Twentieth Song
เขาไม่ชอบอากาศร้อน ไม่เคยชอบ แต่น่าแปลกที่เขาชอบพระอาทิตย์และแสงแดดอบอุ่น
คงเพราะมันทำให้โลกที่แสดงมืดมนของเขาสว่างขึ้นมาสักหน่อยล่ะมั้ง...
“สุดยอด รีสอร์ทนี่เจ๋งเป็นบ้า คุณปราณนี่ก็ตาถึงเอาเรื่องนะ”
เสียงทุ้มต่ำของเพื่อนร่วมทางดังขึ้นทันทีที่เข้ามาอยู่ตามลำพังในห้องพักส่วนตัว ร่างโปร่งที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยปลดแจ็คเก็ตหนังสีดำออกจากตัวแล้วพาดไว้ตรงพนักโซฟาก่อนจะหันมายักคิ้วให้เขาเป็นการล้อเลียนอย่างทุกที
“รำคาญ”
คำตอบสั้นๆ พร้อมกับท่าทางก้มหน้าลงเล่นมือถือโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมห้องทำให้อีกฝ่ายงึมงำคำขอโทษขึ้นมาเบาๆ โชคดีที่คนปากมากหัวไวพอที่จะรู้ว่าอะไรควรพูดหรืออะไรไม่ควรพูด สถานการณ์เลยดำเนินไปอย่างปกติสุขได้อีกหน่อย แต่ก็นะ ถึงอยากจะด่าอีกคนมากแค่ไหนแต่ในใจมันก็อดเห็นด้วยไม่ได้จริงๆ ว่า...
สามีของเขาน่ะตาถึงจริงๆ
“แล้วนี่ใจคอมึงจะไม่โทรบอกคุณปราณหน่อยรึไงว่าถึงแล้ว”
“เสือก”
“อ้าว มึงนี่ เดี๋ยวกุโบก”
เขาเบ้ปากใส่อีกคนจนหวิดจะโดนตบหัวเข้าจริงๆ โชคดีที่กลับลำทัน
“ไลน์ไปบอกแล้ว”
“เออ ก็แค่นั้นแหละ”
แล้วบทสนทนาสั้นๆ ของพวกเขาก็จบลงด้วยการที่อีกคนเดินตรงดิ่งไปยังโซนตู้เย็นแล้วเริ่มค้นนู่นนี่จนได้ยินเสียงกุกกักไม่ขาดสาย
“โห ตู้เย็นแม่งเหล้าเยอะมาก ประทับใจ”
ไอ้คนขี้เหล้าเอ๊ย...
เด็กหนุ่มเลือกจะไม่สนใจคนน่ารำคาญแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสิ่งที่ต้องทำ เขามาที่นี่เพราะมีเหตุให้มา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับ
บอกตามตรงว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีชอบกล ไม่สิ ไม่ใช่เพิ่งจะรู้สึก จริงๆ เขารู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนแยกกับตาลุงนั่นที่สนามบินแล้ว พอเห็นอีกคนหายลับไปจากสายตา หัวใจมันก็กระวนกระวายแปลกๆ
...สงสัยจะเสพติดลุงมากไปหน่อยล่ะมั้ง...
“แล้ว...”
คำขึ้นต้นที่มาแบบไม่จบประโยคทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ต้องหันไปมอง
นัยน์ตาคมขลับเป็นประกายระยิบระยับเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ออกผจญภัยคู่นั้นจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าคมเข้มของคนพูดฉาบด้วยความรื่นเริง รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมๆ กับเสียงขวดน้ำที่ถูกเปิด
“เราจะเริ่มหาพี่ดาจากที่ไหนดีล่ะ”
แปลก...เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
“ไม่รู้สิ มึงว่าที่ไหนดีล่ะ”
เขาถามไม่ใช่เพราะอยากรู้คำตอบ แต่ถามเพราะอยากกำจัดความรู้สึกแปลกๆ ในใจออกไปให้พ้นๆ
ไม่มีใครอยากสงสัยเพื่อนของตัวเอง โดยเฉพาะเขา...คนที่เพิ่งเปิดใจยอมรับความสัมพันธ์มาได้หมาดๆ ถ้าหากต้องโดนหักหลังจากคนที่ไว้ใจ...
...เขาคงแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี...
“เอาเข้าจริงกูก็อยากพูดคำพูดประเภท ‘ไหนลองเอาหลักฐานมาวิเคราะห์แล้วไล่หาตามแต่ละสถานที่กันดีไหม’ อยู่หรอกนะ”
เดลพูดอย่างนั้นแล้วก็หัวเราะ
ทั้งที่มันเป็นเสียงหัวเราะปกติของเจ้าตัวแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ดีเลย
ไม่ดีเลย...
“แหม อย่าทำหน้าเครียดอย่างนั้นสิ”
ไม่ไหว เขาหยุดขมวดคิ้วไม่ได้เลย
“ไหนๆ ก็มาภูเก็ตทั้งที ไปเยี่ยมทีนหน่อยไหม ได้ข่าวว่าอยู่ภูเก็ตนิ”
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
ในที่สุดก็เป็นเขาเองที่ทนไม่ไหวกับความใจเย็นของคู่สนทนา ไม่สิ นั่นไม่ใช่ความใจเย็น ไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่นิดเดียว
มันก็แค่ความร้ายกาจเท่านั้น...
คนๆ นี้ชอบจะตายที่ได้เห็นคนจะเป็นจะตายอยู่ในกำมือตัวเอง เป็นพวกขี้แกล้งมาแต่ไหนแต่ไร ความใจเย็นที่เห็น ที่แท้ก็แค่ความใจร้ายที่ถูกซ่อนไว้เท่านั้น
“ไม่เอาน้า อย่าใจร้อนสิ”
ดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มร้ายประดับบนใบหน้า
“เดล กูไม่ตลก”
แต่ถ้ายอมเดินตามแผนอีกคนไปง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ตัวเขาแล้ว
ไม่ยอม...ไม่ยอมลงให้ใครทั้งนั้น อย่ายอมแพ้ใคร จงอยู่เหนือทุกคน นั่นคือสิ่งที่ถูกพร่ำสอนมา
แต่เดลไม่ใช่คู่แข่งธรรมดา คนตรงหน้าเขานี้ไม่ได้ต่างจากเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นแง่ของความหัวดื้อหรือร้ายกาจ คนๆ นี้มีครบทุกอย่าง
เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ...
“ไม่ตลกสักหน่อย กูก็แค่ชวนมึงไปผ่อนคลาย”
รอยยิ้มนั้นน่ากลัว ดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดี
“ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันก่อนดีกว่า พอเยี่ยมเสร็จ ค่อยว่ากันต่อ”
“เดล กูต้องรีบไปหาพี่ดา ขอให้เจอพี่ก่อนแล้วไปหาทีนมันก็ยังไม่สาย...”
“ก็ถูกแล้วไง”
“ฮะ?”
“ก็กูกำลังจะพามึงไปหาพี่ดานี่ไง”
นัยน์ตาคู่นั้นวาบวับกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น
“ไปหาทีนกันเถอะ”
ในอกกลับรู้สึกบีบรัดจนหายไม่ออกอย่างน่าประหลาด
ไม่มีอะไรหรอก เขารู้ว่ามันจะไม่มีอะไร
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
เขากำลังสงสัยว่าไอ้คนขับรถน่ารำคาญนี่มันฮัมเพลงเพราะมันอารมณ์ดีหรือเพราะมันตั้งใจจะยั่วโมโหเขากันแน่
นัยน์ตากลมเหลือบมองคนอารมณ์ดีเล็กน้อยก่อนจะเบนกลับไปมองวิวสองข้างทางเหมือนอย่างเคย เสียงดนตรีที่ดังในรถเป็นดนตรีแนวเมทัลที่คนคุมพวงมาลัยชื่นชอบเป็นพิเศษ
เพื่อนเขาชอบแต่เขาไม่ชอบ ยิ่งเห็นว่าเขาไม่ชอบมันก็ยิ่งเร่งเสียง
ไอ้เวรเอ๊ย
ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกมาจากจมูกอย่างหัวเสีย เด็กหนุ่มเลือกจะไม่สนใจคนช่างแกล้งแล้วตั้งสมาธิสนใจอยู่กับทิวทัศน์ข้างทางเพื่อลบความหงุดหงิดที่มีต่ออีกคนออกไป อย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว
ใช่ เรือลำเดียวกันแล้ว...
หลังจากบทสนทนาที่ชวนให้สงสัยในห้องพัก เดลก็คะยั้นคะยอให้เขาไปเยี่ยมทีนให้ได้ แม้ในใจจะปฏิเสธเป็นรอบที่ล้านแล้วว่าทีนไม่มีทางทรยศเขา แต่ส่วนเล็กๆ ในใจมันก็อดระแวงขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายเรื่องราวก็เลยจบลงที่เพื่อนร่วมทางของเขาจัดการโทรศัพท์เช่ารถก่อนจะลากออกมาข้างนอกอย่างที่เห็น
รถยนต์คันเล็กพาพวกเขามาสู่บริเวณย่านเมืองเก่า ตึกที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน-โปรตุเกสทอดตัวเรียงรายกันอยู่สองฝากถนน บรรยากาศในย่านเมืองเก่าให้ความรู้สึกแตกต่างจากถนนเส้นเมื่อครู่ลิบลับ จากตึกสูงดูทันสมัยกลับกลายเป็นบ้านเรือนแบบโบราณที่เคยเห็นเมื่อสมัยที่พ่อกับแม่พาเขาไปมะละกาด้วยบ่อยๆ
ตอนเด็กๆ จำได้ว่าตระกูลของเขาทำธุรกิจกับทางมาเลเซียค่อนข้างมาก ทุกๆ พักร้อนของครอบครัวจึงมักจะมีจุดหมายปลายทางเป็นประเทศมาเลเซียเสมอ เหตุผลที่ว่าไปพักผ่อนก็ส่วนนึง แต่เหตุผลใหญ่เป็นเรื่องของธุรกิจมากกว่า เพราะแบบนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครสนใจว่าเขากับพี่จะทำอะไรมากนัก ทุกคนเอาแต่ดื่มกินและพูดคุย เรื่องไร้สาระบ้าง ธุรกิจบ้างปะปนกันไป มันเป็นกลยุทธ์การทำธุรกิจที่ตระกูลเขาใช้มานานแสนนาน
เพราะความไม่สนใจนั้นเองที่ทำให้ช่วงเวลาพักร้อนของเขาเป็นช่วงเวลาที่แสนสุข นอกจากจะวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าและฟังเสียงเกลียวคลื่นที่สาดกระทบฝั่งแล้ว การได้ท่องเที่ยวไปในเมืองก็เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งที่พวกเขาชื่นชอบ มะละกาในวันนั้นมีบรรยากาศที่คล้ายกับย่านเมืองเก่าที่เขาเห็นในตอนนี้ไม่มีผิด
ความคิดของเขาชะงักลงเล็กน้อย
มะละกาเหรอ...
เด็กหนุ่มกวาดตามองทิวทัศน์สองข้างทางก่อนจะยกยิ้มขึ้นช้าๆ
พี่เขาก็ช่างเลือกเหมือนกัน...
สถานที่แห่งนี้...ที่ภูเก็ตนี้เป็นเมืองของชาวเปอรานากันเหมือนอย่างในมะละกา บ้านเรือน บรรยากาศ ทุกอย่างล้วนคล้ายคลึงกับสถานที่แห่งความทรงจำในวัยเด็ก ในตอนนั้นเรากุมมือกัน อยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเกินจะบรรยาย เขาจดจำมะละกาไว้ในฐานะ ‘ความสุขฤดูร้อน’ และมั่นใจว่าพี่สาวของเขาก็ไม่ต่างกัน
เขามั่นใจว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้พี่เลือกที่จะมาอยู่ที่นี่
เพราะภูเก็ตคือสถานที่ที่คล้ายกับ ‘ความสุขฤดูร้อน’ ของพวกเขา
ดี...ดีใจจริงๆ ...
“มึง กูหิว หาอะไรกินก่อนได้ไหม”
ประโยคคำถามที่มาพร้อมกับการหยุดรถหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งพร้อมกับถอยเข้าจอดเสร็จสรรพทำให้เด็กหนุ่มเผลอถอนหายใจอย่างระอา
“ถอยขนาดนี้จะถามทำไม”
คนใส่เสื้อกล้ามสีดำตัวเดียวขยับไหล่เบาๆ
“ก็เป็นมารยาท”
“เอ้อ พ่อคนมารยาทงาม”
“บอกเลยว่าสมัยเรียนนี่ได้รางวัลเด็กน้อยมารยาทดี”
“ตลกเถอะ นั่นมันรางวัลทีนไหมล่ะ”
“เออ มึงนี่ก็จำแม่นดีเนอะ”
แล้วพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
เพื่อนเขานี่มัน...
“เอ้า ลงๆ หิวจะแย่แล้ว”
เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะเสียงดังให้มันได้ยิน แต่เหมือนไอ้คนฟังมันจะไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ เจ้าตัวกดล็อกรถอย่างชำนาญแล้วเดินนำลิ่วๆ เข้าไปในร้านโดยไม่คิดจะสนใจเขาเลยสักนิด
ไอ้เวร...ไอ้เพื่อนเวร ถ้าเป็นลุงป่านนี้อีกฝ่ายคงรอให้เขาลงจากรถให้เรียบร้อยแล้วก็เดินอ้อมมาหาจากนั้นก็...
...บ้าจริง เผลอคิดถึงจนได้...
“ดิม มึงยืนระลึกถึงบรรพบุรุษอยู่เหรอ”
ถ้อยคำกึ่งกวนกึ่งถามทำให้เขารู้สึกรำคาญเพื่อนของตัวเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ ปกติก็อยู่กับมันนานๆ ไม่ได้เพราะรำคาญนิสัยมันอยู่แล้ว พอต้องมาอยู่ด้วยกันตลอดเวลาแบบนี้เลยรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองมันเต้นตุ้บๆ เห็นทีว่าถ้ากลับไปแล้วตัวเขาเกรี้ยวกราดมากขึ้นก็น่าจะมีผลพวงมาจากมันนี่ล่ะ
“เออ ยืนระลึกถึงหน้าอากงมึงน่ะ”
“หู้ย บอกกงว่าขอสามตัวเด็ดๆ”
“เดล คนอย่างมึงนี่มัน...”
“อ้าวดิม!”
เสียงทักทายที่ดังขึ้นก่อนที่เขาจะได้เริ่มด่าคนตรงหน้าทำให้ต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้
หันกลับไปโดยลืมไปสนิทว่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน...
“วิทย์...”
มาได้ยังไง คนๆ นี้ตามมาได้ยังไง
“ดิมมากับเดลเหรอ”
คำถามนั้นเป็นธรรมชาติจนน่าเหลือเชื่อ เป็นธรรมชาติชนิดที่ว่าถ้าเขากับวิทย์ไม่ได้มีเรื่องกันมาก่อนที่กรุงเทพ เขาก็คงคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
“ถามประหลาดจังนะครับคุณวิทย์ ถ้าดิมไม่มากับเพื่อน จะให้เขามากับใครล่ะครับ”
เขาสัมผัสได้...น้ำเสียงของเดลเปลี่ยนไป ขนาดไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายพูดด้วย เขายังรู้สึกสะท้านไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ
ไม่ธรรมดา เพื่อนของเขาไม่ธรรมดาเลย
“แหม ผมก็ถามไปแบบนั้นเองล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกะ...”
“แล้วคุณวิทย์มาที่นี่ทำไมเหรอครับ”
ถ้อยคำนั้นเรียบง่าย ใบหน้าคมคายประดับด้วยรอยยิ้มสุภาพผิดจากปกติ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเพื่อนของเขากำลังแผ่รังสีบางอย่างออกมา
น่ากลัว...เขารู้สึกว่าเดลนั้นน่ากลัว
“ผมก็มาเที่ยวพักผ่อนไงครับ มาภูเก็ตทั้งที ก็ต้องมาพักผ่อนใช่ไหมครับ”
พอพูดจบ คนๆ นั้นก็หัวเราะ หัวเราะด้วยน้ำเสียงจอมปลอมที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา
“นั่นสินะครับ แหม ผมนี่ก็ถามอะไรแปลกๆ ไปได้”
เดลก็หัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ต่างจากทุกที
“ไอ้ผมก็นึกว่าที่เห็นคุณวิทย์นั่งติดกับคุณเอกชาติบนเครื่องบินนั่นจะเป็นเพราะมาทำธุระเรื่องธุรกิจกันซะอีก ลืมคิดไปเลยว่าพวกคุณก็เป็นเพื่อนเก่ากัน จะมาเที่ยวด้วยกัน ก็ไม่เห็นแปลก”
เดลโกหก
เพื่อนของเขาไม่ได้ลุกออกจากที่นั่งเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาการบิน ไม่มีทางที่เดลจะเห็นอยู่แล้ว ที่สำคัญคือในชั้นเฟิร์สคลาสก็เห็นกันหมดว่าใครเป็นใคร ถ้ามันเห็น เขาก็ต้องเห็น
แล้วทำไมเพื่อนของเขาต้องโกหก นั่นต่างหากที่น่าสงสัย
เด็กหนุ่มจ้องใบหน้าของคนที่หน้าซีดเผือด ดวงตาของคนๆ นั้นหลุกหลิกไปมาอย่างมีพิรุธ แต่ก็ไม่วายพยายามฉีกยิ้มแปร่งๆ ส่งมาให้
“พูดอะไรกันครับ ผมมาคนเดียว อีกอย่างผมก็ไม่ได้เจอเอกชาติเลยตั้งแต่เรียนจบมัธยมมา จะมาอยู่ด้วยกันได้ไงล่ะครับ”
“โธ่ งั้นก็เป็นผมเองแล้วล่ะครับที่มองผิดไป คงจะสายตาฝ้าฟางเข้าแล้วจริงๆ”
คนข้างๆ เขาหัวเราะราวกับกำลังเย้ยหยันคนตรงหน้า
“คุณวิทย์ไม่ได้เจอคุณเอกชาติมาตั้งนานแล้ว แต่บังเอิญดีนะครับ คุณกับเขาใช้นาฬิการุ่นเดียวกันเป๊ะ”
ไม่ว่าเปล่า เดลยังชี้นิ้วไปยังนาฬิกาที่อยู่ตรงข้อมืออีกฝ่าย
เขามองตามนิ้วมือของเพื่อนพลางวิเคราะห์นาฬิกาเรือนนั้นอยู่เงียบๆ นาฬิกาเรือนนี้ ตัวเรือนทำจากเซรามิกสีน้ำเงินล้วน ขอบหน้าปัดนาฬิกาก็เป็นสีน้ำเงิน ในขณะที่ตัวสายนาฬิกานั้นเป็นสีดำ ประเมินด้วยสายตาจากระยะตรงนี้เป็นวัสดุประเภทผ้า แต่จะเป็นผ้าแบบไหนนั้นก็ไม่อาจบอกได้จนกว่าจะได้จับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาจำได้...เขาจำได้ว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นนาฬิการุ่นเดียวกับที่เขาเห็นเอกชาติใส่ที่งานเลี้ยงเปิดตัวคอนโดของคุณธงชัยเป๊ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นมันอยู่บนข้อมือของวิทย์ด้วย
แต่เดี๋ยวนะ...จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เจอกันแฟนเก่าเขาไม่ได้ใส่นาฬิกาเรือนนี้ แล้วถ้าเขาจำไม่ผิด นาฬิกาเรือนนี้มัน...
“นาฬิกาของ Blancpain(บลองแปง) รุ่น Ocean Commitment Limited Edition ถ้าผมจำไม่ผิด อันนี้เป็นรุ่นที่สองใช่ไหมครับ เพราะรุ่นแรกเหมือนตัวเรือนจะเป็นเซรามิกสีเทา เปิดตัวปี อืม..รุ่นนี้น่าจะ 2016 ส่วนรุ่นแรกน่าจะปลายปี 2014 ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ”
เดลหัวเราะ...หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกว่าครั้งไหนๆ
“รุ่นนี้ผลิตแค่สองร้อยห้าสิบเรือน ราคาหกแสนกว่าบาท ไม่ถูกไป ไม่แพงไป ราคากำลังดี น่าเสียดายที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นนาฬิกาดำน้ำ ไอ้ผมก็เลยไม่ค่อยถูกใจดีไซน์เท่าไหร่ก็เลยไม่ได้ซื้อ แต่ก็ถูกใจคนที่ชอบดำน้ำอย่างเอกชาติเขาน่ะครับ จำได้ว่ารายนั้นรักรุ่นนี้มากจนใส่ติดตัวไว้ตลอด เขาชอบอวดใครไปทั่วว่าเป็นนาฬิกาเรือนเก่ง ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคุณวิทย์จะใจตรงกับเขาขนาดนี้ อีกอย่าง...”
เพื่อนของเขาเว้นวรรคจังหวะพูดอย่างจงใจ
“ไม่ยักจะรู้เลยว่าคนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างคุณวิทย์จะหันมาชอบดำน้ำแล้ว น่าดีใจจริงๆ นะครับที่คุณก้าวผ่านกำแพงของตัวเองมาได้”
แล้วคู่สนทนาของพวกเขาก็หน้าซีดเผือดราวกับจะเป็นลมไปเดี๋ยวนั้น
ในที่สุดข้อสรุปที่เขาเฝ้าคิดมาตลอดเรื่องเอกชาติและวิทย์ก็ได้รับการยืนยัน
สองคนนั้นร่วมมือกัน ณ จุดๆ นึง แต่ตอนนี้ คงไม่เป็นอย่างนั้น
นัยน์ตากลมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่กำลังเป็นประเด็นเพียงอึดใจก่อนจะมองหน้าผู้สวมใส่
ถ้านั่นคือนาฬิกาเรือนเก่งของเอกชาติ เป็นตายร้ายดีอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมยกมันให้วิทย์ง่ายๆ แน่ แต่ที่ยกให้แบบนี้คงมีแค่สองกรณี หนึ่งคือสิ้นเนื้อประดาตัวจนไร้ทางเลือก สองก็คือ...
“สำหรับ Limited Edition แล้วจะต้องมีหมายเลขสลักไว้ที่ตัวเรือนทุกเรือนว่าเป็นเรือนที่เท่าไหร่ จะเสียมารยาทไหมครับถ้าผมจะขอถามว่า เรือนของคุณวิทย์เป็นหมายเลขอะไร”
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่า แต่หลังจากสิ้นสุดคำถาม ร่างทั้งร่างของวิทย์ก็สั่นเทิ้มอย่างหนักหากก็กลับเป็นเหมือนเดิมได้ในชั่วพริบตา
นัยน์ตาคู่นั้นเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง จากแววตาที่เป็นมิตรฉาบด้วยรอยยิ้มจอมปลอม ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสายตาของปีศาจร้ายโดยสมบูรณ์
“ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ มันนานมากแล้ว ผมเองก็จำไม่ได้ อยากจะแกะให้ดูก็ดันไม่มีเวลาเพราะต้องรีบไปธุระต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”
น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งผิดปกติจากเมื่อครู่ราวกับคนละคน ท่าทางลุกลี้ลุกลนเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
แปลก...แปลกจริงๆ
แต่ถึงจะสงสัย พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้คน ๆ นี้จากไปพร้อมกับบรรยากาศรอบตัวที่ดูแปลกตา
สังหรณ์ใจไม่ดีเลยจริงๆ
“มึงคิดเหมือนกูไหมดิม”
คำถามดังขึ้นทันทีที่ร่างของคู่สนทนาหายลับไป
“แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะในคอ
“ไม่มีใครที่ซื้อนาฬิกา Limited Edition ราคาครึ่งล้านแล้วจำหมายเลขของตัวเองไม่ได้หรอก”
“อาจจะมีก็ได้ ใครจะรู้”
“ไม่เอาน่าดิม”
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเด็กหนุ่มก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนตัวสูงที่ฉีกยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว
“มึงพูดอย่างกับไม่รู้จักวิทย์อย่างนั้นล่ะ คนเนี้ยบๆ แบบนั้น ไม่มีทางลืม...”
“ถ้าเป็นของตัวเองน่ะนะ”
แล้วพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยเสียงที่แปลกแปร่งพิกล
เอกชาติ อดีตเพื่อนในวัยเด็ก ป่านนี้คง...
นัยน์ตากลมเบนออกไปมองท้องฟ้าสีครามด้านนอกก่อนจะหันกลับมาตามเสียงเรียกของเพื่อนร่วมทางที่เดินนำเข้าไปในร้านก่อนแล้ว
ไม่ไหว เขารับมือกับวิทย์ไม่ได้ ยังไงก็ต้องรีบหาพี่ดาให้เจอแล้วก็รีบกลับ จากนั้นค่อยปรึกษาลุงอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ
ลุง...
ฝ่ามือเรียวทาบลงบนท้องเบาๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านใน
ประจำเดือนเขาขาดมาห้าวันแล้ว ยังไงก็ต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนไปตรวจ จากนั้น...
ลมหายใจพรั่งพรูออกมาอย่างเชื่องช้า
ต้องรีบทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ไม่อย่างนั้น เด็กคนนี้จะไม่ปลอดภัย
“ดิม ดิมใช่ไหม”
ก่อนจะเดินไปถึงโต๊ะที่เพื่อนของเขาจับจองอยู่ก็พลันมีใครบางคนเรียกเขาเอาไว้ก่อน
ทำไมวันนี้ถึงมีคนขยันเรียกชื่อเขากันนักนะ
เด็กหนุ่มสูดหายใจเก็บสีหน้าเหนื่อยล้าเพื่อรักษาภาพลักษณ์ก่อนจะหันไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง
แล้วสิ่งที่เขาพยายามทำทั้งหมดก็พังครืนลงมาไม่เป็นท่าเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนแรก
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้สีเขียวสดรับกับกางเกงขาสั้นสีอ่อนกำลังฉีกยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับพระอาทิตย์ในฤดูร้อน
“ทีน...”
คนตรงหน้าของเขาคือคนที่พวกเขากำลังจะไปหา
เหลือเชื่อ นี่มัน...บังเอิญเกินไปแล้ว
“ดิมจริงๆ ด้วย มาได้ไงเนี่ย”
“โอ้โห บังเอิญจังเลยทีน เราก็มากับดิมด้วยนะ”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบ เสียงร่าเริงเกินปกติของเดลก็ดังขึ้นพร้อมกับเรียวแขนแกร่งที่วาดมาคล้องคอเขาเอาไว้แน่น
“เฮ้ยเดล เป็นไงบ้าง ไม่เจอนานมาก แล้วนี่มาเที่ยวกันเหรอ โห คิดถึงอะ มาๆ นั่งก่อน”
ไม่ว่าเปล่า ร่างสูงโปร่งนั้นยังกุลีกุจอหันไปสั่งพนักงานในร้านให้จัดโต๊ะให้พวกเขายกใหญ่
“เฮ้ย ไม่เป็นไรทีน เดี๋ยวเราไปนั่งโต๊ะอื่นกันก็ได้ เกรงใจร้านเขาเปล่าๆ”
คนถูกปรามหันมาส่งยิ้มกว้างราวกับพระอาทิตย์ในฤดูร้อน
“ร้านเขาที่ไหน ร้านเราเอง เพิ่งเปิดได้หลังจากกลับจากรุงเทพที่เจอกับดิมไง ตอนนั้นเจอก็ลืมบอกไปสนิทเลย”
ทีนหัวเราะ หัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างทุกทีก่อนจะหันไปสั่งงานต่อ ทิ้งเขากับเดลเอาไว้ด้านหลัง
แล้วจู่ๆ เสียงกระซิบของเพื่อนร่วมทางที่แสนร้ายกาจก็ดังขึ้นข้างหู
“เซอร์ไพรส์”
เพียงเท่านั้น เขาก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
ไอ้เดล ไอ้เพื่อนเวร...
**********************************************************************************
[เกร็ดความรู้]Bathyscaphe Flyback Chronograph Blancpain Ocean Commitment IIBlancpain ได้เปิดตัว Bathyscaphe Flyback Chronograph Blancpain Ocean Commitment II ซึ่งเป็นนาฬิกา Limited Edition รุ่นที่สองของโครงการ Blancpain Ocean Commitment เป็นนาฬิกาจับเวลาแบบ Flyback Chronograph ที่มาพร้อมกับตัวเรือนเซรามิกสีน้ำเงินล้วน ที่เป็นสิ่งสะท้อนให้รำลึกถึงท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ผลิตเพียง 250 เรือนเท่านั้น
ที่มา:
LWQP Watch Blog/**********************************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ