ตอนที่ ๓๖
เมฆดำที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอนกินข้าวเย็นไปสักครู่ เริ่มกลายเป็นละอองฝน จากนั้นก็กลายเป็นเม็ดฝน และกลายเป็นพายุฝนในที่สุด โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดตก ถึงแม้จะเริ่มเบาบางลงบ้างแล้ว แต่ก็เริ่มตกหนักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ติ๊กจึงตัดสินใจค้างคืนที่ห้องพักของน้ำหยด และโทรศัพท์บอกทางบ้านว่าติดฝนอยู่กับเพื่อนๆ ที่ขับรถออกมาเที่ยวกันถึงเมืองชายทะเลแห่งนี้ และจะกลับบ้านในตอนสายของวันพรุ่งนี้
หลังจากอาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของน้ำหยดแล้ว ก็มานอนอ่านหนังสือเล่นบนเตียง บางทีก็เหลือบสายตามองน้ำหยดที่ ใส่ชุดนอนผ้าแพรสีส้ม นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง สักพักก็คว้าหมอนไปนอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้ๆน้ำหยด
“นี่ไอ้น้ำ แล้วตกลงว่าอีกคนนึงนี่ใครวะ” ติ๊กส่งเสียงเหมือนกระซิบถาม
“จิ้งจกที่ไหนมาร้องอยู่แถวนี้” น้ำหยดทำเป็นไม่สนใจ
ติ๊กรู้สึกหมั่นไส้ หยิบหมอนที่รองนอนอยู่เขวี้ยงใส่น้ำหยด ซึ่งรับเอาไว้แล้วเอาไปกอด พลางทำงานต่อ ติ๊กทำปากขมุบขมิบ หยิบหมอนอีกใบมารองนอนแทน
“ทำไมบอกไม่ได้วะ นายอย่าบอกนะว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“อื้อ” น้ำหยดยังคงไม่เงยหน้าจากงานที่ทำอยู่
“เฮ๊ย! ถามซีเรียส อย่ามาตอบเล่นๆแบบนี้สิวะ”
“เราก็ตอบซีเรียส”
“บ้าน่า ไม่รู้ได้ยังไงวะ นายจะบ้าเหรอ นอนกับใครยังไม่รู้”
“คงบ้าจริงๆอย่างที่นายว่า นอกจากไม่รู้แล้ว ยังหลงรักอีกด้วย” น้ำหยดวางปากกาแล้วถอนใจ
ติ๊กเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ จ้องมองน้ำหยดนิ่ง
“หลงรัก” ติ๊กทวนคำช้าๆ “โอ๊ย! กูจะบ้า ไอ้น้ำหยด ทำไปได้ยังไงวะ แล้วหน้าตาเป็นไง สงสัยไอ้คนชื่อหมูแพ้กระจุย”
“ไม่รู้ ... ยังไม่เคยเห็นหน้า” น้ำหยดหันมายิ้มเศร้าๆให้ติ๊ก “นายว่าน่าสมเพชมะ หลงรักคนที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อ ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้า แล้วก็ยังยอมนอนกับผู้ชายอีกคนนึง”
“อะไรของนายวะ แล้วไปหลงรักเค้าได้ไง” ติ๊กมองด้วยสายตาคาดคั้น “นายเล่ามาเดี๋ยวนี้”
“...” น้ำหยดมองหน้าตั๊ก เหมือนลังเล
“น้ำหยด นายไม่ไว้ใจเราเหรอไง” ติ๊กยังคงมองด้วยสายตาเช่นเดิม “เราสัญญาเลย เราไม่ไปพูดให้ใครฟัง” ติ๊กชูนิ้วมือขึ้นมา๓นิ้วไว้ข้างตัว เหมือนลูกเสือทำเวลาปฏิญาณตน
น้ำหยดถอนหายใจยาว แล้วก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ติ๊กฟัง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ คิ้วของติ๊กเริ่มขมวดมุ่นมาตั้งแต่แรก และเหมือนจะยิ่งมากขึ้นเมื่อน้ำหยดเล่าจบลง
“มันแปลกๆนะ นายว่านายลอคห้องเรียบร้อย” ติ๊กตั้งข้อสังเกต
“อื้อ” น้ำหยดพยักหน้ารับ
“แล้วมันเข้ามาทางไหน ถ้าทางหน้าต่าง” ติ๊กมองหน้าต่างทั้ง๔บาน ซึ่งมีบานเกล็ดดอยู่๓บาน อีกบานหนึ่งมีบานเกล็ดอยู่เพียงครึ่งบาน ทุกบานมีหน้าต่างมุ้งลวดปิดอยู่อีกทีหนึ่ง “มันก็ต้องมีเสียงดัง”
“เราคิดว่าอาจจะมีกุญแจห้อง แต่มันก็ไม่น่าจะมีได้ เพราะอีก๒ดอกที่เหลือ อยู่ที่อาจารย์หอ แล้วลูกกุญแจนี่มันเป็นแบบพิเศษ ปัมป์ตามร้านไม่ได้”
“ปรกตินายไม่ใช่คนนอนขี้เซานี่หว่า แต่นายบอกว่าพอรู้ตัว ฝ่ายนั้นก็เข้าถึงตัวแล้ว”
“อื้อ”
“แล้วพอเช้าขึ้นมา ก็ไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย”
“อื้อ”
“น่าแปลกหว่ะ” แล้วอยู่ๆ ตั๊กก็ทำตาโต “หรือว่า ....”
ก๊อกๆๆ ...
“น้ำ ... น้ำเปิดประตูหน่อยสิ” เสียงที่คุ้นเคยเรียกอยู่หน้าห้อง
“หมู” น้ำหยดบอกกับติ๊ก แล้วลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดประตูห้อง
หมูยืนอยู่หน้าประตู ตัวเปียกโชก คงจะฝ่าฝนมาจากที่ไหนสักแห่ง พอเห็นน้ำหยดก็ทำท่าอึกอัก แต่เมื่อน้ำหยดเห็นสภาพของหมูก็ปิดประตูลง ทำเอาหมูงงจนทำอะไรไม่ถูก แล้วสักพักประตูก็เปิดออก พร้อมกับน้ำหยดที่มีผ้าขนหนูอยู่ในมือ น้ำหยดปิดประตูมุ้งลวดไว้แล้วขยับเข้าไปใกล้ๆหมู
“ทำอะไรมา เป็นลูกหมาตกน้ำมาเชียว” น้ำหยดพูดพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้หมู ทำเอาหมูนิ่งไป
“น้ำ”
“หือ มีไรเดี๋ยวค่อยคุยก็ได้ ตอนนี้รีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวได้ไม่สบายต้องไปหาหมออีกหรอก”
“เราเห็นรถคนที่ชื่อตั๊กจอดอยู่ข้างหอ นายนั่นอยู่ข้างในเหรอ” หมูถามด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
ยังไม่ทันที่น้ำหยดจะตอบอะไร ประตูมุ้งลวดก็ถูกเปิดขึ้น หมูมองเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคมสันเดินออกมา
“รถเราเอง เราชื่อติ๊ก นี่เหรอนายหมูที่นายว่าน่ะ” ประโยคหลังติ๊กหันไปพูดกับน้ำหยด
หมูมองหน้าติ๊ก แล้วหันไปมองหน้าน้ำหยด สีหน้าเหมือนมีคำถาม
“ไปอาบน้ำก่อน มีอะไรเดี๋ยวค่อยถาม” น้ำหยดพูดพลางเลื่อนผ้าเช็ดตัว เช็ดไปตามแขนของหมู แต่หมูก็ยังไม่ยอมขยับ ทำเอาติ๊กหัวเราะเบาๆ พลางคิดว่า น้ำหยดยังคงเป็นน้ำหยดคนเดิม หากมีเพื่อนคนใดเปียกปอนมาเคาะประตูห้องแบบนี้ น้ำหยดก็คงทำแบบนี้เหมือนๆกัน
“สงสัยน้ำต้องพาไปอาบด้วยตัวเองซะแล้วหล่ะ ไปเหอะเดี๋ยวเราเฝ้าห้องให้” พูดจบติ๊กก็เดินกลับเข้าห้องและปิดประตูลง
... นี่เหรอวะคนที่ชื่อหมู รูปร่างหน้าตาดีแบบนี้ ดูแล้วก็เหมาะกับน้ำหยดอยู่หรอก ... ติ๊กคิดพลางอมยิ้ม
“แต่อีกคนนี่สิน่าสงสัย” ติ๊กพึมพัมเบาๆ ขมวดคิ้วมองไปรอบๆห้อง มือลูบคลำไปที่องค์พระที่ร้อยอยู่กับสร้อยทองคำ ภายในเสื้อ แล้วก็ยักไหล่ ล้มตัวนอนลงบนตียง หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาเปิดอ่านระหว่างรอคอย