ผลประโยชน์ทับซ้อน
By: Dezair
………………….
ตอนที่ 10
ตั้งแต่วันนั้น…วันที่เจตน์แสดงออกถึงความจริงจังและจริงใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขา วันที่เจตน์ไม่สนใจเสียงลือหรือสายตาใดๆ บอกปัดความอึดอัดในใจตนเองแล้วเลือกที่จะนั่งทานข้าวท่ามกลางสายตาคนอื่นๆ เพื่อที่ปกฉัตรจะได้ขึ้นเรียนทันเวลาในคาบบ่าย
เจตน์เลือกเขา
...จะฝากความรู้สึกทั้งหมดไว้กับพี่ได้ใช่มั้ย...
...พี่จะไม่ทิ้งกันไปตอนหลังใช่มั้ย...
“ปก?...ไอ้ปก...” เสียงเรียกดังขึ้นทำเอาคนที่อยู่ในห้วงความคิดสะดุ้งแล้วหันมอง แต่เจ้าตัวไม่หันมองอย่างเดียว เพราะมือที่ถือสายยางรดน้ำต้นไม้หันตามไปด้วย น้ำจากสายยางเลยพุ่งตรงไปที่คนเรียกทำเอาเจ้าตัวร้องว้าก
“เปียก!!” ดิษกรร้องแล้วกระโดดหนี
“โทษๆ! กูไม่ได้ตั้งใจ...” ปกฉัตรรีบกดสายยางลงต่ำ โชคดีว่าระหว่างพวกเขาสองคนคือพุ่มไม้และรั้วเตี้ยๆ น้ำจากสายยางเลยไปถึงดิษกรที่อยู่อีกฝั่งของรั้วไม่มากนัก
“เป็นไรของมึงวะ กูเห็นยืนรดต้นเข็มจนรากจะเน่าแล้วมั้ง”
ปกฉัตรก้มลงมองที่พุ่มไม้ น้ำเจิ่งนองบอกให้รู้ว่าเขายืนรดน้ำตรงนี้มากเกินไปจริงๆด้วย ร่างโปร่งรีบวิ่งไปปิดก๊อก ก่อนจะเดินกลับมาเก็บสายยางสีเขียวๆที่น้ำหยุดไหลไปแล้ว
“มีไรเปล่า ปก หน้าตามึงดูไม่ดีเลย” ดิษกรชักเป็นห่วง
คนถูกถามถอนหายใจเบาๆ มือที่กำลังรวบสายยางดูเหมือนจะล้าแรงขึ้นมาทันที
“กู...กลัว”
เพื่อนร่างใหญ่เหมือนเห็นภาพในอดีต อดีตที่เด็กชายปกฉัตรซึ่งเคยร่าเริงกลายมาเป็นปกฉัตรคนที่ยิ้มน้อยๆและไม่ค่อยแสดงออกทางความรู้สึก
“เดี๋ยวกูไปหา” ดิษกรพูดแค่นั้นก็ใช้สองแขนค้ำรั้วเตี้ยแล้วกระโดดข้ามไปยืนอยู่ในอาณาเขตของบ้านเพื่อนสนิททันที เขาแตะแขนปกฉัตรเบาๆ สัมผัสใบหน้าและซอกคอด้วยหลังมือเพื่อวัดอุณหภูมิ ร่างกายของเพื่อนดูปกติดี แต่ที่ไม่ดี...น่าจะเป็นเรื่องของจิตใจ
“มึงกลัวอะไร ใครทำอะไรมึง เฮียเจ๋งเหรอ”
ปกฉัตรส่ายหน้า ดิษกรเลยดึงไปนั่งที่เก้าอี้ม้านั่งยาวใกล้ๆ เก้าอี้ตัวนี้เก่ามากแล้ว ในอดีตมันดูใหญ่กว่านี้ แต่เวลานี้...เพื่อนสองคนต่างเติบโต มันก็เลยดูเล็กลงไปถนัด แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี...มันก็ยังทำหน้าที่เป็นที่นั่งของปกฉัตรและดิษกรได้อย่างดี
“ดิษ...มึงเคยบอกกูใช่มั้ยว่าเฮียของมึงเป็นคนจริงจัง” เพราะดิษกรนั่งเงียบๆ คนพูดก่อนก็เลยเป็นปกฉัตร
ร่างโปร่งถูมือสองข้างบนใบหน้าตัวเองเหมือนจะเรียกสติ แต่...สติกลับมาได้ยากเหลือเกิน เพราะยิ่งตั้งสติรับรู้ความจริงจังของเจตน์มากเท่าไร ก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น
“เขาจะจริงจังกับกูจริงๆมั้ยวะ กูกลัว...ว่าสุดท้าย...ถึงเขาจะจริงจัง แต่เขาก็จะไปจากกู...”
ปกฉัตรมีครอบครัวที่สมบูรณ์ก็จริง มีบิดามารดาที่รักและเอาใจใส่ก็จริง แต่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่เติบโตขึ้นมากับความเหงาและว้าเหว่สอนให้เขาเรียนรู้ความไม่ยั่งยืน ความรู้สึกที่จริงจัง ความรู้สึกที่หนักแน่น สุดท้ายแล้ว...ก็อาจเหลือเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงเขาที่อยู่ตรงนี้เพียงลำพัง จนต้องสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาเป็นเปลือก ทั้งที่ภายในอ่อนไหวและเปราะบาง
ดิษกรถอนหายใจเบาด้วยความสงสาร เรื่องครอบครัวของปกฉัตร หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใครสักคนก็คงต้องโทษความไม่คุยกันอย่างตรงไปตรงมา โทษคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ โทษคำว่า ‘ดูแลตัวเองได้’ แต่...จะขุดเรื่องในอดีตขึ้นมาหาคนผิด ก็เลยเวลานั้นมามากแล้ว เวลานี้...สิ่งที่ควรทำคือไม่ทำซ้ำเดิมกับที่แล้วมา
“ถ้ามึงไม่อยากให้เขาไปจากมึง มึงก็ต้องบอกเขาตรงๆ เลิกสักทีไอ้คำว่าไม่เป็นไร อยู่ได้หรืออะไรพวกนั้นน่ะ” ดิษกรแนะนำ เขาจิ้มนิ้วกับหน้าอกของเพื่อนรัก
“บอกสิ่งที่อยู่ในใจมึงให้เขารู้ วางสมองลงบ้างเถอะ เรื่องบางเรื่องก็ควรเป็นหน้าที่ของหัวใจอย่างเดียว”
...สมองมีไว้เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุม แต่ไม่ใช่ครอบงำ...
...เพราะเรื่องของความรู้สึก...เป็นเรื่องของหัวใจ...
มันเป็นเรื่องของหัวใจ ที่ควรจะให้หัวใจรับรู้มากกว่าใช้สมองตัดสิน
ปกฉัตรหันมองเพื่อนรักแล้วยิ้มจาง ดิษกรเป็นเพื่อนที่แสนดีที่สุดของเขา เป็นเพื่อนที่เข้าใจเขายิ่งกว่าใคร และเวลานี้ เพื่อนคนนี้ก็คือคนที่เตือนสติให้เขาใช้หัวใจมากกว่าสมอง
“ขอบใจนะดิษ” ดิษกรยิ้ม วางมือลงบนศีรษะของเพื่อนร่างผอมที่ย้ายมาอยู่ข้างบ้านของเขาตั้งแต่เด็กๆ
สมัยก่อนยังตัวเท่าๆกัน แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นเพื่อนไซส์ยักษ์ ในขณะที่ปกฉัตรผอมกะหร่องแบบนี้
“ทำอะไรกัน?!!!” เสียงตะคอกดังลั่นทำเอาคนกำลังเอ็นดูเพื่อนรักถึงกับชะงักชักมือกลับแทบไม่ทัน ก่อนจะเห็นว่าเจ้าของเสียงคือเจตน์ที่ไม่รู้ว่าเข้ามายืนในอาณาเขตบ้านของปกฉัตรตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่รู้คือหน้าหงิกมากกกกกก!!!
“อ...อ้าวเฮีย...มาได้ไงอ่ะ” หนุ่มรุ่นน้องร่วมคณะของคนหน้าหงิกทำเป็นถามตาใสเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด ทั้งๆที่เพิ่งถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าลูบหัวปกฉัตรอย่างแสนจะเอ็นดู!
“เปิดประตูเข้ามา!” คนมาใหม่ตอบกลับ แล้วก้าวฉับๆตรงมาที่เก้าอี้ม้านั่งยาว
“สรุปว่าเมื่อกี้พวกมึงทำไรกัน?!”
ปกฉัตรกับดิษกรมองหน้ากัน ก่อนจะเป็นฝ่ายเจ้าของบ้านเอ่ยเรียบๆ
“คุยกันนิดหน่อย เอ่อ...พี่รอแป๊บนึง ผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย”
เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ที่ปกฉัตรมีนัดทานข้าวกับสายรหัส เจตน์อาสาไปรับไปส่ง ก็เลยมาเห็นฉากเด็ดดิษกรลูบหัวปกฉัตรพอดิบพอดี!
ร่างโปร่งลุกจากม้านั่งเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งเหยื่อตัวใหญ่อย่างดิษกรเอาไว้กับหมีหน้าหงิกที่ตวัดสายตามาจิกจะเอาความจริง
หนุ่มรุ่นน้องทำหน้าหวาด แต่จะลุกหนีก็ไม่ได้ เพราะรุ่นพี่ร่วมคณะยืนกอดอกจังก้าจ้องตาไม่กะพริบ
“บอกกูได้รึยังว่าเมื่อกี้ทำอะไร?!”
ดิษกรกลืนน้ำลายเอื๊อก อยากจะบอกรุ่นพี่ที่เคารพรักเหลือเกินว่าเขากับปกฉัตรน่ะสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล ยิ่งกว่าลูบหัวก็เคยมาแล้ว!
…แต่...รักชีวิตเถอะ อย่าพูดเลยว่านอกจากลูบหัวแล้ว เคยทำอะไรไอ้ปกบ้าง!...
“ก็...ก็ไอ้ปกมันมีปัญหาชีวิตนิดหน่อย”
“ปัญหาอะไร ทำไมมันไม่บอกกู!!”
“เฮียก็ไปถามมันสิ ว่าทำไมมันไม่บอกเฮีย”
“เดี่ยวกูไปถามมันเองว่าทำไมมันไม่บอกกู! แต่ที่กูถามมึงตอนนี้คือกูถามว่ามันมีปัญหาอะไร?!!”
ดิษกรกลืนน้ำลายอีกเอื้อก ไม่รู้จะหาทางเลี่ยงยังไง
...แต่...บอกความจริงก็คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะนอกจากเฮียจะไว้ใจได้แล้ว เฮียยังตั้งใจจีบไอ้ปกอีกต่างหาก...
“เฮีย...รู้ใช่มั้ยว่าพ่อแม่มันอยู่เมืองนอก”
“เออ! แล้วไง?!!”
“ก็...มันก็เลยโตมาแบบเด็กเหงาๆ แล้วทีนี้...มันก็...มันก็กลัวว่าเฮียจะทิ้งให้มันเหงาอีก”
เจตน์ขมวดคิ้วฉับ
“หมายความว่ามันไม่เชื่อใจกูงั้นสิ?! สัด! กูพูดปากเปียกปากแฉะว่ากูจริงจัง! ตามรับตามส่งทุกวัน ใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่ากูอยู่คนเดียวซะอีก! แล้วยังเสือกกลัวว่ากูจะทิ้งมันเนี่ยนะ?!!!” กลายเป็นว่าเจตน์หงุดหงิดไปซะงั้น ดิษกรอ้าปากค้าง ดูท่าเขาจะทำให้เพื่อนซวยซะแล้ว
“เอ่อ...ไอ้ปกมันแค่กลัว มันอยากได้ความจริงจังนะเฮีย แต่...พอได้กลับมามากๆ มันก็กลัวว่าวันนึงจะหายไป อ่า...แต่ถ้าเฮียทำให้มันมั่นใจเรื่อยๆ ผมรับรอง! เพื่อนผมจะไม่กลัวอีกต่อ...ไป...” หนุ่มรุ่นน้องพยายามกอบกู้สถานการณ์ แต่พอโดนเจตน์ตวัดสายตามาจิก คนตัวใหญ่ก็หดลีบ
“เดี๋ยวเพื่อนมึงจะต้องเคลียร์กับกูแน่! กลัวเชี่ยอะไรไม่เข้าท่า!”
เจตน์หมายมาดด้วยหน้าตาหงิกๆตามนิสัย เห็นแล้วดิษกรก็อยากจะส่งซิกแนลบอกเพื่อนรักเหลือเกินว่านอกจากปกฉัตรอาจจะต้องเลิกกลัวความเหงาแล้ว ควรจะหันมากลัวผู้ชายที่เข้ามาทำให้ชีวิตไม่เหงาจะดีกว่า!
......................
เจตน์เป็นคนขับรถมาส่งที่ร้านอาหารที่ปกฉัตรนัดแนะกับสายรหัสเอาไว้ คนที่ยืนรออยู่หน้าร้านคือรุ่นพี่ปีสองร่างป้อม
“คนนั้นพี่รหัสมึงใช่มั้ย” ตลอดการเดินทางที่เงียบเชียบ ในที่สุดคนขับรถก็พูดขึ้นมา
“ครับ พี่ฟาง” เจตน์พยักหน้ารับรู้ ไม่พูดอะไรอีก ปกฉัตรไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธอะไรเขาหรือไม่ แต่นับตั้งแต่ออกจากบ้านเขา เจตน์ก็ไม่พูดอะไรเลย
“เอ่อ...ถ้าเลิกแล้วจะโทร.บอกนะ...” เป็นฝ่ายปกฉัตรพูดก่อน คำแนะนำของดิษกรยังดังอยู่ในหู ให้พูดความรู้สึกจากหัวใจ ไม่ใช่สมอง แม้สมองจะบอกให้เกรงใจ แต่หัวใจ...บอกว่าอยากให้เจตน์เป็นคนมารับ
...ไม่รู้ว่าจะรบกวนมากเกินไปหรือเปล่า แต่...ก็อยากนั่งรถกับพี่อย่างนี้...
“อือ” เจตน์รับคำสั้นๆ
เป็นอันว่าพวกเขาก็ไม่ได้คุยกันอีก ต่างคนต่างเก็บเรื่องที่อยากพูดเอาไว้ก่อน เย็นนี้...ขากลับที่เจตน์มารับ ก็คงมีเวลาได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น
ทว่า...สิ่งที่หวังเอาไว้ไม่เป็นจริง
หลังจากสังสรรค์ทานข้าวกับสายรหัสเสร็จแล้ว พี่ใหญ่สุดในสายที่ชื่ออรรณพก็ไล่ถามรุ่นน้องรายตัวว่าแต่ละคนกลับอย่างไร
“รถเมล์” พี่ปีสามที่ชื่อสิตางศุ์ตอบด้วยหน้าตาซื่อๆ
“สัด กลับรถเมล์ แค่ยืนอยู่ที่ป้ายมึงก็โดนสอยแล้วมั้ง ไม่ต้องเลย เดี๋ยวกูไปส่ง” อรรณพตัดบท คนจะนั่งรถประจำทางกลับทำท่าเหมือนจะค้าน แต่พี่ซีเนียร์หันไปทางหญิงสาวคนเดียวของสายรหัสสายนี้แล้ว
“แล้วเราล่ะ ฟาง”
พี่ปีสองร่างเล็กป้อมอย่างทิฆัมพรยิ้มกระมิดกระเมี้ยน “อยากกลับรถโฟร์วีลค่ะ พี่เวฟ”
“เออ ไปรถพี่” เจ้าของรถโฟร์วีลบอก ก่อนจะหันมาที่คนสุดท้าย...ปกฉัตร ปีหนึ่ง
“แล้วเรากลับไง ปก”
“เดี่ยวผมโทร.ให้คนมารับครับ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปส่ง”
“แต่ว่า...” ปกฉัตรจะค้าน ทั้งเกรงใจ ทั้งอยากให้เจตน์มารับ
“มึงจะให้คนมารับทำไม เสียเวลา เปลืองน้ำมัน รถกูจอดอยู่หน้าร้าน เดี๋ยวกูขับไปส่งรายคน”
“ตามใจลุงเขาหน่อยปก ลุงเขาขี้เหงาเอาแต่ใจ ชอบบริการน้องๆ” ทิฆัมพรบอกพร้อมรอยยิ้ม
“เออ รู้ว่าขี้เหงาเอาแต่ใจ ก็ตามใจด้วย! มึงโทร.ไปบอกคนที่จะมารับว่าไม่ต้องมา เดี๋ยวกูไปส่งให้เอง บอกเขาว่าไม่ต้องห่วง กูขับรถดี ไม่ซิ่ง ไม่แว้น”
“พี่เวฟขับรถดี สุภาพ มีน้ำใจสุดๆเลย ถ้าเห็นคนยืนรอข้ามทางม้าลายนะ พี่เวฟจอดจนคันหลังแทบชนตูดมาแล้ว” สิตางศุ์ช่วยสนับสนุนอีกแรง เล่นเอาคนขับรถสุภาพต้องเหล่ตามองน้องรหัสผิวขาวที่สุดในบรรดาสามคน
“นี่มึงชมกูใช่มั้ยไอ้โซ่”
“ชมสิ ไม่มีใครขับรถได้อย่างพี่เวฟสักคนนะ”
“ทำไมกูไม่ดีใจเลยเนี่ย” อรรณพบ่น น้องรหัสหัวเราะสดใสแต่ไม่วายหันไปกำชับกับน้องปีหนึ่งอย่างปกฉัตรให้มั่นใจ
“ปกไม่ต้องห่วงนะ บอกคนที่จะมารับด้วยว่าไม่ต้องห่วง พี่เวฟขับรถดีจริงๆ” พอถูกพี่ๆคะยั้นคะยอให้กลับด้วยกันโดยรถโฟร์วีลของพี่ปีสี่ ปกฉัตรก็ค้านต่อไม่ออก เขาได้แต่พยักหน้าก่อนจะขอตัวไปโทรศัพท์บอกเจตน์ คราวนี้...เจตน์ไม่ว่าอะไรเลยที่เขาจะกลับรถของคนอื่น นอกจากรับคำว่า ‘อือ’ แล้วก็ตัดสายไป
ความกลัวแล่นพล่านอีกครั้ง ปกฉัตรได้แต่กลืนน้ำลาย จิกเล็บลงกับมืออย่างไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี
...............................
เจตน์หายเงียบไปนับตั้งแต่ที่ปกฉัตรโทรศัพท์ไปบอก แล้วพอถึงบ้าน เขาส่งข้อความไปแจ้งอีกครั้งว่าถึงแล้ว ข้อความก็ไม่ถูกอ่านด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเงียบ...ไม่มีสัญญาณใดๆจนคนกลัวยิ่งหวั่นใจ
ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนเตียง เส้นผมชื้นๆหลังสระถูกขยี้ด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือโทรศัพท์มือถือของตัวเองเอาไว้ บนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว
ทุกๆวัน เวลาแบบนี้ จะมีใครบางคนโทร.มาชวนเขาคุย แต่...วันนี้ ใครคนนั้นหายเงียบไป
…ความกลัวกำลังมาเยือน ความกลัวจากการถูกทิ้งกำลังครอบงำจิตใจ...
...โดนทิ้งเหรอ?...
...พี่กำลังอยู่กับคนอื่นรึเปล่า?...
...หรือว่า...พี่อาจจะไม่สบาย?...
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมเจตน์ถึงเงียบ สุดท้ายเลยตัดสินใจกดโทร.ออกหาเบอร์ล่าสุดที่เขาเพิ่งโทร.ไปหาเมื่อตอนเย็น
เขานั่งฟังเสียงสัญญาณรอสายเหมือนใจเย็น ทั้งๆที่ในสมองมีความคิดมากมายวิ่งวนเต็มหัว
รอจนกระทั่ง...
‘ฮัลโล...’
ถึงแม้จะเป็นฝ่ายโทร.ไปหาเอง แต่พอได้ยินเสียงคนรับที่คุ้นเคย ปกฉัตรก็ถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ไม่ทันจะพูดอะไรตอบกลับไป เสียงจากปลายสายก็ดังมาอีก
‘ฮัลโล! โทร.มาไม่พูด! คิดจะหาเรื่องกวนตีนกูรึไง?!’
“เอ่อ...เปล่า...ผม...ผม...เอ่อ...พี่ว่างรึเปล่า”
‘ไม่ว่างกูจะรับทำไม?!’
“ก็...” ปกฉัตรพูดไม่ออก เขาปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่นานก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย แล้วตามมาด้วยคำพูดสั้นๆ
‘แบตกูจะหมด!’
“อ้าว เหรอ งั้น...” ปกฉัตรไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในเมื่ออีกฝ่ายจะต้องวางสายแล้ว ทั้งๆที่อยากคุย อยากสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองด้วยเสียงของเจตน์ แต่...เจตน์ต้องวางสายแล้ว
‘ให้กูไปหามั้ย?!’ คำถามประโยคต่อมาทำเอาร่างโปร่งนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบกลับไป
“ปกติไม่เห็นเคยถาม”
‘ปกติมึงก็ไม่เคยโทร.หากูแล้วไม่พูดอะไรเหมือนกัน!’ คนโทร.ไปหาเงียบไปอีกหน เขารู้ว่าต่างคนต่างไม่ปกติ โดยเฉพาะเจตน์ที่ไม่พูดไม่จาไม่ติดต่อเขาเลย
“ถ้าพี่ว่าง...”
‘ถ้ากูไม่ว่าง กูไม่รับโทรศัพท์มึงตั้งแต่แรกแล้ว! รอเปิดประตูบ้านให้กูแล้วกัน เดี๋ยวกูไปหา!’
แล้วสายก็ถูกตัดไป ปกฉัตรได้แต่ลดโทรศัพท์ลงมามอง ก่อนจะลุกขึ้นเดินลงไปที่ชั้นล่าง
บ้าน 2 ชั้นที่ทั้งเงียบและวังเวงถูกเปิดไฟสว่างโร่อีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง รถหรูคุ้นตาก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้ว เจ้าของบ้านเดินออกไปเปิดประตูให้แขกผู้มีเกียรติยามวิกาลที่หันมาทักทายด้วยคำพูดห้วนๆ
“กูหิว มีอะไรให้กูกินมั่ง!”
.................................