แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]  (อ่าน 223301 ครั้ง)

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
อะ..รอลุ้นและเป็นกำลังใจให้ต้นกะไผ่
ผ่านพ้นอุปสรรคอันใหญ่หลวงนี้
ให้ได้ด้วยดีก็แล้วกัน

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ชอบเรื่องนี้จัง สนุกมากๆค่ะ :กอด1:
ระหว่างต้นกับไผ่ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นนะ  คอยปลอบใจและเข้าใจกันเสมอๆ
ชอบจังเลยคู่รักแบบนี้ :o8:

มาต่อบ่อยๆนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนใหม่มาแล้วค่ะ คิดถึงคนอ่านทุกๆ คนน้า :man1:


++------++


27.

ภายในโรงแรมระดับสี่ดาวกลางใจเมืองแห่งหนึ่ง หลังจากเช็คอินที่เคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว ตระการก็รับคีย์การ์ดก่อนจะพาพรพฤกษ์ไปห้องอาหารซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นกราวด์ ความจริงแล้วฐานะของเขานั้นสามารถเลือกที่จะเข้าพักห้องที่ดีที่สุดในโรงแรมที่หรูและแพงที่สุดในกรุงเทพฯได้อย่างสบายๆ หรือถ้าหากต้องการ เขาจะโทรแจ้งผู้จัดการโรงแรมให้มาคอยต้อนรับเป็นพิเศษก็ยังได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้ชื่นชอบความฟู่ฟ่าหรือเป็นจุดสนใจ ประกอบกับตระหนักดีว่าพรพฤกษ์เองก็คงไม่ได้ต้องการพักในที่หรูหราเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศมากเท่ากับต้องการเป็นอิสระจากคนในครอบครัวของเขาชั่วคราว ตระการจึงเลือกโรงแรมที่ดีเพียงพอจะอำนวยความสะดวกในการมาพักค้างคืนเท่านั้น

เนื่องจากห้องอาหารที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์ หลังจากเลือกที่นั่งซึ่งใกล้กับกระจกแล้วทั้งคู่ก็ลุกไปตักอาหารและเดินกลับมานั่งทานที่โต๊ะ แต่พรพฤกษ์ทานได้เพียงไม่กี่คำก็เขี่ยอาหารไปมาก่อนจะวางมีดกับส้อมลง ทั้งๆ ที่อาหารที่ตักมาก็มีปริมาณน้อยอยู่แล้ว ตระการเห็นจึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ไผ่อิ่มแล้วเหรอ?”

คนถูกถามพยักหน้า “เมื่อบ่ายกินของว่างที่ออฟฟิศไปแล้ว มันก็เลยไม่ค่อยหิวล่ะมั้ง”

พรพฤกษ์ตอบแล้วก็ยกมือขึ้นวางประสานบนโต๊ะพลางมองไปด้านนอก แต่พอเห็นจากหางตาว่าตระการวางมีดกับส้อมลงบ้างก็หันกลับไปหา

“ถ้าต้นยังไม่อิ่มก็กินต่อสิ เดี๋ยวนั่งรอก็ได้ เสียดายค่าบุฟเฟต์”

ตระการส่ายหน้าพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง “อาหารโรงแรมมันไม่ค่อยอร่อย ต้นอยากกินที่ไผ่ทำมากกว่า”

พรพฤกษ์กะพริบตา จากนั้นหัวคิ้วที่มุ่นน้อยๆ มาตลอดตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้ตัวก็คลายลง ริมฝีปากบางค่อยคลี่ยิ้มได้เมื่อได้ยินที่ตระการพูด

“เอาไว้กลับไปเชียงใหม่ก่อนสิจะทำกับข้าวให้ทุกมื้อเลย อยู่ที่นี่ต้นมีแม่บ้านทำให้อยู่แล้วนี่”

ทั้งคู่เงียบไปหลังจากนั้น ตระการมองพรพฤกษ์ที่กำลังหลุบตาลงมองโต๊ะ จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างไปวางทับบนมืออีกฝ่าย

“พ่อเขาพูดอะไรกับไผ่บ้าง เล่าให้ฟังได้มั้ย?”

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้น จากนั้นก็เบนสายตาลงอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ ชายหนุ่มตัดสินใจเล่าบทสนทนาสั้นๆ ในห้องผู้ป่วยให้ตระการฟังโดยพยายามเลือกใช้คำให้อ่อนกว่าที่ตฤณพูดจริง แต่ตระการก็เดาได้เองว่าด้วยนิสัยแล้วพ่อของเขาคงใช้คำที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าที่พรพฤกษ์ใช้อย่างแน่นอน

ทั้งสองนั่งฟังเสียงการเคลื่อนไหวของแขกคนอื่นๆ ในห้องอาหารอย่างเงียบๆ หลังพรพฤกษ์เล่าจบ ครู่หนึ่งตระการก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหารแล้วเดินนำพรพฤกษ์ขึ้นไปที่ล็อบบี้

“ไผ่จะขึ้นห้องเลยหรือเปล่า? หรือว่าอยากออกไปเดินเล่นก่อน? กลางคืนแถวนี้มีตลาดอยู่”

ตระการเอ่ยหลังจากดูนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าเพิ่งจะสองทุ่ม พรพฤกษ์จึงมองไปยังถนนด้านนอกที่เห็นได้ผ่านกระจกล็อบบี้ จากนั้นก็หันกลับมามองตระการที่ยังอยู่ในชุดสูทแม้ว่าจะคลายเนคไทให้หลวมและปลดกระดุมเม็ดบนไว้ พอก้มมองตัวเองที่อยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วส่ายหน้า

“อย่าดีกว่า เดี๋ยวดูเหมือนเสี่ยหิ้วเด็กไปเดินช้อปปิ้ง”

ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นตระการทำหน้างง เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะการได้อยู่ห่างไกลสายตาของคนในครอบครัวของตระการ หรือเป็นเพราะได้บรรเทาความขุ่นมัวในใจด้วยการเล่าเรื่องที่คุยกับตฤณให้อีกฝ่ายฟัง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าความทุกข์ในใจได้รับการปลดปล่อยจนอารมณ์ดีขึ้นมาก และไม่อยากจะคิดถึงเรื่องที่ทำให้เครียดอีกอย่างน้อยก็ตลอดคืนนี้ จึงดันหลังร่างสูงใหญ่ให้เดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน

“พวกเราขึ้นห้องกันเถอะ ตลาดแถวนี้มีแต่เสื้อผ้ากับของสำหรับขายฝรั่ง ถึงดูไปก็ไม่ซื้ออยู่ดี”

พรพฤกษ์พูดอย่างคุ้นเคย เพราะสมัยที่ยังทำงานในกรุงเทพฯ เขาก็เคยต้องมาทำธุระแถบย่านนี้บ่อยครั้ง จึงพอจะรู้ว่าถนนฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่มาพักนั้นขึ้นชื่อในเรื่องอะไร แต่ก็เข้าใจว่าตระการคงไม่ทันได้คิดถึงจุดนี้เพราะเพียงต้องการพาเขามาหาที่พักค้างคืนตามที่ขอเท่านั้น

ทั้งสองกดลิฟต์ซึ่งอยู่บนชั้นลอยถัดจากล็อบบี้ แต่ขณะที่รอให้ลิฟต์ลงมาถึงและคนข้างในเดินออกมาก่อนนั่นเอง หญิงสาวซึ่งเดินควงแขนชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากในลิฟต์ก็เหลือบมองพวกเขาแล้วชะงัก

“พี่ต้น?”

ตระการกับพรพฤกษ์หันไปตามเสียงเรียก และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบตัวจริงของอีกฝ่ายมาก่อน แต่ภาพในข่าวที่เคยได้เห็นเมื่อนานมาแล้วยังคงติดตา พรพฤกษ์จึงจำได้ทันทีว่าสาวสวยตรงหน้าคือลลิตา นางแบบสาวที่เคยเป็นข่าวกับตระการ

“สวัสดีครับลิลลี่ มาทานข้าวที่นี่หรือ?”

ตระการค้อมศีรษะแล้วเอ่ยทัก อาจเพราะเขาไม่เคยคิดอะไรกับเธออยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจู่ๆ จะมาพบกันก็ไม่ทำให้ตกใจเหมือนตอนที่เจอเจนใจที่เชียงใหม่

ลลิตาเหลือบมองผู้ชายที่ตนยืนควงแขนอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้ตระการ แต่พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ที่รอยยิ้มนั้นดูฝืดเฝือเล็กน้อย

“ค่ะ พอดีขึ้นไปคุยงานที่บาร์ข้างบนเพิ่งจะเสร็จ แล้วพี่ต้นมาทำอะไรที่นี่คะ ลี่นึกว่าพี่ต้นยังไม่กลับมาเมืองไทยเสียอีก”

“ก็กลับมาได้สักพักแล้วล่ะครับ ทันได้ข่าวของลิลลี่กับหนุ่มนักร้องพอดี ยินดีด้วยนะครับ ถ้ายังไงผมขอพาแฟนขึ้นไปที่ห้องก่อน”

พรพฤกษ์กะพริบตาปริบเมื่อจู่ๆ ตระการก็ยกแขนขึ้นโอบบ่าเขาแล้วรั้งตัวเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลงเขายังทันเห็นสีหน้าตกใจของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ยังยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจน นัยน์ตาสีนิลวาวตวัดขึ้นมองคนข้างตัวเพราะรู้สึกได้ว่าร่างอีกฝ่ายกำลังสั่น และทำให้พบว่าตระการกำลังกลั้นหัวเราะอยู่

“นี่! เมื่อกี้จะไปบอกเขาแบบนั้นทำไมเล่า! เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวหรอก!!”

พรพฤกษ์ตำหนิทั้งที่ความร้อนเริ่มแผ่บนผิวหน้า เพราะเขารู้ดีว่าด้วยฐานะของตระการนั้นไม่ยากเลยที่จะเป็นข่าวโดยเฉพาะกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้ แต่คนถูกว่าดูจะไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแม้แต่น้อย ตระการเพียงแต่กอดอกพิงผนังลิฟต์แล้วมองเขายิ้มๆ

“ต้นไม่ได้เป็นดารานะไผ่จะได้เป็นข่าวง่ายๆ แล้วกับลิลลี่น่ะไม่ต้องห่วงหรอก อีกอย่างถ้าต้นไม่ทำแบบนี้เดี๋ยวไผ่ก็หึงเหมือนตอนที่เจอเจนอีกน่ะสิ”

ร่างสูงใหญ่ยิ้มชอบใจเมื่อเห็นพรพฤกษ์จ้องเขาตาขุ่นทั้งที่โหนกแก้มเป็นสีเข้มขึ้น เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว ตระการจึงกุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วก็จูงไปที่ห้องอย่างอารมณ์ดีจนคนที่เดินตามแปลกใจ

“เป็นอะไรน่ะต้น ดีใจที่เจอแฟนเก่าขนาดนั้นเลยหรือไง?”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม แล้วก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อหลังจากปิดประตูแล้วตระการรั้งเขาเหวี่ยงลงไปนอนบนเตียงก่อนจะตามขึ้นทาบทับทั้งที่อยู่ในชุดสูท ยังไม่ทันที่เขาจะยันตัวขึ้นนั่งแล้วถามว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา อีกฝ่ายก็จับมือทั้งสองข้างของเขาตรึงไว้กับเตียงแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขา

นัยน์ตาสีนิลเบิ่งกว้างอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน แต่เมื่อตระการเลื่อนมือหนึ่งขึ้นแนบแก้มของเขาแล้วเปลี่ยนมุมจูบ พรพฤกษ์ก็เลิกตั้งคำถามแล้วยกมือข้างที่เพิ่งเป็นอิสระขึ้นโอบคออีกฝ่ายไว้ ชายหนุ่มไล้เรียวลิ้นและขบกลีบปากของตระการเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำให้ ก่อนจะส่งเสียงครางในคออย่างขัดใจเมื่อร่างสูงใหญ่ผละออก เพียงเพื่อจะพบว่าตระการเพียงแต่ลุกขึ้นถอดเสื้อสูทและเชิ้ตออกก่อนจะทาบร่างที่เปลือยท่อนบนลงหาเขาอีกครั้ง

“อื้อ...ต้น ไม่ได้บอกว่าอยากมานอนนอกบ้านเพื่อให้ทำอย่างนี้นะ”

พรพฤกษ์ท้วงทั้งที่ร่างกายโอนอ่อนไปตามการปลุกเร้า อาจเพราะความอ่อนเพลียในวันนี้ประกอบกับความดีใจลึกๆ กับเรื่องเมื่อครู่ทำให้เขาไม่นึกอยากปฏิเสธสัมผัสจากร่างสูงใหญ่ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจึงทอยิ้มยั่วก่อนจะก้มลงจูบพรพฤกษ์เร็วๆ จนเกิดเสียงดัง จากนั้นก็รั้งชายเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นโดยไม่ได้รับการขัดขืน ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือแข็งแรงลูบไปตามผิวกายที่ลื่นละมุนมือก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าท้องของพรพฤกษ์อย่างแผ่วเบา

“ไหนๆ ก็อุตส่าห์ออกมานอนนอกบ้านกันแล้วนี่นา แถมต้นก็ไม่ได้กอดไผ่มาหลายคืนแล้วด้วย พี่ชายใจดีกับต้นหน่อยนะ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วให้นึกอยากถองคนเบื้องบนขึ้นมาติดหมัด ทีแบบนี้ล่ะทำปากดีมาเรียกพี่ชาย ทั้งที่ปกติต่อให้เขาแค่แทนตัวเองเล่นๆ ด้วยคำนี้ก็จะเห็นตระการทำหน้านิ่วทุกครั้ง แต่แล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ยกมือขึ้นอุดเสียงร้องหลังตระการรั้งกางเกงของเขาลงแล้วใช้ริมฝีปากดุนที่ส่วนอ่อนไหว

“ต้น...อื้อ...ม”

เขาไม่รู้ว่ากางเกงถูกดึงไปจนพ้นขาได้อย่างไร หรือว่าตระการใช้วิธีไหนถอดเสื้อผ้าที่เหลือโดยที่เขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายผละไปสักเสี้ยววินาที แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เรือนร่างที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออุ่นจัดก็แนบชิดลงมาจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างทั้งคู่ ตระการไล้ปลายลิ้นเคลียไปบนแผ่นอกเรียบที่เริ่มกระเพื่อมถี่ตามแรงหอบหายใจ ส่วนมือทั้งสองข้างก็ลูบสะโพกตึงแน่นและเรียวขาเพรียวไปมาอย่างไม่รีบร้อน พรพฤกษ์รู้ดีว่าเนื่องจากนี่เป็นเพียงครั้งที่สอง ตระการจึงยังแตะต้องเขาอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน และถึงแม้ครั้งแรกนั้นเขาจะตอบรับอย่างเงอะงะไม่เต็มใจ แต่ครั้งนี้เขาต้องการจะมอบทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้โดยไม่อิดออดอีก จึงแนบฝ่ามือทั้งสองลงบนแก้มของคนที่กำลังพรมจูบบนยอดอกของเขาแล้วเอ่ยเสียงพร่า

“ต้น...จะทำเต็มที่ก็ได้นะ”

ตระการชะงักและเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีนิลที่ฉ่ำเยิ้มด้วยความปรารถนาซึ่งถูกทำให้ตื่นตัว ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นจนสายตาของทั้งสองเสมอกันแล้วใช้มือหนึ่งเสยผมพรพฤกษ์ที่แนบติดหน้าผากให้

“ไผ่แน่ใจเหรอ?”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความรู้สึกห่วงใยอันลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็ไม่อาจบดบังประกายไฟของความปรารถนาซึ่งลุกโชนอยู่ภายใน และบัดนี้พรพฤกษ์ก็ตระหนักแล้วว่าอีกฝ่ายใช้แววตาแบบนี้เพื่อมองเขาเพียงคนเดียว จึงพยักหน้าโดยไม่ตะขิดตะขวงใจถึงแม้ว่ายิ่งถูกจ้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเขินก็ตาม

ร่างสูงใหญ่คำรามในคอเมื่อรู้สึกถึงการเสียดสีจากร่างกายท่อนล่างที่กำลังบดเบียดกัน และนั่นก็ราวกับเป็นสัญญาณให้เขาปลดปล่อยความต้องการที่กักเก็บไว้ออกมา พรพฤกษ์รู้สึกราวกับในหัวว่างเปล่าจนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รู้แต่ว่าการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันของทั้งคู่เป็นไปอย่างเร่าร้อนและบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนและหวานซึ้งจนเขาไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะปลุกทุกความรู้สึกในตัวเขาให้ปะทุขึ้นพร้อมกันได้แบบนี้ และนั่นก็ทำให้เขายิ่งโหยหาอยากจะเก็บความอบอุ่นและเร่าร้อนนี้ให้เป็นของเขาเพียงคนเดียวตลอดไปเช่นกัน

ตระการแสดงความรักกับเขาอย่างเปิดเผย ชื่นชมร่างกายของเขาโดยไม่ปิดซ่อนความพึงพอใจ ตักตวงความสุขจากเขาโดยไม่ลืมที่จะมอบสิ่งเดียวกันตอบแทนให้ และพรพฤกษ์ก็พบว่ายิ่งตระการปรนเปรอสิ่งเหล่านี้ให้กับเขาด้วยความทะนุถนอมมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งอยากตอบสนองผ่านการแสดงออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้มากขึ้นเท่านั้น

ตราบจนพายุอารมณ์ที่ปั่นป่วนพัดโหมขึ้นถึงขีดสุด ตระการก็ก้มลงจูบและกอดพรพฤกษ์เอาไว้แน่นราวกับแทนคำสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยมือชั่วชีวิต และพรพฤกษ์ก็มั่นใจว่าต่อให้ใครจะไม่ยอมรับหรือขัดขวาง เขาก็จะไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปจากชีวิตเขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มฟังเสียงหอบหายใจที่คลุกเคล้าอย่างไม่เป็นจังหวะขณะที่ร่างเบื้องบนยังไซ้ปลายจมูกกับซอกคอของเขาอย่างอ้อยอิ่ง และรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ถ่ายทอดผ่านทางผิวชื้นเหงื่อและร่างกายที่ยังคงประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นจึงเอียงหน้าไปยิ้มอย่างอ่อนเพลียพลางกระซิบคำที่รู้ดีว่าตระการชอบฟังที่สุด

“พี่ชายรักต้นนะ”


++------++


สายน้ำที่ไหลวนในอ่างส่งเสียงตามการเคลื่อนไหวของสองร่างที่นั่งแช่น้ำอุ่นด้วยกัน พรพฤกษ์นั่งพิงอกของตระการซึ่งใช้อ้อมแขนโอบเขาไว้หลวมๆ พลางยกมือหนึ่งรองน้ำขึ้นแล้วดูหยาดหยดที่ไหลผ่านร่องนิ้วของเขาซ้ำๆ อย่างไม่เบื่อหน่าย ครู่หนึ่งตระการจึงกดปลายจมูกลงบนแก้มของเขาแล้วเอ่ยถาม

“ไผ่หายเมื่อยหรือยัง?”

พรพฤกษ์หยุดเล่นกับน้ำในมือแล้วก็หันไปยิ้มให้คนข้างหลัง “ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ขออยู่แบบนี้ต่ออีกหน่อยได้หรือเปล่า? ยังไม่อยากลุกไปนอนเลย”

“เอาสิ ไผ่อยากขึ้นเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”

ตระการเอ่ยพลางรั้งเอวของพรพฤกษ์ให้เอนลงพิงเขาอีกจะได้นั่งสบายขึ้น จากนั้นก็ใช้สองมือบีบไปตามไหล่และแขนให้เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวแล้วก็หลับตาลง ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากชื้นของคนข้างหลังที่แนบลงบนหัวไหล่

เมื่อครู่นี้หลังจากที่ทั้งสองนอนพักสั้นๆ จนเริ่มหายเหนื่อย ตระการก็เริ่มท่วงทำนองรักกับเขาใหม่อีกครั้ง แต่ว่าครั้งหลังเป็นไปด้วยความอ่อนโยน ละมุนละไมและใช้เวลานานกว่าครั้งแรก ราวกับอีกฝ่ายอยากยืดเวลาที่จะมอบความสุขและเชยชมร่างกายของเขาให้นานที่สุด จวบจนการแสดงความรักบทนั้นจบลงแล้ว ตระการจึงอุ้มเขาที่เหนื่อยจนลุกเองไม่ไหวมาอาบน้ำให้และลงแช่น้ำอุ่นด้วยกัน

เนื่องจากห้องนอนของพวกเขาอยู่ชั้นค่อนข้างสูง ดังนั้นเมื่อมองผ่านผ้าม่านโปร่งตรงกระจกออกไปจึงสามารถเห็นแสงไฟจากถนนและตึกรามในย่านใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน พรพฤกษ์เหม่อมองภาพภายนอกอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปหาคนที่เขานั่งพิงอยู่

“ต้น...ถามหน่อยสิ”

“อื้อ?”

“ลิลลี่น่ะ ที่ต้นบอกว่าไม่ต้องห่วงตอนที่เรายังอยู่ในลิฟต์กัน...มันหมายความว่ายังไง?”

ตระการมองแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพรพฤกษ์ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “ถ้าต้นเล่าให้ฟัง ไผ่ต้องสัญญาว่าจะไม่ไปเล่าให้ใครฟังต่อนะ?”

พรพฤกษ์กลอกตา เขารู้ว่าถึงจุดนี้ตระการคงพร้อมที่จะเล่าทุกเรื่องที่เขาขอให้ฟังอยู่แล้ว เพียงแต่ยังแกล้งทำเป็นเล่นตัวก็เท่านั้น “จะให้ไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ไม่ได้เป็นนักเขียนข่าวกอสซิปนี่ ถ้าหากไม่อยากเล่านักก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”

คราวนี้ตระการหัวเราะจนพรพฤกษ์รู้สึกได้ว่าแผ่นอกด้านหลังกระเพื่อม “ยอมเล่าแล้วก็ได้ครับ นี่ต้นยอมเสียวาจาลูกผู้ชายที่ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะเนี่ย”

คนที่ถูกกอดแน่นขึ้นแกล้งทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอ แต่ก็รอให้อีกฝ่ายเริ่มเล่าเองโดยไม่เซ้าซี้ ชั่วอึดใจตระการจึงเอ่ยขึ้น

“จะว่าไปลิลลี่ก็เป็นเด็กน่าสงสาร พ่อเขาเจ้าชู้แล้วก็แอบมีเมียน้อยหลายคน ตอนที่ลิลลี่ไปเรียนภาษาที่อเมริกาก็เลยค่อนข้างจะติดต้นเพราะว่าเราเคยรู้จักกันก่อนหน้านั้น แต่พอต้นคบเจนแล้วลิลลี่ก็เริ่มไปเที่ยวกับเด็กต่างชาติที่ไปเรียนภาษาพร้อมกับเขา ตอนนั้นต้นก็ไม่รู้หรอกเพราะว่าไม่ได้ไปคอยติดตาม แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาจากผู้ชายฮ่องกงที่ลิลลี่คบอยู่ตอนนั้น เขาบอกว่าลิลลี่เพิ่งไปทำแท้งแล้วก็เรียกจะหาแต่ต้นคนเดียว ต้นเลยต้องไปหาที่อพาร์ตเม้นท์ของเขาทั้งที่ไม่ได้บอกให้เจนรู้ด้วยซ้ำ”

พรพฤกษ์ทำตาโตแล้วก็หันขวับไปหาคนเล่า สิ่งที่ได้รับรู้นั้นเหนือความคาดหมายจนเขาคิดไม่ออกในทันทีว่าควรจะแสดงความเห็นอย่างไร

“ตอนต้นไปถึงอพาร์ตเม้นท์คนฮ่องกงนั่นก็ยังรออยู่ แต่พอถามเขาก็บอกว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็กแล้วก็กลับไปเลย ช่วงนั้นต้นเลยต้องช่วยพยาบาลลิลลี่อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำเอาเกือบทะเลาะกับเจนเพราะต้นบอกเจนได้แค่ว่าลิลลี่ไม่สบาย แต่บอกเรื่องที่ไปทำแท้งมาไม่ได้”

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ตระการก็ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ พรพฤกษ์จึงลูบแขนอีกฝ่ายที่โอบรอบเอวเขาเบาๆ และเริ่มจะเข้าใจว่าเพราะอะไรก่อนหน้านี้ลลิตาถึงชอบให้ข่าวว่ากำลังคบกับตระการ อาจจะทั้งเพราะความอ่อนโยนของอีกฝ่ายตอนที่ช่วยโอบอุ้มในช่วงที่ชีวิตลำบากที่สุดในต่างประเทศ และทั้งเพราะจะได้ปิดโอกาสไม่ให้ผู้ชายคนอื่นได้รับรู้ถึงประวัติอันไม่น่าเปิดเผยของเธออีก

“ถ้างั้น...ตอนนี้ต้นกับเขาก็ต่างคนต่างกุมความลับของอีกฝ่ายแล้วสิ?”

ชายหนุ่มถามขึ้น ตระการจึงทำท่าคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงนะ เพราะถ้าพูดถึงความลับลิลลี่น่าจะมีเรื่องให้กังวลมากกว่าต้นเยอะ อย่างผู้ชายคนที่เราเจออยู่กับเขาที่หน้าลิฟต์นั่น...ถ้าต้นจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นลูก ส.ส. ที่เพิ่งจะแต่งงานไป ก็น่าคิดเหมือนกันว่าแล้วนักร้องที่ลิลลี่กำลังควงอยู่เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

คราวนี้พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างสงสัย เพราะตระการดูเหมือนจะรู้เรื่องต่างๆ ดีทั้งที่ไปคอยดูแลเขาที่เชียงใหม่อยู่ตั้งหลายเดือน จึงอดจะค่อนอย่างหมั่นไส้ไม่ได้

“รู้เยอะเหมือนกันนี่เราน่ะ”

“ก็แค่เก็บไว้เป็นข้อมูลเผื่อจำเป็น ต้นไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปแฉให้ใครเดือดร้อนนี่นา นี่ก็เพิ่งจะเล่าให้ไผ่ฟังคนแรกเลยนะ”

ตระการยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาที่โดนเหน็บ พรพฤกษ์จึงได้แต่ถอนหายใจ แต่อย่างน้อยก็เบาใจว่าอีกฝ่ายรู้จักเล่ห์กลมากพอสำหรับหน้าที่ที่จะต้องสืบทอดกิจการอันใหญ่โตต่อไป “ก็ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังอีกหรอก เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ แค่รู้ว่าจากนี้เขาคงไม่มายุ่งกับต้นอีกก็พอแล้ว”

เช่นเดียวกับความขุ่นเคืองของเขาที่เคยมีให้ตระการกับพ่อของเจ้าตัว...เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน และได้แต่หวังว่าสักวันตฤณจะก้าวผ่านความรู้สึกไม่ยอมรับพวกเขาไปได้ในที่สุด หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เขาที่เป็นลูกของผู้หญิงที่รัก ก็เพื่อความสุขของตระการที่เป็นลูกชายคนเดียวก็ยังดี…

ร่างสูงใหญ่มองคนตรงหน้าที่นิ่งเงียบไป จากนั้นจึงเอาคางเกยบนไหล่แล้วโยกตัวเบาๆ “น้ำเริ่มจะเย็นแล้วนะ ไผ่อยากขึ้นหรือยัง?”

เมื่อถูกถาม พรพฤกษ์ก็ยกนิ้วมือของตัวเองซึ่งเริ่มย่นขึ้นดูแล้วก็หันไปพยักหน้า ตระการจึงลุกขึ้นก่อนพลางถอดจุกอุดน้ำออก จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มากางรอระหว่างที่เขาขึ้นจากอ่าง เมื่อซับหยดน้ำตามเนื้อตัวให้จนหมาดแล้วก็ช่วยอุ้มออกไปที่เตียง อาจเพราะช่วงที่เขายังใส่เฝือกหลังออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ นั้นตระการก็คอยทำแบบนี้ให้เป็นประจำอยู่แล้ว พรพฤกษ์จึงไม่ได้รู้สึกประดักประเดิดเท่าไหร่ที่ถูกทำเหมือนเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายแต่งตัวและเช็ดผมให้ และคิดว่าดีเหมือนกันที่มีคนมาคอยเอาใจ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาอยู่คนเดียวแล้วต้องทำทุกอย่างเองตลอด

อาจจะเพราะเริ่มชินกับการอยู่ด้วยกันแล้วกระมัง...

หลังจากสวมเสื้อคลุมที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ในห้องพักแทนชุดนอน ทั้งคู่ก็ปิดไฟแล้วล้มตัวลงบนเตียงด้วยกัน กระนั้นภายในห้องก็ไม่ถึงกับมืดสนิทเพราะเห็นแสงไฟจากในตัวเมืองผ่านผ้าม่านที่ไม่ได้รูดปิดจนสุดไว้ ทั้งสองนอนคุยกันเรื่องจิปาถะอีกเล็กน้อย และน่าแปลกที่ทั้งที่พรพฤกษ์น่าจะหลับก่อนเพราะความอ่อนเพลียจากกิจกรรมก่อนอาบน้ำ กลับกลายเป็นว่าตระการคือคนที่ผล็อยหลับก่อนหลังจากนอนคุยกันได้ไม่นาน แต่พรพฤกษ์ก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงอ่อนเพลีย เพราะถ้าหากเทียบกันจริงๆ ตระการคือคนที่ต้องคอยรับเรื่องเครียดและน่าเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเขามาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องที่ต้องไปทำงานต่างประเทศแล้วบินกลับมาดูแลเขาหลังอุบัติเหตุ หรือเรื่องงานที่ต้องกลับมารับช่วงต่อและยังความกังวลกับอาการป่วยของพ่อที่เพิ่งจะกำเริบไปหยกๆ เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องเหล่านี้ พรพฤกษ์จึงคิดว่าไม่ควรเอาภาระในใจของตัวเองไปสุมเพิ่มให้อีกฝ่ายต้องหนักใจมากขึ้นไปอีก

แค่นี้ก็มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแล้วสินะต้น...บางทีอาจมีวิธีที่ทุกฝ่ายสามารถจะพบกันครึ่งทางและเราไม่ต้องทำร้ายความรู้สึกใครก็ได้...

พรพฤกษ์คิดในใจพลางยกมือหนึ่งขึ้นลูบแก้มของตระการอย่างแผ่วเบา แต่อาจเพราะอีกฝ่ายยังหลับไม่สนิท ตระการจึงปรือตาขึ้นแล้วก็ยกมือขึ้นทาบมือเขาเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ยิ้มให้พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสะลึมสะลืออย่างปิดไม่มิด

“ยังไม่หลับอีกเหรอไผ่? ดึกแล้วนะ”

ชายหนุ่มยิ้มตอบ แม้จะไม่แน่ใจนักว่าท่ามกลางความมืดสลัวและความง่วงงุนของอีกฝ่ายจะทำให้รอยยิ้มของเขาส่งไปถึงหรือไม่ จากนั้นก็ขยับตัวไปแนบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางเบาๆ แล้วกระซิบ

“เดี๋ยวก็หลับแล้วล่ะ ต้นนอนต่อเถอะ”

ร่างสูงใหญ่ส่งเสียงรับในคอก่อนจะหลับตาอย่างว่าง่ายราวกับเด็กเล็กๆ ทว่าอ้อมแขนอุ่นก็กระชับให้ร่างของคนที่นอนข้างกายแนบชิดมากขึ้น พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อคิดว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาด้วยกันแค่ไหนกว่าจะถึงวันที่นอนเคียงกันได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ และนับจากนี้ไปจะต้องพบเจอกับอะไรในอนาคตด้วยกันอีกมากสักเท่าไหร่ จากนั้นก็ยกแขนขึ้นโอบเอวของอีกฝ่ายบ้าง

นอนพักผ่อนเถอะนะต้น ต้นคอยทำอะไรๆ ให้มาเยอะแล้ว ต่อจากนี้ให้ไผ่ได้ทำอะไรเพื่อต้นบ้างก็แล้วกัน...

ภายในห้องนอนของโรงแรมที่มืดสลัว บนเตียงหนานุ่มขนาดใหญ่ซึ่งมีร่างสองร่างนอนเคียงคู่พลางแลกเปลี่ยนลมหายใจที่เต็มไปด้วยไออุ่นและกลิ่นอายของกันและกัน พรพฤกษ์นอนลืมตาขณะใช้ความคิดถึงเรื่องของเขากับตระการ ตลอดจนเรื่องของผู้คนรอบตัวพวกเขากลับไปกลับมาอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดตราบจนค่อนคืน


++---tbc---++


See you again ตอนหน้าเด้อค่า  :bye2:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจค่ะที่ได้อ่านต่อ
ต้นกับไผ่รักกันแบบอยู่บนเหตุผล
ไม่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่แบบนี้ดีค่ะ คนอ่านจะได้ไม่ปวดใจ
หวังว่าไผ่ คงทำให้คุณพ่อของต้น ยอมรับได้ในที่สุดนะคะ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
น้องไผ่มาแล้ว
ดีใจจังค่ะ >///<

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ในที่สุดก็อ่านเรื่องนี้จนถึงตอนปัจจุบันแล้ว  :a1:
แอบกลัวใจๆไผ่ นอนคิดจนไม่หลับไม่นอนเนี่ย คิดอะไรอยู่  :m21:

ปล. ยังรอคุณเชษฐ์กับภัทรอยู่เหมือนเดิมนะคะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
^
น่ารักที่ซู้ด นึกว่าคุณผึ้งจะไม่อ่านเรื่องนี้ซะอีก หุหุ

คุณเชษฐ์กับภัทรจะรีเทิร์น asap ค่า ตอนนี้ขอปั่นต้น-ไผ่ให้จบก่อนน้าตัวเอง รับรองได้อ่านทุกเรื่องถึงตอนจบค่า >_<b

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ว้า...นึกว่าต้นกับไผ่มาซะอีก

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
แหะๆๆ แอบย่องๆ มาสารภาพว่า ตอนแรกก็ไม่คิดอยากอ่านเรื่องนี้ แอบหงุดหงิดเล็กๆ ที่เห็นคุณ bellbomb มาต่อเรื่องนี้ก่อนเรื่องของคุณเชษฐ์   :o8:
แต่แบบว่า รอไป รอมา รอมา รอไป คุณ bellbomb ก็มาต่อแต่เรื่องนี้ เลยลองตามมาอ่านดูบ้าง เพราะคิดว่า อย่างไงซะฝีมือของคุณ bellbomb คงไม่ทำให้ผิดหวัง

และแล้วก็ ....................... ติดหนึบไปตามระเบียบ แหะๆๆๆ ทีนี้จะต่อเรื่องไหนก่อนก็รออ่านหมดเลย  :laugh: 

มาสารภาพแบบนี้ หวังว่า คุณ bellbomb คงไม่ว่ากันนะคะ :m23: :m23:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
คุณ yayee2  วันจันทร์หรือไม่เกินวันอังคารได้อ่านชัวร์ค่ะ คอนเฟิร์มเพราะล็อกคิวการอัพไว้แล้ว พอดีช่วงนี้เขียนแบบสด สปีดสุดๆ แล้วก็ได้แค่สัปดาห์ละตอน ยังไงแวะมาดูใหม่จันทร์/ อังคารหน้า ถ้ายังไม่เจออีกตามจิกคนเขียนได้เลยค่า อิอิ  :-[

คุณผึ้ง ไม่ว่ากันอยู่แล้วค่ะ ดีใจเสียอีกที่ในที่สุดก็ทำให้มาอ่านเรื่องนี้ได้  :laugh: แบบว่ามันรู้สึกเหมือนเป็นภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จค่ะ เพราะเขียนเรื่องนี้เรื่องแรกแท้ๆ แต่ดองอยู่นั่นจนทั้งต้นทั้งไผ่เค็มปี๋แล้น แต่ต้องออกตัวอีกทีว่าเวอร์ชันที่รีไรท์ที่บล็อกจะต่างกับตอนกลางๆ ของที่ลงในเล้านิดนึงนะ เดี๋ยวถ้าได้อ่านตอนรวมเล่มจะได้เห็นค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามทุกเรื่องเลยนะคะ แล้วจะผลัก+ดันนิยายออกมาให้อ่านสม่ำเสมอค่ะ เลิฟๆ คุณผึ้งน้า
  :man1:

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
วันจันทร์แล้วมารอคุณริน
พ่อตฤณใจร้ายกับไผ่ตอนเด็กไม่คิดจะแก้ตัวตอนโตหรือไร :m16:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
จึ๋ย คุณ kakuro ไวมากๆ มาอัพตอนใหม่ตามสัญญาแล้วค่า อ่านตอนนี้แล้วใจร่มๆน้าตัวเอง
  :call:


++------++


28.


รุ่งเช้าวันถัดมา ตระการกับพรพฤกษ์ต่างตื่นนอนและลงไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแต่เช้าตรู่ หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จแล้วก็ขับรถกลับไปที่บ้านเนื่องจากไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยน สำหรับพรพฤกษ์นั้นเพียงได้อยู่ห่างจากสายตาของคนในบ้านสุวรรณฤทธิ์เพียงชั่วข้ามคืนก็ทำให้ปลอดโปร่งขึ้นมาก การกลับไปที่บ้านหลังนั้นในเช้านี้จึงไม่ทำให้เขาอึดอัดใจเหมือนตอนที่ออกจากโรงพยาบาลเมื่อเย็นวาน และการที่ตระหนักว่ายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับตฤณซึ่งยังพักฟื้นที่โรงพยาบาลก็ทำให้เขาเบาใจเพิ่มไปอีกเปลาะ

ทันทีที่ตระการเลี้ยวรถเข้าไปที่โรงจอดข้างบ้าน ยายแสนที่ได้ยินเสียงก็รีบเดินออกมารับด้วยสีหน้ายินดีระคนโล่งใจ หลังจากรับทราบว่าทั้งสองทานอาหารเช้ามาแล้ว และเพียงกลับบ้านมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น หัวหน้าแม่บ้านวัยชราจึงไม่ถามจู้จี้อีกและกลับไปดูแลงานอื่นในบ้านแต่โดยดี

เนื่องจากตั้งแต่วันแรกที่มาถึง พรพฤกษ์ก็ได้รับการจัดห้องพักให้เป็นส่วนตัวใกล้กับห้องของตระการอยู่แล้ว เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสองจึงต่างคนต่างแยกเข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว และพรพฤกษ์ก็ใช้โอกาสที่ได้อยู่ตามลำพังโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งนึกถึงระหว่างที่นอนใช้ความคิดเมื่อคืน

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงซึ่งตั้งอยู่หน้ากระจก จากนั้นก็นั่งมองภาพท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มสว่างมากขึ้นผ่านหน้าต่างจนกระทั่งได้ยินเสียงรับสาย

“สวัสดีครับ?”

“พี่เอก ผมไผ่นะครับ สะดวกคุยหรือเปล่าครับ?”

ปลายสายส่งเสียงอุทานอย่างแปลกใจ “อ้าว? ไผ่เองเรอะ เปลี่ยนเบอร์แล้วหรือไง? พี่ก็งงว่าใครกันโทรมาตั้งแต่เช้า นี่ยังขับรถไม่ถึงออฟฟิศเลย”

พรพฤกษ์หัวเราะ พี่เอกหรือเอกวิชช์คือหัวหน้าบรรณาธิการกองนิตยสารซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยสมัยยังทำงานที่กรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นคนเสนอว่าจะส่งงานแบบพาร์ทไทม์ให้ทำตอนที่เขาลาออกเพื่อไปดูแลตาที่ป่วย เนื่องจากอีกฝ่ายอายุมากเพียงพอที่จะเป็นพ่อของเขาได้ อีกทั้งยังเป็นคนที่ใจดีและคอยสอนงานลูกน้องไม่ว่าจะร่วมงานกันมานานหรือเป็นเด็กที่เพิ่งรับใหม่ ทำให้สำหรับเขาแล้วเอกวิชช์คือบุคคลที่เขาให้ความเคารพมากทีเดียว

“ผมใช้เบอร์นี้สำหรับโทรออกเท่านั้นครับพี่เอก พอดีช่วงนี้ผมลงมากรุงเทพฯ เลยโทรมาถามว่าถ้าหากวันนี้ผมจะเข้าไปเยี่ยมที่ออฟฟิศได้ไหม?”

“อ้าว ลงมาจากเชียงใหม่ทั้งทีไม่โทรบอกพี่บอกเชื้อก่อนเลยนะ ก็เอาสิ วันนี้พี่ไม่มีนัดกับลูกค้าด้วย พวกเพื่อนๆ เขาก็น่าจะคิดถึงเราอยู่เหมือนกัน จะมาสักกี่โมงล่ะ?”

นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง “อีกสักพักผมก็จะออกจากที่พักแล้ว คงเข้าไปถึงสายๆ หน่อยสักสิบโมงครึ่งหรือสิบเอ็ดโมงน่ะครับ”

“เออ ได้ๆ งั้นเดี๋ยวมาเจอแล้วไปกินข้าวกัน ว่าแต่พี่ขอวางสายก่อนนะ เดี๋ยวโดนตำรวจเรียกเอาเพราะไม่ได้ใช้แฮนด์ฟรี”

พรพฤกษ์ตอบรับและกดตัดสาย จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อเตรียมจะอาบน้ำ แต่เมื่อปรายตามองตัวเองในกระจกก็ทำให้เห็นรอยเขียวช้ำตรงมุมปากที่ยังไม่จางสนิท ร่างเพรียวจึงเดินเข้าไปเอียงหน้าดูให้ชัดพลางยกมือขึ้นลูบบริเวณที่สีผิวยังคล้ำกว่าใบหน้าส่วนอื่นเบาๆ เขาไม่ค่อยรู้สึกเจ็บตรงที่โดนต่อยแล้วก็จริง แต่ถ้าหากใครได้เห็นก็คงไม่แคล้วต้องถามถึงที่มาอย่างแน่นอน

สงสัยต้องหาอะไรมาปิดก่อนจะเข้าไปหาพี่เอกซะล่ะมั้ง...

การได้ยืนหน้ากระจกใต้แสงยามเช้าโดยไม่สวมเสื้อทำให้พรพฤกษ์เห็นอย่างอื่นนอกจากริ้วรอยบนใบหน้า ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเมื่อสังเกตเห็นรอยช้ำจางๆ ซึ่งปรากฏอยู่บนช่วงอกและลำตัว ฉับพลันก็เริ่มเอะใจว่าริ้วรอยเหล่านั้นเกิดจากอะไร จึงลองหันหลังแล้วเอี้ยวคอกลับไปมองกระจกอีกครั้ง ทำให้ได้เห็นว่ามีริ้วรอยแบบเดียวกันกระจายอยู่ทั่วทั้งแผ่นหลังจริงๆ

ใบหน้าเนียนร้อนวูบขึ้นมาทันทีเมื่อหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อคืนว่าตระการทำอะไรกับร่างกายเขาบ้าง เขาแทบไม่อยากคิดว่าถ้าหากถอดกางเกงออกแล้วจะเจอรอยช้ำแบบเดียวกันที่ตรงส่วนไหน จึงรีบคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วก็เดินเข้าไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอย่างรวดเร็ว เมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้วก็เลือกใส่กางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มซึ่งแขนยาวปิดข้อมือ ส่วนบริเวณคอนั้นพอจะเกลี่ยผมซึ่งยาวถึงต้นคอเพื่อช่วยบดบังไปได้ โชคดีที่ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้งอ่อนๆ จึงทำให้ริ้วรอยเหล่านั้นไม่ถึงกับเตะตามากนัก

หลังจากตรวจดูว่าไม่มีรอยช้ำที่โผล่ออกมาจนสังเกตเห็นได้ชัดอีก พรพฤกษ์ก็หยิบนาฬิกาข้อมือมาใส่และหย่อนโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินผ่านห้องของตระการที่ยังปิดประตูสนิทลงไปที่ห้องครัว ยายแสนซึ่งกำลังนั่งปอกผักอยู่กับเด็กสาวแม่บ้านอีกคนหันมาเห็นเขาจึงส่งเสียงถาม

“คุณไผ่? อยากได้อะไรเหรอคะ?”

พรพฤกษ์มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นของที่ต้องการ จึงยิ้มพลางชี้บนมุมปากของตัวเอง “ผมอยากได้ผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลน่ะครับ พอดีผมไม่เห็นตู้ยาข้างบนก็เลยลงมาถามว่าที่นี่มีกล่องปฐมพยาบาลหรือเปล่า?”

“ตายแล้ว! ยังเจ็บแผลอยู่เหรอคะพ่อคุณ? งั้นเดี๋ยวป้าหยิบยาให้นะ รอประเดี๋ยวเดียวค่ะ”

หญิงสูงวัยรีบวางมือจากงานแล้วกระวีกระวาดเดินไปที่มุมหนึ่งของตู้เก็บของ จากนั้นก็นำกล่องพลาสติกสีขาวแบบมีฝาปิดและหูหิ้วออกมายื่นส่งให้เขา

“ยังมีเลือดออกหรือเปล่าคะคุณไผ่? ในกระเป๋านี้มียาสำหรับแผลสดแล้วก็แผลทุกชนิดเลยค่ะ จะยืมเอาไปใช้ก่อนก็ได้”

ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ ผมขอแค่ผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลก็พอ”

พรพฤกษ์เปิดกล่องแล้วหยิบซองพลาสติกใส่ผ้าก๊อซซองหนึ่งพร้อมกับม้วนเทปปิดแผลออกมา จากนั้นก็ส่งกล่องคืนให้กับหญิงชราที่ยืนรอ ยายแสนเอียงคอมองเขาอย่างพินิจแล้วก็จุ๊ปาก

“คุณตฤณไม่น่าเลย ดูซิหน้าเหมือนคุณพิมขนาดนี้ยังต่อยลงอีก หน้าสวยๆ เป็นแผลหมดเลยพ่อคุณ”

พรพฤกษ์ชะงักก่อนจะยิ้มตอบ แม้จะไม่ค่อยคุ้นกับการถูกชมว่า ‘สวย’ นัก แต่ก็เข้าใจว่าคนมีอายุมักชอบใช้คำนี้กับเด็กๆ รุ่นหลานโดยไม่แบ่งเพศ จึงกล่าวขอบคุณก่อนจะขอตัว แต่เมื่อเดินกลับไปที่บันไดก็เห็นตระการกำลังเดินลงมาพอดี อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว และในมือข้างหนึ่งก็ถือเสื้อสูทสีดำแต่เป็นคนละเนื้อผ้ากับตัวเมื่อคืนลงมาด้วย

“วันนี้ต้นมีประชุมช่วงสายๆ นะไผ่ ตอนเช้าจะไปนั่งเล่นรอที่ออฟฟิศก็ได้ หรือว่าวันนี้อยากพักอยู่ที่บ้าน?”

ตระการถามเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างแล้ว พรพฤกษ์จึงรีบยัดซองผ้าก๊อซกับม้วนเทปลงกระเป๋ากางเกงด้านหลังโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

“ขอผ่านทั้งสองอย่างแล้วกัน วันนี้ว่าจะไปเยี่ยมพี่ที่ทำงานเก่าหน่อย เมื่อกี้ก็โทรไปนัดเขาไว้แล้วด้วย”

ร่างสูงใหญ่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเพิ่งนัดปุบปับอย่างนั้นล่ะ? ถ้างั้นจะให้ต้นไปส่งหรือเปล่า?”

ประโยคแรกถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนน้อยใจที่ไม่ได้รับการบอกล่วงหน้า พรพฤกษ์จึงยิ้มแล้วบีบต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น “พอดีเพิ่งนึกได้ว่าอุตส่าห์มากรุงเทพฯ ทั้งทีก็น่าจะไปเจอเพื่อนเก่าบ้างน่ะ ต้นไปส่งแค่จุดที่ผ่านรถไฟฟ้าก็พอ กะว่าจะเดินเล่นสักแป๊บก่อนค่อยเข้าไปด้วย”

ตระการยังทำหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่ได้ห้าม “เอางั้นก็ได้ ถ้าไผ่เสร็จธุระเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกแล้วกัน ถ้าต้นไม่ติดประชุมช่วงบ่ายจะได้ออกไปรับ”

พรพฤกษ์พยักหน้า ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ตระการก็ก้มลงหอมแก้มเขา เมื่อร่างสูงใหญ่ยืดตัวขึ้นก็เห็นพรพฤกษ์ทำหน้าเหลอจึงขมวดคิ้ว

“ยังเจ็บแผลอยู่เหรอไผ่?”

เมื่อถูกปลายนิ้วแข็งแรงยกขึ้นเกลี่ยแก้มฝั่งที่มุมปากมีรอยช้ำ พรพฤกษ์จึงค่อยรู้สึกตัวแล้วก็รีบส่ายหน้า ในใจนึกค่อนอีกฝ่ายแต่ก็ตัดสินใจไม่เอ่ยออกมา

ยังดีว่าป้าแสนไม่เดินออกมาเห็น...เดี๋ยวได้ทำคนแก่หัวใจวายอีกคนกันพอดี...

“ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ ยังไงเรารีบออกกันเถอะต้น ท่านรองประธานไปประชุมสายจะไม่ดีนะ”

ตระการมองเขาด้วยแววตาที่ยังไม่คลายความกังวล แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้แล้วเดินนำไปที่รถซึ่งคนสวนกำลังเช็ดถูให้ เมื่อขับออกมาจนถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้วก็เบี่ยงเลนเข้าจอดข้างทาง

“ถ้าไผ่โทรมาแล้วต้นไม่รับก็ฝากข้อความหรือส่ง sms มานะ”

ตระการร้องบอกขณะที่พรพฤกษ์ลงจากรถ ชายหนุ่มจึงหันไปยิ้มและพยักหน้าให้ จากนั้นก็ยืนมองจนรถยุโรปคันใหญ่ลับสายตาไป เมื่อก้มมองนาฬิกาก็เห็นว่ายังเช้ากว่าเวลาที่นัดกับเอกวิชช์มาก ประกอบกับอากาศไม่ค่อยร้อนเพราะมีเมฆแผ่บดบังดวงอาทิตย์เต็มท้องฟ้า เขาจึงตัดสินใจว่าจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลานัดก่อนจึงค่อยขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ออฟฟิศ

นับตั้งแต่เขาลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เมื่อราวสามปีที่แล้ว พรพฤกษ์ก็เคยลงมากรุงเทพฯ แค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งเพื่อร่วมงานแต่งงานของเพื่อน ส่วนอีกครั้งเพื่อร่วมงานฌาปนกิจของอาจารย์สมัยมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งสองครั้งนั้นก็เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้เจอตระการเสียอีก ดังนั้นเมื่อได้กลับมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง บรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายซึ่งต่างดูเร่งรีบกับการไปให้ถึงจุดหมาย รวมทั้งความวุ่นวายบนท้องถนนและตามทางเท้าก็ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกสูบพลังงานออกไปแม้จะเพิ่งเดินเล่นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ทำไมสมัยที่เรายังทำงานออฟฟิศถึงไม่เห็นรู้สึกแบบนี้นะ...สงสัยจะเพราะเคยชินกับการทำงานอิสระอยู่บ้านนอกไปเสียแล้วล่ะมั้ง…

ชายหนุ่มคิดขณะเดินขึ้นบันไดไปที่ชานชาลาของรถไฟฟ้า เมื่อนั่งไปถึงที่หมายก็ลงเดินต่อเข้าไปในอาคารสำนักงานซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานี ความคุ้นเคยทำให้เขาตรงไปที่ลิฟต์ทันทีโดยไม่แลกบัตรกับพนักงานต้อนรับที่นั่งเฝ้าอยู่ที่เคาน์เตอร์ เมื่อถึงชั้นที่ต้องการก็รีบเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำแล้วเอาผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลในกระเป๋าขึ้นมาปิดรอยฟกช้ำบนมุมปาก เมื่อดูกระจกจนแน่ใจว่าไม่น่าจะมีใครเห็นรอยเขียวช้ำได้แล้วจึงค่อยเดินกลับไปกดกริ่งที่หน้าประตูบริษัท ชั่วอึดใจหนึ่งเขาก็เห็นคนคุ้นเคยออกมาเปิดประตูให้

“ว้าย! ไผ่!! คิดทึ้งคิดถึง ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ย? แล้วหน้าตาไปโดนอะไรมาน่ะ?”

หญิงสาวสวมแว่นพลาสติกกรอบหนาและมุ่นผมไว้เป็นมวยสูงที่ออกมาเปิดประตูให้คือภรณี เพื่อนร่วมกองบรรณาธิการซึ่งเข้าทำงานที่นี่พร้อมกับเขา อายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้ทั้งคู่สนิทกันพอสมควรก่อนที่พรพฤกษ์จะย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่

“หวัดดีติ๋ว พี่เอกอยู่หรือเปล่า? เรานัดพี่เขาไว้ว่าวันนี้จะเข้ามาหา”

พรพฤกษ์ยิ้มตอบพร้อมกับหลีกเลี่ยงคำถามเรื่องแผลอย่างแนบเนียน และเพื่อนสาวของเขาก็พอจะอ่านออกจึงยิ้มแล้วก็คว้าแขนเขาไปคล้องอย่างสนิทสนม

“อยู่สิ ก็พี่เอกนั่นแหละที่บอกเราว่าวันนี้ไผ่จะเข้ามา เดี๋ยวเราพาไปหาก็แล้วกัน ตอนนี้ออฟฟิศเราปรับปรุงใหม่แล้วนะ พี่เอกเขาขอปลีกวิเวกไปอยู่มุมในสุดนู่นเลย สงสัยเบื่อฟังเสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกเด็กๆ แล้วล่ะ”

พรพฤกษ์หัวเราะเบาๆ ขณะปล่อยให้เพื่อนสาวควงแขนเขาเดินเข้าไปในออฟฟิศ ทำให้ได้พบหน้าพนักงานใหม่หลายคนที่คงเข้ามาทำงานหลังจากเขาลาออกไปแล้ว แต่เมื่อเจอเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่รู้จักก็จะถูกเรียกไปทักทายสั้นๆ ตลอดทาง คนที่เดินมาด้วยจึงอดจะกระเซ้าไม่ได้

“นี่ขนาดออกไปตั้งนานแล้วก็ยังป๊อปเหมือนเดิมเลยนะยะ ไม่อยากกลับมาทำงานที่นี่มั่งเหรอไผ่?”

“อืม...ก็...ไม่รู้สิ ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้โดยไม่หันไปสบตา คนถามจึงเลิกคิ้วมองเขาอย่างประหลาดใจ เมื่อถึงหน้าห้องของหัวหน้าบรรณาธิการแล้วหญิงสาวก็ปล่อยมือเขาแล้วเคาะประตูห้อง

“พี่เอกขา ติ๋วพาว่าที่เจ้าบ่าวของติ๋วมาแล้วค่ะ พี่เอกจะให้เข้าไปเลยไหมคะ?”

“อื้อ เข้ามาสิ”

เสียงแหบทุ้มอย่างใจดีดังมาจากในห้อง คนที่เดินนำมาจึงเปิดประตูให้แล้วก็ดันหลังพรพฤกษ์เข้าไปข้างในก่อนจะส่งยิ้มให้เจ้านาย

“งั้นถ้าพี่เอกมีอะไรจะใช้ก็เรียกติ๋วนะคะ เดี๋ยวขอไปโทรจิกต้นฉบับจากอาจารย์สิริวรรณก่อน ไม่งั้นไม่ได้ปิดเล่มต่อไปกันเสียที”

พรพฤกษ์พยักหน้าให้เพื่อนสาวที่ชูนิ้วทำท่า ‘โอเค’ ให้เขาแล้วก็ปิดประตูตามหลัง จากนั้นก็พนมมือไหว้นายเก่าที่กำลังตรวจแฟ้มงานอยู่บนโต๊ะ

“สวัสดีครับพี่เอก”

“ไงไผ่ นั่งก่อนสิ เจ้าติ๋วนี่ก็ชอบมั่วนิ่มว่าคนที่ยังไม่มีแฟนเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองไปหมดสิน่า ....ว่าแต่นั่นหน้าไปโดนอะไรมา?”

พรพฤกษ์ยกมือขึ้นแตะบนผ้าก๊อซโดยอัตโนมัติเพื่อให้แน่ใจว่ายังติดแน่นดี จากนั้นก็ยิ้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “ผมซุ่มซ่ามเองน่ะครับ วันก่อนลื่นล้มในห้องน้ำก็เลยปากกระแทกกับขอบอ่างล้างหน้า”

ชายหนุ่มโกหกหน้าตายจนคนฟังเลิกคิ้วพร้อมกับแววตาตื่นๆ แต่เมื่อเห็นว่าตัวคนเจ็บไม่มีวี่แววอยากเอ่ยถึงรายละเอียดจึงไม่ถามต่อ

“เอ้อเว้ย... คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ทำไมซุ่มซ่ามกันจริง วันก่อนไอ้เจ้าเกศก็โทรมาขอลาหยุดเพราะตกบันไดที่บ้านจนเท้าแพลง เมื่อเช้านี้ก็ยังเดินกระเผลกมาทำงานอยู่เลย ไม่ไหวๆ”

พรพฤกษ์หัวเราะ จากนั้นทั้งสองก็ถามไถ่กันเรื่องจิปาถะของอีกฝ่าย เพราะถึงแม้เอกวิชช์จะคอยป้อนงานเขาทุกเดือนก็จริง แต่ส่วนมากก็จะไม่ค่อยซักถามเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ ยกเว้นก็เพียงเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสี่เดือนก่อนเพราะพรพฤกษ์โทรมาแจ้งเองว่าต้องขอระงับงานชั่วคราวเนื่องจากทำงานไม่สะดวก

หลังจากคุยกันได้สักครู่ เอกวิชช์ก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วหยิบแฟ้มที่กระจัดกระจายบนโต๊ะมาเคาะวางให้เป็นระเบียบ

“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันมั้ย? พี่ไม่ชอบลงไปตอนเที่ยง คนมันเยอะแล้วต้องรอคิวยาว จะได้มีเวลาไปนั่งร้านกาแฟกันต่อด้วย”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็เดินตามเจ้านายเก่าของเขาไปที่ลิฟต์เพื่อไปทานมื้อกลางวันที่ศูนย์อาหารซึ่งอยู่บนชั้นสอง เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้วก็เดินไปนั่งร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารเนื่องจากมีโซนสำหรับลูกค้าที่สูบบุหรี่ตรงด้านนอก

หลังจากพนักงานนำกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะและเดินกลับเข้าไปในร้าน เอกวิชช์ก็เคาะบุหรี่ออกจากซองขึ้นมาจุดสูบ ครู่หนึ่งจึงหันมาถามพรพฤกษ์ที่นั่งจิบกาแฟอยู่เงียบๆ

“จริงสิ คราวนี้ไผ่มาอยู่กรุงเทพฯ กี่วันล่ะ? แล้วนี่มาทำธุระหรือว่ามาเที่ยวเฉยๆ?”

พรพฤกษ์วางแก้วกาแฟลง “ก็กึ่งธุระกึ่งเที่ยวครับ ความจริงผมก็ไม่ได้มีกำหนดตายตัวเหมือนกันว่าจะกลับเมื่อไหร่ แต่พอเจอความวุ่นวายมากๆ เข้าก็ชักจะคิดถึงบ้าน”

ผู้สูงวัยกว่าหัวเราะร่วน “โอ้ย! ไผ่เอ๊ย...ยังหนุ่มยังแน่นบ่นอย่างกับเป็นคนแก่ไปได้ ตอนนั้นเรายังทำงานกับพี่ได้ตั้งสามปีนี่นา เดี๋ยวถ้าได้กลับมาอยู่กรุงเทพฯ สักพักก็ปรับตัวได้เองนั่นแหละ”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบสร้อยเงินบนข้อมือราวจะเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ริมฝีปากบางเม้มแน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พี่เอก...ความจริงที่ผมมาหาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากขอคำปรึกษา พี่เอกพอจะมีเวลาฟังหน่อยไหมครับ?”

เอกวิชช์เลิกคิ้วขณะเคาะเถ้าบุหรี่ลงบนโถเขี่ยสีเงินบนโต๊ะ เมื่อเห็นนัยน์ตาสีนิลที่มองตรงมาอย่างแน่วแน่ ผู้สูงวัยจึงพ่นควันไปอีกทางก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ที่เหลือโดยไม่หลบตา ด้วยประสบการณ์ของการอ่านคนซึ่งเคี่ยวกรำมาร่วมห้าสิบปี ประกอบกับเขารู้จักนิสัยของพรพฤกษ์ดีในระดับหนึ่ง ทำให้ชายวัยกลางคนคิดว่าจะได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงที่อีกฝ่ายมาหาในวันนี้เสียที

“เอาสิ มีอะไรก็เล่ามาเลย พี่ฟังอยู่”

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
++------++


หลังจากเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงและพรพฤกษ์เล่าเรื่องจบแล้ว เอกวิชช์ก็หยิบบุหรี่มวนสุดท้ายในซองออกมาจุด พรพฤกษ์เห็นจึงเอ่ยทักอย่างเป็นห่วง เพราะนับตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่องแล้วก็แทบจะไม่เห็นอีกฝ่ายพักจากการอัดควันเข้าปอดเลย

“พี่เอก วันนี้สูบหลายมวนแล้วนะครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ยิ่งใช้ความคิดพี่ยิ่งต้องสูบ รู้สึกหัวมันโล่งดี ว่าแต่เจอแต่เรื่องไม่ธรรมดาทั้งนั้นเลยนะเราน่ะ”

ผู้สูงวัยทักขึ้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวนับตั้งแต่ตระการไปเยือนบ้านนฤมิตรครั้งแรก พรพฤกษ์จึงส่ายหน้าบางๆ เอกวิชช์นับเป็นคนแรกก็ว่าได้ที่เขาเล่าทุกอย่างให้ฟังจากปากตัวเอง เพราะแม้แต่นรพัฒน์ซึ่งสนิทที่สุดก็ยังไม่เคยได้ยินเขาปริปากถึงเรื่องเหล่านี้สักคำ แต่เพราะเขารู้จักนิสัยของเพื่อนดี ประกอบกับเชื่อว่าคนที่พอจะรู้จักเขาแต่อยู่วงนอกมากพอน่าจะออกความเห็นให้ได้อย่างเป็นกลางมากกว่า เขาจึงได้ตัดสินใจมาขอคำปรึกษาจากอดีตเจ้านายในวันนี้

เอกวิชช์อัดบุหรี่เข้าปอดแรงๆ อีกครั้งระหว่างที่พรพฤกษ์นั่งรอโดยไม่เซ้าซี้ กาแฟร้อนที่เหลืออยู่เพียงครึ่งแก้วในมือเริ่มเย็นชืด และตอนนี้เขาก็รู้สึกตื้อจนไม่อยากยกขึ้นดื่มอีกแล้ว ครู่ใหญ่กว่าที่ผู้สูงวัยจะอ้าปากอีกครั้ง

“ท่าทางคุณพ่อฝ่ายนั้นจะเป็นพวกหัวแข็งชนฝาล่ะสิ แต่พี่ก็เคยอ่านหนังสือแนวทางธุรกิจที่คุณตฤณแกเขียนอยู่เหมือนกัน ก็พอจะเดาได้หรอกว่าคงเป็นคนยึดมั่นกับแนวความคิดของตัวเอง แล้วไผ่คิดว่าจะทำยังไงต่อไป?”

นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายเข้มขึ้น “ถ้าถามตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้ว่าต้นก็คงอยากให้ผมมาอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ เพียงแต่ยังไม่เคยพูดตรงๆ แต่ถ้าหากต้องไปอยู่ที่บ้านเขาผมก็คงทำไม่ได้ ผมไม่ได้ต้องการให้คุณตฤณยอมรับผม แต่ถ้าหากฝ่ายนั้นต้องเห็นผมทุกวันอาจจะเครียดจนอาการกำเริบอีก ผมไม่อยากทำให้ต้นลำบากใจ”

เอกวิชช์มองพรพฤกษ์ที่กำลังทอดสายตาลงบนที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ ประสบการณ์ที่ได้ผ่านโลกมามากทำให้เขาไม่ถึงกับเกิดความรู้สึกต่อต้านเมื่อรู้ว่าอดีตลูกน้องกำลังคบผู้ชายด้วยกัน และข้อมูลที่ได้ฟังก็ทำให้แยกแยะได้ว่าความสัมพันธ์ของพรพฤกษ์กับตระการจริงจังเกินกว่าการคบกันเล่นประเดี๋ยวประด๋าว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ความคิดกลั่นกรองอยู่นานว่าควรจะให้คำปรึกษาอย่างไร เพราะตลอดชีวิตเขาก็ไม่เคยพบเจอเรื่องราวเช่นนี้กับตัวเอง

“เมื่อกี้ไผ่บอกพี่ว่าพอเจอความวุ่นวายที่นี่แล้วทำให้คิดถึงบ้าน ไผ่ลองถามตัวเองดีๆ หรือยังว่าถ้าหากต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แบบถาวร ไผ่จะรับการใช้ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปเลยได้หรือเปล่า?”

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้น นัยน์ตาสีนิลฉาบไปด้วยคำถามซึ่งไม่ได้รับการเอ่ยออกมา เอกวิชช์จึงขยายความต่อ

“เท่าที่พี่ฟังมาดูเหมือนคราวนี้เราสองคนลงมากรุงเทพฯ อย่างกะทันหันใช่ไหมล่ะ? ถ้างั้นก็ไม่แปลกหรอกถ้าไผ่จะยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป แต่ถ้าให้พี่แนะนำล่ะก็ ไผ่ต้องถามตัวเองก่อนว่ามั่นใจแค่ไหนที่จะคบกับต้นในระยะยาวโดยที่พ่อของเขาอาจจะไม่ยอมรับเราสองคนไปตลอดชีวิต นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็คงเป็นเรื่องที่จับต้องได้มากกว่า เช่นว่าถ้าหากไผ่มาอยู่กรุงเทพฯ แล้วจะทำยังไงกับบ้านนฤมิตร? จะปิดไปเลยแล้วประกาศขายต่อ หรือว่าให้คนอื่นดำเนินกิจการแทนแล้วเรากินกำไรอยู่ที่นี่ แล้วในกรณีที่ขายบ้าน พอมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วไผ่จะทำอะไร จะอยู่บ้านเฉยๆ หรือว่าออกมาทำงานประจำข้างนอก แล้วคิดว่าจะปรับตัวกับสภาพชีวิตแบบนั้นได้หรือเปล่า พี่ว่าไผ่ต้องถามคำถามพวกนี้กับตัวเองให้ละเอียดเลยนะ”

เอกวิชช์เอ่ยจบก็หันไปดูดบุหรี่อีกอึก และพรพฤกษ์ก็ได้แต่นั่งนิ่งขณะซึมซับทุกคำแนะนำที่อีกฝ่ายเพิ่งมอบให้ เมื่อคืนเขานอนเค้นความคิดจนค่อนคืนว่าควรจะทำอย่างไรสำหรับเรื่องของเขากับตระการ ความคิดเดียวที่วาบขึ้นมาและน่าจะเข้าท่าที่สุดก็คือมาขอคำปรึกษาจากเอกวิชช์สำหรับปัญหาเฉพาะหน้า แต่เขาก็ไม่ทันได้คิดไปถึงเรื่องระยะยาวที่อาจจะหมายถึงการต้องเลือกลงหลักปักฐานที่ใดที่หนึ่งเลย

จริงอยู่ว่าเดี๋ยวนี้การเดินทางระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ นั้นสะดวกและกินเวลาเพียงชั่วโมงเดียวถ้าหากเดินทางโดยเครื่องบิน แต่สิ่งที่เขาต้องคิดหนักไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแบบนั้น แต่เป็นเรื่องของสังคมที่เขาคุ้นเคย เพื่อนๆ และการงานของเขาเองมากกว่า

พรพฤกษ์นิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ด้านหนึ่งเขารู้สึกโล่งอกที่ได้บอกเล่าปัญหาให้ใครบางคนฟังและได้รับคำแนะนำกลับมา แต่อีกด้านก็ว้าวุ่นเมื่อรู้ว่าเขายังมีปัญหาให้ต้องขบคิดอีกมากมาย และหากไม่ไตร่ตรองตัวเลือกที่มีให้ดี เขาก็อาจไม่มีความสุขต่อให้ได้อยู่กับตระการก็เป็นได้ และนั่นยังอาจส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้งคู่อีกด้วย

เอกวิชช์ขยี้ก้นบุหรี่มวนสุดท้ายลงบนที่เขี่ยบุหรี่ นัยน์ตาของผู้สูงวัยมองพรพฤกษ์ซึ่งกำลังนั่งประสานมือบนโต๊ะพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างพิจารณา เขารู้ดีว่าต่อให้เป็นเขาเองที่ผ่านโลกมาครึ่งค่อนชีวิตแล้วก็ยังไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องกับปัญหาของอีกฝ่ายได้เพราะปัจจัยมากมายที่เกี่ยวพัน แล้วนับประสาอะไรกับชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสามสิบซึ่งต้องพบเจอเหตุการณ์อันน่าสับสนมากมายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เขานั่งรอครู่หนึ่งก็เห็นว่าพรพฤกษ์ยังจมอยู่กับการพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง จึงยกมือขึ้นตบบ่าคนตรงหน้าเบาๆ และมองนัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขาอย่างคนที่กำลังหลงทางด้วยความเข้าใจ

“อย่าเพิ่งคิดมากน่ะ พี่ไม่ได้บอกว่าไผ่ต้องรีบหาคำตอบตอนนี้เดี๋ยวนี้เสียหน่อย ค่อยๆ ใช้เวลาคิดไปก่อนก็ได้ ว่าแต่ถ้าบ่ายนี้ไม่มีโปรแกรมทำอะไรจะกลับขึ้นไปออฟฟิศด้วยกันก่อนมั้ย? พี่จำได้ว่าโรงพิมพ์จะส่งดิจิตอลปรู๊ฟของปักษ์หน้ามาให้บ่ายนี้ ไผ่ไปช่วยเจ้าติ๋วเช็คหน่อยแล้วกันเพราะเห็นว่าเขาก็งานยุ่ง จะได้ทดสอบดูด้วยว่าพอได้ลองทำงานออฟฟิศอีกครั้งแล้วเป็นยังไง”

พรพฤกษ์ลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า อย่างน้อยถ้าเขาได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็คงจะดีกว่านั่งฟุ้งซ่านคนเดียวเช่นตอนนี้ จึงตามเอกวิชช์กลับขึ้นไปที่ออฟฟิศแต่โดยดีหลังจากพ้นเวลาพักเที่ยงมานานพอสมควร และพบว่าเพื่อนสาวของเขาแสดงความยินดีอย่างไม่ปิดบังที่ได้คนช่วย เพราะลำพังแค่งานตามต้นฉบับและจัดเตรียมข้อมูลก็ล้นมือจนแทบจะทำไม่ทัน

บ่ายวันนั้นพรพฤกษ์นั่งอยู่ที่ทำงานเก่าเกือบสามชั่วโมง ระหว่างนั้นเพื่อนร่วมงานที่เขาคุ้นเคยต่างแวะเวียนมาทักทายหรือนั่งคุยด้วยบ้าง และต่างก็ชักชวนให้เขากลับมาร่วมงานกันเหมือนเดิม การต้อนรับที่อบอุ่นนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่วันเวลาที่เคยเป็นพนักงานประจำอยู่ที่นี่ ชีวิตที่มีเพื่อนๆ และออกไปทานข้าวหรือทำกิจกรรมในวันหยุดด้วยกัน และทำให้เขาคลายความกังวลลงไปได้บ้างว่าหากต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ เขาจะปรับตัวหลังจากทำงานเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์อิสระตามลำพังได้หรือไม่

เมื่อพรพฤกษ์เห็นว่างานส่วนที่เขาช่วยได้หมดแล้ว จึงเอ่ยลาเพื่อนสาวที่ส่งสายตาอาลัยมาให้ก่อนจะเข้าไปเอ่ยลาเอกวิชช์ที่ห้อง หัวหน้าบรรณาธิการวัยกลางคนเห็นเขาเดินเข้ามาแต่ไม่ได้นั่งลงจึงเงยหน้าที่สวมแว่นสายตาขึ้นยิ้ม

“จะกลับแล้วล่ะสิ?”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ครับพี่เอก วันนี้ขอบคุณพี่เอกมาก ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปแน่ๆ”

ผู้สูงวัยถอดแว่นแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็ตบบ่าเขาและสบตาอย่างจริงใจ “พี่ก็ช่วยได้แค่เรื่องคำแนะนำเท่านั้น ที่เหลือเราก็ไปคิดให้ดีก็แล้วกัน ถ้าอยากจะปรึกษาเรื่องอะไรอีกก็โทรมา หรือถ้าอยากกลับมาทำงานที่นี่ก็บอกได้ พี่มีตำแหน่งว่างให้เราเสมอ หรือถ้าจะให้พี่ส่งงานให้ทำแบบเมื่อก่อนก็ตามใจ”

“ครับ ขอบคุณมากครับพี่เอก”

พรพฤกษ์ยกมือทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซาบซึ้งจากใจ จากนั้นก็เดินออกจากออฟฟิศโดยออกทางประตูด้านที่ติดกับห้องเก็บของเพื่อจะได้เลี่ยงการบอกลาคนอื่นๆ ให้เอิกเกริก ระหว่างที่รอลิฟต์ก็ดึงผ้าก๊อซกับเทปกาวที่แปะไว้ตรงมุมปากออกทิ้งถังขยะ เพราะว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังแผลนั้นกับคนที่รู้จักอีกต่อไปแล้ว

คิดถูกแล้วจริงๆ ที่ตัดสินใจมาที่นี่...

ชายหนุ่มคิดในใจขณะเดินออกมาจากอาคารสำนักงาน เมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นว่าเพิ่งจะสี่โมงเย็นเท่านั้น จึงตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นให้หัวโล่งสักพักค่อยโทรหาตระการ พอคิดได้ดังนั้นเขาจึงนั่งรถไฟฟ้าไปที่ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วก็ลงเรือด่วนพลางชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ เมื่อถึงท่าที่ใกล้กับสวนสาธารณะก็ขึ้นจากเรือแล้วเดินเล่นไปตามทางเดินเลียบแม่น้ำ ถึงแม้สมัยเรียนเขาจะไม่ค่อยได้มาแถวนี้เนื่องจากไกลมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่อีกฟากของเมือง แต่เขาก็ชื่นชอบบรรยากาศของชุมชนใกล้กับป้อมปราการเก่าซึ่งยังมีตึกรามทรงโบราณเรียงอยู่สองข้างถนน แม้ว่าหลายอาคารจะได้รับการปรับปรุงจนเหลือความโบราณเพียงแค่เค้าโครงก็ตาม

แดดที่เริ่มร่มและลมเย็นจากแม่น้ำทำให้อากาศสบายน่านั่ง เมื่อพรพฤกษ์มาถึงสวนสาธารณะจึงเดินหาที่ว่างริมน้ำเพื่อนั่งเล่นฆ่าเวลา ความที่ม้านั่งเป็นปูนซึ่งก่อขึ้นโดยยื่นออกมาจากกำแพง มีพนักพิงเตี้ยๆ ทำจากโลหะและหันเข้าด้านในสวนสาธารณะ เขาจึงต้องนั่งพับขาข้างหนึ่งแล้วเอี้ยวตัวกลับไปเท้าศอกบนขอบพนักเพื่อจะได้มองแม่น้ำได้ถนัด ภาพที่เห็นจากจุดที่เขานั่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมสองฝั่งเมืองซึ่งมีรถยนต์วิ่งสวนกันขวักไขว่ เหนือขึ้นไปอีกคือริ้วเมฆหนาซึ่งถูกแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ ย้อมจนเป็นสีแสดแกมชมพู

สายลมเอื่อยหอบกลิ่นไอชื้นจากแม่น้ำปะปนมาในอากาศ พรพฤกษ์นั่งสูดกลิ่นเฉพาะตัวของบรรยากาศริมน้ำพลางทอดสายตามองทิวทัศน์ตรงหน้า ภาพของเหล่าเรือที่ล่องสวนกันขึ้นลงในแม่น้ำ เค้าโครงของสะพานซึ่งทอดตัวตระหง่านตัดกับผืนฟ้ากว้างเบื้องหลัง ภาพของผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทำกิจกรรมอยู่ภายในสวน รวมทั้งแสงอาทิตย์อัสดงที่เริ่มหม่นลงเรื่อยๆ ตามการไหลผ่านของเวลา ท่ามกลางกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งรอบตัว ในที่สุดความคิดที่วิ่งวนในหัวของเขามาตลอดตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้บทสรุปแล้วเช่นกัน


++---tbc---++


สำหรับตอนใหม่ก็...อาทิตย์หน้าตามเคยเน้อ ขอบคุณทุกเม้นต์ล่วงหน้าค่า   :L2:

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ไผ่จ๊ะ บทสรุปของไผ่ คงไม่ทำให้แฟนๆที่ลุ้นไผ่ด้วยใจระทึก
(ระทึกเพราะคุณพ่อของคนรักกร้าวเหลือเกิน)
ต้องเศร้านะจ๊ะ
เอ่อคุณbellbomb คะ
ดิฉันก็รอเชษฐ์กับภัทรเช่นกันนะคะ
เรื่องนี้นานมากจนเกือบ แค่เกือบนะคะ เกือบลืมอ่ะค่ะ
แต่ไม่ลืมน้า
 

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ไผ่จ๊ะ บทสรุปของไผ่ คงไม่ทำให้แฟนๆที่ลุ้นไผ่ด้วยใจระทึก
(ระทึกเพราะคุณพ่อของคนรักกร้าวเหลือเกิน)
ต้องเศร้านะจ๊ะ
เอ่อคุณbellbomb คะ
ดิฉันก็รอเชษฐ์กับภัทรเช่นกันนะคะ
เรื่องนี้นานมากจนเกือบ แค่เกือบนะคะ เกือบลืมอ่ะค่ะ
แต่ไม่ลืมน้า
 


ดีแล้วค่ะคุณ yayee2 ห้ามลืมค่ะ เดี๋ยวจบต้นไผ่แล้วถึงคิวเชือด เอ๊ย! คิวอัพคุณเชษฐ์กับภัทรแน่นอนค่ะ รออีกนี้ดดดดด  :really2:

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
 :z13:คุณรินลงพร้อมกัน2เรื่องไม่ได้เหรอ
 :m7:ว่าแล้วก็รีบหลบคุณรินโลภมากไปเนอะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
แง่ม แหะๆ อย่ายุจิคะ เย้ย ไม่ช่าย ถ้าเขียนควบได้จะเอามาลงให้เนะ กั่กๆๆ
  :laugh:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ไผ่มาแว้วววววว  :m1:
อยากรู้ว่าไผ่ตัดสินใจยังไงเร็วๆจังเลยค่ะ  :o8:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
บทสรุปของไผ่ของไม่ทำร้ายจิตใจของกองเชียร์ทั้งหลายนะ  :sad4:

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
วันจันทร์แล้วคุณริน
คนอ่านอยากรู้ไผ่จะทำไรให้ต้น

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
เราก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ! แอ้ก!! //โดนคุณ kakuro โบก  :o211: :fcuk:

แว้บมาบอกว่าวันนี้อาจได้มาอัพตอนเย็นๆ ค่ำๆ หรือดึกๆ เลยนะคะ (ตกลงตอนไหนแน่ -*-) พอดีว่ายังอีดิทไม่เสร็จเลย แล้วเดี๋ยวบ่ายๆ อาจต้องไปธุระข้างนอกอีก ยังไงจะพยายามไม่ให้เกินวันพรุ่งนี้ค่า อดใจรอกันหน่อยเน้อ ขอบคุณทุกคนค่ะ ไปปั่นต่อก่อนละ
  :myeye:

bellity

  • บุคคลทั่วไป
และแล้วก็มาถึงทางแยก(อีกแล้ว)

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่นะครับ จะคอยดููอยู่ใกล้ๆ ว่าทั้งสองคนจะรัีกษาสภาพคำว่าเราได้แค่ไหน :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ในที่สุดก็เอาตอนใหม่มาลงได้แล้วค่า ช้าไปนิดอย่าว่ากั๋นเด้อ


++------++


29.


ในวันนั้น การประชุมที่ตระการคาดว่าคงเสร็จสิ้นตั้งแต่ก่อนเที่ยงกลับดำเนินไปจนบ่ายคล้อย เพราะนอกจากการเก็บตกรายละเอียดงานช่วงที่เขาหายไป ยังมีการติดตามแผนโครงการใหม่ และประเด็นต่างๆ สำหรับเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญครั้งใหญ่ในครึ่งแรกของปีอีก ทั้งวันเขาจึงได้พักเพียงตอนทานอาหารกลางวันเป็นเวลาสั้นๆ และกว่าที่การประชุมจะสิ้นสุดลง เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว

ตระการเดินออกจากห้องประชุมกลับไปที่ห้องประจำตำแหน่ง จากนั้นก็วางแฟ้มในมือแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าเพื่อขจัดความเหนื่อยล้า

ไม่คิดเลยว่าแค่ไม่อยู่สี่เดือนจะมีอะไรต้องติดตามมากถึงขนาดนี้...

ร่างสูงคิดพลางเอนหลังพิงพนักแล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา อึดใจหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้อง เมื่อตระการลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเป็นวรชัยที่เยี่ยมหน้าเข้ามา

“อาเข้าไปได้ไหมต้น?”

ชายหนุ่มพยักหน้า เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาแล้ว เขาจึงได้เห็นว่ามีแม่บ้านเดินถือถาดใส่แก้วน้ำหวานกับของว่างตามที่ปรึกษาอาวุโสเข้ามาด้วย เมื่อหญิงวัยกลางคนในเครื่องแบบสีเทาวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะแล้วก็เดินออกไป ตระการจึงเอ่ยขอบคุณวรชัยซึ่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ขอบคุณครับอาวี”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกแก้วน้ำหวานสีสดขึ้นดื่ม เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลก็ดูเหมือนสมองของเขาจะแจ่มใสขึ้นบ้าง วรชัยมองผู้บริหารหนุ่มแล้วก็ยิ้มบางๆ

“หนักหน่อยนะสองวันนี้ ต้นหายไปสี่เดือนก็เลยมีเรื่องต้องตามให้ทันเยอะ เดี๋ยวพอเริ่มเข้าที่เข้าทางก็ไม่ต้องเจอประชุมยาวๆ แบบนี้บ่อยๆ แล้วล่ะ”

“ครับ...ผมก็หวังว่าอย่างนั้น”

ตระการตอบรับ วรชัยจึงหัวเราะแล้วก็ส่ายหน้า

“อารู้ดีว่าอาคงจะเข้มงวดกับต้นเกินไปทั้งที่เพิ่งจะกลับมากรุงเทพฯ ได้ไม่กี่วัน แต่ต้นคงเข้าใจนะว่ามันจำเป็น?”

ช่วงท้ายประโยควรชัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตระการสบตากับผู้สูงวัยซึ่งทำงานร่วมกับบิดามานานกว่าอายุของเขาแล้วก็ระบายลมหายใจยาว

“ผมเข้าใจครับ ความจริงมันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

ตระการเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะนอกจากเรื่องที่เขาหายไปนานถึงสี่เดือน การที่ตฤณเข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุดก็เท่ากับส่งสัญญาณว่านายใหญ่สุวรรณฤทธิ์คงจะลงมากุมบังเหียนเช่นเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่เกริกซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวของตฤณและน้าชายของเขาก็ย้ำเตือนเรื่องสุขภาพของบิดาที่อ่อนแอลงมาก และถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยากยอมรับ แต่ดูเหมือนตฤณก็จะตระหนักดีเช่นกันว่าถ้าหากยังอยากแข็งแรงพอจะเฝ้าดูธุรกิจของตัวเองเติบโตก้าวหน้าได้อีกหลายๆ ปี ทางเลือกเดียวที่มีก็คือให้ตระการเข้ามาทำหน้าที่แทนอย่างเต็มตัวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อวานจึงได้เรียกเขาเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวหลังจากให้พรพฤกษ์ออกไปรอนอกห้องแล้ว

เขารู้ดีมาตั้งแต่โตพอจะรู้ความว่าสักวันหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้จะต้องตกมาถึงตัวเองในที่สุด แต่เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ตระการก็อดจะคิดไม่ได้ว่า...วันนั้นช่างมาถึงเร็วเหลือเกิน จริงอยู่ว่าแม้เขาจะยังขอคำปรึกษาจากบิดาและวรชัยในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้ แต่ต่อไปนี้เขาจะต้องเป็นหน้าเป็นตาของสุวรรณฤทธิ์ ไม่สามารถจะบ่ายเบี่ยงด้วยการอ้างว่าเขาเป็นเพียงรองประธานได้อีก เพราะแม้ตำแหน่งประธานสูงสุดจะยังไม่ถูกมอบให้เขาเป็นลายลักษณ์อักษรในเร็ววันนี้ แต่นับจากนี้ต่อไป นอกจากในนามแล้ว ทุกคนจะค่อยๆ รับรู้กันเองว่าคนที่เป็น ‘ประธาน’ ตามหน้าที่ก็คือเขา ตระการ สุวรรณฤทธิ์

วรชัยมองสีหน้าของตระการที่แสดงออกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“ยังไม่ต้องรีบเครียดหรอก อารู้ว่าพูดตอนนี้อาจจะฟังแล้วทำยาก แต่อาจะคอยช่วยสอนเอง เมื่อช่วงที่ลองงานต้นก็เคยทำได้ดีอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรต้องหนักใจหรอก”

ตระการสบตากับอีกฝ่ายและพบแต่ความจริงใจที่สะท้อนออกมา จึงกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกในใจจริงๆ “ครับ ขอบคุณมากครับอาวี”

ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีก วรชัยจึงเพียงยิ้มรับโดยไม่เอ่ยตอบ ในหัวของที่ปรึกษาอาวุโสนึกย้อนไปถึงบทสนทนาของเขากับตฤณในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเมื่อเย็นวานขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนตอนที่เขาไปถึงนั้นตระการกับพรพฤกษ์จะกลับไปได้พักใหญ่แล้ว



“เกริกเตือนฉันว่าจากนี้ไปห้ามทำงานหนัก และฉันก็พอจะรู้สังขารตัวเองดี เมื่อเย็นก็เลยคุยกับต้นไปแล้ว ต่อจากนี้คนที่จะทำหน้าที่เป็นประธานของสุวรรณฤทธิ์ก็คือหมอนั่น แม้จะไม่ใช่ในนามแต่ก็ในทางปฏิบัติ”

“เข้าใจแล้วครับ...ความจริงวันนี้ผมก็อัพเดทต้นเรื่องงานที่ควรจะรู้ไปบ้างแล้ว ยังไงคงต้องให้เวลาแกได้ปรับตัวอีกสักพัก”

“อย่าให้นานนักก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ต้นยังโชคดีที่มีฉันกับเธอคอยช่วย แต่จากนี้ไปพยายามถ่ายทอดทุกอย่างให้หมอนั่นให้หมด ต้นต้องรู้ว่าจะมาคอยหวังพึ่งเธอตลอดไปไม่ได้ เธอเองก็มีเรื่องที่อยากทำไม่ใช่หรือไง จะมาคอยโอ๋หมอนั่นแทนฉันตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”

ตฤณรู้ดีว่าวรชัยมีความคิดอยากเปิดคลินิกทันตกรรมร่วมกับภรรยา แต่เพราะที่ผ่านมายังต้องคอยเป็นมือขวาให้กับเขาและสอนงานให้ตระการ จึงยังไม่สามารถปลีกตัวออกไปทำสิ่งที่ต้องการได้

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณตฤณ ยังไงผมก็เอ็นดูต้นเหมือนลูกเหมือนหลาน อีกอย่างผมก็เคยคุยกับคุณดาวแล้วว่าโครงการนี้ค่อยทำตอนพวกเราใกล้ๆ เกษียนก็ได้ เพราะคุณดาวก็ยังติดสอนที่มหาวิทยาลัย ยังออกมาเปิดคลินิกกับผมเต็มตัวไม่ได้อยู่ดี”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ อย่าลืมว่าถึงเธอจะออกไปทำธุรกิจของตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าต้องถอนหุ้นออก อย่างน้อยเงินปันผลของสุวรรณฤทธิ์ก็มากพอจะช่วยหมุนเงินช่วงที่คลินิกเพิ่งเริ่มได้ แล้วถึงเธอจะไม่เข้ามาที่ออฟฟิศอีกแล้วแต่ก็ยังนับเป็นที่ปรึกษาอาวุโสอยู่”

ประโยคนั้นสะท้อนความมีน้ำใจที่น้อยครั้งท่านประธานใหญ่ของสุวรรณฤทธิ์จะเอ่ยออกมา และวรชัยก็รู้ดีว่านั่นเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเขาในฐานะที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มามากกว่าสามสิบปี จึงพยักหน้ารับด้วยความซาบซึ้งก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย

“ว่าแต่นอกจากเรื่องงานแล้วคุณตฤณได้คุยกับเด็กสองคนนั้นเรื่องของพวกเขาหรือเปล่าครับ?”

คำถามนั้นทำให้แววตาที่เหมือนจะอ่อนโยนลงวูบหนึ่งของคนบนเตียงกร้าวขึ้นแทบจะทันที “ไม่จำเป็น ฉันแยกคุยกับเด็กพวกนั้นทีละคน สำหรับต้นก็แค่เรื่องงาน ส่วนกับลูกของพิม...ฉันบอกแล้วว่าตราบใดที่งานของต้นไม่เสียหายฉันจะแกล้งปิดหูปิดตา แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันยอมรับสองคนนั้น”

“คุณตฤณ...”

“อย่าเอาปัญหาของคนอื่นมาคิดให้ปวดหัวเลยวี ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ถ้าหากไม่มีธุระอะไรอีกก็ฝากสอนงานให้ต้นด้วยก็แล้วกัน ฉันจะนอนพักเสียที”




วรชัยยอมรับว่าเขาผิดหวังในความทิฐิสูงของผู้เป็นนาย แต่ก็ตระหนักว่าการพบกันระหว่างตฤณกับพรพฤกษ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป จึงยากนักที่จะให้เมฆหมอกซึ่งปกคลุมการตัดสินใจของตฤณสลายตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อวานนี้วรชัยจึงไม่ได้ออกความเห็นโต้แย้งและเพียงแต่ขอตัวกลับมาเงียบๆ

หวังว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีใครต้องเสียใจก็แล้วกัน...วรชัยได้แต่คิดกับตัวเอง

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของตระการทำลายความเงียบในห้อง ชายหนุ่มจึงกดปุ่มสปีกเกอร์โฟนแล้วตอบรับ

“มีอะไรหรือเอ๋?”

“คุณไผ่มาแล้วค่ะ คุณต้นจะให้เข้าไปที่ห้องเลยไหมคะ?”

ตระการได้ฟังก็มุ่นหัวคิ้ว เพราะพรพฤกษ์จะโทรเข้ามือถือเขาเลยก็ได้ ไม่จำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องมาขอพบผ่านเลขาของเขาให้ยุ่งยากสักนิด

“อืม...ให้ไผ่เข้ามาได้เลย”

วรชัยได้ยินดังนั้นจึงดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ลุกขึ้น “ได้เวลาเลิกงานแล้วสิ งั้นอากลับก่อนก็แล้วกัน คืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ”

ผู้สูงวัยยังพูดไม่ทันจบประโยค พรพฤกษ์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มชะงักและพนมมือทำความเคารพเมื่อเห็นอีกฝ่าย วรชัยจึงยกมือรับไหว้ก่อนจะเดินเข้าไปตบไหล่ผอมเบาๆ

“อย่าเพิ่งท้อกันล่ะทั้งคู่ วันนี้อากลับละ แล้วค่อยเจอกันใหม่”

พรพฤกษ์สบตากับผู้สูงวัย แล้วก็มองตามจนอีกฝ่ายออกจากห้องและปิดประตูลงแล้ว เมื่อหันกลับไปที่โต๊ะทำงานก็เห็นตระการยกมือหนึ่งขึ้นกวักเข้าหาตัวเองเหมือนให้เดินเข้าไปหา ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ พลันร่างสูงใหญ่ก็รั้งเอวเขาไปกอดพลางซุกหน้าลงกับหน้าท้องแบนราบโดยไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“หายไปไหนมาทั้งวัน? แล้วทำไมเสร็จธุระแล้วไม่โทรเข้ามือถือต้นล่ะ?”

ตระการถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงแต่เคลียจมูกอยู่กับหน้าท้องของเขาผ่านเสื้อผ้าฝ้ายอยู่อย่างนั้น พรพฤกษ์จึงเอามือหนึ่งวางบนบ่ากว้างไว้แล้วใช้อีกมือสางผมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางยกยิ้มเมื่อตระการระบายลมหายใจยาวแล้วก็กระชับอ้อมแขนรอบเอวเขาแน่นขึ้น

“พอดีไปกินข้าวกับเจ้านายเก่าแล้วก็อยู่ช่วยพี่เขาทำงานด่วนต่อน่ะ ก่อนจะมาก็ว่าจะโทรหาต้นเหมือนกัน แต่แบตหมดซะก่อนก็เลยตรงมาที่นี่เลย”

“อ้อ...”

ตระการส่งเสียงรับในคอ ร่างสูงใหญ่คลายวงแขนออกแล้วรั้งตัวพรพฤกษ์ให้นั่งลงบนตักแทน จากนั้นก็ไล่ริมฝีปากไปตามแก้มกับขมับที่มีกลิ่นเหงื่อปนกลิ่นแดดติดอยู่อ่อนจาง พรพฤกษ์รู้สึกจั๊กกะจี้เมื่อถูกลมหายใจจากปลายจมูกของตระการเป่าลงกระทบใบหู แต่ก็พยายามนั่งนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายคลอเคลียเหมือนลูกแมวตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนขอความสนใจอยู่อย่างนั้น

“แล้วไปเยี่ยมออฟฟิศเก่าแล้วเป็นไงบ้าง?”

ตระการถามโดยไม่ได้หยุดริมฝีปากที่กำลังพรมจูบไปบนใบหน้าและลำคอของคนบนตัก และประโยคนั้นก็เหมือนกับพูดลอยๆ เพื่อชวนคุยมากกว่าจะอยากรู้คำตอบจริงจัง พรพฤกษ์จึงอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายคงจะเพลียมากถึงได้อ้อนเขาขนาดนี้

“ก็เจอเพื่อนๆ เก่าหลายคน เขาปรับปรุงออฟฟิศใหม่ก็เลยกว้างขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ เดี๋ยวนี้มีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นหลายคนด้วย พี่เขาก็บอกว่าถ้าหากอยากกลับมาทำงานที่นี่จะหาตำแหน่งว่างให้...นี่ต้น”

พรพฤกษ์ทักพลางหยิกแขนแข็งแรงเมื่อตระการล้วงมือหนึ่งเข้าไปใต้เสื้อแล้วใช้นิ้ววนเป็นวงบนแผ่นหลังจนเขาขนลุก คนถูกหยิกจึงเหลือบตาขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มซุกซนให้ จากนั้นก็กอดเอวเขาแน่นขึ้นแล้วซบหน้าลงมาบนบ่า พรพฤกษ์เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ทำอะไรต่อจึงยกแขนขึ้นคล้องคอตระการไว้แล้วใช้ปลายนิ้วบีบท้ายทอยให้เบาๆ ต่างฝ่ายต่างนั่งเงียบในอ้อมแขนของกันและกันไปครู่หนึ่ง

คงจะเหนื่อยมากสินะ...ตั้งแต่ลงมาจากเชียงใหม่ต้นก็ยังไม่ได้พักผ่อนจริงๆ เลยนี่นา...แต่จะพักได้ยังไงในเมื่อพ่อเข้าโรงพยาบาลอยู่แบบนี้...

พรพฤกษ์คิดขณะมองเสี้ยวหน้าของตระการที่หลับตาซบอยู่บนบ่า ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดลงบนคอของเขาเบาๆ ยามหายใจออก เขารู้ดีว่าตระการไม่ได้หลับจริงๆ เพียงแต่กำลังใช้ช่วงเวลานี้เพื่อการพักผ่อนสั้นๆ เท่านั้น เมื่อเหลือบตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าท้องฟ้าภายนอกมืดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็นฤดูหนาว และความมืดนั้นก็ทำให้เขาเห็นเงาของตัวเองกับตระการที่สะท้อนบนผนังซึ่งเป็นกระจกใสทั้งแผ่นได้อย่างชัดเจน

“ไผ่...ต้นมาคิดดูแล้วนะ”

เสียงทุ้มต่ำจากคนบนบ่าเรียกความสนใจของพรพฤกษ์กลับไป เมื่อเหลือบตาลงก็พบว่าตระการกำลังลืมตาและตะแคงหน้ามองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงเร้าให้พูดต่อ

“เพราะวันนี้ไผ่บอกว่าจะไปเยี่ยมที่ทำงานเก่าต้นเลยคิดได้...ก่อนหน้านี้ต้นเคยจะถามแล้วแต่ยั้งตัวเองไว้เพราะไม่อยากให้ไผ่กดดัน แต่ถ้าหากเจ้านายเก่าก็ยังบอกว่ายินดีรับไผ่กลับไปทำงานด้วย...ไผ่ไม่คิดว่าอยากกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ บ้างเหรอ?"

ร่างสูงใหญ่ยกศีรษะขึ้นและสบตากับพรพฤกษ์โดยไม่ปล่อยแขนที่โอบรัดช่วงเอวผอมเอาไว้ พรพฤกษ์จึงมองตาอีกฝ่ายอย่างค้นหา

“หมายความว่ายังไง?”

“ต้นอยากให้ไผ่มาอยู่กับต้นที่กรุงเทพฯ ต้นยอมรับว่าตอนที่ชวนลงมาไหว้กระดูกของแม่ต้นอาจไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่ตอนนี้ไผ่ก็ได้เจอพ่อของต้นและแทบทุกคนที่ต้นรู้จักแล้ว ต้นเลยอยากถามไผ่ให้เป็นเรื่องเป็นราว ต้นรู้ว่าถ้าหากบอกไผ่ว่าอยากให้มาอยู่ด้วยเฉยๆ โดยไม่ต้องทำงานไผ่ก็คงไม่ยอม แต่จะให้มาทำงานที่บริษัทของต้นไผ่ก็อาจจะไม่สะดวกอีก แต่ว่าถ้าหากที่ทำงานเก่าของไผ่ยินดีต้อนรับ ถ้างั้นพวกเราก็ไม่มีปัญหา”

พรพฤกษ์ฟังความคิดของตระการแล้วก็เม้มปาก ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงและแววตาสีน้ำตาลเข้มดูจะมีพลังสั่นคลอนความตั้งใจของเขาได้หลายส่วน

แต่ไม่ใช่ทั้งหมด...

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แล้วพ่อของต้นล่ะ เมื่อวานก็เล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอว่าพ่อเขาพูดเรื่องของพวกเราว่ายังไง?”

คราวนี้ตระการถอนหายใจแล้วหลุบตาลง ชายหนุ่มจับมือข้างหนึ่งของพรพฤกษ์แล้วประทับริมฝีปากลงบนหลังมือเบาๆ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง

“ต้นผิดเองที่ไม่ทันได้คิดว่าพ่อเขาจะแสดงท่าทีแบบไหนหลังจากได้เจอไผ่ แต่ถึงพ่อจะพูดยังไงก็ไม่มีผลกับความรู้สึกของต้นอยู่แล้ว ต้นอาจจะทำทุกอย่างที่พ่อคาดหวังมาตลอดก็จริง แต่พ่อจะมากะเกณฑ์ต้นเรื่องนี้ไม่ได้”

พรพฤกษ์รู้สึกถึงคลื่นความรู้สึกที่อัดแน่นในอกจากคำพูดของตระการจนต้องสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดจริงๆ และถ้าหากเพียงเขาจะเป็นคนหัวอ่อนว่าง่ายกว่านี้อีกสักนิด บางทีเขาคงไม่ต้องหวั่นไหวกับความรู้สึกขัดแย้งในใจเช่นตอนนี้ และตอบรับตระการอย่างง่ายดายได้ในทันที และพวกเขาก็คงจะมีความสุขร่วมกันโดยไม่ต้องคำนึงถึงใครหน้าไหนทั้งสิ้น

ติดอยู่ที่ว่า...เขาไม่ใช่คนหัวอ่อนหรือคิดอะไรตื้นเขินแบบนั้น...

พรพฤกษ์ลดมือที่วางบนไหล่ตระการลงและแงะแขนอีกฝ่ายออกจากเอว จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ผนังกระจก นัยน์ตาสีนิลเหม่อมองภาพทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟจากรถราบนถนน แสงจากอาคารสูงอื่นๆ ที่ตั้งเรียงอยู่เป็นระยะใกล้บ้างไกลบ้าง ตลอดจนภาพของเมืองใหญ่ที่แผ่ไกลออกไปซึ่งพอจะมองเห็นได้หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว จากนั้นก็ยกมือหนึ่งขึ้นทาบบนกระจกเย็นๆ และเอ่ยขึ้น

“ต้นเคยมองแสงไฟในกรุงเทพฯ แล้วเคยคิดว่าถ้าหากเรามองไกลไปกว่านั้นได้ก็คงดีบ้างมั้ย?”

ตระการขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ และพรพฤกษ์ก็ไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจในทันที ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อโดยไม่รอฟังคำตอบ

“สมัยที่ยังทำงานอยู่ที่นี่เมื่อสามปีก่อน มีหลายครั้งเลยนะที่ต้องอยู่ปิดต้นฉบับข้ามคืนจนถึงเช้า เลยมีโอกาสได้มองท้องฟ้ากรุงเทพฯ ตอนกลางคืนกับตอนเช้ามืดบ่อยมากเพราะออฟฟิศอยู่สูงเหมือนกัน ช่วงนั้นบางทีก็จะคิดถึงบ้านที่เชียงใหม่ หลายครั้งเลยที่โทรไปหาตาแล้วก็บ่นว่าเสียดายที่ท้องฟ้าที่นี่ไม่มีแนวภูเขาให้เห็น มองไปแล้วไม่คุ้นเคยเหมือนเวลาอยู่บนศาลาชมวิวของเราที่โน่น”

“ไผ่...”

ตระการลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดยืนข้างหลัง มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นวางทาบบนมือของพรพฤกษ์ข้างที่วางอยู่บนกระจก ส่วนแขนแข็งแรงอีกข้างอ้อมมาโอบรอบเอวและรั้งร่างเพรียวเข้าหา พรพฤกษ์ไม่ได้ขืนตัวไว้และเอนลงพิงอกอีกฝ่ายแต่โดยดี ทว่าประโยคถัดมากลับเหมือนค้อนที่ทุบลงบนหัวใจคนฟัง

“ที่วันนี้ตั้งใจไปหาเจ้านายเก่าก็เพราะอยากหาคำตอบให้ตัวเองเรื่องนี้แหละ ว่าถ้าหากต้องมาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ จะทำได้ไหม คำตอบคือได้...แต่ว่า...ยังไม่ใช่สำหรับตอนนี้”

พรพฤกษ์รู้สึกได้ว่าแขนแกร่งข้างที่โอบรอบเอวของเขากระชับแน่นขึ้น ชายหนุ่มสบตากับคนข้างหลังผ่านทางกระจกที่กำลังสะท้อนภาพของทั้งคู่ซึ่งทำให้เห็นทั้งภาพบรรยากาศในห้องซ้อนกับแสงไฟในตัวเมืองข้างนอกได้พร้อมกัน ราวกับว่ากระจกนี้เป็นเพียงกำแพงบางๆ ที่กั้นขวางระหว่างสองโลกซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โลกหนึ่งคือโลกที่เขาจะได้อยู่กับตระการ อาจมีความสุข...แต่เขาต้องฝืนตัวเอง

ส่วนอีกโลก คือโลกที่เขาสามารถใช้ชีวิตอิสระเช่นที่เคยชิน...แต่จะไม่ได้อยู่กับคนที่เขารักตลอดเวลา

หลังจากการตัดสินใจอย่างหนักหน่วงโดยพิจารณาทุกปัจจัยรวมกัน พรพฤกษ์เลือกที่จะกลับไปสู่โลกใบหลัง อย่างน้อยก็สำหรับช่วงเวลานี้...เวลาที่เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะสละทุกอย่างที่เขาคุ้นเคยเพื่อมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ และเขาก็คิดว่านี่คือ 'ทางสายกลาง' ที่เหมาะสมแล้วสำหรับทุกฝ่าย

แน่นอนว่าถ้าหากเลือกได้ พรพฤกษ์ก็ต้องการทั้งสองอย่าง ทั้งการงานที่เขาควบคุมจังหวะเองได้ที่บ้านซึ่งเขาเติบโตมาในเชียงใหม่ และการได้มีตระการอยู่ข้างๆ ซึ่งหากว่าตระการจะเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ไม่มีภาระอันยิ่งใหญ่ผูกพันที่ละทิ้งไปไม่ได้ เขาคงจะชวนอีกฝ่ายให้ไปอยู่ที่บ้านนฤมิตรกับเขาแล้วก็ช่วยกันดูแลเกสต์เฮ้าส์ มีความสุขตามประสาคู่รักที่พึงมีโดยไม่ต้องสงสัย

แต่เพราะเขาทำเช่นนั้นไม่ได้...เพราะตระการไม่ได้เป็นเพียง ‘ชายหนุ่มธรรมดา’ เพราะอีกฝ่ายมีความจำเป็นต้องรับผิดชอบเครือธุรกิจอันยิ่งใหญ่แทนบิดาที่มีปัญหาทางสุขภาพ มีพนักงานอีกร่วมพันชีวิตที่ต้องดูแลสวัสดิการ มีหน้าที่เป็นผู้นำซึ่งต้องสืบทอด และเขาไม่คิดจะแย่งชิงตระการไปจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น อีกฝ่ายมีความจำเป็นสำหรับที่นี่ เขาไม่มีสิทธิ์จะเห็นแก่ตัวและยึดยื้อตระการเอาไว้เป็นของตัวเองคนเดียว

ดังนั้นพรพฤกษ์จึงเลือกเห็นแก่ตัวในอีกสิ่งที่เขาสามารถทำได้โดยรู้สึกผิดน้อยกว่า แม้จะรู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของคนที่ตัวเองรัก นั่นคือการกลับไปเชียงใหม่ กลับไปสู่สังคมและความรับผิดชอบที่เขาคุ้นเคย...จนกว่าจะถึงวันที่เขาพร้อมจะกลับมาอยู่กับตระการอีกครั้ง โดยที่เขาเองก็ไม่อาจตอบได้ ณ วินาทีนี้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

“ไผ่ไม่คิดว่ากำลังทำร้ายพวกเราทั้งคู่ด้วยการทำแบบนั้นบ้างเหรอ?”

ตระการถามด้วยน้ำเสียงที่ชุ่มไปด้วยอารมณ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สบตากับพรพฤกษ์ในกระจกฉายแววน้อยใจและปวดร้าว พรพฤกษ์จึงทำได้เพียงเบือนสายตาไปทางอื่น ขอบตาของเขาร้อนผ่าวเมื่อตระหนักถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากคนที่กอดเขาไว้ เขาอยากตอบว่าไม่ใช่เลย...เขาไม่ได้ต้องการทำร้าย ‘พวกเรา’ แต่เวลานี้เขาไม่พร้อมจะอยู่กับตระการจริงๆ การต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนโดยต้องเผชิญหน้ากับพ่อของอีกฝ่ายด้วยไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำความคุ้ยเคยได้โดยง่าย เพราะแค่ได้ไปอยู่ที่บ้านของตระการไม่กี่วันเขาก็รู้ตัวแล้วว่าที่นั่นไม่ใช่ ‘ที่ของเขา’ และเขาก็ไม่อยากฝืนตัวเองด้วยการแสร้งทำว่า ‘ชอบ’ ที่นั่นด้วย

“ใจเย็นก่อนต้น นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราต้องแยกจากกันตลอดไปนะ”

พรพฤกษ์ยังพูดไม่ทันจบก็ลมหายใจสะดุดเมื่อถูกจับให้หันไปด้านหลัง และนั่นก็ทำให้เขาได้สบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มโดยตรง แววตัดพ้ออย่างรุนแรงในแววตาคู่นั้นทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีก

“แล้วเมื่อไหร่? ไผ่จะให้ต้นรอถึงเมื่อไหร่? ที่เราเคยไม่เข้าใจกันตั้งหนึ่งปี...ต้องจากกันไปอีกสามเดือน...แล้วนี่ก็เพิ่งได้อยู่ด้วยกันแค่สี่เดือนเท่านั้นเอง ไผ่พอใจกับแค่ตรงนั้นแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่นะต้น! เข้าใจกันบ้างได้มั้ย?!”

พรพฤกษ์ระเบิดอารมณ์ออกมาในที่สุด ทำนบน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลเอ่ออย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป ตระการคิดว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยความทรมานแค่ไหนกัน คิดว่าเขาตัดสินใจกับตัวเลือกที่มีง่ายๆ งั้นหรือ หากอีกฝ่ายรักเขามากแค่ไหน พรพฤกษ์ก็รู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างกัน แต่จำเป็นไหมที่พวกเขาจะต้องดึงดันอยู่ด้วยกันให้ได้ตอนนี้เดี๋ยวนี้?

ร่างเพรียวทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นช้าๆ โดยหันหลังพิงกระจกไว้ จากนั้นก็ยกแขนสองข้างขึ้นกอดเข่าและซุกหน้าลง ไหล่ผอมบางทั้งสองข้างสั่นจนเห็นได้ชัด เมื่อตระการเห็นดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าเผลอพลั้งปากทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปแล้ว

“ไผ่...ขอโทษ”

ร่างสูงใหญ่รีบทรุดตัวลงนั่งตามแล้วรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและสูดหายใจลึกเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นจากใบหน้าของพรพฤกษ์ที่ซึมผ่านเสื้อเชิ้ตลงมาบนบ่า

อีกแล้วหรือ...นี่เขาทำให้พรพฤกษ์ต้องเสียน้ำตาเพราะเขาเป็นต้นเหตุมากี่ครั้งแล้ว?

“ขอโทษ...ไผ่...ต้นไม่พูดแล้ว”

ตระการกระชับอ้อมแขนรอบตัวคนตรงหน้าแน่น ชายหนุ่มใช้มือใหญ่ค่อยๆ เสยผมบนหน้าผากเนียนแล้วแนบริมฝีปากลงซับน้ำตาให้พรพฤกษ์จนหมาด ถึงแม้จะผิดหวังกับการตัดสินใจของอีกฝ่ายเพียงใด แต่การเห็นคนที่รักต้องเจ็บปวดเพราะความเอาแต่ใจของเขาก็ทำร้ายความรู้สึกมากกว่า

“ขอโทษ...”

พรพฤกษ์สูดน้ำมูกอย่างแรงแล้วส่ายหน้า “พอแล้วต้น ไม่ต้องขอโทษ ต้นไม่ผิด ไม่มีใครผิด อย่าขอโทษ”

ตระการได้ฟังก็รั้งร่างของพรพฤกษ์เข้าไปกอดอีกครั้งโดยโน้มคอลงให้ซบลงบนบ่า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปยังแสงไฟภายนอกที่เปล่งประกายเด่นชัดตัดกับผืนฟ้าที่มืดสนิท และคิดว่าเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่พรพฤกษ์เอ่ยให้ฟังเมื่อครู่

จริงสิ...ที่นี่ไม่ใช่บ้านของไผ่ คนรักของเขาไม่ได้หลงใหลเมืองหลวงจนอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นหลังจากที่ตาเสีย ไผ่ก็คงย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว...

แต่ถ้าเช่นนั้น...อีกนานแค่ไหนที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันเสียที?

“ถ้าหาก...ต้นกลับไปอยู่กับไผ่ที่เชียงใหม่เหมือนเดิมล่ะ?”

คำถามนั้นถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ แต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะขื่นๆ หรือหัวเราะเยาะ เสียงที่ตระการได้ยินนั้นเหมือนกับพรพฤกษ์รู้ดีว่าเขากำลังถามคำถามที่ตัวเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้มากกว่า

“ความจริงก็อยากให้ทำแบบนั้นนะต้น...แต่อย่าเลย ต้นใส่สูทนั่งประชุมที่ออฟฟิศเหมาะกว่าจะเป็นคนดูแลเกสต์เฮ้าส์ตั้งเยอะ”

พรพฤกษ์เอ่ยพลางดันตัวขึ้นนั่งตรง แต่ว่าก็ไม่ได้เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น ชายหนุ่มเพียงแต่เอนหลังพิงกระจกแล้วก็ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ยังเหลือเท่านั้น

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
“แต่ต้นก็เคยช่วยไผ่ทำมาแล้วนี่”

ตระการเอ่ยขึ้นบ้าง เขารู้สึกได้ว่าความอึมครึมที่โอบล้อมทั้งคู่อยู่ค่อยๆ เจือจางลงเมื่อได้เห็นพรพฤกษ์ยิ้ม ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปนั่งเอนหลังพิงกระจกข้างอีกฝ่ายโดยสอดนิ้วมือประสานกับมือข้างที่วางชิดกันเอาไว้ พรพฤกษ์จึงยิ้มแล้วส่ายหน้า

“นั่นมันแค่ชั่วคราว ต้นมีความสามารถมากกว่าจะอยู่ตรงนั้น งานที่นี่เหมาะกับต้นมากกว่าแล้วล่ะ”

ความเงียบโรยตัวลงมาหลังจากพรพฤกษ์เอ่ยประโยคนั้น และตระการก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดถูก ต่อให้ใจอยากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถติดตามพรพฤกษ์กลับไปช่วยดูแลบ้านนฤมิตรได้เหมือนสี่เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันพรพฤกษ์ก็คงพร้อมจะกลับไปสู่บ้านที่คุ้นเคยและเปิดเกสต์เฮ้าส์รับแขกอีกครั้งหลังจากที่แข็งแรงดีแล้ว

“ไผ่...แล้วต้นต้องรอนานแค่ไหน?”

ตระการถามขึ้นหลังจากไม่พูดอะไรอยู่นาน พรพฤกษ์จึงเหลือบตามองคนถาม จากนั้นก็หันกลับไปทำท่าคิด

“...ไม่รู้สิ อย่างน้อยที่ได้ไปเจอเพื่อนเก่าวันนี้ก็โล่งอกขึ้นนะว่าถึงจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ ก็คงไม่ถึงกับไม่มีใคร เพียงแต่มันเร็วเกินไปที่จะให้ตัดสินใจย้ายมาปุบปับ ยังไงจะพยายามให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน ระหว่างนี้ต้นก็คงต้องเหนื่อยบินขึ้นบินลงกรุงเทพฯ – เชียงใหม่หน่อย”

“ให้ต้นเคลียร์งานได้หมดเมื่อไหร่แล้วจะบินไปหาทุกวันศุกร์ ช่วงไหนมีวันหยุดยาวติดกันก็จะไป ไผ่มาร์ควันลงปฏิทินได้เลย”

ตระการพูดพลางบีบมือที่ประสานนิ้วกับพรพฤกษ์แน่นขึ้นเพื่อย้ำให้มั่นใจ พรพฤกษ์จึงตะแคงหน้าไปหา เมื่อเห็นแววตาที่บ่งว่าจะทำตามอย่างที่พูดให้ได้ก็ยิ้มแล้วเอนศีรษะลงพิงหัวไหล่หนาเอาไว้

“ขอบคุณนะต้น...แล้วก็ขอโทษด้วยที่เอาแต่ใจ”

มือของทั้งสองที่ประสานกันอยู่กระชับแน่นขึ้น “ไม่หรอกไผ่ ไผ่บอกเองนี่ว่าไม่มีใครผิด ถ้าต้นดึงดันจะให้ไผ่อยู่ต่อก็เท่ากับต้นต่างหากที่เอาแต่ใจ ไผ่ก็บอกเมื่อกี้แล้วนี่ว่าไผ่จะรีบมาอยู่กับต้นให้เร็วที่สุดที่ทำได้...ดังนั้นต้นจะรอ”

คำพูดให้ความเชื่อมั่นและน้ำเสียงอบอุ่นทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวจนต้องสูดน้ำมูกอีกครั้ง ตระการไม่เคยบังคับเขาไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร และตลอดมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ถูกประคับประคองมาได้เพราะความมุ่งมั่นและแน่วแน่ของอีกฝ่าย เขาจึงไม่แคลงใจเลยว่าต่อจากนี้ไปทั้งสองก็จะยังคงเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยน

ที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ไม่ได้...ไม่ใช่เพราะไม่รัก...แต่เพราะรู้ดีว่าพวกเราต่างมีสิ่งที่ต่างฝ่ายต้องทำเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง และหัวใจที่สื่อถึงกันแล้วสองดวงนี้ก็จะไม่มีวันแปรเป็นอื่นแม้ตัวเจ้าของจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันอย่างแน่นอน

“ไผ่...”

“หือ?”

เมื่อถูกกระตุกมือเรียก พรพฤกษ์จึงเงยหน้าขึ้นพลางส่งเสียงถามในคอ พลันแสงไฟจากหลอดนีออนกลางเพดานก็ดูเหมือนมืดไปวูบหนึ่งเพราะตระการก้มลงมาบังไว้แล้วแนบริมฝีปากลงบนปากของเขา

“ต้น...”

พรพฤกษ์เรียกเมื่ออีกฝ่ายผละออกเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนเจ้าตัวจะประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง จูบคราวนี้ดูดดื่มและใช้เวลามากกว่าครั้งแรก ขณะเดียวกันมือข้างที่ว่างของตระการก็สอดเข้ามาใต้เสื้อผ้าฝ้ายและลูบผิวบนหน้าท้องของเขาไปมาจนพรพฤกษ์กำมือแน่น

ปลายลิ้นอุ่นหยอกเย้ากับปลายลิ้นของเขา บางจังหวะก็ตวัดรัด บางจังหวะก็เพียงขบเม้มบนกลีบปากก่อนจะดูดดุนอย่างแผ่วเบา และพรพฤกษ์ก็พบว่าตัวเองเริ่มอ่อนไหวไปกับสัมผัสอันปลุกเร้าที่แสนอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มระบายลมหายใจเฮือกใหญ่หลังจากยกแขนให้ตระการถอดเสื้อออก จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบาเหมือนกลัวคนอื่นได้ยินทั้งในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน

“นี่มันในห้องทำงานนะต้น...จะไม่มีใครเข้ามาเหรอ?”

พรพฤกษ์ถามเมื่อตระการก้มลงเลียติ่งเนื้อข้างหนึ่งบนแผ่นอก ความร้อนรุ่มและเขินอายทำให้โลหิตสูบฉีดจนผิวของเขาเป็นสีชมพูเรื่อไปทั้งตัวและใบหน้า แต่พรพฤกษ์ก็ไม่ได้นึกอยากห้ามให้อีกฝ่ายหยุดสิ่งที่กำลังทำ เพราะรู้ดีว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะกลับเชียงใหม่ และกว่าจะได้เจอตระการอีกครั้งอาจกินเวลานานเป็นเดือน

ร่างสูงใหญ่ชะลอมือที่กำลังปลดเข็มขัดให้เขาแล้วเงยหน้าขึ้น “ห้องทำงานของต้นไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอก แถมนี่ก็เลิกงานแล้วด้วย...อีกอย่างไผ่ไม่ชอบบ้านของต้นไม่ใช่เหรอ?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์ได้แต่กะพริบตา จากนั้นก็เพียงทอดสายตามองตระการที่ก้มลงจูบท้องของเขาแล้วดึงกางเกงยีนส์ลงจนพ้นขาอย่างเงียบๆ

รู้ด้วยหรือว่าเขาไม่ชอบบ้านหลังนั้น...ทั้งที่เขายังไม่เคยพูดให้ฟังสักคำ...

หลังจากถอดเสื้อผ้าให้หมดทุกชิ้นแล้ว ร่างสูงก็ช้อนตัวพรพฤกษ์ขึ้นอุ้มแล้วพาไปวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ตรงด้านหนึ่งของห้อง จากนั้นตระการก็เดินไปกดปุ่มที่อยู่มุมหนึ่งของผนัง มู่ลี่ไฟฟ้าค่อยๆ ลดตัวลงมาจากช่องด้านบนและบดบังทัศนียภาพภายนอกที่เห็นได้ผ่านกระจกจนมิด เมื่อตระการเดินกลับมาที่โซฟาอีกครั้งโดยที่คลายเน็คไทและปลดกระดุมเสื้อไปด้วยก็เห็นว่าพรพฤกษ์ชันตัวขึ้นบนศอกแล้วมองเขาอย่างมีคำถาม ชายหนุ่มจึงยิ้มขณะดึงเสื้อลงให้พ้นไหล่

“ต้นไม่อยากให้คนในตึกอื่นมองเข้ามาเห็นพวกเราน่ะ แต่ถ้าไผ่ไม่สนใจจะให้เปิดมู่ลี่เหมือนเดิมก็ได้นะ”

“ทะลึ่ง...ปิดไว้อย่างนั้นแหละดีแล้ว”

พรพฤกษ์ตอบด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งหมั่นไส้ ชายหนุ่มวางมือทาบลงบนไหล่กว้างที่เปลือยเปล่าเมื่ออีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนโซฟาและก้มลงจูบเขา ความคิดหนึ่งที่วาบเข้ามาในหัวทำให้เขาพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมอีกฝ่ายไว้เมื่อตระการเอนลงนอนข้างๆ นัยน์ตาสีนิลมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กะพริบตามองเขาอย่างงุนงงแล้วก็หลุบตาลง โหนกแก้มทั้งสองข้างเป็นสีแดงก่ำขณะที่เลื่อนมือลงปลดเข็มขัดให้ตระการเหมือนที่อีกฝ่ายเพิ่งทำให้เขา

“ไหนๆ ก็อีกตั้งพักใหญ่กว่าจะได้เจอกันนี่นา แต่ถ้าต้นไม่ชอบเดี๋ยวไม่อยู่ข้างบนให้ก็ได้”

พรพฤกษ์ได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะ จากนั้นตระการก็ดันตัวขึ้นนั่งแล้วกดจมูกลงบนแก้มเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ร่างสูงใหญ่กระซิบข้างหูพรพฤกษ์ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำที่ทำให้คนฟังตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้

“ไม่เป็นไร คืนนี้ต้นให้ไผ่นำก็ได้ อยากทำอะไรกับต้นก็แล้วแต่ไผ่ชอบเลย”


++------++


พรพฤกษ์จำไม่ได้ว่าคืนนั้นพวกเขาแสดงความรักที่มีต่อกันไปกี่ครั้ง

ชายหนุ่มจำได้เพียงว่าทั้งเขาและตระการแทบจะไม่ได้ผละร่างกายออกจากกัน มีบางครั้งหลังจากความรู้สึกของเขาทะยานถึงจุดสูงสุดแล้วพรพฤกษ์จะหมดสติไปเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็จะพบว่าตระการกำลังมองเขา จูบเขาหรือลูบไล้ร่างกายของเขาอยู่ และแม้จะเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่เริ่มไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เมื่อตระการยังแสดงความต้องการ พรพฤกษ์ก็ไม่ปฏิเสธและตอบสนองเท่าที่ร่างกายของเขาจะรับได้ จวบจนเขาเหนื่อยจนไม่ไหวอีกแล้วจริงๆ ตระการจึงเพียงกอดเขาไว้แล้วก็นอนหลับกันบนโซฟาไปทั้งอย่างนั้น

ตอนที่พรพฤกษ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขากำลังนอนตะแคงหันหลังให้ตระการโดยที่อีกฝ่ายนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง แขนแกร่งข้างหนึ่งโอบรอบเอวเขาไว้เหมือนจะช่วยกันไม่ให้ตกจากโซฟาเนื่องจากตระการนอนอยู่ด้านใน ส่วนลมหายใจอุ่นก็เป่ารดบนต้นคอเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อพรพฤกษ์มองไปทางกระจกหน้าต่างก็เห็นแสงสีส้มอ่อนลอดผ่านด้านล่างของมู่ลี่เข้ามา ชายหนุ่มจึงเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนังซึ่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของตระการ ทำให้เห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว

“อืม...”

เสียงในคอจากด้านหลังทำให้พรพฤกษ์รู้ว่าตระการคงตื่นแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นนั่งแล้วใช้ปลายนิ้วสางผมให้อีกฝ่าย ตระการคว้ามือข้างนั้นของเขาไว้แล้วก็ดึงไปจูบก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ

พรพฤกษ์มองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ยังมีความงัวเงียฉายอยู่แล้วก็ยิ้ม “เช้าแล้วต้น กลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวกันเถอะ จะได้ไปสนามบินต่อด้วย”

ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะทำลายความงัวเงียได้ดีกว่าสิ่งไหนๆ เพราะตระการเบิกตาโตแล้วก็ลุกขึ้นนั่งทันที เสื้อสูทที่เจ้าตัวเอาขึ้นมาคลุมพวกเขาสองคนไว้เมื่อคืนจึงเลื่อนลงไปอยู่ที่เอว

“ไผ่จะกลับวันนี้เลยเหรอ?”

ตระการถามพลางยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของเขา พรพฤกษ์จึงพยักหน้าแล้วหลุบตาลง

“ก็ไม่มีธุระให้ต้องอยู่ต่อแล้วนี่ อีกอย่างเดี๋ยวพ่อต้นก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นรีบกลับแล้วรีบไปเปิดบ้านนฤมิตรดีกว่า ปิดไปนานจนคนนึกว่าเจ๊งแล้วแน่เลย”

พรพฤกษ์เอ่ยติดตลก แต่ตระการก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง และแม้ว่าจะอยากรั้งให้พรพฤกษ์อยู่กับเขาต่ออีกนานแค่ไหน เขาก็รู้ว่ายิ่งรั้งอีกฝ่ายไว้นานไป คนที่เขารักก็มีแต่จะยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ร่างสูงใหญ่จึงดึงตัวพรพฤกษ์เข้าไปกอดแล้วจูบลงบนหน้าผากเบาๆ

“เข้าใจละ ถ้างั้นเดี๋ยวต้นพากลับบ้านก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวอาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปสนามบิน อาวีคงไม่มีปัญหาถ้าต้นลางานครึ่งเช้าวันนี้”

พรพฤกษ์พยักหน้า หลังจากทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงออกจากบริษัทซึ่งยังไม่มีใครเข้ามาทำงานด้วยกัน เมื่อกลับถึงบ้านก็ต่างคนต่างอาบน้ำเช่นเคย ยายแสนดูจะดีใจเป็นพิเศษเมื่อตระการบอกให้เตรียมอาหารเช้าให้พวกเขาทั้งคู่ แต่แล้วหัวหน้าแม่บ้านสูงวัยก็ทำหน้าเสียดายเมื่อได้รู้ว่าพรพฤกษ์กำลังจะเดินทางกลับเชียงใหม่ในวันนี้ พรพฤกษ์จึงให้คำสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้ระบุเวลาว่าจะมาเมื่อไหร่

“ป้าแสนท่าทางจะชอบไผ่นะ ดูท่าทางกับวิธีพูดของแกก็รู้”

ตระการเอ่ยขึ้นขณะขับรถไปสนามบินหลังจากทั้งสองทานอาหารกันเสร็จแล้ว พรพฤกษ์ที่กำลังมองด้านหน้ารถจึงชำเลืองมองคนพูด

“จะมาชอบได้ยังไง เพิ่งมาอยู่แค่ไม่กี่วัน แถมได้คุยกับป้าเขาจริงๆ ก็ไม่กี่คำเอง”

ตระการเอียงคอ “ป้าแกก็คงเบื่อที่วันๆ เจอแต่พ่อกับต้นล่ะมั้ง พอไผ่มาก็เลยตื่นเต้น อีกอย่างไผ่มีบุคลิกแบบที่ทำให้คนชอบง่ายอยู่แล้วนี่นา”

“หมายความว่าไงต้น?”

“ก็หมายความตามนั้นแหละ”

พรพฤกษ์หันไปมองตระการซึ่งไม่ได้หันมามองเขา รู้สึกขันกับการที่ทั้งคู่คุยกันเรื่องไร้สาระเช่นนี้ทั้งๆ ที่กำลังจะต้องจากกันชั่วคราว

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

คนที่นั่งฝั่งผู้โดยสารเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางกับขอบหน้าต่างแล้วมองไปด้านนอก แล้วก็รู้สึกว่ามืออีกข้างถูกตระการดึงไปกุมไว้

“ไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะ รู้แค่ว่าต้นรักไผ่ที่เป็นแบบนี้ก็พอแล้ว”

ตระการเอ่ยแล้วก็ยกมือเขาขึ้นจูบเบาๆ ก่อนจะกุมไว้อย่างนั้น พรพฤกษ์จึงหันกลับไปมอง และจู่ๆ ก็รู้สึกแน่นในอกขึ้นมา ภาพที่ตระการคอยขับรถพาเขาไปไหนมาไหนและคอยกุมมือเขาไว้คือสิ่งที่พรพฤกษ์เคยชินมาตลอดเวลาสี่เดือน แล้วหลังจากนี้...อีกนานเท่าไหร่เขาจึงจะได้เห็นภาพของตระการที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ เขาอีกครั้ง...

“อย่าอ้อนพี่ชายบ่อยนักสิ รู้ไม่ใช่เหรอว่ารักเหมือนกัน”

พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะเอนศีรษะลงพิงไหล่แข็งแรงไว้ ขอแค่เวลานี้เท่านั้น ขอให้เขาได้ตักตวงช่วงเวลาที่ได้อยู่กันสองคนก่อนจะต้องกลับไปอยู่ตามลำพังเช่นเดิม จนกว่าจะถึงวันที่ตระการบินไปเยี่ยมที่บ้านนฤมิตร จนกว่าจะถึงวันที่เขาพร้อมจะมาอยู่กับอีกฝ่ายที่กรุงเทพฯ ความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เขาทะนุถนอมเอาไว้ปลอบใจในวันคืนที่เหงาหงอยระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

หลังจากตระการจอดรถที่อาคารจอดและพรพฤกษ์ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว ยังมีเวลาเหลือก่อนที่พรพฤกษ์จะต้องเข้าไปที่เกท ทั้งสองจึงหาร้านกาแฟนั่งด้วยกันเพื่อฆ่าเวลา จนถึงกระทั่งเหลือเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาบอร์ดดิ้ง ตระการจึงเดินไปส่งพรพฤกษ์จนถึงจุดที่เขาไม่สามารถเข้าไปด้วยได้อีก

“ต้นจะรีบไปหาให้เร็วที่สุดนะไผ่ บางทีไม่ถึงเดือนเราก็น่าจะได้เจอกันแล้ว”

ตระการเอ่ยขณะที่พรพฤกษ์ยกสายกระเป๋าขึ้นสะพาย เนื่องจากเขาเตรียมเสื้อผ้ามาน้อยอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องโหลดอะไรเข้าใต้ท้องเครื่อง

“อืม เอาไว้ให้แน่ใจว่าเคลียร์งานเรียบร้อยจริงๆ ก่อนก็ได้ต้น จะได้ไม่ต้องคอยกังวลตอนไปหาที่โน่น”

พรพฤกษ์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มชะงักเมื่อตระการยกมือขึ้นเสยผมให้เขา ประกายลึกซึ้งในแววตาสีน้ำตาลเข้มทำให้เขานึกว่าอีกฝ่ายจะก้มลงจูบ แต่ว่าตระการก็เพียงแต่รั้งตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่นเท่านั้น

“ต้นรักไผ่นะ แล้วต้นจะรีบไปหา”

เสียงกระซิบข้างหูซึ่งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ถูกข่มไว้ทำให้พรพฤกษ์น้ำตารื้น ชายหนุ่มจึงซบหน้าลงกับบ่าของอีกฝ่ายแล้วกอดร่างสูงใหญ่แน่น เวลานี้แม้ใครจะมองมาเขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว

“อื้ม แล้วจะรอ”

หลังจากการล่ำลาจบลง พรพฤกษ์ก็เดินเข้าไปด้านใน จนก่อนจะถึงจุดที่เลี้ยวจึงหันหลังกลับไปอีกครั้งและพบว่าตระการยังคงยืนมองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงโบกมือให้ก่อนจะแข็งใจเดินต่อเข้าไปด้านใน เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายตอนอยู่กับเขาที่บ้านนฤมิตรแล้วโทรเรียกแท็กซี่มารับเพื่อไม่ให้เขาต้องไปส่งที่สนามบินขึ้นมา เพราะความรู้สึกของคนที่จะต้องเดินทางยามมองกลับไปเห็นคนที่มาส่งเป็นเช่นนี้นี่เอง

อยากวิ่งกลับไปหาจนแทบจะทำใจเดินไปขึ้นเครื่องไม่ได้...

พรพฤกษ์พยายามสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกเสียดแน่นในอกให้ทุเลาลง ใจเย็นๆ ไว้ หนึ่งก้าว...สองก้าว...สามก้าว...เห็นไหม ไม่ยากขนาดนั้นเสียหน่อย อีกอย่างก็ใช่ว่าเราจะจากกันตลอดไปเสียเมื่อไหร่ อย่างช้าที่สุด วันหยุดยาวช่วงปลายเดือนหน้าต้นก็บินมาหาแล้ว...

ถึงแม้จะบอกตัวเองแบบนั้น พรพฤกษ์ก็ยังต้องเลี้ยวเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าเพื่อกำจัดความชื้นที่เอ่ออยู่บนขอบตาออก จวบจนเขาเห็นว่าปลายจมูกเริ่มแดงน้อยลงจึงค่อยซับหน้าจนแห้งแล้วเดินต่อไปที่เกท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทางสายการบินเริ่มเปิดให้ผู้โดยสารบอร์ดดิ้งพอดี ทำให้พรพฤกษ์ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอให้เนิ่นนานออกไปอีก

เที่ยวบินในช่วงสายของวันธรรมดามีคนไม่เต็มเครื่อง และตอนที่ซื้อตั๋วนั้นพรพฤกษ์ก็ระบุขอแถวที่นั่งซึ่งไม่มีคนอื่นจองไว้ติดกัน เขาจึงได้นั่งริมหน้าต่างตามลำพังอย่างที่ต้องการ พรพฤกษ์ไม่ได้เอากระเป๋าสะพายเก็บไว้บนชั้นวางเหนือศีรษะเพราะว่าในนั้นมีรูปถ่ายของตาและรูปถ่ายของแม่ซึ่งตระการให้มาเป็นที่ระลึก พรพฤกษ์จึงคิดว่าจะกอดกระเป๋าใบนั้นไว้กับตัวตลอดการเดินทางดีกว่า

พนักงานของสายการบินเดินไปมาตามแถวทางเดินเพื่อดูความเรียบร้อยและช่วยตรวจเช็คที่นั่งให้ผู้โดยสาร พรพฤกษ์จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องปิดโทรศัพท์ โชคดีว่าเมื่อเช้าระหว่างที่อาบน้ำและทานอาหารเขาได้ชาร์จแบตโทรศัพท์เป็นเวลาสั้นๆ ดังนั้นถึงแม้จะไม่เต็มแต่ก็พอจะทำให้เขาเปิดเครื่องได้ แต่แล้วคิ้วเรียวก็มุ่นเล็กน้อยเมื่อพบว่ามีข้อความเข้ามาในเครื่องจากหมายเลขของตระการ

ส่งมาเมื่อประมาณสิบห้านาทีก่อน ก็หลังจากที่แยกกันได้ไม่นาน...

พรพฤกษ์เช็คเวลาที่อีกฝ่ายส่งข้อความมา จากนั้นก็เปิดข้อความขึ้นอ่าน และสิ่งที่ได้อ่านก็ทำเอาเขาต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อป้องกันเสียงสะอื้นที่อาจจะหลุดออกไป

‘ต้นจะนับรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป’

ดูเหมือนแม้เขาจะอุดเสียงได้ แต่ว่าไม่สามารถปกปิดน้ำตาที่ไหลลงจากสองตาได้ พนักงานบนสายการบินคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นจึงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?”

“อ้ะ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

“งั้นเดี๋ยวไปเอากระดาษทิชชู่มาให้นะคะ แล้วก็ขอรบกวนปิดเครื่องมือสื่อสารด้วย เดี๋ยวเครื่องจะเทคออฟแล้วค่ะ”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็กล่าวขอบคุณพนักงานคนเดิมที่นำกระดาษทิชชู่มาให้และรับมาซับหยาดน้ำบนหน้า นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองข้อความบนหน้าจออีกครั้งก่อนจะกดปิดเครื่อง แต่สิ่งที่ได้อ่านก็ซึมซับเข้าไปในใจของเขาเรียบร้อย

ขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องรอ

ขอโทษด้วยที่เอาแต่ใจ

อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก แต่ไผ่ก็จะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเหมือนกันนะต้น...


++---tbc---++


สำหรับตอนหน้า ถ้าไม่ผิดพลาดน่าจะเป็นตอนจบค่า  :t3:

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณนะ writer
+1
.................
... :mc4:  Happy New Year 2011... :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2011 13:45:09 โดย Little Devil »

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีปีใหม่คุณริน
วันจันทร์แล้วนะ
คิดถึงต้นกะไผ่
รออยู่จ้ะ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ถ้าจะสวัสดีปีใหม่คุณรินในวันนี้คงยังไม่สายไปนะคะ
ขอให้คุณรินมีความสุขมากๆ คิดสิ่งใดขอให้ได้ดังประสงค์
และมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดไปนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับ ต้น-ไผ่ ในตอนหวานๆวันนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด