Last Song [บทส่งท้าย]ไออุ่นจากแสงแดดที่กระทบลงบนผิวกายบังคับให้คนที่นอนซุกตัวใต้ผ้าห่มต้องฝืนตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน นัยน์ตากลมสวยขยับสอดส่ายมองไปทั่วบริเวณห้องก่อนจะไปหยุดที่ตัวเลขบนนาฬิกาดิจิตอลเรือนใหญ่บนผนัง
เลขสิบที่โชว์เด่นหราบอกให้เขารู้ว่าถึงเวลาที่ควรลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะกลิ้งตัวกลับลงไปบนเตียงอยู่ดี
ไม่อยากลุกขึ้นเลยจริงๆ
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ – เรื่อยๆ จนหยุดลงที่ข้างเตียงนี้เอง
“ดิม ตื่นเร็ว วันนี้มีนัดไปหาหมอตอนบ่ายนะ”
“ขออีกห้านาทีได้ไหมครับ”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แม้จะไม่เปิดตามอง แต่เขาก็พอเดาได้ว่าอีกคนจะทำหน้าแบบไหน
ป่านนี้คงยิ้มกว้างเสียจนตีนกาขึ้นหมดแล้วแน่ๆ
“ที่นอนไปยังไม่พออีกเหรอ”
ไม่ว่าเปล่า คนพูดยังทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอีกด้วย ฟูกนอนที่ยวบยาบลงไปตามการลงน้ำหนักของผู้ใช้งานทำให้เขาสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของอีกคนได้แม่นยำราวกับตาเห็น
ร่างกำยำนั้นกำลังเขยิบเข้ามา
แขนแกร่งข้างนึงวางลงข้างๆ ศีรษะของเขา จากนั้นก็...
...ความอุ่นนุ่มหยุ่นบางอย่างก็ประทับลงบนแก้มของเขา...
อา ให้ตายเถอะ ตาลุงคนนี้นี่
ในที่สุดคนที่ถูกรบกวนการนอนก็ต้องยอมลืมตาแต่โดยดี นัยน์ตคู่สวยสบเข้ากับนัยน์ตาคมสีดำสนิทของคนที่คร่อมร่างทาบทับอยู่เบื้องบน
“ขี้แกล้ง”
เขาว่าไปแค่นั้นก่อนจะเผยอหน้าจัดองศาให้เหมาะต่อการรับจูบแต่โดยดี
ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายเลื่อนมาเกลี่ยปอยที่ปรกบริเวณหน้าผากของเขาออกเบาๆ
“ไปอาบน้ำได้แล้ว เด็กดื้อ”
พอพูดจบก็ยังไม่วายไม่วางก้มลงมาจูบขมับเขาไปทีนึง จากนั้นจึงยอมถอยร่างไป
คนตัวสูงกว่าพาตัวเองลงจากเตียงแล้วหันมาหาเขาอย่างรวดเร็ว เรียวแขนกำยำทอดส่งมาหาเขาเป็นสัญญาณให้ใช้ในการยึดตัวเองขึ้นจากที่นอน
ตาลุงนี่ คงกลัวเขาจะไม่ยอมลุกจากเตียงล่ะสิ
ชายหนุ่มแอบขำอยู่ในใจ แม้ไม่มีเสียงหัวเราะหลุดออกมา แต่ใบหน้าคมคายนั้นก็เบิกบานยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็น
...เบิกบานยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาในช่วงเดือนนี้...
คนสูงโปร่งลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเลื่อนหน้าไปจูบปลายคางของคนสูงวัยกว่าเบาๆ
“ผมอยากกินซูชิจังเลยครับ”
ริมฝีปากบางไล่จูบตามแนวสันกรามของคนคนไปจนถึงบริเวณติ่งหู ซี่ฟันหน้าสวยขบกันลงบนเนื้อติ่งนุ่มหยุ่นด้วยความมันเขี้ยวราว
“ถ้าได้เป็นโอมากาเสะคงเยี่ยมไปเลยล่ะครับ”
แล้วเด็กขี้แกล้งก็กระโดดแผล็วเข้าห้องน้ำไปโดยไม่เว้นจังหวะให้อีกคนได้มีเวลาตั้งตัว
...ปล่อยให้อีกคนได้แต่ยิ้มขำอย่างเอ็นดูอยู่ข้างเตียงเพียงลำพัง...
เขาเคยไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาล
สีขาวสว่างตารับเข้ากับกลิ่นของพวกสารเคมีที่ใช้ในทางการแพทย์เป็นกลิ่นที่เขาไม่ค่อยจะถูกใจสักเท่าไหร่ เพราะแบบนั้น หากเป็นไปได้ เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการมาโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ
แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ ...
“สภาพครรภ์ไม่มีอะไรน่าห่วงนะคะ เพียงแต่ว่าการตั้งครรภ์ในผู้ผ่าตัดปลูกถ่ายรังไข่และมดลูกนั้นมีความเสี่ยงกว่าการตั้งครรภ์ในเพศหญิงเป็นปกติอยู่แล้ว ความจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์สามารถมีได้นะคะ แต่ในกรณีนี้ หมออยากจะขอให้ผ่านช่วงสามเดือนแรกไปก่อนนะคะ หลังจากตรวจแล้ว ถ้าพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติเลยค่ะ”
แพทย์สาวตรงหน้าก้มลงอ่านเอกสารบางอย่างในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้พวกเขาเหมือนอย่างทุกครั้งที่เจอ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ หลังจากนี้ก็ให้มาตามหมอนัดทุกครั้งด้วยนะคะ”
เขายกมือไหว้แพทย์หญิงตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องตรวจโดยมีอีกคนเดินตามหลังมาอยู่ไม่ห่าง
ทันทีที่เดินออกมาอยู่ในระยะห่างจากคนอื่นพอสมควร เด็กหนุ่มยกมือขึ้นตีไหล่อีกคนเบาๆ
“ตอนหมอพูดทำไมต้องทำหน้ากรุ่มกริ่มขนาดนั้นด้วยครับ ด้วยหมอเขาก็คิดลึกพอดี”
คนถูกตีหัวเราะร่วนก่อนจะถือวิสาสะคว้ามือชายหนุ่มข้างกายมากุมไว้แน่น
“อย่าพูดเหมือนการตั้งครรภ์มันเกิดขึ้นได้เพราะโดนลมพัดเข้าปากสิ”
“ลุง!”
“ชู่ เดี๋ยวคนก็มองหรอก”
ไม่ว่าเปล่า ยังเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เสียจนเขาต้องรีบถอยหนี
ให้ตายสิ ตาลุงนี่นี่มัน....
เจ้าของร่างสูงโปร่งเบือนหน้าหนีอีกคนพลางทำสีหน้าเอือมระอา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดจะสะบัดมือที่กุมกันไว้ออก หนำซ้ำยังยอมให้อีกคนลากไปตรงนู้นตรงนี้ตามใจชอบ รู้ตัวอีกทีก็มานั่งอยู่บนรถพร้อมกับขนมเค้กออร์แกนิกเจ้าโปรดบนตักเสียแล้ว
“นี่อะไรกันครับ ไหนว่าไม่อยากให้ผมกินของหวานไง”
“ก็ถ้านิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
ใบหน้ามีอายุหันมายิ้มกว้างให้เขา
“เป็นรางวัลที่เป็นคุณแม่ที่ดีมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ด้วย”
แล้วริมฝีปากของอีกคนก็ประทับลงบนริมฝีปากของเขา
...แค่เพียงแผ่วเบาแล้วก็ผละออกไป...
อา ทำไมเขาถึงอยากได้มากกว่านี้กันนะ
เด็กหนุ่มเสหน้าออกไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเพื่อสงบอารมณ์บางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากจูบเมื่อครู่ทำให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง แต่พอจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แบตเตอรี่ก็ดันดับไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เด็กหนุ่มต้องเปลี่ยนแผนเป็นหยิบนู่นหยิบนี่ในรถมาดูแทน
เขาหยิบตั้งแต่แว่นกันแดดในที่เก็บของด้านหน้ารถลามไปจนถึงกล่องกระดาษทิชชู่ จนเมื่อไม่มีอะไรจะดูอีก เขาจึงต้องหยิบยาบำรุงครรภ์จากในถุงขึ้นมาดูทั้งที่เห็นบ่อยเสียจนชินตาแล้ว พฤติกรรมของเขาทำให้คนขับรถหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แต่ก็โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ซักไซ้อะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จะเอาอะไรไปตอบ จะให้ตอบไปว่ากำลังมีอารมณ์ก็คงไม่ได้
...ให้ตายสิ...
นัยน์ตากลมจดจ่ออยู่กับเม็ดยาในถุงราวกับจะมองให้ทะลุถึงส่วนประกอบภายใน ในทีแรกเด็กหนุ่มไม่ได้มีสมาธิอยู่กับสิ่งในมือนักจนกระทั่งความคิดบางอย่างแล่นกลับเข้ามาในหัว...กลับเข้ามาหลังจากหายไปพักใหญ่
ตอนพี่ดาท้อง พี่จะต้องกินอะไรแบบนี้ไหมนะ
สายตาของเขาทอดยาวออกไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล
ต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้น....คงลำบากแย่เลย...
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
เขาไม่ได้หันไปมองคนพูด นัยน์ตาคู่สวยมองเหม่อออกไปยังท้องฟ้าเวิ้งว้างที่ไกลแสนไกล
“ผมคิดถึงพี่ครับ”
มันคงฟังดูประหลาดน่าดูกับการที่คนถูกกระทำอย่างเขาจะยังพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความจริง
“ผมไม่รู้หรอกว่าก่อนพี่จากไป ความรู้สึกที่พี่มีให้ผมกับผมมีให้พี่เท่ากันไหม”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเรียบนิ่งและแผ่วเบา
“แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือพี่ในความทรงจำของผมนั้นเป็นเรื่องจริง ความรักที่ผมได้จากพี่ในตอนเด็กๆ นั้นเป็นเรื่องจริง”
ดวงตาคู่นั้นทอดมองไปยังผืนฟ้าเบื้องบนราวกับกำลังมองไปยังคนที่จากไป
“ต่อให้ตอนนี้พี่ไม่รักผมแล้ว ไม่อยากได้ผมเป็นน้องแล้ว ผมก็ไม่สน”
รอยยิ้มจางถูกประดับลงบนใบหน้าคมคาย แม้มุมปากจะกระตุกขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูสดใสยิ่งกว่าทุกครั้ง
“ผมยังเป็นน้องของพี่ เป็นมาตลอดและจะเป็นตลอดไป”
ในที่สุดคนที่เอาแต่มองวิวด้านนอกมาตลอดก็ยอมหันกลับไปมองหน้าคนข้างกาย
แม้ดวงตาของอีกฝ่ายจะมองถนนเบื้องหน้า แต่เขารู้ดีว่าหัวใจของอีกคนกำลังจดจ่ออยู่กับตัวเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างของหนุ่มใหญ่คนนี้อยู่กับเขา
“ขอบคุณนะครับคุณปราณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด แม้ในวันที่ผมไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
แม้จะเป็นเพียงภาพใบหน้าด้านข้าง แต่รอยยิ้มที่อีกฝ่ายคลี่ประดับบนใบหน้านั้นช่างชัดเจนเสียจนไม่จำเป็นต้องมองด้านหน้าตรงก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายยิ้มกว้างขนาดไหน
น่ารัก...คุณลุงของเขาน่ารักเหลือเกิน
“คุณปราณครับ คุณจำเรื่องที่พ่อโทรมาหาผมได้ไหมครับ”
“เรื่องสองวันก่อนน่ะเหรอ”
“ครับ”
“จำได้สิ ทำไมเหรอ”
ชายหนุ่มทิ้งตัวเอนหลังลงไปบนเบาะมากขึ้นอีกหน่อย
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่หลังจากนั้นอีกวันแม่โทรมา แม่ก็เลยเล่าทุกอย่างให้ผมฟัง”
ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกจากจมูกเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นภายใน
“สรุปคือทุกอย่างก็เป็นตามที่วิทย์เล่าทั้งหมด แม่บอกว่าจริงๆ แล้วบ้านผมก็ไม่ได้ดีนักหนา พ่อทำทั้งธุรกิจมืดและธุรกิจปกติ ตอนแรกพ่อตั้งใจจะให้พี่ดารับช่วงต่อในธุรกิจธรรมดา ส่วนผมกับวิทย์ที่คบกันในตอนนั้นก็ตั้งใจจะให้รับช่วงในธุรกิจสกปรก แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน”
เสียงแค่นหัวเราะดังออกมาจากคอของคนเล่าเรื่องเบาๆ
“แม่บอกว่า ตอนแรกที่พ่อยินดีให้ผมกับวิทย์ก็เพราะคิดว่าเรือล่มในหนองทองจะไปไหนน่ะครับ ถ้าผมแต่งงานกับเขา ยังไงก็มีแต่ได้กับได้ พ่อก็จะได้ขจัดความตะขิดตะขวงใจว่าผมไม่ใช่ลูกออกไปได้ด้วย แต่พอเกิดเรื่องทุกอย่างก็เลยพังไปหมด เหตุที่จะพาพี่ดาไปทำแท้งตอนแรกก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าลูกคงเกิดมาพิการนั่นล่ะครับ แต่สุดท้ายพี่ดาก็หนีไปก่อน”
นัยน์ตาของชายหนุ่มไม่ได้เบือนออกไปมองนอกหน้าต่าง ดวงตาคู่นั้นทำเพียงจับจ้องอยู่ที่ฝ่ามือบนตักของตัวเองเท่านั้น
“ส่วนเรื่องของวิทย์ ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นหมาบ้าไปแบบนั้น คาดว่าคงโดนบ้านนู้นทำอะไรมาไม่น้อยล่ะครับ เพราะเท่าที่แม่เล่าให้ฟัง เหมือนฝั่งนู้นเขาจะไม่รู้เลยว่าวิทย์เป็นลูกชู้ จนกระทั่งเกิดเรื่องพี่ดา จำได้ไหมครับว่าผมเคยเล่าว่าหลังจากพี่ดาหนีไป วิทย์ก็เลิกกับผมแล้วก็ไปแต่งงานกับเศรษฐีนีรุ่นใหญ่อย่างไม่มีเหตุผลเลย”
“อืม พอจำได้อยู่”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าต่อ
“นั่นล่ะครับ พอเรื่องพี่ดาแดง วิทย์กับพี่ดาก็รู้ว่าตัวเองเป็นพี่น้องกัน ก่อนหน้านั้นก็ไม่มีใครรู้อะไรเพราะพ่อไม่เคยพูด วิทย์ก็คงไปเผลอหลุดปากพูดกับบ้านตัวเองเข้า จากตอนแรกที่ไม่มีใครรู้เรื่อง ก็เลยกลายเป็นรู้กันหมดทั้งฝั่งนู้นและฝั่งบ้านผม ตอนนั้นมีผมแค่คนเดียวที่ไม่รู้”
นิ้วเรียวยกขึ้นนวดขมับตัวเองเบาๆ
“พอความจริงมันถูกเปิดเผย ทุกอย่างก็เลยยิ่งยุ่งเหยิงกว่าเก่า ทางฝั่งนู้นก็พาลเกลียดวิทย์กับแม่ไปเลย โชคร้ายไปอีกที่แม่วิทย์เสียไปแล้ว เหลือแต่พ่อซึ่งก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขา คนๆ นั้นก็เลยส่งวิทย์ไปแต่งงานเพื่อผลประโยชน์โดยไม่สนใจความรู้สึกของวิทย์อีกต่อไป ใช้วิทย์เป็นเครื่องมือหาประโยชน์เข้าตระกูลจนวิทย์เครียดแล้วกลายเป็นคนวิกลจริตไปเลย”
คนเล่าชะงักไปอึดใจเมื่อทิวทัศน์รอบด้านเริ่มเปลี่ยนเป็นภาพบนถนนสายที่ไม่คุ้นตาจนอดเอ่ยปากไม่ได้
“เราไม่ได้จะกลับบ้านกันเหรอครับ”
เขาได้ยินอีกคนหัวเราะเบาๆ
“เดี๋ยวก็รู้ เล่าต่อเถอะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ให้กับคนสูงอายุที่ยังชื่นชอบการเซอร์ไพรส์เขายิ่งกว่าอะไร ก่อนจะเล่าต่อ
“ก็ไม่มีไรแล้วล่ะครับ ทุกอย่างฝั่งไทยก็ยุ่งเหยิงไปหมด พ่อต้องพาวิทย์ไปบำบัดจนกระทั่งหาย พอออกมาก็ตั้งใจว่าวิทย์นั้นสืบทอดธุรกิจมืด ส่วนผมก็จะให้ผมสืบทอดต่อทางธุรกิจปกติ แต่ก็นั่นล่ะครับ อะไรที่พ่อวางแผนไว้ก็ไม่เป็นไปตามแผนสักอย่าง จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องอย่างที่เห็น สุดท้ายพ่อก็ไม่เหลือใครสักคน”
ประโยคสุดท้ายของเขาแผ่วลงกว่าปกติ แต่อีกคนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขารู้ว่านั่นคือความใส่ใจ
คุณลุงของเขาไม่ใช่คนช่างพูดช่างให้กำลังใจ คนๆ นี้มีวิธีการให้กำลังใจในแบบของตัวเอง ในตอนแรกก็คงจะปล่อยให้เขาได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเองก่อน จากนั้นจึงเข้ามาปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนด้วยการดึงเขาเขาไปซุกในอ้อมกอดแล้วลูบหัวเบาๆ
ไม่มีคำให้กำลังใจ ไม่มีคำพูดสวยหรูอะไรมากมาย แต่สำหรับเขามันพอแล้ว
...พอแล้วจริงๆ ...
ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น รถยนต์คันหรูที่เขานั่งมาก็หยุดลงบริเวณหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
บรรยากาศเงียบๆ ของลานจอดรถทำให้เขาต้องหันขวับไปมองหน้าคนขับ
“หลอกผมมาฆ่ารึเปล่าลุง”
คนถูกถามหัวเราะร่วนทันทีที่ฟังจบ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมือขยี้ลงบนหัวของเขาเบาๆ
“เพ้อเจ้อน่า”
เสียงหัวเราะของคนสองคนดังประสานกันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหยุดลงเมื่อนิ้วโป้งของคนสูงวัยเลื่อนตำแหน่งจากเส้นผมมาที่ริมฝีปาก
นัยน์ตาสองคู่สบกันอย่างมีความหมายก่อนที่ริมฝีปากจะประทับแน่นเข้าหากันอย่างลึกล้ำ
...หวาน...
รสหวานของจูบถ่ายทอดให้กันและกันด้วยปลายลิ้น เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันอย่างโหยหา ท้ายทอยของเขาถูกฝ่ามือใหญ่ดันขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ได้มุมที่พอเหมาะ รู้ตัวอีกที อีกฝ่ายก็สูบทุกสิ่งทุกอย่างจากตัวเขาไปหมดแล้ว
แพ้...เขาแพ้คนๆ นี้ทุกทางเลยจริงๆ
จมูกโด่งของอีกคนคลอเคลียอยู่บริเวณแก้มของเขาไม่ยอมห่าง
“อาหารตรงหน้าอร่อยขนาดนี้ ไม่ต้องเข้าไปกินในร้านแล้วมั้ง”
“เสี่ยวน่ะลุง”
เขาปรามอีกคนไปอย่างนั้นเอง ใช่ว่าจะไม่ชอบเสียเมื่อไหร่
ปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกันอยู่อีกอึดใจก่อนจะผละออกแล้วต่างฝ่ายต่างเปิดประตูลงจากรถ
เด็กหนุ่มหรี่ตามองป้ายชื่อร้านก่อนจะหันกลับไปมองหน้าคนที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยแววตาเป็นประกาย
“โอมากาเสะเหรอครับ”
แต่พอได้เห็นอีกคนส่ายหน้า ความหวังของเขาก็ดับลงต่อหน้าต่อตา
ไม่ให้กินแล้วจะพามาที่ร้านทำไมกันล่ะ
ใจร้าย ลุงของเขาใจร้ายเป็นบ้าเลย
ใบหน้าหมองๆ ของเขาทำให้อีกคนอดพูดแหย่ขึ้นมาไม่ได้
“ทำหน้าเศร้าอะไรขนาดนั้นหืม”
มือใหญ่ข้างนึงเอื้อมมาคว้ามือเขาไปกุมไว้
“ตอนนี้ยังท้อง ฉันไม่อยากเสี่ยงให้กินของดิบ เข้าใจไหม”
ฝ่ามือใหญ่อีกข้างยกขึ้นลูบไล้ไปตามไรผมของเขาเบาๆ
“วันนี้ก็เลยพามากินแค่อาหารญี่ปุ่นธรรมดาก่อน ไว้คลอดเมื่อไหร่ จะพามากินโอมากาเสะนะ”
“สัญญาแล้วนะลุง”
“ให้เกี่ยวก้อยสัญญายังทำได้เลย”
แล้วเสียงหัวเราะของคนสองคนก็ดังขึ้นพร้อมกัน
...ดังแทรกผ่านความเงียบสงัดในยามค่ำคืน...
[จบ]***********************************************************************
[เกร็ดความรู้]Omakaseโอมากาเสะแปลตรงตัวว่า ‘เชฟจัดให้’ ซึ่งจัดให้ในที่นี้หมายถึงการที่เชฟจะเป็นคนเลือกให้ว่า วันนี้คนที่มาทานจะได้ทานเมนูใดบ้าง จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการทานอาหารแบบ a la carte ที่คนทานสามารถเลือกเมนูเองได้ดังใจ
แม้ว่าการที่ไม่สามารถเลือกเมนูได้เองนี้อาจสร้างความกังวลให้กับคนทานอยู่บ้าง แต่การทานแบบโอมากาเสะก็เป็นการเปิดโอกาสให้เชฟมีอิสระในการรังสรรค์เมนูอย่างเต็มที่ ซึ่งอิสระนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งในการดึงเอาปฏิภาณไหวพริบของเชฟออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน โอมากาเสะมื้อนี้ก็จะเป็นมื้อที่เหนือความคาดหมายไปกับความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบไปจนเสร็จถึงมือคนทาน
ีที่มา:
https://adaybulletin.com/life-ichika-omakase/12381***********************************************************************
จบอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ เย่! ในที่สุดก็พากันมาจนถึงตอนจบจนได้ ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดเลยนะคะ บ๊ายบ่ายย ^^
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ