บทที่ 13 ทำงาน [ครึ่งหลัง]
“หมอไม่ชอบคุณเปมทัตเหรอ”
คนที่เดินนำหน้าหันมามองผมแล้วหัวเราะฮึในคอ
เอาจริงๆ ก็ไม่น่าถามเนอะ
หลังจากที่เกิดการปะทะฝีปากย่อมๆ ขึ้นที่บ้านครูบุญทำให้ผมจึงต้องขอปลีกตัวออกมากับนายจ้างคนใหม่ก่อนเวลาปกติเพราะกลัวว่าจะเกิดการวิวาทขึ้น คุณเปมทัต หรือ ‘คุณเปรม’ ดูไม่ค่อยพอใจกับการแก้ปัญหาของผมเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เอาเข้าจริงผมก็แอบชอบสถานการณ์แบบนี้อยู่หน่อยๆ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกหล่อมาก
ความรู้สึกของพี่เคนสมัยแสดงสวรรค์เบี่ยงมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ท่าทีกระฟัดกระเฟียดของคนที่เดินนำหน้ามันดูขัดหูขัดตาเหมือนจงใจให้ผมเห็นแล้วพูดอะไรสักอย่าง
แต่เสียใจด้วย มอสเป็นคนขี้เกียจ
ผมไม่ใส่ใจกับท่าทีไม่สบอารมณ์ของเขาแล้วเลือกจะเดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดสิบนาที อีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนอยากจะให้ผมถามแต่ก็ไม่ยอมเปิดประเด็นสักที
ไอ้ท่าทีเหลือบมามองแล้วหันหน้ากลับไปเพราะรู้ว่าถูกมองอยู่นั่นโคตรขัดตาเลย พับผ่าสิ
เอาเถอะ สนองเขาหน่อยแล้วกัน
“จะไม่บอกอะไรลูกจ้างใหม่หน่อยเหรอหมอ”
เขาหันเสี้ยวหน้ามาแค่แว่บเดียวแล้วส่งเสียง ‘ฮึ’
แหน่ะ ยังจะเล่นตัวอีก
“อยากจะรู้อะไรล่ะ”
แหม ทำมาเป็นถาม ในใจนั่นอยากเล่าจะแย่แล้วมั้ง
“ก็หมออยากให้ผมรู้อะไรล่ะ”
เขาหยุดเดินแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงของผมแล้วหันกลับมาทั้งตัว
เออ เลิกเล่นตัวสักที
“ผมไม่ชอบเปรม ไม่ชอบตั้งแต่สมัยเจอหน้ากันที่อังกฤษแล้ว”
น้ำเสียงของเขาดูอัดอั้นเหมือนคนอยากนินทาแต่ต้องรักษาภาพลักษณ์
น่าเห็นใจๆ
“เขาไปทำอะไรให้หมอล่ะ”
จมูกสันโด่งพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“หลายอย่าง ทะเลาะกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”
เขาเหลือบมองผมแว่บหนึ่งแล้วรีบหลบตา
อะไรล่ะนั่น
“สิ่งที่เธอควรรู้คือเปรมไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปในสยาม ระวังไว้ก็ดี”
อ๋อ แสดงว่าหมอรู้ว่าคุณเปมทัตเป็นเกย์สินะ
“ไม่เหมือนยังไงล่ะหมอ ผมก็เห็นเขาปกติดี”
แกล้งซื่อไปครับ ตีเนียนไป
นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นฉายแววบางอย่าง
“เขาไม่เหมือนใคร...”
เขาทอดเสียงเหมือนกำลังครุ่นคิด
“แต่เขาเหมือนผม”
นัยน์ตาคู่นั้นจ้องผมนิ่งก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“เพราะเหมือนกันก็เลยทะเลาะกันได้อย่างปลอดภัยกระมัง”
ชัดเลย ไอ้หมอเป็นเกย์
นี่สิน้าที่เขาว่ากันว่าคนเราจะดึงดูดคนคล้ายๆ กันเข้ามาในชีวิต
ผมแสร้งทำหน้าโง่ใส่เขาอย่างคนซื่อ
“หมอพูดอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
แกล้งขมวดคิ้วใส่หนึ่งทีให้ดูงงเพื่อความสมจริงไปด้วย
คงเพราะท่าทางโง่ๆ ของผมจึงทำให้อีกคนดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ผมว่าจริงๆ แล้วเขาก็คงมีความกังวลอยู่ลึกๆ เพราะอย่างไรเสียเกย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับกันได้โดยทั่วไปสักหน่อย
แกล้งโง่กันวันละนิดละหน่อยเพื่อรักษาความสบายใจต่อกันแบบนี้ล่ะดีแล้ว
เขาฉีกยิ้มกว้างอย่างสบายใจ
“เอ้าๆ เลิกพูดแล้วเดินตามมาได้แล้ว จะถึงอยู่แล้วเนี่ย”
แล้วเขาก็เริ่มออกเดินอีกครั้งราวกับเมื่อครู่ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น
เป็นคนแปลกๆ จริงด้วยสิ
ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเขาก็หยุดเดินอีกครั้ง
อะไรอีกล่ะคราวนี้
“หยุดทำไมล่ะหมอ”
เขาหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับผมแล้วผายมือไปทางด้านซ้ายของตัวเอง
นี่ถ้าทำเสียง ‘ท้าด่า!’ เข้าไปด้วยจะดูเข้าท่ามากๆ
คงเพราะพอจะเดาออกว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ผมจึงหันไปมองตามทิศทางที่เขาผายมือไปแล้วพบว่าสิ่งก่อสร้างสองชั้นที่สร้างจากไม้และให้อารมณ์เหมือนห้องแถว
นี่คือที่ๆ เรียกว่าโรงหมอจริงสิ ช่างแตกต่างกับโรงหมอที่ผมไปวันแรกลิบลับ
“ทำไมเล็กจังล่ะหมอ ไม่ค่อยมีคนไข้เหรอ”
ปากมันไวครับ ไม่รู้ทำไมพออยู่กับคนๆ นี้แล้วรู้สึกสบายใจ สบายปากทุกที
“โธ่ อย่าดูถูกกันสิ เห็นแบบนี้รายได้ก็ดีทีเดียวนะ”
เขาบ่นงึมงำพลางคว้านหอบางอย่างในกระเป๋า
อ๋อ กุญแจ
ท่าทางเดินไปเปิดประตูพลาง ปาดเหงื่อไปพลางนั้นช่างน่าเห็นใจ
ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าผิวขาวจัดของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการอยู่กลางแดดนาน ๆ ใบหน้าคมสันนั้นก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจนหมดสภาพ
เอ็นดู
เขาเปิดประตูด้วยความว่องไวแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไป
ภายในคลินิกนั้นดูดีกว่าข้างนอกอยู่มาก บ้านทั้งหลังทำจากไม้ มีการตกแต่งที่เรียบง่ายแต่สะอาดตา ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ครบครัน มีการแยกสัดส่วนระหว่างห้องตรวจกับบริเวณนั่งรออย่างชัดเจน
ก็ไม่แย่นี่นา
“ขอต้อนรับสู่โรงหมอปีเตอร์”
เขาว่าพลางผายมือไปรอบห้องอย่างภูมิใจ...เป็นใบหน้าเปื้อนเหงื่อที่โคตรภูมิใจ ผมเดาว่าเขาคงพยายามก่อร่างสร้างมันมาด้วยมือของตัวเอง กว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ก็คงผ่านมาอะไรมามาก ไม่งั้นก็คงไม่ภูมิใจขนาดนี้
เป็นพวกคนมุมานะสินะ
แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่ขัดตา
“หมอมีผ้าเช็ดหน้าไหม”
เขาขมวดคิ้วกับคำถามจนผมต้องย้ำ
“หมอมีผ้าเช็ดหน้าไหม”
เขาหันซ้ายหันขวาก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
ใช้ชีวิตอยู่ยังไงให้ไม่มีผ้าเช็ดหน้าล่ะนั่น
เพราะทนรำคาญตาไม่ไหว ผมจึงต้องสอดมือล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง
ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ากรวิกชอบพกผ้าเช็ดหน้าตอนที่รื้อตู้เสื้อผ้าเมื่อคืนก่อนนี้เอง
ผ้าผืนเล็กกะทัดรัดถูกส่งให้อีกฝ่าย เขาเหลือบมองผมสลับกับผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยสีหน้างุนงง
“รับไปสิหมอ เหงื่อเต็มหน้าเลย หยดลงบนพื้นแล้วนั่น”
คราวนี้เขาเบิกตากว้างขึ้นแล้วทำปากเหมือนจะพูดว่า ‘อ๋อ’ แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมือมารับผ้าเช็ดหน้าไปซับเหงื่อแต่โดยดีพลางอมยิ้ม
“ยิ้มอะไรน่ะหมอ”
พอได้ยินผมทักเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
เป็นพวกยิ่งพูดยิ่งยุหรือไงนะ
“ดีใจน่ะ”
เขาเหลือบมองผมผ่านช่องว่างของมือระหว่างซับหน้า
“นานๆ ทีจะมีคนใส่ใจผมแบบนี้”
“หมอไม่มีครอบครัวอยู่ที่นี่เหรอ”
มือคู่ใหญ่ยังคงซับหน้าต่อไป
“อืม มาคนเดียวน่ะ”
โอ้โห คนจริง 2460 อีกแล้ว
“แล้วทำไมถึงมาล่ะหมอ อยู่อังกฤษไม่ดีเหรอ”
เห็นบอกว่าเจอคุณเปรมที่อังกฤษ ก็เดาไปเลยว่าเป็นคนอังกฤษ มั่วๆ แบบนี้แหละ
เขาหัวเราะเบาๆ
เป็นเสียงหัวเราะที่แปลกพิกล
ทำไมกันนะ
“อยากเริ่มต้นใหม่กับชีวิตน่ะ ก็เลยต้องหาที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเรา”
อย่าบอกนะว่า...
“นี่หมอคงไม่ได้ไปทะเลาะกับคุณเปรมแล้วถูกนินทาใช่ไหม”
เขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาแล้วไม่พูดตอบอีกเลย
ชัดเจน พวกเอ็งไปตีกันเรื่องผู้ชายแล้วโดนปาหินใส่มาแน่ๆ
เอาเถอะ ถ้าเขาไม่อยากจะพูดเราก็จะไม่เค้....
“ใช่ ผมทะเลาะกับเขาเรื่องมันเลยยิ่งวุ่นวาย แต่ต้นเหตุก็ไม่ใช่เขาไปเสียทั้งหมดหรอก”
เอ้า บทอยากจะเล่าก็เล่าเฉยเลย
“แต่ยังไงหมอก็ไม่ชอบคุณเปรมอยู่ดีใช่ไหมล่ะ”
เขายักไหล่แล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าของผมลงกระเป๋าเสื้อตัวเอง
เดี๋ยวๆ นั่นผ้าเช็ดหน้ากู
“อะไร ไม่ขโมยหรอกน่า แค่จะเอาไปซักให้ ดูทำหน้าเข้าสิ”
นี่ผมทำหน้าแบบไหนออกไปกันนะ แต่เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้สักนิดก็ดี
เขายิ้มให้ผม ไม่ใช่ยิ้มอบอุ่นหรือร่าเริงเหมือนอย่างเคย
มันเป็นแค่ยิ้มบางๆ ที่ดูจริงใจ
“ขอบคุณนะ”
ดีแล้ว
รอยยิ้มแบบนี้แหละดีแล้ว
“นี่ กลับบ้านเย็นขนาดนี้จะดีเหรอ”
เสียงร้องทักที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าจากกองข้าวของระเกะระกะแล้วหันมองรอบๆ ตัว
มืดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ผมก้มมองกองเครื่องใช้ที่สุมกันอย่างไร้ระเบียบตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ไม่รู้ว่าคนๆ นี้ใช้ชีวิตรอดด้วยคนเดียวมาได้ยังไงตั้งหลายปี ทั้งๆ ที่ความสามารถในการจัดการข้าวของติดลบอย่างหนัก จัดของใช้ให้เป็นระเบียบไม่ได้ไม่พอ พวกแฟ้มประวัติคนไข้รวมไปถึงอุปกรณ์การแพทย์ก็พลอยปนกันยุ่งเหยิงไปด้วย
ไม่รู้ว่าจับฉลากใบไหนมาเป็นหมอ มอสล่ะเหนื่อย
“ที่ทำค้างไว้ก็เอาไว้ทำพรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้พอก่อนเถอะ”
ผมแค่นเสียงฮึในคอ
“อะไร ทำเสียงอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”
น้ำเสียงยียวนที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนไม่รู้ตัวนั้นมันน่าหมั่นไส้จริงๆ
น่าหมั่นไส้จนอดตอกกลับไม่ได้
“ก็ส่งเสียงเห็นใจตัวเองน่ะครับ ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนทำงานบ้านได้แย่กว่าผมอยู่ด้วย”
นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเพียงเสี้ยววิก่อนจะหลับลงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมา
อารมณ์ดีจริ๊ง
แต่เพราะท่าทางร่าเริงไม่สนโลกของเขานั่นล่ะผมถึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาตลอดหลายวัน
ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกแบบนี้อีกเลยตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา
ความจริงที่ผุดกลับเข้ามาในสมองทำให้ผมค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ผมควรทำยังไงกับตัวเองดีนะ
ตัวผมในตอนนี้ ยังอยากกลับไปอยู่รึเปล่า
...ไม่รู้...
....ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน....
“เป็นอะไร”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ส่งมาทำให้ผมต้องรีบยกยิ้มกลบเกลื่อนแล้วแสร้งสาละวนอยู่กับงานตรงหน้าต่อ
“ไม่มีอะไรครับ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
พอพูดจบผมก็ก้มหน้าทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกำลังแสดงท่าทางให้เขารู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมเหม่อเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่น่าใส่ใจ คงจะเป็นโชคช่วยที่ผมรับรู้ได้ทั้งๆ ที่ไม่เงยหน้าว่าเขาเงียบไปและไม่เซ้าซี้อะไรต่อ จากนั้นไม่นานก็หมุนตัวเดินกลับไปข้างใน
พอไม่มีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ผมก็เลิกทำท่าทางขยันขันแข็ง
จะขยันไปทำไมกันนะ
ถ้าได้กลับไป ทุกอย่างที่ทำอยู่ก็คงไม่มีความหมายอะไร
แต่ถ้าไม่ได้กลับไปล่ะ?
ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งเหม่ออยู่นานแค่ไหน แต่อย่างน้อยมันก็คงนานพอที่จะทำให้อีกคนเดินกลับออกมาพร้อมกับอาหารสองจานได้สบายๆ
ขอตำแหน่งนักเหม่อแห่งปีหน่อยครับ
ผมขมวดคิ้วมองคนที่เดินถืออาหารเข้ามาอย่างไม่เข้าใจ
“ดูทำหน้าเข้าสิ นี่เจ้านายอุตส่าห์เข้าครัวทำอาหารให้กินเลย”
อึ้งนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจมากๆ
เขาฉีกยิ้มกว้างตามปกติแล้วยื่นจานนึงมาให้ผม
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมมีกลิ่นหอมฉุยของซอสมะเขือเทศ ไอร้อนๆ ที่พวยพุ่งขึ้นมาทำให้รับรู้ได้ถึงความสดใหม่ อาหารจานน้อยที่มีซอสสีแดงราดลงบนเส้นแป้งเหนียวนุ่มสีขาว
สปาเก็ตตี้ชัดๆ เลย
“รับไปสิ ร้อนนะ”
น้ำเสียงเร่งเร้าทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปรับอย่างเสียไม่ได้ ส่วนตัวผมไม่ชอบซอสมะเขือเทศพอๆ กับไม่ชอบเส้นสปาเก็ตตี้เพราะรู้สึกว่ามันหนักกระเพาะเกินไป ยังไงคนที่เติบโตมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนอย่างผมก็คุ้นเคยกับเส้นหมี่เหลืองมากกว่า
พูดแล้วก็คิดถึงผัดซีอิ๊วของอาม่าจัง
“เดี๋ยวหมอ! เอาจริงเหรอ?”
คนถูกเรียกเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่า ‘ทำไม’
การนั่งกินข้าวกับพื้นมันก็ปกติอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นเจ้านาย ส่วนผมเป็นลูกจ้างน่ะนะ
“หมอนั่งกินกับผมแบบนี้จะดีเหรอ”
เขาขมวดคิ้ว
“มีอะไรที่ไม่ดีล่ะ”
“ก็หมอเป็นเจ้านาย ส่วนผม...”
“โอ๊ย ผมไม่ถือหรอก ผมไม่ใช่ขุนนางอะไรสักหน่อย”
มือใหญ่คว้าส้อมแล้วม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจานก่อนจะยกทั้งก้อนขึ้นมาโบกไปมาเหมือนจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกน้า’
ไอ้หมอนี่ แม่ไม่เคยสอนรึไงว่าอย่าเล่นของกิน
“หมอ อย่าเล่นของกินสิ”
มันอดไม่ได้จริงๆ มอสพยายามแล้ว
เขาหันมามองหน้าผมแล้วยกยิ้มมุมปาก
“เป็นแม่รึไง”
เอากับมันสิ
“ผมเป็นผู้ชายครับ เป็นแม่ใครไม่ได้ด้วย แต่ก็ไม่เคยเอาสปาเก็ตตี้มาเล่นแบบนี้ เดี๋ยวซอสมันเลอะเสื้อจะทำยังไงล่ะ มันซักยากนะรู้ไหม”
อีกฝ่ายชะงักแล้วมองหน้าผมนิ่ง นัยน์ตาคู่สวยฉายแววบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น
หรือจะโกรธ?
“อะไรล่ะหมอ โกรธเหรอ”
เขาไม่ตอบอะไรออกมาสักคำ
ไม่ตอบ...ไม่ละสายตา
ทำไมกันล่ะ
“นี่หมอโกรธจริงๆ ใช่ไหม”
เขาค่อยๆ ลดส้อมในมือลงไปไว้ในจานตามเดิม ลิ้นของเขาดันกระพุ้งแก้มอย่างคนใช้ความคิด
“กร”
การเรียกชื่อนั้นช่างแผ่วเบา
“เธอทำงานให้เปรมมานานแค่ไหนแล้ว”
ฮะ? อะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย
“ก็...ยังไม่เคยได้ทำงานด้วยกันเลยครับ เขาแค่มาทาบทามไว้”
“อ๋อ...”
เขาเหลือบตามองผมเล็กน้อยแล้วหลบไป
หงุดหงิดโว้ย
“หมอมีอะไรอยากจะพูดก็พูดสิ จะอมพะนำไว้ทำไมกัน”
ไอ้ท่าทางเหมือนคนกำลังชั่งใจแบบนี้มันโคตรน่าหงุดหงิดเลย ให้ตายเถอะ
ฝ่ามือใหญ่วางจานลงบนพื้นก่อนจะเอามากุมกันไว้ นัยน์ตาสีฟ้าสบเข้ากับนัยน์ตาของผมเขม็ง
มีบางอย่างในใจร้องบอกผมว่า ‘ซวยแล้ว’
“ผมก็แค่อยากรู้...”
เขาค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นทีละนิด
“ว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเธอรู้จักสปาเก็ตตี้ได้ยังไง”
....
ฮะ ฮะ ฮะ หมอก็เข้าใจถามเนอะ
....
ยิ้มแห้งสิครับ
*******************************************************************************
[เกร็ดความรู้]
หลายคนอาจจะสงสัยว่าคุณเปรมของเราเขาต้องร่ำรวยแค่ไหนถึงจะสามารถไปศึกษาที่ต่างประเทศแล้วไปเจอกับคุณหมอปีเตอร์ได้ วันนี้ปิงปองเลยเอาเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อย ๆ มาฝากค่ะ
"เรามักจะเข้าใจว่านักเรียนไทยเริ่มไปเรียนเมืองนอกกันในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ เห็นได้จากพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ที่เสด็จไปศึกษาต่อในยุโรปในยุคนั้น แต่ในความเป็นจริง ยุคนักเรียนไทยไปเรียนเมืองนอก ถอยหลังย้อนกลับไปเก่ากว่านั้นมาก คือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔
คนไทยจำนวนน้อยนิดในรัชกาลที่ 3 และ 4 ที่รู้ภาษาตะวันตกเหล่านี้ เป็นผู้วางรากฐานความสำคัญของภาษาและวิทยาการตะวันตกให้เพิ่มพูนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกลายเป็นความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ขุนนางข้าราชการในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่จะส่งบุตรหลานของตนไปศึกษาต่อ ณ ทวีปยุโรป"
อ้างอิง:
นักเรียนนอกยุคแรก