Episode 24
คุณยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเรา
แต่คุณหันหน้าให้เขา
แล้วหันหลังให้ผม เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ธงทัพได้หยุดงานอย่างคนปกติ ผมรู้วันหยุดมีค่าสำหรับมันมาก แต่ก็จำเป็นต้อง เบียดเบียนวันหยุดด้วยการลากมาช่วยย้ายของเข้าที่พักใหม่ตั้งแต่เช้า ผมขนของบางส่วนและเข้ามาจัดห้องหลายครั้งแล้ว แต่ธงทัพเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง สายตาที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของห้อง พาให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่มองไปรอบๆ
"คราวที่แล้วมันมีอันนี้ด้วยเหรอวะ" ว่าแล้วก็เดินไปที่ชั้นวางของขนาดใหญ่ที่ตั้งชิดกับผนังห้องเอาไว้
"กูซื้อมาเอง ประกอบเองด้วย"
ผมพูดอย่างภาคภูมิใจ เพราะใช้เวลาประกอบชั้นวางนั่นด้วยตัวเองถึงสองวัน ตั้งใจใช้มันเป็นชั้นวางหนังสือและของสะสมของธงทัพ คนข้างๆ เลื่อนสายตากลับไปมองชั้นนั้นแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม
"ที่จริงรอให้กูมาช่วยก็ได้นี่"
"แล้วชอบป่ะ"
"ชอบ ขอบคุณนะ"
จบคำขอบคุณก็ยื่นริมฝีปากมาแตะกับปากผมเบาๆ หนึ่งที แล้วหันไปจัดของต่อ ธงทัพเริ่มจากโมเดลบ้านที่ประคับประคองออกมาจากกล่องอย่างดี แล้วหันไปทางนั้นที ทางนี้ที เพื่อหาพื้นที่สำหรับวางมันก่อนจบลงบนโต๊ะข้างเตียงนอน ได้ที่พอใจก็หันไปหยิบของชิ้นอื่นออกจากกล่อง เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือและหนึ่งในนั้นเป็นเล่มที่ผมซื้อให้ ซึ่งยังไม่ได้อ่าน จริงๆ มันยังไม่ได้แกะพลาสติกห่อออกเลยด้วยซ้ำ จึงอดท้วงไม่ได้
"ที่กูซื้อให้ ไม่ชอบเหรอ"
"ยังไม่ได้อ่านจะรู้ได้ไง"
"แล้วทำไมไม่อ่านอะ"
"ไม่มีเวลา"
"โกรธแล้ว"
"โกรธอะไรเล่า! ทีกูซื้อให้มึงเป็นสิบเล่ม เคยอ่านบ้างป่ะ"
"แต่กูเก็บไว้อย่างดีเลยนะ"
"กูก็เก็บอย่างดี เดี๋ยวคืนนี้นอนกอดเลย" ธงทัพจับหนังสือเล่มนั้นแยกเอาไว้บนเตียง ก่อนหยิบของอีกชิ้นออกมาจากกล่อง เห็นว่าเป็นปืนผมจึงนิ่งไปนิดหนึ่ง ปืนกระบอกนั้นถูกวางทับลงบนหนังสือขณะที่สายตาของผมยังมองมันอยู่ กระทั่งธงทัพหันมาเห็น
"มองอะไร"
"ปืนมีกระสุนหรือเปล่า"
"มีดิ"
"แล้วทำไมต้องมีปืนด้วย"
"พ่อให้ไว้ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน กูก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องใช้หรอกนะ"
"เก็บเถอะ กูกลัว"
"กลัว?"
ผมพยักหน้ารับ ธงทัพจึงหยิบทั้งปืนทั้งหนังสือยัดใส่ลิ้นชักข้างเตียงให้พ้นจากสายตาผม ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงคิดว่ามันไม่ควรอยู่ตรงนี้อยู่ดี
ผ่านไปครึ่งวัน ข้าวของในห้องก็เริ่มอยู่เป็นที่เป็นทาง คืนนี้เราคงนอนที่นี่ได้ ขณะที่ธงทัพยังวุ่นกับการจัดของอยู่ ผมจึงเสนอตัวลงไปขนของที่เหลือในรถเอง แต่กลับขึ้นห้องไม่ได้เพราะลืมเอาคีย์การ์ดลงมาด้วย ผมนั่งรออยู่ที่หน้าประตูเผื่อมีใครเปิดออกมา แต่เป็นสิบนาทีที่เงียบงันกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดาว่าเป็นธงทัพโทรมาตาม
(ทำไมลงไปนานจังอะ มีอะไรเปล่า)
"ลืมคีย์การ์ด เข้าไม่ได้"
(เอ้า! แล้วไม่โทรมาวะ)
"ก็คิดว่าจะรอ..." สายถูกกดวางไปก่อนที่ผมจะพูดจบ ธงทัพน่าจะกำลังลงมาเปิดประตูให้ ผมจึงขยับไปยืนรอที่หน้าประตู แต่ระหว่างนั้นลูกหมาที่กำลังเดินมาทางนี้ก็ดึงความสนใจของผมไป ผมมองหมาตัวนั้นที่หน้าตาคล้ายๆ น้ำตาล หมาของธงทัพที่ชลบุรี แต่เจ้านี่ตัวเล็กกว่าหน่อย เมื่อผมนั่งลงและยื่นมือไปหา มันก็ยื่นจมูกมาดมก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ท่าทางเชื่องๆ นั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ถ้าธงทัพเห็นน่าจะชอบมัน
ครู่เดียวที่ผมนั่งรอธงทัพ ประตูก็ถูกเปิดออก ผมจึงรีบยืนขึ้น แต่คนที่เปิดประตูออกมากลับไม่ใช่ธงทัพ แต่เป็นคนที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่นตอนเห็นหน้า
นาวี...
ผมไม่ทันได้เอ่ยชื่อคนตรงหน้า ธงทัพก็เปิดประตูออกมาอีกคน เกิดเป็นความสับสนและงุนงงในตอนที่เราสามคนมองหน้ากันไปมา ผมเลื่อนสายตามองนาวีที่เดินออกมาจากตึกนี้ ผมเดาเอาว่าเขาคงอยู่ที่นี่ และเพื่อให้คลายความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ
"มึงอยู่ที่นี่เหรอ"
"อือ แล้วมึง..."
"พวกกูเพิ่งย้ายมา" ธงทัพตอบแทน ในตอนที่ผมกำลังพูดอะไรไม่ออก เป็นความอึดอัดที่พุ่งเข้าใส่จนเราต่างคนต่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ นาวีจึงขอตัวออกไปก่อน ผมเดินตามธงทัพขึ้นห้องท่ามกลางความเงียบ
"ธงทัพ"
"ฮึ?"
"กูก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่านาวีมันอยู่ที่นี่"
"อืม"
"มีอะไรกูก็บอกมึงทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้กูไม่รู้จริงๆ นะธงทัพ"
"กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไร"
ธงทัพหันมาบอก แต่ผมก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี ครั้งนี้ความบังเอิญทำเกินไปจนผมอยากจะร้องไห้ อาจเป็นผมเองที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ภายใต้อารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองผมก็ไม่รู้จะจัดการมันยังไง แต่ผมอยากให้ธงทัพเข้าใจ...
"แค่อยากให้มึงเข้าใจ" ...
"น้องภู กลับบ้านกัน"
"ครับ" ผมตอบรับพี่ที่เข้ามาเรียก ก่อนปิดคอมพ์แล้วหยิบกระเป๋าเดินตามพวกเขาออกไป บทสนทนาหลังเลิกงานของพนักงานออฟฟิศคือการแลกเปลี่ยนความคิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี แม้ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดมากนักในบทสนทนา แต่ก็คอยฟังความคิดเห็นที่นำเสนอเมนูใหม่ๆ อยู่ตลอด เพื่อเป็นแนวทางสำหรับมื้อเย็นของตัวเองเช่นกัน
"พี่ๆ นั่นไง อินทีเรียที่มารีโนเวทออฟฟิศเรา"
"ไหนๆ พี่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ สักที"
"นั่นไง เสื้อดำ ค่อยๆ มอง เดี๋ยวเขารู้ตัว"
หัวข้อของบทสนทนาเปลี่ยนไปกะทันหัน ในตอนที่ทุกคนพร้อมใจกันหันมองคนที่กำลังยืนก้มหน้าก้มตาดูกระดาษอะไรสักอย่างอยู่ในมือ จนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของคนตรงนั้น แต่ผมต้องเลี่ยงสายตาไปทางอื่นแทนเพราะคนที่กำลังถูกมองนั่นคือนาวี
คนที่ผมรู้จักดีแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้
ผมเคยคิด หลังจากที่เราได้ให้อภัยกันและกัน เราจะทักทาย ยิ้มให้และเรียกชื่อกันโดยไม่ต้องหลบเลี่ยง แต่เรื่องพวกนั้นกลายเป็นฝันที่ผมต้องลืมมันไป ตั้งแต่วันนั้น ผมก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอนาวีอีกเลย หากบังเอิญเดินผ่านมาเจอกัน นาวีก็จะเดินจากไปโดยไร้ซึ่งบทสนทนาหรือว่าทักทาย ทำเหมือนเราไม่รู้จัก คล้ายว่ากำลังเอาชนะความบังเอิญด้วยการตั้งใจหลบหน้ากัน ด้วยการกระทำของนาวี เขากำลังย้ำชัดอย่างที่เคยบอก...ว่าเราสองคนไม่ควรพบกันอีก
"ผมกลับก่อนนะครับ" ผมบอกลาพวกเขาแล้วเดินออกมาก่อน กำลังหยิบมือถือโทรหาธงทัพเพื่อถามถึงอาหารเย็น
"ภูผา"
ผมหันมองเสียงที่เรียกจากด้านหลัง พร้อมกับกดวางสายโทรศัพท์ที่ธงทัพยังไม่ทันกดรับ เมื่อหันไปเจอเจ้าของเสียง
"ลุงวุธ..." ผมยกมือไหว้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ทันคิดสงสัยว่าลุงวุธมาหาผมด้วยเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน
"ลุงขอคุยด้วยหน่อยสิ เรื่องเรากับธงทัพ"
"ครับ" ผมตอบรับไม่เต็มเสียง ก่อนลุงวุธจะเข้าเรื่องเลยทันที
"ลุงอยากให้เราคิดใหม่นะ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างธงทัพ ลุงว่าเราสองคนเหมาะที่จะเป็นพี่น้องกันมากกว่า เป็นอย่างเดิมก็สบายใจดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าทำให้มันมากเกินไปกว่านี้เลยนะ ลุงไม่เห็นด้วย"
"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
นั่นคือคำโต้แย้งคำเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้
"ลุงรู้มันไม่ผิด แต่อยากให้คิดดีๆ ภูผาคิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าสมมติมันต้องหยุด ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกกัน วันนั้นภูผาจะไม่เหลือใครเลย รู้ตัวใช่ไหม เป็นพี่น้องกันมันก็ดีอยู่แล้ว อย่าดื้อเลย ลุงกำลังเป็นห่วงนะ"
"ไม่ใช่..."
"..."
"ลุงแค่ไม่ชอบผม"
"ภูผา มันไม่ใช่แบบนั้น"
"ผมได้ยินลุงคุยกับธงทัพหมดแล้ว ผมรู้ ลุงไม่ชอบผม แต่ผมเปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ได้แล้ว ผมรักธงทัพไปแล้วครับ"
"ลุงเตือนแล้วนะภูผา กลับตัวตอนที่ยังไปไม่ได้ไกล มันจะได้ไม่เจ็บปวด"
ลุงวุธพูดแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ผมหยุดเขาเอาไว้ก่อนด้วยการรีบก้าวเท้าไปขวางทาง ปกติผมไม่ค่อยกล้าโต้เถียงอะไร แต่วันนี้ผมยอมง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ รู้เพียงว่าต้องพูดให้ชัดถึงความในใจของตัวเอง
"ผมรักธงทัพครับ"
"..."
"ผมก็รักธงทัพอย่างที่ลุงเคยรักแม่ผม ลุงน่าจะเข้าใจ ต่อให้คนอื่นไม่เห็นด้วย ต่อให้ใครสั่งให้เราเลิกกัน ต่อให้มีคนอีกกี่ล้านคน ผมก็ยังจะรักธงทัพอยู่ดี"
"..."
"ผมขอโทษครับ"
ลุงวุธเดินออกไปหลังจากที่ผมพูดจบ แม้ผมจะได้พูดในสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย ผมยอมรับ ความหนักแน่นของผมสั่นคลอนด้วยคำพูดของลุงวุธ และผมไม่อาจละทิ้งข้อเท็จจริงที่ว่า หากธงทัพปล่อยมือผม...ผมก็จะไม่เหลือใครเลย
ทุกอย่างกลายเป็นภาพนิ่งเมื่อความคิดของผมหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน จึงทิ้งตัวเองให้นั่งลงที่ขั้นบันไดหน้าตึก
"ภูผา"
ผมเงยหน้ามองเสียงเรียกนั่นก่อนพบว่าเป็นนาวี
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
"..."
"ทำไมมานั่งตรงนี้"
ความว่างเปล่าในหัวถูกแทนที่ด้วยภาพจำจากอดีตที่ปรากฏชัด หลังจากมองหน้านาวี ผมพลันคิดถึงเรื่องราวในคราวนั้น แม่เคยไปหานาวีแล้วพูดแบบนี้เพื่อให้เราเลิกกันใช่ไหมนะ...แล้วนาวีตอบแม่ไปว่ายังไง...
"ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ภูผา"
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนนาวีจะนั่งลงข้างๆ เว้นระยะห่างให้พอมีช่องว่าง เราต่างคนต่างเงียบ ความคิดและอดีตเลือนหายไป เหลือแต่ปัจจุบันที่กำลังเผชิญ ผมหมดเรี่ยวแรงที่จะปิดบังความรู้สึก จึงบอกกับนาวี
"กูเหนื่อย"
"..."
"แค่เหนื่อยน่ะ"
"ไม่เป็นไรนะ"
นาวีโต้ตอบด้วยคำปลอบโยนสั้นๆ และไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
"รอนี่นะ อย่าไปไหน"
ผมไม่ทันได้ถาม นาวีก็เดินออกไปจากตรงนี้แล้วตรงเข้าร้านกาแฟหน้าตึกไป ตอนที่เสียงมือถือผมดังขึ้นพอดี จึงละความสนใจจากนาวีแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อที่หน้าจอ
ธงทัพ ผมดึงสติกลับเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนจะกดรับสาย
"ว่าไง"
(มึงนั่นแหละว่าไง โทรมา กูรับไม่ทัน)
"อ๋อ เออใช่ กูโทรไปเอง"
(เป็นอะไรป่ะเนี่ย)
"เปล่า จะถามว่าเย็นนี้กินอะไร ให้ซื้อไปเลยไหม"
(เออ ลืมบอก วันนี้คงกลับดึกหน่อย)
"ทำงานเหรอ"
(วันนี้วันเกิดไอ้ปอ หัวหน้าจะพาไปเลี้ยงข้าวทั้งแผนกเลย กูเลยต้องไปด้วย มึงกินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอนะ)
"อ๋อ โอเค"
(แล้วนี่กลับห้องยัง)
"ยังเลย"
(กลับได้แล้ว)
"ธงทัพ เมื่อกี้กูเจอ..."
ผมลังเลที่จะบอกธงทัพเรื่องลุงวุธ คำพูดจึงหยุดชะงักกะทันหัน กระทั่งธงทัพถามซ้ำกลับมา
(เจออะไร)
"เจอ...นาวี"
(แล้วยังไง)
"แค่อยากบอก"
(เออ กลับห้องได้แล้ว เดี๋ยวเจอกัน)
ผมตัดสินใจไม่บอกธงทัพเรื่องลุงวุธ ขอต่อเวลาในความสำพันธ์ด้วยการแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสักครั้งหนึ่ง ผมจะทนเอาไว้และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ธงทัพจะตัดสินใจยังไง จะยังยืนยันคำเดิมอยู่ไหม อย่างที่เคยบอกเอาไว้...
ว่าจะไม่ปล่อยมือกัน
เมื่อผมวางสายจากธงทัพ นาวีก็เดินกลับมาหาพอดี ยื่นเครื่องดื่มที่เข้าไปซื้อในร้านนั่นส่งให้ ผมยอมรับช็อกโกแลตเย็นแก้วนั้นมาดื่ม ก่อนนาวีชวนผมขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้หน้าตึก ดีกว่าเกะกะอยู่ตรงบันได
"ช็อกโกแลตทำให้อารมณ์ดีขึ้นไหม"
"ไม่ได้กำลังอารมณ์เสียซะหน่อย"
"ไม่รู้ เห็นทำหน้าบูด"
"ปกติ"
"เหมือนเดิมเลยเนอะ"
ผมหันมองนาวี ไม่เข้าใจว่าอะไรที่เขาบอกว่ามันเหมือนเดิม ด้วยใบหน้าที่กำลังสงสัยของผม นาวีคงเดาได้ถึงคำถามเลยขยายความให้เข้าใจ
"แก้มมึง"
วินาทีที่เราสบตากัน ผมไม่ได้หลบตา ซ้ำยังมองกลับอยู่อย่างนั้น และในวินาทีเดียวกัน นาวียกมือขึ้นแตะแก้มผมด้วยปลายนิ้ว สัมผัสแผ่วเบาจากมือเย็นเฉียบเรียกสติเรากลับมา ผมขยับใบหน้าหนี นาวีรีบดึงมือตัวเองกลับไป เราต่างคนต่างนิ่ง ก่อนนาวีจะเอ่ยบางคำแทรกผ่านความเงียบ
"ขอโทษ"
คำขอโทษบอกให้รู้ว่านั่นคือความพลาดพลั้ง...ไม่ได้ตั้งใจ
"กูว่า กูกลับก่อนดีกว่า" ผมว่าแล้วลุกขึ้น กำลังจะก้าวเท้าออกมาแต่นาวีดึงมือผมเอาไว้ก่อน
"ภูผา"
"..."
"เรื่องที่กำลังเหนื่อยอยู่"
"..."
"อดทนไว้นะ"
ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แกล้งพูดว่าไม่เป็นไร พูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นอะไรเพื่อย้ำให้สมองเชื่อว่าตัวผมจะไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายความเข้มแข็งก็ล้มเหลวเฉียบพลัน ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ จึงปล่อยมันไหลออกมาต่อหน้านาวี
"ไม่เป็นไรนะ"
ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นาวีต้องเจอ มันจะเจ็บปวดขนาดนี้ ตอนนี้อยากขอบคุณที่นาวีกำลังปลอบโยน...
และขอโทษที่เคยไม่เข้าใจ ...
พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า แต่คืนนี้กลับนอนไม่หลับ เรื่องที่กำลังกวนใจก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าคือธงทัพยังไม่กลับ เข็มนาฬิกาขยับผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผมโทรหาสองครั้งแต่ไม่มีการตอบรับ ผมรู้ว่างานวันเกิดของปอคงไม่จบที่ร้านข้าว อาจจะพากันไปเมาต่อที่ไหนสักแห่ง แม้รู้ดีว่าธงทัพมันไม่กินเหล้า แต่ถ้ามันยังกลับไม่ถึงห้องก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมตัดสินใจโทรหาอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายกดรับ แต่ไม่ใช่เสียงธงทัพ
(ภูผา นี่พี่แต้มนะครับ)
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อหัวหน้าของธงทัพมารับโทรศัพท์แทน
"ธงทัพล่ะครับ"
(เมาเละเลย)
"ธงทัพเนี่ยนะครับ"
(เออ ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน เมาไม่ยอมกลับบ้านเลย ภูมารับมันกลับไปทีได้ไหม)
"ครับ ได้ครับ"
หัวหน้าธงทัพบอกสถานที่ที่ผมต้องไป เมื่อคว้ากุญแจรถได้ก็รีบตรงไปที่นั่นเลย ร้านเหล้ายังเปิดให้บริการแม้จะดึกมากแล้ว ผมกวาดสายตามองหา ก่อนเห็นปอที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าร้าน ใกล้ๆ กันคือธงทัพ และคนในออฟฟิศ เพราะเสียงเพลงจากในร้านไม่ได้ดังมาก ผมจึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาตอนที่เดินเข้าไปใกล้ แต่ยังไม่มีใครหันมาเห็น
"กูไปห้องน้ำแป๊บ"
"ผมไปเป็นเพื่อนไหมพี่ทัพ"
"ไม่ต้อง กูเยี่ยวคนเดียวได้"
"เดินยังไม่ไหวเลย กลัวว่าพี่จะล้มหัวแตกอะดิ"
"กูไหว ไม่ต้องห่วง รอนี่"
ธงทัพเดินไปอีกทางก่อนที่ผมจะเดินถึง ผมควรเดินเข้าไปหา แต่สองขาผมกลับหยุดนิ่งเพราะบทสนทนาต่อจากนั้น
"เป็นห่วงกันจังเลยนะมึงสองคนเนี่ย"
"ก็ผมไม่เคยเห็นพี่ทัพเมาเลย"
"ตามไปดูมันสิ"
"ไม่เอาอะ เดี๋ยวโดนด่า"
"ฉันไม่เห็นมันจะเคยด่าอะไรแก ทั้งๆ ที่ปากมันหมาขนาดนั้น"
"โดนบ่อยจะตาย พี่ไม่ได้ยินเองต่างหาก"
"แต่นี่พูดตรงๆ นะ ฉันเคยนึกว่าพวกแกสองคนเป็นแฟนกันซะอีก"
"ไม่ใช่นะครับ"
"ก็รู้ว่าไม่ใช่ แต่เคยคิดไง เวลาทำงานก็โต๊ะติดกัน เวลากินข้าวก็ตัวติดกัน เวลาแกโดนพี่แต้มด่าทีไรก็ร้องไห้วิ่งหาไอ้ทัพก่อนเลย ถ้าไม่รู้ว่าไอ้ทัพมันมีภูผาอยู่แล้ว ฉันคงคิดไปไกลกว่านี้"
"พูดมาเลยไอ้เป็ด จริงๆ มึงชอบไอ้ทัพใช่ไหมล่ะ"
"พูดอะไรของพี่"
"ไม่ปฏิเสธซะด้วย"
"พี่แต้มครับ ไม่เล่นแบบนี้สิ"
"มึงพูดไปเหอะ มันไม่ได้ยินหรอก"
"พี่ทัพเขาก็ใจดีกับทุกคนแหละ ไม่ใช่กับผมคนเดียวซะหน่อย"
"มันใจดีกับทุกคน แต่มึงเป็นคนเดียวที่หวั่นไหวใช่ไหมล่ะ"
"พี่แต้มครับ!"
"มึงคิดว่าคนอื่นเขาจะดูไม่ออกหรือไงว่ามึงชอบมัน"
"พี่ทัพเขามีแฟนอยู่แล้วนะ"
"มึงถึงได้อกหักไง"
"ก็ใช่ไง! พอใจหรือยัง!"
"เฮ้ย ใจเย็น"
"พวกพี่อย่าบอกพี่ทัพนะ ผมจะอกหักให้เงียบที่สุดเลย"
"ตัดใจซะ ไอ้เป็ดเอ๊ย"
ตอนนี้ความคิดในหัวกำลังโต้เถียงกันว่าผมควรรู้สึกยังไงดีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น เหมือนจะโกรธ แต่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่พอใจ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น
หึงมั้ง...
ผมรอให้หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปหา ในตอนนั้นธงทัพก็เดินกลับมาพอดี
"ภูผา"
ธงทัพเรียกชื่อผมเสียงดังก่อนเดินเข้ามาหา แต่ดูเหมือนว่าความมึนเมาจะทำให้สองขาจะพากันทรยศไม่รู้ทิศทาง ก้าวมาไม่ทันถึงก็เซจนเกือบล้ม แต่ปอที่อยู่ข้างๆ รับร่างเอาไว้ได้ทัน ธงทัพใช้ทั้งสองมือโอบกอดปอเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม
"ไหวไหมครับ"
"ไม่ไหวว่ะ ภูผา มากอดหน่อย" ธงทัพผละตัวออกมาจากปอแล้วกอดผมเอาไว้แทน ผมเผลอมองหน้าปอ ตอนที่ปอมองมาพอดีเช่นกัน ปอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ผมรู้สึกอึดอัดแปลกๆ
"พี่ภู พาพี่ทัพกลับเถอะครับ"
ผมพยักหน้ารับแล้วพาธงทัพออกมาจากตรงนั้น เมื่อพ้นจากสายตาคนอื่น ผมจึงเอ่ยถาม
"ทำไมเมาอะ"
"กินเหล้าไง" ตอบแบบขอไปที แล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งรอ ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ก่อนขับออกมาจากร้าน
"นอนไปเลยก็ได้นะ ถึงแล้วจะเรียก"
"ไม่ได้ง่วง" ธงทัพเถียงเสียงแข็ง ทั้งที่ใบหน้าดูอ่อนล้าพร้อมจะหลับขนาดนั้น
"ทำไมถึงกินเหล้า ปกติไม่เคย"
"วันเกิดไอ้ปอไง"
"เกี่ยวกันยังไง"
"ก็วันเกิดมันแต่มันไม่อยากกิน กูก็เลยกินแทน อีกอย่าง กูก็แค่อยากลองเมาดู"
"แล้วมันดีไหมล่ะ"
"เมาๆ ให้ลืมอะไรไปบ้างก็ดี"
"มึงหมายถึงอะไร"
"ไม่รู้เว้ย! เอาเป็นว่า กูกินเพราะเป็นวันเกิดไอ้ปอ แค่กินกับน้องมันสนุกๆ ไง มึงจะถามเอาอะไรวะเนี่ย!"
"ทำไมต้องโมโหด้วย"
"ทีมึงยังอารมณ์เสียเลย"
"กูไม่ชอบที่มึงพูดถึงแต่ปอ"
"กูก็ไม่พอใจเวลามึงอยู่กับไอ้นาวีเหมือนกันแหละ"
การถกเถียงเล็กๆ น้อยๆ จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เริ่มบานปลายเมื่อเราคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ได้ทั้งคู่ ผมพยายามที่ตั้งสติเพื่อหยุดการทะเลาะกัน แต่ธงทัพไม่จบ
"เมื่อเย็นมึงก็อยู่กับมันนี่"
"มึงก็รู้ว่ามันไม่มีอะไร"
"แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้นาวีมันไม่มี มึงกล้าพูดไหมว่ามันไม่ได้ล้ำเส้น"
"มีอะไรกูก็บอกมึงหมดทุกอย่าง กูไม่ได้โกหกมึงเลย"
"มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะโกหกหรือพูดความจริง กูแค่อยากรู้ว่าทำไมมึงยังเจอกับมันอยู่อีก"
"ก็กูบอกแล้วว่าไม่มีอะไร"
"เป็นมึงจะคิดไหมว่ามันไม่มีอะไร มึงเป็นแฟนเก่ามันนะเว้ย! มีใครที่ไหนเขากลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้บ้างถามจริงๆ เหอะ มึงยังรักมันอยู่หรือไง!"
"มึงจะบ้าเหรอธงทัพ!"
"กูก็ไม่ได้อยากคิดมาก แต่มึงต่างหากที่ทำให้กูไม่ไว้ใจ!"
"กูคิดว่ามึงจะเข้าใจ"
"กูเข้าใจ! แต่กูไม่ชอบ!"
ผมเบรกกะทันหันเพื่อจอดรถที่ริมทาง เพราะคิดว่าขับไปทั้งๆ ที่ใจร้อนเป็นไฟแบบนี้ไม่ไหว ผมรู้ธงทัพไม่มีสติ เพราะอาการมึนเมาทำให้มันพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่คิด หากแต่ว่าคำพูดพวกนั้นมันคือความจริงที่ไม่เคยเอ่ยปากบอก ธงทัพสะสมมันแล้วระเบิดออกมา ทุกอย่างจึงรุนแรงไปหมด
"มึงก็ควรจะเข้าใจกูบ้างนะภูผา"
"กูรักมึงนะธงทัพ"
"แต่กูเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่ามึงรักกูจริงๆ..."
"..."
"หรือมึงแค่ย้ำให้ตัวเองเชื่อแบบนั้น"มีต่อด้านล่างนะคะ