**||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Last Song [บทส่งท้าย] (13/06/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Last Song [บทส่งท้าย] (13/06/61)  (อ่าน 170734 ครั้ง)

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twentieth Song (25/03/61)
«ตอบ #330 เมื่อ04-04-2018 18:57:00 »

Twenty-First Song









หลายๆ ครั้ง โชคชะตาก็มักจะกลั่นแกล้งมนุษย์อย่างไม่มีเหตุผลอยู่เสมอๆ แต่การกลั่นแกล้งกันเองในหมู่มวลมนุษย์นั้นร้ายกว่าโชคชะตามาก...


“ดิมกับเดลอยากกินอะไรกันเป็นพิเศษไหม”


ใบหน้าคมเข้มมองเขาที มองเพื่อนร่วมทางของเขาทีด้วยแววตาสดใสเหมือนอย่างทุกครั้งที่เจอ


ปกติแล้ว เขามักจะหลงใหลดวงตาที่มีประกายเจิดจ้าของอีกฝ่ายอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...


ไม่ใช่ในเวลาที่เขากำลังเคลือบแคลงสงสัยในตัวของอีกคนแบบนี้...


“อะไรก็ได้ ผมกินได้หมดแหละ”


“โอเค”


ทีนตอบรับด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างทุกที


“แล้วเดลล่ะ อยากกินอะไรไหม สั่งเต็มที่นะไม่ต้องเกรงใจ เราเลี้ยงเอง”


“โห ป๋ามากเลยนะเนี่ย สมแล้วที่เป็นพี่ทีนประธานนักเรียน”


“เดลก็ว่าไปนั่น เรื่องตั้งนานมาแล้วนะ ยังอุตส่าห์จำได้อีก”


สิ้นคำหยอกเย้าของทีน เพื่อนของเขาทั้งสองคนก็หัวเราะร่วนประสานกันอย่างร่าเริง ทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลังกับความรู้สึกบางอย่างที่กำลังกัดเซาะใจไปทีละเล็กทีละน้อย


ไม่ใช่...สถานการณ์ที่พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้งมันไม่ควรเป็นแบบนี้


ทำไมเขาต้องกลับมาเจอ ‘เพื่อน’ ด้วยความรู้สึกแบบนี้ด้วย


ไม่ชอบ...ไม่ชอบเลย...


“แล้วนี่ทีนเป็นคนกรุงเทพไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ภูเก็ตได้ ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลย”


เป็นเพื่อนร่วมทางของเขาเองที่ช่างพูดช่างคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนปกติ ในขณะที่เขาทำได้แค่ยิ้มแกนๆ รับฟังทุกอย่างอยู่นิ่งๆ


เขาไม่รู้จะพูดอะไร เขาไม่รู้ว่าเขาควรพูดหรือทำอะไรเพื่อขจัดความรู้สึกหนักอึ้งในใจออกไปให้พ้น


ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาเชื่อใจทีนมาตลอด...เชื่ออย่างสุดใจมาตลอด ดังนั้นข้อมูลที่มาเดลทิ้งเป็นปริศนาเอาไว้จึงไม่มากพอที่จะสั่นคลอนความเชื่อใจนั้นแน่


ไม่มากพอที่จะทำให้เสียความเชื่อใจ แต่ก็ไม่น้อยเกินที่จะปล่อยผ่านเลย


ความรู้สึกหน่วงๆ ในใจของเขาตอนนี้ไม่ได้เกิดจากการที่ตัวเขาไม่เชื่อใจทีน...


ไม่ใช่...ไม่ใช่เลย...


“เดลมั่วเถอะ เคยเล่าแล้ว แต่จำไม่ได้ล่ะสิ”


เขาเชื่อ...เชื่อเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อนคนไหน มากกว่าเดล มากกว่าลุง มากกว่าทุกคน


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ แบกทุกอย่างไว้บนบ่าของตัวเองมาตลอด มีแค่คนที่นั่งตรงข้ามแค่คนเดียวที่เขายอมเปิดปากเล่าทุกอย่างให้ฟัง


เพราะเขาเชื่อ เขาเลยพยายามปฏิเสธทุกอย่างที่เข้ามาสั่นคลอนความเชื่อใจนั้น


เพราะเขาเชื่อ เขาเลยพยายามจะทำลายความเคลือบแคลงใจของตัวเองให้สิ้นซากไป


ตั้งแต่เกิดมาเขายอมเชื่อคนอยู่แค่สองคน หนึ่งคือพี่ สองคือทีน คนอื่นๆ ก็เพิ่งจะมาเปิดใจให้เมื่อไม่นานนี้เอง ถ้าโดนหักหลัง คราวนี้เขาคงพังหนัก...


...คงได้แหลกสลายเข้าจริงๆ ...


“จริงๆ ฝั่งบ้านพ่อเราเป็นคนกรุงเทพดั่งเดิมแหละ แต่ฝั่งแม่ไม่ใช่ คุณตาของเราเป็นคนกรุงเทพ แต่คุณยายเป็นคนภูเก็ต ท่านย้ายไปอยู่กรุงเทพก็ตอนแต่งงานกับคุณตานั่นล่ะ พอคุณตาเสีย คุณปู่ คุณย่าเสีย เหลือแต่คุณยาย แม่ก็เลยอยากพาย้ายกลับบ้านเกิด พ่อเห็นด้วย ก็เลยพากันย้ายมาหมด”


“เอ้อ จริงด้วย เหมือนเคยได้ยินเลย”


“ก็บอกแล้วไงว่าเคยเล่าแล้ว เดลน่ะจำไม่ได้เอง”


เพื่อนของเขาหัวเราะ...เดลหัวเราะได้สุขใจราวกับคนไม่รู้อะไรมาก่อน


นัยน์ตากลมเหลือบมองคนอารมณ์ดีข้างตัวแล้วครุ่นคิดบางอย่างอยู่เงียบๆ ในใจ


เดลพาเขามาที่นี่อย่างจงใจ จากคำว่า ‘เซอร์ไพรส์’ เมื่อครู่ก็มากพอแล้วที่ทำให้เขารู้ว่าเพื่อนของเขานั้นรู้อยู่แล้วว่าร้านนี้เป็นร้านของทีน ที่มาจอดที่นี่ แสร้งทำเป็นหิวข้าว ทั้งหมดก็เป็นแผนทั้งนั้น


คนๆ นี้ร้ายกาจและขี้แกล้งกว่าใคร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพวกฉลาดในเรื่องผิดๆ ถ้าให้เดา เดลอาจจะรู้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับทีน เผลอๆ อาจจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่าพี่ดาอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ยอมบอกเพราะอยากแกล้งเขาไปอย่างนั้นเอง


นี่แหละคือความน่ารำคาญของคนที่ชื่อเดล


นี่แหละคือความน่ากลัวของเพื่อนที่ชื่อเดล...


เพื่อนคนนี้รู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยพูด สิ่งที่มักจะทำมีเพียงการยืนมองทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม


มอง...แล้วก็ยิ้มอย่างสมเพช


เพราะแบบนั้นเขาเลยอดคิดไม่ได้ว่าการเจอวิทย์เมื่อกี้นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...


...


ไม่ไหว...เขารับมือกับความผิดหวังขนาดนี้ไม่ไหว ขออย่าให้เพื่อนเขาทั้งสองคนทำร้ายเขาเลย


“ดิมเป็นอะไรไปน่ะ พูดน้อยจังเลย”


น้ำเสียงร่าเริงที่เอ่ยถามทำให้เขาต้องรีบนำรอยยิ้มมาประดับใบหน้าแล้วส่ายหัวพัลวัน


“เปล่า ก็แค่ตกใจนิดหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้”


เขาเหลือบมองหน้าเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์แว็บเดียวก่อนจะหันกลับมามองหน้าคนถาม


ขนาดแค่เสี้ยววินาทีเดียว คนเจ้าแผนการยังมีเวลาขยิบตาให้เขาราวรู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องหันไปมอง


ร้ายกาจจริงๆ ...


“นั่นสิ ขนาดเราเองยังตกใจเลย”


“เนอะ ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ พรหมลิขิตสุดๆ เลย นี่ถ้าเดลไม่หิวข้าว ก็คงไม่ได้เจอกับทีน เนอะดิมเนอะ”


“อืม บังเอิญสุดๆ ไปเลย”


เด็กหนุ่มเน้นคำเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนถูกพาดพิงรู้สึกตัว


ที่แย่คือไอ้คนถูกพาดพิงมันหัวเราะจนไหล่ไหวนั่นล่ะ


“อุตส่าห์บังเอิญขนาดนี้ เราไปเที่ยวต่อกันหน่อยดีไหมทีน เดลกับดิมไม่ได้เจอทีนตั้งนาน คิดถึงจะแย่”


การเน้นเสียงคำเลียนแบบทำให้เขาหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่เท่ากับคำชวนที่อีกคนเพิ่งเอ่ยปากออกมา


ไปเที่ยวเหรอ...มันคิดอะไรของมันอยู่นะ


“นั่นสิเนอะ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน งั้นเดี๋ยววันนี้เราอาสาพาเที่ยวเองดีไหม ทริปนี้เราจ่ายเองนะ”


“ตามนั้นเลยครับป๋าทีน”


“เดลนี่ขี้แซวเหมือนเดิมเลย”


แล้วเพื่อนสองคนของเขาก็หัวเราะ


หัวเราะโดยทิ้งเขาไว้กับความหนักอึ้งภายในใจเพียงลำพัง...

















หลังจากผ่านพ้นชีวิตวัยรุ่น เขาก็ไม่ได้สัมผัสกับคำว่าเหนื่อยมานานมากแล้ว...


“ดิม วิ่งหน่อย เดินช้าขนาดนี้เดี๋ยวหอยทากก็แซงหรอก”


“พูดมาก เดินไปเลยมึงอะ”


คนถูกบ่นหัวเราะร่าก่อนจะวิ่งนำไปไกลลิบโดยทิ้งเข้าไว้ตรงนี้


ไอ้เวร กูประชดโว้ย


ถึงอยากจะตะโกนด่าแค่ไหนก็ไม่มีแรง ทำได้เพียงก้าวเท้าต่อไปช้าๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างมีสติ เพราะถ้าเผลอหายใจแรงไปนิดเดียว อาการเจ็บหน้าอกก็จะกำเริบขึ้นมา


เขาเป็นคนสุขภาพไม่แข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ผิดกับพี่ดาที่เติบโตสมวัย คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง พ่อ แม่และทุกคนเลยคาดหวังกับพี่ดามากกว่าที่จะมาคาดหวังกับเขา แล้วพอพี่ทำให้ผิดหวัง เขาก็เลยต้องแบกรับความหวังทั้งหมดนั้นไว้แทน


ไม่ยุติธรรมเลย


“ดิมไหวไหม”


เสียงเรียกทักที่ดังขึ้นข้างตัวของเพื่อนผู้สดใสทำให้เขาอดฉีกยิ้มให้ไม่ได้


ทีนเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เป็นห่วงเพื่อนทุกคนเสมอ ถ้าเห็นใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เจ้าพระอาทิตย์คนนี้ก็จะรีบแจ้นเข้าไปสาดแสงส่องให้คนๆ นั้นอยู่เสมอ


เป็นคนดีและเจิดจ้าจนเขาเชื่อใจ...


“สบายมาก ทีนเถอะ เหงื่อไหล่เยอะเชียว ไหวไหม”


“สบายมาก นี่ไม่อยากจะโม้นะ แหลมพรหมเทพนี่เราวิ่งขึ้นวิ่งลงอย่างบ่อย”


“นี่แหละที่เรียกโม้”


แล้วพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน


นี่เป็นครั้งแรกของวันที่เขาได้หัวเราะออกมาจากใจจริง วันนี้ของเขามันหนักหนาเหลือเกินจริงๆ ทันทีที่เครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ก็ต้องพาตัวเองไปทำนู่นทำนี่ไม่ได้หยุด ไหนจะข้อมูลมากมายที่ได้รับมาเรื่อยๆ จนเริ่มระแวงไปหมด


ทั้งที่ตัวเขาเองก็กำลังระแวงคนตรงหน้าอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมใจมันถึงเป็นสุขขึ้นมาได้เพียงเพราะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน


...เพื่อน...เป็นคำที่เข้าใจยากจริงๆ ...


“เอ้า สองคนนั้นจะรอให้พระอาทิตย์ตกก่อนค่อยขึ้นมาดูถูกมะ”


“บ่น บ่นเก่งเลยมึงอะ”


เสียงตะโกนบ่นกันของเขากับคนที่ยืนอยู่รออยู่บนจุดสูงสุดของเนินทำให้คนร่าเริงข้างตัวระเบิดหัวเราะเสียจนเขาเผลอหัวเราะตามไปด้วย


สดใส...สดใสเหลือเกิน


“ไปกันเถอะดิม ปล่อยให้เดลบ่นนานกว่านี้เดี๋ยวก็มีคนถ่ายวิดีโอไปลงโซเชียลพอดี”


ไม่ว่าเปล่ายังอุตส่าห์ยื่นมือมาหาเพื่อหวังพาเขาไปด้วยกันทั้งๆ ที่ตัวเองก็เหนื่อยมากแล้วแท้ๆ


แปลก...เป็นเพื่อนที่แปลกจริงๆ


แต่สุดท้ายเขาก็ยอมเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายก่อนจะพากันวิ่งขึ้นเนินไปสุดแรง


ไม่ใช่เพื่อลบคำสบประมาทของคนที่ขึ้นมาถึงก่อนหน้า แต่เพื่อย้อนวันวานถึงอดีตที่ประทับอยู่ในใจ


...ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นเขาไม่เคยลืม...


“กว่าจะขึ้นกันมาได้เนอะ”


คำแซวขำๆ ของเดลทำให้เขาเผลอตัวฟาดไหล่ของอีกคนไปเบาๆ ในขณะที่พ่อคนดีก็เอาแต่ฉีกยิ้มร่า


“ดิมกับเดลยังสนิทกันเหมือนเดิมเลยนะ”


“ผมก็ยังเกลียดมันเหมือนเดิมอะ สันดานแม่ง ขี้แกล้งเหมือนเดิมอะ”


“จ้า พ่อคนดี น้องดิมคนดีของป้าสมร มึงอะดีจังเลย ไปคบกับผู้พันแซนเด...โอ๊ย นี่มือหรือตีนเนี่ย”


ไม่ทันที่ไอ้คนปากมากจะพูดจบ เขาก็ชิงฟาดแขนอีกคนไปก่อน ทำให้อีกฝ่ายชะงักแล้วยอมเปลี่ยนเรื่องพูดแต่โดยดี


เขายังไม่อยากให้ทีนรู้เรื่องเขากับลุงตอนนี้


...ยังไม่ใช่ตอนนี้...


โชคดีที่ทีนไม่ใช่คนคิดมากโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เจ้าตัวทำเพียงหัวเราะอย่างสนุกสนานไปกับท่าทางของพวกเขาก่อนจะชี้ชวนให้ดูสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอ


“โห ดูนู่นสิ พระอาทิตย์สวยเนอะ”


ไม่มีเสียงตอบรับคำพูดนั้น สิ่งที่พวกเขาทำเป็นเพียงการหันไปมองและนิ่งตะลึงค้างอยู่อย่างนั้น


ภาพของพระอาทิตย์สีเหลืองนวลทอแสงสีส้มไปทั่วผืนฟ้า ค่อยๆจรดเข้ากับแผ่นน้ำ วัตถุทรงกลมนั้นถูกผืนน้ำกลืนกินไปทีละเล็กทีละน้อยนั้นสวยงามเสียจนไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่


“พวกเรา...ไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันนานแล้วเนอะ”


คำพูดของเดลทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์สมัยที่ยังเรียนอยู่มัธยมต้นขึ้นมาได้


เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว มีเด็กชายสามคนที่ชอบแอบจับกลุ่มขึ้นไปบนดาดฟ้าโรงเรียนทุกเย็นเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินอยู่


ทีน เดล และดิม คือเด็กผู้ชายสามคนนั้น


ในตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นลงไป แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำทั้งหมดก็กลับกลายมาเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าในวันที่เราโตขึ้น


มิตรภาพในวันวานคือสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับเขาเหลือเกิน


“นั่นสิเนอะ ตั้งแต่ย้ายมาภูเก็ต เราก็แทบไม่ได้เจอทั้งสองคนเลย ได้กลับมาดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันแบบนี้ เราดีใจจริงๆ นะ”


ใช่ ดีใจ...ดีใจจริงๆ


“แต่ถึงทีนจะไม่เจอเรา ทีนก็น่าจะได้เจอพี่ดานะ พี่ดาพี่ของดิมน่ะ ทีนจำได้ไหม”


ท่าทางพาซื่อที่ถามเหมือนคนไม่รู้ความทำให้คนถูกถามที่รู้เรื่องของพี่เขาออกท่าทางเลิ่กลั่กแล้วหันมาสบตากับเขาราวกับจะถามว่า ‘ควรตอบออกไปยังไงดี’


ท่าทางพวกนี้ สำหรับเขายังไงก็เป็นแค่พฤติกรรมธรรมดา ไม่มีอะไรน่าแปลกเลยสักนิด แต่สำหรับเดลที่ไม่รู้ว่าทีนรู้เรื่องพี่ดาคงไม่ใช่...


“ทีนจำพี่สาวของเพื่อนไม่ได้เหรอ พี่ดาไง”


ดวงตาคมของคนช่างยิ้มหันมาสบตาเขาแว็บนึง


“จำได้สิ แต่ว่าไม่ได้เจอนานแล้วนะ ตั้งแต่ย้ายลงมาก็ไม่เจอเลย มีอะไรเหรอ”


“อ๋อเหรอ”


จู่ๆ น้ำเสียงของเดลก็แข็งกร้าวขึ้น...ห้วนและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก


ไม่ดี...ไม่ใช่เรื่องดีแน่...


“โกหกเก่งผิดจากเมื่อก่อนเลยนะ”


นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่คนถูกกล่าวหาทำเพียงแค่ส่ายหน้าช้าๆ


“เดลพูดอะไร เราไม่เข้าใจ”


คนถูกถามหัวเราะในคออย่างเย้ยหยันก่อนจะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาษขนาดเล็กขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ฝ่ามือหนาแกะซองอย่างไม่เร่งร้อนก่อนจะหยิบรูปภาพขนาดเล็กขึ้นมาโชว์ตรงหน้าของคนถาม


“นี่ไงล่ะที่เราพูดถึง”


ไม่จริง...นี่มัน...


ใบหน้าคมคายหันไปมองหน้าคนที่มักจะร่าเริงอยู่เป็นนิจ ตอนนี้ ใบหน้าสดใสนั้นหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาคมส่อแววสำนึกผิดในขณะที่หันมาสบตากับเขา


“ดิม...เรา เราขอทะ...”


“ทำไม”


เขาถามไม่ใช่เพราะอยากรู้คำตอบ แต่เขาถามพราะอยากได้ยินคำว่าไม่ใช่


เขาอยากได้ยินว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องโกหก


เขาอยากได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายว่าภาพที่เดลถือไว้ตรงหน้าไม่ใช่ของจริง


เขาอยากได้ยิน...อยากได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าภาพที่มีทีนยืนคุยกับพี่ดาอยู่นั้นไม่ใช่ของจริง


พูดสิ...พูดออกมาสิ


“ดิม เราไม่ได้ตั้งใจ เราขอโทษ ได้โปรดฟังเรานะ”


“ทำไม!”


เสียงตะโกนของเขาทำให้คนที่อยู่รอบข้างเริ่มหันมาสนใจ เขารู้ว่าเขาควรหยุด เขาไม่ควรระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้ แต่เขาทำไม่ได้


ทั้งที่รู้ แต่ก็ควบคุมอะไรไม่ได้


“มึงหลอกกูทีน”


“ไม่ดิม เราไม่ได้...”


“มึงโกหกกูทำไมทีน!”


“มึงไม่ต้องไปว่าทีนเลยนะดิม!”


เสียงตะคอกแทรกขึ้นมาของคนที่อยู่วงนอกมาตลอดการโต้เถียงอย่างเดลทำให้เขาต้องหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ


ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเพื่อนอีกคนดูรุนแรงกว่าเขาเสียอีก แต่เขากลับไม่เข้าใจอะไรเลย...


ทำไม เดลโกรธเขาทำไม


“มึงเอาแต่โทษมันว่ามันโกหกมึง แล้วทีมึงล่ะ มึงก็โกหกกูเหมือนกันรึเปล่า”


“กูโกหกอะไรมึง”


“มึงหลอกใช้กูไงดิม!”


เขาชะงัก


“มึงหลอกให้กูหาข้อมูลของพี่ดาให้มึงมากี่ปีโดยที่ไม่แม้จะบอกความจริงให้กูรู้เลย”


“เราเคลียร์เรื่องนี้จบไปแล้วนะเดล”


“เออ กูจบ แต่จบในกรณีที่กูนึกว่ามีแค่กูคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ไง!”


ดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายฉ่ำวาวกว่าทุกครั้งที่มอง


เขาไม่เคยเห็น...ไม่เคยเห็นเดลเป็นแบบนี้เลยสักครั้งเดียว


“กูคิด กูคิดมาตลอดว่ามันไม่เป็นไรหรอก แค่โดนหลอกใช้แค่นี้เรื่องเล็ก ยังไงมึงก็ไม่เคยเชื่อใจใครอยู่แล้ว แล้วนี่อะไรอะดิม มึงเล่าทุกอย่างให้ทีนฟังแล้วปล่อยให้กูเป็นหมาเหรอ!”


หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับโดนมือล่องหนมาบีบไว้แน่น


“กูจะไม่โกรธที่มึงหลอกใช้กูเลยดิม ถ้ามึงทำกับทุกคนเหมือนกับที่ทำกับกู แต่นี่อะไรอะ นี่มันอะไรอะดิม กูเป็นเพื่อนมึงจริงๆ รึเปล่า หรือกูแค่คิดไปเองว่ากูเป็นเพื่อนกับมึงทั้งๆ ที่มึงไม่เคยมองกูเป็นเพื่อนเลย”


คำพูดของเดลเหมือนมีดที่แทงเข้ามาในใจเข้าซ้ำๆ


“ตอนแรกกูคิดว่ากูเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องพี่ดา มึงรู้ไหมดิม...”


ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“ตอนที่กูคิดว่ามึงไว้ใจกู กูดีใจมาก กูดีใจมาตลอดจนกระทั่งรู้ว่าเรื่องทุกอย่างกูคิดไปเองทั้งหมด กูดีใจมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนที่ทีนหันไปสบตามึงเมื่อกี้เลยดิม”


หัวใจของเขาเป็นแผลเหวอะหวะ


“สายตาแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น ดูยังไงก็รู้ว่าทีนต้องรู้เรื่องพี่ดาอยู่แล้ว แล้วการโกหกของมันก็ยิ่งทำให้กูมั่นใจว่ามันรู้”


น้ำเสียงสั่นเครือนั้นไม่ต่างจากน้ำกรดที่กำลังกัดกร่อนหัวใจของเขาช้าๆ


“ตอนแรกที่กูจะพามึงไปเจอทีน เพราะกูกะจะเซอร์ไพรส์มึงว่ากูเจอพี่มึงแล้ว เพื่อนมึงคนนี้ทำทุกอย่างจนรู้ว่าพี่มึงอยู่กับทีน กูเลยอยากให้มึงมาเจอทีนเพื่อให้พวกเราไปเจอพี่ดาด้วยกัน แล้วนี่อะไร กูต้องมาเจอกับความจริงที่ว่ามีแค่กูคนเดียวที่เป็นควายเหรอดิม”


ไม่...ได้โปรด หยุด หยุดพูดเสียที


“กูยอมรับว่ากูขี้แกล้ง กูก็แค่อยากแกล้งมึงเหมือนอย่างที่กูชอบทำ อยากเห็นมึงมีความสุขเหมือนอย่างทุกที แล้วดูสิว่ามึงตอบแทนกูด้วยอะไร”


ใบหน้าเจ็บปวดของเพื่อนสนิทกำลังทำให้ตัวเขาแหลกสลายลงทีละเล็กทีละน้อย


“สุดท้าย มึงก็ไม่เคยมองกูเป็นเพื่อนเลย”


แล้วน้ำตาหยดแรกและหยดเดียวก็ไหลลงจากตาของคนพูด


แล้วเดลก็เดินจากไป ทิ้งพวกเขาสองคนไว้กับความเงียบงันและหัวใจที่เป็นแผลฉกรรจ์เกินเยียวยา


มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่ามิตรภาพนั้นเป็นความสัมพันธ์ชั่วชีวิตที่แสนล้ำค่า เขาเองก็เคยหวังว่ามิตรภาพของพวกเขาสามคนจะคงอยู่ตลอดไปจนวันสุดท้ายของชีวิต


แล้วก็เป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างพังพินาศ


เป็นเขาเองที่ทำให้ดาวฤกษ์แห่งมิตรภาพต้องลาลับขอบฟ้าไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ


มิตรภาพก็เปรียบเสมือนกระจก ถ้าลองได้แตกแล้วสักครั้ง ต่อให้เอากลับมาต่อกันใหม่มันก็ไม่มีวันเหมือนเดิม


ความระแวง ความกังวล ความโศกเศร้าเสียใจในครั้งนี้จะประทับอยู่ในใจของพวกเขาไปชั่วชีวิต ต่อให้หลังจากนี้กลับมาเป็นเพื่อนกัน ก็คงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว


ไม่มีวันที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว


ดาวฤกษ์ของเขา...แตกสลายแล้ว...





***********************************************************************




จากที่วางแพลนไว้คืออีกไม่เกิน 5 ตอนน่าจะจบแล้วนะคะ ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามมาตลอด ฝากติดตามต่ออีกนิดนึงน้า >w<





***********************************************************************





พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ












ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-First Song (4/04/61)
«ตอบ #331 เมื่อ05-04-2018 00:29:56 »

เป็นตอนที่อึดอัดใจมากเลย :sad4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-First Song (4/04/61)
«ตอบ #332 เมื่อ05-04-2018 01:14:43 »

 :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-First Song (4/04/61)
«ตอบ #333 เมื่อ05-04-2018 01:29:41 »

สงสารเดล
เราเข้าใจเดลเลยอ่ะ
เข้าใจแบบโคตรเข้าใจอ่ะ

ดิ่มดิ๊มต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย

ลุงอย่าเพิ่งมาปลอบนะ
ให้ดิ่มดิ๊มเรียนรู้การไว้วางใจ
การให้ความจริงใจกับเพื่อนก่อน
เพราะถ้าวันไหนลุงไม่อยู่
ดิ่มดิ๊มอ่อนแอมากแน่ๆ

ส่งใจให้เดล
รอดูว่าทีนจะทำยังไง
และทำไมถึงทำแบบนั้น
และทีนเป็นสามีพี่ดาหรือไม่

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-First Song (4/04/61)
«ตอบ #334 เมื่อ05-04-2018 08:51:15 »

หน่วง    :mew2:
เข้าใจดิม 
เข้าใจเดล แต่ไม่มาก
ก็เดลเจ้าแผนการณ์ แกล้งดิมมาก
ดิม บอกเดล แต่บอกไม่เท่าทีนเท่านั้นใช่ไหม  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

แต่ทีน เพื่อนรักที่สุดทำไมอยู่กับพี่ดาแล้วไม่บอกดิม
อยู่แบบไหน เป็นแฟนกันไช่ไหม
ที่ไม่บอกดิม เพราะพี่ดาห้ามไว้หรอ
อย่างนี้เท่ากับว่า หักหลังกันเป็นทอดๆ หรือเปล่า
แล้วจะดีกันได้อย่างไร   :z3: :z3: :z3: 
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #335 เมื่อ08-04-2018 10:10:21 »

Twenty-Second Song










ความเงียบนั้นน่ากลัว แต่เสียงอึกทึกที่ดังฝ่าความเงียบขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า...


รถยนต์สีดำคันใหญ่ค่อยๆ ผ่อนความเร็วเมื่อเข้าใกล้จุดหมายปลายทาง ท้องฟ้าที่เป็นสีดำสนิทตลอดการเดินทางเริ่มถูกแต่งแต้มด้วยสีทองจากพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า


คนสูงวัยเบือนหน้าไปมองท้องฟ้าด้านนอกพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ต้องทำ


หลังจากตอนนั้น...หลังจากที่เขาทำให้กล้องตัวจิ๋วที่ถูกติดไว้ในช่องแอร์กลับมาทำงานตามปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างในรถก็เหมือนถูกหยุดเอาไว้ตั้งแต่วินาทีนั้น ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็น สิ่งที่คนในห้องโดยสารทำมีเพียงการนั่งนิ่งๆ ให้มากที่สุดเพื่อตัดความเสี่ยงทั้งหมดออกไป


ความเสี่ยงแรกคือเรื่องของการลอบฆ่า


ถ้ามันคิดจะลอบยิงเขาจริง การที่เขานั่งอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการลอบสังหารแบบนี้แล้วมันยังไม่ลงมือ แสดงว่าการนั่งนิ่งในอิริยาบถนี้ต้องไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ขยับตัว เขาจะปลอดภัย


ความเสี่ยงที่สองคือเขากำลังถูกจับตามอง


การนั่งนิ่งของเขาคือการเล่นกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้ว การมองดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนานเกินไปจะทำให้คนเฝ้าดูหมดความสนใจ แม้จะเป็นภาระที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเข้มงวดแค่ไหน แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่น่าสนใจ ความรอบคอบเอาใจใส่ก็จะถดถอยลง


สุดท้ายแล้วมันก็จะพ่ายแพ้ต่อธรรมชาติในตัวของมันอยู่ดี


เขาเองก็อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว จะให้ใครมาหยามหน้ากันง่ายๆ ก็คงไม่ได้


ถ้าคิดจะปราบเสือ ก็ต้องทำใจว่าอาจจะโดนเสือกัดตายก่อนได้ปราบ


ใบหน้ามีริ้วรอยยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองตรงเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอดห้าชั่วโมงที่ผ่านมา


เสือธรรมดาที่ว่าดุเทียบไม่ได้เลยกับเสือที่มีสิ่งที่ต้องปกป้อง


แม่เสือสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องลูกของมันแบบไหน เขาก็สู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของตัวเองแบบนั้น


ใบหน้าของคนที่อยู่ห่างไกลผุดวาบขึ้นมาชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไปเมื่อสัญญาณไฟเลี้ยวกระพริบขึ้นที่หน้าปัดหลังพวงมาลัยรถ


นัยน์ตาสีเข้มฉายแววมาดร้ายอย่างไม่คิดปิดบัง


เขาต้องรีบเก็บกวาดให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นเด็กคนนั้นจะเป็นอันตราย


เด็กคนนั้น...


“ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ทำไมผมถึงรักคุณก็ไม่รู้”


แมวน้อยของเขา...


“ความรักนี่...เข้าใจยากจังเลยนะครับ”


ต้องปกป้อง ต้องโอบกอดไว้ให้แน่นที่สุด...


ยังไม่ทันสิ้นความคิดประตูรถก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก


“เชิญเลยครับนาย ผมเตรียมที่พักไว้ให้หมดแล้ว”


คนสูงวัยหันไปมองหน้าผู้มาใหม่อย่างเชื่องช้า


คนๆ นี้ยังเป็นเหมือนเดิมไม่มีผิด


ใบหน้าหยาบกร้านนั้นดูดุดัน ดวงตาข้างขวานั้นก็ฉายแววเทิดทูน ทั้งที่เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไปแท้ๆ ไม่รู้ทำไมถึงยังเคารพเขามากมายขนาดนี้


“ทำงานได้ดีเหมือนเดิมเลยนะภพธร”


อีกฝ่ายก้มหัวให้เขาเล็กน้อยๆ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้บอดีการ์ดที่เหลือเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้เป็นเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง


ไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ ...


“เชิญทางนี้เลยครับนาย”


คนพูดไม่ว่าเปล่า ร่างกำยำค้อมตัวลงแล้วผายมือเป็นทำนองให้เขาเดินนำไปด้วย


ไม่ชอบ...ไม่ชอบเลยจริงๆ


เขาไม่ชอบการกระทำทั้งหมดในตอนนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเปรียบเสมือนเสาเข็มที่ตอกกระแทกลงมากลางใจเขาซ้ำๆ


สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าเขาเป็นคนสกปรก


โลกของเขามันสกปรก...สกปรกเสียจนไม่อยากลากอีกฝ่ายลงมาเกลือกกลั้วด้วย เด็กคนนั้นควรเติบโตอย่างแข็งแรง เป็นคนในโลกสีเทาสว่างที่สดใสและร่าเริง


แต่เขาขาดอีกคนไม่ได้...


ขาดไม่ได้พอๆ กับที่เขาหันหลังให้กับทุกสิ่งที่พ่อสร้างมาไม่ได้ แม้จะอยากไปอยู่กับอีกคนในโลกสว่างมากแค่ไหน หรือแม้จะไม่อยากลากอีกคนเข้าสู่วังวนโสมมนี้แค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี


สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเดินไปตามการเชื้อเชิญนั้นอยู่ดี














เข็มนาฬิกาของเขาดูเหมือนจะหยุดเดินตั้งแต่วินาทีที่พระอาทิตย์ตกดิน


หลังจากเดลเดินจากไป อะไรต่อมิอะไรก็ดูเหมือนจะกระอักกระอ่วนขึ้นกว่าเก่าจนเขาไม่อาจนั่งฟังทีนสารภาพบาปได้ สิ่งเดียวที่เขานึกออกคือต้องรีบเดินทางกลับไปโรงแรมเพื่อสงบสติอารมณ์ให้เร็วที่สุด


แต่การเดินลงมาจากจุดชมวิวเพื่อหารถกลับโรงแรมแล้วพบว่าเดลได้ทิ้งรถเอาไว้ให้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องสนุก


ทุกครั้งเวลาที่เขาไปไหนมาไหนกับเพื่อนจอมแสบคนนั้นแล้วเจ้าตัวจำเป็นต้องกลับไปก่อน อีกฝ่ายมักจะทิ้งรถเอาไว้ให้เขาใช้เดินทางกลับโดยซ่อนกุญแจไว้บริเวณล้อรถเสมอ


ขนาดโกรธกันตั้งมากมายขนาดนี้ อีกคนก็ยังทำกับเขาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน


การได้เห็นรถคันนั้นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจเขามากไปอีกหลายทบทวีคูณ


สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจขับรถคันนั้นกลับมา หวังเพียงว่าจะได้เจอคนที่หายไปที่ห้องพัก แต่เหมือนช่วงนี้โชคชะตาจะเกลียดเขาเข้าไส้...


ห้องพักหรูหรามืดสนิท


มืดและเงียบสงัด


คนๆ นั้นไม่แม้แต่จะกลับมาเก็บของที่โรงแรม ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนตอนกลางวันที่เขาเดินออกจากห้อง ไม่มีอะไรถูกขยับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนตำแหน่ง กระเป๋า เสื้อผ้า ทุกอย่างของอีกคนก็ยังอยู่ครบ มีแค่อย่างเดียวที่หายไป...


[เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ The Number…]


เพื่อนของเขาหายไป


เสียงโอเปอเรเตอร์รื่นหูดังขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สิ่งเดียวที่รู้คือเพื่อนคนนั้นตัดเขาออกจากการติดต่อทุกช่อ
งทาง มือถือของเดลปิดสนิท ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ฝากข้อความเสียง โซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมดไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีแม้แต่คำใบ้ว่าอีกคนหายไปไหน


ใจหนึ่งก็อยากจะโกรธที่ทิ้งกันไว้กลางทางแบบนี้ แต่จะโกรธได้ยังไงในเมื่อตัวเขาเองรู้อยู่เต็มอกว่าใครคือคนที่ทำให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น


เป็นเขาเอง...เป็นตัวเขาทั้งหมด


ความไม่เชื่อใจที่ถูกบ่มเพาะจากคำพร่ำสอนที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กกำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง


อย่าเชื่อใจใคร


อย่าไว้ใจใคร


ไม่มีใครเป็นมิตรที่แท้จริง


ไหนพ่อบอกว่าถ้าทำตามแล้วชีวิตเขาจะมีแต่ความปลอดภัยไง ไหนพ่อบอกว่าถ้าเชื่อฟังพ่อแล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีไง


ไม่เห็นจริง...ไม่เห็นจริงเลยสักนิด


“พี่ครับ ผมควรทำยังไงดี”


เสียงของเขาดังฝ่าความมืดออกไป หวังเพียงให้มีปาฏิหาริย์ให้คนที่เขาพยายามเรียกหาตอบกลับมา


หวังเพียงให้เขาได้เจอหน้าเพื่อนอีกครั้ง สิ่งที่เขาจะทำคือการขอโทษอย่างจริงใจ


น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่ปราณีเขาสักเท่าไหร่...


[เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ The Number…]


ข้อความเดิมๆ ที่ได้ยินซ้ำๆ มาเป็นสิบๆ รอบกำลังทำให้กำแพงความอดทนของเขาพังทลายลงทีละเล็กทีละน้อย


[เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ The Number…]


ตอบสิ ตอบกลับมาสักทีสิ


[เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ The Number…]


ทำไมไม่รับสาย ทำไมถึงทิ้งเขาไว้แบบนี้


[เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกคะ...]


เพล้ง!


เสียงเครื่องมือสื่อสารที่กระทบเข้ากระกระจกบานสวยบนฝาผนังห้องแต่งแต้มบรรยากาศของค่ำคืนที่หม่นหมองและเงียบงันให้ปรากฏสีสันขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง


เป็นแค่ช่วงสั้นๆ ที่เขาไม่ต้องอยู่ในรัตติกาลที่เงียบสงัดเพียงลำพัง


ร่างสูงโปร่งทรุดตัวนั่งลงบนพื้นพรมหรูช้าๆ ใบหน้าของเขาเปียกชื้น แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นลอดออกมาจากริมฝีปากสวย ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเย็นแว็บกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง


‘ตอนที่กูคิดว่ามึงไว้ใจกู กูดีใจมาก กูดีใจมาตลอดจนกระทั่งรู้ว่าเรื่องทุกอย่างกูคิดไปเองทั้งหมด กูดีใจมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนที่ทีนหันไปสบตามึงเมื่อกี้เลยดิม’


สายตาผิดหวังแบบนั้น...


‘กูยอมรับว่ากูขี้แกล้ง กูก็แค่อยากแกล้งมึงเหมือนอย่างที่กูชอบทำ อยากเห็นมึงมีความสุขเหมือนอย่างทุกที แล้วดูสิว่ามึงตอบแทนกูด้วยอะไร’


น้ำเสียงสั่นเครือแบบนั้น...


‘สุดท้าย มึงก็ไม่เคยมองกูเป็นเพื่อนเลย’


น้ำตาที่ไหลออกมาหยดนั้น...


คบกันมาเป็นสิบปีไม่ยักจะเคยเห็น แต่พอได้เห็นมันกลับ...


‘ดิม...เรา เราขอทะ...’


ไม่ใช่แค่เดล แต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นคนที่มีรอยยิ้มสดใสตลอดเวลาอย่างทีนหน้าซีดขนาดนั้นเหมือนกัน


การได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นเหล่านี้ต้องแลกมีด้วยสิ่งที่มีราคาค่างวดมากมายเหลือเกิน...


“โอ้ พระบิดาบนสวรรค์...”


เสียงของเขาสั่นเครือกว่าครั้งไหน


“ลูกผิดเอง ลูกผิดเอง”


หยาดน้ำตาที่รินไหลคือชิ้นส่วนของตัวเขาที่กำลังแตกสลาย


เขาจ่ายราคาของการได้เห็นสีหน้าที่ไม่เคยเห็นจากเพื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ เขาจ่ายมันไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว


...ไม่มีวัน...


ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลานานแค่ไหนในการนั่งอยู่ในความมืดแล้วจ้องมองผนังที่ว่างเปล่า เศษกระจกมากมายกองอยู่ที่พื้นพรมเบื้องล่าง ผนังสีขาวที่เคยสวยปรากฏร่องรอยของสีผนังที่ไม่เท่ากันอย่างไม่น่าดู


ไม่น่าดู แต่เขาก็ดู ดูอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกถึงแสงสีทองที่ค่อยๆ ลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเข้ามาในห้อง


ร่องรอยของความแตกสลายที่แสนปวดร้าวปรากฏอยู่ทั่วทุกแห่ง


กระจกที่แตก


โทรศัพท์มือถือที่พัง


มือของเขาที่โดนเศษกระจกบาด


...ยับเยินสิ้นดี...


ไม่ไหว ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปเขาได้ตายแน่


พอคิดได้แบบนั้น มือมันก็ขยับไปคว้ากุญแจรถตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ขับรถออกมาในเมืองเสียแล้ว


เพราะไม่มีจุดหมายที่จะไปตั้งแต่แรก ประกอบกับยังเช้าอยู่มาก ร้านค้าต่างๆ ก็ยังไม่เปิดให้บริการ เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงขับรถวนไปวนมาในตัวเมืองเพื่อระงับความฟุ้งซ่านในจิตใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าการขับรถอย่างไร้ทิศทางกำลังทำให้เขาเผชิญหน้ากับความลำบาก เมื่อจู่ๆ รถยนต์คันเล็กก็ดับสนิทลงเสียดื้อๆ ตรงกลางทาง


รถยนต์คันเล็กของเขาดับลงอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งที่หน้าปัดน้ำมันก็ยังชี้อยู่เกิดครึ่งถัง แถมตอนขับมาก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมาเสียเอากลางทางเสียได้นะ


อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้กัน


ร่างโปร่งก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกเคว้งคว้างยิ่งกว่าครั้งไหน โทรศัพท์มือถือของเขาพังไปแล้ว ยิ่งตู้โทรศัพท์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในยุคสมัยที่สมาร์ทโฟนเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองแบบนี้ ตู้โทรศัพท์ก็โดนยกเลิกไปแทบทั้งหมด


หลังจากหันรีหันขวางอยู่นานก็เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขาบ้างเมื่อจู่ๆ ก็มีชายชราที่ขับรถผ่านมาเข้ามาถามไถ่และให้ความช่วยเหลือโดยการไปขอให้คนแถวนั้นช่วยกันดันรถเขาเข้าไปไว้ตรงไหล่ทาง หนำซ้ำยังใจดีมากพอที่จะให้เขายืมใช้โทรศัพท์ติดต่อหาทางโรงแรมอีกต่างหาก


เขาโทร.ไปบอกปัญหากับทางโรงแรมพร้อมกับฝากข้อความไว้ให้บอกเดลว่าเขาอยู่ที่ไหน


ในกรณีที่อีกฝ่ายกลับมาน่ะนะ...


“งั้นโก้ไปก่อนนะน้องบ่าว โย้ได้ใช่ไหม (งั้นพี่ไปก่อนนะน้อง อยู่ได้ใช่ไหม)


เขายอมรับว่าฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็พอจับใจความได้ว่าอีกคนคงขอตัวไปก่อน จึงทำได้เพียงพยักหน้าไปช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้ม


“ขอบคุณมากครับพี่”


หลังจากกล่าวขอบคุณกันเสร็จสรรพ ชายคนนั้นก็จากไปทิ้งเขาไว้กับรถยนต์ที่ไร้ประโยชน์และถนนที่ว่างเปล่า


เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ จึงได้รู้ว่าด้านหน้าของเขาเป็นโรงเรียน ส่วนที่อยู่ฝั่งถนนเดียวกับเขาคือสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายบอกอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หลังจากชั่งใจว่ายังไงทางโรงแรมก็คงไม่ส่งคนมาถึงภายในห้าหรือสิบนาทีนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินไปดู


ประตูเหล็กบานใหญ่ถูกแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ พอให้คนเดินเข้าไปได้ เมื่อมองลอดรั้วเข้าไปจึงได้เห็นสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก


สุสาน...แถมยังเป็นสุสานคริสต์เสียด้วย


บนป้ายที่อยู่ห่างไปไม่กี่เมตรมีคำสั้นๆ ขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สุสานคาทอลิก ภูเก็ต’ เขามองป้ายนั้นอยู่อึดใจก่อนจะหันหลังกลับ...


เขาเกือบจะหันหลังเดินกลับไปที่รถของตัวเองอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าเขาเห็นอะไรบางอย่าง...


รถยนต์ญี่ปุ่นสีแดงคันเล็กที่จอดอยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งที่เขายืนเป๊ะๆ ทำให้ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปดูป้ายทะเบียนเพื่อเช็คความแน่ใจ


ทันทีที่เห็นได้เห็นเลขทะเบียนเต็มตา นัยน์ตากลมก็พลันเบิกกว้างขึ้นก่อนที่จะหันใบหน้ามองตรงเข้าไปยังสุสานที่ทอดตัวยาวอยู่ในบริเวณรั้ว


รถคันนี้เป็นรถของทีนไม่ผิดแน่ แต่ทำไมถึงมาที่นี่


ดวงตาสวยหรี่ลงอย่างครุ่นคิด


จะว่ามาโรงเรียนก็ไม่ใช่ เพราะถ้ามาโรงเรียนจริงก็ควรจะเข้าทางด้านหน้า ไม่ใช่ด้านหลังที่ประตูปิดสนิทแบบนี้ อีกอย่าง ทีนไม่มีความจำเป็นต้องมาโรงเรียนเลยสักนิด


แต่ทีนก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาสุสานคาทอลิกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ


เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าเพื่อนของเขาไม่ได้มาจอดแวะเพื่อซื้อของที่ร้านไหน เช้าขนาดนี้นี้ ไม่มีร้านค้าสักร้านในละแวกที่เปิด


ถ้าอย่างนั้นก็คงเหลืออยู่ที่เดียว...


นัยน์ตาสีดำสนิทมองตรงไปข้างหน้า


...มองตรงไปยังถนนที่ทอดยาวเข้าไปในตัวสุสาน...


เพื่อนของเขาคนนี้เป็นพุทธทั้งตระกูล แม้แต่เดลเองก็เป็นพุทธ มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่เป็นชาวคริสต์ เท่าที่จำได้ สองคนนั้นไม่เคยรู้จักแม้กระทั่งบทสวดสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าด้วยซ้ำ


จู่ๆ ก็มาสุสานคริสต์ ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ...


เพราะทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้อีกต่อไป เรียวขายาวจึงพาเจ้าของก้าวจ้ำเข้าไปในสุสานด้วยความรวดเร็ว


สุสานแห่งนี้สงบร่มรื่นไม่ต่างจากสุสานอื่น ในยามเช้าแบบนี้ไม่ค่อยมีผู้คนในสุสานมากนัก เขามองเห็นหญิงชราคนหนึ่งอยู่ไกลไปลิบๆ กับชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าหลุมศพริมทางเดิน ท่าทางสงบนิ่งของอีกฝ่ายทำให้เขาเกรงใจเกินกว่าจะเดินเข้าไปสอบถามว่าเห็นเพื่อนเขาบ้างไหม สุดท้ายจึงทำได้แค่เดินลัดเลาะไปตามหลุมศพต่างๆ อย่างเงียบเชียบ


บรรยากาศของที่นี่เงียบสงัด เสียงนกร้องที่ดังอยู่ไกลๆ กับแสงอาทิตย์ที่เริ่มสาดส่องลงมาบนผืนหญ้าช่วยส่งให้สถานที่แห่งนี้สวยงามยิ่งขึ้นกว่าเก่า


เขายอมรับว่าสถานที่สุดท้ายบนโลกมนุษย์ของผู้พักอาศัยที่นี่ช่างงดงาม


เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะเกิดจากการที่เขาคิดไปเองอีกแล้วก็ได้


...นิสัยขี้ระแวงนี่แก้ยากไม่เบาเลย...


เสียงหัวเราะหยอกล้อกับตัวเองดังขึ้นในคอ นัยน์ตาเขาเหม่อมองป้ายสลักหินใกล้ตัวด้วยดวงตาที่แสนอ่อนล้า


เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะจิตใจฟุ้งซ่านเสียจนนอนไปหลับ แต่พอได้มาอยู่ที่นี่ ใจมันก็สงบลงมากโข


สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ล้วนเกิดเพื่อตาย พบเพื่อจากด้วยกันทั้งนั้น ยังไงเสีย ปัญหาทุกอย่างก็ต้องค่อยๆ แก้กันไป ถ้าแก้ไม่ได้ สุดท้ายมันก็จะตายไปพร้อมเราก็แค่นั้น


...สุดท้ายปัญหาเหล่านั้นก็จะสูญสลายไปพร้อมกับจิตวิญญาณของเราอยู่ดี...


ความฟุ้งซ่านในใจที่เริ่มลดลงก่อให้เกิดความง่วงนอน มือเรียวยกขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหาวออกมาหวอดใหญ่


เห็นทีเขาควรจะไปนอนรอโรงแรมอยู่ในรถน่าจะดีกะ...


เขาคิดยังไม่ทันจบด้วยซ้ำในตอนที่ตามองไปเห็นชื่อที่สลักอยู่บนแผ่นหินแผ่นหนึ่ง


ป้ายหลุมศพนั้นเป็นเพียงแผ่นหินที่เรียบง่าย ไม่ได้ตกแต่งสวยงาม ไม่ได้ดูมีราคาค่างวดอะไร แต่ชื่อที่สลักอยู่บนนั้นกลับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเฝ้าตามหามานานแสนนาน


ชื่อบนนั้น...ชื่อของพี่สาวที่เขาเฝ้ารอคอยจะพบเจอมาตลอดห้าปี


นางสาวดารินทร์ ไวยสมุทร ชาตะ 21 มีนาคม พ.ศ.2535 มรณะ 2 มกราคม พ.ศ. 2561


พี่สาวที่เขาเฝ้าตามหามาตลอดสามปี...


จากไป...จากไปแล้ว...


เขาคิดได้แค่นั้นก็จะหมดแรงล้มลงกับพื้น


เขาคิดได้แค่นั้นก็จะร้องไห้ออกมาเสียจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม


เขาคิดแค่นั้นก่อนจะสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งไหนในชีวิต


...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของเขาแตกสลายแล้ว...









***********************************************************************





พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ






ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #336 เมื่อ08-04-2018 11:01:37 »

ๆๆ :hao5: :hao5: :hao5: โลกของดิมสลายไปแล้ว ลุงมาช่วยน้องเร็วๆนะ ร้องเลย ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ bungg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #337 เมื่อ08-04-2018 14:37:49 »

เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านชอบมากๆเลยค่ะ และก็สงสารน้องมากๆด้วย ลุงอยู่ไหนนนมาปลอบน้องเร็ว

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #338 เมื่อ08-04-2018 15:44:05 »

 :hao5:เศร้าได้อีก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #339 เมื่อ08-04-2018 15:44:36 »

 :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
« ตอบ #339 เมื่อ: 08-04-2018 15:44:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #340 เมื่อ08-04-2018 17:56:56 »

ดิม กำลังมีปัญหา  :z3:
ลุง กำลังจะถูกปองร้าย
จากลูกน้อง ภพธรแน่ๆเลย   o22 o22 o22

เดล ขี้แกล้งเกินไป จนไม่น่าไว้วางใจ
ก็ต้องโทษนิสัยตัวเองด้วยล่ะ
ถ้ามันออกมาในรูปนี้
แถมดิมยังมีคำสั่งสอนของพ่อติดตัวมาอีก
ว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

พี่ดา เสียแล้ว นี่คงเป็นเหตุให้ทีนพูดไม่ออกสินะ
เพื่อนตามหาพี่สาวมาตลอด
แล้วให้บอกว่าพี่เสีย มันดับความหวังของดิมซะจริงๆ
แล้วดิม ทำมือถือพัง ตัวเองมีแผลอีก
แล้วจะติดต่อใครๆได้ยังไง ทำเรื่องเสียเองนะดิม
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #341 เมื่อ08-04-2018 19:30:53 »

 :mew6: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #342 เมื่อ08-04-2018 21:00:36 »

โอ้ยยยยยดิมเอ้ยยยยอะไรจะประเดประดังเข้ามาขนาดนี้นี่มันเป็นเหมือนบททดสอบการใช้ชีวิตของดิมเลยนะ คือเหมือนที่ผ่านมาดิมอยู่ในเซฟโซนของตัวเองมาตลอดจนกระทั่งมีลุงเข้ามาทำให้ดิมเปิดใจดิมถึงได้กล้าก้าวออกมาเผชิญโลกภายนอกแบบนี้ แต่ออหมาไม่ทันไรก็เจอแต่อะไรพีคๆทั้งนั้น สู้ๆนะดิมเอ้ย กรณีของเดลนี่ก็เข้าใจว่าผิดหวังแหละแต่เอาจริงๆตั้งแต่มาภูเก็ตนี่เราระแวงพฤติกรรมเดลมากนะ ตอนแรกนึกว่าเดลคือคนทรยศซะอีก ส่วนลุงก็เหมือนงานจะเข้าเป็นห่วงลุงจังกลัวจะเกิดเรื่องร้ายแรงไม่อยากให้ลุงเจ็บตัวเลยจริงๆ

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #343 เมื่อ09-04-2018 00:36:55 »

พานพบแต่ความเจ็บปวดมาตลอดเลยหรอดิ่มดิ๊ม? เราได้แต่มองการเล่าเรื่องทุกอย่างผ่านดิ่มดิ๊มกับลุง

แต่เราไม่เคยได้รับรู้การเล่าเรื่อง
จากมุมมองที่ต่างออกไปเลย

การที่เดลแกล้งดิ่มดิ๊มอาจจะมีหลายสาเหตุปัจจัย
ขนาดเรายังรู้เลย
ว่าที่ดิ่มดิ๊มไม่กล้าไว้ใจใคร
นั่นเพราะเป็นคำสอนจากครอบครัว

ประเดประดังมาให้หมดเถอะ
ดิ่มดิ๊มจะได้เรียนรู้บ้าง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ดิ่มดิ๊มเหมือนถูกปิดตาไว้ข้างนึงตลอด
ตามคนอื่นก็ไม่ทัน

จะเป็นแม่คนแล้ว
ดิ่มดิ๊มทำได้นะ
คนเราต้องสู้

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #344 เมื่อ09-04-2018 01:11:36 »

สงสารดิม อยากให้ลุงมาปลอบดิม แต่เหมือนว่าลุงก็กำลังตกอยู่ในอันตราย

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #345 เมื่อ10-04-2018 06:08:46 »

เศร้ากว่าเดิมอีก น้องดิมเจอแบบนี้

ออฟไลน์ Emmaline

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Second Song (8/04/61)
«ตอบ #346 เมื่อ15-04-2018 15:59:21 »

สงสารดิม คุณปราณมาหาน้องด่วนนนน

 :ling3:

เดลนิสัยแบบนั้น แล้วใครจะเชื่อใจเดลได้อะ

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #347 เมื่อ22-04-2018 12:15:20 »

Twenty-Third Song










ควันสีเทาที่ลอยคละคลุ้งในอากาศคือสิ่งที่เขาใช้ย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ยอมแพ้


การฝืนตัวเองให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมตลอดเวลามาตลอดเจ็ดชั่วโมงติดต่อกันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัยหกสิบย่างหกสิบเอ็ดปีอย่างเขาเลย อาการเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏขึ้นในแววตาจนเลขาของเขาต้องอ้างเรื่องการเซ็นเอกสารสำคัญเพื่อให้เขาได้ปลีกตัวออกมาพักบ้าง


ชายสูงวัยเอื้อมมือไปขยี้ก้านบุหรี่ในมือลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้างตัวแล้วจึงเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดเกือบแปดชั่วโมงที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาการเดินทาง เขานั่งหลังตรง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้สามารถมองเห็นรอบตัวได้อย่างชัดเจนที่สุด กว่าจะรู้ตัวว่าแผ่นหลังของเขารวดร้าวเกินทนไหวก็ตอนที่ต้องลุกขึ้นจากเบาะรถนั่นล่ะ


แต่ทนไม่ไหวแล้วยังไง อย่างไรเสียก็ต้องทน


เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าเล็ดลอดออกมาจากร่างกำยำที่ทอดตัวนั่งเอนหลังอยู่ในห้องมืดสลัว


เขาเป็นเจ้านาย จะมาอ่อนแอให้ลูกน้องเห็นคงไม่ได้ ที่สำคัญ...


นัยน์ตาคู่คมวาบวับขึ้น


เขายังจับตัวคนทรยศไม่ได้ ยังไงเสียก็คงต้องระวังตัวไว้ก่อน


ใช่ ระวังไว้ก่อน...


ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปหยิบเอกสารบนโต๊ะมาดูด้วยท่าทางไม่รีบร้อน ผลสรุปบัญชีธุรกิจมืดของเขาดูเรียบร้อยเหมือนอย่างทุกที แต่เมื่อพลิกไปหน้ารายงานการเคลื่อนไหวของบัญชีลูกน้องใต้อาณัติที่เลขาของเขาเพิ่งหาให้มาหมาดๆ ใบหน้าคมก็พลันฉายแววเย็นชาขึ้นถนัดตา


ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เสียทีเดียวหรอกนะ...


-ก๊อก ก๊อก ก๊อก-


เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องหย่อนเอกสารในมือทั้งหมดลงในลิ้นชักแล้วปิดล็อกกุญแจอีกชั้นก่อนจะขยับเปลี่ยนท่านั่งกลับมาเป็นท่าทางจริงจังดังเดิม


“เข้ามา”


สิ้นคำอนุญาต ประตูไม้บานหนาจึงถูกเปิดออก เผยให้เห็นคนที่เขาเพิ่งวิเคราะห์ประวัติบัญชีของอีกคนไปหมาดๆ


คนที่เขาเริ่มจะไม่ไว้ใจ


“มีอะไรเหรอภพธร”


อีกฝ่ายโค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนที่จะส่งเอกสารในมือมาให้


“บัญชีสรุปรายได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงเมื่อวานนี้ครับ”


เขายิ้ม


ยิ้มอย่างเป็นมิตรเหมือนทุกทีที่เจอหน้ากัน


“ขอบใจมากนะ ฉันมากลางคันแบบนี้ คงทำงานกันหัวหมุนเลยสิ”


รอยยิ้มนอบน้อมปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี้ยมเกรียมของคู่สนทนา


“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับนาย ปกติบ่อนชายแดนก็ครึกครื้นอยู่แทบจะทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว ผมเองก็แค่สรุปงานเพิ่มอีกนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ”


ท่าทางพยักหน้าน้อยๆ ของเขายิ่งกระตุ้นให้คนตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างขึ้น


“ช่วงนี้รายได้ของบ่อนเราดีมากเลยครับนาย ได้ลูกค้ารายใหม่มาเยอะกว่าเก่ามากเลยครับ”


“เหรอ”


เขาทอดเสียงเนือยๆ ราวกับไม่ใส่ใจหัวข้อที่อีกคนยกขึ้นมาพูดนัก


“แล้วทำไมจู่ๆ คนถึงได้มาเข้ากันเยอแยะล่ะ”


ได้ผล


นัยน์ตาคมลอบมองใบหน้าที่ถอดสีจนซีดเผือดก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิมภายในไม่กี่วินาทีอยู่เงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไร


เขายังไม่คิดจะพูดอะไร


“คงเพราะบ่อนเล็กๆ หลายบ่อนปิดตัวไป ประกอบกับการที่เราอนุมัติปล่อยกู้เงินได้ง่ายขึ้นล่ะมั้งครับ อันนี้ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ”


ใบหน้าสูงวัยกว่ากระตุกยิ้ม


“เหรอ ฉันนึกว่าเป็นเพราะยาเสพติดตัวใหม่ที่ระบาดอยู่ในแถบนี้เสียอีก”


น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดกลั้วหัวเราะพลางกวาดตามองเอกสารตรงหน้าราวกับคนไม่คิดอะไร


เสียงลอบถอนหายใจที่เบาแสนเบาจากคนตรงหน้ายิ่งขยายรอยยิ้มบนใบหน้าคมให้กว้างขึ้นกว่าเก่า


อย่างน้อยคนตรงหน้าก็คิดไปแล้วว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร


ดี สบายใจให้มาก เวลาตกลงมามันจะได้เจ็บ


“ช่วงนี้ยาเสพติดตัวใหม่ระบาดหนักมาก ฉันอยากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลหน่อย ถ้ามันมาระบาดในถิ่นเรา คงไม่ดีเท่าไหร่”


“ทำไมเหรอครับนาย”


ใบหน้าของคนถามปรากฏแววสงสัยชัดเจน แต่มันไม่ใช่ความสงสัยแต่เพียงอย่างเดียว


ในนั้น...ในแววตาคู่นั้น มีแววของความมุ่งมั่นบางอย่างผสมอยู่ด้วย


“ก่อนอื่นฉันคงต้องถามว่า นายรู้อะไรเกี่ยวกับยาเสพติดตัวนี้บ้าง”


อีกฝ่ายนิ่งคิดไปอึดใจ


“เป็นยาเสพติดที่มีลักษณะคล้ายยาบ้า แต่ออกฤทธิ์แรงกว่า ติดง่ายกว่า ที่น่าแปลกคือราคาถูกกว่า”


“ใช่ ราคาถูกกว่า ตัดราคาพ่อค้ายาเสพติดอย่างกอบกิจไปเยอะเหมือนกัน เยอะเสียจนฉันชักอยากรู้แล้วว่าใครเป็นต้นสายผลิต”


เขาลอบมองปฏิกิริยาของคู่สนทนาก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ


“อย่างที่นายรู้ ฉันไม่ชอบยาเสพติด วงการนี้ไม่น่าสนใจสำหรับฉัน แค่ปล่อยเงินกู้กับทำบ่อนก็เพียงพอที่จะเลี้ยงบุญสรนพได้ทั้งตระกูลแล้ว”


ฝ่ามือใหญ่หยิบบุหรี่ออกมาจากซองอย่างไม่เร่งร้อน


“เห็นอย่างนี้ฉันก็เป็นคนรู้จักพอนะภพธร”


ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ เปิดทางให้ควันสีเทาลอยคั่นระหว่างตัวเขากับคนตรงหน้า


“อะไรที่เสี่ยงเกินไป ฉันไม่ยุ่ง”


ความเงียบลอยเคว้งคว้างอยู่รอบตัวพวกเขาอยู่นานแสนนานก่อนที่มันจะถูกทำลายลงจากชายวัยกลางคนที่อยู่อีกฝากของโต๊ะ


“แต่ผมกลับมองว่า อะไรที่ทำให้เรายิ่งใหญ่ได้ ก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือนะครับ”


ดวงตาคู่นั้นวาบวับ ฉายแววมุ่งมั่นยิ่งกว่าครั้งไหน


“ถ้าสมมติว่าเราขายยาตัวนี้ เราก็จะมีรายได้มากขึ้นเป็นกอบเป็นกำ จากนั้นก็จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในวงการมืดนี้ได้ สามารถทำอะไรได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกเลยนะครับ”


“ภพธร”


เขาเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบต่ำ


“อย่ามักมาก ที่สำคัญ...”


นัยน์ตาคู่คมสบกลับเข้าไปหาดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของอีกคน


“อะไรที่ฉันไม่ได้สั่ง อย่าทำ”


ไม่มีใครพูดอะไรออกมาต่อจากนั้น


เขาเงียบ อีกฝ่ายก็เงียบ แต่เหมือนมันจะเป็นความเงียบคนละแบบ...


-กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง-


เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องละสาตาจากคนที่อยู่อีกฝากของโต๊ะแล้วเอื้อมมือไปรับสาย


เขาไม่คิดจะพูดคำทักทายด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


จะพูดให้เหนื่อยทำไม ในเมื่อเขารอโทรศัพท์สายนี้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว


[อย่างที่เราคิดเลยครับ]


“ดี จัดการด้วย”


เขากรอกเสียงลงไปแค่นั้นก่อนจะวางสายลงด้วยท่าทีสบายๆ


เป็นธรรมชาติเสียจนตัวเขาเองยังแปลกใจ


“ภพธร”


คนถูกเรียกชื่อเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเคารพเช่นเคย


ไม่น่าเลย...


“นำทางฉันเดินตรวจงานในบ่อนที”


“ได้เลยครับนาย”


ไม่เอะใจ ไม่แม้แต่จะสงสัย


คนๆ นี้เทิดทูนเขาเอาไว้เหนือหัว ทุกการกระทำที่ทำลงไปล้วนคิดถึงตัวเขาและตระกูลเป็นสำคัญ


แต่บางครั้ง คนขยันที่โง่ก็เป็นตัวอันตราย


“ถ้างั้นเริ่มจากชั้นล่างสุดแล้วกัน ฉันอยากรู้ว่าคุกใต้ดินของเรายังทำงานได้ดีรึเปล่า”


น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ












เสียงก้องที่สะท้อนกันไปมาระหว่างพื้นและผนัง บางครั้งก็ชวนให้หนวกหู


เสียงพื้นรองเท้าหนังที่กระทบกับพื้นคอนกรีตดังก้องไปทั่วบริเวณเสียจนเจ้าของรองเท้าอย่างเขายังอดหนวกหูไม่ได้ น่าแปลกที่คนนำทางของเขายังทำสีหน้าเรียบเฉยได้ราวกับรูปสลักหินที่ไม่รู้จักความรำคาญ


“เสียงก้องพวกนี้น่าปวดหัวนะว่าไหม”


“แต่ผมว่าเสียงพวกนี้ก็ดีกว่าเสียงโหยหวนนะครับ ตอนที่ผมต้องลากลูกหนี้มาเก็บในนี้นี่สุดจะทนเลยครับนาย”


คำพูดติดตลกของอีกฝ่ายทำให้เขาหัวเราะออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก พอคนพูดได้เห็นแบบนั้นก็พลอยหัวเราะตามมาด้วย


“พักนี้ได้ใช้ที่นี่บ้างไหม”


คำถามธรรมดาถูกพูดออกมาได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติเสียจนคนฟังจับพิรุธไม่ได้


“ใช้บ้างครับ แต่พักหลังมานี้ก็ไม่ค่อยแล้ว”


“เพราะเปลี่ยนจากใช้ปืนเก็บเป็นปล่อยให้ขาดยาจนตายแทนสินะ”


สิ้นคำพูดของเขา คนตรงหน้าก็หันขวับมาด้วยใบหน้าตื่นตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น


อาจจะเพราะมันตกใจ หรืออาจจะเพราะหันกลับมาแล้วเห็นปืนจ่อหัวอยู่


อีกฝ่ายตกใจเพราะอะไร เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน


“นะ นายครับ นายพูดเรื่องอะไรกัน”


ริมฝีปากนั้นสั่นระริก นัยน์ตาสั่นไหวส่อพิรุธชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังดึงดันที่จะปฏิเสธ


“ยาอะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจ”


“ก็ยาเสพติดตัวใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ไงครับพี่ภพธร”


เสียงของบุคคลที่สามที่ดังแทรกมาจากทางด้านหลังของคนถูกเรียกทำให้ชายวัยกลางคนเกือบหันไปมอง ติดเสียแต่ว่าตรงหน้ามีปืนจ่ออยู่ ท่าทางของเจ้าตัวเลยดูเก้ๆ กังๆ พิกล


น่าสมเพชจริงๆ


“ก้องภพ แกพูดอะไรของแก ยาอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”


“ว้าว ไม่รู้เลยนะครับ คุณสายส่งยาหมายเลขเจ็ด เอ หรือต้องเรียกว่า มิสเตอร์พี เหมือนอย่างที่ใช้ในการติดต่อสายส่งดีครับ”


เสียงลมหายใจที่กระชั้นขึ้นของคนถูกกล่าวหายิ่งทำให้คนพูดได้ใจ


“อย่าให้ผมต้องแฉพี่ไปมากกว่านี้เลยครับ น่ากลัวคุณปราณจะระเบิดสมองคุณก่อนจะได้คุยกันเสียเปล่าๆ”


“มึงหุบปากไปเลยนะไอ้ก้อง!”


“ใจเย็นสิภพธร”


น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า


“หัวเสียจนสติหลุดแบบนี้ ไม่สมเป็นนายเลยนะ”


“ผมไม่ได้ทำนะครับนาย ผมถูกใส่ร้ายจริงๆ นะครับ ผม...”


“ฉันจะถามแค่คำถามเดียว และถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากให้นายตอบให้ตรงคำถามหน่อย”


นิ้วชี้ใหญ่เลื่อนไปตรงตำแหน่งไกปืน


“ทำแบบนี้ทำไม”


“นายครับ ผมไม่ดะ...”


“เป็นสายส่งยาให้ไอ้วิทยาทำไม!”


เสียงตะคอกทรงอำนาจของชายสูงวัยทำให้คนฟังทั้งสองคนหยุดหายใจไปชั่วขณะ


“นายครับ ผะ ผม...”


“ฉันจะนับแค่หนึ่งถึงสาม”


ปืนที่ถูกขยับให้ตรงกับตำแหน่งศีรษะของคนที่ยืนตัวสั่นเทิ้มทำให้เลขาหนุ่มถอยหลังออกมาเล็กน้อย


“นายครับ ผมไม่ได้ตั้งจะ...”


“หนึ่ง”


“นายครับ ได้โปรด...”


“สอง”


“คุณปราณครับ...”


“สาม”


“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทรยศคะ”


-ปัง!-


เสียงปืนเพียงนัดเดียวหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดภายในคุกใต้ดินได้ชะงัด


ร่างสูงใหญ่ของผู้ที่เคยมีชีวิตค่อยๆ ล้มลงบนพื้นคอนกรีตอย่างไร้การควบคุม บรรยากาศหนักอึ้งของความตายที่รายล้อมถูกทำลายลงด้วยคำพูดของคนที่ยืนพิงผนังอยู่ไม่ไกล


“กล็อกรุ่นสี่สิบสามใช่ไหมครับ ผมว่ามันใช้ง่ายดีนะ”


“แต่ส่วนตัวฉันชอบรุ่นสิบเก้ามากกว่า”


เขาพูดตอบคำหยอกเย้านั้นเรียบๆ พลางเก็บปืนกลับลงในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในตามเดิม


คนถูกตอบกลับหัวเราะเบาๆ


“คุณนี่มันเป็นคุณจริงๆ เลยให้ตายสิ ขอถอนคำพูดที่บอกว่าคุณอ่อนโยนลงได้รึเปล่า”


“หุบปากแล้วรีบไปทำงานต่อได้จะขอบคุณมาก”


“ไม่เอาสิครับ พักบ้างเถอะ เมื่อวานตอนเช้าเราก็ไปส่งคุณดิมกันที่สนามบิน พอคุณดิมไปปุ๊บ เราก็ทำงานต่อกันจนไม่ได้พัก จนตอนนี้หกโมงเช้าของอีกวันเข้าไปแล้วนะครับ น่ากลัวจะพักผ่อนน้อยจนตายเอาทั้งคู่”


“สรุปสถานการณ์ตอนนี้มา”


คนสูงวัยเมินคำพูดกึ่งห่วงใยกึ่งหยอกของเลขาตนอย่างจงใจ


คนหนุ่มกว่าส่ายหน้าใส่เขาเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีเหมือนปกติ


“สถานการณ์ตอนนี้คือเรารู้ว่าไอ้นี่”


ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังอุตส่าห์ชี้นิ้วลงไปหาร่างไร้ชีวิตที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล


“ทำงานเป็นสายส่งยาให้วิทยาอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสาเหตุ...น่ากลัวว่าจะต้องส่งคนไปถามนะครับ”


“ถ้ายังยึกยักอีกนิด น่ากลัวว่าคนที่ต้องไปถามอาจจะเป็นนาย”


สิ้นคำพูด อีกฝ่ายก็กระแอมไอออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติก่อนจะปรับเป็นท่าทางจริงจังเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดหลายชั่วโมง


“จากหลักฐานทั้งหมดที่เรามี ภพธรเป็นสายส่งยาให้วิทยามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว อาจจะเกินครึ่งปี แต่ก่อนหน้านี้กำไรไม่มาก ไม่ได้ไปขัดแข้งขัดขาใครจนตามสืบตัวได้แบบนี้”


ชายหนุ่มเอื้อมมือเข้าไปในชุดสูทก่อนจะดึงแท็บเล็ตออกมาเปิดข้อมูลให้เขาดู


“จากข้อมูลบัญชี ภพธรให้เงินที่ได้จากการค้ายาทั้งหมดโอนเข้าไปในบัญชีของลูกสาวเป็นจำนวนสามบัญชี ของภรรยาสามบัญชี และของตัวเขาเองอีกสามบัญชี กระจายกันไป ดูเผินๆ ไม่มีพิรุธเลย แต่พอมาตรวจสอบดีๆ ถึงพบว่าเงินทั้งหมดมาจากแหล่งเดียวกัน”


“คนโอนคนเดียวกันเหรอ”


คนถูกถามส่ายหน้า


“เปล่าครับ แต่มาจากสาขาเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะต่างสาขาไปก็ยังเป็นจังหวัดเดียวกันอยู่ดี ชื่อคนโอนก็จะวนเวียนอยู่สามสี่คน ตรวจสอบได้ง่ายมาก แสดงให้เห็นถึงความไก่อ่อนของพวกมือใหม่”


เขาหัวเราะร่วนกับคำปรามาสที่อีกฝ่ายหลุดออกมาจากปาก


“ก็เด็กมันอยากลอง ปล่อยมันหน่อยเป็นไร”


“น่ากลัวจะปล่อยไม่ได้ครับเพราะมันขัดแข้งขัดขาเราพอสมควร”


ฝ่ามือคร้ามแดดกดแสดงผลข้อมูลอย่างคล่องแคล่ว


“ยาเสพติดชนิดใหม่ค่อนข้างส่งผลร้ายแรงต่อผู้เสพ ร้ายที่สุดคือบำบัดยากมาก หากใช้วิธีหักดิบก็คงตายเพราะร่างกายจะเกิดอาการอยากยาอย่างรุนแรง ชนิดที่ยาเสพติดชนิดไหนก็ไม่เคยทำให้เกิดมาก่อน ที่แย่กว่านั้นคือมันราคาถูกมาก พันธมิตรเราขาดทุนกันไปเยอะทีเดียว ร้ายกว่านั้นมันทำธุรกิจค้ามนุษย์ด้วย เรียกว่าหยามหน้าคุณพิทักษ์แบบไม่มีชิ้นดี แต่ก็อย่างที่เราคุยกันล่ะครับ ไอ้เด็กนี่มันมือใหม่”


หน้าจอแสดงผลปรากฏกราฟซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจ แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับชายสองคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส


“วิธีการทำงานดูเหมือนจะรัดกุมแต่จริงๆ แล้วกระจอกมาก การโอนเงินเข้าบัญชีเดิม ในพื้นที่เดิม ใช้คนเดิมๆ ซ้ำๆ มันไม่ฉลาด แย่กว่านั้นคือการคิดจะงัดข้อกับรุ่นใหญ่โดยพยายามแทรกซึมเข้ามาในองค์กรโดยใช้ตรรกะที่ว่าให้เข้าหาคนที่ดูน่าไว้ใจนั้นมันกระจอก เพราะผมไม่คิดว่าข้อเสนอของมันจะดีพอที่ทำให้คนที่สำคัญต่อองค์กรจริงๆ เปลี่ยนใจ”


ชายหนุ่มเบนหน้ามาสบตาเขาแล้วฉีกยิ้มกว้าง


“เงินที่ภพธรได้ทั้งหมดรวมกันทุกบัญชีแล้วยังน้อยกว่าเงินเดือนที่คุณให้ผมอีกนะครับ”


แล้วพวกเขาก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน


“ผมถึงได้บอกไงว่าวิทยามันทำตัวเหมือนกำลังเล่นขายของ คิดจะเข้าวงการนี้ การทำแบบนี้บอกเลยว่าไม่ฉลาด อ๋อ แล้วก็เรื่องที่คุณสงสัยว่า ‘เพื่อนเก่าแก่’ ของคุณจะเป็นแบ็กให้เด็กนี่ไหม ผมขอตอบเลยว่าไม่ แต่เด็กนี่มีแบ็กแน่ แถมน่ากลัวว่าจะเป็นคนที่คุณไม่ค่อยอยากได้ยินชื่อเสียด้วย”


คิ้วเข้มขมวดยุ่งพลางสบตาคนพูดอย่างคาดหวังคำตอบ


“ดลนธีครับ ดลนธี ไวยสมุทร พ่อบังเกิดเกล้าของคุณดิมไงครับ”


“นายจะบอกว่าดิมทรยศฉัน...”


“เปล่าครับ ผมไม่ได้พูดถึงคุณดิม ผมพูดถึงพ่อของเขากับวิทยา”


เลขาของเขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“คือ...ผมกำลังพูดถึงพ่อเลี้ยงของคุณดิมกับลูกชายแท้ๆ ของเขา”


นัยน์ตาคมเบิกโพล่งอย่างตกตะลึง


“นายหมายความดิมไม่ใช่ลูกของดลนธีเหรอ...”


“ครับ คุณดาใช่ วิทยาใช่ แต่คุณดิมไม่ใช่”


ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจ


“ตอนแรกที่สืบข้อมูลไปจนรู้ว่าแบ็กของวิทยาคือคุณดลนธี ผมก็เลยเอะใจนิดหน่อยว่าทำไมเขาถึงยอมมาเป็นแบ็กให้ มันเป็นความอยากรู้อยากเห็นของผมเองครับ พอสืบไปสืบมาก็พบว่าดลนธีเคยคบกับแม่ของวิทยาก่อนจะแต่งงานกับแม่คุณดิมเพราะว่าแม่ของคุณดิมท้องคุณดา พอจะเข้าใจไหมครับ ผมพูดเร็วไปรึเปล่า”


ใบหน้าคมเข้มส่ายไปมาช้าๆ


“สิ่งที่ฉันเข้าใจตอนนี้คือดิมกับดามีแม่คนเดียวกัน ส่วนดากับวิทยามีพ่อคนเดียวกัน”


“ถูกต้องทุกประการเลยครับ”


ชายหนุ่มปัดหน้าจอแท็บเล็ตให้ปรากฏภาพแผนผังความสัมพันธ์ขึ้นบนหน้าจอ


“การแต่งงานของดลนธีกับแม่คุณดิมมันเป็นไปเพราะผลประโยชน์ ฝั่งแฟนเก่าของเขา...ผมหมายถึงแม่ของวิทยา ก็เช่นกัน สรุปก็เลยเป็นชู้กันแล้วก็ออกมาเป็นวิทยา ส่วนแม่คุณดิม ผมคาดว่าเขาก็คงไปมีชู้เหมือนกัน ก็เลยออกมาเป็นคุณดิม”


“นายรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง”


“คลิปเสียงครับ”


ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเปิดเข้าหาไฟล์อย่างชำนาญก่อนจะกดให้คนถามฟัง


ทันทีที่ไฟล์เสียงจบลง คนช่างพูดก็เริ่มบทสนทนาต่อ


“ตอนที่สืบหาข้อมูลเรื่องคนที่ให้การสนับสนุนวิทยา แฮ็คไปเรื่อย ผมก็ไปเจอคลิปเสียงที่ดลนธีเรียกเขาว่าลูกเข้า ก็เลยใช้เส้นสายคนของเราในโรงพยาบาลประกอบกับแฮ็คข้อมูลระบบนิดหน่อยทำให้ได้ข้อมูลดีเอ็นเอของทุกคนมาแล้วผมก็นำมาเทียบกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอีกนิดก็เลยสรุปความสัมพันธ์ของพวกเขาออกมาได้ครับ”


ฝ่ามือใหญ่คลึงขมับของตัวเองเล็กน้อยพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“ดิมรู้เรื่องนี้รึเปล่า”


คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะหันมาสบตาเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


“คิดว่าไม่ครับ และผมมั่นใจว่าถ้าเขารู้...เขาคงรับไม่ได้หรอก”


“งั้นอย่าให้รู้น่าจะดีกว่า”


“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ”


ชายสูงวัยพยักหน้าน้อยๆ ในหัวของเขากำลังคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรกับข้อมูลที่ได้รับมาดี


ให้รู้ทีหลังคงไม่ดี แต่ถ้าจะให้บอกเลยก็กลัวว่าอีกคนจะแตกสลายเอา


ยาก...ยากจริงๆ


แต่ยังไงก็ต้องจัดการเรื่องตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อน


“ไม่มีคนของเราทรยศอีกแล้วใช่ไหม”


“ถ้าจากหลักฐานที่เรามีตอนนี้ ยังไม่มีครับ”


“ดี”


เขาปรายตามองร่างไร้วิญญาณตรงพื้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากสั่งการต่อ


“เก็บกวาดให้เรียบร้อย ไม่ต้องกระโตกกระตาก ใครถามว่าภพธรไปไหนก็บอกไปแค่ว่าย้ายไปที่อื่นแล้ว”


นัยน์ตาคมสบลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววฉงน


“ฉันมั่นใจว่ามันมีคนทรยศมากกว่านี้แน่ แค่ต้องรอเวลาให้เผยตัว ปล่อยให้มันตายใจเข้าไว้ จะได้เก็บกวาดทีเดียว”


ใบหน้าคร้ามแดดของชายหนุ่มกระตุกยิ้มพร้อมโค้งรับคำสั่งอย่างรื่นเริง


“รับทราบครับ”


ร่างกำยำซุกหมุนตัวเดินไปทางบันไดเพื่อกลับขึ้นไปด้านบน หากยังไม่วายพูดสั่งการต่อ


“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปพักผ่อนซะ ฉันจะเรียกตัววัฒนามาจากสาขาใหญ่ให้มาประจำที่สาขานี้ บ่ายๆ คงมาถึง ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย คืนนี้เราจะเดินทางกลับกรุงเทพเลย”


“แล้วจะให้ผมซื้อตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตไว้เลยไหมครับ”


คำถามที่แสนรู้ใจทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสูงวัย แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือของอีกคนก็พลันดังขึ้นจนเขาต้องหยุดยืนรอ


เขาเห็นชายหนุ่มรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคยก่อนที่ใบหน้านั้นจะขมวดคิ้วยุ่งแล้วเอ่ยลาปลายสายไป


ทำไม เกิดอะไรขึ้นกัน


ชายหนุ่มมองตรงมายังเขาด้วยใบหน้าวิตกกังวลก่อนจะรีบหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาจัดการบางอย่างด้วยท่าทีเร่งร้อน


“สถานการณ์ฉุกเฉินแล้วครับคุณปราณ สายของเรารายงานว่าพบเอกชาติแล้ว...”


คนพูดหยุดมือเพื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย


“แต่พบในสภาพศพนะครับ”


ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ความเย็นไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าและมือของเขาอย่างรวดเร็ว


“จากรายงานคือศพถูกพบที่ภูเก็ตโดยชาวประมงที่ไปออกเรือหาปลา จากนั้นก็เป็นข่าวใหญ่โต ตำรวจลงมาดูแลคดีแล้ว เราคงไปแตะต้องมากไม่ได้ แต่เท่าที่ออกข่าวคือมีรอยกระสุนบริเวณศีรษะ มาทำนองนี้คงไม่ต้องคาดหวังให้จมน้ำตายแล้ว น่าจะโดนระเบิดสมองตายมากกว่า แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือสายของเรารายงานว่า จากการสอบถามชาวบ้านมีคนเห็นเอกชาติกับชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเข้าพักที่โรงแรมห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตรจากบริเวณที่พบศพ ชาวบ้านบรรยายว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาออกจีนๆ หน่อย”


คนพูดพักหยุดหายใจเล็กน้อย


“คุณลองเดาสิครับว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นใคร”


เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในอก ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกกำลังจะฆ่าเขาทั้งเป็น


ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่คิดเลย...


“วิทยา...”


ไม่มีคำพูดหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย มีเพียงการโชว์หน้าจอแท็บเล็ตที่เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดในโรงแรมที่พักแห่งหนึ่งให้เขาดูเท่านั้น


ภาพเคลื่อนไหวของคนคุ้นตาสองคนทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เขาเข้าใจแล้วว่าอีกคนอยากจะพูดอะไร


ตอนนี้ศพที่พบคือศพเอกชาติ แต่ถ้าช้ากว่านี้ ศพต่อไปคงเป็น...


“จองตั๋วเครื่องบินไฟท์ที่เร็วที่สุดเท่าที่เราจะไปถึงสนามบินได้ทัน เดี๋ยวนี้!”


ได้โปรดอย่าเป็นอะไร


...อย่าเป็นอะไรนะดิม...






***********************************************************************


[เกร็ดความรู้]



กล็อก (Glock GmbH) เป็นบริษัทผู้ผลิตอาวุธสัญชาติออสเตรีย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Deutsch-Wagram ทางตอนเหนือของออสเตรีย ก่อตั้งโดยนายแกสตัน กล็อก (Gaston Glock) เมื่อ ค.ศ. 1963 มีชื่อเสียงในฐานะเป็นผู้ผลิตปืนกล็อก ซึ่งเป็นปืนพกที่มีโครงสร้างเป็นโพลิเมอร์ มีน้ำหนักเบา บำรุงรักษาง่าย เพราะมีชิ้นส่วนที่เป็นสนิม น้อยกว่าปืนพกยุคก่อนที่ใช้โครงสร้างเหล็ก นอกจากนี้กล็อกยังเป็นผู้ผลิตมีดพก และพลั่วสนาม สำหรับใช้ในกองทัพ



ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%84





***********************************************************************



พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2018 18:50:08 โดย Marymo »

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #348 เมื่อ22-04-2018 12:55:37 »

โอละพ่อไปกันใหญ่แล้ว
ดิ่มดิ๊ม...

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #349 เมื่อ22-04-2018 13:13:17 »

วิเคราะห์กันหนักเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
« ตอบ #349 เมื่อ: 22-04-2018 13:13:17 »





ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #350 เมื่อ22-04-2018 13:17:15 »

ไปถึงด่วนๆเลยนะลุง  :katai1: ลุ้นตามไปด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #351 เมื่อ22-04-2018 13:56:50 »

ลุงมาดโหดนี่น่ากลัวจริงๆ หวังว่าลุงจะกลับไปรับน้องเหมียวทันเวลานะ.  :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #352 เมื่อ22-04-2018 14:14:58 »

รีบไปหาน้องดิมด่วนๆเลยลุง
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #353 เมื่อ22-04-2018 18:27:51 »

 :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #354 เมื่อ22-04-2018 21:48:13 »

ลุงไปช่วยน้องดิมเร็วเข้า :katai1:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #355 เมื่อ22-04-2018 22:29:15 »

 :กอด1:รอตอนต่อไปจร้า

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #356 เมื่อ22-04-2018 22:46:31 »

เราชอบนะ แนวโอจิค่อนนนนนน น่ารัก

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #357 เมื่อ23-04-2018 00:30:45 »

ปมเริ่มเยอะขึ้นเนอะ สงสารดิมอ่ะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #358 เมื่อ23-04-2018 11:09:49 »

โอ้ยยยยอะไรกันนักหนาเนี่ยดิมเอ้ยยหมดปมของพี่สาวแล้วก็มาปมของพ่อต่อ ถ้าจำไม่ผิดวิทยานี่คือแฟนเก่าของดิมใช่มะ ถ้าใช่งั้นนั่นก็เป็นเหตุผลที่พ่อดิมไม่กีดกันเรื่องวิทยาสินะเพราะรู้อยู่แล้วว่าวิทยาเป็นใครงั้นเหรอ โหหห แบบนี้จำทำร้ายจิตใจดิมมากไปมั้ยอะ ลุงรีบไปหาน้องที่ภูเก็ตเลยนะ

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
Re: **||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] Twenty-Third Song (22/04/61)
«ตอบ #359 เมื่อ23-04-2018 23:46:34 »

ลุงรีบไปหาแมวน้อยเลยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด