Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]  (อ่าน 61594 ครั้ง)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************************************

สวัสดีค่ะ Airin_and เอง ^^
เรียกไอรินก็ได้น้า

สารบัญ
บทนำบทที่ 1บทที่ 2บทที่ 3บทที่ 4บทที่ 5บทที่ 6บทที่ 7บทที่ 8บทที่ 9บทที่ 10บทที่ 11บทที่ 12บทที่ 13บทที่ 14บทที่ 15บทที่ 16บทที่ 17บทที่ 18บทที่ 19บทที่ 20บทที่ 21บทที่ 22บทที่ 23บทที่ 24บทที่ 25

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่ลงในเล้า
My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (จบแล้ว)ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (On Air)Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (จบแล้ว)Faded Fog หมอกเลือนรัก (On Air)

ถ้ามีอะไรผิดพลาด ยังไงก็ฝากให้คำแนะนำด้วยนะคะ

มาพูดคุยและติดตามกันได้ตามนี้เลยค่ะ
FacebookTwitter

ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ :)
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2018 19:25:30 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทนำ



เอลเลียต เทย์เลอร์กำลังนั่งอยู่ในห้องสอบปากคำที่มีประตูทางออกเพียงบานเดียว เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่หันหน้าเข้ากระจกใสที่มองไม่เห็นอีกด้าน แต่เขารู้ดีว่าคนอีกฝั่งสามารถมองเห็นเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีหน้าต่างสำหรับระบายอากาศ ไม่มีอะไรที่อาจจะพอเป็นทางออกในห้องปิดทึบแห่งนี้ แต่อย่างกับว่าถ้ามีหน้าต่างแล้วเขาอยากจะเสี่ยงตายด้วยการกระโดดลงไปจากชั้น 7 ของอาคารนี้งั้นแหละ

ว่าแต่… แล้วคนพวกนี้จะปล่อยให้เขารอไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องทำงานกันอย่างรวดเร็วฉับไวหรอกเหรอ นี่ปล่อยให้เขานั่งรอในห้องนี้มากว่ายี่สิบนาทีแล้วนะ

เอลเลียตก้มลงมองมือที่ประสานกันบนโต๊ะอย่างคนไม่มีอะไรทำ เหงื่อที่ชื้นขึ้นมาตอกย้ำให้รู้ว่าเจ้าของร่างกำลังเกร็งและตื่นกลัว แม้เจ้าตัวจะพยายามทำสีหน้าราบเรียบเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจเขากลับร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเชิญตัวมาที่โรงพัก

แต่… มันคงไม่มีอะไรหรอกน่า คนพวกนี้แค่อาจจะสงสัยเขา แต่ยังไงก็ไม่มีทางหาหลักฐานอะไรมามัดตัวเขาได้อยู่แล้ว

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าที่พยายามปกปิดความหวาดหวั่นในใจเอาไว้เริ่มขยับหัวแม่มือทั้งสองข้างหมุนวนไปมาโดยไม่ให้มันสัมผัสกัน

อันที่จริงแล้ว นี่ก็แค่กลยุทธ์ขั้นพื้นฐานที่พวกตำรวจใช้กัน ปล่อยให้เหยื่อจมอยู่กับความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง แล้วจิตใจก็จะอ่อนล้าไปเอง พอถึงเวลาที่จะเค้นความจริงก็จะป้องกันตัวได้ไม่เต็มที่นัก คนที่ขึ้นโรงขึ้นศาลบ่อยๆ จะชินกับวิธีการนี้อยู่แล้ว

แต่สำหรับเอลเลียต ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเตรียมตัวเตรียมใจกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่ลงมือก่อเหตุปล้นธนาคารครั้งแรกเมื่อห้าเดือนก่อน แต่พอได้มาอยู่ในห้องนี้จริงๆ เขาก็อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้

ในที่สุดการรอคอยที่แสนจะทรมานก็ยุติลง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเจ้าเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงใดๆ เอลเลียตเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันทีและได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก

ประเมินจากสายตาแล้วหมอนี่ต้องสูงถึงกว่าหกฟุตสองนิ้วแน่ๆ เรียกได้ว่าสูงจนน่าอิจฉาเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจกว่านั้นก็คือใบหน้าคมสันที่ดูหล่อเกินความจำเป็นสำหรับคนทำอาชีพสายนี้นี่สิ เส้นผมสีดำสนิทกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอ่านยากที่เหมือนจะดูดกลืนทุกอย่างเข้าไปได้นั่น คือบอกได้เลยว่าหน้าตาแบบนี้ไปเป็นซูเปอร์สตาร์ค้ำฟ้าเถอะ อย่ามาทำอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แบบนี้เลย เสียของจริงๆ

“สวัสดีครับ คุณเทย์เลอร์” น้ำเสียงราบเรียบ สุภาพแต่ห่างเหินดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของที่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม วางแฟ้มคดีบางๆ ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองตาเขาตรงๆ “ขอโทษที่ปล่อยให้คุณรอนาน”

“ผมไม่ยักรู้นะว่าตำรวจนี่เขาคัดหน้าตาคนเข้ามาทำงานด้วย” พอเห็นคนหน้าตาดีเข้าหน่อยความตื่นกลัวในใจก็ลดลงไปเกือบครึ่งแน่ะ แม้ว่าเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนี่จะเย็นชาอย่างน่าขนลุกก็เถอะ “ทำไมคุณไม่ลองไปออดิชั่นหนังสักเรื่องล่ะ หรือนายแบบก็ได้ น่าจะได้เงินดีกว่านี้นะ หน้าตาแบบคุณ ไม่น่ามาเป็นตำรวจเลย เสียดายของ ”

“ผมชื่อคีล วิลล์” อีกฝ่ายแนะนำตัวราวกับไม่ได้ยินคำพูดกวนประสาทจากผู้ต้องหาตรงหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ผมเรียกคุณว่าคีลได้ไหม”

“แน่นอน เอาล่ะคุณเทย์เลอร์ ผมคิดว่าคุณคงได้รับทราบข้อกล่าวหาของตัวเองมาบ้างแล้ว เรื่องที่คุณวางแผน ทำการปล้นชิงทรัพย์ธนาคารมาทั้งหมดสามครั้ง ครั้งหนึ่งที่นิวเจอร์ซีย์ อีกครั้งที่แมนฮัตตัน แล้วก็ครั้งล่าสุดที่บรู๊คลิน”

“บ้าไปใหญ่แล้ว” เขาพยายามทำเสียงให้เหมือนหัวเสียเล็กน้อย แต่ดูเหมือนหางเสียงจะสั่นไปนิด “ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง ก็ในเมื่อวันเวลาที่เกิดเหตุ ผมยังนั่งทำงานในออฟฟิศหรือไม่ก็พาลูกค้าไปชมบ้านตัวอย่างอยู่เลย ไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอก พวกคุณจับผิดคนแล้ว”

“ผมมีพยานเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ แล้วก็หลักฐานอีกสองสามชิ้นที่บอกว่าคุณไม่ได้อยู่ในที่ทำงานวันนั้นจริงๆ อย่างที่คุณอ้าง” คีลพูดพลางวางรูปถ่ายเอกสารจำนวนหนึ่งซึ่งบ่งชี้คำพูดของเขาได้

เอลเลียตรู้สึกว่าหน้าซีดลง ก่อนจะพูดเชิดหน้าขึ้นมาใหม่ ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องตาคู่สนทนาตรงๆ

“ก็ได้ ผมยอมรับ ผมกับเพื่อนๆ สลับวันหยุดกันแบบนี้บ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วยังไงล่ะ บางครั้งเราก็อยากมีเวลาส่วนตัวของตัวเองแบบที่ไม่ให้เจ้านายรู้บ้าง มันอาจจะผิดกฎบริษัท แต่ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไรสักหน่อย”

คีลเลิกคิ้วขึ้น ถามกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจอย่างเสแสร้ง

“แปลว่ามันแค่เรื่องบังเอิญสินะครับ ที่คุณจะอยากไปทำเรื่องส่วนตัวในวันที่เกิดการปล้นธนาคารขึ้นถึงสามครั้ง"

เอลเลียตผายมือออกไปข้างตัว “เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้เสมอ คุณไม่คิดงั้นเหรอ”

สายสืบหนุ่มไม่พูดอะไร เขาหยิบซองกระดาษที่ด้านหน้ามีสีสันหลากหลายและมีรูปเครื่องบินปรากฏอยู่ เขาหยิบตั๋วเครื่องบินที่อยู่ในซองนั้นออกมา

“คุณมีแผนบินเนเธอร์แลนด์ วันอาทิตย์หน้า?”

 เอลเลียตถอนหายใจเอื่อยๆ “คนเราก็ต้องอยากมีเวลาพักผ่อนบ้าง”

“ดูเหมือนจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียวนะ”

“ผมแค่ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหนเท่านั้นเอง”

คีลวางมือลงบนโต๊ะ จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งอย่างคุกคาม เขาสัมผัสได้ถึงความตื่นกลัวของชายหนุ่มตรงหน้า และรู้ดีว่าตัวเองต้อนมาถูกทางแล้ว

“คุณรู้จักเว็บที่ให้บริการอีเมลของ merrykings ไหม”

“อะไรนะ” เขาพยายามทำเสียงให้ดูสับสนที่สุด แต่อะไรบางอย่างก็บอกว่าไม่เนียน “ไม่ ผมไม่เคยได้ยิน”

“ไม่หรอก คุณมีอีเมลแอคเค้าท์ของบริษัทนี้”

เอลเลียตปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ว่าแล้วเชียวว่าเขาควรจะยืนยันหนักแน่นเรื่องการใช้โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งแทนที่จะเป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นี่ แต่คนในทีมเขาไม่เคยฟังเลย

“ใช่ บางทีผมคงมี ไม่รู้สิ ผมสมัครอีเมลไว้หลายที่น่ะ”

“เราติดต่อไปที่ทางบริษัทนี้แล้ว เขามีบันทึกทุกอย่างที่คุณติดต่อกับอดัมส์ โคล์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของธนาคารล่าสุดที่โดนคุณปล้น”

“ผมไม่ได้--”

“นั่นคือวิธีการของคุณสินะ วางแผน ฟอร์มทีม หาคนวงใน ถึงรายละเอียดทั้งหมดจะไม่อยู่ในอีเมลพวกนั้น แต่มันคงเพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐานในการโยนตัวคุณขึ้นไปบนศาล”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่รู้เรื่อง” สีหน้าของเอลเลียตซีดเป็นกระดาษอย่างน่าสงสารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคีลอาจจะรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มสักหน่อยก็ได้ ยิ่งอีกฝ่ายมีใบหน้าแบบที่เขาชอบ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มยาวระต้นคอที่เข้ากับใบหน้าได้รูป นัยน์ตาสีฟ้าใสที่ดูไม่มีพิษภัยที่ขัดกับตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของนั่นก็ด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้คีลรู้สึกสะใจกับชัยชนะที่อยู่เบื้องหน้ามากเกินไป ความเห็นใจอะไรที่ว่านั่นไม่มีเลยแม้แต่น้อย

“คุณอยากให้ผมปริ้นท์อีเมลที่คุณคุยกับโคล์มาให้ดูด้วยไหม”

เอลเลียตกำมือแน่นขึ้น จ้องหน้าคีลอย่างคับแค้นใจ พูดอะไรไม่ออก รู้สึกจุกในช่องท้องไปหมดตอนที่เห็นมุมปากของคนที่ทำหน้าขรึมมาทั้งงานยกขึ้นนิดๆ อย่างสะใจ

รอยยิ้มทำให้ใบหน้าของสายสืบหนุ่มดูดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนั้นเขาไม่เถียงแน่ แต่เอลเลียตไม่มีเวลามาชื่นชมเพราะรอยยิ้มเยาะนั่นมันมีความหมายเพียงอย่างเดียวในสถานการณ์นี้

รอยยิ้มแห่งชัยชนะ… และคนแพ้ก็คือเขา

“ผมต้องการทนาย” เอลเลียตเค้นเสียงของตัวเองออกมาได้ในที่สุด

“คุณแน่ใจนะ?” คีลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ถ้าคุณยอมเจรจายอมความตอนนี้กับผม เราอาจจะหาข้อเสนอดีๆ มาให้คุณได้ก็ได้”

เขาอยากจะได้… อยากจะได้ข้อเสนอที่ว่านั่นใจจะขาด แต่ถ้าทำแบบนั้น นั่นก็เท่ากับตัวเองยอมรับไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามีความผิดในคดีที่อีกฝ่ายว่ามาจริง

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์งั้นเหรอ… ไม่เอาดีกว่า เขายอมที่จะเสี่ยง

“ผมต้องการทนาย ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของคีลกว้างมากขึ้น และมันทำให้เขารู้สึกระหว่างหวาดกลัวกับอยากจะจับอีกฝ่ายกดลงบนโต๊ะแล้วจูบปากสวยๆ นั่นให้รู้แล้วรู้รอด

“งั้นคุณก็จะได้อย่างที่ต้องการ น่าเสียดายนะ ผมนึกว่าอายออฟไอเดนจะฉลาดกว่านี้เสียอีก”

เอลเลียตตัวชา อายออฟไอเดนที่ว่านั่นเป็นฉายาในวงการของเขา นี่หมอนี่ขุดเรื่องของเขาได้ลึกถึงขนาดไหนกันแน่ อ้อ ใช่ แต่เขาก็ใช้ฉายานั่นในเมลนั่นนี่หว่า ฉิบหายเอ๊ย ต่อให้เป็นบริษัทดูแลเครือข่ายที่ซิเคียวริตีดีแค่ไหน แต่ถ้ามีตำรวจมาเอี่ยวก็จบกันสินะ

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร” และอาจเพราะเริ่มตั้งตัวได้ คราวนี้ชายหนุ่มผมน้ำตาลถึงได้รักษาท่าทีสงบของตัวเองได้ดีกว่าที่ผ่านมา แต่นั่นกลับไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้คีลคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจมากกว่าเดิมขณะที่ลุกออกจากเก้าอี้ของตัวเองแล้วตรงไปที่ประตู

“งั้นเราคงได้เจอกันในศาล” คีลว่า

“มันอาจจะไม่ไปถึงขั้นนั้นก็ได้ เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ คุณรู้อะไรไหม คุณสายสืบ”

คนผมดำหันกลับมามองหน้าเอลเลียตพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม

“ถ้าเราเจอกันข้างนอก… ไม่ต้องไกลมากก็ได้ เอาแค่หน้าตึกนี่ ผมว่าผมคงชวนคุณไปหาอะไรทานด้วยกันแล้ว”

คีลนิ่งไปนิดหนึ่งกับคำพูดที่เหมือนพยายามจะจีบเขาของอีกฝ่าย และนั่นทำให้เอลเลียตที่ตกเป็นรองมาตลอดชักได้ใจ อย่างน้อยก็เขาให้เขารู้สึกว่าได้อยู่เหนือไอ้หมอนี่สักหน่อยเถอะ ถึงจะเป็นเรื่องแบบนี้ก็ยังดี

“งั้นก็น่าเสียนะครับ” คนผมดำพูดขึ้นในที่สุด “เพราะผมคงไม่ไปกินข้าวกับใครในคุกแน่ ไว้ชวนคนอื่นเถอะ”

“!?” ว้าก! ไอ้บ้านี่มันเอาเรื่องที่น่ากลัวที่สุดมาล้อเล่นกับเขา ใครจะเข้าไปอยู่ในคุกฟะ!?

“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คุณเทย์เลอร์” เมื่อเห็นว่าเอลเลียตกล้าหยอดเขาขนาดนี้ คนที่ไม่ยอมใครอย่างคีลคงปล่อยไว้ไม่ได้ “เรามีเรือนจำแบบพิเศษสำหรับเพศที่สามด้วยนะ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเกินเหตุไปนะครับ”

“คุณ!” เอลเลียตทุบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นพรวด ใบหน้าขาวแดงขึ้นเพราะอารมณ์รุนแรงด้านใน และมันยิ่งแย่เข้าไปอีกตอนที่ใบหน้าแบบที่เขาชอบนั่นหันกลับมายิ้มนิดๆ ให้ จากนั้นก็กลับไปเคร่งขรึมตามเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่รู้เลยว่าจะเลือกชอบหรือเกลียดไอ้หน้าหล่อนี่ดี!





---------------------------------------

Talk: ความเรื่องใหม่งอกนี้มันอะไรกัน ถถถถถถถ ยังไงก็ฝากติดตามคีลกับเอลเลียตกันด้วยนะคะ <3

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หนุ่มน้อยริอาจเป็นโจร น่าเอ็นดูจังเลยยยย  :hao5:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ้ากกกก ติดตามค่ะ น่าจะเผ็ชน่าดู เปิดเรื่องมานึกว่าเอลเลียตจะรับแต่พออ่านจนจบชักจะไม่ใช่ละ อยากเห็นเอลเลียตกดคุณคีล 555

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
มารอ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 1



คีลนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งมีโต๊ะสี่เหลี่ยมแสนน่าเบื่อตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเก้าอี้อีกตัวที่มีชายหนุ่มในชุดหมีสีส้มซึ่งเป็นเครื่องแบบของนักโทษตีหน้าบูดบึ้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ละคนที่พ่ายแพ้ในศาลข้อหาวางแผนปล้นธนาคารสามแห่งก็หนีไม่พ้นเอลเลียต เทย์เลอร์เจ้าเก่า ชายหนุ่มผมน้ำตาลดูซูบผอมลงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ดูโทรมแบบหมดอาลัยตายอยากแบบนักโทษคนอื่นๆ ที่คีลเคยเจอมา บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเป็นคนที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเก่งไม่ใช่น้อย

...เพราะแบบนั้นถึงได้ไปเป็นโจรปล้นธนาคารได้ยังไงล่ะ

คดีทั้งสามกระทงที่เอลเลียตโดนนั้น ว่ากันตามตรงแล้วถือเป็นหนึ่งในคดีที่ปิดยากที่สุดอันดับต้นๆ ของคีลเลยก็ว่าได้ เพราะคนวางแผนก่ออาชญากรรมหรือที่รู้จักกันในนาม ‘อายออฟไอเดน’ นั่นมีลูกเล่นที่แพรวพราวและไม่ซ้ำแบบกันเลยในการลงมือแต่ละรอบ นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคยรับคดีก่อนหน้าเขาสับสนด้วยไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่

โดยครั้งหนึ่งอายออฟไอเดนจะลอบเข้าไปในธนาคารเป้าหมายยามวิกาลและหาวิธีเอาเงินออกมาจากตู้เซฟได้โดยแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ส่วนอีกครั้งเป็นการปล้นกันต่อหน้าต่อตาตอนกลางวันแสกๆ แบบถือปืนเข้าไปในด้านในและข่มขู่เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยวิธีการสุดคลาสสิก และครั้งที่สามที่ทำให้เขาจับเอลเลียตได้ เจ้าตัวก็เพิ่มลูกเล่นด้วยการให้หนึ่งในแก๊งสมาชิกแกล้งเป็นเหยื่อที่หวาดกลัวปะปนไปกับตัวประกันคนอื่นๆ อีกด้วย และเหยื่อปลอมๆ รายนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น อดัมส์ โคล์ หนอนบ่อนไส้ของธนาคารแห่งนั้นนั่นเอง

นี่ยังไม่นับเรื่องขนาดของธนาคารและจำนวนเงินที่ถูกขโมยไปแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง เหมือนกับผู้ก่อเหตุระมัดระวังตัวอย่างมากที่จะลงมือแบบเดิมๆ และคีลก็ต้องยอมรับว่ามันปั่นหัวตำรวจอย่างพวกเขาได้ผล บางทีถ้าไม่ใช่เขาที่เข้ามารับคดีนี้กะทันหัน อายออฟไอเดนก็อาจจะไม่ได้รับการจับกุมตัวก็ได้

ไม่สิ เอลเลียต เทย์เลอร์คงไม่ได้รับจับกุมตัวเป็นแน่ เห็นจากตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวที่อีกฝ่ายซื้อไว้ก็รู้แล้ว เรียกได้ว่าเขาเข้ามารับหน้าที่นี้ต่อได้อย่างถูกจังหวะอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

“สวัสดีครับ คุณเทย์เลอร์ เป็นยังไงบ้าง”

“หายหัวไปนานนี่คุณ” คนในชุดส้มพูดเสียงขุ่น หลังจากที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นที่ศาลเพื่อให้ปากคำในการจับเขายัดตาราง เอลเลียตก็ไม่ได้เจอคีลอีกเลย นี่ก็ผ่านมาสามสี่เดือนได้ “แต่ก็นะ ใช่ว่าผมอยากจะเจอตำรวจที่จับผมยัดเข้าที่นี่นักหรอก ถ้าทนายของผมรู้เขาจะเอ็ดผมแหลกแน่ เขาบอกว่าห้ามคุยกับตำรวจ โดยเฉพาะคุณ”

ตอนแรกเอลเลียตไม่แน่ใจหรอกว่าใครเป็นคนรวบรวมหลักฐานและรวบตัวเขาได้ เพราะอย่างตอนที่ถูกเชิญตัวไปโรงพักก็เป็นเจ้าหน้าที่สาวอีกคนที่ขอให้เขาไปในฐานะผู้ต้องสงสัย แต่แท้จริงแล้วคนที่มีผลงานแบบเต็มๆ ที่จับเขาได้คือหมอนี่… จนถึงตอนนี้ก็ยังนึกเสียดายหน้าหล่อๆ นั่นอยู่เลย ถ้าแค่สอบปากคำเขาอาจจะยังพอรู้สึกทำใจได้ แต่พอคิดว่าคีลนี่แหละที่จัดการเขาซะดิ้นไปไหนไม่รอด… โอ๊ย อยากจะล้มโต๊ะใส่หน้า

“แต่คุณก็ยังยอมมาคุยกับผมแบบนี้นี่” คีลว่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอ่านยาก ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในห้องปิดทึบที่ไม่มีทางออกใดๆ นอกจากประตูด้านหลังคีลบานเดียวอีกแล้ว โดนล่ามโซ่ไว้ที่ขา ใส่กุญแจมือไว้แบบนี้ อย่างกับจะหนีไปไหนได้ แถมแค่ก้าวพ้นจากประตูห้องคงโดนเป่าดับแล้ว “ผมว่าจริงๆ แล้วคุณอาจจะอยากพบผมก็ได้นะ”

พูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และสีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้… บอกเลยว่าดูไม่ออกว่าคีลตั้งใจแหย่เล่นรึเปล่า

“มีธุระอะไร”

“ผมอยากจะถามเรื่องเงินที่คุณขโมยไป”

เอลเลียตนิ่งไปนิดหนึ่ง ทางตำรวจรวบเงินของกลางได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินที่พวกเขาขโมยมาเท่านั้น มันค่อนข้างน้อยเมื่อนึกถึงมูลค่าเงินทั้งหมดที่ถูกปล้นไป แต่ก็มากพอที่จะเอาผิดเขาได้นั่นเอง

แต่พวกตำรวจจะไม่มีทางรู้หรอกว่าเงินนั่นอยู่ที่ไหน หรือถ้าจะรู้ อย่างน้อยก็จะไม่มาจากเขา

“ผมขอยืนยันคำเดิมจากที่เคยตอบไปแล้วนะ ผมใช้ไปแล้ว”

“ใช้ไปกับอะไร”

คนผมน้ำตาลยักไหล่ “ก็ตอบไปแล้วอีกเหมือนกัน การพนันไง”

“คุณกำลังจะบอกผมว่า เงินกว่าสิบล้านที่หายไปนั่น คุณเอาไปจมกับการพนันหมดงั้นเหรอ”

“ผมและทีมของผม จำได้ไหม”

“ข้อแก้ตัวฟังดูไม่ขึ้นสุดๆ คุณก็รู้”

“ผมว่าผมมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบอะไรมากกว่านี้แล้ว” นี่เป็นสิ่งที่ทนายเขาเสี้ยมสอนมาเหมือนกัน พูดให้น้อยที่สุด… ไม่พูดเลยยิ่งดี

“ต่อให้ทางเราจะเสนอลดโทษให้?”

เอลเลียตไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ “ผมบอกความจริงคุณไปหมดแล้ว”

“ผู้ร้ายปากแข็ง สงสัยจังว่าต้องใช้คีมมาง้างปากคุณให้พูดรึเปล่า”

“ฟังนะ คุณสายสืบ” เอลเลียตโน้มหน้าให้เข้าไปใกล้คีลมากขึ้น “คุณเองก็รวบตัวอีกสองคนในทีมผมมาได้จากข้อมูลที่ผมให้ไปแล้ว การลดหย่อนโทษอะไรที่ผมควรจะได้ผมก็ได้แล้ว แต่มันสิ้นสุดแค่ตรงนี้ และผมก็มีความสุขดี”

คีลยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เหลือบมองกุญแจมือที่พันธนาการข้อมือสองข้างของเอลเลียตไว้ จากนั้นจึงมองเลยไปถึงโซ่ล่ามที่ขา มันทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาติดอยู่ในคุกจริงๆ เพียงสามเดือนหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย แม้ว่าคีลจะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำก็ตาม

“เราต่างคนต่างก็รู้ว่ายังมีคนอื่นๆ ในแผนการของคุณอีก ถูกต้องไหม” คีลว่าอย่างรู้ดี เนื่องจากเป็นคดีที่เขามาจับทีหลัง การรวบตัวผู้ก่อเหตุในการโจรกรรมครั้งสุดท้ายได้ครบเพราะคดีมันยังสดใหม่และสืบเสาะหาเบาะแสได้ง่าย แต่กับอีกสองคดีเก่านั้น เขาไม่เชื่อว่าคนร้ายจะเป็นทีมเดียวกันตามที่เอลเลียตอ้าง

“ไม่มี เรามีกันแค่นี้แหละ นั่นคุณแค่ตั้งสมมติฐานมาเอง”

"เป็นอันว่าการเจรจาของเราล้มเหลวสินะ" คีลว่าอย่างไม่ทุกข์ร้อนขณะลุกขึ้นยืน ดูเหมือนเขาจะเดาเอาไว้อยู่แล้วกับผลลัพธ์นี้ เอเลียตเองพอเห็นอีกฝ่ายล่าถอยไปอย่างง่ายดายก็เริ่มเบาใจ แต่จังหวะที่เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก คนผมดำก็จู่โจมด้วยคำพูดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าอายออฟไอเดนจะมาอยู่ในสภาพแบบนี้" น้ำเสียงนั่นไม่ได้มีร่องรอยของความหมิ่นแคลน แต่มันทำเอาคนที่เคยภาคภูมิใจกับฝีมือการก่ออาชญากรรมของตัวเองมาก่อนอับอายขึ้นมาอีกรอบ ยิ่งตอนที่คีลยกยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ขณะพูดต่อไปว่า "ผมรู้ว่านี่มันเพิ่งผ่านมาแค่สามเดือน คุณคงใช้ชีวิตสุขสบายดีในนั้น แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นตลอดไปหรอก เทย์เลอร์ ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีสภาพน่าอดสูได้เพราะชีวิตของพวกเขาถูกกัดกร่อนอยู่ในนั้น คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอก ตอนนี้คุณอาจจะทนได้ แต่สักวันคุณจะนึกถึงข้อเสนอของผม หวังว่าตอนนั้นคุณจะยังมีโอกาสได้มันอยู่นะ คุณอายออฟไอเดน"

"เลิกเรียกผมแบบนั้นได้แล้ว"

คีลไม่พูดอะไรตอบ เขาก้าวพ้นประตูพร้อมกับบอกคนเฝ้าที่อยู่หน้าห้องว่าเสร็จธุระกับเอลเลียตแล้ว จากนั้นคนผมน้ำตาลถึงได้ถูกคุมตัวกลับเข้าที่คุมขังอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกว่าก่อนที่จะออกมามากนัก ทำไมเขาต้องมาเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบไอ้คีลด้วยนะ! ตำรวจคนอื่นว่าแย่แล้วก็ไม่เห็นเคยมีใครน่าโมโหเท่าหมอนี่เลย!






"เป็นไง วิลล์" โจนาธาน ฟอร์ด หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมผู้มีโต๊ะในออฟฟิศข้างๆ เขาถามขึ้นขณะที่คีลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง "ไปเรือนจำคราวนี้มาได้อะไรดีๆ กลับมาบ้างไหม"

"ไม่ได้" ตอบเสียงเรียบ หยิบเอกสารที่หย่อนอยู่ในกล่องบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมากวาดตาอ่าน "หมอนี่แกร่งอย่างกับหินผาเลยล่ะ ข้อเสนออะไรก็ไม่สนเลย"

"ใจเด็ดใช้ได้"

"ขอใช้คำว่าหัวดื้อดีกว่า แล้วนี่มันก็เพิ่งสามเดือน ไม่แปลกหรอกที่เขาจะยืนกรานแบบนั้น"

"นายลองรออีกซักสี่ห้าเดือนสิ ถึงตอนนั้นหมอนั่นอาจจะเริ่มคายออกมาแล้วก็ได้ อยู่ในที่แบบนั้นใครๆ ก็เหี่ยวเฉากันหมดทั้งนั้นแหละ ทนได้ไม่นานหรอก ถ้าได้ข้อเสนอลดโทษสักปีก็ยอมคายออกมาหมดแล้ว"

คีลไม่แน่ใจในเรื่องนั้น ถึงในสายตาเขาเทย์เลอร์จะดูเหยาะแหยะจากความประทับใจแรกที่เจ้าตัวนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มตอนโดนเรียกมาสอบปากคำ แต่จากสภาพที่ไม่ได้ดูทรุดโทรมลงไปมากอย่างที่เขาหวัง เขาก็ชักไม่แน่ใจว่าหมอนี่จะยอมรับข้อเสนอง่ายๆ แบบที่ฟอร์ดพูดไหม

ยอมยกคนในทีมสองคนในเขาจับ แต่ไม่ยกที่เหลือให้สินะ

"ไม่ล่ะ ถึงตอนนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นแล้ว ฉันจะปล่อยมือจากคดีนี้ล่ะ"

"ล้อเล่นรึเปล่า" โจนาธานทำตาโต "นี่เป็นผลงานชิ้นโบแดงของนายแล้วก็หน่วยเราเลยนะ โยนเนื้อไปให้คนอื่นเอาตอนนี้จะดีเหรอ วิลล์"

"ผมไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก" พูดเสียงเรียบ หยิบปากกาขึ้นมาหมุนในมือเตรียมเซ็นรับทราบในเอกสาร "อีกอย่าง คุณก็รู้ว่าผมชอบจับคดีแนวไหนมากกว่า คดีปล้นทรัพท์ ปล้นธนาคารอะไรนี่ไม่รวมอยู่ในนั้นเสียหน่อย"

"อ่า นั่นสินะ" ฟอร์ดว่า รู้ดีว่าคดีส่วนใหญ่ที่ได้รับมอบหมายและเป็นงานที่เจ้าตัวถนัดคือคดีที่มีคนตายเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ตามล่าพวกชิงทรัพย์แบบนี้ "แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นายยัดอายออฟไอเดนเข้าตารางได้ แถมด้วยทีมหมอนั่นอีกตั้งสองคน"

"และหลักฐานอะไรอีกหลายอย่างก็บอกว่ายังไม่ครบ แต่ช่างเถอะ ผมไม่คิดจะทำต่อแล้ว มีคดีอื่นให้ต้องทำอีกเพียบ"

"บอสต้องเฉ่งนายหนักแน่" โจนาธานว่าอย่างไม่จริงจังนักด้วยรู้ดีว่าอย่างไรวิลล์ก็ไม่สน

ว่ากันตามตรง คีลเองก็นึกเสียดายโอกาสที่อาจจะได้ไปเจอนักโทษคนนั้นอีกอยู่เหมือนกัน นึกถึงเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกับแววตาที่จ้องเขาอย่างโกรธเคืองแต่ไม่ถึงกับอาฆาตอย่างที่เขาเคยได้จากคนร้ายคนอื่นๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่าคนร้ายส่วนมากเป็นฆาตกรไม่ใช่อาชญากรอย่างหมอนั่นก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะตะกอนจางๆ ที่ตกค้างจากวันแรกที่พวกเขาสองคนได้คุยกัน

...ก็ว่าไปนั่น ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาคงไม่ได้เจอหมอนั่นอีกแล้วถ้าปล่อยมือจากคดีนี้

'หน้าตาแบบคุณน่าจะไปเป็นดาราไม่ก็นายแบบนะ ไม่น่ามาเป็นตำรวจเลย เสียดายของ'

เอลเลียต เทย์เลอร์จะรู้ไหมนะ ว่าเขาเองก็คิดแบบเดียวกันกับเจ้าตัวไม่มีผิด หน้าตาแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น... ไม่น่าไปเป็นอาชญากรเลย เสียดายของ!






"ให้ตายสิ" เอลเลียตครางด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเหลืออดขณะที่มือถือไม้กวาดทางมะพร้าวเอาไว้ หน้าที่ของเขากับนักโทษคนอื่นๆ กว่าอีกสิบชีวิตวันนี้คือการกวาดเศษใบไม้หลากสีที่ร่วงเกลื่อนกลาดพื้นถนนซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของเรือนจำแห่งนี้ "ทำไมคนเราจะต้องกวาดใบไม้ที่ร่วงลงมากต้นไปทิ้งด้วยนะ ให้มันอยู่แบบนั้นไปตามธรรมชาติก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ"

“อย่าบ่นนักเลย เทย์เลอร์” เบลค เรมิเรซ ชายหนุ่มผิวดำที่ตัวพอๆ กับเอลเลียตว่าขึ้น เขาเป็นคนที่อยู่ร่วมห้องขังกับเจ้าตัวนั่นแหละ ห้องที่พวกเขาอยู่มีเตียงสองชั้น เอลเลียตอยู่ชั้นบน เบลคอยู่ชั้นล่าง เอลเลียตคิดว่าโชคดีของเขาเพียงอย่างเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในคุกนี่คือได้หมอนี่เป็นเพื่อน “แค่กวาดใบไม้นี่ก็สบายจะตายห่าอยู่แล้ว อย่าร่ำร้องหาอะไรลำบากกว่านี้ทำเลย”

“แต่นี่มันยังเช้าอยู่เลย” คนผมน้ำตาลถอนหายใจ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำความสะอาดพื้นถนนที่ดูทอดยาวไปไกลกว่าทุกวัน

เขาได้ยินเสียงบางคนเริ่มคุยกัน หาอะไรอย่างอื่นทำระหว่างอู้งาน แม้แต่เบลคเองก็ยังผลุบๆ โผล่ๆ ไปคุยเล่นกับกลุ่มคนดำอีกกลุ่มที่พักกันอยู่อีกฟากตึกจึงไม่ได้เจอกันบ่อยนัก ส่วนผู้คุมก็คงอู้ด้วยเหมือนกันเพราะไม่เห็นโผล่มาว่าอะไร แต่เอลเลียตไม่คิดจะโทษพวกนั้นหรอก ถ้าเป็นเขา ในเช้าวันที่อากาศหน้านอนแบบนี้ เขาก็อยากจะอู้เหมือนกันนั่นแหละ

...ว่าแล้วก็หลบไปหาที่นอนเลยดีไหมนะ ใบไม้พวกนี้ก็ช่างมันเถอะ ถ้าผู้คุมมาว่าก็บอกไปว่ากวาดแล้ว แต่มันร่วงมาใหม่อีกรอบ ถึงจะดูกวนตีนไปหน่อยก็เถอะ

นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มหลุบลงมองปลายรองเท้ามอซอของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนหน้าขึ้นมามองตรง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลมพัดเข้ามาทำให้เส้นผมสีน้ำตาลปลิวไสวไปตามทิศทางของมัน

ลมเย็นๆ นั่นให้ความรู้สึกสดชื่น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างอย่างประหลาด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ราวปีกว่า เขาก็รู้สึกอึดอัดสลับกับว่างเปล่าแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เขาไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างใครบางคนที่อยู่ที่นี่มากว่าห้าปี ถ้าได้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนพวกนั้น เอลเลียตรับรู้เลยว่ามันช่างไร้ความหวังและว่างเปล่าอย่างแท้จริง

เขาภูมิใจที่ตัวเองเข้มแข็งพอที่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่ขณะเดียวกันเขาก็กลัวว่าสักวันเขาจะมีแววตาแห้งผากแบบนั้นเหมือนกัน

ก็นั่นสินะ การใช้ชีวิตอยู่ในคุกแบบนี้มันน่าเบื่อ…

ไม่มีเรื่องโลดโผนใดๆ ไม่มีอะไรเข้ามาท้าทายทักษะหรือความสามารถ ไม่มีเรื่องที่สามารถทำให้ยิ้มหรือหัวเราะได้อย่างเป็นสุขจนสุดหัวใจ

โคตรจะน่าเบื่อ

“เฮ้ เทย์เลอร์”

เสียงเรียกดังมาจากด้านหลังทำให้เอลเลียตหันกลับไปมอง และเมื่อได้เห็นว่าคนสามคนที่ก้าวเข้ามาหาเขาเป็นใคร ชายหนุ่มก็นึกอยากให้ชีวิตกลับไปน่าเบื่อเหมือนเดิมทันที

พี่เบิ้มที่ก้าวเท้ามาหาเขามีร่างกายกำยำแบบที่คงหักคอคนเหมือนหักไม้จิ้มฟันได้ ส่วนอีกสองคนข้างๆ ไซส์เล็กลงมาหน่อย น่าจะมีไว้ประดับบารมีมากกว่า แต่เอลเลียตที่อยู่ที่นี่มานานและรู้ดีว่าทั้งสามคนนี่มีฝีมือในการต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่ดีแค่ข่มขู่เหมือนบางพวก และจะเป็นเรื่องที่โง่มากถ้าเขาคิดจะสู้คนพวกนี้กลับด้วยตัวคนเดียว

ป้องกันตัวน่ะทำได้ แต่เอาชนะมันสามคนน่ะคงไม่ไหวแน่ อีกอย่าง… เขาพอจะเดาได้ด้วยว่าอีกฝ่ายมาหาเขาทำไม แค่ไม่ทำให้พวกนี้โกรธก็เป็นอันจบเรื่อง

“ว่าไง ดีเอโก้” เขาพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่ในใจน่ะระมัดระวังแบบสุดๆ “นายก็มากวาดใบไม้แถวนี้เหมือนกันเหรอ น่าเบื่อเนอะ อากาศดีแบบนี้ น่าจะแค่นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ”

“ยังพูดมากเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ”

นั่นเป็นหนึ่งในนิสัยเสียของเขา เวลาร้อนรนทีไรจะพูดเป็นต่อยหอยทุกที มันเป็นกลไกการป้องกันตัวโดยอัตโนมัติน่ะ ราวกับจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่กลัว… แต่จริงๆ แล้วมันให้ผลตรงข้ามมากกว่า และเขาควรจะแก้นิสัยบ้าๆ นี่ได้แล้ว

“มานี่กับพวกเราหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย”

“ตรงนี้ไม่ได้รึไง” อย่างน้อยในระยะสายตาก็ยังพอมีนักโทษคนอื่นๆ ให้เห็นบ้าง ส่วนผู้คุม… เวลาที่อยากให้อยู่น่ะ ไม่เคยอยู่หรอก

“ถ้าได้ ฉันจะมาเชิญชวนนายถึงที่แบบนี้รึไงวะ”

“โอ้โห ฉันนี่สำคัญจริง” นั่น ยังไม่ทันขาดคำ นิสัยเสียๆ มันก็เริ่มออกลายอีกแล้ว

“ผมทำให้มันหุบปากก่อนดีไหมครับ” ลูกกระจ๋อกใส่แว่นว่าอย่างเอือมๆ ดีเอโก้ส่ายหน้า

“ปล่อยมัน เดี๋ยวก็จบแล้ว”

เดี๋ยวๆๆ จบอะไร อะไรจบ พูดงี้มีเสียวนะโว้ย

และแล้วเอลเลียตก็ถูกเจ้าสามคนนี้รายล้อมในขณะที่หลังเขาชิดกับผนังสีขาวของตัวอาคาร

“ตำรวจคนที่มาหานายเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นมีธุระอะไร”

ว่าแล้วต้องไม่พ้นเรื่องนี้

ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวจะมาหา เอลเลียตก็เหมือนถูกปล่อยลืมมานานแสนนานจนเขานึกว่าคงไม่มีเรื่องอะไรคืบหน้าจากฝั่งนั้นอีกแล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา แม้ว่าส่วนหนึ่งในใจจะอยากเจอหน้าคนที่จับยัดเขาเข้าตารางอย่างประหลาดก็ตาม

และเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขอเรียกพบตัวเขา เอลเลียตก็รู้สึกลิงโลดเมื่อคิดว่าจะได้คุยกับคีลอีก และเพราะหวังไว้ พอพบว่าคนที่มาหาเขาไม่ใช่คีลแต่เป็นตำรวจคนอื่น ชายหนุ่มก็อดเซ็งไม่ได้เหมือนกัน

บางที… สาเหตุที่เขารู้สึกเบื่อๆ เมื่อครู่ อาจจะรวมถึงเรื่องนี้ด้วยก็ได้

“ก็แวะมาถามไถ่… จริงๆ ก็มีถามเรื่องเดิมบ้าง แต่ฉันก็ตอบไปเหมือนเดิม”

“แกแน่ใจนะ?”

เอลเลียตยักไหล่ “ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกอยู่แล้ว ถ้าสงสัยขนาดนั้นก็โทรถามเจ้านายเลยว่ามีความเคลื่อนไหวจากฝั่งตำรวจรึเปล่า ซึ่งถ้าจะมีก็ไม่ได้มาจากฉันแล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่มี”

ได้คำตอบที่พอใจแล้ว ทั้งสามคนนั้นก็จากไปโดยไม่ลืมวางท่าข่มกับพูดขู่คนผมน้ำตาลทิ้งท้าย เอลเลียตอยากจะถอนใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน แต่เอาจริงตอนนี้เขารู้สึกเซ็งมากกว่า นี่ขนาดเพิ่งผ่านมาปีเดียวกับอีกสองสามเดือน เขายังเบื่อหน่ายได้มากกว่านี้

อยาก… ทำอะไรที่มันตื่นเต้นกว่านี้จัง

นี่มันไม่ยุติธรรมเลย

ชายหนุ่มได้แต่ลอบคิดกับตัวเอง แน่นอนล่ะว่าเขาไม่ได้กระหายเรื่องตื่นเต้นถึงขนาดจะทำอะไรบ้าบิ่นที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของตัวเองได้

ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องอดทน





หลายเดือนต่อมา

ในขณะที่คีลกำลังขับรถตรงไปที่เกิดเหตุซึ่งได้รับวิทยุแจ้งมาว่าขอให้เขาไปช่วยตรวจสอบสภาพการณ์อยู่นั้น โทรศัพท์ที่อยู่บนเบาะข้างที่นั่งคนขับก็แผดเสียงขึ้น นัยน์ตาคู่คมเหลือบไปมองแวบหนึ่งก่อนจะหยิบหูฟังแบบบลูทูธขึ้นมาเสียบหูแล้วกดรับสาย

“สวัสดีครับ”

“สวัสดี วิลล์ วันนี้คุณจะเข้ามาสำนักงานหรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจครับ ผมมาดูคดีอีกที่หนึ่ง”

“คดีอะไรคะ”

“เจ้าหน้าที่เชอร์ริฟเจอศพโดนยิง ถูกทิ้งไว้ในรถ”

“ส่งคนอื่นไปทำแทน ฉันอยากให้คุณเข้ามาที่สำนักงานเดี๋ยวนี้”

คีลถอนหายใจออกมาเบาๆ ระวังมากพอที่จะไม่ให้ปลายสายได้ยิน “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”

“มีคดีที่ฉันอยากให้คุณทำ… คดีพวกแก๊งปล้นธนาคารที่ออกอาละวาดอยู่ตอนนี้ คุณก็น่าจะได้ดูข่าวแล้ว”

คราวนี้คีลถอนหายใจออกมาแบบไม่เกรงใจหัวหน้าเลยแม้แต่น้อย “บอสครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่อยากทำคดีพวกนั้น”

“คุณเป็นตำรวจนะคะ วิลล์” พูดเสียงตำหนิทีเดียว “ตำรวจดีๆ เนี่ย เขาเลือกงานกันด้วยเหรอ”

“ผมเองก็ทำหน้าที่ของผมอยู่เหมือนกันนะครับ ผมล่าความยุติธรรมให้กับเหยื่อที่ตายไปแล้วและไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้”

คราวนี้เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของเจนนิเฟอร์ เคลลี่ เจ้านายของเขาดังมาให้ได้ยิน

“ฉันรู้ค่ะ วิลล์ ฉันก็อยากให้คุณทำแต่คดีพวกนั้น แต่นี่ทางผู้ใหญ่บีบฉันมา ฉันพยายามพูดแล้วว่าทีมของเราเน้นสืบสวนคดีฆาตกรรม แต่คุณเป็นมือหนึ่งที่ดีที่สุดของเรา และผลงานของคุณเมื่อสองปีก่อนก็ประทับใจพวกเขาเหลือเกิน”

มันผิดมาตั้งแต่เมื่อคราวก่อนแล้วสินะ

“วิลล์คะ ครั้งนี้ถือว่าฉันขอ--”

“ตกลงครับ” คีลตัดบท เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายคอยสนับสนุนเขามาตลอด แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอะไรตามใจตัวเองจึงยังอดดื้อดึงไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นผมขอเคลียร์คดีตรงนี้ก่อน แล้วผมจะรีบไปทำคดีที่คุณว่าต่อ ขอวางก่อนนะครับ บอส ผมขับรถอยู่”

ถือว่าเขากับหล่อนมาเจอกันครึ่งทางแล้วนะ





-------------------------------------------------

Talk: บทหนึ่งก็งอกจนได้ค่ะ XD ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านกันนะคะ ยังไงก็อย่าลืมคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันหน่อยนะ >3<

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เอลเลียตต้องติดคุกอีกกี่ปีเหรอเนี่ย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
จะติดคุกกี่ปีเนี่ย ดูท่าเรื่องคดีคงอีกยาว  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 2



คีลภาวนาให้คดีนี้เป็นคดีที่ยืดเยื้อและลากยาวไปให้นานแสนนาน มันผิดต่อผู้ตายกับหัวหน้าสาวของเขาก็จริงที่คิดแบบนี้ แต่เขาไม่อยากกลับไปทำคดีอาญาที่ไม่อยากทำ

“ฆ่าตัวตาย”

แต่แล้วความหวังของเขาก็ต้องดับวูบลงอย่างรวดเร็วเมื่อข้อสรุปที่ตัวเองได้ออกมาเป็นอย่างนั้น

เจ้าหน้าที่เชอร์ริฟในชุดเครื่องแบบสีน้ำตาลอ่อนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถามขณะที่คีลค่อยๆ เคลื่อนศพเข้ากลับตำแหน่งเดิมที่เขาขยับเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบ แม้ว่าเจ้าหน้าที่คนที่เป็นคนเรียกเขามาจะเอ่ยห้ามเพราะอยากให้พวกทีมเก็บหลักฐานมาทำหน้าที่ให้เรียบร้อยก่อน แต่คีลก็ไม่ฟัง ชายหนุ่มก็เลยได้แต่ปล่อยให้สายสืบหนุ่มพิจารณาใบหน้าของผู้ตาย ตวัดมือเข้าจมูกราวกับต้องหากลิ่นอะไรบางอย่าง ปืนเจ้าปัญหาที่เป็นอาวุธคร่าชีวิตชายหนุ่มคนนี้ตกอยู่ที่พื้นรถ และไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ก็พูดข้อสรุปออกมาอย่างง่ายดาย

"ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอครับ? คุณวิลล์"

คีลไม่ตอบคำถามในทันที ชายหนุ่มทำมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายรอ จากนั้นจึงเริ่มตบตามเนื้อตัวของร่างกายที่ไร้วิญญาณและได้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนออกมาถือในมือ เขาถอดถุงมือออกข้างหนึ่งเพื่อเลื่อนเปิดหน้าจอ โปรแกรมที่ถูกเปิดค้างไว้เต็มไปด้วยตัวอักษรแสดงความสำนึกเสียใจและความกดดันต่างๆ ที่ไม่อาจทนรับไว้ได้ เขาส่งหลักฐานชิ้นนั้นให้เจ้าหน้าที่เชอร์ริฟ

"จดหมายลาตาย"

ชายหนุ่มรับไปอ่านด้วยสีหน้าที่สลดลง "น่าเสียดาย ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปัญหารุมเร้าขนาดทำให้คิดสั้นแบบนี้"

"ใครๆ ก็มีปัญหาในชีวิตทั้งนั้นแหละครับ" พูดพลางถอดถุงมืออีกข้าง ไม่มีสีหน้ายินดีที่สามารถปิดเคสนี้ได้อย่างรวดเร็วเลยแม้แต่น้อย "ขึ้นอยู่กับว่าจะมากจะน้อย และใครจะแกร่งพอที่จะรับมันไว้ได้ก็เท่านั้น"

"มันก็ใช่อยู่หรอกครับ" อีกฝ่ายว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ของคีลแผดเสียงขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบขึ้นมากดรับ สายนี้มาจากโจนาธาน เพื่อนข้างโต๊ะเขา

"เฮ้ หวัดดี วิลล์ เดาว่านายคงได้สายจากหัวหน้ามาก่อนแล้ว"

"ได้แล้ว" แค่พูดแค่นี้เขาก็เห็นลิ้นไก่อีกฝ่ายแล้ว นี่คงจะโดนบอสขอให้มากล่อมเขาอีกคนล่ะสิ

"อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะ แต่บอสบอกว่าให้ทำยังไงก็ได้ให้ลากนายออกมาจากคดีที่ทำอยู่ตอนนี้แล้วมารับคดีปล้นธนาคารนี่แทน ต่อให้นายจะยังปิดคดีนั่นไม่ได้ก็เถอะ บอสจะส่งคนอื่นเข้าไปทำแทน"

คีลฉลาดพอที่จะไม่บอกว่าเขาปิดคดีนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว "แล้วถ้าผมตอบปฏิเสธล่ะ?"

"ไม่เอาน่า เพื่อน" ปลายสายเริ่มโอดโอย "นี่ฉันเองนะ คู่ซี้นายนะเว้ย นายจะใจดำปฏิเสธฉันได้ลงคอจริงๆ เหรอ"

นั่นเรียกรอยยิ้มของคีลได้จริงๆ เขากำลังจะบอกความจริงอีกฝ่ายและเตรียมตอบรับอยู่แล้ว จนกระทั่งโจนาธานพูดแทรกขึ้นมา

"เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงข้าวเลยเอ้า! ร้านสเตฟานร้านโปรดนายเลย"

"วันศุกร์หลังเลิกงาน โอเคไหม"

"โอเคที่สุดเลย งั้นนายก็รีบย้ายก้นสวยๆ ของตัวเองมาที่สำนักงานตอนนี้ ตกลงตามนี้นะ?"

"ตกลง"

อีกฝ่ายตอบรับง่ายดายจนปลายสายเริ่มรู้สึกแปลกๆ "ถามจริงดิ? นี่นายยอมทิ้งคดีแลกกับการกินฟรีร้านสเตฟานเนี่ยนะ? ผีเข้ารึเปล่าเนี่ย"

"ใครบอกผมทิ้งคดี" คีลแกล้งตอบเสียงเรียบ "ผมปิดเคสนี้ได้แล้วต่างหาก แล้วมันก็ไม่ถือว่าเป็นคดีด้วยเพราะมันเป็นการฆ่าตัวตาย"

"วิลล์" ปลายสายพูดเสียงต่ำเป็นเชิงขู่ และนั่นทำให้คีลหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

"เย็นศุกร์นี้เรามีนัดกันแล้วนะ อย่าผิดสัญญาล่ะ"

"ไอ้เพื่อนบ้า จำไว้เลยนะ ฉันจะสาปแช่งนาย"

"จะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยครับ อย่าลืมโทรไปจองโต๊ะของวันศุกร์ด้วยนะ ฟอร์ด"

"แค้นครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมแน่" หากน้ำเสียงกลั้วหัวเราะด้วยความขบขันของปลายสายทำให้คีลหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ

ค่อยรู้สึกมีแก่ใจที่จะทำคดีอาญานี่สักหน่อย






คนที่นัดพบเขาวันนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาหาเขาเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่ใช่คีล วิลล์ที่ยัดเข้าคุก แต่เป็น ลอเรน ลี ทนายสาวประจำตัวของเขาเอง หล่อนแวะมาเยี่ยมเขาครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว เอลเลียตจึงเดาไว้ว่านี่คงเป็นวันที่เจ้าหล่อนตั้งใจมาเยี่ยมเขาส่วนของปีนี้

"สวัสดีค่ะ เอลเลียต" หล่อนส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตรระหว่างที่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม "มันคงจะแปลกๆ ใช่ไหมคะถ้าฉันจะถามว่าสบายดีรึเปล่า"

เอลเลียตจับจ้องใบหน้าขาวผ่องบ่งบอกถึงความสดใสของหญิงสาว เส้นผมสีดำสนิทกับนัยน์ตาสีเดียวกันเนื่องจากสายเลือดชาวเอเชียที่ไหลวนอยู่ในตัว แค่มองตาเจ้าหล่อนเขาก็รับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาและความคาดหวังต่ออนาคตของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แวบหนึ่งเขานึกอิจฉาเจ้าหล่อนขึ้นมา แววตาแบบนั้นเหมือนเป็นสิ่งที่เขาทำตกหายไปตั้งแต่มาอยู่ในสถานที่แห่งนี้

"อาจจะแปลก แต่ผมไม่ถือหรอกครับถ้าคุณจะถามแบบนั้น มันเป็นคำถามทั่วไปอยู่แล้ว และผมก็จะตอบให้ก่อนล่วงหน้าเลย ผมสบายดี อาจจะเบื่อๆ นิดหน่อยแต่ก็สบายดี"

จังหวะนั้นเองที่มีเสียงโวยวายดังมาจากอีกโต๊ะที่ห่างกับพวกเขาไปไม่ใกล้ไม่ไกล เนื่องจากห้องที่เขาได้มาพูดคุยกับทนายคราวนี้ไม่ใช่ห้องแบบปิดทึบแบบตอนที่ได้เข้าไปคุยกับคีล แต่เป็นห้องรวมสำหรับนักโทษที่มีคนมาเยี่ยมนั่นเอง และตอนนี้ผู้คุมก็กำลังลากคอนักโทษชายที่ออกแรงดิ้นปัดๆ หน้าแดงด้วยความโกรธคู่สนทนาที่ดูจะอารมณ์เสียไม่แพ้กัน ไม่กี่วินาทีต่อมาชายในชุดหมีสีส้มก็โดนลากกลับเข้าไปในบริเวณที่คุมขัง และความสงบก็กลับมาอีกครั้ง

ลอเรนส่งยิ้มแหยๆ มาให้ในขณะที่เอลเลียตยักไหล่อย่างคนที่เห็นภาพพวกนี้จนชินตา "เรื่องปกติน่ะ เกิดขึ้นตลอดเช้าสายบ่ายเย็น"

"คุณคงลำบากน่าดูที่ต้องมาอยู่ในที่แบบนี้"

"ไม่ต้องพูดปลอบใจกันก็ได้ครับ" เขาว่าอย่างรู้ตัวดี เรือนจำเป็นสถานที่สำหรับคุมขังคนที่ทำผิด และเขาก็คือคนที่ทำผิดจริงๆ แต่เดาว่าเจ้าหล่อนคงหลงไปกับใบหน้าขาวคมคายที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยของเขาอีกคน หรือไม่มันก็อาจเป็นแค่ธรรมเนียมปฏิบัติของพวกทนายจำเลยก็เป็นได้

"ฉันเอานี่มาฝากด้วยค่ะ หวังว่าคุณจะกินได้นะคะ" พูดพลางยื่นถุงกระดาษห่อเบเกอร์รี่มาให้

อย่างหนึ่งที่เขาชื่นชอบในตัวผู้หญิงคนนี้คือความเป็นมืออาชีพของเธอ หล่อนสามารถช่วยให้เขาได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดในการเจรจากับฝั่งตำรวจได้ อาจจะไม่ถึงกับหลุดพ้นข้อกล่าวหา แต่โทษที่เขาได้ก็ถือว่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถ้าเทียบกับนักโทษคนอื่นๆ ที่ก่ออาชญากรรมในระดับใกล้เคียงกัน แต่นอกจากความเป็นมืออาชีพเรื่องนั้นแล้วหล่อนยังมืออาชีพพอที่จะรู้ด้วยว่าควรจะเอาใจลูกความของหล่อนยังไง อย่างเช่นเจ้ามัฟฟิ่นหลากรสที่อยู่ในถุงกระดาษนี่ไง สวรรค์มาโปรดของเขาจริงๆ

"ขอบคุณมากครับ ลอเรน แค่ได้กลิ่นจากถุง น้ำตาผมก็แทบจะไหลด้วยความปลาบปลื้มแล้ว"

"เกินไปค่ะ เอลเลียต ครอบครัวของคุณก็ต้องเอาอะไรที่ดีกว่านี้มาฝากตอนมาเยี่ยมบ้างแหละ"

พูดถึงครอบครัวขึ้นมาเท่านั้นแหละ รอยยิ้มบนหน้าของเอลเลียตถึงได้เริ่มจืดลง และนั่นทำให้ทนายความส่วนตัวของเขาต้องรีบกระแอมเปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็วทันที แววตาของเจ้าหล่อนมองมาที่เขาอย่างเห็นใจมากขึ้น

แต่เขาไม่ได้อยากให้ใครมาเห็นใจสักหน่อยเฟ้ย! ก็มันช่วยไม่ได้นี่ถ้าครอบครัวที่เขาตัดขาดมานานหลายปีจะไม่อยากมาเยี่ยมเขาน่ะ

"คืออย่างนี้ค่ะ เอลเลียต วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อจะถามว่าคุณสุขสบายดีไหมอย่างเดียวหรอกนะคะ"

"แล้วคุณมีธุระอะไรอย่างอื่นอีกล่ะครับ" เขาถามอย่างแปลกใจจริงๆ ไม่ได้คิดจะประชดหรืออะไร

“ฉันมาเพื่อถามว่า” พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง “คุณอยากจะออกไปจากที่นี่รึเปล่าคะ?”

หา?

เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้… เหมือนว่าเขาจะหูฝาด

“อะ… อะไรนะครับ คุณลอเรน” เอลเลียตพยายามเรียบเรียงคำพูด “ออกไปจากที่นี่?”

“ค่ะ”

หา!?

“แต่แค่ชั่วคราวนะคะ”

หือ!?

อ้าว เอ๊ะ ยังไง

“หมายความว่ายังไงครับ” คนผมน้ำตาลขมวดคิ้ว “ที่ว่าออกไปจากที่นี่ชั่วคราว”

“ก็หมายความว่าฉันหาหนทางให้คุณออกไปจากที่เรือนจำนี่โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นการทำงานนิดๆ หน่อยๆ ยังไงล่ะคะ”

ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

“หมายถึงงานอะไรครับ แล้วทำไมคุณถึงพูดเหมือน…” และด้วยความที่เอลเลียตไม่ใช่คนโง่ เขาอาจจะพลาดท่าเสียทีให้คีลจับเขาเข้าตารางมาได้ แต่เนื้อแท้แล้วชายหนุ่มก็คิดว่าฉลาดอยู่พอสมควร

มันต้องเกี่ยวกับข่าวคดีปล้นธนาคารที่เกิดขึ้นรัวๆ ในช่วงนี้แน่ๆ เขาจำได้ว่าเห็นผ่านตาจากในโทรทัศน์ของเรือนจำ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้เก็บมันไปใส่ใจเท่าไรนัก ก็เขาออกไปร่วมขบวนการด้วยไม่ได้แล้วเสียหน่อย ดูไปก็เซ็งเปล่าๆ เอลเลียตจึงบ่ายหน้าหนีไปทำอย่างอื่นเสีย

แต่ตอนนี้ไอ้ข่าวผ่านตาที่เขามองข้ามไปกำลังโลดแล่นอยู่ในหัว เอลเลียตหันกลับมามองสีหน้ายิ้มๆ ของทนายความประจำตัวทันที

“คุณกำลังจะบอกว่าผมต้องไปทำงานกับพวกตำรวจงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้วค่ะ คุณอาจจะโดนพวกเขาคุมเข้มสักหน่อย แล้วก็ต้องคอยให้ความช่วยเหลือพวกเขาอีกนิด แต่อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องเบื่ออยู่ที่นี่ และถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่ได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอคะ แถม… ที่สำคัญกว่านั้น” หล่อนโน้มหน้าลงมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกเลือดสูบฉีดตาม “เรายังได้ข้อเสนอลดโทษแลกกับการทำงานครั้งนี้ของคุณมาด้วยนะคะ ฉันเชื่อว่าเราจะเจรจาต่อรองขอลดโทษได้มากกว่านี้ ว่าแต่ว่าคุณสนข้อเสนอนี้รึเปล่าล่ะ”

มีอะไรบางอย่างตะขิดตะขวงใจของเอลเลียต สิ่งนั้นมันทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ข้อเสนอที่ลอเรนร่ายมามันช่างยั่วยวนจนเขาตัดสินใจปล่อยผ่านความตะขิดตะขวงนั่นไป แต่เพื่อความชัวร์ในสวัสดิภาพของตัวเอง ลองแย้บถามดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย

“ว่าแต่… คุณบอกว่าพวกตำรวจจะคุมผมเข้มมาก ถูกต้องไหมครับ”

“ใช่ค่ะ” ถึงตรงนี้หล่อนมีสีหน้าเหมือนผิดหวังกับเขาด้วยขึ้นมานิดหน่อย “คุณอาจจะอึดอัดนิดหน่อย แต่ถึงยังไงฉันก็คิดว่าคุณน่าจะรับข้อเสนอนี้ไว้นะ”

ลอเรน ลีควรได้โล่ทนายจำเลยดีเด่นแห่งปี ช่างหวังดีต่อเขาอะไรขนาดนี้

“ผมรับแน่นอนครับ และคุณไม่ต้องห่วงนะ ผมทนได้ อย่างน้อยพวกตำรวจคงดีกว่าผู้คุมที่นี่แน่”

เอาล่ะ…

ได้เวลาโบยบินสู่อิสรภาพแล้วโว้ย!






ซะ เมื่อ ไหร่

เอลเลียตรู้สึกว่าคิ้วข้างขวาของตัวเองกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงชะลูดก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเขาพร้อมกับแววตาเย็นยะเยือกที่เหมือนกับเมื่อครั้งล่าสุดที่เจอกันก่อนไม่มีผิด… ไม่สิ มันเย็นชากว่านั้นอีก แถวยังพ่วงมาด้วยความโกรธกรุ่นที่เหมือนไม่พอใจที่ได้เห็นเขาอยู่ในเสื้อผ้าลำลองแบบสุภาพ แถมยังออกมายืนนอกตารางทั้งที่ตัวเองเป็นคนจับเขายัดเข้าไปด้วย

ไม่อยากจะบอกเลย… เขาเองก็ไม่ได้ดีใจที่ได้เห็นหน้าหมอนี่เหมือนกันนั่นแหละ!

“สวัสดีครับ คุณสายสืบคีล” เจ้าตัวยกยิ้มหวานอย่างเสแสร้ง แต่พอเห็นอีกฝ่ายชักสีหน้าหงุดหงิดใส่… แม้จะแค่นิดเดียว อยู่ๆ เอลเลียตก็รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ออกมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายข้างนอกเรือนจำแล้ว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

โอเค ก็ได้ เขาอาจจะแอบดีใจนิดหน่อยก็ได้ที่ได้เห็นหน้าหมอนี่ โดยเฉพาะได้กวนประสาทไอ้คนที่จับเขาเข้าคุกด้วยแล้ว… โอ้โห งานนี้ต้องสนุกกว่าที่เขาคิดแน่ๆ

“คุณเช็กสายที่ข้อขาเขาหรือยัง” คีลไม่ได้พูดอะไรตอบกลับเอลเลียต แต่หันกลับไปถามเจ้าหน้าที่ที่พาตัวเขามาสถานที่คุมขังแห่งใหม่ที่เคลื่อนที่ได้ “ที่เอาติดตามรอยเวลาเขาคิดจะหนีน่ะ ใช่ แน่ใจนะว่ามันทำงานได้ปกติ”

“ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า” พูดพลางแยกเขี้ยวใส่ “ไว้ใจกันหน่อยเถอะ คุณตำรวจ ผมสัญญาว่าจะอยู่ในโอวาททุกประการ”

“ให้ผมเชื่อคำสัญญาที่มาจากปากอาชญากรเนี่ยนะ?”

ก็พูดมีประเด็น

หลังจากสรุปเรื่องคดีและมอบหมายงานที่คีลต้องทำร่วมกับเอลเลียตอย่างคร่าวๆ แล้ว คีลก็กลายมาเป็นผู้คุมคนใหม่ของเขาอย่างเต็มตัว และดูเหมือนเจ้าตัวจะใจดีไม่บังคับให้เขาเริ่มทำงานตั้งแต่วันแรกที่ออกมาจากเรือนจำ

“เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ” เอลเลียตถามขึ้นหลังจากที่คีลขับรถออกสู่ถนนใหญ่ได้ครู่หนึ่ง

“ไปหาข้าวเย็นกิน”

“แล้วเราจะกินอะไรกัน”

“ไม่รู้สิ”

“ผมอยากกินสเต๊กร้านสเตฟาน”

คำพูดนั้นเรียกสายตาคมๆ ให้เหลือบมามองที่เขานิดหนึ่ง เอลเลียตไม่แน่ใจว่าควรจะกลัวไหมเพราะเหมือนเขาอ่านแววตาเจ้าตัวไม่ออกเลย แต่ก็ยอมรับแหละว่าแอบหวั่นๆ เหมือนกัน

“ร้านนี้อร่อยมากเลยนะคุณ ร้านโปรดผมเลย โดยเฉพาะสเต๊กเนื้อวัวนี่ฉ่ำมาก ถ้าสั่งแบบครึ่งสุกครึ่งดิบให้พอมีเลือดไหลลงมานะ อื้อหือ… สวรรค์ชั้นเจ็ดก็ไม่ปาน ราคาโหดนิดหน่อย แต่คุ้มค่าทุกสตางค์แน่นอน ว่าไงคีล สนใจอยากลองหน่อยไหม ผมบอกทางให้ได้เลยเนี่ย วันไหนเงินเดือนออกนะ ผมไปประจำ”

ที่เอลเลียตไม่รู้ก็คือ ร้านที่เจ้าตัวว่าเองก็เป็นร้านโปรดของคีลเองเหมือนกัน และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเมนูที่เจ้าตัวร่ายยาวมา… นั่นก็เมนูตลอดกาลของเขา

“นี่ๆ แล้วเราจะเริ่มงานกันเมื่อไหร่ คุณว่าผมจะกลับไปที่บ้านตัวเองสักครั้งได้ไหม แบบว่า เตรียมเสื้อผ้าเอาของน่ะ แล้วค่อยไปที่โรงแรมที่ทางคุณเตรียมเอาไว้ไง”

“ก็คงได้” ตอบสั้นที่สุด

“งั้นก็เยี่ยมเลย เออนี่ แล้วที่บอกว่ามีแก๊งปล้นธนาคารออกอาละวาดนี่ รวมแล้วทั้งหมดกี่ครั้งแล้วนะ มากกว่าตอนก่อนที่คุณจะจับผมได้อีกไม่ใช่เหรอ ห้าครั้งแล้วรึเปล่านะตอนนี้”

“เจ็ด”

“โห แล้วยังจับพวกมันไม่ได้สักคนอีกเหรอ นี่มันมืออาชีพเลยนะเนี่ยแบบนี้ แต่ผมจะบอกอะไรให้นะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่แก๊งเดียวกันหมดก็ได้ เพราะมันเกิดขึ้นกระจายๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วยไม่ใช่เหรอ และถ้าให้ผมเดานะ รูปแบบการปล้นคงจะ--”

“เอาไว้เริ่มคุยเรื่องงานกันพรุ่งนี้เถอะ”

“ได้สิถ้าคุณต้องการแบบนั้น เออ คีล ว่าแต่ตอนนี้คุณอาศัยอยู่ที่ไหนเหรอ ใจกลางเมืองนิวยอร์กรึเปล่า ถ้าคุณอยากได้บ้านสักหลัง แบบที่มีสวนหน้าบ้านกับพื้นหญ้าด้วยผมแนะนำให้ได้นะ ขายบ้านนี่อาชีพเก่าผมเอง แถมผมยังรู้กลเม็ดเคล็ดลับหมดว่าอะไรคือเรื่องจริงหรืออะไรคือเรื่องที่---”

“คุณหยุดพูดสักห้านาทีเนี่ยจะขาดใจตายหรือไง”

นั่นแหละเอลเลียตถึงได้เงียบปากลง นั่นทำให้คีลพอใจขึ้นมานิดหนึ่งแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยก็ตาม เขากำลังจะเอื้อมมือไปกดเปิดเครื่องเล่นซีดีที่ติดอยู่กับรถอยู่แล้ว แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวก็เริ่มพูดขึ้นมาอีก

“ไอ้ตัวที่อยู่ตรงข้อเท้าผมน่ะ มันทำงานด้วยระบบจีพีเอสเหรอ”

“เจ้าหน้าที่ฟิลลิปป์ก็อธิบายเรื่องนี้ไปแล้วนี่ครับ”

“ก็ใช่ แต่ผมอยากรู้ว่ามันจะมีระบบอะไรแบบปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาถ้าผมพยายามจะดึงมันออกมาไหม เฮ้ ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะทำแบบนั้นหรอกนะ แต่หมายถึง… ถ้าเกิดกรณีที่มีใครพยายามจะดึงมันออกอะไรแบบนี้”

“ถ้าคุณอยากรู้ ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูเดี๋ยวนี้เลยล่ะ… แต่ทำให้เร็วกว่าเวลาที่ผมจะชักปืนขึ้นมาก็แล้วกัน”

“...” กลัวแล้วก็ได้ครับ

กลายเป็นว่านัดเย็นวันศุกร์ระหว่างคีลกับโจนาธานเป็นอันต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะตอนนี้สายสืบหนุ่มได้รับภาระใหม่เข้ามาแทน แถมเป็นภาระชิ้นโตที่ชวนคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุดปากด้วยนะ

แต่ถึงจะไม่ได้มาตามนัดกับโจนาธาน ฟอร์ด คีลก็ได้มาที่ร้านนี้กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งแทน ดูเจ้าตัวจะตื่นเต้นกับการได้มาที่ภัตตาคารสุดหรูหลังจากห่างหายไปเป็นไม่น้อยทีเดียว

“อ่า ยอดเยี่ยม”เอลเลียตว่าหลังจากที่อาหารมื้อหลักของเขาเสิร์ฟลงตรงหน้า ชายหนุ่มจับส้อมกับมีดแล้วหั่นลงบนเนื้อในจานกระเบื้องเคลือบร้อนฉ่าอย่างประณีต เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากสเต๊กชิ้นนั้น เขายกมันเข้าปาก ดื่มด่ำกับความอร่อยที่ห่างหายไปนาน ได้รับการกระตุ้นอีกนิดเดียว เอลเลียตคงน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มไปแล้ว “นี่มันสุดยอดมากๆ… เยี่ยมที่สุด แบบนี้ตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว”

คีลไม่พูดอะไรตอบ เขาลงมือกินมื้อค่ำของตัวเองเงียบๆ แต่ก็ดื่มด่ำไปกับเนื้อชั้นดีไม่ต่างจากชายหนุ่มตรงหน้าเช่นกัน

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาหงุดหงิดมากตอนที่หัวหน้าอธิบายงานมาว่าเขาจะต้องร่วมมือกับหนึ่งในนักโทษที่ขึ้นชื่อว่ามีความสามารถด้านการปล้นที่สุด และคนคนนั้นก็หนีไม่พ้นเทย์เลอร์ ชายผู้ซึ่งเขาจับยัดตารางด้วยมือของตัวเอง

เขาบอกกับหญิงสาวว่านี่มันไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่าเลย ในเมื่อเขาเป็นคนจับเอลเลียตเข้าคุกได้ นั่นหมายความว่าเขาอยู่เหนือกว่าอาชญากรผู้นี้อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าตัวโดยแลกกับการยกโทษให้ แต่เจ้าหล่อนก็ยังยืนกรานว่านี่เป็นมติในที่ประชุมและการที่เขาจะได้ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการปล้นธนาคารมาร่วมทีมด้วยย่อมได้เปรียบมากกว่าอยู่แล้ว ถึงตรงนี้คีลก็ชักไม่แน่ใจว่าไอ้ความสามารถนี้ของเจ้าตัวกลายเป็นข้อดีไปแล้วเหรอ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรในการขัดคำสั่งเบื้องบนอยู่ดีล่ะนะ

...นี่ล่ะ สิ่งที่เขาเกลียดเพียงอย่างเดียวในการเป็นตำรวจ

"เหม่ออะไรน่ะ คุณสายสืบ" พ่อนักโทษช่างจ้อเปิดปากขึ้นมาอีกแล้ว คีลต้องหันหน้ากลับมามองคู่สนทนาอย่างเสียไม่ได้ "ถ้าคุณไม่รีบกินมันจะหายร้อนหมดนะ แล้วเชื่อผมเถอะว่ากินแบบร้อนๆ อร่อยกว่า"

"ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ"

น้ำเสียงติดจะประชดนั่นทำให้เอลเลียตย่นจมูกแบบเด็กๆ นิดหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็กลับไปยิ้มร่าตามเดิมขณะจิ้มสเต๊กชั้นดีเข้าปากอีกรอบ เคี้ยวแบบละเมียดละไมเสียจนถ้าเชฟที่ทำจานนี้ได้มาเห็นคงน้ำตาปริ่มด้วยความปลื้มใจ ท่าทีมีความสุขเกินเหตุของชายหนุ่มทำให้คีลชะงักไปเล็กน้อย วินาทีนั้นเขานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าหมอนี่เป็นอาชญากรตัวร้ายที่เคยทำให้ตำรวจทั้งกองวิ่งวุ่นได้ยังไง ก็ไอ้รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงของเจ้าตัวนั่นมันดูไร้เดียงสาเกินไป

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คีลก็ยังสังเกตเห็นว่าแม้ว่าเจ้าตัวจะกำลังดื่มด่ำกับอาหาร หากสองแขนของเทย์เลอร์เคลื่อนมากันที่ข้างจานทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้ราวกับกลัวว่าใครจะมาแย่งของด้านในไป นั่นเป็นลักษณะของนักโทษหรือคนที่เคยเข้าไปอยู่ในคุกที่คีลเคยมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะด้วย

ชีวิตในคุกของหมอนี่คงไม่สุขสบายอย่างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกให้เห็น

"ไม่เห็นต้องพูดเสียงเย็นใส่กันเลยก็ได้แท้ๆ ผมแค่พยายามจะเป็นมิตรด้วยเท่านั้น แต่ช่างเถอะ ผมกำลังมีความสุขกับมื้อค่ำมากเกินกว่าจะมาหงุดหงิดตามคุณ"

"ผมไม่ได้หงุดหงิด"

"อ้อ ใช่ ลืมไปว่านี่หน้าตาธรรมดาของคุณ ผมถามหน่อยเถอะ คุณเคยยิ้มบ้างไหม ไม่ใช่ยิ้มแบบเยาะๆ หรือยิ้มแบบสะใจนะ แต่ยิ้มแบบมีความสุขน่ะ คุณก็หน้าตาดีออก ถ้าขยันยิ้มอีกหน่อยรับรอง ผมว่าสาวๆ ติดกันตรึม"

"แล้วผมต้องยิ้มให้คุณด้วยหรือไง"

คำถามย้อนนั้นทำเอาเอลเลียตแทบสำลัก "คุณว่าอะไรนะ"

"คุณถามผมว่าผมเคยยิ้มไหม แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องเคย แต่ไม่ใช่กับคุณก็แค่นั้น ผมก็เลยถามต่อไปไงว่าแล้วผมต้องยิ้มให้คุณด้วยเหรอ ในเมื่อผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรเลย"

เอลเลียตวางส้อมกับมีดลงบนจาน ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ "เอาเป็นว่าผมผิดเองที่ชวนคุณคุย ผมจะกินเงียบๆ แล้ว"

"ดีครับ" คีลพยักหน้ารับ จากนั้นก็เริ่มลงมือละเลียดมื้อค่ำสุดหรูของตัวเองบ้าง

เขาว่าเนื้อร้านนี้มันเคยอร่อยกว่านี้ตอนที่ไม่ต้องนั่งกินกับหมอนี่นะ…

นั่นคือความคิดของคนทั้งคู่ในค่ำวันนั้น





-----------------------------------------------------------
Talk: อุ๊ย ออกจากคุกวันแรกก็เดทกันเลยเหรอคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2017 13:15:31 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เย็นชาจังนะคีลจ๋า

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 3



คีลพาเทย์เลอร์มาที่อพาร์ทเม้นท์ที่ทางกรมเช่าแบบชั่วคราวเอาไว้ให้พวกเขา เนื่องจากเขาคงไม่ยินดีที่จะเอาเจ้าหมอนี่กลับไปนอนด้วยที่บ้านแน่ๆ และการไปอยู่บ้านของอาชญากรที่ยังไม่พ้นโทษออกมาก็ไม่น่าจะเข้าท่าเหมือนกัน แต่จะปล่อยให้แยกย้ายกันไปก็ดูจะไม่เข้าทีอีก สุดท้ายการให้ทั้งคู่อยู่ใกล้ๆ กันก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และอย่างน้อยคนที่ส่งมอบคดีนี้มาให้ก็ยังไม่ใจร้ายกับคีลขนาดที่จะให้พวกเขาทั้งคู่นอนด้วยกัน ภายในอพาร์ทเม้นท์แห่งนั้นมีห้องนอนสองห้องแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เขาล่ะอยากจะขอบคุณจริงๆ

"ที่ทำงานคุณนี่ใจร้ายเนอะ ให้คุณต้องคอยมาคุมผมแจขนาดนี้ขนาดย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน" คนผมน้ำตาลว่าราวกับอ่านใจเขาออกหลังจากเดินสำรวจที่พักแห่งใหม่ของตัวเองครบทุกห้อง ดูแล้วเฟอร์นิเจอร์มีครบครันแบบพร้อมอยู่ และแน่นอน เตียงนุ่มน่านอนกว่าหลังที่อยู่ในห้องขังเขาเป็นไหนๆ "นี่ขนาดมีโค้ดติดตามตัวที่ขาผมแล้วนะเนี่ย"

"ก็แค่หาที่ไว้ทำงานง่ายๆ ก็เท่านั้นเองครับ" คีลว่า เพราะทำเลตรงนี้ถือว่าอยู่ในจุดศูนย์กลางที่พวกเขาสองคนสามารถไปดูที่เกิดเหตุได้ใกล้กว่าสำนักงานของเขา และจะให้เทียวไปเทียวมาตลอดคงจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ "งั้นวันนี้เราแยกย้ายกันไปนอนกันดีกว่า ขาดเหลืออะไรก็ลงไปซื้อที่ร้านชั้นล่างได้ครับ จะออกไปไหนก็มาบอกผมก่อน เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม"

"ครับผม" แทบจะตะเบ๊ะให้อยู่แล้วเนี่ย "งั้นคุณจะอาบน้ำก่อนหรือให้ผมอาบก่อน แต่คิดดูอีกที ผมขออาบก่อนได้ไหม เมื่อกี้เข้าไปดูมา อ่างใหญ่น่าแช่มากๆ นั่นมันดีกว่าที่บ้านผมซะอีก"

"เชิญ"

ได้รับคำอนุญาตแล้วเอลเลียตก็วิ่งแจ้นไปที่ห้องนอนชั่วคราวของตัวเองเพื่อเตรียมเสื้อผ้าทันที วันนี้เป็นวันดีที่สุดในรอบสองปีของเขาเลย!




คีลกำลังยืนพิงอยู่ที่ขอบระเบียงซึ่งยื่นออกไปด้านนอก ควันสีเทาลอยออกมาจากปลายมวนบุหรี่กับริมฝีปากของเขาบางเบา การจราจรติดขัดเบื้องล่างแต่งแต้มสีสันให้กับพื้นถนน

"นี่คุณสูบบุหรี่ด้วยเหรอ" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกคีลให้หันไปมอง เทย์เลอร์เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ดูจากเส้นผมสีน้ำตาลที่ลู่ลงเพราะชื้นหยดน้ำ เจ้าตัวอยู่ในเสื้อยืดสีขาวสะอาดกับกางเกงสำหรับใส่นอน เขาก้าวเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ คีลแล้วมองลงไปพื้นด้านล่างบ้าง "สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม เดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก"

คีลเมิน ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้น

"ผมขอสักมวนได้ไหม"

แล้วไหนเพิ่งเอ็ดเขาไปหยกๆ

แต่คีลก็ส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้คนขออย่างว่าง่าย จากนั้นตามมาด้วยไฟแช็ก เอลเลียตรับมันไปคาบไว้ในปากจากนั้นจุดไฟแล้วส่งไฟแช็กคืนให้เจ้าของ

“อ่า… สดชื่นจัง” พูดขณะพ่นควันฉุยออกมา “ไม่ได้สูบมานานเท่าไรแล้วเนี่ย”

“ไม่ต้องมาสร้างภาพกับผมหรอกครับ” สายสืบหนุ่มว่าเสียอย่างนั้น “ผมรู้ดีว่าของพวกนั้นมันไม่ได้หายากในคุกหรอก แม้แต่มีดหรือปืนก็ด้วย”

“เฮ้ๆๆ อย่าเอ็ดไปสิ คีล” เอลเลียตว่า “มันก็จริงอยู่ที่เราหาได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณว่าเสียหน่อย แล้วผมก็ไม่ได้มีเส้นสายขนาดนั้น”

เป็นครั้งแรกที่คีลยกยิ้มตั้งแต่ที่พวกเขาเจอหน้ากัน แต่เป็นยิ้มแบบแฝงแววเยาะเล็กน้อยแบบที่เขาเคยเห็นเมื่อเกือบสองปีก่อนมาแล้วน่ะนะ

“ให้ตายสิ” คนผมน้ำตาลเริ่มครางเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอดหลายชั่วโมงไม่ค่อยได้ผลเท่าไร “ผมแค่พยายามจะเป็นเพื่อนกับคุณเท่านั้นเองนะ เราต้องทำงานด้วยกันอย่างน้อยก็อีกพักหนึ่ง คุณจะตั้งป้อมต่อต้านผมไปถึงไหนเนี่ย คีล วิลล์”

“ผมไม่ได้ตั้งป้อมต่อต้านอย่างที่คุณกล่าวหานะครับ” เจ้าตัวหันกลับมาตอบหน้าตาย “ผมก็เป็นคนของผมแบบนี้อยู่แล้ว แต่ผมว่าคุณก็ไม่มีสิทธิ์บ่นอยู่ดีนะถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสักคนจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับอาชญากรอย่างคุณ”

“แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานชั่วคราว” พูดพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อดึง “ยังไงคุณก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”

คีลทำเสียงในลำคอ พ่นควันบุหรี่ออกมาอีกระลอก “เพื่อนร่วมงานหรือตัวภาระ ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร”

“ดูถูกผมเกินไปรึเปล่า”

“เปล่าเลย ผมรู้ว่าคุณเก่งในสายงานตัวเองแน่ แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากคุณจริงๆ รึเปล่า”

“เชื่อผมเถอะ ผมให้ความร่วมมือกับคุณเต็มที่แน่ และคุณจะได้อะไรใหม่ๆ อย่างที่คุณคาดไม่ถึงทีเดียว จบงานนี้ไปคุณจะได้เทคนิคใหม่ๆ เพียบแบบที่คุณต้องตกใจตัวเองเลยล่ะ”

คีลหันกลับไปมองชายหนุ่มที่โฆษณาชวนเชื่อเต็มที่ แสงจากห้องนั่งเล่นด้านในกระทบลงบนผิวขาวละเอียดของเจ้าตัว สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มกว้างขวางที่เลยขึ้นไปถึงนัยน์ตาสีฟ้าทั้งสองข้าง

น่าเสียดายที่หมอนี่เป็นอาชญากร… ก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดแบบนี้นะ แต่ตอนนี้ความคิดนั้นมันกลับแจ่มชัดมากขึ้น

“แล้วเราจะได้รู้กันครับ คุณเทย์เลอร์”

“นี่ ผมรู้แล้ว ก่อนอื่นเลย เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นมากขึ้น ทำไมคุณไม่เรียกผมว่าเอลเลียตล่ะ หรือไม่งั้นก็เทย์เลอร์เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องเป็นพิธีรีตองนักหรอก”

“ไว้ผมจะลองคิดเรื่องนั้นดูนะ”

เอลเลียตยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่า ‘แล้วแต่คุณเลย’ จากนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมานิดหนึ่งกับตัวเอง

ไม่นึกว่าหมอนี่จะเข้าถึงยากขนาดนี้ แต่ทำไมเขาต้องพยายามเข้าหาหมอนี่ขนาดนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อเจ้าตัวไม่เห็นจะยินดียินร้ายอะไร

“ถ้าอย่างนั้น… ผมว่าผมเตรียมไปนอนแล้วดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย ฝันดีนะครับ คีล ขอบคุณมากๆ สำหรับบุหรี่”

แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไป คีลมองแผ่นหลังของคนผมน้ำตาลก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่ดับบุหรี่แผ่วเบา

เทย์เลอร์จะเป็นเพื่อนร่วมทีมหรือว่าตัวถ่วง… คงเริ่มหาคำตอบได้พรุ่งนี้





หลังจากที่ตื่นเช้ามาดูแฟ้มคดีที่รวบรวมมาได้บางส่วน คีลก็ขับรถพานักโทษส่วนตัวของเขาไปที่สถานที่เกิดเหตุที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เนื่องจากทั้งคู่เห็นพ้องตรงกันว่าถ้าจะหาเบาะแสใดๆ คดีที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ จะเป็นตัวที่ช่วยให้คลำทางได้ง่ายที่สุด

ธนาคารที่โดนปล้นไปครั้งล่าสุดที่ว่านี้เป็นธนาคารเล็กๆ ที่ห่างไกลจากตัวเมือง เป็นเหตุให้การรักษาความปลอดภัยไม่เข้มงวดเท่า และถึงมันจะโดนปล้นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เนื่องจากละแวกนี้มีธนาคารอยู่เพียงแห่งเดียว ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารจึงจำเป็นต้องเปิดให้บริการต่อ และอีกอย่างก็คือ การปล้นธนาคารที่ว่าเกิดขึ้นในยามวิกาลที่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือใครได้รับการข่มขู่ข่มเหงใดๆ ทุกคนจึงยังมาทำงานได้อย่างไม่วิตกจริตมากเกินไปนัก

คีลโชว์ตราของตำรวจให้กับเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งที่ประจำที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ พูดแนะนำตัวเองกับเอลเลียตอย่างเรียบง่าย จากนั้นจึงขอให้เจ้าหล่อนนำทางพวกเขาไปยังที่เกิดเหตุอันเป็นห้องเซฟนิรภัยที่มีระบบซิเคียวริตี้อยู่ในระดับพื้นฐานของธนาคารทั่วไป

เอลเลียตก้าวเท้าลงบนพรมสีมอซอของพื้นห้องขณะที่กวาดสายตาสอดส่องไปทั่วเพื่อสังเกตการณ์ จินตนาการไปว่าตัวเองเป็นคนลงมือปล้นเสียเอง มีอะไรบ้างที่เขาควรจะระวังและอะไรมีอะไรบ้างที่อาจเป็นจุดบอด ตอนนี้เขาสังเกตเห็นกล้องวงจรปิดสองตัวแล้ว เห็นคีลบอกก่อนหน้านี้เหมือนกันว่าตัวเองได้รับข้อมูลพวกนั้นมาพร้อมกับแฟ้มคดีที่ทางเอฟบีไอรวบรวมมาแล้วส่งมอบให้เขา เท่ากับว่านอกจากทีมของคีลแล้วยังมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางมาเอี่ยวในการสืบสวนครั้งนี้ด้วย แต่เหมือนจะทำงานแยกกันแล้วอาศัยส่งมอบข้อมูลที่ได้ให้กันแทน

และว่ากันตามตรง แฟ้มคดีและหลักฐานต่างๆ ที่ได้รับการส่งมอบมาอีกทอดนั้นค่อนข้างครอบคลุมและเป็นมืออาชีพ แต่คีลก็ยังอยากมาเห็นที่เกิดเหตุสักครั้งจริงๆ ก่อนจะเริ่มลงมือวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ในแฟ้มคดีอยู่ดี ส่วนเอลเลียตที่อยู่ในคุกมาสองปีกว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากนั่งอุดอู้อยู่ในห้องเฉยๆ หรอก

"คุณคิดว่าไง คีล" คนผมน้ำตาลเอ่ยถามขณะที่ร่างสูงเริ่มลงมือเก็บภาพด้วยกล้องดิจิทัลตัวจิ๋วในจุดต่างๆ ที่เห็นว่าอาจเป็นเบาะแส "คิดว่ารอบนี้มีวงในเข้ามาเกี่ยวด้วยไหม เพราะเท่าที่ผมฟังจากคุณฮันนาห์ให้การเมื่อกี้แล้วดูงานสะอาดเรียบร้อยมาก"

"ก็เป็นไปได้ครับ" คีลตอบกลางๆ "ยิ่งข้อที่บอกว่าฝั่งนั้นไม่ได้ทำลายตัวล็อกด้วยแล้ว นั่นหมายความว่าคนร้ายต้องรู้รหัสเซฟ "

"งั้นแปลว่าคุณคิดว่าวงในส่วนเอี่ยวด้วยชัวร์ๆ?"

"ไม่เชิงครับ เพราะในอีกแง่หนึ่ง ผมก็ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารทุกที่จะอยากร่วมมือกับคนร้ายเพื่อให้เขามาปล้นที่ทำงานตัวเองหรอก"

"ผมว่าผมอยากดูภาพในกล้องวงจรปิดสองตัวตรงนั้นแฮะ"

ทั้งคู่จึงเข้าไปอยู่ในห้องของยามรักษาความปลอดภัยที่มีหน้าจอโทรทัศน์สองถึงสามจอ ทั้งสองคนขอดูเทปของวันที่มีการขโมยเงินเกิดขึ้น แม้ว่าอันที่จริงพวกเขาจะได้ไฟล์ตัวนี้มาแล้วก็ตาม แต่คีลก็คิดว่าตอนนี้พอมีเวลา ดูที่นี่สักรอบแล้วถ้ามีอะไรค่อยย้อนไปดูที่ห้องพักต่อก็ได้

เอลเลียตเริ่มนอนเลื้อยไปกับเก้าอี้หลังจากที่วนดูวิดีโอม้วนเดิมเป็นรอบที่ห้า ส่วนคีลขอใบรายชื่อและประวัติของเจ้าหน้าที่ธนาคารทุกคนมาดูแล้ว และเมื่อคนผมน้ำตาลไม่เห็นว่าตัวเองจะได้เบาะแสใดๆ จากวิดีโอตัวนี้ เขาก็เริ่มเลื่อนไปดูวิดีโอของวันอื่นๆ อย่างคนไม่มีอะไรทำ ด้านหลังได้ยินเสียงคีลแว่วๆ ถามเบาะแสต่างๆ กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งแล้ว

แล้วอยู่ๆ ในหัวเขาก็นึกวนไปถึงเรื่องของสายสืบหนุ่มคนนั้น อันที่จริงเองที่เขาเคยพูดหยอดชายหนุ่มตอนครั้งแรกที่เจอกัน หรือแม้แต่ความคิดที่ว่าเจ้าตัวหน้าตาดีเลยไปถึงเรื่องที่เขานึกอยากจะจูบริมฝีปากสวยๆ นั่น เขาไม่ได้ล้อเล่นเสียทีเดียว ถ้าพูดถึงรสนิยมทางเพศของเขาแล้วยังไงเขาก็รู้ตัวว่าตัวเองชอบผู้ชายมาตั้งแต่สมัยจูเนียร์ไฮสคูลแล้ว แต่กับอีกฝ่าย... เอลเลียตไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคีลมีรสนิยมทางเพศแบบไหน ถ้าหมอนั่นได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายเขาอาจจะพอมีหวัง แต่ถ้าไม่เอาผู้ชายเลยคงเล่นด้วยยากอยู่เหมือนกัน

ว่าแต่เดี๋ยวนะ... นี่เขาคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไปรึเปล่าเนี่ย ขืนหมอนี่รู้ว่าเขาคิดทำมิดีมิร้ายตัวเองมันไม่ยกปืนขึ้นมาเป่าเขาดับเรอะ

"เทย์เลอร์" เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหูทำเอาเอลเลียตที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองสะดุ้งจนแทบเด้งไปติดกับเพดานหันหน้าพรวดกลับมาหาคนเรียก ใบหน้าคมของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือดูจะอึ้งไปเล็กน้อยเหมือนกันที่ปลายจมูกพวกเขาแทบจะชนกันแบบนี้ และก่อนที่เอลเลียตจะหน้าแดงขึ้นไปมากกว่านี้ คีลก็ขยับถอยออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปด้านนอก "ข้าวกลางวันมาแล้วแน่ะ ผมสั่งพิซซ่ามามื้อนี้ กินเสร็จแล้วถ้าคุณยังอยากดูวิดีโอพวกนั้นต่อค่อยดูก็ได้"

"ขะ... ขอบคุณ" มันอายตรงที่ตัวเองหน้าแดงแต่หมอนี่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนนี่แหละ

เอลเลียตพยายามบังคับให้ใจของตัวเองสงบลง ภาวนาไม่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เขามีต่อสายสืบหนุ่มก่อตัวไปมากกว่านี้ เขาหมายถึง โอเค เขาก็รู้ตัวแหละว่าตัวเองชอบอะไรที่มันตื่นเต้น เร้าใจ และอันตราย แต่การจะไปชอบคนที่มีปืนเหน็บอยู่ข้างตัวตลอดเวลาคงไม่เข้าท่าแน่ๆ ยิ่งคิดถึงสถานะว่าเขาเป็นอาชญากรที่เจ้าตัวเป็นคนรวบตัวมาได้กับมือแล้ว... ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ฉลาดเท่าไรนะ เอล



แต่เมื่อเห็นพิซซ่าที่อยู่ในถาดที่เปิดอ้าออกบนโต๊ะของห้องพักพนักงาน เอลเลียตก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะกังวลเกินเหตุ เพราะตอนนี้เขาเริ่มไม่ชอบหน้าหมอนี่ขึ้นมาพิกลๆ

"ใครบอกให้คุณสั่งพิซซ่าหน้านี้มา" ว่าเสียงเขียวทีเดียว คีลหันมาเลิกคิ้วให้เอลเลียตข้างหนึ่งเหมือนงงๆ

“ผมถามพนักงานตอนที่โทรสั่งว่าหน้าไหนได้เร็วสุด ผมก็สั่งหน้านั้นแหละ”

“คุณไม่ถามอะไรผมสักคำ” น้ำเสียงกล่าวหาทีเดียว

เอาเว้ย นักโทษพ้นคุกชั่วคราวของเขาเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชเสียแล้ว

“ผมถามจริงๆ เถอะ ตอนอยู่ในคุกนี่ผู้คุมของคุณเขาถามด้วยเหรอว่ากลางวันคุณอยากกินอะไร”

“คุณไม่เข้าใจ” เริ่มพูดเหมือนครางแล้วตอนนี้ “ผมรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าจะได้อยู่ข้างนอกนี่ไม่นาน เพราะงั้นผมถึงอยากจะกินอะไรดีๆ เท่าที่มีโอกาสไง แล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจพิซซ่านะ แต่นี่” ผายมือไปที่หน้าพิซซ่าเจ้าปัญหา “มันมีสับปะรดอยู่ด้วย! และอันที่จริงผมก็ไม่ได้รังเกียจสับปะรดเหมือนกัน เพียงแต่มันไม่ควรจะไปอยู่บนหน้าแป้งบางกรอบแสนอร่อยของพิซซ่าสิ ถูกไหม มันเป็นผลไม้นะ! ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าใครเป็นคนคิดค้นหน้าพิซซ่านี้ขึ้นมา”

“ถ้าไม่ชอบสับปะรดก็เขี่ยออกสิคุณ” พูดหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ยังไงก็มีรสชาติของสับปะรดติดอยู่ที่แป้งอยู่ดี” ถ้าเอลเลียตเด็กกว่านี้สักยี่สิบปีคงกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความไม่ได้ดั่งใจแล้ว “ทำไมคุณต้องสั่งหน้านี้มาด้วย ถามผมก่อนสั่งสักคำจะตายเหรอ”

คีลตัดสินใจเมินนักโทษจำเป็นของตัวเองด้วยการหยิบพิซซ่าขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง ปล่อยให้คนผมน้ำตาลอ้าปากค้าง หยิบพิซซ่าขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วตรงไปที่ถังขยะเพื่อเขี่ยสับปะรด

ขอสาปแช่งคนที่คิดพิซซ่าหน้านี้ขึ้นมา….

อ้อ ใช่ สาปแช่งไอ้คนสั่งที่ไม่ถามความสมัครใจเขาสักคำเลยด้วย!



เนื่องจากความหมางเมินในช่วงมื้อกลางวัน ตกบ่ายทั้งเอลเลียตและคีลจึงพูดกันน้อยคำ ซึ่งอันที่จริงนักสืบหนุ่มไม่ค่อยลำบากเท่าไร เขาชอบเอลเลียตเวอร์ชันไม่พูดอะไรแบบนี้มากกว่าด้วยซ้ำ แถมในใจยังอดขำไม่ได้กับสีหน้าบึ้งตึง หงุดหงิดเป็นจริงเป็นจังที่มื้อกลางวันไม่ได้ดั่งใจ

หลานชายอายุเจ็ดขวบของเขายังไม่งี่เง่าได้เท่านี้เลย

ครึ่งบ่ายเป็นต้นไปคีลตัดสินใจเรียกพนักงานเข้ามาสอบปากคำทีละคนโดยแยกไปที่ห้องประชุมเล็กที่แยกไว้เป็นสัดส่วน ส่วนเอลเลียตยังคงง่วนอยู่กับการดูวิดีโอของกล้องวงจรปิดย้อนหลังที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคดีนี้ เขาพยายามสังเกตว่าพนักงานแต่ละคนมีลักษณะเป็นยังไง มีใครทำอะไรน่าสงสัยหรือไม่

แต่อันที่จริงชายหนุ่มไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรแบบนี้ แล้วการดูอะไรที่เหมือนจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาทุกวันก็แสนจะน่าเบื่อ

เจ้าตัวเริ่มยกมือเปิดปากหาว เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง เดาว่าคีลเองก็น่าจะใช้เวลาอีกไม่นานก่อนจะออกจากที่นี่

แต่แล้วนัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่หน้าจอโทรทัศน์เข้าจนได้ เอลเลียตกดปุ่มหยุดชั่วคราวแล้วหันไปบอกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องว่าให้ปล่อยหน้าจอที่เขาดูค้างไว้แบบนี้ก่อน และเมื่อเดินไปตามโถง เอลเลียตก็โผล่หน้ามาให้เขาเห็นพอดี

“คีล พอดีเลย” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดูเหมือนจะลืมๆ ไปแล้วว่าหงุดหงิดเขาเรื่องพิซซ่าก่อนหน้านี้แทบตาย “ตามมานี่สิ ผมมีของดีจะให้ดู”

สิ่งที่อยู่ในวิดีโอที่เอลเลียตภูมิใจนำเสนอเสียเหลือเกินคือชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดหมีสีเทา ลักษณะเหมือนช่างไฟที่กำลังตรวจสอบสัญญาณกันไฟไหม้ที่ติดอยู่ด้านบนในห้องนิรภัย ถึงตรงนี้คีลกับเอลเลียตก็หันมามองหน้ากันทันที และนั่นเป็นครั้งแรกที่คนผมน้ำตาลรู้สึกว่าสายตาของคู่หูชั่วคราวของเขาไม่ได้เย็นชาเท่าที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ขอโทษครับ” คีลคว้าสมุดโน้ตที่เอาวไ้จดข้อมูลขึ้นมาถือทันที “คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าเหตุการณ์ในวิดีโอนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่”

เจ้าหน้าที่รักษาการณ์พุงพลุ้ยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาดู “อืม… อ้อ ที่มีช่างมาเมนเทนแนนซ์สินะครับ อืม… รู้สึกจะก่อนหน้าวันที่ถูกปล้นสักอาทิตย์หนึ่งได้มั้งครับ เดี๋ยวผมตรวจสอบแบบละเอียดให้ ถ้าคุณอยากได้ก๊อบปี้ของวิดีโอนี้ผมก็ทำให้ได้นะ”

“เยี่ยมเลย รบกวนด้วยครับ” คีลว่า หันกลับมามองหน้าเอลเลียตก็เห็นรอยยิ้มสดใสแบบเด็กๆ ของอีกฝ่าย ดูจะภูมิใจเสียเหลือเกินที่ค้นพบเรื่องบังเอิญอย่างนี้

คีลเดินกลับไปคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งนั้นและขอไปที่ห้องนิรภัยอีกครั้ง เขายืมบันไดเล็กกับเครื่องไม้เครื่องมือมาจากยามคนเดิมจากนั้นก็ปีนขึ้นไป ถอดที่ครอบสัญญาณกันไฟไหม้ออก แล้วก็ได้เจอกับกล้องวิดีโอตัวจิ๋วเข้า เอลเลียตผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดีทันทีขณะที่คีลหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามเคย

“แปลว่าคนพวกนี้ได้รหัสตู้เซฟมาจากเจ้านี่” เอลเลียตว่า

“ดูจากรูปการณ์แล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เราต้องเอากลับไปตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรบันทึกอยู่ในนี้บ้าง”

“ของมันเห็นกันอยู่จะจะ”

“อย่าเพิ่งดีใจไปก่อนล่วงหน้าขนาดนั้น เทย์เลอร์”เขาว่าเสียงเรียบ “ถึงเราจะเจอเจ้ากล้องนี่ แต่ก็ใช่ว่าเราจะจับตัวคนร้ายได้ทันที เท่าที่ผมดูในกล้องวิดีโอเมื่อกี้นี่ก็จะดูเจ้าตัวจะปกปิดใบหน้าของตัวเองอยู่ไม่น้อย แล้วต่อให้ออกหมายจับ ป่านนี้ก็คงหนีไปถึงไหนต่อแล้ว”

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิคุณ” คนที่คิดว่าจะได้รับคำชมจากอีกฝ่ายแน่ๆ เริ่มโวย “เอางี้ งั้นเรามาพนันกันดีกว่า ถ้าเกิดเราหาตัวคนร้ายได้จากเบาะแสทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้โดยไม่ต้องพึ่งเรื่องออกหมายจับอะไรนั่น คุณจะให้อะไรผม”

“อยากกินพิซซ่าหน้าสับปะรดอีกไหมล่ะ”

โอ๊ย ไอ้หมอนี่ เห็นนิ่งๆ เงียบๆ แต่พูดทีก็กวนประสาทใช่ย่อย

“ไม่เอาหรอกคุณ เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าผมช่วยคนจับคนร้ายเคสนี้ได้ ต่อจากนี้ไปคุณต้องเรียกผมว่าเอล”

คีลมีสีหน้าฉงนกับข้อเสนอจริงๆ “คุณเป็นเด็กห้าขวบที่ต้องให้เพื่อนเรียกชื่อเล่นเหรอ เทย์เลอร์”

“โธ่ ก็ผมอยากสนิทกับคุณไง” พูดตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อม แต่อย่าเพิ่งให้เจ้าตัวรู้แล้วกันว่าเขาอยากสนิทไปถึงขั้นไหน “ส่วนถ้าผมทำไม่ได้ตามที่พูด… อืม ผมยอมให้คุณสั่งพิซซ่าหน้าสับปะรดมาอีกสักถาดก็ได้ แต่ผมไม่กินนะ”

เอาแต่ใจตัวเองชะมัด

“เอาเถอะ” คีลตัดบท “ถึงยังไงซะคุณก็พูดเองเออเองทั้งหมดอยู่ดี จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับคดีผมก็ไม่ต้องทำตามที่คุณพูดก็ได้สักหน่อย จริงไหม”

“คีล!” ว้อย หมอนี่นี่ไม่ยอมลงให้กันเลย

“คุณนักสืบวิลล์ นี่ครับ วิดีโอก๊อบปี้” เจ้าหน้าที่รักษาการณ์ร่างท้วมโผล่เข้ามาขัดบทสนทนา เป็นอันจบการโต้เถียงระหว่างคีลกับเอลเลียตไปได้อย่างงงๆ




--------------------------------------------------

Talk: ที่ลงรัวๆ นี่ไม่ใช่อะไรนะคะ... มีสต็อกค่ะ คือมีความรู้สึกว่าพอลงรัวๆ แล้วตัวเองจะเขียนได้เร็วขึ้น เหมือนกดดันตัวเองไงว่าต้องเขียน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2017 19:54:45 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อย่างน้อยๆก็เรียกนามสกุลเฉยๆแล้วนะถือว่าสนิทกันไปอีกขั้น(?)ได้มั้ย  :hao7:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
มารอชอบเรื่องนี้สนุกดี

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

คีล เย็นชากับเอลเลียตนะ
แต่คิดหรือว่าจะเมินเอล ไปได้ตลอด :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
น่าสนใจ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สนุกจังครับ
อารมณ์ซีรีย์มาเต็ม

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 4



เนื่องจากระยะทางของธนาคารที่พวกเขาจากมากับตัวที่พักไกลกันค่อนข้างมาก กว่าจะกลับมาถึงเอลเลียตก็คอพับคออ่อน หลับไปหลายตื่นระหว่างอยู่ในรถ แถมยังเสียเวลาตรงที่คีลต้องแวะไปที่สำนักงานเพื่อให้คนในทีมตรวจสอบเจ้ากล้องวงจรปิดตัวจิ๋วที่ได้มา นั่นแหละถึงจะยอมกลับที่พักได้เสียที

เมื่อมาถึงห้องพักแล้วเจ้าตัวก็สะโหลสะเหลไปอาบน้ำทันที นึกสรรเสริญเจ้าหน้าที่หนุ่มที่พอถึงบ้านแล้วก็ยังเปิดแล็ปท็อปขึ้นมานั่งทำงานต่อ นี่ขนาดหมอนี่เป็นคนขับรถด้วยนะ… เหยียบคันเร่งสลับกับเบรกตั้งหลายชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ พวกตำรวจนี่เป็นสายพันธุ์อึดแบบนี้กันทุกคนรึเปล่าเนี่ย

เอลเลียตออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น แต่สีหน้าก็ยังดูอ่อนล้าอยู่ เจ้าตัวเดินไปประชิดร่างสูงที่ยังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับงาน โน้มหน้าลงไปเพื่อมองหน้าจอให้ถนัด ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้คีลชะงักไปเล็กน้อยเพราะกลิ่นแชมพูสระผมอ่อนๆ ที่ลอยมาแตะจมูก

คนผมดำขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะหันกลับไปหาคนที่ก้าวเข้ามา “นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณเตรียมจะนอนแล้ว”

“อ้าว” คนที่เตรียมตัวพักผ่อนเต็มที่กะพริบตาปริบๆ “ก็… นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่ครับ เราจะไม่นอนกันเหรอ”

“จะไม่ลองพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองหน่อยเหรอครับ”

“โอ๊ย พรุ่งนี้ก็ได้มั้งคุณ” นี่คนนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ จะได้ทำงานได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่พอเห็นสายตาวับๆ เหมือนจะบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเกินความจำเป็น แถมการทำงานนี่มันก็งานหลักเขาเอลเลียตก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งดูวิดีโอทั้งหมดแบบสรุปรวบยอดอีกครั้ง

ผ่านไปได้ครู่ใหญ่ หลังจากที่เพ่งมองหน้าจออยู่นาน อยู่ๆ เอลเลียตก็บอกให้คีลหยุดวิดีโอชั่วคราวแล้วชี้ไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสองคนของทีมช่างซ่อมเก๊ มีรอยสักลวดลายบางอย่างโผล่พ้นขึ้นมาจากแขนเสื้อของชายคนนั้น จากนั้นเจ้าตัวก็ยกยิ้มอย่างผู้ชนะทันที

“ทำไมเหรอคุณ” คีลเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“ผมรู้จักหมอนี่”

“คุณว่าไงนะ”

“ก็ก่อนที่คุณะจับผมเข้าคุก คุณคิดว่าผมเป็นใครล่ะ ผมคืออายออฟไอเดนนะ เส้นสายผมมีเพียบ เอาจริงๆ วงการนี้มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมากหรอกนะคุณ”

“แปลว่าคุณเคยร่วมมือปล้นธนาคารกับเขามาก่อนงั้นเหรอ”

“ช่าย” น้ำเสียงภาคภูมิใจนั่นทำเอาคีลขมวดคิ้วมุ่น

“ผมนึกว่าคุณบอกรายชื่อคนในทีมทั้งหมดมาให้เราแล้วซะอีก”

นั่นแหละพ่ออาชญากรตัวแสบถึงได้สะดุ้งเฮือกแล้วหลบตาเขาไปอีกทาง

เผลอลดการ์ดลงตอนอยู่กับหมอนี่มากไปหน่อย… ฉิบหายล่ะไง

“ก็… ก็… แบบ พวกผู้ประสานงานไรงี้ คราวก่อนๆ เขาไม่ได้เข้าร่วมทีมด้วยจริงๆ จังๆ หรอกนะ”

“เมื่อกี้คุณบอกว่าเขาร่วมมือด้วยนี่”

โอ๊ย ให้ตาย ไอ้เอล จบงานนี้ไปจะจับปากตัวเองฟาดรัวๆ พูดนี่ไม่ได้ระวังอะไรเล้ย…

“เทย์เลอร์” เสียงเย็นเฉียบจนน้ำแข็งแทบจะเกาะตามตัวเขาได้แล้วเนี่ย

“คือ… ง่า เอาเป็นว่าผมขอโทษเรื่องนั้นแล้วกัน” ว่าพลางลุกขึ้นพรวด “แต่ตอนนี้ผมก็กำลังบอกคุณอยู่นี่ไง และเราก็กำลังจะรวบตัวเขาด้วยกันไม่ใช่เหรอ คุณอย่าดุผมนักได้ไหม แค่นี้ผมก็กลัวคุณหัวหดจะแย่แล้ว”

คีลไม่พูดอะไรตอบ อันที่จริงเขาไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไรหรอก เป็นเรื่องธรรมดาของพวกคนร้ายอยู่แล้วที่จะไม่คายข้อมูลหรือความผิดของตัวเองออกมาทั้งหมดถ้าไม่ถูกเค้นให้ตาย เพียงแต่เขาแค่อยากทำให้หมอนี่ระแวงไปงั้นเอง

"คุณกลัวผมด้วยเหรอ" คนผมดำว่าเสียงเรียบ "เท่าที่อยู่ด้วยกันมานี่ ผมไม่เห็นรู้สึกงั้นเลย แค่ความเกรงใจยังไม่มีให้เห็น"

"พูดได้ดี" คนผมน้ำตาลพูดด้วยท่าทียียวนชนิดกินขาด "แต่อย่าถือสาผมนักเลย คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมขอตัวไปนอนก่อน ตาจะปิดอยู่แล้ว ในคุกนั่นเขาปิดไฟหลังสี่ทุ่มห้าทุ่มแล้วนะ ทำเอาผมกลายเป็นเด็กอนามัยไปเลย ส่วนเรื่องไอ้หมอนี่ไม่ต้องห่วง ผมมีแผนเด็ดๆ ในหัวแล้ว แต่เราจะมาคุยกันตอนผมตื่น ตกลงไหม คุณเองก็ควรไปนอนได้แล้ว ขอบตาดำไปถึงแก้มแล้วนั่น ราตรีสวัสดิ์คุณสายสืบ"

คีลได้แต่ถอนหายใจเฮือกขณะมองแผ่นหลังของคนชอบทำอะไรตามอำเภอใจผลุบหายเข้าห้องไป นี่เบื้องบนต้องไม่พอใจอะไรเขาแน่ๆ ถึงได้โยนหมอนี่มาอยู่ในการดูแลของเขาแบบนี้

หาก... ลึกๆ ลงไปในใจแล้วคีลก็ต้องยอมรับ ว่าแท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เกลียดการทำงานกับเทย์เลอร์ขนาดนั้นหรอก



...

เสียงเปิดประตูแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความมืด ร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอ ตาทั้งสองข้างหลับพริ้มอย่างคนที่จมอยู่ในห้วงนิทรา เสียงฝีเท้าของร่างสูงก้าวเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่น

ความเงียบโรยตัวเข้ามาขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองใบหน้าของเทย์เลอร์ นัยน์ตาคู่นั้นยังคงอ่านยากเหมือนอย่างเคย จากนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ค่อยๆ ห่างออกจากเตียงไป ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องที่เบาไม่แพ้กัน

เอลเลียต เทย์เลอร์ยังคงหลับตาอยู่แบบนั้นอีกครู่หนึ่งอย่างไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ตรงหน้าเขาไหม และเมื่อแน่ใจว่าคีลออกไปจากห้องแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าก็ค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมาจนตัวเองยังต้องตกใจ

นี่เมื่อกี้หมอนี่มองเขา? คีลเดินเข้ามาในห้อง แถมยังมาหยุดดูเขานอนบนเตียงด้วยเนี่ยนะ?

อันที่จริงเอลเลียตรอให้คีลเข้ามาเช็กเขาอยู่แล้ว เพราะเมื่อคืนก่อนเจ้าตัวจะเข้านอน สายสืบหนุ่มก็แอบเปิดประตูเข้ามาเช็กว่านักโทษของตัวเองหลับดีอยู่รึเปล่า แต่เมื่อคืนหมอนั่นแค่หยุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้ก้าวเข้ามาถึงในห้อง แล้วคืนพรุ่งนี้จะเป็นไงล่ะ จูบราตรีสวัสดิ์เขาเลยไหม

เอลเลียตใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการจินตนาการเพ้อเจ้อไปว่าถ้าพวกเขาสองคนจูบกันขึ้นมาจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร มันคงจะดีไม่น้อย และเขาเองก็นึกอยากเห็นหน้านิ่งๆ แบบนั้นตอนที่เคลิ้มไปกับสัมผัสที่เขามอบให้... แล้วให้ตาย ตอนที่หมอนั่นยกยิ้มเยาะแม่งเป็นอะไรที่น่าขยี้มาก ระหว่างที่ยังอยู่ด้วยกันแบบนี้เขาจะมีโอกาสสักครั้งไหมนะ

หลังจากที่อารมณ์ปรารถนาเริ่มสงบลง เอลเลียตก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับสูดหายใจเฮือกแรงๆ เพื่อดึงสติของตัวเองกลับมา เขาเข้าใจตัวเองดีว่าการไปอยู่ในคุกและไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลยคงทำให้เก็บกดไม่น้อย แต่นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาคิดเรื่องแบบนั้น รวมถึงคนที่เขาต้องการก็ไม่ใช่บุคคลที่เขาควรจะถลำลึกลงไปด้วยมากถึงขนาดนั้น

เอลเลียตเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือแบบใช้แล้วทิ้งที่เขาแอบซื้อมาตอนที่คีลไม่ได้คุมแจเขา อันที่จริงเขาเองก็มีช่วงเวลาส่วนตัวของตัวเองไม่น้อยหรอก แถมไอ้แถบโค้ดที่รัดติดข้อเท้าคงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นวางใจไม่น้อย

นิ้วเรียวเริ่มกดหมายเลขโทรศัพท์ที่เขาจำได้ขึ้นใจในหัว แนบโทรศัพท์และรอฟังสัญญาณที่ดังขึ้น ปลายสายตอบรับเขาในกริ่งที่สี่

"ฮัลโหล สวัสดีครับ"

"ไง เทลออฟอดัมส์" เขาว่าเมื่อแน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นของคนที่เขาต้องการจะต่อถึงแน่ๆ "ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ"

ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งราวกับกำลังประมวลผล "อายออฟไอเดน"

"คิดถึงกันบ้างรึเปล่า ที่รัก"

"อันที่จริงก็ไม่นะ" คำพูดนั้นเย็นชาไม่น้อยเมื่อคิดว่าพวกเขาสองคนเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาก่อน "แล้วนี่นายโทรมาจากไหน เอาโทรศัพท์อะไรโทร ปลอดภัยรึเปล่า"

"โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งน่ะ ปลอดภัยแน่ไม่ต้องห่วง"

"ฉลาดดี ทุกอย่างเป็นไงบ้าง"

"นายก็น่าจะรู้ดีว่าเป็นไง อย่ามัวเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระเลย บอกฉันมา ลีโอ นายปลดแถบติดตามตัวที่รัดข้อเท้านักโทษได้ไหม"

"อย่าเรียกชื่อฉัน" ปลายสายว่าเสียงขุ่นทีเดียว "ส่วนเรื่องแถบรัดข้อเท้า ถ้าได้เวลาสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา"

"เคยทำมาก่อนหรือเปล่า"

"เคย"

"ครึ่งชั่วโมงเลยเหรอ" เอลเลียตยกแตะคางอย่างคิดหนัก ถ้าเขาต้องหนีจากพวกตำรวจแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ครึ่งชั่วโมงเลย นาทีเดียวก็มีค่า "เร็วกว่านั้นไม่ได้แล้วหรือไง"

"ครึ่งชั่วโมงก็เต็มที่แล้ว ไอเดน นายอย่าลืมสิว่าเราต้องสวมรอยโปรแกรมติดตามที่ว่านี่เป็นตัวล่อเข้าไปอีกต่อด้วย แล้วนี่จะเจอฉันเมื่อไหร่ ไม่นัดก่อนล่วงหน้าไม่ได้นะ"

"รู้อยู่แล้วล่ะน่า ลีโอ"

"บอกว่าอย่าเรียกชื่อไง"

"เฮ้ ฉันต้องการเงินเอาไว้หนีออกนอกประเทศ แล้วก็พาสปอร์ต นายจัดการให้ฉันได้ไหม"

"พาสปอร์ตถ้านายขอวันนี้ก็คงต้องรอสักหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่จัดการให้ได้ ส่วนเรื่องเงิน คงเตรียมไว้ให้นายได้สักแสน มาเอาพร้อมตอนที่จะถอดแถบรัดเลยก็ได้"

เอลเลียตคำนวณในหัวเร็วจี๋ แปลว่าเขาต้องหาทางเกาะติดกับคีลให้ได้จนกว่าพาสปอร์ตของปลอมจะมาถึงมือลีโอ แต่ชายหนุ่มคิดว่าเขาจัดการกับเรื่องนั้นได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ... เขาตงิดใจกับจำนวนเงินมากกว่า

"ฉันต้องการสองแสนห้า อดัมส์"

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังลอดมาให้ได้ยินก่อนลีโอจะตอบกลับมา "เต็มที่ได้แสนห้า ไอเดน พวกเราช่วยนายได้แค่นี้จริงๆ"

"ไม่ยุติธรรมเลย" ชายหนุ่มคราง "หลังจากทั้งหมดที่ฉันทำลงไปเนี่ยนะ? ไหนจะยังสองปีที่เข้าไปอยู่ในคุกอีก"

"เสียใจด้วย เบบี๋ แต่ถ้านายอยากให้ฉันใช้ปากทำให้เป็นค่าตอบแทนก็ได้นะ"

สาบานเลยว่าถ้าไอ้หมอนี่อยู่ตรงหน้า เขาจะยกเข่ากระแทกคางมันให้หน้าหงาย

"ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจมากนะ ลีโอ" เอลเลียตกัดฟันกรอด ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าครั้งหนึ่งเคยหลวมตัวคบกับหมอนี่เข้าไปได้ยังไง "แต่ค่าตัวนายไม่แพงขนาดนั้นหรอก เชื่อฉันเถอะ"

เทลออฟอดัมส์ไม่เอ็ดเรื่องที่เอลเลียตเรียกชื่อจริงตัวเองในครั้งนี้หากทำเสียงในลำคอเป็นเชิงเยาะเพราะคำพูดดูถูกของอีกฝ่าย

นี่ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหลายอย่าง ป่านนี้อาจจะฆ่ากันตายไปแล้ว

"ถ้าอยากได้เงินมากกว่านี้นัก นายก็ไปหาเพิ่มสิ" ลีโอพูดขึ้นมาในที่สุด "นายคืออายออฟไอเดนนะ รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องหาเงินยังไง"

"ฉันมีตำรวจหน้าดุนี่คอยตามติดตามอยู่ทุกฝีก้าว ขอบใจมากเลยนะ มันคงจะง่ายอย่างที่นายว่าแหละ"

คราวนี้ปลายสายระเบิดเสียงหัวเราะลั่นทันที "ไม่เอาน่า ไอเดน" เจ้าตัวว่า "ดูถูกตัวเองเกินไปรึเปล่า แค่ตำรวจคนเดียวทำอะไรนายไม่ได้หรอก นายก็พิสูจน์เรื่องนั้นแล้วด้วยการโทรมาหาฉันอยู่นี่ ไม่ใช่เหรอ?"

เอลเลียตไม่อยากจะเถียงกลับไปเลย ว่าไอ้การซื้อมือถือแบบใช้แล้วทิ้งหนึ่งเครื่องกับการหาเงินให้ได้อีกแสนถึงสองแสนน่ะ มันต่างกันมากแค่ไหน

“เอาเถอะ ไว้ฉันจะลองดู แต่พาสปอร์ตไม่เกินสองอาทิตย์ใช่ไหม”

“แน่นอน ไอเดน ฉันจะติดต่อนายได้ทางไหน”

“ไม่ต้องหรอก เสี่ยงเกินไป ฉันจะติดต่อไปเอง”

“นายคิดว่าจะถ่วงเวลาอยู่ข้างนอกนี่ได้นานพอก่อนจะได้พาสปอร์ตไหม ไอ้นี่มันหลายตังค์อยู่นะ เกิดเหมือนคราวก่อนที่นายเกือบจะสลัดหลุดไปได้แต่ดันโดนจับได้เสียก่อน เดี๋ยวก็ต้องเอาไปเผาทิ้งวุ่นวายอีก แถมเล่มหนึ่งก็แพงแสนแพง”

“รู้แล้วล่ะน่า” คนผมน้ำตาลพูดพร้อมกับเริ่มกัดเล็บ ข้อเสียอีกอย่างของเขาตอนคิดไม่ตก “ฉันว่าฉันถ่วงเวลาได้ ยังไงก็เร่งให้หน่อยแล้วกัน แล้วฉันก็ต้องไปหาเงินเพิ่มอีก ที่นายจะให้มันจะไปพอยาไส้อะไร”

“ก็ดี”

“ฉันอาจจะต้องทิ้งพวกของเราบางคน” พูดพลางนึกถึงชายหนุ่มรอยสักที่อยู่ในกล้องที่เขาเห็นวันนี้ ลีโอเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากถามต่อ

“นายจะทิ้งใคร”

“แจ็ค พอร์เตอร์”

“หมอนั่นเหรอ” พูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “อืม เป็นไพ่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมาก แต่หมอนั่นอยู่ในโลกมืดเต็มตัว พวกก็คงมีไม่น้อย แน่ใจนะว่าจะทิ้งใบนี้ นายอาจจะเดือดร้อนทีหลัง โดนพวกหมอนั่นเล่นงานเอาก็ได้”

“คำนวณไว้แล้วล่ะ แต่หมอนี่พลาดเองจริงๆ ที่สำคัญ ฉันเองก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้โชคดี แล้วฉันจะรอการติดต่อจากนาย อายออฟไอเดน” พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางหูไป ทิ้งให้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่เนิ่นนาน ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยอมแพ้ล้มลงไปนอนบนเตียง

คิดมากไปก็ปวดหัว ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองต้องการการพักผ่อนยิ่งกว่าคุณสายสืบคนนั้นเสียอีก






ทั้งคู่ไปที่สำนักงานเพื่อประชุมกับทีมของคีลแต่เช้า ครั้งนี้โจนาธาน ฟอร์ด ชายหนุ่มที่นั่งข้างโต๊ะของคีลเองก็อยู่ได้อยู่ในทีมเฉพาะกิจครั้งนี้เช่นกัน นอกจากนั้นก็มีคนจากแผนกอาชญากรรมอีกสองคนที่คีลเคยทำงานด้วยมาก่อนคนหนึ่ง อีกคนเคยเห็นหน้าผ่านๆ ในอาคาร

คีลสรุปข้อมูลในแฟ้มที่ได้มาจากทางเอฟบีไอ สรุปเรื่องความคืบหน้าที่เขากับเทย์เลอร์ได้มาเมื่อวาน จากนั้นลิลลี่ จอร์แดน หนึ่งในคนจากฝั่งคดีอาชญากรรมที่คีลมอบหมายเรื่องกล้องวงจรปิดตัวปัญหาไว้ให้ก็ก้าวขึ้นมาพูดเรื่องที่หล่อนได้จากการดูไฟล์ที่อยู่ด้านในพร้อมกับเปิดวิดีโอบางส่วนที่กล้องจับได้มาฉายให้ดู

“นี่ไง” เอลเลียตขอให้จอร์แดนหยุดวิดีโอเพื่อชี้ตรงบริเวณที่หมุนรหัสของตู้เซฟ “จากมุมนี้คือเห็นได้ชัดมากว่ารหัสตู้เซฟเป็นเลขอะไร ถึงตอนที่เจ้าหน้าที่คนอื่นมาทำจะโดนบังจนมองไม่เห็น แต่คราวนี้ชัดมาก ทีนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนี้ถึงได้ทำได้เนี้ยบขนาดนั้น”

“เราเจาะได้ไหมว่ากล้องนี่ส่งสัญญาณไปที่ไหน” คีลหันไปถามหญิงสาวที่ทำหน้าที่เรื่องกล้องดังกล่าวไปโดยปริยาย “ใครเป็นคนได้วิดีโอพวกนี้”

“ฉันจะจัดการเรื่องนั้นให้ค่ะ” หล่อนตอบคีลที่เป็นหัวหน้าทีมอย่างขึงขัง หากเอลเลียตส่ายหัว

“เสียเวลาเปล่าครับ มันผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ป่านนี้พวกนั้นก็ทำลายเบาะแสทิ้งไปหมดแล้ว ไม่มีทางที่พวกคุณจะสาวตามเก็บได้ทันหรอก”

เท่านั้นแหละคนผมน้ำตาลถึงได้สายตาเย็นชาปะปนมากับไม่พอใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสามคู่พร้อมกัน โอ้โห แค่คีลคนเดียวเขาก็สยองแล้ว

“ใช้แผนผมดีกว่า ผมบอกแล้วไงว่าผมรู้จักกับผู้ชายคนนี้ หมอนี่ชื่อแจ็ค พอร์เตอร์ ผมรู้วิธีติดต่อเขา ให้ผมสวมรอยไปล้วงข้อมูลจากหมอนี่ยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ วิธีการนี้ตรงประเด็นแล้วก็ชัดเจนที่สุดล่ะ หรือว่าพวกคุณไม่คิดงั้น?”

“แล้วเขาจะไม่แปลกใจเหรอคะว่าคุณออกมาจากคุกได้ยังไง ข่าวตอนที่คุณโดนโยนเข้าไปในนั้นน่ะ ไม่ใช่ข่าวเงียบๆ เลยนะ”

เอลเลียตตีหน้ายู่นิดหนึ่ง ไม่ชอบเลยไอ้คำว่าโดนโยนเข้าไปในคุกเนี่ย

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมก็แค่บอกเขาไปว่าตอนอยู่ในเรือนจำผมทำตัวดี ประพฤติดี ก็เลยได้ออกมาจากในนั้นเร็วก่อนกำหนดหน่อย” พูดพลางส่งยิ้มหวานให้อีกสามคนในที่ประชุม เน้นหนักที่คีลหน่อย “จะว่าไป… ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกหกเสียทีเดียว ถูกไหมครับ”

“คุณจะติดต่อเขาได้ยังไง” คีลทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มหวานหยดที่จงใจส่งมาให้เขาเป็นพิเศษ

เอลเลียตลุกออกจากเก้าอี้ล้อเลื่อน เหยียดแขนขึ้นบนเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ขอโทรศัพท์ให้ผมยืมสักเครื่องเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”



สามวันหลังจากนั้น

เอลเลียตอยู่ในชุดลำลองกึ่งทางการที่เขาย้ำนักย้ำหนากับคีลว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ และคนที่เป็นสายสืบซึ่งเคยปลอมตัวแฝงตัวเข้าไปเพื่อหาพยานหรือข้อมูลเพื่อสืบคดีมานักต่อนักอย่างเขามีหรือจะไม่รู้ เพียงแต่ไม่แน่ใจตอนที่เห็นเทย์เลอร์ดูมีความสุขเกินเหตุกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าติดแบรนด์ก็เท่านั้น อย่างว่าล่ะนะ คนที่ห่างหายโลกข้างนอกมาตั้งสองปี อะไรๆ ก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด

คีลขับรถมาส่งเจ้าตัวก่อนถึงที่หมายไปสองบล็อกเพื่อไม่ให้ฝั่งตรงข้ามผิดสังเกต ส่วนคนในอื่นในทีมเขาอยู่ถัดออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลคอยเป็นกำลังเสริมเผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น

“คุณลองพูดอะไรดูซิ” คีลว่าขณะเลื่อนมือไปขยับหูฟังแบบบลูทูธที่ิติดหูอยู่ เอลเลียเลยพูดอะไรเป็นการทดสอบออกไปสองสามคำ “อืม คงไม่มีปัญหาอะไร คุณพร้อมนะ?”

“พร้อมมากๆ” ชายหนุ่มว่า กลบเกลื่อนอาการตื่นเต้นของตัวเองด้วยการทำตัวร่าเริงเกินเหตุ และใช่ว่าคีลจะดูไม่ออก

“ทำตัวเป็นธรรมชาติหน่อยคุณ ผ่อนคลาย อีกอย่าง เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่เหรอ”

“อ้อ ใช่ และผมก็กำลังจะเอาเขาจับพานถวายใส่คุณอยู่นี่ไง เพื่อนจริงๆ”

ชายหนุ่มได้รับรางวัลเป็นรอยยิ้มจากคุณสายสืบในรอบนี้ “คุณกำลังทำเพื่อความถูกต้องต่างหาก”

“คุณว่าไงผมก็ว่างั้น เอาล่ะ ถึงเวลาไปกอบกู้โลกแล้ว” ว่าพลางเปิดประตูรถแล้วเดินปะปนไปกับฝูงชน ระหว่างนี้คีลก็เช็กความเรียบร้อยกับคนอื่นๆ ในทีมไปด้วย แต่ละคนอยู่ประจำจุดครบถ้วนดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขั้นตอนสำคัญก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาอยู่ดี

เอลเลียตตรงดิ่งไปที่อาคารซึ่งมีประตูไม้ผุๆ เป็นทางเข้า และมีชายคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เขาพูดอะไรกับชายคนนั้นสองสามคำก่อนอีกฝ่ายจะเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน

เสียงที่ดังผ่านหูฟังมาทำให้คีลพอจะจับได้ว่าสถานที่แห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงหัวเราะเฮฮาและเสียงเหรียญกระทบดังกริ๊งๆ ไม่ขาดสาย เสียงไม้กระทบกับลูกสนุกเกอร์ เสียงด่าทอสลับกับเสียงของเด็กเสิร์ฟที่ยื่นถาดซึ่งด้านบนเต็มไปด้วยแก้วเครื่องดื่มหลากชนิดที่ยื่นมาให้ผู้มาใหม่

“ขอบใจนะ” เอลเลียตพูดยิ้มๆ ขณะหยิบขึ้นมาถือแก้วหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็ตรงขึ้นไปบนชั้นสองอย่างชำนาญทางราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ซึ่งอันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกต่างหาก และด้วยความไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ทันทีที่ก้าวเท้าถึงหน้าประตู บอดี้การ์ดสองคนก็รีบเข้ามาขวางทางชายหนุ่มไว้

คีลที่ได้ยินแต่เสียงแข็งๆ ดังผ่านหูฟังมาเกร็งตัวนิดหนึ่ง เขาพร้อมที่จะเข้าไปคุมสถานการณ์ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากเขาอยู่ใกล้กับที่ที่เอลเลียตเข้าไปมากที่สุด หากไม่กี่วินาทีต่อมาสถานการณ์ก็คลี่คลายอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงของชายอีกคนดังแทรกเข้ามา คีลเดาได้ทันทีว่าคงเป็นเป้าหมายที่เทย์เลอร์จะไปคุยด้วยนั่นเอง

หลังจากที่พาตัวผู้มาใหม่ออกจากปัญหา แจ็ค พอร์เตอร์ก็ชวนให้เอลเลียตไปนั่งที่บาร์แล้วสั่งเครื่องดื่มให้ทั้งตัวเองและของอีกฝ่าย

“ทิ้งแก้วนั้นไปเหอะ” เจ้าตัวว่า “ก็แค่เหล้าถูกๆ กินไปก็เสียดายปาก แล้วนี่… เป็นไงมาไงถึงได้มาอยู่นี่ได้ เอลเลียต หรือว่าควรจะเรียกว่าไอเดนดี?”

“จะเรียกอะไรก็เรียก นายสบายดีรึเปล่า แจ็ค”

“ก็ดี” แจ็ค พอร์เตอร์เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอม เส้นผมสีดำรุงรังยาวจนถึงบ่า ใบหน้าซูบตอบจนเห็นโหนกแก้ม ขอบตาคล้ำ ใบหน้าทรุดโทรม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวหันกลับไปเล่นยาอีกแน่ หมอนี่พูดว่าจะเลิกๆ มาหลายครั้งก็ไม่เคยทำได้จริงๆ เสียที “แต่นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย ตกลงมานี่ได้ไง ไม่ใช่ว่านายโดนจับเข้าไปอยู่ในคุกแล้วหรอกเหรอ”

“ใช่ โดนแล้ว”

“แล้วมาไง”

“ก็พ้นโทษออกมา”

แจ็คเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจคนข้างตัว “ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเพิ่งเข้าไปอยู่แค่… ปีกว่าเองไม่ใช่เหรอ”

“สองปี เพื่อนยาก แต่ฉันประพฤติตัวดี เลยหลุดออกมาได้เร็ว”

“แล้วตอนนี้ทำอะไร ยังไปเป็นนายหน้าขายบ้านอยู่ไหม”

“ยังหรอก เพิ่งออกมาไม่นาน” เขาว่า “ตอนแรกก็ว่าจะกลับตัวกลับใจไปทำงานดีๆ หรอกนะ แต่ใครที่ไหนจะรับคนมีประวัติแบบฉันเข้าไปทำงานง่ายๆ วะ”

“พูดอีกก็ถูกอีก” ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอขณะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด “คนพวกนี้แม่งซังกะบ๊วยกันหมด แล้วนายได้ติดต่อเทลออฟอดัมส์ไปรึยัง หมอนั่นน่าจะมีงานดีๆ ให้นายทำได้”

“ติดต่อแล้ว หมอนั่นช่วงนี้วุ่นๆ เลยรามือจากอะไรพวกนี้ไปบ้าง”

“อ้อ เลยนึกถึงฉันได้ล่ะสิ”

เอลเลียตผายมือออกไปข้างตัว “แล้วทำไมจะไม่ล่ะ”

“หึ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่เห็นว่านายกับหมอนั่นสนิทกันถึงขั้นไปนอนอยู่ด้วยกันแทบทุกคืน เลยเดาว่ายังไงก็ต้องไปหาหมอนั่นแน่ๆ”

เอลเลียตสะดุ้ง เขารู้ดีว่าคีลจะได้ยินบทสนทนาตรงนี้ทั้งหมด แต่เขาไม่อยากให้คีลรับรู้เรื่องนี้เลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

“ฉันเลิกกับหมอนั่นไปนานแล้วน่า” พูดพลางยกแก้วขึ้นจรดปาก“แล้วสรุปนายว่าไง ช่วงนี้มีอะไรให้ทำบ้างไหม รู้สึกเงินมันพร่องๆ ว่ะ ออกจากคุกมานี่เหมือนเริ่มต้นใหม่เลย ติดลบด้วยซ้ำ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วเนี่ย”

“อืม…” แจ็คยกมือขึ้นลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด “อันที่จริง ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยซะทีเดียวหรอกนะ”

เหยื่อค่อยๆ งับเบ็ดแล้ว ถึงตรงนี้เขาต้องระวังขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ

“จริงเหรอ แนะนำเพื่อนหน่อยสิ”

“ได้สิ อายออฟไอเดน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับกระแทกแก้วที่ว่างเปล่าของตัวเองลงบนโต๊ะ “ทำไมนายไม่รีบดื่มเหล้าของนายให้หมดๆ แล้วไปหาที่สงบๆ คุยกันล่ะ?”





--------------------------------------------------------

Talk: อะไรอ้ะ หนูเอล แอบร้ายนะหนู

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 5




ถึงตอนนี้ คีลก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอะไรๆ มันจะง่ายไปหมดแบบนี้

สายสืบหนุ่มกำลังขับรถไปตามท้องถนนเพื่อติดตามรถที่พอร์เตอร์ขับโดยมีเทย์เลอร์นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ

ตลอดทางที่อยู่บนท้องถนน คีลสังเกตได้ว่าเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้พยายามเอาใจนักโทษจำเป็นของเขาอย่างเกินเหตุ ซึ่งมันก็เป็นผลดีต่อทีมเขาตรงที่ว่าอีกฝ่ายสาธยายออกมาถึงสถานที่เก็บเงินซึ่งเป็นของกลาง วิธีการที่เจ้าตัวใช้ซึ่งตรงกับที่พวกเขาตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ นั่นคือปลอมตัวเข้าไปเป็นช่างซ่อมไฟจากนั้นก็จัดแจงยัดกล้องถ่ายวิดีโอลงในสัญญาณเตือนไฟไหม้ ส่วนเรื่องคีย์การ์ดหรือระบบต่างๆ เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับคนที่มีฉายาว่าเทลออฟอดัมส์ และเหมือนพอร์เตอร์เองก็ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ลึกมากไปกว่านั้น

เทลออฟอดัมส์เหรอ

คีลไม่แน่ใจว่าเขาเคยได้ยินฉายานี้มาก่อนไหม แต่ชื่อนี้หลุดออกจากปากทั้งเทย์เลอร์และพอร์เตอร์หลายรอบแล้ว ไหนจะข้อเท็จจริงที่ว่าเทย์เลอร์เคยคบกับผู้ชายคนนี้มาก่อน เรื่องนั้นทำให้เขาหงุดหงิดใจอย่างประหลาด แต่สิ่งที่เขาต้องโฟกัสตอนนี้คือหาทางรวบทั้งขบวนการของพอร์เตอร์ให้ได้

เขาสั่งให้หนึ่งในทีมคนหนึ่งไปจัดการหาของกลางตามที่อยู่ที่พอร์เตอร์บอกให้เอเลียตฟังง่ายๆ เหมือนว่านั่นจะเป็นบ้านของญาติสักคนของเขา แต่คีลยังไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดด้วยไหม ก็ต้องดูกันต่อจากนี้ไปนี่แหละ

แต่ที่สำคัญ… เขาไม่แน่ใจเลยว่าหมอนี่กำลังจะพาเทย์เลอร์ไปที่ไหน นี่ก็เข้าตัวเมืองแมนฮัตตันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนจุดหมายปลายทางจะยังไม่อยู่แถวนี้

“นี่” เสียงของเทย์เลอร์ดังมาให้ได้ยินผ่านหูฟังหลังจากที่เงียบไปอยู่นาน “แล้วนอกจากครั้งล่าสุดแล้ว นายได้ไปที่ไหนมาก่อนอีกหรือเปล่า”

คีลขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำถามตรงไปตรงมาของเทย์เลอร์ เขากลัวว่าเป้าหมายจะรู้ตัวว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ

“หืม” พอร์เตอร์ลากเสียงยาว “นายหมายถึงงานของเราน่ะเหรอ”

“จะหมายถึงอะไรได้อีกล่ะ”

“แล้วทำไมนายต้องอยากรู้เรื่องนั้น? ”

นั่นไง น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มระมัดระวังแล้ว

“ก็แค่ลองถามดู แต่มันก็งานปกติของพวกเราไม่ใช่หรือไง”

พอร์เตอร์ไม่ตอบ หากบรรยากาศระหว่างสองคนนั่นเงียบลงจนคีลรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่รู้ทำไมถึงได้ห่วงไอ้คนผมน้ำตาลขึ้นมาจับใจเสมือนห่วงลูกน้องในทีมตัวเอง

“เฮ้ อย่าเงียบไปแบบนั้นสิ” ไอ้คนพูดมากยังไม่เลิกทำเซ้าซี้ “ทำหรือไม่ทำแล้วมันสำคัญตรงไหน ต่อให้ไม่ได้ปล้นธนาคาร ยังไงนายก็ทำอย่างอื่นฆ่าเวลาอยู่ดี อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่จริง”

“ก็นะ แต่ฉันว่าฉันไม่จำเป็นต้องบอกนายทุกเรื่องถูกไหม”

“ก็จริง ไม่จำเป็นหรอก ฉันก็ไม่อยากรู้ขนาดนั้น”

“ดี”

“แล้วนี่นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย นี่ก็ขับมาจะเป็นชั่วโมงอยู่แล้วนะ”

“ใจเย็นๆ สิ” คนขับว่าเสียงเรียบ “เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

คีลขยับไมค์ที่อยู่บนคอปกเสื้อเพื่อยืนยันว่ากำลังเสริมพร้อมสำหรับอะไรที่อาจจะเกิดขึ้นไหม เขาพอจะเดาได้ว่าตอนนี้เทย์เลอร์คงเริ่มมือชื้นเหงื่อขึ้นมาแน่ เพราะบรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มแปลกไป

ชายหนุ่มผมดำตั้งสมาธิในการฟัง เขาต้องขับรถอย่างระมัดระวังไม่ให้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากเกินไป อันที่จริงเขาจะขับตามทิ้งระยะห่างกว่านี้ก็ได้เพราะมีเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอสที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเทย์เลอร์อยู่แล้ว แต่เขากลัวว่าถ้าทิ้งห่างเกินไปแล้วเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะไปช่วยชายหนุ่มคนนั้นไม่ทันก็เท่านั้นเอง

รถของพอร์เตอร์เร่งความเร็วขึ้นเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งบนท้องถนน คีลไม่แน่ใจว่านั่นหมายความว่าเป้าหมายเขารู้ตัวรึเปล่า เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เร่งตาม ประกอบกับทีรถบรรทุกคันหน้าขวางทางเขาพอดิบพอดี ถึงตรงนี้เขาก็กรอกเสียงลงบนเครื่องมือสื่อสารเพื่อบอกให้ทีมรู้ตัวแล้ว ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงที่ดังลอดมาทางหูฟังก็ทำให้เข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น

“นี่นายพาฉันมาที่ไหนเนี่ย”

“หาเพื่อนใหม่ไง เฮ้ พวก หวัดดี ดูซิว่าฉันพาใครมา”

หืม… พามาถึงดงพวกตัวเองเลยเหรอ กำลังเสริมของเขาคงได้ทำงานเต็มที่แน่

มีเสียงพูดคุยและเสียงเฮฮาตื่นเต้นที่ได้ยินชื่ออายออฟไอเดนลอดมาให้ได้ยิน คีลเริ่มกรอกเสียงลงไปสั่งทีมของตัวเองอีกครั้งขณะที่เขาเริ่มมองหน้าจอเพื่อตามสัญญาณจีพีเอสไป แล้วสิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นมาอย่างไม่ไว้ใจ

“ค้นตัวหมอนี่หรือยัง แน่ใจเหรอว่ามันไม่ได้เป็นสายให้ตำรวจ”

เกมโอเวอร์ล่ะ

คีลเหยียบคันเร่งขณะรายงานเรื่องนี้ให้คนในทีมรู้เพื่อไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุด

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ” เสียงของเอลเลียตดังแว่วๆ มาให้เขาได้ยิน แต่คีลไม่สนใจฟังอีกแล้ว เขาจอดรถเมื่อเห็นว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกลเนื่องจากไม่มีถนนให้ขับต่อไปแล้ว เขาออกแรงวิ่งสุดกำลังเพื่อตรงเข้าไปด้านในตรอกแคบๆ ที่อาคารรอบด้านผุพังและเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ

ได้ยินเสียงโวยวายดังมาให้ได้ยินจากหูฟัง ตามมาด้วยเสียงทุบหนักๆ แล้วก็เสียงครางของนักโทษของเขา

คีลควักปืนขึ้นมาถือเป็นจังหวะเดียวกับที่กำลังเสริมของเขาโผล่หน้ามาให้เห็นตามคำสั่งของเขาแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหน้าโกดังร้างที่สัญญาณจีพีเอสระบุตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อย

“ฉันอุตส่าห์ไว้ใจแก แต่แกแม่งทำแบบนี้เหรอวะ!? ”

“ฆ่ามันเลย แจ๊ค! หนอนแบบนี้แม่งปล่อยไว้ไม่ได้”

“ฟังฉันอธิบายก่อน---”

มีเสียงขึ้นนกปืนดังขึ้น คีลส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ในทีมก่อนจะถีบประตูเข้าไปเต็มแรงจากนั้นก็กรูเข้าไปด้านในพร้อมกับอาวุธครบมือ

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกมือขึ้นเหนือหัวเดี๋ยวนี้”

มีผู้ชายวัยกลางคนอยู่ในนั้นด้วยกันห้าคน ผู้หญิงอีกหนึ่งคน ทั้งหมดดูจะอึ้งกับการโดนล้อมแบบนี้ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นแค่โจรปล้นที่ไม่เคยประมือกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แบบจะจะมาก่อน

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมตวัดมองเอลเลียตก่อนเป็นอย่างแรก หมอนั่นยังปลอดภัยดี แค่กำลังนั่งคุกเข่ากับพื้น ชูสองมือขึ้นเหนือหัวตามคำสั่งของเขา บนแก้มข้างซ้ายมีรอยถูกต่อยให้เห็นจางๆ ทันทีที่ได้สบตากันเขาก็ได้เห็นถึงความโล่งอกระคนขอบคุณในนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่น แต่คีลสัมผัสได้ว่ามันมีความหมายบางอย่างแฝงมามากกว่านั้น

เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เริ่มกระจายตัวไปเพื่อจับกุมผู้ต้องหาแต่ละคนใส่กุญแจมือ คีลตรงไปที่ตัวแจ็ค พอร์เตอร์ที่ค่อยๆ วางปืนลงบนพื้นก่อนใคร เขากระชากตัวอีกฝ่ายให้เอามือไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือ ก่อนจะสาธยายข้อกล่าวหาและสิทธิมิแรนด้า*อันเป็นข้อปฏิบัติที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำเมื่อทำการจับกุม

“แจ็ค พอร์เตอร์ คุณถูกจับกุมข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับทีมในการปล้นชิงทรัพย์ธนาคาร คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด หากคุณสละสิทธิ์นี้ส่งที่คุณพูดสามารถนำไปใช้ได้ในศาล คุณมีสิทธิ์เรียกทนายและให้ทนายอยู่กับคุณในระหว่างสอบปากคำ ถ้าคุณไม่สามารถหาทนายได้ ทางรัฐจะเป็นฝ่ายจัดหาให้คุณโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”

“เอลเลียต เทย์เลอร์! ” พอเตอร์แทบคลั่งขณะที่ถูกคีลลากออกไปด้านนอกพร้อมกับคนอื่นๆ “ฉันว่าแล้วเชียวว่าแกมันไว้ใจไม่ได้! ฉันน่าจะลากแกเข้าหลังร้านแล้วกดแกซะให้รู้แล้วรู้รอด อย่านึกว่าเป็นคนโปรดของอดัมส์แล้วแกจะรอดไปได้นะ ไอ้สารเลว! เจอกันครั้งหน้าฉันเอาแกตายแน่! ”

เอลเลียตยกมือขึ้นแตะแก้มขณะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นโดยมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาช่วยพยุงเขา ตกใจไม่น้อยเรื่องที่อีกฝ่ายคิดจะกับเขาในเรื่องทางเพศแบบนั้น อาจเพราะเจ้าตัวรู้ความสัมพันธ์ของเขากับลีโอด้วยกระมัง แต่ก็นั่นแหละ ไอ้บ้านี่คิดจะปล้ำเขามาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในร้านด้วยกันแล้วน่ะนะ? บ้ารึเปล่า!? ไม่ดูขนาดตัวเองกับขนาดตัวเขาเลย!

“อูย เจ็บชะมัด” เจ้าตัวครางขณะลูบแก้มตัวเอง และถึงเขาจะรู้ว่าถ้าสู้กันตัวๆ ยังไงเขาก็ชนะแรงของแจ็คแน่ แต่ถ้าหมอนี่มีพวก หรือมีปืนสักกระบอก เขาอาจจะต้องยอมมันก็ได้ แต่ไม่ล่ะ ถ้าแค่ปืน เขาว่าเขาเอาอยู่ แต่ถ้าพวกหลายๆ คนแล้วอาวุธครบมือก็อีกเรื่อง เออ อย่าบอกนะว่ามันคิดเรื่องนี้ตอนที่พาเขามาที่นี่ด้วย พูดเป็นเล่นน่า ก็เมื่อกี้มีเอเลน่า เคอร์ติสเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในทีมด้วยไม่ใช่เหรอ คิดจะปล้ำเขาต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นหรือ---

เดี๋ยวนะ เอเลน่า เคอร์ติสเหรอ ใช่ เมื่อกี้ต้องเป็นหล่อนไม่ผิดแน่

“คุณ”

“เฮ้ย! ” เอลเลียตแทบสะดุ้งไปติดฝาด้านบนเลยทีเดียวเมื่อหันกลับไปเจอเสาไฟฟ้าเดินได้ยืนอยู่ประชิดตัวเขา “คีล… ตกใจหมดเลย”

“มากับผม” พูดพลางคว้าแขนอีกฝ่ายแล้วกระชากไปที่รถ

“เฮ้ เดี๋ยวสิ” คนผมน้ำตาลโวยวาย “นี่ผมโดนจับกุมด้วยงั้นเหรอ มันเรื่องอะไรกันคุณถึงต้องรุนแรงแบบนี้”

แต่คีลก็ไม่ฟัง เขายัดนักโทษในการควบคุมของตัวเองเข้าไปที่นั่งข้างคนขับ เอลเลียตอ้าปากค้าง แต่พอเห็นสีหน้านิ่งๆ แต่ดวงตาฉายแววโกรธขึ้งก็ตัดสินใจไม่โวยวายอะไร แม้ใจจะเริ่มตุ้มๆ ต่อมๆ ใจคอไม่ดีกับทั้งเรื่องของแจ็ค พอร์เตอร์กับเอเลน่า เคอร์ติสที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมในการโจรกรรมธนาคารของเขา

เขาไม่ได้สนิทอะไรกับคนหลัง เคยเห็นแค่ผ่านๆ เคยพูดคุยด้วยสักคำหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีกับเรื่องนี้ เขาตั้งใจจะทิ้งไพ่แค่ใบเดียวแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสอง ส่วนคนอื่นๆ ที่เป็นพวกของแจ๊คที่เขาไม่รู้จักนั้นเขาไม่นับ หมอนั่นมันบ้าเองที่พาเขามาถึงถิ่นแบบนั้น

“เฮ้” คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เอลเลียตก็อดเปิดปากขึ้นไม่ได้ “ผมว่าผมเพิ่งทำผลงานชิ้นโบแดงไปนะ”

คีลไม่ตอบ ท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัด หากแสงไฟจากข้างทางที่ส่องกระทบเข้ามาเป็นระยะๆ กลับทำให้คนข้างตัวเขาดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

เอลเลียตพิจารณาใบหน้าคมสันนั่นอย่างถ้วนถี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ อยากลองจูบปากหมอนี่ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้เหมือนกัน

บางทีเขาควรจะได้รางวัล

เขายอมทิ้งไพ่ของตัวเองไปตั้งสองใบ เขาควรจะได้อะไรตอบแทนบ้าง นอกเหนือจากการลดโทษโดยการลดระยะเวลาที่เขาต้องอยู่ในคุกแล้ว เขาสงสัยว่าเขาจะขออย่างอื่นด้วยได้ไหม

อาจจะลองเสี่ยงดูก็ได้… เขาว่าคีลเองก็แอบมองๆ เขาอยู่บ้างเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนจะเข้ามาหาเขาในห้องแบบนั้นเหรอ อีกอย่าง… เอลเลียตเองก็คิดว่าตัวเองแสดงออกค่อนข้างชัดว่าสนใจอีกฝ่ายในเชิงชู้สาว และการที่คีลไม่ได้ทำท่ารังเกียจอะไรก็แปลว่า… อืม พอเป็นไปได้อยู่มั้ง?

“นี่ คุณ” เขาพยายามอีกรอบ “พูดอะไรหน่อยสิ คุณจะเจรจาลดโทษให้ผมเพิ่มใช่ไหมกับงานนี้”

“อาจจะนะครับ” คนปากหนักพูดขึ้นในที่สุด “นี่จะเป็นงานสุดท้ายของคุณแล้ว”

“อะไรนะ!? ” ถ้านี่ไม่ใช่เบาะที่ติดมากับตัวรถแต่เป็นเก้าอี้สี่ขาเข้าชุดกับโต๊ะกินข้าว ป่านนี้เขาคงหงายหลังล้มตึงไปแล้ว “แต่… ทำไมล่ะ!? ผมทำได้ไม่ดีเหรอ คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจับผู้ต้องหาได้ตั้งหลายคน”

“ยังไงวิธีการนี้มันก็ลวกเกินไป หลักฐานก็ใช่ว่าจะมัดตัวผู้ต้องหาได้อย่างแน่นหนา”

“ไม่แน่นหนาบ้าอะไร” เอลเลียตอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆ “ก็ตอนที่ผมพยายามล้วงความลับจากหมอนั่นไง คุณก็ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่เหรอ แค่ที่มันพูดออกมาก็ชัดเจนจะแย่แล้ว”

“ในทางปฏิบัติมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ”

“คุณมันบ้า! คีล ที่คุณกำลังพยายามทำคือแค่จะเขี่ยผมออกไปอย่างนั้นใช่ไหม ถึงได้หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้าง! ”


ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]



ไอ้คนผมดำไม่ตอบ และเอลเลียตที่กำลังหวังว่าจะได้รางวัลจากอีกฝ่ายหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความโกรธ และด้วยความหงุดหงิดนี้เองที่ทำให้เขาบ้าบิ่นพอกระโจนไปกระชากพวงมาลัยรถจนรถส่ายไปมาอย่างเสียจังหวะ เสียงบีบแตรดังขึ้นจากด้านหลังตามด้วยเสียงเอ็ดตะโรของคนขับ

คีลผลักเอลเลียตออกไปจากนั้นจึงยึดพวงมาลัยแน่นขึ้น หักเลี้ยวเข้าจอดรถข้างทาง ตวัดสายตาคมกริบกลับมาดุอีกฝ่าย

“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ไม่อยากตายในคุกแล้วใช่ไหม ตายบนท้องถนนสภาพศพมันคงจะสวยกว่าสินะ”

“ผมไม่ยอมตายในคุกหรอก! ” พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างหัวเสียเต็มที่ “คุณบอกมาดีกว่าว่าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ถึงได้คิดจะเตะผมเข้าตารางตามเดิมแบบนี้ ผมหมดประโยชน์แล้วใช่ไหม ผมยกเพื่อนใส่พานถวายให้คุณได้คนหนึ่งผมก็หมดประโยชน์แล้วใช่ไหม”

“คุณคิดจริงๆ รึไงว่าตัวเองมีประโยชน์มาแต่แรก”

ประโยคนั้นทำให้เอลเลียตรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยมือที่มองไม่เห็น

“ที่ผมต้องคอยเอาคุณมากระเตงๆ ด้วยเพราะคำสั่งของเบื้องบนหรอก แล้วบอกเลย ต่อให้ไม่มีคุณผมกับทีมก็จะหาทางจับตัวคนร้ายกันเองได้ คุณจำไม่ได้เหรอว่าฉลาดๆ อย่างคุณผมยังจับมาได้มาแล้ว คิดว่าผมจะทำอีกไม่ได้หรือไง”

“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือไงว่าผมทำให้งานคุณเร็วขึ้นแล้วก็ง่ายขึ้นน่ะ! ” เอลเลียตพูดอย่างไม่เข้าใจ เขาอุตส่าห์คิดว่าเข้าคู่ได้ดีกับหมอนี่แล้วแท้ๆ แต่แล้วเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นหยุดลงที่รอยแผลข้างแก้มเขา เอลเลียตก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าเพราะอะไร

มันทำให้เขารู้สึกดีและโกรธไปพร้อมๆ กัน

“คุณเป็นห่วงเรื่องที่ผมโดนทำร้ายนี่เหรอ? ”

คีลไม่ตอบ หากหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วกระแทกมือลงบนพวงมาลัยเล็กน้อย เอลเลียตคาดคั้น

“คุณจะบ้าหรือไง ผมไม่ใช่ผู้หญิงแสนบอบบางที่ต้องได้รับการปกป้องตลอดเวลานะ กับอีแค่เรื่องแค่นี้”

“อ้อ เหรอ งั้นเรื่องที่คุณโดนปืนจ่อหัวนั่นก็ด้วยเหมือนกันใช่ไหม”

“แปลว่าคุณห่วงผมจริงๆ ”

คีลเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เอลเลียตคิดว่าตัวเองดีใจ แต่เขาหงุดหงิดมากกว่าที่อีกฝ่ายงี่เง่าได้ขนาดนี้

“เพราะคุณห่วงผมเลยคิดจะเขี่ยผมออกจากทีมงั้นเหรอ”

ก็ยังไม่ตอบ

“แปลว่าถ้าคุณห่วงลูกน้องในทีมคุณ คุณก็เอาพวกเขาออกด้วยสิ? ”

“ทุกคนในทีมผมเป็นมืออาชีพ”

เอลเลียตแทบเต้นกับคำตอบเชิงดูถูกกลายๆ ว่าเขาไม่ใช่มืออาชีพ

แค่พูดว่าเป็นห่วงเขาแค่นี้ ทำไมไอ้หมอนี่มันถึงได้ปากหนักแบบนี้วะ!

โดยไม่ทันรู้ตัว ชายหนุ่มก็กระชากคอเสื้อของสายสืบหนุ่มให้หันมามองหน้าเขาก่อนจะตะโกนอย่างเหลืออด

“เป็นห่วงผมก็พูดออกมาสิวะว่าเป็นห่วง มันยากเย็นตรงไหน!? คุณห่วงผมใช่ไหม! เพราะว่าคุณกลัวว่าผมจะเป็นอะไรถึงได้อยากเอาผมออกจากทีม”

“คุณไม่ได้อยู่ในทีมผมมาแต่แรก”

“อยู่! ผมอยู่ทีมเดียวกับคุณ ผมนอนอพาร์ทเม้นท์เดียวกับคุณด้วยซ้ำ! นี่คุณเป็นบ้าอะไร หา คีล วิลล์! แค่พูดว่าห่วงผมนี่มันจะทำให้คุณตายรึไง!? ”

“ผมห่วงคุณ”

“ก็บอกว่าให้พูดออกมาไงวะ! ” จากนั้นมือขาวก็ฟาดลงบนแก้มของคีลดัง เพียะ!

ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบ เอลเลียตอ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ สมองประมวลผลตามไม่ทัน ไม่รู้จะตกใจเรื่องไหนก่อนดีระหว่างคำพูดจากปากอีกฝ่ายกับการกระทำของตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววเซ็งจัด จากนั้นปิดเปลือกตาลงเหมือนไม่อยากยอมรับความรู้สึกนี้ ไอ้ที่เทย์เลอร์ตบเขาน่ะมันไม่เท่าไรหรอก แต่ไอ้ที่เขาไม่รู้สึกโกรธเจ้าตัวเลยนี่สิที่แย่กว่า

“คุณ… คุณยอมพูดแล้ว” เขาว่าเสียงสั่น ในอกพองฟูด้วยความรู้สึกยินดีอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาเป็นนานแสนนาน

เอลเลียตเลื่อนสองมือไปประคองใบหน้าอีกฝ่ายที่หันหนีเขาไปอีกทาง และยังไม่ทันที่คีลจะตั้งตัว พ่ออาชญากรตัวแสบก็ถลาเข้ามาขโมยจูบเขาอย่างรวดเร็วและโหยหา

คีลไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบได้นาน เขาผลักไหล่ของอีกฝ่ายให้กลับลงไปพิงเบาะรถตามเดิม ปลดสายเข็มขัดของตัวเองออก จากนั้นจึงยกเข่าพาดมาคร่อมที่เบาะนั่งข้างคนขับ คร่อมร่างของเทย์เลอร์ ปรับเบาะให้เอนลงไปด้านหลัง จากนั้นจึงเบียดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากคู่สวยของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง แทรกลิ้นเข้าผ่านโพรงปากหวานของอีกฝ่ายพร้อมๆ กับเอื้อมมือไปยึดหลังต้นคอคนด้านล่างให้ขยับรับจูบของเขาอย่างเต็มที่

เอลเลียตยกมือยึดแผ่นหลังกว้างของคนด้านบน ขยับลิ้นร้อนรับสัมผัสวาบหวามของอีกฝ่ายอย่างสมยอม จูบซาบซ่านกำลังทำให้เขาละลายและเคลิบเคลิ้มไปด้วยแรงอารมณ์ จนกระทั่งมือหนาสอดเข้าใต้สาบเสื้อ ไล่มาจนถึงยอดอกแล้วบดขยี้ด้วยแรงพอประมาณ เอลเลียตก็สะดุ้งเฮือกพร้อมกับผลักอีกฝ่ายออกด้วยความตกใจ หน้าแดงไปถึงหูเลยทีเดียวเนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรุกหนักขนาดนั้น

“คะ… คุณทำอะไรน่ะ”

"คุณเริ่มก่อนเองนะ" คีลย้อนกลับอย่างไม่สะทกสะท้อน หากร่องรอยความปรารถนาที่สะท้อนอยู่ในแววตาทำให้เอลเลียตใจเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ "นี่ขนาดผมแค่บอกว่าห่วงคุณ คุณยังบ้าได้ถึงขนาดนี้ ถ้าผมบอกชอบ คุณไม่แก้ผ้ารอเลยเหรอ"

ราวกับจะตอบรับคำท้า เอลเลียตที่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วเงยหน้าขึ้นไปจูบปากคีลอีกรอบอย่างอ่อนหวาน ขณะมือเริ่มปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง ก่อนจะกระซิบข้างหูอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงยั่วยวน

"งั้นก็พูดเลยสิ คุณตำรวจ คำนั้นน่ะ พูดออกมาเลย"

คีลหัวเราะในลำคอ ไล้ริมฝีปากลงบนข้างขมับของเอลเลียตอย่างมันเขี้ยวขณะตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะ

"ถ้าผมไม่พูด คุณจะตบผมอีกรึไง"

เอลเลียตหัวเราะรับ เลื่อนแขนขึ้นไปรัดคอคนด้านบนที่โน้มหน้าลงมาฟัดลำคอขาวผ่องของเขา รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างพวกเขา

"ผมจะชิงตัดหน้าบอกก่อนต่างหาก... ผมชอบคุณ"

คีลก้มหน้าลงบดริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างแรงด้วยความมันเขี้ยว นิ้วเลื่อนไปเขี่ยยอดอกอีกฝ่ายอย่างซุกซน พอใจกับเสียงที่เหมือนแมวครางซึ่งเล็ดลอดออกมาจากปากคนด้านล่าง นัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มที่ปรือขึ้นมามองเขาราวกับกำลังบอกว่าต้องการมากกว่านี้ ยิ่งทำเอาร่างสูงอยากปู้ยี่ปู้ยำพ่อคนช่างยั่วให้นึกเสียใจที่ท้าทายเขาอย่างนั้น

เสียงหวานครางลอดผ่านลำคอระหงเป็นห้วงๆ เอลเลียตแหงนหน้าไปด้านหลัง แอ่นอกเปลือยเปล่าของตัวเองให้อีกฝ่ายตวัดลิ้นสลับกับขบเม้มตามจุดต่างๆ อย่างเมามัน มือสากล้วงเข้าไปใต้กางเกง จงใจป่ายมือเฉียดส่วนอ่อนไหวที่เริ่มชูชันขึ้นมาผ่านเนื้อผ้าแล้ววางลงบนต้นขาอ่อนของอีกฝ่าย ลูบไล้วนไปมาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ เอลเลียตรู้สึกว่าเสียงครางกระเส่าของตัวเองน่าอายเป็นบ้า แต่เขาควบคุมมันไม่ได้เลย

"คุณนี่ น่าเหลือเชื่อจริงๆ เลยนะ" เสียงทุ้มต่ำของคีลกระซิบข้างหูเขาอย่างนึกขัน "ชอบคนที่จับคุณยัดเข้าตารางไปตั้งสองปีลงได้ยังไง หือ"

"ว่าแต่คนอื่น" เอลเลียตทำเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ "คุณเองก็น่าเหลือเชื่อเหมือนกันนั่นแหละ"

"ยังไงครับ"

"ก็ภายนอกออกจะดูสุภาพบุรุษ แถมยังเย็นอย่างกับภูเขาน้ำแข็งขนาดนั้น"เอลเลียตจับเนกไทของอีกฝ่ายด้วยท่าทียั่วยวน "แต่ที่จริงแล้วดิบเถื่อนสุดๆ ไปเลย"

"คุณมีปัญหากับเรื่องนั้นเหรอ"

"เปล่านี่" พูดด้วยรอยยิ้มกว้างจนถึงขั้นยียวนเลยทีเดียว "ผมชอบนะ เร้าใจดี"

“หึ” คีลดึงเนกไทของตัวเองออกจากมืออีกฝ่าย ขยับหน้าไปกัดริมฝีปากของคนปากดีทีหนึ่ง “แต่ผมเกลียดคนแบบคุณที่สุดเลย เทย์เลอร์ ทั้งอวดดี แถมยังทำตัวน่าตีตลอดเวลาอีก”

“ดีเลย” เอลเลียตยิ้มหวานอย่างไม่สะทกสะท้าน ดึงตัวอีกฝ่ายลงมาให้แนบชิดกับร่างกายของตัวเอง มีเพียงเนื้อผ้าบางเบาที่ยังติดตัวคีลอยู่เท่านั้นที่ขวางกั้นพวกเขาไว้ “งั้นก็ทำโทษผมแรงๆ หน่อย คีล เอาให้ผมไม่กล้าหือกับคุณ”

ท้าทายด้วยปากอย่างเดียวไม่พอ มือของเจ้าตัวเลื่อนไปปลดเข็มขัดของอีกฝ่ายออก มันร่วงลงอย่างรวดเร็วเพราะน้ำหนักของปืน กุญแจมือ ตราตำรวจ และอะไรก็ตามที่เหน็บอยู่บนนั้น จากนั้นเอลเลียตก็ดึงท่อนล่างทั้งหมดของอีกฝ่ายลง มือกอบกุมส่วนที่ชูชันขึ้นมาของคนตรงหน้า รูดมือขึ้นลง ครางเสียงกระเส่าในลำคอเมื่ออีกฝ่ายประกบจูบร้อนลงมาอีกครั้ง จ้วงลิ้นเข้ามาโพรงปากเขาอย่างไร้ความปรานี เหมือนตั้งใจจะทำให้เขาละลายไปทั้งๆ อย่างนั้นได้

คิดดูแล้วก็แปลกดี เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนที่อ่อนประสบการณ์เรื่องพวกนี้ จูบกับคนที่เทคนิคเด็ดๆ ก็ทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่กับคีลมันต่างออกไป เอลเลียตก็ยังไม่แน่ใจว่ายังไง เพียงแต่เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องเสพติดมันในอีกไม่นานนี้แน่

คนผมน้ำตาลส่งเสียงขณะที่มือหนาละเลงลงบนส่วนปลายที่มีน้ำใสเอ่อซึมขึ้นมาอย่างมันมือ คีลขยับนิ้วเรียวที่ชื้นขึ้นเข้าไปที่ปากทางด้านหลัง เอลเลียตขยับหน้าลงมางับปากบนไหล่เขา ตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนลูกหมาที่ตื่นกลัว เพราะถึงเขาจะเคยทำเรื่องพวกนี้มาขนาดไหน แต่การที่ห่างหายไปสองปีกว่าก็ทำให้เขาหวาดเสียวไม่น้อยเหมือนกัน

เอลเลียตครางเสียงกระเส่าเมื่อนิ้วแรกชำแรกเข้ามาในตัวเขา ตามมาด้วยนิ้วที่สองติดๆ น้ำใสรื้นมาที่ขอบตาของชายหนุ่มด้วยความเสียวซ่านเมื่อทั้งสองนิ้วในตัวเขาเริ่มขยับไปมาหาจุดกระสันของช่องทางด้านหลัง

นึกขอบคุณที่คีลจอดรถในที่ที่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีรถวิ่งฉิวอยู่ตามท้องถนนผ่านพวกเขาไป มันทำให้เอลเลียตตกใจระคนตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อคิดว่าอาจมีใครมองเข้ามาเห็นว่าพวกเขาสองคนทำอะไรอยู่ในรถคันนี้ ถึงแม้ว่าความเป็นจริงแล้วมันจะมืดจนมองอะไรไม่เห็น ประกอบกับที่รถคันนี้ติดฟิล์มอยู่ด้วยก็เถอะ แต่ในด้านความรู้สึกแล้ว เอลเลียตก็รู้สึกเหมือนกำลังเล่นหนังสดให้คนที่ผ่านไปมาชมอยู่ดี

คนผมน้ำตาลบิดตัวเกร็งเมื่อคีลกดนิ้วย้ำลงบนจุดนั้นซ้ำๆ เจ้าตัวเอ่ยปากห้าม แต่คีลก็ไม่ฟังอยู่ดี วินาทีต่อมาทุกอย่างก็ขาวโพลน คีลทำให้เขาเสร็จก่อนจนได้ และตอนนี้น้ำสีขาวขุ่นก็กระจายอยู่เต็มหน้าท้องของเจ้าตัวที่ยังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

นะ… น่าอายชะมัด นี่หมอนี่ให้เขาถึงก่อนได้ยังไงเนี่ย

“เดี๋ยว! ” เอลเลียตร้องด้วยความใจเมื่ออีกฝ่ายลากลิ้นลงบนร่างกายเขา ทำความสะอาดน้ำพวกนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเคยคิดว่าตัวเองหน้าหนามาก่อนนะ แต่พอมาเจอหมอนี่ถึงได้รู้ว่าหน้าหนาจริงๆ น่ะเป็นยังไง

ใบหน้าขาวเนียนของชายหนุ่มแดงเถือกจนเลยไปถึงใบหู คีลเห็นแล้วอดยิ้มด้วยความสะใจระคนเอ็นดูไม่ได้ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังทำเก่งอยู่เลย นี่ยังไม่ทันไรก็ดูจะพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสียแล้ว

และเหมือนเอลเลียตจะรู้ความหมายของรอยยิ้มนั้น เจ้าตัวโอบแขนรอบคอของคีลอีกรอบก่อนจะพูดเสียงเข้มขึ้นเป็นเชิงขู่

“รีบๆ ใส่เข้ามาได้แล้ว รอผมหมดอารมณ์ก่อนรึไง”

“ผมไม่กลัวเรื่องนั้นหรอก” คนด้านบนกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ “ผมทำให้คุณเกิดอารมณ์ได้เสมอแหละ”

ไอ้… ไอ้ตำรวจลามก!

คีลเปิดเก๊ะหน้ารถแล้วหยิบถุงยางออกมาซองหนึ่งจากนั้นก็สวมใส่อย่างรวดเร็ว เอลเลียตกอดแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายแน่น กระตุกตัวอีกระลอกเมื่อความแข็งแกร่งแทรกผ่านตัวเขามาทีละนิด ความเจ็บปวดแทรกผ่านร่างกายมาก่อนเป็นอย่างแรก คีลจึงเลื่อนริมฝีปากไปจูบข้างขมับเพื่อให้ร่างในอ้อมแขนผ่อนคลายลง จากนั้นเขาถึงแทรกตัวผ่านเข้ามาได้ทั้งหมด

“อะ อือ…” เอลเลียตครางแผ่วเบา ฟุบหน้าลงกับบ่ากว้างเมื่อคีลใจดียอมอยู่นิ่งๆ ให้ร่างกายของเขาได้ปรับสภาพให้คุ้นชินกับสิ่งที่เพิ่งแทรกผ่านเข้าไป และเมื่อคิดว่าเอลเลียตคงไม่เป็นไรแล้ว คีลก็เลื่อนเบาะให้เอนไปด้านหลังจนสุดเพื่อให้มีพื้นที่มากขึ้นจากนั้นก็เริ่มขยับตัวเข้าออกเป็นจังหวะ เอลเลียตจิกนิ้วลงบนบ่าของอีกฝ่ายจนแทบเข้าไปถึงในเนื้ออย่างหาที่ระบายอารมณ์

เอลเลียตไม่เคยรู้สึกอายกับเสียงครางของตัวเองขนาดนี้มาก่อน รถที่วิ่งผ่านไปทำให้เขาใจเต้นระส่ำจนเหมือนจะกระเด็นหลุดออกมาจากอก เลือดสูบฉีดแรงจนเขากลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรหลังจากนี้ไหม

คีลก้มลงไซร้ลงบนคอเขาอีกครั้งโดยที่ยังกระแทกเข้ามาไม่หยุด แต่เอลเลียตก็ขยับสะโพกรับทุกการเคลื่อนไหวนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เกือบจะไต่ถึงจุดสุดยอดอีกครั้ง เขารู้สึกโหยหามันขึ้นอีกรอบ แต่ไอ้คนด้านบนก็เอาแต่นัวเนียอยู่ที่คอเขาอยู่ได้

“คีล” เรียกเสียงแผ่ว “จูบ… จูบผมหน่อย”

นัยน์ตาคู่คมช้อนขึ้นมามองตาเขา เลิกคิ้วขึ้นหนึ่งเป็นเชิงถาม นี่ขนาดเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มยังจะกวนตีนอีกนะ ไอ้หมอนี่…

“นะ… นะครับ ที่รัก”

“นี่ผมเป็นที่รักของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

ก็ตอนนี้แหละ มีเซ็กส์กันอยู่จะจะแบบนี้จะให้เป็นตอนไหนล่ะ

และผลสุดท้ายคีลก็ก้มหน้าลงมาจูบเขาอีกครั้งอย่างลึกซึ้งเนิ่นนาน เอลเลียตปล่อยให้ทั้งตัวเองและคนด้านบนถึงจุดสุดยอด แต่ไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากคู่นั้นผละออกไปจากเขาเลย พอคีลทำท่าจะผงกหัวขึ้น แขนเขาก็รั้งอีกฝ่ายลงต่ำให้จูบลงมาอีก แต่พอเขาคิดจะเบือนหน้าหนี มือหนาก็จับให้เขาหันไปรับจูบต่ออีกจนได้

ราวกับว่ามันจะดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนความมืดที่กลืนกินท้องฟ้าในราตรีนี้

ถ้าคำว่าไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นได้จริงๆ ก็คงดี






-------------------------------------------

*สิทธิมิแรนด้า (Miranda rights) : เป็นสิทธิ์หรือคำเตือนที่ตำรวจของสหรัฐอเมริกาต้องแจ้งหรืออ่านให้ผู้ต้องสงสัยในคดีรับทราบและต้องได้รับการยินยอมจากผู้ต้องหาในการให้ปากคำ ด้วยสิทธิ์ตัวนี้ ผู้ต้องสงสัยสามารถเลือกที่ไม่พูดก็ได้ แต่หากสละสิทธิ์ตัวนี้และเริ่มให้ข้อมูลกับตำรวจ คำพูดหลังจากนั้นสามารถนำไปใช้ในศาลได้ [ข้อมูลจาก> https://en.wikipedia.org/wiki/Miranda_warning]

Talk: เอลเลียต หนูไปตบคุณตำรวจทำไม ตบจูบด้วยนะ ถึงแม้ว่าคนตบกับคนจูบจะเป็นคนเดียวกันก็เถอะ 555555

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เปลี่ยนอารมณ์เร็วมาก เป็นตอนที่เรียกเลือดจริงๆ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้ เห็นวางฟอร์มกันทั้งคู่ กรี๊ด !!  :jul1:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 6




ทั้งคู่กลับมาถึงห้องพักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และแม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาตีหนึ่งมาแล้ว ร่างของคนทั้งสองก็ยังแนบชิดนัวเนียกันอยู่บนเตียงอย่างไม่เกรงกลัวว่ารุ่งอรุณจะมาเยือนในอีกไม่กี่ชั่วโมง คีลผละออกจากร่างของเอลเลียตแค่ครั้งเดียวตอนประมาณห้าทุ่มที่มีสายโทรเข้าจากคนในทีมและเขาจำเป็นต้องตอบ แต่หลังจากนั้นสายสืบหนุ่มก็ลากคนผมน้ำตาลเข้าไปอาบน้ำด้วย แล้วก็มาต่อที่บนเตียงจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าแทบไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอเลย

"อ่า คีล" ริมฝีปากคู่สวยพูดพร้อมกับหอบระรัวที่มือหนาจับเขาพลิกคว่ำลงกับเตียงแล้วยกสะโพกให้ลอยขึ้น "ผมว่าเราน่าจะ-- อึก"

เอลเลียตเชื่อแล้วว่าพวกตำรวจนี่อึดจริงๆ ไม่สิ จะเหมารวมแบบนั้นไม่ได้เพราะเขารู้จักตำรวจจริงๆ แค่คนเดียว เอาเป็นว่าสายสืบที่ชื่อคีล วิลล์คนนี้โคตรถึกเลยแล้วกัน คนอื่นจะเป็นยังไงเขาไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้เสียงเขาแหบจนครางแทบไม่ออกแล้ว

"คีล มะ... ไม่ไหว ผมไม่ไหวแล้ว ขอผมพักหน่อย ขอผมพักหน่อยนะครับ ที่รัก"

“หึ” คีลยกยิ้มเหยียด โน้มหน้าลงไปงับหูก่อนจะกระซิบเสียงยียวน “คุณเป็นคนท้าก่อนเองแท้ๆ นะ”

“!” ร่างที่บางกว่าดิ้นพล่านอีกรอบเพราะนอกจากคีลจะไม่ฟังคำขอของเขาแล้ว ไอ้ซาดิสม์นี่ยังกระแทกลงมาแรงกว่าเดิมเสียอีก คีลขยับสะโพกต่อไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งพวกเขาทั้งคู่ถึงจุดสุดยอดอีกรอบนั่นแหละ คนผมดำถึงได้ยอมผละตัวออกไปในที่สุด

เอลเลียตเอื้อมมือไปแตะของเหลวที่หน้าท้องแม้ว่าทั่วทั้งร่างจะยังสั่นเทาเพราะความปรารถนาที่ถูกรีดเค้นออกไปไม่ยั้งในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา มันเหลือแค่น้ำใสๆ แล้วตอนนี้ เขายังแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่ายังเหลืออะไรให้ออกมาอีก

เรียกได้ว่าไอ้ที่เขาเก็บกดมาเนิ่นนานในเรือนจำได้รับการปลดปล่อยไปจนเกลี้ยงในคืนเดียว อยากจะใช้คำว่าน่าพึงพอใจ น่ารื่นรมย์ สะใจ สมกับการรอคอย หรืออะไรแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่เขาขอใช้คำว่า 'มากเกินความจำเป็น' น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้มากกว่า!

ไอ้ปีศาจเอ๊ย! อย่าได้ไว้ใจท่าทีนิ่งๆ สุขุมนุ่มลึกเหมือนสุภาพบุรุษของหมอนี่เด็ดขาด ต่อจากนี้ต้องเตือนตัวเองเลย

ใครใช้ให้อัดกับคนที่ห่างหายเรื่องแบบนี้ไปสองปีกว่าไม่ยั้งแบบนั้น หา!?

"งือ คีล" แต่ถึงในใจจะสาปแช่งอีกฝ่ายยังไง เอลเลียตก็ยังเรียกอีกฝ่ายเสียงหวานอยู่ดี

แล้วดูคนที่มันทำให้เขามีสภาพเป็นแบบนี้ มันยังนั่งพิงพนักเตียงสูบบุหรี่หน้าตาเฉยอยู่เลย

เอลเลียตคลานเข้าไปนอนกอดเอวอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน เรียกนัยน์ตาคู่คมให้ตวัดกลับมามองด้วยความขันระคนเอ็นดู มือเลื่อนไปลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่างเอาใจ เรียกรอยยิ้มสว่างไสวจากพ่อตัวแสบได้ไม่ยากเย็น

“เหนื่อยเหรอครับ” เหมือนจะใจดีนะที่ยังอุตส่าห์ถาม

“เหนื่อยสิคุณ” ตอบพร้อมกับทำหน้ายู่ “เล่นติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ แบบนั้น สะโพกผมครากไปหมดแล้ว”

“ผมให้คุณพักตั้งนานตอนเราขับรถกลับ แล้วก็ตอนรับโทรศัพท์”

“นั่นเรียกว่านานเหรอ”

คีลหัวเราะเบาๆ พ่นควันสีขาวขุ่นออกมาจากริมฝีปาก “งั้นคราวหลังไม่ต้องพักเลยดีไหม”

“อย่าทำเป็นอวดเก่งหน่อยเลย คุณไม่อึดขนาดนั้นหรอก”

“อยากพิสูจน์ไหมล่ะ”

“...” ไม่เอาดีกว่าครับ

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เงียบลง คีลอัดบุหรี่เข้าปอดพร้อมๆ กับลูบเส้นผมสีน้ำตาลเรื่อยๆ ส่วนเอลเลียตก็เริ่มจับมือของอีกฝ่ายให้ลดลงมาลูบแก้มเขาเล่นแล้ว จนกระทั่งเห็นว่าคีลเริ่มขยี้ส่วนปลายลงบนที่เขี่ยบุหรี่นั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้เปิดปากชวนคุยอีกครั้ง

"ถ้าผมถามแบบนี้จะฟังดูงี่เง่าเกินไปไหม"

"ผมยังไม่ได้ยินคำถามเลยนี่"

“คุณจริงจังกับผมรึเปล่า”

คำถามนั้นทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง เอลเลียตจึงรีบพูด

“เฮ้ ถ้าไม่ได้จริงจังก็ไม่เป็นไรนะ ผมแค่ลองถามดู เราเองก็โตๆ กันแล้ว”

“คุณว่ายังไงนะ” คราวนี้ความงุนงงแปรเปลี่ยนเป็นโกรธฉับเลย ไหงงั้นล่ะ

“ก็แบบ… ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณอยากจะวันไนท์สแตนด์กับผม ผมก็โอเคไง หรืออยากทำแบบนี้จนกว่าผมจะกลับไปอยู่ในคุกต่อก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

คีลยกมือขึ้นมาตีหน้าผากของตัวเองทันที นั่นยิ่งทำเอาเอลเลียตเข้าใจผิด คิดว่าเจ้าตัวรู้สึกแย่กับการมีเซ็กส์กับเขาเข้าไปใหญ่

หมอนี่จะไม่สนใจเขา เอลเลียตไม่ว่า แต่เขารับไม่ได้แน่ถ้าต้องให้คีลรู้สึกแย่กับที่พวกเขาทั้งคู่เพิ่งนอนไปด้วยกัน

“หรือถ้าคุณไม่อยากทำแล้วก็บอกได้นะ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ซี--”

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”

เอลเลียตอุทานออกมาอย่างตกใจเล็กน้อยเมื่อมือหนากระชากเขาเข้าไปแนบตัว กอดร่างเขาแน่นขึ้นราวกับหวงแหน มันทำให้เอลเลียตใจเต้นขึ้นมาง่ายๆ เพราะครั้งล่าสุดที่เขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ เอ่อ ลีโอนั่นแหละ อีกฝ่ายไม่ได้ แบบว่า จริงจังกับเขาขนาดนั้นมั้ง? เหมือนคู่นอนที่แค่ไม่ได้นอนกับคนอื่นมากกว่า แต่ในด้านความรู้สึกก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมาย

แต่… แต่ที่คีลแสดงออกมามันตรงข้ามกับตอนที่คบกับลีโอเลยนี่นา (หมอนั่นเสร็จกิจแล้วก็หันหน้าหนี ตัวใครตัวใครตัวมันเลย) หรือว่านี่จะเป็นแผนการอะไรบางอย่าง แบบว่า แกล้งทำให้เขารู้สึกดีๆ ด้วยเอาไว้เค้นความลับอะไรแบบนั้น เดี๋ยวนี้ตำรวจต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?

“แล้ว… แล้วคุณหมายความว่ายังไง” กลั้นใจต้องถามต่อ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปอยู่สมัยม.ต้น คุยกับคนที่ชอบเป็นครั้งแรก และมันทำให้เอลเลียตรู้สึกตัวเองงี่เง่ามากๆ

“คุณคิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ”

“คุณว่าไงนะ”

“ที่นอนกับผมนี่ แค่ขำๆ สำหรับคุณใช่ไหม”

เอลเลียตแทบจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมาอยู่แล้วเพราะคิดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น แต่เปล่าเลย ใบหน้าคมยังตีหน้าขึงขังเหมือนเคย จริงจังกว่าทุกครั้งด้วยซ้ำ และนั่นยิ่งทำให้เอลเลียตใจเต้นรัวมากขึ้น ลืมหายใจไปชั่วขณะระหว่างที่ถามต่อ

“คุณ… คุณชอบผมจริงๆ เหรอ?”

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ”

“กะ… ก็คุณไม่เห็นพูดเลย”

“แล้วที่คุณพูดว่าชอบนั่นก็ล้อเล่นใช่ไหม”

“เอ่อ ก็ออกแนวทีเล่นทีจริงนะ” ก็ไม่นึกว่าหมอนี่จะจริงจังขนาดนี้นี่หว่า เออ แต่ดูจากภายนอกปราดเดียวก็รู้อยู่แล้วล่ะนะว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต

“เทย์เลอร์!”

“ชู่” เอลเลียตรั้งอีกฝ่ายลงจูบปิดปาก “เรียกผมว่าเอล”

“ทำไมผมจะต้อง---”

“นะครับ คีล คนดี ถ้าจะไม่พูดว่าชอบผม อย่างน้อยก็เรียกชื่อกันหน่อยได้ไหม”

“คุณมันเอาแต่ใจตัวเอง”

“ผมรู้” ขยับตัวขึ้นมา จุ๊บปากอีกฝ่ายอีกหลายรอบอย่างมันเขี้ยว “แต่ผมเอาใจง่ายนะ เอาใจผมนิดเดียวผมยอมทำตามที่คุณบอกทุกอย่างเลย ไม่ลองพิสูจน์ดูหน่อยเหรอ?”

หมั่นไส้ความอวดดีของหมอนี่เป็นบ้า

แต่คีลก็จูบปากพ่อตัวแสบในอ้อมแขนอยู่ดี เอลเลียตหลับตาลง เคลิ้มไปกับจุมพิตที่ทำให้เขาเสพติดไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาว่าคีลเองก็ชอบจูบเขาเหมือนกันนั่นแหละ ถึงได้กดริมฝีปากซ้ำไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แล้วไอ้อาการใจเต้นที่อกข้างซ้ายนี่มันอะไรกัน… เขาเพิ่งอยู่กับหมอนี่ได้ไม่กี่วัน ชอบคีลเข้าไปแล้วจริงๆ เหรอ เลือกเอาคนที่ทำอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เนี่ยนะ? เลือกได้ถูกคนมากจริงๆ ไม่ได้เกรงใจปืนหรือกุญแจมือที่เหน็บอยู่บนเอวเจ้าตัวเลย

แต่ก็ช่างเถอะ เขาชอบเล่นกับของอันตรายอยู่แล้ว และมาถึงขั้นนี้ ขั้นที่อีกฝ่ายเองก็เหมือนจะคิดกับเขาเกินเพื่อนนอนด้วยแบบนี้ เขาไม่หยุดใจตัวเองแล้วดีกว่า

ขอรักเลยแล้วกัน

“ผมรักคุณ คีล”

“ผมก็รักคุณ เทย์เลอร์”

น้ำเสียงที่ดูจริงใจนั่นทำให้เอลเลียตยินดีระคนใจหายได้ในเวลาเดียวกัน หากเจ้าตัวก็กลบเกลื่อนอาการนั้นได้อย่างรวดเร็ว

“เอลต่างหาก” แตะน้ิวชี้ลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย “ถ้าไม่เรียกชื่อผม ผมไม่ยอมให้จูบแล้วจริงๆ ด้วย”

“อย่างกับตัวคุณเองจะทนได้”

“แค่เรียกชื่อแค่นี้คุณจะตายรึไง”

“เอล”

ว้าก! เมื่อกี้ใจสะเทือนเลย แบบ เต้นแรงไปอะไรงี้ นี่หมอนี่ยอมเรียกชื่อเล่นเขาแล้วจริงๆ อ้ะ?

“หึ คุณนี่ติงต๊องชะมัด” ไม่พูดเปล่า มือเอื้อมมือดึงแก้มที่แดงซ่านขึ้นของคนตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว “กับอีแค่เรียกชื่อแค่นี้ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ทีเรื่องเซ็กส์นี่กลับไม่แคร์ซะงั้น”

“ก็ลองนึกถึงอาชีพคุณสิ” เอลเลียตยักไหล่ “แล้วก็สถานะผม”

“อืม ดูไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไร”

“ไม่ค่อยกินเส้นเหรอ คุณเป็นคนจับผมยัดเข้าคุกนะ”

“นั่นเพราะว่าคุณทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ใช่หรือไง”

ไม่มีอะไรให้เถียง เอลเลียตนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่กับคำพูดนี้ แน่นอนว่าที่เขาลงมือปล้นธนาคารมีหลายปัจจัยรุมเร้าเข้ามาให้ต้องทำแบบนั้น แต่หนึ่งในนั้นชายหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเพราะเขาอยากจะทำอะไรที่มันตื่นเต้นท้าทายเอง แล้วก็เหตุผลอีกสองสามข้อที่เห็นแก่ตัว

จะว่ายังไงดี ช่วงเวลานั้นมันไม่คิดถึงเรื่องผิดถูกหรอก คิดแต่ว่าจะทำยังไงให้ตัวเองรอด แต่ไอ้ความตื่นเต้นที่เขาได้ลิ้มรสยามที่หมุนเลขของตู้เซฟตอนที่ปล้นธนาคารแห่งแรก มันทำเอาเขาเผลอไผลไปกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่มาพร้อมกับมือที่ชื้นเหงื่อนั่นจริงๆ

การก่ออาชญากรรมมันก็คือศิลปะอย่างหนึ่งนั่นแหละ ถ้าคุณรอด มันก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอก แล้วคุณก็จะเป็นศิลปินที่ผู้คนจดจำแต่จับตัวไม่ได้

เขาเองก็เกือบได้ไปถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าไอ้บ้านี่ยัดเขาเข้าคุกเสียก่อนน่ะนะ!

“ทำไมคุณถึงลงมือปล้นธนาคารล่ะ”

“อะไรล่ะนั่น” เอลเลียตยกยิ้มหวานขณะที่ขยับหัวไปหนุนหมอน ดึงร่างสูงที่หยิบเสื้อนอนบนพื้นขึ้นมาใส่เรียบร้อยให้ล้มตัวลงมานอนข้างๆ “สอบปากคำเหรอครับ หรือว่าสอบถามเพื่อความสนิทสนม”

“คำตอบไม่เหมือนกันเหรอครับ”

เอลเลียตหัวเราะ ขยับตัวไปกอดอีกฝ่ายแน่น ซุกหน้าลงบนแผ่นอก กลิ่นสบู่จางๆ กลิ่นเดียวกับที่เขาใช้ลอยมาแตะจมูก ความจริงก็คือ เขาเป็นคนที่ชอบสกินชิปมาก แต่ตั้งแต่เข้าไปอยู่ในนรกนั่นเขาก็แทบไม่ได้แตะตัวใครเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ เพราะเขาไม่อยากให้ใครคิดว่าเขากำลังเชิญชวนทำเรื่องอย่างว่าอยู่ ถึงจะมีหลายครั้งที่เขาถูกชวนบ่อยก็เถอะ แต่ขอโทษ… ถึงเขาจะง่ายแต่เขาก็เลือกนะเว้ย

“ถ้าคุณถามล่ะก็ ผมไม่ถือหรอก”

“ใครคือเทลออฟอดัมส์”

คีลสังเกตเห็นว่าคนถูกถามเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะยกมือโบกเป็นเชิงปัดคำถาม

“ผมยังไม่อยากพูดถึงหมอนั่นตอนนี้”

คงเป็นแฟนเก่า… คีลสรุปในใจ เขาอยากจะเค้นต่ออยู่หรอกเพราะมันต้องเกี่ยวกับรูปคดีแน่ แต่เขาจะยอมปล่อยไปก่อนตอนนี้

“แล้วคุณจะเล่าให้ผมฟังได้รึยังว่าทำไมคุณถึงปล้นธนาคาร”

เอลเลียตยอมผละออกจากอกแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นฉายแววครุ่นคิด

“อืม… ถ้าให้ตอบจริงๆ จังๆ คงเป็นเพราะว่าผมอยากได้เงินล่ะมั้ง”

“แล้วทำไมถึงอยากได้เงินเยอะขนาดนั้นล่ะ”

“เอาจริงดิ คุณจะสอบปากคำผมบนเตียงเลยเหรอ”

“ผมถามเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของเราต่างหาก” ย้อนไม่พอ ยังจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้อีก

เอลเลียตขยับไปจูบปากอีกฝ่ายทีหนึ่งพร้อมกับหยิกแก้มคีลเป็นการเอาคืน “จะไม่เพิ่มข้อหาให้ผมใช่ไหม”

“ขึ้นอยู่กับคำตอบ ผมว่างั้นนะ”

“ทำไมโหดงี้ เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“คุณยอมเป็นของผมไหมล่ะ”

เอลเลียตหน้าร้อนวูบขึ้นมาจนคีลอดหัวเราะออกมาไม่ได้

หมอนี่ช่างมีความย้อนแย้งในตัวเองสูงจริงๆ เป็นคนบ้าบิ่นถึงขนาดเชิญชวนเขาแต่กลับอายม้วนกับคำพูดง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ?

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองมีความย้อนแย้งข้างในสูงมาก” เอลเลียตว่าอย่างกับได้ยินเสียงในใจเขา “ปกติออกจะปากหนัก… แต่พอมีเซ็กส์กับใครแล้วเปลี่ยนเป็นแบบนี้ประจำเลยเหรอ”

“ให้คุณพิสูจน์เองดีกว่า”

“โอ๊ย ตายแล้ว” พูดพร้อมกับยกมือปิดหน้า “ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“เรากลับเข้าเรื่องกันดีกว่าไหม”

“เดี๋ยวก่อน ก่อนที่เราจะเข้าสู่การสอบปากคำ” เอลเลียตเปิดโหมดจริงจัง เขาจ้องตาสายสืบหนุ่มนิ่ง “คุณจะให้ขอบเขตการคบของเราไปถึงขั้นไหน”

“อะไรนะ”

“แบบ… ห้ามมีคนอื่นระหว่างที่คบกัน--”

“อ้อ แน่นอนล่ะ ถ้าผมจับได้ว่าคุณไปมั่วกับคนอื่นล่ะก็ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”

โว้ว ใจเย็น ยังพูดไม่จบ

แต่แค่คิดว่าหมอนี่จะลงโทษเขาแบบไหน เอลเลียตก็ชักนึกสนุกขึ้นมาเหมือนกัน เจ้าตัวเลยเสือกตัวเข้าไปชิดกับคีลอีกครั้ง สอดขาข้างหนึ่งเข้าไประหว่างขาสองข้างของอีกฝ่าย ดึงมืออีกฝ่ายลงมาตะปบบนบั้นท้ายตัวเองทั้งสองข้าง คีลเลิกคิ้วขึ้นมองคนช่างยั่วที่ยังส่งยิ้มเผล่มาให้เขา

“นี่คุณเตรียมจะนอกใจผมตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือยังไง?”

“เปล่าสักหน่อย ผมอาจจะง่ายนะคีล แต่ไม่มั่ว”

“ไม่ค่อยแน่ใจว่าสองคำนี้ต่างกันยังไงเหมือนกัน”

เอลเลียตจูบซอกคอของชายหนุ่มแล้วเลยไปที่แก้ม “ก็ง่ายกับคุณแค่คนเดียวไง”

“เราจะไม่มีวันวกกลับไปเรื่องเก่าแล้วใช่ไหม”

“คุณถามใหม่อีกรอบสิ”

คีลถอนหายใจ “ผมว่าคืนนี้เราเข้านอนเถอะ ตาผมจะปิดอยู่แล้ว”

“ไม่น่าเชื่อ คุณเหนื่อยเป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?”

“ผมก็คนนะคุณ แล้วที่ผมทายาให้บนแก้มคุณเป็นไง ดีขึ้นไหมครับ”

“ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขอบคุณนะครับ ที่รัก รักที่สุดเลย” จบท้ายด้วยการหอมแก้มคีลหนึ่งฟอด

...ไอ้นักโทษของเขาคนนี้จะช่างยั่วไปไหนเนี่ย







การสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดที่คุมตัวมาได้กินเวลาไปอีกเกือบสองวัน ทางคีลสามารถคุมตัวผู้ต้องหาสามคนเอาไว้ได้ สองคนในนั้นคือแจ็ค พอร์เตอร์กับเอเลน่า เคอร์ติส ส่วนอีกคนที่ยังรวบตัวไม่ได้เพราะหลักฐานไม่แน่นหนาพอ แต่คีลเชื่อว่าอีกไม่นานทีมเขาต้องหาอะไรที่ทำให้ชายผู้นั้นดิ้นไม่หลุดแน่

"จับตาดูหมอนั่นไว้ดีๆ แล้วกัน" เอลเลียตพูดพร้อมกับเอนตัวพิงโซฟายาวที่ตั้งอยู่ในริมผนังของสำนักงานโดยมีโต๊ะทำงานของคีลตั้งอยู่ใกล้สุด ว่าพลางหยิบมันฝรั่งแผ่นเข้าปาก "พวกคุณเผลอเมื่อไหร่มันชิ่งแน่ ไม่โง่อยู่รอให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานมาได้ครบก่อนหรอก"

"เหมือนคุณเองใช่ไหม" คีลย้อนถามคนที่นั่งบนโซฟาด้านหลังเก้าอี้เขาเสียงเรียบ โจนาธาน ฟอร์ดที่นั่งโต๊ะข้างๆ หลุดหัวเราะออกมาในขณะที่เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นมาทันที แต่ไอ้ภูเขาน้ำแข็งยักษ์ก็ยังว่าต่อไปโดยที่ไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตรงหน้า "เตรียมตั๋วเที่ยวเดียวไปต่างประเทศอย่างดี แถมยังเงินสดอีกเป็นกระเป๋า

"นั่นมันผ่านมาแล้วน่า คีล" เอลเลียตบ่นอุบอิบ ยัดขนมกรุบกรอบเข้าปากอีกแผ่นอย่างเซ็งๆ ที่โดนคนรักดุ "ผมก็ติดคุกไปตั้งสองปีแล้ว ยังจะรื้อฟื้นให้ได้อะไรขึ้นมา"

"แต่มาคิดดูตอนนี้อีกทีก็แปลกนะ" โจนาธานว่า เลื่อนเก้าอี้หันหน้าไปทางอาชญากรที่พ้นคุกออกมาชั่วคราว สัญชาตญาณความเป็นตำรวจในตัวทำให้อดคิดจะล้วงความลับจากอีกฝ่ายไม่ได้ "เงินสดที่คุณขโมยมาตอนนั้นตั้งมากมายมันหายไปไหนตั้งมาก ถึงคุณจะอ้างว่าเอาไปใช้แล้วก็เถอะ แต่เยอะขนาดนั้น"

"ไม่เอาน่า โจนาธาน" คนผมน้ำตาลทำเสียงจุ๊ๆ นัยน์ตาสีฟ้าประกายวิบวับรู้ทัน ริมฝีปากคลี่ยิ้มสวยน่ามอง "อย่าพยายามเริ่มเลย ถึงตอนนี้เราจะทีมเดียวกัน แต่ผมรู้ตัวนะว่าถ้าหมดประโยชน์เมื่อไหร่ ผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในซังเตเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นเราก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกันแล้ว ผมไม่โง่ให้คุณหาเรื่องเพิ่มข้อกล่าวหาให้ตัวเองหรอก"

"เฮ้ย ผมไม่ได้หมายความอย่างง้าน" โจนาธานยกมือโบกขึ้นกลางอากาศพัลวัน "ตรงกันข้ามเลย นี่ถ้าคุณให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเรามากๆ เราก็พร้อมจะเจรจาลดโทษให้คุณได้อีกไง เนอะ วิลล์ นายเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม"

คนถูกโบ้ยมาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยกยิ้มขึ้นบนมุมปากนิดๆ เท่านั้น เอลเลียตที่หวังจะเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของคีลมาตั้งนานสองนานจ้องใบหน้าคมไม่วางตาทีเดียว จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัว กลับไปทำหน้าเรียบตามเดิมแล้วตวัดสายตาดุๆ กลับมามองเขานั่นแหละ เอลเลียตถึงจะยอมหันหน้าหนีแล้วจัดการของว่างช่วงบ่ายของเขาต่อ แต่ก็ยังไม่วายเหลือบมองคนที่นั่งทำงานเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นระยะๆ อยู่ดี

ทำไมแฟนเขาคนนี้หล่อจัง คือทุกอย่างบนหน้านี่เหมาะเจาะลงตัวไปหมดทุกส่วน อย่างกับรูปปั้นแกะสลักฝีมือจิตรกรชั้นสูงอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสีน้ำตาลคมๆ ที่เหมือนจะเจาะทะลุเข้าไปในทุกอย่างที่มอง จมูกโด่งสวยได้รูปกับริมฝีปากน่าจูบนั่น โอย เห็นแล้วอยากกระชากเนกไทออก เสร็จแล้วก็ปลดกระดุมเม็ดบนจากนั้นก็ทำรอยที่ซอกคอให้ทุกคนบนโลกรู้ว่าคีลเป็นของเขาคนเดียว ก็หมอนี่บอกว่าจะคบกับเขาแบบจริงจังนี่! งั้นมันก็ต้องเป็นของเขาคนเดียว ถูกไหม

"เทย์เลอร์" เสียงที่เรียกชื่อเขาเหมือนคนใกล้หมดความอดทน ว่าแต่ไอ้เสาไฟฟ้าเดินได้นี่มาหยุดอยู่หน้าโซฟาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ "คุณมานี่กับผมเดี๋ยวได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย"

แหม ถ้าสำหรับคีลล่ะก็ นานแค่ไหนเขาก็ยินดีทั้งนั้นแหละ






---------------------------------------------------

Talk: ยี้ ทีอย่างนี้ล่ะหวานจ๋อยเชียวนะพวกแก ก่อนหน้านี้เห็นกัดกันจะตาย #ทีมโสดแล้วพาล

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มันง่ายไปอะ เหมือนเป็นแผนเค้นความลับของคีล

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด