันอย่างชัดเจน
“รีบๆ ให้พี่ขิงกลับมา ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว” พูดจบผมก็เงียบตลอดทาง อยากร้องไห้นะ แต่น้ำตามันไม่ไหล หัวใจผมตอนนี้เหมือนถูกเข็มจิ้มจนพรุน
กว่าจะถึงบ้านก็เกือบสี่ทุ่ม ลงจากรถปุ๊บ ผมก็ตรงไปควบมอเตอร์ไซค์ทันที ไม่สนว่าแม่จะโวยวายอะไร ตอนนี้ผมต้องไปจากตรงนี้ซะก่อน ผมกำลังอ่อนแอ ผมไม่ใช่คนเข้มแข็ง ผมร้องไห้และผมก็เจ็บเป็น
มอเตอร์ไซค์คู่ใจทะยานด้วยความเร็วพอประมาณ ผมใช้ลมที่กระทบหน้าขับไล่น้ำตาให้เหือดหาย ความสับสนในหัวทำให้ผมกลับมาบ้านของตัวเอง ตอนนี้ในบ้านปิดเงียบ พ่อคงหลับไปแล้ว ถ้าเข้าไปพ่อจะตกใจเป็นห่วง ผมเลยถอยออกมา เสียงหมาเห่าบ้านข้างๆ ทำให้ผมนึกถึงปุยเมฆ และพาลนึกถึงที่ๆ ปุยเมฆอยู่ ถ้าผมไปที่นั่น จะได้ไหม
ได้ไม่ได้ผมก็มาแล้ว จากบ้านผมมาที่บ้านพี่ไฮท์ใช้เวลาประมาณชั่วโมง พอมาถึงก็เกือบเที่ยงคืน แม้บ้านพี่ไฮท์จะยังเปิดไฟ แต่ผมก็ไม่กล้ายื่นมือไปกดเรียก ผมว่าผมควรกลับไปเผชิญความจริง
จังหวะที่หันหลังจะกลับ เสียงหมาสองตัวเห่าแข่งกันจนเสียงดังลั่นพร้อมๆ กับตะกุยประตูกระจกจนแทบพัง ก่อนผ้าม่านชั้นบนจะถูกแหวกออก ทำให้เห็นหน้าลูกชายเจ้าของบ้าน พี่ไฮท์สวมเสื้อยืดสีขาวมองลงมาอย่างตกใจ
“มึง...รอเดี๋ยวนะ” ผมยืนรอพี่ไฮท์ที่รีบวิ่งออกมาจากตัวบ้าน โดยมีสองอ้วนวิ่งพันแข้งพันขาติดออกมาด้วย “มาได้ไงเนี่ย”
“ผมนอนด้วยได้ป่ะ” พี่ไฮท์มองผมอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้าช้าๆ พอผมเดินตามเข้าบ้านก็ถูกสองอ้วนกระโจนใส่ ทำไมผมรู้สึกว่า พวกมันดีใจที่ผมมาเลยกอดให้หายคิดถึง “พ่อพี่ล่ะ”
“หลับไปแล้ว มึงนั่นแหละ ไปไหนมาวะ” คงเพราะเห็นผมสวมสูทเต็มยศ “อ่อ ลืมไปว่ามึงไปคุยงานกับแม่ เป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็ดีมั้ง” ตอบแบบขอไปที “ถ่ายแบบกางเกงใน ผมไม่ชอบเลย”
“ฮะ? กางเกงใน มึงจะถ่ายแบบกางเกงในเหรอ” หลังจากได้ยินผมพูด พี่ไฮท์แทบตกบันไดเพราะหันมามองผม โชคดีที่ผมดันร่างไว้ทัน ไม่งั้นอาจตกลงไปทั้งคู่ “งานไอ้ขิง ก็ให้มันมาถ่ายสิ”
“ผมก็บอกแม่แล้ว ว่าไม่อยากถ่าย แต่แม่ไม่เข้าใจ”
“ไม่อยากถ่ายก็ไม่ต้องถ่าย มึงไม่ใช่ไอ้ขิงสักหน่อย ตัวก็ผอม กล้ามก็ไม่มี ของก็เล็ก ถ่ายยังไงก็ไม่สวย” เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว หากไม่มีประโยคต่อๆ มาด้วย
“มันเล็กเฉพาะตอนหลับเถอะ” มันใช่เรื่องที่ผมต้องเถียงไหมเนี่ย “ว่าแต่ พี่เห็นของผมตอนไหน แอบมองเหรอ” ยกมือปิดเป้ากางเกงตัวเองจนเกือบถูกถีบตกบันไดชั้นบนสุด โชคดีที่ขยับหนีทัน แม่งขาจะไวไปไหน
“มึงแก้ผ้ามาให้กูเห็นเองเถอะไอ้ห่า” พอเห็นผมตีหน้างง คนเห็นของลับของผมก็รีบอธิบายเพิ่มจนผมต้องร้องอ๋อแล้วยิ้มเขิน “ตอนค่ายที่มึงยืมสบู่กู”
“อ๋อ แบบนั้นนั่นเอง ผมไม่ถือ” หลบเท้าได้ แต่หลบมือไม่ได้ ฝ่ามือใหญ่ๆ เลยฟาดเข้าหัวผมดังป๊าบ “ขอยืมชุดหน่อยได้ไหมครับ”
แม้จะมองตาขวาง พี่ไฮท์ก็ยังเดินไปค้นชุดในตู้มาให้ และมันเป็นชุดเดิมที่ผมใส่ตอนมานอนครั้งแรก ผมอาบน้ำใหม่อีกรอบเพราะตัวเหม็นเหงื่อ กลัวถูกเจ้าของห้องไล่กลับ จะว่าไป ผมควรไปนอนกับเจมส์มากกว่าหรือเปล่าวะ ทำไมถึงนึกถึงพี่ไฮท์คนแรก ไม่สิ ผมนึกถึงปุยเมฆต่างหาก มันทำให้ผมมาที่นี่
ออกจากห้องน้ำมา เจ้าของห้องนั่งพิงหลังกับหัวเตียง บนตักมีจอแล็ปท็อป ข้างๆ ตัวก็มีหนังสือกับกระดาษวางอยู่เต็มไปหมด
“พี่ทำการบ้านเหรอ”
“เขาเรียกรายงาน”
“แล้วมันไม่ใช่การบ้านเหรอ”
“กวนตีน”
หลุดขำออกมาก่อนจะคลานขึ้นเตียง มือหยิบกระดาษขึ้นมาดู มีแต่ตัวเลขเยอะแยะไปหมด
“พี่เก่งว่ะ เป็นผมทำไม่ได้หรอก”
“แล้วมึงมาเรียนแทนพี่มึงได้ยังไง”
“ก็มีเจมส์ช่วย” ผมตอบพร้อมเม้มริมฝีปาก มันมีเรื่องที่อยากถาม ไม่รู้ถ้าถามไปพี่ไฮท์จะตอบหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ “ผมถามอะไรพี่หน่อยได้ป่ะ” พี่ไฮท์เงยหน้าขึ้นมามองก่อนพยักหน้าลง “ถ้าเกิดผมเป็นพี่ขิง พี่จะทำยังไง”
“ถ้ามึงเป็นไอ้ขิงแล้วมาบ้านกูๆ ก็จะกระทืบแล้วไล่กลับ”
โหดเหี้ยๆ
“ทำไมพี่ถึงเกลียดพี่ขิง บอกได้ป่ะ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” มันอาจเป็นความลับเลยต้องบอกแบบนั้นไป พี่ไฮท์ยังทำไม่สนใจ นิ้วกดแป้นพิมพ์รัวๆ “พี่ไฮท์ ทำไมเกลียดพี่ขิง...”
“พี่มึงไม่ใช่คนดี” นิ้วที่พิมพ์แป้นหยุดลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม “มึงรู้ใช่ไหม” ผมรีบพยักหน้ารัวๆ “แต่ที่กูเกลียดมัน ไม่ใช่เพราะมันเป็นคนไม่ดี ในเมื่อกูก็ไม่ใช่คนดี”
“พี่เป็นคนดี ผมยืนยัน” แวบหนึ่งเห็นพี่ไฮท์ยิ้ม แต่แล้วก็ปั้นหน้านิ่งตามเดิม “แล้วทำไมถึงเกลียด”
คราวนี้พี่ไฮท์วางแล็ปท็อปลงบนเตียง ตัวใหญ่ขยับนั่งหลังตรงเพื่อมองหน้าผม
“มึงรู้เรื่องอะไรของพี่มึงบ้าง” ท่าทางจริงจังทำให้ผมต้องลุกขึ้นนั่งด้วย จากที่นอนคว่ำมือค้ำคาง พอผมส่ายหน้าพี่ไฮท์ก็ถอนหายใจออกมา “รู้ไหมว่าพี่มึงมีผัวเป็นผู้ชาย” อันนี้ผมรีบพยักหน้าเพราะถูกเรียกเมียจ๋ามาแล้ว “แล้วรู้ไหมว่าพี่มึงมาแย่งแฟนกู”
“รู้สิ ผมเคยเกือบถูกพี่กระทืบตอนวันแรกที่มาไง” ยังจำไม่เคยลืมเลือน คอยเตือนตัวเองเอาไว้เสมอ
“ที่มันมาแย่งแฟนกู ก็เพราะ...”
“เพราะ”
ทำไมต้องทำให้ผมลุ้นขนาดนี้วะ
“เพราะว่าพี่มึงมาอ่อยกู แล้วกูไม่เอา”
“เชี่ย” สบถเสียงดังลั่นหลังจากได้ยิน “พี่พูดจริงเหรอ พี่ขิงชอบพี่เนี่ยนะ” รู้สึกสมองเบลอเลยไอ้ขมิ้น
“จริง มันมาสารภาพกับกูเอง ว่าชอบกู แต่กูคิดกับมันแค่น้องในคณะ มันก็ยังยืนยันจะคบ ตามตื้อกูอย่างน่ารำคาญ แล้วอยู่ๆ กูก็รู้ข่าว ว่ามันควงคนของกูเข้าโรงแรม คงไม่ต้องบอกว่าเข้าไปทำไมใช่ไหม”
เข้าโรงแรมไปกินข้าวแน่นอน ผัดตับ...ตับ ตับ ตับ ตับ
“พี่ พูดจริงๆ เหรอ” ยิ่งกว่าสมองเบลอ นี่พี่ขิงทำขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“ถามไอ้บิ๊กสิ ไม่ก็เจมส์เพื่อนมันน่ะ”
“เจมส์ก็รู้เหรอ” ทำไมมันไม่บอกผมวะ
“มันคงไม่อยากให้มึงเกลียดพี่ตัวเอง” ไม่รู้ตอนนี้ผมทำหน้ายังไง เพราะเรื่องที่เพิ่งรู้กำลังตีกันในหัวจนมึนไปหมด “ไอ้ขิงคงคิดว่า ถ้ามันได้กับแฟนกูแล้วกูจะยอมคบมัน โคตรโง่”
“โง่จริง” เผลอพูดออกมาโดยไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ “แล้วแฟนพี่เขา...ทำไมถึงยอมนอนกับพี่ขิงล่ะ”
“คนมันดัง ออดอ้อนเป็น”
“ตอแหลเก่งว่างั้น” ได้ยินพี่ไฮท์หลุดขำออกมา “แต่เป็นผมๆ ก็คงตามกระทืบพี่ขิงเหมือนกัน” พี่ขิงนี่ทำเรื่องให้ตัวเองโดนเกลียดเอง ทุกเรื่องเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นคนดัง น่าจะทำตัวดีให้คนชื่นชม นี่อะไร ทำตัวให้คนจ้องกระทืบอยู่ได้ “แล้วพี่เกลียดผมด้วยไหม”
“ทำไมต้องเกลียดมึง?”
“ก็ผมหน้าเหมือนพี่ขิง”
“ตรรกะอะไรของมึง อยากให้กูเกลียดเหรอ”
“ไม่เลย”
“งั้นก็เลิกถาม เพราะถ้ากูจะเกลียดมึง กูเกลียดไปนานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่ามึงไม่ใช่ไอ้ขิง”
“แปลว่า พี่ก็ชอบผมอะสิ”
ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า พี่ไฮท์ถึงหูแดงขึ้นมาแล้วก็หันไปสนใจงานในหน้าแล็ปท็อป แต่เท่าที่คิดย้อนไป มันก็ไม่มีอะไรผิดนะ
“นอนไปเลยมึง จ้องหน้ากูทำงานไม่ได้”
“พูดไม่เพราะเลยนะ คนเราเนี่ย”
พูดไม่จบดีก็ถูกหมอนฟาดเข้าเต็มหน้า ผมถึงกับล้มตัวหงายหลัง โชคดีที่หัวไม่โขกกับหัวเตียง ผมแยกเขี้ยวส่งให้พี่ไฮท์ก่อนจะขยับหันหลังให้ ไหนบอกไม่เกลียด แต่ชอบทำร้ายร่างกายผมอยู่เรื่อย โดยเฉพาะทำให้หัวใจผมทำงานหนัก
“ฝันดีนะพี่ไฮท์”
“เออ ฝันดี” มันน่าจะจบแล้วหากไม่มีประโยคต่อท้าย “หันตูดมาอย่าตดนะมึง ไม่งั้นกูถีบตกเตียง”
นี่นะหรือ คนที่บอกไม่ได้เกลียดผม เอะอะถีบ เอะอะตบ ใจร้ายโคตร แต่เพราะแบบนี้ทำให้ผมลืมความเสียใจที่เพิ่งเจอไปจนหมด อยากหันไปขอบคุณแต่ก็กลัวถูกด่าอีกว่าไปกวนเขา ผมเลยได้แต่ขอบคุณในใจพร้อมกับหลับตาลง คืนนี้ผมคงจะนอนฝันดีอย่างแน่นอน
...TBC
แท้แด้~~~~~~ สาเหตุที่แท้จริงที่พี่ไฮท์เกลียดขิงอย่างเข้าเส้นเลือดได้เปิดเผยแล้ว ช่วยขมิ้นเก็บเป็นความลับด้วยนะคะ (โดนตบหัว) ขอโทษที่มาช้าค่า คงจะเบื่อคำโทษแล้ว แต่ก็ยังจะพูด เป็นคนดื้อนั่นเอง ถถถ
ในตอนนี้มีกลอยประเกรียน (Just you and I เพราะนายคือของฉัน) มาทักทายนิดๆ หน่อยๆ ด้วยค่า หวังว่าจะยังไม่ลืมกันเน้ออ >w<
ขอบคุณมากๆ ค่า เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ