คิดแล้วก็ได้แต่สงสัยอะไรคือความยุติธรรม คนใช้ได้สิทธิ์สอบปากคำที่บ้าน ส่วนคนเป็นญาติต้องถ่อสังขารมาถึงสถานีตำรวจเพื่อตอบคำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ มีคำถามใหม่เพิ่มขึ้นมาเพียงไม่กี่ข้อที่พอฟังแล้วก็แอบหงุดหงิดใจเหมือนกัน
ไล่ต้อนอย่างกับอยากให้ตอบว่า ใช่ ฉันคือคนร้าย แต่จะให้ตอบอย่างนั้นได้ยังไงนับเป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอ…? จอมทัพที่ขอตัวกลับทันทีหลังให้ปากคำเสร็จเดินจ้ำอ้าวมาที่รถยนต์แล้วกดปลดสัญญาณล็อก เปิดประตูออกแล้วขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ แค่ปรับแอร์และเหยียบคันเร่งจนรถทยานออกจากลานจอดรถ สี่ล้อใหญ่หมุนวนบนถนนสายหลักแล้วค่อยหักเข้าโค้งก่อนถึงสี่แยกไฟแดง แยกตัวออกมาจากความวุ่นวายเพื่อใช้เส้นทางลัดไปสู่ที่นัดหมาย
ปลายทางก็คือคอนโดของเพื่อนในเอก รองเท้าหนังเหยียบเบรกได้ทันก่อนที่กั้นชนหน้าจะกระแทกกับผนังและเตรียมจะคว้าข้าวของเพียงไม่กี่อย่างลงจากรถ แต่ตอนที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัย หางตาดันเหลือบเห็นอะไรผิดสังเกตบริเวณที่วางเท้าเบาะนั่งด้านหลัง มันมีบางอย่างลักษณะคล้ายเคียงกับเท้าเด็ก
จอมทัพปลดพันธนาการแล้วรีบลงจากรถด้วยความสงสัย ขายาวเดินอ้อมมาเปิดประตูรถด้านข้างดูให้แน่ใจและทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะเมื่อพบว่ามีเด็กบางคนซนจัดขนาดแอบขึ้นมาบนรถโดยไม่ได้รับอนุญาตแถมกำลังหลับฝันหวานอย่างไม่สนใจใคร
หนูดาน่าจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกพาออกมานอกบ้าน หลานสาวเผลอหลับไปในระหว่างเล่นซ่อนแอบ หลังจากวิ่งหาที่ซ่อนไปทั่วบ้าน สาวน้อยก็พบว่ามีรถหนึ่งคันจอดอย่างไม่มีระเบียบแถมประตูไม่ได้ล็อกอีกต่างหาก จึงลอบขึ้นรถแล้วใช้บริเวณวางเท้าเป็นที่ซ่อนตัวจากน้าชาย แต่สงสัยจะซ่อนแนบเนียนไปหน่อยถึงไม่มีใครมาหาสักที รอจนตาปรือก็ยังไม่มีวี่แววจนผล็อยหลับไป นับว่าโชคดีมากแค่ไหนว่าระหว่างที่จอมทัพลงจากรถไปให้ปากคำและดับเครื่องยนต์ เด็กหญิงไม่ขาดอากาศหายใจจนสลบไปเสียก่อน ยังนอนหายใจเข้าออกเสม่ำเสมอ กระทั่งเจอปลุกอย่างรุนแรง บวกกับแสงแดดที่แย้งตา ร่างเล็กลืมตาในที่สุดและลุกขึ้นนั่งทั้งสภาพงัวเงีย
หนูดากวาดสายตามองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างงง ๆ ยังคงง่วงเหงาหาวนอนก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงตบเบาะ เด็กหญิงหันหน้ากลับมาเจอคนปากคอเราะร้ายแล้วกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด เสียงกรี๊ดแหลมเล็กทำให้จอมทัพต้องยกมือปิดหูแทบไม่ทัน พอดีกับมีสายจากเจ้าของวันเกิดโทรมาตาม ต้องรับโทรศัพท์ทั้งที่ใช้อีกมืออุดหู
“เออ กูมาถึงแล้ว” ดันหลุดปากบอกตำแหน่งไป คนในสายจึงยิ่งเร่งให้ขึ้นไปด้านบน แต่พอจะแจ้งเหตุจำเป็นเห็นทีว่ามีเรื่องต้องจัดการก่อน เพื่อนก็รีบด่วนตัดสาย ทิ้งคนหัวเสียไว้กับเสียงสัญญาณน่ารำคาญ “เวรเอ้ย…” จอมทัพสบถเสียงดังระหว่างหันกลับมามองเด็กหญิงนั่งร้องไห้ “ลงมา” เข้าใช้กำลังกระชากแขนเล็กให้ลงจากรถด้วยสภาพทุลักทุเล
ท่ามกลางการขัดขืนหนูดายืนกระโดดเหยง ๆ บนพื้นด้วยเท้าเปล่า เด็กหนุ่มมองสองเท้าเล็กด้วยความขัดใจแล้วโยนรองเท้าสำรองที่เก็บไว้ในรถให้ใส่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ยืมรองเท้ามันก็ยังดีกว่าให้อุ้มเข้าเอวพาเดินไปทั่วคอนโดแล้วกัน จอมทัพยังไม่อยากถูกยัดเยียดให้เป็นพ่อใคร แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนเพื่อนฝูงแซวอย่างสนุกปาก
หนูดายังร้องไห้พลางใช้หลังมือเช็ดแก้มระหว่างอยู่ในลิฟต์ เด็กน้อยสะอึกสะอื้นยืนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแปลกใหม่กับคนคุ้นหน้าแต่ว่าก็ดันเป็นคนเดียวกับที่เคยทำร้ายกัน แค่ตื่นขึ้นมาไม่เจอหน้าน้าชายก็ขวัญเสียจะแย่ ยังต้องเผชิญหน้ากับคนหงุดหงิดง่าย อ้าปากแต่ละทีก็มีแต่คำหยาบคาย จอมทัพเป็นฝ่ายเดินนำออกไปจากลิฟต์เมื่อประตูเปิดออกแล้วก็ต้องวกเดินกลับเข้ามาคว้าต้นแขนเล็กและพาเดินไปด้วยกันทั้งสภาพแขนห้อย
เด็กน้อยจำต้องเดินตามคนเจ้าอารมณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ น้ำตาเริ่มไหลน้อยลงจนกระทั่งได้พบกับโลกใบใหม่ที่ค่อยข้างมืด เด็กหญิงยืนหลบด้านหลังคนพามาเมื่อทุกสายตาในห้องหันกลับมาจ้องด้วยความสนใจ พี่ชายพี่สาวทั้งหลายเลิกสนใจเสียงเพลงและของมึนเมาชั่วขณะ ปาร์ตี้วันเกิดตอนกลางวันแสก ๆ เป็นอันหยุดชะงักเพราะความอยากรู้อยากเห็น
“มีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่บอกกันบ้างวะ”
เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปากแซวแล้วได้นิ้วกลางเป็นคำตอบ จอมทัพตัดสินใจพาเด็กหญิงเดินฝ่าวงล้อมที่เต็มไปอบายมุข จูงมือเดินมาที่โซฟาซึ่งปราศจากคนจับจองแล้วออกคำสั่งเสียงดัง
“นั่งอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน”
ยืนเท้าเอวชี้หน้าเสร็จก็เดินออกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนฝูง เคลียร์เรื่องที่ว่าแอบซุกลูกไว้ อธิบายคร่าว ๆ ว่ามีเหตุจำเป็นนิดหน่อยจึงต้องเอาเด็กติดสอยห้อยตามมาด้วย
แสงสีมากมายดูจะช่วยทำให้เด็กหญิงลืมกลัวไปชั่วขณะแล้วแทนที่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ มือน้อยแบออกตอนที่มีประกายระยิบระยับพาดผ่าน มีแสงสะท้อนบนเพดานทำให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังท่องอวกาศอยู่ หนูดามองไฟวิบวับรอบห้องตาเป็นประกายในขณะนั่งห้อยขาบนโซฟา ก่อนจะแอบทำตัวลีบเมื่อพวกพี่สาวเข้ามานั่งประคบข้างและชวนคุย
พวกเธอสอบถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครด้วยน้ำเสียงสดใส มีการยื่นแก้วน้ำให้ดื่มอย่างใจดี ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่ก็ชวดตำแหน่งนางงามรักเด็กไปเมื่อจอมทัพเดินเข้ามาขัด “ถอยไป” ออกปากไล่ให้ไปพ้น ๆ แล้วลดตัวลงนั่งแทนที่ว่างพลางวางจานขนมไว้บนโต๊ะแก้วหน้าโซฟา “กินซะ”
คนอุตส่าห์หาขนมคบเคี้ยวมาให้กินรองท้อง เด็กหญิงกลับทำแค่นั่งมองอย่างหวาด ๆ เพราะน้าชายเคยเล่านิทานสโนไวท์กบคนแคระทั้งเจ็ดให้หลานสาวฟัง ว่าสโนไวท์ยอมกินแอปเปิ้ลที่ได้รับจากแม่มดจนกระทั่งสลบไป
“ไม่มียาพิษหรอกน่า อย่าเว่อร์” จอมทัพที่ถือแก้วติดมือมากระดกเหล้าเข้าปากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เยาวชน ขอไฟแช็กจากคนเดินผ่านไปผ่านมาเพื่อจะจุดบุหรี่สูบ
“หนูเหม็น” เด็กหญิงเป็นใบ้มานานและอาจจะเป็นไปอีกสักพักถ้าหากผู้ใหญ่ไม่เล่นพิเรนทร์สูบบุหรี่ในที่ปิดทึบ ลืมว่ามีอนาคตของชาตินั่งอยู่ร่วมห้อง
“อะไร” นอกจากจะไม่สำนึกยังมีการเป่าควันบุหรี่ใส่หน้า
ควันสีเทากระจายฟุ้งจนหนูดาต้องรีบยกมือขึ้นปิดจมูก แสดงท่าทางรังเกียจอย่างชัดเจน แต่เห็นแบบนั้นก็ใช่ว่าจอมทัพจะสน ยังนั่งไขว่ห้างพ่นควันพิษออกสู่อากาศ ดื่มด่ำกับสาเหตุของมะเร็งปอดสลับกับยกแก้วเหล้าดื่มอีกสักหน่อยแล้วค่อยเอาบุหรี่จุ่มในน้ำจนไฟสีส้มดับในที่สุด
“น้าภัคบอกว่าจอมทัพชอบทำตัวไม่น่ารัก”
“จะด่าว่าฉันเลวงั้นสิ” น่าแปลกที่บรรยากาศระหว่างคนต่างวัยไม่ได้แย่อย่างที่คิด อาจเพราะผู้ใหญ่เข้าหาอย่างเป็นมิตรกว่าแต่ก่อน เด็กน้อยเองก็ค่อนข้างแปลกที่แปลกทางจึงฝากชีวิตไว้กับคนที่อย่างน้อยก็รู้จักเห็นมาตั้งแต่เกิด
“จอมทัพอยู่ที่นี่เหรอ”
“อะไร”
“ไม่เห็นจอมทัพที่บ้านตั้งหลายวัน”
“ฉันจะอยู่หรือไม่อยู่บ้านมีใครสนใจด้วยหรือไง” เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ ถ้าเป็นคนอื่นถามก็ว่าไปอย่าง แต่คนที่แสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยกลับเป็นเด็กที่เคยโดนตนทำร้ายจนเลือดตกยางออกเนี่ยสิ มีความจำเท่าปลาทองหรือไงถึงได้ลืมเรื่องราวบาดหมางง่ายขนาดนั้น “หายกลัวฉันแล้วเหรอ” ลองถามยั้งเชิงขณะหลุบตามองอย่างดุ ๆ “แล้วใครสั่งใครสอนให้เรียกผู้ใหญ่ด้วยชื่อเฉย ๆ” แทนที่จะแสดงอาการหวาดกลัวอย่างที่เคย ๆ เห็น ร่างเล็กกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เซมองไปทางอื่นเสียอย่างนั้น ถ้าน้าชายรู้ว่าทำตัวเสียมารยาทกับผู้ใหญ่คงได้โดนบ่นไปหลายวัน “นี่ ฉันพูดด้วยอยู่นะ เฮ้…”
ระหว่างที่คนโดนเมินกำลังเรียกร้องความสนใจ โทรศัพท์ก็มีสายโทรเข้า คำว่า ‘นรก’ เด่นหลาบนหน้าจอ ตอนแรกก็สงสัยว่ามีเหตุผลอะไรให้คนที่บ้านต้องโทรหา แต่พอเหลือบหางตามองด้านข้างก็ถึงบางอ้อ แล้วก็ยิ้มด้วยความสนุก
“ฮัลโหล ใช่ อยู่กับฉัน” ไม่ผิดไปจากที่คาด น้าชายโทรมาถามเรื่องหลานสาวด้วยความร้อนใจและถ้าให้ทายก็คงใกล้จะหน้ามืดเป็นลมเต็มทีเมื่อรู้ว่าแก้วตาดวงใจอยู่กับชายหนุ่มที่เคยลั่นวาจาว่าอย่าได้เผลอก็แล้วกัน “ฉันเคยบอกนายว่าไง ถึงตาฉันเอาคืนบ้างแล้วล่ะ” พูดทิ้งท้ายอย่างมีเลศนัยแล้วกดตัดสายทิ้ง แย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ระหว่างมองเด็กหญิงเอื้อมมือหยิบขนมกินทีละชิ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
คิมหันต์ที่ใช้ชีวิตเยี่ยงค้างคาวเข้าไปทุกขณะ ถึงเวลาบ่ายก็หลบอยู่ในถ้ำ เผลอหลับลึกหลังเอนตัวพิงกับพนักโซฟาได้ไม่นาน ก่อนจะโดนฝันร้ายเข้าครอบงำจนส่ออาการกระสับกระส่าย ยังคงฝันว่ามีใครสักคนหมายจะเอาชีวิตด้วยการบีบคอ แต่คราวนี้ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมจนเกิดการหลั่ง มันรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ เจ้าของมือที่กุมรอบลำคอไม่ได้เป็นแค่เงาดำแต่หน้าตากลับเหมือนตัวเองทุกประการ มีเลือดไหลจากดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
คนเป็นน้องกำสองมือรอบลำคอพี่ชายไว้แน่น แล้วออกแรงบีบเพิ่มจนฝ่ายหายใจไม่ออกหน้าเริ่มเปลี่ยนสี อ้าปากค้างแถมยังนัยน์ตาเบิกโพลง โชคดีที่มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องหลังจากได้ยินเสียงไอโครกครากดังไปถึงข้างนอก ภัคชะงักแล้วหยุดมองภาพน่าแปลกใจชั่วครู่ ก่อนจะรีบเข้าช่วยนายตำรวจที่กำลังหลับตาและละเมอบีบคอตัวเองอยู่จนหน้าดำหน้าแดง เขย่าอย่างแรงเพื่อปลุกให้ได้สติ รวมถึงช่วยง้างมือที่กำรอบลำคอออก
ลืมว่าจะมาบอกเรื่องที่หนูดาหายไปกับจอมทัพ
แล้วก็ช่วยให้คิมหันต์รอดจากการสิ้นใจได้อย่างหวุดหวิด “เกิดอะไรขึ้นครับ”
ร่างบางรีบถามยามอีกคนลืมตาตื่นจากความตาย “หยิบน้ำให้ผมหน่อย” นายตำรวจร้องขอเสียงสั่น วิญญาณยังไม่อยู่กับร่องกับรอย ภัคที่รีบหาน้ำมาให้ปล่อยอีกคนได้มีเวลาดื่มน้ำ ความเย็นอุณหภูมิห้องพอทำให้ใจเย็นลงตามลำดับ กลับมาสงบ “ฝันร้ายน่ะ”
คิมหันต์ลูบหน้าตัวเองระหว่างพูดไปด้วยเสียงเบา
“อยากเล่าให้ผมฟังไหม” ร่างบางที่อาสาเป็นผู้ฟังหย่อนก้นลงนั่งตรงที่ว่างด้านข้าง
“บางทีอาจเป็นภาพก่อนตายของน้องชายและความเป็นฝาแฝดก็ทำให้ผมระลึกถึงตลอดเวลา” น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ก็ให้คำตอบไม่ได้ พอคนไม่มีฝาแฝดได้ฟังก็เกิดความสงสัย จินตนาการไม่ออกเท่ากับเรื่องที่มีคนเพิ่งบอกมา ‘เขารู้ …ว่าคุณเคยนอนกับน้องชายเขา’ นัยน์ตาสีน้ำตาลเอาแต่จ้องด้วยความเคลือบแคลงจนนายตำรวจถามว่ามีอะไร
“ผมแค่สงสัยว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
“ตอนงานศพแม่ผมไง เมื่อหกเจ็ดปีก่อน”
“ไม่ใช่ ผมหมายถึงนอกเหนือจากนั้น” คิมหันต์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจว่าทำไมถึงอยากรู้ขึ้นมา “ก็อาจจะเป็น…ในฝันละมั้ง” ฉวยมือเรียวมากุมบนตักอย่างไม่มีเหตุผล แล้วพูดจาเหมือนคนยังไม่ฟื้นสติซะทีเดียว “บางทีคนที่บีบคอผมในฝันอาจจะเป็นคุณ”
“บีบคอ…?”
ไม่มีคำอธิบายอะไรมากไปกว่ายกมือเรียวขึ้นมาวางรอบลำคอตัวเอง “ลองบีบดูสิ” สงสัยเป็นผลจากการที่ออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงสมองชั่วขณะ ไม่เข็ดแม้ว่าจะรู้รสชาติความทรมานของการถูกบีบคอดี
“คุณจะบ้าเหรอ…”
เกือบจะหลุดหัวเราะด้วยความตลกถ้าไม่เผอิญเห็นแววตาจริงจังมองแกมกดดัน “บีบ”
“ผมทำไม่ได้” สองมือที่กุมรอบลำคอหนาสั่นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนจะตามไม่ทันทั้งที่ก้าวนำคิมหันต์ไปหลายก้าว ไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายเสียมากกว่าและจะไม่มีทางปล่อยให้หัวข้อนี้คงอยู่นาน ภัคยกเรื่องหลายสาวมาคั่นกลางหลังจากที่เพิ่งนึกออก น้าชายที่บกพร่องต่อหน้าที่จนหลานหายออกไปจากบ้านรีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่รอเวลาให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนได้ไหมครับ หนูดาหายออกไปจากบ้าน ผมเลยลองโทรหาคุณจอมทัพ แล้วแกก็อยู่เขา”
“ที่ไหน”
“ผมไม่รู้ แต่เขาพูดเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง”
ไม่ทันฟังให้จบ คิมหันต์ก็รีบคว้าแขนภัคลุกไปจากโซฟาด้วยกัน
“หนูง่วง”
เด็กหญิงบอกเสียงอ่อย
ภายในห้องกว้างไม่มีกิจกรรมไหนพอให้เยาวชนเข้าร่วมได้เลย สุดท้ายจึงได้แต่นั่งกินขนมกับแอบลองชิมน้ำอัดลมตามคำเชิญชวนของคนมากประสบการณ์ หนูดาออกนอกลู่นอกทางหนึ่งวัน ยังขัดเขินกับการคุยกับแปลกหน้า แต่ถ้ากับจอมทัพก็พอจะสนิทอยู่ในระดับหนึ่ง ยอมให้อีกฝ่ายถึงเนื้อถึงตัว หายกลัวไปมากหลังจากที่เมื้อกี้ได้น้ำอัดลมกระป๋องใหม่ ดื่มไปหลายอึกจนเดินเองไม่ไหวและได้คนพามาอุ้มพาเข้าห้องนอนเพื่อน
จอมทัพใช้ปลายเท้าเขี่ยก้นสหายที่กำลังใช้เตียงทำเรื่องอย่างว่ากับสาวที่พามา
“ออกไปไป ลูกกูจะนอน” ออกปากไล่อย่างเย็นชาโดยไม่สนว่าอีกสองคนจะอยู่ในอารมณ์ไหน ผู้หญิงต้องรีบใส่เสื้อผ้า ส่วนสหายก็ยกนิ้วกลางให้ก่อนจะคว้าเสื้อยืดออกไปจากห้องอย่างเซ็ง ๆ
“เมื่อกี้พี่สองคนเขาทำอะไรกันเหรอจอมทัพ”
ตอนถูกวางร่างลงกลางเตียง หนูดาก็เอียงคอถามด้วยความใคร่รู้
“แก่แดด ไม่ใช่เรื่องที่เด็กต้องรู้สักหน่อย”
เด็กน้อยอมลมจนแก้มป่องแล้วนอนมองอีกคนนั่งลงบนเตียงเดียวกัน หยัดขายาวขึ้นมาหนึ่งข้างระหว่างเอนหลังพิงกับหัวเตียง
“จอมทัพง่วงไหม”
คนถูกถามเอียงหน้ามองคนถามเล็กน้อย “จะว่าไปก็ไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายคืนเหมือนกัน” จอมทัพขยับตัวลงนอนและจากที่ตอนแรกแบ่งโซนชัดเจน เป็นผู้ใหญ่ที่ล้ำเส้น เขยิบเข้าเขตแดนของหนูดาและนอนตะแคงต่ำกว่าร่างเล็ก โตแล้วแต่ก็ยังให้คนที่เด็กว่าลูบหัวเล่น ไม่ได้ปฏิเสธความมีน้ำใจ แค่นอนกอดอกเฉย ๆ แล้วปล่อยให้เด็กหญิงร้องเพลงกล่อม ลักจำพฤติกรรมมาจากน้าชายและเลียนแบบได้อย่างไม่มีที่ติ
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังแผ่ว ๆ แล้วก็เงียบหายไปอย่างเป็นปริศนา
แต่จอมทัพที่ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้ารู้สาเหตุดี ชายหนุ่มผิวสีแทนค่อย ๆ ยกมือเล็กที่วางค้างไว้บนศีรษะตัวเองออก แล้วนอนมองดวงหน้าจิ้มลิ่มด้วยสายตายากแท้หยั่งถึง มองลึกลงไปเหมือนจะเห็นความลังเลและความสงสารอยู่หน่อย ๆ เกิดเห็นใจเด็กน้อยที่ดันมีแม่เป็นคนที่ตนเกลียดเข้ากระดูกดำทั้งที่ไม่เคยทำอะไรให้ อันที่จริงก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ล้วนเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา พ่อแม่หย่าร้างกับพ่อแม่ไม่รักกัน
บทสรุปก็คือเด็กขาดความอบอุ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าน้าชายเลี้ยงหลานสาวให้โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ พูดในแง่ของความน่ารัก ผิวพรรณที่ขาวอย่างกับนุ่นและนุ่มดุจขนนก มือหนึ่งวางลงบนท่อนขาเล็กที่แสนเรียบเนียน ความคิดน่ารังเกียจกำลังกัดกินจอมทัพอย่างช้า ๆ มือนั้นลูบย้อนขึ้นจนใกล้จะถึงชายกระโปรงและอะไร ๆ ก็คงจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ถ้าไม่มีคนเปิดประตูห้องออกอย่างแรง
หลังจากใช้เส้นสายให้เพื่อนตำรวจจารจรช่วยหาว่าป้ายทะเบียนเป้าหมายขับรถไปไหนคิมหันต์ถึงได้พบกับแหล่งกลบดานและเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาช่วยเด็กหญิงได้ทัน มือกร้านกระชากคอเสื้อจอมทัพให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว “แกคิดจะทำอะไรลูกฉัน!” หมัดหลุน ๆ กระแทกเข้ากับหน้าคนที่เกือบจะทำอนาจารเด็กอย่างจังและนายตำรวจก็พร้อมตั้งข้อหาถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยอมสารภาพว่าคิดจะทำอะไรกันแน่ “ฉันถาม!!”
“ใจเย็นสิพวก” จอมทัพที่มีเลือดออกตามไรฟันกลับยิ้มเย้ยยันอย่างไม่กลัวตาย
“ภัค พาหนูดาออกไป” น้าชายทำตามที่นายตำรวจบอกทันที ปรี่เข้าช้อนตัวเด็กหญิงที่ยังหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราขึ้นจากเตียง หนูดายังสลบไสลราวกับตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยานอนหลับและไม่ว่าใครจะทำเสียงดังสักแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ชายสองคนที่ยืนประจันหน้ากันรอให้สองน้าหลานออกไปจากห้องเป็นที่เรียบร้อย แล้วคนอายุน้อยกว่าก็พาเข้าประเด็นสำคัญทันที ไม่มีการอ้อมโลกใด ๆ “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ ลูกฉัน…?” ทวนประโยคที่ใครฟังก็คงแอบตะขิดตะขวงใจ แต่ไม่ใช่กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งนึกอะไรดี ๆ ออก “อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนแรกเกือบจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ต้องขอบคุณหมัดนายที่ช่วยเตือนความจำฉัน”
“จะพูดอะไร”
“ยังต้องให้ฉันพูดอีกเหรอ” คนเป็นต่อย้อนถามหน้าระรื่น
นายตำรวจดันตัวอีกฝ่ายเข้ามุมห้อง มองซ้ายมองขวาให้มั่นใจว่าถ้าพูดอะไรไปแล้วจะไม่มีคนอื่นเข้ามาได้ยิน
“นายรู้อะไรมา”
“ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกยัยมินตรา ยัยนั่นคงดีใจจนเนื้อเต้น” จอมทัพพอจะเห็นลางแห่งความวุ่นวายในอนาคตอันใกล้ ถ้าแพร่งพรายความลับออกไปไม่ใครก็ใครต้องถูกแหกอกโทษฐานปกปิดความจริงที่ยิ่งกว่าละครเน่าน้ำ บทละครหลังข่าวยังต้องยอมแพ้
“นายต้องการอะไร”
“ให้ได้แค่ไหนล่ะคุณตำรวจ”
“อย่าคิดจะขู่ฉัน” คิมหันต์เลิกชายเสื้อขึ้นเพื่อโชว์ปืนที่เหน็บไว้ด้านหลังกางเกง
แต่เด็กหนุ่มก็หาได้เกรงกลัวไม่ “อย่าดีแต่ขู่สิคุณตำรวจ”
“นายเองก็คงไม่อยากให้ฉันเอาจริงสักเท่าไหร่หรอกใช่ไหม”
“แล้วจะให้ส่งเลขบัญชีไปทางช่องทางไหนดีล่ะ” ลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้และทำถ่อยด้วยการพ่นน้ำลายปดเลือดรดมือที่จับปกเสื้อไม่ปล่อย “คงรู้นะว่าต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นค่าปิดปากคนอย่างฉัน” จอมทัพสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแล้วตบบ่ากว้าง เป็นเหตุให้คิมหันต์โกรธจัดจนเผลอดึงปืนออกมาจากด้านหลัง ตั้งท่าจะยิงกะโหลกศีรษะของคนที่เดินลอยชายออกไป เกือบจะลั่นไกเพื่อทำให้เรื่องมันจบ ๆ แต่ท้ายที่สุดก็ตระหนักได้ว่าอีกคนยังไม่สมควรตาย โทษที่สาสมกับคนแบบนั้นไม่ควรจะเป็นอะไรที่ง่ายดายอย่างการส่งไปปรโลก แต่ทำให้รู้จัก
นรก บนดินจริง ๆ
------------------------------
แท็ก #ลั่น_ดาล
ติดตามข่าวสาร