ตอนที่ ๕๒
“ติ๊ก” เสียงเรียกมาจากชายกลางคนหน้าตาอิ่มเอิบสดใส ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์
“ครับ” ติ๊กที่เพิ่งกลับถึงบ้านในเวลาเกือบสามทุ่ม เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ
“สร้อยพระอยู่กับตัวรึเปล่าลูก” คนถามยิ้มน้อยๆในหน้า แววตาบ่งบอกถึงความรักแกมเอ็นดูลูกชายคนเล็กไม่น้อย
“เอ้อ...” ติ๊กอึกอัก
“เอาไปให้ใครใส่ไว้หรือเปล่า” เสียงถามช้าๆอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับรอยยิ้ม ทำให้ติ๊กใจชื้นขึ้น
“อยู่กับน้ำหยดน่ะครับ พ่อจำน้ำได้มั๊ยครับ” ผู้เป็นพ่อพยักหน้าน้อยๆ “ผมให้น้ำหยดใส่ไว้ เดี๋ยวพอปิดเทอม ก็เอามาคืน”
“อ้อ ... จะว่าไปพ่อไม่เห็นน้ำหยดมาเที่ยวบ้านเรานานแล้วนะ” น้ำเสียงบ่งบอกความคิดถึงอยู่ไม่น้อย “ความห่วงใยเพื่อนน่ะเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งการทำอะไรลงไป ที่เราคิดว่าเป็นการปกป้อง อาจเป็นสิ่งทำร้ายเขา หรือคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้” เสียงพูดเนิบๆช้าๆ เหมือนจะให้ผู้ฟังได้เก็บรายละเอียดของคำพูดให้ได้ทุกคำ
“เรื่องนี้ผมก็พอเข้าใจครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับสร้อยพระของผมตรงไหน” ติ๊กถามด้วยความข้องใจ
“เอาเป็นว่ารีบไปเอาสร้อยพระคืนมาก็แล้วกันนะลูก ช่วงเสาร์อาทิตย์นี้เลยยิ่งดี เพื่อนของลูกคนนี้น่ะ ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ของศักดิ์สิทธิ์ไว้ป้องกันตัวจากอะไรหรอก โดยเฉพาะช่วงนี้ อีกอย่างเพื่อนคนนึ้น่ะอย่าทำอะไรให้เสียเพื่อน เพราะลูกเองนั่นแหละที่จะต้องเสียใจมากที่สุด เขาเองก็ปกป้องเรามาไม่น้อยจากเรื่องที่ลูกคิดไม่ถึงเหมือนกัน”
นั่นเป็นบทสนทนาระหว่างติ๊กกับพ่อเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ไม่มีการอธิบายใดๆเพิ่มเติม จากพ่อผู้ถือศีลและปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ติ๊กซึ่งมักจะไปวัดกับพ่อและแม่เป็นประจำผิดกับพี่ชาย จึงพอจะเข้าใจอะไรได้อย่างเลือนลาง และการที่พ่อของเขาบอกย้ำต่อมาอีกหลายครั้ง ทำให้เขาตระหนักว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ดังนั้นเมื่อสอบเสร็จในเวลาเที่ยงของวันศุกร์ และกินอาหารกลางวันกับเพื่อนๆเสร็จแล้ว เขาจึงขับรถมุ่งตรงมาหาน้ำหยดทันที
“ตกลงมีอะไรถึงได้มาหาถึงนี่” น้ำหยดถามขึ้นหลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว และเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ปลายเตียง
“อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะไอ้น้ำ ... มาเอาสร้อยคอน่ะ” ติ๊กที่นอนคว่ำเอาหมอนหนุนอกไว้บอกด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ดูทำหน้าเข้า ยังกับถูกจับได้ว่ามีเมียซ่อนไว้ แล้วโดนเมียหลวงจับได้” น้ำหยดพูดพลางถอดสร้อยทองคำบนลำคอ ส่งให้ติ๊กที่ยื่นมือมารับ “ที่บ้านว่าเอาหรือไง”
ติ๊กลุขึ้นนั่ง จบสร้อยพระไว้เหนือหัวก่อนจะสวมลงไปบนลำคอของตัวเอง
“พ่อเราน่ะสิ ไม่รู้ว่ารู้ได้ไง ที่จริงก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่บอกให้รีบมาเอาคืนจะดีกว่า เพราะนายไม่จำเป็นต้องสวมพระ”
น้ำหยดขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนที่จะถามอะไรออกไป ติ๊กก็พูดต่อ
“เมื่อกี้เผลอหลับไปตั้งนาน หิวหว่ะ” พูดแล้วก็โยนหมอนไปที่หัวเตียง แล้วลุกจากเตียง ยืนบิดขึ้เกียจไปมา “ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“กินเหรอ เราเพิ่งกินขนมมากับเพื่อนๆเอง แล้วเดี๋ยวก็จะมื้อเย็นอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะกินอีกเหรอ”
“สบายมาก เมื่อตอนกลางวันกินมานิดเดียวเอง เอางี้ไปหาขนมเบาๆกินก่อน แล้วไปเดินเล่นที่ห้างในเมืองกัน เดี๋ยวหามื้อเย็นกินกันแถวนั้น ดีป่ะ” ติ๊กพูดยิ้มๆ “อ้อ ชวนไอ้หมูมันไปด้วยดีมะ”
“อื้อ ตามใจนาย”
น้ำหยดตอบพลางยิ้มน้อยๆ แต่ติ๊กกลับคิดว่าดวงตาของน้ำหยดไม่ได้ยิ้มไปด้วย เหมือนมีแววกังวลอย่างไรพิกล
ก๊อกๆๆ
“ครับ” เอกที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่ หันตัวไปเปิดประตู “อ้าว น้ำมาหาไอ้หมูมันเหรอ”
น้ำหยดพยักหน้า มองข้ามไหล่เอกไปยังคนที่นั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้
“สวัสดีครับ ผมติ๊กเพื่อนไอ้น้ำ” ติ๊กแนะนำตัวทักทายกับเอก ที่เดินไปหยิบเสื้อยืดที่พาดไว้บนพนักเก้าอี้ขึ้นมาใส่
“ดีครับ ไอ้หมู” เอกตอบแล้วหันไปทางหมู “เป็นไรวะ น้ำมาหาเอาแต่นั่งงอนอยู่ได้ มันอารมณ์ไม่ดีมาหลายวันแล้ว” ประโยคหลังหันไปพูดกับน้ำหยด ที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับติ๊ก “คุยกันดีๆล่ะ พี่ขอตัวก่อน ไปออกกำลังหน่อย”
เอกพูดกลั้วหัวเราะ พลางเดินไปหยิบถุงเท้าในตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบรองเท้าผ้าใบจากชั้นวางของ เดินออกจากห้องไป
“หมู” น้ำหยดเรียกพลางเดินเข้าไปยืนข้างๆเก้าอี้ที่หมูนั่งอยู่ ส่วนติ๊กเดินไปนั่งลงบนเตียง “ติ๊กชวนเข้าเมืองไปเดินเล่นแล้วกินข้าวเย็นแน่ะ ไปด้วยกันมั๊ย”
“เรานัดกินข้าวเย็นกับเพื่อนไว้แล้ว” หมูตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้งจนน้ำหยดแปลกใจ
“ไม่สบายอะไรรึเปล่าอะ หน้าตาไม่ดีเลย” น้ำหยดถามด้วยความห่วงใย
“เราว่านายเลิกเสแสร้ง ทำท่าเป็นคนดีได้แล้ว” หมูพูดพลางลุกขึ้นยืนจ้องหน้าน้ำหยด
“เสแสร้งอะไร” น้ำหยดพูดด้วยความงุนงง
“เราคนเดียวไม่พอเหรอไง ถึงได้มั่วกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว” หมูโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “พวกที่ชอบไปหาบ่อยๆนั่นน่ะถึงไหนกันแล้วล่ะ เห็นถึงเนื้อถึงตัว จับแก้มบีบจมูก โอบคอโอบไหล่”
“นายพูดอะไรน่ะ พวกนั้นเพื่อนเรานะ” น้ำหยดเสียงสั่น เพราะความตกใจระคนความโกรธ “แล้วพวกนั้นก็แกล้งเราแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช้เพิ่งมาเป็นแบบนี้ซะที่ไหนกัน”
“จริงเหรอ” หมูหัวเราะในลำคอ “แค่เพื่อนจริงๆเหรอ ... แล้วเนี่ย แน่ใจนะว่าแค่เพื่อน” หมูหันไปมองที่ติ๊ก แล้วกลับมามองหน้าน้ำหยดที่ซีดลงไปถนัดตา “คิดถึงกันมากจนรอให้ปิดเทอมไม่ไหว ต้องรีบมาหากันตอนกำลังสอบเลยใช่มั๊ย”