———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— ลั่นดาล ———— (ตอนพิเศษ๑) ๐๔.๐๑.๖๒  (อ่าน 123471 ครั้ง)

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

***************************************************************************************




ให้ความลับย่อยสลายไปพร้อมกับศพคนตาย
ส่วนคนเป็นก็ทำราวกับไม่รู้ไม่เห็น
ซ่อนเร้นด้วยชุดคลุมหนังแกะ ปกปิดร่างแท้ซึ่งคือหมาป่า



ลั่นดาล
โดย กระเหี้ยนกระหือรือ (นามปากกาใหม่ 9crimes)


เกิดเหตุพบศพชายผูกคอตายภายในห้องนอนที่ล็อกกลอนแน่นหนา
คิมหันต์…จึงจำต้องกลับมาเหยียบบ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยตอนครั้งยังวัยเยาว์อีกครั้ง
ในฐานะเจ้าหน้าที่ควบคุมการสืบสวนคดีพิเศษและควบตำแหน่งเป็นถึงพี่ชายฝาแฝดของผู้ตาย




สารบัญ – ลั่นดาล
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2019 23:43:09 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ————
«ตอบ #1 เมื่อ07-12-2017 16:19:20 »

บทนำ




เสียงฟ้าฝนทำคนนอนกระสับกระส่ายหลับไม่สนิทมานักต่อนัก

แถมช่วงกลางคืน อุณหภูมิมีแต่จะยิ่งกดตัวลงต่ำ เมื่อความเย็นผนวกเข้ากับละอองน้ำ น่าพิศวงที่สภาพอากาศภายนอกกลับเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายจู่ ๆ ก็รู้สึกอยากขับถ่ายขึ้นมาเสียดื้อ ๆ 

เด็กหญิงตัวน้อยปรือตาตื่นและลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างงัวเงีย พิมพ์มาดาหรือหนูดาวัยห้าขวบเกิดปวดปัสสาวะจึงทำการเขย่าร่างคนข้างกายที่เคยบอกไว้ว่าถ้ามีอะไรให้ปลุกได้ตลอด แต่จนแล้วจนรอด เขย่าเท่าไหร่คนนอนคลุมโปงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมตื่นแต่อย่างใด

โดยปกติแล้วเด็กมีความอดทนอดกลั้นตื้นเขินกว่าผู้ใหญ่ สุดท้ายเด็กหญิงจึงปีนลงจากเตียงเองโดยพลการท่ามกลางความมืดมิด ก่อนยืนลังเลนิดหน่อยเรื่องทิศทาง สวิตช์จ่ายแสงสว่างอยู่ตรงไหนนะ มือน้อยปัดป่ายในอากาศ ควานมือสะเปะสะปะเพื่อหาผนังปูน 

มือเล็กหยุดคลำเมื่อคว้าลูกบิดได้และไวเท่าความคิดก็บิดมันเพราะนึกว่าเป็นประตูสุขา แต่กลายเป็นว่ามีแสงจ้าจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องจนต้องหรี่ตา ร่างเล็กยืนค้างระหว่างประตูที่เปิดแง้ม ก่อนจะสอดตัวออกไปหลังเกิดความคิดใหม่ ๆ ขณะแทบลืมว่าอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้ตื่นขึ้นมา

สองขาสั้นที่ถูกบดบังด้วยชายกระโปรงชุดนอนขยับทอดน่องจากหน้าห้องตัวเองไปยังฝั่งตรงข้าม ย่ำฝ่าเท้าบนความมันวาวที่สะท้อนเป็นเงาตอนเดินผ่านสามบานประตูที่ยังปิดสนิท ไม่มีใครคิดลุกขึ้นมาหรอกนอกจากเด็กหญิงที่จู่ ๆ ก็รู้สึกโหยหาอ้อมกอดของคนเป็นพ่อ

ลูกสาวก็แค่อยากขอนอนด้วย แต่โชคไม่ช่วยเท่าไหร่ที่ประตูดันล็อกจากด้านใน หนูดาเกือบล้มเลิกความตั้งใจเมื่อหมุนลูกบิดยังไงก็ไม่สามารถเปิดประตูได้ แต่ด้วยนิสัยเด็กที่ชอบเร้าหรือเป็นทุน คิดแค่ว่าถ้าเรียกซ้ำ ๆ คนด้านในก็จะรับรู้แล้วเดินมาเปิดประตูให้ในที่สุด 
   
“คุณพ่อคะ คุณพ่อ”  มือน้อยห่อป้องปากหวังทำให้เสียงยิ่งก้อง ยืนตัวเย็นอยู่หน้าห้องที่ข้างในไร้เสียงความเคลื่อนไหวขณะสายฝนยังเทกระหน่ำ ดีที่ฟ้าไม่ผ่าซ้ำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัว  “คุณพ่อ เปิดประตูให้หนูหน่อย”

“หนูดา…?”  ตอนที่ไหล่เล็กลู่ดูแสนผิดหวัง เสียงทักอย่างอ่อนโยนก็ทำให้เด็กหญิงหมุนตัวหันกลับมามอง  “น้าภัค…”  พร้อมขานรับ เรียกชื่ออีกคนกลับด้วยน้ำเสียงละห้อย   
แถมยืนนิ่งอยู่กับที่ระหว่างทำสีหน้าเศร้าสร้อยจนผู้ใหญ่พลอยเป็นห่วง

นรภัทรหรือภัครีบเดินเข้าหาพลางทวงถามว่าออกมาทำอะไรข้างนอกในยามวิกาล 
“หนูดาออกมาทำอะไรข้างนอกคนเดียวคะ”  ลงท้ายคะขาคงนึกว่าเป็นผู้หญิง

อันที่จริงภัคเป็นผู้ชายที่ลักษณะทางกายภาพค่อนไปทางผอมบาง ความสูงสักร้อยเจ็ดสิบต้น ๆ แต่ถ้าเทียบกับผู้ชายด้วยกันก็ยังถือว่าเป็นคนตัวเล็ก ด้วยความหน้าเด็กเลยดูเหมือนเพิ่งเรียนจบมอปลาย ทว่าความจริงอายุขัยได้ขยับเข้าสู่เลขสองและมีศักดิ์เป็นถึงน้าชายหรืออีกความหมายก็คือน้องแม่ของเด็กหญิงนั่นเอง   

ภัคลดตัวนั่งยอง ๆ แล้วประคองสองมือเล็กไว้บนฝ่ามืออย่างแผ่วเบา แต่เมื่อหลานสาวยังเงียบจึงโอบรอบเอวเล็กเข้าหาตัว กลัวจะหนาวจึงกอดไว้หลวม ๆ 

“หนูแค่อยากนอนกับคุณพ่อ”  แต่เพราะประตูมันล็อกก็เลยเปิดเข้าไปไม่ได้… ร่างบางอ่านเอาจากสายตาหงอย ๆ ที่ส่งมา มองใบหน้ามุ่ย ๆ สลับกับบานประตูด้านหลังที่ยังปิดสนิท

ในขณะเดียวกันก็คิดหาถ้อยคำปลอบใจ พอคิดอะไรดี ๆ ออกก็รั้งตัวเด็กหญิงเข้ามาแนบกายและไม่ลืมคลี่รอยยิ้มหวาน ประดับมันไว้บนริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา  “แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้วนะคะคนดี คุณพ่อคงหลับไปแล้วล่ะ หนูดาอย่ากวนคุณพ่อเลยนะ” 

เอ่ยประโยคจบก็รอดูปฏิกิริยาเด็กหญิงที่นิ่วหน้าประหนึ่งกำลังคิดไม่ตก  “งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า เรากลับไปนอนกันแล้วเดี๋ยวน้าภัคเล่านิทานให้ฟังด้วยดีไหม”  สำหรับเด็กจะมีอะไรสนุกไปกว่าการได้ท่องโลกนิทาน แถมเด็กตรงหน้าเองก็เป็นถึงหลานสาวที่เลี้ยงมาเองตั้งแต่ยังแบเบาะ
 
การเฝ้าฟูมฟักตลอดระยะเวลาห้าปีพอทำให้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ท้ายที่สุดหนูดาก็พยักหน้าเป็นอันตกลงยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ภัคจึงได้ฤกษ์ช้อนตัวหลานสาวขึ้นจากพื้นพลางยกมือเรียวขึ้นลูบผมยาวสลวยเพื่อปลอบใจเด็กหญิงที่ยังอยู่ในอาการโศกเศร้า

หนูดาซบแก้มยุ้ยกับบ่าแคบอย่างหงอย ๆ ระหว่างปล่อยให้น้าชายอุ้มพากลับห้องก็ทำท่าจะหลับต่อเพราะน้ำหนักมือที่ยังลูบหัวทุยไม่ขาด สัมผัสนั้นสม่ำเสมอจนดูปกติดี จะมีก็แต่แววตาอ่อนโยนของผู้ใหญ่ที่เมื่อพ้นสายตาเด็กก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ปรากฏความเฉยเมยยามชายตามองบานประตูที่ยังไร้วี่แววว่าคนอยู่ด้านในจะเดินมาเปิดมัน   

“อ๊ะ นั่น …คุณพ่อนี่นา!”  หลงคิดไปว่าเด็กน้อยใกล้หลับบวกกับกำลังมีเรื่องคิดในใจ ไม่แปลกที่ผู้ใหญ่จะสะดุ้งเพราะเสียงแหลมเล็กและคำพูดของเด็กยังส่งผลทำให้หัวใจทำงานหนัก ภัคเกิดอาการหน้าถอดสี หากมีกระจกสักบานให้ส่องคงมองเห็นว่าตัวเองดูมีพิรุธแค่ไหน

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกล่อกแล่กไปมาขณะเกิดอาการขนลุกขนชัน จู่ ๆ อากาศก็เย็นเฉียบฉับพลัน ไหนจะความเงียบสงัดที่ขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งน่าสยดสยองจนหวั่นใจว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจากมุมมืด ไม่เคยรู้สึกกลัวเวลากลางคืนเท่าตอนนี้มาก่อน     

“เมื่อกี้หนูดาพูดว่าอะไรนะคะ”  เสียงที่สั่นถามย้ำพลางกลืนน้ำลายลงคอ

ระหว่างรอคำตอบก็พยายามทำใจกล้ากวาดสายตามองบริเวณโดยรอบ จนกระทั่งร่างเล็กในวงแขนหันตัวกลับมาชี้ให้มองไปในทิศทางเดียวพร้อม ๆ กัน นิ้วสั้นชี้บอกว่าตรงนั้นไง ขั้นบันไดล่างสุดที่เห็นคุณพ่อ  “หนูเห็นคุณพ่อยืนยิ้มให้อยู่ตรงนั้น เราลงไปข้างล่างกันเถอะน้าภัค” 

เด็กหญิงจำได้แค่ว่าตอนแรกเห็น แม้ต่อมาจะพบเพียงความว่างเปล่าก็ยังฝังใจว่าเห็น
คะยั้นคะยอขอให้น้าชายช่วยพาลงไปข้างล่าง รบเร้าจนภัคต้องปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  “ด้านล่างไม่เห็นจะมีใครเลยนะหนูดา”  เพ่งสายตามองจนค่อนข้างมั่นใจว่าด้านล่างที่สว่างเป็นบางจุดไม่มีคุณพ่ออย่างที่หลานสาวกล่าวอ้าง  “สงสัยหนูคงจะตาฝาดแล้วล่ะ”

“แต่หนูเห็น…”

“คุณพ่อก็นอนอยู่ในห้องไงคะ จะออกมาข้างนอกได้ยังไงจริงไหม”  คนเป็นน้าชายเล่นพูดดักเสียยืดยาว หลานสาวจึงไปต่อไม่ถูกแถมคิดตามไม่ทัน สัญชาตญาณบอกแค่ว่ากำลังโดนดุ เมื่อรู้ตัวว่าคืนนี้อาจจะไม่มีคนนอนกอด จึงรีบอ้อน เลิกยอกย้อนและไม่พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีก

“น้าภัคอย่าโกรธหนูนะ”  สองมือน้อยประคองแก้มผู้ใหญ่ไว้พลางสบสายตาอย่างหวั่น ๆ กลัดกลุ้มตามประสาเด็กที่เห็นกี่ครั้งก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูเสมอ

เจอแววตาเว้าวอนเข้าไปก็โกรธไม่ลง ส่ายหัวแล้วส่งยิ้มให้บาง ๆ  “หนูดาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ น้าภัคไม่โกรธหรอก”

ซึ่งนอกจากเด็กหญิงจะยิ้มกว้างให้ ยังหอมแก้มเนียนซ้ายขวา จุ๊บปากน้าชายปิดท้ายแล้วค่อยเอนหัวซบช่วงไหล่ราดดั่งเดิม เด็กน้อยรูดซิปปากไม่มีอะไรจะคัดค้าน เพียงแต่ตอนถูกอุ้มผ่านบันได นัยน์ตากลมโตก็ยังแอบเหลือบมองลงไปยังเบื้องล่าง ก่อนจะแอบยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโบกไหว ๆ ตอบคุณพ่อที่ทำท่าทางเดียวกันจากขั้นบันไดเดิม

จนเมื่อระยะห่างเริ่มทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด หนูดาลืมตัวชะเง้อชะแง้คอ แต่พอคนอุ้มหลุบตามองก็รีบหดหัวกลับ แกล้งหลับตา คิดว่าจะหลอกผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนได้ ใช่ว่าภัคตามไม่ทัน แต่แทนที่จะคาดคั้นเอาความกับเด็ก ตัวเองก็อยากนอนเต็มแก่จึงทำแค่กวาดสายตามองบริเวณโดยรอบอีกครั้งระหว่างเอื้อมมือเปิดประตูห้องนอนอย่างชำนาญ

จนยิ่งกว่ามั่นใจว่าไม่มีอะไรเหลือนอกเหนือจากความว่างเปล่ากับข้าวของทั้งหลายที่วางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนทุกวัน แววตาหวั่นวิตกคงเหลือเพียงความโล่งใจในขณะที่หลานสาวเรียกชื่อขึ้นมาเบา ๆ  “น้าภัค…”  เจ้าของชื่อขานรับในลำคอรอว่าเด็กหญิงจะพูดอะไร  “หนูปวดชิ้งฉ่อง” 

น้าชายอดอมยิ้มกับคำที่หลานสาวเลือกใช้ไม่ได้ สงสัยว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้น่ารักนัก ระหว่างอุ้มเข้าห้องนอนก็ยิ่งกระชับอ้อมวงแขนให้แน่น แม้นไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ก็รักและทะนุถนอมไม่ต่างจากคนให้กำเนิดเอง  “ได้สิคะ เดี๋ยวน้าภัคพาชิ้งฉ่องก่อนเข้านอนเนาะ” 

ขอแค่เป็นเรื่องของเด็กหญิงพิมพ์มาดา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ หนักหนาสากรรจ์แค่ไหนก็พร้อมทำให้ทุกอย่าง แลกกับการได้เฝ้ามองพัฒนาการอยู่ข้าง ๆ และเป็นฐานให้เด็กหญิงได้เหยียบอย่างมั่นคงเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีและต่อให้ใครเอาแก้วแหวนเงินทองมาแลกก็ไม่มีทางตอบตกลง จะปกป้องหลานสาวซึ่งเปรียบเหมือนโลกทั้งใบของตัวเองจนตัวตาย 

“ฝันดีค่ะสาวน้อย”  ต่อให้ต้องฆ่าใครเพื่อให้เด็กหญิงรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา สองมือที่ใช้ห่มผ้าให้ก็พร้อมจะแปดเปื้อนอย่างไม่มีอิดออด ร่างบางเขยื้อนตัวลงนอนข้างหนูดาที่ฟังนิทานไม่ถึงกลางเรื่องก็ผล็อยหลับไปแล้วค่อยเอื้อมมือปิดโคมไฟ จนทั้งห้องตกอยู่ใต้อาณัติความมืดมิด   

บนเตียงขนาดใหญ่ น้าชายนอนหันตะแคงข้างและกางแขนโอบกอดหลานสาวที่ซุกตัวเข้าหาเหมือนทุกคืน ถึงแม้ว่าจะหลับตามกันไป แต่สัญชาตญาณระแวดระวังภัยก็ยังคงตื่นตัวตลอดเวลา ราวกับงูจงอางหวงไข่ที่คอยปกป้องลูกน้อยไม่ให้ไอ้อีหน้าไหนมาทำร้ายได้ 











----------------------------------------------------
***หมายเหตุ ต้องขออนุญาตแจ้งก่อนว่าลั่นดาลมีอีกเวอร์ชั่นที่ลงในเด็กดี(แต่ปัจจุบันยังลงไม่จบ) เวอร์ชั่นในเด็กดีเป็นแฟนฟิคเกาหลีค่ะ ที่ต้องบอกก่อนก็เพื่อป้องกันการสับสน ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาแฟนฟิคมาแปลงเป็นวายไทยแล้ว(มีบทเรียนเล็กๆน้อยๆจากตอนทงจีกับเหมายัน) แต่ทีนี้บอกตรงๆค่ะว่าเสียดายพล็อตเรื่องนี้มากและรู้สึกว่าไม่อยากจำกัดมันให้อยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆ ก็เลยเอาวะ แปลงก็แปลง โดยพล็อตและฉากของทั้งสองเวอร์ชั่นจะเหมือนกัน ยกเว้นคำบรรยายที่มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ยังไงฝากติดตาม คอมเม้นและเป็นกำลังใจให้ตุ๊กติ๊กด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ  。◕‿◕。
9crimes - นายคราม FANPAGE
   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2018 20:56:33 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เป็นกำลังใจให้คุณตตนะคะะ
เราชอบการเขียนของคุณตั้งแต่เหมายันแล้ว เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
งื้อออ มาตอนแรกก็ขนลุกเลย

ออฟไลน์ __puppy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 o13

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

๐๒




หยาดฝนเพิ่งหยุดตกเกือบรุ่งสาง ยอดน้ำค้างยังไม่ทันร่วงจากชายคา น่านฟ้ายังเป็นสีครามอมเขียวแก่ แต่บรรยากาศภายในสวนหน้าบ้านที่ควรจะสงบกลับเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่พิเศษหลังจากมีคนในบ้านโทรไปแจ้งว่าพบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ

คุณผู้ชายของบ้านแขวนคอตายภายในห้องนอนส่วนตัว

ป้าแม่บ้านซึ่งยังตกอยู่ในอาการกลัวให้การกับตำรวจที่รุดมายังสถานที่เกิดเหตุในฐานะผู้พบเห็นศพของเหมันต์ พานัสวินก่อนใครว่า  ‘จะขึ้นมาทำความสะอาดห้องของคุณผู้ชายตามปกติ แต่ทีนี้ประตูมันล็อกจากด้านใน ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แค่ใช้กุญแจไขเหมือนทุกครั้งที่คุณผู้ชายชอบเผลอล็อกห้องก่อนออกไปทำงานตั้งแต่เช้า…’

ระหว่างที่หญิงวัยกลางคนเล่ารายละเอียดก่อนจะโดนซักหนักเรื่องที่ว่ามีสิทธิ์เข้าออกได้ทุกซอกทุกมุมของตัวบ้าน ด้านสมาชิกภายในครอบครัวเองก็ถูกเกณฑ์มารวมตัวกัน ณ ห้องรับรองแขกทั้งสภาพยังแต่งชุดนอนเต็มยศ

มีห้าคน อารมณ์ก็ปะปนกันไป… มินตรา หญิงสาวหน้าตาสะสวยวัยสามสิบนั่งร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่บนวีลแชร์ไฟฟ้า น้ำตาแทบหยดเป็นสายเลือดเนื่องจากผู้ตายเป็นทั้งสามีและยังเป็นบิดาของลูกสาวที่หน้าตาถอดสำเนามาจากเธอทุกกระเบียดนิ้ว

แม้แต่ริ้วรอยความเศร้าในแววตาก็คัดลอกกันมา สองแม่ลูกมีนัยน์ตาอมทุกข์เหมือนกัน
รวมถึงผิวพรรณ …ยกเว้นก็แต่เรื่องสันดาน       

ไม่รู้ว่าหนูดาได้พ่อหรือใครมา เพราะในยามที่คนแปลกหน้าพลุกพล่านเต็มบ้าน เด็กหญิงรู้งานและช่วยลดปริมาณความวุ่นวายไปได้เยอะด้วยการม่อยหลับ ความจริงมันเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องเห็นภาพมารดาโศกา ขณะข้าง ๆ กันบนโซฟามีน้าชายคอยดูแลไม่ห่าง

ภัคให้หลานสาวนอนหนุนตักต่างหมอนและก้มมองร่างเล็กที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ ตัวเองยังช็อกไม่หายกับเรื่องที่พี่เขยด่วนจากไปอย่างไม่มีเหตุผล ในช่วงเวลาเดียวกันก็กำลังห่วงความรู้สึกคนในบ้าน โดยเฉพาะความรู้สึกของหลาน
จะอธิบายอย่างไรให้เด็กวัยห้าขวบเข้าใจ ได้แต่คิดจนเผลอแสดงสีหน้ากังวล 

ผิดกับจอมทัพ ทราวรสัตย์ ที่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายชัดเจน ดูไม่ยินดียินร้าย เหมือนไม่สนว่าใครจะเป็นจะตายด้วยซ้ำ หลายครั้งชายหนุ่มหน้าตาคมคายทำแค่เดินกลับขึ้นไปชั้นบนแล้วก็โดนตำรวจเชิญลงมาทุกที การโดนกักบริเวณทำให้อารมณ์เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งชักหัวเสียใบหน้าดุเป็นทุนเพิ่มระดับความหงุดหงิดขึ้นตามจำนวนวินาที 

คงจะมีก็แต่ธันวาหรือธันเท่านั้นที่เก็บอาการจนอ่านความรู้สึกทางสีหน้าไม่ออก ราวกับหุ่นกระบอกที่มีอารมณ์เดียว อาจเพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผู้ตายจึงไม่รู้จะแสดงความเสียใจในฐานะใด ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งและมีผิวขาวซีดเข้ามาอาศัยชายคาเพื่อดูแลภรรยาเจ้าของบ้านที่มีปัญหาด้านการเดินเหินก็เท่านั้น

ถึงจะอยู่บ้านหลังใหญ่นี้มานาน แต่จะได้คุยกับนายเหมันต์นิด ๆ หน่อย ๆ ก็แค่ตอนรับเงินเดือน ไม่เหมือนคนอื่นที่ได้ใช้เวลาร่วมกับผู้ตายมากกว่า   

“ผมว่าพี่ทำใจดี ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีกคน” 

บทสนทนากำเนิดขึ้นเพราะความเป็นห่วง แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือดวงตาแดงก่ำที่ตวัดมองอย่างกรุ่นโกรธ คนกำลังเสียใจไม่รู้จะระบายอารมณ์ใส่ใคร น้องชายแท้ ๆ จึงกลายเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ร้าย ๆ อีกตามเคย 

“เป็นแกก็พูดได้! ลองให้คนที่แกรักตายดูบ้างไหมล่ะ!” 

วาจาแสลงหูดังก้องบริเวณและประโยคไม่ทะนุถนอมน้ำใจนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ภัคหลุบตามองต่ำ หมดถ้อยคำจะต่อล้อต่อเถียงไปโดยปริยาย เพราะรู้ดีว่าถ้าขึ้นเสียงใส่กลับ ทุกอย่างจะยิ่งมีแต่แย่กับแย่ลง ก็ได้แต่หวังว่าพี่สาวจะยังคงนึกถึงใจลูกน้อยของตัวเองบ้าง 

“ไม่เห็นแก่ผมก็ช่วยเห็นแก่หนูดาด้วยเถอะ แกหลับอยู่นะ”

“ฉันแค่ขาเสีย ไม่ได้ตาบอด!”

“น้าภัค…”  นอนหลับอยู่ดี ๆ พอมีเสียงดังรบกวนก็ลืมตาขึ้นอัตโนมัติ เด็กหญิงเรียกหาน้าชายเป็นคนแรกซึ่งมันก็ไม่ใช่ภาพแปลกตาอะไร สามารถพบเห็นได้อยู่ทุกวัน เพียงแต่ในวันที่มีเรื่องชวนหัวถาโถมเข้ามา สำหรับมินตราไม่ว่าอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด น่ารำคาญจนเผลอตวาดลั่น   

“รักกันดีจริงนะ ผัวมาฆ่าตัวตาย ลูกก็รักคนอื่นมากกว่า นี่มันเวรกรรมอะไรของฉัน!”   

“ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะพี่มิน”   

“หุบปาก!”  อารมณ์ยังขึ้นและดูท่าไม่น่าจะลงง่าย ๆ  “น่าจะเป็นแกมากกว่าที่ตาย ไม่ใช่เหมันต์!”  เป็นใครก็คงนึกว่าหญิงสาวพลั้งปากพูดเพราะกำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 

แต่ไม่หรอก… มินตราตั้งใจพูดให้ได้ยินโดยทั่วกัน เหมือนกับทุก ๆ วันที่ชอบถากถางและเหน็บแนมน้องชายดั่งเช่นแม่เลี้ยงใจร้ายจงใจกลั่นแกล้งซินเดอเรลล่า   

“เธอนั่นแหละหุบปาก”  แล้วก็ไม่ใช่ว่าจอมทัพอยากเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยนางซินที่กำลังโดนโขกสับ เพราะความรำคาญล้วน ๆ ต่างหากถึงได้ยื่นปากเข้ามาสอด ก่อนจะด่าสาดเสียเทเสียยิ่งกว่า เนิ่นนานมาแล้วที่ชายหนุ่มวัยมหาลัยเลิกสนว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง   

ก็อย่างว่าผู้ใหญ่มันทำตัวไม่น่าเคารพเอง  “ทำเป็นสะอึกสะอื้น ร้องห่มร้องไห้อย่างกับรักผัวตายอย่างนั้นแหละ ตอแหล”

“แก…”  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการปะทะ ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาช้านาน
เผลอ ๆ อาจจะตามจองล้างจองผลาญกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนด้วยซ้ำ ก่อนเวรกรรมจะนำพาทั้งคู่มาพบกันอีกในชาตินี้ หญิงสาวออกแนวอาฆาตแค้นในขณะที่คนอายุน้อยกว่าชอบตามราวีและพูดแดกดันเพื่อความสะใจ

“ทำไม…? โกรธเหรอ งั้นลุกขึ้นมาตบฉันเลยสิ” 

จอมทัพมีความทะเล้นแต่ชอบเล่นผิดเวลา ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยไม่สนหัวงอกหัวดำมาจากใคร มีการเอียงหน้าท้าทาย รออยู่ว่าเมื่อไหร่หญิงสาวที่ง่อยเปลี้ยเสียขาจะลุกเดินมาตบตนด้วยตัวเอง ปกติจะเก่งกับเด็ก คนชราแล้วก็ผู้หญิงที่ชื่อว่ามินตราเป็นพิเศษ เพราะเห็นหน้าแต่ละทีแล้วมันรู้สึกหมั่นไส้ อยากจะแกล้งให้อกแตกตายไปซะ  “อย่าคิดว่าพิการแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรเธอนะ”

“คุณจอมทัพครับ…”

“อย่าเสือก ไอ้ขี้ข้า”  แม้ว่าความจริงจอมทัพจะเป็นคนนอกสายเลือดเหมือน ๆ กับธันวา แต่เพราะบิดาแต่งงานใหม่กับแม่ของผู้ตาย ลูกติดพ่ออย่างชายหนุ่มเลือดร้อนจึงกลายเป็นน้องชายเจ้าของบ้านโดยไม่เต็มใจนัก

แถมลึก ๆ แล้วก็ไม่อยากอยู่ที่นี่หรอก ติดที่ว่าไม่มีที่ไปและยังต้องอาศัยเงินบ้านนี้ใช้จ่าย ดังนั้นถึงจะไม่ชอบใจหลายอย่างก็ต้องทน ถึงจะเบื่อขี้หน้าคนดูแลหญิงพิการที่วัน ๆ ทำหน้าตายด้านเป็นอยู่อย่างเดียวแค่ไหน ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากพูดจาส่อเสียดใส่  “ไอ้ธัน นี่มันเรื่องของเจ้านายเว้ยและถ้าแกว่างมากน่ะนะ นู่น ไปเป็นหมาดมกลิ่นให้ตำรวจไป” 

แล้วที่ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าคนอายุไล่เลี่ยกันไม่เคยเอาคืนด้วยการชกปากเลยสักครั้ง     

“ไม่เห็นต้องพูดจากันแรง ๆ แบบนี้เลยนะครับคุณจอม หนูดาก็อยู่ด้วย”  ภัคเสนอตัวเข้าช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อหวังให้เรื่องทุกอย่างจบไป โดยลืมคิดว่าตัวเองอาจกลายมาเป็นเหยื่ออีกรายให้คนอายุน้อยกว่าเล่นหัว 

“นี่ก็อีกคน แอ๊บเก่งตัวแม่ ตอแหลแต่ฉลาดกว่าพี่สาวตัวเองหน่อย”  ผู้ใหญ่ชินกับที่อีกคนชอบพูดพล่อยเป็นนิสัย แต่ไม่ใช่กับเยาวชนตัวน้อยที่น่ากลัวว่าจะจำคำพูดหยาบคายไปใช้ในอนาคต น้าชายที่โดนเหน็บแหนมจึงรีบยกมือขึ้นปิดหูหลานสาวที่หันหน้าเข้าซุกอกทันทีเนื่องจากต้องการหนีจากสายตาไม่เป็นมิตร   

จอมทัพถลึงตามอง ยืนกอดอกจ้องหนูดาที่แอบเหลือบหางตาดูอีกทีว่ายังมีใครมองอยู่ไหมและได้ผล เด็กหญิงรีบหันหน้ากลับไปหลังคนขี้แกล้งแยกเขี้ยวใส่ หมายจะทำให้กลัวหัวหด

“ผมมาเชิญตัวคุณจอมทัพไปให้ปากคำเพิ่มเติมครับ”  จนเมื่อตัวปัญหาได้เวลาต้องตอบคำถามและเดินนำตำรวจออกไปด้านนอก ห้องรับรองแขกจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เพิ่มเติมคือความกระอักกระอ่วน ชวนให้บรรยากาศยิ่งน่าอึดอัด
 
เพราะก็อย่างที่เห็นแท้จริงแล้วบ้านหลังใหญ่เป็นแค่สิ่งปลูกสร้างที่รวบรวมคนต่างความคิดไว้ด้วยกัน คำว่าสถาบันครอบครัวเป็นแค่นามธรรม จับต้องลำบาก หากมองตัวบ้านด้วยตาเปล่า เห็นทำจากปูนก็เข้าใจว่ามั่นคง แต่ถ้าดูลึกถึงโครงสร้างทั้งบ้านมีแค่เสาเดียวค่อยรองรับน้ำหนักมาตลอดและมันก็ผุกร่อนเต็มที

บ้านนี้มีสิทธิโค่นล้มได้ทุกเมื่อถ้าต้องลมแรง ตามผนังมีรอยแตกลายงากินอาณาเขต ความแตกแยกเป็นเหมือนเภทภัยที่คืบคลานเข้ามาใกล้แล้วกระจายตัวอยู่ในทุกความสัมพันธ์

ไม่ใช่ว่าใช้กาวก็จะสมานได้ทุกรอยบาดหมาง

ผู้ใหญ่ต่างรู้ดีว่าหมดหวัง แตกต่างจากเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจ นัยน์ตากลมโตยังประกายขณะเหลือบมองใบหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยความสนอกสนใจ เด็กหญิงเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ยังหลงเหลือความใสซื่อบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ผุดขึ้นเหนือซากปรักหักพัง เบ่งบานท่ามกลางสภาพแวดล้อมเป็นพิษ 





มีต่อด้านล่าง...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 22:34:56 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #6 เมื่อ07-12-2017 23:02:51 »

รองเท้าบูทดำลงน้ำหนักบนพื้นหญ้าอย่างไม่กลัวว่าดินเฉอะแฉะข้างใต้จะทำให้หนังแท้เลอะเทอะและตลอดทางที่เดินเจอคนใต้บังคับบัญชาเมียงมองมาอย่างสนใจ เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ที่วัดความสูงครั้งล่าสุดได้ร้อยแปดสิบหกก็จะทำแค่ส่งยิ้มบาง ๆ กลับไปให้

แต่ยิ่งเดินสำรวจโดยรอบนานเท่าไหร่ก็ยิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำให้ลูกน้องวอกแวกจากการเก็บหลักฐาน ดังนั้นคนเพิ่งเดินทางมาถึงจึงว่าจะแยกตัวเข้าไปทักทายสมาชิกในบ้านที่นานแล้วไม่ได้พบกันแทน 

นับตั้งแต่ตอนมารดากับสามีใหม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็อาจจะสักห้าหรือหกปีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคิมหันต์ไม่ได้เข้ามาเหยียบตัวบ้านตระกูลพานัสวิน ซึ่งเป็นบ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยตอนครั้งยังเยาว์วัยก่อนจะแยกออกไปอยู่กับบิดาแท้ ๆ หลังพ่อแม่หย่าร้างกัน 

ลูกชายฝาแฝดถูกจับแยก… นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงมองใบหน้าสมสัดส่วนของนายตำรวจด้วยสายตาแปลก ๆ หากไม่ได้ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่แรกก็คงจะออกอาการสับสน ตกลงไหนคนไหนวิญญาณ คนที่หล่อเหลาเข้าขั้นพระเอกจนน่าจะผันตัวไปทำงานในวงการมายามีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผู้ตาย เรียกได้ว่าเหมือนกันยังกับแกะ   

หลังแม่แท้ ๆ แต่งงานใหม่และพ่อก็ตายหลายปีให้หลัง แม้ว่าจะต่างคนต่างอยู่กันมานาน แต่แฝดพี่ก็ยังคาดหวังว่าจะได้เจอแฝดน้องอยู่เสมอและไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องกลับมาเจอตอนหมดลมหายใจ รวมถึงต้องกลายมาเป็นเจ้าของคดีน้องชายทั้งที่สภาพจิตใจไม่เต็มร้อย   

ถึงการทำงานเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาหลายปีจะสอนให้เริ่มชินชาและคิดอยู่ตลอดว่าชีวิตคนก็เหมือนใบไม้ ถ้าไม่ถูกเด็ดออกจากต้นด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน สักวันก็ต้องร่วงโรยราตามธรรมชาติอยู่ดี แต่พอเป็นเรื่องของคนใกล้ตัว เป็นเรื่องของคนในครอบครัวแล้วก็ยากจะทำใจ สายสัมพันธ์เป็นเรื่องซับซ้อน มันเกิดก่อนที่เราจะลืมตาดูโลกเสียอีก   
   
“เสียใจด้วยนะครับ” 

“ขอบใจมาก”  คิมหันต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำกับยกมือตบบ่าลูกน้องไปทีตอนที่เดินสวนกันตรงประตูทางเข้าบ้าน หลังจากฝากฝังว่าถ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมให้รีบมารายงานก็ปล่อยให้ไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ

ในขณะที่ยืนกวาดสายตามองบริเวณรอบ ๆ อย่างพินิจพิจารณา  “คุณพ่อ!”  เสียงเรียกปริศนามาพร้อมแรงปะทะจัง ๆ ที่ท่อนขา นายตำรวจรีบก้มหน้ามองสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจและชูมือชูไม้เป็นสัญลักษณ์สากลว่าให้อุ้ม

ฝ่ามือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมลื่นแผ่วเบาแล้วค่อยอุ้มเด็กหญิงขึ้นจากพื้นหินขัดเงาเข้าเอวอย่างกับพ่อลูกอ่อน ปล่อยให้เด็กน้อยกอดหอมด้วยความรัก จากลังเลว่าจะบอกดีไหมว่าลุงไม่ใช่พ่อ แต่พอเห็นแววตามีความสุข จากลุงจึงสวมรอยเป็นพ่อ ต่อบทเล่นเป็นน้องชายฝาแฝด โดยไม่จำเป็นต้องดัดเสียงที่ใช้พูดเลยสักนิด  “แล้วตอนนี้คุณแม่อยู่ไหนเหรอคะ” 
 
“ในห้องนั่งเล่นค่ะ”  หนูดาจับเท็จไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป เหมือนกับเด็กวัยขวบกว่าที่พอเห็นเสือก็เรียกว่าแมวแล้วอยากจะเล่นด้วยเพราะคิดว่ามันไม่มีพิษสง   

เด็กหญิงยังแยกแยะอะไรจริงอะไรโกหกไม่ออก ได้แต่ชี้นิ้วบอกว่าเพิ่งวิ่งออกมาจากห้องไหน ไม่ลืมฉอเลาะบอกคุณพ่อว่าหนูคิดถึงจัง พูดจาฉะฉานสรรหาเหตุผลบอกคนที่รอฟังอย่างตั้งใจว่าก็หนูเบื่อนี่นาเลยออกมาวิ่งเล่นข้างนอกคนเดียว  “แต่หนูขออนุญาตน้าภัคแล้วนะคะ”

“น้าภัค…? หนูหมายถึง…”

“หนูดาคะ…”  พูดไม่ทันขาดคำ บุคคลที่พ่อลูกกำลังเอ่ยถึงก็เดินออกมาตามหาเพราะกังวลว่าหลานสาวจะเที่ยวเล่นซนจนอาจจะหัวร้างข้างแตก

ด้วยความเป็นห่วงกลัวจะไปปีนป่ายแล้วร่วงตกลงมาจนแข้งขาหัก ความตั้งใจแรกคือออกมาให้เห็นเองกับตาว่าเด็กหญิงปลอดภัย ไม่ได้เผื่อใจมาเจอภาพหลานสาวถูกใครไม่รู้อุ้มอยู่อย่างสนิทสนม ถ้าหากมีเวลาจะอบรมเด็กหญิงเสียใหม่ว่าอย่าได้ไว้ใจคนแปลกหน้าเด็ดขาด 

“น้าภัค!”  แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักแต่น้าชายก็ยังแยกแยะออก มองตามด้วยสายตารักใคร่และยิ้มหวานให้กับหนูดาที่เรียกชื่อตนขึ้นมาเสียงดัง

ซึ่งพอได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม คนเป็นพ่อก็หมุนกลับหลังหันทั้งสภาพอุ้มลูกสาวอยู่ ก่อนจะยิ้มโชว์ปลายฟันขาวนิด ๆ แสดงออกถึงความเป็นมิตรที่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ค่อยยินดีรับเท่าไหร่

หลังจากได้เห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เอาแต่จ้องหน้าร่างสูงใหญ่ที่เป็นเหมือนดั่งญาติห่าง ๆ คิมหันต์เองก็ยิ้มมุมปากแต่พองาม พยายามแสดงออกว่าบริสุทธิ์ใจ แต่ยิ่งมองด้วยอคติเท่าไหร่ภัคยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังโดนเยียดหยาม พานทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตา

รอยยิ้มเป็นความเหมือนของฝาแฝดที่แทบแยกกันไม่ออก รองจากเรื่องหน้าตา
ยังมีสิ่งที่ละม้ายคล้ายคลึงกันอีกมากมาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นความชอบ
 
“คุณคงมาหาพี่มิน เธออยู่ในห้องนั่งเล่นครับ”  ภัคปรับแววตาให้อ่อนลงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำเสียมารยาทกับพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยที่เคยเจอแค่ครั้งสองครั้งอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เพื่อรับตัวหลานสาวไปอุ้มไว้แทน

ช่วงจังหวะที่คนร่างบางแหงนหน้าส่งยิ้มให้แขกพอเป็นพิธี ตอนที่ค่อย ๆ เปลี่ยนถ่ายหนูดาจากอ้อมแขนสู่อีกอ้อมกอดทำให้นายตำรวจได้มีเวลาสำรวจรูปพรรณสัณฐาน เห็นงานปั้นเซรามิกอย่างประณีต นอกจากจะปากนิดจมูกหน่อยเหมือนลูกแมว คงไม่มีอะไรสะดุดตาเท่าผิวพรรณแวววาว ขาวอย่างกับหยวกกล้วยแซมด้วยสีอมชมพูของเลือดฝาด 

แต่ความคิดฟุ้งซ่านก็มีอันต้องหยุดลงกลางคันยามร่างบางหันกลับมาเรียก  “เชิญครับ”  เจ้าบ้านเดินนำขณะมีเด็กหญิงโบกมือให้พ่อปลอม ๆ เดินตามมา

ตอนนั้นเองนายตำรวจเลยมีเวลาครุ่นคิดถึงพฤติกรรมภายนอกที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยอยากต้อนรับของอีกฝ่าย สงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าจึงรีบก้าวให้ทัน กะจะทำลายความเงียบระหว่างเดินด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ก็ดันมีเสียงเรียกขัดเสียก่อน 

“คิมคะ!” 

ถ้าเผอิญทุกคนไม่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเหมันต์มีแฝดพี่ ความรู้สึกมันก็คงจะไม่ต่างจากการโดนผีหลอกตอนกลางวันแสก ๆ นัก ภัคหลบทางให้คนรู้จักของพี่สาวได้เดินขึ้นนำหน้า 

 “ผมเสียใจด้วยนะ”  คิมหันต์คุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาวที่เอามือใหญ่ไปกุมและรีบพูดทั้งสภาพน้ำตานองหน้า  “ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาทำแบบนี้ทำไม”

“คุณแค่ทำใจให้สบาย ส่วนเรื่องหาสาเหตุปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจนะ” 

“คุณจะอยู่ข้าง ๆ ฉันใช่ไหม”  แทนที่จะตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ มือใหญ่อีกข้างแค่วางทับบนหลังมือหญิงสาวแล้วคลึงเบา ๆ และช่วยเช็ดน้ำตาแห่งความเศร้าออกจากพวงแก้มแล้วยิ้มบาง ๆ ปลอบใจมินตราทางสายตาว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“น้าภัค”  ขณะที่คนในบริเวณไม่เว้นแม้แต่ภัคที่มองภาพชายหญิงตรงหน้าเป็นตาเดียว หนูดาจำต้องเรียกคนอุ้มอยู่หลายครั้ง ต้องเขย่าบ่าจนน้าชายหันกลับมาให้ความสนใจและกระซิบถามเสียงเบาว่าเป็นอะไรคะ  “น้าภัค หนูหิว”

“จริงด้วย”  น้าชายเองก็เพิ่งนึกได้ว่าหลานสาวยังไม่ได้ทานข้าวเช้าสักเม็ด  “จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมกับหลานจะขอตัวไปที่ห้องครัว”  ตัดสินใจถามเจ้าหน้าที่ที่เดินผ่านมาพอดี แต่ว่าก็ไม่ได้รับคำตอบในตอนนั้น เพราะนายตำรวจยศน้อยก็มัวหันมองหน้าหัวหน้าราวกับกำลังรอคำอนุญาตอีกทอด คิมหันต์ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนจึงรีบพยักหน้าระหว่างมือยังถูกมินตรากุมไม่ปล่อย  “คุณพาหนูดาไปได้เลยนะ ผมอนุญาต” 

ถามอีกคนแต่เจออีกคนตอบก็ต้องยอมรับว่ามึนงงและภัคคงจะเป็นคนท้าย ๆ ที่ได้รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยเป็นถึงตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งมีอำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ   

หลังปล่อยให้เด็กหญิงลงยืนบนพื้นแล้วเปลี่ยนเป็นจูงมือกันออกเดิน  “ขอบคุณนะครับ”  ร่างบางไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณ แต่เดินไปสองสามก้าวแล้วก็หยุดกลางคันและหันกลับมามองใบหน้าคิมหันต์ราวกับมีเรื่องข้องใจ จนเมื่อนายตำรวจส่งยิ้มให้ก็หลบสายตา หันหน้ากลับไปและพาเด็กหญิงรีบเดินสวนทางกับจอมทัพที่เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมรอยยิ้มกวน ๆ 

“ผัวตายไม่ทันไรก็จะกลับไปกินของเก่าแล้วเหรอ”  ประโยคแรกคือถามมินตราที่นั่งทำตาเขียวปั๊ด  “หรือว่านายเองก็รอจังหวะเคลมอยู่เหมือนกัน…?”  ขนาดคนตายยังไม่เคยเคารพ แล้วจะนับประสาอะไรกับพี่ชายคนตายที่ดูผิดกันหน่อยเรื่องความใจเย็น

“นายคือจอมทัพใช่ไหม”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” 

ในสายตาเด็กสาวอาจคิดว่าการทำตัวห้าวกับผู้ใหญ่ของจอมทัพช่างดูเท่บาดใจ แต่ในสายตาคิมหันต์ คนตรงหน้าก็เป็นแค่เด็กเกเรและก้าวร้าว ผ่านการขัดเกลาแต่ไม่เอาความรู้เรื่องสมบัติผู้ดีที่ได้ร่ำเรียนมาปรับใช้ 

“เออลืมไป นายมาก็ดีแล้ว ไปบอกให้ลูกน้องรีบทำงานด้วยนะ คนมีธุระ ไม่มีเวลามายืนรออะไรไร้สาระแบบนี้ทั้งวันหรอก”

“แล้วฉันจะขึ้นไปบอกลูกน้องให้” 

ส่วนในสายตาคนโดยรอบ ต่างก็นิยมชมชอบความมีวุฒิภาวะของนายตำรวจ ควบคุมอารมณ์ในที่สาธารณะได้อย่างน่าชื่นชมตอนที่จอมทัพเดินสวนจนช่วงไหล่กระทบไหล่

คิมหันต์ได้แต่ยิ้มพร้อมส่ายหัว ก่อนจะหันไปขอตัวกับหญิงสาวเพราะถึงคราวต้องขึ้นไปตรวจตราความเรียบร้อยด้านบน จะเอาประโยคที่คนปีนเกลียวฝากบอกไปบอกลูกน้องด้วย แม้จะเป็นหัวหน้าก็ต้องช่วยลูกน้อง คนเขาจะได้ไม่มองว่าได้ตำแหน่งมาเพราะจับฉลากได้ 

คิมหันต์โดนมินตรารั้งตัวไว้ไม่นาน หลังจากนั้นก็ให้เวลากับงานที่ผ่านแต่ละนาทีไปอย่างยากลำบาก ยิ่งเห็นร่างผู้ล่วงลับด้วยตาแล้วยิ่งเศร้าสลด คนเป็นใหญ่สุดถึงกับขอเวลายืนสูดอากาศตรงหน้าต่าง มองโลกกว้างข้างนอกแทนภายในห้องที่มีแต่กลิ่นความตาย

สุดท้ายเมื่อยืนอยู่ต่อไปยังไงก็ไม่มีสมาธิ จึงขอตัวกับลูกน้องบอกจะลงไปด้านล่างแต่ถ้าหากมีความคืบหน้าอะไรให้รีบแจ้ง คิมหันต์หอบสภาพนัยน์ตาแดงก่ำลงมาตามขั้นบันได ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากที่ไหนสักแห่งและออกตามหาแหล่งกำเนิด กว่าจะรู้ตัวก็เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องครัวที่ด้านในอัดแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวา 

นายตำรวจยืนกอดอกตรงขอบประตู อยู่เงียบ ๆ ระหว่างมองเด็กกับผู้ใหญ่ผลัดกันป้อนข้าว ไม่อยากเข้าไปทำลายบรรยากาศจึงตัดสินใจอยู่กับที่ พอดีกับมีลูกน้องเดินเข้ามาหาเพราะเรื่องงาน  “ผู้กองครับ” 

ลูกน้องเอารายงานมาให้อ่านถึงมือและหน้าที่ก็คือหน้าที่ คิมหันต์รับแฟ้มมาอ่านอย่างไม่อิดออด อยากจะข้ามขั้นตอนรูปถ่ายแต่ก็ต้องทำใจแข็งมองอย่างละเอียดและเลื่อนสายตาตามตัวเขียนอย่างบรรจง แล้วค่อยออกปากถาม หางานให้ลูกน้องทำจะได้ไม่ยืนเบื่อ 

“พบอะไรน่าสงสัยบ้างไหม”

“ไม่ครับ”

“รอยนิ้วมือบนผ้าล่ะ”

“พบแค่ของผู้ตายคนเดียวครับ ส่วนร่องรอยเข้าออกรอบ ๆ บ้าน”

“โชคร้ายที่เมื่อคืนฝนตก”  นายตำรวจพูดแทรกแล้วค่อยปิดหน้ารายงานลง  “ส่งศพไปแผนกนิติเวชแล้วใช่ไหม”  มือใหญ่ส่งแฟ้มคืนลูกน้องที่ตอบคำถามด้วยคำว่าครับ แต่ก่อนปล่อยอีกคนไปก็ไม่ลืมถามคำถามที่อยากรู้อีกข้อ  “แล้วตอนนี้เหลือสอบปากคำใครอีก”

“ลูกสาวกับน้องชายภรรยาผู้ตายครับ” 

คิมหันต์พยักหน้ารับอีกคนที่ทำความเคารพและเดินจากไป แล้วค่อยหันกลับมาสนใจสองคนต่างวัยในห้องครัวที่ดันรู้ตัวแล้วว่ามีคนแอบมอง ภัคสบตากับคนที่ถูกเรียกว่าผู้กองพลางก้มหัวให้เล็กน้อย กะจะป้อนข้าวหลานสาวต่อ แต่หนูดาก็ดันเหลือบเห็นพ่อปลอม ๆ เข้า 

“คุณพ่อ!”  การป้อนข้าวสะดุดไปชั่วขณะ ส่วนคนถูกจับได้ว่ายืนแอบดูก็เดินเข้ามาร่วมวงและทันได้ยินที่น้าชายพยายามจะอธิบายให้เด็กหญิงเข้าใจ   

“หนูดาคะ คุณลุงเขาไม่ใช่พ่…”

“ไม่เป็นไรครับ ปล่อยให้แกเข้าใจแบบนั้นแหละ”

“แต่ว่า”

“ไหนให้พ่อดูหน่อยสิว่าสาวน้อยของพ่อกำลังทานอะไรอยู่”  คิมหันต์ตัดบทด้วยการชวนเด็กหญิงคุยอย่างยิ้มแย้ม แก้มสากขึ้นรอยบุ๋มลึกตอนที่ลูกสาวกระเถิบตัวบนเคาน์เตอร์กลางเพื่อสร้างที่ว่างเพราะอยากให้คุณพ่อนั่งลงด้วยกัน   

“หนูดากินข้าวต้มหมูค่ะ น้าภัคทำให้ อร้อยอร่อย”  เด็กน้อยยกความดีความชอบให้น้าชายที่ยืนทำสีหน้าวิตก ยังคงไม่เห็นด้วยกับการที่นายตำรวจสมอ้างเป็นพ่อหลาน จนคนไม่รู้จักประหยัดรอยยิ้มต้องรีบพยักหน้ายืนยันอีกรอบว่าไม่เป็นไรและโชคดีที่ได้เด็กหญิงคอยสร้างบรรยากาศให้กลับมามีสีสัน  “คุณพ่อทานด้วยกันไหมคะ อ้า…”  หนูดาอ้าปากรอให้ร่างบางป้อน หมูพูนเต็มช้อนทำให้เด็กหญิงมีความสุข

คุณพ่อมองลูกสาวเคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วก็ยกมือลูบท้อง แสดงถึงอาการหิวอย่างแนบเนียน  “เห็นหนูกินแล้วคุณพ่อหิวขึ้นมาเลยค่ะ”   

“ยังมีอยู่ในหม้อนะครับ ถ้าคุณไม่รังเกี…”

“คุณพ่ออ้าปากสิคะ อ้าปากแบบหนูนี่ ดูนะ”  สงสัยติดนิสัยชอบขัดมาจากอีกคนจนเหมือนเป็นพ่อลูกแท้ ๆ แต่ร่างบางก็หงุดหงิดไม่ลง ส่งช้อนข้าวเข้าปากเด็กหญิงอย่างนุ่มนวล   

แต่แล้วมุมปากรูปกระจับก็ลดลงต่ำตอนรู้ตัวว่ามีสายตาคุณตำรวจจับจ้อง คิมหันต์ไม่มองเปล่ายังอ้าปากรออย่างใจจดใจจ่อ พ่อลูกเลียนแบบกันมา ภัคยืนชั่งใจขณะกำช้อนกระเบื้องไว้ ร่างบางไม่ยอมขยับท่ามกลางท่าทางลุ้น ๆ ของหลานสาว  “น้าภัค~”

การเรียกชื่อคือการเร่งดี ๆ นี่เอง เด็กน้อยจะไปรู้อะไร ผิดกับผู้ใหญ่ที่คิดเยอะ แต่พอเจอรบเร้าหนัก ๆ ร่างบางก็ต้องจำใจ อยากทำลายบรรยากาศประหลาด ๆ ให้หายไปเช่นกัน คิดแค่ว่าป้อนอาหารครั้งเดียวก็คงไม่มีอะไรเสียหาย     

แต่ในยามที่ริมฝีปากหนางับช้อนตอนกลีบปากขยับอมทั้งคัน ฟันคมขูดกับกระเบื้องจนเกิดเสียงหวีดที่ค่อย ๆ กรีดใจคนได้ยิน ท่าทางการกินแล้วมองคนป้อนไปด้วยไม่วางตาไม่ต่างจากกำลังเกี้ยวพาราสี ลูกตาดำจดจ้องอยู่กับของที่อยากกินและร่างบางรู้สึกเหมือนกำลังถูกเคี้ยวแทนชิ้นหมูพวกนั้น จนลำไส้บิดมวนชวนหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งห้องครัวตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ

“คุณมาอยู่ที่นี่เอง ฉันตามหาให้ทั่ว”  ปลายช้อนกับริมฝีปากหนาผละออกจากกันโดยอัตโนมัติจนหญิงสาวที่ใช้วีลแชร์เดินแทนเท้าไม่ทันสังเกตเห็น     

“มีอะไรหรือเปล่ามิน”  เป็นคิมหันต์ที่ตั้งคำถามพลางขยับลงยืนกับพื้นอย่างคล่องแคล่ว     

“ฉันแค่นึกว่าคิมกลับไปแล้วน่ะค่ะ”

“ความจริง… จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขออยู่พักที่นี่ด้วยสักวันสองวัน”  ถามกับคนเป็นพี่สาวแต่หันหน้าเข้าหาน้องชายราวกับอยากจะได้คำตอบจากคนที่ยืนตรงหน้ามากกว่า

“ได้สิคะ คุณอยู่เป็นอาทิตย์เลยก็ได้”  ทั้งนายตำรวจทั้งภัคหันมองหน้ามินตราอย่างพร้อมเพรียงขณะมีเด็กน้อยนั่งเอียงหัวไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่คุยเรื่องอะไรกัน  “แล้วถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติม เรียกใช้ภัคได้ตลอดเลยนะ”   

“พี่ครับ”  เวลาปกติแทบจะไม่เคยเห็นหัวกัน แต่พอต้องการคนใช้ ชื่อ ‘ภัค’ จะกลายเป็นชื่อแรกและชื่อสุดท้ายที่ถูกเรียกขานเสมอ

“เรื่องปรนนิบัติคนอื่นแกก็ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”   

“แต่ผมไม่ใช่คนใช้”

“งั้นก็ออกไปจากบ้านฉัน ถ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันเลี้ยงแกมาก็ไสหัวไปเลย”

“พอเถอะมิน ลูกก็อยู่ด้วยนะ”  ถ้าไม่ห้ามคงได้บานปลาย แล้วนายตำรวจเองก็ลำบากใจที่ตัวเองได้กลายเป็นประเด็นให้สองพี่น้องต้องทะเลาะกัน   

“มินจะออกไปรอข้างนอก คิมรีบตามมานะคะ”  เพราะ ‘อดีตคนรัก’ ขอไว้ ประโยคที่มักใช้ลำเลิกบุญคุณจึงเป็นอันไม่ได้เอ่ยออกมา ล้อวีลแชร์ไฟฟ้ารีบเคลื่อนออกไปจากครัวเหมือนสาวเจ้ากลัวว่ากลิ่นคาวอาหารจะติดชุด 

“ผมขอโทษนะ”  รอจนแน่ใจว่ามินตราไปแล้ว คิมหันต์ถึงกลับมาพูดกับร่างบาง

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ได้ผิดอะไร”  อาการปากไม่ตรงกับใจใช้กับคนอื่นก็อาจพอหลอกได้อยู่หรอก แต่นายตำรวจมองออกเพราะถูกฝึกฝนมา พวกผู้ร้ายปากแข็งน่ะรับมือมานักต่อนัก  “ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็เรียกผมแล้วกัน คิดซะว่าผมเป็นคนใช้คนนึง”

“คนใช้คืออะไรเหรอน้าภัค”  พูดออกมาตอนแรกแค่หวังประชดประชัน ลืมคิดว่ามีหลานสาวอยู่ด้วย น้าชายจึงอึกอักกำลังนึกคำอธิบายดี ๆ แต่ก็ถูกแย่งหน้าที่ไปต่อหน้าต่อตา คิมหันต์อาสาเป็นคนอธิบาย โดยบิดเบือนความหมายจริงทั้งหมด 

“คนใช้ก็คือคนที่ใจดีมาก ๆ น่ารักมาก ๆ แต่เสียดายไม่ค่อยจะยิ้มให้พ่อเลยค่ะ”  เอ่ยผ่านเด็กหญิงที่ยิ่งฟังก็ยิ่งงง คงมีแต่พวกผู้ใหญ่ที่เข้าใจนัยยะแฝงในประโยคนั้น   

“คุณกำลังทำให้หนูดาสับสนนะ” 

“ผมแค่อยากจะทำให้คุณอารมณ์ดี”

“ผมอารมณ์ดีอยู่แล้ว”

“โกหก”  ไม่รู้ว่าเพราะสวนกลับทันควันหรือเพราะว่าตำรวจเป็นคนพูดกันแน่ คำธรรมดาสองคำถึงให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม น้ำเสียงจับผิดทำเอาภัคเผลอก้าวถอยหลัง   

“ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณเชื่ออยู่แล้วนี่”  ได้ทีหันหลัง ว่าจะล้างถ้วยแล้วใช้น้ำกลบทุกเสียง 

“งั้นผมขอน้ำหวานสักแก้ว เสร็จแล้วเอาออกไปเสิร์ฟด้วยนะ”

“นี่คุณ…”  ร่างบางรีบหันมองนายตำรวจที่คล้ายกับอยากจะลองดี 

“ก็คุณพูดเองนี่ว่าให้เรียกใช้ได้”  ยอกย้อนหน้าเป็น ความทะเล้นส่งผ่านทางแววตาเจ้าชู้ คิมหันต์หอมแก้มสาวน้อยที่คอยนั่งมองผู้ใหญ่คุยกันจนหาวเบา ๆ  “เดี๋ยวคุณพ่อไปทำงานก่อนนะคะ”  เอ่ยเสร็จแล้วรอเด็กหญิงพยักหน้าถึงได้ออกห่าง แต่ก็ต้องเดินย้อนกลับมาเพราะลืมล่ำลาร่างบางอีกคนที่สงสัยจะโกรธจนไม่อยากพูดด้วยอีกแล้ว  “อย่าลืมน้ำหวานผมล่ะ”  กระซิบกระซาบข้างกกหูขาว

จู่ ๆ เข้ามาประชิดตัวภัคก็ต้องสะดุ้งเป็นธรรมดา รีบหันแต่ไม่ทันคนไวกว่า นายตำรวจเกือบจะเดินพ้นประตูห้องครัวแล้ว แววตานิ่ง ๆ ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างกับทะเลสาบภายใต้เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำและทำเฉยเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน

“ภัค… คุณคงรู้แล้วนะว่าผมเป็นตำรวจ แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่าผมดูแลคดีนี้ด้วย ถ้าคุณมีอะไรอยากเล่าเพิ่มเติมบอกผมได้ตลอด แล้วผมจะรอฟัง”

เจ้าของคำพูดจากไป ร่างบางยังเหมือนได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังแว่วอยู่ข้างหู

ภัคหันมองหนูดาที่ลงนอนกับเคาน์เตอร์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ น้าชายผลูลมหายใจยาวราวกับมีเรื่องคิดมากระหว่างหันหลังกลับ คิดว่าน้ำเย็น ๆ จะช่วยชโลมจิตใจที่แสนว้าวุ่น แต่สายตาก็สะดุดที่ช้อนกระเบื้องซึ่งอยู่ในถ้วยชามที่กำลังรอการล้างเสียก่อน

มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมาอย่างช้า ๆ ระหว่างหลุบตามองต่ำ เผลอกลืนน้ำลาย ชั่งใจว่าจะกินต่อดีหรือเปล่าเกิดเสียดายข้าวขึ้นมา ไม่ได้หิวโหยแต่โดยปกติแล้วเป็นคนรู้คุณค่าอาหาร มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะเรียกว่าสันดานชอบกินของเหลือก็ได้ ริมฝีปากแดงค่อย ๆ งับปลายช้อนที่ผ่านมาหลายปาก ทาบทับคราบน้ำลายที่น่าจะยังไหลเคลือบช้อนอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์และแน่นอนว่ารสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เคยกิน







--------------------------------------------------
ชอบไม่ชอบเม้นบอกกันบ้างน้า หวังว่าจะชอบกันค่า ขอบคุณค่ะ  :mew1:
9crimes - นายคราม FANPAGE
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2018 20:55:03 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ pipoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 326
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • https://twitter.com/dokpeepo
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #7 เมื่อ08-12-2017 00:07:22 »

ติดตามค้าาาชอบมากก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #8 เมื่อ08-12-2017 00:15:59 »

ไม่อยากจะบอกว่าเราคิดว่าใครฆ่าคุณพ่อตัวจริง เดี๋ยวไม่ใช่แล้วจะเงิบบบ  :hao7: ภาษายังคงลึกลับน่าค้นหาเช่นเดิมค่ะ ชอบที่บรรยายตอนกินข้าวต้ม วนอ่านอยู่สองสามรอบ สุดยอดจริงๆค่ะ เขียนดีมากเลย ติดตามตอนต่อไปนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #9 เมื่อ08-12-2017 00:40:58 »

มีความลึกลับตั้งแต่อินโทรเลย
อ่านไปใจก้ตุ้มๆต่อมๆไป
ยังอ่านไม่จบนะคะ เดี๋ยวช้ามาอ่านต่อ
แต่ขอมาเม้นให้กำลังใจนักเขียนก่อน

ยังชอบสำนวนการเขียนของคุณตุ๊กติ๊กเล่นเคย
จะติดตาม แล้วก้เปนกำลังใจให้เสมอนะคะ
 :L2: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
« ตอบ #9 เมื่อ: 08-12-2017 00:40:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #10 เมื่อ08-12-2017 01:16:51 »

หนูดาน่าเอ็นดู

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 574
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #11 เมื่อ08-12-2017 01:30:20 »


แน่นอนว่ารสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เคยกิน


แอบคิดเยอะกับประโยคนี้ หนูภัคเคยไปกินช้อนเดียวกับใครมาก่อนรึเปล่า

เรื่องราวน่าติดตามมาก มีเรื่องสงสัยหลายเรื่องเลย
 ชอบความเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็แอบเจ้าเล่ห์ ร้ายนิดๆของคิมหันต์มากค่ะ

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (01) ๐๗.๑๒.๖๐
«ตอบ #12 เมื่อ08-12-2017 18:27:25 »

๐๓




“เหมเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม อย่างเช่นปัญหาภายในบริษัท กับลูกน้อง หรือกับคนนอกที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจ” 

มินตราส่ายหน้าเมื่อตัวอย่างที่อดีตคนรักหยิบยกมาไม่เคยได้ยินจากปากสามีที่ตายไปเลยสักครั้ง ความจริงมันก็นานมากแล้วจนลืมไปว่าล่าสุดพูดคุยกันด้วยเรื่องอะไร เพราะตกลงกันไว้ว่าจะใช้ชีวิตแบบทางใครทางมัน อยู่ร่วมบ้านแต่ไม่มีการสุงสิงเหมือนคู่คนอื่น กลางคืนก็แยกห้องนอน อย่าว่าแต่กอดหรือหอม เสี้ยวหน้ายังแทบไม่ยอมมองกันด้วยซ้ำ
 
แต่งงานแค่ในนามเป็นคำนิยามความสัมพันธ์ที่ทำให้เห็นภาพง่ายที่สุดและหญิงสาวเองก็หยุดร้องไห้นับตั้งแต่คิดได้ว่าเปล่าประโยชน์ คนตายก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แววตาจึงเปลี่ยนมาจดจ่ออยู่กับคนเป็นที่เห็นกี่ครั้งก็ยังคิดถึงและยังหวังว่าสักวันนึงจะได้กลับมามีความสุขด้วยกัน ทุก ๆ วันมินตราจะเฝ้าฝันถึงความเป็นไปได้และในที่สุดก็พบเจอโอกาสนั้นเสียที

หญิงสาวไม่สนว่าจะมีกี่สายตามองมาอย่างครหาหรือว่าร้ายเป็นหญิงชั่วผัวตายไม่ทันครบวันก็หันหัวเรือหาพี่ชายฝาแฝด ใยเธอต้องให้ค่ากับคนที่ชอบสอดและวิจารณ์ชีวิตคนอื่นไปวัน ๆ เพราะคนพวกนั้นไม่เคยรู้เลยว่าเธอรอมานานแค่ไหนและทรมานเช่นไรกับการต้องอาศัยภายใต้ชายคาเดียวกับคนที่ไม่ได้รัก ซ้ำยังเป็นอาชญากรสำหรับเธอด้วย     

หัวใจของเธอเคยอยู่ที่ใครจะนานแค่ไหนก็ยังอยู่กับคนนั้น คิมหันต์คือฝันดีที่เคยสลายไปและหวนกลับมาใหม่ให้เธอได้มีโอกาสประกอบขึ้นอีก คราวนี้หญิงสาวจะระมัดระวังกว่าเดิม เริ่มการสมานด้วยวิธีง่าย ๆ มือขาวซีดเอื้อมจับมือใหญ่แล้วยกมาวางบนตัก ลูบหลังมือกร้านและแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ตอนได้รับรู้ถึงอุณหภูมิที่เคยสัมผัสมาก่อน

 แล้วคิมหันต์เองก็ไม่ได้ชักมือกลับแต่อย่างใด กลับกันคือรู้สึกเห็นใจในฐานะคนรู้จัก หญิงสาวตรงหน้าเพิ่งจะเสียเสาหลักของครอบครัว เธอย่อมรู้สึกกลัวกับอนาคตอันใกล้ที่ไม่รู้ว่าจะมาดีหรือมาร้าย ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย ท้ายที่สุดนายตำรวจก็เปลี่ยนจากการสอบสวนส่วนตัวมาเป็นการถามไถ่เรื่องความเป็นอยู่ 

“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างมินกับเหมันต์ล่ะ”   

“คิมก็รู้อยู่แล้วนี่ว่ามันเป็นยังไง”  หญิงสาวตอบกลับแทบจะทันทีที่พลางยกยิ้มหยัน ๆ ให้กับความอาภัพของตัวเองที่สามารถนำไปเขียนเป็นนิยายโศกขายได้สักเล่ม   

“แต่เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะมิน”

“จนตายมินก็ไม่มีทางลืมหรอก”  หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น  “ทั้ง ๆ ที่มินควรจะได้แต่งงานกับคิมแท้ ๆ”  เธอหมดเยื่อใย ไม่หลงเหลือความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาผจญกับชีวิตน่าสมเพช เธอพร่ำพูดจนคิมหันต์คิดว่าเรื่องราวชักดำเนินไปไกล  “มินควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ความฝันก็ต้องพังลงไม่เป็นท่าเพราะ…”

นายตำรวจรีบห้ามไว้ ใช้น้ำเย็นลูบจิตใจที่กำลังรุ่มร้อน  “ยังไงเหมันต์ก็เสียไปแล้วนะ”  ถือซะว่าขอให้เลิกจองเวรต่อกัน  “อีกอย่างเหมันต์เองก็บอกว่ารักคุณมากด้วย”

“เหอะ นี่คิมเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”  สายตาตัดพ้อไม่ต่างจากวันนั้น

วันที่คนตรงหน้าเป็นฝ่ายล่าถอยโดยที่ไม่ถามความเห็นเธอสักคำ แต่กลับผลักไสเธอให้น้องชายที่ปากพูดว่ารักแต่สายตาช่างแสดงออกตรงกันข้าม  “งั้นบอกมินสิว่าคิมไม่เคยโกรธเขา”  มินตราย้อนถามอย่างต้องการคำตอบ ต้องการรู้ว่าการยอมเสียสละให้น้องในตอนนั้นแน่ใจนะว่ามันไม่ได้มีความโกรธเคืองแฝงอยู่เลย   

“เขาเป็นน้องชายผม”  คิมหันต์จบคำตอบได้สวยและสร้างความประทับใจให้ผู้ฟังที่ยังเทิดทูน ความรักมันพอกพูนขึ้นอีกทีละนิด  “เพราะคิมเป็นแบบนี้ไง มินถึงได้รักและยังรักอยู่”

“แต่เรื่องของเรามันจบไปนานแล้วนะ แล้วผมก็ไม่อยากให้มินถูกใครครหาด้วย” 

“มินไม่สนหรอก”

นายตำรวจจำต้องแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดมากกว่านี้จะยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจมินตราในชั่วโมงที่เปราะบาง คงใจดำน่าดูถ้าผลักไสคนที่กำลังต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ       

“ทั้งที่มินควรจะได้มีลูก ๆ ที่น่ารักกับคิม”

“อย่าพูดแบบนี้ให้หนูดาได้ยินเชียวนะ”  แต่ถ้าอะไรที่มันเกินไป คิมหันต์ก็ไม่ลังเลที่จะแย้งเสียงแข็ง ขนาดผู้ใหญ่ด้วยกันฟังยังรู้สึกว่าแรงไป แล้วกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะ จะน้ำตาตกแค่ไหนหากได้ยินเข้า  “เห็นใจลูกบ้างเถอะ”

“ลูกที่ไม่คิดว่ามินเป็นแม่ด้วยซ้ำเนี่ยนะ”

“อะไรทำให้มินคิดว่าแกไม่รักมิน”     

“ตั้งแต่มาคิม เคยเห็นหนูดาอยู่กับมินสักนาทีไหม”

“เพราะมินไม่เปิดโอกาสให้แกเข้าหาหรือเปล่า”

“คงจะเพราะมีคนคอยเป่าหูให้เกลียดแม่ตัวเองเสียมากกว่า”   

“มินหมายถึงใคร”

“น้องชายตัวดีของมินไง เห็นหน้าตาไม่มีพิษมีภัย แต่ให้คุณระวังไว้เถอะ”     

คำเตือนส่งตรงถึงคิมหันต์ที่เผลอส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ ใช่ว่าไม่ฟังที่หญิงสาวบอกด้วยความหวังดี แต่การที่เชื่อลมปากอีกคนแล้วด่วนตัดสินว่าคนนั้นเลวคนนี้ร้าย มันก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับคนที่กำลังถูกกล่าวหานัก  “มินดูไม่ชอบภัคเอามาก ๆ เลยนะ”

“ก็พอ ๆ กับที่มันเกลียดมินนั่นแหละ” 

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณสองคนมีปัญหาอะไรกัน แต่การอยู่กับความเกลียดชังก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมา ปล่อยวางบ้างเถอะนะ”  มือใหญ่เลื่อนขึ้นวางทับหลังมือมินตราที่ยิ้มหวานรับ

เธอจับมือใหญ่ไว้มั่นแล้วลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  “มินปล่อยวางแน่ถ้ามันตาย”

แล้วไม่กลับมาเกิดใหม่ได้เลยยิ่งดี

















ก๊อก ๆ 

ระหว่างนั่งอ่านเอกสารและแฟ้มรายงานมากมายเกี่ยวกับรูปคดีอยู่เพียงลำพัง นายตำรวจเงยหน้ามองบานประตูห้องที่ถูกเคาะจากด้านนอกเล็กน้อยแล้วค่อยขานรับเป็นการอนุญาต  “เข้ามาได้ครับ”  ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับตัวหนังสือพิมพ์ฟอนต์ขนาดมาตรฐาน

ปล่อยให้ร่างบางที่อุตส่าห์ยกน้ำหวานขึ้นมาเสิร์ฟยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะวางแก้วน้ำสีสดใสไว้ตรงไหนจนตัดสินใจเปล่งเสียง เรียกให้คนยุ่งอยู่กับงานเงยหน้ามอง  “ผมเอาน้ำหวานมาให้”

ไม่จำเป็นต้องฟังซ้ำสอง คิมหันต์เงยหน้ามองแทบในทันที่ได้ยินเสียงคุ้นหูและรู้ดีว่าจะต้องทำยังไงกับน้ำใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้  “ขอบคุณครับ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้กินแล้วซะอีก”  แกล้งกวนเพราะอยากชวนร่างบางมายิ้มด้วยกัน แต่ดันได้ผลตอบรับที่ไม่ค่อยดีจึงเลิกลีลา เอามือแหวกกองเอกสารช่วยหาที่ว่างให้วางแก้ว  “วางตรงนี้ก็ได้ครับ”

ภัคทำตามคำบอกอย่างว่าง่าย ให้วางตรงไหนก็วางตรงนั้นก่อนจะกวาดสายตามองห้องพักรับรองที่แสนจะโล่ง วันแรกคงต้องให้นายตำรวจอยู่กับเตียง โต๊ะ โซฟาและเครื่องปรับอากาศไปก่อน 

“ห้องพอนอนได้ไหมครับ พอดีบ้านเราไม่ค่อยมีแขกเลยไม่ได้เตรียมต้อนรับอะไรไว้มาก”

“ผมอยู่ได้ เท่านี้ก็ถือว่าหรูแล้วล่ะ”  คิมหันต์มองรอบ ๆ ห้องตามแล้ววกกลับมาจ้องดวงหน้าเนียน  “ความจริงจะไม่มีเตียงก็ได้นะ ปกติผมนอนบนโซฟา”  เห็นร่างบางเผลอทำสีหน้าสงสัย คิมหันต์คิดว่านั่นคือสัญญาณที่ดี อย่างน้อยก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อกันบ้างแล้ว 

“งานตำรวจน่ะทำเป็นกะก็จริง แต่สิ่งนึงที่คุณต้องแบกกลับมาที่บ้านด้วยก็คือแฟ้มงาน”  นายตำรวจมีการยกแฟ้มเจ้าปัญหาโชว์ เหตุผลที่ทำให้ต้องอดหลับอดนอนตอนกลางคืนและเผลอหลับไปบนโซฟาตลอด

“มันเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณติดน้ำหวานด้วยใช่ไหม”

“คุณรู้…?”  คนถามออกสนเท่ห์     

ส่วนคนถูกถามก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดตามอำเภอใจออกไป  “ผมเดาเอาน่ะ”  ภัคแค่พยายามจะบอกว่าอย่าได้ใส่ใจเลย พอดีกับที่คิมหันต์เอ่ยต่อ  “ถือเป็นการคาดเดาที่แม่นมากเลยนะ สนใจมาทำงานกับผมไหม”  ทำเป็นพูดเล่นไปแล้วกลับใจในวินาทีต่อมา จนภัคยังไม่ทันคิดตามด้วยซ้ำ  “ไม่ดีกว่า งานที่มีแต่อันตรายไม่เหมาะกับคุณหรอก”

อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าแล้วงานอะไรที่น่าจะเหมาะกับผม ความคารมดีและช่างพูดของคนตรงหน้าเป็นเหตุผลที่ยึดให้สองขาร่างบางยังยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน

“แล้วคุณไม่กลัวอันตรายบ้างเหรอ”

“ผมชอบความอันตราย เป็นนิสัยเสียอย่างนึงที่แก้ไม่หายสักที”  แค่ไม่กี่ชั่วโมงยังพูดเรื่องตัวเองออกมาตั้งเท่าไหร่ นายตำรวจแค่กำลังแสดงออกถึงความจริงใจ ขับไล่ความห่างเหินด้วยการพูดคุยกัน ยังไงก็ถือว่าเป็นญาติ แต่ร่างบางจะอยากนับด้วยไหมนั้นนั่นก็เป็นอีกเรื่อง  “อ่อ แล้วที่คุณถามค้างไว้ ผมนอนไม่เป็นเวลาน่ะเลยมีปัญหาเรื่องความดันนิดหน่อย” 

พูดถึงแล้วก็หงุดหงิด กลายเป็นโรคติดตัวไปจนตาย อาจจะรักษาได้แต่นอนไม่เป็นเวลาเหมือนเดิมก็ไม่มีทางหายขาดแน่นอน  “ผมว่าเหมันต์ ก็คงเป็นเหมือนกันใช่ไหม…?” 
ไอ้การที่ต้องกินของหวานเพื่อช่วยเรื่องอาการเวียนหัว

“ผมว่าเรื่องนี้คุณน่าจะไปถามเอากับพี่มินมากกว่านะครับ”

“งั้นเหรอ… ไว้วันหลังผมจะลองถามดูแล้วกัน”  คิมหันต์ยักไหล่ ไม่รู้คำตอบตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา  “ผมรั้งตัวคุณไว้ตั้งนาน ป่านนี้หนูดาร้องไห้หาแล้วมั้ง”

“ไม่หรอกครับ แกเล่นเพลินจนเพลียหลับไปแล้ว”

“งั้นคุณก็น่าจะพอมีเวลาใช่ไหม” 

สายตาวิบวับฉาบไปด้วยความหวังจนร่างบางได้แต่พยักหน้า  “คุณมานั่งตรงนี้มา ผมมีเรื่องอะไรจะถามหน่อย”  ความจริงมีผ้าของหลานสาวที่ต้องพับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำชวนเหมือนต้องมนตร์สะกด ภัคเดินมานั่งข้างคนที่กลับไปให้ความสำคัญกับกองเอกสารอีกครั้ง เห็นเหมือนกำลังอ่านข้อความแต่มือก็เอื้อมมาจับแขนเรียวให้ขยับตัวเข้าไปใกล้อีก
ระยะห่างหนึ่งศอกจึงเหลือคืบเดียว

“พี่สาวคุณบอกว่าเหมันต์มีชู้ จริงหรือเปล่า”  คิมหันต์เปิดคำถามแรกโดยไม่มีการเกริ่นนำ ซ้ำยังทำสีหน้าจริงจังอย่างกับเป็นคนละคน จนร่างบางที่คิดว่านี่คือการสอบปากคำอีกรอบเกิดอาการอึกอัก ปากหนักเกินกว่าจะขยับ ทำเอาคนรอคำตอบพลอยเสียเวลา  “คือ…”

“แถมยังบอกด้วยว่าเธอชื่อโมรีและถ้าอยากรู้อะไรให้ไปถามกับผู้หญิงคนนี้เอา แล้วคุณล่ะเคยเจอเธอบ้างไหม”  เสียงทุ้มจำกัดความคำว่าชู้ให้แคบลงด้วยการระบุตัวตน บอกชื่อว่าคนไหนกันแน่ที่กำลังกล่าวถึง ซึ่งเมื่อได้ฟังชัด ๆ อาการปากหนักก็คลายในทันที 

ร่างบางถอนหายใจเพราะคำถามรอบนี้ไม่ยากเกินไปที่จะตอบ 

“ถ้าเป็นโมรี เธอเคยมาที่บ้านครับ”

“มากับเหมันต์น่ะเหรอ”

ภัคพยักหน้าก่อนนายตำรวจจะรีบยิงคำถาม  “บ่อยแค่ไหน พอบอกผมได้ไหม”

“อาทิตย์ละสองสามครั้งมั้งครับ”

“พาเข้าบ้านโดยที่ไม่สนใจสายตาคนในบ้านเลยเนี่ยนะ”  ถามย้ำเพราะยังไม่เชื่อ แต่เมื่อร่างบางพยักหน้ายืนยันก็นิ่งไป ไม่เข้าใจเลยว่าน้องชายฝาแฝดคิดอะไรอยู่  “ผมเพิ่งรู้ว่าน้องชายตัวเองมีนิสัยแบบนี้” 

สีหน้าหนักใจอยู่ในสายตาคนเฝ้ามองตลอด
คิมหันต์จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่เข้ามาร่างบางแทบจะไม่เคยละสายตาออกห่าง   

“เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมกลัวว่าความเจ้าชู้จะติดต่อทางพันธุกรรม ถ้าวันนึงผมทำตัวแบบนั้นคุณต้องเตือนผมนะ ผมไม่อยากทำให้คนที่ผมรักเสียใจ” 

ภัคแค่ยิ้มมุมปากให้กับคำพูดเชิงไหว้วานที่หากเอามาตีความอย่างละเอียดจะพบว่าลึก ๆ แล้วนายตำรวจเองก็มีนิสัยอย่างที่เกลียดนั่นแหละ 

“แล้วที่คุณถามมามันเกี่ยวกับเรื่องที่พี่เหมฆ่…”  แค่จะหาจุดโฟกัสสายตาใหม่ แล้วดันลืมตัวหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาดูและพอรู้ว่าเป็นรูปอะไรก็เกิดใบ้กิน ใบหน้าคนตายไม่ได้ติดอยู่แค่ที่ตา ยังฝังรากหยั่งลึกในสมองและไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกำจัดออกไปจากความทรงจำได้     

ส่วนนายตำรวจที่หันมาเห็นพอดีก็ค่อย ๆ ดึงรูปถ่ายออกจากมือเรียว ขณะภัคเพิ่งเข้าใจว่ากำลังทำตัวเสียมารยาท แตะต้องงานคนอื่นโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขอ  “ผมขอโทษครับ” 

“มันไม่ใช่ภาพที่น่าดูสักเท่าไหร่หรอก ขนาดผมที่เห็นรูปถ่ายแบบนี้มานักต่อนักยังไม่ชินเลย”   

“ดีแล้วล่ะครับที่ยังไม่ชิน มันบ่งบอกว่าคุณยังมีหัวจิตหัวใจอยู่ ไม่ได้เลือดเย็นไปกับทุกอย่าง”

“ผมว่าไม่นานหรอก วันนึงผมต้องไม่เหลือความรู้สึกแน่ ๆ ถ้ายังต้องนั่งดูรูปน้องชายตัวเองแบบนี้ทั้งวัน”  คำว่างานกำลังบีบให้ตัดขาดจากอารมณ์อาลัยอาวรณ์ งานกำลังบอกว่าต้องเอาฉันก่อน ส่วนอย่างอื่นเอาไว้ทีหลัง จนนายตำรวจคิดว่าถ้าค่อยกลับมานั่งเสียใจมันก็คงเป็นอะไรที่สายไปเสียแล้ว

“คุณคงยังทำใจไม่ได้”  คำพูดปลอบใจมีเป็นร้อยเป็นพัน แต่มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้รู้สึกว่ายังมีคนเคียงข้าง มือเรียววางทับหลังมือใหญ่ที่แน่นิ่งอยู่เหนือหน้าขาและเสนอตัวผ่านคำพูด จุดประสงค์เพื่ออะไรไม่อาจทราบได้  “ถ้าอยากพูดอะไร คุณพูดมาได้เลยนะ”

คิมหันต์ก้มมองสองมือที่ทับกันก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นมือตัวเองที่ขยับมาทับด้านบน

นายตำรวจยิ้มมุมปากและคอยรอรับรอยยิ้มจากภัคที่ตอนแรกนึกว่าตาฝาด แต่พอมองนาน ๆ แล้วก็เข้าใจว่าตัวเองยังสายตาดี นอกจากริมฝีปากบางจะถูกเคลือบด้วยสีแดงสด มันยังมีความอ่อนโยนประดับอยู่ จนคิมหันต์ชักอยากรู้ว่ามันจะคงอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน 
 
“แล้วคุณล่ะ เสียใจไหมที่เขาจากไป”  ก่อนจะได้รับคำตอบ รอยยิ้มที่ว่าก็หายไปทันทีนับตั้งแต่วินาทีที่คำถามเริ่มต้นขึ้น  “แถมเห็นหน้าผมแบบนี้อีกคุณคงทำใจลำบากแย่” 
   
“แต่คุณกับเขาแตกต่างกัน”

“ยังไง ในเมื่อเราเป็นฝาแฝดที่ใคร ๆ ต่างก็พูดว่าเหมือนกัน”

“ผมเองก็อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าไม่เหมือนเลยสักนิด”  ภัคเคยได้ยินเรื่องราวการเสียสละครั้งใหญ่ของผู้ชายตรงหน้า ยอมสละแม้กระทั่งคนรักให้กับน้องชาย มันเป็นเรื่องราวใหญ่โตก่อนที่ร่างบางจะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เป็นที่โจษจันและเท่านั้นก็มากพอให้รู้สึกถึงความแตกต่าง คนพี่รู้จักการเสียสละ ส่วนคนน้องรู้จักแต่หาผลประโยชน์เข้าตัวเองเป็นอย่างเดียว 
 
“แปลกแฮะ”  แปลกไม่พอยังน่าสนใจมากด้วยในความคิดของนายตำรวจ  “แต่ว่าเราเพิ่งเจอกัน ผมไม่อยากให้คุณประมาทผมนะ”  คิมหันต์พูดติดตลกและทำให้ร่างบางเข้าใจว่าคงรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว

“เข้มแข็งไว้นะครับ” 

“คุณก็เหมือนกันนะ” 

ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง สองคนที่ทำท่าจะไม่ลงรอยกันจะมานั่งจับมือให้กำลังใจกันและกัน แถมสายไปแล้วกับการเขินอาย ทำได้แค่เอ่ยปากขอมือคืนอย่างแผ่วเบา เมื่ออีกคนเขาขอแล้วนายตำรวจก็ไม่อยากหน้าด้านยื้อไว้ ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เพราะมองเห็นโอกาสอีกหลายช่องทางที่ยังรอคอยอยู่ในอนาคต

ก่อนจะชวนคนนั่งข้าง ๆ คุยต่อด้วยหัวข้อใหม่ ช่วงตัวที่โน้มเข้าหาและฝ่าเท้าที่แยกออกบอกว่าอีกฝ่ายเปิดรับและสบายใจกับการสนทนาในครั้งนี้  “ตอนแรกผมนึกว่าคุณไม่ชอบผมซะอีก”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น”

“ท่าทางไง บางทีเหมันต์อาจจะเคยทำเรื่องไม่ดีกับคุณไว้ แล้วผมก็ดันหน้าเหมือนเขา คุณเลยพานเกลียดไปด้วย”   

“ตกลงคุณเป็นตำรวจหรือนักเขียนกันแน่”  จินตนาการเป็นตุเป็นตะเก่งกว่าหนูดาเสียอีก

“จริงด้วย ผมมีอีกเรื่องอยากถาม เหมันต์กับจอมทัพเคยมีหรือมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
 
พาวกเข้าเรื่องที่ยังคลางแคลงใจได้อย่างแยบยลขณะค้นหาบันทึกการให้ปากคำบนโต๊ะแก้วไปด้วยแล้วก็เจอในที่สุด  “เขาพูดว่า คนแบบนั้นน่ะตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี… ผมว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ควรจะพูดในเวลาแบบนี้เลยนะ หรือคุณว่าไง” 

“เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับ”  ภัคฟังแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

“ลูกน้องผมไม่มีทางแต่งคำพูดขึ้นมาเองหรอก”

“ถึงผมจะอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ทุกเรื่องนะ คุณไปถามกับเจ้าตัวเองน่าจะดีกว่า”  กะไว้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้รับคำตอบและการกระทำของร่างบางก็ตอกย้ำว่าคนนอกยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปว่าจะได้รู้ทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
 
“ใจคอจะไม่บอกอะไรผมเลยจริง ๆ สินะ อุตส่าห์ถามในฐานะคนรู้จักแล้วยังไม่ได้รับความร่วมมือเลยแฮะ สงสัยต้องใช้กฎหมาย”  ยิงมุกหน้าตายแล้วก็ได้ผลลัพธ์เป็นใบหน้าที่นิ่งสนิทกว่า

จนนายตำรวจรู้สึกเสียฟอร์มแต่ไม่ยอมแพ้หรอก  “ผมล้อเล่นน่ะ ผมไม่ใช่ตำรวจเลวหรอก”  ยกสองมือขึ้นในอากาศ โชว์มือว่าไม่มีการถืออาวุธในพื้นที่สาธารณะแน่นอน ระหว่างภัคหลุดขำและจับข้อแขนดึงลงมา อายแทนแม้ว่าภายในห้องจะมีกันแค่สองคนก็ตาม   

“แล้วที่คุณจอมพูดไปแบบนั้นจะมีผลอะไรหรือเปล่าครับ”  พฤติกรรมร่างบางไม่ต่างจากที่นักวิเคราะห์บอกว่าฆาตกรจะอยากมีส่วนร่วมในการสืบสวนคดีและมาเข้าใจทีหลังว่ากำลังก้าวก่ายตอนนายตำรวจนั่งจ้องหน้านิ่ง ยิ่งเงียบบรรยากาศยิ่งน่าอึดอัด จึงชิงตัดบทขอโทษเสียงเบา 

“ขอโทษด้วยถ้าผมถามมากไป คุณไม่ต้องตอบก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าถ้าผมพูดอะไรไปคุณจะไม่เอาไปบอกใคร ให้เป็นความลับแค่ระหว่างเราสองคนตกลงไหม”  นายตำรวจพูดปากเปล่า ไม่ได้ร่างเค้าโครงสัญญาให้ลงชื่อหรือเกี่ยวก้อย นับเป็นความเสี่ยงไม่น้อยที่เชื่อว่าร่างบางจะไม่เอาไปพูดต่อและมีการปิดท้ายอย่างตลกร้าย กลายเป็นการกดดันอีกคนในที  “หน้าที่การงานของผมขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ”

หลังจากที่วกเดินกลับเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งก่อนกลับมานั่งทบทวนข้อความในรายงาน อ่านจนจำขึ้นใจ คิมหันต์ก็พบว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยจนทำให้เกิดความสงสัย ทุกอย่างลงล็อกง่ายดายอย่างกับมีใครจัดฉากขึ้นมา  “ผมกำลังหาเหตุผลที่ทำให้เหมันต์เลือกจบชีวิตตัวเองอยู่ ซึ่งดูจากภาพรวมแล้วก็ไม่พบความผิดปกติอะไร หลักฐานสภาพแวดล้อมก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ที่ผมติดใจคือทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป”     

“ง่ายเกินไป…?”

“บางทีตำรวจก็ทำงานด้วยเซ้นส์น่ะคุณ ผมเลยต้องรอผลชันสูตรอีกทีแล้วถึงจะได้คำตอบว่าที่ผมสงสัยมันถูกต้องหรือเปล่า” 

“แล้วคุณสงสัยว่าอะไร”

“นี่อาจจะไม่ใช่การฆ่าตัวตายธรรมดา…”  สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏทันตา แต่บอกไม่ได้ว่าใครเครียดกว่ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน 

“…คุณจะบอกว่านี่คือการฆาตกรรมเหรอ”
ภัคถามอย่างตรงไปตรงมา ตรงจนคิมหันต์ก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลาอ้อมค้อมไปทำไม 

“ผมก็หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คุณพูด” 

“ไม่มีทางหรอก เมื่อคืนทุกคนก็นอนอยู่แต่ในห้อง”   

“ถ้าในเมื่อคุณเองก็นอนอยู่ในห้องเหมือนกันแล้วจะรู้ความเป็นไปด้านนอกได้ยังไง ถูกไหม” 
พอเอาความจริงมาพูดกัน ก็ตัดโอกาสในการถกเถียงไปได้เยอะ

เจอมองด้วยสายตาคลางแคลงใจ นายตำรวจก็รีบแก้ต่าง ทั้งที่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว  “ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าเป็นฝีมือคนในบ้านหรอกนะ”  บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ต่างคนต่างเงียบไปอย่างใช้ความคิด

ท่ามกลางเสียงพลิกหน้ากระดาษ มีคนออกอาการชำเลืองมองไปทางประตูเป็นระยะ ๆ ตีความจากท่าทางได้ว่าอยากออกไป การสนทนาครั้งนี้ชักจะไม่สนุกเสียแล้วสำหรับร่างบางที่เผลอนั่งไขว้ข้อเท้า คิมหันต์หลุบตามองราวกับเข้าใจความนัย เพราะร่างกายไม่เคยโกหก

ภัคก็แค่อยากให้เรื่องจบ ๆ ไปจะไม่ได้ไม่กระทบความรู้สึกหลาย ๆ ฝ่าย เคยจินตนาการไว้ถึงพิธีฝังศพที่แสนเรียบง่ายแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้ายใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนปกติ ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่การที่นายตำรวจพูดออกมามันหมายความว่าเรื่องจะยืดเยื้อเข้าไปอีก ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่กินเวลานาน 
“อีกอาทิตย์กว่า ๆ ผลชันสูตรก็จะบอกทุกอย่างเอง” 

“แล้วคุณมาบอกแบบนี้กับผมทำไม ไม่กลัวเหรอว่าผมอาจจะเป็นคนร้ายแล้วก็ไหวตัวทัน”

“งั้นถ้าคุณเป็นคนร้ายจริงแล้วรับรู้แบบนี้คุณจะทำยังไงต่อ จะหนีไหม” 

“ผมจะไม่หนี เพราะการหนีเท่ากับว่ายอมรับ”

“ผมเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ ด้วย”  ร่างบางเห็นนายตำรวจยิ้มได้ในสถานการณ์มาคุแล้วก็ยิ่งข้องใจ แต่รู้สึกเอะใจกับคำพูดกำกวมมากกว่า  “ผมอยากให้คุณช่วยเป็นหูเป็นตาให้ผมหน่อย”

“หมายความว่าไงครับ”

“จับตาดูคนในบ้านไว้”  ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากก็ยังเข้าใจเลยว่านี่คือการขอให้ช่วยเป็นสายลับและเสียงนั้นไม่ใช่แกมบังคับ แต่ก็เหมือนเป็นคำสั่งกลาย ๆ เพราะไม่ว่ายังไงก็เป็นคนที่มีปืนพกติดตัว เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น   

“ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณบอกเองว่าไม่ได้สงสัยคนในบ้าน แล้วทำไมจะต้องให้ผมจับผิดพวกเขาด้วย” 

“คุณกำลังได้ช่วยงานตำรวจเชียวนะ แล้วผมจะเชื่อทุกอย่างที่คุณบอกโดยไม่มีเงื่อนไข”

คำว่าเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไขมีความหมายเดียวกับคำว่าพร้อมจะเชื่ออย่างสนิทใจ คิมหันต์กำลังมอบอำนาจให้กับร่างบางอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จากที่ตอนแรกทำท่าค้านหัวชนฝาก็เกิดอาการนิ่งไปเพื่อชั่งใจ นั่งทบทวนคำพูดนายตำรวจกลับไปกลับมาระหว่างสบสายตาไม่มีถอย   
   
“แค่คุณพูดมา”

“แม้ว่าสิ่งที่ผมพูดจะเป็นการใส่สีตีไข่ให้ใครกลายเป็นคนร้ายก็ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ”  นายตำรวจพูดง่ายอย่างว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันต้องการมีผลกระทบกับงาน แต่คิมหันต์ก็ยังทำตัวให้ภัคอ่านไม่ออก พยายามมองให้ทะลุแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าถ้าทำแบบนี้ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา 

“ทำไมต้องเป็นผม”

“เพราะนอกจากคุณ ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้อีกแล้ว”  ไม่ได้เห็นแววตาแต่ก็พอจินตนาการออกว่าร่างบางจ้องมองด้วยสายตาแบบไหน นายตำรวจแค่หยิบแฟ้มใหม่มาเปิดอีกครั้งระหว่างพูดขึ้นลอย ๆ  “คุณเปลี่ยนใจได้นะที่คิดว่าผมต่างจากเหมันต์ เผลอ ๆ ผมอาจเหมือนเขา แม้กระทั่งนิสัย”

“หนูดาคงใกล้ตื่นแล้ว ผมไปดูแกก่อนดีกว่า” 

ยกเรื่องหลานมาอ้างและยังเตรียมจะชิ่งหนีทั้งที่ยังไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะช่วยนายตำรวจ ภัครีบลุกพรวดพราดแต่ยังไปไหนไม่ได้เพราะคิมหันต์ไม่ยอม มือใหญ่กำรอบข้อมือขาวไว้ก่อนจะเงยใบหน้าพูดด้วย  “คุณยังพอมีเวลาให้คิดนะ แล้วหวังว่าผมจะได้ยินคำตอบที่อยากฟัง”












------------------------------
ปมเหมือนเยอะ ซึ่งความจริงก็เยอะค่ะ แต่ถ้าเดาทางถูกก็จะหาคำตอบได้ไม่ยากเลย  อี้อี้
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 22:35:23 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ FiZZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
«ตอบ #13 เมื่อ08-12-2017 20:08:42 »

โอย ลุ้นอ่ะ ทำไมภัคถึงดูกลัวๆเหมันต์ ยิ่งตอนที่หนูดาบอกว่าพ่ออยู่ตรงบันได ว่าแต่ใครโบกมือให้หนูดา  o22
คือที่หน้าซีดเพราะมีเรื่องกันมาก่อนหรือว่ารู้ว่าฝ่ายนั้นตายแล้วไม่มีทางไปโผล่อยู่ตรงบันไดได้  :katai1:
แต่ชอบคุณตำรวจจังเลย มีเสน่ห์ดึงดูดเว่อร์  :-[
รอต่ออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ แนวโปรดเลย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
«ตอบ #14 เมื่อ09-12-2017 02:41:58 »

น่าสงสัยสุดก็ภัคนี่แหล่ะค่ะ แต่กลัวเงิบจัง ขอเก็บหลักฐานต่อไปเรื่อยๆ  :ling3:

ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
«ตอบ #15 เมื่อ09-12-2017 16:54:24 »

ภัค คุณคงไม่ใช่คนฆ่าใช่มั้ย...

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (02) ๐๘.๑๒.๖๐
«ตอบ #16 เมื่อ09-12-2017 17:00:29 »

๐๔





อาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอาจสืบเนื่องมาจากกับการนอนต่างถิ่น กลิ่นคงแปลกไปจนกลายเป็นตัวดึงดูดสิ่งที่ไม่มองเห็นให้แห่เข้าหาและตามระรานกระทั่งในความฝัน

ชายหนุ่มล่องลอยอยู่ในความเวิ้งว้างอันมืดมิดขณะรู้สึกได้ว่ามีมือปริศนาขยำตามร่างกาย ซึ่งประสงค์ต่ออะไรยังไม่ชัดเจน แต่การเค้นคลึงและดึงทึ้งนั้นเรียกความกำหนัดได้ดี จนนำไปสู่การมีอารมณ์ร่วม ความปรารถนาท่วมท้นใจจนไม่อาจนอนเฉย   

   แผงอกที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามขยับขึ้นลงเมื่อใครบางคนพยายามชักธงขึ้นเสา เหลาแก่นกายให้เป็นแท่งที่แข็งโด่ จวนใกล้จะเป็นมังกรตัวโตที่พร้อมพ่นน้ำ เจ้าของร่างกายนอนหายใจพะงาบ ๆ อ้าปากงับลมขณะหัวจมลงไปกับหมอน นอนกระสับกระส่ายเพราะไม่สบายตัว เจ็บหัวหน่าวจนร้าวไปทั้งท่อนล่าง ท้องไส้กำลังบิดมวน ไอ้นั่นปวดตุบ ๆ เพราะต้องการปลดปล่อย

แต่ในระหว่างที่อารมณ์กำลังทยอยเดินทางไปสู่จุดสุดยอด ตอนนั้นเองที่รู้สึกเหมือนถูกจำกัดสิทธิ์ในการหายใจ อย่างกับถูกถุงพลาสติกใสครอบหัวและเนื้อตัวจนเกิดอาการชักกระตุกอย่างรุนแรง แข้งขาถูกับเตียงนอนอย่างทุรนทุราย ตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดก่อนจะพยายามต่อต้านสุดกำลัง แต่ช่างยากเย็นเมื่อมองไม่เห็นศัตรู

เป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ให้ความรู้สึกยาวนาน หายใจเอาอากาศเฮือกสุดท้ายเข้าปอดอย่างแรงจนถุงใสแนบกับใบหน้า ดวงตาเบิกโพลงในขณะที่นรกกำลังเรียกหา เตรียมโบกลาชีวิตอันแสนสั้นและทักทายยมบาลที่ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ 

โชคดีว่าคิมหันต์ผวาตื่นตัวลอยขึ้นจากเตียงราวกับถูกกระชาก ลุกขึ้นมานั่งพร้อมเสียงนาฬิกาที่ตีบอกเวลาแปดโมงเช้า เวลาเดียวกับตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ นายตำรวจรีบกอบโกยอากาศจนสำลัก ทั้งทางปากทางจมูกพลางก้มมองลูกชายที่คายน้ำจนทำให้เป้ากางเกงเปียกชื้นเป็นดวง

ฝันบ้า ๆ ทำเอาความง่วงไม่หลงเหลืออยู่เลย ถึงแม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่ชิน ยังดีที่ว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมานั่งคิดหาสาเหตุว่าเพราะอะไร เพราะเพิ่งจะได้คำตอบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับการอธิบายที่ชัดเจนพอ   

คิมหันต์ค่อย ๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วก็ไม่ได้มีอาการตกใจเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเกิดการหลั่งตามประสาผู้ชาย เพราะเป็นวัยที่ยังไม่เกินเกณฑ์ต้องการเรื่องอย่างว่า 

มือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าลูบตาเพื่อเรียกสติตัวเองลวก ๆ ไม่ง่วงก็ไม่จำเป็นต้องนอนต่อ พอดีกับที่ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังมาทางหน้าต่าง เหมือนจะมีสมาชิกในบ้านตื่นก่อนและก็จำได้ว่าเป็นเสียงหนูดาที่สะท้อนดังขึ้นมาถึงชั้นบน คนช่วงขายาวลองเดินมาดูที่หน้าต่างเพื่อยืนยันสันนิษฐานของตัวเอง รั้งผ้าม่านไปด้านข้างจนเห็นภาพเด็กหญิงวิ่งเล่นกับน้าชายในสภาพสวมชุดนอน

สองน้าหลานพากันออกมาสูดอากาศตอนเช้าเหมือนทุกวันและโดยที่ปกติแล้วก็จะมีสายตาถ้ำมองจากชั้นสอง ภัคที่รับรู้ได้ถึงการจดจ้องไม่วางตาเงยหน้าขึ้นมองตอบในทันที ช้อนนัยน์ตามองไปยังระเบียงที่ว่างเปล่าด้วยความเคยชินก่อนจะรีบหลุบตาลงมองดินด้วยความกลัวอย่างประหลาด เพราะนึกได้ว่าเจ้าของระเบียงห้องนั้นเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวานสด ๆ ร้อน ๆ

ร่างบางเผลอถอนหายใจจนหนูดาที่อยู่ใกล้ ๆ เงยหน้ามองอย่างสงสัย มือเล็กปัดผมที่เกะกะหน้าออกจนเห็นคุณพ่อบนชั้นสองซึ่งมองอยู่ตลอดผ่านกระจก เด็กหญิงยกมือโบกไปมาพร้อมกระตุกแขนน้าชายให้หันมองด้วยกัน ภัคถึงได้เห็นตำแหน่งคนเฝ้ามองที่ถูกต้อง
สุดท้ายก็มีสติจ้องกลับถูกทาง 












“คุณพ่อ!”

น้ำเสียงสดใสตะโกนเรียกนายตำรวจที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณสนามหญ้าพลางถลาวิ่งเข้าใส่เต็มรักและถูกช้อนตัวขึ้นจากพื้นด้วยวงแขนแกร่ง คิมหันต์ฟัดพวงแก้มเด็กน้อยโดยลืมไปว่าตอหนวดแข็ง ๆ รอบริมฝีปากอาจจะบาดผิวบอบบางได้   

“ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกคุณพ่อบ้างล่ะคะ”  เสียเวลาเปลี่ยนกางเกงเลยลงมาหาเด็กหญิงช้า มัวล้างหน้าแปรงฟันเพราะอยากจะดูสะอาดสะอ้านเป็นผู้เป็นคน     
   
“หนูปลุกแล้วแต่คุณพ่อไม่ตื่น”  ปากเล็กยืดยาวเวลาอธิบาย แต่ประโยคสั้น ๆ มันยังไม่เช่นจัดเท่าที่ควร ชวนให้คนฟังข้องใจนิด ๆ จนร่างบางที่อยู่ด้วยแถวนั้นต้องช่วยขยายความให้ 

“แกไปเคาะประตูห้องคุณมาแล้วครับ แต่คุณคงหลับอยู่เลยไม่ได้ยิน” 

“อ๋า ความผิดผมเหรอเนี่ย”  คิมหันต์อุทานกับภัค แล้วหันกลับไปพูดกับหนูดาอย่างอารมณ์ดี  “งั้นต่อไปนี้คุณพ่อจะไม่ล็อกห้อง หนูเข้ามาปลุกได้ตลอดเลยดีไหมคะ”

เด็กหญิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ท่าทางน่ารักช่วยให้บรรยากาศยามเช้าที่แสนขมุกขมัวแจ่มใสขึ้นถนัดตา คนที่สมอ้างว่าเป็นพ่อกระซิบกระซาบเล่นกับสาวน้อยกันอยู่สองคน

ส่วนคนนอกอย่างภัคแค่ยืนมองเนิบนิ่ง อาศัยว่าว่างจึงมองสำรวจนายตำรวจอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสภาพแต่งตัวเนี้ยบเหมือนเมื่อวาน แต่การสวมเสื้อยืดแนบเนื้อกับกางเกงนอนขายาวก็ดูดีไปอีกแบบ พอเอาชุดคนตายมาใส่ก็แทบจะแยกความแตกต่างไม่ออก   

“หิวหรือยังครับ ผมจะได้ไปเตรียมอาหารเช้าให้”  เพราะจ้องนานไปหน่อยจึงพลอยคิดถึงเรื่องที่คุยกันไปเมื่อวาน เรื่องที่ยังตัดสินใจไม่ได้เป็นเหตุผลลึก ๆ ที่ทำให้ร่างบางอยากหลบหน้าและหาอะไรให้ตัวเองทำเพื่อแก้อาการฟุ้งซ่าน 

ก่อนคิมหันต์จะพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ  “ผมกลายเป็นภาระให้คุณหรือเปล่า”

“แค่ต้องหาข้าวเพิ่มให้อีกคน นั่นไม่นับว่าเป็นภาระหรอกครับ”  ภัคพูดแล้วเอื้อมมือขึ้นจับแก้มยุ้ยของเด็กหญิงเบา ๆ  “หนูดาอยู่กับคุณพ่อไปก่อนนะคะ”

น้าชายพูดกับหลานสาวที่พยักหน้ารับอีกรอบ ยื่นปากมาหอมแก้มแล้วโบกมือตามหลังจนร่างบางหันกลับมายิ้มให้น้อย ๆ แล้วค่อยเดินหายไปหลังเงาต้นไม้ใหญ่ เหลือทิ้งไว้แค่พ่อกับลูกสาวที่ขอตัวลงจากวงแขนเพราะจะวิ่งเล่น พอเห็นเด็กน้อยกวักมือให้วิ่งตามคิมหันต์ก็ยิ้ม   

“ปกติน้าภัคดูแลหนูดีไหมคะ”  เสียงทุ้มถามขณะเดินตามแทนการวิ่ง   

แล้วเด็กหญิงก็หยุดยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ  “ดูแลหนูดีหมายความว่าอะไรเหรอคะ”  หนูดาวัยห้าขวบเท้าสะเอวมองคุณพ่อที่ต้องลดความสูงลงมา คุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าสาวน้อย  “แบบว่าหาข้าวหาขนมให้หนู อาบน้ำให้ พาไปเที่ยว…”

“หนูไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเพราะคุณแม่ไม่อนุญาต”  เด็กหญิงพาออกนอกประเด็นที่คุยกันและถึงจะเศร้าที่ไม่ได้มีโอกาสออกนอกบ้านบ่อยนักแต่หนูดาก็ยังมีความหวังอยู่ตลอด  “แต่น้าภัคสัญญาแล้วว่าจะพาหนูไปเที่ยว”

“แล้วหนู …อยากให้น้าภัคอยู่กับเราไปตลอดไหมคะ”  คิมหันต์ถามช้า ๆ ชัด ๆ และเว้นระยะให้เด็กน้อยตรงหน้าได้ประมวลความคิดก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ ด้วยความรวดเร็ว     

“หนูรักน้าภัค”  คำตอบของหนูดาช่างเข้าใจง่าย ความหมายชัดเจนและนายตำรวจเห็นรอยยิ้มกว้างตลอดการพูดถึงน้าชาย  “คุณพ่อให้น้าภัคอยู่กับเราตลอดไปได้ไหมคะ”  เด็กหญิงถามกลับอย่างไร้เดียงสา ใช่ว่าจะเข้าใจ แต่ใจดวงน้อยแค่ไม่อยากให้น้าชายหายไปไหนจึงอยากให้คุณพ่อช่วยยืนยัน

แต่คิมหันต์ไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเป็นมอบคำถามให้ใหม่ คำถามที่ทำเอาหนูดาหนักใจ
“แล้วถ้าให้เลือกระหว่างน้าภัคกับคุณแม่ …หนูจะเลือกใครคะ”











ภัคขะมักเขม้นกับการเตรียมอาหารเช้าแบบง่าย ๆ จนได้ข้าวต้มมาหม้อใหญ่ หลังจากยกหม้อออกมาพักไว้นอกเตาก็ถอดผ้ากันเปื้อนอย่างลวก ๆ ห่วงว่าคนทั้งคู่ที่อยู่ด้านนอกจะหิว กลัวจะหิ้วท้องรอนานจึงไม่อยากช้าให้เสียเวลา รีบเดินออกมาจากตัวบ้านแต่ยังไม่ทันตะโกนเรียก จู่ ๆ เสียงมันก็ถูกดูดกลับลงลำคอเสียหมดเมื่อเห็นจำนวนคนเพิ่มขึ้นจากสองเป็นสาม 
     
ร่างบางมองภาพพ่อแม่ลูกที่อย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารครอบครัวต้นแบบจากมุมตัวเอง เห็นเด็กน้อยวิ่งหนีรอบวีลแชร์ไฟฟ้าขณะมีคุณพ่อวิ่งตามช้า ๆ และแกล้งทำท่าจะเป็นลม โดยมีคุณแม่คอยช่วยปัดผมหน้าที่ระเกะระกะตาเวลาชายหนุ่มหนึ่งเดียวหยุดยืนทำเหมือนเหนื่อย แต่เพราะว่าเด็กหญิงยังคงเรียกให้เล่นด้วยอยู่เรื่อย ๆ สองขายาวจึงต้องออกวิ่งอีกครั้งท่ามกลางเสียงทักท้วงห่วงจะล้มกลิ้งทั้งพ่อทั้งลูก แล้วพูดไม่ทันขาดคำก็เกิดการปะทะขึ้นจริง ๆ แต่เป็นความตั้งใจของเด็กหญิงที่วิ่งชนอกคุณพ่อจนล้มหงายหลังด้วยกันทั้งคู่

หนูดานั่งหัวเราะอยู่บนตัวนายตำรวจที่ร้องโวยวาย พอลุกขึ้นมานั่งได้ก็จับสาวน้อยฟัด กัดท่อนแขนเล็กเบา ๆ ก่อนเด็กหญิงจะฟ้องแล้วยื่นแขนข้างที่แกล้งเจ็บให้คุณแม่ช่วยเป่าและยืนเฉย ๆ ให้มินตราช่วยรวบผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงเสียใหม่แล้วมัดผมให้ด้วยยางรัดเส้นเดิม

แสงแดดยามเช้าที่เริ่มทอประกายแยงเข้านัยน์ตาภัคจนต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อย แล้วค่อยหันกลับมายืนมองด้วยแววตาเฉยชา เรียกว่าจดจ้องภาพที่อยู่ห่างออกไปตาไม่กะพริบระหว่างเผลอเม้มริมฝีปากเป็นระยะและไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาสมทบ   
 
จอมทัพที่ผิวปากควงห่วงกุญแจรถเดินผ่านมาพบร่างบางยืนเฉยเลยสงสัยจนตัดสินใจเดินเข้าใกล้ ยืนซ้อนหลังมองในสิ่งเดียวกับที่อีกคนมองและยกยิ้มเยาะจนเกิดความลึกของร่องแก้ม

“ดูท่าถ่านไฟเก่าจะปะทุนะว่าไหม”  กระซิบหลังใบหูขาวเพื่อเย้าแหย่ แต่ภัคก็ยังไม่สนใจ  “ส่วนแถวนี้ก็น่าจะมีคนขี้อิจฉาหนึ่งอัตรา”  ชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้หวังจะให้คนอายุมากกว่าเถียงกลับ แค่อยากสร้างความรำคาญไปเรื่อย ๆ เพื่อความสะใจของตัวเอง 

“ตกลงที่ทำหน้าเศร้าเนี่ยเพราะเสียใจที่พี่เขยตายหรือกำลังเสียดายเหยื่อรายใหม่กันแน่ล่ะ แต่ฉันว่าอย่างหลังมากกว่า เพราะขนาดฉันเองยังดีใจเลยที่หมอนั่นตาย นายเองก็คงจะเหมือนกัน”  จอมทัพชักจะปากมากเกินไปแล้ว มั่นใจด้วยว่าต้องเข้าหูร่างบางทุกประโยค รวมถึงประโยคหลัง  “…หรือถ้านายคัน แล้วหาอะไรแก้ขัดไม่ได้ก็บอกฉันได้นะ”   

“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอครับ”  น้ำเสียงหงุดหงิดที่ยอมตอบกลับมาเป็นครั้งแรกทำเอาคนช่างแกล้งหลุดหัวเราะ

“มี แต่ยังไม่อยากไป อยากอยู่ปั่นประสาทคนแถวนี้ให้อกแตกตายก่อน”  จอมทัพรีบต่อปากต่อคำ มองเสี้ยวหน้าด้านข้างร่างบางสลับกับภาพครอบครัวที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา 

“นรภัทรผู้อาภัพ สงสัยจะโดนพี่สาวคาบเหยื่อไปกินแล้วล่ะมั้ง แต่ฉันอยู่ทีมนายนะ แย่งหมอนั่นมากจากยัยขาเป๋เลยสิ”  เรื่องสร้างความร้าวฉานไม่ใช่ว่าเป็นแค่งานถนัดของนางร้าย ผู้ชายแมน ๆ เขาก็ทำกันเพราะอยากเห็นความพังพินาศ เอาให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นกันไปข้างเลย เคยเห็นแต่ในละคร แล้วตอนนี้ก็อยากดูจากภาพจริง

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”  ภัคยังสงบนิ่งได้อย่างน่านับถือ ไม่หือไม่อือไปตามที่จอมทัพคาดหวังให้เป็น เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งไว้จึงยอมให้เดินจากไป แต่ไม่วายตะโกนไล่หลัง พูดขึ้นมาดัง ๆ จนครอบครัวตัวอย่างก็ได้ยิน  “บ้านนี้มีเรื่องให้สนุกทุกวันเลยเว้ย!”













พอมีคิมหันต์เพิ่มเข้ามา หน้าที่ดูแลหญิงสาวของธันวาก็ลดน้อยลง แต่ยังคงต้องทำหน้าที่ยืนเป็นหุ่นประดับตามมุมห้องต่าง ๆ เมื่อเช้าก็ข้างสนามหญ้า ส่วนเวลานี้คือมุมห้องทานอาหารและจะได้ทานข้าวเช้าก็ต้องรอเจ้านายทานเสร็จ เป็นอันรู้กันว่าภัคจะเตรียมเผื่อไว้ให้เสมอ ๆ เข้าไปในครัวก็จะเจอเองและตลอดการยืนเฝ้าชายหนุ่มผิวสีขาวซีดก็เอาแต่มองเด็กกับผู้ใหญ่ที่ใช้ช้อนทานข้าวต้มคันเดียวกัน   

บรรยากาศการทานอาหารเช้าไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้น แต่มินตราก็ยังอุตส่าห์สังเกตเห็นหรืออันที่จริงแล้วมองอยู่ตลอดว่าคิมหันต์กำลังค่อย ๆ ทาน กว่าจะยกคันช้อนขึ้นจรดริมฝีปากแต่ละทีก็ใช้เวลาเหมือนกับว่าไม่อยากข้าวต้มตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น   

“ทำไมเหรอคะคิม หรือว่าไม่ถูกปาก” 

“เปล่าหรอก ผมแค่ไม่ได้กินข้าวเช้าแบบนี้มานานแล้วน่ะ มันเลยรู้สึกแปลก ๆ ”  นายตำรวจสบตากับภัคที่ปรายตามองมาเล็กน้อย พลอยให้มินตรามองตามแล้วตัดสินใจทำลายบรรยากาศบนโต๊ะอาหารทันทีด้วยคำพูดที่ก็รู้ว่าตั้งใจแดกดันใคร 

“มินก็นึกว่าไม่อร่อยซะอีก จะได้ให้เอาไปเททิ้งให้หมด”  รู้ว่ามีคนเดียวที่คิดแต่อะไรง่าย ๆ ออก ลูกสาวชอบบอกว่าสิ่งที่น้าชายทำช่างแสนอร่อย แต่เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่ามือคนทำน่ะเคยจับอะไรมาบ้าง คนรู้ดีอย่างเธอจึงแขยงทุกครั้งและได้แต่หวังว่าน้องนอกคอกจะยังรู้จักสุขอนามัย ล้างมือก่อนหยิบจับอะไรสักหน่อยก็ยังดี  “รสชาติก็งั้น ๆ คิมว่าไหมคะ”

“มินตรา”  คิมหันต์ปราม

“เมนูก็เดิม ๆ ”   

“ถ้าพี่มินไม่ชอบข้าวต้ม เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทานใหม่…”

“อะไรที่แกทำ ฉันก็กินไม่ลงทั้งนั้นแหละ”   

“ผมขอนะมิน”  มือใหญ่วางทับบนหลังมือซีดเซียว คิดว่าสัมผัสเดียวจะช่วยทำให้สาวเจ้าใจเย็น แต่เปล่าเลย ถ้าเป็นเรื่องของภัค เธอไม่เคยคิดจะหยุดด่าทอ วัน ๆ ว่างมากพอที่จะนึกคำต่อว่าได้ยาวเป็นหางว่าว 

“คุณเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน คงยังไม่ชินเท่าไหร่ แต่อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเองค่ะ ใช่ไหมภัคน้องรัก…”  กระดากปากก็จริง แต่สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้คิดว่ามันคุ้มที่จะต้องบ้วนปากทั้งวัน แค่ได้เห็นสีหน้าเจื่อน ๆ กับอาการนั่งนิ่งเป็นเป่าสากก็มีความสุข ความจริงคงอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วสวนกลับเต็มทนแต่ติดว่ามีคนนอกอย่างตำรวจหนุ่มนั่งหัวโด่ ไม่ยอมโผล่หางจิ้งจอกเพื่อบอกว่าตัวเองร้ายลึกแค่ไหน 

“ภัค”  หนูดาเรียกเสียงอ่อย อ้าปากคอยข้าวต้มคำต่อไปจนเมื่อยแต่อีกคนก็ยังเอาแต่นิ่ง เด็กน้อยไม่ทันเห็นว่าน้าชายกำลังหยิกขาตัวเองจนกางเกงนอนย่นอยู่ใต้โต๊ะ

“เป็นอะไรหรือเปล่าภัค”   คิมหันต์ถามด้วยความเป็นห่วง 

“อย่าไปสนใจเลยค่ะ ชอบเรียกร้องความสนใจตามประสาคนมีปมด้อย” 

“หนูดาอิ่มหรือยังคะ เราไปอาบน้ำกันดีกว่าไหม”  น้าชายป้อนข้าวต้มหลานสาวคำสุดท้ายแล้วตัดสินใจเอาเองโดยพลการ ลุกก่อนและช้อนตัวเด็กหญิงขึ้นอุ้ม  “ผมกับหนูดาขอตัวก่อนนะครับ”  แต่เดินยังไม่ทันพ้นมุมโต๊ะทานข้าว เสียงพี่สาวก็ดังขึ้นขัดขา 

“แกจะทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดฉันก็ได้นะภัค แต่ทำให้ได้ตลอดก็แล้วกัน”

พอได้พูดในสิ่งที่ต้องการ มินตราก็ไม่สนแล้วว่าสองคนที่ออกไปจะไปตายที่ไหน และเธอยังทำเป็นไม่สนใจสายตาดุ ๆ ดูก็รู้ว่าคิมหันต์ไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น พอ ๆ กับคนที่ยังยืนคอยให้เรียกมารับใช้อยู่ตรงมุมห้อง 

“คุณทำผมปวดหัวนะมิน”   

“เดี๋ยวก็ชินค่ะ” 

“คิดว่าผมจะชินได้จริง ๆ น่ะเหรอ แล้วภัคล่ะ คิดไหมว่าน้องชายคุณจะเจ็บปวดแค่ไหน”

“ฉันจำเป็นต้องสนใจคนที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นด้วยเหรอคะ”

“อย่างน้อยเขาก็ช่วยคุณเลี้ยงลูกนะ” 

“ทำเพราะจำใจมากกว่า เพราะถ้าไม่ทำฉันก็จะไล่ออกจากบ้าน แล้วคนความรู้น้อยแบบนั้น เรียนม.ปลายก็ไม่จบ ประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี อย่างดีก็คงได้แค่ขายตัวหาเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ ”

“นั่นน้องคุณนะมิน”  คิมหันต์ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงสาวตรงหน้าคือคนเดียวกับที่เมื่อก่อนช่างอ่อนหวาน แต่การพูดการจาตอนนี้มันหน้ามือเป็นหลังเท้าไปเลย เคยได้ยินว่าหลังจากประสบอุบัติเหตุมินตราก็มีกราฟอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ไม่คิดว่าจะตกต่ำขนาดนี้   

“น้องโง่ ๆ ที่ไม่มีใครต้องการน่ะสิ ถ้าพ่อแม่ฉันยังอยู่ก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน” 

“เขาทำอะไรให้คุณโกรธแค้นนักหนา”

“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ”  สาวเจ้ายิ้มบาง ๆ ระหว่างเขี่ยข้าวต้มในชาม  “แต่รู้ไว้เถอะว่าภัคไม่มีค่าให้คุณลดตัวลงไปยุ่งด้วยหรอก”  มินตรามองคิมหันต์ด้วยสายตาแห่งความหวังดี แต่หาได้รับการสบตาคืนไม่ นายตำรวจลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะบอกเหตุผลไม่ให้ดูเหมือนคนเสียมารยาทเกินไป  “ผมอิ่มแล้ว นึกได้ว่ามีงานต้องรีบไปเคลียร์น่ะ”

ช่วงขายาวก้าวออกจากตำแหน่งเดิมโดยไม่รอหญิงสาวคัดค้าน เดินผ่านกรอบประตูและชะงักเล็กน้อยเมื่อเจอว่าใครยืนอยู่เพื่อแอบฟัง ภัคยืนหลบอยู่ข้างทางซ้ำยังทำสีหน้าไม่สู้ดี คงจะได้ยินทุกประโยคที่พี่สาวเอ่ยหมดแล้ว

คิมหันต์รีบฉุดข้อแขนเล็กและพอเดินออกมาไกล ๆ  “คุณไม่เป็นอะไรนะ”

“คุณอย่ามาเสียเวลากับคนไม่มีค่าอย่างผมเลยดีกว่า”

“ภัค”

“คุณก็ได้ยินหมดแล้วนี่”  ร่างบางช้อนนัยน์ตาแดงก่ำขึ้นมอง ปลายจมูกแดงเหมือนคนจะร้องไห้

“ผมไม่สนใจหรอก”  นายตำรวจช่วยเช็ดน้ำตาที่กลิ้งลงมาหยดหนึ่งได้ทัน ก่อนจะถือโอกาสสัมผัสแก้มเนียน เฉียดผิวชื้น ๆ ไปมา แต่ก็ถูกหยุดด้วยมือที่มีขนาดเล็กกว่า   

“แต่คุณควรจะฟังคำเตือนพี่มินไว้บ้างนะ” 
คำเตือนที่ไม่ต่างจากการคำยุยงทางอ้อม

“ทำไมผมต้องคอยฟังคำเตือนของใครต่อใครด้วย ในเมื่อผมโตพอจะตัดสินใจได้เองแล้วว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร” 

คิมหันต์ยื้อแขนเล็กไว้ในขณะที่เจ้าของร่างกายพยายามแกะมือกร้านนั้นออก ภัคมองหาตัวช่วย แต่ด้วยเป็นมุมอับลับตาคนจึงอ้างถึงหลานสาวที่ปล่อยให้ขึ้นข้างบนไปคนเดียวก่อน  “หนูดาคงรออาบน้ำอยู่ ผม…”  ร่างบางพูดไม่จบ พวงแก้มกระทบกับแผงอกหนาเสียก่อน ถูกสวมกอดอย่างแนบแน่น สองวงแขนยาวโอบรัดสรีระจนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนของฝ่ามือที่แนบติดกับลำตัว 

ภัคขัดขืนอยู่ในทีเพราะกลัวจะมีใครมาเห็นเข้า แต่เหมือนเอาไม้ซี่งัดไม้ซุง ดิ้นขลุกขลักอย่างไร้ประโยชน์ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งได้กลิ่นโคโลญจน์เย็น ๆ ในแบบผู้ชายจนใจแสนว้าวุ่นค่อย ๆ สงบลงและยอมยกธงขาว ร่างบางเลิกเกี่ยงงอนไม่เข้าท่าและขยับแขนโอบรอบเอวสอบทีละนิด

ซบขมับกับช่วงบ่ากว้างและพลันปิดเปลือกตาลง ปล่อยน้ำตาเปล่า ๆ กลิ้งตกลงหน้าแก้มแล้วลืมตาขึ้นใหม่แทบในทันที สายตาที่เคยเศร้าหมองกลายเป็นมองไม่ออกว่าคิดอะไร มีแค่พฤติกรรมที่อ่านง่ายดาย ภัคเป็นฝ่ายกระชับอ้อมกอดตอนอยากได้ไออุ่น ยืนอิงแอบกับขนาดร่างกายที่คุ้นเคย

คิมหันต์เอ่ยปลอบใจว่าไม่เป็นไรซ้ำ ๆ
ทำดีดั่งพ่อพระ แต่ว่าลึก ๆ แล้วก็ไม่บริสุทธิ์ใจ 
 








---------------------------------------
ดึกๆเดี๋ยวมาอีก ฟิตๆ  :katai2-1:
9crimes - นายคราม FANPAGE
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 22:35:43 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ แซมเนท

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
«ตอบ #17 เมื่อ09-12-2017 23:12:40 »

เป็นพล็อตเรื่องที่ไม่ง่าย(ตามหามานาน)และน่าติดตามมากเป็นนิยายที่เราเฝ้ารอคอยความจริงว่าจะเป็นยังไง
#เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
«ตอบ #18 เมื่อ10-12-2017 00:30:10 »

๐๕




บางครั้งคำพูดก็ไม่ได้แสดงออกถึงความชัดเจน การกระทำมากกว่าที่เป็นตัวชี้วัด แล้วถ้าต่อมรับความรู้สึกยังทำงาน คงรู้ว่าการกอดซ่อนความหมายนัยไว้นอกเหนือจากการแค่ปลอบใจไปอย่างนั้น

ทุกครั้งที่สมองว่าง คิมหันต์จะนั่งระลึกถึงตอนได้กอดร่างบางตลอด คิดถึงผิวสัมผัสลื่น ๆ เหมือนก้อนสบู่ ความนวลเนียนประมาณนั้นที่ปกติแล้วพบได้แค่ในผิวทารก ไหนจะกลิ่นอายของความไร้เดียงสา สงสัยน้าชายคลุกคลีกับหลานมากไปทั้งตัวถึงได้มีแต่กลิ่นแป้งเด็ก     

นายตำรวจคิดว่าตัวเองโรคจิตไม่น้อยที่วูบหนึ่งรู้สึกอยากรังแก อยากข่มเหงจนอีกคนร้องอ้อนวอนด้วยความพ่ายแพ้อยู่ใต้ร่าง ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าล่วงเกินไปแล้วต่าง ๆ นานาผ่านทางความคิด แต่ก็เข้าใจว่าตัวเองไม่ผิดเพราะมันยังเป็นเพียงจินตนาการ

ยิ่งเห็นคนในบ้านด่าทอเหมือนเกิดจากคนละพ่อคนละแม่แบบนั้นแล้วด้วย คิมหันต์ก็ยิ่งสนใจจนชักแยกไม่ออกว่ากำลังอยากรู้อยากเห็นเพราะทำไปตามหน้าที่หรือเพราะว่านรภัทรดันเป็นคนที่ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็น

แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน …นายตำรวจรู้ว่าร่างบางไม่ใช่คนโง่ก็แล้วกัน   

“คุณโมรีพร้อมให้ปากคำแล้วครับ” 

คิมหันต์แค่พยักหน้ารับลูกน้องที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเพื่อแจ้งข่าว แล้วผายมือเชิญสาวสวยในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินเข้ามา เป็นสัญลักษณ์ว่าเชิญนั่ง ก่อนคนหมดหน้าที่จะเดินออกไปและปิดประตูไล่หลังเพื่อให้คำพูดระหว่างการสอบสวนอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว

โมรี สิริมาลินดาวมหาลัยฯคณะบัญชียอมมาให้ปากคำถึงสถานีตำรวจและแทนที่เธอจะให้ตำรวจเป็นฝ่ายซักไซ้ไล่เรียง เธอกลับชิงถามคำถามส่วนตัวกับคิมหันต์ บ้านช่องอยู่ที่ไหน มีเมียแล้วเหมือนน้องชายฝาแฝดหรือเปล่า เย็นนี้ว่างไปกินข้าวกับเธอไหมหรือจะเลยไปคอนโดเลยก็ได้ เธอแอบกระซิบว่าคงไม่ถือที่น้องชายได้เธอไปก่อนหรอกนะ

ความตรงไปตรงมาของโมรีกำลังทำเจ้าหน้าที่รัฐปวดขมับ แถมเล่าตั้งแต่ว่าเจอกับเหมันต์ได้อย่างไร มีอะไรกันครั้งแรกที่ไหน บอกกระทั่งตำแหน่งไฝฝ้า สารภาพว่ารู้ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายมีลูกมีเมีย แต่ที่ไม่รู้เลยและเพิ่งจะมารู้ก็คือคู่นอนของเธอมีพี่ชายฝาแฝดที่แน่นอนว่าเอามาทดแทนกันได้ เธอส่งสายตาให้นายตำรวจอย่างโจ่งแจ้ง แสดงออกถึงความชอบพอ

แถมหลังให้การเสร็จสิ้นยังมีการขอติดรถไปบ้านด้วย ถือว่าช่วยชาติประหยัดน้ำมัน หญิงสาวอ้างแบบนั้นจนกระทั่งได้นั่งรถคันเดียวกับคิมหันต์ที่ตอนแรกเกือบปฏิเสธ แต่เห็นเธอบอกว่าจะกลับไปเอาของที่ลืมไว้ในห้องผู้ตาย นายตำรวจจึงยอม เปิดประตูรถและปิดให้พร้อมเสร็จ เป็นสุภาพบุรุษกับสตรีที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทาง เธอสร้างมิตรภาพด้วยการไถ่ถามเรื่องต่าง ๆ ส่วนคนถูกถามก็ยังแอบไว้ตัว กลัวการเปิดเผยจะทำให้เธอคิดว่าอนุญาตให้ล้ำเส้น

เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่รถแล่นบนท้องถนนก่อนจะขับวนเข้ามาในรั้วบ้านหลังใหญ่ แล้วจอดเทียบขั้นบันไดและดับเครื่องยนต์เป็นอย่างสุดท้าย ชายหญิงต่างลงจากรถกันคนละฝั่งและโมรีเป็นฝ่ายย่างก้าวเข้าบ้านก่อนด้วยความคุ้นเคย เอ่ยบอกนายตำรวจไปแล้วว่ามาบ่อย เธอจึงไม่ค่อยหลงเหลือความเกรงใจ ภาษาบ้าน ๆ ก็คือไร้ยางอายนั่นแหละ 

แม้ว่าผู้คนในบ้านจะชอบมองด้วยสายตาไม่ต้อนรับ แต่ที่เธอทำเป็นประจำก็คือเชิดหน้า ชื่อของเธอหมายความว่านกยูง จะสุขหรือทุกข์ก็ต้องรำแพงหางวางท่าสง่างาม โมรีเดินเข้ามาในห้องรับแขกและมันไม่แตกต่างกันเลยสักครั้ง สายตายังพุ่งตรงมาที่เธอจากทุกทิศทาง แต่มีแค่นัยน์ตาคู่เดียวที่เหลียวมองอย่างเคียดแค้น มินตรากำมือกับพนักวางแขนไว้แน่น   
           
“พอดีเธอขอติดรถมาด้วยน่ะ”  คิมหันต์ที่เดินตามเข้ามารู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลก ๆ จึงแจกแจงให้ทราบโดยพร้อมเพรียง แต่สายตาเอนเอียงไปทางภัคที่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยแล้วค่อยก้มหน้าก้มตาวาดรูปดอกไม้ให้เสร็จ แบ่งเขตแดนในกระดาษกับหนูดา   

“แล้วเธอมาที่นี่อีกทำไมไม่ทราบ ลืมเหรอว่าเหมันต์ตายไปแล้ว” 

แววตาเกลียดชังดูจะเป็นของคู่กันกับมินตราไปเสียแล้วและเธอไม่ต้องการปิดบังว่ารังเกียจเด็กสาวที่ขายเต้าผันตัวมาเป็นชู้กับผัวชาวบ้านแค่ไหน เธอสาปส่ง แช่งชักหักกระดูกให้ตายอยู่ตลอดสามเวลาหลังอาหาร เพราะเป็นผู้หญิงด้วยกันถึงดูออก ถ้าได้ลองถึงขั้นขออาศัยติดรถมานั่นก็เท่ากับว่าโมรีเล็งนายตำรวจไว้ ชายคนรักเก่าที่เธอหมายตาอยู่ก่อน       

“คนที่ลืมว่าผัวตายน่าจะเป็นป้ามากกว่านะ สายตาหวงก้างน่ะเก็บ ๆ ไว้บ้างก็ดี” 

“เธอเรียกใครป้า”

“ในห้องนี้มีคนอายุเยอะกว่าป้าด้วยเหรอคะ”  นัยน์ตาที่ดูใสซื่อมองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจและเมื่อตรวจตราจนมั่นใจ เธอก็พูดใส่หน้าหญิงพิการอย่างไม่มีความเกรงกลัว  “…ก็ไม่เห็นจะมี”  นอกจากจอมทัพก็มีโมรีที่กล้างัดกับมินตราซึ่ง ๆ หน้า จะไม่ทนให้เมียหลวงด่าสาดเสียเทเสีย เป็นเมียน้อยแล้วยังไง อย่างน้อยเธอก็มีประโยชน์พอทำให้ใครสักคนมีความสุข

ไม่ใช่นั่งทำหน้าอมทุกข์ทุกวี่ทุกวันจนกลายเป็นการไล่ผัวออกจากบ้านกลาย ๆ อย่างหญิงพิการตรงหน้า  “อย่ากังวลไปเลยค่ะ หนูแค่ติดรถพี่เขามาเอาของก็เท่านั้น”

“คิมหันต์ไม่เคยมีน้องสาวหน้าด้านอย่างเธอ”

“หนูเดาว่าพี่เขาก็คงไม่เคยมีแม่จุ้นจ้านอย่างป้าเหมือนกัน” 

คิมหันต์ถึงกับกลอกตาเบื่อหน่าย เพราะเป็นผู้ชายจึงไม่ค่อยเข้าใจศาสตร์การทะเลาะของพวกผู้หญิง แล้วยิ่งตัวเองตกเป็นหัวข้อพิพาทแล้วด้วยไม่รู้จะช่วยให้บทสนทนามันดีขึ้นอย่างไร ตัดสินใจหลบฉาก เดินมานั่งกับหนูน้อยที่คอยคุณพ่อกลับบ้านนับตั้งแต่วินาทีที่ขับรถออกไป   

“เพราะหนูเต่งตึงกว่าเลยกลัวว่าเขาจะมาชอบหนูเหรอ”  โมรีรอจนมั่นใจว่านายตำรวจอยู่ห่างมากพอจึงได้ยิ่งสำแดงฤทธิ์  “ก็นะ ป้าคงกลัวจริง ๆ ขนาดคนน้องยังชอบหนู บางทีคนพี่ก็อาจจะชอบเหมือนกัน”

“การศึกษาไม่เคยสอนอะไรเธอเลยสินะ” 

“แล้วรู้หรือเปล่าคะว่าการใช้ความพิการเรียกคะแนนความสงสารมันน่าสมเพช”

“เธอ!”

“ผู้หญิงด้วยกันย่อมดูกันออกจริงไหมคะ มองปราดเดียวหนูก็รู้แล้วว่าป้าคิดจะทำอะไร”  ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าหญิงสาวบนรถเข็นเป็นประเภทโทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง  “เพราะทำตัวเป็นมนุษย์ป้าแบบนี้ไงผัวถึงได้หนี ป้าต้องหัดคิดได้แล้วนะว่าทำไมถึงถูกทิ้งให้นั่งเหี่ยวอยู่แต่บ้าน”

“ก็ยังดีกว่าพวกคิดสั้น อยากรวยทางลัดด้วยการเป็นเมียน้อยคนอื่น” 

ทุกคนรู้ว่ามันคือการยื่นหมูยื่นแมว ใช้สัมพันธ์ทางกายแลกค่าเลี้ยงดู ทุกวันนี้มีคอนโดให้อยู่ก็เพราะสามีแค่ในนามของเธอเป็นคนจ่าย เผลอ ๆ รถที่ใช้ขับไปมหาลัยก็คงเป็นความอนุเคราะห์จากผู้ชายมักมากที่ตายไปแล้วอีกเหมือนกัน

“แล้วยังใช้การได้อยู่ไหมคะ …ตรงนั้นน่ะ”  โมรีไม่ยอมทิ้งประเด็นเก่า  “ลองเคาะ ๆ บ้างนะคะ เผื่อสนิมจะขึ้น”  คำสบประมาททำเอามินตราโกรธจัด ความจริงคงอยากจะลุกขึ้นมา ติดที่ว่าสองขาไม่มีแรง ปากจึงเป็นอาวุธเดียวที่สามารถใช้ทำร้ายคนอื่นได้   
 
“ก็ยังดีกว่าพวกหลวมโครกอย่างเธอ ไม่รู้ติดโรคมาบ้างหรือเปล่า”

“เดี๋ยวนี้เขามีวิวัฒนาการที่เรียกว่าถุงยางอนามัยค่ะ”  ยอกย้อนกลับด้วยคำพูดที่กึ่งด่าว่าอีกคนอยู่แต่บ้านถึงไม่รู้ว่าโลกด้านนอกเขาพัฒนากันไปถึงไหน สงสัยพอไม่ได้ใช้สมองนาน ๆ เข้าก็หมดสมรรถภาพเหมือนขา  “อีกอย่าง หนูเป็นเมียน้อยคนอื่นที่ไหน ก็คนกันเองด้วยกันทั้งนั้น เราเคยใช้ผัวร่วมกัน จำไม่ได้แล้วเหรอคะ” 

เริ่มต้นกระแหนะกระแหนด้วยเรื่องไหนก็จบที่เรื่องนั้น ประเด็นมันก็วนอยู่เท่านี้และไม่ว่าจะผ่านไปอีกสักกี่ปี มินตราและโมรีจะจดจำกันและกันในฐานะเมียหลวงกับเมียน้อย ต่อให้ใครตายไปข้างก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะเลิกอาฆาตพยาบาทหรือเปล่า     

“เธอมาที่นี่ต้องการอะไรกันแน่”  ภัคเอ่ยขัดทั้งที่จริง ๆ ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะเบาะแว้ง แต่เพราะคำพูดแรง ๆ พวกนั้นลอยมาไกลถึงหูหลานที่กำลังวาดดอกไม้ น้าชายจึงต้องย้ำเผื่อคำถามจะช่วยทำให้เด็กสาวนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ออก     

“แค่มาเอาของน่ะพี่ภัค หวัดดีจ้ะหนูดา”  ตอนเข้ามาลืมทักทาย พอได้เวลาจึงโบกมือให้สักหน่อย แล้วค่อยออกเดินอย่างมั่นใจและก้าวขึ้นบันไดโดยไม่คิดถามหาการอนุมัติจากใคร ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองที่จะเข้าหรือออกเมื่อไหร่ก็ได้

โดยมีมินตราด่าพึมพำไล่หลัง  “นังเด็กไม่มีมารยาท หน้าด้านหน้าทน”  แต่ละคำที่พ่นออกมานึกว่าเป็นคำพูดจากแม่ค้าปากตลาด ก่อนจะหันมาเล่นงานนายตำรวจอีกคน  “คิมก็อีกคน กำลังโดนเด็กมันหลอกยังไม่รู้ตัวอีก”  รถเข็นไฟฟ้าเคลื่อนมาทางคิมหันต์ที่คิดว่าจะรอดจากเรื่องวุ่นวายแล้วแต่ก็ไม่ มินตรายังคอยวอแว เธอเริ่มเหมือนแม่จอมจุ้นจ้านอย่างที่โมรีกล่าวไว้เข้าไปทุกขณะ   

“ผมก็ไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรอย่างที่คุณว่าเลยนะ เธอแค่ขอติดรถมาก็เท่านั้น”

“วัน ๆ คิมทำแต่งานคิมจะไปรู้อะไร คิมเป็นผู้ชาย ตามเล่ห์เหลี่ยมนังเด็กนั่นไม่ทันหรอก ผู้หญิงด้วยกันอย่างมินดูออกว่ามันพยายามจะอ่อยคุณ”
 
นายตำรวจถอนหายใจเฮือกใหญ่ แสดงออกถึงความเหนื่อยใจไม่บิดบังจนภัคที่นั่งถัดจากหนูดาแอบเงยหน้ามองสลับกับจ้องสีหน้ากระวนกระวายของพี่สาว

ความจริงร่างบางกำลังลุ้นว่าชายหนุ่มจะกล่าวอะไรต่อไปมากกว่า
ลึก ๆ หวังว่าจะได้ยินประโยคในทำนองที่อยากฟัง       

“หรือผมยังบอกอะไรคุณไม่ชัด ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะมิน”  หญิงสาวชะงักหลังถูกหักหน้ากลางห้องนั่งเล่น ถึงกับไปไม่เป็นก่อนจะยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อเห็นว่าภัคมองมาด้วยสายตาเย็นชา ถึงไม่เอ่ยออกมาตรง ๆ แต่คงกำลังสมน้ำหน้าและยิ้มเยาะเธออยู่ในใจ

“ที่มินเตือนก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ มินกลัวคิมจะ…”

“ผมดูเหมือนคนโง่มากหรือไง”  คิมหันต์ถามกลับเสียงเย็น ดูเป็นอีกคนไปเลยซึ่งน้อยครั้งใครจะได้เห็น นัยน์ตาดำเพ่งมองดวงหน้าที่ยังสะสวยอย่างหงุดหงิด หัวคิ้วแทบขมวดติดกัน แถมคน ๆ เดิมยังสามารถทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นได้อย่างน่าประหลาด

ความเกรี้ยวกราดที่เกาะแน่นบนโครงหน้าสมส่วนทำให้หญิงสาวจำต้องล่าถอยโดยด่วนด้วยการเรียกคนที่คอยยืนดูแลห่าง ๆ ให้มาพาออกไปจากห้องรับแขกบ้า ๆ นี่ที ธันวาที่ยืนนิ่งมานานจึงได้เคลื่อนไหว เข็นพามินตราจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอึดอัด   

“หนูดาวาดอะไรอยู่คะ”  นายตำรวจพยายามข่มใจ คิดถึงเรื่องลูกให้มาก ๆ เพราะอยากหลุดพ้นจากอารมณ์ฉุนเฉียว  “อยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะครับ ดีกว่าเก็บไปคิดคนเดียวแล้วเครียดที่ไม่ได้คำตอบเปล่า ๆ”  ในน้ำเสียงยังเจือความกระด้างระหว่างพูดกับภัคที่ยังนั่งมองด้วยแววตาสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“ผมคิดว่าคุณจะกลับไปคบกับพี่มินซะอีก ในเมื่อมีโอกาส…”

“อะไรก็ตามที่ถูกตัดไปแล้วไม่มีทางต่อกันติดเหมือนเดิมหรอก”  คิมหันต์ยิ้มรับคำพูดตัวเองเล็กน้อยขณะร่างบางยังคอยสบตาเพื่อตามหาความจริง ทั้งสองคนมองกันนิ่ง ๆ โดยมีหนูดาขยับตัวหยุกหยิกตรงกลางไปมา มือหนึ่งวาดรูปขณะส่งเสียงถามด้วยความใคร่รู้     

“คุณพ่อไม่ต้องไปทำงานเหรอคะ”  ปกติเด็กหญิงจะไม่เจอคุณพ่อเลยแทบตลอดทั้งวันหรือบางทีก็หลายวัน ส่วนน้าชายก็เอาแต่บอกว่าคุณพ่อต้องออกไปทำงานจนจำได้ขึ้นใจ พอมาวันนี้ดูแปลกไป วัยช่างสงสัยจึงอดถามไม่ได้ 

“แล้วไม่ดีเหรอคะที่คุณพ่ออยู่บ้านกับหนู”

“ดีค่ะ หนูอยากให้คุณพ่ออยู่บ้านกับหนูทุกวัน”  พักมือจากการวาดรูปแล้วหันมาตอบอย่างฉอเลาะ

“ได้สิคะ คุณพ่อจะอยู่บ้านกับหนูทุกวันเลย”

“เย้!”  ชูมือขึ้นด้วยความดีใจ ได้คุณพ่อหอมแก้มแล้วค่อยลงมือระบายสีตัวบ้านให้เต็ม
 
“คุณกำลังให้ความหวังแกนะ ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่บ้านขึ้นมาแกจะเสียใจมากแค่ไหนรู้ไหม”  ภัคยังทำหน้าที่ผู้ปกครองที่คอยปกป้องความรู้สึกหลานสาวไม่ให้ต้องเจ็บปวดพร่ำเพรื่อ   

“ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปไหน”

“แต่คุณไม่ใช่…”

“ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะพ่อของหนูดา”  ท่าจะยังหงุดหงิดจากตอนแรกไม่หาย นัยน์ตาเอาเรื่องจึงตวัดมองร่างบางที่มองหน้าตอบอย่างสงบ ขนาดคนอารมณ์แปรปรวนอย่างพี่สาวยังทนอยู่ด้วยได้ เจอแค่นี้สบายมากและรู้จักวิธีรับมือ  “คุณช่วยปฏิบัติกับผมเหมือนตอนที่ปฏิบัติกับเหมันต์ได้ไหม คิดซะว่าผมเป็นคนในครอบครัว เป็นพ่อหลานคุณจริง ๆ” 

โทนเสียงแข็ง ๆ แปลงประโยคขอร้องให้กลายเป็นกึ่งสั่ง ไม่เชิงอ้อนวอนแต่คิมหันต์แอบทำให้น้าชายสับสน คิดวกวนว่าประโยคก่อนหน้ามีนัยยะอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า     

“แล้วคุณมั่นใจแค่ไหนว่าจะเลี้ยงลูกคนอื่นได้”   

“แล้วทำไมทีคุณยังเลี้ยงลูกให้พี่สาวตัวเองได้เลยล่ะ”

“หนูวาดเสร็จแล้วค่ะ”  เสียงหนูดาเป็นเหมือนระฆังพักยก คงไม่มีวันทะเลาะกันจบถ้ามีเด็กหญิงอยู่คั่นกลาง ทั้งคู่ต้องปรับอารมณ์กันแทบไม่ทัน ก่อนคิมหันต์จะตื่นเต้นไปกับลูกสาวและเอารูปในมือน้อยมาถือไว้แทน  “ไหน ขอพ่อดูหน่อยว่าวาดอะไร บ้านนี่นา”

“บ้านของเราค่ะ”  อธิบายน้ำเสียงสดใส ใช้นิ้วสั้นชี้ให้มองพวกดอกไม้ใบหญ้าด้วย

“แล้วคนหายไปไหนหมดเอ่ย”

“อยู่ในบ้านค่ะ มีคุณพ่อ มีหนู มีน้าภัค”

“แล้วคุณแม่ …?”

“ต้องถามคุณแม่ก่อนค่ะว่าอยากอยู่บ้านหลังนี้กับหนูไหม”  แม้แต่ตอนพูดถึงคุณแม่ก็ยังดูสดใส ผิดกับผู้ใหญ่ที่เผลอมองหน้ากันอัตโนมัติ ภัคยกมือลูบหัวหลานสาวที่ก้มลงไปวาดรูปต่อด้วยความเวทนา ขณะคิมหันต์เริ่มตระหนักได้แล้วว่าควรจะให้ความรักและทำหน้าที่พ่อที่ดีให้แก่ลูกสาวสักที 













“ฉันอยากจะฆ่านังเด็กนั่นให้ตายด้วยมือของฉันเอง” 

คำพูดไม่หวั่นเกรงใครหน้าไหนดังสะท้อนภายในห้องนอนส่วนตัว เสริมด้วยท่าทางไม่ได้ดั่งใจ หญิงสาวทุบกำปั้นกับพนักแขนวีลแชร์ไฟฟ้าซ้ำ ๆ 

“นายก็ได้ยินใช่ไหมตอนมันยอกย้อนฉัน” 

มินตราระบายความอึดอัดผ่านการพูดและพูดดั่งเช่นทุกวัน ขณะมีโอธันวาคอยเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มผิวสีซีดเหมือนจะไม่มีบทบาท แต่ความจริงแล้วเขาคือกล่องเก็บความลับขนาดย่อมของหญิงทุพพลภาพที่เวลาพูดต่อหน้าได้ไม่หมด ก็ต้องมาพูดกับคนดูแลส่วนตัวลับหลัง ทำปากเก่งเพราะเชื่อใจว่าอีกคนจะไม่ปากโป้งและถ้าไม่ดีจริง ความลับของเธอคงรั่วไหลไปนานแล้ว 

“นายเห็นแววตาที่นังเด็กหน้าด้านนั่นมองฉันหรือเปล่า” 

หญิงสาวถามเหมือนจะเอาคำตอบ แต่เปล่าเลย เธอไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดและเธอจะไม่หยุดเอ่ยวาจาเสีย ๆ หาย ๆ จนกว่าเธอจะพอใจ  “ฉันต่างหากที่ควรจะมองมันด้วยสายตารังเกียจ เป็นแค่เมียน้อยยังไม่รู้จักเจียมตัว” 

“เหอะ! ใช้ผัวร่วมกันงั้นเหรอ ฉันไม่ลดตัวไปมั่วกับผู้ชายบ้ากามอย่างนั้นหรอก ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว!”  แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ทำชีวิตเธอพลิกผันไปหมด จากนักศึกษามีอนาคตกลายเป็นผู้หญิงท้องโย้อยู่เก้าเดือน อาการเลือดลมแปรปรวนทำเอาเธอเกือบบ้า ไหนจะต้องมาเสียขาจากอุบัติเหตุที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เพราะเหมันต์เดียวชีวิตเธอถึงย่อยยับ     
 
 “ธัน…”  อยู่ด้วยกันหลายปีจนรู้ใจ เวลาไหนคือเวลาที่ต้องการ ชายหนุ่มสามารถเดินเข้ามาหาได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรยืดยาว ส่วนหญิงสาวก็ค่อย ๆ หมุนรถเข็นหันเข้ามาในห้องและธันวาต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเพื่อที่ว่าตอนคุยจะได้อยู่ระดับใกล้เคียงกัน 

“นายตอบฉันมาตามตรง ตอนนี้ฉันดูแก่มากไหม”  ยอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อยหลังจากที่โดนหักหน้า กลับมานั่งคิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าเพราะมีลูกติดใช่ไหมชายคนรักเก่าถึงเมิน หรือเพราะว่าเธอไม่สวยเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่เด็กสาววัยละอ่อนอย่างที่คิมหันต์เคยชอบใช่หรือเปล่า เธอไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไรและไม่เชื่อด้วยว่าจะลืมกันง่าย ๆ แบบนี้

“ตอบมาสิว่าฉันดูแก่หรือเปล่า” 

เห็นอีกคนเอาแต่นิ่ง มินตราก็ยิ่งเร่งด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เดี๋ยวเดียวก็เย็นลง คงเพราะสัมผัสนวดเบา ๆ เหนือหัวเข่า ก่อนชายกระโปรงยาวจะสั่นไหวเล็กน้อยเพราะมือที่ค่อย ๆ สอดเข้าไป 

“ไม่ครับ คุณยังสวยเสมอ” 

หญิงสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แค่เพราะมีชายคนหนึ่งบอกว่าเธอยังสวยสดงดงาม ความจริงผู้หญิงอย่างเธอไม่ต้องการอะไรมากนอกเสียจากคนอยู่เคียงข้าง คอยรับฟังและอย่าขัดเวลาเธอปรารถนาอะไร ซึ่งธันวาก็เป็นให้ได้ทั้งหมด …แม้แต่การทำหน้าที่ทดแทนสามีตลอดหลายปี 

เหมาจ่ายค่าจ้างทีเดียวแลกกับความเสียวเท่าที่ต้องการ  “ฉันดีใจที่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามีคนในบ้านอยู่ข้างฉันบ้าง”  มือเรียววางลงบนบ่าแล้วขย้ำกล้ามเนื้อไหล่เต็มแรง อารมณ์กำลังรวนเพราะส่วนนั้นค่อย ๆ ถูกล่วงเกินจนเกิดความชื้นแฉะ   

ขณะนิ่วหน้าเผยอปากครางอย่างชอบใจ มินตราก้มมองกิริยาจาบจ้วงของคนดูแลและไม่แม้แต่จะห้ามปราม เพียงดื่มด่ำหลับตาพริ้มกัดริมฝีปากเมื่อปลายความสากแตะโดนจุดกระสัน ปล่อยให้ชั้นในถูกถอดออกจนกองแทบที่วางพักเท้าพอดีกับที่ก้านนิ้วยาวเริ่มขยับเข้าออก   






มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 22:38:03 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
«ตอบ #19 เมื่อ10-12-2017 00:31:02 »





สองมือจ่อใต้ก๊อกน้ำเพื่อทำความสะอาดหลังจากเพิ่งล้างแก้วนมหลานเสร็จ ภัคล้างมืออยู่นานและเช็ดกับผ้าซับมืออย่างที่ทำเป็นประจำ ความจริงเกือบทุกย่ำเย็นร่างบางก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องครัวและหมุนตัวกลับหลังหันเมื่อได้ยินเสียงบานประตูตู้เย็นถูกเปิด

คนที่เดินเข้ามาใหม่คือชายพูดน้อยที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกนึกคิดและดูจะเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นพิเศษเวลาเจอภัค ธันวาทำท่าจะรอให้ร่างบางออกไปก่อนแล้วค่อยหาน้ำดื่มดับกระหาย แต่คนล้างมือเสร็จแล้วก็ยังไม่ไปไหน ยืนพักเท้าระหว่างพิงเคาน์เตอร์ครัว 

“นายกินข้าวเย็นหรือยัง”  ร่างบางถามอย่างเป็นกันเอง แม้รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะรักษาระยะห่าง 

“กินแล้วครับ”

“โกหก”  จับไต๋ได้เพราะคนยืนห่างเป็นวาชอบใช้มุกนี้หลอกประจำและร่างบางก็แค่ทำเหมือนเคยคือบ่นด้วยน้ำเสียงไม่เชิงจริงจังระหว่างเดินไปเดินมาเพื่อหาวัตถุดิบ เดินมาหยิบของจากในตู้เย็นจนธันวาต้องเบี่ยงตัวหลบ

ภัคที่พบเจอเห็นท่าทางแบบนี้ทุกวันถึงขั้นหลุดยิ้ม รอยยิ้มที่แทบหาไม่ได้จากเวลาปกติ  “วัน ๆ น่ะมีอะไรตกถึงท้องบ้างไหม พี่สาวฉันสั่งไม่ให้นายกินข้าวหรือไงน่ะ”

“ผม…”

“ไปนั่งสิ เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน”

“ไม่เป็นไรครับ”  ร่างสูงโปร่งปฏิเสธทันควันเพราะหลายปัจจัย แต่คนนิสัยดื้อก็ยังเป็นคนดื้ออยู่วันยังค่ำ ภัคบังคับทางสายตา สะกดชายหนุ่มให้เดินมานั่งรอตรงเก้าอี้ว่าง ๆ

แล้วธันวาเองก็เชื่องอย่างกับสุนัข มองตามร่างบางที่เดินตัดหน้าตาละห้อยเหมือนสัตว์เลี้ยงขี้เหงาซึ่งรอคอยการกลับมาบ้านของเจ้านายและฟื้นจากอาการใกล้ตายได้เพราะรอยยิ้มที่คอยส่งให้เป็นระยะ ๆ ใบหน้าที่ควรจะเรียบเฉยเช่นหุ่นยนต์จึงดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นตามลำดับ ทำสีหน้ามากกว่าหนึ่งและเป็นช่วงเวลาเดียวที่รู้สึกเป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ

สุนัขตัวใหญ่นั่งคอยอาหารจากเจ้านายอยู่เงียบ ๆ และหากเทียบกันแล้วมันชอบที่จะฟังเสียงฮัมเพลงอย่างเพลินเพลิดมากกว่าเสียงด่าทอคนอื่นที่ปกติจะต้องยืนฟังทุกวัน

ธันวาอยากให้ช่วงเวลาแสนสั้นกลายเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด

“คราวก่อนเห็นนายไม่กินแครอทฉันเลยเดาว่าไม่ชอบ”

จานข้าวผัดหน้าตาน่าทานแต่ขาดไปหลายสีสันถูกดันมาตรงหน้าชายหนุ่มที่หลุบตาลงต่ำ กำลังซาบซึ้งกับความเอาใจใส่  “ใจคอจะไม่พูดอะไรกับฉันเลยหรือไง”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วมีอะไรอยากพูดกับฉันอีกไหม…?”

ภัคไม่ได้รบเร้าแต่ปล่อยให้ธันวาได้กินข้าวเสียก่อน รีบร้อนไปก็เท่านั้นถึงทั้งสองคนจะขลุกตัวอยู่ในครัวเป็นเวลาไม่นาน แต่ก็ไม่ได้สั้นจนขนาดไม่ทันพูดคุยหรือทำอะไร 

ก่อนร่างบางจะเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อนตอนทางสะดวก เดินล่วงหน้ามาไกล ชายหนุ่มถึงได้เดินตามออกมาจากห้องครัว ต่างคนต่างระวังตัวเพราะกลัวมินตรามาเห็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะเป็นปัญหา เพราะแค่ที่ด่าอยู่ทุกวันนี้ก็ฟังไม่หวาดไม่ไหว 

แค่นึกถึงก็ปรากฏกายเรียกว่าตายยากจริง ๆ ภัคก้าวพ้นบันไดขั้นบนสุดแล้วเจอคนที่ไม่มีอารมณ์เสวนาด้วยเข้าระหว่างทาง การหยุดยืนของร่างบางก็ทำให้ธันวาชะงักเท้าอยู่ที่ด้านล่างทันที มินตราจึงไม่ทันได้เห็น 

“แกคงสะใจมากสินะที่ฉันโดนหักหน้า”  สาวเจ้าชวนเข้าประเด็นไม่มีอ้อมค้อม
ไม่ยอมปล่อยผ่านสักเรื่องจนน้องชายอยากเตือนอะไรสักหน่อย

“เลิกคิดร้ายกับคนอื่นสักทีเถอะครับ มันจะทำให้พี่ไม่มีความสุขซะเองนะ”

“แล้วตอนนี้แกมีความสุขดีไหมล่ะ คงจะมีมากสินะ เห็นว่ากำลังให้ท่าคิมหันต์อยู่นี่”

“ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น”

“สันดานขี้ขโมยอย่างแกมีหรือจะไม่อยากได้เขา ยิ่งเคยเป็นของฉันมาก่อนแล้วด้วย”

“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วมีความสุข พี่ก็คิดไปเถอะ ผมขอตัว” 

ต่อล้อต่อเถียงไปไม่ได้แก่นสาร การอธิบายให้คนอคติฟังนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเสียแรงเปล่า ไม่ต่างจากยืนคุยกับเสาหรือกำแพง คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สามารถทำให้คนหัวแข็งอ่อนลงได้ ปล่อยให้ทุกข์กับความคิดตัวเองไปนั่นแหละน่าจะเป็นทางออกที่ดี 

ภัคเดินเลี่ยงจะเข้าห้องแต่เสียงของพี่สาวก็ยังตามหลอกหลอน 

“ฉันจะคอยขัดขวางแกทุกวิถีทาง อย่าหวังว่าจะแย่งเขาไปจากฉันได้”

ร่างบางหลับตาแล้วถอนหายใจ หมุนตัวหันกลับมาใหม่เพื่อเผชิญหน้ากับมินตราที่ยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะเมื่อเข้าใจว่าคำพูดตัวเองยังใช้ยั่วยวนน้องชายให้ตบะแตกได้สำเร็จ 

“ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดหรอก แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วสิ”

“แกจะไม่มีความสุขตราบใดที่ฉันยังอยู่”

“งั้นถ้าไม่มีพี่อยู่ ผมก็คงจะมีความสุขใช่ไหม”  ย้อนถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ริมฝีปากสีแดงสดแสยะออกขณะสองเท้าสืบเข้าใกล้พี่สาว 

ภัควางมือทับหลังมือมินตรา แต่ไม่ได้แค่ต้องการเทียบความขาวที่ถอดแบบกันมา ไม่ได้จะอวดว่ามือเรียวสวยเป็นกรรมพันธุ์ ท่ามกลางการสบตาในระยะเผาขน มีคนหนึ่งพยายามต่อต้าน จะชักมือที่ถูกกดทับกับพนักแขนอย่างแรงจนเจ็บออก แต่ทำอย่างไรก็สู้แรงน้องชายที่โน้มตัวลงมาใกล้ไม่ได้ กลายเป็นฝ่ายต้องอยู่เฉยเพื่อฟังคำเอ่ยยั่วยุกลับบ้าง 

“ก็เอาสิครับ อยากทำอะไรก็ทำ …แล้วผมจะคอยเอาใจช่วย”

พูดเสร็จก็ผละออกในทันที แต่แทนที่จะเดินกลับห้องตัวเอง ภัคกลับเดินไปหน้าห้องคิมหันต์ก่อนจะเคาะประตูโดยรู้ว่าการกระทำของตัวเองนั้นอยู่ในสายตาพี่สาวตลอด 

“พี่คิม ภัคเองนะ”  จงใจเติมคำนำหน้าว่าพี่ให้นายตำรวจเพื่อแสดงออกถึงความสนิทสนม ก่อนจะมีเสียงขานรับจากด้านใน บอกให้เปิดประตูเข้ามาได้เลยอย่างง่ายดาย 

น้องชายหันมองพี่สาวอีกครั้งเหมือนจะถามทางสายตาว่าได้ยินที่อดีตคนรักของพี่เอ่ยไหม แล้วไม่รอช้าเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านในและปิดประตูเพื่อกระตุ้นความอยากรู้จากคนด้านนอก ภัคลองแนบหูกับประตูห้องจนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องดังแว่ว ๆ คิดแล้วก็ตลกดี พี่สาวคงจินตนาการไปไกลว่าเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามหลังบานประตูนี้     

“มีอะไรหรือเปล่า”  คิมหันต์ที่ตอนแรกกำลังจะถอดเสื้อต้องใส่กลับเข้าไปใหม่แทบไม่ทัน ผิดกับท่อนล่างที่ต้องรีบคว้าผ้าขนหนูมาพันเพื่อต้อนรับแขกที่หันมาเห็นสภาพร่างสูงใหญ่แล้วก็อึกอัก  “ขอโทษที่เข้ามารบกวนเวลานี้นะครับ แต่ขอผมอยู่ในห้องคุณต่ออีกสักพักได้ไหม” 

นายตำรวจเลิกคิ้วราวกับไม่เข้าใจ  “หรือคุณเล่นซ่อนแอบกับหนูดา…?”

“เล่นซ่อนแอบยังสนุกกว่าเกมที่ผมเล่นอยู่ตอนนี้อีก”

“งั้นคุณอยู่ในห้องนี้ได้ตามสบายเลยนะ”  คิมหันต์เอ่ยอนุญาตและปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำนานสองนาน

ส่วนร่างบางเองก็ไม่ได้เดินไปไหนเลยนอกจากยืนแนบแผ่นหลังกับบานประตูห้อง อยู่ในความสงบนิ่งและประวิงเวลาด้วยการมองสภาพแวดล้อมโดยรอบแทน แหงนหน้าขาวนวลมองดวงไฟแต่สุดท้ายกับรู้สึกกายร้อนรุ่มมากกว่าแสบตา

เพราะว่าที่จริงแล้วจิตใจจดจ่ออยู่กับเสียงน้ำจากฝักบัว นึกภาพออกถึงเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามซึ่งกำลังเปื้อนฟองสบู่ ฝ่ามือใหญ่น่าจะกำลังลูบตามผิวกายและถูตามซอกเหลือบไหนสักแห่ง ผู้ชายแบบนั้นจะแรงเยอะแค่ไหนกัน เผลอจินตนาการถึงตอนน้ำกระจายโดนตัว ทั่วผิวหนังกร้านแดดมีหยดน้ำเกาะ บางส่วนก็ไหลเป็นทางยาว เข้าร่องกล้ามหน้าท้อง ผ่านสองต้นขาหนาและทิ้งตัวลงตามอวัยวะที่ห้อยอยู่ในแนวดิ่ง

ภาพนายตำรวจยืนนิ่งอยู่ใต้สายน้ำแล้วทำแค่เสยผมที่เปียกไปข้างหลังวนเวียนอยู่ในสมอง ก่อนสองมือจะยกทาบผนังระหว่างรอให้น้ำทำหน้าที่ชะล้างคราบไคล เสียงน้ำที่ไหลกระทบกระเบื้องดังกึงก้องคับสองหูที่เงี่ยฟัง ภัคเห็นภาพทุกอย่างทั้งที่ถูกกันให้อยู่ด้านนอก

จนกระทั่งคิมหันต์เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพพันผ้าขนหนูหมิ่นเหม่และใช้อีกผืนที่เล็กกว่าขยุ้มกับผม นายตำรวจแอบชะงักหลังเห็นร่างบางยังยืนอยู่ที่เดิม แล้วค่อยเริ่มเช็ดผมต่อราวกับว่าไม่มีอะไร ไร้ความเขินอายแม้จะมีนัยน์ตาร่องลอยคอยเมียงมองท่อนบนที่เปลือยเปล่าอยู่ตลอด 

“เป็นอะไรหรือเปล่าภัค”  เห็นว่านิ่งไปจึงถามอย่างห่วงใยและเดินเข้ามาใกล้จนเงาร่างกายพาดทับตัวคนที่ยังยืนแนบหลังกับบานประตู   

‘สันดานขี้ขโมยอย่างแกมีหรือจะไม่อยากได้เขา ยิ่งเคยเป็นของฉันมาก่อนแล้วด้วย’

‘นรภัทรผู้อาภัพ สงสัยจะโดนพี่สาวคาบเหยื่อไปกินแล้วล่ะมั้ง แต่ฉันอยู่ทีมนายนะ แย่งหมอนั่นมาจากยัยขาเป๋เลยสิ’ 


คนที่เป็นฝาแฝดจะมีร่างกายเหมือนกันทุกส่วนจริง ๆ หรือเปล่านะ
ร่างบางเกิดสงสัยขึ้นมาขณะที่จู่ ๆ ก็มีอีกหลายประโยคแทรกซ้อนอยู่ในสมอง

‘ฉันจำเป็นต้องสนใจคนที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นด้วยเหรอ’
‘อย่างน้อยเขาก็ช่วยคุณเลี้ยงหนูดานะ’ 
‘ทำเพราะจำใจมากกว่าค่ะ เพราะถ้าไม่ทำฉันก็จะไล่ออกจากบ้าน แล้วคนความรู้น้อยแบบนั้น เรียนม.ปลายก็ไม่จบ ประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี อย่างดีก็คงได้แค่ขายตัวหาเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ ’
‘นั่นน้องคุณนะมิน’ 
‘น้องโง่ ๆ ที่ไม่มีใครต้องการน่ะสิ ถ้าพ่อแม่ฉันยังอยู่ก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน’ 

‘แค่คุณพูดมา’
‘แม้ว่าสิ่งที่ผมพูดจะเป็นการใส่สีตีไข่ให้ใครกลายเป็นคนร้ายก็ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ’
‘ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ…ผมพร้อมจะเชื่อคุณโดยไม่มีเงื่อนไข’     

‘แต่รู้ไว้เถอะค่ะว่าภัคไม่มีค่าให้คุณลดตัวลงไปยุ่งด้วยหรอก’

 ‘แกจะไม่มีความสุขตราบใดที่ฉันยังอยู่’
‘งั้นถ้าไม่มีพี่อยู่ ผมก็คงจะมีความสุขใช่ไหม…’ 

‘น่าจะเป็นแกมากกว่าภัคที่ตาย ไม่ใช่เหมันต์!’


ถ้าจะมีใครสักคนที่สมควรตายก็คือคนพูดนั่นแหละ

ทุกข้อแม้ที่เคยใช้ค้านกับตัวเองอันตรธานหายไปเพราะคำว่าหมดความอดทนคำเดียว
มันเกี่ยวเนื่องกับปัญหาเรื้อรังที่มีมาอย่างยาวนานและอาจถึงเวลาต้องลงมือทำอะไรสักที แล้วคนที่เหลืออดก็ทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ เช่นการหาแพะรับบาปดี ๆ สักคน

“ภัค…?”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเพราะความเย็นที่ต้นแขน ร่างบางแหงนหน้ามองเจ้าของมือที่สัมผัสโดนตัวในทันที 

“คุณพูดเองว่าจะเชื่อผมโดยไม่มีเงื่อนไข ยังจำได้ใช่ไหม”

“ใช่ ผมจำได้”  คิมหันต์จำได้หมดว่าตัวเองเคยพูดอะไร เหมือนคนชอบโกหกที่จดเรื่องราวไว้ในสมุดโน้ต พอเวลาโดนถามจะได้ตอบตรงกับที่เคยพูดไป  “แต่คุณไม่จำเป็นต้องรีบให้คำตอบผมก็ได้นะ ผมเข้าใจว่าอาจจะต้องใช้เว…”

“ผมตกลงครับ เรื่องที่คุณขอให้ช่วยผมจะช่วยคุณเอง”







CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ———— ลั่นดาล ———— (03) ๐๙.๑๒.๖๐
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-12-2017 00:31:02 »





ออฟไลน์ __puppy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #20 เมื่อ10-12-2017 00:45:55 »

ขยันขันแข็งๆๆๆๆๆ  :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #21 เมื่อ10-12-2017 07:45:30 »

หืมมมมมม
จะใช่คนที่เราคิดไหมน้า คึคึ

สองสาวเวลาด่กันนี้ไฟแล้บมากกก
สาดเสียเทเสียสุดๆ

ออฟไลน์ wifesuju

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #22 เมื่อ10-12-2017 21:58:55 »

ลุ้นมาก น่าสงสัยไปหมด อยากรู้ว่าสองพี่น้องโกรธไรกัน ภัคมีซัมติงกับเหมันมั้ย แล้วภัคเป็นคนยังไงกันแน่ โอ้ยยยย งงไปหมด

ออฟไลน์ หิมะขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #23 เมื่อ10-12-2017 23:31:51 »

มาติดตามด้วยความลุ่นและงงไปหมดดดดด :ling1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #24 เมื่อ11-12-2017 00:41:00 »

เราลุ้นไปหมดแล้ววว แบบนี้แง้มออกมาแล้วแน่นอนว่าภัคเคยมีอะไรกับพ่อหนูดาแน่ๆ อีกสิ่งที่น่าจะมั่นใจที่สุดคือภัครักหนูดา

ออฟไลน์ FiZZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #25 เมื่อ11-12-2017 19:06:12 »

คือร้ายกันทั้งบ้านเลยว่างั้น แต่ละคนดูมีอะไรเบื้องหลังกันไปหมดแต่ก็ปิดปากเงียบ
ภัคนี่ออกแนวเงียบๆแต่กินเรียบนะเออ  o22

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (04) ๑๐.๑๒.๖๐
«ตอบ #26 เมื่อ18-06-2018 21:53:24 »

๐๖




ยามตะวันตรงหัว คิมหันต์กับภัคใช้เวลาร่วมกันโดยไม่กลัวใครติฉินนินทา ไม่สนแม้รู้ว่าอาจมีคนไม่พอใจ แถมไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กลายเป็นถูกต้อง พวกเขาแค่ล็อกห้องเพื่อกันคนนอกเข้ามาวุ่นวาย อย่างน้อยบานประตูไม้ก็ช่วยป้องกันความลับรั่วไหลได้ระดับหนึ่ง

ไม่เชิงเป็นเรื่องลับลมคมในแต่เพราะนายตำรวจเพิ่งมาอยู่ใหม่ ร่างบางจึงต้องเท้าความเรื่องเก่า ๆ ให้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นเหมันต์มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับจอมทัพบ่อย ๆ และช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ใช่แค่กระทบกระทั่งกันธรรมดา มีการท้าตีท้าต่อยเพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เด็กหนุ่มที่ต้องการอิสรภาพอยากไปเรียนต่อต่างประเทศแต่คนเซ็นอนุมัติดันไม่เห็นด้วย
 
ภัคยังช่วยล่นระยะความกว้างของความบาดหมางลงด้วยการเล่าว่าครั้งหนึ่งจอมทัพเคยจะขโมยเงินแทนที่จะเดินเข้ามาขอดี ๆ แต่เหมันต์จับได้เสียก่อนและเค้นคอจนได้รู้ว่าเด็กหนุ่มติดพนันบอล เดือดร้อนต้องใช้เงินด่วน นั่นนับเป็นชนวนที่ทำให้ความไม่ลงรอยยิ่งบานปลาย 

แล้วไม่ว่านายตำรวจอยากรู้อะไร ร่างบางก็จะให้คำตอบและความร่วมมือเป็นอย่างดีภายใต้ข้อแม้ว่าเรื่องที่คุยกันในวันนี้จะมีเพียงสองเราเท่านั้นที่รับรู้

“แล้วคุณล่ะ ความสัมพันธ์ของคุณกับเหมันต์เป็นยังไง” 

“ก็ปกติครับ ผมแค่ทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้เขา วัน ๆ เราแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ”  ภัคเอ่ยฉะฉาน จนคิมหันต์ลอบยิ้มกับประโยคที่เหมือนท่องสคริปต์เตรียมมาตลอดทั้งคืน

“เรื่องคุณกับเขามีแค่นี้…?”

“แล้วมันควรจะมีมากกว่านี้เหรอครับ”  ร่างบางย้อนถามหน้าตาย

ส่วนนายตำรวจก็ไม่อยากเซ้าซี้  “ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะ”

“ถ้านี่คือการฆาตกรรมจริง ๆ คุณจอมทัพพอจะเป็นฆาตกรได้ไหมครับ”

“อาจจะได้หรือไม่ได้ ผมไม่เห็นประโยชน์ในการที่เขาจะฆ่าเหมันต์สักเท่าไหร่  คุณบอกเองว่าพวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างผมว่าเขาน่าจะลงมือตั้งแต่แรกแล้ว”

“แต่บางทีการที่เราโดนกระทำซ้ำ ๆ วันหนึ่งอาจทำให้เราหมดความอดทนก็ได้นะครับ”

“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณยอมร่วมมือกับผมด้วยหรือเปล่า”  ถามกลับทีเล่นทีจริงอย่างกับรู้อะไรดี ๆ มา ว่าจะส่งสายตาหยอกล้อให้กับคู่สนทนา แต่แววตาก็เปลี่ยนเป็นอยู่ในความสงบเมื่อหันแล้วพบว่าดวงหน้าด้านข้างของภัคอยู่ใกล้ ๆ
 
ภัคก็เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองประชิดอีกคนมากไป เอาแต่จ้องในสิ่งที่นายตำรวจเขียนลงในสมุดจดจนลืมรักษาระยะห่าง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนปลายคางชนไหล่หนาก่อนจะพยายามปรับเปลี่ยนท่าทางการนั่ง ร่างบางมั่นใจเต็มร้อยว่ากำลังถอยตัวเองกลับ แต่ยิ่งขยับความห่างยิ่งแคบลง คงเป็นเพราะใบหน้าสมส่วนเคลื่อนตามอย่างเผลอไผล กลิ่นแป้งเด็กจากกายขาวโชยเข้าจมูกจนเผลอสูดลมหายใจเสียงดัง คิมหันต์เคลิบเคลิ้มชั่วขณะหนึ่งจนถึงขั้นวางมือจากงาน 

นัยน์ตากลมหลุบมองสมุดจดที่อีกคนวางลงบนหน้าตักก่อนจะช้อนตามองหน้านายตำรวจที่เลิกคุกคามโดยอัตโนมัติแล้วหันมาทำตามธรรมเนียมด้วยการหยุดรอ

ขอแค่ร่างบางอนุญาตก็พร้อมเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ แต่บางทีคิมหันต์อาจประเมินต่ำไป ร่างบางค่อย ๆ แกะวงแขนที่รัดรอบเอวคอดออกอย่างแผ่วเบา กิริยาเท่ากับปฏิเสธกลาย ๆ ในแง่หนึ่งเป็นคำตอบว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดและที่อิดออดก็อาจตีความได้ว่ากำลังเล่นตัวเพื่อหวังอัพราคา

ภัคระบายยิ้มน้อย ๆ ให้กับนายตำรวจที่ทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง ทั้งที่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะคนสนิท แต่ไม่รู้ว่าคิมหันต์ไปเอาความมั่นใจว่าตัวเองมีสิทธิตัดพ้อมาจากไหน 

“จะอ้างไปหาหนูดาอีกแล้วเหรอ”  เสียงทุ้มพูดดักระหว่างคนข้างกายลุกขึ้นยืน 
 
“ผมไม่ได้อ้าง ผมไปหาแกจริง ๆ”

“ได้ยินแบบนี้แล้วผมอยากเป็นหนูดาบ้างจัง ผมจะได้อยู่ในความคิดคุณตลอดเวลา”  ความใจกล้าได้มาจากการทำงานเสี่ยงตายบ่อย ๆ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เกรงว่าถ้ามัวแต่ลีลา สุดท้ายอาจคว้าน้ำเหลว 

คิมหันต์ฉวยมือเรียวมาหอมท่ามกลางการสมยอมแต่โดยดี ภัคไม่คิดว่ามือจะสึกหรอแค่เพราะถูกจุมพิตหรอก ร่างบางกำลังมองทะลุไปถึงผลดีผลเสีย ในอนาคตหากได้เป็นเมียนายตำรวจก็ดีไม่หยอก  “ถ้าอยากให้ผมนึกถึงอยู่ตลอดก็ทำตัวน่ารัก ๆ สิครับ”

“นี่ผมยังน่ารักกับคุณไม่พออีกเหรอ”

“ผมยังสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ”  พูดชัดถ้อยชัดคำแล้วชักมือกลับอย่างนิ่มนวล   

คิมหันต์ทำท่าเหมือนปวดใจกับคำพูดนั้น เป็นการแสดงที่ห่วยสิ้นดี
แต่ก็สามารถที่จะเรียกรอยยิ้มจากทั้งสองฝ่ายได้

หลังมื้อเย็นผ่านไป หนูดาขึ้นมาเล่นบนห้องคุณพ่อพร้อมชุดสมุดระบายสี แทนที่จะขอคำแนะนำการทำตัวน่ารัก คิมหันต์ทำเพียงนั่งมองด้วยรอยยิ้มและกล่าวชื่นชมสาวน้อยที่คอยหันมาถามว่าสวยไหมคะ ‘ไม่มีใครสวยกว่าหนูแล้วแหละ’  ดูจะเป็นที่พออกพอใจของหนูดา ที่นอนตีขาบนโซฟาก่อนจะเงียบไป สุดท้ายผล็อยหลับทั้งที่ถือสีเทียนคามือ

คุณพ่อที่เห็นเข้าจึงอุ้มสาวน้อยขึ้นจากโซฟาพาเดินเข้าหาเตียงนอน หย่อนร่างเล็กลงกลางเตียงด้วยความแผ่วเบาพอดีกับที่มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ภัคแค่จะพาหลานสาวไปอาบน้ำนอน ที่เข้ามาอีกไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่ยอมรับว่าเมื่อเข้ามาในสถานที่เดิม ๆ แล้วก็ทำให้อดนึกถึงไม่ได้ หลังมือยังร้อนวูบวาบเหมือนริมฝีปากหนาประทับอยู่ตลอด 

“คืนนี้ให้หนูดานอนกับผมก็ได้นะ”  เจ้าของห้องออกปากระหว่างจัดแจงผ้าห่ม   

“จะดีเหรอครับ คืนนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอ”  ร่างบางเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียงเพื่อช่วยตรวจตราว่าผ้าผืนใหญ่คลุมทั่วร่างน้อยเรียบร้อย แล้วค่อยนั่งลงริมเตียง 

“ผมกะจะอู้สักวัน”         

“ที่บอกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกินเงินภาษีประชาชนท่าจะจริง”

“ฮ่า ๆ นี่มันนอกเวลาทำงานแล้วนะคุณ”  คิมหันต์นั่งลงบนเตียงอีกด้านและช่วยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าให้เด็กหญิงที่นอนนิ่งแม้จะมีเสียงพูดคุยรบกวน

“แน่ใจเหรอครับว่าจะให้แกนอนด้วย”  ภัคยังลังเลด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือตัวเองคงเหงาเมื่อไม่มีหลานสาวให้นอนกอดตลอดคืน 

“ผมไม่นอนทับแกหรอกน่า คุณสบายใจได้”  นายตำรวจพูดติดตลก  “หรือถ้าคุณเป็นห่วงมากจริง ๆ งั้นมานอนด้วยกันเอาไหม”  คำพูดแกมหยอกบอกไม่ได้ว่าคนพูดเจตนาอย่างนั้นจริงหรือไม่จริง แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเรียกรอยยิ้ม ร่างบางชักมีความสุขกับการโดนจีบโต้ง ๆ

“เตียงคงไม่พอสำหรับสามคนหรอกครับ ผมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองดีกว่า”     

“ความจริงหนูดา คงอยากให้คุณนอนด้วย”

“ให้แกได้อยู่กับพ่อตามลำพังบ้างก็ดีครับ ถึงจะไม่ใช่พ่อจริง ๆ ก็ตามที”

“คุณชอบย้ำจังว่าผมไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของแก ทำไม กลัวผมขึ้นมาแทนที่เหมันต์เหรอ”

“ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกครับ ผมก็แค่กังวลกับอนาคต”

“มีผมอยู่ทั้งคน คุณยังจะต้องกังวลอะไรอีก” 

นิ้วเรียวที่เกลี่ยแก้มยุ้ยของหลานสาวอยู่ถึงกับชะงัก ร่างบางเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดเมื่อกี้ทันที  “คุณนั่นแหละคือเรื่องน่ากังวลที่สุดสำหรับผม”   

“ผมทำไม” 

“สัญญาได้ไหมครับว่าจะไม่ทำให้แกเสียใจ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดคุณก็จะไม่ทำร้ายแก”

คิมหันต์พยักหน้าและถึงแม้ร่างบางจะไม่เรียกร้องขอคำสัญญา นายตำรวจก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีทางทำร้ายหนูดาเด็ดขาด จะการกระทำหรือคำพูดก็ไม่มีวัน เพียงสงสัยว่าทำไมน้าชายถึงเป็นห่วงหลานสาวนักและได้คำตอบในวินาทีถัดมา

“หนูดาน่าสงสารออกครับ เกิดขึ้นมาท่ามกลางความไม่ต้องการของใคร มีแม่ก็เหมือนไม่มี ส่วนพ่อ ...ก็อย่างที่คุณพอทราบ เขาเหมือนจับฉลากได้สถานะพ่อมา” 

“น้องชายผมคงทำตัวแย่ ๆ ไว้เยอะ”

“เปล่าครับ เขาทำหน้าที่พ่อได้ดี แต่เสียอย่างเดียวเขาไม่มีความรักให้หนูดา”
   
“คุณก็เลยพยายามมอบความรักให้แก”

“ผมเข้าใจความรู้สึกของเด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีใครต้องการดี”  มันเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกย้อนถึงความหลัง ภัคนั่งยิ้มขืน ๆ ฝืนแสดงว่าไม่เป็นไรต่อหน้านายตำรวจ  “คุณคงได้เห็นบางส่วนแล้วจากพี่สาวผม หนูดาก็เหมือนผมตอนเด็ก แต่ที่จะแตกต่างกันก็คือตอนโตแกจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าผม”

“คุณคงรักหนูดามาก”

“ผมตายแทนแกได้เลยล่ะ”

“ถ้าผมมีภรรยา ผมก็อยากได้ภรรยาแบบคุณนะ”  ไม่ว่าจะจงใจหรือพูดเอาแค่ขำ ๆ ก็ทำใบหน้านวลเนียนแดงระเรื่อไปแล้ว ภัคต้องอยู่กับสภาพเลือดฝาดขึ้นแก้มเป็นพักระหว่างสานบทสนทนาให้ดำเนินต่อ  “ก็หาสิครับ” 

“คุณก็เห็นว่าผมทำงานอะไร วัน ๆ เจอแต่ลูกน้องไม่ก็ผู้ร้าย”

“ไม่มีใครที่ถูกใจเลยเหรอครับ”

“มีนะ มีอยู่คนหนึ่ง ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็เถอะ”

“บอกได้ไหมครับว่าใคร”

“ผมนึกว่าคุณรู้อยู่แล้วซะอีก” 

นายตำรวจไม่ปล่อยให้สีแดงบนหน้าแก้มจางไปก่อนเวลาอันควร คำพูดสองแง่สองง่ามชวนให้คิดไกล แม้จะเขินอายแต่ก็ยังไว้ลาย ไม่ให้อีกคนรู้ว่ากำลังหวั่นไหวอย่างหนัก  “ค่อย ๆ จีบก็ได้ครับ ผมไม่หนีหายไปไหนหรอก”  พูดออกมาอย่างมั่นใจแต่ก็ต้องรีบหลบสายตารู้ทัน

“ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”  คิมหันต์พูดเหมือนว่าไม่เคยรู้ตัวมาก่อน นึกว่าซ่อนตัวได้แนบเนียนแล้ว 

“ดีแล้วละครับที่เป็นตำรวจ เพราะถ้าให้เป็นดารา คุณคงแสดงได้แย่มาก”  วิพากษ์วิจารณ์อีกคนอย่างเปิดเผย นานแล้วที่ไม่เคยรู้สึกเป็นตัวเองมากเท่าตอนนี้  “ตกลงคุณก็ไม่เชื่อที่พี่สาวผมเตือนจริง ๆ สินะ”

“ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุคุณว่างั้นไหม แต่ไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวคุณห้าม ผมถึงยิ่งได้อยากอยู่ใกล้คุณหรอกนะ”

“กำลังจะสารภาพความในใจเหรอครับ”  ทำเป็นพูดเล่น จนกระทั่งเห็นสีหน้าจริงจังถึงได้นิ่งฟังอย่างตั้งใจก่อนจะเกิดความรู้สึกหลากหลายระหว่างจ้องริมฝีปากหนาเคลื่อนไหวยามพูด 

“ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจริง ๆ” 

บางทีภัคก็อยากให้นายตำรวจรู้จักอ้อมค้อมเสียบ้าง เพราะหากพูดทุกอย่างที่ใจคิดออกมา เกรงว่าจะเป็นตัวเองที่ทนรับฟังไม่ไหวแล้วลงมือทำอะไรที่เรียกว่าเกินงาม กลัวว่าความลับจะแตก กลัวว่าอีกคนจะรู้ว่าภัคก็คิดทำนองเดียวกัน   

“คุณเล่นบอกมาตรง ๆ แบบนี้แล้วจะให้ผมทำอย่างไรล่ะ”

“ให้โอกาสผมนะ”

“แล้วผม …ดูเหมือนไม่ให้โอกาสคุณอยู่เหรอ”  ถามกลับด้วยความอยากรู้ บางทีคงมีแต่คนตาบอดเท่านั้นแหละที่ดูไม่ออกว่าร่างบางเองก็จ้องจะจับพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยอย่างที่ใคร ๆ เขาว่า เพียงแต่ไม่ได้กระโตกกระตาก ยังรักนวลสงวนตัว  “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน”   

“งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”  คิมหันต์อาสาหน้าระรื่น รอให้น้าชายได้จุมพิตหน้าผากหลานสาวเป็นการล่ำลา แล้วค่อยลุกขึ้นยืนตามและเดินขนาบข้างออกมาส่งหน้าประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง นายตำรวจยังยื้อร่างบางไว้ด้วยการชวนคุยอะไรต่ออีกหน่อย 

“ผมว่าพรุ่งนี้จะพาหนูดาไปสวนสนุก คุณไปด้วยกันนะ”

“ไหนว่ายุ่ง ๆ ไงครับ”

“ผมมีเวลาให้ลูกกับคุณเสมอ”

วันหนึ่งพบเจอประโยคหวาน ๆ จนนับไม่หวาดไม่ไหว แล้วไหนจะสายตาคิดไม่ซื่อที่หมั่นส่งหา ชายหนุ่มตรงหน้าชักเหมือนเปลวไฟเข้าไปทุกที เปลวไฟที่มีฤทธิ์เผาไหม้ได้ทุกสรรพสิ่ง ยิ่งลามมาโดนกับวัตถุไวไฟอย่างร่างบางด้วยแล้ว คงต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลในการดับเพลิง

แถมก่อนจากลายังไม่เลิกทำตัวรุ่มร่าม ริมฝีปากหนาประทับบนหลังมือเรียวอีกครั้งอย่างแนบแน่น ทำเหมือนกับว่าต้องห่างไกลทั้งที่ห้องอยู่ถัดไปแค่นี้เอง คิมหันต์ทำตัวไม่เกรงใจซึ่งภัคก็ไม่ได้ต่อว่า แต่อยากให้ระวังตัวหน่อย ติดนิสัยหวาดระแวงเหมือนพวกเมียน้อยที่ต้องคอยทำลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวว่าเมียหลวงจะมาเห็นฉากพลอดรักกับผัวตัวเองเข้า 

“ถ้าใครมาเห็นเข้าคงดูไม่ดี” 

“ผมเองก็ไม่มีพันธะ คุณเองก็ยังไม่มีใคร แล้วทำไมถึงจะดูไม่ดีล่ะ”  เห็นร่างบางมองซ้ายมองขวาก็กวาดสายตามองตาม  “เราไม่ได้กำลังลอบเป็นชู้กันสักหน่อย คุณจะกลัวทำไม” 

ภัครีบชักมือกลับทำราวไม่สบอารมณ์แต่ยังสงวนท่าที ขณะที่นายตำรวจเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองอาจพูดอะไรผิดไป ว่าจะขอโทษแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องอยากคุยกับร่างบาง มือใหญ่ล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบสิ่งของเล็ก ๆ ที่ลักษณะเหมือนกระดุมออกมา 

“หลายวันก่อนผมเจอมันตกอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยอยากให้คุณช่วยตามหาเจ้าของให้หน่อย”  พูดเสร็จแล้วค่อยยื่นให้คนตรงหน้าที่รับไปแต่โดยดี

ร่างบางพลิกดูเล็กน้อยก่อนที่จะชะงักงัน พอสัมผัสสิ่งของแล้วคล้ายความทรงจำย้อนกลับมา ความหลังของเจ้าเม็ดกระดุมที่แสนเลือนรางทำให้ใบหน้าคนถือซีดเผือด 

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ให้ผมเดินไปส่งที่หน้าห้องดีกว่าไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ระยะทางแค่นี้ไม่มีใครดักทำร้ายผมหรอก”  พูดติดตลกแต่ถ้าเอากระจกมาให้ส่อง ภาพสะท้อนจะบอกเองว่าคนพูดไม่มีวี่แววของความสนุกสนานเลยสักนิด 

ภัคหมุนตัวกลับหลังหันแล้วออกเดินจากตรงนั้นทันที ขณะที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าก็เหลือบหางตามองนายตำรวจเป็นระยะ ๆ คิมหันต์ยืนกอดอกมองร่างบางเดินเข้าห้องอย่างปลอดภัยและส่งยิ้มให้จนวินาทีสุดท้ายที่บานประตูปิดลงอย่างอ้อยอิ่ง ถึงได้หมุนตัวที่พิงกับกรอบประตูกลับเข้าห้องบ้าง 

เสียงล็อกห้องนอนดังสะท้อนในความสงัด…

ลับหลังบานประตู ภัคเหมือนหนูติดจั่น วิ่งพล่านไปทั่วห้องเพื่อค้นหาบางอย่าง กระทั่งคุ้ยตะกร้าสานตรงมุมห้องถึงเจอเสื้อนอนที่ยังไม่ถึงคิวซักและรีบนำมาแผ่กางบนเตียงเพื่อตรวจตราว่ามีอะไรหายไป จนนัยน์ตาตระหนกได้เห็นว่าจำนวนกระดุมไม่พอดีกับรังดุม กระดุมหลุดหายไปหนึ่งเม็ดเหตุเกิดเมื่อไหร่ไม่ทราบและมันเพิ่งจะกลับมาหาเจ้าของ แน่นิ่งบนฝ่ามือที่แบออกท่ามกลางเสียงหอบหายใจ
















ยามเช้าของวัน คิมหันต์อุ้มลูกสาวพลางก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่อยู่ในสภาพพร้อมเดินทาง เพราะหลังจากตื่นนอนคุณพ่อซึ่งยังไม่สัดทันงานด้านอาบน้ำก็ได้พาเด็กหญิงไปหาน้าชายแล้วไหว้วานให้ช่วยเหลือ มีการอ้อนอีกคนให้อาบน้ำให้เผื่อจะฟลุค แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ที่ได้ไปเมื่อคืนก็นับว่ามากแล้ว

ถึงขั้นหอมมือก็ถือว่าก้าวหน้าไม่น้อย เลยตัดสินใจแยกตัวกลับมาทำกิจวัตรที่ห้องตามลำพัง แล้วค่อยเปิดประตูต้อนรับเด็กหญิงที่มาพร้อมชุดใหม่ สวมใส่ชุดกระโปรงที่ภัคเป็นคนเลือกให้ ร่างบางที่เดินมาส่งบอกว่าคงใช้เวลาสักพักในการจัดการตัวเอง ดังนั้นจึงอยากให้นายตำรวจช่วยพาเด็กหญิงลงไปทานข้าวด้านล่าง ซึ่งคิมหันต์ก็พยักหน้ารับ

พร้อมทำหน้าที่พ่อเสมอ แต่โชคดีดันเจอลูกสาวน่ารักที่ไม่จำเป็นว่าต้องมีคนคอยป้อนทุกครั้ง หนูดาจับช้อนทานข้าวเองอย่างเรียบร้อย พลอยทำให้คนนั่งมองสบายใจ นายตำรวจมีหน้าที่แค่แนะนำว่าให้เคี้ยวละเอียด ๆ ตักกับข้าวให้และใช้ทิชชู่ช่วยเช็ดริมฝีปากเล็ก 

ส่วนตัวเองก็กินไปพลาง ๆ อันที่จริงอยากได้กาแฟมากกว่าตามประสาพวกติดคาเฟอีน แค่ได้มองลูกสาวกินก็คล้ายจะอิ่มไปด้วย จนข้าวเหลือก้นถ้วยลายหญิง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าน้าชายจะลงมาทานข้าวเลยสักนิด สำหรับคนอื่นมันอาจไม่ผิดปกติ แต่กับคนที่จิตใจจดจ่ออย่างคิมหันต์ รอห้านาทีเหมือนรอเป็นสิบชาติ นิสัยไม่ชอบรอนาน ๆ คล้ายจะกำเริบ แต่เดิมเป็นคนใจร้อนนิด ๆ สุดท้ายคุณพ่อซึ่งออกอาการนั่งไม่ติดจึงขอให้ลูกสาวที่กินข้าวเสร็จไปเดินเล่นรอที่ห้องรับแขก
 
นายตำรวจถ่อสังขารขึ้นมาตามร่างบางถึงชั้นสอง แต่มือที่เตรียมเคาะประตูห้องก็ต้องมีอันชะงักหลังนัยน์ตาดำเห็นภาพบางอย่างผ่านช่องว่างเสียก่อน ดูเหมือนคนด้านในจะลืมลงกลอนและปล่อยให้ประตูอ้า ภัคมัวบรรจงสวมเสื้อผ้าจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนถ้ำมอง เดินโชว์ท่อนล่างที่ผิวนวลเป็นยองใยยามตามหากางเกงขายาวตัวโปรด มีแค่ท่อนบนที่เรียบร้อย เสื้อแขนยาวสีอ่อนคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายตา ถึงจะไม่ได้เรียนจบสูง ๆ แต่ก็พอมีรสนิยมทางแฟชั่นอยู่บ้าง ซึ่งหลังจากเจอกางเกงตัวเก่ง เหมือนนกรู้ว่าอยู่ตรงไหนแล้วคนแอบดูจะมองเห็นได้ถนัด คิมหันต์มองร่างบางหยุดยืนกลางห้องขณะม่านตาบันทึกภาพกำลังสวมกางเกงราวกับจงใจยั่วยวนเก็บไว้ในสมอง จดจ้องช่วงสะโพกผายโดยเฉพาะ

ราวกับได้ยินคำขอว่าอยากเห็นชัด ๆ ก่อนสวมกางเกงเลยหันก้นให้มองเน้น ๆ จนติดตา

เนื้อสดกำลังยั่วน้ำลายหมาป่า… ลูกกระเดือกใหญ่ขยับเป็นจังหวะยามกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นหนัก น่ากลัวว่าเสียงดังจะทำให้เหยื่อรู้ตัวว่ามีคนกำลังหื่นกระหายอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ไม่อยากกลายเป็นไอ้โรคจิตในสายตาใคร แต่ยอมรับว่าพอได้เห็นแบบนี้แล้วก็อยากลองเป็นคนบ้ากามดูสักครั้ง

หากไม่ได้เป็นตำรวจและมีอาชีพสวนทางกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็คงจะบุกเข้าไปทำอนาจารให้รู้แล้วรู้รอด ล็อกกลอนแล้วลงมือกระทำชำเลา กลบกลิ่นแป้งเด็กของอีกคนด้วยกลิ่นคาวโลกีย์ให้มันตลบอลอวล อยากจะถอดยศตำรวจเพียงเพื่อทำผิดอีกสักหน ถอดความเป็นคนทิ้งไว้แล้วแปลงร่างเป็นอสูรกาย คิมหันต์คิดไปต่าง ๆ นานา   

จนภัคเปิดประตูออกมาเห็นแล้วผงะถอยหลังไปเล็กน้อย  “คุณ…?”

นายตำรวจหยุดคิดลามปามกับคนตรงหน้าทันทีที่รู้สึกตัว ส่ายหัวและยิ้มรับ ปรับสีหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรแล้วแถลงไขว่าเหตุใดถึงมาอยู่หน้าประตูห้องด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ  “เห็นคุณหายไปนาน ผมเลยขึ้นมาตามน่ะ”

“ขอโทษที่ช้านะครับ”  ร่างบางยอมรับผิดเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่ปล่อยให้สองพ่อลูกคอยนาน

ส่วนคิมหันต์ก็รีบพูดขึ้นมาว่าไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ช้าขนาดที่ว่าต้องด่าทอกัน อีกอย่างมันคือการไปเที่ยว ไม่ใช่การประชุมเกี่ยวกับธุรกิจที่ไปผิดเวลาไม่ได้ นายตำรวจยกยิ้มกว้างให้และอาศัยช่วงเวลาอีกคนหันกลับไปดึงบานประตูให้ปิดสนิทเพื่อจ้องสรีระด้วยสายตายากจะคาดเดา มองตั้งแต่ปลายเท้าย้อนขึ้นถึงดวงหน้า บรรจบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่หันกลับมาสบพอดิบพอดี ริมฝีปากหนายังคลี่ยิ้มปกติทั้งที่เพิ่งทำพฤติกรรมหยาบคายไปหยก ๆ

“ลงไปข้างล่างกันเลยดีไหมครับ”  ภัคถามหาความเห็น 

“เอาสิ”  คนตอบตกลงผายมือให้คนชวนเดินนำและเพราะว่าเป็นฝ่ายเดินตาม ถึงไม่ได้เห็นว่าร่างบางกำลังเผยรอยยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล
ทั้งคู่ก้าวลงบันไดคนละขั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นบ้านก็เกิดอาการรีบเดินกันอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างแยกย้ายตามหาต้นเสียงที่แสนคุ้นหู จนกระทั่งวิ่งเข้ามาดูในห้องรับแขกถึงได้เห็นภาพมินตรากำลังชี้หน้าลูกสาว โดยมีซากแจกันแตกละเอียดตกอยู่ข้าง ๆ 

“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่งเล่นในบ้าน!”

“คุณแม่ หนูเจ็บ”

“แล้วจะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าห้ามเรียกฉันว่าแม่…”  กระชากต้นแขนเล็กให้เขยิบเข้าใกล้ หยิกเนื้ออ่อนไปด้วยขณะใช้น้ำเสียงเย็นข่มขู่ จ้องตาลูกน้อยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ขนาดหมามันยังรักลูกของมัน ยกเว้นก็แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างมินตราที่โดนความทุกข์ระทมกัดกินมาอย่างยาวนานจนไม่เหลือความเป็นแม่ใด ๆ ไม่หลงเหลือความเห็นใจแม้หนูดาจะเบะปาก ใกล้ร้องไห้อยู่รอมร่อ พอคิดถึงพ่อเด็กทีไรแล้วยิ่งหงุดหงิด เกือบจะได้ฟาดก้นสักทีสองที ติดที่ว่ามีคนฉวยตัวเด็กหญิงไปต่อหน้าต่อตา

น้าชายชิงตัวหลานสาวมาอย่างรวดเร็ว  “เกิดอะไรขึ้นครับ!”  ระหว่างคุกเข่าลงเพื่อสำรวจตามร่างกายเล็ก ภัคมองนัยน์ตาแดงก่ำของเด็กน้อยด้วยอารมณ์คุกกรุ่น ไม่บ่อยที่ใบหน้าจะแดงจัดเพราะความเดือดดาล  “ผมถามพี่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”  น้องชายหยัดยืนและหันหน้าเผชิญกับพี่สาวที่ตีสีหน้าเฉยชา     
 
“หัดส่งสอนเด็กแกซะบ้างนะภัค” 

ร่างบางเหลือบมองซากแจกันก็พอเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยก็คือทำไมต้องลงไม้ลงมือ ยื้อยุดฉุดกระชากแขนเด็กที่เล็กและบอบบางเสี่ยงต่อการหักง่าย  “แต่เด็กที่ว่าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่นะ มีอะไรก็คุยกันดี ๆ สิ อย่าทำให้แกรู้สึกเหมือนว่าแค่ยืมท้องพี่มาเกิดได้ไหม” 

“แล้วฉันต้องการให้มันเกิดมาหรือไง เด็กที่เกิดจากการโดนข่มขืนน่ะ ฉันไม่นับเป็นลูกหรอกนะ”  ยอมกลายเป็นคนเลวดีกว่าแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียวไปตลอด คงไม่มีการผ่อนปรนหรือปรานีใด ๆ อีกแล้ว ในเมื่อทุกคนใจร้ายกับเธอก่อน แถมตอนนี้ก็ทำท่าจะหนีไปมีความสุขกันหมด หญิงพิการทนไม่ได้จนต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นสร้างบาดแผลในใจเด็กหญิง

“ผมว่าเราต้องคุยกันหน่อยนะมิน” 

คิมหันต์ที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังถึงกลับเดินขึ้นมาใช้ร่างบังสองน้าหลานไว้ในขณะเผยสีหน้าผิดหวัง เกิดสงสัยว่าครั้งหนึ่งเคยหลงรักผู้หญิงใจดำคนนี้ลงไปได้อย่างไร ทำไมจิตใจถึงไม่อ่อนโยนเหมือนอย่างแล้ว ๆ มา มินตรานับเป็นตัวอย่างที่ดีและค่อย ๆ ทำให้นายตำรวจเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม 

“สักวันเด็กนี่ก็ต้องรู้อยู่ดีค่ะคิม”  นอกจากจะไม่สะทกสะท้านกับสายตาจ้องจะกินหัวของน้องชาย ยังไม่สนสายตาหมดศรัทธาของอดีตคนรักเช่นกัน หญิงสาวแค่มองหนูดาที่ยืนหลบด้านหลังอย่างเย็นชา  “แล้วฉันก็จะพูดกรอกหูทุกวันจนกว่ามันจะโตด้วย”

“ผมรู้ว่าคุณโกรธเกลียดน้องชายผม แต่คุณก็ไม่ควรเอามาลงกับเด็กแบบนี้นะ”  นาน ๆ ทีจะยอมพูดถึงอดีตในที่สาธารณะ เพราะว่ามันเหลืออดแล้วจริง ๆ คนที่เคยนิ่งมาตลอดถึงได้ออกอาการโกรธจัดและเผลอกำหมัดอย่างลืมตัว  “หนูดาไม่ควรจะต้องมารับรู้เรื่องนี้ด้วย”   

“คิมก็ดีแต่เข้าข้างคนอื่น”  ลอยหน้าลอยตาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นสายตาตัดพ้อและเจ็บปวดของเธอที่เด่นชัด จนขนาดคิมหันต์เองยังเบือนหน้าหนี  “คราวนั้นคิมก็หลีกทางให้น้องชาย มีใครเคยถามฉันบ้างไหมว่าอยากแต่งงานกับหมอนั้นหรือเปล่า”

“เหมันต์ควรได้รับผิดชอบคุณ มันก็ถูกแล้วนี่”

“แต่คนที่ฉันอยากแต่งงานด้วยคือคุณไม่ใช่เขา”

“เลอะเทอะไปใหญ่แล้วนะมิน” 
“ถ้าไม่มีมันเกิดขึ้นมา ชีวิตฉันก็ควรจะสุขสบายกว่านี้ เพราะมันชีวิตฉันถึงได้เหมือนตกนรกอยู่แบบนี้ไง” 

‘มัน’ ที่ว่าถูกน้าชายอุ้มพาออกไปข้างนอกทันทีที่เรื่องราวชักบานปลาย
ภัคส่งไม้ให้คิมหันต์ช่วยจัดการต่อ นายตำรวจมองตามแล้วรอจนไม่เห็นแผ่นหลังบาง ถึงได้กลับมาสนทนากับหญิงสาวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ  “เหมันต์ก็เพิ่งตาย คุณจะอโหสิกรรมให้เขาไม่ได้เลยหรือไง” 

“ไม่มีวัน…”

เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนใจคนดูท่าจะเป็นเรื่องยากที่สุด แต่ในฐานะคนที่มีส่วนทำให้เจ้าหญิงกลายเป็นแม่มดแบบนี้ คิมหันต์แค่อยากทำให้มินตราหลุดพ้นจากความทุกข์ที่กำเนิดมาจากความเคียดแค้น ผลลัพธ์มันไม่เคยออกมาดี สุดท้ายแล้วแม่มดในนิทานก็จะอยู่อย่างตายทั้งเป็น ไม่ก็ตกนรกมกไหม้เพราะความไม่รู้จักปล่อยวาง

แต่สำหรับมินตราแล้ว เธอมาไกลเกินกว่าจะอยากได้คำแนะนำหรือแค่ความห่วงใย เธอจำเป็นต้องได้รับการเยียวยา ไม่ใช่เคมีบำบัดแต่เป็นแบบธรรมชาติ ชายตรงหน้าอาจบรรเทาโรคขาดความรักเรื้อรังของเธอได้ แต่น่าเสียดายที่นายตำรวจยืนยันที่จะปฏิเสธมาโดยตลอด จนก่อเกิดเป็นความน้อยใจและกลายเป็นความริษยา สาเหตุก็มาจากการที่เห็นว่าทุกคนรุมปกป้องเด็กคนเดียว ไม่มีใครเหลียวแลเธอเลยทั้งที่เธอดูน่าสงสารกว่ามาตั้งแต่เนิ่นนาน   

“เด็กนั่นจะต้องได้รู้ว่าตัวเองเกิดมายังไง ฉันจะเล่าให้หมดว่าพ่อมันทำอะไรกับฉันไว้บ้าง” 
หนทางเดียวที่คิดออกก็คือทำลาย ถ้าเธอไม่มีความสุขใครก็ห้ามมี

“คุณใจร้ายกว่าที่ผมคิดไว้มากนะมินตรา”

“ให้รู้ไว้ด้วยว่าฉันใจร้ายได้มากกว่านี้อีก” 

ไม่มีประโยชน์จะอยู่ต่อ รู้สึกว่าควรพอกันที คิมหันต์ทำท่าจะเดินออกไปเหมือนสองน้าหลานโดยไร้คำล่ำลา แต่ไม่วายโดนค่อนขอดจนเผลอถอนหายใจเสียงดัง   

“กำลังเล่นบทพ่อแม่ลูกกันอยู่เหรอคะ น่าสนุกดีนี่”

นายตำรวจหันกลับหลังมาเห็นสีหน้ายิ้มเยาะก็ส่ายหน้าหน่าย  “เอาไว้ผมกลับมา เราค่อยคุยกัน”

















------------------------------------
ถ้าสนุกวานบอกต่อด้วยนะคะ กรุบๆค่ะ :katai2-1:
9crimes - นายคราม FANPAGE
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2018 20:58:36 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๕) ๑๘.๐๖.๖๑
«ตอบ #27 เมื่อ19-06-2018 02:07:30 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๕) ๑๘.๐๖.๖๑
«ตอบ #28 เมื่อ19-06-2018 13:15:48 »

ภัคคคคคค เธอร้ายเงียบหรอ ฟ้องพี่คิมไปสิ่!! ฟ้องเลยแง้

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— ลั่นดาล ———— (๐๕) ๑๘.๐๖.๖๑
«ตอบ #29 เมื่อ19-06-2018 14:37:24 »

๐๗




โชคร้ายที่ตอนกลางวันมีเมฆหนา อากาศดูไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ แล้วสายฝนก็โปรยเอาตอนกลางวันแสก ๆ แผนไปเที่ยวสวนสนุกกลางแจ้งจึงถูกเปลี่ยนแปลงกลางคัน คุณพ่อตัดสินใจเสนอว่าไปกินไอศกรีมดีไหม ลูกสาวที่ตอนแรกยังอยู่ในอาการเซื่องซึมเพราะโดนคุณแม่ดุใช้เวลาสักพักก็ตอบตกลง ร้านติดแอร์ในห้างกลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับในวันฝนตกเช่นนี้   

ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี คิมหันต์เป็นพ่อแบบที่เด็กหลายคนน่าจะใฝ่ฝันถึง

ตอนแรกภัคยังนึกภาพไม่ออกเท่าไหร่ว่าการมาเที่ยววันนี้มันจะสนุกยังไง แต่หลังจากใช้เวลาร่วมกันในรถตลอดจนลงมาเดินบนพื้นก็แล้ว เด็กหญิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหัวเราะเพราะคุณพ่อเอาแต่เล่นตลกให้ดู ร่างบางไม่รู้หรอกว่าอีกคนไปเรียนวิชาเอาใจเด็กมาจากไหนหรือแม้แต่การเทคแคร์ดูแลผู้ใหญ่ รู้แค่ว่านายตำรวจได้ใจตนไปเต็ม ๆ

ความรู้สึกที่แอบเก็บเล็กผสมน้อยมาหลายวันค่อย ๆ เพิ่มพูน นูนขึ้นเหมือนกองภูเขา 

ตกหลุมรักนายตำรวจเต็มเปาโดยที่เจ้าตัวก็น่าจะรู้ดี แต่ยังไว้ทีเพราะมีเด็กอยู่ด้วย จะฉวยมือเรียวมาจับก็ต้องคิดแล้วคิดอีกประมาณสามตลบ หาได้เกรงกลัวสายตาสังคมภายนอกแต่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กน้อยดู ผู้ใหญ่ต่างส่งสายตาเข้าใจดีหากัน ท่ามกลางคนพลุกพล่านทำได้แค่ลอบสัมผัสปลายนิ้วแบบผ่าน ๆ และหันเหความสนใจไปหนูดาเด็กที่ต้องการความรักและความเอาใจใส่มากกว่าใคร

ระหว่างรอไอศกรีมมาเสิร์ฟ เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นบนเบาะหนังจนน้าชายที่นั่งข้าง ๆ ต้องพยายามห้าม แต่นายตำรวจกลับบอกให้ปล่อยแกไปเถอะ นาน ๆ ได้เจออากาศนอกบ้านเลยอาจจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ผลัดกันเป็นฝ่ายป้อนตอนไอศกรีมมาเสิร์ฟ ช้อนเล็กจ่อที่ริมฝีปากของคุณพ่อแล้วป้อนให้น้าชายต่ออย่างใจดี ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตานั่งกินเองบ้าง หนูดาไม่ทันเห็นว่าใต้โต๊ะมีสองมือกำลังเอื้อมจับกัน ให้อารมณ์หวานเลี่ยนกว่าไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีเสียอีก

คิมหันต์ถือโอกาสป้อนของหวานโดยไม่ถามหาคำอนุญาตสักคำ ส่วนภัคทำได้แค่อ้าปากงับช้อนที่เล่นแยงเข้ามาระหว่างกลีบปากกระทั่งความเย็นทำขนลุกเกรียว ก่อนช้อนนั้นจะถูกเรียวลิ้นใหญ่เลียซ้ำ นายตำรวจงับช้อนแล้วยักคิ้วให้ร่างบาง

ทั้งคู่สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ  ไร้เสียง เพียงสื่อสารกันผ่านแววตา ต่างฝ่ายต่างพยายามอ่านความหมายให้แตกฉาน ไม่รู้ว่าเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันไหม แต่ก็มักจะหลุดยิ้มพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำเป็นเนียมอายทั้งที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ 

การพามาเที่ยวปลอบใจยังดำเนินต่อไป โดยที่ผู้ใหญ่ไม่มีใครปริปากพูดถึงเรื่องที่บ้านสักคน คุณพ่ออาสาอุ้มร่างเล็ก แต่พอเดินผ่านโซนเครื่องเล่นเด็ก หนูดาก็ไม่อยู่สุข อ้อนขอลงและคงไม่พ้นวิ่งเข้าหาเครื่องเล่นหลากสีสันด้วยความตื่นตาตื่นใจ เลือกไม่ถูกว่าจะเล่นอะไรก่อนหลังขณะภัคสับขาตามด้วยความเป็นห่วงว่าจะล้ม

คิมหันต์อมยิ้มกับภาพที่เห็น แล้วค่อยสวมบทบาทเป็นป๊ากระเป๋าหนัก ควักกระเป๋าเงินออกมาและให้ร่างบางถือไว้ อยากใช้จ่ายอะไรก็หยิบเงินออกไปได้เลยตามสบาย แล้วถึงแยกตัวออกไปเมื่อจู่ ๆ โทรศัพท์มีสายเข้า เห็นเบอร์แล้วท่าทางจะต้องคุยกันยาวจึงก้าวออกไปหามุมสงบ

ภัคพยักหน้ารับยามอีกคนกระซิบกระซาบว่าเดี๋ยวผมมา แต่ก็ยังแอบชำเลืองมองนายตำรวจเป็นระยะขณะมองหลานไม่ให้คลาดสายตาไปด้วย ร่างบางคอยโบกมือตอบเวลารถไฟที่เด็กหญิงนั่งเคลื่อนผ่านหน้า เวลาหนูดาส่งยิ้มอย่างมีความสุขมาให้ก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แถมดีใจที่นายตำรวจดูแลเด็กหญิงเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ กลับกันดูรักและหวงแหน ทำตัวมากกว่าแค่อยากชดใช้แทนน้องชายฝาแฝดซึ่งเป็นพ่อที่ช่างไม่ได้ความ 

แค่นึกถึงก็เดินกลับมาหา แต่มาไม่ทัน คลาดกับขบวนรถไฟของลูกสาวนิดเดียว   
 
“เรื่องคดีน่ะ”  เสาร์อาทิตย์คืออะไรคิมหันต์แทบไม่รู้จัก วันพักผ่อนแท้ ๆ แต่ก็ยังต้องคุยเรื่องงานและออกอาการเครียดจนร่างบางสังเกตได้ จึงพยายามชวนคุยให้ผ่อนคลายและจะมีอะไรดีเท่าคุยเรื่องของเราสองคน  “คุณไม่จำเป็นต้องรายงานผมทุกเรื่องก็ได้นะ”

“รู้ไว้นั่นแหละดีแล้ว คุณจะได้ไม่คิดเอาเองว่าเป็นผู้หญิงโทรมา”

คนฟังหลุดยิ้มบาง ๆ ที่นายตำรวจกำลังทำตัวเหมือนอยู่ในช่วงโปรโมชั่น แอบสงสัยว่าถ้าผ่านไปสักสามหรือสี่เดือน ชายหนุ่มข้างกายจะยังคอยรายงานและน่ารักแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า 

“ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”

“ว่ามาเลย” 

“อะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจจากผู้หญิงมาชอบผู้ชาย”  ทั้งสองคนคุยไปพลางระหว่างโบกมือให้เด็กหญิงที่มาพร้อมรถไฟ คุณพ่อยิ้มแย้มให้ลูกสาวก่อนจะตอบคำถามอย่างจริงใจ  “เปล่า ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วผมก็ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย”
 
คำตอบที่แทบไม่ใช้เวลาคิดทบทวนชวนให้ภัคหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างคนพูดทันที

“ถ้างั้นทำไม…”

“คุณเคยรู้สึกว่า ‘นี่แหละคือของฉัน’ ไหม”  นายตำรวจกำลังอธิบายพอสังเขป  “รู้สึกเหมือนบางอย่างถูกสร้างมาเพื่อคุณ”  ช่างเป็นประโยคที่แฝงไปด้วยความหวานอย่างที่ผู้หญิงหลายคนคงต้องการได้ยิน หากเป็นคนอื่นคงออกอาการบิดตัวด้วยความเขินอายกันไปข้าง แต่ไม่ใช่กับภัคที่ยังสงบเยือกเย็นจนคิมหันต์ที่คอยสังเกตคาดเดาไม่ออก 

“หรือบางทีผมอาจจะมีความชอบคล้าย ๆ น้องชาย”

“ความชอบคล้าย ๆ น้อง…? คุณรู้เหรอว่าน้องคุณชอบอะไร”

“คิดว่ารู้นะ”

“ยังไง”

“สายใยของฝาแฝดมั้ง… ตอนเป็นเด็ก หมายถึงตอนที่พวกเรายังได้อยู่ด้วยกันน่ะนะ ผมกับเขามักจะแย่งของชิ้นเดียวกัน จนพ่อแม่ต้องตัดปัญหาด้วยการซื้อให้เหมือนกันแต่เป็นคนละชิ้น” 

“แล้วนอกจากหน้าตา ความชอบ ฝาแฝดยังมีอะไรที่เหมือนกันอีกไหมครับ” 

“เรียกว่าสื่อถึงกันดีกว่า เวลาคนนึงป่วย อีกคนก็จะป่วยตาม แต่หลังจากที่พ่อหย่ากับแม่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะยังเป็นหรือเปล่า แต่บางครั้งร่างกายผมก็จะรู้สึกไม่ดีอย่างไม่มีเหตุผล เออ ผมชอบฝันแปลก ๆ ด้วยนะ คิดว่าก็น่าจะมาจากน้องชายเหมือนกัน”

“ฝันว่าอะไรเหรอครับ”  พอได้ถามก็ยากจะห้ามปากไม่ให้พูดต่อ   

แทนที่จะตอบเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา คิมหันต์ก็ชิงดับฝันร่างบางซะก่อน  “คุณอย่าเพิ่งรู้เลยดีกว่า”  ทำเป็นมีลับลมคมใน ทิ้งปริศนาให้ภัคอยากรู้ โดยไม่ลืมยื่นข้อเสนอที่เป็นเหมือนทางลัดแต่ก็ไม่ชัดเจนอยู่ดี  “แต่ถ้าอยากรู้จริง ๆ คุณก็ตอบตกลงผมมาก่อนสิ”

“ตอบตกลง …?  เรื่องอะไรครับ”

นายตำรวจเผยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ มันดูเจ้าเล่ห์เพทุบาย  “คบกันไหม”

ร่างบางนิ่งไปราวกับช็อคเสียเต็มประดา กว่าจะนึกได้ว่าต้องพูดก็ตอนรู้สึกถึงไอร้อน ท่อนแขนหนากำลังถือวิสาสะโอบรอบเอวคอดอย่างเนียน ๆ  “ผมว่ามันยังเร็วไปหน่อยนะ”  หมายถึงเรื่องที่ว่าขอคบ ส่วนเรื่องโอบเอวภัคปล่อยเลยตามเลย

“อายุผมไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะคุณ สมรรถภาพมันก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา”

“น่าสงสารจังนะครับ”

“ฮ่า ๆ ผมชอบนะเวลาคุณพูดแบบนี้ มันทรมานดีเวลาคุณใจร้ายกับผม”

ไม่แน่ใจว่านับเป็นคำชมได้หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าก็ไม่อยากให้จำภาพลักษณ์ว่าตนเป็นนางยักษ์ จึงเปิดโอกาสให้อีกคนโอบช่วงตัวอย่างแนบแน่น ร่างบางเป็นคนเขยื้อนท่อนแขนหนาให้ยิ่งกระชับกับเอวตัวเองแล้วถามตาใส  “ผมดูใจดีขึ้นบ้างหรือยัง”

คิมหันต์พยายามกลั้นยิ้ม เกร็งริมฝีปากแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด

ภัคชอบทำเหนือความคาดหมายเสมอ จนคาดหวังเอามาก ๆ ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะเจอกับอะไร นอกจากจะลุ้นกับเซอร์ไพร์สที่ชอบปล่อยมาเป็นระลอก ชักเดาไม่ออกแล้วสิว่าตกลงร่างบางเป็นคนยังไงกันแน่ 

“คุณดูใจดีขึ้นแล้ว แต่อยากรู้จังว่าจะใจดีได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า”

“ถามหนูดาเอาก็ได้ครับ”  เอ่ยถึงบุคคลที่สามซึ่งกำลังก้าวลงจากเครื่องเล่นรถไฟที่เพิ่งจอดสนิทและก่อนจะไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว กลัวอีกคนได้ยินไม่ชัด ไหนจะเสียงดังรอบด้าน ภัคเขย่งปลายเท้าและกระซิบข้างกกหูคิมหันต์ 

“…บางทีคุณอาจจะชอบตอนที่เราไม่มีสถานะต่อกันมากกว่า”

น้าชายผละตัวออกจากนายตำรวจแทบทันทีที่หลานสาวโถมร่างเข้าใส่ แล้วทั้งคู่ก็จูงมือกันเดินไปทางอื่นเพื่อตามหาน้ำหวาน ทิ้งให้คิมหันต์ยืนขบคิดกับประโยคปริศนาบวกกับสายตาเชิญชวนที่เห็นภายในเสี้ยววินาทีนั้น  “คุณมันร้ายจริง ๆ ด้วย…”  เสียงทุ้มพึมพำพลางก้มหน้าแสยะยิ้มกับตัวเอง

จนเมื่อเด็กหญิงป้องปากเรียก ขายาวถึงออกเดินในทันที

ทั้งสามคนแวะเข้าร้านของเล่นสีสันสดใส แต่เลือกตุ๊กตาได้ไม่นานเท่าไหร่ หนูดาก็ออกอาการง่วงเหงาหาวนอน คิมหันต์จึงช้อนเด็กหญิงขึ้นจากพื้นระหว่างยืนรอภัคจ่ายเงิน

“คุณอยากเดินเที่ยวต่อหรือเปล่า”  เสียงทุ้มถามยามเดินพ้นออกมาจากหน้าร้านขายของเล่นร้านที่สามพลางยกนาฬิกาข้อมือดูไปด้วย 

“กลับเลยดีกว่าครับ คุณคงจะหนักแย่”

แค่อุ้มหนูดาที่ฟุบหลับด้วยความเพลียพาดบ่าก็น่าจะพอแล้วสำหรับคุณพ่อมือใหม่ แต่นี่ยังเล่นเอาถุงทั้งหมดไปถือไว้คนเดียวอีก หลายครั้งภัคจะเข้าช่วยแต่ก็โดนปฏิเสธ โดนยัดเยียดให้เป็นว่าที่คุณนายตำรวจที่เดินตัวปลิวตลอดเวลาหลายสิบนาทีและก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนคอยห่วงใย ถามไถ่ความต้องการแทนที่จะบังคับให้ทำอย่างไม่เต็มใจ
 
หากคิมหันต์คิดใช้แผนตามใจเข้าสู้ ดูท่าชัยชนะคงไม่ไกลเกินเอื้อม   

“ไม่เท่าไหร่หรอกคุณ เด็กตัวนิดเดียวเอง”  พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนนึกขึ้นได้ว่ายังมีสิ่งที่อยากทำ  “ผมว่าจะซื้อเสื้อผ้ากับหนังสือให้ลูก คุณช่วยผมเลือกหน่อยสิ”

“ยังจะซื้ออีกเหรอครับ”  ถามพลางหลุบตามองถุงในมือของคนตรงหน้าที่ข้างในบรรจุตุ๊กตานุ่มนิ่ม กล่องดนตรี รวมถึงบาร์บี้ที่เด็กหญิงไม่จำเป็นต้องรบเร้า ร้องจะเอาเหมือนลูกชาวบ้าน คนเป็นพ่อก็แทบจะกวาดมาให้หมดทั้งชั้นวาง   
 
คิมหันต์ยักไหล่อย่างไม่ยี่ราแล้วเป็นฝ่ายเดินนำ ภัคจำต้องเดินตาม ย่ำเท้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะพบว่าเป็นคนเบื้องหน้าที่เดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันได้ข้องใจว่าทำไม นายตำรวจก็เฉลยเหตุผลด้วยการขยับแขนให้คล้องพลางก้มหน้ามองร่างบางที่ช้อนนัยน์ตาจ้องอย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม 

“เดี๋ยวหลง”

ทางเดินออกจะโล่ง เชื่อว่าคนฉลาดอย่างร่างบางคงไม่หลงกลง่าย ๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมทำตัวเป็นควายไถนา ผู้ชายไม่ชอบคนที่ดูเก่งกว่าไปเสียหมด แต่ชอบคนที่สามารถจูงจมูกได้ในบางที เพื่อประกาศว่ายังมีอำนาจเหนือกว่า
 
ภัคเดินคล้องแขนคิมหันต์ไปตลอดทางเดิน

แอบเขินอายกับสายตาผู้คนที่เมียงมองมา โชคดีว่าเจอร้านหนังสือเลยแวะเข้ามาดูและหลบอยู่ในมุมหนังสือเด็กเป็นพัก ก่อนจะย้ายไปยังแผนกเสื้อผ้าเด็ก คุณพ่อให้เหตุผลง่าย ๆ ว่าผมไม่รู้ว่าลูกชอบอะไร ภาระตกอยู่ที่น้าชายซึ่งสบายมากในการเลือก รู้ใจตามประสาคนที่ได้คลุกคลีกับเด็กจนแทบจะกลายเป็นแม่อีกคน จนได้ข้าวของมาเป็นกอบเป็นกำ

ทุกอย่างล้วนเป็นข้าวของสำหรับสาวน้อยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะกระดิกตัวตื่น คิมหันต์ยืนรอร่างบางเก็บของเข้าหลังรถแล้วค่อยเริ่มทำการถ่ายโอนเด็กหญิง พยายามเบามือระหว่างส่งมอบลูกสาวให้น้าชายที่เข้านั่งประจำตำแหน่งผู้โดยสารเรียบร้อย

หนูดาขยับตัวนิดหน่อยตอนอยู่บนตัก โดยมีภัคช่วยจัดท่าทางให้นอนสบาย ๆ ก่อนจะยิ้มให้นายตำรวจเป็นสัญญาณให้ช่วยปิดประตู ทั้งคู่ได้มีเวลาสบตากันผ่านฟิล์มรถ ตลอดจนช่วงขายาวเดินอ้อมด้านหน้ายานพาหนะก็แทบไม่ละสายตาจากกันและกัน

ขนาดเข้ามาในรถ นานอยู่กว่าคนขับจะเลิกมองได้และเร่งเครื่องยนต์ออกไปจากชั้นใต้ดิน ต่างคนต่างเหมือนมีอะไรจะพูดแต่มันติดอยู่ที่ปาก ส่งผลให้บรรยากาศภายในตัวรถเงียบมากเพราะจริง ๆ แล้วกำลังรอฟังอีกฝ่ายพูดก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครพูดอะไรสักคำ

เอาแต่นั่งอมพะนำมาจนเกือบครึ่งทางกลับบ้าน

เมื่อสัญญาณจราจรบอกให้หยุด คุณตำรวจก็แค่ชะลอความเร็วลง ณ สี่แยกจราจร 

ระหว่างรอสัญญาณไฟเปลี่ยนสีอีกครั้ง คิมหันต์เคาะพวงมาลัยรถเป็นจังหวะไปพลาง ๆ แล้วเหลือบมองร่างบางที่กำลังนั่งก้มหน้ามองเด็กหญิงบนตัก ภัคกำลังเกลี่ยหน้าผากหนูดาเล่น คนเป็นพ่อเห็นเลยอยากมีส่วนร่วมขึ้นมา ขยับตัวเข้าใกล้พลางจรดปลายจมูกกับหน้าผากแคบของลูกสาวเบา ๆ แอบหอมสาวน้อยที่ยังคงหลับใหลเสียหลายฟอดก่อนจะเงยหน้าตามปกติ เป็นจังหวะพอดีกับที่ร่างบางก้มลงมาจนสองใบหน้าประชิดกันด้วยความบังเอิญ

เกิดกระแสไฟแล่นพล่านโดยที่ยังไม่ทันสัมผัสร่างกายกันด้วยซ้ำ แค่สบตาธรรมดาเท่านั้นแต่กลับก่อเกิดแรงดึงดูดมหาศาล เหมือนขั้วบวกดึงดูดขั้วลบยามใกล้กันมากพอ 

คิมหันต์ที่ควรถอยตัวกลับไปประจำที่นั่งหลุบตามองริมฝีปากแดงก่ำตรงหน้าตาเป็นประกาย แต่เพราะไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจทำร้ายประชาชน แทนที่จะเลือกบดจูบอย่างที่ตั้งใจ แค่หยั่งเชิงด้วยการใช้จมูกคลอเคลียปลายคางเรียวอย่างช้า ๆ  จะหยุดหากร่างบางพูดว่าไม่ชอบ แต่ถ้าไม่ตอบอะไรกลับมาจะถือว่าอนุญาต

ไม่นานนักภัคก็พูด แต่ไม่ใช่คำว่าหยุดแต่อย่างใด  “…ไฟเขียวแล้วครับ”

ประโยคบอกเล่ากับเสียงแตรจากรถคันข้างหลังทำให้นายตำรวจได้สติในที่สุด รถคันใหญ่พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าขณะคนขับแบกความรู้สึกเสียดายไว้เต็มอก มือใหญ่ปรับกระจกหน้าหันหาฝั่งผู้โดยสารเพื่อที่จะได้แอบมองและพบว่าร่างบางเองก็กำลังจ้องกลับมาเหมือนกัน ผ่านเงาสะท้อน

ก่อนคนบังคับพวงมาลัยจะตัดสินใจด้วยความรีบร้อน นัยน์ตาดำมองกระจกซ้ายก่อนตบไฟเข้าข้างทาง หักพวงมาลัยทันทีจนรถเบียดเข้าข้างฟุธปาต สัญลักษณ์ไฟสีส้มยังกระพริบอยู่ท้ายรถขณะคนด้านในต่างฝ่ายต่างนิ่งไป

ผิดกับหนูดาที่เริ่มขยับขยายร่างกาย ค่อย ๆ บิดขี้เกียจบนตักน้าชาย ให้เดาว่าอีกไม่นานคงตื่นเต็มตาและนั่นหมายความว่าเวลาส่วนตัวของผู้ใหญ่กำลังใกล้จะหมดลง 

สำหรับภัคคงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ รายที่มีปัญหาน่าจะเป็นคิมหันต์ที่หายใจเข้าออกรุนแรงตอนมองน้าชายกล่อมหลานให้หลับต่ออีกสักหน่อย ด้วยความที่มัวแต่ยุ่งกับเด็กน้อยจึงไม่ทันระวัง โดนริมฝีปากหนาจู่โจมเข้าทางด้านข้างแก้ม ซึ่งแทบจะทันทีที่เบี่ยงหน้าหลบเพราะตกใจ แต่กลายเป็นเปิดช่องทางให้นายตำรวจได้ยิ่งรุกล่ำ งับกลีบปากนิ่มได้ถนัดขึ้น
   
เริ่มแรกนั้นเหมือนการขืนใจ เมื่อสบโอกาสก็รีบเสือกลิ้นใหญ่เข้าสู่โพรงปากของร่างบางที่ยังตระหนกไม่หาย แถมทักทายลิ้นเรียวด้วยความหยาบคายทั้งที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน จูบแรกที่ควรจะค่อนไปทางหวาน ดันลืมใส่น้ำตาลจึงสัมผัสได้แต่ความขมพร่า

การกระทำหยาบโลนเผยตัวตนว่าลึก ๆ แล้วชอบความรุนแรงแค่ไหน ถ้าอยากได้ใครหน้าไหนก็ห้ามขัด ปฏิเสธก็เท่านั้นเพราะไม่ว่ายังไงก็จะทำให้หมดฤทธิ์และเลิกต่อต้านไปเอง ยิ่งกว่าเด็กเอาแต่ใจ เป็นเด็กโข่งตัวใหญ่ที่ความจริงแล้วเลื่องชื่อเรื่องการทำลายล้าง ไม่ต่างจากระลอกคลื่นที่ซัดทุกอย่างพังราบเป็นนาบกองและชอบการฟังเสียงกรีดร้องอันเกิดมาจากกระทำของตัวเอง 

ภัคกำลังเผชิญหน้ากับเด็กนิสัยเสียโดยแท้และใกล้จะพ่ายแพ้ในไม่ช้า

รีบครวญครางอืออ้าในลำคอเพราะกำลังจะหายใจไม่ออก   

จนเมื่อคิมหันต์คลายริมฝีปากที่ล็อกแน่นหนาให้หลวมเล็กน้อย ค่อยรู้สึกสบายขึ้น   

ฝ่ายถูกกระทำโดยสมบูรณ์พยายามจะมีสติ แต่บางทีจิตใจก็วอกแวกและหลวมตัวให้กับสัมผัสป่าเถื่อนนั้น จนเขยื้อนริมฝีปากเบียดกับอย่างอวัยวะเดียวกันอย่างเผลอไผล รู้ตัวอีกทีกลายเป็นจูบโต้ตอบพร้อมประเคนถึงที่อย่างดูดดื่ม แถมดูเป็นงานและรู้ว่าแขกต้องการอะไร การบริการล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ สุดท้ายก็จบลงที่การสมยอม

เผยธาตุแท้ต่อหน้านายตำรวจจนหมดเปลือก เล่นละครตบตาว่าไม่ต้องการมาตลอด แต่พอตอนที่อีกคนทำท่าจะผละออก สัญชาตญาณบอกให้รีบตะครุบเหยื่อไว้ ห้ามปล่อยหลุดมือไปเด็ดขาด

ร่างบางยื้อด้วยการจูบซับงับความหนานุ่มไว้แผ่วเบา จนเจ้าของปากลืมตาจ้องก็มองกลับอย่างมีนัยยะ ระหว่างผสานสายตาลึกซึ้ง ความหวานก็เริ่มตกผลึกหลังผ่านมานาน สลัดคราบความรุนแรง เหลือแค่ความแช่มช้าและค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงความแนบแน่นไว้อย่างเก่า ทั้งสองคนบดเบียดกลีบปากจนเนื้อนั้นแทบแหลกละเอียดดั่งเม็ดทราย แทบป่นกลายเป็นเนื้อเดียวกันจนเกือบแยกไม่ออกว่าริมฝีปากไหนเป็นของใครกันบ้าง     


‘คุณช่วยทำกับผมเหมือนตอนที่เหมันต์ยังอยู่ได้ไหม…’


ภัคใช้มือข้างที่ว่างรั้งท้ายทอยนายตำรวจเพื่อให้โน้มคอลงมาอีก ส่วนคิมหันต์ปรับองศาใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปลายจมูกที่อาจเป็นอุปสรรคระหว่างยึดเบาะร่างบางเป็นหลักและเท้าท่อนแขนอีกข้างกับพวงมาลัยรถ

ต่างฝ่ายต่างกอบโกยรสชาติแปลกใหม่ที่สุดท้ายแล้วจะกลายมาเป็นความคุ้นเคย

การจูบลงเอยด้วยดีครั้งแล้วครั้งเล่า

สุนัขจับจองเสาไฟด้วยการฉี่รด

แต่คนบางคนไม่จำเป็นต้องทำน่าเกลียดขนาดนั้น

แค่แลกน้ำลายเพื่อมัดใจก็ได้ตัวนายตำรวจมาครอบครองแล้ว












------------------------------
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 22:40:21 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด