บทส่งท้ายไฟหน้าจากรถหลายคันที่จอดซ้อนกันถูกเปิดทิ้งไว้ แสงสีส้มกระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณหน้าบ้าน ณ ยามวิกาล คนพลุกพล่านทั่วเคหะสถานเสมือนเช้าวันนั้นที่พบศพเหมันต์ คิมหันต์เป็นคนโทรแจ้งลูกน้องให้มารับตัวผู้ต้องหาถึงสองคนกลางดึกก่อนจะถูกงานดึงไว้จนไม่มีเวลาปลีกตัวออกมา ระหว่างนั้นภัคก็อยู่เป็นเพื่อนหลานบนห้อง พยายามลองกล่อมให้หลับอีกครั้งแต่หนูดาก็ยังเอาแต่นอนมองออกมาข้างนอก จ้องบานประตูห้องมารดาเหมือนรู้ว่ามีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับแม่ น้าชายทำได้แค่ลูบหัว กระทั่งเห็นธันถูกควบคุมตัวออกมาจากห้องโดยสองมือถูกพันธนาการแล้วมีผ้าพันทับไว้อีกรอบ
“หนูดารอนี่นะคะ”
คิดว่าเป็นจังหวะดีที่จะได้กล่าวคำอำลา จึงบอกหลานว่าอย่าไปไหน
แล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายเดินออกมาดักหน้าเจ้าพนักงานตรงบริเวณขั้นบันไดสุด
“ขอผมคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ” ก่อนจะถูกนำตัวออกไปขอแค่ได้ขอบคุณก็ยังดี
เห็นแก่ที่เป็นญาติของคิมหันต์ ตำรวจสองนายจึงยอมขยับออกไปไกลพอเพื่อให้ได้พูดคุยกันตามลำพัง
ภัคแตะหลังมือกร้านแผ่วเบาตอนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา” รู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกตื้นตันใจในเวลาที่คนตรงหน้ากำลังจะติดคุกเพราะตัวเองแต่มันก็อดไม่ได้และความภักดีจนวินาทีสุดท้ายก็ทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกละอายใจ ตอนอยู่ไม่เคยดูดำดูดี พอตอนนี้จะไปกลับมาอาลัยอาวรณ์ ภัคซ่อนความรู้สึกผิดและเสียใจไว้ไม่มิด
โดยธันยินดีรับความรู้สึกทั้งสองไว้ด้วยใจ แต่ไม่รับคำขอบคุณ “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ …ผมทำเพื่อตัวเอง” คำพูดเหล่านั้นสร้างความงงงวยให้กับร่างบางอย่างมาก ธันอาจให้ความกระจ่างในสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้ แต่บอกได้ว่าความลับอะไรที่เก็บงำไว้มาโดยตลอด ตอนที่ตำรวจมองไปทางอื่น ชายผิวซีดแค่ยื่นใบหน้าเข้าใกล้ เพื่อกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น “ผมไม่ได้เป็นคนแขวนคอคุณเหมันต์…” เป็นความลับที่พยายามหาโอกาสสารภาพอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ถูกปฏิเสธการฟังอยู่ร่ำไป แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบัง มันเป็นสิ่งที่ร่างบางควรได้รู้ “…เขาถูกแขวนคออยู่ก่อนแล้วตอนที่ผมเข้าไป”
ภัคก็นิ่งงันราวกับโดยสาป ได้ยินแต่ไม่เข้าใจและไม่ทันได้ถามความต่อ ตำรวจสองนายก็เข้ามาพาตัวผู้ต้องหาเดินลงบันไดไป ทิ้งให้ร่างบางมองตามจากข้างบนด้วยความสับสน หมายความว่าไงที่ว่าไม่ได้เป็นคนแขวนคอและเหมันต์ก็ถูกแขวนอยู่ก่อนแล้วตอนที่เข้าไป หลายคำถามประดังประเดเข้ามา ถ้าไม่ได้เป็นคนทำแล้วรับสารภาพว่าทำทำไม ถ้าไม่ใช่ธันแล้วอย่างนั้นจะเป็นใครกันล่ะ ในเมื่อ ‘คืนนั้น’ อีกคนก็กลับมาพูดเองว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ยังจำแววตาและท่าทีเป็นกังวลของคนที่โดนปลุกขึ้นมากลางดึกได้แม่นยำ เป็นคืนที่เข้าไปขอความช่วยเหลือถึงในห้องนอนทั้งอาการรนรานหลังจากที่พลาดทำเหมันต์ขาดอากาศหายใจ จากการลองเขย่าแรง ๆ ตนที่สติแตกก็มั่นใจว่าพี่เขยตายแล้วและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ บุกเข้าไปหาเพราะต้องการคำปรึกษา ย้ำเสมอว่าไม่ได้ตั้งใจ พูดจาวกไปวนมาอยู่เกือบยี่สิบนาที สุดท้ายธันวาที่กลายมาเป็นเสาหลักจึงบอกให้ตั้งสติและรออยู่แต่ในห้อง เดี๋ยวจะเป็นคนออกไปเก็บกวาด
พยายามคิดขั้นตอนการอำพรางที่ชาญฉลาด แต่ตอนนั้นสมองก็ว่างเปล่าพอกัน ไร้แผนการดี ๆ คิดแค่ว่าจะต้องไม่มีใครสาวถึงตัวคนที่รักได้ ก่อนสัมผัสลูกบิดก็แค่ใช้ผ้าที่ถือติดมือมารองก่อนหมุนลูกบิด ตามที่ร่างบางเล่าทำให้จินตนาการเอาว่าเหมันต์นอนตายบนเตียงอย่างเดียวดาย แต่ภาพที่เห็นหลังจากที่ได้เปิดประตูกลับเป็นเจ้าของบ้านห้อยต่องแต่งอยู่ในอากาศ สภาพหมุนคว้างอย่างกับพัดลมเพดานที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าก่อนจะหยุดนิ่งกับที่
เป็นฝีมือใครสงสัยแต่ไม่ถาม ตอนนั้นยอมรับว่าแค่อยากได้ความดีความชอบก็เท่านั้น จึงสมอ้างว่าเป็นคนจัดฉาก หวังตื้น ๆ ว่าสิ่งที่ทำจะช่วยเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์ให้ยิ่งยากจะตัดขาด จงใจผูกมัดด้วยความลับและหากินกับคำโกหก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมา ถ้าไม่มีคิมหันต์สักคนบทสรุปอาจไม่ลงเอยเช่นนี้ เขาทั้งคู่คงมีความสุขกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้จะรู้แต่แรกว่าร่างบางเป็นคนมากรักก็ยังจะพยายามเปลี่ยนใจ ตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่มีทางและตระหนักไว้ว่าโทษในคุกมันไม่สาสมกับคนแบบนั้น …การแก้แค้นร่างบางที่แยบยลคือการปล่อยให้อยู่กับคนอย่างคิมหันต์ไปชั่วกัลปาวสาน
ผู้ต้องหาถูกดันตัวเข้าในรถที่ติดเครื่องยนต์ไว้ ได้นั่งตรงกลางโดยมีนายตำรวจสองนายนั่งขนาบข้าง ระหว่างที่ล้อค่อยเคลื่อนออกมาตามทางและมีตัวบ้านหลังใหญ่เป็นฉากหลัง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ชายผิวซีดยกยิ้มจาง ๆ ไม่ใช่เย้ยหยันอย่างผู้ชนะแต่ว่าสุขใจในฐานะผู้หลุดพ้น
รถตำรวจอีกคันขับเข้ามาจอดเทียบท่าบันไดหน้าบ้าน เพื่อรอรับตัวผู้ต้องหาอีกรายที่ไม่ง่ายต่อการใช้กำลังบังคับ มินตราพยายามดิ้นรนและขัดขืนตลอดการจับกุม ตำรวจหญิงรุมล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวที่น้ำตานองหน้า หาใช่ความโศกเศร้าร้องไห้ราวขาดใจเพราะคับแค้นในอก แถมหกคะล้มจับกบเพราะขาเกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ พยายามยื้อร่างไว้เล่นทำเอาเจ้าพนักงานเหนื่อยไปตาม ๆ กัน กว่าจะพาตัวออกจากบ้านได้สำเร็จระยะไม่กี่เมตรเหมือนยาวเป็นสิบ ๆ กิโล
ก่อนหนูดาที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนจะเข้าขัดขวาง มือเล็กไล่ผลักทุกคนที่เข้าใกล้มารดา “อย่าทำแม่หนูนะ!” เด็กหญิงวิ่งปรี่มาจากชั้นสองเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นลูกเห็นแม่ถูกรังแกก็พยายามจะปกป้อง รักของเด็กบริสุทธิ์ดุจน้ำนมจากเต้า ลูกสาวกอดขาคนเป็นแม่ไว้ก่อนจะเริ่มร้องไห้จนนำมาซึ่งภาพสะเทือนใจ
พวกผู้ใหญ่ที่ทำตามหน้าที่เบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกเศร้าสลด กฎหมายก็ส่วนกฎหมาย ความเห็นใจก็ส่วนความเห็นใจ ต้องแยกให้ออก ภาพสองแม่ลูกกันกลมจนคนแม่เป็นลมลงไปทำเอาชุลมุนวุ่นวายกันหมด ก่อนหนูดาจะถูกใครสักคนเหยียบจนร่างหัก คนเป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานก็เข้ามาจัดการ คิมหันต์ช้อนตัวหนูดาขึ้นจากพื้นง่ายดายแล้วส่งคืนน้าชายที่วิ่งมารับนัยน์ตาแดงก่ำ สภาพหลานน่าสงสารจนเกือบกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่
หนูดาร้องเรียกหาแม่เสียงหลง “แม่จ๋า!” พยายามส่งมืออกไปให้จับตอนที่ร่างมารดาถูกหามขึ้นรถ
สร้างความทุลักทุเลให้กับคนอุ้มไม่น้อย แม้จะต้องได้ชื่อว่าเป็นคนพรากลูกพรากแม่ แต่ภัคก็ไม่สามารถปล่อยร่างเล็กไปได้เหมือนกัน ทำทั้งหมดก็เพื่อร่างเล็กทั้งนั้น รีบคุกเข่าเพื่อกอดรัดตัวหลานสาวไว้ ขอโทษในใจนับร้อยนับพันครั้งระหว่างเรียกชื่อให้ได้สติ “หนูดา หนูดาอยู่กับน้าภัคนะ” พยายามถ่วงเวลาจนกระทั่งมินตราถูกพาขึ้นด้วยสภาพอเนจอนาถ หนูดาปล่อยโฮเมื่อยานพาหนะสี่ล้อขับออกไปแล้วหันกลับมาสะอึกสะอื้นในอ้อมแขน ภัคกอดเด็กหญิงไว้แน่นหนา ทำหน้าที่ปลอบแทนแม่บังเกิดเกล้า ทุกอย่างที่พี่สาวขาดตกบกพร่องไป
นับจากนี้ตนจะแก้ไขและให้สัญญาว่าจะดูแลเด็กหญิงพิมพ์มาดาอย่างดี
พิธีเผาศพของเหมันต์เกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์ถัดมาและบรรยากาศก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายภายในวัดเดียวกันกับที่เก็บอัฐิของแม่แท้ ๆ หลังจากที่ธันวาและมินตราถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย คิมหันต์ก็ได้ทำเรื่องขอร่างน้องชายกลับบ้านเพื่อนำมาประกอบพิธีทางศาสนา แขกที่เชิญมาในงานวันนี้มีบางตา ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีดำเพื่อร่วมไว้อาลัย ยกเว้นหนูดาที่ใส่ชุดขาวยืนมองลูกไฟในเตาเผาด้วยความเศร้าสร้อย เด็กน้อยยังทำใจเรื่องที่แม่ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักไม่ได้ โชคดีว่ายังมีน้าชายยืนกุมมืออยู่ข้าง ๆ ภัคกระชับมือเล็กไว้ขณะที่มืออีกข้างถูกคว้าไปกอบกุม นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบมองมือใหญ่แล้วเงยมองใบหน้าสมส่วน วันนี้นายตำรวจแต่งตัวเต็มยศเพื่อเป็นเกียรติให้แก่คนตาย แต่สายตานั้นกลับเรียบเฉยกว่าทุกวัน
คงรู้ว่าทำตัวเย็นชาเกินไปจึงหันมายิ้มให้ร่างบาง เหมือนจะแสดงออกเป็นนัย ว่านี่คือหนึ่งในท่าทางอันเป็นผลข้างเคียงมาจากการเสียคนในครอบครัวไปก็เท่านั้น แล้วค่อยหันมองไปข้างหน้า จ้องเปลวไฟโลมเลียร่างน้องชายฝาแฝดจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน อัฐิของเหมันต์จะถูกเก็บไว้ที่นี่ด้วยเหมือนกัน จะไม่มีใครนำกลับบ้านให้เป็นที่น่าหวาดหวั่น
สองพ่อลูกเดินลงบันไดล่วงหน้าไปก่อนเพราะต้องทยอยส่งแขกเรื่อ เหลือภัคที่ยังยืนอยู่บนเมรุเป็นคนสุดท้าย ไม่รู้จะพูดอะไรกับรูปภาพเลย ‘ขออโหสิกรรม’ ในใจ แล้วถึงได้ยินเสียงเรียกหา คิมหันต์สัญญากับหนูดาว่าจะพาไปกินไอติม ทั้งคู่จึงกวักมือเรียกร่างบางให้รีบลงมา ภัคพยักหน้าแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะมีแมวดำปริศนากระโดดตัดหน้าทำเอาหวาดผวา มีโอกาสได้จ้องตามัน เจ้าแมวจ้องตอบอย่างอาฆาตเหมือนจะบอกว่าไม่มีวันอโหสิกรรมให้ คนกลัวจึงไล่ไปให้พ้นทางแล้วรีบเดินลงจากบันไดและเมื่อเผลอหันมองเหลียวหลังก็เหมือนถูกดวงตาคนตายในรูปภาพมองตามไม่วางตา
คืนนั้นร่างบางต้องเผชิญกับสภาวะนอนไม่หลับ ภายใต้แสงสีส้มจากโคมไฟภัคพลิกตัวกลับไปกลับมาก่อนจะลงเอยด้วยท่านอนตะแคงข้าง มองเสี้ยวหน้าของทั้งสองพ่อลูกที่นอนกอดกันกลมภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันอย่างคิดไม่ตก
ทั้งที่ทุกอย่างมันจบลงไปแล้วแต่กลับรู้สึกไม่เป็นอย่างนั้น
คำพูดของธันยังตามหลอกหลอน ‘…เขาถูกแขวนคออยู่ก่อนแล้วตอนที่ผมเข้าไป’
มันหมายความว่าอย่างไรกัน จะมีวันได้รู้คำตอบหรือไม่
บ้านหลังใหญ่เงียบเหงาลงถนัดตาเมื่อสมาชิกหลายคนหายไป คงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะชิน
ช่วงนี้พวกเขาอาศัยกินข้าวนอกบ้านเป็นหลัก พักผ่อนด้วยการช็อปปิ้งและจบหนึ่งวันด้วยการที่เด็กหญิงให้พาแวะสวนสาธารณะใกล้บ้านเพราะเพิ่งเห็นว่ามีการเอาเครื่องเล่นเด็กเล็กมาลงใหม่ พอได้ลงเดินเองเท่านั้นแหละ หนูดาก็ปรี่เข้าหาชิงช้าก่อนเป็นอันดับแรก แต่เล่นแป๊บ ๆ ก็ย้ายไปเครื่องเล่นใหม่เหมือนกลัวพวกมันจะน้อยใจถ้าเล่นไม่ครบ
ภัคตามประกบหลานสาวทุกฝีก้าว เฝ้าหนูดาที่เล่นสไลเดอร์อย่างสนุกสนานแต่ระหว่างนั้นก็มีบ้างที่ใจลอย ปล่อยให้คำพูดของคนอื่นเข้ามามีอิทธิพลและลองคิดย้อนไปตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่คืนที่ฝนตกกระหน่ำ หลังธันกลับเข้ามาในห้องพร้อมบอกว่าจัดการเรียบร้อย ตนก็ค่อยออกมาข้างนอกและเห็นว่าหนูดากำลังเคาะห้องพ่อตัวเองอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าตนรู้ว่าเหมันต์จะลุกมาเปิดประตูให้ไม่ได้และไม่มีวันออกมา แต่ตอนนั้นร่างเล็กกลับบอกว่าเห็นคุณพ่อที่ด้านล่าง แล้วถ้าคุณพ่อที่เห็นไม่ใช่วิญญาณเหมันต์อย่างที่คิดล่ะ คนตายมีฝาแฝดเป็นคิมหันต์ ทั้งคู่หน้าตาเหมือนกัน…
พอลองผนวกเข้ากับคำพูดของธันวาขนก็พากันลุกชัน เสียวสันหลังวาบอย่างกับคนที่เพิ่งประจักษ์กับความจริงว่าสิงสู่อยู่กับวิญญาณร้าย ‘เขาถูกแขวนคออยู่ก่อนแล้วตอนที่ผมเข้าไป’ ภัคส่ายหน้าแทนการพูดว่าเป็นไปไม่ได้ สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป แต่ถึงจะไม่เชื่อ เพื่อไขข้อข้องใจของตัวเองจึงอยากให้เด็กหญิงช่วยยืนยันว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด
หนูดาเล่นคลุกดินคลุกทราย วิ่งวนรอบตัวน้าชายและเครื่องเล่นสไลเดอร์เพื่อที่จะเล่นซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง ส่วนภัคที่อยากได้คำตอบยอมเดินตามทุกความเคลื่อนไหว ระหว่างรอรับร่างก็ถามเสียงเครียดไปด้วย “หนูดาคะ หนูดาจำวันที่เห็นคุณพ่อโบกมือให้ได้ไหมคะ คืนที่หนูดาอยากนอนกับคุณพ่อไง”
เด็กหญิงที่สไลเข้าวงแขนพอดีค่อยลุกยืนตามความช่วยเหลือและเท้าคางเมื่อต้องครุ่นคิด “อืม...”
คิมหันต์และเหมันต์เหมือนกันแทบทุกอย่าง ยกเว้นลักษณะการแต่งกาย เหมันต์เป็นนักธุรกิจเพราะฉะนั้นก็จะชอบใส่สูทผูกไท ส่วนคิมหันต์เป็นตำรวจก็ชอบใส่ชุดที่ทะมัดทะแมงแจ็คเก็ตหนังกับกางเกงยีนส์ ถ้าจะแยกทั้งสองคนออกจากกันโดยสิ้นเชิงก็ต้องดูที่การแต่งกายเป็นอันดับแรก
“จำได้ไหมคะว่าวันนั้นคุณพ่อแต่งตัวแบบไหน” คืนนั้นเหมันต์ใส่สูทผูกไทแน่นอน
ภัคร้อนใจแต่ก็ไม่อยากเร่งเด็กหญิงที่คิดหนักเพราะมันก็ผ่านมาตั้งหลายสัปดาห์ จนกระทั่งเห็นคุณพ่อเดินเข้ามาในสนามเดินเล่น เห็นตัวอย่างจึงนึกออก “แบบนั้นค่ะ” ปลายนิ้วหันไปทางคิมหันต์ที่นั่งลงบนชิงช้าขนาดกะทัดรัดก่อนจะออกแรงดันขา ไกวชิงช้าเองอย่างอืดอาดขณะควักมวนบุหรี่ออกมาจุดสูบท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
ท้องนภามีสีส้มอมแดง นายตำรวจนั่งอาบแสงสุดท้ายของวันด้วยท่าทางสบายใจ
ทั้งที่ไม่เคยสูบบุหรี่ให้ใครเห็นมาก่อน แต่เลือกจะทำขึ้นมาเพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
ในเมื่อ ‘อะไร ๆ’ ก็เข้าทางและลงล็อกอย่างที่หวังไว้
“ไม่ยักรู้ว่าคุณสูบบุหรี่ด้วย” คิมหันต์เหลือบมองภัคที่เอ่ยถามอย่างประหม่าระหว่างเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ชิงช้าด้านข้าง ร่างบางมีท่าทีแปลกไป ไม่กล้าสบสายตาเพราะคำตอบของหนูดาทำกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เงยมองท้องฟ้าสีวิปริตผิดแผกกว่าวันไหน ๆ ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ เคยคิดว่ารู้จักผู้ชายข้างกายเป็นอย่างดีจนมาวันนี้ต้องเริ่มคิดใหม่
ลืมไปว่ามีเด็กเล็กอยู่ด้วย “ขอโทษที” บุหรี่จึงถูกปาลงดินแล้วปลายมวนที่ติดไฟก็โดนรองเท้าใหญ่เหยียบจนดับ
จู่ ๆ ร่างบางก็รู้สึกเหมือนได้รับคำเตือนผ่านภาษากายว่าถ้าไม่ระวังปากสักวันจะเป็นเหมือนบุหรี่ที่ถูกบดขยี้จนบี้แบน ดังนั้นแทนที่จะถามจึงนั่งสงบปากสงบคำและจมอยู่กับความอึดอัด ว่ากันว่าเรื่องบางเรื่องไม่รู้น่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่กับความคลางแคลงใจไปได้นานแค่ไหน เป็นนายตำรวจที่ทลายความเงียบงันกลั้นยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“มีอะไรอยากถามก็ถามมาเถอะภัค”
ร่างบางที่ได้รับโอกาสซักถามถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจับต้นชนปลายจากตรงไหน ความคับข้องใจมีมากมายเหลือคณาและก็ไม่แน่ใจว่าถ้ารู้ไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือกับเด็กหญิง แต่ยิ่งนิ่งก็เหมือนยิ่งเผยพิรุธ สุดท้ายจึงเอ่ยปากถามเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้นอย่างระมัดระวัง เลือกใช้ทางอ้อมยอมเสียเวลา “…คุณจำเรื่องกระดุมได้ไหม”
กระดุมที่ภัคเข้าใจว่าหลุดจากรังตอนที่ถอดเสื้อผ้าชักช้าจนพี่เขยเปลี่ยนมากระชากชุดนอนแทน
“จำได้สิ” คิมหันต์ตอบทันทีเหมือนนี่เป็นเรื่องเดียวที่ฝั่งแน่นอยู่ในความทรงจำ
“ถ้าผมจะถามว่าคุณไปเจอมันที่ไหน…”
“ในสถานที่เกิดเหตุน่ะ” ตอบอย่างตรงไปตรงมาหน้าระรื่นพลางกลั้วขำ “ไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นเลยภัค” นายตำรวจหันมองไปทางหนูดาระหว่างเปรยเสียงเบา “ฉันเก็บมันได้ก่อนที่ใครจะผ่านมาเห็นเข้า ไม่มีอะไรจะสาวถึงตัวนายได้หรอก” สองนัยน์ตาหันสบกันเนิ่นนาน ลูกตาสีดำด้านเหมือนจะดูดวิญญาณของร่างบางออกจากร่างยังไงยังงั้น
แล้วความแปลกใจก็แทนที่ด้วยความหวาดกลัว “คะ คุณรู้…?”
“เรื่องไหนล่ะ เรื่องที่ว่านายเคยนอนกับน้องชายฝาแฝดฉันหรือว่าเรื่องที่นายพลาดเกือบฆ่าคนตายซึ่งก็คือน้องชายฝาแฝดของฉันอีกเหมือนกัน” ที่ถามเพื่อที่จะได้ให้คำตอบถูกและถ้าต้องการจับร่างบางเข้าคุกคงทำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้ลอยนวลแบบนี้หรอก “หรือว่าจะถามว่ารู้ได้ยังไง…?”
ภัคใบ้กินลิ้นจุกอยู่ในปาก ลังเลว่าควรจะกัดลิ้นให้ตายไปเลยหรืออยู่รอฟังคำเฉลยของคิมหันต์ก่อน
กว่าจะตัดสินใจได้ นายตำรวจก็พอย้อนถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เลือกจะเล่าแต่ฉากสำคัญ ตัดน้ำเหลือแต่เนื้อและเพื่อปกปิดความลับที่ว่ามีเจตนาจะเข้าไปขโมยเอกสารสำคัญจากน้องชายจึงได้ข้ามช่วงนี้ไป แทนช่องว่างด้วยการบอกว่าน้องขายเป็นคนนัดเจอช่วงดึกแต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะมาถึงก่อนเวลานัดจนตกเป็นพยานปากเอกโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ความจริงแล้วคิมหันต์ลอบเข้ามาในบ้านก็เพื่อขโมยผลตรวจสุขภาพของเหมันต์โดยใช้ความชำนาญทางวิชาชีพให้เป็นประโยชน์ คลุกคลีกับโจรและได้รู้กลยุทธ์มาจนสามารถสะเดาะกลอนบ้านหลังไหนก็ได้ ไม่ลืมสวมถุงมือเพื่อป้องกันการทิ้งรอยนิ้วไว้ตามวัตถุต่าง ๆ หลังจากเข้ามาในบ้านที่มืดสนิทได้เรียบร้อยก็ค่อยออกเดินสำรวจอย่างใจเย็น ทั่วบริเวณชั้นล่างว่างเปล่าไร้ผู้คน คงอยู่ด้านบนกันหมดเพราะเวลาที่เลือกกระโดดข้ามรั้วเข้ามาเกือบจะยี่สิบสี่นาฬิกาแล้ว
ก่อนจะต้องหลบตามแนวบันไดเมื่อเห็นใครบางคนเดินออกมาจากห้องอย่างระมัดระวัง เป็นภัคที่เดินไปยังอีกห้องและตอนนั้นเองก็เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของน้องชายที่เป็นฝ่ายเดินมาเปิดประตู ดูเหมือนทั้งคู่จะนัดแนะกันไว้และหายเข้าไปในห้อง เป็นใครก็ต้องเดาออกว่าทั้งสองคนหายไปทำอะไร เสียงแว่วจากด้านในช่วยยืนยันว่าเกิดกิจกามกลางดึกและนายตำรวจที่ย่องขึ้นมาด้านบนก็อดจินตนาการถึงท่าทางร่วมรักของภัคไม่ได้ อย่างที่รู้ว่าตนมีใจให้ร่างบาง เสียงครางช่วยเบนความสนใจให้ลืมเรื่องเอกสารไปชั่วครู่ เปลี่ยนมายืนเงี่ยหูฟังหน้าห้อง โดยรู้ดีว่าความเจ็บปวดเป็นของคู่กันกับความอยากรู้อยากเห็น มันเป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน ตัดสินใจหมุนลูกบิดแผ่วเบาแล้วดันบานประตูเข้าด้านในพอให้เกิดช่องว่าง เพื่อผันตัวมาเป็นนักถ้ำมอง สองนัยน์ตาดำสะท้อนภาพสองชายกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนเตียงสั่นไหว
ก็เหมือนกิจกรรมทางเพศทั่วไป จนเมื่อมีเนกไทเข้ามาเป็นส่วนประกอบก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล การแอบดูทำให้รู้ว่าน้องชายฝาแฝดตัวเองมีรสนิยมทางเพศแบบไหนและไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะต้องมาเห็นภาพนาทีชีวิตของใคร เมื่อเซ็กส์แบบวิตถารนำไปสู่อันตรายถึงขั้นหมดลม แม้จะชำนาญแต่ถ้าพลาดนิดเดียวก็จบกัน ตอนแรกก็เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งแฝดพี่เห็นแฝดน้องพูดอะไรบ้างอย่างและร่างบางก็ลงน้ำหนักมือเพิ่มขึ้นก่อนจะตื่นจากการอาการเหม่อลอย
ตอนที่ปล่อยเนกไทด้วยความตระหนก หัวของเหมันต์ก็ตกลงสู่หมอนและท่อนแขนห้อยลงข้างเตียง ส่วนภัคที่ไม่ได้ตั้งใจมาฆ่าใครแต่แรกก็ออกอาการสติแตก ลองเขย่าร่างแน่นิ่งอย่างแรงแต่ไม่กล้าจะเอามืออังจมูก รีบลุกขึ้นสวมชุดนอนด้วยความร้อนรน เพราะคำพูดคะนองปากของคน ๆ เดียว ประสบการณ์เสียวจึงกลายเป็นประสบการณ์สยอง
เพราะเหมันต์บอกอย่างติดตลกว่าไม่ใช่พ่อของหนูดาและจะเอาเด็กหญิงไปขาย
ก็แค่พ่อที่ไม่เอาไหนที่ล้อเล่นในเรื่องอ่อนไหวเลยต้องมาตายกลางคัน เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่าได้ริอาจพูดพล่อย ไม่อย่างนั้นเกิดเหตุการณ์ก็จะพลอยจบลงแบบนี้
โชคดีว่าหลบได้ทันจึงไม่เกิดการปะทะกันระหว่างคนแอบมองกับคนที่เดินออกมาจากห้องหน้าตาตื่น ร่างบางเดินไปเปิดประตูห้องอื่นและหายเข้าไปขณะมีนายตำรวจมองตามก่อนจะหันกลับมามองน้องชายที่นอนแน่นิ่งผ่านประตูที่ปิดไม่สนิท วูบหนึ่งเกิดความคิดร้าย ๆ ว่าถ้าเหมันต์หายไปสักคน บนโลกนี้ก็จะไม่เหลือใครที่ล่วงรู้ความลับ เห็นเหมันต์ตายแล้วแต่ก็อยากได้ความมั่นใจ แผนอำพรางคดีให้ใครไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน แต่เผอิญฆาตกรคือคนที่ชอบ มันคงเป็นการยอมทำเพื่อคนรักที่น่าขนลุก เหมันต์บุกเดี่ยวเข้ามาในห้องแล้วจับน้องชายสวมเสื้อผ้าก่อนจะทำลายหลักฐานการมีอยู่ของภัค ลบล้างลายนิ้วมือด้วยการเช็ดตามที่ต่าง ๆ ทำทุกอย่างภายในเวลาจำกัด รีบเอาผ้าห่มมาพันเป็นเกี้ยวแล้วโยนขึ้นคล้องกับโคมไฟระย้าบนเพดาน ลองดึงว่ามันจะรับน้ำหนักไหวไหม ทำอยู่หลายครั้งจนมั่นใจจึงได้มัดเป็นห่วงขนาดพอดี
ก่อนจะแบกร่างที่หนักเอาเรื่องจากเตียงมายังตำแหน่งที่เตรียมไว้ เปลี่ยนมาอุ้มน้องชายแนวตั้งแล้วยกร่างขึ้นอย่างเชื่องช้าจนบริเวณใบหน้าสอดเข้าไปในห่วงผ้า กระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เหมันต์ดันตื่นจากการสลบไสลคว้าผ้าไว้ด้วยอาการผวา นับเป็นวินาทีเป็นวินาทีตาย คนเป็นพี่ชายเองก็ตกใจและไวเท่าความคิด ตัดสินใจปล่อยมือจากร่างน้องจนคอเข้าล็อกกับผ้าและปล่อยให้คนจะตายพยายามกระเสือกกระสน ดิ้นด้วยความทุรนทุราย คิมหันต์มองวาระสุดท้ายนั้นด้วยสายตาเลือดเย็น จนเห็นสองขาที่เตะในอากาศเริ่มอ่อนแรงและแข็งค้างในที่สุด เมื่อนั้นจึงรู้ว่าอีกคนหัวใจหยุดเต้นแล้ว
“ทั้งหมดนี่ก็เพื่อนาย” เป็นการแสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่
แต่แม้จะลงท้ายและอ้างว่าทำไปเพราะรัก ภัคก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือสามารถปั้นหน้าได้ว่าดีใจ
กลับกันคืออยากร้องไห้ แต่ไม่มีแรงแม้แต่จะกลั่นหยาดน้ำตา
“ฉันแอบออกมาจากห้องก่อนที่ธันจะเปิดประตูเข้าไป” ไม่เล่าช่วงที่ตามหาเอกสารสำคัญให้วุ่นวายและดินชนปลายเท้าน้องชายก่อนเดินออกมา “ตอนแอบดูฉันก็ลุ้นอยู่ว่าหมอนั่นจะทำยังไง ไม่ได้คิดด้วยว่าหมอนั่นจะปกป้องนายจนยอมติดคุกเอง แม้ลึก ๆ จะคาดหวังก็เถอะ หมอนั่นรักนายมากนะ ฉันล่ะนับถือใจ”
‘เขาไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดหรอก’ ภัคเข้าใจความหมายประโยคนั้นจากธันอย่างถ่องแท้
ทั้งที่อีกคนพยายามเตือนมาตลอด แต่ก็ยังตาบอดเพราะความลุ่มหลง
ร่างบางไม่ได้แสดงท่าทางกระโตกกระตาก เหมือนนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระ
ที่จริงน้ำตาตกใน ใจบอกให้หนีไปแต่รู้ดีว่าไม่มีทางทำอย่างนั้น
“งั้นคุณก็รู้อยู่แล้วว่าพี่มินตราไม่ได้เป็นคนทำ”
“ถ้าฉันไม่จับพี่สาวนาย นายจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ”
“แต่คุณโกหกหน้าตาย”
“นายก็โกหก เราทุกคนล้วนโกหก”
ไม่ว่าจะหยิบยกประเด็นไหนมาพูดก็เหมือนจะเข้าตัวไปเสียหมด แถมอีกคนยังพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ขณะที่ตนต้องจมอยู่กับความหวาดระแวงว่าเรื่องจะแดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ร่างบางรู้สึกเหมือนถูกหลอกใช้
แล้วถ้าถามว่าใครได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คงไม่พ้นเป็นนายตำรวจที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เพราะความลับที่รู้ระหว่างกันและกันจะเป็นหลักประกันในชีวิตรัก เริ่มจากทำให้ร่างบางกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและมีคดีร้ายแรงติดตัว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดความสัมพันธ์
รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย ทางเดียวคือร่วมหัวจมท้ายไปจนกาลอวสาน
“แต่ตอนนั้นพี่เหมันต์ยังไม่ตาย” ก็เท่ากับว่าตนไม่มีความผิดในฐานฆ่าคน แต่พี่เขยตายด้วยน้ำมือชายผู้โหดเหี้ยมตรงหน้า ควรเป็นอีกคนมากกว่าที่ต้องแบกรับสถานนะฆาตกรตัวจริงไว้ “คุณฆ่าเขา” คิมหันต์ส่ายหน้าราวกับว่าภัคพูดผิด ยังเหลือโทษฐานช่วยกันปกปิดและส่งมินตราเข้าตะราง ต้องพูดว่า “เราร่วมมือกันต่างหากล่ะ” ถึงจะถูก
จบบริบูรณ์
---------------------------------------------------
ทอร์คอยู่ด้านล่าง อย่าลืมอ่านกันนะคะ