ผลประโยชน์ทับซ้อน
By: Dezair
………………….
ตอนที่ 9
หมู่นี้เพื่อนพ้องของเจตน์ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมักจะเห็นหนุ่มตี๋ตาเรียวปากร้ายขี้หงุดหงิดกลายร่างเป็นมนุษย์อารมณ์ดีที่ยอมเดินฝ่าแดดเปรี้ยงตอนเที่ยงออกจากคณะ สายข่าวตาดีบอกว่าจุดหมายปลายทางของพ่อหนุ่มปี 2 คนนี้คือคณะที่ไม่ใช่บ้านใกล้เรือนเคียงแต่อย่างใด...คณะรัฐศาสตร์นั่นเอง
เที่ยงวันนี้ก็เช่นกัน หนุ่มหล่อปากไม่ค่อยดีลงจากตึกเรียนแล้วก็บ่ายหน้าจะเดินออกจากคณะ แต่...ถูกดักไว้ซะก่อน
“เชี่ยเจ๋ง แวะโต๊ะเพื่อนหน่อยครับ” เจ้าของเสียงคือธนทัตเพื่อนสนิทจากคณะข้างเคียงอย่างเศรษฐศาสตร์ที่วันนี้พาผองเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมอย่าง การุณและอิสระมาบุกคณะบัญชี เพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเจตน์ลืมโรงอาหารคณะไปแล้ว
“อ้าว พวกมึงมาได้ไง” เจ้าถิ่นที่ดี เจอเพื่อนต่างคณะแวะเวียนมาทั้งที่ต้องถามตามมารยาทแต่เท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่คิดจะรอฟังคำตอบสักนิด เป็นธนทัต การุณและอิสระที่ต้องวิ่งไปขวางไว้
“เดี๋ยวๆ จะรีบไปไหนของมึง คุยกับพวกกูก่อน” คนถูกขวางขมวดคิ้วชิด
“คุยอะไร?! กูรีบ!”
“งั้นกูถามแบบรีบๆก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่แดกข้าวคณะตัวเองแล้วเหรอ” ธนทัตถามไว ในขณะที่อีกสองเพื่อนทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม เจตน์ชะงัก กวาดตามองเพื่อนสนิทสามหน่อแล้วก็รู้ว่าเรื่องของเขาและปกฉัตรคงรู้ถึงหูพวกนี้แล้ว ถึงได้แห่กันมาถึงนี่
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดอะไร เพราะเขาก็ตามรับส่ง แถมกินข้าวกับปกฉัตรอย่างเปิดเผย
...แต่...รู้สึกหมั่นไส้สายตาพวกแม่ง กูจะไม่บอกดีๆหรอก!...
“กูจะแดกที่ไหนก็เรื่องของกูมั้ย”
สามเพื่อนซี้ทำปากซู้ดที่ถูกด่าว่าอยากรู้อยากเห็น
“แดกที่ไหนก็เรื่องของมึงครับ แต่แดกกับใครนี่รบกวนบอกพวกกูด้วย” อิสระแหย่ เจตน์รู้ดีว่าพวกนี้ไม่จบเรื่องที่อยากถามอย่างไวแน่ หนุ่มตี๋แห่งคณะบัญชียกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เที่ยงห้านาทีแล้ว และใครบางคนรอทานข้าวกับเขาอยู่
“พวกมึงอยากรู้ก็ตามมา!”
แล้ววันนี้ โรงอาหารคณะรัฐศาสตร์ก็ได้ต้อนรับแขกต่างถิ่นเพิ่มอีกสามคน
...................
ปกฉัตรเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเจตน์ไม่ได้โผล่หน้าเข้ามาในโรงอาหารรัฐศาสตร์เพียงลำพัง แต่มีเพื่อนสนิทอีกสามตามหลัง สามคนนั้นเขาพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเคยเจอกันตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนมัธยม โดยเฉพาะธนทัตที่พักนี้ เจอกันทีไรก็มักจะชวนเขาคุยทุกที
“มึงสั่งข้าวรึยัง” เจตน์มาถึงก็ถามเรื่องอาหารกลางวันทันที ปกฉัตรยังงุนงงกับคนที่ตามหลังร่างสูงมาด้วยแต่ก็ยังส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วทำไมไม่ไปสั่งไว้ก่อนวะ?! เดี๋ยวช้าแล้วมึงก็ไม่ได้กินกันพอดี! เรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ?!”
“ก็ไม่รู้ว่าพี่อยากทานอะไร”
“กูกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ! งั้นเดี๋ยวกูไปสั่งให้ มึงกินแบบกูแล้วกันจะได้เร็ว! อ้อ...ไอ้พวกนี้อยากมาแดกข้าวด้วย” ดูเหมือนเจตน์จะเพิ่งนึกได้ว่ามีพยานรักอีกสาม ปกฉัตรได้แต่พยักหน้ารับ หันไปส่งยิ้มจางๆเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่านี้
“งั้นพวกกูฝากสั่งด้วยแล้วกัน ไอ้เจ๋ง เอาแบบมึงกับน้องปก” อิสระกำลังจะหาทางได้ซักถามรุ่นน้องร่วมโรงเรียนมัธยมโดยปราศจากเพื่อน แต่เจตน์ตวัดสายตามาจิก มองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วเหมือนเห็น เสือ สิงห์ และกระทิงล้อมรอบลูกแกะตัวน้อยๆของเขา
...ถ้ากูไปสั่ง ก็เหลือไอ้ปกกับพวกนี้...
...ไม่ได้สิวะ! แกะของกู ใครอย่าแตะ!!!...
“พวกมึงสามตัวนั่นแหละไปสั่งข้าว” เรื่องอะไรจะทิ้งปกฉัตรไว้กับคนอื่น สู้ถีบคนอื่นออกไปแล้วทิ้งตัวเองไว้กับปกฉัตรดีกว่า!
“ก็มึงสั่งแทนพวก...”
“กูบอกว่าให้ไปสั่งข้าว! สั่งแทนกูกับปกด้วย!” คนที่ยังอยู่ในสถานะตามจีบ หวงก้างขนาดหนักชนิดไม่ยอมปล่อยปกฉัตรไว้กับเพื่อนสนิทของตนเองด้วยซ้ำ
“กันท่าแล้วคาบไปแดกตลอด” ธนทัตบ่น ก่อนจะพาผองเพื่อนอีกสองไปต่อแถวร้านขายอาหาร ในขณะที่เจตน์ยังยืนเฝ้าปกฉัตรอย่างกับเป็นเจ้าที่ก็ไม่ปาน
“แล้วพวกพี่ๆเขาจะทานน้ำอะไรกัน เดี๋ยวผมไปซื้อให้” ร่างโปร่งหันมาถาม ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี มีคนต่างถิ่นมาทานข้าวที่โรงอาหารทั้งที ก็ต้องต้อนรับกันอย่างมีมิตรไมตรี
“กูจะไปรู้เหรอ!” แต่คนที่ไม่มีไมตรีใดๆคือคนที่ยังหงุดหงิดเพื่อนซี้ ยิ่งเห็นสายตาพวกนั้นมองปกฉัตรกันระยิบ ก็ยิ่งรู้สึกหวงขึ้นมาถนัด หนุ่มปีหนึ่งคณะรัฐศาสตร์เห็นอารมณ์คนข้างกายก็ไม่อยากเซ้าซี้ ยอมเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินตามสามหนุ่มจากต่างถิ่นไปถามเอง
“พี่...จะทานน้ำอะไรกันครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้” ประโยคนั้นลอยเข้าหูคนขี้หงุดหงิดพอดิบพอดี
คำว่า ‘พี่’ สั้นๆคำเดียว เป็นคำที่ก่อนหน้านี้เจตน์รู้สึกระคายหูเพราะไม่เคยถูกใครเรียก แต่ปกฉัตรกลับเรียกเขา แล้วพอเริ่มคุ้นชิน มาวันนี้ก็ชักจะระคายหูอีกรอบ เพราะปกฉัตรเอาไปเรียกคนอื่น
ร่างสูงไม่รู้ว่าสามเพื่อนสนิทสั่งน้ำอะไรกันบ้าง เพราะเขากระแทกตัวลงนั่งอย่างงุ่นง่าน แต่พอปกฉัตรกลับมาที่โต๊ะพร้อมด้วยน้ำเปล่าสี่ขวดที่หอบมาด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือน้ำใบบัวบกมาวางลงตรงหน้าเขา อกก็เริ่มคันยิบๆ ส่วนความหงุดหงิดก็ชักจะถดถอยลง
“เป็นอะไร ทำไมหงุดหงิด” คำถามดังเบาๆจากคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พอดวงตาเรียวเหลือบไปมอง เจ้าของคำถามกำลังเท้าคางมองมาที่เขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่...ทำให้เจตน์คันอกหนักกว่าเดิม
“พ...เพื่อนกูชื่อไอ้ไท ไอ้อิสแล้วก็ไอ้การุณ...”
ร่างโปร่งเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย เจตน์ดูดน้ำใบบัวบกสีเขียวเข้มปรื้ดใหญ่ ก่อนจะพูดต่อ
“ถ้ามึงจะเรียกพวกมันว่าพี่ ก็เรียกพี่แล้วตามด้วยชื่อ ไม่ใช่เรียกพี่คำเดียวเหมือน...เหมือนที่เรียกกู...”
คิ้วเหนือดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคลายลงในวินาทีนั้น ทว่าดวงตายังจับจ้องคนพูดในขณะที่ริมฝีปากแย้มยิ้มจางอย่างเอ็นดู เป็นรอยยิ้มจางที่ไม่ต้องเก็บกดเอาไว้ข้างในอีกแล้ว เวลานี้...ปกฉัตรไม่ต้องกลัวที่จะซุกซ่อนความรู้สึกอีกแล้ว หากเจตน์ถามว่ายิ้มทำไม เขาก็จะตอบตามตรงว่ายิ้มเพราะเอ็นดูมาก
...เอ็นดูคนขี้หวงคนนี้มากๆ...
หนุ่มตี๋เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่นั่งข้างเขา อยากจะถามว่ายิ้มทำไม แต่...เพราะเป็นรอยยิ้มจากคนที่มักจะทำหน้าเฉยๆเป็นนิจ หัวใจของเขาบอกว่าไม่กล้าถามอะไรก็ตามที่จะทำให้รอยยิ้มนั้นหายไป
คนปากไวแถมปากไม่ค่อยดี เรียนรู้ที่จะหุบปากด้วยการโกยน้ำแข็งเข้าปากเยอะๆ จะได้ไม่พูดอะไรที่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของปกฉัตรจืดจาง เขา...อยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้นานๆ ถึงจะเป็นรอยยิ้มน้อยๆก็เถอะ
ระหว่างพวกเขากลายเป็นความเงียบ ความเงียบที่คนหนึ่งนั่งยิ้มน้อยๆจ้องมองคนที่เอาแต่ตั้งสมาธิอยู่กับการโกยน้ำแข็งจนเกือบหมดแก้ว ก่อนจะลดสปีดกลายเป็นการเขี่ยเข้าปากทีละก้อนแทน
“พี่...ไม่อยากให้ผมเรียกคนอื่นเหมือนพี่เหรอ”
ในที่สุดก็เป็นปกฉัตรที่ตั้งคำถามขึ้นมาก่อน หัวใจอุ่นๆในอกนี้อยากให้เจตน์หันมาสนใจกันมากกว่าจะให้ไปสนใจน้ำแข็งก้อนไหนเสียอีก
“...” ไม่มีคำตอบ แต่คนถูกถามหูกระดิกรับรู้ เขี่ยน้ำแข็งเข้าปากไปอีก จนมือขาวต้องยื่นไปจับข้อมือของคนที่กำลังยกแก้วชิดปาก เจตน์ชะงักไปในทันที ปรายตามองก็เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มน้อยๆมาให้
...แล้วยิ้มแบบนี้กูจะพูดอะไรได้!...
“เคี้ยวน้ำแข็งแบบนั้นเดี๋ยวฟันก็สึกหมดหรอก ผมเทน้ำให้นะ” มือของปกฉัตรไม่ต้องออกแรงเลยแม้นิด แค่แตะเบาๆให้เจตน์วางแก้วลง คนตัวใหญ่แถมแรงเยอะกว่าก็ยอมวางแก้วให้เขาเทน้ำเปล่าใส่อย่างง่ายดาย
น้ำดื่มจากขวดพลาสติกค่อยๆรินลงสู่แก้วที่มีน้ำแข็งนอนก้น สายตาของเจตน์ควรจะหยุดอยู่ที่แก้วของตนเองแต่เขากลับมองทวนขึ้นไปตามสายน้ำ สู่ปากขวด สู่มือขาว ไปยังข้อมือ ไล่ไปตามแขนจนถึงข้อศอก แม้แขนเสื้อจะขวางกั้น แต่สายตาของเจตน์ก็ยังไล่ไปยังไหล่ จนมาถึงคอปกของเสื้อเชิ้ตนิสิตปีหนึ่งที่เผยอออกจากกันเล็กน้อยเพราะไม่ติดกระดุมเม็ดบนและไม่สวมเนคไท
...คอขาว กระดูกไหปลาร้าโปนที่วับๆแวมๆ...
สายตาจากดวงตาเรียวไล่ขึ้นมาที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มรุ่นน้อง และสิ่งที่ตรึงสายตายิ่งกว่าอะไรก็คือใบหน้าของปกฉัตรที่กำลังยิ้มน้อยๆในขณะที่เจ้าตัวตั้งใจเทน้ำให้เขา
ไม่ใช่แค่บริการเล็กๆน้อยๆ แต่น้ำใบบัวบกแก้วนี้ ปกฉัตรตั้งใจซื้อมาให้
“วันนี้กูมาช้า มึงไม่หิวเหรอ” เป็นคำถามเบาๆจากผู้ชายโผงผาง เจตน์รู้สึกว่าพวกเขานั่งใกล้กันมากพอที่จะคุยกันด้วยเสียงเบาๆได้แล้ว หรือถ้าปกฉัตรจะไม่ได้ยิน เขาก็ยินดี...ที่จะขยับเข้าไปหาอีกหน่อย
ขยับเข้าไปใกล้กันอีกนิด...ให้ไหล่ของเขาซ้อนอยู่ข้างหลังไหล่ของปกฉัตร
“ไม่หรอก ผมก็เพิ่งเลิกเรียนเหมือนกัน” เพราะใกล้กันมากขึ้น น้ำเสียงที่คุยกันก็พลอยเบาลงไปด้วย
“แล้วเย็นนี้อยากกินอะไร”
“คิดไม่ออก ข้าวกลางวันยังไม่ได้กินเลย” ปกฉัตรตอบ รอยยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย เรื่องทนหิวไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิตนัก แต่สำหรับเจตน์ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งทีเดียว หนุ่มตาเรียวกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะเพิ่งนึกออกว่าส่งเพื่อนสนิทสามหน่อไปสั่งข้าว แต่ป่านนี้ยังไม่เห็นโผล่หัวกลับมาสักคนเดียว!
“เออ! แล้วพวกไอ้ไทแม่งไปสั่ง…” หันรีหันขวางจะมองหาเพื่อน แต่มือขาวกลับแตะแขนเรียกความสนใจจากเขาเสียก่อน
“ผมไม่รีบ รอได้” พอเจตน์หันกลับมามองหนุ่มรุ่นน้อง เสียงในคอที่เมื่อครู่จะโหวกเหวกก็หายวับเหลือเพียงเสียงเบาๆ
“แต่มึงจะหิว...”
“กินน้ำไปก่อนก็ได้...” แล้วเจ้าตัวก็หยิบแก้วน้ำที่เดิมเคยเป็นน้ำใบบัวบกแต่บัดนี้ถูกเติมน้ำเปล่าจนเต็มขึ้นมาดื่ม...ดื่มผ่านทางปากแก้ว ทั้งๆที่มีหลอด
เจตน์มองริมฝีปากที่กำลังดื่มน้ำแก้วเดียวกับเขาแล้วก็คันอกยุบยิบ ดวงตาเรียวพยายามอย่างยิ่งที่จะมองไปทางอื่น แต่ไม่รู้ทำไม จุดที่น่าสนใจจุดเดียวคือใบหน้าของปกฉัตรที่กำลังแตะริมฝีปากอยู่กับปากแก้ว ในขณะที่มุมปากยกขึ้นน้อยๆเหมือนกำลังยิ้ม
“ก...แก้วกูนะปก”
“ก็ไม่ได้ดูดจากหลอดนี่นา”
“ต...แต่เมื่อกี้กูกระดกน้ำแข็ง”
ปกฉัตรวางแก้วคืนตรงหน้าเจตน์ทั้งๆที่ยังยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องคนที่ทำเป็นมองไปทางอื่นด้วยหัวใจพองฟู
...พี่ที่กำลังเขินแบบนี้น่ะ น่ารักมาก...
“พี่เรียนบัญชีน่าจะคิดเลขเก่ง บอกหน่อยสิ...ปากแก้วเป็นวงกลมแบบนี้ มีกี่เปอร์เซ็นที่ปากผมจะทับรอยพี่...”
เกิดมาทั้งชีวิต เจตน์ไม่คิดว่าคณิตศาสตร์จะทำให้อกคันหนักขนาดนี้เลย!!!
......................
...พ่ายแพ้หมดสภาพ...
อย่าถามถึงสารรูปตอนนี้เลย เพราะหนุ่มเชื้อสายจีนผู้โผงผางแห่งคณะบัญชีคิดว่าตอนนี้ดีกว่าเมื่อตอนกลางวันมากแล้ว
ไม่รู้ปกฉัตรไปเรียนไอ้วิธีพูดเสียงเอื่อยๆแต่ตาพราวและยิ้มจางๆแบบนั้นมาจากไหน เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่ายิ้มจางๆนั่นหวานเสียจนเขาไม่อยากให้หยุดยิ้มแม้แต่วินาทีเดียว ไหนจะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นที่มองตรงมาที่เขาอีก ประกายระยิบในนั้น...ไม่อยากให้ละไปจากเขาเลย
แต่...ไม่ว่าจะรอยยิ้มหรือสายตา ยิ่งเห็น ยิ่งมองก็ยิ่งคันอกจนแทบบ้า
“มึงเป็นกลากเหรอกเจ๋ง กูเห็นเกาอยู่นั่น!” เสียงของญาติผู้พี่ที่หน้าตาคล้ายกันอย่างกับพี่น้องคลานตามกันมาดังขึ้น เจตน์เหลือบตาไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของเสียงที่เดินผ่านไปยังห้องครัว
“ม่า ผมมาแล้วนะ”
“เล่นกับเจ๋งไปก่อน” เสียงตะโกนตอบกลับมาจากห้องครัวเป็นของหญิงชราเจ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนี้ที่วันนี้ลงมือเข้าครัวเอง แถมด้วยการชักชวนหลานๆให้มาทานแหนมเนืองฝีมืออาม่าด้วย หลานรักรายแรกที่มาร่วมคือคนที่อาม่าเลี้ยงมาเองกับมือ อย่างเจตน์ซึ่งยอมกลับบ้านในวันธรรมดาหลังจากไปส่งปกฉัตรแล้ว ส่วนหลานรักรายที่สองซึ่งถูกอาม่าเลี้ยงมาพร้อมๆกันก็คือเจียระไน
“ม่าให้กูเล่นอะไรกับมึงวะ” หลานรักรายที่สองซึ่งโตเกินกว่าจะเล่นกับญาติผู้น้องหันมาถาม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ดูจะไม่สนใจเจตน์เลยสักนิด
“เฮีย...” แต่เจตน์จะไม่สนใจลูกพี่ลูกน้องรายนี้ก็ไม่ได้ เพราะถือเป็นญาติสนิทที่สุด และเวลานี้...เขาก็ต้องการศิราณีมากๆด้วย
เจียระไนเหลือบตามองเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ก่อนจะลดสายตาลงสนใจโทรศัพท์มือถือของตนเองต่อ
“คือ...เฮียคิดว่าไง ถ้าคนจีบกันกินน้ำแก้วเดียวกัน บ...แบบจงใจด้วยนะ”
ตาเรียวๆของญาติผู้พี่เหลือบมองคนมีศักดิ์เป็นน้องอีกที
“มึงถามเชี่ยอะไรเนี่ย?!”
“ก็...ก็...” เจตน์เองก็ไม่รู้ว่าถามอะไรออกไป
“คนก่อนๆของมึงคงไม่ใช่แค่แดกน้ำแก้วเดียวกันหรอกมั้ง”
“ก็ใช่...แต่...แต่คนนี้ไม่เหมือนคนอื่น...” พอคิดถึงตอนปกฉัตรจรดริมฝีปากกับปากแก้วของเขาแล้วเจตน์ก็คันอกขึ้นมาอีก แถมตอนนี้ยังคำนวณเปอร์เซ็นที่รายนั้นถามค้างเอาไว้ไม่ออกเลย
“ค...คือผมจีบมัน แต่...แต่อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าโดนมันจีบเอาๆ” คนฟังถึงกับชะงัก เพราะนอกจากน้องชายจะมีโอกาสได้จีบแล้ว มันยังกล้าพูดว่าถูกอีกฝ่ายจีบกลับด้วย
...เชี่ยเอ๊ย! อิจฉา!!...
“มึงคิดไปเองรึเปล่า!” สาบานว่าอิจฉาของแท้ เจียระไนเลยหักดิบญาติผู้น้องซะเลย
“ไม่หรอกเฮีย มัน...ดูเงียบๆก็จริง ไม่น่าจะจีบใครเป็น แต่...แต่ยังไงผมก็ว่าเหมือนมันจะจีบผมกลับ...” ฟังๆแล้วเจียระไนชักอิจฉาหนัก เพราะสิ่งที่เจตน์พูดมา ล้วนตรงกับเขาทุกอย่าง
คนที่เขาหมายตาก็เงียบๆ ดูแล้วไม่น่าจะจีบใครเป็น แต่มันต่างกันตรงที่เจตน์ถูกคนแบบนั้นจีบกลับ ส่วนเขา!...อย่าว่าแต่โดนจีบกลับมาเลย! เอาแค่ให้ฝ่ายนั้นรู้ว่าเขาจีบก็ยากแล้ว!!
“กูว่ามึงคิดไปเอง!!” เจียระไนย้ำชัด หน้าตาอิจฉาระดับสิบ เจตน์ชะงัก หันมองคนเป็นพี่ด้วยความงุนงง
“เออ คิดไปเองก็ได้ เฮียจะใส่อารมณ์ทำไมวะ”
“กูเปล่า! แต่กูว่ามึงคิดไปเอง! ก็มึงบอกกูอยู่เมื่อกี้ว่ามึงเป็นคนจีบ! แล้วคนที่มึงจีบจะมาจีบมึงกลับได้ไง! ถ้าเขาจีบมึงกลับก็แสดงว่าเขาก็ชอบมึงน่ะสิ! ถ้าแบบนั้นแม่งก็เป็นแฟนกันไปเลยสิวะ! จะจีบกันไปๆมาๆทำเชี่ยอะไร!!” เจียระไนใส่อารมณ์เต็มร้อยตามประสาคนไม่ประสบความสำเร็จในความรักสักที ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีหายเข้าไปในครัว ได้ยินเสียงโล้งเล้งดังลั่น
“ม่า! ผมหิว! ผมจะช่วยม่าทำ!”
เจียระไนหารู้ไม่...คำพูดประชดประชันเมื่อครู่นี้ราวกับคัมภีร์เบิกเนตรน้องชาย
ถ้าจีบก็แสดงว่าชอบ ถ้าปกฉัตรจีบกลับก็แสดงว่าปกฉัตรก็ชอบ
...เออ! ถ้าต่างคนต่างชอบกัน แล้วจะจีบกันไปจีบกันมาทำไม! เป็นแฟนกันเลยสิวะ ถึงจะถูก!!!...
.............................