๐๖ยามตะวันตรงหัว คิมหันต์กับภัคใช้เวลาร่วมกันโดยไม่กลัวใครติฉินนินทา ไม่สนแม้รู้ว่าอาจมีคนไม่พอใจ แถมไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กลายเป็นถูกต้อง พวกเขาแค่ล็อกห้องเพื่อกันคนนอกเข้ามาวุ่นวาย อย่างน้อยบานประตูไม้ก็ช่วยป้องกันความลับรั่วไหลได้ระดับหนึ่ง
ไม่เชิงเป็นเรื่องลับลมคมในแต่เพราะนายตำรวจเพิ่งมาอยู่ใหม่ ร่างบางจึงต้องเท้าความเรื่องเก่า ๆ ให้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นเหมันต์มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับจอมทัพบ่อย ๆ และช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ใช่แค่กระทบกระทั่งกันธรรมดา มีการท้าตีท้าต่อยเพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เด็กหนุ่มที่ต้องการอิสรภาพอยากไปเรียนต่อต่างประเทศแต่คนเซ็นอนุมัติดันไม่เห็นด้วย
ภัคยังช่วยล่นระยะความกว้างของความบาดหมางลงด้วยการเล่าว่าครั้งหนึ่งจอมทัพเคยจะขโมยเงินแทนที่จะเดินเข้ามาขอดี ๆ แต่เหมันต์จับได้เสียก่อนและเค้นคอจนได้รู้ว่าเด็กหนุ่มติดพนันบอล เดือดร้อนต้องใช้เงินด่วน นั่นนับเป็นชนวนที่ทำให้ความไม่ลงรอยยิ่งบานปลาย
แล้วไม่ว่านายตำรวจอยากรู้อะไร ร่างบางก็จะให้คำตอบและความร่วมมือเป็นอย่างดีภายใต้ข้อแม้ว่าเรื่องที่คุยกันในวันนี้จะมีเพียงสองเราเท่านั้นที่รับรู้
“แล้วคุณล่ะ ความสัมพันธ์ของคุณกับเหมันต์เป็นยังไง”
“ก็ปกติครับ ผมแค่ทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้เขา วัน ๆ เราแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ” ภัคเอ่ยฉะฉาน จนคิมหันต์ลอบยิ้มกับประโยคที่เหมือนท่องสคริปต์เตรียมมาตลอดทั้งคืน
“เรื่องคุณกับเขามีแค่นี้…?”
“แล้วมันควรจะมีมากกว่านี้เหรอครับ” ร่างบางย้อนถามหน้าตาย
ส่วนนายตำรวจก็ไม่อยากเซ้าซี้ “ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะ”
“ถ้านี่คือการฆาตกรรมจริง ๆ คุณจอมทัพพอจะเป็นฆาตกรได้ไหมครับ”
“อาจจะได้หรือไม่ได้ ผมไม่เห็นประโยชน์ในการที่เขาจะฆ่าเหมันต์สักเท่าไหร่ คุณบอกเองว่าพวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำ ถ้าจะทำอะไรสักอย่างผมว่าเขาน่าจะลงมือตั้งแต่แรกแล้ว”
“แต่บางทีการที่เราโดนกระทำซ้ำ ๆ วันหนึ่งอาจทำให้เราหมดความอดทนก็ได้นะครับ”
“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณยอมร่วมมือกับผมด้วยหรือเปล่า” ถามกลับทีเล่นทีจริงอย่างกับรู้อะไรดี ๆ มา ว่าจะส่งสายตาหยอกล้อให้กับคู่สนทนา แต่แววตาก็เปลี่ยนเป็นอยู่ในความสงบเมื่อหันแล้วพบว่าดวงหน้าด้านข้างของภัคอยู่ใกล้ ๆ
ภัคก็เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองประชิดอีกคนมากไป เอาแต่จ้องในสิ่งที่นายตำรวจเขียนลงในสมุดจดจนลืมรักษาระยะห่าง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนปลายคางชนไหล่หนาก่อนจะพยายามปรับเปลี่ยนท่าทางการนั่ง ร่างบางมั่นใจเต็มร้อยว่ากำลังถอยตัวเองกลับ แต่ยิ่งขยับความห่างยิ่งแคบลง คงเป็นเพราะใบหน้าสมส่วนเคลื่อนตามอย่างเผลอไผล กลิ่นแป้งเด็กจากกายขาวโชยเข้าจมูกจนเผลอสูดลมหายใจเสียงดัง คิมหันต์เคลิบเคลิ้มชั่วขณะหนึ่งจนถึงขั้นวางมือจากงาน
นัยน์ตากลมหลุบมองสมุดจดที่อีกคนวางลงบนหน้าตักก่อนจะช้อนตามองหน้านายตำรวจที่เลิกคุกคามโดยอัตโนมัติแล้วหันมาทำตามธรรมเนียมด้วยการหยุดรอ
ขอแค่ร่างบางอนุญาตก็พร้อมเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ แต่บางทีคิมหันต์อาจประเมินต่ำไป ร่างบางค่อย ๆ แกะวงแขนที่รัดรอบเอวคอดออกอย่างแผ่วเบา กิริยาเท่ากับปฏิเสธกลาย ๆ ในแง่หนึ่งเป็นคำตอบว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดและที่อิดออดก็อาจตีความได้ว่ากำลังเล่นตัวเพื่อหวังอัพราคา
ภัคระบายยิ้มน้อย ๆ ให้กับนายตำรวจที่ทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง ทั้งที่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะคนสนิท แต่ไม่รู้ว่าคิมหันต์ไปเอาความมั่นใจว่าตัวเองมีสิทธิตัดพ้อมาจากไหน
“จะอ้างไปหาหนูดาอีกแล้วเหรอ” เสียงทุ้มพูดดักระหว่างคนข้างกายลุกขึ้นยืน
“ผมไม่ได้อ้าง ผมไปหาแกจริง ๆ”
“ได้ยินแบบนี้แล้วผมอยากเป็นหนูดาบ้างจัง ผมจะได้อยู่ในความคิดคุณตลอดเวลา” ความใจกล้าได้มาจากการทำงานเสี่ยงตายบ่อย ๆ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เกรงว่าถ้ามัวแต่ลีลา สุดท้ายอาจคว้าน้ำเหลว
คิมหันต์ฉวยมือเรียวมาหอมท่ามกลางการสมยอมแต่โดยดี ภัคไม่คิดว่ามือจะสึกหรอแค่เพราะถูกจุมพิตหรอก ร่างบางกำลังมองทะลุไปถึงผลดีผลเสีย ในอนาคตหากได้เป็นเมียนายตำรวจก็ดีไม่หยอก “ถ้าอยากให้ผมนึกถึงอยู่ตลอดก็ทำตัวน่ารัก ๆ สิครับ”
“นี่ผมยังน่ารักกับคุณไม่พออีกเหรอ”
“ผมยังสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ” พูดชัดถ้อยชัดคำแล้วชักมือกลับอย่างนิ่มนวล
คิมหันต์ทำท่าเหมือนปวดใจกับคำพูดนั้น เป็นการแสดงที่ห่วยสิ้นดี
แต่ก็สามารถที่จะเรียกรอยยิ้มจากทั้งสองฝ่ายได้
หลังมื้อเย็นผ่านไป หนูดาขึ้นมาเล่นบนห้องคุณพ่อพร้อมชุดสมุดระบายสี แทนที่จะขอคำแนะนำการทำตัวน่ารัก คิมหันต์ทำเพียงนั่งมองด้วยรอยยิ้มและกล่าวชื่นชมสาวน้อยที่คอยหันมาถามว่าสวยไหมคะ ‘ไม่มีใครสวยกว่าหนูแล้วแหละ’ ดูจะเป็นที่พออกพอใจของหนูดา ที่นอนตีขาบนโซฟาก่อนจะเงียบไป สุดท้ายผล็อยหลับทั้งที่ถือสีเทียนคามือ
คุณพ่อที่เห็นเข้าจึงอุ้มสาวน้อยขึ้นจากโซฟาพาเดินเข้าหาเตียงนอน หย่อนร่างเล็กลงกลางเตียงด้วยความแผ่วเบาพอดีกับที่มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ภัคแค่จะพาหลานสาวไปอาบน้ำนอน ที่เข้ามาอีกไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่ยอมรับว่าเมื่อเข้ามาในสถานที่เดิม ๆ แล้วก็ทำให้อดนึกถึงไม่ได้ หลังมือยังร้อนวูบวาบเหมือนริมฝีปากหนาประทับอยู่ตลอด
“คืนนี้ให้หนูดานอนกับผมก็ได้นะ” เจ้าของห้องออกปากระหว่างจัดแจงผ้าห่ม
“จะดีเหรอครับ คืนนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอ” ร่างบางเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียงเพื่อช่วยตรวจตราว่าผ้าผืนใหญ่คลุมทั่วร่างน้อยเรียบร้อย แล้วค่อยนั่งลงริมเตียง
“ผมกะจะอู้สักวัน”
“ที่บอกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกินเงินภาษีประชาชนท่าจะจริง”
“ฮ่า ๆ นี่มันนอกเวลาทำงานแล้วนะคุณ” คิมหันต์นั่งลงบนเตียงอีกด้านและช่วยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าให้เด็กหญิงที่นอนนิ่งแม้จะมีเสียงพูดคุยรบกวน
“แน่ใจเหรอครับว่าจะให้แกนอนด้วย” ภัคยังลังเลด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือตัวเองคงเหงาเมื่อไม่มีหลานสาวให้นอนกอดตลอดคืน
“ผมไม่นอนทับแกหรอกน่า คุณสบายใจได้” นายตำรวจพูดติดตลก “หรือถ้าคุณเป็นห่วงมากจริง ๆ งั้นมานอนด้วยกันเอาไหม” คำพูดแกมหยอกบอกไม่ได้ว่าคนพูดเจตนาอย่างนั้นจริงหรือไม่จริง แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเรียกรอยยิ้ม ร่างบางชักมีความสุขกับการโดนจีบโต้ง ๆ
“เตียงคงไม่พอสำหรับสามคนหรอกครับ ผมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองดีกว่า”
“ความจริงหนูดา คงอยากให้คุณนอนด้วย”
“ให้แกได้อยู่กับพ่อตามลำพังบ้างก็ดีครับ ถึงจะไม่ใช่พ่อจริง ๆ ก็ตามที”
“คุณชอบย้ำจังว่าผมไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของแก ทำไม กลัวผมขึ้นมาแทนที่เหมันต์เหรอ”
“ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกครับ ผมก็แค่กังวลกับอนาคต”
“มีผมอยู่ทั้งคน คุณยังจะต้องกังวลอะไรอีก”
นิ้วเรียวที่เกลี่ยแก้มยุ้ยของหลานสาวอยู่ถึงกับชะงัก ร่างบางเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดเมื่อกี้ทันที “คุณนั่นแหละคือเรื่องน่ากังวลที่สุดสำหรับผม”
“ผมทำไม”
“สัญญาได้ไหมครับว่าจะไม่ทำให้แกเสียใจ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดคุณก็จะไม่ทำร้ายแก”
คิมหันต์พยักหน้าและถึงแม้ร่างบางจะไม่เรียกร้องขอคำสัญญา นายตำรวจก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีทางทำร้ายหนูดาเด็ดขาด จะการกระทำหรือคำพูดก็ไม่มีวัน เพียงสงสัยว่าทำไมน้าชายถึงเป็นห่วงหลานสาวนักและได้คำตอบในวินาทีถัดมา
“หนูดาน่าสงสารออกครับ เกิดขึ้นมาท่ามกลางความไม่ต้องการของใคร มีแม่ก็เหมือนไม่มี ส่วนพ่อ ...ก็อย่างที่คุณพอทราบ เขาเหมือนจับฉลากได้สถานะพ่อมา”
“น้องชายผมคงทำตัวแย่ ๆ ไว้เยอะ”
“เปล่าครับ เขาทำหน้าที่พ่อได้ดี แต่เสียอย่างเดียวเขาไม่มีความรักให้หนูดา”
“คุณก็เลยพยายามมอบความรักให้แก”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของเด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีใครต้องการดี” มันเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกย้อนถึงความหลัง ภัคนั่งยิ้มขืน ๆ ฝืนแสดงว่าไม่เป็นไรต่อหน้านายตำรวจ “คุณคงได้เห็นบางส่วนแล้วจากพี่สาวผม หนูดาก็เหมือนผมตอนเด็ก แต่ที่จะแตกต่างกันก็คือตอนโตแกจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าผม”
“คุณคงรักหนูดามาก”
“ผมตายแทนแกได้เลยล่ะ”
“ถ้าผมมีภรรยา ผมก็อยากได้ภรรยาแบบคุณนะ” ไม่ว่าจะจงใจหรือพูดเอาแค่ขำ ๆ ก็ทำใบหน้านวลเนียนแดงระเรื่อไปแล้ว ภัคต้องอยู่กับสภาพเลือดฝาดขึ้นแก้มเป็นพักระหว่างสานบทสนทนาให้ดำเนินต่อ “ก็หาสิครับ”
“คุณก็เห็นว่าผมทำงานอะไร วัน ๆ เจอแต่ลูกน้องไม่ก็ผู้ร้าย”
“ไม่มีใครที่ถูกใจเลยเหรอครับ”
“มีนะ มีอยู่คนหนึ่ง ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็เถอะ”
“บอกได้ไหมครับว่าใคร”
“ผมนึกว่าคุณรู้อยู่แล้วซะอีก”
นายตำรวจไม่ปล่อยให้สีแดงบนหน้าแก้มจางไปก่อนเวลาอันควร คำพูดสองแง่สองง่ามชวนให้คิดไกล แม้จะเขินอายแต่ก็ยังไว้ลาย ไม่ให้อีกคนรู้ว่ากำลังหวั่นไหวอย่างหนัก “ค่อย ๆ จีบก็ได้ครับ ผมไม่หนีหายไปไหนหรอก” พูดออกมาอย่างมั่นใจแต่ก็ต้องรีบหลบสายตารู้ทัน
“ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” คิมหันต์พูดเหมือนว่าไม่เคยรู้ตัวมาก่อน นึกว่าซ่อนตัวได้แนบเนียนแล้ว
“ดีแล้วละครับที่เป็นตำรวจ เพราะถ้าให้เป็นดารา คุณคงแสดงได้แย่มาก” วิพากษ์วิจารณ์อีกคนอย่างเปิดเผย นานแล้วที่ไม่เคยรู้สึกเป็นตัวเองมากเท่าตอนนี้ “ตกลงคุณก็ไม่เชื่อที่พี่สาวผมเตือนจริง ๆ สินะ”
“ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุคุณว่างั้นไหม แต่ไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวคุณห้าม ผมถึงยิ่งได้อยากอยู่ใกล้คุณหรอกนะ”
“กำลังจะสารภาพความในใจเหรอครับ” ทำเป็นพูดเล่น จนกระทั่งเห็นสีหน้าจริงจังถึงได้นิ่งฟังอย่างตั้งใจก่อนจะเกิดความรู้สึกหลากหลายระหว่างจ้องริมฝีปากหนาเคลื่อนไหวยามพูด
“ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจริง ๆ”
บางทีภัคก็อยากให้นายตำรวจรู้จักอ้อมค้อมเสียบ้าง เพราะหากพูดทุกอย่างที่ใจคิดออกมา เกรงว่าจะเป็นตัวเองที่ทนรับฟังไม่ไหวแล้วลงมือทำอะไรที่เรียกว่าเกินงาม กลัวว่าความลับจะแตก กลัวว่าอีกคนจะรู้ว่าภัคก็คิดทำนองเดียวกัน
“คุณเล่นบอกมาตรง ๆ แบบนี้แล้วจะให้ผมทำอย่างไรล่ะ”
“ให้โอกาสผมนะ”
“แล้วผม …ดูเหมือนไม่ให้โอกาสคุณอยู่เหรอ” ถามกลับด้วยความอยากรู้ บางทีคงมีแต่คนตาบอดเท่านั้นแหละที่ดูไม่ออกว่าร่างบางเองก็จ้องจะจับพี่ชายฝาแฝดของพี่เขยอย่างที่ใคร ๆ เขาว่า เพียงแต่ไม่ได้กระโตกกระตาก ยังรักนวลสงวนตัว “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน”
“งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่ง” คิมหันต์อาสาหน้าระรื่น รอให้น้าชายได้จุมพิตหน้าผากหลานสาวเป็นการล่ำลา แล้วค่อยลุกขึ้นยืนตามและเดินขนาบข้างออกมาส่งหน้าประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง นายตำรวจยังยื้อร่างบางไว้ด้วยการชวนคุยอะไรต่ออีกหน่อย
“ผมว่าพรุ่งนี้จะพาหนูดาไปสวนสนุก คุณไปด้วยกันนะ”
“ไหนว่ายุ่ง ๆ ไงครับ”
“ผมมีเวลาให้ลูกกับคุณเสมอ”
วันหนึ่งพบเจอประโยคหวาน ๆ จนนับไม่หวาดไม่ไหว แล้วไหนจะสายตาคิดไม่ซื่อที่หมั่นส่งหา ชายหนุ่มตรงหน้าชักเหมือนเปลวไฟเข้าไปทุกที เปลวไฟที่มีฤทธิ์เผาไหม้ได้ทุกสรรพสิ่ง ยิ่งลามมาโดนกับวัตถุไวไฟอย่างร่างบางด้วยแล้ว คงต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลในการดับเพลิง
แถมก่อนจากลายังไม่เลิกทำตัวรุ่มร่าม ริมฝีปากหนาประทับบนหลังมือเรียวอีกครั้งอย่างแนบแน่น ทำเหมือนกับว่าต้องห่างไกลทั้งที่ห้องอยู่ถัดไปแค่นี้เอง คิมหันต์ทำตัวไม่เกรงใจซึ่งภัคก็ไม่ได้ต่อว่า แต่อยากให้ระวังตัวหน่อย ติดนิสัยหวาดระแวงเหมือนพวกเมียน้อยที่ต้องคอยทำลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวว่าเมียหลวงจะมาเห็นฉากพลอดรักกับผัวตัวเองเข้า
“ถ้าใครมาเห็นเข้าคงดูไม่ดี”
“ผมเองก็ไม่มีพันธะ คุณเองก็ยังไม่มีใคร แล้วทำไมถึงจะดูไม่ดีล่ะ” เห็นร่างบางมองซ้ายมองขวาก็กวาดสายตามองตาม “เราไม่ได้กำลังลอบเป็นชู้กันสักหน่อย คุณจะกลัวทำไม”
ภัครีบชักมือกลับทำราวไม่สบอารมณ์แต่ยังสงวนท่าที ขณะที่นายตำรวจเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองอาจพูดอะไรผิดไป ว่าจะขอโทษแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องอยากคุยกับร่างบาง มือใหญ่ล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบสิ่งของเล็ก ๆ ที่ลักษณะเหมือนกระดุมออกมา
“หลายวันก่อนผมเจอมันตกอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยอยากให้คุณช่วยตามหาเจ้าของให้หน่อย” พูดเสร็จแล้วค่อยยื่นให้คนตรงหน้าที่รับไปแต่โดยดี
ร่างบางพลิกดูเล็กน้อยก่อนที่จะชะงักงัน พอสัมผัสสิ่งของแล้วคล้ายความทรงจำย้อนกลับมา ความหลังของเจ้าเม็ดกระดุมที่แสนเลือนรางทำให้ใบหน้าคนถือซีดเผือด
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ให้ผมเดินไปส่งที่หน้าห้องดีกว่าไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ระยะทางแค่นี้ไม่มีใครดักทำร้ายผมหรอก” พูดติดตลกแต่ถ้าเอากระจกมาให้ส่อง ภาพสะท้อนจะบอกเองว่าคนพูดไม่มีวี่แววของความสนุกสนานเลยสักนิด
ภัคหมุนตัวกลับหลังหันแล้วออกเดินจากตรงนั้นทันที ขณะที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าก็เหลือบหางตามองนายตำรวจเป็นระยะ ๆ คิมหันต์ยืนกอดอกมองร่างบางเดินเข้าห้องอย่างปลอดภัยและส่งยิ้มให้จนวินาทีสุดท้ายที่บานประตูปิดลงอย่างอ้อยอิ่ง ถึงได้หมุนตัวที่พิงกับกรอบประตูกลับเข้าห้องบ้าง
เสียงล็อกห้องนอนดังสะท้อนในความสงัด…
ลับหลังบานประตู ภัคเหมือนหนูติดจั่น วิ่งพล่านไปทั่วห้องเพื่อค้นหาบางอย่าง กระทั่งคุ้ยตะกร้าสานตรงมุมห้องถึงเจอเสื้อนอนที่ยังไม่ถึงคิวซักและรีบนำมาแผ่กางบนเตียงเพื่อตรวจตราว่ามีอะไรหายไป จนนัยน์ตาตระหนกได้เห็นว่าจำนวนกระดุมไม่พอดีกับรังดุม กระดุมหลุดหายไปหนึ่งเม็ดเหตุเกิดเมื่อไหร่ไม่ทราบและมันเพิ่งจะกลับมาหาเจ้าของ แน่นิ่งบนฝ่ามือที่แบออกท่ามกลางเสียงหอบหายใจ
ยามเช้าของวัน คิมหันต์อุ้มลูกสาวพลางก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่อยู่ในสภาพพร้อมเดินทาง เพราะหลังจากตื่นนอนคุณพ่อซึ่งยังไม่สัดทันงานด้านอาบน้ำก็ได้พาเด็กหญิงไปหาน้าชายแล้วไหว้วานให้ช่วยเหลือ มีการอ้อนอีกคนให้อาบน้ำให้เผื่อจะฟลุค แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ที่ได้ไปเมื่อคืนก็นับว่ามากแล้ว
ถึงขั้นหอมมือก็ถือว่าก้าวหน้าไม่น้อย เลยตัดสินใจแยกตัวกลับมาทำกิจวัตรที่ห้องตามลำพัง แล้วค่อยเปิดประตูต้อนรับเด็กหญิงที่มาพร้อมชุดใหม่ สวมใส่ชุดกระโปรงที่ภัคเป็นคนเลือกให้ ร่างบางที่เดินมาส่งบอกว่าคงใช้เวลาสักพักในการจัดการตัวเอง ดังนั้นจึงอยากให้นายตำรวจช่วยพาเด็กหญิงลงไปทานข้าวด้านล่าง ซึ่งคิมหันต์ก็พยักหน้ารับ
พร้อมทำหน้าที่พ่อเสมอ แต่โชคดีดันเจอลูกสาวน่ารักที่ไม่จำเป็นว่าต้องมีคนคอยป้อนทุกครั้ง หนูดาจับช้อนทานข้าวเองอย่างเรียบร้อย พลอยทำให้คนนั่งมองสบายใจ นายตำรวจมีหน้าที่แค่แนะนำว่าให้เคี้ยวละเอียด ๆ ตักกับข้าวให้และใช้ทิชชู่ช่วยเช็ดริมฝีปากเล็ก
ส่วนตัวเองก็กินไปพลาง ๆ อันที่จริงอยากได้กาแฟมากกว่าตามประสาพวกติดคาเฟอีน แค่ได้มองลูกสาวกินก็คล้ายจะอิ่มไปด้วย จนข้าวเหลือก้นถ้วยลายหญิง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าน้าชายจะลงมาทานข้าวเลยสักนิด สำหรับคนอื่นมันอาจไม่ผิดปกติ แต่กับคนที่จิตใจจดจ่ออย่างคิมหันต์ รอห้านาทีเหมือนรอเป็นสิบชาติ นิสัยไม่ชอบรอนาน ๆ คล้ายจะกำเริบ แต่เดิมเป็นคนใจร้อนนิด ๆ สุดท้ายคุณพ่อซึ่งออกอาการนั่งไม่ติดจึงขอให้ลูกสาวที่กินข้าวเสร็จไปเดินเล่นรอที่ห้องรับแขก
นายตำรวจถ่อสังขารขึ้นมาตามร่างบางถึงชั้นสอง แต่มือที่เตรียมเคาะประตูห้องก็ต้องมีอันชะงักหลังนัยน์ตาดำเห็นภาพบางอย่างผ่านช่องว่างเสียก่อน ดูเหมือนคนด้านในจะลืมลงกลอนและปล่อยให้ประตูอ้า ภัคมัวบรรจงสวมเสื้อผ้าจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนถ้ำมอง เดินโชว์ท่อนล่างที่ผิวนวลเป็นยองใยยามตามหากางเกงขายาวตัวโปรด มีแค่ท่อนบนที่เรียบร้อย เสื้อแขนยาวสีอ่อนคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายตา ถึงจะไม่ได้เรียนจบสูง ๆ แต่ก็พอมีรสนิยมทางแฟชั่นอยู่บ้าง ซึ่งหลังจากเจอกางเกงตัวเก่ง เหมือนนกรู้ว่าอยู่ตรงไหนแล้วคนแอบดูจะมองเห็นได้ถนัด คิมหันต์มองร่างบางหยุดยืนกลางห้องขณะม่านตาบันทึกภาพกำลังสวมกางเกงราวกับจงใจยั่วยวนเก็บไว้ในสมอง จดจ้องช่วงสะโพกผายโดยเฉพาะ
ราวกับได้ยินคำขอว่าอยากเห็นชัด ๆ ก่อนสวมกางเกงเลยหันก้นให้มองเน้น ๆ จนติดตา
เนื้อสดกำลังยั่วน้ำลายหมาป่า… ลูกกระเดือกใหญ่ขยับเป็นจังหวะยามกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นหนัก น่ากลัวว่าเสียงดังจะทำให้เหยื่อรู้ตัวว่ามีคนกำลังหื่นกระหายอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ไม่อยากกลายเป็นไอ้โรคจิตในสายตาใคร แต่ยอมรับว่าพอได้เห็นแบบนี้แล้วก็อยากลองเป็นคนบ้ากามดูสักครั้ง
หากไม่ได้เป็นตำรวจและมีอาชีพสวนทางกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็คงจะบุกเข้าไปทำอนาจารให้รู้แล้วรู้รอด ล็อกกลอนแล้วลงมือกระทำชำเลา กลบกลิ่นแป้งเด็กของอีกคนด้วยกลิ่นคาวโลกีย์ให้มันตลบอลอวล อยากจะถอดยศตำรวจเพียงเพื่อทำผิดอีกสักหน ถอดความเป็นคนทิ้งไว้แล้วแปลงร่างเป็นอสูรกาย คิมหันต์คิดไปต่าง ๆ นานา
จนภัคเปิดประตูออกมาเห็นแล้วผงะถอยหลังไปเล็กน้อย “คุณ…?”
นายตำรวจหยุดคิดลามปามกับคนตรงหน้าทันทีที่รู้สึกตัว ส่ายหัวและยิ้มรับ ปรับสีหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรแล้วแถลงไขว่าเหตุใดถึงมาอยู่หน้าประตูห้องด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “เห็นคุณหายไปนาน ผมเลยขึ้นมาตามน่ะ”
“ขอโทษที่ช้านะครับ” ร่างบางยอมรับผิดเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่ปล่อยให้สองพ่อลูกคอยนาน
ส่วนคิมหันต์ก็รีบพูดขึ้นมาว่าไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ช้าขนาดที่ว่าต้องด่าทอกัน อีกอย่างมันคือการไปเที่ยว ไม่ใช่การประชุมเกี่ยวกับธุรกิจที่ไปผิดเวลาไม่ได้ นายตำรวจยกยิ้มกว้างให้และอาศัยช่วงเวลาอีกคนหันกลับไปดึงบานประตูให้ปิดสนิทเพื่อจ้องสรีระด้วยสายตายากจะคาดเดา มองตั้งแต่ปลายเท้าย้อนขึ้นถึงดวงหน้า บรรจบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่หันกลับมาสบพอดิบพอดี ริมฝีปากหนายังคลี่ยิ้มปกติทั้งที่เพิ่งทำพฤติกรรมหยาบคายไปหยก ๆ
“ลงไปข้างล่างกันเลยดีไหมครับ” ภัคถามหาความเห็น
“เอาสิ” คนตอบตกลงผายมือให้คนชวนเดินนำและเพราะว่าเป็นฝ่ายเดินตาม ถึงไม่ได้เห็นว่าร่างบางกำลังเผยรอยยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล
ทั้งคู่ก้าวลงบันไดคนละขั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นบ้านก็เกิดอาการรีบเดินกันอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างแยกย้ายตามหาต้นเสียงที่แสนคุ้นหู จนกระทั่งวิ่งเข้ามาดูในห้องรับแขกถึงได้เห็นภาพมินตรากำลังชี้หน้าลูกสาว โดยมีซากแจกันแตกละเอียดตกอยู่ข้าง ๆ
“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่งเล่นในบ้าน!”
“คุณแม่ หนูเจ็บ”
“แล้วจะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าห้ามเรียกฉันว่าแม่…” กระชากต้นแขนเล็กให้เขยิบเข้าใกล้ หยิกเนื้ออ่อนไปด้วยขณะใช้น้ำเสียงเย็นข่มขู่ จ้องตาลูกน้อยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ขนาดหมามันยังรักลูกของมัน ยกเว้นก็แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างมินตราที่โดนความทุกข์ระทมกัดกินมาอย่างยาวนานจนไม่เหลือความเป็นแม่ใด ๆ ไม่หลงเหลือความเห็นใจแม้หนูดาจะเบะปาก ใกล้ร้องไห้อยู่รอมร่อ พอคิดถึงพ่อเด็กทีไรแล้วยิ่งหงุดหงิด เกือบจะได้ฟาดก้นสักทีสองที ติดที่ว่ามีคนฉวยตัวเด็กหญิงไปต่อหน้าต่อตา
น้าชายชิงตัวหลานสาวมาอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้นครับ!” ระหว่างคุกเข่าลงเพื่อสำรวจตามร่างกายเล็ก ภัคมองนัยน์ตาแดงก่ำของเด็กน้อยด้วยอารมณ์คุกกรุ่น ไม่บ่อยที่ใบหน้าจะแดงจัดเพราะความเดือดดาล “ผมถามพี่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…” น้องชายหยัดยืนและหันหน้าเผชิญกับพี่สาวที่ตีสีหน้าเฉยชา
“หัดส่งสอนเด็กแกซะบ้างนะภัค”
ร่างบางเหลือบมองซากแจกันก็พอเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยก็คือทำไมต้องลงไม้ลงมือ ยื้อยุดฉุดกระชากแขนเด็กที่เล็กและบอบบางเสี่ยงต่อการหักง่าย “แต่เด็กที่ว่าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่นะ มีอะไรก็คุยกันดี ๆ สิ อย่าทำให้แกรู้สึกเหมือนว่าแค่ยืมท้องพี่มาเกิดได้ไหม”
“แล้วฉันต้องการให้มันเกิดมาหรือไง เด็กที่เกิดจากการโดน
ข่มขืนน่ะ ฉันไม่นับเป็นลูกหรอกนะ” ยอมกลายเป็นคนเลวดีกว่าแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียวไปตลอด คงไม่มีการผ่อนปรนหรือปรานีใด ๆ อีกแล้ว ในเมื่อทุกคนใจร้ายกับเธอก่อน แถมตอนนี้ก็ทำท่าจะหนีไปมีความสุขกันหมด หญิงพิการทนไม่ได้จนต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นสร้างบาดแผลในใจเด็กหญิง
“ผมว่าเราต้องคุยกันหน่อยนะมิน”
คิมหันต์ที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังถึงกลับเดินขึ้นมาใช้ร่างบังสองน้าหลานไว้ในขณะเผยสีหน้าผิดหวัง เกิดสงสัยว่าครั้งหนึ่งเคยหลงรักผู้หญิงใจดำคนนี้ลงไปได้อย่างไร ทำไมจิตใจถึงไม่อ่อนโยนเหมือนอย่างแล้ว ๆ มา มินตรานับเป็นตัวอย่างที่ดีและค่อย ๆ ทำให้นายตำรวจเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม
“สักวันเด็กนี่ก็ต้องรู้อยู่ดีค่ะคิม” นอกจากจะไม่สะทกสะท้านกับสายตาจ้องจะกินหัวของน้องชาย ยังไม่สนสายตาหมดศรัทธาของอดีตคนรักเช่นกัน หญิงสาวแค่มองหนูดาที่ยืนหลบด้านหลังอย่างเย็นชา “แล้วฉันก็จะพูดกรอกหูทุกวันจนกว่ามันจะโตด้วย”
“ผมรู้ว่าคุณโกรธเกลียดน้องชายผม แต่คุณก็ไม่ควรเอามาลงกับเด็กแบบนี้นะ” นาน ๆ ทีจะยอมพูดถึงอดีตในที่สาธารณะ เพราะว่ามันเหลืออดแล้วจริง ๆ คนที่เคยนิ่งมาตลอดถึงได้ออกอาการโกรธจัดและเผลอกำหมัดอย่างลืมตัว “หนูดาไม่ควรจะต้องมารับรู้เรื่องนี้ด้วย”
“คิมก็ดีแต่เข้าข้างคนอื่น” ลอยหน้าลอยตาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นสายตาตัดพ้อและเจ็บปวดของเธอที่เด่นชัด จนขนาดคิมหันต์เองยังเบือนหน้าหนี “คราวนั้นคิมก็หลีกทางให้น้องชาย มีใครเคยถามฉันบ้างไหมว่าอยากแต่งงานกับหมอนั้นหรือเปล่า”
“เหมันต์ควรได้รับผิดชอบคุณ มันก็ถูกแล้วนี่”
“แต่คนที่ฉันอยากแต่งงานด้วยคือคุณไม่ใช่เขา”
“เลอะเทอะไปใหญ่แล้วนะมิน”
“ถ้าไม่มีมันเกิดขึ้นมา ชีวิตฉันก็ควรจะสุขสบายกว่านี้ เพราะมันชีวิตฉันถึงได้เหมือนตกนรกอยู่แบบนี้ไง”
‘มัน’ ที่ว่าถูกน้าชายอุ้มพาออกไปข้างนอกทันทีที่เรื่องราวชักบานปลาย
ภัคส่งไม้ให้คิมหันต์ช่วยจัดการต่อ นายตำรวจมองตามแล้วรอจนไม่เห็นแผ่นหลังบาง ถึงได้กลับมาสนทนากับหญิงสาวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “เหมันต์ก็เพิ่งตาย คุณจะอโหสิกรรมให้เขาไม่ได้เลยหรือไง”
“ไม่มีวัน…”
เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนใจคนดูท่าจะเป็นเรื่องยากที่สุด แต่ในฐานะคนที่มีส่วนทำให้เจ้าหญิงกลายเป็นแม่มดแบบนี้ คิมหันต์แค่อยากทำให้มินตราหลุดพ้นจากความทุกข์ที่กำเนิดมาจากความเคียดแค้น ผลลัพธ์มันไม่เคยออกมาดี สุดท้ายแล้วแม่มดในนิทานก็จะอยู่อย่างตายทั้งเป็น ไม่ก็ตกนรกมกไหม้เพราะความไม่รู้จักปล่อยวาง
แต่สำหรับมินตราแล้ว เธอมาไกลเกินกว่าจะอยากได้คำแนะนำหรือแค่ความห่วงใย เธอจำเป็นต้องได้รับการเยียวยา ไม่ใช่เคมีบำบัดแต่เป็นแบบธรรมชาติ ชายตรงหน้าอาจบรรเทาโรคขาดความรักเรื้อรังของเธอได้ แต่น่าเสียดายที่นายตำรวจยืนยันที่จะปฏิเสธมาโดยตลอด จนก่อเกิดเป็นความน้อยใจและกลายเป็นความริษยา สาเหตุก็มาจากการที่เห็นว่าทุกคนรุมปกป้องเด็กคนเดียว ไม่มีใครเหลียวแลเธอเลยทั้งที่เธอดูน่าสงสารกว่ามาตั้งแต่เนิ่นนาน
“เด็กนั่นจะต้องได้รู้ว่าตัวเองเกิดมายังไง ฉันจะเล่าให้หมดว่าพ่อมันทำอะไรกับฉันไว้บ้าง”
หนทางเดียวที่คิดออกก็คือทำลาย ถ้าเธอไม่มีความสุขใครก็ห้ามมี
“คุณใจร้ายกว่าที่ผมคิดไว้มากนะมินตรา”
“ให้รู้ไว้ด้วยว่าฉันใจร้ายได้มากกว่านี้อีก”
ไม่มีประโยชน์จะอยู่ต่อ รู้สึกว่าควรพอกันที คิมหันต์ทำท่าจะเดินออกไปเหมือนสองน้าหลานโดยไร้คำล่ำลา แต่ไม่วายโดนค่อนขอดจนเผลอถอนหายใจเสียงดัง
“กำลังเล่นบทพ่อแม่ลูกกันอยู่เหรอคะ น่าสนุกดีนี่”
นายตำรวจหันกลับหลังมาเห็นสีหน้ายิ้มเยาะก็ส่ายหน้าหน่าย “เอาไว้ผมกลับมา เราค่อยคุยกัน”
------------------------------------
ถ้าสนุกวานบอกต่อด้วยนะคะ กรุบๆค่ะ
9crimes - นายคราม FANPAGE