แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8  (อ่าน 50456 ครั้ง)

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2018 09:07:34 โดย p-n-t »

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
Re: ลำนำกาล
«ตอบ #1 เมื่อ26-09-2017 08:41:42 »

สวัสดีค่า P-N-T เป็นนามปากกาเดียวกับ "เจี่ยเจีย" เองค่า

ตอนนี้มี IP เป็นของตัวเองแล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

นิยายที่เขียนจบไปแล้วคือ "มังกรกานต์" เป็นนิยายแนวแฟนตาซี ฟีลกู้ดค่า สนใจตามลิงค์ไปอ่านได้เลยค่ะ


ตอนนี้มีนิยายเรื่องใหม่ที่อยู่ในระหว่างการแต่งมาให้ลองอ่านดูค่ะ เผื่อใครจะชอบแนวนี้

คือเรื่อง "ลำนำกาล" ฝากน้อง "กาล" ไว้พิจารณาด้วยนะคะ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@




บทนำ



   “สวัสดีครับหลวงตา”

   ภิกษุชราวางถ้วยน้ำชาลงก่อนหันไปตามเสียงทักทาย ทันเห็นอากัปกิริยาคลานเข่าปราดๆ มานั่งพนมมือพับเพียบแต้อยู่ตรงหน้า

   “อ้อ เจ้ากาล กลับมาแล้วเรอะ”

   “หลวงตาจ๋า วันนี้มีอะไรเหลือๆให้หนูกินบ้างไหมจ๊ะ หนูหิ๊ว หิว” ปากก็พูด มือก็บีบนวดประจบเอาใจหลวงตาผู้ชุบเลี้ยงเด็กกำพร้านามว่า เวลา  เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล มาตั้งแต่เป็นทารกแบเบาะ

   “อุบ๊ะ!! เจ้านี่ มาถึงก็ถามหาของกินก่อนเลยนะเอ็ง”

   มือเหี่ยวย่นเลื่อนถาดใส่ขนมนมเนยที่มีญาติโยมนำมาถวายใส่บาตรตั้งแต่ช่วงเช้าไปเบื้องหน้าเด็กในอุปการะที่รักดุจลูกในอุทร สังขารอาจร่วงโรยไปตามวัยแต่ดวงตายังใสกระจ่างแจ่มชัดพินิจดูบุคคลตรงหน้าอย่างครุ่นคิด

   “กาลเอ๊ย ปีนี้เอ็งอายุเท่าไหร่แล้วนะ”

   ปากที่เคี้ยวตุ้ยๆ รีบกลืนขนมลงคอก่อนตอบเสียงใส

    “ปีนี้หนู 18 แล้วจ้ะหลวงตา เดี๋ยวพอสอบเสร็จ หนูก็จบ ม.6 ทีนี้หนูจะออกหางานทำ เอาเงินมาซื้อฟันปลอมชุดใหม่ให้หลวงตาดีมั้ยจ๊ะ”

   เพี๊ยะ! เสียงฟาดไม่แรงไม่เบาลงบนโคนขาเรียกเสียงครางโอดโอยจากคนช่างยั่วได้ทันที

   “เฮ้ออ โตแล้วนะเอ็งน่ะ พูดจาอะไรเป็นเล่นไปเสียหมด ถ้าไม่มีข้าคอยให้ท้ายเอ็งอยู่ แล้วต่อไปเอ็งจะทำยังไง”

   มือเหี่ยวย่นที่เอื้อมมาลูบหัวแผ่วๆ อดที่จะสั่นน้อยๆ ไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมา ทะเลาะกันบ้าง ตบตีกันบ้างไปตามประสา เลี้ยงมาตั้งกะตีนเท่าฝาหอยจนตอนนี้หะ...หู ใหญ่กว่าเดิมตั้งเยอะ ไอ้ความผูกพันนี่มันเหนียวจริง แต่ยังไงก็ต้องตัดใจให้ขาด

   “เอ็งอยากกินมะยมแช่อิ่มไหมเจ้ากาล” พูดพลางเลื่อนจานใส่มะยมแช่อิ่มที่เรียงรายไว้หลายไม้ส่งให้

   “อ๊ะๆ วันนี้หลวงตามาแปลก ปกติห้ามนักห้ามหนาไม่ให้หนูกินอะไรที่มีเมล็ด นึกยังไงวันนี้ชวนหนูกินได้จ๊ะ”

   พูดจบก็คว้ามาไม้นึงกัดรูดกินอย่างสมใจ วันนี้แหละไอ้กาลจะสวาปามให้ชุ่มปอดเลยคอยดู อยากมานนานแล้ว ขณะที่แทะกินอย่างเพลิดเพลินก็พลันสบเข้ากับดวงตาที่มองมาอย่างห่วงหา ใจของเวลากระตุกวูบกำลังจะเอ่ยปากถาม เม็ดมะยมเจ้ากรรมก็ลื่นไถลลงหลอดลมจนสำลักกระอักกระไอจนหน้าแดง

   หลวงตาเอ่ยเสียงสั่นหากแต่ยังคงความสุขุมเต็มเปี่ยม

   “ไปอยู่ทางโน้นก็ดูแลตัวเองดีๆ เอ็งน่ะมันทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องไปซะหมดมีดีแค่ปากที่ช่างจำนรรจานี่ล่ะ บุญรักษานะเอ็ง ขอให้ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าจงประสบแต่ความสำเร็จมีแต่คนรักใคร่นะลูก”

   หายใจไม่ออก กาลสำลักไอไปก็งุนงงไป ทำไมหลวงตานั่งมองไม่ช่วยเหลือเขา พูดสั่งเสียอะไรยืดยาวเขาฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ตอนนี้ทรมานจะแย่แล้ว ไอจนเจ็บคอ เจ็บหน้าอกไปหมด ก่อนสำนึกสุดท้ายจะสิ้นไปก็รู้สึกถึงมืออุ่นๆ ที่ลูบหัวชวนให้รู้สึกสบายพร้อมถ้อยคำกระซิบ

   “หลวงตารักเอ็งนะกาล”


:L2: :L2: :pig2: :L2: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2017 08:46:21 โดย p-n-t »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ลำนำกาล
«ตอบ #2 เมื่อ26-09-2017 09:10:28 »

มาจากมิติอื่นหรือเปล่า

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: ลำนำกาล
«ตอบ #3 เมื่อ26-09-2017 10:05:08 »

หลวงตาก็คงรู้สินะคะ  :mew6:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ลำนำกาล
«ตอบ #4 เมื่อ26-09-2017 11:55:17 »

ยังไงๆมาลงชื่อติดตาม

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: >>>ลำนำกาล<<< บทนำ (26/09/2560)
«ตอบ #5 เมื่อ26-09-2017 18:37:15 »

ตามอ่านจ้า

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล


   กลิ่นยาไทยคลุ้งตลบอบอวลเต็มห้อง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบไต่ถามถึงร่างที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนที่นอน รูปร่างที่แบบบางอยู่แล้วยิ่งแทบจมลึกลงไปบนฟูก ใบหน้าซีดขาวหลับตาพริ้มเหมือนคนนอนหลับไปเสียเฉยๆ หากเป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ไม่ยอมตื่น หัวอกคนเป็นแม่ปิ่มว่าจะขาดใจ  มือหนึ่งจับมือบุตรชายโทนคนเดียวไว้มั่น อีกมือก็คอยยกชายผ้าแถบซับบริเวณหัวตาป้อยๆ ป้องกันมิให้หยาดน้ำตาตกต้องผิวหน้าบุตรชายด้วยเกรงจะเป็นลางร้ายเสีย

   “ลูกต้องไม่เป็นไรนะแม่นะ อย่าเพิ่งวิตกตีตนไปก่อนไข้ ทั้งหมอไทยหมอฝรั่งต่างก็คิดเห็นตรงกันว่าเจ้ากาลเพียงอ่อนเพลียไปเท่านั้น อีกกะเดี๋ยวก็คงฟื้นคืนสติ”

   “ใครมันแอบเอามะยมแช่อิ่มให้ลูกข้ากิน หาตัวพบหรือไม่ ข้าจะลงหวายมันเสียให้หลังขาด ท่านเจ้าประคุณที่วัดใหญ่สั่งไว้เสียเป็นหนักหนา ห้ามมิให้ลูกข้าได้รับทานสิ่งของอันมีเมล็ด แล้วอ้ายอีคนใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งข้า!!!”

   บ่าวไพร่ที่นั่งตัวสั่นงันงกได้แต่ก้มหน้าคางชิดจรดอกมิกล้าเงยสบตาผู้เป็นนาย มีเพียงนางปริกบ่าวต้นห้องของคุณหนูกาลที่กล้าเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก

   “เป็นคุณหนูหักหาญจะเอาให้ได้อย่างใจเจ้าค่ะ บ่าวห้ามแล้วห้ามอีก แต่คุณหนูเธอกลับทุบตีบ่าวแล้วขืนแย่งไปจนได้ เพียงคำเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ คุณหนูก็สำลักหน้าแดงแล้วลมตึงลงแน่นิ่งไปเจ้าค่ะ” ท้ายเสียงกระอืดๆน้ำตาเข้าน้ำตาออกอยู่เป็นพักกว่าจะจบเนื้อความ

   ได้ยินความดังนั้น คุณมารตี เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล ก็ส่ายหน้า ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าบุตรหัวแก้วหัวแหวนของตนนั้นดื้อรั้นเพียงใด อารมณ์หรือก็ร้ายเป็นที่หนึ่ง ไม่ได้ดั่งใจอะไรก็ตรงเข้าทุบตี  ดูร่องรอยฟกช้ำบนตัวนางปริกก็พอจะเดาเรื่องได้  ก็กว่าจะได้ลูกคนนี้มา เธอกับสามีเที่ยวได้บนบานศาลกล่าวไปทั่วกว่าจะมีลูกกับเขาสักคนก็ช่างยากเย็น มิหนำซ้ำพอเกิดมาร่างกายก็อ่อนแอขี้โรคเสียอย่างนั้น เธอจึงทั้งรักทั้งตามใจ  มีอะไรก็ทูนหัวทูลเกล้าให้เสียทุกอย่าง ตาหนูจึงออกจะเป็นเด็กเอาแต่ใจไปอยู่บ้าง หากความเอาแต่ใจในหนนี้ช่างชวนให้หวาดวิตกนัก ด้วยคาบเกี่ยวพัวพันกับชีวิตน้อยๆ ของเจ้าตัวเสียนี่ ฟื้นขึ้นมาล่ะแม่จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียวเจ้า

   “น้องก็อย่าพึ่งไปคาดคั้นหาความอันใดกับพวกบ่าวไพร่มันเลย เอาเวลาไปจัดเตรียมสั่งพวกในโรงครัวให้ดูแลเตรียมหุงหาข้าวปลาไว้ให้ถึงพร้อมจักเป็นการดีเสียกว่า เพลาที่เจ้ากาลฟื้นคืนสติมา จักได้จัดสำรับให้ลูกมันได้”

   เศรษฐีอำนาจ เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเอ่ยปากเบี่ยงเบนความสนใจของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ไอ้ความโศกเศร้านั้นตัวเขาก็มีแน่ หากความที่เป็นเสาหลักของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลแห่งนี้ ทำให้เขาต้องยืนหยัดฝืนข่มความหม่นหมองกลืนลงท้องไป นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งพระคุณเจ้าที่วัดใหญ่พร่ำเตือนว่าอย่าให้เจ้ากาลได้รับอันใดที่มีเมล็ดก่อนอายุ ๑๘ เป็นเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ วันนี้เป็นวันที่บุตรชายของตนจะมีอายุครบกำหนดพอดี เหตุก็ดันมาเกิดล่วงหน้าเพียงสามวัน ลูกพ่อเอ๋ย...ทำไมจึงดื้อรั้นจนได้เรื่องเยี่ยงนี้

   คุณมารตียกชายผ้าแถบขึ้นซับน้ำตาตรงบริเวณหัวตาอีกครั้ง ขยับกายเตรียมสั่งการบ่าวไพร่ในเรือนครัว หากแรงกระตุกในอุ้งมือทำให้หยุดชะงัก เหลียวมองใบหน้าลูกรักบนฟูกก็เห็นเปลือกตาขยับไหวก่อนที่แพขนตางอนยาวจะสั่นระริกขยับลืมตามองด้วยความงุนงง

   “ลูกกาลฟื้นแล้ว คุณพี่เจ้าคะ ลูกฟื้นแล้ว”

   น้ำตาไม่รู้จากที่ไหนไหลทะลักลงนองหน้าคุณมารตีพรากๆ หากริมฝีปากกลับยิ้มกว้างอย่างสมใจ ทางนึงลูบหัวลูบหูบุตรชายอย่างทะนุถนอม ทางนึงก็ตะโกนเรียกสามีเสียงหลง

   “เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บปวดตรงที่ใดบอกแม่เถิด แม่จักเร่งให้หมอเข้ามาดูอาการ”

   กาลกระพริบตาปริบรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนบริเวณศีรษะและรู้สึกได้ถึงความรักความเอาใจใส่ที่ทุกคนในห้องนี้มีให้กับเขา เพียงแต่...ที่นี่มันที่ไหนกันวะ!!

   ผู้คนรอบข้างล้วนแต่งกายประหลาด ผู้หญิงมีทั้งนุ่งซิ่น นุ่งโจง ไว้ผมปีกก็มี ทรงดอกกระทุ่มก็มา ผู้ชายไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอแล้วตลบไปห้อยชายไว้ด้านหลัง แม่เจ้า!! ดูจากสภาพแล้วยุคเดียวกะพี่ขุนไกร น้องดาวเรืองชัดๆ หลวงตาจ๋า ที่นี่ที่หนายยย

   “เป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะฮึเจ้ากาล เอ้อ..ไอ้ลูกคนนี้นอนหลับไปสามวันตื่นขึ้นมาก็ไม่พูดไม่จา จ้องมองคนนู้นทีคนนี้ทีตาปริบๆ ตอบคำถามให้แม่เอ็งเขาชื่นใจหน่อยสิเล่า เขานั่งเฝ้าเอ็งมาสามวันกับอีกสองคืนไม่เป็นอันกินอันนอนแล้ว”

   “แหม คุณพี่ก็ช่างเย้านัก ตัวคุณพี่เองก็เร่งหามดหาหมอพามารักษาลูก เดินเข้าเดินออกเรือนเสียจนธรณีประตูแทบสึก  ใครกันเล่าที่รับสำรับได้เท่ากับแมวดม ถ้าอิฉันไม่คอยคะยั้นคะยอ ป่านนี้คงมีคนล้มหมอนนอนเสื่อเพิ่มมาเสียอีกคนก็มิรู้”

   สองคนผัวเมียกระเซ้าเย้าแหย่กันไปมา   บรรยากาศชื่นมื่นที่ลูกรักฟื้นคืนกลับ แต่ไอ้คนบนเตียงนี่สิ งงเป็นไก่ตาแตก อย่าบอกนะว่าเขาย้อนอดีตกลับมาแบบในหนัง แล้วชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง แต่ก่อนจะไปนึกถึงชีวิตในอนาคต จะตอบคำถามสองคนผัวเมียนี่ยังไงดีวะ เมื่อกี๊ยังคุยเล่นกันจี๋จ๋า พอเขาเงียบนานๆ เข้าบรรยากาศในห้องก็พลันอึดอัดขึ้นตามไปด้วย กาลอึกๆ อักๆ อยู่อีกพัก  ก่อนจะตัดสินใจยิ้มหวานอันป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวส่งเป็นทัพหน้านำไปก่อน ตามด้วยการเอ่ยปากพูดเสียงฉาดฉาน

   “เอ่อ..หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

   “หืม ตื่นมาก็ประจบพูดจาหวานหูเชียวนะ จะถามสิ่งใดเล่าเจ้า”

   “คือ ที่นี่ที่ไหนเหรอจ๊ะ?”

   สิ้นคำถามความโกลาหลก็พลันบังเกิด คุณมารตีเบิกตาโตเป็นลมล้มพับไปบนที่นอนบุตรชายนั่นเอง ข้างฝ่ายเศรษฐีอำนาจก็ตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่ให้ไปตามทั้งหมอไทยหมอเทศให้จ้าละหวั่น  ทั้งเรือนตกอยู่ในความวุ่นวาย นายบ่าวเดินสวนกันให้ขวักไขว่

   หลังจากใช้ไฟฉายตรวจดูการตอบสนองของม่านตาเสร็จสิ้น นายแพทย์หนุ่มใหญ่ก็หันมาไล่เรียงถามเหตุการณ์โดยละเอียดอีกครั้ง

   “พอคุณกาลสำลักเม็ดมะยม ใครเป็นคนมาพบเจอครั้งแรกกระนั้นรึ”

   ต้นห้องควบตำแหน่งพี่เลี้ยงที่ชื่อนางปริกคลานตุ้บตั้บออกมาด้านหน้า หน้าตาสงบสำรวมเตรียมตอบทุกข้อคำถามมิให้ตกหล่น ด้วยเกี่ยวข้องกับอาการป่วยไข้ของคุณหนูที่เธอรักยิ่งจะให้มีข้อผิดพลาดหาได้ไม่

   คุณหมอขยับแว่นตาที่เลื่อนตกลงมาให้เข้าที่ถามเสียงเนิบช้า
 
   “ถ้าอย่างนั้นแม่ปริกเล่ามาโดยละเอียดดูอีกที ใจเย็นๆ ค่อยๆ เรียบเรียงถ้อยความ หากหาสาเหตุเจอ เราจักได้เร่งทำการรักษาคุณกาลเธอได้ถูกเหตุ”

   นางปริกหลับตารวบรวมสติสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนค่อยๆ เรียงลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียดลออ

   “ตอนนั้นเป็นเพลาบ่ายแก่ๆ เจ้าค่ะ อิฉันกำลังนำมะยมแช่อิ่มไปเก็บที่เรือนครัว คุณหนูกาลเธอกลับมาจากโรงเรียนเร็วนัก พอเธอเห็นเธอก็เอ่ยปากอยากชิม อิฉันบอกว่าไม่ได้ เธอก็ตรงเข้ามายื้อแย่งได้ไปไม้นึง ยังไม่ทันที่อิฉันจะเอ่ยปากห้ามปราม เธอก็เอาเข้าปากเสียแล้ว” เล่าถึงตรงนี้นางปริกก็นึกเสียใจที่ทัดทานคุณหนูกาลไว้ไม่ทัน คิดแล้วยังใจหาย ถ้าคุณหนูเธอไม่ฟื้นขึ้นมาเล่า...

   “เล่าต่อเถิดแม่ปริก อย่ามัวคิดถึงสิ่งผิดที่ได้ผ่านไปแล้ว” ท่านเศรษฐีอำนาจเอ่ยกระตุ้นเตือนอย่างเข้าใจ

   “อิฉันเห็นคุณหนูเธอยังพอมีสติอยู่จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น  โดยการกอดจากทางด้านหลังใช้มือประสานกันดันมือขึ้นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อัดเข้าท้องซ้ำๆ ขึ้นด้านบน  เพื่อให้เม็ดมะยมหลุดออกมา  แต่ก็หายอมหลุดไม่ จนคุณหนูเธอหมดสติไปเจ้าค่ะ”

   “แม่ปริกทำถูกต้องตามหลักการทุกอย่างแล้วจงอย่าวิตกกังวลไปเลย แม่ปริกมีสติดีมากในสถานการณ์ฉุกละหุกเช่นนั้น แล้วคุณกาลเธอหมดสติไปนานเท่าใดรึ”

   “๑ นาที ๔๒ วินาทีเจ้าค่ะ อิฉันจับเวลาไปด้วย เร่งตามบ่าวไพร่มาพาคุณหนูขึ้นเรือนไปด้วย”

   “อืม ก็นับว่านานพอควร ท่านเศรษฐีขอรับ กระผมใคร่ขอวินิจฉัยว่า ที่คุณหนูฟื้นขึ้นมาครานี้แล้วจำสิ่งใดไม่ได้ สาเหตุมาจากการที่ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอตอนที่สิ้นสติไป สมองจึงสูญเสียความทรงจำขอรับ”

   เอิ๊กกก เสียงเรอเพราะโดนลมสว้านตีขึ้นจุกอกของคุณมารตีเรียกสติของบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่นั่งนิ่งตะลึงงันกับคำวินิจฉัยของคุณหมอให้กลับมามีสติกับปัจจุบันแล้ววิ่งหายาลมยาหอมส่งให้ภรรยาเจ้าของเรือนกันให้มือเป็นระวิง

   คุณมารตีที่พึ่งฟื้นจาการเป็นลมแทบจะเป็นลมซ้ำไปอีกรอบ  ในหัวอกบีบรัดเจ็บปวดเสียยิ่งนัก

   “หนูกาล หนูกาลลูกแม่ อพิโธ่อพิถัง เวรกรรมอันใดเล่าลูกเอ๋ย กว่าจะได้เกิดมาก็ยากเย็น ร่างกายรึก็กระเสาะกระแสะสามวันดีสี่วันไข้อยู่เนืองๆ นี่มาสูญเสียความทรงจำอีกลูกเอ๋ย”

   ผู้เป็นมารดาพิลาปรำพันไปกอดจูบลูบหัวไปด้วยความสงสารท่วมท้น สองมือประคองแก้มลูกชายพินิจพิจารณาพลางสูดหายใจเข้าเรียกสติ ปากแกมคิ้วคางนี่ก็ลูกแม่ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แม่จำเจ้าได้ก็พอแล้ว

   เวลาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของคุณมารตีด้วยไม่เคยคุ้นกับสัมผัสโอบกอดเช่นนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่หลวงตาเป็นผู้ปกครองเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นชายด้วยกันทั้งคู่จะให้มากอดรัดฟัดเหวี่ยงมันก็ออกจะขัดเขิน  พอมาเจออ้อมแขนของมารดา (ของคนอื่น) ก็กระอักกระอ่วนใจได้แต่ค่อยๆ เบี่ยงตัวออกมา

   ดีที่คุณหมอบอกว่าเขาความจำเสื่อม (แน่ล่ะ ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ซักอย่างนี่) ตกลงนี่มันยุคสมัยไหนกันแน่หว่า การแพทย์ก็ดูเจริญก้าวหน้าดี อย่าพึ่งไปคิดเลยก็แล้วกันไอ้กาลท่าทางจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานค่อยๆ คิดหาลู่ทางไปก็แล้วกัน  ว่าแต่ตอนนี้หิวชะมัด ขอข้าวพวกคุณๆ เขากินก่อนดีกว่า ดูท่าทางจะรักลูกที่เป็นเจ้าของร่างนี่มากอยู่ ข้าวซักจานน่าจะพอหามาให้ได้ล่ะเนอะ ด้านได้อายอดเว้ย คิดเสร็จก็ยื่นมือไปสะกิดท่อนแขนของคนตรงหน้าพร้อมทั้งเอ่ยปากเรียก

   “คุณๆ”

   แม่ของเจ้าของร่างผงะไปครู่ใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มมีเมตตามาให้กาลได้ใจชื้น

   “เรียกคุณแม่ซิเจ้า”

   “คุณแม่จ๋า..หนูหิว เอ่อ พอจะมีข้าวให้หนูซักจานไหมจ๊ะ”

   คุณมารตีใจอ่อนวูบทันที นานหนักหนาแล้วที่บุตรชายไม่ได้พุดจาประจบออเซาะฉอเลาะเธอเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบกระหม่อมด้วยความมันเขี้ยว ยิ่งเจ้าตัวดีมีอาการอายหน้าแดงนางก็ยิ่งยิ้มแย้มเบิกบาน

   “โตเป็นหนุ่มแล้วให้แม่หอมมิได้หรือเจ้า ดูสิเขินเป็นนางอายเชียว”

   “น้องก็ไปแกล้งลูก ลูกบ่นหิวอยู่หนา เร่งจัดสำรับก่อนเถิด”

   คนบ้านนี้ปรับตัวปรับอารมณ์กันเก่งแฮะ เมื่อครู่ยังออกอาการตกอกตกใจกันจะแย่ พอทำใจได้ว่าลูกความจำเสื่อมแน่นอนแล้วก็หันมาพูดคุยหยอกล้อกันได้เหมือนเดิม

   เสียงประมุขของบ้านสั่งการให้เตรียมหากับข้าวกับปลามาให้ลูกรัก ทำเอาบ่าวไพร่อมยิ้มกันแก้มตุ่ย น้อยครั้งนักที่ท่านเศรษฐีอำนาจจะเป็นยุ่งเกี่ยวกับอาหารการกิน นี่คงเป็นเพราะบุตรชายเป็นคนเอ่ยปากว่าหิวจึงลงมือสั่งเองเป็นการใหญ่

   “พ่อก็ชักจะหิวแล้วเหมือนกัน ไม่ได้นั่งเปิบข้าวพร้อมกันพ่อแม่ลูกมานานแล้ว มาๆ แม่รตีปล่อยลูกออกจากอกมาเปิบข้าวเสียพร้อมกัน เสียดายที่ไม่รู้ว่าเจ้าจักฟื้นวันนี้เลยมิได้สั่งให้อ้ายมีไปซื้อเป็ดย่าง โฟร์ ซีซั่น ที่เจ้าชอบมาเตรียมไว้”

   กาลกำลังหิวจนตาลายจึงไม่ทันได้ฟังอะไรทั้งสิ้น  ลุกจากเตียงสี่เสาได้ร่างกายโอนเอนเล็กน้อย  แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการกิน  ยังคงก้าวเดินไปตามทิศทางที่มีกลิ่นอาหารลอยมาอย่างใจจดจ่อ เกือบมาเสียท่าอีตรงสะดุดธรณีประตูเซหลุนๆ นี่แหละ บ่าวไพร่อมยิ้มปิดปากหัวเราะกันคิกคักๆ หาดูง่ายเสียเมื่อไหร่ คุณหนูกาลคนที่เดินเหินศีรษะตรงแน่วหลังไหล่เชิดสง่าวางท่าสูงศักดิ์อยู่ตลอดเวลาจะมาเสียกิริยาเช่นนี้

   เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบดังลอดเข้าหูมา  แต่กาลไม่มีเวลาไปสนใจ นาทีนี้เขาหิวจนท้องไส้แสบไปหมด  ใครจะพูดจะนินทาอะไรก็ช่าง ไอ้กาลจะแหลกช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว จนเมื่อคุณมารตีปรายตามองบรรดาบ่าวไพร่ด้วยหางตา เสียงซุบซิบนินทาก็เงียบลงในทันใด

   “หนูกาล เดินช้าๆ หน่อยซิเจ้า หิวเพียงไรก็อย่าลุกลี้ลุกลนนักไม่งามตาเอาเสียเลย” ปากพูดเหมือนตำหนิติติงหากมือประคองให้บุตรชายก้าวข้ามธรณีประตูโดยสะดวก

   พอก้าวเท้าพ้นธรณีประตูออกมากาลถึงกับผิวปากวิ้ว  เรียกฝ่ามือที่ต้นแขนได้ครั้งหนึ่ง  ก็จะไม่ให้ถูกอกถูกใจอย่างไรไหว  ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือชานเรือนกว้างโปร่งสบายตา นอกชานปลูกไม้กระถางออกดอกเล็กสวยงามที่เห็นวงอยู่ใกล้กระถางตะโกดัดนั่นน่าจะเป็นอ่างปลา... ปลาเผา วิวทิวทัศน์บริเวณนอกชานไม่สามารถฉุดรั้งนายเวลาให้ชื่นชมได้อีกแล้ว  เมื่อสายตาปะทะเข้ากับปลาเผาตัวเขื่องที่ใส่ถาดรองด้วยใบตองตั้งเด่นเป็นสง่าบนยกพื้นที่ชานเรือน

   “วันนี้มีแต่เครื่องไทยนะเจ้ากาล เครื่องฝรั่งพวกในเรือนครัวจัดหาให้เจ้าไม่ทัน ทนฝืนรับสำรับไปเสียครั้งหนึ่งก่อนเถิดเจ้า วันพรุ่งพ่อจะให้เขาจัดหามาให้ใหม่”

   ท่านอำนาจนั่งลงข้างบุตรชายรีบเร่งสาธยายรายการอาหารด้วยกลัวบุตรชายจะไม่โปรดปราน

   “มีเนื้อเค็มต้มกะทิ รสออกเปรี้ยวเค็มน่าจะคล่องคอนัก”

   “หรือจะเป็นยำทวายดีลูกออกรสเปรี้ยวหวานรสไม่จัดนัก พึ่งฟื้นขึ้นมากินรสจัดนักจะเสาะท้องเอาได้” คุณมารตีก็ไม่ยอมน้อยหน้าเลื่อนจานยำทวายไปให้บุตรชายชิม

   อาหารละลานตาที่อยู่เบื้องหน้าจัดมาในจานชามสีเขียวอ่อนดูหรูหราตะการตา (มาทราบเอาทีหลังว่าสีเขียวอ่อนๆ อย่างนี้คุณแม่ท่านว่าเรียกศิลาดล) สำรับหลากหลายประดามีดูวิจิตรบรรจงจนกาลไม่กล้าหยิบจับ ผักสลักรูปใบไม้ที่จัดวางเคียงมากับชุดน้ำพริกกะปิแลดูอ่อนช้อยงดงาม กวาดตาดูจนทั่วแล้วไอ้เจ้าปลาเผาที่เหล่ไว้ตอนแรกท่าจะธรรมดาสุด มองซ้ายมองขวาหาช้อนส้อมไม่มี มีแต่ช้อนกลาง เอาวะ!!! มือนี่แหละ อุปกรณ์กินข้าวที่มีมาแต่กำเนิด เอื้อมแขนยาวไปกลางวงตรงเป้าหมายที่เล็งไว้แล้วก็

   “เพี๊ยะ!!” มือเรียวของคุณมารตีฟาดเข้าให้ที่ต้นแขนบุตรชายทันที

   คุณมารตีเลื่อนชามล้างมือโรยกลีบกุหลาบหอมกรุ่นให้บุตรชาย  หากเมื่อเห็นตาแป๋วที่จ้องตอบมาก็นึกเอ็นดูนัก  เอ... ความจำเสื่อมนี่จำวิธีการดำเนินชีวิตและกินข้าวกินปลามิได้เชียวรึ  แต่เอาเถิดหนา  เหมือนมีลูกแดงมาให้ดูแลใหม่ตั้งแต่แรกเริ่ม  ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป  คงได้สนุกกันพิลึกล่ะ

   “ล้างมือก่อนสิเจ้า  หนูกาล  หลงลืมสิ่งใดก็ลืมได้  หากกิริยามารยาทไซร้  จงอย่าให้พร่องไปเชียวหนา  หากเจ้าจำมิได้  จงดูตามแม่ให้ดี”

   พูดจบคุณมารตีก็ใช้นิ้วมือจุ่มลงล้างในชามเพียงข้อนิ้ว  หาแช่ลงไปทั้งมือไม่  จากนั้นจึงหยิบผ้าที่อบร่ำวางไว้ด้านข้างยกขึ้นเช็ด  ลงมือแกะเนื้อปลาเลาะก้างออกอย่างรวดเร็ว  วางลงในจานบุตรชายแล้วชักชวนให้เปิบข้าวไปพร้อมกัน

   กาลเฝ้ามองตาม  นิ้วโป้ง  นิ้วชี้  นิ้วกลางบีบข้าวให้ไม่เกินข้อนิ้วแรก  จากนั้นจึงส่งประคองเข้าปาก  ท่าทางอาจดูเก้กังไปบ้าง  เม็ดข้าวร่วงหล่นไปบ้าง  หากช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาของมารดา   

   กว่ามื้ออาหารจะผ่านพ้นไป  ก็เล่นเอาลุ้นกันจนเหนื่อยทั้งคนกิน  ทั้งคนเอาใจช่วย  ระหว่างบ่าวไพร่ลำเลียงสำรับอาหารไปเก็บ  แล้วนำของหวานล้างปากขึ้นวางรอท่า  ท่านอำนาจนึกครึ้มในอกยิ่ง  จึงเรียกตัวนายพุดขึ้นมาแสดงฝีมือเป่าขลุ่ยให้ได้สำราญรับขวัญบุตรชาย

   “ใครว่างไปตามตัวเจ้าพุดมาที  นี่มันรู้หรือยังเล่าว่านายน้อยทูนหัวทูนเกล้าของมันฟื้นแล้ว  เรียกให้มันมาเป่าขลุ่ยให้ข้ากับลูกฟังสักเพลงสองเพสงซิ”

   “กระผมอยู่นี่ขอรับ”

   สิ้นเสียงขานรับ  ชายไทยรูปร่างสูงใหญ่  ผีวสีคร้ามเข้มนุ่งเพียงโจงกระเบน  เสื้อแสงไม่ใส่  โชว์กล้ามเนื้อสวยงามเรียงเป็นลอนชัดเจน  นับรวมได้ทั้งสิ้น 6 มัดก็คลานเข่าเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเวลา

   สายตาที่เงยขึ้นสบ  แฝงไปด้วยความห่วงหาเว้าวอนระคนทุกข์ร้อนเป็นกังวล  ทำให้กาลรู้สึกสงสัย  ในแววตาของคนคู่หนึ่งนั้นสามารถบอกอารมณ์ได้หลากหลายขนาดนี้เชียวหรือ  ว่าแต่... อีตาพุดนี่ชักยังไง  คนพ่อเรียกหา  กลับมานั่งส่งสายตาให้คนลูกเสียอย่างนั้น

   “อุบ๊ะ! เจ้าพุด  ข้าเป็นคนเรียกเอ็งหนา  หาใช่คุณกาลของเอ็งเรียกหาไม่  คุณรตีดูมันนะ  ไม่มีชายตาแลพี่สักนิดเชียว”

   เสียงเย้าแหย่หัวเราะคิกคักหาได้สอดแทรกเข้าไปทำลายบรรยากาศจ้องตากันของทั้งสองคนได้  หนึ่งจ้องอย่างสงสัยใคร่รู้ระคนงุนงง  หนึ่งจ้องจับตาอย่างกับจะกลืนกินลงท้องก็มิปาน  จนท่านอำนาจอดรนทนไม่ไหว  จึงได้ใช้ไม้เท้าเคาะพื้นเรียกสตินายพุด  หลังจากกระแอมเรียกจนเจ็บคอแล้วยังมิมีทีท่าจะได้ยิน

   “ท่านอำนาจประสงค์ฟังเพลงใดเล่าขอรับ  กระผมจะเล่นให้สุดฝีมือเทียว”

   “สุดแล้วแต่เอ็งเถิด  ข้าแค่ขออาศัยฟังเพียงเท่านั้น” ท่านอำนาจค้อนประหลับประเหลือก  ด้วยรู้ว่าเจ้าพุดคงเล่นให้คุณหนูกาลฟังเป็นหลักเป็นแน่แท้  ผู้อื่นทำได้เพียงอาศัยใบบุญเท่านั้น

   มือยกเลาขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก  หากตาคมดุคู่นั้นยังจับจ้องที่จุดหมายมิให้คลาดสายตา  ท่วงทำนองแผ่วพลิ้วดังขึ้น  เสียงดนตรีสูงๆ ต่ำๆ เป็นทำนองที่กาลรู้สึกคุ้นหูเหลือเกิน  ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างมาก  ขนาดไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องดนตรีอย่างเขา  ยังฟังออกว่าทำนองเพลงที่เล่นวนซ้ำๆ โน้ตเดิมๆ แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเพราะอย่างนี้นะ  ผู้ชายคนนี้เก่งจริงๆ คนบนเรือนเงียบกริบฟังพี่ท่านซะเพลินเลย  หาว... พออารมณ์ผ่อนคลายก็เริ่มง่วงงุน  นึกถึงเรื่องพระอภัยมณีตอนเป่าปี่ให้พี่พราห์มทั้งสามฟังจนหลับ  คงมีอารมณ์ประมาณนี้ล่ะมัง

   “เจ้าพุดเอ๋ย  เป่าขลุ่ยเสียจนคุณหนูของเอ็งหลับไปเสียแล้วกระมัง  ไปๆ พอก่อนเถิด  พานายเอ็งเข้านอนเถิดไป  เดี๋ยวข้ากับคุณรตีจะนั่งชมจันทร์ย้อนรอยสมัยหนุ่มสาวกันสักครู่  โอ๊ย! จะหยิกพี่ทำไมเล่าจ๊ะน้องรตี  พี่รักแต่น้อง  จึงอยากชมจันทร์คู่กับน้องเสียหน่อย  น้องจงภูมิใจที่พี่มิคิดอยากชมจันทร์กับสาวที่ไหนนอกจากแม่รตีเท่านั้นนะจ๊ะ”

   “ก็ลองพี่อำนาจหนีไปชมที่อื่นกับคนอื่นสิ  หึๆๆ อิฉันไม่เอาไว้แน่เจ้าค่ะ”

   “อูย... กลัวแล้วจ้ะเมียจ๋า  นี่แค่พูดเล่นพี่ยังขนลุกซู่ๆ เลย  แม่เจ้าประคุณเอ๋ย”

   สองหนุ่มสาว (วัยดึก) หยอกล้อคิกคักกันไปมา  พยักหน้าให้พุดที่เอ่ยปากลาขอพาคุณหนูเข้าห้องไปที  ก่อนจะกลับไปหัวร่อต่อกระซักกันต่อ

   พุดประคองร่างผอมที่ยิ่งผ่ายผอมมากกว่าเดิม  เพราะนอนหมดสติมาสามวันลงบนฟูกนอน  ปลดมุ้งลงเหน็บชายให้เรียบร้อยกันยุงและแมลงบินเข้ามารบกวน  เสร็จแล้วจึงนั่งแปะลงบนพื้น  เอื้อมมือเกลี่ยไรผมที่รุ่ยร่ายระข้างแก้มทัดใบหูให้เรียบร้อย

   “ทูนหัวของพี่เอ๋ย  ป่วยไข้ไปคราวนี้หัวใจพี่เจ็บนัก  เรื่องดื้อดึงน่ะยกให้เชียวนะเจ้า  พร่ำบอกพร่ำเตือนกันมาเท่าไหร่แล้วว่าห้ามกินของมีเมล็ด  เจ้าก็ยังฝืนกินจนได้  หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วพี่จะอยู่เยี่ยงไร  ยามที่เจ้าเจ็บลงไปนอนแดดิ้นบนพื้น  ใจพี่แทบขาดรอนๆ ยิ่งตอนเจ้า... เจ้าหยุดหายใจไป  พี่แทบอยากกลั้นใจตาม”

   เสียงสั่นเครือเจือสะอื้นทำให้คนที่กำลังเคลิ้มๆ หลับ  งัวเงียสลึมสลือฟัง  จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง  รับรู้ได้เพียงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่แผ่ออกมาจากร่างสูง  สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบบนศีรษะ  ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย  จนต้องขยับถูไถเข้ากับฝ่ามืออย่างติดใจ  หากความสงสัยก่อนนอนเกี่ยวกับชื่อเพลงยังรั้งสติอันน้อยนิดไว้ให้เอ่ยปากถามทั้งๆ ที่ก้าวขาเข้าสู่แดนนิทรารมย์ไปแล้วข้างหนึ่ง

   “เพลงเมื่อกี๊เพลงอะไรจ๊ะ”

   เสียงงึมงำถาม  เรียกความแปลกใจให้พุดยิ่งนัก  เพลงโปรดตัวเองแท้ๆ ยังจำมิได้  โถ... พ่อคุณของพี่  ใบหน้าคร้ามแดดก้มลงแอบสูดดมความหอมบริเวณกกหูก่อนกระซิบเสียงเบา

   “Canon in D ของ Johann Pachelbel ที่เจ้าชอบอย่างไรเล่า”

   เสียงระรัวกระซิบชื่อเพลงสำเนียงเจ้าของภาษา  ทำให้คนที่ตาปิดฟังไม่เข้าใจ  ฟังคล้ายๆ ชื่อเพลงคนดีหรืออะไรสักอย่าง  จึงปล่อยความสงสัยแล้วพาตัวเองดำดิ่งลงสู่ความฝันอันแสนหวานต่อไป


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/

   กลิ่นควันไฟที่ลอยอ้อยอิ่งผสานรวมกับกลิ่นไอน้ำค้างอันสดชื่นยามเช้า  ปลุกให้เวลาต้องลาจากเทพแห่งนิทราอย่างอาลัยอาวรณ์  เปลือกตากระพริบเปิดเชื่องช้าอย่างง่วงงุน  หากพอได้ลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายแล้วก็พลันตาสว่าง  มองไปรอบๆ ห้องเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ของโต๊ะตู้วางเรียงราย  แสงจากตะเกียงภายนอกส่องเข้ามาจุดความสว่างให้เห็นสิ่งของเพียงรางเลือน  ตอนนี้คงสักตีสี่ได้ไหมเนี่ย  ตัวเขาตื่นเช้าทุกวันเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว  ต้องยกความดีความชอบให้หลวงตา  ที่คอยปลุกให้ตามท่านไปบิณฑบาตทุกเช้า  พอได้เวลาตื่น  ต่อให้นอนดึกหรือเพลียแค่ไหนก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาได้เองโดยอัตโนมัติ

   เสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง  กาลจึงเดินไปเปิดออกดู  พบหญิงสาวสองคนกำลังขะมักเขม้นถูพื้นกันอยู่  พอพวกเธอทั้งสองเห็นเข้าต่างก็ตกใจทิ้งผ้าขี้ริ้วในมือลง  แล้วรีบนั่งก้มหน้าทันที  ปากก็ละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

   “คุณหนูกาลตื่นแล้วหรือเจ้าคะ  พวกอิฉันขอโทษที่ทำเสียงดังเจ้าค่ะ  คราวต่อไปจะระวังกว่านี้  ขอโทษจริงๆ หนาเจ้าคะ”

   กาลตกใจแตกตื่นขึ้นมาทันที  เราทำอะไรผิดหรือเปล่านะ  เอ๊ะ! แต่พี่เขาขอโทษเรานี่หว่า  หลังเรียบเรียงความคิดได้สักครู่จึงส่งยิ้มประจบประแจงไป

   “ขอโทษอะไรกันจ๊ะพี่  หนูตื่นนอนนานแล้ว  นี่กำลังจะออกมาถามว่าห้องน้ำไปทางไหน  อยากอาบน้ำจะแย่แล้วจ้ะ  เหนียวตัวชะมัดเลย”

   สองสาวขมวดคิ้วสงสัย  แต่เพียงครู่ก็นึกได้ว่าคุณหนูกาลเธอความจำเสื่อม  เธอคงจำอะไรมิได้  จึงบอกให้คุณหนูเข้าไปนั่งรอในห้องก่อน  ตนจะไปตามคุณปริกเธอมาเตรียมน้ำอาบให้

   ลับร่างคุณกาลไปแล้วสองคนก็ถอนหายใจยาวเหยียด

   “ดีนะคุณหนูคนใหม่นี่เธอไม่เจ้าอารมณ์แบบก่อนหน้านี้  ไม่อย่างนั้นข้ากะเอ็งโดนเธอเอ็ดเอาแต่เช้าแน่เทียว  ว่าแต่เอ็งเห็นที่คุณหนูเธอยิ้มเมื่อครู่ไหม”

   “เห็นสิเอ็ง  เธอยิ้มงามนัก  น่าจะยิ้มบ่อยๆ คงจะเข้าที”

   เดินไปคุยไปจนตามตัวคุณปริก ต้นห้องคุณหนูกาลได้  จึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ใครหน้าที่มัน

   เสียงเคาะประตู  ตามด้วยเสียงเปิดประตูแบบบานเฟี้ยมลั่นดังแอด  ทำให้กาลที่กำลังนั่งห้อยขาคิดอะไรเพลินๆ บนเสียงสี่เสาถึงกับสะดุ้ง

   “โถ... พ่อคุณ  บ่าวทำให้ตกใจเสียแล้ว  ขวัญเอ๊ยขวัญมานะเจ้าคะ”

   เออ! เจ้าของร่างนี้นี่มันยังไง  ทำอะไรนิดคนก็คอยขอโทษขอโพยตลอด  ท่าจะเป็นคนเจ้าอารมณ์น่าดู  หรือว่าเพราะเป็นลูกคนรวยหว่า  ดูจากที่มีบ่าวไพร่รับใช้เต็มบ้าน  ก็คงโดนสปอยด์มาตั้งแต่เด็กซะมั้ง  กาลมองตามแม่ปริกไปด้านหลังห้องจึงเห็นประตูที่ซ่อนไว้ด้านในอย่างแนบเนียนอีกบานหนึ่ง  เอาละเว้ย! ห้องน้ำในตัวซะด้วย  หรูหราน่าดู

   “เตรียมน้ำอาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ  อุ่นนิดๆ แบบที่คุณหนูเคยชอบ” พูดจบก็เอามืออุดปากตัวเองแทบไม่ทัน

   “มีอะไรหรือจ๊ะ  พูดออกมาเถอะ  หนูเองก็อยากรู้”

   “คือ... คุณรตีเธอสั่งไว้ว่าห้ามพูดเรื่องเมื่อก่อนน่ะเจ้าค่ะ”

   “อ้าว! ความจำเสื่อมนี่ไม่ใช่ต้องพูดกระตุ้นให้จำได้หรือจ๊ะ” (ถึงจะพูดเท่าไหร่ก็จำไม่ได้อยู่แล้วก็เถอะ)

   “เจ้าค่ะ  แต่คุณรตีกลัวคุณหนูจะสะเทือนใจ  ท่านว่าเดี๋ยวคุณหนูก็จำได้เอง”

   เป็นแม่ที่รักลูกมากๆ เลยคุณรตีคนนี้

   “ว่าแต่พี่ชื่ออะไรจ๊ะ  หนูจะได้เรียกถูก  แล้วก็  แล้วก็...” กาลอึกๆ อักๆ ก่อนตัดสินใจโพล่งคำถามออกไป

   “แล้วก็หนูชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”

   นางปริกครางโถ... เสียงยาว

   “อิฉันชื่อปริกเจ้าค่ะ  เลี้ยงคุณหนูมาตั้งกะตีนเท่าฝาหอย  ส่วนคุณหนูน่ะชื่อคุณหนูกาล  เป็นลูกของคุณแม่ชื่อมารตีกับคุณพ่อชื่อท่านอำนาจ  เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลอย่างไรล่ะเจ้าคะ  ตอนนี้ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายก่อนเถิด  หากอยากซักถามอันใด  อิฉันจักตอบให้ทุกข้อเลยเจ้าค่ะ”

   “ขอบคุณมากนะจ๊ะพี่ปริก” กาลส่งยิ้มหวานให้แล้วเปิดประตูเข้าไป  พบกับอ่างอาบน้ำสีขาวขนาดใหญ่  ใส่บั๊บเบิ้ล  บาธ  ตีฟองขึ้นฟูไว้แล้วก็ได้แต่ยิ้มค้าง  นี่มัน... อะไรวะเนี่ย  ไทยเราติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติช่วงยุคสมัยไหนวะ  เขามีอ่างอาบน้ำใช้กันแล้วเหรอ  คิดทบทวนถึงวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนแล้วก็ปวดหัว  สงสัยตอนหลับในห้อง  อาจารย์สอนแล้ว  แต่เราไม่ได้ฟัง  อาบให้เสร็จก่อนละกัน  ออกไปล่ะอยถามพี่ปริกเอาว่านี่มันยุคสมัยไหนกันแน่

   หลังจากล้างเนื้อตัวเรียบร้อย  กาลก็พาตัวเองมายืนที่หน้ากระจกบานใหญ่กลางห้องน้ำ (ไม่แปลกใจเรื่องกระจกแล้ว  หลังจากเจออ่างอาบน้ำไป) ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าซึ่งเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ทั้งรูปร่าง  หน้าตา  สีผิว  สีผม  แม้กระทั่งไฝเม็ดเล็กตรงติ่งหู  ก็ยังมีเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าร่างนี้มีด้านซ้าย  ส่วนเขามีไฝที่ตรงติ่งหูด้านขวา  มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกันสิน่า  เฮ้อ! มีแต่ปัญหา

   เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นผ้าวางไว้รอท่า  กาลย่นคอเรียกหานางปริกทันที  ด้วยมีแต่ผ้าโจงวางไว้  จะให้ถอดเสื้อเดินโชว์นมชมพูทั้งวันกาลยังใจไม่กล้าพอ

   นุ่งโจงเสร็จเรียบร้อย  ด้วยความช่วยเหลือของพี่ปริกแล้วก็ใส่เสื้อผ้าป่านคอกลมสีขาว  เพื่อความอุ่นใจ  มีแต่ผมที่ยาวประบ่านี่แหละที่รู้สึกรำคาญซะจริง

   “พี่ปริกจ๋า  พอจะมีเศษผ้าสักหน่อยไหมจ๊ะ  ผมยาวรุ่ยร่ายแบบนี้ไม่ถนัดเลย  หนูอยากผูกผมไว้ไม่ให้บังลูกกะตาน่ะจ้ะ”

   “รอกะเดี๋ยวนะเจ้าคะ  เดี๋ยวบ่าวไปเอามาให้”

   เสียงตุ้บตั้บจากไปไม่นานก็กลับมาพร้อมผ้าแดงผืนยาวประมาณศอกเศษ  กาลทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น  บุ้ยใบ้ชื้มือให้นางปริกมัดจุกให้ทีเพราะกลัวไม่แน่น  การกระทำเหมือนเมื่อครั้งเป็นเด็กน้อยเรียกน้ำตาให้รื้นคลอคลองนางพี่เลี้ยงเสียจริง  มืออวบอูมค่อยๆ สางผมมันเงาอย่างเบามือ  แล้วค่อยรวบครึ่งบนไว้กลางศีรษะ

   “จะมัดเป็นจุกหรืออยากเกล้าเจ้าคะ”

   “มัดเฉยๆ จ้ะ  เกล้าแล้วเดี๋ยวหล่อเกิน”

   คำตอบนี้เรียกเสียงหัวเราะคิกคักได้เป็นอย่างดี  ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จก็จับจูงกันเดินไปยังนอกชาน

   สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาในขณะนี้คืออะไร  กาลชะงักเท้ากึกจนนางปริกต้องหันมามองก่อนอุทาน

   “ตายจริง  วันนี้เครื่องฝรั่ง  อิฉันก็ลืมไป  จะกลับไปผลัดผ้าก่อนดีกว่าไหมเจ้าคะ”

   ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่เปลี่ยนชุดแล้วพี่ปริก  กาลคร่ำครวญในใจ  ประเด็นอยู่ตรงที่อาหารหน้าตาที่ดูก็รู้ว่าเป็นของพวกฝรั่ง (เคยเห็นในทีวีออกบ่อยไม่อยากจะคุย) จัดวางไว้อย่างหรูหรา  คุณพ่อใส่ชุดสูทเต็มยศนั่งไขว่ห้างจิบชา  ส่วนคุณแม่อยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มเรียบแต่ดูงามสง่า  เมื่อขยับตัวเอี้ยวมองมาจึงเห็นเข็มกลัดเพชรล้อแสงแดดวิบวับยามเช้า  บ่าวเมื่อวานใส่ชุดเมดยืนรับใช้อยู่ด้านข้างด้วยอาการสงบสำรวม

   สองเท้าพากาลเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยอาการเหมือนคนละเมอ  อดขยี้ตาตัวเองไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นคือความฝันหรือความจริง

   “อ้าว! หนูกาล  วันนี้ตื่นเช้าเสียจริงเจ้า  แต่ก็ดีจะได้มารับสำรับเช้าเสียด้วยกัน  วันนี้พ่อกับแม่ต้องรีบไปตลาด  ต้องรีบออกเดินทาง”

   คุณมารตีจับแขนบุตรชายให้นั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัว  ชี้ชวนให้รับประทานอาหารชื่อเมนูเป็นภาษาอังกฤษที่คุณแม่พูดออกมาสำเนียงอย่างกับเจ้าของภาษา  ที่น่าแปลกใจคือกาลฟังรู้เรื่อง

   “เช้านี้มี Lobster Omelette, Cold Cut Applewood Smoked Bacon, Sausage, Buttermilk Pancake จ้ะ  ส่วนของคุณพ่อท่านจะรับ Eggs Benedict ก็ปล่อยท่านไป  แม่มิใคร่ชอบคาเวียร์ที่วางโรยหน้านั่นเท่าใดนัก  เช้าๆ เช่นนี้แม่เลยเลือกสลัด Rocket เพราะเบาท้องหน่อย  พอดีมีแคนตาลูปจากญี่ปุ่น  แลองุ่นจากอเมริกาที่นำเข้ามาคราที่แล้วเหลือๆ ติดก้นครัวอยู่  จึงให้พ่อครัวเขาทำให้กินพอประทังไปมื้อๆ หนึ่ง”

   กาลนั่งนิ่งตะลึงลาน  ในหูส่งเสียงวิ้งๆ เหมือนจะปริแตก  นี่เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า  ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม  บ่าวชายคนหนึ่ง (แน่นอนว่าในชุดบัตเลอร์สีดำเต็มยศด้วยเสื้อเชิ้ต  เสื้อสูทตัวนอก  เสื้อกั๊ก  กางเกงขายาวและเนคไท!) ก็เดินมายื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้ท่านอำนาจ

   ทะ... ทะ... โทรศัพท์

   “ท่านอำนาจขอรับ  นายมากโทรทางไกลข้ามทวีปมาขอเรียนสายกับท่านขอรับ  มิทราบว่าท่านอำนาจมีประสงค์จะรับสายหรือไม่ขอรับ”

   “ช่างเลือกเวลาโทรเสียจริงหนา  เพลาเช้าเยี่ยงนี้จะนั่งจิบชา Mariage Freres ให้สาแก่ใจก็หาได้ไม่  มาๆ ส่งมา  ถ้ามิใช่เรื่องสลักสำคัญ  เห็นจะต้องต่อว่ากันสักคำสองคำ”

   ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันถูกพ่นรัวราวภาษาแม่ทันทีที่ท่านอำนาจรับโทรศัพท์มากรอกเสียงลงไป  ส่วนสมองในหัวทุยสวยของการก็รับสารได้ประหนึ่งเกิดและเติบโตที่วอชิงตัน  ดีซี  แปลความได้ดังนี้

   “ว่ากระไรพ่อมาก  โทรมาหาแต่เช้าเชียวนะเจ้า  อ้อ... แก้ไขให้แล้วใช่หรือไม่  ดีๆ นี่แม่รตีเธอก็กระเง้ากระงอดอยู่ว่าใครรีพอร์ตเธอ  โดนรีพอร์ตยังมิเคืองเท่าใดนัก  แต่ที่เธอเคืองหนักหนาร่ำๆ จะตัดงบลงทุนร่วมกับพ่อมากก็เพราะเธอบอกต้องยืนยันตัวตน เธอรับไม่ได้”

   ฮ่าๆๆ เสียงหัวเราะร่วนลงคออย่างถูกอกถูกใจดังขึ้นเป็นระยะ  หากคนนั่งฟังเริ่มคอแห้ง  ไม่อยากจะคิดว่าปลายสายที่โทรมาเป็นใคร  หากความสงสัยทำให้อดรนทนไม่ได้  ต้องหันไปถามคุณมารตี

   “แม่จ๊ะ  คะ... ใครโทรมาหรือจ๊ะ”

   คุณมารตีวางมือจากการเลื่อนอาหารมาปรนนิบัติพัดวีลูกชายก่อนจะหันมาตอบ

   “มาร์ค  ซัคเคอร์เบิร์ก  อย่างไรเล่าลูก”

   ตึงงงง...

   กรี๊ด  เสียงกรีดร้องระงมดังไปทั่ว  เมื่อคุณหนูกาลเป็นลมล้มตึงลงกลางโต๊ะอาหาร!   


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ตอนแรกๆ มันก็จะบันเทิงหน่อยๆ ค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ู^-^sirin_chadada มาที่เรือนนี้เลยค่ะ ขอบคุณที่มาเม้นท์ให้เป็นคนแรกนะคะ  :impress2:
ู^-^rockiidixon666  :hao3:
ู^-^cheezett ขอบคุณค่า  :pig4:
ู^-^kun ขอบคุณค่า  :pig4:

ฝากติดตามน้องกาล ลูกชายคนใหม่ของเราด้วยนะคะ

 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ทำไมมันล้ำหน้าไปไกลขนาดนี้กันเล่า  :m20:
หนูกาลเป็นลมล้มตึ๊งไปเลยจ้า  :laugh:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
นี่มันยุคใหนกันแน่เนี่ย อิฉันงงไปหมดแล้วเจ้าค่า  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อย่าว่าแต่น้องกาลเลยลูก

อิฉันก็ควานหายาดมอยู่เนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุกมากกกกกก ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

กาล มามิติใหม่ ชื่อเดิมร่างกายเดิม

พี่พุด ดูหลงรักกาล  :man1:
อยากอ่านต่ออีกและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เงิบเช่นกัน อิงกับยุคไหนไม่ได้เลย ฮา

ออฟไลน์ qq_oo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-4
สนุกอ่ะ รอๆๆๆตอนต่อไป

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เราก็เงิบตั้งแต่แม่ปริกจับเวลาตอนหมดสติแบบเป๊ะๆแล้ว อารมณ์ประมาณว่า "นี่มันนิยายบ้าอะไรกันวะ" ฟังดูหยาบคายแต่คิดงั้นจริงๆ เลยเลื่อนลงดูคอมเมนต์ก่อนเลย อ่านเมนต์ของคนอื่นคร่าวๆ เลยพอเข้าใจได้ว่ามันคือความป่วง ไม่อย่างนั้นไม่มาถึงจุดนี้นะเนี่ย กดปิดก่อนแน่นอน

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
บันเทิงมากกกกก   ชอบมากกกกก

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์



   กาลค่อยๆ กะพริบเปลือกตาเปิดอย่างเชื่องช้า จากภาพลางเลือนก็เริ่มชัดเจนขึ้น  สมองที่ยังคงมึนงงจากการหมดสติไม่สามารถประมวลผลใดๆ ได้  จนกระทั่งกวาดสายตาไปพบกับคุณมารตีที่นั่งจับมือเขาอยู่ข้างเตียงด้วยใบหน้าวิตกทุกข์ร้อน  สองตาแดงก่ำมีน้ำตาเอ่อคลออยู่

   “หนูกาล” เสียงเรียกอ่อนระโหยชวนให้ปวดร้าวเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าหากเสียงดังเกินไปแม้เพียงสักนิดจะทำให้ร่างของบุตรชายแตกสลายลงได้

   “เป็นเยี่ยงไรบ้างลูกเอ๋ย  จู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับลงไป  ดีที่นางปริกมันคว้าตัวเจ้าไว้ได้ทัน  มิเช่นนั้นแล้วแม่มิอยากคิด  ตัวหรือก็เพิ่งฟื้นไข้  ไยจึงตื่นแต่เช้านัก  อยากได้สิ่งใดบอกให้เด็กๆ จัดหาให้ก็ได้นี่ลูก”

   ด้วยความสงสารคุณมารตี  กาลจึงไม่กล้าเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจด้วย  เกรงว่าหากถามออกไปแล้วคุณรตีจะล่วงรู้ความจริงว่าตนไม่ใช่ลูก  แล้วจะเสียอกเสียใจไปยิ่งกว่านี้  ตัวเขาเองไม่เคยมีแม่ การทีมีคนมาคอยเป็นห่วงเป็นใย  ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ขอถนอมความรู้สึกนี้ต่อไปอีกสักนิดเถอะ

   “คือ... คือหนูหน้ามืดน่ะจ้ะ  ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะแม่จ๋า”

   “มิเป็นอันใดก็ดีแล้วเจ้า  พ่อกับแม่มีกิจธุระต้องเร่งไปจัดการที่ตลาด  เจ้าอยู่เรือนอย่าเที่ยวเดินซุกซนไปทั่วเสียเล่า  ประเดี๋ยวจักเป็นลมเป็นแล้งไปอีก  เออ  นางปริก  ให้ใครไปตามเจ้าพุดมาอยู่รับใช้เจ้านายมันเสียหน่อยเถิด  เรื่องขับเรือเหาะเจ็ทนั้นหาต้องกังวลไม่  ประเดี๋ยวจะให้นายชดมาทำหน้าที่แทน”

   “พ่อกับแม่ไปตลาดเถอะจ้ะ  หนูอยู่ได้  ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”

   “ท่านอำนาจแลคุณรตีรีบไปเถอะขอรับ  ให้ทางนั้นคอยนานเห็นจักไม่เป็นดี  กระผมจะคอยอยู่ช่วยดูแลคุณหนูกาลเองขอรับ”

   “อุบ๊ะ! เจ้าพุดมาเร็วแท้  นี่คงแล่นมาเสียตั้งแต่รู้ข่าวกระมัง  ดีๆ ถ้าอย่างนั้นข้าฝากด้วยก็แล้วกัน  ไปเถิดแม่รตี  เร่งไปจัดการเสียให้แล้วเสร็จ”

   คุณมารตีปล่อยมือบุตรชายอย่างอิดออด  เพียรลูบหน้าลูบตัวอยู่อีกสักสองสามคำรบจึงยอมตัดใจ  เดินตามสามีออกไป

   “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างขอรับ  ยังรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดก็ให้เร่งบอก  กระผมจักไปตามหมอให้”

   กาลเห็นคนตรงหน้ากุลีกุจอถามไถ่อาการด้วยความกระตือรือร้น  ดูแล้วน่าจะขอความช่วยเหลือได้จึงยิ้มนำทัพไปให้เพื่อผูกไมตรี  ก่อนจะเอ่ยถาม

   “พี่... ชื่อพุดใช่ไหมจ๊ะ”

   คนโดนถามชื่อน้ำตารื้นขึ้นมาชั่วแวบก่อนจะพยักหน้ารับ

   “ใช่แล้วขอรับ  กระผมชื่อพุด  คุณหนูกาลอยากได้สิ่งใดขอรับ”

   “คืออย่างนี้นะพี่พุด  คือหนูเนี่ยความจำเสื่อมใช่ไหม ทีนี้หนูก็ลืมไปหมดแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน  ใครเป็นใคร  ชื่ออะไรกันบ้าง  พี่พอจะช่วยเล่ารายละเอียดชีวิตหนูให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

   พุดกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกกลางอกอย่างยากลำบาก  สงสารคุณหนูกาลเธอนัก  ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียสิ้น  ลืม  จนยอมเรียก ‘พี่พุด’ อีกครั้ง  หาใช่ ‘เอ็ง’ อย่างที่เคยเรียกขาน

   “ได้สิขอรับคุณหนู  จะให้กระผมเริ่มจากสิ่งใดดีขอรับ”

   “เริ่มจากแทนตัวของพี่พุดว่าพี่ได้ไหมจ๊ะ  มากระผง  กระผม  หนูฟังแล้วไม่คุ้นเลย  หรือว่าเป็นน้องพุดกันนะ  ไม่สิพี่พุดละถูกแล้ว  เมื่อคืนตอนกำลังเคลิ้มๆ ได้ยินพี่แทนตัวว่าพี่พุดนี่”

   กิริยาพูดจาจ๊ะจ๋าหวานหู  พูดเองเออเองอยู่คนเดียว  เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากพุดได้มิใช่น้อย  นานหนักหนาแล้วที่มิได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วช่างจำนรรจาเหมือนเมื่อครั้งคุณกาลเธอยังเล็ก  ยิ่งโตมาก็ยิ่งวางปึ่ง  ถ้าไม่มีเรื่องสั่งให้ไปทำก็มิเคยเอ่ยปากพูดคุยด้วย

   “ได้สิขอรับ  จะให้พี่พุดเริ่มเล่าจากเรื่องใดดี”

   กาลยิ้มกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ  คว้าหมอนมากอดแล้วยิงคำถามที่คาใจที่สุดออกไปทันที

   “ที่นี่ที่ไหนกันจ๊ะ”

   พุดเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูง  นั่งคิดอยู่เป็นครู่  จึงเดินออกไปนอกห้อง  ได้ยินเสียงเรียกหาบ่าวด้านนอก  ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมแผนที่ขนาดใหญ่ในมือ

   “คุณกาลดูนี่นะขอรับ  นี่คือแผนที่โลก  เอ่อ... รู้จักแผนที่ไหมขอรับ”

   “รู้จักสิพี่พุด  ความจำเสื่อมนะ  ไม่ได้ปัญญาอ่อน”

   พุดหลุดขำออกมาทันทีกับกิริยาเถียงกลับทันควันนั้น  ถ้าเป็นคุณหนูกาลคนก่อนหน้านี่เวลาเธอไม่พอใจจะเชิดหน้าขึ้น  ปรายตามองอย่างเยือกเย็นก็ทำให้บ่าวไพร่กลัวกันหัวหดเสียแล้ว  ไหนเลยจะมาต่อปากต่อคำเยี่ยงนี้  แต่เป็นเช่นนี้ก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ

   “ขอรับๆ รู้จักก็ดีแล้วขอรับ  ที่ที่เราอยู่เรียก ‘เมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล’ อยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เลยขึ้นมาจากประเทศไทยสักหน่อยน่ะขอรับ”

   กาลตาโตแทบถนนออกจากเบ้า  ได้แต่ครางในใจว่า “ชิ... หาย... แล้ว” มือเริ่มยกกุมขมับที่ปวดตุบๆ หูฟังคำบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ของเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล  เมืองที่ไม่มีอยู่ในโลกของเขา

   “บรรพบุรุษเดิมของคุณหนูอพยพมาจากสยามประเทศตั้งแต่สมัยช่วงต้นรัตนโกสินทร์แล้วขอรับ  มาบุกเบิกสร้างแผ่นดินนี้ขึ้น  เป็นบุญของลูกหลานเหลือเกินที่ปู่ย่าตาทวดท่านขยันทำมาหากิน  ประกอบกับมีโชคที่ผืนแผ่นดินนี้มั่งคั่งนัก  เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา  สายแร่ทองคำมากมายไหลผ่าน  รวมเข้ากับสติปัญญาอันชาญฉลาด  จึงทำให้เมืองของเราเป็นเบื้องหลังเศรษฐกิจโลกในหลายๆ ด้านขอรับ”

   สะ... เศรษฐกิจโลก เอิ้กกก ไอ้กาลลมจะใส่

   “ละ... แล้วทำไมพูดจา  แต่งตัวกันถึงได้ดูไทยโบราณกันนักล่ะจ๊ะ” มือหนึ่งนวดขมับไป  ปากก็ถามเรื่องราวต่อ  คงไม่มีอะไรจะตื่นเต้นไปได้มากกว่านี้อีกแล้วละ”

   “คุณท่านตั้งแต่รุ่นแรกๆ ท่านว่าอยากให้รักษารากฐานเดิมอันเป็นแก่นของพวกเราไว้น่ะขอรับ  ไม่ว่าต่อไปในภายภาคหน้าจะเจริญก้าวหน้ากันเพียงไหน  ก็ขอให้ดำรงวิถีอันเป็นเอกลักษณ์เก่าไว้ให้แม่นมั่น... สักครู่นะขอรับ”

   เสียงสั่นครืดคราดของอุปกรณ์สื่อสารที่ดังขึ้น  เรียกให้กาลซึ่งนั่งหลับตาพิงร่างกับหัวเตียงถึงกับลืมตาขึ้นมองภาพชายไทยโบราณนุ่งโจงเพียงผืนเดียว  ท่อนบนไม่สวมเสื้อ  หยิบโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ถูกแทะรุ่นล่าสุดออกมาจากชายพก  แล้วใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอปราดๆ ก่อนกรอกเสียงลงไปชวนให้ขัดแย้งกันอย่างประหลาด  โอย... ลมจะตีกลับอีกรอบ

   “ขอรับ... มิเป็นอันใดเพิ่มเติมขอรับ  ท่านอำนาจกับคุณรตีมิต้องเป็นห่วงขอรับ  เร่งจัดการกิจให้สบายใจเถิดขอรับ... ขอรับ  สวัสดีขอรับ”

   เก็บโทรศัพท์ลงใส่ชายพกเรียบร้อย  จึงเห็นตากลมจ้องมองมาพร้อมคำถามในดวงตา  จึงนึกขึ้นได้รีบเอ่ยรายงาน

   “อ้อ! คุณรตีน่ะขอรับ  ท่านโทรมาถามอาการคุณหนูกาล”

   “ไปตลาดแค่นี้ไม่ใช่เหรอจ๊ะ  เดี๋ยวก็คงกลับมาหรอก  หรือว่าตลาดอยู่ไกลจากบ้านมากหว่า” ท้ายเสียงลากยาวเป็นเชิงถาม
   พุดขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นยืน  เพื่อจะเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมระบายอากาศก่อนจะหันมาตอบ

   “คุณท่านอยู่ตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกาน่ะขอรับ  ประเดี๋ยวเย็นๆ คงถึงเรือน”

   “สหรัฐฯ!!! ปะ... ไปยังไง  เมื่อกี๊ยังนั่งคุยกันอยู่เลย” กาลอุทานเสียงสั่นอย่างตกใจ

   “ก็นั่งเรือเหาะเจ็ทส่วนตัวไปสิขอรับ  กระเดี๋ยวเดียวก็ถึง  อันที่จริงเช้านี้พี่ต้องเป็นคนขับพาท่านไป  หากคุณหนูก็มาเป็นลมเอาเสียก่อน  จึงให้ตาชดเป็นคนขับไปแทน”

   เรือเหาะเจ็ท = เครื่องบินเจ็ท = รวยเกินไปแล้ววววว

   กาลสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง  จึงเริ่มสงบสติอารมณ์ได้  ต่อไปนี้จะจำไว้ให้มั่นว่าบ้านนี้เมืองนี้เค้ารวยกันมาก  เวลาเจอะไรจะได้ไม่ตกใจอีก

   “มัวแต่ซักถามกัน  คุณหนูหิวแย่แล้วกระมัง  เดี๋ยวพี่ออกไปตามบ่าวให้ยกสำรับเข้ามารับประทานในห้องดีหรือไม่”

   “อยู่แต่ในห้องอุดอู้แย่พี่พุด  ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป  หนูขอไปนั่งตรงนอกชานที่ลมพัดเย็นๆ ชื่นใจจะได้ไหมจ๊ะ”

   “จะมาเกรงอกเกรงใจอันใดกันเล่าคุณหนูกาล  เรือนนี้ก็ของคุณหนู  อยากจะนั่งรับประทานที่ใดก็ย่อมได้  อย่าว่าแต่เรือนเลยขอรับ  เมืองนี้ทั้งเมือง  หากคุณหนู  จะนั่งที่ใดก็ย่อมเป็นไปตามประสงค์ของคุณหนูขอรับ”

   พูดซะอยากจะขอนั่งบนคอพี่พุดเลยเชียว  กลัวแต่เอ่ยปากออกไป  พ่อคุณจะกุลีกุจอลงคุกเข่าให้ขึ้นไปนั่งน่ะสิ  เห็นท่าทางรีบลุกไปเปิดประตูห้องไว้คอยท่า  กาลจึงรีบก้าวเท้าตามไปด้วย  กลัวคนเปิดประตูจะรอนาน  หากอาการรีบร้อนเกินไปทำให้สะดุดธรณีประตูอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

   ร่างสูงผวาคว้าประคองไว้ได้ทันท่วงที  ก่อนที่กาลจะล้มหัวฟาดพื้นอีกรอบ  อ้อมแขนแข็งแกร่งตวัดรัดเอวให้แนบชิด  เพราะกลัวจะหกล้ม  กาลเงยหน้าขึ้นพึมพำขอบคุณก็ทันเห็นผิวสีคร้ามแดดเจือริ้วแดงอย่างน่าสงสัย  พุดรีบปล่อยแขนออกอย่างกับถือเผือกร้อนลวกมืออยู่ก็มิปาน  ส่งเสียงตะกุกตะกักบอกให้ไปนั่งรอบริเวณชานเรือนประเดี๋ยวจะให้เด็กยกสำรับตามไป

   ระหว่างนั่งรออยู่ที่ยกพื้นบริเวณด้านหน้าเรือน  กาลก็สังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปมาไปด้วย  แต่ละคนทำงานกันไม่ได้หยุดมือ  ปัดกวาดเช็ดถู  ร้อยดอกไม้  อบร่ำ  มีหน้าที่แตกต่างหลากหลายกันไป  เสียงคนกระซิบกระซาบดังแผ่วเบาที่ทางเบื้องหลัง  กาลจึงได้หันไปดู  เห็นพุดเดินนำเหล่าบ่าวทั้งหลายถือโตกใส่อาหารมาวางลงตรงหน้า

   “กระผมให้ทางโรงครัวทำอาหารให้ใหม่นะขอรับ  ซุปเห็ดกับสลัดแอปเปิล  และขนมปังฝรั่งเศสอบชีสหน้าหน่อไม้ฝรั่งขอรับ”

   อืม... นะ  ไม่ตกใจ  สบายๆ

   “แล้วพี่พุดล่ะจ๊ะ  รับประทานไปหรือยัง”

   “อะ... กระผมเรียบร้อยแล้วขอรับ  คุณหนูรับประทานไปเถิด  เดี๋ยวกระผมขอตัวไปดูงานด้านล่างเสียหน่อย”

   “เมื่อกี๊ยังเป็นพี่พุดอยู่เลย  ทำไมถึงเป็นกระผมอีกแล้วล่ะจ๊ะ  อย่าเพิ่งไปไหนเลยพี่  อยู่คุยเป็นเพื่อนหนูหน่อย  พี่ยังเล่าไม่จบเลย... อย่างคนงานพวกนี้ล่ะเป็นใคร”

   พุดอึกอัก  แต่ก็มิกล้าปฏิเสธ  จึงนั่งลงเบื้องล่าง  ก่อนจะต้องเปลี่ยนเป็นนั่งเสมอกัน  เพราะคุณหนูกาลสั่ง

   “อยู่ข้างนอกบ่าวไพร่มากมาย  จะให้กระผมพูดจาตีตัวเสมอคุณหนูเห็นท่าจะมิเหมาะมิควรขอรับ”

   “น่า... นะพี่นะ  เรียกพี่อย่างเดิมดีกว่าตั้งเยอะ  นะพี่พุด  นะ  นะ”

   อย่าออดอ้อนแบบนี้ได้ไหมเล่า  หัวใจไอ้พุดแทบจะเต้นทะลุออกมานอกอกอยู่แล้วพ่อคุณเอ๋ย  คุณกาลเธอก็พูดของเธอไปตามประสา  มิได้มาเกาะแกะฉอเลาะเสียเมื่อไหร่  หูตารึก็มิได้ยกชม้อยชม้าย  แต่แค่เธอกล่าวไปยิ้มไปเพียงเท่านี้  ทำไมจึงได้น่าเอ็นดูเสียนัก  พุดมองรอยยิ้มจนตาพร่า  พูดตอบรับออกมาราวกับคนละเมอเสียงแผ่ว

   “ขอรับ  พี่พุดก็พี่พุดขอรับ”

   มือขาวเรียวยาวหยิบช้อนซุปมาตักออกด้านนอกตัว  ปาดกับขอบจานซุป  แล้วจึงค่อยๆ จิบจากด้านข้างช้อนอย่างมีกิริยา... ถามว่าทำได้ยังไง  กาลก็อธิบายไม่ถูก  บางอย่างอยู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกคุ้นชิน  เหมือนปฏิบัติมาเป็นเวลานานแล้วซะอย่างนั้น

   “แล้วพี่ๆ คนงานพวกนี้ล่ะจ๊ะ  เป็นใครกันบ้าง” กาลพยักพเยิดไปยังเหล่าผู้คนที่ปัดกวาดเช็ดถูกันมือเป็นระวิง

   “พวกเราทั้งหมดก็ล้วนลูกหลานที่คุณท่านรุ่นก่อนๆ ท่านชุบเลี้ยงมาขอรับ  รับใช้ใกล้ชิดกันมาเป็นรุ่นๆ คุณท่านแต่ละรุ่นท่านก็ให้ความเมตตานัก  ส่งเสียเลี้ยงดูกันเป็นอย่างดี  ให้การศึกษาอย่างมิขาดตกบกพร่องเลยขอรับ”

   “ที่นี่มีโรงเรียนด้วยหรือจ๊ะ” กาลถามพร้อมส่งความหวังออกมาทางแววตาด้วยเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้เป็นทุนเดิม  หากไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งเท่าที่ควร  แต่ชอบที่จะไปโรงเรียนเป็นอย่างมาก

   “เมืองเราหามีสถานศึกษาไม่ขอรับ”

   คนรับฟังหน้าม่อยลงทันที  แต่ประโยคถัดมาทำเอาแทบสำลักซุปเห็ด

   “ส่วนมากจะส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษกับอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่  แต่ก็แล้วแต่ความสมัครใจนะขอรับ  บางคนก็เลือกเรียนใกล้ๆ สิงคโปร์  ฮ่องกง  ญี่ปุ่น  คุณท่านตามใจเรื่องการเล่าเรียนขอรับ  ท่านหาได้บังคับไม่”

   อือฮึ... บ่าวไพร่จบนอกทุกคนไอ้กาลรับด้ายยย

   “แล้วพี่พุดล่ะจ๊ะ  เรียนที่ไหนกัน” กาลเสยกแก้วน้ำขึ้นจิบแก้เก้อ

   “พี่เป็นคนจับจดนัก  พูดแล้วก็ให้อายตัวเอง  แรกเริ่มตอนวัยเด็กยังหารู้ความไม่  เห็นคุณรตีเธอว่าอังกฤษดี  พี่ก็ไป  อยู่มาสักพักจนจบไฮสคูล  เห็นเพื่อนๆ เขาไปต่อที่อเมริกากันพี่ก็ไปเที่ยวหัวหกก้นขวิดน่าดูชมเทียวล่ะช่วงนั้น  จนเริ่มคิดได้ว่าเราจักมาเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ เสียละกระมัง  จึงตัดสินใจเด็ดขาด  เดินทางตัวคนเดียวไปจบวิศวะที่เยอรมันน่ะขอรับ”

   นางปริกคลานตุ้บตั้บเข้ามาเก็บสำรับอาหาร  เมื่อเห็นกาลวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  กาลจึงรั้งข้อมือนางพี่เลี้ยงไว้แล้วแสร้งถามกลั้วเสียงหัวเราะทั้งๆ ที่ในใจตื่นเต้นตกใจ

   “แล้วพี่ปริกล่ะจ๊ะ  เรียนจบจากที่ไหนกันเอ่ย”

   “อิฉันจบวิทยาลัยการโรงแรมจากฝรั่งเศสเจ้าค่ะ  ก็ตอนนั้นคุณรตีเธออยากเรียนที่โน่น  อิฉันก็ต้องตามรับใช้เธอไป  แต่ใจจริงๆ แล้วอิฉันอยากเรียนที่ญี่ปุ่นมากกว่านะเจ้าคะ”

   กาลเริ่มเอนตัวพิงกับหมอนขวานที่นางพี่เลี้ยงส่งให้  สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์รุ่นล่าสุดยี่ห้อผลไม้ถูกแทะที่ชายพกนางปริกเข้าเสียก่อน  จึงอ้อมแอ้มถามแล้วกลั้นใจรอฟังคำตอบ

   “พี่ปริกกับพี่พุดใช้โทรศัพท์เหมือนกันเลย  ชอบยี่ห้อนี้กันเหรอจ๊ะ”

   “ฮ้าย!  คุณหนูกาล  ชอบไม่ชอบก็ใช้กันแต่ยี่ห้อนี้มาตลอด  ตั้งแต่คุณจอบเธอมาขอกู้เงินไปพัฒนาโทรศัพท์ตัวนี้รุ่นแรกแล้วเจ้าค่ะ  พอดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา  เธอก็ว่าเป็นเพราะท่านอำนาจอนุมัติเงินกู้ให้เธอ  เลยเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ  ที่เรือนเราจะได้รับโทรศัพท์ยี่ห้อนี้รุ่นใหม่ล่าสุดมาใช้กันเจ้าค่ะ  อ้อ! แบบที่เป็นกระดานชนวนแพดก็มีนะเจ้าคะคุณหนูอยากใช้สอยหรือไม่”

   “มะ  ไม่หรอกจ้ะ  เอ่อ... คุณจอบที่ว่าใช่...” นางปริกกำลังจะอ้าปากตอบ  แต่กาลยกมือห้ามทันควัน

   “พอจ้ะพี่ปริก  ไม่ต้องบอกหรอกจ้ะ  หนูรู้แล้ว  อย่าพูดเลย  เดี๋ยวหนูลมใส่อีกรอบ”

   “คุณหนูกาลรับประทานอาหารเสร็จแล้วอยากเดินเล่นรอบๆ เรือนไหมล่ะเจ้าคะ รออิฉันเก็บสำรับสักกะเดี๋ยว สั่งงานในครัวสักเล็กน้อย แล้วอิฉันจะมาพาไปเดินศาลาริมน้ำนะเจ้าคะ เพลาสายๆ เยี่ยงนี้ ลมกำลังโชยดีนักเชียว”

   “พี่ปริกไปทำงานเถอะจ้ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหนู เดี๋ยวหนูให้พี่พุดพาไปเดินเล่นก็ได้ ใช่ไหมจ๊ะ” พูดจบค่อยหันมาถามแล้วเยี่ยงนี้พี่จะปฏิเสธเจ้าอย่างไรได้

   “ได้ขอรับ เช่นนั้นไปนั่งที่ศาลาริมน้ำฝั่งตะวันตกกันเถิดดีไหมขอรับ แดดกำลังดีไม่ร้อนจัดมาก ไอเย็นของคลองส่งน้ำจะได้ช่วยพัดให้คุณหนูคลายร้อนได้ด้วย”

   ฉับพลัน อารมณ์เนิบนาบผ่อนคลายเมื่อสักครู่ก็กลายเป็นความโกลาหลทันที เมื่อรู้ว่าคุณหนูประจำบ้านมีประสงค์จะไปนั่งเล่นที่ศาลา ใครมีหน้าที่เตรียมเครื่องทานเล่น น้ำร้อน น้ำชา ก็เร่งมือกันจ้าละหวั่น เบาะรองนั่ง หมอนหนุนสำหรับเอนกายก็ถูกลำเลียงออกมาอย่างเร่งด่วน กาลเพิ่งขยับตัว ข้าวของก็รุดหน้านำไปก่อนแล้ว ใจนึงนึกชื่นชมความมีระเบียบในการเตรียมการ หากอีกใจก็อดสงสัยไม่ได้ ไอ้คุณหนูกาลคนนี้นี่มันอะไรกัน ขยับทำอะไรนิด คนรับใช้วิ่งกันให้วุ่นวาย

(มีต่อ)

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
   ศาลาหกเหลี่ยมริมน้ำให้ความรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง กาลสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนจะพรูลมหายใจออก พยายามตั้งสติรับมือกับปัญหาชีวิตที่แปลกประหลาด

   “จะกังวลไปทำไม เรื่องของอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอเจ้ากาล” คำสอนของหลวงตาพาดผ่านเข้ามาแตะกลางใจ ความรู้สึกสับสนวุ่นวายค่อยคลายตัวลงอย่างช้าๆ เวลากระพริบตาเปิดลืมขึ้นมองไปสายน้ำเบื้องหน้า อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ เหมือนกับจะเห็นหลวงตาอมยิ้มมองสบตามาจากในน้ำ

   “เอาวะ... ปัญหามีไว้ให้แก้ แก้ไม่ได้ก็ถอดทิ้งแม่ง... ปัญหานะไม่ใช่เสื้อผ้า ไอ้กาล!! โถ ชีวิต ชงเองเล่นเองเสร็จสรรพเลยว่ะ”

   “ถอดๆ แก้ๆ อะไรหรือขอรับคุณหนู”

   เสียงของพุดทำให้กาลสะดุ้ง หันไปยิ้มแหยๆ ให้

   “อ้าว! แล้วกัน พี่ทำให้ตกใจหรือเปล่านี่ ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะเจ้า”

   เจ้าตัวคนถูกปลอบส่ายหน้าหวือทันที แค่เสียงดังจนทำให้สะดุ้งยังต้องรีบขอโทษขอโพยขนาดนี้ ไอ้เจ้านี่มันคุณหนูจริงๆ

   “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะพี่พุด แล้วนั่น... ถือกล้องมาด้วยทำไมจ๊ะ”

   พุดอึกๆ อักๆ รอยแดงข้างแก้มปรากฏเป็นริ้วเรื่อสองสาย มือไม้พันกันให้ยุ่ง ก่อนจะเสวางกล้อง DSLR ในมือลงบนโต๊ะไม้ขัดมันกลางศาลา

   “พี่... คือ... พี่ว่าจะชักภาพคุณหนูเก็บไว้น่ะขอรับ พอดีเห็นแสงมันสวย นานๆ ทีคุณหนูจะมานั่งเล่นที่ศาลา พี่เลยจะชักภาพไว้เป็นที่ระลึกน่ะขอรับ

   “จะเป็นที่ระทึกน่ะสิพี่พุด” เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะขบขัน ตัวเขานี่อะนะที่จะเป็นแบบให้พี่พุดได้ แต่มาคิดอีกที พี่เขาก็จะถ่ายคุณหนูกาลนี่หว่า เอ๊ะ! แต่หน้ามันก็หน้าเดียวกับเรานะ โอ๊ย! งงโว๊ย!! คิดมากไปก็ปวดหัว กาลจึงเบี่ยงกายไปลูบๆ คลำๆ กล้องถ่ายรูปแทน

   “ท่าจะแพงนะเนี่ยพี่พุด อันเบ้อเริ่มเบ้อเทิ่ม”

   “ราคาก็เก้าแสนปลายๆ ละมังขอรับ ท่านอำนาจท่านซื้อมาฝาก พี่ก็หาจำราคาได้แม่นเท่าใดนัก”

   มือขาวสะดุ้ง รีบซุกมือไว้ด้านหลังโจงทันที

   “เกือบไปแล้วไอ้กาลเอ๊ย! ตัวละเกือบล้าน ทำตกแตกมาจะเอาปัญญาที่ไหนซื้อชดใช้เขาวะ”

   กิริยาสะดุ้งเหมือนเด็กเล็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้ ทำเอาพุดเผลอระบายรอยยิ้มอย่างนึกเอ็นดู เออหนอ... แค่เงินเพียงไม่กี่อัฐไม่กี่เฟื้อง ทำอย่างกับแพงมากมาย ทรัพย์สินของคุณหนูมีตั้งเท่าไหร่ ทำมาเป็นแกล้งตกใจหลอกพี่พุดคนนี้เล่น

   ท่าทางลุกลี้ลุกลนทำให้พุดอดไม่ได้ที่จะคว้ากล้องตรงหน้าขึ้นมากดบันทึกภาพ เสียงดังแชะที่ดังขึ้นทำเอาคุณหนูกาลหันขวับทันที... ถ้าจะดุจะด่าพี่ก็ยอมแล้วพ่อคุณเอ๋ย ดูภาพที่ได้ออกมาสิเล่า จะมีคำใดบรรยายได้เท่ากับคำว่า

   “งามนัก”

   วงหน้าเรียวที่แสร้งก้มลงมองขนมบนโต๊ะปรากฏรอยเรื่อขึ้นบนผิวแก้ม ขับให้ใบหน้าซึ่งติดจะซีดเล็กน้อยแลดูนุ่มละมุนขึ้นมาทันตา ขนตายาวเป็นแพล้อมกรอบหน่วยตาเรียวยาวมองเห็นได้ชัดเจนแม้จะมองผ่านภาพถ่าย จมูกโด่งตรงปลายรั้นเชิดรับกับริมฝีปากอิ่มเต็มที่เจ้าตัวขบไว้ด้วยความประหม่า ผมที่ยาวประบ่าปลิวตามลมล้อคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม พุดเข้าใจความรู้สึกของวิหยาสะกำที่หลงรูปนางบุษบาอย่างสุดซึ้งเมื่อเวลานี้เอง

   “พี่พุดอะ น่าจะบอกกันสักคำว่าจะถ่ายเลย หนูจะได้จัดท่าบ้าง นี่หัวหูโดนลมพัดปลิวขนาดนี้ รูปที่ได้ไม่เหมือนรังนกกระจอกโดนพายุพัดเหรอพี่”

   ผิดคาดที่ไม่โดนเอ็ด ซ้ำยังหัวเราะล้อเล่นกลับมาอีก พุดไม่ชินกับคุณหนูกาลคนนี้เอาเสียเลย ไม่ชินกับจังหวะหัวใจที่เต้นเป็นกลองรัวยามคุณหนูเธอยกยิ้มแล้วหัวเราะเสียงใส

   เจ้าของเสียงหัวเราะยังคงไม่รู้ตัวว่าทำให้คนอื่นใจเต้นแรง ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งเอนหลังพิงพนักพลางคว้าหมอนอิงมากอดแต้ อาการเอนกึ่งนั่งกึ่งนอนที่หาชมไม่ได้ในคุณหนูกาลคนเก่า ทำให้พุดถึงกับเลิกคิ้วมอง

   “มองอะไรจ๊ะ” ถามไปมือก็คว้ากลีบลำดวนที่วางบนโต๊ะไม้มะค่าขึ้นมากัด นี่ก็เป็นข้อแปลกอีกข้อที่คุณหนูเลือกหยิบขนมไทย ซึ่งหากเป็นในยามปกติ เธอคงเลือกหยิบมารารองของมิชลินเชพจานข้างๆ นั่นแน่นอน เพราะกลีบลำดวนนั่นเป็นของว่างที่พวกในโรงครัวเตรียมมาให้เขา พอมองมากเข้าเจ้าตัวก็เอียงคอมองตอบแล้วกะพริบตาปริบเป็นคำถามส่งมา อะพิโธ่เอ๋ย เล่นทำตาแป๋วเยี่ยงนี้ ใครเล่าจะไปเค้นหาคำตอบของข้อสงสัยนั่นกัน

   พุดระบายลมหายใจออกยาว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งด้านตรงข้าม พลางรินน้ำชาใส่จอกใบเล็กแล้วยื่นส่งให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะฝืดคอ มือขาวยื่นมารับพลางกระดกรวดเดียวหมด หยดน้ำไหลเป็นทางจากปากย้อยลงมาสู่ปลายคาง หากเจ้าตัวไม่สนใจ ใช้หลังมือยกขึ้นป้ายส่งๆ ก่อนเช็ดกับโจงเป็นอันเสร็จพิธี เดือดร้อนคนที่คอยจับจ้องทุกกิริยาต้องโน้มตัวไปใช้ผ้าเช็ดหน้ายกซับบริเวณมุมปากให้อย่างเบามือ

   “อายุเท่าใดแล้วเจ้า กินยังไงให้เลอะเทอะขนาดนี้ หืม”

   ฝ่ายถูกเช็ด แทนที่จะเขินอาย กลับเอียงใบหน้าให้ได้องศาจะได้รับการปรนนิบัติได้อย่างถนัดถนี่ยิ่งขึ้น ซ้ำยังยิ้มแป้นให้อย่างถูกใจที่มีคนดูแล... เป็นคุณหนูมันดีอย่างนี้เองโว๊ย!

   รับของว่างเรียบร้อยแล้ว กาลก็กอดหมอนพิงเสาตั้งท่ารอให้พุดเล่าเรื่องเมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลต่อ เห็นร่างสูงยังคงนั่งเฉยจนต้องเอ่ยปากเร่ง

   “พี่พุดเล่าเรื่องเมืองนี้ต่อสิจ๊ะ”

   “อยากรู้สิ่งใดอีกเล่าเจ้า พี่ก็มิรู้จะเริ่มจากที่ใด เจ้าค่อยๆ เลือกเรื่องถามมาก็แล้วกัน พี่จักตอบให้หายสงสัยเป็นเรื่องๆ ไป”

   กาลนิ่งคิดอยู่สักพัก ก่อนจะดีดนิ้วเปาะ เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยๆ ศึกษาไปก็คงจะได้ เอาเรื่องเจ้าของร่างนี่เป็นใคร มีนิสัยยังไงก่อนท่าจะดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็เหนื่อยมันทุกครั้ง! เอ๊ย! ไม่ใช่ รบร้อยครั้งชนะทุกครั้ง!

   “พี่พุดว่า... หนูเป็นใครจ๊ะ?”

   คำถามกำปั้นทุบดินโพล่งออกมา เล่นเอาพุดถึงกับกุมขมับ กาลรู้ตัวชะงักไปครู่หนึ่งจึงอธิบายเพิ่ม

   “คือหนูหมายถึง หนูความจำเสื่อมน่ะจ้ะ นี่หนูจำอะไรไม่ได้เลย ตัวหนูเป็นใคร ลักษณะนิสัยเป็นยังไง ชอบรึไม่ชอบอะไร เรียนอยู่หรือว่าไม่ได้เรียน แล้วถ้าเรียนแล้วเรียนที่ไหน...”

   คำถามที่รัวเป็นข้าวตอกแตกออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มเป็นชุด จนพุดต้องรินน้ำใส่จอกส่งให้อีกถ้วย เพราะกลัวเจ้าตัวจะคอแห้ง ก่อนจะค่อยๆ เล่าด้วยเสียงทุ้มต่ำ

   “คุณหนูชื่อคุณหนูเวลา เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล... มีอะไรหรือเปล่าขอรับ” พุดหยุดถามเมื่อเห็นกาลชะงักไป

   จะไม่ให้ตกใจยังไงไหว ตอนแรกว่าชื่อเล่นชื่อกาลเหมือนกันก็ว่าบังเอิญแล้วนะ หากกระทั่งชื่อจริง นามสกุลจริงก็ยังเหมือนกันนี่มันก็น่าแปลกเกินไปแล้ว กาลได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ส่ายหน้าบอกว่าตนไม่ได้เป็นอะไร ทั้งยังพยักเพยิดให้พุดช่วยเล่าประวัติต่อ

   “คุณหนูกาลเป็นบุตรเพียงคนเดียวของท่านอำนาจกับคุณมารตี ซึ่งกว่าจะมีคุณหนูได้นั้น ทั้งสองท่านพยายามทุกวิถีทาง วิทยาศาสตร์พึ่งไม่ได้ ก็หันมาพึ่งไสยศาสตร์ บนบานศาลกล่าวไปทั่ว เห็นว่าสุดท้ายไปขอลูกกับเจ้าพ่อมะยมถึงได้สำเร็จ

   แต่คุณหนูก็ร่างกายอ่อนแอนัก เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนในเรือนจึงออกจะโอ๋ตามใจคุณหนูจน เอ่อ... จนเกินไปบ้าง”

   ท้ายเสียงของพุดเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้กาลคิดว่าคงจะไม่ใช่แค่ตามใจเกินไปบ้างละ คงจะถูกพะเน้าพะนอจนเหลิงเลยซะละมากกว่า

   “โอเค เก็ทละ หนูเป็นลูกคนเดียว นิสัยท่าทางจะเอาแต่ใจเพราะถูกตามใจจนเหลิงมาตั้งแต่เล็กถูกไหมจ๊ะ”

   พุดได้ยินคำวิจารณ์ถึงตัวเองของคุณหนูกาลก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แต่หาได้ยินยอมตอบคำถามไม่ หากการนิ่งเฉยก็เปรียบดังการยอมรับนั่นเอง

   “แล้วหนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ ยังดูเด็กๆ อยู่แบบนี้ ยังเป็นนักเรียนอยู่ใช่ไหมจ๊ะ”

   “ปีนี้คุณหนูอายุครับ 18 ปีขอรับ คุณหนูยังเป็นนักเรียนอยู่ ตอนนี้อยู่ YEAR 13”

   เอ่อ... ไอ้ YEAR 13 นี่มันชั้นไหนกันล่ะวะเนี่ย กาลเก็บความสงสัยอีกข้อไว้ภายในใจ ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า บ่าวไพร่ภายในเรือนล้วนจบการศึกษาจากต่างประเทศกันทุกคน ถ้าอย่างนั้นไอ้คุณหนูกาลนี่...

   “เอ่อ... แล้ว แล้วหนูเรียนที่ไหนเหรอจ๊ะ”

   พุดยิ้มละไม เอ่ยเสียงสบายๆ เหมือนพูดถึงเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศทั่วไป

   “โรงเรียนของคุณหนูตั้งอยู่ในเมืองอ๊อกฟอร์ดขอรับ เป็นโรงเรียนประจำชายล้วน”

   อ๊อกฟอร์ด กาลทวนคำตอบใจใจ เหงื่อเม็ดเล็กไหลซึมตามขมับ ฝืนยิ้มด้วยท่วงท่าที่จะให้แลดูเป็นธรรมชาติ แต่กลับเป็นรอยยิ้มเหยเกพลางถามเสียงสั่น

   “อ๊อกฟอร์ดนี่...”

   “อังกฤษน่ะขอรับ”

   เอิ้กกกก ลมจะจับอีกรอบ ตอนเรียนเป็นภาษาไทยในห้องยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง นี่ต้องไปเรียนที่อังกฤษ พูดภาษาอังกฤษ จะไหวไหมวะไอ้กาล

   เห็นร่างตรงหน้าซีดขาวไถลศีรษะพิงเสา กอดหมอนแน่น ปากที่เจื้อยแจ้วเจรจาขยับขมุบขมิบพึมพำสิ่งใดฟังไม่ได้ศัพท์ พุดนึกว่าคุณหนูตากลมจนไข้กลับ กุลีกุจอนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบิดหมาดบรรจงซับบนหน้าผากโค้งนูนอย่างแผ่วเบา

   สัมผัสเย็นชื้นบริเวณหน้าผากทำให้กาลลืมตาขึ้นมองเห็นแววตากังวลห่วงใยของพุดที่ส่งมาให้ก็รู้ตัวว่าได้ทำให้พี่พุดเขาต้องลำบากมาดูแลอีกแล้ว ฝืนยันตัวนั่งตรง พยายามส่งยิ้มแห้งแล้งไปให้เพื่อความสบายใจของคนตรงหน้า

   “ขอโทษนะจ๊ะพี่พุด เลยต้องมาดูแลหนูอีกแล้ว สงสัยหนูจะร่างกายอ่อนแออย่างที่พี่พุดว่าไว้นะจ๊ะ พอรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อย ก็รู้สึกเหมอนจะเป็นลมยังไงไม่รู้สิพี่”

   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง แววตาทอประกายอาทรสุดประมาณ มือใหญ่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ประคองศีรษะทุยสวยให้เอนซบบนไหล่กว้างของตน

   “อย่าได้เกรงอกเกรงใจเลยเจ้า คิดกังวลสิ่งใดให้มากมายไปไย ประเดี๋ยวไข้จักกลับเอาเสีย คิดไม่ออกก็ไม่ต้องไปนึกไปคิดมัน หลับตาลงเสียเถอะเจ้า พี่จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้”

   มืออบอุ่นเทียวลูบหัวลูบหูอย่างทนุถนอมอ่อนโยนจนกาลสบายใจเริ่มเคลิ้มเข้าสู่นิทรารมย์ พุดจุดยิ้มมุมปากมองคนที่เอนซบหลับสนิทไปอย่างง่ายดายก็ได้แต่นึกขำ  เด็กน้อยของพี่เอ๋ย กินอิ่มก็นอนหลับนะเจ้า วางความกังวลสับสนทุกประการลงบนบ่าของพี่นี่เถิด พี่จักแบกรับให้เจ้าเอง พี่พุดสัญญา
   

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ู^-^neverland ล้ำกว่าโลกเราก็โลกนั้นแหละค่ะ  :laugh:
ู^-^rockiidixon666 ยุคตามใจนักเขียนค่ะ  :laugh:
ู^-^alternative เดี๋ยวแจกยาดมสักโหลระหว่างอ่านค่ะ  :hao7:
ู^-^♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณมากกกกกกกกก พี่พุด "ของเรา" น่ารักไหมคะ เอร๊ยยย มาแล้วค่ะ
ู^-^sirin_chadada อิงกับยุคไหนก็ไม่ได้เช่นกันค่า  :laugh:
ู^-^qq_oo ขอบคุณค่า มาแล้วค่า
ู^-^ตีสี่ มันเป็นความป่วงจริงๆ ค่ะ 555555 อยากจะให้มันแตกต่างไม่เหมือนใครตามจินตนาการคนเขียนค่ะ
ู^-^lovenadd ขอบคุณมากกกกเช่นกันค่า


ขอบคุณที่ติดตามน้องกาลของเรานะคะ
ฝากเป็นกำลังใจให้น้องกาลในโลกใบใหม่ด้วย
ร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
[/color]

 :กอด1: :กอด1: :L2: :L1: :L2: :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2017 08:52:24 โดย p-n-t »

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เรือเหาะเจ็ท 5555555555555555555 :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chise

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ชอบความล้ำของโลกนี้มากกก เป็นความผสมผสานที่คิดไม่ถึงจริงๆ


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ถ้าได้พี่พุดมาดม คงหายอาการลมจับ คริคริ

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
รอค่าาาาาาาาาาาาาาา
 :z13:

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
บทที่ 3 @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑

   ภาพบ่าวไพร่ชายหญิงในชุดนุ่งโจงห่มผ้าแถบกำลังเดินขวักไขว่ บ้างตากพวกพืชผักสมุนไพรบนลานกว้างที่นอกชาน บ้างดูแลจัดตกแต่งกระถางตะโกดัดให้เข้าทรงสวย มองเลยถัดจากชานเรือนเป็นบ่าวสาวๆ กำลังช่วยคุณมารตีเลือกคัดขนาดของดอกมะลิเพื่อร้อยถวายพระอยู่ตรงบริเวณระเบียง กิริยาโน้มตัวกระซิบกระซาบคุยไปกรองดอกไม้ไปแลละม้ายภาพฝัน ประจวบเหมาะกับเวลานี้เป็นช่วงเช้าที่กำลังฉ่ำน้ำค้างยิ่งให้ความรู้สึกราวกับย้อนมาอยู่ยุคโบราณจริงๆ ...

   ถ้าคุณมารตีจะไม่วางเข็มร้อยมาลัยลงแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูกรอกสำเนียงฝรั่งเศสลงไป แล้วบุ้ยใบ้ให้บ่าวข้างตัวยกอุปกรณ์ชนวนแพดขึ้นมาจดตามคำสั่งอย่างคล่องแคล่ว วงหน้าหวานพูดไปพยักหน้าน้อยๆ รับไปก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมามองเห็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตนยืนเหม่อเหมือนตกในภวังค์ จึงเร่งพูดกิจธุระให้แล้วเสร็จ ส่งยิ้มหวานพลางเอ่ยปากเรียก

   “หนูกาล หมู่นี้ตื่นเช้าทุกวันเลยหนาเจ้า มานั่งกับแม่ตรงนี้มาลูกมา”

   เหล่าสาวๆ ยกกระจาด กระบุง ตะกร้า หลบให้คุณหนูกาลกันวุ่นวาย เบาะรองนั่งลายวินเทจ อิชลิชสไตล์ถูกเลื่อนมาเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ หมดกัน!! ภาพฝันยุคโบราณ

   กาลส่งยิ้มแหยๆ นำทัพไปก่อน ปัดความรู้สึกขัดแย้งแปลกๆ ในใจทิ้งไป แล้วจึงค่อยเดินไปทิ้งตัวลงนั่งแปะข้างคุณมารตี

   “วันนี้ร้อยมาลัยเยอะกว่าทุกวันไหมจ๊ะ วันก่อนๆ ไม่เห็นจะเยอะเท่านี้”

   กาลเอ่ยปากถาม มองบรรดาดอกไม้รอบตัวที่มีมากกว่าปกติ ก่อนจะหยิบดอกบัวมาช่วยพับอย่างคล่องแคล่ว วันแรกที่เวลาช่วยพับดอกบัวเล่นเอาคุณมารตีและบ่าวไพร่ตาค้างกันยกใหญ่ พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนอยู่กับหลวงตาที่วัด เขานี่แหละมือพับอันดับ ๑ ในวัดเชียวนะ ใจนี่อยากจะพับโชว์เป็นดอกบานชื่น แต่ก็กลัวจะแอดว้านซ์เกินไป พอคุณมารตีถามว่าทำเป็นตั้งแต่เมื่อใด ก็ได้แต่บอกว่ามองๆ ดูพวกสาวๆ เขาทำแล้วก็พอจะจับเทคนิคได้บ้าง

   “วันนี้จะไปถวายเพลท่านเจ้าประคุณที่วัดใหญ่น่ะหนูกาล” คุณมารตีพูดไปมือก็แตะลูบแขนลูบไหล่ผู้เป็นบุตรชายไป กาลสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าคุณมารตีกับท่านอำนาจเวลาพูดคุยกันมือจะต้องมาแปะอยู่บนตัวลูกชายไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง คงจะเป็นการแสดงความรักผ่านภาษากายละมัง ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ชอบมากเลยต่างหาก ความคิดเรื่อยเปื่อยสะดุดลงกะทันหัน เมื่อคุณมารตีเอ่ยชวนซ้ำอีกครั้ง

   “นะหนูกาล ไปด้วยกันกับแม่เถิด แม่รู้ว่าหนูกาลหาชอบไปที่วัดไม่ แต่ครานี้แม่ขอเถิดหนา ใจคอแม่มิใคร่จักดี เหตุด้วยคราที่ลูกหลับไปสามวัน พอฟื้นตื่นขึ้นมาก็ยังเป็นลมเป็นแล้งอยู่เนืองๆ  ไปให้ท่านเจ้าประคุณท่านรดน้ำมนต์เรียกขวัญเสียหน่อยหนา”

   น้ำเสียงและกิริยาบีบนวดท่อนแขนเป็นไปด้วยความนุ่มนวลแฝงความเอาใจอย่างมาก ฟังดูก็รู้ว่าคุณหนูกาลคนก่อนคงไม่ใช่แค่ไม่ชอบไปวัดแล้วล่ะ น่าจะเข้าขั้นเกลียดเลยด้วยซ้ำ แต่... ไอ้กาลเด็กวัดครับ!! ให้ไปวัดก็เหมือนกลับถิ่นเก่านั่นแหละ

   “ได้สิจ๊ะ คุณแม่ให้หนูไปไหน หนูก็ไปได้ทุกที่แหละจ้ะ ขออย่างเดียว...”

   “ให้มีของกินไปด้วยใช่ฤาไม่”

   คุณมารตีดักคอ เอื้อมมือไปหยิกหมับเข้าที่แก้มคนช่างเจรจาอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะความจำเสื่อมหนูกาลผอมนัก แบบบางราวกับจะปลิวไปตามลมได้ ยิ่งช่วงสลบไสลไม่ได้สติยิ่งซูบลงไปมากโข ดีว่าช่างนี้เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง เพราะเธอรับทั้งข้าวรับทั้งขนมเก่งขึ้น

   “คุณแม่ก็พูดเกินไป หนูหมายถึง ขออย่างเดียวให้คุณแม่ไปด้วยกันกับหนูจ้ะ”

   ใบหน้าขาวเอียงแก้มลงซบบนต้นแขนคุณมารตีอย่างออดอ้อน เล่นเอาผู้เป็นแม่ถึงกับยิ้มปลื้ม หากก็ยังไม่วายหยอกเย้า

   “ถ้าเยี่ยงนั้น Lemon Tart Meringue ที่คุณพ่อหิ้วมาจากดีซี คงเป็นหมันเสียแล้วสิเจ้า ให้แม่เขาเอาไปเก็บก็แล้วกัน หนูกาลไม่อยากรับเสียแล้ว”

   “เก็บไปหนูก็ไม่ง้อ” น้ำเสียงที่ลากยาวชวนให้หมั่นไส้ ก่อนที่พ่อตัวดีจะเงยหน้าส่งสายตาวิบวับให้คุณมารตี

   “เพราะตอนผ่านเรือนครัวเมื่อกี๊ หนูเห็นพี่ปริกกำลังคุมพวกพี่สาวทำข้าวต้มมัดอยู่ หนูไปขอพี่ปริกเอาก็ได้”

   พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะดังลั่น เล่นเอาคุณมารตีต้องรีบกลั้นยิ้มแล้วขมวดคิ้วใส่พลางส่ายหน้าให้กับกิริยาที่ไม่ค่อยสำรวมนักของบุตรชาย

   “สองแม่ลูกคุยสิ่งใดกัน เสียงหัวเราะเจ้ากาลดังลั่นไปจนถึงด้านล่างเรือน อุ๊บ๊ะ! ลุกขึ้นมาให้ไวเชียวเจ้ากาล นั่นตักเมียพ่อหนา อย่าได้คิดมายึดครอง”

   ท่านอำนาจที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมาหลังเสร็จกิจประชุมผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับบรรดาผู้นำในกลุ่มอาเซียนเรียบร้อย ส่งเสียงกระเซ้าสองแม่ลูกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ผ้าขาวม้าในมือถูกจับขยับโบกพัดไล่ความร้อนก่อนจะซับบริเวณขมับแล้วค่อยทรุดตัวลงนั่งต่อจากบุตรชาย

   “คุณพี่มาก็ดีแล้ว มารับรู้เสียเถิดว่า ทาร์ตของคุณพี่หาสู้ข้าวต้มมัดของแม่ปริกได้เสียแล้ว”

   “อ้าว! พ่อรึอุตส่าห์หอบหิ้วมา ไม่ถูกปากเจ้ารึกาล”

   กาลรีบเด้งตัวขึ้นจากตักคุณมารตี หันไปบีบนวดต้นแขนท่านอำนาจ รีบเอ่ยปากประจบประแจง

   “ก็คุณแม่ท่านจะเอาไปเก็บ หนูก็เลยจะไปขอข้าวต้มมัดจากพี่ปริกน่ะจ้ะ แต่ถ้าคุณพ่อจะกรุณา หนูก็รับได้ทั้งทาร์ตทั้งข้าวต้มมัดนะจ๊ะ”

   สองผัวเมียมองสบตาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย นานแล้วที่บุตรชายไม่ได้มานั่งพูดคุยเย้าแหย่กันเช่นนี้ ตั้งแต่เริ่มรุ่นๆ ขึ้นมาก็มักวางท่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จะเดินจะเหินก็คอตั้ง หลังตรง จะพูดจะจาก็เก็บงำถนอมถ้อยคำนัก แลดูเข้าถึงยาก ท่านอำนาจยกมือขึ้นลูบหัวบุตรชายอย่างเอ็นดู ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มีเพียงเท่านี้แล เพียงเห็นบุตรพูดคุยหัวเราะเล่น ยิ้มได้อย่างเต็มที่ ก็นับเป็นความสุขที่สุดของพ่อแม่แล้วลูกเอ๋ย

   ยามสายมาถึง ขบวนทำบุญจึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง ที่ต้องเรียกขบวน เพราะถึงจะเดินทางทางเรือ แต่ก็มีเรือบรรทุกอาหารคาวหวานแลบ่าวไพร่รวมทั้งสิ้น ๑๐ ลำเรือ มีคุณมารตีนั่งเป็นประธานที่เรือลำใหญ่สุดกับบุตรชาย ส่วนท่านอำนาจนั้น เนื่องจากมีติดต่อคุยงานกับนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจึงมิได้มาด้วย กาลชะเง้อชะแง้มองไปยังเรือทุกลำ เมื่อไม่พบคนที่มองหา จึงหันมาถามกับคุณมารตี

   “พี่พุดไม่ได้มาด้วยเหรอจ๊ะ?”

   “เดี๋ยวนี้มีถามถึงเลยหนาเจ้า แต่ก่อนเห็นรำคาญเจ้าพุดมันนัก หลบได้เป็นหลบ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง”

   กาลก้มหน้าลงเสยกมือเกี่ยวปอยผมทัดใบหู ตอบอุบอิบในลำคอ

   “ก็เห็นไปไหนพี่พุดก็ไปด้วยนี่จ๊ะ”

   กาลนึกถึงพี่พุดที่คอยดูแล คอยตอบคำถามให้กับตัวเขาอย่างไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่าย จะให้ไปถามคนอื่นน่ะเหรอ เฮอะ! ไม่มีทางได้คำตอบ แต่ละคนคอยแต่จะก้มหน้างุดๆ ถามคำตอบคำ บางคนถึงขนาดสะดุ้งตกใจจนตัวโยนเวลาที่โดนเรียกด้วยเหอะ ไม่มีพี่พุดนี่ ชีวิตของเขาที่เมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลได้ลำบากกว่านี้แน่ๆ

   “แล้วตกลงพี่พุดไม่มาใช่ไหมจ๊ะ”

   “วันนี้คุณพ่อให้เจ้าพุดเป็นคนขับเรือเหาะน่ะเจ้า เพราะกิจของคุณพ่อครานี้ เจ้าพุดมีเพื่อนพ้องทางญี่ปุ่นอยู่มาก หากมีเหตุไม่คาดฝันอันใด จักได้ติดต่อให้ช่วยกันคิดอ่านรับมือแก้ไขปัญหาได้”

   “อ้อ” กาลรับคำในลำคอก่อนจะพูดต่อ

   “เอ... คราวที่แล้วที่คุณพ่อกับคุณแม่ไป เอ่อ... ไปตลาด แค่กๆๆ” ไม่ค่อยจะคุ้นกับไอ้คำว่าไปตลาดนี่เล้ย พับผ่าสิ!!

   “คราวนั้นใครเป็นคนขับเรือเหาะเจ็ทกันล่ะจ๊ะ”

   คุณมารตีแย้มยิ้มพยักเพยิดไปทางท้ายเรือ

   “ตาชดไงเล่าลูก”

   ผู้ที่ถูกเรียกว่าตาชด เป็นชายร่างใหญ่ผิดคร้ามเข้ม อายุน่าจะราวๆ หกสิบกว่าๆ หากแต่สุขภาพร่างกายน่าจะดีมาก สังเกตได้จากกล้ามเนื้อตึงเปรี๊ยะที่ขับให้เห็นลอนเด่นชัดยามยกแขนวาดไม้พาย ดวงหน้าเข้มที่แลดูคุ้นตานิ่งสนิท จนเมื่อกาลส่งยิ้มไปให้จึงได้รอยยิ้มเปื้อนสีแดงจากการกินหมากเป็นของขวัญตอบกลับมา

   “ว่าไงชด หนูกาลถามหาหลานชายเจ้าแน่ะ ถ้าพุดมันกลับถึงเรือนก็อย่าลืมให้มารายงานตัวกับเธอเสียล่ะ”

   “หลานชาย?”

   กาลคราง พรางหันไปจ้องหน้าตาชดอีกครั้ง ถึงว่าทำไมคุ้นๆ หน้าเหมือนพี่พุดนี่เอง เอ๊ะ! ต้องเป็นพี่พุดสิที่หน้าเหมือนตาชด

   “อื้อหือ รู้เลยจ้ะว่าถ้าพี่พุดอายุมากขึ้นจะหล่อเข้มเหมือนใคร”

   คำพูดหวานหูที่ออกมาทำเอาตาชดถึงกับหน้าขึ้นสี เป็นที่ตลกขบขันของบรรดาคนที่เห็นนัก ยากที่จะเห็นตาชดเสียอาการได้ขนาดนี้ หน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหน ก็เห็นหน้านิ่งไร้อารมณ์อยู่เป็นประจำ เจอคำพูดของคุณหนูกาลไปคำเดียว เล่นเอาเสือยิ้มยากถึงกับไปไม่เป็นเลย

   เมื่อมาถึงท่าน้ำหน้าวัด กาลก็ต้องจุปากชื่นชมกับบรรยากาศร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่น้อยที่อยู่รายรอบวัด ประกอบกับมีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้ถึงจะเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

   กาลเดินตัวปลิวเข้าไปภายในบริเวณวัด เพราะไม่ว่าจะอาสาช่วยหยิบจับอะไรจะต้องมีคนแทรกมาช่วยถือให้ทุกอย่าง คุณมารตีกวักมือเรียกบุตรชายให้มาเดินด้วยกันภายใต้ร่มที่กางรอไว้ เพราะเกรงว่าบุตรชายจะถูกกระไอแดดจนจับไข้ได้อีก กาลรีบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ แต่กลับไม่ยอมเดินเข้าร่ม เพียงหยุดลงตรงหน้าคุณมารตีแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

   “น้องสาว มาคนเดียวเหรอจ๊ะ สวยขนาดนี้มีคนจีบรึยังเอ่ย”

   ก่อนจะมาวัดคุณมารตีผลัดผ้านุ่งโจงสีเหลืองอ่อน ห่มสไบสีบานเย็น ขับผิวขาวให้ยิ่งนวลผ่อง ฝ่ายผู้เป็นมารดา เมื่อได้ยินบุตรชายกระเซ้าก็ยื่นมือไปหยิกหมับเข้าให้ที่ต้นแขนทันที

   “ในวัดในวายังพูดจาไม่สงบสำรวมอีกหนาเจ้า” ปากพูดบ่นไป แต่ในตากับพราวระยับ เห็นได้ชัดว่าถูกอกถูกใจยิ่ง

   “อูย” เจ้าตัวดีแกล้งเอื้อมมือกุมไหล่ พลางพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ก้มตัวลงซบต้นแขนคุณมารตีอย่างประจบประแจง

   “พูดความจริงในวัดไม่บาปหรอกจ้ะคุณแม่ หนูไม่ได้โกหก พระท่านไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ”

   “ทำมาเป็นพูดดี ไปเลยเชียว สายไปโขแล้ว เดี๋ยวจะเลยเวลาฉันเพลของท่านเจ้าประคุณท่าน”

   น้ำเสียงเข้มงวดไล่ให้ออกเดิน แต่มุมปากและลูกตายิ้มปลื้มไม่หยุด บ่าวไพร่ที่เดินตามกลั้นยิ้มกันเป็นทิวแถว โถ... คุณมารตีเธอคงปลื้มที่บุตรชายชม ดูสิ หน้าบานออกอย่างนั้น

   ที่กุฏิของท่านเจ้าประคุณและดูวุ่นวายคล้ายตลาดย่อมๆ เมื่อบ่าวแต่ละคนเดินขึ้นเดินลงสวนกันให้ขวักไขว่ บ้างถือชะลอม บ้างถือกระจาด อาหารคาวหวาน ส้มสูกลูกไม้ รวมไปถึงเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุสงฆ์ถูกลำเลียงขึ้นไปไว้บนกุฏิ คล้ายยกร้านเครื่องสังฆภัณฑ์มาไว้เลยทีเดียว จวบจนเมื่อบ่าวคนสุดท้ายเดินกลับลงมา คุณมารตีจึงเอ่ยชวนบุตรชายให้ขึ้นไปถวายเพลกัน

   มาถึงตอนนี้กาลกลับเริ่มรู้สึกกังวล มีท่าทีอิดออดอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากให้โกหกใครต่อใครว่าความจำเสื่อมเขาก็โกหกได้ เพราะหากไม่ทำแบบนี้ก็คงอยู่ในโลกนี้ลำบาก แต่จะให้โกหกพระนี่มันออกจะเลยเถิดไปหน่อยนะ ผิดศีลต่อหน้าพระจะๆ อย่างนี้ไอ้กาลเครียดดดด

   “เป็นอันใดไปลูกกาล จะมาโยกโย้ไม่ไปพบท่านเจ้าประคุณเอาตอนนี้ไม่ได้เทียวนะ มาจนถึงกุฏิท่านแล้ว” คุณมารตีลดเสียงปลอบ

   “ขึ้นไปสักกะเดี๋ยวก็ได้หนาเจ้า พอเสร็จแล้วขากลับแม่จะให้นังปริกทำเครปเค้กให้ดีฤาไม่ อ้อ! แต่เดี๋ยวนี้เจ้าชอบขนมไทย เยี่ยงนั้นกระท้อนลอยแก้วไหมลูก กลับไปร้อนๆ รับสำรับเย็นๆ จักได้ชื่นใจ”

   กาลหลุดหัวเราะทันทีกับลูกล่อลูกชนของคุณมารตี เห็นเขาเป็นเด็กเล็กหรือยังไง ถึงได้เอาขนมมาล่อ ฟังชื่อเมนูแล้วไอ้กาลขยับขาก้าวข้นบันไดกุฏิอย่างทะมัดทะแมงทันที ได้แต่นึกขอโทษพระท่านอยู่ในใจ

   ขอโทษนะท่านเจ้าประคุณ ไอ้กาลทนความยั่วใจของกระท้อนลอยแก้วไม่ไหวจริงๆ แค่คิดก็น้ำลายสอเต็มสองกระพุ้งแก้มแล้วเนี่ย คงจะหวานๆ เปรี้ยวๆ เย็นๆ อ๊า... ทนไม่ไหวละ รีบไปถวายเพล รีบไหว้ รีบกลับดีกว่า หิววว

   บนกุฏิก็เป็นอย่างเช่นเรือนไทยทั่วไป มีเรือนนอนซึ่งประตูถูกปิดอยู่ คาดว่าท่านเจ้าประคุณคงกำลังใส่จีวรให้เรียบร้อยเตรียมตัวต้อนรับญาติโยม ถัดจากเรือนนอนเป็นระเบียงที่มีโต๊ะหมู่บูชา อาสนะ และเครื่องใช้ไม้สอยสำหรับภิกษุสงฆ์จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย

   กาลค่อยๆ คลานไปนั่งพับเพียบข้างคุณมารตีอย่างสงบเสงี่ยม ใจลอยไปถึงกระท้อนลอยแก้วเป็นที่เรียบร้อย

   ประตูเรือนนอนที่เปิดออกมา ทำให้กาลที่กำลังนั่งเหม่อได้สติรีบขยับนั่งตัวตรง มือที่ประสานไว้บนตักยกขึ้นพนมเตรียมไหว้ หากทันทีที่ตาประสานกับภิกษุชราตรงหน้า ก็ทำให้กาลนั่งตกตะลึง มือไม้ยกค้างไว้กลางอากาศ มีแต่ถ้อยคำกระซิบเสียงแผ่วดังลอดริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นออกมา

   “หลวงตา...”

   “กราบนมัสการท่านเจ้าประคุณเจ้าค่ะ”

   เสียงของคุณมารตีปลุกกาลให้ตื่นจากภวังค์ ได้แต่เก้ๆ กังๆ ขยับตัวเปลี่ยนไปนั่งท่าเทพบุตรแล้วก้มตัวลงกราบเบญจางคประดิษฐ์จนครบสามครั้งอย่างงงๆ ดีว่าเป็นความคุ้นชินเลยกราบได้ถูกต้องนะ แต่ถึงจะปฏิบัติได้ถูกต้อง กาลก็รู้ตัวเลยว่าเป็นการกราบที่ห่วยที่สุดที่เจ้าตัวเคยกระทำมาเลย ก็จะไม่ให้ลนลานได้ยังไงไหว ในเมื่อท่านเจ้าประคุณที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ หน้าตาเนื้อตัวถอดแบบมาจากหลวงตาที่เป็นคนเลี้ยงดูเขามาชัดๆ

   “เป็นยังไงบ้างล่ะโยม สบายดีอยู่รึ”

   อา... ยิ่งเสียงนี้ยิ่งใช่ กาลได้ยินเสียงคุณมารตีพูดจาโต้ตอบท่านเจ้าประคุณอยู่ไปมาก็ได้แต่กระสับกระส่าย อยากจะพูดอยากจะถาม แต่ก็ไม่มีช่องว่างให้เขาเลย จนดูเหมือนท่านเจ้าประคุณจะดูอาการลุกลี้ลุกลนของเขาออกจึงเอ่ยปาก

   “เอาเถอะๆ มีคนร้อนรนแย่แล้วกระมัง รีบถวายกันให้เรียบร้อยก่อนเถิด เสร็จแล้วมีเรื่องอันใดค่อยเจรจาความกันภายหลัง”

   สิ้นเสียงของท่านเจ้าประคุณ กาลก็นำสวดถวายเพลอย่างคล่องแคล่ว ไม่สนอาการคุณมารตีที่เบิกตาโตมองบุตรชายด้วยความตกใจ ก็ร้อยวันพันปี อย่าว่าแต่สวดมนต์เลย จะเข้าวัดนี่ขอร้องกันแล้วขอร้องกันอีกกว่าเธอจะยินยอมมา มาวันนี้หนูกาลเล่นนำสวดเอง ท่าทางจะได้บุญใหญ่ซะละมังครานี้

   “เอ้า! มีข้อสงสัยสิ่งใดก็ถามไถ่มาเสียให้สิ้น อย่ามัวมานั่งกระบิดกระบวนให้มากความ”

   หลังจากที่ขอตัวอยู่กันตามลำพังสำเร็จ ท่านเจ้าประคุณก็เอ่ยถามไปพลาง จิบชาจากถ้วยที่กาลประเคนให้ไปพลาง

   “คือ... คือหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงจ๊ะ แล้วคนชื่อกาลที่เป็นเจ้าของร่างเป็นอะไรกับหนู แล้วตอนนี้เจ้าของตัวจริงไปไหนแล้วจ๊ะ ทำไมเขาหน้าเหมือนหนู ชื่อเหมือนหนูทุกอย่างเลย แล้ว... แล้ว หลวงตานี่คือหลวงตาจริงๆ ใช่ไหมจ๊ะ หนูคิดถึงหลวงตามากเลย ทำไมหลวงตาไม่ไปหาหนูบ้าง รู้ไหมว่าวันแรกที่หนูลืมตาขึ้นมาที่นี่หนู...”

   “พอๆๆ หยุดก่อนได้ฤาไม่เจ้า” ท่านเจ้าประคุณวางถ้วยชาลงโบกไม้โบกมือให้วุ่นพลางพึมพำ

   “ไฉนพูดมากเยี่ยงนี้ ผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เจ้า เลี้ยงกันมายังไงหนาจึงเป็นเยี่ยงนี้”

   “เอาเถิด ข้าจะเล่าให้ฟัง แล้วหากเจ้าสงสัยอันใดจึงค่อยถามเพิ่มเอาหนา หากรอให้เจ้าถามข้าตอบดูรูปการแล้ว พรุ่งนี้ก็หาจบเรื่องได้ไม่”


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ p-n-t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/JiaJia.novels/
***************************************************************


   “คุณพี่เจ้าคะ น้องท้อใจเหลือเกินแล้ว วิถีทางใดที่ว่าดีก็ลองมาหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งไสยศาสตร์ สงสัยชาตินี้ น้องคงไม่มีบุญได้อุ้มท้องลูกของคุณพี่เป็นแน่”

   น้ำเสียงหมดอาลัยของคุณมารตีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเปรยขึ้น ท่านอำนาจยิ่งฟังก็ยิ่งปวดร้าวยิ่งนัก มดหมอทั้งในเมืองนอกเมือง ท่านใดชื่อเสียงโด่งดังด้านสูตินรีเป็นต้องดั้นด้นไปขอคำปรึกษามาจนหมดจนสิ้น แต่ก็หาได้ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด ใจนึงก็นึกเสียดายที่ตนเองคงไร้บุตรสืบสกุล แต่ที่เสียใจอย่างสุดซึ้งก็คงเพราะสงสารแม่มารตีนี่แหละหนา เห็นน้องเจ็บ ใจของพี่ก็ยิ่งเจ็บกว่าแม่คุณเอ๋ย

   เห็นอาการของเจ้าของเรือนที่ทุกข์ตรมเป็นดังนั้น นางปริกจึงรวบรวมความกล้าค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปใกล้คุณมารตี พลางเอ่ยปากออกความคิดเห็น

   “คุณมารตีเจ้าคะ อิฉันว่าคุณรตีกับท่านอำนาจลองไปขอลูกกับเจ้าพ่อมะยมดีฤาไม่เจ้าคะ”

   ประกายตาระริกไหวด้วยความหวังถูกจุดวูบขึ้นมาในทันที คุณมารตีหันขวับมามองทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ทั้งบ่าวตรงหน้าอย่างตั้งใจ ฝ่ายท่านอำนาจได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ เป็นเช่นนี้มากี่เพลาแล้วเล่า มีความหวัง ผิดหวัง วนเวียนซ้ำๆ เยี่ยงนี้ สงสารก็แต่แม่รตี จะทนรับความผิดหวังได้อีกครั้งกระนั้นหรือ

   “ถึงเราสองจะไม่มีบุตรเป็นโซ่ทองคล้องใจอย่างใครเขา พี่ก็หาได้รักแม่รตีน้อยลงดอกหนาเจ้า จะอย่างไรเรื่องนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิด พี่ไม่อยากเห็นแม่รตีต้องมาทุกข์เยี่ยงนี้”

   เสียงปลอบโยนแผ่วเบาทว่าหนักแน่นของท่านอำนาจ ทำเอาคุณมารตียิ้มได้ทั้งน้ำตาที่คลอคลอง ตัวเธอรู้ว่าท่านอำนาจรักและตามใจเธอมาก แต่เธอก็ยังตั้งความหวังว่าจะมีบุตรมาเชยชมให้ได้สักคน เธอจึงประนมมือกราบลงบนต้นแขนของผู้เป็นสามีอย่างสำนึกในความรัก

   “น้องรู้ว่าคุณพี่มีจิตรักใคร่น้องเพียงไร หากแต่น้องก็ยังอยากลองเสี่ยงอีกสักครา คุณพี่จะว่ากระไรเจ้าคะ หากน้องจะชวนไปขอบุตรกับเจ้าพ่อมะยมตามที่ปริกมันบอก”

   น้ำเสียงหวานใสแกมออดอ้อนขณะที่ช้อนตาขึ้นมองสบผู้เป็นสามีนั้น ทำเอาท่านอำนาจถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มืออบอุ่นคว้าประคองมือน้อยที่ยังคงกราบบนต้นแขนของตนเองมากุมไว้

   “แม่รตีก็เป็นเสียเยี่ยงนี้ จะให้พี่ทำอันใดได้นอกจากถามทางไปศาลเจ้าพ่อมะยมเล่า ไม่ตามใจเมียแล้วจะให้พี่ไปตามใจใคร เอ้า!! ว่าอย่างไรแม่ปริก ศาลเจ้าพ่อมะยมของเอ็งอยู่แห่งหนตำบลใดรึ บอกมาเสียให้สิ้น ข้าจักได้จัดแจงเลื่อนตารางกิจธุระให้ได้ถูก ว่าควรจักเดินทางเพลาใด สงสัยต้องเลื่อนนัดที่สยามกระมัง”

   เสียงหัวเราะคิกคักของแม่ปริกส่งผลให้ท่านอำนาจตวัดสายตามองอย่างขึ้งโกรธไม่ได้ ดูทีรึ แทนที่จะรีบขยายความ กลับมามัวหัวร่ออมพะนำอยู่ได้

   “อย่าพึ่งโมโหโทโสไปเจ้าค่ะท่านอำนาจ ดูท่าว่าจะมิต้องเลื่อนเดินทางอันใดหรอกเจ้าค่ะ ศาลเจ้าพ่อมะยมนั้นอยู่ทางภาคอีสานของสยามประเทศพอดี ท่านอำนาจเพียงเพิ่มวันพักผ่อนมาอีก ๒ - ๓ วัน เร่งจัดกิจธุระให้แล้วเสร็จ จากนั้นจึงพาคุณมารตีไปทำพิธีบวงสรวงขอพรที่ศาลเจ้าพ่อมะยมได้เลยเจ้าค่ะ ไปเที่ยวเดียว เหมือนยิงนกนัดเดียวได้กระสุน ๒ ตัว เอ๊ย! ยิงกระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว ทั้งงานราษฎร์ ทั้งงานหลวง ถึงพร้อมเสร็จสรรพในคราเดียว”

   “ดูทีแม่ปริกจะซุกกิ๊กไว้ที่สยามประเทศกระมัง ถึงได้เป็นตัวตั้งตัวตีจักพาเมียข้าไปให้ได้ในครานี้”

   อาการพูดหน้านิ่งหากเต็มไปด้วยคำพูดหยอกเย้าเช่นนี้หาได้มีใครเสมอเหมือนท่านอำนาจอีกแล้ว เหล่าสาวๆ วี้ดว้ายกระตู้วู้กันเป็นการใหญ่ ยิ่งแม่ปริกยิ่งหัวเราะจนต้องยกชายผ้าแถบขึ้นซับน้ำตา บรรยากาศหม่นเศร้าเมื่อครู่จึงคลี่คลายลงได้

   “กิ๊กเกิ๊กอันใดกันเจ้าคะ ท่านอำนาจทำเป็นพูดศัพท์แสงร่วมสมัย อิฉันจะอยู่เป็นสาวเทื้อคอยรับใช้คุณมารตีอยู่ที่เรือเศรษฯ นี่ละเจ้าค่ะ อย่าได้หาเรื่องให้อิฉันต้องปล่อยคานอันเป็นที่รักยิ่งลงมาเทียว อิฉันจะนั่งสวยๆ อยู่บนคานอย่างมั่นใจเยี่ยงนี้แหละเจ้าค่ะ”

   สิ้นคำตอบของนางปริกก็เล่นเอาเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเสาสะเทือนจากแรงหัวเราะของบ่าวไพร่และเจ้าของเรือนกันเลยทีเดียว

   วันบวงสรวงบนบานขอบุตรมาถึง รอบบริเวณของศาลเจ้าพ่อมะยมถูกกั้นไว้ภายในระยะ ๑๐ กิโลเมตรจากศาล ล้วนห้ามมิให้ผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้ ส่วนจักใช้วิธีใดบอกกล่าวห้ามปรามชาวบ้าน ท่านอำนาจก็หาได้รู้ไม่ รู้แค่เพียงเอ่ยปากบอกจักมาบวงสรวงเจ้าพ่อมะยม ทางคณะทูตแห่งสยามประเทศก็เตรียมการให้อย่างถึงพร้อม ทำเอานางปริกประทับใจนัก เพราะขนของบวงสรวงมาชุดใหญ่จนกลัวชาวบ้านจะแตกตื่น

   บายศรีสูง ๙ ชั้น ฝีมือสุดปราณีตจากบ่าวในเรือนพร้อมเครื่องพลีกรรม หัวหมู เป็ด ไก่ ปลา ผลไม้มงคล กล้วย ส้ม สับปะรด ขนมต้มแดง ต้มขาว หมากพลู หากหาได้มีบุหรี่ไม่ ด้วยร่ำลือว่าเจ้าพ่อมะยมไม่โปรดการอมควันสักเท่าใดนัก ขนาดคนจะมากราบไหว้มายืนสูบบุหรี่ใกล้ๆ ศาลท่าน ท่านยังบันดาลโทสะ ปรากฏอิทธิฤทธิ์ปากเจ่อบุหรี่ดับกันเป็นทิวแถว

   ท่านอำนาจประคองคุณมารตีเมียรักลงจากรถโรลส์รอยซ์ด้วยอาการประคับประคองด้วยเหตุที่เมื่อคืนคุณมารตีตื่นเต้นเป็นอันมาก จึงนอนมิใคร่จะเต็มตาเท่าใดนัก เช้านี้จึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง แล้วประธานสมาคมคนหลงเมียอย่างท่านอำนาจจะทำเช่นใดได้เล่า นอกจากประคองซ้าย ระวังขวาให้อยู่ตลอดเวลา เมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้นจนคุณมารตีต้องหยีตาเพื่อมองไปยังศาลเจ้าพ่อให้ชัดเจนขึ้น ท่านอำนาจก็เรียกหาร่มมากางบังแสงให้เป็นการใหญ่

   “น้องมิเป็นอันใดมากเจ้าค่ะคุณพี่ เร่งทำพิธีบวงสรวงกันเถิด ประเดี๋ยวจะสายมากไปกว่านี้”

   “ได้จ้ะแม่รตี”

   สองร่างยืนเคียงคู่สงบจิตใจตั้งจิตน้อมอธิษฐาน ขอให้เจ้าพ่อมะยมดลบันดาลให้บุตรมาชื่นชมในเร็ววันด้วยเถิด ขณะกำลังจะปักธูปเป็นอันเสร็จพิธี แม่ปริกก็ปราดเข้ามาประชิดทำหน้าตาตื่นตกใจ

   “คุณมารตีเจ้าขา บนบานหรือยังเจ้าคะ”

   “ตายจริง เกือบลืมเสียสิ้น ดีนะปริกมาเตือน” ยิ้มเยื้อนด้วยสีหน้าซีดเซียว จากนั้นจึงหันหน้าไปกล่าวออกเสียงต่อเจ้าพ่อมะยม

   “หากลูกช้างได้บุตรมาชื่นชมสมใจ ลูกช้างจะถวายอาหารคาวหวาน ส้มสูกลูกไม้...”

   “ฮ้ายย” แม่ปริกส่งเสียงลากยาว

   “ถวายเยี่ยงนี้มันเบสิคไปเจ้าค่ะคุณรตี ใครก็บนอย่างนี้ เจ้าพ่อท่านคงเบื่อนะเจ้าคะ”

   “อ้าว! แล้วเช่นนั้นจักบนประการใดดี” คุณมารตีทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ ร้อนถึงท่านอำนาจต้องเอ่ยปากช่วยเร่งอีกแรง

   “ว่ายังไงแม่ปริก ควรบนเยี่ยงไร แม่รตีเธอร้อนใจ จักให้ทำอันใดก็เร่งบอก”

   “เขาว่าเจ้าพ่อท่านชอบบนแบบแปลกๆ แล้วจะสัมฤทธิ์ผลเจ้าค่ะ ลองเป็นแก้ผ้าวิ่งรอบศาลไหมเจ้าคะ น่าจะแปลกพอได้อยู่”

   “กระไรนะ!!!”

   พูดจบคุณมารตีก็ซวนซบลงบนอกผู้เป็นสามี หอบหายใจถี่จนท่านอำนาจสงสาร หยาดน้ำตาไหลลงทางหางตาของดวงตาคู่งามทันที ใบหน้าแฉล้มส่ายหน้าน้อยๆ พลางรำพันเสียงแผ่ว

   “น้อง... น้อง... น้องคงหาทำได้ไม่เจ้าค่ะคุณพี่ อะพิโธ่ อุตส่าห์ดั้นด้นมากราบไหว้ถึงสยาม กลับมิสามารถบนบานดังใจหมาย ชาตินี้น้องคงไม่มีบุญอุ้มท้องลูกของคุณพี่เสียแล้ว น้องเสียใจนัก”

   ใบหน้าที่ส่ายไปมาน้อยๆ กลับลากน้ำตาบนอกของท่านอำนาจเป็นหย่อมใหญ่ อกใจท่านอำนาจปวดแปลบเหมือนโดนน้ำกรดราดรด ละล่ำละลัก เอ่ยคำสาบานทันที

   “ข้าแต่เจ้าพ่อมะยมอันศักดิ์สิทธิ์ หากลูกช้างได้บุตรมาเชยชมสมใจ ลูกช้างจะแก้ผ้าวิ่งรอบศาลเจ้าพ่อเป็นการแก้บนในภายภาคหน้า!!”

   “คุณพี่!”

   คุณมารตีปล่อยโฮออกมาด้วยความตื้นตัน ประนมมือลงตรงอกผู้เป็นสามีมือไม้สั่น ความปลื้มปีติสมดังใจหมายหรือกระไรมิรู้ได้ ทำให้เธอเป็นลมล้มลงในอ้อมอกท่านอำนาจไปในทันที

   จากนั้นก็เป็นความวุ่นวายโกลาหล ท่านอำนาจย่อตัวลงช้อนกายผู้เป็นภรรยามาแนบอกพลางก้าวขาออกเดินอย่างรวดเร็ว เร่งสั่งให้ตาชดเปิดประตูรถก่อนค่อยๆ วางร่างคุณมารตีลงบนเบาะอย่างทะนุถนอม แล้วจึงหันไปสั่งกำชับบ่าวไพร่ให้คอยดูแลเก็บกวาดทางนี้ให้เรียบร้อย เสียงสั่งงานระรัวเร็วเฉียบขาด ด้วยจักเร่งพาคุณมารตีกลับโรงแรมที่พักดังก้องกังวานอยู่เพียงครู่ จึงได้ยินเสียงประตูรถปิดลง แล้วออกตัวแล่นหายไปอย่างรวดเร็ว

   “เป็นอย่างไรบ้างรึแม่ปริก”

   น้ำเสียงกังวลส่อความห่วงใยอย่างปิดไม่มิดทำเอาปริกถึงกับน้ำตาซึม อดรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ จึงเสยกถาดแก้วน้ำและยาไปวางบนโต๊ะ ทำเป็นวุ่นวายมือเป็นระวิงหยิบจับสิ่งของแล้วเอ่ยปากทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้

   “คุณรตีมิเป็นอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อคืนเธอพักผ่อนน้อย ประกอบกับวันนี้แดดจัดนัก พอตื่นเต้นตกใจจึงเป็นลมไป นี่อิฉันให้ทานยาแล้ว นอนพักผ่อนอีกสักครู่ก็คงดีขึ้นมากล่ะเจ้าค่ะ”

   “แต่ว่าแม่รตี...”

   “อ้อ... ก่อนจะหลับไป คุณรตีเธอฝากบอกให้ท่านอำนาจไปพักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ เธอห่วงว่าท่านจะไม่ดูแลตัวเอง ประเดี๋ยวเธอตื่นขึ้นมาเธอว่าจะชวนท่านไปดินเนอร์ที่ฮ่องกงต่อเลย ท่านอำนาจเห็นเป็นเช่นใดเจ้าคะ”

   คำพูดที่จะถามถึงภรรยาถูกนางปริกขัดด้วยคำสั่งของเมียรักเยี่ยงนี้แล้ว ประธานสมาคมคนหลงเมียจึงได้แต่พยักหน้ารับ พลางหมุนกายเดินออกจากห้องไปเตรียมการสำหรับดินเนอร์นี้ทันทีโดยไม่มีเกี่ยงงอน

   แอ๊ด... เสียงงับประตูปิดลง ทำให้คุณมารตีซึ่งแสร้งนอนหลับตาอยู่ลืมตาขึ้นมาถามความคืบหน้าโดยพลัน

   “เป็นเยี่ยงไรเล่าปริก คุณพี่มีท่าทางจะซักถามอันใดฤาไม่”

   ปริกทิ้งตัวลงนั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าเรียบร้อย ก่อนจะถอนหายใจตอบ

   “ไปเตรียมตัวสั่งตาชดเช็คเครื่องสำหรับบินเย็นนี้แล้วเจ้าค่ะ เฮ้อ... อิฉันรู้สึกผิดเลยเทียวคุณรตี”

   “ปริกเป็นต้นคิดเรื่องให้ฉันเป็นลมแล้วคุณพี่จะได้ยอมรับปากวิ่งแก้บนอย่างไรล่ะ เพราะฉะนั้น ปริกรู้สึกผิดก็ถูกแล้ว”

   แววตาซุกซนระริกไหวยามเอ่ยออกมา ทำเอาปริกอยากจะหยิกให้เนื้อเขียว แต่ก็ได้แต่ส่ายหน้ารำพึงรำพัน

   “สงสารท่านอำนาจเธอนะเจ้าคะ หลงเมียจนยอมสาบานแทนให้ มารยาหญิง ๕๐๐ เล่มเกวียน คุณมารตีใช้แค่ครึ่งเกวียน ท่านอำนาจก็ไปไหนไม่รอดแล้ว”
   


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ู^-^rockiidixon666 ไปขึ้นเรือเหาะเจ๊ทด้วยกันไหมคะ  :hao3:
ู^-^Chise ดีใจที่ชอบค่า ถ้าถูกใจก็แวะมาบ่อยๆ นะคะ  :mew1:
ู^-^alternative เดี๋ยวจะเด็ดมาให้ดมค่ะ 55555 หอมชื่นนนนจายยยย  :-[
ู^-^maneethewa มาแล้วค่าาาาา

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ขอบคุณที่แวะมาอ่านและเม้นท์ให้กำลังใจนะคะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
 :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คนรักเมียย่อมเป็นเหยื่อของเมียฉลาดและเพื่อนคู่คิดอย่างคนสนิท ฮ่า ๆ ๆ ๆ

ว่าแต่....พี่พุดค่าตัวแพงมาก ตอนนี้ไม่โผล่เลย
มาให้แฟนคลับดมหน่อยเร้ววววว

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ qq_oo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-4
สนุกมากเลย อ่านแล้วคลายเครียดดี เดาทางไม่ถูกเลย แต่ชอบนิยายแนวฟิลกู้ดจริงๆ รอๆๆตอนต่อไป

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

สนุกดี
เราจะตามอ่าน

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด