Fourteenth Songหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ผืนฟ้ากว้างใหญ่จะกลายเป็นสีดำ ถูกครอบครองโดยความมืดมิด ถูกลากดึงเข้าสู่ห้วงเวลาสีดำไร้ทางออก
แต่ภายใต้ความมืดมิดน่าหวาดกลัวนั้นก็ยังมีดวงดาว
ภายใต้ความมืดมิดที่ผมเลือกกระโจนเข้าไป คุณพอจะช่วยเป็นดวงดาวให้ผมได้ไหมครับ
“ดิม นี่ไม้ เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเราเอง เป็นเจ้าของร้านนี้ด้วย”
น้ำเสียงสดใสเอ่ยแนะนำชายผิวแทนกำยำอย่างนักกีฬาที่เพิ่งเดินเข้ามาให้เขารู้จัก เขาเลยต้องฉีกยิ้มส่งให้แล้วยื่นมือไปจับตามมารยาท
“ไม้ นี่ดิมเพื่อนเราสมัยมัธยมต้นน่ะ”
ชายคนนี้ร่าเริงเหมือนเพื่อนของเขาไม่มีผิด ใบหน้าแทนเข้มฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวยเป็นระเบียบ มือหนาสากที่ยื่นมาจับกับเขานั้นก็ดูกระตือรือร้นเหลือเกิน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันครับ ผมเห็นคุณมาที่ร้านบ่อยมากแต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสคุยด้วยสักที ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพื่อนกับทีนด้วย”
เขายิ้มรับ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราขอไปคุยธุระกับไม้แป๊ปนึงนะ เดี๋ยวกลับมา ดิมนั่งคนเดียวได้รึเปล่า”
คำถามเป็นห่วงเป็นใยนั้นทำให้เขาอมยิ้ม
“สบายมาก ไปเถอะ”
“โอเค”
อีกฝ่ายส่งเสียงตอบรับเบาๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนของเขาไป
เพื่อนของทีน...เพื่อนของทีนที่อยู่ในโลกของทีน...
...โลกอีกด้านที่เขาไม่รู้จัก...
เพิ่งจะมาคิดได้ก็ตอนนี้เอง ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยคิดขึ้นมาก็ไม่รู้
ในโลกของเรา มีคนที่เรารู้จักอยู่มากมาย ทุกคนที่เรารู้จักก็ล้วนมีโลกของเขา และในโลกเหล่านั้นก็มีคนรู้จักของคนที่เรารู้จักอยู่มากมาย ความสัมพันธ์ของพวกเราทุกคนล้วนเป็นแบบนี้ เป็นรูปแบบซ้ำซากน่าเบื่อแบบนี้ เราคิดว่าเรารู้จักเขาทั้งหมด แต่เราไม่มีวันรู้จักใครได้ ‘ทั้งหมด’ คนรู้จักของเราทุกคนมีด้านที่เราไม่รู้จักซ่อนอยู่...มีโลกที่เราเข้าไม่ถึงซ่อนอยู่
นั่นสินะ...
‘โลกสีดำ...มันไม่สนุกหรอกนะดิม’ตัวเขาในตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนถีบตกลงมาจากหน้าผา เป็นหน้าผาที่ถูกพุ่มไม้รกชัฏบังไว้...เป็นหน้าผาที่รู้มาตลอดว่ามีแต่เลือกที่จะมองข้ามไป
‘มึงหมายความว่ายังไง’
‘กูรู้ว่ามึงเข้าใจที่กูพูด’เดลเป็นคนฉลาด ฉลาดมากๆ ตอนเรียนด้วยกันเขาก็ลอกการบ้านอีกฝ่ายบ่อยๆ เรื่องแค่นี้...เรื่องโกหกโง่ๆ แบบนี้ ทำไมอีกฝ่ายจะจับไม่ได้
‘ดิม มึงรู้ใช่ไหมว่าคุณปราณของมึงทำงานอะไร’
‘กูไม่รู้’เขาไม่ได้โกหก เขาไม่รู้...ไม่เคยรู้อย่างแจ่มชัดว่าเป็นงานอะไรบ้าง สิ่งเดียวที่เขารู้คือมันไม่เหมือนกับคนทั่วไป...มันสกปรก
ตาลุงนั่นเป็นคนสกปรก
‘แต่มึงรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่เหมือนเรา’ตอนนั้นเขาไม่ได้ตอบออกไป แต่ในใจกลับยอมรับไปแล้ว อยู่ด้วยกันมาตั้งสามปี กินด้วยกัน นอนด้วยกัน กอดก่ายผิวกายกันมาตลอด มีเหรอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร
มีเหรอที่เขาจะไม่เคยคิดสงสัยว่าทำไมตาลุงนั่นต้องออกไปไหนมาไหนตอนกลางดึกอยู่บ่อยๆ
มีเหรอที่เขาจะไม่คิดสงสัยว่าเสียงดังลั่นที่ดังแทรกเข้ามาทางโทรศัพท์คืออะไร
คนที่จับปืนมาทั้งชีวิตอย่างเขาจะไม่รู้จักเสียงนั้นจริงๆ น่ะเหรอ
...ก็หลอกตัวเองไปเรื่อย...
‘มึงรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังเอากับเขาเหรอดิม!’
‘กูไม่ได้แค่เอากับเขา กูรักเขา!’แรงอารมณ์ของพวกเขาปะทะกัน สุดท้ายก็เป็นเพื่อนของเขาที่ยอมล่าถอยแล้วเดินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป ทิ้งเขาเอาไว้ในห้องกระจกหรูหราที่ว่างเปล่าและเงียบงัน
รู้...เพราะรู้อยู่แล้วแต่ก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
รู้...รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว แต่เพราะรักก็เลยเลือกที่จะไม่รู้มากไปกว่านั้น
บ้า...เขานี่มันบ้าจริงๆ
พอลองย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ‘รู้แล้วจะไปต่อไหม’ คำตอบที่ได้มันก็มีแค่คำตอบเดียวคือ ‘ใช่’ เขาทำใจกับเรื่องนี้มานานพอแล้ว นานจนไม่รู้จะนานยังไงแล้ว ต่อให้ลุงจะมืดจะดำยังไงก็ช่างมันเถอะ ตราบใดที่คนๆ นั้นยังเป็นลุง...ยังเป็นคุณปราณ เขาก็พร้อมจะกระโจนลงไปในความมืดมิดนั้น
ตราบใดที่ดวงดาวของเขายังอยู่ คืนเดือนมืดก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร
เพิ่งจะมาคิดเรื่องพวกนี้ได้ก็ตอนมีคนถามว่า ‘ทำไมไม่เลิกไปซะ’ นี่ล่ะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาก็เอาแต่คิดเรื่องพี่สาว ผูกตัวเองไว้กับพี่สาวมาตลอด เพิ่งจะมารู้ว่าชีวิตของเขาถูกผูกไว้กับอีกคนหนึ่งเหมือนกันก็ตอนถูกสั่งให้ถอยห่างออกมา
คนเรานี่มันเหลือเกินจริงๆ ถ้าไม่ถูกเอาของที่คุ้นเคยไปจากอ้อมอกก็คงไม่มีวันรู้เลยว่ามันสำคัญ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมถึงไม่รู้จักหลาบจำเสียที
นัยน์ตาคู่สวยทอดมองผิวน้ำสั่นไหวที่อยู่ไม่ไกล ผืนน้ำสีดำสะท้อนแสงวาบวับของดวงไฟมากมาย สั่นไหวกระเพื่อมไปตามจังหวะลม
ในวันที่สูญเสียพี่ดาตัวเขาก็คงเป็นเหมือนแม่น้ำนี่ล่ะมั้ง
สั่นไหวและกระเพื่อมไปแล้วแต่สายลมจะพัดพา
ห้าปีผ่านมาแล้ว สายลมนั้นแผ่วลง แต่มันไม่เคยหยุดพัดเลย
ดิมยังคิดถึงพี่ดา ยังอยากเจอพี่ดา ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ยอมมีความสุขจนกว่าจะหาพี่เจอ สุดท้ายแล้วผมก็ผิดสัญญาเข้าจนได้
ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่มีลูก ไม่มีครอบครัวจนกว่าจะพาพี่กลับมาได้แท้ๆ แต่มันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตอนที่รู้ว่าเขาอาจจะท้อง ในใจมันก็พองโตขึ้นมาวูบนึง
เพียงวูบเดียวก่อนจะโดนความรู้สึกกลัวกดทับเอาไว้
ตอนแรกก็คิดเอาไว้อย่างดีว่าถ้าเจอพี่ดาก็จะให้พี่ดากลับมาขอขมาพ่อ ให้ลูกของพี่ดาดูแลบริษัท ส่วนเขาก็จะปลีกวิเวกทำร้านตัดผมและมีครอบครัวที่มีความสุขกับตาลุงนั่น แต่พอมาตอนนี้ ทุกอย่างมันก็ผิดแผนไปหมด
ถ้าเขาท้อง เขาจะบอกพ่อยังไง ถ้าพ่อรู้ว่าพ่อของเด็กในท้องของเขาคือเพื่อนตัวเอง พ่อจะทำหน้ายังไงก็ไม่รู้ ไหนจะเรื่องพี่ดาอีก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการท้องในตอนนี้รังแต่จะสร้างปัญหา แต่ไม่รู้ทำไม...
...ไม่รู้ทำไมเขาถึงเกิดอยากท้องขึ้นมาจริงๆ ...
บ้า...บ้าชะมัด
“ดิม”
เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมโต๊ะที่เพิ่งกลับมาทำเอาเขาสะดุ้งโหยงจนอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
“ตกใจอะไรขนาดนั้น”
ให้ตายเถอะ ขายหน้าชะมัด
“ผมคิดอะไรเพลินๆ อยู่น่ะสิ”
“ก็น่าอยู่ล่ะ นั่งหน้าดำคร่ำเครียดเชียว”
ร่างสูงโปร่งกว่าเขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตามเดิม
“แล้วนี่คิดเรื่องอะไร เรื่องพี่ดารึเปล่า”
คำถามของอีกฝ่ายทำให้เขาพูดไม่ออก ทำได้เพียงนั่งอยู่เฉยๆ แล้วแสร้งทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทน
“นี่ดิม”
คำเรียกนั้นดังขึ้นมาในจังหวะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการตักห่อหมกสีเหลืองสวยมาใส่ในจาน
“ก็อย่างที่เราบอกแหละ สักวันดิมต้องได้เจอพี่ดาแน่”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ”
บรรยากาศในโต๊ะเคร่งเครียดขึ้นทันตา เด็กหนุ่มผู้อารมณ์ดีอยู่เสมอเสหลบตาเขา ในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะสนใจอาหารในจานอีกต่อไป
สักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่จะถึงวันนั้นสักที ต้องรอให้เขาตายไปก่อนรึงะ...
เดี๋ยวสิ คำพูดแบบนี้เขาเองก็เคยพูดนี่นา
‘ผมยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตใคร’
‘ผม...ยังไม่พร้อม’
‘เราคุยกันจบไปแล้วนะคุณปราณ ผมยังไม่พร้อม’นั่นสิ เขาเองก็เคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน
เพิ่งมารู้เอาตอนนี้เองว่าคนที่ถูกพูดใส่เขารู้สึกยังไง ตาลุงนั่น...คงเจ็บปวดเหมือนกับเขาตอนนี้แน่
ดิม...มึงมันโง่
“ผมขอโทษที ผม...อารมณ์ร้อนไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจ”
ความเงียบเข้าปกคลุมโต๊ะอาหารของพวกเขาอยู่อึดใจก่อนที่อีกคนจะใช้ความสดใสของตัวเองเรียกบรรยากาศอบอุ่นกลับคืนมาได้อีกครั้ง
“เออนี่ จำกุ้งที่อยู่ห้องห้าได้รึเปล่า เดี๋ยวนี้เป็นหมอแล้วนะ...”
ทีนเป็นคนที่วิเศษ...เป็นคนที่มีพลังพิเศษในแบบที่เขาไม่มี
“ตอนวันงานลุงธงชัยอะ เราเจอยศด้วยนะ โอ้โห เดี๋ยวนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมากเลย...”
ทีนเป็นคนที่ไม่คิดอะไรให้มากความ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เลือกที่จะจดจำแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น
“ดิมเคยไปภูเก็ตป่ะ แหลมพรหมเทพสวยมาก มากแบบมากๆ ถ้ามีโอกาสต้องลองไปนะ...”
อยาก..ผมอยากเป็นคนที่สดใสแบบนี้บ้างจัง
“ดิมยิ้มอะไรขนาดนั้น อยากไปเที่ยวภูเก็ตเหรอ”
“เปล่า แค่สงสัยว่าทำไมทีนถึงดูมีความสุขได้ขนาดนี้กันนะ”
พวกเขาสบตากัน เขาเห็นดวงตาสีดำคู่นั้นวูบไหว
“ทำไมทีนถึงดูสดใสได้ตลอดเวลาขนาดนี้กันนะ บางทีผมก็อยากเป็นคนแบบทีนบ้างเหมือนกัน”
หัวเราะ...เด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะ แต่มันไม่ใช่เสียงหัวเราะอย่างทุกที เสียงหัวเราะนั้นคล้ายคลึงกับ...
“สดใสอยู่ตลอดเหรอ เอาเข้าจริง ถ้าดิมรู้จักเราทั้งหมด ดิมอาจจะไม่พูดแบบนี้ก็ได้นะ”
ทีนกำลังเย้ยหยันบางอย่าง เสียงหัวเราะนั้นฟังดูแปลกแปร่งกว่าทุกที
“ดิม เราไม่ใช่คนดี”
พวกเขาสบตากันอีกครั้ง แต่คราวนี้เนิ่นนานกว่าครั้งไหนที่ผ่านมา
“เหรอ บังเอิญจังว่าเราก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน”
แล้วพวกเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ ทิ้งไว้เพียงเสียงลมและคลื่นที่ดังชัดขึ้นมาในโสตประสาท
ทิ้งไว้เพียงคนสองคนที่จมจ่อมอยู่กับกระแสความคิดของตัวเอง
...จมลงไป...ลึกลงไป...ไปยังที่ๆ ไม่เคยไป ดำลงไปยังที่ๆ ไม่เคยไปถึง
...แหวกว่ายลงไปจนถึงส่วนที่ดำมืดที่สุดในหัวใจ...
กว่าเขาจะเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยได้ก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว
ร้านอาหารสไตล์ครอบครัวริมแม่น้ำเจ้าพระยาตกแต่งด้วยธีมสวนหลังบ้านตรงหน้าเขาคือร้านโปรดของเด็กคนนั้น ตัวร้านเป็นอาคารไม้สีขาวชั้นเดียว แบ่งออกเป็นโซนในอาคารและโซนนอกอาคาร รอบๆ ร้านถูกจัดให้อยู่ในบรรยากาศของสวนขนาดย่อมที่มีโต๊ะอาหารเรียงรายกันไร้แบบแผนแต่ดูสบายตาอย่างบอกไม่ถูก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นโทนสีขาวไม่ก็ครีม แสงไฟที่ใช้เป็นแสงสีเหลืองนวล ให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองเหมือนกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่สวนหลังบ้านของตัวเอง
เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงชอบร้านนี้นัก
บ้าน คือสิ่งที่เด็กคนนั้นโหยหา
ครอบครัว คือสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการ
ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเด็กคนนั้นจะมีพี่สาวอายุห่างกันหกปีอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายจึงไม่เคยพูดถึงเธอเลย
เขาอยากรู้ แต่ไม่อยากถาม
เอาเถอะ สักวันหนึ่งที่แมวน้อยต้องการ ปากบางสวยนั้นก็คงจะเอ่ยปากเขาขึ้นมาเอง...อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
แมว ต่อให้เป็นสัตว์ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เมื่อถึงเวลามันก็ต้องการเพื่อนพ้องมาเติมเต็ม
...เหมือนเด็กคนนั้นไม่มีผิด...
เขาเผลอยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เด็กคนนั้นเป็นแมวขี้เหงา...เป็นแมวขี้อ้อนที่พยายามทำตัวเป็นเสือ แต่แมวก็คือแมว เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทะนุถนอมและเอาแต่ใจ
เพลงแจ๊สเบาๆ ดังเคล้าคลอไปกับเสียงลมและน้ำ
เด็กหนุ่มคนนั้นเปล่งประกายแข่งกับแสงดาวบนฟากฟ้า
...เจ้าแมวของเขา...
“งานเยอะเหรอครับ”
เสียงทุ้มต่ำไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วไปเอ่ยถามเขาขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนอย่างเคย นิ้วเรียวกรีดไปตามขอบแก้วบรรจุน้ำผลไม้ตรงหน้าแล้วยกยิ้มให้เขา
“เมื่อครู่ผมเพิ่งสั่งแกงเหลืองกับห่อหมกให้นะครับ อาจจะต้องรอสักสิบนาที”
“ไม่เป็นไร”
เขาหมายความตามนั้น ขอแค่มีอีกคนนั่งอยู่ตรงหน้า จะให้รอนานแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
“วันนี้เลิกงานช้ากว่าทุกวันนะครับ”
“มีเอกสารหลายอย่างต้องจัดการน่ะ”
“เหรอครับ”
อีกคนเอ่ยปากรับคำแผ่วเบาแล้วเบนหน้าออกไปมองแม่น้ำสายกว้างด้านข้าง
แปลก...เป็นความแปลกที่เขาพอจะรู้ว่ามันเกิดจากอะไร
...เป็นความแปลกที่ก้องภพรายงานเขาไว้แล้ว...
‘วันนี้ผมเห็นคุณเดลไปรอคุณดิมที่ร้าน คาดว่าคงจะมีการพูดคุยกันอะไรสักอย่าง แต่เพียงไม่นานคุณเดลก็เดินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมา ส่วนคุณดิมก็อยู่ที่ร้านจนถึงเย็นเลยครับ’เดล...เพื่อนของดิม...คู่ค้าคนสำคัญของเขา
ปากมากไม่เข้าเรื่อง
“แล้วที่บอกฉันตอนเย็นนี่หมายความว่ายังไงเหรอ”
เขาโยนหินถามทางออกไปแล้ว ถ้าอีกคนถาม เขาจะบอก
...ขอเพียงเอ่ยปากออกมาเท่านั้น...
นัยน์ตากลมโตที่สบเข้ามาในตาเขาปรากฏแวววูบไหวอย่างหนัก ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หลบตา
“เปล่านี่ครับ ไม่มีอะไร”
สุดท้ายอีกคนก็เลือกที่จะหนีเหมือนเดิม
นี่เป็นนิสัยอย่างหนึ่งของดิมที่เขาค่อนข้างขัดใจ นอกจากขี้กังวล ชอบเก็บทุกอย่างไปคิดคนเดียวแล้วยังชอบหนีปัญหาอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ถ้าเปิดอกคุยกันก็จบไปแล้ว
...รึเปล่า...
ที่จะจบคือปัญหาหรือความสัมพันธ์ก็ไม่รู้...เขาเองก็ไม่รู้
...แย่จริงๆ เขาเองก็เป็นพวกชอบหนีปัญหาเหมือนกัน...
ถ้าอยากรู้ อยากทำให้กระจ่างก็แค่บังคับให้อีกคนรับฟังก็จบ แต่เพราะเขาเองก็มีความขี้ขลาดแฝงอยู่เหมือนกัน
...กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วทุกอย่างอาจต้องจบลงจริงๆ ...
“คุณปราณครับ”
เสียงเรียกนั้นทำให้เขาหลุดจากห้วงความคิด
...แล้วใบหน้ามีเสน่ห์ที่มองตรงมาทำให้เขาตกอยู่ในวังวนภวังค์อีกครั้ง...
“คุณ...คุณชอบสีดำรึเปล่าครับ”
คำถามนั้นอาจฟังดูแปลกสำหรับคนอื่น แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่คำถามธรรมดา
เด็กคนนั้นกำลังถามว่าโลกของเขาเป็นสีดำจริงๆ ใช่ไหม
“ไม่ ฉันไม่ชอบ”
นัยน์ตาที่เป็นประกายด้วยความหวังที่มองมามันทำให้เขาร้าวไปทั้งใจ
“แต่ฉันต้องอยู่กับสีดำ”
ตอบเพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็พลันหลบตา ในทีแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะตกใจจนรับไม่ได้แล้วเงียบไป แต่ที่ไหนได้...
“ผมก็ไม่ชอบสีเทาเหมือนกันครับ”
เสียงนั้นพึมพำอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แต่เขาฟังเข้าใจ
สีเทางั้นเหรอ...นี่ดลนธีเลี้ยงลูกมันมาแบบไหนกัน
“แต่ผมก็ต้องอยู่ในโลกสีเทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน”
น้ำเสียงเหนื่อยล้านั้นทำให้ใจเขากระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง
น้ำเสียงแบบนี้ คำพูดแบบนี้...เหมือนกับตัวเขาสมัยก่อนไม่มีผิด
เหมือนกัน...เหมือนกันเหลือเกิน
“ลุง?”
เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองลุกขึ้นยืนตอนไหน สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในใจมีเพียงเรื่องที่ว่า ‘ต้องผูกมัดเด็กคนนี้เอาไว้ก่อนจะหายไป’
“กลับกันเถอะ”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะล้วงเงินสดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ธนบัตรสีเทาสี่ใบถูกกระแทกลงบนโต๊ะ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกคนแล้วจูงให้เดินตามมา
เด็กคนนั้นต่อต้านเล็กน้อยในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี
ดีแล้ว...ต้องตามมา...ต้องผูกมัดเอาไว้ก่อนจะหนีไป
ตัวเขาในตอนนั้นก็เกลียดโลกสีดำของครอบครัวตัวเองจนหนีไปเที่ยวรอบโลกอยู่หลายปี ตัดสินใจกลับมาก็ตอนที่รู้ว่าพ่อใกล้จะเสีย ในตอนนั้นไม่มีใครติดต่อเขาได้ ไม่มีใครตามหาเขาเจอ ไม่มีอะไรผูกรั้งเขาเอาไว้
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ อีกไม่นานเด็กคนนี้ก็จะหนีไปเหมือนกับเขาในตอนนั้นแน่
ต้องผูกเอาไว้...ต้องรั้งเอาไว้
จะสีดำหรือสีเทาก็ช่าง จะเป็นโลกแบบไหนก็ช่าง ถ้ามีอีกคนอยู่ข้างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอยู่แล้ว
...ถ้ามีอีกคนอยู่ข้างๆ ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่...
“ลุงทำอะไรเนี่ย”
เขาดันร่างอีกคนเข้าไปทางเบาะหลังของรถเขาเอง ดันให้อีกคนนอนราบไปกับเบาะแล้วรีบกระโจนขึ้นไปตรึงอีกคนไว้ใต้ร่าง
ต้องรั้งเอาไว้
ต้องกอดเอาไว้
“ลุงจะทะ อื้อ”
รอยจูบคือโซ่ตรวน
“ยะ อื้อ ลุง!”
ส่วนสำคัญที่ถูกดูดรั้งคือปลอกคอ
“เจล ผมขอเจล ได้โปรด”
เสียงหอบกระเส่านั้นอ้อนวอนอย่างน่าสงสารเสียจนเขาต้องยอมอ่อนข้อให้
“อ๊ะ เย็น เย็นเป็นบ้าเลยลุง อื้อ”
คำพูดพวกนั้นอู้อี้เสียจนฟังแทบไม่เข้าใจ
แต่เขาเข้าใจ...เข้าใจทุกอย่าง
“ดิม”
เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าท้องขาวนวลที่บิดเร่าแล้วเอ่ยเรียก
“ฉันรู้ว่าเธอรู้อะไร”
ดอกไม้งามสีชมพูสดกลางทะเลสีขาวผืนนี้สมควรถูกกลั่นแกล้งเสียให้บวมช้ำ
“ฉันรู้ว่าว่าในหัวน้อยๆ นี่คิดอะไรอยู่เต็มไปหมด”
เขายืดตัวไปจูบขมับของคนใต้ร่าง
“แต่ฉันอยากให้เธอปล่อยวางมันซะ”
ริมฝีปากสีซีดก้มลงจูบปากอีกคนเสียจนบวมเจ่อ
“จะดำ จะเทาก็ช่าง ถ้าเราอยู่ด้วยกันมันต้องดีแน่”
เปลือกตานิ่มสวยถูกเขาประทับจูบ
“เพราะฉะนั้นอย่าหนีไปเลย”
คำอ้อนวอนจากเขาทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกโพล่ง
“อย่าทิ้งฉันไปเลย ฉันขอร้อง”
เขาจับฝ่ามือสวยให้ทาบลงบนหน้าอกของเขา
“มันจะอยู่ต่อได้ยังไงถ้าไม่มีเธอ”
ริมฝีปากบางนั้นเม้มเข้าหากันแน่นเสียจนเขากลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ
เพราะแบบนั้นเขาเลยก้มลงไปแยกริมฝีปากบนล่างของอีกฝ่ายออกจากกัน
“ขอโทษที่เอาแต่ใจ ขอฉันป้องกันก่อนนะ...”
มือขาวสะอาดที่เอื้อมมาจับแขนเขาไว้ทำให้การกระทำทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง
“ไม่ต้องหรอกครับ”
แม้จะมืด...แม้จะมีเพียงแสงจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาเขาก็เห็น...เห็นแววตาสั่นไหวที่มุ่งมั่นเหลือเกิน
“ถ้าเด็กคนนี้จะเกิดก็ให้เขาเกิด”
แขนเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาเอาไว้
“ลุงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันมันต้องดีแน่”
ร่างของเขาค่อยๆ ถูกดันขึ้น เช่นเดียวกับที่อีกคนก็ค่อยๆ ยันตัวขึ้นจนพวกเขาทั้งคู่กลับมาอยู่ในท่านั่งธรรมดา
“ผมเคยบอกว่าไม่พร้อม แต่พอมานึกได้ว่า คำว่าพร้อมมันอยู่ที่ตรงไหน ผมเองก็ตอบไม่ได้”
ขาเพรียวกลมกลึงตวัดคร่อมร่างของเขาเอาไว้
นัยน์ตาของพวกเขาสบกัน...ถ่ายทอดความรู้สึกให้กันและกัน
“ในเมื่อไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคำว่าพร้อมมันอยู่ตรงไหนก็สู้พร้อมมันเสียตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า”
แรงบดเบียดจากเบื้องล่างทำเอาสมองเขาว่างโล่งไปหมด
“หลังจากนี้ก็อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะครับ”
แล้วเขาก็ถูกความอุ่นร้อนครอบครองเสียจนสมองกลายเป็นสีขาวโพลน
***********************************************************************
ประกาศสำคัญ
เนื่องจากตอนนี้เราเองกำลังจะเปิดเทอมแล้ว(เปิดเทอมอีกแล้ววว TwT) หลังจากนี้การอัพหลงลุงก็จะใช้เกณฑ์เดิมกับแว่วเสียงการเวกคืออัพสัปดาห์ละตอนเนอะ โดยจะอัพทุกวันศุกร์ หรือ เสาร์ หรือ อาทิตย์ แต่เราจะบอกก่อนอัพ 1 สัปดาห์เสมอ คืออัพตอนนี้แล้วก็จะบอกว่าตอนหน้าจะอัพวันไหน แต่ถ้ามีเหตุฉุกละหุกจริงๆ อาจจะต้องขออนุญาตแจ้งทางโซเชียลมีเดียแทนน้า
อนึ่ง ด้วยนิสัยของเรา ไม่เคยมีนิยายเรื่องไหนยาวเกิน 30 ตอนอยู่แล้วค่ะ 30 ตอนคือสุดๆ แล้ว คิดว่าเรื่องนี้เองก็น่าจะเคาะที่ 20 ตอนกว่าๆ เหมือนกัน ไม่น่าเกินกลางปีนี้ก็น่าจะจบเนอะ
ฝากติดตามกันไปจนจบเลยน้าาา
***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ