๐๘นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันของตัวเองที่แสนจะเรียบง่าย หน้าที่สำคัญ ๆ อีกหลายอย่างของธันวาก็เป็นอะไรที่เหมือนเดิมมาตลอดหลายปี เช่นเข้ามาปลุกมินตราจากนิทราในตอนสายและเตรียมน้ำอุ่นให้อาบ มีหน้าอุ้มหญิงทุพพลภาพที่ล่อนจ้อนมาหย่อนไว้ในอ่างสีขาว ยืนรอด้วยความสงบและค่อยเข้าช่วยเมื่อสาวเจ้าอาบน้ำเสร็จ
ทั้งที่มันควรจะเป็นงานของผู้หญิงด้วยกัน แต่เพราะผู้หญิงพวกนั้นไม่สามารถอุ้มคนที่มีน้ำหนักพอ ๆ กันได้ จึงเป็นเหตุว่าทำไมชายหนุ่มผิวขาวซีดถึงได้ถูกเลือกเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน
แรกเริ่มมินตราเองก็เคยอึดอัดใจกับการให้ผู้ชายไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามาดูแล แต่เมื่อได้ลองใช้ชีวิตแบบเห็นหน้าค่าตากันทุกวัน ไหนจะสัมพันธ์ทางกายที่กำเนิดมาจากความใกล้ชิด ยางอายเธอจึงลดน้อยลงทุกวันจนกระทั่งหมดสิ้น สุดท้ายก็ลอบอยู่กินกันฉันท์ผัวเมียลับ ๆ มาตลอด
อะไรที่เคยด่าเหมันต์ไว้ท้ายที่สุดก็ย้อนเข้าตัวหมด อาจจะลักลอบคบชู้พอ ๆ กับที่คนมักมากเริ่มชอบหาเศษหาเลยนอกบ้าน มินตราบัญญัติการกระทำของตัวเองว่าเป็นเพียงการประชด แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้างของคนไม่รู้จักพอเหมือนกันและไม่มีเหตุผลใดค้านขึ้น
ธันวายืนสางผมให้หญิงสาวเหมือนเคย ช่วยหวีผมยาวสลวยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เคยเบามืออย่างไรก็ยังเบามืออย่างนั้น แต่อาจจะเพราะว่าช่วงนี้สาวเจ้าอยู่ในช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อารมณ์เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงและความไม่มั่นคงนั้นก็ส่งผลให้เธอปัดหวีที่มือใหญ่ถือไว้ออกไป ก่อนจะต่อว่าต่อขานคนดูแลว่าชักช้าทำอะไรเสียเวลา
เธอเรียกร้องหาเสื้อผ้า บอกว่าหนาวจะตายอยู่แล้วทั้งที่ตอนแรกเป็นคนพูดเองว่ายังไม่อยากใส่ จนอีกคนเดินไปหยิบมาให้แต่ไม่วายโวยซ้ำ ขย้ำชุดในมือไม่พอยังด่าท่อคนตรงหน้าว่าจัดชุดบ้าอะไรมาให้เธอ ทั้งที่ก็เป็นชุดลวดลายเดิม ๆ แต่ในสายตามินตราสีมันดูเสร่อพิกล
กระโปรงถูกปาใส่หน้าคนที่ยังไม่ปริปากบ่นสักคำ ธันวาทำแค่ยืนเงียบเป็นเป่าสาก ปล่อยให้หญิงสาวขวางข้าวของใส่ รวมถึงหมอนใบใหญ่ที่กระทบเข้ากับหน้าอกแข็งเต็ม ๆ จุกมากกว่าเจ็บแต่ก็อดทน จนชักอยากรู้ว่ามีเหตุผลอะไรให้ยอมอีกคนขนาดนี้ ก่อนมินตราจะเริ่มกรี๊ดเพื่อระบายความอัดอั้น ไปจนกัดฟันจนรู้สึกเจ็บราวทั้งกราม กว่าจะกลับมาสงบได้ต้องใช้เวลาเป็นพัก แต่ก็ยังไม่หายหงุดหงิดซะทีเดียว
ยาแก้เครียดเป็นทางเลือกหลักที่มักนำมาใช้ประจำแต่พอดีน้ำหมด คนใช้การขาได้ก็ต้องเป็นฝ่ายไปเอามา เป็นหนึ่งในหน้าที่ของขี้ข้าที่ไม่เคยนึกเลยว่าเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วจะเจอกับเหตุการณ์แปลกตากว่าทุกวัน
เห็นแค่เพียงด้านหลังก็ยังจำได้แม่น นายตำรวจกำลังก้าวลงบันไดโดยข้างกายมีน้องชายหญิงพิการเดินควงแขนอยู่ไม่ห่าง แต่เสียงพูดคุยที่ดังแว่วมาเป็นระยะก็ไม่สามารถทะลุเข้าหูชายหนุ่ม นัยน์ตาว่างเปล่าของธันวาเอาแต่จดจ้องสองมือที่เลื่อนกุมกันอย่างสนิทสนมเท่านั้น
ชีวิตคนเราพลิกผันเพราะเหตุการณ์เดียวมาก็มาก
ถ้าหากรู้ว่าการจูบกับอีกคนจะทำให้รู้สึกดีก็คงจะไม่มัวลีลา แม้ใจหนึ่งจะกลัวว่าอาจเป็นแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวย แต่ด้วยคำสารภาพที่นายตำรวจพูดไว้ ‘ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจริง ๆ นะ’ ถ้าเป็นคนใจแข็งมาแต่ไหนแต่ไรก็คงไม่หวั่นไหวกับประโยคธรรมดา ๆ แต่เผอิญว่าเป็นคนใจง่าย ก็เลยยอมหลงเชื่อประโยคหากินของผู้ชายในที่สุด
รู้ตัวว่ามีโอกาสหยุดก่อนที่จะสายเกินไป แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วภัคก็อยากลองดูสักตั้ง บางทีมันอาจจะกลายเป็นความรักอย่างที่โหยหามาตลอดก็ได้ ผลจากการทิ้งรองเท้าแก้วไว้อาจทำให้พานพบกับเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตนางซิน ไม่ได้คาดหวังถึงงานแต่งใหญ่โตหรือชีวิตโอ่อ่าในวัง แค่อยากมีบ้านเล็ก ๆ สักหลังแถบชานเมือง หลีกเลี่ยงจากเรื่องวุ่นวายแล้วอาศัยอยู่ด้วยกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก แน่นอนว่าหนูดาจะเป็นเสมือนโซ่ทองคล้องใจ
บ้านหลังนี้อาจจะไม่เคยต้องการเด็กหญิง แต่บ้านอีกหลังของเราต้องการเธอ
ภัคมองเด็กหญิงที่เดินนำรีบปีนขึ้นโซฟา รอเวลาจนคุณพ่อนั่งลงแล้วถึงค่อยกระเถิบตัวขึ้นนั่งตักอีกที
“คุณอยากได้น้ำหวานหรือเปล่าหรือเราไปโรงพยาบาลกันดีไหมครับ”
ร่างบางหย่อนก้นลงนั่งข้าง ๆ พลางถามด้วยความเป็นกังวล
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เดี๋ยวก็หาย” ส่วนคนปวดหัวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะต้องบอกหมอว่าสาเหตุของอาการมาจากอะไร แอบอายนิดหน่อยที่จะกล่าวถึง ดันทะลึ่งฝันว่ามีคนนั่งคร่อมแล้วเอาบางอย่างรัดรอบลำคอจนนึกว่าจะตายแต่กลายเป็นว่าเกิดการหลั่ง เป็นอีกหลาย ๆ ครั้งที่หว่างขากางเกงต้องเปรอะเปื้อนโดยไม่ทันได้เคลื่อนมือ ผลข้างเคียงต่อมาก็คืออาการผวาตื่น ลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน หัวถึงได้ปวดตุบ ๆ เหมือนตอนสมองใกล้ขาดอากาศในความฝัน
“คุณพ่อเป็นอะไรเหรอคะ” หนูดาเงยหน้าถาม ทำตาปริบ ๆ หลังได้ยินผู้ใหญ่คุยกัน ด้วยความมันเขี้ยวคิมหันต์กดปลายจมูกถูกับจมูกลูกสาวที่เผลอหัวเราะด้วยความจักจี้ ก่อนจะย่นจมูกให้กันคนละที มีนิสัยราวกับถอดกันมา
“คุณพ่อแค่ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”
“แล้วตัวร้อนด้วยไหมคะ”
สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเด็กหญิงจะซักประวัติไปทำไม นายตำรวจจึงยอมเล่นตามน้ำ หากิจกรรมให้ลูกสาวได้มีส่วนร่วม “ไม่รู้เหมือนกันสิคะ หนูช่วยวัดไข้ให้คุณพ่อหน่อยได้ไหม”
“งั้นเดี๋ยวหนูไปเอาอุปกรณ์ก่อนนะคะ คุณพ่อรอแป๊บนึงนะ” เรียกว่าเข้าทางหนูดาที่กำลังรอจังหวะอยู่พอดี นาน ๆ ทีจะมีคนไข้หลงมาให้รักษาสักคนจึงไม่อยากพลาดโอกาส รีบลงจากตักคิมหันต์แล้ววิ่งออกไป เด็กน้อยหายต๋อม ปล่อยให้คนเป็นพ่องง ส่วนน้าชายหลุดยิ้มเพราะรู้ว่าตกลงหลานสาวจะทำอะไร
“อุปกรณ์…?”
“ของเล่นเด็กนะครับ จำลองการเป็นคุณหมอ”
นายตำรวจร้องอ่อพลางหลุดหัวเราะด้วยความเอ็นดู “คุณคงโดนแกตรวจจนเบื่อเลยล่ะสิ”
“บางทีก็ต้องแกล้งไอหนัก ๆ เพื่อให้แกรักษาครับ” ภัคพูดความจริงที่ยิ่งกระตุ้นให้นายตำรวจยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือลูบแก้มร่างบางเล่นด้วยความเอ็นดูไม่แพ้กัน พอจินตนาการตอนอีกคนป่วยแล้วคงน่าแกล้งไม่หยอก
เวลาที่ได้อยู่สองต่อสองจบลงเมื่อหนูดาวิ่งกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ร่างเล็กจัดแจงวางกล่องไว้บนโซฟาด้วยความคล่องแคล้ว โดยข้าง ๆ กันมีแววตาอบอุ่นของคุณพ่อคอยมองตาม ช่วยเอาผมทัดหูตอนมือเล็กกำลังปลดล็อกและเอาเครื่องตรวจฟังออกมา ของเล่นสมัยนี้ทำเลียนแบบได้เหมือนของแท้ แต่ของจริงทำมาจากอะไรไม่ทราบ แต่ของเด็กน้อยทำมาจากพลาสติกสีชมพูสดใส
นายตำรวจโน้มแผงอกให้ลูกสาวได้ตรวจถนัด ๆ เอาของปลอมมาใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรหรอก แต่สองพ่อลูกก็ยังสวมบทคนไข้กับคุณหมอตัวน้อยต่อไป
“ผมจะหายป่วยไหมครับคุณหมอ”
“เดี๋ยวคุณหมอจะให้ยาไปทานนะคะ จะได้หายป่วยไว ๆ”
คุณหมอวินิจฉัยอย่างรวดเร็วว่าป่วยธรรมดา ๆ เพียงแค่กินยาตามสั่งก็หายและใช้เวลาไม่นาน แค่รื้อในกล่องปฐมพยาบาลก็เจอของที่ตามหา มือเล็กยื่นซองใสที่ข้างในบรรจุผงสีขาวละเอียดให้คุณพ่อรับไป ในขณะที่ภัคเห็นแล้วไม่คุ้นตาและสงสัยว่ามันมาอยู่กับเด็กหญิงได้อย่างไร “ซองอะไรคะ หนูดาเอามาจากไหน”
ยามร่างบางถาม คิมหันต์กลับเลือกที่จะแกะซองและลองดม รู้สึกเอะใจเหมือนเคยพบผงขาวแบบนี้ที่ไหนมาก่อนตอนทำงาน หากมองผิวเผินตามประสาพวกไร้ประสบการณ์ก็คงคิดว่าเป็นยาอัดเม็ดที่ถูกนำมาบดละเอียดอีกที แต่ถ้ามันเป็นยารักษาโรคจริงนายตำรวจคงไม่ทำสีหน้าเคร่งเครียดภายในชั่วพริบตาขณะถามหนูดาซ้ำด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แน่
“ใครให้หนูมาหรือหนูเอามาจากไหนคะ”
โดนผู้ใหญ่สองคนจ้องหน้าก็รีบสารภาพ “หนูไม่ได้ขโมยมานะคะ คุณอาจอมทัพทำตกไว้หนูเลยเก็บมา”
“ทำไมเหรอครับ” ภัคที่ดูไม่รู้อะไรอยู่คนเดียวรีบถาม แต่ก็โดยคิมหันต์ย้อนด้วยประโยคคำถาม “เขาอยู่ไหน”
“หมายถึงใครครับ”
“จอมทัพ”
“น่าจะยังไม่กลับตั้งแต่เมื่อคืนมั้งครับ”
“โทรตามเขา …เดี๋ยวนี้”
คดีของเหมันต์อาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจอมทัพมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
แต่สำหรับคดีมี ‘โคเคน’ ไว้ในครอบครอง ชายหนุ่มผิวสีแทนเกี่ยวข้องด้วยเต็ม ๆ
จอมทัพรีบบึ่งรถกลับมาบ้านโดยละทิ้งงานสังสรรค์กับเพื่อนฝูงตั้งแต่หัววันไปก่อน เหตุผลที่รีบร้อนหลังมีคนโทรไปตามก็เพราะแค่อยากกลับมาดูหน้าคนปากสว่าง อยากรู้นักว่าใครมันพูดเรื่องของตน เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มผิวสีแทนออกอาการหัวเสียตอนเดินเข้ามาในตัวบ้านก่อนจะประจันหน้ากับหนูดาที่ส่อแววพิรุธ สะดุ้งสุดตัวราวกับเห็นผีแถมเตรียมวิ่งหนีอีกต่างหาก
คนที่มีศักดิ์เป็นอารู้สึกตงิดใจปรี่เข้าตะครุบร่างเล็กไว้ไม่ให้ไปไหน ขณะเด็กหญิงพยายามใช้แรงอันน้อยนิดดิ้นรนจนจอมทัพยิ่งมั่นใจกับสัญชาตญาณ รีบหันตัวเด็กกลับมาเพื่อคาดคั้น สภาพโกรธจัดเหมือนหมาบ้าราวกับเทคยาไปหลายโดสจนควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ “เธอเป็นคนเอาเรื่องของฉันไปพูดใช่ไหม! ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง!”
หนูดาได้ยินชัดเต็มสองหูแต่ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ตัวสั่นงันงกยกมือผลักได้แต่ลมและโดนเขย่าตัวจนผมยาวพลิ้วไหว เด็กน้อยยืนโงนเงนตามแรงที่ผู้ใหญ่ใช้อย่างไม่ปรานี เจ็บช่วงไหล่ที่โดนขยุ้มจนกระทั่งเบะปากร้องไห้แทนการตอบคำถามให้มันจบ ๆ ทำเอาจอมทัพสบถเสียงดัง สร้างความรำคาญเกินทน
“นิสัยเสียเหมือนแม่เลยนะ! สาระแนเหมือนกันไม่มีผิด!”
บางทีอาจเป็นผลข้างเคียงของสารเสพติดที่ยังตกค้างในร่างกาย แม้แต่กับเด็กถึงได้กล้าทำร้าย มือที่ใหญ่และแข็งกระด้างตบเข้าข้างแก้มเด็กหญิงที่ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะแรงหวด แล้วเริ่มร้องไห้จ๋าเมื่อความปวดมาทักทาย เรียกหาน้าชายทั้งสภาพน้ำตาไหลอาบหน้า
ขณะจอมทัพทำท่าจะเดินเข้ามาซ้ำ เงาดำทะมึนค่อย ๆ กลืนกินร่างเด็กน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่คนยืนจ้องด้วยความอาฆาตก็ต้องมีอันถอยไปไกลเนื่องจากโดนผลักอย่างแรง ภัคคือคนที่ถลาวิ่งเข้ามาขวางและกางแขนกอดตัวหนูดาที่กำลังเสียขวัญไว้ พอได้มองชัด ๆ น้าชายถึงเห็นว่าหลานสาวมีเลือดซิบที่มุมปาก ต้องรีบปลอบว่าไม่เป็นไรทั้งที่ใจตัวเองก็แทบสลาย น้ำตาตกใน ในฐานะคนที่เลี้ยงเด็กหญิงมาเองกับมือแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมย่อมเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ดวงตาแดงก่ำตวัดจ้องหน้าปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ บางทีจอมทัพอาจจุติมาจากความชั่วร้ายถึงได้ใจดำและโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา ยังไม่หายบ้าได้และย่างสามขุมเข้ามาด้วยเจตนาที่ต้องการทำร้ายทั้งน้าชายทั้งหลาน
แต่กว่าจะฝ่าด่านไปถึงตัวทั้งสองคนได้มันไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องปะทะเข้ากับคิมหันต์ที่เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อและยากต่อการกำจัดเนื่องด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่า นายตำรวจตะบั้นหน้าคนเลือดร้อนไปหนึ่งหมัดเพื่อหวังเรียกสติและเอาคืนที่ทำลูกสาว ยอมเป็นเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังในทางมิชอบ ยอมเสียค่าปรับข้อหาทำร้ายร่างกาย จะต้องจ่ายกี่พันก็พร้อมแลกเพื่อให้ได้เห็นจอมทัพปากแตกสักครั้ง
ระหว่างชุลมุนวุ่นวาย ธันวาที่ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทจากชั้นบนก็รีบลงบันไดมาแล้วย่อตัวลงตรงหน้าสองน้าหลานเพื่อถามว่าต้องการให้ช่วยอย่างไร ภัครีบส่ายหน้า บอกแค่ว่าไปช่วยนายตำรวจเถอะ เจอปฏิเสธความหวังดียังไม่รู้สึกมากเท่าไหร่ แต่เห็นร่างบางเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ยังยืนเผชิญกับอันตรายด้วยสายตากังวลแล้วมันเจ็บบริเวณหน้าอกพิกล
ถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายจะปวดหนึบ แต่ก็ไม่ลืมทำตามคำขอ คนที่ปกติมีหน้าที่คอยทำให้เจ้านายพอใจเข้ามาช่วยล็อกตัวชายหนุ่มผิวสีแทนไว้และเมื่อจอมทัพเห็นว่าเป็นใครที่บังอาจก็รีบสะบัดร่างกายด้วยความรังเกียจแทบไม่ทัน ยังหลงเหลืออาการฟึดฟัดและนับว่าฉลาดอยู่บ้างถึงได้ล้มเลิกการใช้กำลัง เพราะลำพังคงต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งไม่ไหว แล้วหันมาใช้ปากที่ถนัดแทน
“ลูกตัวเองก็ไม่ใช่! จะเล่นใหญ่ไปทำไมวะ!”
“จะลูกใคร นายก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเขา!” ตะโกนมาตะโกนกลับ กำลังเดือดด้วยกันทั้งคู่แม้จะเลิกต่อสู้แบบมนุษย์ถ้ำที่ใช้กำลังตัดสินปัญหาทุกอย่างไปแล้วก็ตาม “แล้วหนูดาก็เป็นถึงหลานสาวนายเชียวนะจอมทัพ”
“ฉัน-ไม่-เคย-มี-หลาน แล้วก็ไม่อยากนับญาติกับพวกตอแหลด้วย!” ปาดเลือดที่กบมุมปากด้วยหลังมือไว ๆ แล้วใช้มือข้างนั้นแหละชี้หน้าสองน้าหลาน “ช่วยสอนมันด้วยว่าทีหลังอย่ามาสะเออะเรื่องของฉัน”
“หนูดาก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณนักหรอก แกก็แค่เก็บของที่คุณทำตกไว้ได้” กัดฟันอธิบายขณะพยายามอดกลั้นอย่างถึงที่สุด ถ้าเด็กหญิงไม่ฉุดไว้ด้วยวงแขน ภัคก็คงจะลุกขึ้นไปตบหน้าอีกคนให้หายแค้นหรือตายกันไปข้าง
“ถ้าเก็บได้แล้วทำไมไม่เอามาคืน สันดานขี้ขโมยทั้งน้าทั้งหลานเลยนะ”
“นอกประเด็นแล้วจอมทัพ เรื่องนี้คนที่ผิดก็คือนาย”
“แค่โคเคนมันจะอะไรกันนักกันหนาวะ”
“ฉันเป็นตำรวจ และฉันสามารถจับนายเข้าคุกได้เลยทันที”
“งั้นก็ทำซะสิ จะมัวรออะไร”
“อย่าท้าฉันนะ…” ขายาวย่างเข้าใกล้และหยุดยืนเทียบให้ทุกคนเห็นกันจะ ๆ ไปเลยว่าใครดูเหนือกว่า สายตาที่นายตำรวจใช้มองจอมทัพมีกลิ่นอายคุกคามแปลก ๆ แบบที่ไม่ควรเอาชีวิตไปแลกหรือเสี่ยง “เชื่อฉันเถอะว่านายจะโหยหาอิสระไปตลอดชีวิตที่ติดอยู่หลังลูกกรง”
“คิดจะขู่กันงั้นสิ”
“เลิกซะ” คิมหันต์ยื่นคำขาด “เพราะเห็นเป็นญาติหรอกนะฉันถึงให้โอกาส”
“ไม่ยักรู้ว่านับญาติกันด้วย แต่การช่วยของนายก็ไม่ได้ทำให้ฉันหายแค้นนังเด็กนี่หรอก”
สายตาอาฆาตมาดร้ายมองหน้าหนูดาสลับกับน้าชาย ถึงมีคดีติดตัวและโดนขู่แต่ใช่ว่าจะกลัวหัวหด ก็ยังเป็นคนเดิมที่ปากไว ใจร้อนและเตือนภัคให้ระวัง “อย่าเผลอก็แล้วกัน…” ถ้าเด็กหญิงอยู่คนเดียวอีกเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าจะไม่จบที่แค่ตบอย่างเดียวแน่ พอลั่นวาจาฉะฉาน จอมทัพก็ทำแค่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที มองคิมหันต์ ธันวาแล้วก็แหงนหน้ามองมินตราที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากบนชั้นสอง แล้วค่อยเดินออกจากบ้านไปอย่างไร้คำขอโทษสักคำ
เหตุการณ์ร้าย ๆ ฝังอยู่ในความทรงจำของเด็กหญิงและดูท่าว่าจะอยู่อีกนานหรืออาจตลอดชีวิต แผลที่มุมปากได้รับการทายาจนเกือบหายสนิทและโชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนพยายามขุดคุ้ยด้วยการพูดถึง ชีวิตของหนูดาจึงดำเนินต่อไปตามปกติ เพียงแต่เวลาที่จอมทัพกลับมาบ้าน น้าชายจะให้หลานสาวคลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน
ภัคแค่อยากป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น คิมหันต์ที่รักษาสัจจะไม่จับคนอารมณ์ร้ายเข้าคุกข้อหามีสารเสพติดก็เห็นด้วยกับที่ร่างบางทำ แต่เผอิญช่วงนี้มีเรื่องสำคัญต้องเข้าไปจัดการทั้งที่บริษัทของเหมันต์และสถานีตำรวจเลยไม่ได้อยู่ดูแลเท่าที่ควร ส่วนแม่เด็กก็เก็บตัวเงียบ บ้านหลังใหญ่จึงเปรียบเสมือนป่าช้าเข้าไปทุกขณะ หาความมีชีวิตชีวาได้ยากเย็นกว่าเห็นวิญญาณเร่ร่อนเสียอีก
วันนี้หนูดาก็ยังต้องนอนกลิ้งบนเตียงขณะมีน้าชายนั่งพับเสื้อผ้าอยู่ข้าง ๆ ภัคหันมองไปทางหน้าต่างยามได้ยินเสียงเครื่องยนต์หึ่ง ๆ ขับออกไปพลางถอนหายใจโล่งอก แต่ต้องแอบตกใจกับดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ยื่นหาในระยะประชิด
เด็กหญิงลุกขึ้นมานั่งมองตาแป๊ว เสียงเล็กอ้อนว่าเบื่อห้องนอนแล้วอยากออกไปเล่นข้างนอกบ้าง ร่างบางซึ่งยังไม่ไว้วางใจเสียทีเดียวจึงยื่นข้อเสนอให้ว่าได้แค่นั่งวาดรูปเล่นอยู่บนชั้นสองเท่านั้นและบานประตูห้องจะเปิดค้างไว้ เพื่อที่ว่าจะได้มองเห็นกันและกัน
หนูดาพยักหน้ารับข้อเสนอแล้วค่อยเดินกอดกล่องสีกับกระดาษออกมาหน้าห้อง ดวงตากลมไม่ลืมมองซ้ายมองขวาอย่างที่น้าชายสอนก่อนจะยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเคให้คนในห้องที่นั่งมองขณะอดยิ้ม มือเรียวหยิบผ้าไปพลางระหว่างมองเด็กหญิงนั่งลงกับพื้น
มือเล็กเริ่มขีดเขียนสีบนแผ่นกระดาษที่ขาวสะอาด บรรจงวาดดอกไม้ด้วยสีสันสดใส หลีกเลี่ยงการใช้สีดำเพราะเด็กน้อยไม่ชอบและจะไม่ยอมให้มันมาเปรอะเปื้อนในผลงาน
น้าชายที่เหลือพับเสื้อตัวสุดท้ายเห็นว่าหลานสาวยังอยู่ดีก็สบายใจ ก่อนจะลุกเอาผ้าไปเก็บไว้ในตู้ระหว่างคอยเหลือบมองปลายเท้าเด็กหญิงอยู่เป็นระยะ
ท่ามกลางความเงียบสงบจนเสียงเล่าสีไม้กับกบดินสอดังอย่างชัดเจน ไม่มีใครทันเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองจากที่ไหนสักแห่งในบ้าน
ภัคก็มัวแต่จัดเสื้อผ้า …ส่วนหนูดาก็ตามไล่ตะครุบสีไม้ที่กลิ้งไปบนพื้นราบอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและหลบมือเล็กได้อย่างหวุดหวิดในทุกครั้ง
มาคว้าได้ทันตอนก่อนที่อีกนิดมันจะตกจากบันได แต่จังหวะหันตัวกลับมาไม่รู้ว่าเสียหลักอีท่าไหนหรือว่าความจริงแล้วมีคนจงใจผลัก ร่างเล็กตกจากบันไดขั้นบนสุด กลิ้งหลุน ๆ ลงมาอย่างไร้การควบคุมขณะส่งเสียงกรีดร้องสั้น ๆ แล้วค่อยแน่นิ่งไปเมื่อตกจากขั้นบันไดสุดท้าย นอนผมสลายบนพื้นราวกับราพันเซลที่ตกจากหอคอย
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที “หนูดา!” ภัควิ่งออกมาจากห้องอย่างไวแต่ก็ไม่ทัน แล้วแทบคลั่งเมื่อเห็นสภาพหลานสาวนอนไม่ได้สติอยู่เบื้องล่าง น้าชายหลั่งน้ำตาอัตโนมัติขณะรีบวิ่งลงบันไดจนน่ากลัวว่าจะล้มหัวฟาดไปด้วยอีกคน จนกระทั่งเห็นเด็กหญิงในระยะที่สามารถเอื้อมมือถึง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่กล้าสัมผัสร่างกายเล็ก ๆ ที่ดูแสนเปราะบางเหลือเกิน “หนูดา…” น้าชายทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก
ได้ลุกอีกทีก็ตอนดวงตาพร่าเห็นบุรุษพยาบาลกำลังช่วยกันโยกย้ายร่างเด็กหญิง
ภัคไม่รู้ว่าตัวเองนิ่งงันไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าสองขาไร้เรียวแรงต้องวิ่งตามเตียงเข็นที่เคลื่อนออกมานอกบ้านให้ทันและขึ้นรถพยาบาลไปกับหลานสาวทั้งเท้าเปล่าอย่างนั้น โดยมีธันวาขับรถของที่บ้านตามไปติด ๆ ในฐานะคนที่โทรเรียกรถพยาบาลก็จะอยากเห็นว่าสองน้าหลานปลอดภัยกับตา แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะโดนมินตราแหกอกที่ละทิ้งหน้าที่กลางคันก็ช่างปะไร เพราะในเวลาแบบนี้ไม่มีใครน่าเป็นห่วงเท่าคนวิตกที่กำลังเดินวนไปวนมา
ชายหนุ่มผิวสีซีดยืนมองคนเป็นน้าเดินไปเดินอยู่หน้าห้องฉุกเฉินร่วมหลายนาที ไม่แน่ใจนักว่าอีกคนเห็นการมีอยู่ของตนหรือเปล่า แต่ก็อยากอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าหมอจะเดินออกมาบอกว่าเด็กหญิงปลอดภัย ระหว่างรอเวลานัยน์ตาก็สะท้อนแต่ภาพแผ่นหลังบางสั่นเทา เห็นอีกคนเอาแต่ยืนร้องไห้ก็อยากทำอะไรสักอย่าง
ธันวาชั่งใจอยู่นานว่าควรทำอย่างที่ต้องการดีไหม อยากดึงตัวอีกคนมากอดปลอบให้หายกังวล แต่เพราะมัวยืนรวบรวมความกล้าจึงโดนสัตว์สองขาคาบร่างบางไปรับประทานอีกตามเคย
มือกร้านที่ยื่นออกไปรีบชักกลับแทบไม่ทันตอนร่างบางหันตัวกลับมาตามเสียงเรียก
“ภัค!” คิมหันต์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาใกล้ “หนูดาเป็นยังไงบ้าง”
ร่างบางแทบร้องไห้โฮเมื่อเห็นว่าเป็นใคร โผกอดนายตำรวจพลางละล้าละล้ำรายงานความเคลื่อนไหวด้วยน้ำเสียงเครือ “หมอยังไม่ออกมาเลย ผมควรจะทำยังไงดี”
“ภัค คุณใจเย็น ๆ ก่อนนะ” พูดออกไปทั้งที่ก็ใช่ว่าตัวเองจะทำได้ คนเป็นพ่อเองก็ร้อนใจไม่ต่างกัน ใจนึงก็อยากรู้เหตุการณ์คร่าว ๆ แต่คิดว่าคนเล่าคงจะยังไม่พร้อม
“ต้องเป็นเขาแน่ ๆ ต้องเป็นจอมทัพแน่ ๆ ที่ผลักหนูดาตกบันได” น้าชายเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองโดยที่ไม่มีหลักฐาน เดาด้วยสัญชาตญาณเพราะเข้าใจว่าหลานสาวมีคนหวังทำร้ายอยู่แค่คนเดียว
“แล้วคุณเห็นเขาหรือเปล่า” แต่เมื่อเจอคำถามคิมหันต์เข้าไป ภัคถึงได้ชุกคิดว่าได้ยินเสียงรถจอมทัพออกไปก่อนจะเกิดเรื่อง ใบหน้ามอมแมมส่ายช้า ๆ เป็นคำตอบ แล้วก็ได้นายตำรวจช่วยเช็ดน้ำตาให้จนเกือบหมดจด หลงเหลือคราบความชื้นประปราย ฝ่ามือใหญ่จึงกุมสองพวงแก้มไว้เพราะหวังว่าความร้อนจากมือจะทำให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง
“มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้” สันนิฐานในสิ่งที่สามารถเป็นไปได้มากสุด แต่ลึก ๆ แล้วคนพูดเองก็ไม่ปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ทำทั้งหมดก็เพื่อให้ร่างบางคลายความวิตกกังวล คิมหันต์กอดคนที่โถมร่างกายเข้าหาอีกครั้ง โอบวงแขนรอบแผ่นหลังบางเพื่อทำให้รู้สึกว่ายังมีกัน
ภัคค่อย ๆ สงบลงเพราะสัมผัสทางกาย ได้มือนายตำรวจลูบศีรษะจนอยากจะเคลิ้มหลับและเมื่อพลิกใบหน้าบนกลับมาอีกด้านถึงเพิ่งได้เห็นว่าธันวามีตัวตนและกำลังเดินไกลออกไปจนกลายเป็นจุดเล็กนิดเดียว แค่มองตามแผ่นหลังกว้างโดยไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งไว้ ก่อนจะพลิกหน้ากลับไปอีกฝั่ง ยืนกอดนายตำรวจตอบระหว่างรอฟังผลการรักษา
‘เด็กหญิงพิมพ์มาดาปลอดภัยดีครับ’ คือประโยคที่คุณหมอพูดทักทายกับญาติ แต่อาจมีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย ยังถือว่าโชคดีที่มีแผลแตกที่ท้ายทอยเล็กน้อย ส่วนบริเวณแขนเด็กหญิงจะใช้สอยได้แค่แขนขวา แขนซ้ายต้องใส่เฝือกด้ามไว้เป็นเวลาอย่างน้อยเกือบเดือนจนกว่ากระดูกจะเคลื่อนเข้าที่
ภัคยืนส่งคุณหมอกับพยาบาลหน้าประตูห้องพักโดยไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณไล่หลังคนทั้งสอง แล้วค่อยกลับมานั่งมองหลานข้างเตียง ไม่คิดจะลุกไปไหนเพราะกลัวเด็กหญิงตื่นมาแล้วจะไม่เห็นตนเป็นคนแรก ๆ ขนาดนายตำรวจเปิดประตูเข้ามาหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ นัยน์ตาสีน้ำตาลยังแค่มองว่าเป็นใครแล้วหันกลับจ้องใบหน้าหลานสาวต่อ
พ่อเด็กที่โดนเมินชั่วขณะวางถุงร้านสะดวกซื้อไว้ที่โซฟาแล้วเดินมาหยุดยืนข้างเก้าอี้ที่ร่างบางนั่งพร้อมวางมือบนไหล่มน “เดี๋ยวลูกก็ฟื้น” มือเรียวยกขึ้นวางทับหลังมือใหญ่พลางเงยหน้ามองนายตำรวจที่ก้มหน้าส่งยิ้มให้บาง ๆ
“หิวไหมคุณ” ภัคส่ายหน้าเป็นคำตอบ แต่คิมหันต์ไม่ยอมเลิกตื้อง่าย ๆ “กินอะไรสักหน่อยเถอะ เกิดคุณล้มป่วยไปอีกคนผมเลือกไม่ถูกนะว่าจะดูแลใคร” เอ่ยพลางเดินกลับไปรื้อหาอะไรที่พอกินลองท้องได้ “เบอร์เกอร์หน่อยไหม”
นายตำรวจยืนโพสท่าเป็นนายแบบโฆษณาอาหารฟาสฟูดทำเอาร่างบางที่หันมองหลุดยิ้ม ถึงจะอิ่มน้ำตาตัวเองจนคิดว่าคงกินอะไรไม่ลงแล้ว แต่ภัคก็ยอมลุกเดินไปหานายแบบอาหารที่ตบโซฟาเป็นสัญลักษณ์ให้นั่งลงข้าง ๆ ระหว่างนั้นมือใหญ่ก็ช่วยแกะพลาสติกแล้วส่งเบอร์เกอร์ให้มือเรียวรับไป
ภัครับมาไว้ในมือ ถืออย่างเดียวแต่ไม่เหลียวแลแม้มันจะส่งกลิ่นหอมฉุยจนเรียกน้ำย่อยสักแค่ไหน
คิมหันต์ที่เห็นร่างบางทำแค่นั่งมองอาหารตัดสินใจเคลียร์ของที่วางคั่นกลางออกไป
“ไม่หิวก็ไม่หิว” ค่อย ๆ ดึงอาหารออกไปวางไว้สักแห่งแล้วเขยิบเข้าใกล้ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวเบอร์เกอร์ก็น้อยใจ คิดว่ามันดูไม่อร่อยคุณถึงไม่อยากกินมันหรอก”
“ผมกลัว” ถึงจะเอ่ยมาแค่สั้น ๆ แต่คนฟังก็เข้าใจความหมายได้ทันที นายตำรวจผันตัวเป็นผู้ฟังที่ดีระหว่างกุมมือภัคไว้ “ผมเป็นน้าที่ไม่เอาไหน ผมดูแลแกไม่ดีเอง”
“อย่าโทษตัวเองเลยน่า คุณเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นสักหน่อย อีกอย่างหนูดาก็ปลอดภัยแล้วด้วย”
“ตั้งแต่มีเรื่องกับคุณจอมทัพ แล้วก็มาครั้งนี้ …ผมแค่กลัวว่าครั้งหน้าจะไม่โชคดีอีก”
“มันจะไม่มีครั้งหน้า เพราะผมจะช่วยดูแลลูกอีกแรง” คิมหันต์ที่บอกว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระโน้มร่างบางเข้าหาตัวแล้วกกกอดไว้ ระหว่างรอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไรก็หอมหัวกลมไปพลาง ๆ จูบกลางขวัญซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ผมควรพาหนูดาออกไปอยู่ข้างนอกดีไหม”
“ขอเวลาผมอีกหน่อย แล้วผมจะพาคุณกับลูกไปอยู่ด้วยกัน”
กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำฉันท์ใด นายตำรวจพูดแล้วก็ไม่คืนคำฉันท์นั้น
อาจไม่มีสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็อยากอ้อนวอนให้ภัคเชื่อใจ
“ผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณกับลูกเด็ดขาด ผมสัญญา”
------------------------------
ติดตามข่าวสาร