♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 26
ตั้งแต่น้องรหัสของผมเริ่มคบหากันในสถานะ ‘คนรัก’ อย่างเป็นทางการ พอเปิดภาคเรียนใหม่ ก็ถูกแซวกันระงม เพราะว่าทั้งสองคนชอบอ้างว่าพี่รันนัดไปนั่น พี่รันนัดไปนี่ ส่วนพี่รันตัวจริงน่ะเหรอ ได้แต่ฟังแล้วก็อมยิ้ม โดยไม่ได้คิดจะโกรธเคืองที่ถูกแอบอ้างแต่อย่างใด เพราะผมเข้าใจว่า แรกๆทั้งสองคนอาจจะยังอยู่ในขั้นจีบกันน่ะแหละ ก็เลยยังไม่กล้าออกตัวมาก พอความสัมพันธ์มันไปได้ดี ทั้งสองคนถึงได้เปิดเผย พี่รหัสคนนี้เลยกลายเป็นหมาหัวเน่าไปซะ แต่พองอนกันที ผมล่ะโคตรจะวุ่นวาย
แต่ที่วุ่นวายนี่ ก็เพราะน้องโบว์นะ ไม่ใช่ปาล์ม พอพูดถึงสายรหัส ผมก็นึกขึ้นได้ว่าสายของผมมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นตั้งแต่ภาคเรียนก่อน เพราะปีนี้ได้รับน้องเข้าสายรหัสด้วยกันถึงสองคน แล้วก็เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมไม่ค่อยสนิทกับน้องมากนัก อาจเพราะผมเป็นผู้ชายแล้วก็อยู่ปีที่สูงกว่าด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับน้องๆนั่นแหละ น้องกิ๊ฟกับน้องเฟิร์นก็เลยสนิทกับน้องโบว์มากกว่า และด้วยความที่น้องรหัสรายนี้ของผม เป็นคนพูดเก่งอยู่แล้ว เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย แถมแคมเปญโปรโมทสาขายังตกเป็นหน้าที่หลักของปีหนึ่งกับปีสองอีกต่างหาก แต่คราวนี้ง่ายๆ ไม่ยากนัก เห็นว่าให้เลือกท่อนเด็ดๆของเพลงอะไรก็ได้มาสักหนึ่งเพลง แล้วแปลภาษามือในท่อนนั้นส่งให้พี่ทีมที่เป็นประธานรุ่น ที่ตอนนี้กำลังหัวหมุนจนได้ที่ เพราะปีสี่จะเรียนภาษามือเกี่ยวกับกฎหมาย โดยมีการจำลองสถานการณ์เหมือนตอนว่าความกันจริงๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับพวกพี่เขา
เพราะลำพังแค่มาตรากฎหมายก็ยากมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังต้องมาจำลองสถานการณ์เสมือนจริงอีก คงจะสั่นและตื่นเต้นกันน่าดู
“พี่รันของที่ให้ฝากหาค่ะ” ผมกำลังจะเข้าหาห้องเรียนวิชาภาษามือในด้านกฎหมายอยู่แล้ว แต่เผอิญผมได้ยินเสียงเรียกของน้องโบว์เข้าเสียก่อน ก็เลยยืนรอเธออยู่ตรงหน้าห้อง ขณะที่เพื่อนๆ ก็ทยอยกันเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับถุงกระดาษใบขนาดกลางที่น้องโบว์ยื่นมาให้พลางก้มหน้าหอบแห่กๆ
“หนูไปก่อนนะคะ จะเข้าเรียนแล้ว” น้องก้มลงนาฬิกาข้อมือของตัวเองสักพัก จากนั้นก็รีบวิ่งจากไป จนแม้แต่ผมก็ยังหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงินแทบไม่ทัน ผมจึงได้แต่ส่ายหัวกับความกระโดกกระเดกของน้องรหัสคนนี้ พลางเดินเข้าไปในห้องเรียน พร้อมกับแหวกถุงดูของที่ให้น้องโบว์ไปช่วยหาซื้อให้ที่กรุงเทพ เพราะว่าของชนิดที่ว่า มันเป็นตุ๊กตา ซึ่งผมไม่ค่อยจะรู้แหล่งในการซื้อขายนัก แต่เพราะมันเป็นตุ๊กตา ‘เขี้ยวกุด’ จากภาพยนตร์แอนนิเมชั่นชื่อดัง ที่ผมอยากจะมอบให้พี่เนย์เป็นของขวัญคู่กับรูปวาดที่ผมเพิ่งจะกลับไปเอาจากที่บ้าน เมื่อตอนช่วงปิดเทอมหลังสอบไฟนอลที่ผ่านมา
ซึ่งช่วงเตรียมตัวสำหรับการรับปริญญา ผมได้เจอพี่เนย์บ่อยกว่าปกติ เพราะว่าพี่เขาต้องลางาน เพื่อมาวัดตัวสำหรับเตรียมตัดชุดครุยที่มหาลัย จากนั้นก็ต้องลางานมารับชุด อีกทั้งยังต้องมาซ้อมย่อยถึงสองครั้ง กระทั่งวันนี้ที่การซ้อมใหญ่ดำเนินมาถึง และวันมะรืนก็จะเป็นวันรับจริง ซึ่งพ่อกับแม่ของผมก็จะมาด้วย ส่วนผมคงจะมาหาพี่เขาช้าหน่อย เพราะว่าผมมีเรียนแทบทั้งวัน และกว่าจะเลิกเรียนก็สี่โมงเย็นแล้ว แต่ก็คิดว่าน่าจะพอดีกับเวลาที่พี่เขาเสร็จจากพิธีการรับปริญญาเลยล่ะมั้ง หรือถ้าไม่ ผมก็แค่นั่งรอ โดยบังคับให้เพื่อนสองคนรอเป็นเพื่อนก็แค่นั้น
“เนี่ยเหรอที่มึงให้น้องโบว์หาให้?” ทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ไอ้หมอกมันก็หยิบถุงกระดาษใบนั้นไปเปิดดู
“อืม”
“ว่าแต่มะรืนนี้ กูกับไอ้คินรวมเงินกันซื้อช่อดอกไม้ให้พี่เนย์ มันจะโอเคไหมวะ?” ไอ้หมอกยังคงตั้งคำถาม เพราะเราไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าส่วนใหญ่เขามักจะให้อะไรเป็นของขวัญเพื่อแสดงความยินดี เพียงแต่พี่เนย์ไม่ได้มีวี่แววว่าจะชอบทั้งตุ๊กตาและดอกไม้เลยแม้แต่นิด ไอ้หมอกมันก็เลยไม่ค่อยมั่นใจ อีกทั้งสาขาของเรายังเป็นสาขาที่เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน จึงยังไม่เคยมีพี่บัณฑิตให้ต้องไปร่วมแสดงความยินดี แต่ในเทศกาลรับปริญญาเราก็มักจะเห็นพี่บัณฑิตผู้ชายเดินหอบดอกไม้และตุ๊กตากันเยอะแยะไป
“ปีก่อนกูเห็นพี่ผู้ชายเขาถือดอกไม้กันเยอะแยะ ชอบไม่ชอบก็เรื่องของพี่เนย์ มึงมาแสดงความยินดี จริงๆไปตัวเปล่ายังได้” ผมว่าอย่างนั้น เพราะผมคิดว่าการมาแสดงตัว มันก็คือการแสดงความยินดีอย่างนึงแล้ว แต่ในส่วนของผม ที่มีของขวัญจะให้อีกฝ่าย นั่นก็เพราะผมอยากจะให้ ไม่ได้ให้ตามมารยาทเหมือนกับคนอื่น ส่วนตุ๊กตาเขี้ยวกุด ผมก็แค่คิดว่ามันน่าจะดีกว่าให้ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมา เหมือนคนอื่นๆ อีกอย่างเขี้ยวกุดมันก็สื่อถึงลูกรักของพี่เนย์ด้วย ผมก็เลยให้ทั้งเขี้ยวกุดทั้งรูปวาดเน่าๆของตัวเอง
เพราะอย่างน้อยเขี้ยวกุดมันก็ยังดูมีสกุลรุนชาติและภาษีดีกว่าภาพวาดของผมน่ะ “จะบ้าเหรอวะ เสียมารยาท” ไอ้คินมันด่าเข้าให้ ขณะที่ไอ้หมอกมันก็พยักหน้าเห็นด้วย ผมจึงได้แต่ยักไหล่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นปัญหาของพวกมัน จะคิดจะตัดสินใจอะไรก็เป็นสิทธิของพวกมันอยู่ดี
“วันนี้กูก้าวขาออกจากห้องผิดข้างเหรอวะ” ผมแอบบ่นเบาๆกับเพื่อนซี้ เมื่ออาจารย์เริ่มคาบด้วยการเรียกชื่อผมให้ออกไปบรรยายภาษามือในด้านกฏหมาย ต่อจากอาทิตย์ที่แล้วที่เราเรียนค้างกันไว้
“การคุ้มครองสิทธิของคนพิการ ตามกฎหมายไทย” ทันทีที่ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าชั้นเรียน อาจารย์ผู้ที่ไร้ความบกพร่องทางการได้ยินก็เริ่มบรรยายข้อมูลทางด้านกฎหมายที่เราจะเริ่มเรียนกันในวันนี้ ส่วนอาจารย์ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ท่านก็มองจ้องมาที่ผมอย่างตั้งใจ
โดยผมเริ่มคิดประมวลผล เป็นภาพของท่ามือ ‘ไทย + กฎหมาย + สิทธิ + คนพิการ + ดูแล’ ผมเริ่มยกนิ้วชี้ข้างขวาให้ขนานราบกับพื้นในระดับจมูกก่อนจะลากลงมาในระดับอก เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘ไทย’ และต่อด้วยการยกมือซ้ายขึ้นตั้งตรง ขณะที่มือขวาก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้น โดยแตะปลายนิ้วกลางเข้ากับปลายนิ้วกลางด้านขวา ก่อนจะวาดนิ้วออกเป็นครึ่งวงกลมขนาดเล็ก และจรดปลายนิ้วเดิมลงบนฝ่ามือซ้ายบริเวณใกล้ๆกับนิ้วก้อย เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘กฎหมาย’
จากนั้นผมก็เริ่มทำมือทั้งสองข้างให้งองุ้ม พร้อมกับนำมาบรรจบกัน เป็นท่ามือของคำว่า ‘เสมอ’ ก่อนจะหมุนวนฝ่ามือทั้งสองข้างออกด้านนอก แล้วถึงค่อยวนกลับเข้าหาตัว เพื่อประกอบเป็นคำว่า ‘สิทธิ’ ต่อมาผมเริ่มทำท่ามือของคำว่า ‘คนพิการ’ โดยการยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าในแนวราบ พร้อมกับทำสันมือให้ตั้งตรงในแนวนอน ก่อนจะใช้มือซ้ายตัดเข้าที่แขนขวา ตามด้วยมือขวาตัดเข้าที่แขนซ้าย ปิดท้ายด้วยท่ามือของคำว่า ‘ดูแล’ เริ่มจากชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้าง ก่อนปาดวนเป็นลักษณะครึ่งวงกลมทั้งซ้ายและขวาเข้าหาตัวประมาณสองครั้ง ก็เป็นอันจบหัวข้อใหญ่ที่เราจะเรียนกันในวันนี้
“1.3.17 พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ” ผมเริ่มประมวลผล พลางนึกถึงภาพของท่ามือ ‘เลขหนึ่ง จุด เลขสาม จุด เลขสิบเจ็ด + พอ จุด รอ จุด บอ จุด + คนพิการ + เรียน + จัดการ’ ก่อนจะเริ่มชูนิ้วชี้ข้างขวา อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เลขหนึ่ง’ ที่คนทั่วไปรู้จัก จากนั้นก็ชี้นิ้วดังกล่าวไปด้านหน้า แสดงถึงคำว่า ‘จุด’ ก่อนจะชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เลขสาม’ จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ ชี้ไปข้างหน้า ตามด้วยการกำข้อมือขวา โดยหันหลังมือออกจากตัว เหมือนกับตอนจะเคาะประตูห้อง ก่อนจะรีบบิดข้อมือให้หันออกจากตัว และแบมือออกพร้อมกับจรดปลายนิ้วโป้งกับนิ้วนางเข้าหากัน อันเป็นท่ามือของ ‘เลขสิบเจ็ด’ และเมื่อประกอบรวมทุกท่ามือเข้าด้วยกัน ก็จะเท่ากับ ‘1.3.17’
ต่อมาเป็นท่ามือของ ‘พ’ โดยชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางในลักษณะเหมือนคนกำลังก้าวเดินด้วยเท้าซ้ายเป็นก้าวแรก ที่เปรียบเสมือนกับนิ้วชี้ของเรา ก่อนจะชูนิ้วชี้ไปข้างหน้า ตามด้วยการไขว้นิ้วกลางทับกับนิ้วชี้ข้างขวา ซึ่งเป็นท่ามือของ ‘ร’ จากนั้นก็ชูนิ้วชี้ไปข้างหน้า และตามด้วยการทำมือข้างขวาเหมือนเลขสี่ที่คนทั่วไปรู้จักในระดับเอว อันเป็นท่ามือของคำว่า ‘บ’ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการชูนิ้วชี้ไปข้างหน้าอีกครั้ง เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘จุด’ จนประสมกันเป็นคำว่า ‘พระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ’ และตามด้วยท่ามือของ ‘คนพิการ’ เหมือนกับที่เคยทำไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ตามด้วยท่ามือ ‘เรียน’ โดยการแบมือซ้ายขึ้น ก่อนมือขวาจะทำท่าเหมือนกำลังกินข้าวแบบไทยโบราณ จากนั้นก็ดึงมือข้างขวาขึ้นมาวางแหมะลงตรงหน้าผาก และตามด้วยท่ามือของคำว่า ‘จัดการ’ โดยการทำมือทั้งสองข้างให้หงิกงอทั้งห้านิ้ว เหมือนกับตอนกำลังจะยีขนแมวที่อยู่ตรงหน้าเล่นสักสองที ก็เป็นอันจบหัวข้อย่อยที่กำลังจะเริ่มต้นในวันนี้
“มาตรา 5 คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาดังนี้” อาจารย์พูดพลางเว้นวรรคให้ผมหายใจหายคอ ผมจึงยังไม่รนอะไรมาก แต่ก็ใช่ว่าจะมีเวลามาวอกแวกแต่อย่างใด สติต้องมีอย่างเหลือล้น ไม่งั้นผมพลาดแน่ๆ
“ข้อหนึ่ง ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิด หรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ข้อสอง เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น ข้อสาม สิทธิได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล” สมองผมเริ่มเบลอไปชั่วขณะ เมื่อสุดท้ายแล้วอาจารย์ก็ยังรัวเนื้อหาทางกฎหมายใส่ผมเต็มๆ จนผมจับใจความได้ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็ยังถือว่าใจความสำคัญน่าจะพอจับจุดได้หมด เพราะอาจารย์พิสมัยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ที่เป็นไปในเชิงน่าหวาดเสียว ซึ่งสาเหตุของมัน ก็ไม่ใช่เพราะว่าผมเก่ง หรือโปรมากแต่อย่างใด
อย่าลืมว่าวันนี้พี่ล่ามไม่ได้เข้ามาดูการเรียนการสอนต่างหาก ผมถึงได้ไม่ถูกเชือด!“ไอ้เชี่ย ยากโว้ย ยากชิบหาย” ทันทีที่เดินออกมาจนพ้นตึกคณะแล้ว ผมก็ร้องตะโกนออกมาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะกฎหมายแม่งยากกว่าการแพทย์อีก ในเมื่อระดับความต่างของภาษามันออกจะสุดขั้วขนาดนี้ พูดตรงๆ ผมเครียดกับการเรียนภาษามือด้านกฎหมายชิบหายเลย มิดเทอมรอบก่อนก็เกือบแย่ เล่นเอาเส้นเลือดเต้นตุบๆ ตอนกำลังสอบกันเลยทีเดียว
“น็อตหลุดอีกแล้วเหรอมึง?” ไอ้คินถามพลางขำเบาๆ ด้วยสีหน้าระรื่น ก็ใช่สิ ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยจะโวยวายอะไร ออกจะเงียบๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เกินไปซะด้วยซ้ำ แต่พอถูกเรียกออกไปหน้าห้องเมื่อไหร่คือพัง ทุกอย่างพังหมด!
ปึ่ก!
“มึงขำเชี่ยไร ทำเป็นลืมเรื่องราวก่อนสอบมิดเทอมนะไอ้คิน” ผมเอาถุงของขวัญฟาดไอ้คินอย่างแรงอยู่หลายที แถมไอ้เพื่อนตรงหน้ามันยังมาเยื้อแย่งกับผมอีก สุดท้ายถุงกระดาษก็ขาด และตุ๊กตาเขี้ยวกุดก็ลอยไปตกอยู่ที่พื้นโน่น
“มึงก็ไปแกล้งมันเนอะ” วันนี้ผีตัวไหนเข้าสิงไอ้หมอก ผมก็ไม่รู้ แต่อยากจะขอบคุณมาก ที่เลือกเข้าสิงได้ถูกคนแถมถูกเวลาอีก
“พี่เนย์มา” ผมหันไปมองทางด้านหลังตามการชักนำของไอ้คิน ผมถึงได้เข้าใจในพฤติกรรมของไอ้หมอกด้วย สรุปคือแม่งหน้าไหว้หลังหลอกนี่หว่า
ถ้าเกิดพี่เนย์ไม่เดินเข้ามาหา มึงกับไอ้คินก็จะรวมหัวกันแกล้งกูสินะ“ไปยัง หิว” พี่เนย์พยักหน้าทักทายไอ้เพื่อนซี้สองคนของผม พลางเหลือบมองไอ้เขี้ยวกุดในมือไอ้หมอกเพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก จึงหันมาถามความเห็นจากผมที่เพิ่งจะเลิกเรียน ผมก็เลยพยักหน้าเป็นคำตอบ เพราะพอจะเข้าใจความเหนื่อยและความหิวที่อีกฝ่ายเจอมาจากพิธีซ้อมรับปริญญาอยู่หรอก
“กูไปนะ” ผมหันไปบอกลาเพื่อนทั้งสอง พลางพูดกับไอ้หมอกแบบไม่มีเสียงว่า ‘ฝากเก็บด้วย’ ก่อนจะรีบก้าวเดินตามพี่เนย์ไปยังลานจอดรถของคณะ เพราะสามวันนี้ผมถูกลักพาตัวไปอยู่หอนอก ที่พี่เนย์เช่าไว้ เนื่องจากมะรืนนี้ก็จะถึงวันรับจริงแล้ว พี่เขาก็เลยลางานรวดเดียวเลย ส่วนวันรุ่งขึ้นคุณหมอก็ให้พี่เนย์พักอีก เลยไม่ต้องมาทำงานที่คลินิก
แบบนี้แสดงว่าทั้งสองฝ่าย น่าจะคุยกันถูกคอมากๆเลยนะนั่น “วันนี้กินอะไรดีครับ?” ผมถามว่าที่บัณฑิตที่กำลังมุดตัวเข้าไปเก็บชุดครุยและหมวกแขวนไว้ที่เบาะหลัง
“ก๋วยเตี๋ยว”
“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ พลางนั่งรออีกฝ่ายจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ จะได้ขับรถออกจากมหาลัยสักที
“วันรับจริง พวกไอ้เอ้มันนัดเลี้ยงทุกคนเลยนะ ชวนเพื่อนมึงมาด้วยล่ะ” ผมตอบรับในลำคอ พลางเอื้อมมือไปปัดแอร์ให้หันออกไปนอกกระจก เพราะมันเป่าเข้าจมูกจนเกินไป
“เราจะรอที่ห้อง หรือว่าไปรอที่ร้านกาแฟ กูก็ดันลืมไปเลย ว่าร้านมันเปิดหกโมง”
“ที่ห้องดีกว่าไหมครับ จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” ผมเสนอทางเลือกอย่างรวดเร็ว เพราะผมอยากจะนอนพักสมองสักหน่อย วิชาภาษามือสุดโหดนั่นสูบพลังผมได้ดีชะมัด
“แล้วพวกพี่คนอื่นพักที่ไหนกันเหรอครับ?” ผมถามพี่เนย์ขณะที่กำลังเดินเข้าหอเก่าของเจ้าตัว เพียงแต่จองได้คนละชั้น เพราะอีกฝ่ายเขาอาศัยใช้สายสืบอย่างพี่ทีมกับพี่บอสให้ช่วยหาให้ ก็เลยจองได้ใกล้มหาลัย แต่พี่คนอื่นๆ ไม่ยอมบอกพี่เนย์ไว้ก่อน ก็เลยต้องระหกระเหินไปอยู่ไกลจากมหาลัยหน่อย
“เข้าไปในซอยแถวหอเรานี่แหละ แต่ก็เข้าไปลึกพอสมควร ไม่รู้ชื่อหออะไร กูจำไม่ได้” ผมพยักหน้าในเชิงรับรู้ พลางเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับคนตัวสูง ที่วันนี้เซ็ตผมซะเรียบร้อยเชียว
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็นอนแผ่อยู่บนเตียง ส่วนพี่เนย์ก็นั่งไถโทรศัพท์เงียบๆคนเดียว เพราะเจ้าตัวเกรงว่าจะหลับเพลิน แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว พี่เขาเลยต้องมานอนแหมะอยู่ข้างๆ แล้วเราก็เผลอหลับไป จนกระทั่งผมสะดุ้งตื่นขึ้น พลางหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา ก็พบว่าเวลานี้มันสองทุ่มกว่าแล้ว ผมจึงหันไปปลุกพี่เนย์ พร้อมกับเขย่าตัวอย่างแรง เพราะอีกฝ่ายท่าทางจะเพลียมาก ถึงได้ปลุกยากปลุกเย็น เนื่องจากต้องตื่นแต่เช้า เพื่อขับรถมาซ้อมใหญ่ถึงต่างจังหวัด
“เหมือนเดิมป่ะ?” พี่เนย์ถาม เมื่อเราเดินกันมาจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวอันคุ้นเคย
“ครับ” ผมตอบพลางเดินแยกไปจองโต๊ะ จากนั้นป้าก็เอาน้ำมาเสิร์ฟ และไม่นานเราก็ได้บะหมี่หมูแดงมากินคนละชาม แต่ด้วยความที่เราต่างก็เสียพลังงานกันมากมายในวันนี้ ชามที่สองและสามจึงตามมาได้ไม่ยาก พวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปนั่งย่อยที่สนามเด็กเล่น เพราะเนื่องจากพี่เขาอยู่ในแวดวงการแพทย์มาสักระยะนึงแล้ว ก็เลยได้รับการเตือนว่าหากกินแล้วนอนเลย จะทำให้เป็นกรดไหลย้อน เห็นว่าต้องรออีกสักสองชั่วโมงก่อน ถึงจะนอนได้
“มึงนั่งดิ” พอเดินย้อนกลับไปเอารถ พี่เขาก็รีบขับเข้ามาในมหาลัย และมุ่งตรงไปยังสนามเด็กเล่นที่ไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการนัก จากนั้นพี่เนย์ก็ดันตัวผมนั่งลงบนม้ากระดกด้านหนึ่ง จึงทำให้ที่นั่งของม้ากระดกอีกด้านยกสูงขึ้น แต่ก็ไม่เกินความสามารถของนักจิตวิทยาอย่างพี่เขาหรอก ทีนี้ที่นั่งทางฝั่งผมก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ผมเลยพยายามจะออกแรงกดที่นั่งตรงฝั่งของตัวเองให้ทิ้งตัวลงกับพื้นบ้าง เพื่อที่พี่เขาจะได้ลอยอยู่ในอากาศเหมือนกับผมเมื่อครู่ แต่ปรากฏว่าพี่เนย์ตัวใหญ่ ผมเลยสู้แรงไม่ไหว
“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายพลางทำเสียงยานคาง เพราะตัวเองไม่สามารถกลับลงสู่พื้นเบื้องล่างได้ ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่ยักคิ้วใส่อยู่นั่น แต่พอจู่ๆ นึกจะตามใจกัน ก็ไม่ยอมบอกกล่าว จนผมเกือบจะร่วงเข้าให้แล้ว เพราะเมื่อกี้ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ปีหน้ากูว่าจะสอบ License คงต้องเตรียมตัวอีกเยอะเลย” ผมเอามือท้าวคางกับที่จับ พลางมองจ้องไปที่พี่เนย์ที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่ผมอยู่ด้านล่าง
“คืออะไรเหรอครับ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะพี่เขาดูจริงจังมากเป็นพิเศษ ท่าทางจะมีความสำคัญต่ออีกฝ่าย และก็น่าจะยากพอสมควรด้วย
“ใบประกอบโรคศิลป์น่ะ ถ้ามีใบนี้ กูจะสามารถเซ็นรับรองเอกสารที่มีผลทางกฎหมายได้ แต่ตอนนี้กูต้องทำงานแบบมีพี่เลี้ยงไปก่อน ก็เลยยังไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่เท่าไหร่” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะสถานการณ์ของอีกฝ่าย มันก็ไม่ต่างกับการก้าวเดินได้ด้วยขาของตัวเองเป็นครั้งแรก
“เท่าที่ดูมันจะมีสอบด้านความรู้ทางจิตวิทยา แล้วก็ด้านกฎหมายวิชาชีพ อาจต้องเตรียมตัวเยอะหน่อย แต่จริงๆ กูก็เริ่มๆเตรียมตัวตั้งแต่ตอนไปฝึกงานแล้วแหละ เพราะพี่แป๊ะกับพี่กันต์แกช่วยแนะนำว่าต้องเดินไปในทางไหนต่อ มันถึงจะดี อะไรแบบนี้น่ะ นี่ถ้าไม่ได้พี่แก กูก็แย่เหมือนกันนะ ที่สำคัญพวกเขาเป็นคุณหมอและนักจิตวิทยาที่เก่ง แถมยังวิเคราะห์ได้เฉียบขาดเลยแหละ ถือเป็นโชคดีของกูเลย” พี่เนย์พูดพลางยิ้มๆบาง เมื่อผู้ไปถึงคุณหมอจิตเวชและนักจิตวิทยารุ่นพี่ที่ตัวเองคลุกคลีด้วยจนสนิทกัน เลยทำให้ได้มาร่วมงานกันที่คลินิกแถวๆวังหลัง
“จริงๆ พี่เนย์ก็เก่งเหมือนกันนะครับ ผมว่ายังไงมันก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ๆ” ผมพูดพลางยกยิ้มจนตาปิด จนอีกฝ่ายถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะคำพูดเอาใจที่ผมหยิบยื่นให้
“ทำไมพี่ถึงไม่ชอบให้คนเรียกชื่อเล่นล่ะครับ ชื่อฮ่องเต้ก็เท่ดีออก” หลังจากหมดเรื่องคุย เราก็พากันนั่งเงียบๆ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่เคยสงสัย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถาม ก็เลยถือโอกาสนี้สัมภาษณ์คุณอาคเนย์เขาเสียหน่อย
“ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” พี่เนย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางเปลี่ยนมาส่งตัวผมขึ้นกลางอากาศบ้าง
“แสดงว่าพี่เคยถูกเพื่อนล้อแน่ๆเลย ใช่ไหมครับ?” ผมถามพลางยกยิ้ม
“หึ ไม่ใช่ จริงๆ มันเป็นเพราะชื่อสองพยางค์ เวลาที่แม่ขี้เกียจเรียกยาวๆ แม่ก็จะเรียนฮ่องมานี่หน่อย เต้มานี่หน่อย ยิ่งเวลาแม่เรียกกูว่าฮ่องรัวๆนะ ดันกลายเป็นโฮ่งๆ ทุกที พ่อเลยสงสารกู ถึงอนุมัติให้กูเปลี่ยนชื่อได้” พอได้ทราบเหตุผลที่แท้จริง ผมก็อดจะขำไม่ได้
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่ชื่อเต้ล่ะครับ?” ผมรีบย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะชื่อเต้ก็พยางค์เดียว แถมยังเรียกง่ายเหมือนกันด้วย
“แล้วไง? ก็พ่อกูชอบชื่อนี้มากกว่า” ผมหัวเราะ พลางพยักหน้าเบาๆ กับเหตุผลน่ารักๆ ของอีกฝ่าย ที่มันบ่งบอกได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว ที่ถึงแม้จะดูเหมือนห่างเหินกัน แต่จริงๆ กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“แล้วมึงล่ะ ทำไมชื่อเนรัน มันไม่มีความหมายอะไรไม่ใช่เหรอวะ?” พี่เนย์ถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง
“แต่ก่อนแม่ชอบดูหนังญี่ปุ่นครับ” ผมตอบพลางหัวเราะออกมานิดๆ เพราะเหตุผลของเรา มันก็แทบจะไม่ต่างกัน
“อืม แต่ก็สมกับมึงดีออก” พี่เขาพูดพลางพยักหน้า คล้ายกับเห็นด้วยที่แม่ตั้งชื่อนี้ให้ผม
“แต่ตอนนี้แม่ผมเปลี่ยนมาติดซีรีย์เกาหลีแล้วครับ ถ้าผมเกิดช้ากว่านี้หน่อยคงได้ชื่อปาร์คแน่ๆ” ผมเผาแม่พลางขำออกมาเบาๆ
“ทำไมวะ?”
“แม่ชอบนักแสดงที่ชื่อปาร์คอะไรสักอย่างนี่แหละครับ”
“ดีแล้วที่มึงเกิดเร็ว ชื่อนี่โคตรไม่เหมาะกับมึงเลย” พี่เนย์ค่อยๆถีบขาเพื่อดันตัวเองขึ้นกลางอากาศบ้าง
“วันนี้ดาวสวยดีนะครับ แถมยังเยอะดีด้วย แต่ก็ยังไม่สวยเท่าฝนดาวตกที่เราดูด้วยกันวันนั้นเลย” ผมเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า พลางอมยิ้มขณะที่พูด
“อืม กูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าฝนดาวตกมันจะสวยขนาดนั้น” ผมหันหน้าไปมองอีกฝ่าย แต่ปรากฏว่าพี่เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงยกยิ้มให้จนเต็มแก้ม เหมือนอย่างทุกครั้งที่พี่เนย์มักจะชอบแอบมองผมอยู่บ่อยๆ จนผมชักสงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงชอบแอบมองผมนัก ทั้งๆที่เราก็คบกันมานานแล้ว แถมยังเกินเลยกันก็หลายครั้ง แต่พฤติกรรมชอบแอบมอง หรือการเผลอยิ้มตามผม มันก็ยังคงอยู่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผม ที่ชอบเขินอีกฝ่าย แม้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะพัฒนาไปไกลแล้ว
ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น มันก็อาจเป็นเพราะความเคยชิน หรืออาจเพราะความชื่นชอบส่วนตัว ผมเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากวัดจากความรู้สึกของตัวเอง มันก็คงจะเป็นเพราะพฤติกรรมอันเป็นธรรมชาติของการได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารัก เราก็เลยมักจะชอบเขินใส่เขาทุกทีที่มีโอกาส แล้วอีกอย่างเวลาอยู่กับพี่เนย์ ผมก็มักจะชอบยิ้มออกมาอยู่เรื่อย ทั้งๆที่แต่ก่อนผมไม่ใช้คนยิ้มง่ายขนาดนี้
“วันรับจริง ผมมีของขวัญจะให้นะครับ”
“จริงๆมึงให้วันนี้เลยก็ได้นี่” พี่เขาออกความเห็นอย่างไม่คิดมาก
“ให้วันรับจริงดีกว่าครับ แต่พี่อย่าคาดหวังนะ เพราะมันคงไม่ดีเท่ากับของขวัญ ที่ผมเคยอยากเตรียมไว้ให้พี่ตั้งแต่แรก” ผมรีบเอ่ยดักคออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนเลย เพราะของขวัญชิ้นนี้ ถ้าเทียบกับการพูดชื่อของพี่เขา ยังไงมันก็เทียบกันไม่ติด
“จริงๆ มึงจะให้อะไร กูก็ชอบทั้งนั้น เพราะคุณค่าของมัน ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนให้เรามากกว่า” พี่เขาตอบพลางมองจ้องมาที่ผมแน่นิ่ง จนผมสู้สายตาไม่ไหว เลยต้องหันไปมองทางอื่น
“หรือจะไม่ให้อะไรเลย กูก็ไม่คิดมาก”
“แต่วันสำคัญแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆนะครับ” ผมรีบแย้ง
“ใครว่า กูยังมีแพลนจะเรียนต่ออยู่หรอก แต่คงรอให้อะไรๆมันลงตัวก่อน ไว้มึงอยากจะแสดงความยินดีอีกกี่รอบ ก็เรื่องของมึงเลย” ผมได้แต่หัวเราะ กับเหตุผลของอีกฝ่ายที่ผมไม่ได้คาดคิดไว้อีกแล้ว
“อีกอย่าง แค่มีมึงอยู่ข้างๆ กูก็ถือว่ากูได้ของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว กูเลยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรจากมึงอีก แล้วก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรด้วย”
“เพราะสำหรับเรา ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว”
-----------------------------------------------------
[edit 28/12/2017 แก้คำเบิ้ล / แก้คำผิด ล่วง > ร่วง]
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)ตอนหน้าจบแล้วจ้า ส่วนตอนนี้ก็วิชาเยอะหน่อยเป็นการปิดท้าย 555
เราเห็นมีคนถามความหมายของประโยค 'Don’t let the bedbugs bite' จากเว็บอื่นที่เราไปลงด้วย เลยจะบอกกันอีกทีว่า ความหมายแอบแฝงของมันคือ ฝันดีนะ ขออย่าให้อะไรรบกวน เราเขียนสรุปไว้ในประโยคตัดจบของตอนที่แล้วเลยค่ะ
มาถึงเรื่องการสอบใบประกอบโรคศิลป์ หรือ License ของด้านจิตวิทยา จากข้อมูลที่อ่านมา เขาบอกว่า สามารถสอบได้เฉพาะสาขาจิตวิทยาคลินิกค่ะ สาขาอื่นไม่สามารถสอบได้ หรือหากต้องการจะสอบ ก็ต้องต่อ ป. โท ด้านจิตวิทยาคลินิก แล้วก็ต้องผ่านการฝึกงานมาแล้วด้วย ถึงจะสอบได้ค่ะ หรือถ้าหากมีใบอนุญาตมาจากต่างประเทศแล้ว กลับมาไทยก็ต้องสอบเหมือนกันค่ะ เท่ากับว่าไปทำงานประเทศไหนก็ต้องสอบใบอนุญาตของประเทศนั้น ส่วนถ้าจบจิตวิทยาคลินิก แต่ยังไม่ได้ไปสอบใบประกอบโรคศิลป์ ก็สามารถทำงานได้ แต่ไม่มีสิทธิ์เซ็นใบรับรองที่มีผลทางด้านกฎหมาย และต้องทำงานภายใต้การดูแลของผู้มีใบประกอบโรคศิลป์ค่ะ
เผื่อใครสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
http://www.thaiclinicpsy.org/index.php/2015-04-06-00-59-32/2015-04-17-15-52-38อ้างอิง: Fall in you ตอนพิเศษ 26
“กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ”. (กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
http://dep.go.th/th/home. [1 เม.ย. 2558].