พิมพ์หน้านี้ - แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: p-n-t ที่ 26-09-2017 08:31:10

หัวข้อ: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 26-09-2017 08:31:10
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ลำนำกาล
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 26-09-2017 08:41:42
สวัสดีค่า P-N-T เป็นนามปากกาเดียวกับ "เจี่ยเจีย" เองค่า

ตอนนี้มี IP เป็นของตัวเองแล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

นิยายที่เขียนจบไปแล้วคือ "มังกรกานต์" เป็นนิยายแนวแฟนตาซี ฟีลกู้ดค่า สนใจตามลิงค์ไปอ่านได้เลยค่ะ

มังกรกานต์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56248.0)

ตอนนี้มีนิยายเรื่องใหม่ที่อยู่ในระหว่างการแต่งมาให้ลองอ่านดูค่ะ เผื่อใครจะชอบแนวนี้

คือเรื่อง "ลำนำกาล" ฝากน้อง "กาล" ไว้พิจารณาด้วยนะคะ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@




บทนำ



   “สวัสดีครับหลวงตา”

   ภิกษุชราวางถ้วยน้ำชาลงก่อนหันไปตามเสียงทักทาย ทันเห็นอากัปกิริยาคลานเข่าปราดๆ มานั่งพนมมือพับเพียบแต้อยู่ตรงหน้า

   “อ้อ เจ้ากาล กลับมาแล้วเรอะ”

   “หลวงตาจ๋า วันนี้มีอะไรเหลือๆให้หนูกินบ้างไหมจ๊ะ หนูหิ๊ว หิว” ปากก็พูด มือก็บีบนวดประจบเอาใจหลวงตาผู้ชุบเลี้ยงเด็กกำพร้านามว่า เวลา  เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล มาตั้งแต่เป็นทารกแบเบาะ

   “อุบ๊ะ!! เจ้านี่ มาถึงก็ถามหาของกินก่อนเลยนะเอ็ง”

   มือเหี่ยวย่นเลื่อนถาดใส่ขนมนมเนยที่มีญาติโยมนำมาถวายใส่บาตรตั้งแต่ช่วงเช้าไปเบื้องหน้าเด็กในอุปการะที่รักดุจลูกในอุทร สังขารอาจร่วงโรยไปตามวัยแต่ดวงตายังใสกระจ่างแจ่มชัดพินิจดูบุคคลตรงหน้าอย่างครุ่นคิด

   “กาลเอ๊ย ปีนี้เอ็งอายุเท่าไหร่แล้วนะ”

   ปากที่เคี้ยวตุ้ยๆ รีบกลืนขนมลงคอก่อนตอบเสียงใส

    “ปีนี้หนู 18 แล้วจ้ะหลวงตา เดี๋ยวพอสอบเสร็จ หนูก็จบ ม.6 ทีนี้หนูจะออกหางานทำ เอาเงินมาซื้อฟันปลอมชุดใหม่ให้หลวงตาดีมั้ยจ๊ะ”

   เพี๊ยะ! เสียงฟาดไม่แรงไม่เบาลงบนโคนขาเรียกเสียงครางโอดโอยจากคนช่างยั่วได้ทันที

   “เฮ้ออ โตแล้วนะเอ็งน่ะ พูดจาอะไรเป็นเล่นไปเสียหมด ถ้าไม่มีข้าคอยให้ท้ายเอ็งอยู่ แล้วต่อไปเอ็งจะทำยังไง”

   มือเหี่ยวย่นที่เอื้อมมาลูบหัวแผ่วๆ อดที่จะสั่นน้อยๆ ไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมา ทะเลาะกันบ้าง ตบตีกันบ้างไปตามประสา เลี้ยงมาตั้งกะตีนเท่าฝาหอยจนตอนนี้หะ...หู ใหญ่กว่าเดิมตั้งเยอะ ไอ้ความผูกพันนี่มันเหนียวจริง แต่ยังไงก็ต้องตัดใจให้ขาด

   “เอ็งอยากกินมะยมแช่อิ่มไหมเจ้ากาล” พูดพลางเลื่อนจานใส่มะยมแช่อิ่มที่เรียงรายไว้หลายไม้ส่งให้

   “อ๊ะๆ วันนี้หลวงตามาแปลก ปกติห้ามนักห้ามหนาไม่ให้หนูกินอะไรที่มีเมล็ด นึกยังไงวันนี้ชวนหนูกินได้จ๊ะ”

   พูดจบก็คว้ามาไม้นึงกัดรูดกินอย่างสมใจ วันนี้แหละไอ้กาลจะสวาปามให้ชุ่มปอดเลยคอยดู อยากมานนานแล้ว ขณะที่แทะกินอย่างเพลิดเพลินก็พลันสบเข้ากับดวงตาที่มองมาอย่างห่วงหา ใจของเวลากระตุกวูบกำลังจะเอ่ยปากถาม เม็ดมะยมเจ้ากรรมก็ลื่นไถลลงหลอดลมจนสำลักกระอักกระไอจนหน้าแดง

   หลวงตาเอ่ยเสียงสั่นหากแต่ยังคงความสุขุมเต็มเปี่ยม

   “ไปอยู่ทางโน้นก็ดูแลตัวเองดีๆ เอ็งน่ะมันทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องไปซะหมดมีดีแค่ปากที่ช่างจำนรรจานี่ล่ะ บุญรักษานะเอ็ง ขอให้ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าจงประสบแต่ความสำเร็จมีแต่คนรักใคร่นะลูก”

   หายใจไม่ออก กาลสำลักไอไปก็งุนงงไป ทำไมหลวงตานั่งมองไม่ช่วยเหลือเขา พูดสั่งเสียอะไรยืดยาวเขาฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ตอนนี้ทรมานจะแย่แล้ว ไอจนเจ็บคอ เจ็บหน้าอกไปหมด ก่อนสำนึกสุดท้ายจะสิ้นไปก็รู้สึกถึงมืออุ่นๆ ที่ลูบหัวชวนให้รู้สึกสบายพร้อมถ้อยคำกระซิบ

   “หลวงตารักเอ็งนะกาล”


:L2: :L2: :pig2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ลำนำกาล
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-09-2017 09:10:28
มาจากมิติอื่นหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ลำนำกาล
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-09-2017 10:05:08
หลวงตาก็คงรู้สินะคะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: ลำนำกาล
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 26-09-2017 11:55:17
ยังไงๆมาลงชื่อติดตาม
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทนำ (26/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 26-09-2017 18:37:15
ตามอ่านจ้า
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 27-09-2017 08:17:20
บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล


   กลิ่นยาไทยคลุ้งตลบอบอวลเต็มห้อง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบไต่ถามถึงร่างที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนที่นอน รูปร่างที่แบบบางอยู่แล้วยิ่งแทบจมลึกลงไปบนฟูก ใบหน้าซีดขาวหลับตาพริ้มเหมือนคนนอนหลับไปเสียเฉยๆ หากเป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ไม่ยอมตื่น หัวอกคนเป็นแม่ปิ่มว่าจะขาดใจ  มือหนึ่งจับมือบุตรชายโทนคนเดียวไว้มั่น อีกมือก็คอยยกชายผ้าแถบซับบริเวณหัวตาป้อยๆ ป้องกันมิให้หยาดน้ำตาตกต้องผิวหน้าบุตรชายด้วยเกรงจะเป็นลางร้ายเสีย

   “ลูกต้องไม่เป็นไรนะแม่นะ อย่าเพิ่งวิตกตีตนไปก่อนไข้ ทั้งหมอไทยหมอฝรั่งต่างก็คิดเห็นตรงกันว่าเจ้ากาลเพียงอ่อนเพลียไปเท่านั้น อีกกะเดี๋ยวก็คงฟื้นคืนสติ”

   “ใครมันแอบเอามะยมแช่อิ่มให้ลูกข้ากิน หาตัวพบหรือไม่ ข้าจะลงหวายมันเสียให้หลังขาด ท่านเจ้าประคุณที่วัดใหญ่สั่งไว้เสียเป็นหนักหนา ห้ามมิให้ลูกข้าได้รับทานสิ่งของอันมีเมล็ด แล้วอ้ายอีคนใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งข้า!!!”

   บ่าวไพร่ที่นั่งตัวสั่นงันงกได้แต่ก้มหน้าคางชิดจรดอกมิกล้าเงยสบตาผู้เป็นนาย มีเพียงนางปริกบ่าวต้นห้องของคุณหนูกาลที่กล้าเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก

   “เป็นคุณหนูหักหาญจะเอาให้ได้อย่างใจเจ้าค่ะ บ่าวห้ามแล้วห้ามอีก แต่คุณหนูเธอกลับทุบตีบ่าวแล้วขืนแย่งไปจนได้ เพียงคำเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ คุณหนูก็สำลักหน้าแดงแล้วลมตึงลงแน่นิ่งไปเจ้าค่ะ” ท้ายเสียงกระอืดๆน้ำตาเข้าน้ำตาออกอยู่เป็นพักกว่าจะจบเนื้อความ

   ได้ยินความดังนั้น คุณมารตี เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล ก็ส่ายหน้า ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าบุตรหัวแก้วหัวแหวนของตนนั้นดื้อรั้นเพียงใด อารมณ์หรือก็ร้ายเป็นที่หนึ่ง ไม่ได้ดั่งใจอะไรก็ตรงเข้าทุบตี  ดูร่องรอยฟกช้ำบนตัวนางปริกก็พอจะเดาเรื่องได้  ก็กว่าจะได้ลูกคนนี้มา เธอกับสามีเที่ยวได้บนบานศาลกล่าวไปทั่วกว่าจะมีลูกกับเขาสักคนก็ช่างยากเย็น มิหนำซ้ำพอเกิดมาร่างกายก็อ่อนแอขี้โรคเสียอย่างนั้น เธอจึงทั้งรักทั้งตามใจ  มีอะไรก็ทูนหัวทูลเกล้าให้เสียทุกอย่าง ตาหนูจึงออกจะเป็นเด็กเอาแต่ใจไปอยู่บ้าง หากความเอาแต่ใจในหนนี้ช่างชวนให้หวาดวิตกนัก ด้วยคาบเกี่ยวพัวพันกับชีวิตน้อยๆ ของเจ้าตัวเสียนี่ ฟื้นขึ้นมาล่ะแม่จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียวเจ้า

   “น้องก็อย่าพึ่งไปคาดคั้นหาความอันใดกับพวกบ่าวไพร่มันเลย เอาเวลาไปจัดเตรียมสั่งพวกในโรงครัวให้ดูแลเตรียมหุงหาข้าวปลาไว้ให้ถึงพร้อมจักเป็นการดีเสียกว่า เพลาที่เจ้ากาลฟื้นคืนสติมา จักได้จัดสำรับให้ลูกมันได้”

   เศรษฐีอำนาจ เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเอ่ยปากเบี่ยงเบนความสนใจของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ไอ้ความโศกเศร้านั้นตัวเขาก็มีแน่ หากความที่เป็นเสาหลักของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลแห่งนี้ ทำให้เขาต้องยืนหยัดฝืนข่มความหม่นหมองกลืนลงท้องไป นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งพระคุณเจ้าที่วัดใหญ่พร่ำเตือนว่าอย่าให้เจ้ากาลได้รับอันใดที่มีเมล็ดก่อนอายุ ๑๘ เป็นเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ วันนี้เป็นวันที่บุตรชายของตนจะมีอายุครบกำหนดพอดี เหตุก็ดันมาเกิดล่วงหน้าเพียงสามวัน ลูกพ่อเอ๋ย...ทำไมจึงดื้อรั้นจนได้เรื่องเยี่ยงนี้

   คุณมารตียกชายผ้าแถบขึ้นซับน้ำตาตรงบริเวณหัวตาอีกครั้ง ขยับกายเตรียมสั่งการบ่าวไพร่ในเรือนครัว หากแรงกระตุกในอุ้งมือทำให้หยุดชะงัก เหลียวมองใบหน้าลูกรักบนฟูกก็เห็นเปลือกตาขยับไหวก่อนที่แพขนตางอนยาวจะสั่นระริกขยับลืมตามองด้วยความงุนงง

   “ลูกกาลฟื้นแล้ว คุณพี่เจ้าคะ ลูกฟื้นแล้ว”

   น้ำตาไม่รู้จากที่ไหนไหลทะลักลงนองหน้าคุณมารตีพรากๆ หากริมฝีปากกลับยิ้มกว้างอย่างสมใจ ทางนึงลูบหัวลูบหูบุตรชายอย่างทะนุถนอม ทางนึงก็ตะโกนเรียกสามีเสียงหลง

   “เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บปวดตรงที่ใดบอกแม่เถิด แม่จักเร่งให้หมอเข้ามาดูอาการ”

   กาลกระพริบตาปริบรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนบริเวณศีรษะและรู้สึกได้ถึงความรักความเอาใจใส่ที่ทุกคนในห้องนี้มีให้กับเขา เพียงแต่...ที่นี่มันที่ไหนกันวะ!!

   ผู้คนรอบข้างล้วนแต่งกายประหลาด ผู้หญิงมีทั้งนุ่งซิ่น นุ่งโจง ไว้ผมปีกก็มี ทรงดอกกระทุ่มก็มา ผู้ชายไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอแล้วตลบไปห้อยชายไว้ด้านหลัง แม่เจ้า!! ดูจากสภาพแล้วยุคเดียวกะพี่ขุนไกร น้องดาวเรืองชัดๆ หลวงตาจ๋า ที่นี่ที่หนายยย

   “เป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะฮึเจ้ากาล เอ้อ..ไอ้ลูกคนนี้นอนหลับไปสามวันตื่นขึ้นมาก็ไม่พูดไม่จา จ้องมองคนนู้นทีคนนี้ทีตาปริบๆ ตอบคำถามให้แม่เอ็งเขาชื่นใจหน่อยสิเล่า เขานั่งเฝ้าเอ็งมาสามวันกับอีกสองคืนไม่เป็นอันกินอันนอนแล้ว”

   “แหม คุณพี่ก็ช่างเย้านัก ตัวคุณพี่เองก็เร่งหามดหาหมอพามารักษาลูก เดินเข้าเดินออกเรือนเสียจนธรณีประตูแทบสึก  ใครกันเล่าที่รับสำรับได้เท่ากับแมวดม ถ้าอิฉันไม่คอยคะยั้นคะยอ ป่านนี้คงมีคนล้มหมอนนอนเสื่อเพิ่มมาเสียอีกคนก็มิรู้”

   สองคนผัวเมียกระเซ้าเย้าแหย่กันไปมา   บรรยากาศชื่นมื่นที่ลูกรักฟื้นคืนกลับ แต่ไอ้คนบนเตียงนี่สิ งงเป็นไก่ตาแตก อย่าบอกนะว่าเขาย้อนอดีตกลับมาแบบในหนัง แล้วชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง แต่ก่อนจะไปนึกถึงชีวิตในอนาคต จะตอบคำถามสองคนผัวเมียนี่ยังไงดีวะ เมื่อกี๊ยังคุยเล่นกันจี๋จ๋า พอเขาเงียบนานๆ เข้าบรรยากาศในห้องก็พลันอึดอัดขึ้นตามไปด้วย กาลอึกๆ อักๆ อยู่อีกพัก  ก่อนจะตัดสินใจยิ้มหวานอันป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวส่งเป็นทัพหน้านำไปก่อน ตามด้วยการเอ่ยปากพูดเสียงฉาดฉาน

   “เอ่อ..หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

   “หืม ตื่นมาก็ประจบพูดจาหวานหูเชียวนะ จะถามสิ่งใดเล่าเจ้า”

   “คือ ที่นี่ที่ไหนเหรอจ๊ะ?”

   สิ้นคำถามความโกลาหลก็พลันบังเกิด คุณมารตีเบิกตาโตเป็นลมล้มพับไปบนที่นอนบุตรชายนั่นเอง ข้างฝ่ายเศรษฐีอำนาจก็ตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่ให้ไปตามทั้งหมอไทยหมอเทศให้จ้าละหวั่น  ทั้งเรือนตกอยู่ในความวุ่นวาย นายบ่าวเดินสวนกันให้ขวักไขว่

   หลังจากใช้ไฟฉายตรวจดูการตอบสนองของม่านตาเสร็จสิ้น นายแพทย์หนุ่มใหญ่ก็หันมาไล่เรียงถามเหตุการณ์โดยละเอียดอีกครั้ง

   “พอคุณกาลสำลักเม็ดมะยม ใครเป็นคนมาพบเจอครั้งแรกกระนั้นรึ”

   ต้นห้องควบตำแหน่งพี่เลี้ยงที่ชื่อนางปริกคลานตุ้บตั้บออกมาด้านหน้า หน้าตาสงบสำรวมเตรียมตอบทุกข้อคำถามมิให้ตกหล่น ด้วยเกี่ยวข้องกับอาการป่วยไข้ของคุณหนูที่เธอรักยิ่งจะให้มีข้อผิดพลาดหาได้ไม่

   คุณหมอขยับแว่นตาที่เลื่อนตกลงมาให้เข้าที่ถามเสียงเนิบช้า
 
   “ถ้าอย่างนั้นแม่ปริกเล่ามาโดยละเอียดดูอีกที ใจเย็นๆ ค่อยๆ เรียบเรียงถ้อยความ หากหาสาเหตุเจอ เราจักได้เร่งทำการรักษาคุณกาลเธอได้ถูกเหตุ”

   นางปริกหลับตารวบรวมสติสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนค่อยๆ เรียงลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียดลออ

   “ตอนนั้นเป็นเพลาบ่ายแก่ๆ เจ้าค่ะ อิฉันกำลังนำมะยมแช่อิ่มไปเก็บที่เรือนครัว คุณหนูกาลเธอกลับมาจากโรงเรียนเร็วนัก พอเธอเห็นเธอก็เอ่ยปากอยากชิม อิฉันบอกว่าไม่ได้ เธอก็ตรงเข้ามายื้อแย่งได้ไปไม้นึง ยังไม่ทันที่อิฉันจะเอ่ยปากห้ามปราม เธอก็เอาเข้าปากเสียแล้ว” เล่าถึงตรงนี้นางปริกก็นึกเสียใจที่ทัดทานคุณหนูกาลไว้ไม่ทัน คิดแล้วยังใจหาย ถ้าคุณหนูเธอไม่ฟื้นขึ้นมาเล่า...

   “เล่าต่อเถิดแม่ปริก อย่ามัวคิดถึงสิ่งผิดที่ได้ผ่านไปแล้ว” ท่านเศรษฐีอำนาจเอ่ยกระตุ้นเตือนอย่างเข้าใจ

   “อิฉันเห็นคุณหนูเธอยังพอมีสติอยู่จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น  โดยการกอดจากทางด้านหลังใช้มือประสานกันดันมือขึ้นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อัดเข้าท้องซ้ำๆ ขึ้นด้านบน  เพื่อให้เม็ดมะยมหลุดออกมา  แต่ก็หายอมหลุดไม่ จนคุณหนูเธอหมดสติไปเจ้าค่ะ”

   “แม่ปริกทำถูกต้องตามหลักการทุกอย่างแล้วจงอย่าวิตกกังวลไปเลย แม่ปริกมีสติดีมากในสถานการณ์ฉุกละหุกเช่นนั้น แล้วคุณกาลเธอหมดสติไปนานเท่าใดรึ”

   “๑ นาที ๔๒ วินาทีเจ้าค่ะ อิฉันจับเวลาไปด้วย เร่งตามบ่าวไพร่มาพาคุณหนูขึ้นเรือนไปด้วย”

   “อืม ก็นับว่านานพอควร ท่านเศรษฐีขอรับ กระผมใคร่ขอวินิจฉัยว่า ที่คุณหนูฟื้นขึ้นมาครานี้แล้วจำสิ่งใดไม่ได้ สาเหตุมาจากการที่ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอตอนที่สิ้นสติไป สมองจึงสูญเสียความทรงจำขอรับ”

   เอิ๊กกก เสียงเรอเพราะโดนลมสว้านตีขึ้นจุกอกของคุณมารตีเรียกสติของบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่นั่งนิ่งตะลึงงันกับคำวินิจฉัยของคุณหมอให้กลับมามีสติกับปัจจุบันแล้ววิ่งหายาลมยาหอมส่งให้ภรรยาเจ้าของเรือนกันให้มือเป็นระวิง

   คุณมารตีที่พึ่งฟื้นจาการเป็นลมแทบจะเป็นลมซ้ำไปอีกรอบ  ในหัวอกบีบรัดเจ็บปวดเสียยิ่งนัก

   “หนูกาล หนูกาลลูกแม่ อพิโธ่อพิถัง เวรกรรมอันใดเล่าลูกเอ๋ย กว่าจะได้เกิดมาก็ยากเย็น ร่างกายรึก็กระเสาะกระแสะสามวันดีสี่วันไข้อยู่เนืองๆ นี่มาสูญเสียความทรงจำอีกลูกเอ๋ย”

   ผู้เป็นมารดาพิลาปรำพันไปกอดจูบลูบหัวไปด้วยความสงสารท่วมท้น สองมือประคองแก้มลูกชายพินิจพิจารณาพลางสูดหายใจเข้าเรียกสติ ปากแกมคิ้วคางนี่ก็ลูกแม่ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แม่จำเจ้าได้ก็พอแล้ว

   เวลาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของคุณมารตีด้วยไม่เคยคุ้นกับสัมผัสโอบกอดเช่นนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่หลวงตาเป็นผู้ปกครองเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นชายด้วยกันทั้งคู่จะให้มากอดรัดฟัดเหวี่ยงมันก็ออกจะขัดเขิน  พอมาเจออ้อมแขนของมารดา (ของคนอื่น) ก็กระอักกระอ่วนใจได้แต่ค่อยๆ เบี่ยงตัวออกมา

   ดีที่คุณหมอบอกว่าเขาความจำเสื่อม (แน่ล่ะ ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ซักอย่างนี่) ตกลงนี่มันยุคสมัยไหนกันแน่หว่า การแพทย์ก็ดูเจริญก้าวหน้าดี อย่าพึ่งไปคิดเลยก็แล้วกันไอ้กาลท่าทางจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานค่อยๆ คิดหาลู่ทางไปก็แล้วกัน  ว่าแต่ตอนนี้หิวชะมัด ขอข้าวพวกคุณๆ เขากินก่อนดีกว่า ดูท่าทางจะรักลูกที่เป็นเจ้าของร่างนี่มากอยู่ ข้าวซักจานน่าจะพอหามาให้ได้ล่ะเนอะ ด้านได้อายอดเว้ย คิดเสร็จก็ยื่นมือไปสะกิดท่อนแขนของคนตรงหน้าพร้อมทั้งเอ่ยปากเรียก

   “คุณๆ”

   แม่ของเจ้าของร่างผงะไปครู่ใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มมีเมตตามาให้กาลได้ใจชื้น

   “เรียกคุณแม่ซิเจ้า”

   “คุณแม่จ๋า..หนูหิว เอ่อ พอจะมีข้าวให้หนูซักจานไหมจ๊ะ”

   คุณมารตีใจอ่อนวูบทันที นานหนักหนาแล้วที่บุตรชายไม่ได้พุดจาประจบออเซาะฉอเลาะเธอเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบกระหม่อมด้วยความมันเขี้ยว ยิ่งเจ้าตัวดีมีอาการอายหน้าแดงนางก็ยิ่งยิ้มแย้มเบิกบาน

   “โตเป็นหนุ่มแล้วให้แม่หอมมิได้หรือเจ้า ดูสิเขินเป็นนางอายเชียว”

   “น้องก็ไปแกล้งลูก ลูกบ่นหิวอยู่หนา เร่งจัดสำรับก่อนเถิด”

   คนบ้านนี้ปรับตัวปรับอารมณ์กันเก่งแฮะ เมื่อครู่ยังออกอาการตกอกตกใจกันจะแย่ พอทำใจได้ว่าลูกความจำเสื่อมแน่นอนแล้วก็หันมาพูดคุยหยอกล้อกันได้เหมือนเดิม

   เสียงประมุขของบ้านสั่งการให้เตรียมหากับข้าวกับปลามาให้ลูกรัก ทำเอาบ่าวไพร่อมยิ้มกันแก้มตุ่ย น้อยครั้งนักที่ท่านเศรษฐีอำนาจจะเป็นยุ่งเกี่ยวกับอาหารการกิน นี่คงเป็นเพราะบุตรชายเป็นคนเอ่ยปากว่าหิวจึงลงมือสั่งเองเป็นการใหญ่

   “พ่อก็ชักจะหิวแล้วเหมือนกัน ไม่ได้นั่งเปิบข้าวพร้อมกันพ่อแม่ลูกมานานแล้ว มาๆ แม่รตีปล่อยลูกออกจากอกมาเปิบข้าวเสียพร้อมกัน เสียดายที่ไม่รู้ว่าเจ้าจักฟื้นวันนี้เลยมิได้สั่งให้อ้ายมีไปซื้อเป็ดย่าง โฟร์ ซีซั่น ที่เจ้าชอบมาเตรียมไว้”

   กาลกำลังหิวจนตาลายจึงไม่ทันได้ฟังอะไรทั้งสิ้น  ลุกจากเตียงสี่เสาได้ร่างกายโอนเอนเล็กน้อย  แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการกิน  ยังคงก้าวเดินไปตามทิศทางที่มีกลิ่นอาหารลอยมาอย่างใจจดจ่อ เกือบมาเสียท่าอีตรงสะดุดธรณีประตูเซหลุนๆ นี่แหละ บ่าวไพร่อมยิ้มปิดปากหัวเราะกันคิกคักๆ หาดูง่ายเสียเมื่อไหร่ คุณหนูกาลคนที่เดินเหินศีรษะตรงแน่วหลังไหล่เชิดสง่าวางท่าสูงศักดิ์อยู่ตลอดเวลาจะมาเสียกิริยาเช่นนี้

   เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบดังลอดเข้าหูมา  แต่กาลไม่มีเวลาไปสนใจ นาทีนี้เขาหิวจนท้องไส้แสบไปหมด  ใครจะพูดจะนินทาอะไรก็ช่าง ไอ้กาลจะแหลกช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว จนเมื่อคุณมารตีปรายตามองบรรดาบ่าวไพร่ด้วยหางตา เสียงซุบซิบนินทาก็เงียบลงในทันใด

   “หนูกาล เดินช้าๆ หน่อยซิเจ้า หิวเพียงไรก็อย่าลุกลี้ลุกลนนักไม่งามตาเอาเสียเลย” ปากพูดเหมือนตำหนิติติงหากมือประคองให้บุตรชายก้าวข้ามธรณีประตูโดยสะดวก

   พอก้าวเท้าพ้นธรณีประตูออกมากาลถึงกับผิวปากวิ้ว  เรียกฝ่ามือที่ต้นแขนได้ครั้งหนึ่ง  ก็จะไม่ให้ถูกอกถูกใจอย่างไรไหว  ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือชานเรือนกว้างโปร่งสบายตา นอกชานปลูกไม้กระถางออกดอกเล็กสวยงามที่เห็นวงอยู่ใกล้กระถางตะโกดัดนั่นน่าจะเป็นอ่างปลา... ปลาเผา วิวทิวทัศน์บริเวณนอกชานไม่สามารถฉุดรั้งนายเวลาให้ชื่นชมได้อีกแล้ว  เมื่อสายตาปะทะเข้ากับปลาเผาตัวเขื่องที่ใส่ถาดรองด้วยใบตองตั้งเด่นเป็นสง่าบนยกพื้นที่ชานเรือน

   “วันนี้มีแต่เครื่องไทยนะเจ้ากาล เครื่องฝรั่งพวกในเรือนครัวจัดหาให้เจ้าไม่ทัน ทนฝืนรับสำรับไปเสียครั้งหนึ่งก่อนเถิดเจ้า วันพรุ่งพ่อจะให้เขาจัดหามาให้ใหม่”

   ท่านอำนาจนั่งลงข้างบุตรชายรีบเร่งสาธยายรายการอาหารด้วยกลัวบุตรชายจะไม่โปรดปราน

   “มีเนื้อเค็มต้มกะทิ รสออกเปรี้ยวเค็มน่าจะคล่องคอนัก”

   “หรือจะเป็นยำทวายดีลูกออกรสเปรี้ยวหวานรสไม่จัดนัก พึ่งฟื้นขึ้นมากินรสจัดนักจะเสาะท้องเอาได้” คุณมารตีก็ไม่ยอมน้อยหน้าเลื่อนจานยำทวายไปให้บุตรชายชิม

   อาหารละลานตาที่อยู่เบื้องหน้าจัดมาในจานชามสีเขียวอ่อนดูหรูหราตะการตา (มาทราบเอาทีหลังว่าสีเขียวอ่อนๆ อย่างนี้คุณแม่ท่านว่าเรียกศิลาดล) สำรับหลากหลายประดามีดูวิจิตรบรรจงจนกาลไม่กล้าหยิบจับ ผักสลักรูปใบไม้ที่จัดวางเคียงมากับชุดน้ำพริกกะปิแลดูอ่อนช้อยงดงาม กวาดตาดูจนทั่วแล้วไอ้เจ้าปลาเผาที่เหล่ไว้ตอนแรกท่าจะธรรมดาสุด มองซ้ายมองขวาหาช้อนส้อมไม่มี มีแต่ช้อนกลาง เอาวะ!!! มือนี่แหละ อุปกรณ์กินข้าวที่มีมาแต่กำเนิด เอื้อมแขนยาวไปกลางวงตรงเป้าหมายที่เล็งไว้แล้วก็

   “เพี๊ยะ!!” มือเรียวของคุณมารตีฟาดเข้าให้ที่ต้นแขนบุตรชายทันที

   คุณมารตีเลื่อนชามล้างมือโรยกลีบกุหลาบหอมกรุ่นให้บุตรชาย  หากเมื่อเห็นตาแป๋วที่จ้องตอบมาก็นึกเอ็นดูนัก  เอ... ความจำเสื่อมนี่จำวิธีการดำเนินชีวิตและกินข้าวกินปลามิได้เชียวรึ  แต่เอาเถิดหนา  เหมือนมีลูกแดงมาให้ดูแลใหม่ตั้งแต่แรกเริ่ม  ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป  คงได้สนุกกันพิลึกล่ะ

   “ล้างมือก่อนสิเจ้า  หนูกาล  หลงลืมสิ่งใดก็ลืมได้  หากกิริยามารยาทไซร้  จงอย่าให้พร่องไปเชียวหนา  หากเจ้าจำมิได้  จงดูตามแม่ให้ดี”

   พูดจบคุณมารตีก็ใช้นิ้วมือจุ่มลงล้างในชามเพียงข้อนิ้ว  หาแช่ลงไปทั้งมือไม่  จากนั้นจึงหยิบผ้าที่อบร่ำวางไว้ด้านข้างยกขึ้นเช็ด  ลงมือแกะเนื้อปลาเลาะก้างออกอย่างรวดเร็ว  วางลงในจานบุตรชายแล้วชักชวนให้เปิบข้าวไปพร้อมกัน

   กาลเฝ้ามองตาม  นิ้วโป้ง  นิ้วชี้  นิ้วกลางบีบข้าวให้ไม่เกินข้อนิ้วแรก  จากนั้นจึงส่งประคองเข้าปาก  ท่าทางอาจดูเก้กังไปบ้าง  เม็ดข้าวร่วงหล่นไปบ้าง  หากช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาของมารดา   

   กว่ามื้ออาหารจะผ่านพ้นไป  ก็เล่นเอาลุ้นกันจนเหนื่อยทั้งคนกิน  ทั้งคนเอาใจช่วย  ระหว่างบ่าวไพร่ลำเลียงสำรับอาหารไปเก็บ  แล้วนำของหวานล้างปากขึ้นวางรอท่า  ท่านอำนาจนึกครึ้มในอกยิ่ง  จึงเรียกตัวนายพุดขึ้นมาแสดงฝีมือเป่าขลุ่ยให้ได้สำราญรับขวัญบุตรชาย

   “ใครว่างไปตามตัวเจ้าพุดมาที  นี่มันรู้หรือยังเล่าว่านายน้อยทูนหัวทูนเกล้าของมันฟื้นแล้ว  เรียกให้มันมาเป่าขลุ่ยให้ข้ากับลูกฟังสักเพลงสองเพสงซิ”

   “กระผมอยู่นี่ขอรับ”

   สิ้นเสียงขานรับ  ชายไทยรูปร่างสูงใหญ่  ผีวสีคร้ามเข้มนุ่งเพียงโจงกระเบน  เสื้อแสงไม่ใส่  โชว์กล้ามเนื้อสวยงามเรียงเป็นลอนชัดเจน  นับรวมได้ทั้งสิ้น 6 มัดก็คลานเข่าเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเวลา

   สายตาที่เงยขึ้นสบ  แฝงไปด้วยความห่วงหาเว้าวอนระคนทุกข์ร้อนเป็นกังวล  ทำให้กาลรู้สึกสงสัย  ในแววตาของคนคู่หนึ่งนั้นสามารถบอกอารมณ์ได้หลากหลายขนาดนี้เชียวหรือ  ว่าแต่... อีตาพุดนี่ชักยังไง  คนพ่อเรียกหา  กลับมานั่งส่งสายตาให้คนลูกเสียอย่างนั้น

   “อุบ๊ะ! เจ้าพุด  ข้าเป็นคนเรียกเอ็งหนา  หาใช่คุณกาลของเอ็งเรียกหาไม่  คุณรตีดูมันนะ  ไม่มีชายตาแลพี่สักนิดเชียว”

   เสียงเย้าแหย่หัวเราะคิกคักหาได้สอดแทรกเข้าไปทำลายบรรยากาศจ้องตากันของทั้งสองคนได้  หนึ่งจ้องอย่างสงสัยใคร่รู้ระคนงุนงง  หนึ่งจ้องจับตาอย่างกับจะกลืนกินลงท้องก็มิปาน  จนท่านอำนาจอดรนทนไม่ไหว  จึงได้ใช้ไม้เท้าเคาะพื้นเรียกสตินายพุด  หลังจากกระแอมเรียกจนเจ็บคอแล้วยังมิมีทีท่าจะได้ยิน

   “ท่านอำนาจประสงค์ฟังเพลงใดเล่าขอรับ  กระผมจะเล่นให้สุดฝีมือเทียว”

   “สุดแล้วแต่เอ็งเถิด  ข้าแค่ขออาศัยฟังเพียงเท่านั้น” ท่านอำนาจค้อนประหลับประเหลือก  ด้วยรู้ว่าเจ้าพุดคงเล่นให้คุณหนูกาลฟังเป็นหลักเป็นแน่แท้  ผู้อื่นทำได้เพียงอาศัยใบบุญเท่านั้น

   มือยกเลาขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก  หากตาคมดุคู่นั้นยังจับจ้องที่จุดหมายมิให้คลาดสายตา  ท่วงทำนองแผ่วพลิ้วดังขึ้น  เสียงดนตรีสูงๆ ต่ำๆ เป็นทำนองที่กาลรู้สึกคุ้นหูเหลือเกิน  ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างมาก  ขนาดไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องดนตรีอย่างเขา  ยังฟังออกว่าทำนองเพลงที่เล่นวนซ้ำๆ โน้ตเดิมๆ แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเพราะอย่างนี้นะ  ผู้ชายคนนี้เก่งจริงๆ คนบนเรือนเงียบกริบฟังพี่ท่านซะเพลินเลย  หาว... พออารมณ์ผ่อนคลายก็เริ่มง่วงงุน  นึกถึงเรื่องพระอภัยมณีตอนเป่าปี่ให้พี่พราห์มทั้งสามฟังจนหลับ  คงมีอารมณ์ประมาณนี้ล่ะมัง

   “เจ้าพุดเอ๋ย  เป่าขลุ่ยเสียจนคุณหนูของเอ็งหลับไปเสียแล้วกระมัง  ไปๆ พอก่อนเถิด  พานายเอ็งเข้านอนเถิดไป  เดี๋ยวข้ากับคุณรตีจะนั่งชมจันทร์ย้อนรอยสมัยหนุ่มสาวกันสักครู่  โอ๊ย! จะหยิกพี่ทำไมเล่าจ๊ะน้องรตี  พี่รักแต่น้อง  จึงอยากชมจันทร์คู่กับน้องเสียหน่อย  น้องจงภูมิใจที่พี่มิคิดอยากชมจันทร์กับสาวที่ไหนนอกจากแม่รตีเท่านั้นนะจ๊ะ”

   “ก็ลองพี่อำนาจหนีไปชมที่อื่นกับคนอื่นสิ  หึๆๆ อิฉันไม่เอาไว้แน่เจ้าค่ะ”

   “อูย... กลัวแล้วจ้ะเมียจ๋า  นี่แค่พูดเล่นพี่ยังขนลุกซู่ๆ เลย  แม่เจ้าประคุณเอ๋ย”

   สองหนุ่มสาว (วัยดึก) หยอกล้อคิกคักกันไปมา  พยักหน้าให้พุดที่เอ่ยปากลาขอพาคุณหนูเข้าห้องไปที  ก่อนจะกลับไปหัวร่อต่อกระซักกันต่อ

   พุดประคองร่างผอมที่ยิ่งผ่ายผอมมากกว่าเดิม  เพราะนอนหมดสติมาสามวันลงบนฟูกนอน  ปลดมุ้งลงเหน็บชายให้เรียบร้อยกันยุงและแมลงบินเข้ามารบกวน  เสร็จแล้วจึงนั่งแปะลงบนพื้น  เอื้อมมือเกลี่ยไรผมที่รุ่ยร่ายระข้างแก้มทัดใบหูให้เรียบร้อย

   “ทูนหัวของพี่เอ๋ย  ป่วยไข้ไปคราวนี้หัวใจพี่เจ็บนัก  เรื่องดื้อดึงน่ะยกให้เชียวนะเจ้า  พร่ำบอกพร่ำเตือนกันมาเท่าไหร่แล้วว่าห้ามกินของมีเมล็ด  เจ้าก็ยังฝืนกินจนได้  หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วพี่จะอยู่เยี่ยงไร  ยามที่เจ้าเจ็บลงไปนอนแดดิ้นบนพื้น  ใจพี่แทบขาดรอนๆ ยิ่งตอนเจ้า... เจ้าหยุดหายใจไป  พี่แทบอยากกลั้นใจตาม”

   เสียงสั่นเครือเจือสะอื้นทำให้คนที่กำลังเคลิ้มๆ หลับ  งัวเงียสลึมสลือฟัง  จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง  รับรู้ได้เพียงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่แผ่ออกมาจากร่างสูง  สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบบนศีรษะ  ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย  จนต้องขยับถูไถเข้ากับฝ่ามืออย่างติดใจ  หากความสงสัยก่อนนอนเกี่ยวกับชื่อเพลงยังรั้งสติอันน้อยนิดไว้ให้เอ่ยปากถามทั้งๆ ที่ก้าวขาเข้าสู่แดนนิทรารมย์ไปแล้วข้างหนึ่ง

   “เพลงเมื่อกี๊เพลงอะไรจ๊ะ”

   เสียงงึมงำถาม  เรียกความแปลกใจให้พุดยิ่งนัก  เพลงโปรดตัวเองแท้ๆ ยังจำมิได้  โถ... พ่อคุณของพี่  ใบหน้าคร้ามแดดก้มลงแอบสูดดมความหอมบริเวณกกหูก่อนกระซิบเสียงเบา

   “Canon in D ของ Johann Pachelbel ที่เจ้าชอบอย่างไรเล่า”

   เสียงระรัวกระซิบชื่อเพลงสำเนียงเจ้าของภาษา  ทำให้คนที่ตาปิดฟังไม่เข้าใจ  ฟังคล้ายๆ ชื่อเพลงคนดีหรืออะไรสักอย่าง  จึงปล่อยความสงสัยแล้วพาตัวเองดำดิ่งลงสู่ความฝันอันแสนหวานต่อไป


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 27-09-2017 08:48:45

   กลิ่นควันไฟที่ลอยอ้อยอิ่งผสานรวมกับกลิ่นไอน้ำค้างอันสดชื่นยามเช้า  ปลุกให้เวลาต้องลาจากเทพแห่งนิทราอย่างอาลัยอาวรณ์  เปลือกตากระพริบเปิดเชื่องช้าอย่างง่วงงุน  หากพอได้ลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายแล้วก็พลันตาสว่าง  มองไปรอบๆ ห้องเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ของโต๊ะตู้วางเรียงราย  แสงจากตะเกียงภายนอกส่องเข้ามาจุดความสว่างให้เห็นสิ่งของเพียงรางเลือน  ตอนนี้คงสักตีสี่ได้ไหมเนี่ย  ตัวเขาตื่นเช้าทุกวันเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว  ต้องยกความดีความชอบให้หลวงตา  ที่คอยปลุกให้ตามท่านไปบิณฑบาตทุกเช้า  พอได้เวลาตื่น  ต่อให้นอนดึกหรือเพลียแค่ไหนก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาได้เองโดยอัตโนมัติ

   เสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง  กาลจึงเดินไปเปิดออกดู  พบหญิงสาวสองคนกำลังขะมักเขม้นถูพื้นกันอยู่  พอพวกเธอทั้งสองเห็นเข้าต่างก็ตกใจทิ้งผ้าขี้ริ้วในมือลง  แล้วรีบนั่งก้มหน้าทันที  ปากก็ละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

   “คุณหนูกาลตื่นแล้วหรือเจ้าคะ  พวกอิฉันขอโทษที่ทำเสียงดังเจ้าค่ะ  คราวต่อไปจะระวังกว่านี้  ขอโทษจริงๆ หนาเจ้าคะ”

   กาลตกใจแตกตื่นขึ้นมาทันที  เราทำอะไรผิดหรือเปล่านะ  เอ๊ะ! แต่พี่เขาขอโทษเรานี่หว่า  หลังเรียบเรียงความคิดได้สักครู่จึงส่งยิ้มประจบประแจงไป

   “ขอโทษอะไรกันจ๊ะพี่  หนูตื่นนอนนานแล้ว  นี่กำลังจะออกมาถามว่าห้องน้ำไปทางไหน  อยากอาบน้ำจะแย่แล้วจ้ะ  เหนียวตัวชะมัดเลย”

   สองสาวขมวดคิ้วสงสัย  แต่เพียงครู่ก็นึกได้ว่าคุณหนูกาลเธอความจำเสื่อม  เธอคงจำอะไรมิได้  จึงบอกให้คุณหนูเข้าไปนั่งรอในห้องก่อน  ตนจะไปตามคุณปริกเธอมาเตรียมน้ำอาบให้

   ลับร่างคุณกาลไปแล้วสองคนก็ถอนหายใจยาวเหยียด

   “ดีนะคุณหนูคนใหม่นี่เธอไม่เจ้าอารมณ์แบบก่อนหน้านี้  ไม่อย่างนั้นข้ากะเอ็งโดนเธอเอ็ดเอาแต่เช้าแน่เทียว  ว่าแต่เอ็งเห็นที่คุณหนูเธอยิ้มเมื่อครู่ไหม”

   “เห็นสิเอ็ง  เธอยิ้มงามนัก  น่าจะยิ้มบ่อยๆ คงจะเข้าที”

   เดินไปคุยไปจนตามตัวคุณปริก ต้นห้องคุณหนูกาลได้  จึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ใครหน้าที่มัน

   เสียงเคาะประตู  ตามด้วยเสียงเปิดประตูแบบบานเฟี้ยมลั่นดังแอด  ทำให้กาลที่กำลังนั่งห้อยขาคิดอะไรเพลินๆ บนเสียงสี่เสาถึงกับสะดุ้ง

   “โถ... พ่อคุณ  บ่าวทำให้ตกใจเสียแล้ว  ขวัญเอ๊ยขวัญมานะเจ้าคะ”

   เออ! เจ้าของร่างนี้นี่มันยังไง  ทำอะไรนิดคนก็คอยขอโทษขอโพยตลอด  ท่าจะเป็นคนเจ้าอารมณ์น่าดู  หรือว่าเพราะเป็นลูกคนรวยหว่า  ดูจากที่มีบ่าวไพร่รับใช้เต็มบ้าน  ก็คงโดนสปอยด์มาตั้งแต่เด็กซะมั้ง  กาลมองตามแม่ปริกไปด้านหลังห้องจึงเห็นประตูที่ซ่อนไว้ด้านในอย่างแนบเนียนอีกบานหนึ่ง  เอาละเว้ย! ห้องน้ำในตัวซะด้วย  หรูหราน่าดู

   “เตรียมน้ำอาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ  อุ่นนิดๆ แบบที่คุณหนูเคยชอบ” พูดจบก็เอามืออุดปากตัวเองแทบไม่ทัน

   “มีอะไรหรือจ๊ะ  พูดออกมาเถอะ  หนูเองก็อยากรู้”

   “คือ... คุณรตีเธอสั่งไว้ว่าห้ามพูดเรื่องเมื่อก่อนน่ะเจ้าค่ะ”

   “อ้าว! ความจำเสื่อมนี่ไม่ใช่ต้องพูดกระตุ้นให้จำได้หรือจ๊ะ” (ถึงจะพูดเท่าไหร่ก็จำไม่ได้อยู่แล้วก็เถอะ)

   “เจ้าค่ะ  แต่คุณรตีกลัวคุณหนูจะสะเทือนใจ  ท่านว่าเดี๋ยวคุณหนูก็จำได้เอง”

   เป็นแม่ที่รักลูกมากๆ เลยคุณรตีคนนี้

   “ว่าแต่พี่ชื่ออะไรจ๊ะ  หนูจะได้เรียกถูก  แล้วก็  แล้วก็...” กาลอึกๆ อักๆ ก่อนตัดสินใจโพล่งคำถามออกไป

   “แล้วก็หนูชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”

   นางปริกครางโถ... เสียงยาว

   “อิฉันชื่อปริกเจ้าค่ะ  เลี้ยงคุณหนูมาตั้งกะตีนเท่าฝาหอย  ส่วนคุณหนูน่ะชื่อคุณหนูกาล  เป็นลูกของคุณแม่ชื่อมารตีกับคุณพ่อชื่อท่านอำนาจ  เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลอย่างไรล่ะเจ้าคะ  ตอนนี้ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายก่อนเถิด  หากอยากซักถามอันใด  อิฉันจักตอบให้ทุกข้อเลยเจ้าค่ะ”

   “ขอบคุณมากนะจ๊ะพี่ปริก” กาลส่งยิ้มหวานให้แล้วเปิดประตูเข้าไป  พบกับอ่างอาบน้ำสีขาวขนาดใหญ่  ใส่บั๊บเบิ้ล  บาธ  ตีฟองขึ้นฟูไว้แล้วก็ได้แต่ยิ้มค้าง  นี่มัน... อะไรวะเนี่ย  ไทยเราติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติช่วงยุคสมัยไหนวะ  เขามีอ่างอาบน้ำใช้กันแล้วเหรอ  คิดทบทวนถึงวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนแล้วก็ปวดหัว  สงสัยตอนหลับในห้อง  อาจารย์สอนแล้ว  แต่เราไม่ได้ฟัง  อาบให้เสร็จก่อนละกัน  ออกไปล่ะอยถามพี่ปริกเอาว่านี่มันยุคสมัยไหนกันแน่

   หลังจากล้างเนื้อตัวเรียบร้อย  กาลก็พาตัวเองมายืนที่หน้ากระจกบานใหญ่กลางห้องน้ำ (ไม่แปลกใจเรื่องกระจกแล้ว  หลังจากเจออ่างอาบน้ำไป) ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าซึ่งเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ทั้งรูปร่าง  หน้าตา  สีผิว  สีผม  แม้กระทั่งไฝเม็ดเล็กตรงติ่งหู  ก็ยังมีเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าร่างนี้มีด้านซ้าย  ส่วนเขามีไฝที่ตรงติ่งหูด้านขวา  มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกันสิน่า  เฮ้อ! มีแต่ปัญหา

   เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นผ้าวางไว้รอท่า  กาลย่นคอเรียกหานางปริกทันที  ด้วยมีแต่ผ้าโจงวางไว้  จะให้ถอดเสื้อเดินโชว์นมชมพูทั้งวันกาลยังใจไม่กล้าพอ

   นุ่งโจงเสร็จเรียบร้อย  ด้วยความช่วยเหลือของพี่ปริกแล้วก็ใส่เสื้อผ้าป่านคอกลมสีขาว  เพื่อความอุ่นใจ  มีแต่ผมที่ยาวประบ่านี่แหละที่รู้สึกรำคาญซะจริง

   “พี่ปริกจ๋า  พอจะมีเศษผ้าสักหน่อยไหมจ๊ะ  ผมยาวรุ่ยร่ายแบบนี้ไม่ถนัดเลย  หนูอยากผูกผมไว้ไม่ให้บังลูกกะตาน่ะจ้ะ”

   “รอกะเดี๋ยวนะเจ้าคะ  เดี๋ยวบ่าวไปเอามาให้”

   เสียงตุ้บตั้บจากไปไม่นานก็กลับมาพร้อมผ้าแดงผืนยาวประมาณศอกเศษ  กาลทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น  บุ้ยใบ้ชื้มือให้นางปริกมัดจุกให้ทีเพราะกลัวไม่แน่น  การกระทำเหมือนเมื่อครั้งเป็นเด็กน้อยเรียกน้ำตาให้รื้นคลอคลองนางพี่เลี้ยงเสียจริง  มืออวบอูมค่อยๆ สางผมมันเงาอย่างเบามือ  แล้วค่อยรวบครึ่งบนไว้กลางศีรษะ

   “จะมัดเป็นจุกหรืออยากเกล้าเจ้าคะ”

   “มัดเฉยๆ จ้ะ  เกล้าแล้วเดี๋ยวหล่อเกิน”

   คำตอบนี้เรียกเสียงหัวเราะคิกคักได้เป็นอย่างดี  ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จก็จับจูงกันเดินไปยังนอกชาน

   สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาในขณะนี้คืออะไร  กาลชะงักเท้ากึกจนนางปริกต้องหันมามองก่อนอุทาน

   “ตายจริง  วันนี้เครื่องฝรั่ง  อิฉันก็ลืมไป  จะกลับไปผลัดผ้าก่อนดีกว่าไหมเจ้าคะ”

   ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่เปลี่ยนชุดแล้วพี่ปริก  กาลคร่ำครวญในใจ  ประเด็นอยู่ตรงที่อาหารหน้าตาที่ดูก็รู้ว่าเป็นของพวกฝรั่ง (เคยเห็นในทีวีออกบ่อยไม่อยากจะคุย) จัดวางไว้อย่างหรูหรา  คุณพ่อใส่ชุดสูทเต็มยศนั่งไขว่ห้างจิบชา  ส่วนคุณแม่อยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มเรียบแต่ดูงามสง่า  เมื่อขยับตัวเอี้ยวมองมาจึงเห็นเข็มกลัดเพชรล้อแสงแดดวิบวับยามเช้า  บ่าวเมื่อวานใส่ชุดเมดยืนรับใช้อยู่ด้านข้างด้วยอาการสงบสำรวม

   สองเท้าพากาลเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยอาการเหมือนคนละเมอ  อดขยี้ตาตัวเองไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นคือความฝันหรือความจริง

   “อ้าว! หนูกาล  วันนี้ตื่นเช้าเสียจริงเจ้า  แต่ก็ดีจะได้มารับสำรับเช้าเสียด้วยกัน  วันนี้พ่อกับแม่ต้องรีบไปตลาด  ต้องรีบออกเดินทาง”

   คุณมารตีจับแขนบุตรชายให้นั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัว  ชี้ชวนให้รับประทานอาหารชื่อเมนูเป็นภาษาอังกฤษที่คุณแม่พูดออกมาสำเนียงอย่างกับเจ้าของภาษา  ที่น่าแปลกใจคือกาลฟังรู้เรื่อง

   “เช้านี้มี Lobster Omelette, Cold Cut Applewood Smoked Bacon, Sausage, Buttermilk Pancake จ้ะ  ส่วนของคุณพ่อท่านจะรับ Eggs Benedict ก็ปล่อยท่านไป  แม่มิใคร่ชอบคาเวียร์ที่วางโรยหน้านั่นเท่าใดนัก  เช้าๆ เช่นนี้แม่เลยเลือกสลัด Rocket เพราะเบาท้องหน่อย  พอดีมีแคนตาลูปจากญี่ปุ่น  แลองุ่นจากอเมริกาที่นำเข้ามาคราที่แล้วเหลือๆ ติดก้นครัวอยู่  จึงให้พ่อครัวเขาทำให้กินพอประทังไปมื้อๆ หนึ่ง”

   กาลนั่งนิ่งตะลึงลาน  ในหูส่งเสียงวิ้งๆ เหมือนจะปริแตก  นี่เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า  ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม  บ่าวชายคนหนึ่ง (แน่นอนว่าในชุดบัตเลอร์สีดำเต็มยศด้วยเสื้อเชิ้ต  เสื้อสูทตัวนอก  เสื้อกั๊ก  กางเกงขายาวและเนคไท!) ก็เดินมายื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้ท่านอำนาจ

   ทะ... ทะ... โทรศัพท์

   “ท่านอำนาจขอรับ  นายมากโทรทางไกลข้ามทวีปมาขอเรียนสายกับท่านขอรับ  มิทราบว่าท่านอำนาจมีประสงค์จะรับสายหรือไม่ขอรับ”

   “ช่างเลือกเวลาโทรเสียจริงหนา  เพลาเช้าเยี่ยงนี้จะนั่งจิบชา Mariage Freres ให้สาแก่ใจก็หาได้ไม่  มาๆ ส่งมา  ถ้ามิใช่เรื่องสลักสำคัญ  เห็นจะต้องต่อว่ากันสักคำสองคำ”

   ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันถูกพ่นรัวราวภาษาแม่ทันทีที่ท่านอำนาจรับโทรศัพท์มากรอกเสียงลงไป  ส่วนสมองในหัวทุยสวยของการก็รับสารได้ประหนึ่งเกิดและเติบโตที่วอชิงตัน  ดีซี  แปลความได้ดังนี้

   “ว่ากระไรพ่อมาก  โทรมาหาแต่เช้าเชียวนะเจ้า  อ้อ... แก้ไขให้แล้วใช่หรือไม่  ดีๆ นี่แม่รตีเธอก็กระเง้ากระงอดอยู่ว่าใครรีพอร์ตเธอ  โดนรีพอร์ตยังมิเคืองเท่าใดนัก  แต่ที่เธอเคืองหนักหนาร่ำๆ จะตัดงบลงทุนร่วมกับพ่อมากก็เพราะเธอบอกต้องยืนยันตัวตน เธอรับไม่ได้”

   ฮ่าๆๆ เสียงหัวเราะร่วนลงคออย่างถูกอกถูกใจดังขึ้นเป็นระยะ  หากคนนั่งฟังเริ่มคอแห้ง  ไม่อยากจะคิดว่าปลายสายที่โทรมาเป็นใคร  หากความสงสัยทำให้อดรนทนไม่ได้  ต้องหันไปถามคุณมารตี

   “แม่จ๊ะ  คะ... ใครโทรมาหรือจ๊ะ”

   คุณมารตีวางมือจากการเลื่อนอาหารมาปรนนิบัติพัดวีลูกชายก่อนจะหันมาตอบ

   “มาร์ค  ซัคเคอร์เบิร์ก  อย่างไรเล่าลูก”

   ตึงงงง...

   กรี๊ด  เสียงกรีดร้องระงมดังไปทั่ว  เมื่อคุณหนูกาลเป็นลมล้มตึงลงกลางโต๊ะอาหาร!   


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ตอนแรกๆ มันก็จะบันเทิงหน่อยๆ ค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ู^-^sirin_chadada มาที่เรือนนี้เลยค่ะ ขอบคุณที่มาเม้นท์ให้เป็นคนแรกนะคะ  :impress2:
ู^-^rockiidixon666  :hao3:
ู^-^cheezett ขอบคุณค่า  :pig4:
ู^-^kun ขอบคุณค่า  :pig4:

ฝากติดตามน้องกาล ลูกชายคนใหม่ของเราด้วยนะคะ

 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 27-09-2017 09:26:02
ทำไมมันล้ำหน้าไปไกลขนาดนี้กันเล่า  :m20:
หนูกาลเป็นลมล้มตึ๊งไปเลยจ้า  :laugh:
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-09-2017 11:16:30
นี่มันยุคใหนกันแน่เนี่ย อิฉันงงไปหมดแล้วเจ้าค่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-09-2017 12:11:40
อย่าว่าแต่น้องกาลเลยลูก

อิฉันก็ควานหายาดมอยู่เนี่ย
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-09-2017 14:41:32
สนุกมากกกกกก ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

กาล มามิติใหม่ ชื่อเดิมร่างกายเดิม

พี่พุด ดูหลงรักกาล  :man1:
อยากอ่านต่ออีกและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-09-2017 15:05:28
เงิบเช่นกัน อิงกับยุคไหนไม่ได้เลย ฮา
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 27-09-2017 19:04:31
สนุกอ่ะ รอๆๆๆตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: >>>ลำนำกาล<<< บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-09-2017 19:51:58
เราก็เงิบตั้งแต่แม่ปริกจับเวลาตอนหมดสติแบบเป๊ะๆแล้ว อารมณ์ประมาณว่า "นี่มันนิยายบ้าอะไรกันวะ" ฟังดูหยาบคายแต่คิดงั้นจริงๆ เลยเลื่อนลงดูคอมเมนต์ก่อนเลย อ่านเมนต์ของคนอื่นคร่าวๆ เลยพอเข้าใจได้ว่ามันคือความป่วง ไม่อย่างนั้นไม่มาถึงจุดนี้นะเนี่ย กดปิดก่อนแน่นอน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 29-09-2017 19:15:24
บันเทิงดีค่ะ ชอบๆ

 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล (27/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 29-09-2017 20:46:27
บันเทิงมากกกกก   ชอบมากกกกก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์ (2/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 02-10-2017 08:35:08
บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์



   กาลค่อยๆ กะพริบเปลือกตาเปิดอย่างเชื่องช้า จากภาพลางเลือนก็เริ่มชัดเจนขึ้น  สมองที่ยังคงมึนงงจากการหมดสติไม่สามารถประมวลผลใดๆ ได้  จนกระทั่งกวาดสายตาไปพบกับคุณมารตีที่นั่งจับมือเขาอยู่ข้างเตียงด้วยใบหน้าวิตกทุกข์ร้อน  สองตาแดงก่ำมีน้ำตาเอ่อคลออยู่

   “หนูกาล” เสียงเรียกอ่อนระโหยชวนให้ปวดร้าวเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าหากเสียงดังเกินไปแม้เพียงสักนิดจะทำให้ร่างของบุตรชายแตกสลายลงได้

   “เป็นเยี่ยงไรบ้างลูกเอ๋ย  จู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับลงไป  ดีที่นางปริกมันคว้าตัวเจ้าไว้ได้ทัน  มิเช่นนั้นแล้วแม่มิอยากคิด  ตัวหรือก็เพิ่งฟื้นไข้  ไยจึงตื่นแต่เช้านัก  อยากได้สิ่งใดบอกให้เด็กๆ จัดหาให้ก็ได้นี่ลูก”

   ด้วยความสงสารคุณมารตี  กาลจึงไม่กล้าเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจด้วย  เกรงว่าหากถามออกไปแล้วคุณรตีจะล่วงรู้ความจริงว่าตนไม่ใช่ลูก  แล้วจะเสียอกเสียใจไปยิ่งกว่านี้  ตัวเขาเองไม่เคยมีแม่ การทีมีคนมาคอยเป็นห่วงเป็นใย  ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ขอถนอมความรู้สึกนี้ต่อไปอีกสักนิดเถอะ

   “คือ... คือหนูหน้ามืดน่ะจ้ะ  ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะแม่จ๋า”

   “มิเป็นอันใดก็ดีแล้วเจ้า  พ่อกับแม่มีกิจธุระต้องเร่งไปจัดการที่ตลาด  เจ้าอยู่เรือนอย่าเที่ยวเดินซุกซนไปทั่วเสียเล่า  ประเดี๋ยวจักเป็นลมเป็นแล้งไปอีก  เออ  นางปริก  ให้ใครไปตามเจ้าพุดมาอยู่รับใช้เจ้านายมันเสียหน่อยเถิด  เรื่องขับเรือเหาะเจ็ทนั้นหาต้องกังวลไม่  ประเดี๋ยวจะให้นายชดมาทำหน้าที่แทน”

   “พ่อกับแม่ไปตลาดเถอะจ้ะ  หนูอยู่ได้  ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”

   “ท่านอำนาจแลคุณรตีรีบไปเถอะขอรับ  ให้ทางนั้นคอยนานเห็นจักไม่เป็นดี  กระผมจะคอยอยู่ช่วยดูแลคุณหนูกาลเองขอรับ”

   “อุบ๊ะ! เจ้าพุดมาเร็วแท้  นี่คงแล่นมาเสียตั้งแต่รู้ข่าวกระมัง  ดีๆ ถ้าอย่างนั้นข้าฝากด้วยก็แล้วกัน  ไปเถิดแม่รตี  เร่งไปจัดการเสียให้แล้วเสร็จ”

   คุณมารตีปล่อยมือบุตรชายอย่างอิดออด  เพียรลูบหน้าลูบตัวอยู่อีกสักสองสามคำรบจึงยอมตัดใจ  เดินตามสามีออกไป

   “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างขอรับ  ยังรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดก็ให้เร่งบอก  กระผมจักไปตามหมอให้”

   กาลเห็นคนตรงหน้ากุลีกุจอถามไถ่อาการด้วยความกระตือรือร้น  ดูแล้วน่าจะขอความช่วยเหลือได้จึงยิ้มนำทัพไปให้เพื่อผูกไมตรี  ก่อนจะเอ่ยถาม

   “พี่... ชื่อพุดใช่ไหมจ๊ะ”

   คนโดนถามชื่อน้ำตารื้นขึ้นมาชั่วแวบก่อนจะพยักหน้ารับ

   “ใช่แล้วขอรับ  กระผมชื่อพุด  คุณหนูกาลอยากได้สิ่งใดขอรับ”

   “คืออย่างนี้นะพี่พุด  คือหนูเนี่ยความจำเสื่อมใช่ไหม ทีนี้หนูก็ลืมไปหมดแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน  ใครเป็นใคร  ชื่ออะไรกันบ้าง  พี่พอจะช่วยเล่ารายละเอียดชีวิตหนูให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

   พุดกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกกลางอกอย่างยากลำบาก  สงสารคุณหนูกาลเธอนัก  ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียสิ้น  ลืม  จนยอมเรียก ‘พี่พุด’ อีกครั้ง  หาใช่ ‘เอ็ง’ อย่างที่เคยเรียกขาน

   “ได้สิขอรับคุณหนู  จะให้กระผมเริ่มจากสิ่งใดดีขอรับ”

   “เริ่มจากแทนตัวของพี่พุดว่าพี่ได้ไหมจ๊ะ  มากระผง  กระผม  หนูฟังแล้วไม่คุ้นเลย  หรือว่าเป็นน้องพุดกันนะ  ไม่สิพี่พุดละถูกแล้ว  เมื่อคืนตอนกำลังเคลิ้มๆ ได้ยินพี่แทนตัวว่าพี่พุดนี่”

   กิริยาพูดจาจ๊ะจ๋าหวานหู  พูดเองเออเองอยู่คนเดียว  เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากพุดได้มิใช่น้อย  นานหนักหนาแล้วที่มิได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วช่างจำนรรจาเหมือนเมื่อครั้งคุณกาลเธอยังเล็ก  ยิ่งโตมาก็ยิ่งวางปึ่ง  ถ้าไม่มีเรื่องสั่งให้ไปทำก็มิเคยเอ่ยปากพูดคุยด้วย

   “ได้สิขอรับ  จะให้พี่พุดเริ่มเล่าจากเรื่องใดดี”

   กาลยิ้มกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ  คว้าหมอนมากอดแล้วยิงคำถามที่คาใจที่สุดออกไปทันที

   “ที่นี่ที่ไหนกันจ๊ะ”

   พุดเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูง  นั่งคิดอยู่เป็นครู่  จึงเดินออกไปนอกห้อง  ได้ยินเสียงเรียกหาบ่าวด้านนอก  ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมแผนที่ขนาดใหญ่ในมือ

   “คุณกาลดูนี่นะขอรับ  นี่คือแผนที่โลก  เอ่อ... รู้จักแผนที่ไหมขอรับ”

   “รู้จักสิพี่พุด  ความจำเสื่อมนะ  ไม่ได้ปัญญาอ่อน”

   พุดหลุดขำออกมาทันทีกับกิริยาเถียงกลับทันควันนั้น  ถ้าเป็นคุณหนูกาลคนก่อนหน้านี่เวลาเธอไม่พอใจจะเชิดหน้าขึ้น  ปรายตามองอย่างเยือกเย็นก็ทำให้บ่าวไพร่กลัวกันหัวหดเสียแล้ว  ไหนเลยจะมาต่อปากต่อคำเยี่ยงนี้  แต่เป็นเช่นนี้ก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ

   “ขอรับๆ รู้จักก็ดีแล้วขอรับ  ที่ที่เราอยู่เรียก ‘เมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล’ อยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เลยขึ้นมาจากประเทศไทยสักหน่อยน่ะขอรับ”

   กาลตาโตแทบถนนออกจากเบ้า  ได้แต่ครางในใจว่า “ชิ... หาย... แล้ว” มือเริ่มยกกุมขมับที่ปวดตุบๆ หูฟังคำบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ของเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล  เมืองที่ไม่มีอยู่ในโลกของเขา

   “บรรพบุรุษเดิมของคุณหนูอพยพมาจากสยามประเทศตั้งแต่สมัยช่วงต้นรัตนโกสินทร์แล้วขอรับ  มาบุกเบิกสร้างแผ่นดินนี้ขึ้น  เป็นบุญของลูกหลานเหลือเกินที่ปู่ย่าตาทวดท่านขยันทำมาหากิน  ประกอบกับมีโชคที่ผืนแผ่นดินนี้มั่งคั่งนัก  เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา  สายแร่ทองคำมากมายไหลผ่าน  รวมเข้ากับสติปัญญาอันชาญฉลาด  จึงทำให้เมืองของเราเป็นเบื้องหลังเศรษฐกิจโลกในหลายๆ ด้านขอรับ”

   สะ... เศรษฐกิจโลก เอิ้กกก ไอ้กาลลมจะใส่

   “ละ... แล้วทำไมพูดจา  แต่งตัวกันถึงได้ดูไทยโบราณกันนักล่ะจ๊ะ” มือหนึ่งนวดขมับไป  ปากก็ถามเรื่องราวต่อ  คงไม่มีอะไรจะตื่นเต้นไปได้มากกว่านี้อีกแล้วละ”

   “คุณท่านตั้งแต่รุ่นแรกๆ ท่านว่าอยากให้รักษารากฐานเดิมอันเป็นแก่นของพวกเราไว้น่ะขอรับ  ไม่ว่าต่อไปในภายภาคหน้าจะเจริญก้าวหน้ากันเพียงไหน  ก็ขอให้ดำรงวิถีอันเป็นเอกลักษณ์เก่าไว้ให้แม่นมั่น... สักครู่นะขอรับ”

   เสียงสั่นครืดคราดของอุปกรณ์สื่อสารที่ดังขึ้น  เรียกให้กาลซึ่งนั่งหลับตาพิงร่างกับหัวเตียงถึงกับลืมตาขึ้นมองภาพชายไทยโบราณนุ่งโจงเพียงผืนเดียว  ท่อนบนไม่สวมเสื้อ  หยิบโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ถูกแทะรุ่นล่าสุดออกมาจากชายพก  แล้วใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอปราดๆ ก่อนกรอกเสียงลงไปชวนให้ขัดแย้งกันอย่างประหลาด  โอย... ลมจะตีกลับอีกรอบ

   “ขอรับ... มิเป็นอันใดเพิ่มเติมขอรับ  ท่านอำนาจกับคุณรตีมิต้องเป็นห่วงขอรับ  เร่งจัดการกิจให้สบายใจเถิดขอรับ... ขอรับ  สวัสดีขอรับ”

   เก็บโทรศัพท์ลงใส่ชายพกเรียบร้อย  จึงเห็นตากลมจ้องมองมาพร้อมคำถามในดวงตา  จึงนึกขึ้นได้รีบเอ่ยรายงาน

   “อ้อ! คุณรตีน่ะขอรับ  ท่านโทรมาถามอาการคุณหนูกาล”

   “ไปตลาดแค่นี้ไม่ใช่เหรอจ๊ะ  เดี๋ยวก็คงกลับมาหรอก  หรือว่าตลาดอยู่ไกลจากบ้านมากหว่า” ท้ายเสียงลากยาวเป็นเชิงถาม
   พุดขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นยืน  เพื่อจะเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมระบายอากาศก่อนจะหันมาตอบ

   “คุณท่านอยู่ตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกาน่ะขอรับ  ประเดี๋ยวเย็นๆ คงถึงเรือน”

   “สหรัฐฯ!!! ปะ... ไปยังไง  เมื่อกี๊ยังนั่งคุยกันอยู่เลย” กาลอุทานเสียงสั่นอย่างตกใจ

   “ก็นั่งเรือเหาะเจ็ทส่วนตัวไปสิขอรับ  กระเดี๋ยวเดียวก็ถึง  อันที่จริงเช้านี้พี่ต้องเป็นคนขับพาท่านไป  หากคุณหนูก็มาเป็นลมเอาเสียก่อน  จึงให้ตาชดเป็นคนขับไปแทน”

   เรือเหาะเจ็ท = เครื่องบินเจ็ท = รวยเกินไปแล้ววววว

   กาลสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง  จึงเริ่มสงบสติอารมณ์ได้  ต่อไปนี้จะจำไว้ให้มั่นว่าบ้านนี้เมืองนี้เค้ารวยกันมาก  เวลาเจอะไรจะได้ไม่ตกใจอีก

   “มัวแต่ซักถามกัน  คุณหนูหิวแย่แล้วกระมัง  เดี๋ยวพี่ออกไปตามบ่าวให้ยกสำรับเข้ามารับประทานในห้องดีหรือไม่”

   “อยู่แต่ในห้องอุดอู้แย่พี่พุด  ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป  หนูขอไปนั่งตรงนอกชานที่ลมพัดเย็นๆ ชื่นใจจะได้ไหมจ๊ะ”

   “จะมาเกรงอกเกรงใจอันใดกันเล่าคุณหนูกาล  เรือนนี้ก็ของคุณหนู  อยากจะนั่งรับประทานที่ใดก็ย่อมได้  อย่าว่าแต่เรือนเลยขอรับ  เมืองนี้ทั้งเมือง  หากคุณหนู  จะนั่งที่ใดก็ย่อมเป็นไปตามประสงค์ของคุณหนูขอรับ”

   พูดซะอยากจะขอนั่งบนคอพี่พุดเลยเชียว  กลัวแต่เอ่ยปากออกไป  พ่อคุณจะกุลีกุจอลงคุกเข่าให้ขึ้นไปนั่งน่ะสิ  เห็นท่าทางรีบลุกไปเปิดประตูห้องไว้คอยท่า  กาลจึงรีบก้าวเท้าตามไปด้วย  กลัวคนเปิดประตูจะรอนาน  หากอาการรีบร้อนเกินไปทำให้สะดุดธรณีประตูอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

   ร่างสูงผวาคว้าประคองไว้ได้ทันท่วงที  ก่อนที่กาลจะล้มหัวฟาดพื้นอีกรอบ  อ้อมแขนแข็งแกร่งตวัดรัดเอวให้แนบชิด  เพราะกลัวจะหกล้ม  กาลเงยหน้าขึ้นพึมพำขอบคุณก็ทันเห็นผิวสีคร้ามแดดเจือริ้วแดงอย่างน่าสงสัย  พุดรีบปล่อยแขนออกอย่างกับถือเผือกร้อนลวกมืออยู่ก็มิปาน  ส่งเสียงตะกุกตะกักบอกให้ไปนั่งรอบริเวณชานเรือนประเดี๋ยวจะให้เด็กยกสำรับตามไป

   ระหว่างนั่งรออยู่ที่ยกพื้นบริเวณด้านหน้าเรือน  กาลก็สังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปมาไปด้วย  แต่ละคนทำงานกันไม่ได้หยุดมือ  ปัดกวาดเช็ดถู  ร้อยดอกไม้  อบร่ำ  มีหน้าที่แตกต่างหลากหลายกันไป  เสียงคนกระซิบกระซาบดังแผ่วเบาที่ทางเบื้องหลัง  กาลจึงได้หันไปดู  เห็นพุดเดินนำเหล่าบ่าวทั้งหลายถือโตกใส่อาหารมาวางลงตรงหน้า

   “กระผมให้ทางโรงครัวทำอาหารให้ใหม่นะขอรับ  ซุปเห็ดกับสลัดแอปเปิล  และขนมปังฝรั่งเศสอบชีสหน้าหน่อไม้ฝรั่งขอรับ”

   อืม... นะ  ไม่ตกใจ  สบายๆ

   “แล้วพี่พุดล่ะจ๊ะ  รับประทานไปหรือยัง”

   “อะ... กระผมเรียบร้อยแล้วขอรับ  คุณหนูรับประทานไปเถิด  เดี๋ยวกระผมขอตัวไปดูงานด้านล่างเสียหน่อย”

   “เมื่อกี๊ยังเป็นพี่พุดอยู่เลย  ทำไมถึงเป็นกระผมอีกแล้วล่ะจ๊ะ  อย่าเพิ่งไปไหนเลยพี่  อยู่คุยเป็นเพื่อนหนูหน่อย  พี่ยังเล่าไม่จบเลย... อย่างคนงานพวกนี้ล่ะเป็นใคร”

   พุดอึกอัก  แต่ก็มิกล้าปฏิเสธ  จึงนั่งลงเบื้องล่าง  ก่อนจะต้องเปลี่ยนเป็นนั่งเสมอกัน  เพราะคุณหนูกาลสั่ง

   “อยู่ข้างนอกบ่าวไพร่มากมาย  จะให้กระผมพูดจาตีตัวเสมอคุณหนูเห็นท่าจะมิเหมาะมิควรขอรับ”

   “น่า... นะพี่นะ  เรียกพี่อย่างเดิมดีกว่าตั้งเยอะ  นะพี่พุด  นะ  นะ”

   อย่าออดอ้อนแบบนี้ได้ไหมเล่า  หัวใจไอ้พุดแทบจะเต้นทะลุออกมานอกอกอยู่แล้วพ่อคุณเอ๋ย  คุณกาลเธอก็พูดของเธอไปตามประสา  มิได้มาเกาะแกะฉอเลาะเสียเมื่อไหร่  หูตารึก็มิได้ยกชม้อยชม้าย  แต่แค่เธอกล่าวไปยิ้มไปเพียงเท่านี้  ทำไมจึงได้น่าเอ็นดูเสียนัก  พุดมองรอยยิ้มจนตาพร่า  พูดตอบรับออกมาราวกับคนละเมอเสียงแผ่ว

   “ขอรับ  พี่พุดก็พี่พุดขอรับ”

   มือขาวเรียวยาวหยิบช้อนซุปมาตักออกด้านนอกตัว  ปาดกับขอบจานซุป  แล้วจึงค่อยๆ จิบจากด้านข้างช้อนอย่างมีกิริยา... ถามว่าทำได้ยังไง  กาลก็อธิบายไม่ถูก  บางอย่างอยู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกคุ้นชิน  เหมือนปฏิบัติมาเป็นเวลานานแล้วซะอย่างนั้น

   “แล้วพี่ๆ คนงานพวกนี้ล่ะจ๊ะ  เป็นใครกันบ้าง” กาลพยักพเยิดไปยังเหล่าผู้คนที่ปัดกวาดเช็ดถูกันมือเป็นระวิง

   “พวกเราทั้งหมดก็ล้วนลูกหลานที่คุณท่านรุ่นก่อนๆ ท่านชุบเลี้ยงมาขอรับ  รับใช้ใกล้ชิดกันมาเป็นรุ่นๆ คุณท่านแต่ละรุ่นท่านก็ให้ความเมตตานัก  ส่งเสียเลี้ยงดูกันเป็นอย่างดี  ให้การศึกษาอย่างมิขาดตกบกพร่องเลยขอรับ”

   “ที่นี่มีโรงเรียนด้วยหรือจ๊ะ” กาลถามพร้อมส่งความหวังออกมาทางแววตาด้วยเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้เป็นทุนเดิม  หากไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งเท่าที่ควร  แต่ชอบที่จะไปโรงเรียนเป็นอย่างมาก

   “เมืองเราหามีสถานศึกษาไม่ขอรับ”

   คนรับฟังหน้าม่อยลงทันที  แต่ประโยคถัดมาทำเอาแทบสำลักซุปเห็ด

   “ส่วนมากจะส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษกับอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่  แต่ก็แล้วแต่ความสมัครใจนะขอรับ  บางคนก็เลือกเรียนใกล้ๆ สิงคโปร์  ฮ่องกง  ญี่ปุ่น  คุณท่านตามใจเรื่องการเล่าเรียนขอรับ  ท่านหาได้บังคับไม่”

   อือฮึ... บ่าวไพร่จบนอกทุกคนไอ้กาลรับด้ายยย

   “แล้วพี่พุดล่ะจ๊ะ  เรียนที่ไหนกัน” กาลเสยกแก้วน้ำขึ้นจิบแก้เก้อ

   “พี่เป็นคนจับจดนัก  พูดแล้วก็ให้อายตัวเอง  แรกเริ่มตอนวัยเด็กยังหารู้ความไม่  เห็นคุณรตีเธอว่าอังกฤษดี  พี่ก็ไป  อยู่มาสักพักจนจบไฮสคูล  เห็นเพื่อนๆ เขาไปต่อที่อเมริกากันพี่ก็ไปเที่ยวหัวหกก้นขวิดน่าดูชมเทียวล่ะช่วงนั้น  จนเริ่มคิดได้ว่าเราจักมาเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ เสียละกระมัง  จึงตัดสินใจเด็ดขาด  เดินทางตัวคนเดียวไปจบวิศวะที่เยอรมันน่ะขอรับ”

   นางปริกคลานตุ้บตั้บเข้ามาเก็บสำรับอาหาร  เมื่อเห็นกาลวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  กาลจึงรั้งข้อมือนางพี่เลี้ยงไว้แล้วแสร้งถามกลั้วเสียงหัวเราะทั้งๆ ที่ในใจตื่นเต้นตกใจ

   “แล้วพี่ปริกล่ะจ๊ะ  เรียนจบจากที่ไหนกันเอ่ย”

   “อิฉันจบวิทยาลัยการโรงแรมจากฝรั่งเศสเจ้าค่ะ  ก็ตอนนั้นคุณรตีเธออยากเรียนที่โน่น  อิฉันก็ต้องตามรับใช้เธอไป  แต่ใจจริงๆ แล้วอิฉันอยากเรียนที่ญี่ปุ่นมากกว่านะเจ้าคะ”

   กาลเริ่มเอนตัวพิงกับหมอนขวานที่นางพี่เลี้ยงส่งให้  สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์รุ่นล่าสุดยี่ห้อผลไม้ถูกแทะที่ชายพกนางปริกเข้าเสียก่อน  จึงอ้อมแอ้มถามแล้วกลั้นใจรอฟังคำตอบ

   “พี่ปริกกับพี่พุดใช้โทรศัพท์เหมือนกันเลย  ชอบยี่ห้อนี้กันเหรอจ๊ะ”

   “ฮ้าย!  คุณหนูกาล  ชอบไม่ชอบก็ใช้กันแต่ยี่ห้อนี้มาตลอด  ตั้งแต่คุณจอบเธอมาขอกู้เงินไปพัฒนาโทรศัพท์ตัวนี้รุ่นแรกแล้วเจ้าค่ะ  พอดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา  เธอก็ว่าเป็นเพราะท่านอำนาจอนุมัติเงินกู้ให้เธอ  เลยเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ  ที่เรือนเราจะได้รับโทรศัพท์ยี่ห้อนี้รุ่นใหม่ล่าสุดมาใช้กันเจ้าค่ะ  อ้อ! แบบที่เป็นกระดานชนวนแพดก็มีนะเจ้าคะคุณหนูอยากใช้สอยหรือไม่”

   “มะ  ไม่หรอกจ้ะ  เอ่อ... คุณจอบที่ว่าใช่...” นางปริกกำลังจะอ้าปากตอบ  แต่กาลยกมือห้ามทันควัน

   “พอจ้ะพี่ปริก  ไม่ต้องบอกหรอกจ้ะ  หนูรู้แล้ว  อย่าพูดเลย  เดี๋ยวหนูลมใส่อีกรอบ”

   “คุณหนูกาลรับประทานอาหารเสร็จแล้วอยากเดินเล่นรอบๆ เรือนไหมล่ะเจ้าคะ รออิฉันเก็บสำรับสักกะเดี๋ยว สั่งงานในครัวสักเล็กน้อย แล้วอิฉันจะมาพาไปเดินศาลาริมน้ำนะเจ้าคะ เพลาสายๆ เยี่ยงนี้ ลมกำลังโชยดีนักเชียว”

   “พี่ปริกไปทำงานเถอะจ้ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหนู เดี๋ยวหนูให้พี่พุดพาไปเดินเล่นก็ได้ ใช่ไหมจ๊ะ” พูดจบค่อยหันมาถามแล้วเยี่ยงนี้พี่จะปฏิเสธเจ้าอย่างไรได้

   “ได้ขอรับ เช่นนั้นไปนั่งที่ศาลาริมน้ำฝั่งตะวันตกกันเถิดดีไหมขอรับ แดดกำลังดีไม่ร้อนจัดมาก ไอเย็นของคลองส่งน้ำจะได้ช่วยพัดให้คุณหนูคลายร้อนได้ด้วย”

   ฉับพลัน อารมณ์เนิบนาบผ่อนคลายเมื่อสักครู่ก็กลายเป็นความโกลาหลทันที เมื่อรู้ว่าคุณหนูประจำบ้านมีประสงค์จะไปนั่งเล่นที่ศาลา ใครมีหน้าที่เตรียมเครื่องทานเล่น น้ำร้อน น้ำชา ก็เร่งมือกันจ้าละหวั่น เบาะรองนั่ง หมอนหนุนสำหรับเอนกายก็ถูกลำเลียงออกมาอย่างเร่งด่วน กาลเพิ่งขยับตัว ข้าวของก็รุดหน้านำไปก่อนแล้ว ใจนึงนึกชื่นชมความมีระเบียบในการเตรียมการ หากอีกใจก็อดสงสัยไม่ได้ ไอ้คุณหนูกาลคนนี้นี่มันอะไรกัน ขยับทำอะไรนิด คนรับใช้วิ่งกันให้วุ่นวาย

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์ (2/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 02-10-2017 08:43:09
   ศาลาหกเหลี่ยมริมน้ำให้ความรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง กาลสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนจะพรูลมหายใจออก พยายามตั้งสติรับมือกับปัญหาชีวิตที่แปลกประหลาด

   “จะกังวลไปทำไม เรื่องของอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอเจ้ากาล” คำสอนของหลวงตาพาดผ่านเข้ามาแตะกลางใจ ความรู้สึกสับสนวุ่นวายค่อยคลายตัวลงอย่างช้าๆ เวลากระพริบตาเปิดลืมขึ้นมองไปสายน้ำเบื้องหน้า อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ เหมือนกับจะเห็นหลวงตาอมยิ้มมองสบตามาจากในน้ำ

   “เอาวะ... ปัญหามีไว้ให้แก้ แก้ไม่ได้ก็ถอดทิ้งแม่ง... ปัญหานะไม่ใช่เสื้อผ้า ไอ้กาล!! โถ ชีวิต ชงเองเล่นเองเสร็จสรรพเลยว่ะ”

   “ถอดๆ แก้ๆ อะไรหรือขอรับคุณหนู”

   เสียงของพุดทำให้กาลสะดุ้ง หันไปยิ้มแหยๆ ให้

   “อ้าว! แล้วกัน พี่ทำให้ตกใจหรือเปล่านี่ ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะเจ้า”

   เจ้าตัวคนถูกปลอบส่ายหน้าหวือทันที แค่เสียงดังจนทำให้สะดุ้งยังต้องรีบขอโทษขอโพยขนาดนี้ ไอ้เจ้านี่มันคุณหนูจริงๆ

   “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะพี่พุด แล้วนั่น... ถือกล้องมาด้วยทำไมจ๊ะ”

   พุดอึกๆ อักๆ รอยแดงข้างแก้มปรากฏเป็นริ้วเรื่อสองสาย มือไม้พันกันให้ยุ่ง ก่อนจะเสวางกล้อง DSLR ในมือลงบนโต๊ะไม้ขัดมันกลางศาลา

   “พี่... คือ... พี่ว่าจะชักภาพคุณหนูเก็บไว้น่ะขอรับ พอดีเห็นแสงมันสวย นานๆ ทีคุณหนูจะมานั่งเล่นที่ศาลา พี่เลยจะชักภาพไว้เป็นที่ระลึกน่ะขอรับ

   “จะเป็นที่ระทึกน่ะสิพี่พุด” เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะขบขัน ตัวเขานี่อะนะที่จะเป็นแบบให้พี่พุดได้ แต่มาคิดอีกที พี่เขาก็จะถ่ายคุณหนูกาลนี่หว่า เอ๊ะ! แต่หน้ามันก็หน้าเดียวกับเรานะ โอ๊ย! งงโว๊ย!! คิดมากไปก็ปวดหัว กาลจึงเบี่ยงกายไปลูบๆ คลำๆ กล้องถ่ายรูปแทน

   “ท่าจะแพงนะเนี่ยพี่พุด อันเบ้อเริ่มเบ้อเทิ่ม”

   “ราคาก็เก้าแสนปลายๆ ละมังขอรับ ท่านอำนาจท่านซื้อมาฝาก พี่ก็หาจำราคาได้แม่นเท่าใดนัก”

   มือขาวสะดุ้ง รีบซุกมือไว้ด้านหลังโจงทันที

   “เกือบไปแล้วไอ้กาลเอ๊ย! ตัวละเกือบล้าน ทำตกแตกมาจะเอาปัญญาที่ไหนซื้อชดใช้เขาวะ”

   กิริยาสะดุ้งเหมือนเด็กเล็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้ ทำเอาพุดเผลอระบายรอยยิ้มอย่างนึกเอ็นดู เออหนอ... แค่เงินเพียงไม่กี่อัฐไม่กี่เฟื้อง ทำอย่างกับแพงมากมาย ทรัพย์สินของคุณหนูมีตั้งเท่าไหร่ ทำมาเป็นแกล้งตกใจหลอกพี่พุดคนนี้เล่น

   ท่าทางลุกลี้ลุกลนทำให้พุดอดไม่ได้ที่จะคว้ากล้องตรงหน้าขึ้นมากดบันทึกภาพ เสียงดังแชะที่ดังขึ้นทำเอาคุณหนูกาลหันขวับทันที... ถ้าจะดุจะด่าพี่ก็ยอมแล้วพ่อคุณเอ๋ย ดูภาพที่ได้ออกมาสิเล่า จะมีคำใดบรรยายได้เท่ากับคำว่า

   “งามนัก”

   วงหน้าเรียวที่แสร้งก้มลงมองขนมบนโต๊ะปรากฏรอยเรื่อขึ้นบนผิวแก้ม ขับให้ใบหน้าซึ่งติดจะซีดเล็กน้อยแลดูนุ่มละมุนขึ้นมาทันตา ขนตายาวเป็นแพล้อมกรอบหน่วยตาเรียวยาวมองเห็นได้ชัดเจนแม้จะมองผ่านภาพถ่าย จมูกโด่งตรงปลายรั้นเชิดรับกับริมฝีปากอิ่มเต็มที่เจ้าตัวขบไว้ด้วยความประหม่า ผมที่ยาวประบ่าปลิวตามลมล้อคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม พุดเข้าใจความรู้สึกของวิหยาสะกำที่หลงรูปนางบุษบาอย่างสุดซึ้งเมื่อเวลานี้เอง

   “พี่พุดอะ น่าจะบอกกันสักคำว่าจะถ่ายเลย หนูจะได้จัดท่าบ้าง นี่หัวหูโดนลมพัดปลิวขนาดนี้ รูปที่ได้ไม่เหมือนรังนกกระจอกโดนพายุพัดเหรอพี่”

   ผิดคาดที่ไม่โดนเอ็ด ซ้ำยังหัวเราะล้อเล่นกลับมาอีก พุดไม่ชินกับคุณหนูกาลคนนี้เอาเสียเลย ไม่ชินกับจังหวะหัวใจที่เต้นเป็นกลองรัวยามคุณหนูเธอยกยิ้มแล้วหัวเราะเสียงใส

   เจ้าของเสียงหัวเราะยังคงไม่รู้ตัวว่าทำให้คนอื่นใจเต้นแรง ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งเอนหลังพิงพนักพลางคว้าหมอนอิงมากอดแต้ อาการเอนกึ่งนั่งกึ่งนอนที่หาชมไม่ได้ในคุณหนูกาลคนเก่า ทำให้พุดถึงกับเลิกคิ้วมอง

   “มองอะไรจ๊ะ” ถามไปมือก็คว้ากลีบลำดวนที่วางบนโต๊ะไม้มะค่าขึ้นมากัด นี่ก็เป็นข้อแปลกอีกข้อที่คุณหนูเลือกหยิบขนมไทย ซึ่งหากเป็นในยามปกติ เธอคงเลือกหยิบมารารองของมิชลินเชพจานข้างๆ นั่นแน่นอน เพราะกลีบลำดวนนั่นเป็นของว่างที่พวกในโรงครัวเตรียมมาให้เขา พอมองมากเข้าเจ้าตัวก็เอียงคอมองตอบแล้วกะพริบตาปริบเป็นคำถามส่งมา อะพิโธ่เอ๋ย เล่นทำตาแป๋วเยี่ยงนี้ ใครเล่าจะไปเค้นหาคำตอบของข้อสงสัยนั่นกัน

   พุดระบายลมหายใจออกยาว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งด้านตรงข้าม พลางรินน้ำชาใส่จอกใบเล็กแล้วยื่นส่งให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะฝืดคอ มือขาวยื่นมารับพลางกระดกรวดเดียวหมด หยดน้ำไหลเป็นทางจากปากย้อยลงมาสู่ปลายคาง หากเจ้าตัวไม่สนใจ ใช้หลังมือยกขึ้นป้ายส่งๆ ก่อนเช็ดกับโจงเป็นอันเสร็จพิธี เดือดร้อนคนที่คอยจับจ้องทุกกิริยาต้องโน้มตัวไปใช้ผ้าเช็ดหน้ายกซับบริเวณมุมปากให้อย่างเบามือ

   “อายุเท่าใดแล้วเจ้า กินยังไงให้เลอะเทอะขนาดนี้ หืม”

   ฝ่ายถูกเช็ด แทนที่จะเขินอาย กลับเอียงใบหน้าให้ได้องศาจะได้รับการปรนนิบัติได้อย่างถนัดถนี่ยิ่งขึ้น ซ้ำยังยิ้มแป้นให้อย่างถูกใจที่มีคนดูแล... เป็นคุณหนูมันดีอย่างนี้เองโว๊ย!

   รับของว่างเรียบร้อยแล้ว กาลก็กอดหมอนพิงเสาตั้งท่ารอให้พุดเล่าเรื่องเมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลต่อ เห็นร่างสูงยังคงนั่งเฉยจนต้องเอ่ยปากเร่ง

   “พี่พุดเล่าเรื่องเมืองนี้ต่อสิจ๊ะ”

   “อยากรู้สิ่งใดอีกเล่าเจ้า พี่ก็มิรู้จะเริ่มจากที่ใด เจ้าค่อยๆ เลือกเรื่องถามมาก็แล้วกัน พี่จักตอบให้หายสงสัยเป็นเรื่องๆ ไป”

   กาลนิ่งคิดอยู่สักพัก ก่อนจะดีดนิ้วเปาะ เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยๆ ศึกษาไปก็คงจะได้ เอาเรื่องเจ้าของร่างนี่เป็นใคร มีนิสัยยังไงก่อนท่าจะดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็เหนื่อยมันทุกครั้ง! เอ๊ย! ไม่ใช่ รบร้อยครั้งชนะทุกครั้ง!

   “พี่พุดว่า... หนูเป็นใครจ๊ะ?”

   คำถามกำปั้นทุบดินโพล่งออกมา เล่นเอาพุดถึงกับกุมขมับ กาลรู้ตัวชะงักไปครู่หนึ่งจึงอธิบายเพิ่ม

   “คือหนูหมายถึง หนูความจำเสื่อมน่ะจ้ะ นี่หนูจำอะไรไม่ได้เลย ตัวหนูเป็นใคร ลักษณะนิสัยเป็นยังไง ชอบรึไม่ชอบอะไร เรียนอยู่หรือว่าไม่ได้เรียน แล้วถ้าเรียนแล้วเรียนที่ไหน...”

   คำถามที่รัวเป็นข้าวตอกแตกออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มเป็นชุด จนพุดต้องรินน้ำใส่จอกส่งให้อีกถ้วย เพราะกลัวเจ้าตัวจะคอแห้ง ก่อนจะค่อยๆ เล่าด้วยเสียงทุ้มต่ำ

   “คุณหนูชื่อคุณหนูเวลา เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล... มีอะไรหรือเปล่าขอรับ” พุดหยุดถามเมื่อเห็นกาลชะงักไป

   จะไม่ให้ตกใจยังไงไหว ตอนแรกว่าชื่อเล่นชื่อกาลเหมือนกันก็ว่าบังเอิญแล้วนะ หากกระทั่งชื่อจริง นามสกุลจริงก็ยังเหมือนกันนี่มันก็น่าแปลกเกินไปแล้ว กาลได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ส่ายหน้าบอกว่าตนไม่ได้เป็นอะไร ทั้งยังพยักเพยิดให้พุดช่วยเล่าประวัติต่อ

   “คุณหนูกาลเป็นบุตรเพียงคนเดียวของท่านอำนาจกับคุณมารตี ซึ่งกว่าจะมีคุณหนูได้นั้น ทั้งสองท่านพยายามทุกวิถีทาง วิทยาศาสตร์พึ่งไม่ได้ ก็หันมาพึ่งไสยศาสตร์ บนบานศาลกล่าวไปทั่ว เห็นว่าสุดท้ายไปขอลูกกับเจ้าพ่อมะยมถึงได้สำเร็จ

   แต่คุณหนูก็ร่างกายอ่อนแอนัก เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนในเรือนจึงออกจะโอ๋ตามใจคุณหนูจน เอ่อ... จนเกินไปบ้าง”

   ท้ายเสียงของพุดเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้กาลคิดว่าคงจะไม่ใช่แค่ตามใจเกินไปบ้างละ คงจะถูกพะเน้าพะนอจนเหลิงเลยซะละมากกว่า

   “โอเค เก็ทละ หนูเป็นลูกคนเดียว นิสัยท่าทางจะเอาแต่ใจเพราะถูกตามใจจนเหลิงมาตั้งแต่เล็กถูกไหมจ๊ะ”

   พุดได้ยินคำวิจารณ์ถึงตัวเองของคุณหนูกาลก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แต่หาได้ยินยอมตอบคำถามไม่ หากการนิ่งเฉยก็เปรียบดังการยอมรับนั่นเอง

   “แล้วหนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ ยังดูเด็กๆ อยู่แบบนี้ ยังเป็นนักเรียนอยู่ใช่ไหมจ๊ะ”

   “ปีนี้คุณหนูอายุครับ 18 ปีขอรับ คุณหนูยังเป็นนักเรียนอยู่ ตอนนี้อยู่ YEAR 13”

   เอ่อ... ไอ้ YEAR 13 นี่มันชั้นไหนกันล่ะวะเนี่ย กาลเก็บความสงสัยอีกข้อไว้ภายในใจ ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า บ่าวไพร่ภายในเรือนล้วนจบการศึกษาจากต่างประเทศกันทุกคน ถ้าอย่างนั้นไอ้คุณหนูกาลนี่...

   “เอ่อ... แล้ว แล้วหนูเรียนที่ไหนเหรอจ๊ะ”

   พุดยิ้มละไม เอ่ยเสียงสบายๆ เหมือนพูดถึงเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศทั่วไป

   “โรงเรียนของคุณหนูตั้งอยู่ในเมืองอ๊อกฟอร์ดขอรับ เป็นโรงเรียนประจำชายล้วน”

   อ๊อกฟอร์ด กาลทวนคำตอบใจใจ เหงื่อเม็ดเล็กไหลซึมตามขมับ ฝืนยิ้มด้วยท่วงท่าที่จะให้แลดูเป็นธรรมชาติ แต่กลับเป็นรอยยิ้มเหยเกพลางถามเสียงสั่น

   “อ๊อกฟอร์ดนี่...”

   “อังกฤษน่ะขอรับ”

   เอิ้กกกก ลมจะจับอีกรอบ ตอนเรียนเป็นภาษาไทยในห้องยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง นี่ต้องไปเรียนที่อังกฤษ พูดภาษาอังกฤษ จะไหวไหมวะไอ้กาล

   เห็นร่างตรงหน้าซีดขาวไถลศีรษะพิงเสา กอดหมอนแน่น ปากที่เจื้อยแจ้วเจรจาขยับขมุบขมิบพึมพำสิ่งใดฟังไม่ได้ศัพท์ พุดนึกว่าคุณหนูตากลมจนไข้กลับ กุลีกุจอนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบิดหมาดบรรจงซับบนหน้าผากโค้งนูนอย่างแผ่วเบา

   สัมผัสเย็นชื้นบริเวณหน้าผากทำให้กาลลืมตาขึ้นมองเห็นแววตากังวลห่วงใยของพุดที่ส่งมาให้ก็รู้ตัวว่าได้ทำให้พี่พุดเขาต้องลำบากมาดูแลอีกแล้ว ฝืนยันตัวนั่งตรง พยายามส่งยิ้มแห้งแล้งไปให้เพื่อความสบายใจของคนตรงหน้า

   “ขอโทษนะจ๊ะพี่พุด เลยต้องมาดูแลหนูอีกแล้ว สงสัยหนูจะร่างกายอ่อนแออย่างที่พี่พุดว่าไว้นะจ๊ะ พอรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อย ก็รู้สึกเหมอนจะเป็นลมยังไงไม่รู้สิพี่”

   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง แววตาทอประกายอาทรสุดประมาณ มือใหญ่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ประคองศีรษะทุยสวยให้เอนซบบนไหล่กว้างของตน

   “อย่าได้เกรงอกเกรงใจเลยเจ้า คิดกังวลสิ่งใดให้มากมายไปไย ประเดี๋ยวไข้จักกลับเอาเสีย คิดไม่ออกก็ไม่ต้องไปนึกไปคิดมัน หลับตาลงเสียเถอะเจ้า พี่จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้”

   มืออบอุ่นเทียวลูบหัวลูบหูอย่างทนุถนอมอ่อนโยนจนกาลสบายใจเริ่มเคลิ้มเข้าสู่นิทรารมย์ พุดจุดยิ้มมุมปากมองคนที่เอนซบหลับสนิทไปอย่างง่ายดายก็ได้แต่นึกขำ  เด็กน้อยของพี่เอ๋ย กินอิ่มก็นอนหลับนะเจ้า วางความกังวลสับสนทุกประการลงบนบ่าของพี่นี่เถิด พี่จักแบกรับให้เจ้าเอง พี่พุดสัญญา
   

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ู^-^neverland ล้ำกว่าโลกเราก็โลกนั้นแหละค่ะ  :laugh:
ู^-^rockiidixon666 ยุคตามใจนักเขียนค่ะ  :laugh:
ู^-^alternative เดี๋ยวแจกยาดมสักโหลระหว่างอ่านค่ะ  :hao7:
ู^-^♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณมากกกกกกกกก พี่พุด "ของเรา" น่ารักไหมคะ เอร๊ยยย มาแล้วค่ะ
ู^-^sirin_chadada อิงกับยุคไหนก็ไม่ได้เช่นกันค่า  :laugh:
ู^-^qq_oo ขอบคุณค่า มาแล้วค่า
ู^-^ตีสี่ มันเป็นความป่วงจริงๆ ค่ะ 555555 อยากจะให้มันแตกต่างไม่เหมือนใครตามจินตนาการคนเขียนค่ะ
ู^-^lovenadd ขอบคุณมากกกกเช่นกันค่า


ขอบคุณที่ติดตามน้องกาลของเรานะคะ
ฝากเป็นกำลังใจให้น้องกาลในโลกใบใหม่ด้วย
ร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
[/color]

 :กอด1: :กอด1: :L2: :L1: :L2: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์ (2/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-10-2017 11:01:50
เรือเหาะเจ็ท 5555555555555555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์ (2/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 02-10-2017 14:38:48
ชอบความล้ำของโลกนี้มากกก เป็นความผสมผสานที่คิดไม่ถึงจริงๆ

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์ (2/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-10-2017 17:04:30
ถ้าได้พี่พุดมาดม คงหายอาการลมจับ คริคริ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 2 @โลกคู่ขนาน - รู้สึกมหัศจรรย์ (2/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 06-10-2017 18:54:52
รอค่าาาาาาาาาาาาาาา
 :z13:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 11-10-2017 18:37:00
บทที่ 3 @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑

   ภาพบ่าวไพร่ชายหญิงในชุดนุ่งโจงห่มผ้าแถบกำลังเดินขวักไขว่ บ้างตากพวกพืชผักสมุนไพรบนลานกว้างที่นอกชาน บ้างดูแลจัดตกแต่งกระถางตะโกดัดให้เข้าทรงสวย มองเลยถัดจากชานเรือนเป็นบ่าวสาวๆ กำลังช่วยคุณมารตีเลือกคัดขนาดของดอกมะลิเพื่อร้อยถวายพระอยู่ตรงบริเวณระเบียง กิริยาโน้มตัวกระซิบกระซาบคุยไปกรองดอกไม้ไปแลละม้ายภาพฝัน ประจวบเหมาะกับเวลานี้เป็นช่วงเช้าที่กำลังฉ่ำน้ำค้างยิ่งให้ความรู้สึกราวกับย้อนมาอยู่ยุคโบราณจริงๆ ...

   ถ้าคุณมารตีจะไม่วางเข็มร้อยมาลัยลงแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูกรอกสำเนียงฝรั่งเศสลงไป แล้วบุ้ยใบ้ให้บ่าวข้างตัวยกอุปกรณ์ชนวนแพดขึ้นมาจดตามคำสั่งอย่างคล่องแคล่ว วงหน้าหวานพูดไปพยักหน้าน้อยๆ รับไปก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมามองเห็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตนยืนเหม่อเหมือนตกในภวังค์ จึงเร่งพูดกิจธุระให้แล้วเสร็จ ส่งยิ้มหวานพลางเอ่ยปากเรียก

   “หนูกาล หมู่นี้ตื่นเช้าทุกวันเลยหนาเจ้า มานั่งกับแม่ตรงนี้มาลูกมา”

   เหล่าสาวๆ ยกกระจาด กระบุง ตะกร้า หลบให้คุณหนูกาลกันวุ่นวาย เบาะรองนั่งลายวินเทจ อิชลิชสไตล์ถูกเลื่อนมาเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ หมดกัน!! ภาพฝันยุคโบราณ

   กาลส่งยิ้มแหยๆ นำทัพไปก่อน ปัดความรู้สึกขัดแย้งแปลกๆ ในใจทิ้งไป แล้วจึงค่อยเดินไปทิ้งตัวลงนั่งแปะข้างคุณมารตี

   “วันนี้ร้อยมาลัยเยอะกว่าทุกวันไหมจ๊ะ วันก่อนๆ ไม่เห็นจะเยอะเท่านี้”

   กาลเอ่ยปากถาม มองบรรดาดอกไม้รอบตัวที่มีมากกว่าปกติ ก่อนจะหยิบดอกบัวมาช่วยพับอย่างคล่องแคล่ว วันแรกที่เวลาช่วยพับดอกบัวเล่นเอาคุณมารตีและบ่าวไพร่ตาค้างกันยกใหญ่ พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนอยู่กับหลวงตาที่วัด เขานี่แหละมือพับอันดับ ๑ ในวัดเชียวนะ ใจนี่อยากจะพับโชว์เป็นดอกบานชื่น แต่ก็กลัวจะแอดว้านซ์เกินไป พอคุณมารตีถามว่าทำเป็นตั้งแต่เมื่อใด ก็ได้แต่บอกว่ามองๆ ดูพวกสาวๆ เขาทำแล้วก็พอจะจับเทคนิคได้บ้าง

   “วันนี้จะไปถวายเพลท่านเจ้าประคุณที่วัดใหญ่น่ะหนูกาล” คุณมารตีพูดไปมือก็แตะลูบแขนลูบไหล่ผู้เป็นบุตรชายไป กาลสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าคุณมารตีกับท่านอำนาจเวลาพูดคุยกันมือจะต้องมาแปะอยู่บนตัวลูกชายไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง คงจะเป็นการแสดงความรักผ่านภาษากายละมัง ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ชอบมากเลยต่างหาก ความคิดเรื่อยเปื่อยสะดุดลงกะทันหัน เมื่อคุณมารตีเอ่ยชวนซ้ำอีกครั้ง

   “นะหนูกาล ไปด้วยกันกับแม่เถิด แม่รู้ว่าหนูกาลหาชอบไปที่วัดไม่ แต่ครานี้แม่ขอเถิดหนา ใจคอแม่มิใคร่จักดี เหตุด้วยคราที่ลูกหลับไปสามวัน พอฟื้นตื่นขึ้นมาก็ยังเป็นลมเป็นแล้งอยู่เนืองๆ  ไปให้ท่านเจ้าประคุณท่านรดน้ำมนต์เรียกขวัญเสียหน่อยหนา”

   น้ำเสียงและกิริยาบีบนวดท่อนแขนเป็นไปด้วยความนุ่มนวลแฝงความเอาใจอย่างมาก ฟังดูก็รู้ว่าคุณหนูกาลคนก่อนคงไม่ใช่แค่ไม่ชอบไปวัดแล้วล่ะ น่าจะเข้าขั้นเกลียดเลยด้วยซ้ำ แต่... ไอ้กาลเด็กวัดครับ!! ให้ไปวัดก็เหมือนกลับถิ่นเก่านั่นแหละ

   “ได้สิจ๊ะ คุณแม่ให้หนูไปไหน หนูก็ไปได้ทุกที่แหละจ้ะ ขออย่างเดียว...”

   “ให้มีของกินไปด้วยใช่ฤาไม่”

   คุณมารตีดักคอ เอื้อมมือไปหยิกหมับเข้าที่แก้มคนช่างเจรจาอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะความจำเสื่อมหนูกาลผอมนัก แบบบางราวกับจะปลิวไปตามลมได้ ยิ่งช่วงสลบไสลไม่ได้สติยิ่งซูบลงไปมากโข ดีว่าช่างนี้เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง เพราะเธอรับทั้งข้าวรับทั้งขนมเก่งขึ้น

   “คุณแม่ก็พูดเกินไป หนูหมายถึง ขออย่างเดียวให้คุณแม่ไปด้วยกันกับหนูจ้ะ”

   ใบหน้าขาวเอียงแก้มลงซบบนต้นแขนคุณมารตีอย่างออดอ้อน เล่นเอาผู้เป็นแม่ถึงกับยิ้มปลื้ม หากก็ยังไม่วายหยอกเย้า

   “ถ้าเยี่ยงนั้น Lemon Tart Meringue ที่คุณพ่อหิ้วมาจากดีซี คงเป็นหมันเสียแล้วสิเจ้า ให้แม่เขาเอาไปเก็บก็แล้วกัน หนูกาลไม่อยากรับเสียแล้ว”

   “เก็บไปหนูก็ไม่ง้อ” น้ำเสียงที่ลากยาวชวนให้หมั่นไส้ ก่อนที่พ่อตัวดีจะเงยหน้าส่งสายตาวิบวับให้คุณมารตี

   “เพราะตอนผ่านเรือนครัวเมื่อกี๊ หนูเห็นพี่ปริกกำลังคุมพวกพี่สาวทำข้าวต้มมัดอยู่ หนูไปขอพี่ปริกเอาก็ได้”

   พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะดังลั่น เล่นเอาคุณมารตีต้องรีบกลั้นยิ้มแล้วขมวดคิ้วใส่พลางส่ายหน้าให้กับกิริยาที่ไม่ค่อยสำรวมนักของบุตรชาย

   “สองแม่ลูกคุยสิ่งใดกัน เสียงหัวเราะเจ้ากาลดังลั่นไปจนถึงด้านล่างเรือน อุ๊บ๊ะ! ลุกขึ้นมาให้ไวเชียวเจ้ากาล นั่นตักเมียพ่อหนา อย่าได้คิดมายึดครอง”

   ท่านอำนาจที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมาหลังเสร็จกิจประชุมผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับบรรดาผู้นำในกลุ่มอาเซียนเรียบร้อย ส่งเสียงกระเซ้าสองแม่ลูกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ผ้าขาวม้าในมือถูกจับขยับโบกพัดไล่ความร้อนก่อนจะซับบริเวณขมับแล้วค่อยทรุดตัวลงนั่งต่อจากบุตรชาย

   “คุณพี่มาก็ดีแล้ว มารับรู้เสียเถิดว่า ทาร์ตของคุณพี่หาสู้ข้าวต้มมัดของแม่ปริกได้เสียแล้ว”

   “อ้าว! พ่อรึอุตส่าห์หอบหิ้วมา ไม่ถูกปากเจ้ารึกาล”

   กาลรีบเด้งตัวขึ้นจากตักคุณมารตี หันไปบีบนวดต้นแขนท่านอำนาจ รีบเอ่ยปากประจบประแจง

   “ก็คุณแม่ท่านจะเอาไปเก็บ หนูก็เลยจะไปขอข้าวต้มมัดจากพี่ปริกน่ะจ้ะ แต่ถ้าคุณพ่อจะกรุณา หนูก็รับได้ทั้งทาร์ตทั้งข้าวต้มมัดนะจ๊ะ”

   สองผัวเมียมองสบตาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย นานแล้วที่บุตรชายไม่ได้มานั่งพูดคุยเย้าแหย่กันเช่นนี้ ตั้งแต่เริ่มรุ่นๆ ขึ้นมาก็มักวางท่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จะเดินจะเหินก็คอตั้ง หลังตรง จะพูดจะจาก็เก็บงำถนอมถ้อยคำนัก แลดูเข้าถึงยาก ท่านอำนาจยกมือขึ้นลูบหัวบุตรชายอย่างเอ็นดู ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มีเพียงเท่านี้แล เพียงเห็นบุตรพูดคุยหัวเราะเล่น ยิ้มได้อย่างเต็มที่ ก็นับเป็นความสุขที่สุดของพ่อแม่แล้วลูกเอ๋ย

   ยามสายมาถึง ขบวนทำบุญจึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง ที่ต้องเรียกขบวน เพราะถึงจะเดินทางทางเรือ แต่ก็มีเรือบรรทุกอาหารคาวหวานแลบ่าวไพร่รวมทั้งสิ้น ๑๐ ลำเรือ มีคุณมารตีนั่งเป็นประธานที่เรือลำใหญ่สุดกับบุตรชาย ส่วนท่านอำนาจนั้น เนื่องจากมีติดต่อคุยงานกับนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจึงมิได้มาด้วย กาลชะเง้อชะแง้มองไปยังเรือทุกลำ เมื่อไม่พบคนที่มองหา จึงหันมาถามกับคุณมารตี

   “พี่พุดไม่ได้มาด้วยเหรอจ๊ะ?”

   “เดี๋ยวนี้มีถามถึงเลยหนาเจ้า แต่ก่อนเห็นรำคาญเจ้าพุดมันนัก หลบได้เป็นหลบ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง”

   กาลก้มหน้าลงเสยกมือเกี่ยวปอยผมทัดใบหู ตอบอุบอิบในลำคอ

   “ก็เห็นไปไหนพี่พุดก็ไปด้วยนี่จ๊ะ”

   กาลนึกถึงพี่พุดที่คอยดูแล คอยตอบคำถามให้กับตัวเขาอย่างไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่าย จะให้ไปถามคนอื่นน่ะเหรอ เฮอะ! ไม่มีทางได้คำตอบ แต่ละคนคอยแต่จะก้มหน้างุดๆ ถามคำตอบคำ บางคนถึงขนาดสะดุ้งตกใจจนตัวโยนเวลาที่โดนเรียกด้วยเหอะ ไม่มีพี่พุดนี่ ชีวิตของเขาที่เมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลได้ลำบากกว่านี้แน่ๆ

   “แล้วตกลงพี่พุดไม่มาใช่ไหมจ๊ะ”

   “วันนี้คุณพ่อให้เจ้าพุดเป็นคนขับเรือเหาะน่ะเจ้า เพราะกิจของคุณพ่อครานี้ เจ้าพุดมีเพื่อนพ้องทางญี่ปุ่นอยู่มาก หากมีเหตุไม่คาดฝันอันใด จักได้ติดต่อให้ช่วยกันคิดอ่านรับมือแก้ไขปัญหาได้”

   “อ้อ” กาลรับคำในลำคอก่อนจะพูดต่อ

   “เอ... คราวที่แล้วที่คุณพ่อกับคุณแม่ไป เอ่อ... ไปตลาด แค่กๆๆ” ไม่ค่อยจะคุ้นกับไอ้คำว่าไปตลาดนี่เล้ย พับผ่าสิ!!

   “คราวนั้นใครเป็นคนขับเรือเหาะเจ็ทกันล่ะจ๊ะ”

   คุณมารตีแย้มยิ้มพยักเพยิดไปทางท้ายเรือ

   “ตาชดไงเล่าลูก”

   ผู้ที่ถูกเรียกว่าตาชด เป็นชายร่างใหญ่ผิดคร้ามเข้ม อายุน่าจะราวๆ หกสิบกว่าๆ หากแต่สุขภาพร่างกายน่าจะดีมาก สังเกตได้จากกล้ามเนื้อตึงเปรี๊ยะที่ขับให้เห็นลอนเด่นชัดยามยกแขนวาดไม้พาย ดวงหน้าเข้มที่แลดูคุ้นตานิ่งสนิท จนเมื่อกาลส่งยิ้มไปให้จึงได้รอยยิ้มเปื้อนสีแดงจากการกินหมากเป็นของขวัญตอบกลับมา

   “ว่าไงชด หนูกาลถามหาหลานชายเจ้าแน่ะ ถ้าพุดมันกลับถึงเรือนก็อย่าลืมให้มารายงานตัวกับเธอเสียล่ะ”

   “หลานชาย?”

   กาลคราง พรางหันไปจ้องหน้าตาชดอีกครั้ง ถึงว่าทำไมคุ้นๆ หน้าเหมือนพี่พุดนี่เอง เอ๊ะ! ต้องเป็นพี่พุดสิที่หน้าเหมือนตาชด

   “อื้อหือ รู้เลยจ้ะว่าถ้าพี่พุดอายุมากขึ้นจะหล่อเข้มเหมือนใคร”

   คำพูดหวานหูที่ออกมาทำเอาตาชดถึงกับหน้าขึ้นสี เป็นที่ตลกขบขันของบรรดาคนที่เห็นนัก ยากที่จะเห็นตาชดเสียอาการได้ขนาดนี้ หน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหน ก็เห็นหน้านิ่งไร้อารมณ์อยู่เป็นประจำ เจอคำพูดของคุณหนูกาลไปคำเดียว เล่นเอาเสือยิ้มยากถึงกับไปไม่เป็นเลย

   เมื่อมาถึงท่าน้ำหน้าวัด กาลก็ต้องจุปากชื่นชมกับบรรยากาศร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่น้อยที่อยู่รายรอบวัด ประกอบกับมีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้ถึงจะเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

   กาลเดินตัวปลิวเข้าไปภายในบริเวณวัด เพราะไม่ว่าจะอาสาช่วยหยิบจับอะไรจะต้องมีคนแทรกมาช่วยถือให้ทุกอย่าง คุณมารตีกวักมือเรียกบุตรชายให้มาเดินด้วยกันภายใต้ร่มที่กางรอไว้ เพราะเกรงว่าบุตรชายจะถูกกระไอแดดจนจับไข้ได้อีก กาลรีบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ แต่กลับไม่ยอมเดินเข้าร่ม เพียงหยุดลงตรงหน้าคุณมารตีแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

   “น้องสาว มาคนเดียวเหรอจ๊ะ สวยขนาดนี้มีคนจีบรึยังเอ่ย”

   ก่อนจะมาวัดคุณมารตีผลัดผ้านุ่งโจงสีเหลืองอ่อน ห่มสไบสีบานเย็น ขับผิวขาวให้ยิ่งนวลผ่อง ฝ่ายผู้เป็นมารดา เมื่อได้ยินบุตรชายกระเซ้าก็ยื่นมือไปหยิกหมับเข้าให้ที่ต้นแขนทันที

   “ในวัดในวายังพูดจาไม่สงบสำรวมอีกหนาเจ้า” ปากพูดบ่นไป แต่ในตากับพราวระยับ เห็นได้ชัดว่าถูกอกถูกใจยิ่ง

   “อูย” เจ้าตัวดีแกล้งเอื้อมมือกุมไหล่ พลางพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ก้มตัวลงซบต้นแขนคุณมารตีอย่างประจบประแจง

   “พูดความจริงในวัดไม่บาปหรอกจ้ะคุณแม่ หนูไม่ได้โกหก พระท่านไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ”

   “ทำมาเป็นพูดดี ไปเลยเชียว สายไปโขแล้ว เดี๋ยวจะเลยเวลาฉันเพลของท่านเจ้าประคุณท่าน”

   น้ำเสียงเข้มงวดไล่ให้ออกเดิน แต่มุมปากและลูกตายิ้มปลื้มไม่หยุด บ่าวไพร่ที่เดินตามกลั้นยิ้มกันเป็นทิวแถว โถ... คุณมารตีเธอคงปลื้มที่บุตรชายชม ดูสิ หน้าบานออกอย่างนั้น

   ที่กุฏิของท่านเจ้าประคุณและดูวุ่นวายคล้ายตลาดย่อมๆ เมื่อบ่าวแต่ละคนเดินขึ้นเดินลงสวนกันให้ขวักไขว่ บ้างถือชะลอม บ้างถือกระจาด อาหารคาวหวาน ส้มสูกลูกไม้ รวมไปถึงเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุสงฆ์ถูกลำเลียงขึ้นไปไว้บนกุฏิ คล้ายยกร้านเครื่องสังฆภัณฑ์มาไว้เลยทีเดียว จวบจนเมื่อบ่าวคนสุดท้ายเดินกลับลงมา คุณมารตีจึงเอ่ยชวนบุตรชายให้ขึ้นไปถวายเพลกัน

   มาถึงตอนนี้กาลกลับเริ่มรู้สึกกังวล มีท่าทีอิดออดอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากให้โกหกใครต่อใครว่าความจำเสื่อมเขาก็โกหกได้ เพราะหากไม่ทำแบบนี้ก็คงอยู่ในโลกนี้ลำบาก แต่จะให้โกหกพระนี่มันออกจะเลยเถิดไปหน่อยนะ ผิดศีลต่อหน้าพระจะๆ อย่างนี้ไอ้กาลเครียดดดด

   “เป็นอันใดไปลูกกาล จะมาโยกโย้ไม่ไปพบท่านเจ้าประคุณเอาตอนนี้ไม่ได้เทียวนะ มาจนถึงกุฏิท่านแล้ว” คุณมารตีลดเสียงปลอบ

   “ขึ้นไปสักกะเดี๋ยวก็ได้หนาเจ้า พอเสร็จแล้วขากลับแม่จะให้นังปริกทำเครปเค้กให้ดีฤาไม่ อ้อ! แต่เดี๋ยวนี้เจ้าชอบขนมไทย เยี่ยงนั้นกระท้อนลอยแก้วไหมลูก กลับไปร้อนๆ รับสำรับเย็นๆ จักได้ชื่นใจ”

   กาลหลุดหัวเราะทันทีกับลูกล่อลูกชนของคุณมารตี เห็นเขาเป็นเด็กเล็กหรือยังไง ถึงได้เอาขนมมาล่อ ฟังชื่อเมนูแล้วไอ้กาลขยับขาก้าวข้นบันไดกุฏิอย่างทะมัดทะแมงทันที ได้แต่นึกขอโทษพระท่านอยู่ในใจ

   ขอโทษนะท่านเจ้าประคุณ ไอ้กาลทนความยั่วใจของกระท้อนลอยแก้วไม่ไหวจริงๆ แค่คิดก็น้ำลายสอเต็มสองกระพุ้งแก้มแล้วเนี่ย คงจะหวานๆ เปรี้ยวๆ เย็นๆ อ๊า... ทนไม่ไหวละ รีบไปถวายเพล รีบไหว้ รีบกลับดีกว่า หิววว

   บนกุฏิก็เป็นอย่างเช่นเรือนไทยทั่วไป มีเรือนนอนซึ่งประตูถูกปิดอยู่ คาดว่าท่านเจ้าประคุณคงกำลังใส่จีวรให้เรียบร้อยเตรียมตัวต้อนรับญาติโยม ถัดจากเรือนนอนเป็นระเบียงที่มีโต๊ะหมู่บูชา อาสนะ และเครื่องใช้ไม้สอยสำหรับภิกษุสงฆ์จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย

   กาลค่อยๆ คลานไปนั่งพับเพียบข้างคุณมารตีอย่างสงบเสงี่ยม ใจลอยไปถึงกระท้อนลอยแก้วเป็นที่เรียบร้อย

   ประตูเรือนนอนที่เปิดออกมา ทำให้กาลที่กำลังนั่งเหม่อได้สติรีบขยับนั่งตัวตรง มือที่ประสานไว้บนตักยกขึ้นพนมเตรียมไหว้ หากทันทีที่ตาประสานกับภิกษุชราตรงหน้า ก็ทำให้กาลนั่งตกตะลึง มือไม้ยกค้างไว้กลางอากาศ มีแต่ถ้อยคำกระซิบเสียงแผ่วดังลอดริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นออกมา

   “หลวงตา...”

   “กราบนมัสการท่านเจ้าประคุณเจ้าค่ะ”

   เสียงของคุณมารตีปลุกกาลให้ตื่นจากภวังค์ ได้แต่เก้ๆ กังๆ ขยับตัวเปลี่ยนไปนั่งท่าเทพบุตรแล้วก้มตัวลงกราบเบญจางคประดิษฐ์จนครบสามครั้งอย่างงงๆ ดีว่าเป็นความคุ้นชินเลยกราบได้ถูกต้องนะ แต่ถึงจะปฏิบัติได้ถูกต้อง กาลก็รู้ตัวเลยว่าเป็นการกราบที่ห่วยที่สุดที่เจ้าตัวเคยกระทำมาเลย ก็จะไม่ให้ลนลานได้ยังไงไหว ในเมื่อท่านเจ้าประคุณที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ หน้าตาเนื้อตัวถอดแบบมาจากหลวงตาที่เป็นคนเลี้ยงดูเขามาชัดๆ

   “เป็นยังไงบ้างล่ะโยม สบายดีอยู่รึ”

   อา... ยิ่งเสียงนี้ยิ่งใช่ กาลได้ยินเสียงคุณมารตีพูดจาโต้ตอบท่านเจ้าประคุณอยู่ไปมาก็ได้แต่กระสับกระส่าย อยากจะพูดอยากจะถาม แต่ก็ไม่มีช่องว่างให้เขาเลย จนดูเหมือนท่านเจ้าประคุณจะดูอาการลุกลี้ลุกลนของเขาออกจึงเอ่ยปาก

   “เอาเถอะๆ มีคนร้อนรนแย่แล้วกระมัง รีบถวายกันให้เรียบร้อยก่อนเถิด เสร็จแล้วมีเรื่องอันใดค่อยเจรจาความกันภายหลัง”

   สิ้นเสียงของท่านเจ้าประคุณ กาลก็นำสวดถวายเพลอย่างคล่องแคล่ว ไม่สนอาการคุณมารตีที่เบิกตาโตมองบุตรชายด้วยความตกใจ ก็ร้อยวันพันปี อย่าว่าแต่สวดมนต์เลย จะเข้าวัดนี่ขอร้องกันแล้วขอร้องกันอีกกว่าเธอจะยินยอมมา มาวันนี้หนูกาลเล่นนำสวดเอง ท่าทางจะได้บุญใหญ่ซะละมังครานี้

   “เอ้า! มีข้อสงสัยสิ่งใดก็ถามไถ่มาเสียให้สิ้น อย่ามัวมานั่งกระบิดกระบวนให้มากความ”

   หลังจากที่ขอตัวอยู่กันตามลำพังสำเร็จ ท่านเจ้าประคุณก็เอ่ยถามไปพลาง จิบชาจากถ้วยที่กาลประเคนให้ไปพลาง

   “คือ... คือหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงจ๊ะ แล้วคนชื่อกาลที่เป็นเจ้าของร่างเป็นอะไรกับหนู แล้วตอนนี้เจ้าของตัวจริงไปไหนแล้วจ๊ะ ทำไมเขาหน้าเหมือนหนู ชื่อเหมือนหนูทุกอย่างเลย แล้ว... แล้ว หลวงตานี่คือหลวงตาจริงๆ ใช่ไหมจ๊ะ หนูคิดถึงหลวงตามากเลย ทำไมหลวงตาไม่ไปหาหนูบ้าง รู้ไหมว่าวันแรกที่หนูลืมตาขึ้นมาที่นี่หนู...”

   “พอๆๆ หยุดก่อนได้ฤาไม่เจ้า” ท่านเจ้าประคุณวางถ้วยชาลงโบกไม้โบกมือให้วุ่นพลางพึมพำ

   “ไฉนพูดมากเยี่ยงนี้ ผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เจ้า เลี้ยงกันมายังไงหนาจึงเป็นเยี่ยงนี้”

   “เอาเถิด ข้าจะเล่าให้ฟัง แล้วหากเจ้าสงสัยอันใดจึงค่อยถามเพิ่มเอาหนา หากรอให้เจ้าถามข้าตอบดูรูปการแล้ว พรุ่งนี้ก็หาจบเรื่องได้ไม่”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 11-10-2017 18:43:33
***************************************************************


   “คุณพี่เจ้าคะ น้องท้อใจเหลือเกินแล้ว วิถีทางใดที่ว่าดีก็ลองมาหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งไสยศาสตร์ สงสัยชาตินี้ น้องคงไม่มีบุญได้อุ้มท้องลูกของคุณพี่เป็นแน่”

   น้ำเสียงหมดอาลัยของคุณมารตีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเปรยขึ้น ท่านอำนาจยิ่งฟังก็ยิ่งปวดร้าวยิ่งนัก มดหมอทั้งในเมืองนอกเมือง ท่านใดชื่อเสียงโด่งดังด้านสูตินรีเป็นต้องดั้นด้นไปขอคำปรึกษามาจนหมดจนสิ้น แต่ก็หาได้ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด ใจนึงก็นึกเสียดายที่ตนเองคงไร้บุตรสืบสกุล แต่ที่เสียใจอย่างสุดซึ้งก็คงเพราะสงสารแม่มารตีนี่แหละหนา เห็นน้องเจ็บ ใจของพี่ก็ยิ่งเจ็บกว่าแม่คุณเอ๋ย

   เห็นอาการของเจ้าของเรือนที่ทุกข์ตรมเป็นดังนั้น นางปริกจึงรวบรวมความกล้าค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปใกล้คุณมารตี พลางเอ่ยปากออกความคิดเห็น

   “คุณมารตีเจ้าคะ อิฉันว่าคุณรตีกับท่านอำนาจลองไปขอลูกกับเจ้าพ่อมะยมดีฤาไม่เจ้าคะ”

   ประกายตาระริกไหวด้วยความหวังถูกจุดวูบขึ้นมาในทันที คุณมารตีหันขวับมามองทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ทั้งบ่าวตรงหน้าอย่างตั้งใจ ฝ่ายท่านอำนาจได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ เป็นเช่นนี้มากี่เพลาแล้วเล่า มีความหวัง ผิดหวัง วนเวียนซ้ำๆ เยี่ยงนี้ สงสารก็แต่แม่รตี จะทนรับความผิดหวังได้อีกครั้งกระนั้นหรือ

   “ถึงเราสองจะไม่มีบุตรเป็นโซ่ทองคล้องใจอย่างใครเขา พี่ก็หาได้รักแม่รตีน้อยลงดอกหนาเจ้า จะอย่างไรเรื่องนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิด พี่ไม่อยากเห็นแม่รตีต้องมาทุกข์เยี่ยงนี้”

   เสียงปลอบโยนแผ่วเบาทว่าหนักแน่นของท่านอำนาจ ทำเอาคุณมารตียิ้มได้ทั้งน้ำตาที่คลอคลอง ตัวเธอรู้ว่าท่านอำนาจรักและตามใจเธอมาก แต่เธอก็ยังตั้งความหวังว่าจะมีบุตรมาเชยชมให้ได้สักคน เธอจึงประนมมือกราบลงบนต้นแขนของผู้เป็นสามีอย่างสำนึกในความรัก

   “น้องรู้ว่าคุณพี่มีจิตรักใคร่น้องเพียงไร หากแต่น้องก็ยังอยากลองเสี่ยงอีกสักครา คุณพี่จะว่ากระไรเจ้าคะ หากน้องจะชวนไปขอบุตรกับเจ้าพ่อมะยมตามที่ปริกมันบอก”

   น้ำเสียงหวานใสแกมออดอ้อนขณะที่ช้อนตาขึ้นมองสบผู้เป็นสามีนั้น ทำเอาท่านอำนาจถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มืออบอุ่นคว้าประคองมือน้อยที่ยังคงกราบบนต้นแขนของตนเองมากุมไว้

   “แม่รตีก็เป็นเสียเยี่ยงนี้ จะให้พี่ทำอันใดได้นอกจากถามทางไปศาลเจ้าพ่อมะยมเล่า ไม่ตามใจเมียแล้วจะให้พี่ไปตามใจใคร เอ้า!! ว่าอย่างไรแม่ปริก ศาลเจ้าพ่อมะยมของเอ็งอยู่แห่งหนตำบลใดรึ บอกมาเสียให้สิ้น ข้าจักได้จัดแจงเลื่อนตารางกิจธุระให้ได้ถูก ว่าควรจักเดินทางเพลาใด สงสัยต้องเลื่อนนัดที่สยามกระมัง”

   เสียงหัวเราะคิกคักของแม่ปริกส่งผลให้ท่านอำนาจตวัดสายตามองอย่างขึ้งโกรธไม่ได้ ดูทีรึ แทนที่จะรีบขยายความ กลับมามัวหัวร่ออมพะนำอยู่ได้

   “อย่าพึ่งโมโหโทโสไปเจ้าค่ะท่านอำนาจ ดูท่าว่าจะมิต้องเลื่อนเดินทางอันใดหรอกเจ้าค่ะ ศาลเจ้าพ่อมะยมนั้นอยู่ทางภาคอีสานของสยามประเทศพอดี ท่านอำนาจเพียงเพิ่มวันพักผ่อนมาอีก ๒ - ๓ วัน เร่งจัดกิจธุระให้แล้วเสร็จ จากนั้นจึงพาคุณมารตีไปทำพิธีบวงสรวงขอพรที่ศาลเจ้าพ่อมะยมได้เลยเจ้าค่ะ ไปเที่ยวเดียว เหมือนยิงนกนัดเดียวได้กระสุน ๒ ตัว เอ๊ย! ยิงกระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว ทั้งงานราษฎร์ ทั้งงานหลวง ถึงพร้อมเสร็จสรรพในคราเดียว”

   “ดูทีแม่ปริกจะซุกกิ๊กไว้ที่สยามประเทศกระมัง ถึงได้เป็นตัวตั้งตัวตีจักพาเมียข้าไปให้ได้ในครานี้”

   อาการพูดหน้านิ่งหากเต็มไปด้วยคำพูดหยอกเย้าเช่นนี้หาได้มีใครเสมอเหมือนท่านอำนาจอีกแล้ว เหล่าสาวๆ วี้ดว้ายกระตู้วู้กันเป็นการใหญ่ ยิ่งแม่ปริกยิ่งหัวเราะจนต้องยกชายผ้าแถบขึ้นซับน้ำตา บรรยากาศหม่นเศร้าเมื่อครู่จึงคลี่คลายลงได้

   “กิ๊กเกิ๊กอันใดกันเจ้าคะ ท่านอำนาจทำเป็นพูดศัพท์แสงร่วมสมัย อิฉันจะอยู่เป็นสาวเทื้อคอยรับใช้คุณมารตีอยู่ที่เรือเศรษฯ นี่ละเจ้าค่ะ อย่าได้หาเรื่องให้อิฉันต้องปล่อยคานอันเป็นที่รักยิ่งลงมาเทียว อิฉันจะนั่งสวยๆ อยู่บนคานอย่างมั่นใจเยี่ยงนี้แหละเจ้าค่ะ”

   สิ้นคำตอบของนางปริกก็เล่นเอาเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเสาสะเทือนจากแรงหัวเราะของบ่าวไพร่และเจ้าของเรือนกันเลยทีเดียว

   วันบวงสรวงบนบานขอบุตรมาถึง รอบบริเวณของศาลเจ้าพ่อมะยมถูกกั้นไว้ภายในระยะ ๑๐ กิโลเมตรจากศาล ล้วนห้ามมิให้ผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้ ส่วนจักใช้วิธีใดบอกกล่าวห้ามปรามชาวบ้าน ท่านอำนาจก็หาได้รู้ไม่ รู้แค่เพียงเอ่ยปากบอกจักมาบวงสรวงเจ้าพ่อมะยม ทางคณะทูตแห่งสยามประเทศก็เตรียมการให้อย่างถึงพร้อม ทำเอานางปริกประทับใจนัก เพราะขนของบวงสรวงมาชุดใหญ่จนกลัวชาวบ้านจะแตกตื่น

   บายศรีสูง ๙ ชั้น ฝีมือสุดปราณีตจากบ่าวในเรือนพร้อมเครื่องพลีกรรม หัวหมู เป็ด ไก่ ปลา ผลไม้มงคล กล้วย ส้ม สับปะรด ขนมต้มแดง ต้มขาว หมากพลู หากหาได้มีบุหรี่ไม่ ด้วยร่ำลือว่าเจ้าพ่อมะยมไม่โปรดการอมควันสักเท่าใดนัก ขนาดคนจะมากราบไหว้มายืนสูบบุหรี่ใกล้ๆ ศาลท่าน ท่านยังบันดาลโทสะ ปรากฏอิทธิฤทธิ์ปากเจ่อบุหรี่ดับกันเป็นทิวแถว

   ท่านอำนาจประคองคุณมารตีเมียรักลงจากรถโรลส์รอยซ์ด้วยอาการประคับประคองด้วยเหตุที่เมื่อคืนคุณมารตีตื่นเต้นเป็นอันมาก จึงนอนมิใคร่จะเต็มตาเท่าใดนัก เช้านี้จึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง แล้วประธานสมาคมคนหลงเมียอย่างท่านอำนาจจะทำเช่นใดได้เล่า นอกจากประคองซ้าย ระวังขวาให้อยู่ตลอดเวลา เมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้นจนคุณมารตีต้องหยีตาเพื่อมองไปยังศาลเจ้าพ่อให้ชัดเจนขึ้น ท่านอำนาจก็เรียกหาร่มมากางบังแสงให้เป็นการใหญ่

   “น้องมิเป็นอันใดมากเจ้าค่ะคุณพี่ เร่งทำพิธีบวงสรวงกันเถิด ประเดี๋ยวจะสายมากไปกว่านี้”

   “ได้จ้ะแม่รตี”

   สองร่างยืนเคียงคู่สงบจิตใจตั้งจิตน้อมอธิษฐาน ขอให้เจ้าพ่อมะยมดลบันดาลให้บุตรมาชื่นชมในเร็ววันด้วยเถิด ขณะกำลังจะปักธูปเป็นอันเสร็จพิธี แม่ปริกก็ปราดเข้ามาประชิดทำหน้าตาตื่นตกใจ

   “คุณมารตีเจ้าขา บนบานหรือยังเจ้าคะ”

   “ตายจริง เกือบลืมเสียสิ้น ดีนะปริกมาเตือน” ยิ้มเยื้อนด้วยสีหน้าซีดเซียว จากนั้นจึงหันหน้าไปกล่าวออกเสียงต่อเจ้าพ่อมะยม

   “หากลูกช้างได้บุตรมาชื่นชมสมใจ ลูกช้างจะถวายอาหารคาวหวาน ส้มสูกลูกไม้...”

   “ฮ้ายย” แม่ปริกส่งเสียงลากยาว

   “ถวายเยี่ยงนี้มันเบสิคไปเจ้าค่ะคุณรตี ใครก็บนอย่างนี้ เจ้าพ่อท่านคงเบื่อนะเจ้าคะ”

   “อ้าว! แล้วเช่นนั้นจักบนประการใดดี” คุณมารตีทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ ร้อนถึงท่านอำนาจต้องเอ่ยปากช่วยเร่งอีกแรง

   “ว่ายังไงแม่ปริก ควรบนเยี่ยงไร แม่รตีเธอร้อนใจ จักให้ทำอันใดก็เร่งบอก”

   “เขาว่าเจ้าพ่อท่านชอบบนแบบแปลกๆ แล้วจะสัมฤทธิ์ผลเจ้าค่ะ ลองเป็นแก้ผ้าวิ่งรอบศาลไหมเจ้าคะ น่าจะแปลกพอได้อยู่”

   “กระไรนะ!!!”

   พูดจบคุณมารตีก็ซวนซบลงบนอกผู้เป็นสามี หอบหายใจถี่จนท่านอำนาจสงสาร หยาดน้ำตาไหลลงทางหางตาของดวงตาคู่งามทันที ใบหน้าแฉล้มส่ายหน้าน้อยๆ พลางรำพันเสียงแผ่ว

   “น้อง... น้อง... น้องคงหาทำได้ไม่เจ้าค่ะคุณพี่ อะพิโธ่ อุตส่าห์ดั้นด้นมากราบไหว้ถึงสยาม กลับมิสามารถบนบานดังใจหมาย ชาตินี้น้องคงไม่มีบุญอุ้มท้องลูกของคุณพี่เสียแล้ว น้องเสียใจนัก”

   ใบหน้าที่ส่ายไปมาน้อยๆ กลับลากน้ำตาบนอกของท่านอำนาจเป็นหย่อมใหญ่ อกใจท่านอำนาจปวดแปลบเหมือนโดนน้ำกรดราดรด ละล่ำละลัก เอ่ยคำสาบานทันที

   “ข้าแต่เจ้าพ่อมะยมอันศักดิ์สิทธิ์ หากลูกช้างได้บุตรมาเชยชมสมใจ ลูกช้างจะแก้ผ้าวิ่งรอบศาลเจ้าพ่อเป็นการแก้บนในภายภาคหน้า!!”

   “คุณพี่!”

   คุณมารตีปล่อยโฮออกมาด้วยความตื้นตัน ประนมมือลงตรงอกผู้เป็นสามีมือไม้สั่น ความปลื้มปีติสมดังใจหมายหรือกระไรมิรู้ได้ ทำให้เธอเป็นลมล้มลงในอ้อมอกท่านอำนาจไปในทันที

   จากนั้นก็เป็นความวุ่นวายโกลาหล ท่านอำนาจย่อตัวลงช้อนกายผู้เป็นภรรยามาแนบอกพลางก้าวขาออกเดินอย่างรวดเร็ว เร่งสั่งให้ตาชดเปิดประตูรถก่อนค่อยๆ วางร่างคุณมารตีลงบนเบาะอย่างทะนุถนอม แล้วจึงหันไปสั่งกำชับบ่าวไพร่ให้คอยดูแลเก็บกวาดทางนี้ให้เรียบร้อย เสียงสั่งงานระรัวเร็วเฉียบขาด ด้วยจักเร่งพาคุณมารตีกลับโรงแรมที่พักดังก้องกังวานอยู่เพียงครู่ จึงได้ยินเสียงประตูรถปิดลง แล้วออกตัวแล่นหายไปอย่างรวดเร็ว

   “เป็นอย่างไรบ้างรึแม่ปริก”

   น้ำเสียงกังวลส่อความห่วงใยอย่างปิดไม่มิดทำเอาปริกถึงกับน้ำตาซึม อดรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ จึงเสยกถาดแก้วน้ำและยาไปวางบนโต๊ะ ทำเป็นวุ่นวายมือเป็นระวิงหยิบจับสิ่งของแล้วเอ่ยปากทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้

   “คุณรตีมิเป็นอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อคืนเธอพักผ่อนน้อย ประกอบกับวันนี้แดดจัดนัก พอตื่นเต้นตกใจจึงเป็นลมไป นี่อิฉันให้ทานยาแล้ว นอนพักผ่อนอีกสักครู่ก็คงดีขึ้นมากล่ะเจ้าค่ะ”

   “แต่ว่าแม่รตี...”

   “อ้อ... ก่อนจะหลับไป คุณรตีเธอฝากบอกให้ท่านอำนาจไปพักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ เธอห่วงว่าท่านจะไม่ดูแลตัวเอง ประเดี๋ยวเธอตื่นขึ้นมาเธอว่าจะชวนท่านไปดินเนอร์ที่ฮ่องกงต่อเลย ท่านอำนาจเห็นเป็นเช่นใดเจ้าคะ”

   คำพูดที่จะถามถึงภรรยาถูกนางปริกขัดด้วยคำสั่งของเมียรักเยี่ยงนี้แล้ว ประธานสมาคมคนหลงเมียจึงได้แต่พยักหน้ารับ พลางหมุนกายเดินออกจากห้องไปเตรียมการสำหรับดินเนอร์นี้ทันทีโดยไม่มีเกี่ยงงอน

   แอ๊ด... เสียงงับประตูปิดลง ทำให้คุณมารตีซึ่งแสร้งนอนหลับตาอยู่ลืมตาขึ้นมาถามความคืบหน้าโดยพลัน

   “เป็นเยี่ยงไรเล่าปริก คุณพี่มีท่าทางจะซักถามอันใดฤาไม่”

   ปริกทิ้งตัวลงนั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าเรียบร้อย ก่อนจะถอนหายใจตอบ

   “ไปเตรียมตัวสั่งตาชดเช็คเครื่องสำหรับบินเย็นนี้แล้วเจ้าค่ะ เฮ้อ... อิฉันรู้สึกผิดเลยเทียวคุณรตี”

   “ปริกเป็นต้นคิดเรื่องให้ฉันเป็นลมแล้วคุณพี่จะได้ยอมรับปากวิ่งแก้บนอย่างไรล่ะ เพราะฉะนั้น ปริกรู้สึกผิดก็ถูกแล้ว”

   แววตาซุกซนระริกไหวยามเอ่ยออกมา ทำเอาปริกอยากจะหยิกให้เนื้อเขียว แต่ก็ได้แต่ส่ายหน้ารำพึงรำพัน

   “สงสารท่านอำนาจเธอนะเจ้าคะ หลงเมียจนยอมสาบานแทนให้ มารยาหญิง ๕๐๐ เล่มเกวียน คุณมารตีใช้แค่ครึ่งเกวียน ท่านอำนาจก็ไปไหนไม่รอดแล้ว”
   


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ู^-^rockiidixon666 ไปขึ้นเรือเหาะเจ๊ทด้วยกันไหมคะ  :hao3:
ู^-^Chise ดีใจที่ชอบค่า ถ้าถูกใจก็แวะมาบ่อยๆ นะคะ  :mew1:
ู^-^alternative เดี๋ยวจะเด็ดมาให้ดมค่ะ 55555 หอมชื่นนนนจายยยย  :-[
ู^-^maneethewa มาแล้วค่าาาาา

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ขอบคุณที่แวะมาอ่านและเม้นท์ให้กำลังใจนะคะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-10-2017 21:31:41
คนรักเมียย่อมเป็นเหยื่อของเมียฉลาดและเพื่อนคู่คิดอย่างคนสนิท ฮ่า ๆ ๆ ๆ

ว่าแต่....พี่พุดค่าตัวแพงมาก ตอนนี้ไม่โผล่เลย
มาให้แฟนคลับดมหน่อยเร้ววววว
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-10-2017 22:28:05
มารอ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 11-10-2017 22:33:48
สนุกมากเลย อ่านแล้วคลายเครียดดี เดาทางไม่ถูกเลย แต่ชอบนิยายแนวฟิลกู้ดจริงๆ รอๆๆตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-10-2017 23:03:39
 :L2: :L1: :pig4:

สนุกดี
เราจะตามอ่าน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-10-2017 12:34:13
สนุกมากกกก  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 13-10-2017 09:46:10
ตลกมากกกกกก 555555555
รออ่านต่อๆไปจร้า ^^
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๑ (11/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-10-2017 15:44:57
อื้อฮือ กาลมามิติที่ตระกูลตัวเองร่ำรวยสุดๆ
มีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวซะด้วย
พี่พุด นี่หลงรักกาลแทบจะกลืนกินเลย  :ling1: :ling1: :ling1:

หลวงตา หน้าตาเป็นหลวงตาคนเดิมด้วย
แล้วนี่กาล  จะทำอะไรต่อไป  :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 16-10-2017 08:48:45
บทที่ 3 @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒

   “ซู้ดดด... อาห์”

   ท่านเจ้าประคุณถึงกับชะงักนิ่งงันไปทันที เมื่อได้ยินเสียงซดน้ำเสียงดังลอยมาเข้าหู ดวงตาที่หลับลงเพื่อย้อนระลึกเล่าถึงความหลังพลันกระตุกเปิดขึ้น ทันเห็นเจ้าตัวดีวางถ้วยน้ำชาลงแล้วใช้หลังมือป้ายปากเช็ดกับโจงอย่างลวกๆ

   “รับน้ำชาซักถ้วยไหมจ๊ะหลวงตา”

   ยัง... ยังมีหน้ามายิ้มแฉ่งชวนกินน้ำชาเสียอีก เจ้าเด็กนี่มันยังไงหนา กิริยาวาจาจึงได้กระโดกกระเดกนัก เส้นเลือดที่ขมับของภิกษุแห่งวัดใหญ่เต้นตุบๆ ได้แต่สูดลมหายใจเข้าออกลึกยาว ไม่โกรธหนอ ไม่โมโหหนอ นานเป็นครู่จึงพยักหน้าแล้วรับน้ำชามาดื่มไปอึกใหญ่ จึงค่อยบรรเทาอารมณ์กรุ่นๆ ลงได้

   “ไม่อยากรู้เรื่องแล้วฤาเจ้า จึงได้ทำหน้าเหม็นเบื่อฉวยนู่นคว้านี่เข้าปากไปเรื่อยเฉื่อยเยี่ยงนั้น” ท่านเจ้าประคุณพยักพเยิดไปที่เปลือกเกาลัดและเมล็ดเชอร์รี่ที่วางเรียงรายอยู่รอบตัวเวลา

   กาลได้แต่ยิ้มหัวเราะแหะๆ พลางใช้มือเขี่ยเศษซากอารยะธรรมไปไว้ด้านข้างกล่าวบ่นเสียงอุบอิบ

   “ก็ฟังมาตั้งนาน ยังไม่เห็นตรงไหนจะเกี่ยวกับหนูเลยนี่จ๊ะ แล้วของกินที่คุณมาตรีเอามาถวายหลวงตาก็มีเย้อเยอะ หนูก็กลัวหลวงตาจะฉันไม่ทัน เดี๋ยวก็เป็นงานเน่าคากุฏิให้หลวงตาต้องมาเก็บกวาด หนูเลยช่วยหลวงตาไปได้บ้างบางส่วนแล้วจ้ะ”

   เออ... ความผิดไม่มี ความชอบยังมากล้นอีกต่างหาก!!

   ท่านเจ้าประคุณได้แต่ส่ายหน้า

   “ผลมันสืบเนื่องมาจากเหตุ ข้าก็กำลังเล่าเหตุอยู่นี่ไงเจ้า”

   “หนูรอตั้งนานยังหาผลไม่เจอ มีแต่เหตุ” ปากอิ่มยื่นออกมา เพราะฟังมาตั้งนาน เรื่องยังไม่ไปถึงไหนสักที จนเมื่อเห็นหนังตาของท่านเจ้าประคุณกระตุก กาลจึงรีบนั่งตัวตรงแน่ว เอื้อมมือไปบีบนวดแขนของภิกษุชราแล้วเอ่ยประจบประแจงทันที

   “หลวงตาเล่าต่อสิจ๊ะ หนูรอฟังอยู่จ้ะ เอ้า... แล้วหลวงตาจะขยำจีวรแน่นทำไมอย่างนั้นล่ะจ๊ะ เดี๋ยวก็ยับหมดหรอก”

   ก็ใครกันเล่าหนาที่ขัดจังหวะจนต้องหยุดเล่าเรื่อง มัวมานั่งต่อปากต่อคำกับเจ้าเด็กนี่ เห็นทีเส้นเลือดในสมองจะแตกเสียละกระมัง รีบเล่าเสียให้สิ้นเรื่องคงจักดี จะได้แล้วกันไป คิดพลางท่านเจ้าประคุณก็คลายมือที่กำจีวรเพราะลมสว้านทำท่าจะตีขึ้นออก มือจับรีดจีรให้เรียบหาใช่กลัวไม่เรียบร้อย แต่เป็นการสงบสติอารมณ์ก่อนจะเปล่งเสียงเนิบๆ เล่าเรื่องต่อไป

****************************************************************

   “ปริก... สำรับเย็นวันนี้ เครื่องไทยหรือเครื่องฝรั่ง”

   คุณมารตีถามไป มือเรียวยาวก็ตวัดเขียนจดหมายตอบรับคำอนุมัติขอซื้อตัวนักเตะเพิ่มในสโมสรดังที่คุณมารตีเป็นแบ็คอัพให้อย่างลับๆ

   ปริกชะโงกหน้ามองแผ่นเอกสารในมือของคุณมารตีแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว

   “คุณรตีอนุมัติอัฐให้ปีศาจแดงอีกแล้วฤาเจ้าคะ กะเดี๋ยวท่านอำนาจรู้ความจักไม่แล่นไปสั่งเสริมทัพให้หงส์แดงกระนั้นรึ ผัวเมียคู่นี้นี่ก็ช่างกระไร เอาชนะคะคานกันเป็นเด็กๆ เทียว ทุ่มอัฐกันไม่มียั้งมือ เพื่อให้ทีมรักได้เป็นแชมป์”

   ท่านอำนาจเป็นคนรักเมีย หลงเมีย ตามใจเมียทุกสิ่งอย่าง ชี้นกแล้วบอกเป็นสล็อต ท่านยังพยักหน้าแย้มยิ้มเห็นดีเห็นงามด้วย เว้นไว้ก็แต่เพียงเรื่องเดียว ที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เคยโอนอ่อนผ่อนตาม เรื่องสโมสรฟุตบอลทีมรักนั้น ใครก็อย่าหมายมาโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ

   คุณมารตีหัวเราะคิก

   “เถอะน่าปริก... ฉันถึงได้ถามอยู่นี่อย่างไร ว่าวันนี้เครื่องไทยหรือเครื่องฝรั่ง จักได้จัดการเอาอกเอาใจคุณพี่ท่านได้ถูก ตอนรับข้าวชวนท่านคุยให้มากขึ้นอีกนิด ขี้คร้านคุณพี่จะลืมถามเรื่องนี้ กว่าคุณพี่จะรู้ตัวอีกทีก็นู่นแน่ะ... ตลาดนักเตะปิดไปเสียแล้ว ถึงตอนนั้นจะไปสั่งเสริมทัพเยี่ยงไรก็คงไม่ทัน”

   “วันนี้เครื่องญี่ปุ่นเจ้าค่ะ มีข้าวปลาไหลย่าง สลัดอโวคาโด เต้าหู้ แล้วก็ซุปเจ้าค่ะ”

   “ดีจริง เปลี่ยนเครื่องรับเสียบ้าง จะว่าไปหมู่นี้คุณพี่รับข้าวน้อยลงว่าไหมเล่าปริก”

   เมื่อประเด็นที่ตนเองกำลังใคร่รู้ถูกจุด ปริกตาเป็นประกาย ตบเข่าดังฉาด รีบผสมโรงร่วมทันที

   “อิฉันก็นึกวาคิดไปเองคนเดียวเสียอีกเจ้าค่ะ นอกจากจะรับสำรับได้น้อยแล้ว หน้าตาท่าทางก็ดูอิดโรยด้วยนะเจ้าคะ คุณรตีได้สังเกตบ้างหรือไม่”

   คุณมารตีพยักหน้ารับหลังจากนิ่งคิดแล้วเห็นเป็นจริงตามที่ปริกเล่า

   ปริกลดเสียงให้เบาลงพลางกระซิบกระซาบ

   “บางคราตอนดึกๆ อิฉันเห็นท่านอำนาจแอบย่องออกมาควานหาอะไรกุกๆ กักๆ ด้วยหนา”

   คุณมารตีห่อปากตาโต

   “ฤาว่าคุณพี่... จะมีนางเล็กๆ แอบซุกไว้ฤาไม่”

   ปริกส่ายหน้าคอแทบหัก คิ้วขมวดอย่างเป็นกังวล

   “นางเล็กๆ หัวเด็ดตีนขาดยังไงท่านอำนาจก็หากล้าไม่เจ้าค่ะ อิฉันกลัวแต่ว่า...”

   “ว่าเยี่ยงไร... อย่ามัวมาทำอมพะนำ”

   “ว่าท่านอำนาจจักโดนของน่ะสิเจ้าคะ!!”

   ปริกโพล่งออกมาก็คล้ายยกภูเขาออกจากอกด้วย เฝ้าสังเกตอาการและพฤติกรรมแปลกๆ ของท่านอำนาจมาสักพัก แต่ก็ได้เพียงสงสัย มิกล้าเอ่ยปากเล่ากับใคร ครั้นได้ระบายความสงสัยออกไปก็เบาใจขึ้นโข เพียงแต่ฝ่ายรับฟังอย่างคุณมารตีกลับเป็นฝ่ายหนักใจขึ้นมาแทน

   “ตั้งแต่เมื่อใดรึแม่ปริก” คุณมารตีกระซิบถามเสียงสั่น

   “ตั้งแต่กลับจากเมืองสยามน่ะเจ้าค่ะ อิฉันว่าน่าจะช่วงประมาณนั้น”

   “เอ... ฤาจะไปโดนคุณไสยมาจากสยาม แต่ก็มิน่าจะใช่กระมัง เพราะครานั้นพวกเราไปกันหมดมิใช่รึ ดูอย่างฉันสิ ตั้งกะกลับมา ไม่ว่าเครื่องไหน สำรับใดล้วนถูกปากไปเสียสิ้น กินก็อิ่ม นอนก็หลับ”

   “นั่นสิเจ้าคะ ช่วงนี้คุณรตีแลดูมีน้ำมีนวล ผุดผาดกว่าแต่ก่อนขึ้นอีกโข ถ้าเยี่ยงนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องคุณไสย...”

   ยังไม่ทันจะเอ่ยข้อสมมติฐานอันใดออกมา หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นตาชดกำลังพยุงท่านอำนาจที่หน้าตาซีดเซียวเดินขึ้นบันไดเรือนมา จึงได้แต่อุทาน

   “ว๊าย! ตาเถร!! ท่านอำนาจ”

   ฝ่ายคุณมารตีกลับกรากไปถึงตัวสามี ประคองเข้าที่เอวอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยปากละล่ำละลักถามในขณะที่เร่งพาร่างกายที่แลสะโหลสะเหลไปเอนนอนบนตั่งยกพื้นที่ระเบียง

   “ตายแล้วตาชด คุณพี่เป็นอะไร เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้เล่า ปริก... ปริกไปตามบ่าวทำอะไรร้อนๆ ง่ายๆ มาให้คุณพี่ที ก่อนไปแวะเอาเชี่ยนหมากบนตั่งมาให้ด้วยหนา ในนั้นมียาดมส้มโอมืออยู่”

   วิ่งวุ่นกันอยู่เป็นครู่ คุณมารตีที่บีบนวดไปตาท่อนแขนของท่านอำนาจจึงได้หันไปซักไซ้เอาความกับตาชดอีกครั้ง
   “ว่ายังไงตาชด เล่ามาให้หมดเทียวว่าเหตุใดคุณพี่จึงเป็นเยี่ยงนี้”

   ชดส่ายศีรษะ เล่าไปด้วยสีหน้านิ่งๆ

   “กระผมก็มิรู้ได้ว่าท่านอำนาจเป็นอันใดขอรับ รู้เพียงช่วงนี้ท่านดูไม่ใคร่จะแข็งแรงสักเท่าใด วิงเวียนบ่อยๆ เบื่ออาหาร เช้านี้ยิ่งหนักขอรับ อาเจียนโอ้กอ้ากอยู่เป็นนาน ตอนแรกก็ยังจะฝืนไปประชุมโอเป็คให้ได้ แต่ฝืนเพียงใดก็สู้สภาพร่างกายตัวเองไม่ไหว สั่งยกเลิกประชุมไปแล้วขอรับ”

   คุณมารตีเห็นสามีนอนแบ็บ หน้าซีด ริมฝีปากแทบไม่มีสีเลือด นอนมองตนเองตาปรอยก็ให้นึกสงสารนัก เห็นว่าอาเจียนจนหมดแรง คงจะท้องว่างหิวแย่กระมัง จึงเลื่อนชามข้าวต้มหมูคุโรบูตะสับยกขึ้นมาตักคำน้อย เป่าให้พออุ่น แล้วยื่นป้อนให้ หากช้อนยังไม่ทันถึงริมฝีปากดี ท่านอำนาจกลับเบี่ยงหน้าหลบ กระถดตัวออกนอกตั่ง ตั้งท่าโก่งคออาเจียนเอาน้ำดีขมๆ ออกมาอีกรอบ

   “อะพิโธ่ คุณพี่” คุณมารตีคราง

   “ขอโทษเถิดหนาแม่รตี” ท่านอำนาจครางเสียงแผ่วตอบ หลังจากที่บ้วนปากด้วยน้ำชาแล้วเสร็จ

   “พี่เหม็นกระเทียมเจียวที่โรยหน้านัก ปากคอมันก็จืดชืดไปหมด รับอะไรไม่ค่อยจะได้ มีก็แต่พวกเปรี้ยวๆ อย่างมะยม มะดัน จิ้มพริกเกลือน่ะแม่ ที่รับเท่าใดก็ไม่รู้อิ่ม นี่พูดแล้วน้ำลายก็สอตามกระพุ้งแก้มเทียว เมื่อคืนก่อนพี่ถึงกับต้องลุกออกมากินกลางดึก เวลามันอยากขึ้นมา ใจมันจะขาดเทียวแม่รตี ว่าแล้วรตีก็ช่วยสงเคราะห์พี่หน่อยเถิดหนา สั่งบ่าวให้หามาให้พี่ที”

   บ่าวไพร่แลคุณรตีได้ฟังท่านอำนาจก็ยิ่งให้สงสัย เจ็บป่วยครานี้อาการท่านอำนาจแปลกพิกลนัก ในขณะที่ทุกคนต่างมุ่นคิ้วงงงวย กลับมีเพียงนางปริกที่ผุดลุกสาวเท้าจ้ำอ้าวไปทางตู้เก็บยาสามัญประจำเรือน ค้นหาอะไรกุกกักอยู่พักใหญ่ ก็แล่นถลามาอย่างรวดเร็ว ไม่เกรงใจหุ่นห้างที่ออกจะอวบเกินพิกัดของตนเองสักนิด ชะโงกหน้าเข้ากระซิบกระซาบกับคุณมารตีเพียงสองคน ก่อนจะยัดกล่องอันใดมิรู้ได้ใส่มือนายหญิงของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล ได้ยินเพียงคุณมารตีร้อง

   “ฮ้าย” เสียงแหลม พลางส่ายหน้า แต่แม่ปริกก็ยังจะยัดกล่องพลางพยักพเยิดให้เข้าไปในเรือนนอน

   คุณมารตีได้แต่กระมิดกระเมี้ยนขยับลุกไปด้วยอาการเอียงอายหน้าแดง หูแดงไปหมด ระหว่างที่คนอื่นๆ ล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูก ปริกก็สั่งการให้บ่าวไพร่คนอื่นๆ ไปหาผลไม้รสเปรี้ยวมาให้ท่านอำนาจซึ่งนอนมองตาปริบๆ อยู่บนตั่ง

   ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็เห็นคุณมารตีเดินออกมาจากเรือนนอนด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มเหลือประมาณ ใบหน้าแดงซ่านเนื่องด้วยโลหิตฉีดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ตามองสบประสานกับแม่ปริกพลางพยักหน้าให้น้อยๆ ก็เล่นเอาปริกถึงกับตบเข่าฉาด

   “นั่นปะไร อิฉันว่าแล้ว”

   คุณมารตีค่อยๆ ย่างเท้ามานั่งข้างท่านอำนาจที่กำลังจิ้มมะยมลงในถ้วยพริกเกลืออย่างเมามัน เมื่อเห็นภรรยามานั่งเคียงจึงตัดใจรามือจากชามมะยมอย่างอาวรณ์ ก่อนจะยกมือรับไหว้จากคุณมารตีแทบไม่ทัน

   “เป็นอันใดแม่รตี มีอันใดขุ่นข้องหมองใจรึแม่”

   “หาได้มีสิ่งใดให้ต้องหมองใจเจ้าค่ะคุณพี่ น้องมีแต่ความยินดีต่างหาก น้องขอบพระคุณสำหรับของขวัญชิ้นนี้หนา”

   พูดจบคุณมารตีก็ส่งอุปกรณ์ตรวจครรภ์ด้วยตนเองให้ท่านอำนาจดู แถบสีแดงสองขีดกับเครื่องมือเล็กๆ นี้มีสิ่งใดให้แม่รตีต้องขอบอกขอบใจกันเล่า ท่านอำนาจขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้าง น้ำเสียงละล่ำละลักตื่นเต้นดีใจ

   “จริงแท้หรือแม่รตี”

   “น้องก็มิใคร่มั่นใจนัก แต่... แต่ระดูก็คลาดเคลื่อนมาสองเดือนแล้วเจ้าค่ะ”

   ภาพที่ท่านอำนาจรวบกอดคุณมารตีเข้าแนบอกด้วยความตื้นตันจนน้ำตาซึม ยังคงเป็นภาพที่บรรดาบ่าวไพร่จดจำไม่รู้ลืมมาจนถึงเดี๋ยวนี้

   “เอ่อ...” เสียงของชดที่ขัดบรรยากาศชื่นมื่นทำให้นางปริกหันขวับทันที

   “มีกระไรยะ ไม่เห็นหรือว่าท่านอำนาจกับคุณมารตีท่านกำลังซาบซึ้งกันอยู่น่ะ”

   ชดเกาหัวแกรก ก่อนจะกลั้นใจถาม

   “แล้วเรื่องตามหมอ ยังต้องให้ไปตามอยู่ฤาไม่”

   นางปริกปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเต็มที่ ทำลายบรรยากาศชื่นมื่นไปเสียสิ้น นานเป็นครู่จึงยกผ้าแถบขึ้นซับน้ำตาที่หางตา เพราะหัวเราะมากเกินไป

   “ไม่ต้องตงต้องตามแล้วพ่อคู้ณณ... ท่านอำนาจหาได้เจ็บไข้อันใดไม่”

   “ก็ทั้งอาเจียน ทั้งหน้าซีด เรี่ยวแรงก็มิใคร่จักมี จักว่ามิได้เจ็บได้ไข้อย่างไรกัน”

   นางปริกหูตาพราวระยับ พยายามกลั้นขำสุดความสามารถ ก่อนจะบอกคำตอบด้วยเสียงดังฟังชัดเจนได้ยินกันถ้วนทั่ว

   “ท่านอำนาจ ท่านแพ้ท้องแทนเมียน่ะ!!”

   ช่วงเวลาต่อจากนั้น ก็เป็นการบำรุงบำเรอคนท้องกันเป็นการใหญ่ อยากรับสิ่งใดขอเพียงแค่เอ่ยคำ ต่อให้ครึ่งค่อนโลก ท่านอำนาจก็พร้อมจะบินไปซื้อหามาให้ ถึงแม้ว่าอาหารที่แม่มารตีอยากรับจะชวนคลื่นเหียนสำหรับท่านอำนาจปานใด สักคำน้อยก็มิมีเอ่ยปากบ่น ยอมถึงขนาดขับเรือเหาะเจ็ทด้วยตนเองไป อาเจียนไปก็เคยมี

   ต่อเมื่อคุณมารตีนึกถึงคำบนบานขอลูกขึ้นมาได้ เมื่อครรภ์มีอายุได้ ๓ เดือน จึงเอ่ยปากเตือนผู้เป็นสามี แต่ท่านอำนาจกลับบ่ายเบี่ยง ด้วยช่วงอายุครรภ์สามเดือนแรกเป็นช่วงที่ต้องระวังให้จงหนัก จึงมิอยากทิ้งให้คุณมารตีอยู่กับเรือนแต่เพียงผู้เดียว จึงได้ผัดผ่อนเรื่อยไป

   หากทุกครั้งที่กล่าวดึงเวลาออกไป ในใจท่านอำนาจรู้ดี ว่าที่ตนยกแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผลสนับสนุนให้ดูน่าเชื่อถือนั้น สาเหตุแท้จริงกลับมีเพียงหนึ่งเดียวคือ กรูอาย!!! ฮือๆ ได้แต่ร่ำร้องในอก เมื่อครานั้นมิน่าหลุดปากสบถสาบานออกไป เพลานี้คำขอสมหวังจะให้ผิดคำสาบานก็หาได้ไม่ ได้แต่ประวิงเวลา ขอทำใจอีกสักระยะหนึ่งเถิด

   “คุณพี่เจ้าขา อีกไม่กี่วันน้องก็จะคลอดแล้วนะเจ้าคะ คุณพี่จักมัวมาโยกโย้บ่ายเบี่ยงเช่นนี้หาได้ไม่ ยิ่งคุณพี่ทอดเวลาออกไปเท่าใด น้องก็ยิ่งกังวลนะเจ้าคะ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตลูก กับชีวิตน้อง ใจคอคุณพี่จะไม่สงสารเอ็นดูบ้างเลยฤา”

   น้ำตาสตรีคือสิ่งที่ท่านอำนาจหาเคยทนได้ ยิ่งเป็นน้ำตาเมียรัก... ยอมหมดทุกสิ่งเลยแม่คุณเอ๋ย มันจะกระไรกันนักเชียว กะอีแค่วิ่ง แค่ผ้าผ่อนมิต้องใส่ ขี้คร้านจะสบายตัวเวลาก้าวขา ปลุกปลอบใจตนเองได้ดังนี้แล้ว ท่านอำนาจก็เตรียมตัวเดินทางไปสยาม ด้วยไฟในการวิ่งแก้บนอันลุกโชน

   หากจังหวะที่กำลังจะลุกขึ้น ก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ข้างโจง ก้มลงมองก็เห็นมือน้อยจับยึดไว้แน่น มองระเรื่อยไปตามแขนขาวสล้างเรียวงาม ไล่ไปตามหัวไหล่กลมมน แลก็ได้สบตาที่ฉ่ำน้ำตาคู่นั้นของคุณมารตี อย่าเชียวหนา อย่าขอตามไปด้วยเชียวหนา

   “คุณพี่เจ้าคะ...”

   น้ำตาเม็ดโตกลิ้งลงบนแก้มนวล ใจท่านอำนาจเต้นตึ้ก แต่พยายามข่มอารมณ์แสร้งตีหน้าเคร่ง เอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

   “แม่รตี... น้องต้องเข้าใจหนาเจ้า ท้องแก่ใกล้คลอดเยี่ยงนี้ แค่จะเดินจะเหินยังอุ้ยอ้ายเต็มที หากต้องขึ้นเรือเหาะต่อรถไปศาลเจ้าพ่อมะยมอีกทอด พี่กลัวจะกระเทือนถึงลูกในท้องเอาได้”

   ฝ่ายแม่ปริกเห็นฉากยื้อยุดกลับไม่ห้ามปราม คลานตุ้บตั้บเข้าเรือนนอนรื้อหีบเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นกลับออกมาได้ก็ไม่ชายตาแลสองผัวเมียให้เสียเวลา เดินตัดผ่านยกพื้นกลางเรือน เดินตรงดิ่งเข้าเรือนนอนคุณมารตีต่อทันที

   “เหตุที่คุณพี่ต้องยอมตากหน้าวิ่งแก้ผ้าแก้บนในครานี้ ล้วนเป็นเพราะน้องเป็นสาเหตุ น้องช่วยเหลือสิ่งใดคุณพี่มิได้สักอย่าง ทำได้เพียงสิ่งเดียวคือขอตามติดไปให้กำลังใจแก่คุณพี่เถิดเจ้าค่ะ”

   อาการก้มหน้าพูดไปสะอื้นไปจนไหล่ทั้งสองข้างสั่นสะท้าน ทำให้ท่านอำนาจต้องทรุดตัวลงนั่งบนตั่งอีกครั้ง โอบประคองคุณมารตีไว้แนบอก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบอยู่เป็นครู่ จึงโน้มตัวกระซิบกระซาบที่ข้างหูภรรยา คุณมารตียิ้มแย้มดุจดังดอกไม้งามฉ่ำน้ำฝนได้รับแสงอาทิตย์ ทั้งๆ ที่ดวงตาคู่งามยังชื้นจากร่องรอยน้ำตา แต่รอยยิ้มสมใจกลับช่างแลดูสดใสนัก

   “ปริก!!” ท่านอำนาจขานเรียกเสียงดัง

   ตุบ!! กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ถูกวางไว้แทบเท้าท่านอำนาจแทบจะทันทีกับที่เสียงเรียกชื่อสิ้นสุดลง

   นางปริกค้อนลมค้อนแล้งไปตามประสา มือก็จับนับกระเป๋า ตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้ ปากก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว

   “อิฉันรู้ว่าท่านอำนาจจะยอมพาคุณรตีไปด้วยตั้งกะมีการคว้ายึดโจงไว้แน่นแล้วเจ้าค่ะ กี่ครั้งกี่หนที่เป็นเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าคะ ไม่ว่าท่านอำนาจจะทำวางท่าเคร่งขรึมคัดค้านสักเพียงไร สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้น้ำตาคุณมารตีเธอเสียทุกรอบ ยิ่งพอเห็นน้ำตาคุณมารตีไหลลงนองหน้า อิฉันก็เลยไปเก็บของรอเสียเลยดีกว่า ยังไงท่านอำนาจก็ต้องพาคุณรตีไปอยู่ดี อิฉันฟันธง!!”

   ****************************************************************

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 16-10-2017 08:59:50

   “อ้าว... ก็ท่านอำนาจก็กำลังจะไปแก้บนแล้วนี่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่จ๊ะ”

   กาลหยุดบีบนวดท่านเจ้าประคุณแล้วเอียงคอถาม ฝ่ายภิกษุชรา เมื่อเห็นคนฟังเริ่มเข้าถึงอารมณ์ของเรื่องก็กลับไม่รีบตอบ จับขยับจีวรให้เข้าที่เข้าทางอีกสักพักกว่าจะเอ่ยวาจา

   “เมื่อไปถึงสยามประเทศ คุณมารตีก็เจ็บท้องคลอดเสียก่อน ครานั้นท่านอำนาจก็วุ่นวายนัก เหมาชั้น V.I.P. ของโรงพยาบาลที่สยามไว้ให้คุณมารตีเธอคลอด สั่งปิดตึกห้ามคนเข้าออก นอกจากหมอและพยาบาลที่เกี่ยวข้อง นึกขึ้นมาทีไรข้าก็เพลียใจกับท่านอำนาจเสียจริง”

   กาลเลิกคิ้วสูงให้กับคำว่า ‘เพลียใจ’ จนท่านเจ้าประคุณกระแอมในลำคอก่อนจะแก้เบาๆ

   “ละเหี่ยใจน่ะเจ้า”

   “เรื่องราวเข้มข้นเป็นละครดราม่าหลังข่าวเลยจ้ะหลวงตา ต่อๆ หนูกำลังมัน ตกลงท่านอำนาจก็เลยไม่ได้แก้บนเหรอจ๊ะ”

   “แก้สิเจ้า แต่เป็นหลังจากที่คุณมารตีเธอคลอดแล้ว ลืมตามาได้ เธอก็สั่งให้ท่านอำนาจไปดำเนินการแก้บนเสียให้แล้วเสร็จ”

   “ว้า”

   เวลาขยับตัวนั่งขัดสมาธิทำหน้าไม่สบอารมณ์

   “นึกว่าจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศกันมากกว่านี้ แก้บนก็แก้ไปแล้ว แล้วยังจะมีปัญหาอะไรอีกล่ะจ๊ะหลวงตา”

   ท่านเจ้าประคุณขยับกายบิดไล่ความเมื่อยขบ รับถ้วยชาจากกาลมาจิบแก้กระหาย เนื่องจากเล่าต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน พลางทำหน้าเคร่งขรึมเมื่อเรื่องดำเนินมาสู่จุดสำคัญ

   “ผลที่เจ้ารอฟังมันอยู่ตรงนี้แหละหนา เจ้าพ่อมะยมไม่พอใจเป็นอันมากที่ท่านอำนาจปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึง ๙ เดือนโดยมิทำอันใดเลย ด้วยเหตุนั้น ช่วงที่คลอดทารกออกมาจึงส่งวิญญาณอีกกึ่งหนึ่งไปเกิดยังโลกคู่ขนานอย่างไรเล่า”

   “...”

   ถ้าปากของกาลสามารถอ้ากว้างได้มากกว่านี้ ป่านนี้ริมฝีปากล่างคงแตะพื้นกุฏิไปเป็นที่เรียบร้อย อาการนั่งนิ่งตะลึงลานทำให้ท่านเจ้าประคุณค่อนข้าง... สะใจเล็กๆ เออหนอ! ถ้ารู้ว่าพูดถึงตรงนี้แล้วเจ้าเด็กนี่จะเงียบเป็นเป่าสาก คงจะมิต้องเล่าละเอียดให้มากความ บอกไปตรงๆ แต่แรกก็คงจักเงียบได้เสียนานแล้ว

   “สะ... แสดงว่าหนูกับไอ้คุณหนูนี่คือคนเดียวกัน? หนูว่า... หนูไม่มีนิสัยเสียๆ แบบเจ้าของร่าง เอ่อ... แบบไอ้คุณหนูกาลนี่ซะหน่อยนะจ๊ะหลวงตา”

   ท่านเจ้าประคุณปรายตามองอย่างรำคาญเต็มที เป็นคนไม่คิดอะไรเลยเสียละกระมัง ไอ้ที่ควรจะวิตกมันใช่เรื่องว่าตนเองมีนิสัยไม่เหมือนคุณหนูกาลในโลกนี้ฤาไม่ แต่ก็เอาเถอะ รับฟังเรื่องราวได้ง่ายๆ ไม่ตีโพยตีพายเช่นนี้ก็ดีไปเสียอย่าง นึง ท่านถอนหายใจยาว ก่อนจะอธิบายเนิบๆ ต่อไป

   “เอ็งเคยเห็นใครสมบูรณ์พร้อมไหมเล่าเจ้ากาล เอ็งที่โลกนี้มีพร้อมทั้งพ่อแม่ บริวารและทรัพย์สิน เป็นข้อดี ด้านนิสัยใจคอที่เอาแต่ใจ จกหัวด่าบ่าวไพร่จึงเป็นข้อด้อย ในทางกลับกัน โลกที่เอ็งเคยอยู่ เอ็งมีเพียงหลวงตาของเอ็งที่คอยชุบเลี้ยง มีเพื่อนพ้องรักใคร่ หากแต่เอ็งก็มิได้มีอำนาจฤาเงินตราอยู่ในมือ”

   กาลพยักหน้าช้าๆ คล้ายๆ จะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้ง

   “แล้วคุณหนูกาลคนเก่าหายไปไหนล่ะจ๊ะ?”

   “มิได้หายไปที่ใด เพียงแต่หลอมรวมอยู่ในกายเนื้อเดียวกับเจ้า แต่ด้วยนิสัยใจคออันดีงาม ซึ่งข้าขอยกเป็นความดีความชอบให้กับหลวงตาของเอ็งที่บ่มเพาะเอ็งมาดี ทำให้ดวงจิตด้านดีของเอ็งตื่นรู้นำหน้าดวงจิตด้านร้ายของคุณหนูกาล ขอเพียงใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ต่อไปอีกสักพักก็จะค่อยๆ จำเรื่องราวสมัยคุณหนูกาลยังเล็กๆ จนเติบใหญ่ขึ้นมาได้ทั้งหมด เพราะทั้งเอ็ง ทั้งคุณหนูกาล ต่างก็เป็นชีวิตเดียวกันอย่างไรเล่า”

   “เดี๋ยวนะจ๊ะ แล้วหลวงตาที่นี่กับหลวงตาที่โน่นก็เป็นคนเดียวกันเหรอจ๊ะ... ถึงว่า... ชมจังว่าทางนั้นเลี้ยงมาดี หลงตัวเองก็ได้นะคนเรา”

   “เอ็งว่ากระไรนะ!!”

   กาลส่ายหน้ารัวๆ เป็นกลองป๋องแป๋งทันที ถ้ากาลกับคุณหนูกาลยังมีภาคใจดีใจร้ายแล้ว หลวงตากับท่านเจ้าประคุณก็น่าจะเหมือนกัน ทางโน้นใจดี๊ ใจดี ไม่อยากนึกเลยว่าทางนี้จะเป็นยังไง กาลอ้าปากเตรียมซักไซ้ต่อให้สิ้นสงสัย แต่ภิกษุชราโบกมือไล่เอาเสียก่อน

   “วันนี้พอแค่นี้แหละหนา หลักใหญ่ใจความก็รู้ไปหมดสิ้นแล้ว รายละเอียดปลีกย่อยอื่นใดก็ค่อยมาถามหาเอาวันหลังเถิด คุยกับเอ็งมากๆ แล้วข้าปวดหัวนัก”

   โดนไล่เอาซึ่งๆ หน้าขนาดนี้แล้ว กาลจะทำยังไงได้ นอกจากกราบลาท่านเจ้าประคุณเตรียมตัวกลับเรือน ช่วงที่กำลังจะก้าวลงจากกุฏิก็ได้ยินเสียงเตือนตามหลังมา

   “ทำดีกับคุณมารตีแลท่านอำนาจให้จงหนักเถิดหนา ให้สมกับที่ท่านรัก ท่านทะนุถนอมกันมา ช่วยทดแทนในส่วนที่คุณหนูกาลมิได้กระทำให้สมรัก เยี่ยงไรท่านทั้งสองก็เป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ ของเอ็ง มิต้องตะขิดตะขวงใจไปดอก กตัญญูกตเวทิตาเข้าไว้ จักทำการสิ่งใดก็สำเร็จสมดังใจหวัง!!”

   กาลพินิจดูเห็นเป็นจริงตามที่ท่านเจ้าประคุณว่า จึงก้มลงกราบ เปล่งเสียง

   “สาธุ” น้อมรับคำสอนนั้นไว้ด้วยความยินดี จังหวะก้าวลงบันไดไปได้เพียงหนึ่งขั้น นึกขึ้นได้จึงหันไปตะโกน

   “บ่ายแล้วหลวงตารีบไปนอนเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะลืมเอา”

   “ลืมกระไร”

   “ลืมวัด ก็ ‘จำวัด’ ไม่ได้น่ะสิหลวงตา”

   “เอ็ง... เอ็ง...”

   ท่านเจ้าประคุณชี้มือชี้ไม้ โมโหจนสั่นไปทั้งตัว ส่วนเสียงที่ล้งเล้งตามมาจะด่าว่าอะไร กาลก็ไม่ได้อยู่รอฟัง ก้าวกระโดดพรวดๆ ลงมาทีละสองขั้นอย่างนึกสนุก

   ปึ้ก!

   “โอ๊ย!”

   มือเรียวยาวคว้าราวบันไดไว้ได้ทันก่อนจะล้มกลิ้ง ดีนะว่าเป็นขั้นสุดท้ายแล้ว เลยไม่น่าหวาดเสียวเท่าไหร่ ใครก็ช่างเอากำแพงมาตั้งขวางทางเดินขึ้นลงบันไดแบบนี้ กาลนึกบ่นไปด้วย ใช้มือกุมหน้าผากไปด้วยอย่างหัวเสีย

   “กระโดดโลดเต้นยิ่งกว่าเด็กอีกหนาเจ้า”

   เสียงของ ‘กำแพง’ ที่ดังขึ้น ทำให้กาลที่เจ็บจนหยีตาค่อยๆ หรี่ตามอง

   “อ้าว! พี่พุด มายังไงจ๊ะนี่ เมื่อเช้าคุณแม่บอกว่าพี่ไปญี่ปุ่นกับคุณพ่อ กลับมาเมื่อไหร่จ๊ะ แล้วนี่คนอื่นๆ ไปไหนกันหมด”

   กาลหันซ้ายหันขวา บริเวณใต้ถุนกุฏิและลานด้านหน้าล้วนว่างเปล่าไม่มีใครอยู่สักคน มือที่คลำหัวก็ขยี้ไป เท้าก็เขย่งชะโงกข้ามไหล่ของพุดมองกราดไปมาทั่วบริเวณไป

   “ก่อนตอบคำถามของคุณหนูกาล ขอกระผม...”

   “พี่!!”

   “ขอรับๆ ขอพี่ดูหน้าผากหน่อยเถิดหนา พี่ขอโทษที่ยืนขวางทาง ไหนดูสิเจ้า แดงเป็นปื้นเทียว เจ็บมากไหมขอรับ”

   มือหนา บรรจงคลึงรอยแดงให้อย่างตั้งอกตั้งใจ พลางเอ่ยถาม กาลส่ายหน้าตอบเสียงใสว่าไม่เจ็บ แต่ก็ต้องครางอูยออกมาเมื่อนิ้วสากลูบลงบนรอยแดงที่ดูจะช้ำที่สุด

   “ผิวคุณหนูยิ่งบางๆ อยู่ด้วย รีบกลับเรือนกันเถิดขอรับจะได้หาหยูกหายามาใส่”

   กาลคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของพุดพลางส่ายหน้า แล้วเดินลากลิ่วๆ ไปที่ท่าน้ำซึ่งมีเรือลำน้อยไว้คอยท่า

   “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพี่พุด เจ็บนิดเดียว ไกลหัวใจตั้งเยอะ ไม่ต้องรีบกลับหรอก ค่อยๆ พายเรือเล่นกันดีกว่า จะได้ชมวิวสองข้างทางด้วย”

   “ไกลหัวใจเจ้า แต่ใกล้หัวใจพี่หนา”

   พุดได้แต่บ่นพึมพำ สองขาก้าวตามแรงจูงของคนเดินนำหน้า สายตาจ้องอยู่ที่ข้อมือตนเองแล้วก็ได้แต่ใจสั่น แรงกระตุกที่ข้อมือเบาๆ ทำให้คนถูกจูงได้แต่เงยหน้ามอง

   “มีกระไรหรือขอรับ”

   “พี่พุดลงไปก่อน เดี๋ยวหนูค่อยลงตาม เรือมันโคลงเคลง หนูกลัวล่ม”

   คำตอบใสซื่อที่ได้รับ เล่นเอาอยากจะหัวเราะ แต่ก็ทำเพียงอมยิ้มมองแล้วก้าวขาลงเรือไปเป็นหลักให้คุณหนูเกาะเพื่อจะก้าวลงมา พอลงนั่งได้กาลก็นั่งจุมปุ๊ก ตามองกล่องเล็กข้างตัวของพุดตาเป็นประกาย พุดคว้าไม้พายวางพาดบนตัก ก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาวิบวับที่จ้องกล่องอย่างคาดหวัง เสตอบคำถามเมื่อครู่ถ่วงเวลาเพื่อแกล้งคนเล่น

   “พี่กลับมาถึงเรือนพร้อมกับท่านอำนาจได้สักครู่ใหญ่แล้ว พอคุณมารตีเธอได้รับโทรศัพท์แจ้งจึงได้กลับเรือนไป เพราะเห็นว่าท่านเจ้าประคุณคงจะสนทนากับคุณหนูอีกนาน จากนั้นคุณรตีจึงให้พี่มารอรับคุณหนูกาลกลับเรือนน่ะขอรับ”

   เห็นคุณหนูของตนพยักหน้ารับ แต่ตามิได้มองสบมาทางตนแม้แต่น้อย ครานี้จึงหลุดหัวเราะออกมาจนได้ เสียงที่ออกปากถามจึงมีแววสรรพยอกยั่วเย้า

   “คุณมารตีท่านว่าคุณหนูถามหาพี่ตั้งกะตอนสายๆ เพลานี้พี่นั่งอยู่เบื้องหน้าเจ้า กลับมิชายตาแลเลยแม้เพียงนิด สรุปแล้วถามหาพี่ ฤาถามหาของฝากกันแน่ขอรับคุณหนู”

   ผิวแก้มที่ระเรื่อขึ้นทั้งสองข้างทำให้พุดอิ่มใจนัก ไม่เสียแรงเลยเทียวที่ตนได้ไปยืนต่อแถวอยู่ร่วมสองชั่วโมง เพื่อเมนู ‘สตรอว์เบอร์รี่ ช็อตเค้ก’ กล่องน้อยนี่ ร้านนี้มีอัฐอย่างเดียวก็หาซื้อได้ไม่ วันๆ หนึ่ง จำกัดการขายอยู่แค่ ๑๐ ชิ้นต่อวันเท่านั้นเอง ขนาดว่ารีบไปยืนต่อคิวแล้วหนา ยังได้เป็นลำดับที่ ๘ แต่ได้มาเห็นแก้มนวลซับสีเลือดเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกคุ้มนัก มือหนายื่นกล่องสีขาวส่งให้ก่อนจะเอ่ย

   “สตรอว์เบอร์รี่ ช็อตเค้กขอรับ เห็นว่าเป็นร้านดัง พี่ผ่านไปแถวนั้นจึงซื้อมาฝาก คุณหนูลองชิมดูเถิดขอรับว่าถูกปากหรือไม่ วิปปิ้งครีมด้านบนอาจจะละลายเล็กน้อยนะขอรับ ตอนเร่งเอาขึ้นเครื่องมาก็ยังมีที่เก็บความเย็นอยู่บ้าง แต่ตอนพายเรือมาที่วัดพี่รีบนัก จนคว้าเอามาแต่เพียงกล่องขนม หาได้เอาใส่ที่เก็บความเย็นมาด้วยไม่”

   พุดไม่พูดถึงความลำบากแม้แต่น้อยที่ต้องเร่งไปรอต่อคิว ตัวเขาจะเป็นเช่นไรก็ช่างเถิด เพียงได้เห็นแววตาเป็นประกายลิงโลดยามเปิดกล่อง เห็นรอยยิ้มกว้างยามตักขนมคำแรกเข้าสู่ปาก ไอ้พุดก็สุขใจนัก

   “โอ๊ย... พี่พุด ครีมนี่ละลายในปากสุดๆ สตรอว์เบอร์รี่ก็หวานอมเปรี้ยว อร่อยมากเลยพี่”

   พุดได้แต่วาดไม้พายไปมองหน้าคนเคี้ยวขนมจนแก้มตุ่ยไป ขอเพียงให้ชอบเถิดหนาเจ้า ต่อให้ต้องบินไปกลับญี่ปุ่นทุกวันเพื่อไปต่อแถวรอ พี่พุดก็ยอม!!
   

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

อยากเรี่ยไรเงินค่าตัวให้พี่พุดจังค่ะ สองบทมานี่ พี่มานิ้ดดดเดียวเอง  :hao7:

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ู^-^alternative ท่านอำนาจหลงเมียหนักมากค่ะ 5555 น่าเอ็นดู๊ ยื่นพี่พุดให้ดมหลายๆ ดอกด้วยฟามร๊ากกกกก  :L2:
ู^-^♥lvl♀‘O’Deal2♥ มาแล้วค่าาาาาาา  :mew1:
ู^-^qq_oo ปลื้มมากเหมือนกันค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ ตอนเขียนลื่นๆ มันก็จะบันเทิงมากค่ะ 5555  :laugh:
ู^-^Billie ขอบคุณค่า มาแล้วนะคะ  :L2:
ู^-^puiiz ขอบคุณมากกกค่ะ  :L2:
ู^-^poppycake ดีใจที่ชอบค่า มาแล้วววววววววว  :L2:
ู^-^♥►MAGNOLIA◄♥ อยากรวยเหมือนกาลเลยค่ะ มโนเอาก็ยังดี 555555555 พี่พุดนี่พอๆ กับท่านอำนาจเลยค่ะ หลง...หนักมากกกก  :laugh:


ขอบคุณที่สนใจที่แวะมาอ่านและให้กำลังใจกันนะคะ  :impress2:
กราบแนบอกงามๆ

 :mew1: :L2: :L1: :L2: :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-10-2017 10:59:03
อยากได้แบบพี่พุดสักคน   :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-10-2017 15:17:59
 :L2: :L1:  :pig4:

มาต่อแล้ว ดีใจ

ความรักบังตาพี่พุด เด็กเพี้ยนยังมองว่าน่ารัก55
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-10-2017 16:52:22
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:   อ่านจบแล้ว ก็อยากอ่านอีก  :ling1: :ling1: :ling1:

พี่พุด น่ารัก หลงกาลมากกกกกกกก
แสดงว่าเสน่ห์ดูงดูดใจของกาลถ่ายทอดมาจากแม่สู่ลูกจริงๆ
พี่พุดกับท่านอำนาจถึงหลง......เหมือนกัน

ไหนๆไปถึงญี่ปุ่น
พี่พุด น่าจะซื้อ ชีสเค้ก มาให้กาลกินด้วยนะ น้ำลายไหลและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-10-2017 19:31:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 16-10-2017 19:59:25
หนูกาลนี่กวนมากขนาดหลวงตายังปวดหัวเลย
555
 ปล.รอๆๆอยากให้มาอัพตอนใหม่ทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-10-2017 20:29:03
แหม่ ช่างยอกย้อนท่านเจ้าประคุณได้น่าดีดหน้าผากยิ่งนัก!

พี่พุดจ๊ะ โผล่มาออกฉากน๊านนนนนน...นานนนนนนน

ตดยังไม่ทันได้กลิ่น พี่ก็หายไปกับช็อตเค้กเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 16-10-2017 22:42:44
ดีที่ไม่โดนหลวงตาเอาก้านมะยมไล่ฟาด แสบจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 16-10-2017 23:30:47
หลวงตาคงปวดหัวน่าดูเลยนะจ๊ะ โดนคุณหนูกาล(เก๊) แกล้งวกวนไปมา 5555555
เจ้าพ่อมะยมเคร่งครัด และโหดมากเลยเจ้าค่ะ พอเลยช่วงแก้บนไปปุ๊ป ส่งไปโลกคู่ขนานปั๊ป 5555555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-10-2017 21:30:26
มาลองตามดู
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ ๓ @วัดใหญ่ - รู้สึกได้รับพร ๒ (16/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 20-10-2017 10:00:27
ปักหลักรออออออออออออ
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 22-10-2017 21:02:00
บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ

   “ถึงแล้วขอรับคุณหนู”

   กาลนั่งห่อเหี่ยว ไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเสียด้วยซ้ำ ได้ยินเสียงพุดพึมพำขอโทษอะไรสักอย่าง ก่อนจะเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้อย่างเบามือ

   “เฮ้อ...”

   เสียงถอนหายใจยาวทำให้พุดได้แต่ปลอบประโลม

   “อย่ากังวลไปเลยขอรับ ท่านอำนาจท่านโทรมาย้ำกับทางสำนักศึกษาเสียเป็นหลายรอบ ว่าคุณหนูความจำเสื่อม อย่าได้บังคับกะเกณฑ์สิ่งใดเอากะคุณหนูมากเกินไป สิ่งใดปล่อยผ่านได้ก็จงปล่อยผ่าน ทางสถานศึกษาเองก็รับคำเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมิกระทำการใดให้คุณหนูต้องขัดเคืองใจ ประเดี๋ยวจะกระทบกับอาการป่วยได้”

   มือหนากุมลงบนมือขาวที่กำแน่น ดูก็รู้ว่าคงประหม่านัก เห็นคนหน้าซีดทำท่าอึกๆ อักๆ แล้วก็ให้สงสาร จึงพยายามพูดให้กำลังใจด้วยเสียงอันอบอุ่น

   “เรื่องภาษาพูดจาก็มิมีอันใดดอก เมื่อวานทั้งท่านอำนาจ คุณมารตี รวมถึงบ่าวทุกคนที่เรือนลองทดสอบพูดจากับคุณหนูด้วยหลายๆ ภาษา คุณหนูก็ฟังรู้เรื่องหมดใช่ไหมขอรับ”

   เรื่องภาษาเป็นเรื่องที่กาลกังวลมากที่สุด พอบอกความวิตกนี้ให้ทุกคนฟังว่าตนความจำเสื่อม จึงกลัวจะพูดจะฟังไม่รู้เรื่อง ร้อนถึงทุกคนบนเรือนที่ถูกส่งไปเรียนยังประเทศต่างๆ ถูกเกณฑ์กันมาสนทนาโต้ตอบกับกาลกันให้จ้าละหวั่น

   กาลกัดริมฝีปาก แต่ก็พยักหน้ารับ เนื่องจากเขาฟังเข้าใจจริง ไม่เพียงเข้าใจได้ทุกภาษาที่ทุกคนพูดจากับเขา หากยังสามารถโต้ตอบได้คล่องแคล่ว ประหนึ่งเป็นภาษาแม่ของตนเองก็ไม่ปาน ฟังก็รู้เรื่อง พูดก็เข้าใจ แต่ว่ามัน... ตื่นเต้นนี่นา

   “เรียนแค่ครึ่งวันเองขอรับ เวลาที่เหลือเป็นชั่วโมงค้นคว้าศึกษาด้วยตนเอง ไม่ก็เข้าชมรมเล่นกีฬา แต่หากคุณหนูไม่คุ้นชิน พอเรียนเสร็จครึ่งเช้า เดี๋ยวพี่จะรีบไปรับกลับเรือนดีไหมขอรับ”

   กาลพยักหน้าถี่รัว เห็นด้วยกับความคิดนี้มาก แค่มาอยู่โลกนี้ เขาก็ปรับตัวไม่ค่อยจะทันอยู่แล้ว ดีว่าคนที่เรือนค่อนข้างจะรักใคร่ตามใจอยู่มาก เขาจึงอยู่ด้วยได้อย่างสบายใจ แต่ให้ปรับตัวเข้ากับโรงเรียนนี่สิจะทำยังไง เพื่อนพ้องของไอ้คุณหนูกาลเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ ปกติอยู่โรงเรียนทำตัวยังไง ครูบาอาจารย์ชอบหน้ารึเปล่า มีแต่เรื่องให้เครียดกังวล ในความกังวลก็ยังคงมีความโชคดีอยู่บ้าง ตรงที่ไอ้คุณหนูกาลเก่งโคตร พูดได้หลายภาษามาก อานิสงค์ของความเก่งเลยเผื่อแผ่มาถึงไอ้กาลคนนี้ พูดได้ ฟังได้ ถามได้ ตอบได้ อับดุลเอ๊ย!! เอ๊ย!!!

   ฝืนลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดของพุดด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง แล้วเดินตามคนที่ทำหน้าเป็นห่วงเหมือนพาลูกชายมาโรงเรียนวันแรกจนเผลอหลุดขำออกมา

   “หนูไปก่อนนะจ๊ะตาชด”

   กาลกระพุ่มมือไหว้ตาชดที่วันนี้ทำหน้าที่เป็นพลขับ พากาลบินข้ามทวีปมาส่งถึงอังกฤษ บุญตูดของไอ้กาลมันแท้ๆ ได้นั่งเรือเหาะเจ็ทมาโรงเรียนเชียวนะ

   ก้าวลงมาจากเครื่องบินเจ็ท เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงโรงเก็บรถยนต์ที่มีรถหรูจอดเรียงรายอยู่ พุดทำท่าจะถามว่าวันนี้คุณหนูจะเลือกคันไหนดี ก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ความจำเสื่อมมา เธอก็น่ารักนัก ไม่เคยเลือกมาก ใครถามกระไร เธอก็ว่ายังไงก็ได้ อะไรก็ได้ พุดจึงตัดสินใจเลือก บูกัตติ เวย์รอน สปอร์ต 2 ที่นั่ง ที่คุณหนูเคยโปรดปรานมาเป็นพาหนะในการไปส่งคุณหนูไปสำนักศึกษาในครานี้

   หย่อนก้นลงบนเบาะได้ พุดก็ปิดประตูให้ก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นทางฝั่งคนขับ โน้มตัวรัดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จก็มีอันต้องชะงัก เมื่อเห็นคุณหนูกาลยิ้มกริ่มมองตนเองอยู่

   “มีกระไรขอรับ”

   พุดถามใจเต้นตึ้กตั้ก คงมิใช่ไม่พอใจกระมัง คุณหนูกาลไม่ชอบให้ถูกเนื้อต้องตัวเธอเท่าไรนัก แต่หลังๆ มาเธอก็มิได้ว่ากระไร หรือว่าครานี้เธอจะรำคาญเสียแล้ว พุดอยากดูแลรับใช้ใกล้ชิดมาตลอด แต่คุณหนูกาลเธอก็ผลักไส มีเพียงช่วงความจำเสื่อมนี่แหละหนาที่ยิ่งน่าเอ็นดู ทำสิ่งใดให้ก็ยิ้มรับ เสียดายจริงหนา หากเธอมิใครให้ดูแลอีกแล้ว

   “พี่พุดนี่เป็นคนช่างเอาใจนะเนี่ย เปิดประตูรถให้เอย ช่วยรัดเข็มขัดนิรภัยให้เอย พี่อย่าไปทำแบบนี้ให้สาวๆ ที่ไหนเข้าล่ะ เขาจะนึกว่าพี่แอบชอบเขาเข้า”

   เสียงใสกระเซ้าเย้าแหย่ พุดถอนใจยาวอย่างโล่งอก หันมองหน้าคนที่หัวเราะคิกคักแล้วก็ได้แต่หนักใจ มิเคยทำให้ใครนอกจากเจ้าดอกหนา...

   ตลอดระยะเวลาการเดินทาง กาลตื่นเต้นกับสีเขียวสดชื่นของสองข้างทางเป็นอย่างมาก ถึงกับขอให้พุดช่วยลดกระจกลงเพื่อสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอด ความเย็นชื้นที่ผ่านเข้าร่างกายคล้ายๆ จะช่วยพาความกังวลออกไปยามหายใจออกจากความชื้นก็กลายเป็นละอองฝนโปรยปราย พุดรีบเลื่อนกระจกขึ้นทันที เมื่อเด็กซนข้างตัวเริ่มยื่นมือออกไปเล่นน้ำฝน

   “อากาศที่นี่เอาแน่เอานอนมิใคร่จักได้นะขอรับ คุณหนูก็อย่ามัวแต่ห่วงเล่น ประเดี๋ยวจับไข้เอาจะทำเช่นไร”

   กาลเบะปากทิ้งตัวลงนั่งพิงเบาะอย่างขัดใจ ได้แต่บ่นพึมพำๆ

   “เมื่อกี๊ยังชมอยู่แหม็บๆ ว่าเป็นคนช่างเอาใจ ขอเก็บคำชมคืนได้ไหมเนี่ย”

   คนฟังถึงกับลอบกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม เออหนอ พอขัดใจขึ้นมาก็กระบึงกระบอนเป็นเด็กๆ เทียว ผิดกันอยู่ที่เด็กๆ เวลางอนจะน่าเอ็นดู แต่กับคุณหนูกาลเวลาเธองอนกลับน่าดู... เอ่อ ดูแล แค่กๆๆๆ

   เสียงไอค่อกแค่กจากคนข้างตัวทำให้กาลปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่

   “เป็นยังไงล่ะพี่พุด อยากไม่ให้หนูเล่นน้ำฝนดีนัก ขนาดน้ำลายยังเป็นใจไปช่วยขัดคอพี่พุดเล้ย”

   พุดได้แต่ไอไปสำนึกผิดไป

   อย่าหัวเราะสดใสเช่นนี้ได้ไหมเจ้า พี่ละอายต่อความคิดตนเองจะแย่แล้ว หากก็ได้เพียงนึกขอโทษขอโพยอยู่ในใจ ไหนเลยจะมีความกล้าไปบอกกับคุณหนูว่าเมื่อครู่ตนเองแอบคิดไม่ดีไม่งาม

   พาหนะสีดำทรงสปอร์ตขับเคลื่อนไปตามทางได้สักครู่ รถก็เริ่มไต่ระดับขึ้นเนิน และเพียงอยู่บนจุดสูงสุดบนเนินก่อนที่จะไต่ระดับลงมานั้น กาลก็ได้แต่อ้าปากกว้างให้กับภาพตรงหน้า

   ภาพปราสาทหลังงามซึ่งมีอาณาบริเวณใหญ่โตสุดๆ ทำเอากาลตกตะลึง ได้แต่หันไปสะกิดพุดแล้วถามเสียงติดจะสั่นด้วยความตื่นเต้น

   “นั่น...  นั่น”

   “โรงเรียน X ไงขอรับ อพิโธ่ พี่นี่ก็แย่นักเทียว ลืมไปเสียสนิทใจว่าคุณหนูจำเรื่องราวแต่หนหลังมิได้” จากนั้นไกด์กิตติมศักดิ์ในชุดสูทอาร์มานีสั่งตัดพอดีตัวก็เริ่มบรรยายให้ฟังถึง ‘โรงเรียน’ ของกาล

   “โรงเรียน X ตั้งอยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติ Lake District กับอุทยานแห่งชาติ Yorkshire Dales บริเวณโดยรอบมีเนื้อที่กว่า ๑๕ เอเคอร์ จากตัวปราสาทนี้คุณหนูกาลสามารถเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ได้อีกหลายแห่งขอรับ อ้อ... เนื่องจากโรงเรียน X รับแต่นักเรียนจากราชวงศ์และหมู่ชนชั้นสูงในการเข้าศึกษาคุณหนูมิต้องกังวลไปดอกหนาว่าระบบการเรียนการสอนจักล้าหลังโบราณดังตัวปราสาท ถึงโครงสร้างปราสาทจักเป็นของเก่าแต่ดั้งเดิม หากภายในล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์โมเดิร์น เช่นเดียวกับหลักสูตรที่สมบูรณ์แบบที่สุดในยุคปัจจุบัน”

   กาลเอนศีรษะพิงกระจก ยกมือขวานวดคลึงบริเวณขมับ อันเป็นกิริยาประจำตัวตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาบนโลกใบนี้ แล้วจะไม่ให้นวดศีรษะบ่อยๆ ยังไงไหว มีแต่เรื่องชวนมหัศจรรย์อยู่บ่อยๆ ดูอย่างพ่อหนุ่มจบนอกแต่งสูทสากลที่พูดภาษาโบราณข้างตัวเขานี่สิ นี่ก็ตัวอย่างของสิ่งมหัศจรรย์อันดับแรกๆ ในใจเขาละ เอ... แล้วทำไมต้องจัดพี่พุดไว้อันดับแรกๆ ด้วยล่ะ น่าจะ...น่าจะเพราะพี่เขาคอยดูแลคอยตอบคำถามทุกอย่างที่สงสัยแน่ๆ ใช่! ต้องเป็นเหตุผลนี้แน่ๆ

   พุดค่อยๆ แตะเบรกแล้วชะลอรถลงเข้าข้างทางเมื่อเห็นคุณหนูกาลพยักหน้า ส่ายหน้าอยู่คนเดียวมาครู่ใหญ่

   “เป็นอันใดขอรับ เวียนศีรษะหรืออย่างไร พี่เห็นส่ายหัวด็อกแด็กมาได้พักนึงแล้ว”

   เสียงทุ้มต่ำแสดงอาการห่วงใยมาพร้อมกับอาการขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมกลับทำให้กาลรู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังส่ายไปส่ายมา อยู่ๆ ก็อมยิ้ม

   “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แค่มีพี่พุดอยู่ตรงนี้ หนูคิดว่าปัญหาอะไรก็มีทางแก้ได้จ้ะ ก็พี่พุดน่ะเป็นสุดยอดพี่ชายในฝันเลย จัดการแก้ได้ทุกสิ่งอย่าง ถ้ามีเรื่องอะไรหนูจะรีบวิ่งแจ้นมาฟ้องพี่เลยล่ะ”

   สีแดงที่ซ่านขึ้นตั้งแต่ลำคอจนลามไปทั้งในหน้าคร้ามคม ทำเอากาลยิ่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีมากขึ้น และเมื่อกาลยิ้มมากขึ้น สีแดงก็ปรากฏไปจนถึงใบหูของสุดยอดพี่ชายในฝันเลยทีเดียว

   ตำแหน่งแห่งที่ใดๆ ล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว จะเป็นบ่าวหรือเป็นพี่ชาย ขอเพียงคุณหนูกาลเห็นไอ้พุดเป็นที่พึ่งพิงได้ เพียงเท่านี้ไอ้พุดก็ยินดียิ่งนัก

   รถบูกัตติคันงามค่อยแล่นออกไปอย่างมั่นคงอีกครั้ง มั่นคง... ดังใจคนขับเลยเทียว!!

   เมื่อใกล้ถึงทางเข้าประตูโรงเรียน พุดจึงเอี้ยวหน้ามาพูดกับกาล   

   “คุณหนูขอรับ พี่ลืมบัตรผ่านเข้า - ออกโรงเรียนของคุณหนูขอรับ รบกวนช่วยหยิบให้พี่ทีเถิด อยู่ที่กระเป๋าเป้ด้านหลังของคุณหนูขอรับ เมื่อตะกี๊พี่รีบนัก จึงเผลอนำไปเก็บในกระเป๋าของคุณหนู”

   กาลก้มหน้าลงควานหากุกกักในกระเป๋าที่ตัวเองกอดแนบอกไว้อยู่เป็นครู่ ก่อนจะคลำเจอบัตรสี่เหลี่ยมแข็งสีเทา บุรุษในรูปบนบัตรจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่พุด กาลค่อยๆ ออกเสียงสะกดชื่อภาษาอังกฤษบนบัตรนั้น

   “มิสเตอร์... พะ...พงศ์... ปา...”

   “พงศ์ปณต ขอรับ”

   กาลหันขวับไปมองทันที ก่อนจะผิวปากวิ้ว เดาะปากแซ็วคนข้างตัวทันที

   “พงศ์ปณต... เผ่าพันธุ์ผู้นอบน้อม รูปก็งาม นามก็เพราะนะพี่น่ะ”

   คนถูกชมนัยน์ตาพราวระยับขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบเก็บอาการแล้วหันไปเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

   “คุณหนูรู้ความหมายชื่อพี่เสียด้วย  รู้ได้อย่างไรขอรับ”

   คนอวดภูมิกอดอกเชิดหน้าจนคางแทบจะชนเพดานรถ

   “เห็นอย่างนี้ หนูเก่งภาษาไทยมากนะพี่ บอกเลย!”

   นัยน์ตาพราวระยับเมื่อครู่ ส่งประกายเอ็นดูอันอบอุ่นจนคนถูกมองเริ่มวางตัวไม่ถูก จากที่เมื่อครู่ยังคุยโว กาลกลับค่อยๆ เสมองออกไปนอกหน้าต่างรถแก้เก้อ ได้แต่ส่งเสียงพึมพำหยอกล้อทั้งๆ ที่พูดไปใจตัวเองก็เต้นแปลกๆ ไป

   “อย่าไปเที่ยวมองคนที่นั่งข้างตัวแบบนี้นะพี่ ระวังโดนข้อหาลักทรัพย์”

   “หืมมม” เสียงทุ้มลากยาวเป็นเชิงถาม

   “ลักสิ่งใดกันขอรับ”

   “ก็ลักตัวขโมยหัวใจไงล่ะพี่พุด ฮ่าๆๆ”

   ปกติมุกแบบนี้ต้องมีคน ‘ฮิ้ววว’ ตอบรับ จากนั้นก็จะมีเสียงตะโกนด่า ตะโกนแซ็วอะไรก็ว่าไป แต่นี่นั่งอยู่ในรถแคบๆ กันสองคน ไอ้ที่ควรจะฮากลับไม่ฮา กลายเป็นบรรยากาศหวานๆ เชื่อมๆ นี่มันคืออะไร

   กาลส่งเสียงหัวเราะฮ่าๆ แบบฝืดๆ แล้วก็ได้แต่ก้มหน้างุดลง แอบชำเลืองมองคนขับก็เห็นอมยิ้มไม่พูดไม่จา ไม่น่าเลยไอ้กาลเอ๊ย ไม่น่าเล่นมุกแป้กเล้ย นอกจากไม่ได้สักฮาแล้วยังวางตัวลำบากอีก กาลจมอยู่ในภวังค์ส่วนตัวจนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

   “ถึงแล้วขอรับ พี่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้หนา พอคุณหนูอยากกลับเมื่อใดก็โทรหาพี่นะขอรับ พี่พุดจักรออยู่แถวนี้”

   การที่พุดไม่พูดถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ชวนให้กระอักกระอ่วนใจเมื่อครู่ทำให้กาลโล่งอก หางตาเหลือบเห็นคนตัวโตกดจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ปราดๆ ก่อนจะลงจากรถก้าวยาวๆ เดินอ้อมมาเปิดประตูให้กาลอย่างเอาใจใส่

   “พี่พุดมีธุระจะโทรหาใครรึเปล่า โทรก่อนได้เลยนะจ๊ะ เดี๋ยวหนูเดินเข้าโรงเรียนไปเลยก็แล้วกัน”

   “พี่หาได้โทรหาใครไม่ขอรับ พี่เพียงเช็คอินเฉยๆ ท่านอำนาจกับคุณมารตีจะได้รู้ว่าคุณหนูถึงสำนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

   อ่า... กาลได้แต่อ้าปากค้าง แล้วค่อยๆ หุบปากลงอย่างเก้อกระดาก ลืมไปได้ยังไงว่าบ้านนี้เค้าโซเชียลจ๋ากันขนาดไหน กาลโคลงศีรษะไปมา กำลังจะก้าวเท้าเดินก็พลันรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ข้อมือ

   “ประเดี๋ยวก่อนขอรับ พี่รู้ว่าคุณหนูมิชอบอวดข่มสำแดงตน แต่เพลานี้มิเหมือนแต่ก่อน เหตุที่คุณหนูความจำเสื่อมนั้นอาจมีคนหมายมาปองร้ายเอาได้ คุณหนูมิชอบใส่เครื่องประดับใดให้รำคาญ พี่จึงสั่งช่างเขาให้ทำคลิปติดเนคไทมาให้”

   พูดจบพุดก็ค่อยบรรจงเสียบคลิปลงไประหว่างเสื้อเชิ้ตกับเนคไทของกาลให้เรียบร้อย ก่อนจะค่อยกลัดกระดุมเสื้อสูทให้อย่างเบามือ

   “เสร็จแล้วขอรับ”

   พุดก้าวถอยหลังมาสำรวจเครื่องแต่งกายของคุณหนูกาลอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มแล้วพยักหน้าว่าเรียบร้อยแล้ว

   “ไม่เตะตาเกินไปนัก คุณหนูเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

   กาลก้มหน้าลงมองคลิปติดเนคไทที่พุดติดให้ ตัวคลิปเป็นสีเงินแวววาวไม่มีลวดลายสลักใดๆ มีเพียงตัวอักษร X ตัวเล็กสลักไว้ที่ส่วนปลายของคลิป

   “สวยดีจ้ะพี่พุด ทำจากเงินเหรอจ๊ะ แล้วตรงตัว X นี่คือตัวอะไร หรือเป็นคำย่อ”

   “คุณหนูชมชอบแบบที่ทำจากเงินดอกหรือ คราวหน้าพี่จักสั่งทำให้ใหม่หนา ครานี้ทนใส่แบบที่ทำจากแพลตินั่มไปเสียก่อนสักคราวนะพ่อ”

   กาลชินแล้ว จริงจริ๊งงง ไอ้กาลชินแล้ว ถ้าจะต้อง ‘ทน’ ใช้แพลตินั่ม

   “ส่วนตัวอักษรนั่นเป็นตัวย่อจริงๆ ขอรับ หากหาใช่ตัว X ไม่ แต่เป็นตัว S สองตัวไขว้กันต่างหากล่ะเจ้า”

   กาลพึมพำตาม

   “ตัว S สองตัว... หรือว่า...”

   “เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล”

   สองเสียงที่เปล่งออกมาพร้อมกัน ทำให้พุดอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่กาลเริ่มเหงื่อตก เพราะเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าข้าวของเครื่องใช้ในเรือนล้วนมีเครื่องหมาย SS ปรากฏอยู่ทุกชิ้น

   “หมายความว่า ถ้าเห็นเครื่องหมาย SS นี่...”

   พุดพยักหน้ายิ้มพราย

   “แน่นอนว่าต้องเป็นของตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลขอรับ”

   กาลพยายามจะยิ้มแล้วนะ แต่มันทำได้ลำบากจริงๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะไปทำอะไร ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นถนน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สนามกีฬา สถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ทั่วโลก หากพินิจดูให้ดี มักจะมีสัญลักษณ์ SS นี้ปรากฏอยู่เสมอ

   โอย... ลมจะใส่ นี่สินะที่พี่พุดเคยเล่าให้ฟังถึงคำว่า ‘เบื้องหลังเศรษฐกิจโลก’

   เออหนอ... ตอนอยู่โลกนู้นข้าวที่จะกินเข้าไปยังต้องอาศัยข้าวก้นบาตรพระ ในสังคมเด็กวัดก็มีการแบ่งลำดับแย่งชิงกันอยู่เนืองๆ ตัวเขาอาศัยปากหวานพูดจาจ๊ะจ๋าอ่อนน้อมเข้าใส่ เพื่อให้ได้กินอิ่มทุกมื้อ นั่นก็คือมีความสุขจะแย่แล้ว มาเจอความ ‘เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล’ เข้าไปนี่ปรับตัวไม่ทันจริงๆ

   “งั้น... หนูไปเรียนนะจ๊ะ”

   กาลหมุนตัวเตรียมเดินเข้าสู่ห้องโถงเอกของปราสาท หรือก็คือห้องสารพัดประโยชน์ที่นักเรียนทุกชั้นปีมักจะมานั่งเล่นทำการบ้าน นัดรวมตัวกันที่นี่นั่นเอง แต่สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นตราสัญลักษณ์โรงเรียนบนซุ้มโค้งเข้าเสียก่อน

   สัญลักษณ์ช่อมะกอกที่โค้งทอดตัวขึ้นสู่ด้านบนจนเกือบเป็นทรงกลม มีรูปคทาประดับเพชรวางเฉียงไว้เกือบกึ่งกลางช่อมะกอก และที่เด่นเป็นสง่าอยู่บนตัวคทาคือตัวอักษร X กาลเริ่มใจเต้นอีกครั้ง ได้แต่คิดในใจว่าน่าจะคนละ X กันน่า อันนี้เป็นขีดตรงๆ ไม่ใช่สัญลักษณ์ขีดโค้งแบบตัว S ไขว้กันเสียหน่อย คิดได้ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้ายกนิ้วมืออันสั่นระริกขึ้นชี้ไปที่ตราสัญลักษณ์โรงเรียน

   ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาของพุด ถึงแม้จะถูกคาดเดาไว้แล้วบ้างบางส่วน แต่ก็ทำเอากาลแทบอยากจะร้องไห้ในความรวยไม่ลืมหูลืมตาของบ้านนี้เอาเสียจริงๆ แค่อาการพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับของพุดก็เป็นอันรู้เรื่องไม่ต้องถามต่อให้เสียเวลาว่าโรงเรียนนี้ใครเป็นเจ้าของ

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 22-10-2017 21:03:45
   กาลพาร่างตัวเองเดินโซซัดโซเซมาจนถึงหน้าห้องเรียนตนเองได้อย่างไรก็สุดรู้ บางครั้งปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็สั่งการได้เองโดยที่สมองยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะผลักประตูไม้หนาหนักเข้าไปเจอนักเรียนราวๆ 20 คนที่นั่งลดหลั่นกันตามสโลปของห้องเรียนมองมาที่ตนเป็นตาเดียวกัน

   อาจารย์ที่กำลังสอนหนังสืออยู่ด้านหน้าห้องรีบก้าวลงมาจากโพเดียมถามไถ่อาการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะให้เอากระเป๋าไปเก็บยังล็อคเกอร์หลังห้อง แล้วให้หาเลือกที่นั่งเอาตามสบาย

   กาลเดิมก้มหน้างุดๆ ฝ่าสายตา 40 ดวง เพื่อเดินไปเก็บของ ความที่เดินไม่มองทางจึงไปสะดุดเท้าของนักเรียนชายที่นั่งแถวริมอย่างช่วยไม่ได้ หูได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักก็เล่นเอาหน้าแดงวาบ ได้แต่อุบอิบขอโทษออกไป

   เร่งเปิดล็อคเกอร์เพื่อจะเก็บกระเป๋าแล้วจะได้ไปหาที่นั่ง เพื่อจะได้พ้นจากสภาพเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องสักทีก็ต้องตกใจ เมื่อเปิดมาปุ๊บ เศษขยะก็ร่วงกราวลงมาทันที คราวนี้มีทั้งเสียงหัวเราะและเสียงซุบซิบตามมาจนกระทั่งอาจารย์ต้องเคาะโพเดียมเตือนจึงเงียบเสียงกันลงไปได้

   กาลได้แต่แปลกใจ แต่ก็ปัดความคิดต่างๆ ลง เดินหอบกระเป๋าติดตัวไปนั่งที่เก้าอี้หลังสุดอย่างไม่สนใจ ไม่มีที่ให้เก็บก็ไม่ต้องเก็บก็เท่านั้น แล้วนี่เรียนวิชาอะไรกันล่ะนี่... อ้อ... คณิตศาสตร์ สุดยอดยาขมของไอ้กาลเลย

   เสียงลากไวท์บอร์ดเป็นโจทย์ทางคณิตศาสตร์ทำเอากาลนั่งตัวลีบ อยากจะขดตัวให้เล็กที่สุดเพราะกลัวโดนเรียกถาม ตอนนี้นึกบทสวดอะไรได้ก็ท่องยำรวมสวดอยู่ในใจ อย่าเรียกนะ กูไม่รู้เรื่อง กูความจำเสื่อม โฮๆๆ และคงเป็นอำนาจแห่งพระพุทธคุณคุ้มครอง ยามอาจารย์ถามหาคำตอบก็ปรากฏหน่วยกล้าตายยกมือขึ้นเป็นตัวแทนอย่างอาจหาญ กาลแทบจะทำป้ายไฟขึ้นเชียร์ซูเปอร์ฮีโร่ของมวลมนุษยชาติซะจริงๆ

   แต่แล้วซูเปอร์ฮีโร่ก็กลับกลายเป็นตัวร้าย เมื่อชื่อของ ‘เวลา’ ถูกบรรจงเอ่ยออกมาจากปากเจ้าคนน่ารังเกียจนั่น สายตาของคนทั้งห้องเหมือนสปร์อตไลท์ที่ฉายมาบนตัวกาล ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากโดนสายตากดดัน ทำให้ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อตอบคำถาม สายตาที่เพ่งมองโจทย์ต้องเบิกกว้าง เหงื่อเย็นๆ ไหลลงจากขมับเป็นทาง ทั้งๆ ที่ในห้องมีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำทำงานอยู่ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?

   อาจารย์ผู้สอนเห็นร่างที่ยืนนิ่งก็เห็นใจ ด้วยรู้ว่าคุณหนูกาลไม่ชอบเป็นจุดสนใจ จึงมักเก็บตัวไม่ค่อยแสดงออกมากนัก ที่ผ่านมาก็มักอยู่เงียบๆ คนเดียวเสมอ แล้วตอนนี้ยังมาป่วยอีกจะตอบได้ยังไง กำลังจะคิดหาวิธีพูดยังไงไม่ให้ขัดใจทั้งสองฝ่ายก็พบว่ากาลส่งเสียงแผ่วเบาออกมาจากริมฝีปากอิ่มคู่นั้นพอดี

   “3, -3, -2”

   เสียงพูดคุยเซ็บแซ่ในห้องเงียบลงทันที แม้แต่อาจารย์ที่ทำท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างก็หุบปากฉับโดยอัตโนมัติ ได้แต่ส่งเสียง ‘ห๊ะ’ ในลำคอเบาๆ

   “จากสมการ X3 + 2X2 - 9X - 18 = 0 ถ้าเราหาคำตอบโดยวิธีสังเคราะห์ เวลาแสดงวิธีทำอาจสิ้นเปลืองกระดาษถึง 2 หน้า แต่ถ้าเราดึงตัวร่วมแล้วจัดรูปจะง่ายกว่าเยอะ คำตอบของข้อนี้คือ 3, -3, -2 ครับ”

   อึ้งกันไปทั้งห้อง รวมไปถึงตัวคนพูดคำตอบนั่นด้วย กาลสั่นพั่บๆ ไปทั้งตัว นึกอิจฉาคุณหนูกาลอย่างจริงจังก็ตอนนี้ ทำไมมันหัวดีอย่างนี้วะ แค่กวาดตามองไปเพียงครู่เดียว ในหัวก็ประมวลผลได้เสร็จสรรพ ในชีวิตไอ้กาลไม่เคยรู้สึกตื่นรู้ขนาดนี้มาก่อน โอย... น้ำตาจะไหล ตื่นเต้นดีใจจนเหงื่อออกเต็มไปหมด

   เมื่ออาจารย์พยักหน้ารับคำตอบนั้นถูกต้อง กาลก็หย่อนตัวลงนั่งด้วยอาการปรีเปรมดิ์ แต่ที่บั้นท้ายได้สัมผัสไม่ใช่เก้าอี้นุ่มสุดหรู หากเป็นพื้นเบื้องล่าง ดีที่พื้นได้รับการปูพรมไว้จนเต็มห้อง แต่ก็ทำเอากาลถึงกับจุกไปเหมือนกัน เพราะกระแทกลงไปเต็มๆ

   หลังจากสะบัดหัวไล่ความเอ๋อออกจากตัวก็หันไปคว้าเก้าอี้ที่ถูกถอยห่างออกไปจากปกติกลับมานั่งตามเดิม ขณะกำลังนั่งก็ได้ยินเสียงเหยียดหยามดังมาจากด้านข้างตัว

   “อย่านึกว่าแน่นะไอ้ตุ๊ด!!”

   เสียงวิ้งๆๆ ดังอื้ออึงขึ้นในหัวทุยสวยของกาลทันที ไม่รู้เพราะล้มกระแทกพื้นเมื่อสักครู่หรืออย่างไร ภาพความทรงจำอันอึดอัดถึงได้พัดกระหน่ำเข้าใส่กาลเป็นระลอก

   ภาพโรงเรียนอันกว้างใหญ่ แต่คุณหนูกาลต้องเดินเพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนแม้สักคน ด้วยท่าทีที่มักดูเย่อหยิ่งในสายตาคนภายนอก จึงไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องด้วย ทั้งๆ ที่คุณหนูกาลก็อยากมีเพื่อน เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นเอ่ยปากออกไปยังไงเท่านั้น

   “ตัวผอมบาง ผิวขาว ผมยาวแบบนี้ เชื่อเหอะ มันเป็นตุ๊ดชัวร์ๆ” เสียงเป่าปากโห่ร้อง ตะโกนแซ็วไม่หยุด แต่คุณหนูกาลก็ไม่ได้ตอบโต้ ทำเพียงไม่สนใจ

   นานวันเข้า จากแค่ทำร้ายกันด้วยคำพูดเหน็บแนมก็เริ่มมีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น เริ่มจากเศษขยะที่เต็มล็อคเกอร์ การขัดขาหรือกระแทกไหล่เวลาเดินสวนกัน หนักสุดคือถูกขังไว้ในห้องน้ำเป็นวันกว่าจะได้ออกมา

   คุณหนูกาลผู้ถูกเลี้ยงอย่างทะนุถนอม อยากได้อะไรแทบไม่ต้องเอ่ยปาก เพียงแค่ปรายตามอง บรรดาพ่อแม่และบ่าวไพร่ล้วนสรรหามาประเคนให้อย่างเอาใจใส่ หากแต่ที่นี่ โรงเรียนแห่งนี้ที่ไม่มีใครรู้ว่าคุณหนูกาลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล เพราะคุณหนูไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ทำไมแค่คุณหนูจะมีเพื่อนสักคนยังมีไม่ได้ ถ้าไม่ได้มีทรัพย์สิน ถ้าไม่ใช่เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล คนทั่วไปก็จะไม่ยอมรับเราหรือ

   อารมณ์เสียใจ ความอัดอั้น พุ่งทะยานขึ้นสู่ใจกลางความรู้สึกของกาลจนเจ้าตัวน้ำตารื้น ได้แต่นอนซบหน้าลงบนโต๊ะด้วยความรู้สึกสงสาร

   เสียงลากเก้าอี้ เสียงเก็บของเริ่มดังเข้าสู่สมองกาลอีกครั้ง เลิกเรียนแล้ว กาลจึงตั้งท่าเตรียมจะเก็บของบ้าง หากเศษกระดาษจำนวนมากกลับถูกเทลงบนศีรษะเต็มไปหมด เสียงหัวเราะจากผู้กระทำดังอยู่เหนือหัวกาลนี่เอง มองไล่ตามเสียงไปจึงเห็นผู้ชายตัวใหญ่ผิวขาว ตาสีฟ้า กำลังยักคิ้วให้อย่างกวนประสาท

   “ไง ไอ้ตุ๊ด หายไปนาน กลับมาก็โชว์เก่ง นึกว่าแน่นักเหรอ”

   “เฮ้! อัลเบิร์ต อย่าตะคอกเสียงดังสิวะ ดูซิ น้องหนูของเราน้ำตาคลอแล้วเห็นมั๊ย ฮ่าๆๆ”

   ผู้ชายที่กำลังหัวเราะเสียงดังก็คือคนที่กาลคิดว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนนั้นเอง เสียงหัวเราะแบบลูกสมุนนี่ฟังแล้วกวนประสาทดีจริงๆ กาลปาดน้ำตาเพราะสะเทือนใจเรื่องคุณหนูกาลทิ้งไป ก่อนจะค่อยๆ ไล่ปัดๆ เศษกระดาษตามตัวออกจนหมด จากนั้นก็รวบหนังสือยัดเข้าใส่กระเป๋าแบบส่งๆ พยายามไม่สนใจเสียงนกเสียงกาตรงหน้า

   “ทำเป็นหยิ่งไม่พูดไม่จา คิดว่าแน่นักรึไง ห๊ะ ไอ้ตุ๊ด!!”

   เสียงของคนที่ถูกเรียกว่าอัลเบิร์ตค่อนข้างดัง ทำให้นักเรียนที่ไม่อยากมีเรื่องค่อยๆ ทยอยเดินก้มหน้าออกจากห้องไป ในขณะที่พวกใจกล้าหน่อยก็จับกลุ่มยืนดูความสนุกตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

   ตอนแรกกาลก็ว่าจะทำเงียบๆ ไม่อยากหาเรื่องให้คุณพ่อคุณแม่ปวดหัวนะ แต่ถ้าเอาแต่เงียบก็คงไม่แคล้วต้องเดินซ้ำรอยเดียวกับคุณหนูกาลแน่นอน

   “หนักมากมั๊ย...”

   เสียงไม่ดังไม่เบาที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่แย้มยิ้มเล่นเอาคนฟังงง ประการแรกเพราะคนตรงหน้าไม่เคยเอ่ยปากตอบโต้ ประการต่อมาคือ... หนักอะไรของมัน?

   กาลเกี่ยวปอยผมที่ระข้างแก้มทัดไว้ที่ใบหู ยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะหวานได้

   “เป็นตุ๊ดรึไม่ตุ๊ด แล้วหนักหัวมากมั๊ย”

   ฝ่ายโดนตะคอกถามหน้าตาแดงก่ำ รู้สึกอายมากกว่าโกรธที่คนที่เคยยอมมาตลอดกล้าขึ้นเสียงใส่ มือขวากำหมัดแน่นเตรียมจะซัดออกไปให้หายโมโห แต่กลับรู้สึกถึงลมที่วูบเข้ามาตรงหน้า ตามด้วยเสียง ‘พลั่ก’ เข้าที่ปลายคาง

   “เฮ้! อัล เป็นยังไงมั่งวะ” ลูกสมุนที่เมื่อครู่ยังยืนหัวเราะกวนประสาทได้แต่ถลาลงประคองเพื่อนที่ถูกหมัดอัปเปอร์คัทเข้าที่ปลายคาง จนลงไปกองกับพื้น

   หึ!! ดูก็รู้ว่าเป็นพวกใหญ่แต่ตัว ทั้งสมองทั้งกำลังไม่มีทั้งนั้น โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคุณหนู ไอ้การที่จะใช้กำลังมาเทียบกับเด็กวัดอย่างไอ้กาลน่ะ ยังไงก็แพ้!

   กาลเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เมื่อฝ่ายนั้นนอนกุมคางชี้หน้ามือไม้สั่น

   “แก... แก... แกรู้มั๊ยว่าพ่อฉันคือใคร”

   เฮ้อ... ประโยคสุดแสนคลาสสิค ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไม่พ้นต้องเจอคนพวกนี้สิน่า กาลส่ายหน้าพลางค่อยๆ ขยับถอดคลิปติดเนคไทออกจากเสื้อเชิ้ตช้าๆ พลิกไปมาในมืออยู่ครู่หนึ่งจึงได้พูด

   “ไม่อยากรู้หรอกว่าพ่อนายเป็นใครน่ะ ว่าแต่... พอจะรู้มั๊ยว่าสัญลักษณ์นี้มาจากตระกูลไหน”

   พูดจบก็ยื่นคลิปไปจนแทบจะชิดติดลูกกะตาของอีกฝ่าย สีเงินของคลิปเรียบๆ ไม่ได้สะดุดตาเท่าตัวอักษร SS ที่ปลายคลิป หน้าที่มีสีแดงของความโมโหเริ่มซีดขาว ปากพึมพำจับใจความได้เพียงเสียง ซซซซ กาลยื่นหน้าเข้าไปขยิบตาให้อย่างนึกสนุก แหม... การเป็นคนมีอำนาจมันดีอย่างนี้เอง ไม่ใช่อำนาจธรรมดานะ แต่เป็น ‘อำนาจ  เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล’ เลยล่ะ ไอ้เจ้าคุณหนูกาลไม่รู้จักใช้สิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์

   “รู้แล้วก็เหยียบให้มิดนะว่านี่ตระกูลอะไร ว่าแต่... ทีนี้จะตุ๊ดรึไม่ตุ๊ดก็คงไม่มีปัญหาละมัง”

   อัลเบิร์ตเอามือกุมคางส่ายหน้าดิก ไม่น่าเลย ไม่น่าไปมีเรื่องกับคนคนนี้เลย เห็นเงียบๆ ติ๋มๆ ใครจะคิดว่าเป็นคนของตระกูลนี้วะ ถ้าพ่อรู้เข้าล่ะก็มีหวังโดนตัดออกจากกองมรดกแน่!

   “พี่พุดเหรอ อยู่ตรงไหนจ๊ะ หนูเรียนเสร็จแล้ว”

   เสียงใสจ๊ะจ๋าช่างจำนรรจาทำให้พุดอดแนบโทรศัพท์ให้ชิดใบหูให้มากขึ้นอีกนิดไม่ได้ พ่อคุณของพี่ป่านนี้มิรู้จะคลายกังวลได้บ้างหรือไม่ ตัวก็เล็กแบบบางปานนั้น ยังอุตส่าห์ฝืนข่มความไม่สบายใจไปเข้าเรียนจนได้ นัดแนะสถานที่นัดเจอกันเรียบร้อย พุดก็รีบไปยืนคอยท่า รอได้สักครู่ก็เห็นคุณหนูเดินยิ้มร่าเริงมาแต่ไกล

   “เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับวันนี้”

   พุดยื่นมือไปรับกระเป๋าเป้ พลางส่งนมสดปั่นในแก้วเก็บความเย็นที่แอบบึ่งรถไปซื้อมาเตรียมไว้ให้ เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกเรียน

   “สนุกดีจ้ะ ได้เจอ... อะไรแปลกๆ ดี” กาลอมยิ้ม เมื่อนึกถึงอะไรแปลกๆ ที่ว่า

   “มิใช่ไปเที่ยวซุกซนตรงไหนมาดอกหนา?” คนถามขมวดคิ้วฉับ ส่งผลให้คนถูกถามหัวเราะร่า

   “ไม่หรอกจ้า... ว่าแต่ ช่วงบ่ายหนูไม่มีเรียนแล้ว พี่พุดพาหนูไปดูหอพักหน่อยสิจ๊ะ”

   “หอกระไรขอรับ”

   “อ้าว! ก็หอพักที่หนูต้องไปอยู่สิจ๊ะ พี่พุดบอกเองว่านี่เป็นโรงเรียนประจำ”

   “คุณหนูจำมิใคร่ได้หรือ ที่พี่บอกเมื่อเช้าว่าเรียนเสร็จจะพากลับเรือน?”

   กาลย่นคิ้วทันที ไอ้จำน่ะจำได้ว่าบอกไว้ว่าถ้าไม่คุ้นชินจะพากลับบ้าน กาลยังนึกว่าพุดปลอบให้ตนเองคลายความกังวลเสียอีก เสียงที่เอ่ยออกมาจึงค่อยๆ อ่อนลง

   “แต่นี่เป็นโรงเรียนประจำ”

   “ขอรับ เป็นโรงเรียนประจำ แต่คุณหนูก็ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น คุณหนูมิต้องอยู่ค้างอ้างแรมที่หอพักดอก” พุดอธิบายพลางเปิดประตูรถให้กาลขึ้นไปนั่ง

   “ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า หนูเรียนโรงเรียนประจำที่...”

   “ไปเช้าเย็นกลับขอรับ”

   ฮือ... ไฮโซโคตรๆ!!

   
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ขออภัยในความล่าช้าค่าาา เนื่องจากคลานดืบๆ แข่งกับหอยทากระหว่างเขียน
เลยทำให้มาช้ามาก - ถึงมากที่สุด ฮือออออออออออ
รอกันหน่อยนะคะ
ขอบคุณที่แว้บบบบบบมาอ่านนนนนนนนนค่า

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ู^-^puiiz อยากได้สักคนเหมือนกันค่ะ ตามใจเมี... เอ่อ ตามใจน้องหนักมากกกก เอร๊ยยยย :m3:
ู^-^Billie 555555 อย่างที่เค้าว่า ความรักทำให้คนตาบอดจริงๆ ค่ะ :laugh:
ู^-^♥►MAGNOLIA◄♥ มาแล้วค่าาาาา พี่พุดนี่ตามใจหนักมากกกกค่ะ ทั้งรัก ทั้งหลง สายเปย์ที่แท้ทรู กร๊ากกกก  :laugh:
ู^-^qq_oo มาแล้วค่าาาาา น้องกาลเกรียนเหมือนใครไม่รู้นะคะ  :laugh:
      ปล. อยากมาทุกวันเหมือนกัน แต่ตันค่ะ  :hao5:
ู^-^♥lvl♀‘O’Deal2♥ หลวงตาไมเกรนจะกำเริบเลยค่ะ แสบเหมือนใครไม่รู้เนอะ  :laugh:
ู^-^poppycake น้องกาลเกรียนมากค่ะ เหมือนใครก็ไม่รู้ 555555 เจ้าพ่อเคืองหนักมากที่ไม่ได้แก้บน ถถถ วงวารน้องกาลนะคะ ไปอยู่โลกโน้น เลยได้ทั้งความน่ารักและความเกรียนมาด้วย (ได้ที่โทษละ)  :laugh:
ู^-^•♀NoM!_KunG♀• ลองอ่านดูค่า เผื่อชอบบบบ อ่านได้ ผ่อนคลายดี เพราะนิยายเรื่องนี้สาระไม่มี แต่นักเขียนหน้าตาดีมากค่ะ  :laugh: // วิ่งหนี
ู^-^maneethewa มาแล้วค่าาา :hao3:

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-10-2017 22:18:16
ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ไอ้พวกเกเรปากหมา หารู้ความจริงไม่ เหอะๆ.....
กับกาลคนเก่า ไม่อยากต่อสูกับใคร
กาลคนใหม่ เจอแล้วนิ่งเฉยก็ยังไม่เลิก
โต้กลับซะเลย ดีมากกกกก
เห็นตัวเล็ก นิ่งๆ แกล้งได้แกล้งดี เอาให้หัวหดเลิกซ่าไปเลย
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 22-10-2017 22:24:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-10-2017 22:51:28
น่าเอาให้พ่อตัดออกจากกองมรดกจริงๆ นะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 22-10-2017 22:51:46
คุณหนูกาลนี่รวยโคตรๆๆๆจริงๆๆ
รอๆๆๆๆตอนต่อไปทุกวัน...
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-10-2017 00:31:46
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 23-10-2017 01:10:26
 :mew3: :katai4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-10-2017 11:02:31
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 23-10-2017 13:56:10
ความไฮโซโคตรๆนี้ อยากสัมผัสบ้างจิงๆ ><
แต่หนูกาลคนเก่านี่ ไม่มีพิษสงเลยนะจ๊ะ
ดูอย่างหนูกาล(เก๊)คนนี้สิ พิษเยอะมาก 555555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-10-2017 16:38:15
โรงเรียนประจำแบบไป-กลับ

ถถถถถถ

นี่หนูกาลมิต้องเมา time zone จนต้องซบอกพี่พุดวันละหลาย ๆ รอบหรือ?
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-10-2017 23:09:12
สนุกละสิ งานนี้5555

ปล. เกี่ยวอะไรกะนักเขียนหน้าตาดีหว่า ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: หัวเเม่มือ ที่ 24-10-2017 00:16:37
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 26-10-2017 19:10:40
หายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  มาต่อไว้ๆๆสิ  รอรอรอรอรอ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 4 @สำนักศึกษาประจำ - รู้สึกไฮโซ (22/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-10-2017 00:37:11
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความส (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 27-10-2017 19:51:12
บทที่ 5 @งานวันเกิด - รู้สึกมีความสุข

   “หนูกาล เสร็จหรือยังลูก”

   เสียงทอดอ่อนหวานของคุณมารตีทำให้กาลอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ มือเรียวยาวคว้าหยิบโจงกระเบนแพรสีม่วงพันรัดที่เอวอย่างคล่องแคล่ว กรีดรีดผ้าให้ชายเท่ากัน ก่อนจะม้วนด้วยความว่องไวแล้วอ้อมเหน็บชายกระเบนไว้ที่ด้านหลัง กาลหันซ้ายหันขวาหาเสื้อคอกลมไม่เจอ จึงได้แต่ร้องตะโกนถามคุณมารตีมารดาผู้รออยู่ด้านนอกห้อง พลางรัดเข็มขัดเพื่อความแน่นหนา ก่อนจะดึงชายด้านในทบออกมาให้ดูสวยงาม

   “ใกล้เสร็จแล้วจ้ะ คุณแม่เห็นเสื้อหนูบ้างไหมจ๊ะ”

   “อิฉันรีดใส่ไม้แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าแน่ะเจ้าค่ะ”

   เสียงแม่ปริกตะโกนตอบกลับมา ทำให้กาลเผ่นแผล็วรีบไปเปิดตู้ดูทันที มือคว้าเสื้อมาสะบัดใส่ แล้ววิ่งไปสำรวจความเรียบร้อยที่หน้ากระจก หางตาก็เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ SS ตัวจิ๋วซึ่งปักไว้คู่กันกับสัญลักษณ์เมดูซ่าที่ปลายแขนเสื้อ อืม... นะ เสื้อคอกลมเฉยๆ นี่ก็ต้องแบรนด์ด้วย ส่ายหน้าอย่างเห็นขัน แล้วรีบออกไปหามารดาที่ด้านนอกด้วยเกรงจะทำให้ท่านคอยนาน

   “เสร็จแล้วจ้ะ มะ... แม่”

   เสียงคำว่าแม่ กลายเป็นเพียงคำพูดเบาๆ อยู่ในลำคอเท่านั้น เมื่อกาลเห็นคุณมารตีชัดถนัดตา

   วันนี้คุณมารตีอยู่ในชุดไทยจักรีสีฟ้าพยับหมอก นุ่งผ้าจีบยกข้างหน้ามีชายพก คาดเข็มขัดทองสุกปลั่ง ท่อนสไบเปิดบ่าข้างหนึ่งทิ้งชายสไบยาวไปด้านหลัง เครื่องประดับครบชุดทั้งสร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ ต่างหู รัดแขน

   “คุณแม่... สวยจัง”

   กาลครางในลำคอ ท่าทางเหม่อลอยราวหลงรูป ทำให้คุณมารตียิ้มแก้มแทบปริ มิเสียแรงที่เปิดหีบกรุสมบัติเอามาขัดล้างเตรียมไว้เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ฝ่ายแม่ปริกที่รู้สึกเหมือนโดนคุณหนูละเลยก็ค่อยๆ กระเถิบตัวเองมายืนเยื้องอยู่ด้านข้างของคุณมารตี

   กาลเห็นความเคลื่อนไหวทางหางตาจึงได้หันไปมองสตรีค่อนข้างอวบ (แม่ปริกเคยบอกให้เรียกสาวอวบ เพราะเธอบอกว่าเธอยังไม่อ้วน) ในชุดไทยดุสิตสีโอลด์โรส ตัวเสื้อไม่มีแขน แต่ประยุกต์ด้วยการเพิ่มผ้าลูกไม้ซีทรูให้ดูคล้ายจะเปิด แต่ก็ปิดต้นแขนไว้ คอเสื้อด้านหน้าและหลังคว้านกว้าง ปักมุกประดับแพรวพราว นุ่งผ้ายกไหมจีบหน้า คาดเข็มขัดทองสวยงาม

   “อื้อหือ พี่ปริก สวยจัดเต็มขนาดนี้ ให้หนูเตรียมสร้อยไว้กั้นประตูเงินประตูทองเลยไหมจ๊ะ คุณแม่ว่าเราจะเรียกสินสอดเท่าไหร่กันดีล่ะนี่”

   ท้ายประโยคกาลหันไปหารือกับคุณมารตีด้วยสีหน้าจริงจัง เล่นเอาคนถูกปรึกษาถึงกับหัวเราะคิก พูดตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะไปด้วยส่ายหน้าไปด้วย

   “ป่านฉะนี้แล้ว แม่คิดว่าหากเราเรียกสินสอดคงขายไม่ออกเป็นแน่ หากเพิ่มอ๊อปชั่น แถมข้าวสารสองกระสอบ แม่คิดว่าน่าจะมีคนหลงผิดมาได้กระมัง”

   สิ้นคำตอบ แม่ปริกได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งไป นึกขวางสองแม่ลูกที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อย่าให้ตัวเธอมีลูกบ้างเทียว คอยดูเถอะ จะคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับให้โลกลือ แต่ประเดี๋ยวก่อนหนา ก่อนจะมีลูกก็ต้องมีผัวก่อนหรือมิใช่ จริงอย่างคุณรตีเธอว่า จนป่านฉะนี้แล้ว อายุอานามก็มากโขอยู่

   “เป็นอะไรจ๊ะพี่ปริก พูดอะไรพึมพำอยู่คนเดียว หนูกับแม่แค่ล้อเล่น อย่าโกรธกันเลยน้า”

   ใบหน้าที่ออดอ้อนซบลงบนต้นแขนอวบท้วม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากแม่ปริกได้ทันที ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะถูกอกถูกใจ เมื่อกาลแอบยืนหน้าไปกระซิบ

   “พี่ปริกไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ คำโบราณท่านว่าไว้ ขิงน่ะยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด”

   “เจ้าค่า” ปริกลากเสียงยาวตอบรับ

   “อิฉันก็รอวันได้ ‘เผ็ช’ กับเค้าบ้างล่ะคุณหนู”

   เสียงหัวเราะของนายบ่าวประสานอย่างครึกครื้น เพราะมัวแต่หยอกกันไปล้อกันมา จึงไม่มีใครได้ทันสังเกตเงาร่างของท่านอำนาจที่ยืนมองภาพแห่งความสุข พลางยิ้มอย่างชื่นใจ

   “จะให้เข้าไปเรียนคุณมารตีกับคุณหนูกาลเลยรึไม่ขอรับ ว่าพร้อมจักออกเดินทางแล้ว”

   ชดค้อมกายถามแล้วก็ได้รับการส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ท่านอำนาจเดินเอามือไพล่หลังหันกายเตรียมลงจากเรือนด้วยไม่อยากเร่งลูกเมียให้เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจ

   “คุณพี่เจ้าคะ”

   เสียงหวานของคู่ชีวิตเรียกหา ทำเอาท่านอำนาจที่กำลังก้าวท้าวลงจากเรือนหยุดชะงัก

   “เสร็จแล้วไยมิให้ชดมาตามน้องกันล่ะเจ้าคะ ไหนมาให้น้องดูที ว่าวันนี้คุณพี่รูปงามเพียงใด”

   คุณมารตีพูดพลางค่อยๆ เยื้องย่างมาจับเสื้อสูทที่เข้ารูปพอดีตัวของท่านอำนาจเพื่อดูความเรียบร้อย นิ้วมือเรียวยาวลูบกรีดลงบนตัวเสื้อ พร้อมเอ่ยชื่นชมขณะจัดหูกระต่ายให้เข้าที่ไปด้วย

   “พี่ชายคนนี้รูปงามนักเทียว สวมโจงยกลายสีเทางามจับตา พอมาจับคู่กับสูทแล้วก็ให้รู้สึกถูกตาต้องใจนัก มิรู้รูปงามเยี่ยงนี้ พี่มีคู่หมายไปงานหรือยังหนา”

   ดวงตาพราวระยับที่ยั่วเย้า ทำเอาท่านอำนาจนึกเอ็นดูความความช่างหยอกล้อของแม่รตีนัก จึงรวบมือน้อยที่แต่งหูกระต่ายเข้าแนบที่อกแล้วก้มลงกระซิบ

   “ต้องขออภัยด้วยหนาน้องสาว ตัวพี่รักมั่นในลูกแลเมียพี่ยิ่งนัก คงได้แต่ต้องขอร้องให้น้องหักใจเสียเถิด”

   พูดจบก็ชมเชยแก้มนวลไปเสียทีหนึ่ง เรียกกำปั้นน้อยๆ ให้ทุบตีบนต้นแขนอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก

   “คุณพี่ก็... เล่นกระไรก็มิรู้ เซี้ยวนักเชียว”

   กาลรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกที่ข้อมือ ก็เห็นแม่ปริกดึงตนไปทางลงเรือน ใจอยากดูละครรักหวานซึ้งตรงหน้าอีกสักหน่อย แต่ก็ทานพลังแขนของแม่ปริกไม่ไหว ได้แต่เซถลาตามไป

   ลงมาจนถึงลานหน้าเรือน แม่ปริกจึงปล่อยมือกาลออกกระซิบกระซาบ

   “ลงว่าสองผัวเมียนั่นจีบกันก็อีกเป็นพักล่ะเจ้าค่ะคุณหนู อย่าไปเสียเวลาคอยอีกเลย สู้ลงมาเดินยืดเส้นยืดสายด้านล่างยังจักดีเสียกว่า”

   “แหม... หนูก็กะจะอยู่ดูความหวานต่อซะหน่อย”

   “ฮ้าย... ไม่ต้องถึงกับจงใจดูดอกเจ้าค่ะ รับรองมีให้คุณหนูรับชมทั้งวัน ทุกวัน จนขี้คร้านจะสำลักน้ำตาลเอาได้”

   กาลหัวเราะขำท่าทางจีบปากจีบคอของแม่ปริกอยู่เป็นครู่

   “แล้วทีนี้เราจะทำอะไรกันได้ละจ๊ะ มืดๆ อย่างนี้”

   “ไปช่วยอิฉันเก็บดอกมะลิดีกว่าเจ้าค่ะ เก็บตอนหัวค่ำนี่ล่ะดีนักเทียว”

   “ทำไมเก็บตอนหัวค่ำถึงดีละจ๊ะ”

   กาลถามไป ขาก็ก้าวตามแม่ปริกไปยังพุ่มกอดอกมะลิตรงหัวบันไดทางขึ้นลงเรือน ยังไม่ทันถึงดีก็ถูกยัดขันเงินใบน้อยให้ถือไว้คอยใส่ดอกมะลิจากแม่ปริก

   “นี่นะเจ้าคะคุณหนู เลือกดอกตูมที่ใกล้จะบานอย่างนี้ แล้วก็เอาไปใส่พานวางไว้ข้างหมอน พอดอกมะลิบาน ทีนี้ล่ะหอมจรุงไปทั่วห้องเลยล่ะเจ้าค่ะ นี่ล่ะเหตุผลที่ว่าทำไมเก็บตอนค่ำจึงดี แล้วที่สำคัญนะเจ้าคะ” ปริกลดเสียงลงเป็นกระซิบ

   “ถ้าเอาไปใส่โหลขนมกลีบลำดวนค้างคืนไว้ วันพรุ่ง คุณหนูก็จะได้ชิมขนมที่อร่อยรสที่ปลายลิ้น ชื่นกลิ่นที่นาสิกด้วยนะเจ้าคะ”

   คำตอบสุดท้ายของแม่ปริกคงถูกใจคนฟังอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวจึงยิ้มร่าพยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วย แถมอาสาช่วยเลือกดอกมะลิอย่างแข็งขัน ทั้งๆ ที่มือข้างหนึ่งก็ปัดไล่ยุงที่เริ่มมารังควาญอยู่เนืองๆ

   “คุณหนูเอาผ้าคาดเอวมาปัดไล่ยุงสิเจ้าคะ เดี๋ยวอิฉันเก็บต่อเอง นี่ก็ได้มากโขอยู่ละ”

   กาลก้มลงมองช่วงเอวของตนเองก่อนจะเอ่ยเสียงเบาๆ

   “หนูว่าแล้ว ว่าหนูลืมอะไร”

   “อพิโธ่ อพิถัง คุณหนูรออิฉันอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ พยายามขยับตัวเข้าไว้ ยุงมันจักได้ไม่หามไปเสียก่อน อิฉันขึ้นเรือนไปหยิบผ้าคาดเอวมาให้เจ้าค่ะ กะเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เฮ้อ... ต้องเดินฝ่าดงน้ำตาลกลางเรือนอีกแล้วอีปริก” ท้ายประโยคได้แต่บ่นพึมพำพลางโคลงศีรษะอย่างระอา

   เงาร่างที่ยืนขยับส่ายไปมาไม่ได้หยุด เรียกเสียงหัวเราะจากผู้มาใหม่อย่างเห็นขัน เสียงทุ้มรีบทักถามทันทีเมื่อคนถูกหัวเราะเริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์

   “มายืนเต้นแร้งเต้นกากระไรตรงนี้ล่ะเจ้า”

   “เต้นอะไรล่ะพี่พุด หนูมาช่วยพี่ปริกเก็บดอกมะลิ ระหว่างรอคุณพ่อกับคุณแม่ แล้วก็เลยต้องบริจาคเลือดให้ยุงอยู่นี่แหละ”
   พุดแกะผ้าคาดเอวของต้นช่วยปัดๆ ไปตามลำตัวของกาลอย่างเอาใจใส่พลางถาม

   “แล้วนี่แม่ปริกไปที่ใดเสียแล้ว ทิ้งให้คุณหนูของพี่ยืนตากยุงอยู่คนเดียว”

   กาลคล้ายๆ จะสะดุดบางคำในประโยค แต่ก็คิดไม่ออกว่าคำใดที่ผิดปกติ จึงตอบคำถามว่าแม่ปริกกำลังขึ้นเรือนไปหยิบผ้าคาดเอวให้ตนเมื่อครู่นี้เอง หลังจากที่เก็บดอกมิได้จนพอใจแล้ว

   “ไหนให้พี่ดูทีรึ ว่าเก็บได้เยอะเพียงไร”

   อาการยกขันใส่ดอกมะลิส่งให้จนแทบจะชิดหน้า ทำให้พุดรู้ว่าคุณหนูกาลคงยังเคืองเรื่องที่ถูกหัวเราะเมื่อสักครู่อยู่ จึงได้แต่อมยิ้มแล้วก้มลงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่

   “หอมจริงหนา ชื่นใจเยี่ยงนี้ คุณหนูพอจะใจดีแบ่งให้พี่พุดเอาไปวางไว้ข้างหมอนบ้างได้ฤาไม่”

   ถึงท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่โคมไฟที่ส่องแสงนวลตาก็ยังสว่างพอจะเห็นสิ่งของได้ชัด ด้วยความสว่างขนาดนี้ไม่น่าจะมองเห็นดาว อุปาทานหรืออย่างไร กาลจึงมองเห็นคล้ายดั่งแสงดาววิบวับทอประกายระยับอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า

   “มะลิก็มีออกจะเต็มต้น พี่พุดอยากได้เท่าไหร่ก็เด็ดไปสิจ๊ะ ไม่มีใครเขาหวงสักหน่อย”

   “ถ้าหากไม่หวงพี่ก็ขอปันเอาจากที่คุณหนูถืออยู่ในมือสักเล็กน้อยเถิดขอรับ”

   เจอลูกตื๊อขอเอาซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ กาลจึงหยิบดอกมะลิขึ้นมา ๔ - ๕ ดอก ก่อนวางลงบนผ้าเช็ดหน้าที่พุดกางออกมารอรับ เสร็จแล้วจึงค่อยบรรจงพับใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อทางอกด้านซ้าย

   “ชื่นใจจริงเจ้า” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา

   กาลฟังแล้วไม่ได้คิดอะไรมาก ได้แต่ฉีกยิ้มพยักหน้ารับ บอกกับพุดว่าหอมชื่นใจจริงๆ แถมพี่ปริกยังบอกจะเอาไปใส่ในโหลขนมกลีบลำดวนให้ตนชิมอีกด้วย

   “คู่แฝดคุยกระไรกันอยู่หรือ”

   เสียงคุณมารตีที่เอ่ยทัก ทำให้พุดและกาลได้แต่มองหน้ากันไปมา ก่อนจะรู้สาเหตุว่าเพราะอะไรจึงถูกเรียกว่าคู่แฝด เพราะทั้งคู่ต่างก็สวมโจงแพรสีม่วง เสื้อคอกลมสีขาวกันทั้งคู่ กาลหัวเราะคิกแล้วส่งผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้มคืนให้พุด เมื่อแม่ปริกที่ลงมาพร้อมคุณมารตีและท่านอำนาจส่งผ้าคาดเอวสีม่วงอ่อนมาให้

   “ยังดีหนาที่ผ้าคาดเอวยังคนละสี มิเช่นนั้นล่ะเหมือนกันอย่างกับแกะเทียว”

   ท่านอำนาจเอ่ยสัพยอกพลางเร่งให้ออกเดินทางกันได้แล้ว

   “ป่านนี้ที่วัดรอกันแย่แล้วกระมัง”

   “ก็ใครกันล่ะเจ้าคะที่มัวกวนน้ำตาลอ้อยกันอยู่บนเรือน” ปริกอดสอดปากแทรกขึ้นมาไม่ได้ ทำเอาท่านอำนาจหัวเราะเสียงดังอย่างเห็นขัน

   ขบวนรถที่ขนบ่าวไพร่ทั้งหมดมุ่งหน้าตรงสู่วัดใหญ่ กาลถามว่าทำไมไม่ไปทางเรือเหมือนเมื่อคราวก่อน ก็ได้รับคำตอบว่ามืดค่ำอันตราย ไปทางรถสะดวกกว่าและยังปลอดภัยกว่า เพราะว่าคราวนี้ขนคนไปหมดทั้งเรือน เกรงว่าหากพายเรือไปเกิดมีคนนึกสนุกเล่นแผลงๆ ทีนี้ได้วุ่นวายกันเป็นการใหญ่แน่ หากวันใดนึกอยากชมวิวยามค่ำคืนแล้วเดี๋ยวจักให้คนพาคุณหนูกาลพายเรือชมทิวทัศน์เป็นการส่วนตัวในคราหลัง กาลเห็นกระบวนเดินทางอันเอิกเกริกแล้วก็นึกย้อนไปยังต้นเหตุเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
   
+++++++++++++++++++++++++++++++++

   “แม่จ๋า หนูกลับมาแล้ว”

   เสียงตะโกนทักก่อนจะตามมาด้วยเสียงตึงๆ วิ่งขึ้นเรือนมา ทำเอาคุณมารตีสะดุ้งสุดตัวแทบจะทำถ้วยตะคันในมือหล่นอยู่รอมร่อ เจ้าลูกคนนี้นี่ยังไง ก่อนหน้านี้ก็เงียบขรึมจนกลัวใจว่าถ้าพูดผิดหูแล้วเธอจะกรุ่นโกรธเอา พอล้มป่วยลงแล้วฟื้นไข้มาก็ทำกิริยาเหมือนเด็กสามขวบก็ไม่ปาน จะพูดจะจาจะเดินจะเหินล้วนกระโดกกระเดกพิลึก จะว่ากล่าวหรือก็ทำไม่ถนัดปาก ด้วยต่อให้ทะลึ่งตึงตังเพียงใด เธอก็มักจะมานั่งแปะประจบอ้อนตาใสเข้าใส่เสียทุกคราว นึกในใจยังไม่ทันเสร็จดี ก็เห็นลูกบังเกิดเกล้าโยนกระเป๋าไปไว้เสียทางหนึ่ง แล้วคลานปราดๆ มานั่งชิดพร้อมกับหอมแก้มตนไปอีกฟอดใหญ่

   “ชื่นนนใจ คุณแม่กำลังทำอะไรจ๊ะ”

   นี่อย่างไรเล่า ต่อให้ทำเสียงอึกทึก โยนข้าวของแล้วเยี่ยงไร เพียงมานั่งออดอ้อนคลอเคลียแม่อย่างนี้ ใครเล่าจะตัดใจเอ็ดเธอลง คุณมารตีถอนใจยาว พลางจุดเตาเล็กเตรียมเผาตะคันในมือให้ร้อนอีกคำรบแล้วอธิบายกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

   “แม่กำลังร่ำกำยานทำน้ำปรุงน่ะลูก พอดีเมื่อสี่ซ้าห้าวันก่อนผึ่งดอกไม้เตรียมไว้ทำบุหงารำไป เพื่อทำของชำร่วยแจกตอนช่วงที่คุณพ่อได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องทิศทางตลาดทองคำที่อิแทลี่น่ะจ้ะ ประธานสมาคมท่านเชิญมาเสียหลายรอบ คุณพ่อท่านก็บ่ายเบี่ยงมาเสียทุกครา ครั้งนี้จะปฏิเสธอีกก็ออกจะน่าเกลียด เลยตกปากรับคำไปร่วมงานเสียทีหนึ่ง ไหนๆ ไปแล้ว แม่จึงคิดว่าทำของฝากเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยก็จักเป็นการดี หนูกาลรู้หรือไม่ พวกฝรั่งตาน้ำข้าวน่ะชมชอบของประดิดประดอยพวกนี้นัก”

   ปากของคุณมารตีพูดอธิบายไป มือก็หยิบจับปากคีบหนีบเอาตะคันซึ่งเผาได้ที่ไปวางบนทวนโรยแก่นไม้จันท์เทศบดหยาบ กำยานป่น ผิวมะกรูด น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว ขี้ผึ้งแท้ขูด จากนั้นจึงหยดน้ำมันจันท์ลงไปผสม นำไปวางไว้ในโถน้ำปรุงที่ผ่านการร่ำควันเทียนมาแล้ว ๗ ตั้งแล้วจึงปิดฝา

   “อ๋อ... หนูเคยเห็น ที่เป็นดอกไม้แห้งๆ ใช่ไหมจ๊ะ เอาน้ำที่คุณแม่ว่าไปโรยๆ กะดอกไม้ใส่ถุงผ้าก็เป็นอันเสร็จ”

   “น้ำปรุงจ้ะ กว่าจะแล้วก็อีกนานอยู่หรอก ต้องร่ำกำยานทั้งหมด ๗ ตั้ง นี่แม่เพิ่งร่ำไปได้เพียง ๒ ตั้งหนาเจ้า พอได้น้ำปรุงเสร็จสรรพก็ต้องนำไปเคล้ากับกลีบดอกไม้แห้ง ปรุงด้วยน้ำปรุง ร่ำควันเทียน ใส่พิมเสนบด เยี่ยงนี้จึงจะแล้วเสร็จ”

   “นี่แค่น้ำปรุง!! ทำไมเห็นแค่ถุงเล็กๆ กรรมวิธีมันเยอะแบบนี้ล่ะจ๊ะคุณแม่”

   คุณมารตีแย้มยิ้ม ยกมือลูบผมของกาลอย่างอ่อนโยนแล้วค่อยบอกกล่าว

   “ของบางอย่าง หากเรามองเพียงแค่ผิวเผินก็แลเหมือนจะมิมีกระไรมาก แต่หากพินิจดูองค์ประกอบเล็กน้อยหลากกรรมวิธี ก็จักรู้ว่ากว่าจะเป็นอย่างที่เราได้เห็น ต้องผ่านความปราณีตบรรจงกันมาสักเท่าไร หนูกาลมองสิ่งใดต้องมองให้ละเอียดให้ลึกซึ้งหนา”

   “จ้ะคุณแม่” กาลพยักหน้ารับ แล้วไถลตัวลงนอนบนตักผู้เป็นมารดา

   “ขนาดถุงเล็กๆ ยังเตรียมการกันขนาดนี้ แล้วถ้างานใหญ่ๆ บ้านเราจะจัดการกันนานขนาดไหน”

   เสียงใสรำพึงเบาๆ แต่เรียกเสียงวี้ดว้ายจากคุณมารตีได้ทันที

   “ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย! แม่ลืมไปเสียสนิทใจเลยหนูกาล”

   กาลตกใจท่าทางเสียกิริยาของคุณมารตีจนศีรษะเกือบพลัดตกจากตักของผู้เป็นมารดา ได้แต่กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพับเพียบแล้วนวดเฟ้นแขนให้มารดา พลางออกปากหายาดมเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นคุณมารตีมีทีท่าตระหนกจนหน้าซีดปากสั่น

   “คุณแม่ คุณแม่จ๊ะ ใจเย็นๆ นะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คุณแม่ลืมอะไร ค่อยๆ นึก ค่อยๆ คิดแก้ไขจ้ะ”

   น้ำตาคุณมารตีเอ่อคลอเต็มสองตาอย่างรวดเร็ว มือเรียวประคองแก้มของบุตรชายแล้วได้แต่ส่ายหน้าพูดเสียงสั่นเครือ

   “โถ... ลูกแม่ แม่ขอโทษหนา พอเจ้าพูดถึงงานใหญ่ขึ้นมาแม่จึงเพิ่งนึกได้”

   “หรือว่า... “ แม่ปริกที่นั่งจ่อยาดมอยู่ใต้จมูกคุณมารตีถึงกับมือสั่นไปอีกคน ยิ่งเมื่อเห็นคุณมารตีพยักหน้ารับก็ยิ่งตระหนกเสียขวัญ

   “ตายแล้วๆ ลืมกันไปได้อย่างไรเสียสนิทใจ คุณหนูกาลเจ้าขา อย่าโทษคุณแม่ท่านไปเลย เป็นอีปริกผิดเอง ที่มิได้เอ่ยปากตักเตือน โธ่ถังกะละมังแตก ในหัวบรรจุแต่เรื่องไร้สาระกระไรอยู่หนา จึงลืมเลือนเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปเสียสิ้น”

   ปริกก่นด่าตนเองไป มือก็ทึ้งผมตนเองไป กาลได้แต่มองสองนายบ่าวด้วยความงงงวย

   “ดะ... เดี๋ยว นี่มันอะไรกันจ๊ะ หนูงงไปหมดแล้ว ลืมอะไรกัน แล้วทำไมต้องขอโทษหนูกันด้วย?”

   แต่หาได้มีใครฟังคำถามของกาลไม่ ผู้ใหญ่สองคนยังคงฟูมฟายกันต่อไป แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมีคนปิดสวิตช์ขึ้นมากะทันหัน คุณมารตีคว้าชายผ้าแถบแตะซับน้ำตา ขณะที่ปากก็เรียกบ่าวไพร่มานั่งรายล้อม นัยว่าเป็นการเบรนสตรอมรวบรวมความคิดที่ดีที่สุด แต่ละคนควักอุปกรณ์ชนวนแพด สมาร์ทโฟน ออกมาเลื่อนนิ้วกันปราดๆ หาข้อมูลกันให้จ้าละหวั่น ปล่อยกาลนั่งเหวอต่อไป

   “อิฉันว่าแถวๆ มัลดีฟน่าจะดีนะเจ้าคะ แถวนั้นเงียบสงบ คุณหนูเธอชอบความเป็นส่วนตัว”

   “ฮ้าย... แถวนั้นแดดแรงนัก เดี๋ยวผิวเธอได้ไหม้เสียหมดหรอก”

   “กระผมว่าปิดไทม์สแควร์ดีไหมขอรับ จะได้ดูอลังการ”

   “ไม่ๆๆ เอิกเกริกไป คุณหนูมิใคร่ชมชอบ”

   “ไปชิบุยะกันไหมเจ้าคะ ไปชมซากุระแถวริมแม่น้ำเมกุโระ”

   “หลงวันหลงคืนแล้วไหมหล่อน นี่มันเดือนอะไร ฤดูอะไรกันยะ จักให้ไปหาชมซากุระ ฉันว่าหล่อนอยากไปจับจ่ายแถวนั้น แล้วยกงานคุณหนูขึ้นมาบังหน้ามากกว่ากระมัง”

   เอ่อ... คนนั้นพูดไป คนนี้ท้วงมา พอจะมีใครอธิบายให้ไอ้กาลรู้เรื่องบ้างได้ม้ายยย กาลยกมือนวดขมับ เกร็งช่องท้องแล้วตะโกนทันที

   “หยุด!!”

   ได้ผล เมื่อเสียงฝูงนกกระจอกแตกรังเมื่อครู่ชะงักไปในบัดดล คนตะโกนถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะค่อยๆ ถามเสียงเบา เพราะเสียงตะโกนเมื่อครู่ทำเอาแต่ละคนนั่งนิ่งตะลึงลานไปกันหมด

   “ตกลงว่าลืมอะไรกันจ๊ะ ถึงได้วุ่นวายกันขนาดนี้”

   เสียงถอนหายใจเฮือกของบรรดาผู้ชุมนุม ทำให้รู้ได้ว่า เมื่อครู่ตอนที่กาลตะโกนออกไปอย่างเต็มเสียงนั้น ทุกคนต่างก็ตกใจ นึกว่าคุณหนูองค์ลงเสียแล้ว คุณมารตีลูบแขนบุตรชายพลางเอ่ยเสียงหวาน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม

   “ขอโทษหนาเจ้า แม่ลืมวันเกิดเจ้าไปได้กระไร”

   กาลนั่งอึ้ง ตกลงที่วุ่นวายนี่แค่ลืมวันเกิดนี่นะ ฝ่ายคุณมารตีเห็นบุตรชายนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาก็ยิ่งร้อนตัวกลัวบุตรชายจะพานโกรธเคืองตน รีบพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจเป็นการใหญ่

   “หนูกาลอยากให้จัดงานแบบใด ขอเพียงเอ่ยปากมา แม่จักสั่งการให้พวกเด็กๆ จัดการให้ลุล่วง ต่อให้ต้องทุ่มทรัพย์สินเท่าใด แม่ก็ไม่ว่า ถ้าเป็นความต้องการของลูกชายแม่แล้ว ต้องได้!!” ท้ายเสียงคุณมารตีฮึกเหิมประหนึ่งจะไปกอบกู้เอกราชก็ไม่ปาน

   “ก่อนอื่นนะ...”

   ภาพบ่าวทุกคนยกอุปกรณ์ไฮเทคส่วนตัวขึ้นเตรียมจดรับคำสั่งด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทำให้กาลอดที่จะหลุดขำไม่ได้กับความทุ่มเทระดับนี้

   “ใจเย็นๆ กันก่อนนะจ๊ะทุกคน คือ จะบอกว่าหนูไม่ได้โกรธเรื่องลืมจัดงานอะไรนี่เลยนะ เคยจัดงานยังไงแบบไหนก็จัดเถอะจ้ะ”

   กาลเห็นทุกคนชะงักไปก็นึกขึ้นได้จากคำโต้แย้งเมื่อสักครู่ ว่าเวลาจัดงานไอ้คุณหนูกาลคงจัดไม่ซ้ำกันแน่ๆ ตัวเขาเองเคยจัดที่ไหนล่ะไอ้งานวันกงวันเกิดเนี่ย หรูสุดๆ ก็ตอนหลวงตาให้ตังค์ไปซื้อเค้กเซเว่นแถวๆ วัดมาปักเทียนฉลอง ยังจำได้ว่าปีนั้นพรรคพวกเด็กวัดสนุกสนานครึกครื้นกันจะตาย แต่ที่สนุกที่สุดก็ตอนที่มีวันเกิดตรงกับงานวัดที่ทางวัดจัดขึ้นพอดีนั่นแหละ ทั้งของกิน ของเล่นในงานเล่นเอาไอ้กาลหูตาพร่าพราย ถึงจะได้แค่เดินดู ไม่ได้ซื้อของซักกะอย่างก็เหอะ...

   เดี๋ยวนะ... งานวัด

   “คือว่า... จะจัดงานยังไงก็ได้เหรอจ๊ะคุณแม่” กาลยิ้มประจบประแจงออเซาะคุณมารตีเต็มที่

   “ได้สิจ๊ะลูก หนูกาลประสงค์แบบใดขอให้บอกมาเถิด”

   นัยน์ตาวิบวับเป็นประกายเล่นเอาคุณมารตีขนแขนตั้งชันอย่างมิรู้สาเหตุ คงมิใช่อยากไปฉลองวันเกิดบนดาวอังคารดอกหนา คุณมารตีไล่เลียงรายชื่อคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในองค์กรนาซ่าแล้วก็เห็นว่ามีอยู่หลายคน เอ... แล้วค่าเช่ายานนี่มันซักกี่อัฐกี่เฟื้องกันเล่า จะให้ซื้อมาเลยก็เห็นจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เช่าเอาน่าจะเหมาะกว่ากระมัง

   “คุณแม่ คุณแม่จ๊ะ เหม่ออะไรอยู่ หนูถามว่าได้ไหมจ๊ะ”

   “ห๊ะ! กระไร ได้หรือมิได้กระไร ขอโทษทีเถิดหนา แม่มิทันฟัง”

   “หนูถามว่าจะจัดงานวันเกิดแบบงานวัดได้ไหมจ๊ะ หนูชอบบรรยากาศแบบนั้น ครึกครื้นดี มีทั้งของกินของเล่น แล้วเราก็ขนพวกพี่ๆ ไปให้หมดบ้านเลย คุณแม่ว่าดีไหมจ๊ะ”

   คุณมารตียิ้มหวานพลางพยักหน้า

   “ได้สิเจ้า จัดงานวัดมันจะกระไรนักเชียว ดีกว่าต้องเช่ายานอวกาศโขนะลูก”

   กาลทำหน้างุนงงกับคำว่ายานอวกาศของคุณมารตี ว่าจัดงานวันเกิดแบบงานวัด จะไปข้องเกี่ยวอะไรกับยานอวกาศได้ แต่สงสัยได้ไม่นานก็ออกปากถามเรื่องที่ตนกังวลอยู่มากกว่า

   “แล้ว... แล้วถ้าหนูจัดงานวันเกิดในวัด หลวงตา... เอ๊ย! ท่านเจ้าประคุณจะบ่นหนูไหมจ๊ะ”

   ..................................

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 27-10-2017 19:53:14
   “ฮ้าดดดดดด.... ชิ้ว”

   “อากาศกำลังเปลี่ยนกระมัง รู้สึกคันจมูกยุบยิบอย่างไรชอบกล ขนคอขนแขนก็ลุกกันซู่ๆ ดูท่าทางจะจับไข้หัวลมเสียแล้วหนา” ภิกษุชราแห่งวัดใหญ่พึมพำเบาๆ

   ..................................

   สีส้มนวลของหลอดไฟแรงเทียนสว่างไสวไปรอบบริเวณลานวัดอันกว้างขวาง ร้านรวงทั้งของกินแลของเล่นถูกจัดสร้างเป็นเพิงขึ้นภายในเวลากระชั้นชิด แต่ต่อให้มีเวลาน้อยสักเพียงใด ท่านอำนาจก็สามารถเนรมิตงานวัดขึ้นได้ราวกับเสก ที่ล่าช้าเห็นจะมีเพียงเจรจาขอพื้นที่จัดงานภายในวัดใหญ่นั่นแหละหนาที่ต้องเข้าไปอ้อนวอนท่านเจ้าประคุณอยู่เป็นนาน กว่าท่านจะยอมพยักหน้าตอบตกลงอย่างแกนๆ เพราะทนลูกตื๊อของท่านอำนาจและบทโศกน้ำตาแตกของคุณมารตีไม่ไหว อพิโธ่... ก็จะจัดงานธีมงานวัด ถ้าไม่จัดในวัด มันจะไปได้บรรยากาศกระไรได้

   หัวอกของผู้เป็นพ่อปลื้มปริ่มเหลือจะกล่าว เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าลูกชายที่ตาเป็นประกายด้วยความยินดี ดูท่าคงอยากแล่นเข้าไปในงานใจจักขาด ติดเพียงยังห่วงบิดามารดา เพราะดูท่าทางละล้าละลังมองทางเข้างานที มองมาทางตนที เฮ้อ... ลูกใครหนา ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง

   “เจ้าพุดเอ๊ย พาคุณหนูไปเดินเที่ยวไป อย่าลืมแลกอัฐตรงทางเข้างานเสียด้วยเล่า ประเดี๋ยวข้าจะพาแม่รตีไปนั่งชิงช้าสวรรค์เสียหน่อย จะได้ระลึกความหลังเมื่อครั้งยังหนุ่มยังสาว พวกที่เหลือก็แยกย้ายกันเดินดีๆ เล่า อย่าไปทำขายหน้าให้เสียชื่อคนในเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเทียวนะ”

   งานวันนี้มิได้มีเพียงคนบนเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเท่านั้น แต่รวมชาวเมืองเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลไปด้วย ทางเข้างานเริ่มต้นที่วัดใหญ่ จากนั้นก็เป็นร้านรวงยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา

   พุดพากาลแวะแลกอัฐที่ทางเข้าไว้จำนวนหนึ่ง ก่อนแจกจ่ายให้ทุกคนพกติดตัวไว้ กาลไม่ได้มีหน้าที่จ่ายเงินอยู่แล้วจึงไม่ได้รับแลก แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขอก้อนหินในมือของพุดมาดูอย่างนึกสงสัย

   “มีทำบรรยากาศย้อนยุคด้วยนะ ใช้ก้อนหินแทนเงิน ครีเอทสุด”

   กาลยกก้อนหินเล็กๆ ในมือขึ้นส่งไฟ จึงเห็นว่ามีสีชมพูอมม่วง มีประกายแทรกอยู่ในเนื้อหินเป็นสีขาวระยิบระยับ

   “ทับทิมดิบน่ะเจ้า สวยดีใช่ฤาไม่ เวลาเด็กๆ เล่นจับจ่ายซื้อของกันจักได้สนุก”

   “...”

   ให้ตายเหอะ ควรจะชินซะทีดีไหมไอ้กาล สะบัดหัวไล่ความรู้สึกรวยออกจากหัว แล้วตัดสินใจว่าวันนี้จะสนุกให้สุดเหวี่ยงเลย มือเรียวยาวขาวผ่องคว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือของพี่เลี้ยงส่วนตัวทันที พลางกระตุกเร่งยิกๆ

   “ไปเหอะพี่พุด โน่น... พี่ปริกหายไปแล้ว เรามัวแต่ชักช้า เดี๋ยวสนุกตามเขาไม่ทัน”

   “จะไปแถบใดก่อนล่ะเจ้า โซนของกินหรือโซนของเล่น” คิ้วเข้มโค้งขึ้นเป็นคำถาม

   “ไปยิงปืนก่อนเลยพี่พุด แล้วค่อยไปปาลูกดอกกัน มีบ้านผีสิงด้วย อันนั้นรอดึกๆ ค่อยเข้าจะได้น่ากลัวๆ หน่อย พวกม้าหมุนตัดไป หนูไม่ค่อยชอบ มีตักไข่นำโชคด้วยไหมพี่?”

   ประกายตาที่เต้นระริกล้อแสงไฟรับกันกับแก้มที่ขึ้นเลือดฝาดเพราะความตื่นเต้น ทำเอาพุดขยับมือรวบเข้าเกาะกุมกระชับมือของกาลอย่างแน่นหนาโดยไม่รู้ตัว หากจะถามหาเหตุผล พุดก็คงหามีให้ได้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจับยึดไว้ให้แน่น เพราะกลัวจะสูญเสียไปเพียงเท่านั้น

   “ไปเถิดเจ้า เที่ยวชมเสียให้ทั่ว หากหิวฤากระหายก็ให้บอกพี่ กะเดี๋ยวพี่จักพาไปซื้อหา”

   กาลพยักหน้ารับระรัว ก้าวขาออกเดินตามพุดต้อยๆ ระหว่างทางก็เห็นร้านขายอาหารที่เป็นหม้อดินเผาวางตั้งเรียงราย ที่นั่งด้านหน้าใช้ก้อนฟางแห้งอัดแท่งปูทับด้วยพรหมเปอร์เซียกันระคายเคืองผิวเป็นเก้าอี้ มีลูกค้านั่งกระจายกันอยู่ ในมือของแต่ละคนถือภาชนะกระทงใบตองใส่อาหาร อีกมือหนึ่งกำลังคีบเส้นเข้าปากกันอย่างเอร็ดอร่อย แม้ค้าในชุดโจงสีพื้นกับผ้าแถบสีน้ำตาลเห็นกาลมองมาก็พยักหน้ายิ้มให้ กาลสะกิดพี่พุดอย่างหมายมาดทันที

   “พี่พุดๆ เล่นเสร็จแล้วเราแวะมากินขนมจีนร้านนั้นกันนะ”

   “คุณหนูอยากรับขนมจีนฤาขอรับ โซนอาหารไทยต้องเดินอ้อมไปอีกทางค่อนข้างไกลอยู่สักหน่อย หากคุณหนูไม่อยากเดินไกล พี่จักไปหาซื้อมาให้นะเจ้า”

   “อ้าว! ร้านนั้นไม่ได้ขายขนมจีนเหรอจ๊ะ หนูเห็นเป็นเส้นๆ” กาลบุ้ยใบ้ให้พุดดู

   พุดส่ายหน้าอมยิ้มพลางเฉลย

   “โซนแถวนี้เป็นร้านขายอาหารอิตาลีน่ะเจ้า ที่คุณหนูเห็นน่าจักเป็นสปาเก็ตตี้คาโบนาร่ากระมัง”

   ไม่น่าถามเลย ถามไปให้อายเล่นอย่างนั้นเอง ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าจะถูกเสิร์ฟในกระทงใบตอง!!

   พุดพากาลแวะเข้าซุ้มโน้นออกซุ้มนี้อยู่เป็นนาน สองมือของพุดเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรังจากการละเล่นต่างๆ แต่ก็ยังก้าวเดินอย่างสบายๆ ผิดกับคนที่ตอนแรกกระตือรือร้นอยากเที่ยวเล่น ที่ตอนนี้มีสภาพเหงื่อท่วมกาย หน้าซีด เดินลากขาตามพุดอย่างช้าๆ เหมือนมีตุ้มเหล็กถ่วงอยู่ก็ไม่ปาน

   “พะ... พี่พุด กี่ทุ่มแล้วจ๊ะ... เดี๋ยวไปไม่ทันนัดกับพี่ปริก”

   “ใกล้สองยามแล้วขอรับ คุณหนูอดทนอีกนิดหนึ่งหนา เดินเลี้ยวอ้อมต้นไทรข้างหน้านั่นไปก็ลัดเข้าทางหลังวัดวัดใหญ่ได้เลยขอรับ”

   กาลหอบแฮ่กไปบ่นอุบอิบไป

   “พี่พุดน่าจะเตือนหนูหน่อย ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอน่าเกลียดตายเลย ยิ่งให้ท่านเจ้าประคุณรอด้วยแล้ว... ไม่อยากจะนึกเลยจริงๆ”

   คิดถึงสายตาของท่านเจ้าประคุณแห่งวัดใหญ่แล้ว กาลก็มีแรงฮึดจ้ำขาเดินได้เร็วขึ้น จนขึ้นมาเดินเคียงกับพุดที่ก้มหน้าลงแก้ตัวเสียงเบา

   “ก็พี่เห็นคุณหนูกำลังสนุก จึงอยากทอดเวลาให้คุณหนูได้เล่นนานขึ้นอีกหน่อยนี่ขอรับ”

   “พี่พุดตามใจหนูซะจนจะเสียคนอยู่แล้วนะพี่ อ๊ะ! ถึงแล้วๆ ไปเร็วพี่พุดพี่ปริกรออยู่”

   ภาพหญิงไทยไซซ์อวบจัดในชุดไทยดุสิตยืนซ่อนอยู่แถวบริเวณต้นโพธิ์ซึ่งบังเธอเกือบไม่มิด ทำเอากาลอยากหัวเราะแต่ก็เกรงใจสภาพทุลักทุเลของแม่ปริกที่โดนยุงกัดจนทั่ว เพราะต้องมาแอบซ่อนเค้กอยู่ตรงบริเวณนี้ เพื่อรอกาลตามที่ได้นัดแนะกันไว้

   “ถ้ากระผมมิได้นัดแนะกับแม่ปริกไว้ก่อน กระผมคงวิ่งหนีแทบไม่ทันเทียว นึกเยี่ยงไรมาแอบแถวต้นโพธิ์ขอรับ”

   “พี่พุด” กาลหยิกหมับเข้าที่ต้นแขนคนข้างตัวทันที เมื่อเห็นแม่ปริกเตรียมอ้าปากตอบโต้ ซึ่งคงกินเวลาโต้เถียงกันอีกนานเป็นแน่

   “รีบไปกันเถอะจ้ะพี่ปริก คุณพ่อกับคุณแม่อยู่กับท่านเจ้าประคุณใช่ไหมจ๊ะ”

   ปริกขว้างค้อนวงใหญ่ใส่พ่อพุด ก่อนจะรีบรายงานสถานการณ์ทันที

   “เจ้าค่ะ นี่ท่านเจ้าประคุณก็ยื้อแล้วยื้ออีก กลัวว่าท่านอำนาจกับคุณรตีจะกลับเสียก่อน คุณหนูพร้อมแล้วใช่ฤาไม่เจ้าคะ จะได้ให้เขาจัดการกันเลย”

   พูดจบก็รีบหันไปจิกตาใส่พุดให้รีบดำเนินการ พุดคว้าโทรศัพท์จากชายพกกรอกเสียงลงไปสองสามคำ รอเพียงไม่นาน บนท้องฟ้าที่มืดสนิทก็สว่างกระจ่างตาเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ไฟ

   ท่านอำนาจและคุณมารตีที่ตกใจเสียงพลุพลันวิ่งถลันออกมาจากในกุฏิของท่านเจ้าประคุณ ก่อนจะโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงดอกไม้ไฟเท่านั้น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบุตรชายถือเค้กก้อนใหญ่ปักเทียนสว่างไสวเดินเข้ามาหา

   “ขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่นะจ๊ะ ที่ให้กำเนิดหนู เลี้ยงดูหนูมา ถึงวันนี้จะจัดงานฉลองวันเกิดให้หนูย้อนหลังก็เถอะ แต่จริงๆ วันเกิดหนูก็ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ถึงจะถูก คือ... หนูก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้ เพราะพ่อกับแม่คงมีกันครบหมดแล้ว เค้กนี่พี่ปริกก็ทำ หนูแค่ถือเอามาให้เฉยๆ หนูมีแค่คำพูดแค่นั้นจ้ะ ขอบคุณพ่อกับแม่มากๆ นะจ๊ะ”

   คุณมารตีไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเทียนที่ส่ายไหว หรือน้ำใสๆ ที่เอ่อคลอกันแน่ที่ทำให้มองหน้าบุตรชายไม่ชัด เห็นเพียงรอยยิ้มขัดเขินขณะยื่นเค้กก้อนสีขาวขนาดไม่ใหญ่มาก ตกแต่งลวดลายประดับแต่เพียงเล็กน้อย ตรงกลางเป็นรูปหัวใจสองดวงที่มีลูกศรปักหัวใจทั้งคู่ไว้ด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี่ ด้านหนึ่งเขียนว่าอำนาจ ส่วนอีกด้านเขียนว่ามารตี ตรงกลางด้านล่างมีคำว่า ขอบคุณครับ เขียนด้วยลายมือโย้เย้ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าใครเป็นคนเขียนคำนี้

   ท่านอำนาจมือหนึ่งโอบประคองคุณมารตี ขณะที่มืออีกข้าง  เอื้อมไปลูบศีรษะบุตรชายด้วยความรู้สึกเต็มตื้น น้ำตารื้นที่หางตาด้วยความรู้สึกปีติที่ลูกแสดงความกตัญญู

   “นี่ถ้าข้าไม่เห็นแก่ความกตัญญูที่เอ็งอยากแสดงออกให้พ่อแม่รับรู้นะ ให้ตายข้าก็ไม่ยอมให้จัดงานในวัดหรอก วันพรุ่งนี้ทั้งพระทั้งเณรในวัดจะตื่นไปบิณฑบาตไหวหรือไม่ยังไม่รู้”

   สิ้นคำพูดของท่านเจ้าประคุณ สองผัวเมียก็ยิ่งปลื้มอกปลื้มใจกันเป็นการใหญ่ ที่ลูกชายถึงกับยินยอมเข้าวัดมาเองเพื่อขอร้องภิกษุชรา

   “เอ่อ... เราจะเลิกทำซึ้งแล้วตัดแบ่งเค้กกันเมื่อไหร่ดีจ๊ะ ดูซิ ครีมเริ่มละลายแล้วเนี่ย ส่วนหลวง เอ๊ย! ท่านเจ้าประคุณก็ไม่ต้องบ่นให้มากไปหรอกนะจ๊ะ รับรองหนูจะตัดแบ่งเค้กชิ้นที่ใหญ่ที่สุดให้ โอ๊ย!...”

   มะเหงกที่เขกลงบนหัวกาล ทำเอาเจ้าตัวร้องเสียงหลง คลำหัวป้อย พลางนึกบ่น ทำมาเป็นใช้กำลังกลบเกลื่อน จริงๆ อยากฉันแต่ฉันไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะอาบัติล่ะสิ ไอ้กาลรู้ทันหรอก!



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ที่จริงก็พยายามจะอัพถี่ๆ ค่ะ วอนใครก็ได้มาช่วยพี่ที ก็พี่มันตันนนนน ซิกๆๆ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


^-^♥►MAGNOLIA◄♥ ชอบบบบบบบบบบมากกกกกกกกเหมือนกันเวลาเจอเม้นท์ของคนอ่านค่ะ 55555 กระโดดกอดหลายๆ ที น้องกาลคนใหม่ไฉไลกว่าเดิมมมม ให้มันรู้ซะบ้างค่ะว่าใครเป็นใคร แสบขนาดไหน ลองถามท่านเจ้าประคุณดู  :laugh:
^-^about  :กอด1: :กอด1:
^-^♥lvl♀‘O’Deal2♥ ใช่ค่ะ บังอาจมาแตะต้องน้องกาล ต้องเอาให้เข็ด!  :m19:
^-^qq_oo มาแล้วค่าาา รวยแบบไม่เกรงใจคนเขียนและคนอ่านเลยค่ะ ถถถ อยากรวยแบบนี้บ้างงงง  :hao5:
^-^puiiz  :mew1: :mew1:
^-^benzdekba  :mew1: :mew1:
^-^Billie  :กอด1: :กอด1:
^-^poppycake  แปะมือ ตบบ่าด้วยความเข้าใจค่ะ อยากรวยด้วยยยยยยยยยยยยยย น้องกาลเวอร์ฯ ใหม่พิษเยอะขนาดไหนถามท่านเจ้าประคุณดูค่ะ ท่านรู้ซึ้งมาก  :laugh:
^-^alternative ความไฮโซนี้ ไปกลับแบบข้ามโลกเลยค่ะ ต่อให้อยู่เฉยๆ พี่พุดก็ยอมให้ซบแล้วค่ะ เอร๊ยยย อยากซบพี่พุดบ้าง :-[ :-[
^-^•♀NoM!_KunG♀• บันเทิงมากค่ะ อิจความไฮโซของบ้านนี้ ปล.คนเขียนหน้าตาดี มีผลต่อคนอ่านค่ะ  :hao7:
^-^หัวเเม่มือ ขอบคุณมากกกกค่ะ มาอ่านต่อนะคะ  :กอด1:
^-^benzdekba มาแล้วๆๆๆๆๆๆๆ มาอ่านต่อได้เลยค่าาาาา  :katai4:
^-^puiiz  คลานแข่งกันค่ะ  :katai5: :katai5: :katai5:

ขอบคุณทุกเม้นท์ที่มาให้กำลังใจนะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 27-10-2017 21:29:50
เฝ้ารอทุกวัน สุดท้ายก็มาอัพสักที ยาวสะใจมากขอแบบนี้ทุกตอน สู้ๆๆๆน้า โอม ตอนต่อไปจงมาเร็วๆๆเพี้ยง
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-10-2017 21:32:26
ก็แค่ทับทิมดิบ ของธรรมด๊า...ธรรมดาให้เด็กเล่น

สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะหนูกาล ขอให้ได้ขอให้โดน

อุ้ย! นี่ฉันอวยพรอะไรไป  :z1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-10-2017 22:23:45
หนูกาล สุดยอดดดดดด
เกือบได้ไปฉลองวันเกิดที่ดาวอังคารซะแล้ว

กาล น่ารักมากกกกกก
จะอยู่ที่ไหน กาลก็ดูเหมือนพอเพียง
ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อตามความมั่งคั่งร่ำรวยของ ศศ.เลย
แถมทำให้พ่อแม่มีความสุข คลอเคล้าคลอเคลีย ตลอด   
โดยเฉพาะพี่พุด แทบจะกลืนกินกาลซะให้ได้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-10-2017 09:33:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-10-2017 10:34:12
รื่นเรงบุนเทิงสุด

#งั้นไม่อ่านต่อละไม่ชอบคนหน้าตาดีฮ่าาๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-10-2017 13:43:02
พ่อกับแม่หวานมากกกกกกก
พี่พุด รักนี้มันแน่นนนอก ชิมะ
น้องกาล ซึนเสมอต้นปลาย

 :L2: :pig4: :L1:
คนเขียนจะสวยมากกว่านี้อีกถ้าขยันลงบ่อยๆนะ อุอิ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-10-2017 20:46:05
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 28-10-2017 23:45:16
ถ้าท่านแม่จะถึงขั้นจัดงานวันเกิดที่ดาวอังคาร...
ก็อยากจะให้เชิญน้องไปด้วยนะเจ้าคะ...>\\\\<
แต่พี่พุดของเรานี่หยอดตลอดๆๆๆ หยอดน้อยๆ แต่อาศัยหยอดบ่อยๆ และเนียนมากมาย 555555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-10-2017 06:26:23
เพิ่งเข้ามาเจอ เรื่องแฟนตาซีมากค่ะ เป็นการย้อนยุคที่ตลกมาก ทั้งคุณมากคุณจอบมาหมด 5555555 กาลน่ารักมากๆเลยค่ะ แทนตัวเองว่าหนูยิ่งน่ารัก พ่อกับแม่ก็น่ารัก คิดว่าน่ารักกันทั้งประเทศนี้เลย ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ ติดตามตอนต่อไปค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 29-10-2017 22:10:57
ชอบนายเอกพูดจ๊ะจ๋าจัง น่าร้ากกก   :-[
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 30-10-2017 09:37:37
55555 เรื่องนี้สนุกมาก
อ่านตอนแรกนึกว่าแค่ย้อนเวลาเฉยๆ
นี่ย้อนเวลาแบบแฟนซีสุดๆ หนูกาลรวยเกิ้นนน ยอม
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-10-2017 09:49:04
ทะเล้นเหลือเกินนะกาล พี่พุดคงอยากฟัดวันละหลายที ฮา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 01-11-2017 01:11:33
อิชั้นหลงมาอ่านเจ้าค่ะ แล้วก็หาทางออกไม่ได้อีกเลย หลงรักหนูกาลมากกก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 5 @งานวัดเกิด - รู้สึกมีความสุข (27/10/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 01-11-2017 15:07:42
รอเจ้าค่ะ
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 03-11-2017 20:06:53
บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ

   “เป็นกระไรหรือขอรับคุณหนูกาล”

   คนถูกทักเบือนหน้ามามองนิดหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองแสงสีอมส้มยามพระอาทิตย์ตกดินต่อ ปากขยับตอบเบาๆ เพียงว่า

   “เบื่อ”

   ท่าทางจะเบื่อถึงขีดสุดละกระมัง พุดคิดขณะเคลื่อนตัวเข้าไปยืนด้านข้างของคนที่นั่งห้อยเท้าตรงนอกชานเล่น ท่านั่งหลังค้อมไหล่ตกดูซึมเซาอย่างเห็นได้ชัด

   “จะรับขนมข้าวต้มไหมขอรับ เดี๋ยวพี่ไปถามในเรือนครัวให้”

   “ไม่ล่ะพี่พุด วันๆ ตื่นมาแล้วก็นอน จะทำอะไรก็มีคนคอยแย่งทำไปหมด พี่พุดไม่ต้องแปลกใจเลยนะ ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วเห็นหนูขยับตัวไม่ได้เพราะว่าง่อยกินเนี่ย” กาลส่ายหน้าจนผมกระจาย พลางระบายความอึดอัดให้พุดฟัง

   นึกย้อนไปถึงกิจวัตรประจำวันแล้วได้แต่ปลง เป็นคุณหนูกาลก็ดีตรงกินก็อิ่ม นอนก็อุ่น แต่เสียตรงที่ถูกยกไว้ขึ้นหิ้ง จะหยิบจะจับอะไรก็มีคนถลาเข้ามาทำแทนทุกอย่าง ยิ่งตอนนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนด้วยแล้วก็ยิ่งไม่มีอะไรทำ

   ส่วนสาเหตุที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วน่ะเหรอ แน่นอนว่าเป็นเพราะไอ้เจ้าอัลเบิร์ตอะไรนั่นแหละ ดันไปขอรับผิดกับพ่อของตัวเองเพราะกลัวจะถูกตัดออกจากกองมรดก ทางนั้นเลยมีการขอขมาลาโทษกันเป็นการใหญ่ ทีนี้ด้วยความเป็นห่วง ‘หนูกาล’ ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลจะโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจ จึงงดเว้นไม่ต้องไปโรงเรียนด้วยประการฉะนี้

   พุดทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนที่เอนตัวลงนอนกับพื้นไม้กระดานไม้สักขัดมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ทอประกายเศร้าซึมจนพุดนึกสงสาร

   “คืนนี้ข้างแรม”

   หือ... กาลพลิกตะแคงตัวมามองหน้าคนพูดทันที อะไร ยังไง ข้างแรมแล้วมันเป็นยังไงล่ะ จ้องหน้าคนที่เอ่ยปากแล้วอยู่ก็หยุดพูดไปซะเฉยๆ แล้วก็ขัดใจ

   “อ้าวพี่พุด ไอ้พูดลอยๆ งี้หมายความว่าไงล่ะ ให้ไวพี่อย่ามัวมาอมพะนำ วัยรุ่นใจร้อน บอกมาๆ ข้างแรมทำไมล่ะพี่”

   ก็แล้วมานอนจ้องเขาตาแป๋วแบบนี้จะให้พี่ชวนเยี่ยงไรเล่าเจ้า พุดได้แต่นึกขัดเขิน ใบหน้าคร้ามคมเริ่มปรากฏริ้วสีแดงที่ข้างแก้มอย่างทนเก็บอาการไม่อยู่ นั่งอึกๆ อักๆ อยู่เป็นนานพุดก็ไม่ยอมบอกสักที จนกาลต้องลุกมานั่งจ้องหน้าอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

   “พูด... มา... พี่... พุด!”

   “กะ... ก็ ก็คืนนี้เป็นคืนข้างแรม หากคุณหนูรู้สึกเบื่อหรือมิมีสิ่งใดทำ พี่ก็อยากจะชวนคุณหนูไปพายเรือชมหิ่งห้อยที่แถวโค้งน้ำท้ายคลองน่ะขอรับ”

   พอโดนกดดันมากๆ เข้า จากที่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก พุดก็รัวคำตอบเป็นข้าวตอกแตกทันที หลังสิ้นสุดคำพูด กาลก็ส่ายหน้าบ่นทันที

   “ก็เท่านั้นล่ะ กว่าจะพูดได้... เดี๋ยว! พี่ว่าอะไรนะ”

   อาการเกาะแขนเขย่าแล้วมองหน้าด้วยตาเป็นประกายอย่างคนมีความหวัง ทำให้พุดอมยิ้ม พลางคิดว่าช่างน่าเอ็นดูเสียจริง เหมือนเด็กเล็กๆ ขอลูกกวาดก็มิปาน

   “พี่ว่าจักชวนคุณหนูไปดูหิ่งห้อยกันคืนนี้ คุณหนูจักได้หายเบื่อ ดีไหมขอรับ”

   “ดีสิพี่พุด ว่าแต่ไปตอนไหน หนูจะได้เตรียมตัว”

   เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วๆ ก่อนบอก

   “มิต้องเตรียมตัวกระไรดอกหนา เตรียมแต่ใจไปสนุกแค่นั้นก็พอแล้ว ส่วนที่ว่าจะไปเพลาใดดีนั้น พี่ว่ารับสำรับเย็นเสร็จ รอย่อยสักครู่ แล้วค่อยออกเดินทางดีหรือไม่ คุณหนูคิดเห็นเป็นประการใดขอรับ”

   “จะคิดเห็นอะไรได้ล่ะพี่พุด หนูน่ะผู้ตาม พี่น่ะผู้นำ พี่พุดมีหน้าที่คิดก็คิดไปเถอะ”

   “ก็แล้วถ้าหากสิ่งที่พี่ ‘เฝ้าคิด’ เป็นสิ่งที่คุณหนูมิได้คิดเห็นตรงกันเล่า จะให้พี่ทำเยี่ยงไร”

   “หา... “ กาลทำหน้างุนงง

   “พี่พุดพูดอะไรวกไปวนมา คิดไม่คิดอะไรหนูไม่รู้ล่ะ หนูรู้แต่คืนนี้หนูจะได้ไปเที่ยว ชะเอิงเอย...”

   อาการกระดี๊กระด๊าผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนทำให้พุดส่ายหัว เออหนอเด็กน้อยของพี่ ใจง่ายแบบนี้ ใครเอาของกินของเล่นมาล่อ เจ้ามิแล่นตามเขาไปหมดหรอกรึ เมื่อก่อนพุดเคยบูชาในความหยิ่งยโสของคุณหนูกาลเธอนัก แต่มาเดี๋ยวนี้ กลับนึกหลงใหลในความเดียงสาแบบนี้ของเธอมากกว่า

   ด้วยความดีใจที่จะได้เที่ยวเล่น ทำให้กาลรีบลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องเซเกือบล้มหน้าคะมำ ดีที่พุดตาไวคว้าประคองเอวไว้ได้ทันท่วงที

   “หน้ามืดหรือขอรับ นั่งลงก่อนเถิด อย่าลืมสิว่าร่างกายของคุณหนูมิใคร่แข็งแรงมากนัก”

   กาลพยักหน้ารับ ฝืนยิ้มขอโทษส่งให้พร้อมกับหลับตาลงเมื่อเริ่มรู้สึกเหมือนเห็นจุดสีขาวดำพร่าเต็มไปหมดทั้งสองตา ขาทั้งคู่ย่อลงอย่างอ่อนแรง โดยมีพุดช่วยพยุงให้ค่อยนั่งลงพิงซบบ่าของตนไว้

********************************************************************************

   “ลูกกำพร้าเยี่ยงเอ็ง ข้าให้เข้ามาร่วมเป็นสมัครพรรคพวกก็ดีถมไปละ ใช้ให้ไปซื้อยาสูบแค่นี้ ทำเป็นมามองตาขวาง หากเอ็งไม่พอใจ เอ็งก็ไสหัวไปเสีย อย่ามายืนเกะกะขวางทางข้า”

   พุด เด็กหนุ่มในวัย ๑๕ ปี ยืนจ้องพวกกลุ่มเด็กรุ่นๆ ที่มีอายุไล่เรียงกันด้วยความโมโห มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นเป็นริ้ว ในชีวิตของพุดเกลียดนักก็คือการโดนว่าว่าเป็นลูกกำพร้า ซึ่งข้อนี้ต่อให้เจ็บใจแค่ไหน ตัวเขาก็กลับไปแก้ไขไม่ให้พ่อแม่ตายไม่ได้ ส่วนอีกข้อที่จะเกลียดที่สุดก็คือการเป็นขี้ข้า ด้วยเกิดมาก็ต้องถูกสถานะบ่าวในเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลครอบหัวอยู่ ไม่รู้จะต้องจงรักภักดีกระไรกันหนักหนา แต่ละคนก็มีวิชาความรู้ติดตัว ทำไมไม่ออกจากเรือน จากเมืองบ้าๆ นี่ไปมีชีวิตของตัวเองกันก็ไม่รู้

   ตัวเขาอยากจะเป็นตัวของตัวเอง อยากได้รับการยกย่องชมเชยในฐานะของไอ้พุดเอง หาใช่ถูกชื่นชมบูชาในเรื่องที่ตนเป็นบ่าวในเรือนเศรษฐฯ ไม่ การเป็นบ่าวก็เหมือนกับการเป็นข้อด้อยของเขาไม่ใช่ข้อดีอย่างที่ใครๆ ในชาวเมืองคิด พุดจึงไม่เคยปริปากบอกผู้ใดว่าเป็นคนของเรือนเศรษฐฯ

   แล้วดูไอ้พวกเด็กเหลือขอพวกนี้สิเล่า มันมาตีถูกขนดหางเขาด้วยการใช้กันเป็นขี้ข้าให้ไปซื้อข้าวของ ซ้ำด้วยการชี้หน้าด่าว่าเป็นลูกกำพร้าอีกคำรบ ถ้าวันนี้ไม่ได้ฟาดปากเอาเลือดชั่วมันออกมาก็อย่ามาเรียกกันว่าไอ้พุดเลย ไอ้ที่ยอมมาอยู่กับพวกมันก็เพราะต้องการให้ตนเองโดดเด่น ทั้งเรื่องเหล้ายา การพนัน ตีรันฟันแทงใดๆ ไอ้พุดล้วนเป็นเอกทั้งสิ้น ถึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งมิใคร่ดีงาม แต่ทิฐิในใจของการอยากถูกยอมรับก็ทำให้พุดตัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทิ้งไป

   “ใช่ว่าข้าอยากอยู่ร่วมกับพวกเอ็งนัก หลายหนที่พวกเอ็งเอาเปรียบข้า คนเหมือนกันแท้ๆ ดันมาแบ่งชนชั้นวรรณะ ข้าไม่ใช่ลูกกระจ๊อกให้พวกเอ็งจิกหัวใช้นะโว้ย มาไอ้ยักษ์ วันนี้ข้าจะดวลกับเอ็งให้รู้ดำรู้แดงกันไป จะตัดเพื่อนกันก็ยอมล่ะวะ”

   “ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะของไอ้ยักษ์ เด็กหัวโจกร่างใหญ่สมชื่อยักษ์ที่ยืนแหกปากฟังดูน่าโมโห เพราะนอกจากจะหัวเราะเยาะแล้วยังยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนอีกด้วย

   “เฮอะ แล้วใครคิดว่าเอ็งเป็นเพื่อนกันเล่าไอ้พุด ทุด!! ตัวเท่าเมี่ยงยังมาทำกร่าง เอาเว้ยพวกเรา วันนี้รุมเตะเด็กเล่นแก้เหงากันโว้ย” จบคำพูดของหัวโจก เด็กลูกน้องอีกสามสี่คนก็สะบัดคอหักข้อนิ้วค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามา

   “ไอ้พวกหมาหมู่... เข้ามาพร้อมๆ กันเลยก็ดี ข้าจะได้จัดการเสียทีเดียว”

   “ปากดีนักนะเอ็ง”

   ผลัวะ!! หมัด เท้า เข่า ศอกของทั้งหกคนผลัดกันประเคนใส่กันอย่างหนักหน่วง ข้างฝ่ายพุดต่อให้เก่งแค่ไหนก็มีเพียงคนเดียว ไหนเลยจะปัดป้องได้ตลอดรอดฝั่ง ทั้งร่างไม่มีที่รอดจากการปะทะกันไปได้สักจุด ขณะที่กำลังพัวพันกันอย่างดุเดือดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคล้ายคำว่าอย่าหรือหยุดอย่างใดสักอย่าง หากมิมีใครคิดสนใจฟังให้เสียเวลา

   ซ่า!!

   น้ำเย็นจัดถูกสาดราดรดกันถ้วนหน้า วูบแรกคือตกตะลึง วูบถัดมาคือความโกรธเกรี้ยวที่ดันมีคนมาขัดจังหวะ และอารมณ์ในวูบสุดท้ายคือความตะลึงลาน เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือคุณหนูของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล

   คนอื่นอาจกลัวในอำนาจบารมีและบุญคุณที่ท่วมหัวท่วมหูของเรือนเศรษฐฯ แต่ไอ้พุดไม่เคยเกรงเลยแม้แต่นิดเดียว ได้แต่มองผ่านคุณหนูกาลของบ้านที่อายุราว ๗ – ๘ ปี ที่อยู่ในชุดโจงกระเบนสีแดง เสื้อคอกลมสีขาวเกล้าจุกร้อยมาลัยประดับปิ่นทองฝังเพชรล้อแสงอาทิตย์แพรวพราว ใบหน้าอ่อนใสของเด็กน้อยเชิดขึ้นมองมาอย่างสนใจในเหตุการณ์ตรงหน้า พุดมองเมินอย่างไม่สนใจ แต่ที่ทำเอาต้องหลบสายตาแทบไม่ทันก็คือผู้ที่ตามคุณหนูมาทางเบื้องหลังนั่นต่างหาก

   “ตา... ตาชด” พุดครางเสียงสั่น ตาหรุบลงต่ำ จึงได้เห็นถังน้ำขนาดใหญ่ในมือของผู้เป็นตา นี่สินะความเปียกชื้นที่มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว

   ผู้เป็นตาโมโหจนแทบจะกรากไปลากตัวหลานมาสั่งสอนให้เข็ดหลาบ หากก็ได้แต่ระงับอารมณ์โดยการบีบถังน้ำในมือจนเกิดเสียงปริแตกดัง เปรี๊ยะ! เบาๆ เพราะต้องคอยยืนทำหน้าที่อารักขาคุณหนูกาลก่อน

   “ทำกระไรกัน”

   เสียงใสของเด็กน้อยเอ่ยถาม ผิดแต่ว่าเสียงของเด็กคนนี้มีความเย็นเยียบติดจะเฉยชาอย่างไรบอกไม่ใคร่ถูก กลุ่มเด็กหนุ่มรุ่นกระทงมองหน้ากันไปมาแล้วได้แต่ก้มหน้าลง สองมือประสานไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยหากแต่ไม่กล้าพูดอะไรกันสักคน

   “คุณหนูถาม ไม่ได้ยินรึ” เสียงห้าวของตาชดก้องกังวาน ทำให้กลุ่มนักเลงตัวร้ายเมื่อสักครู่ยิ่งก้มหน้าชิดจรดอกตัวสั่นพั่บๆ กันเป็นการใหญ่ อย่าไปถามหาความเก่งอย่างเมื่อครู่เลย แม้กระทั่งจะอ้าปาก ยังไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย ใครก็รู้ว่าคุณชดแห่งเรือนเศรษฐฯ เป็นทหารมือ ๑ ของหน่วยซีล ผ่านการฝึกแบบบ้าระห่ำขนาดนั้นมาแล้ว รับรองได้ถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างดี แล้วกะอีแค่กลุ่มวัยรุ่นเหลือขออย่างพวกเขา จะครณามือของคุณชดกระนั้นหรือ เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ชดจึงเบนสายตาไปที่หลานชายคนเดียวแล้วจ้องเขม็ง

   “ก็แค่ชกต่อยกัน... เพียงเท่านั้น”

   “หนูเห็นอยู่ว่ามีเรื่องชกต่อยกัน ตามิได้บอดเสียหน่อย แต่ที่อยากรู้น่ะคือสาเหตุว่าชกกันทำไมต่างหาก”

   “ก็พวกมันเห็นกระผมเป็นขี้ข้า ไม่ได้เห็นเป็นพวกพ้องก็เลยฟาดปากกันก็แค่นั้น”

   “ไม่ชอบเป็นบ่าวรึ” คุณหนูกาลทำหน้าสงสัย พลางหันไปเอียงคอถามตาชด

   “คนนี้มิใช่หลานตาชดหรอกหรือ” พอเห็นตาชดพยักหน้ารับคุณหนูกาลก็รีบพูดต่อ

   “ในเมื่อเป็นลูกหลานของชดก็แสดงว่าเป็นบ่าวไพร่ของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลมาตั้งแต่เกิดแล้ว จะมาบอกว่าพี่มิได้เป็นบ่าว ไม่ชอบเป็นบ่าวได้เยี่ยงไร”

   จบคำพูดของคุณหนูกาล พวกนักเลงหัวไม้ที่มีเรื่องกันกับพุดต่างตาเบิกค้าง ได้แต่อุทาน ฉิบหายแล้ว อยู่ในใจ คนทั้งกลุ่มมองหน้ากันไปกันมา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาถอยหลังทีละก้าวสองก้าวอย่างช้าๆ เมื่อเห็นคนทางเรือนเศรษฐฯ มิได้สนใจพวกตนก็ทยอยวิ่งโกยอ้าวกันอย่างไม่คิดชีวิต

   ส่วนพุดส่งประกายตาดุดันขึงใส่เจ้าตัวเล็กที่พูดเจื้อยแจ้วประกาศเรื่องตนเป็นบ่าวในเรือนออกมาหน้าตาเฉย อุตส่าห์ปิดบังมาได้ตั้งนาน ไอ้คุณหนูผิวบางนี่ทำเสียเรื่องหมด ยิ่งคิดพุดก็ยิ่งหงุดหงิด

   “ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ได้อยากจะไปรับใช้เจ้านายทั้งหลายบนเรือนแม้แต่น้อย”

   “ไอ้หลานไม่รักดี” เสียงของชดตวาดด้วยความเดือดดาล

   “ใครมันสั่งมันสอนให้เอ็งคิดเยี่ยงนี้ วันนี้ถ้าไม่เอาเลือดหัวเอ็งออกก็คงผิดต่อคุณท่านทุกรุ่นของเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลแล้ว”

   ชดย่างสามขุมเข้าหาหลานในไส้ด้วยหน้าตาถมึงทึง ฝ่ายเจ้าหลานตัวดีก็เงยหน้าขึ้นจ้องสบตาผู้เป็นตาอย่างท้าทาย เท่านั้นเองเส้นประสาทของชดก็ขาดผึงกระโจนเข้าหาพร้อมด้วยกำปั้นทันที

   “เดี๋ยวตาชด!”

   คุณหนูกาลกระโดดเข้าขวางเบื้องหน้าของพุดพร้อมกับคำตะโกนห้ามปราม หยุดยั้งไม่ให้หมัดผู้เป็นตากระทบโดนตัวหลานในไส้ได้ทัน แต่ทว่าแขนขาวผ่องเล็กจ้อยของเด็กน้อยกลับเป็นฝ่ายรับเคราะห์แทน ดีที่ตาชดยังออมแรงได้ทัน แต่กระนั้นก็ยังเกิดรอยช้ำเป็นปื้นวงใหญ่บนต้นแขนของร่างเล็กทันที

   “คุณหนูกาล!”

   สองเสียงประสานเรียกคุณหนูของบ้านด้วยความตกใจ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ชดรีบถลาเข้ามาประคองเตรียมอุ้มกาลกลับเรือนทันที แต่เด็กน้อยกลับห้ามไว้ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดจนหน้าตาแดงก่ำไปหมด ก่อนจะฝืนพูดกับพุดที่ยืนนิ่งมองมาตาค้าง

   “มิอยากรับใช้เจ้านายหลายคนใช่หรือไม่ เยี่ยงนั้นจงมาเป็นคนของหนู รับใช้หนูเพียงแต่หนู พี่คิดว่ากระไร?”

   พุดมองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความมึนงง ความเป็นคนของเรือนเศรษฐฯ จะให้เยี่ยงไรก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เหตุใดคุณหนูกาลจึงเอาร่างมาบังไว้ด้วย ตัวเธอก็น้อยเพียงเท่านี้ คงเจ็บยิ่งกระมัง ยังจะฝืนมากล่าววาจาจะรับตนไว้ให้มีนายเพียงคนเดียวอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตาชดโกรธหรือเพราะคนตรงหน้าต้องเจ็บตัวในเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้พุดค่อยๆ คลายทิฐิลง

   “เอ็ง... เอ็ง กลับเรือนไปข้าจะเฆี่ยนให้หลังยับเลยคอยดูเถอะ” ตาชดชี้นิ้วอันสั่นระริกใส่พุด

   “ได้เยี่ยงไร พี่เขาทำหนูเจ็บ ต้องเป็นหนูเป็นคนทำโทษถึงจะถูก ตาชดจะมาแย่งหนูทำโทษไม่ได้หนา”

   น้ำเสียงกระเง้ากระงอดมาพร้อมกับท่าทางออดอ้อน เล่นเอาชดใจอ่อนยวบ ยอมให้คุณหนูกาลเป็นคนทำโทษเอง

   “คุณหนูตีแรงๆ นะขอรับ ตัวคุณหนูมีนิดเดียว ตีไม่หนักกะเดี๋ยวมันไม่หลาบจำ แหม่... พูดแล้วคันเขี้ยว อยากจะฟาดมันเองสักหลายๆ ที”

   เพี๊ยะ!

   ริ้วแดงเป็นรอยฝ่ามือขนาดเล็กขึ้นสีบนแก้มข้างซ้ายของพุดทันทีที่เสียงเนื้อถูกกระทบสิ้นสุดลง จะว่ามิเจ็บเลยก็คงไม่ใช่ แต่หากเปลี่ยนเป็นตามาเป็นผู้ลงมือแล้ว ความเจ็บระดับนี้เรียกว่าเล็กน้อยนักเทียว พุดยกมือขึ้นกุมซีกหน้าด้านซ้ายไว้พลางมองคุณหนูกาลตรงหน้าที่ยิ้มแฉ่งแล้วเอ่ยเสียงใส

   “หนูเป็นนายของพี่พุดได้คนเดียว เพราะฉะนั้นหนูเลยมีสิทธิ์ทำโทษพี่พุดได้คนเดียวใช่ไหมจ๊ะ”

   พูดจบก็หันไปหัวเราะคิกคักกับตาชดแล้วออดอ้อนให้พาไปใส่ยาบนเรือนที เพราะรู้สึกเริ่มระบมที่ต้นแขนขึ้นมาตงิดๆ แล้ว

   พุดยืนมองร่างเล็กที่เดินจากไป ในหัวอกมีความรู้สึกพลุ่งพล่านแปลกๆ หัวใจเต้นระทึกอึงอล ภายใต้ฝ่ามือที่กุมใบหน้าไว้เริ่มรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของตราประทับของเจ้านายตัวน้อยที่ลวกอยู่บนผิวแก้ม และถึงแม้รอยฝ่ามือนี้จะจางและหายไปภายในเวลาไม่กี่วัน แต่กลับประทับแน่นในความทรงจำไม่รู้ลืม

********************************************************************************

   “คุณหนูกาล คุณหนูขอรับเป็นเยี่ยงไรบ้าง คุณหนูอยู่คนเดียวสักครู่ได้ฤาไม่ ประเดี๋ยวพี่จะไปตามบ่าวคนอื่นให้โทรหาคุณหมอให้นะขอรับ เพลานี้น่าจะยุ่งอยู่ในเรือนครัวทำสำรับเย็นกันอยู่”

   เสียงร้อนรนของพุดทำให้กาลกระพริบตาปริบ พลางมองหน้าคนที่ดูจะกังวลจนเสียกิริยา พยายามสะบัดหัวไล่ความมึนงงจากความทรงจำของไอ้คุณหนูกาลที่มักจะฉายพาดผ่านมาให้เห็นเป็นระยะๆ อยู่เสมอ ก่อนจะแกล้งหัวเราะ แล้วพูดสัพยอกให้พุดคลายกังวล

   “พี่พุดลืมไปแล้วหรือเปล่าจ๊ะ ว่าพี่ก็พกโทรศัพท์ติดตัวไว้กับเขาเหมือนกัน ถ้าจะโทรจริงๆ พี่ก็โทรเองได้ แต่ไม่ต้องตามหมอหรอกจ้ะ หนูแค่หน้ามืดนิดเดียวเอง นั่งพักอีกแป๊บนึงก็หายแล้วล่ะ”

   กาลนั่งนิ่งๆ อยู่สักครู่ คิดทบทวนความหลังก็ให้ยิ่งแปลกใจ ตอนเด็กๆ ไอ้เจ้าคุณหนูกาลก็ดูนิสัยดีนี่หว่า แต่ทำไมโตขึ้นถึงได้เอาแต่ใจจนน่าเตะ จึงแอบเลียบๆ เคียงๆ ถามเอากะแหล่งพักพิงข้างตัว

   “นั่งเฉยๆ ก็เบื่อเนอะพี่พุด เอาอย่างนี้ดีกว่าอยู่ว่างๆ พอดี พี่เล่าเรื่องตอนที่ได้เจอหนูครั้งแรกให้ฟังหน่อยสิจ๊ะว่าหนูเป็นยังไงบ้าง”

   พุดมีท่าทางงุนงง แต่ก็อมยิ้มยอมเล่าให้ฟังแต่โดยดี สีหน้ายามระลึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น

   “อืม... ตอนที่พี่เจอกับคุณหนูคราแรกนั้น คุณหนูยังเล็กอยู่เลย น่าจะราว ๗-๘ ขวบได้กระมัง ส่วนตัวพี่นั้นไม่อยากจะพูดถึงเลย”

   “ทำไมล่ะ พี่พุดเป็นยังไงจ๊ะตอนนั้น”

   “ก็เป็นประเภทยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลน่ะขอรับ ถ้าให้ว่ากันตามหลักวิชาการก็เพราะฮอร์โมนวัยรุ่นมันพลุ่งพล่าน ชอบทำตัวประชดชีวิต ท้าตีท้าต่อยกับคนอื่นเขาไปทั่ว ตอนคุณหนูมาเจอพี่ เอ่อ... พี่ก็กำลังมีเรื่องทะเลาะต่อยตีอยู่นั่นแหละขอรับ”

   กาลแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ย้อนถามเสียงสูง

   “พี่พุดเนี่ยนะ”

   ใบหน้าคมหรุบตาลงทำเป็นไม่กล้ามองสบตา แต่ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวคงเขินอายอยู่ไม่น้อย เมื่อพูดถึงข้อเสียของตนเองเมื่อสมัยยังเป็นวัยรุ่น ถ้าเป็นโลกที่กาลอยู่ใบเดิมนี่ต้องเรียก ‘พุด ฮอร์โมน’ กันเลยทีเดียว (อย่าไปบอกพี่พุดนะ... หนูว่าพี่พุดหล่อกว่า ต่อ ฮอร์โมนอีก - กาล)

   “พี่ว่าข้ามเรื่องของพี่ไปเรื่องของคุณหนูดีกว่าขอรับ คุณหนูตอนเด็กๆ น่ารักมาก อย่างกับตุ๊กตา นิสัยก็น่ารักนะขอรับ รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ช่างพูดช่างเจรจานักเทียว”

   “แล้วทำไมพอโตมาถึงได้ชอบทำตัวเหินห่างกับคนอื่นในบ้านล่ะจ๊ะ แถมยังชอบใช้กำลังทุบตีบ่าวในบ้านอีก ได้ข่าวว่าที่สลบไปสามวันจนความจำเสื่อมนี่ก็เพราะไปเล่นงานพี่ปริกแล้วแย่งชิงมะยมแช่อิ่มมากินใช่ไหมจ๊ะ”

   พุดรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ที่เห็นคุณหนูกาลพูดถึงตนเอง แต่ทำเหมือนพูดถึงคนอื่น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก็เธอความจำเสื่อมนี่นา จะให้วิจารณ์นิสัยของคุณหนูต่อหน้าคุณหนูตัวเป็นๆ พุดก็เริ่มติดอ่างอึกๆ อักๆ ขึ้นมาเหมือนกัน

   “พูดมาเถอะจ้ะพี่พุด นะๆ เล่าให้ฟังหน่อย หนูไม่โกรธหรอกจ้ะ ก็หนูจำไม่ได้นี่นา นะ นะ... น้า”

   เฮ้อ... พุดได้แต่ลอบถอนหายใจในอก ก็เป็นเสียเยี่ยงนี้ ช่างออดอ้อนนักแล จะให้พี่ปฏิเสธได้กระไร

   “ก็ความที่คุณหนูน่ารักมากนี่แหละขอรับ ไม่ว่าจะทำอะไรใครๆ ก็เห็นดีเห็นงามไปหมด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะผิดหรือจะถูกก็กลายเป็นถูกต้องที่สุดเสมอถ้าเป็นความคิดเป็นการกระทำของคุณหนูกาล พอโดนตามใจมากๆ เข้าก็เลย... ก็เลยเป็นอย่างที่รู้ๆ กันน่ะขอรับ”

   เข้าข่ายเรือนเศรษฐฯ รังแกฉันเลยนะเนี่ย!

********************************************************************************

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 03-11-2017 20:10:49
   “แน่ใจนะขอรับว่าไปไหว”

   หลังจากที่รับสำรับเย็นเสร็จ กาลก็ขออนุญาตท่านอำนาจกับคุณมารตีไปพายเรือชมหิ่งห้อยทันที ซึ่งแน่นอนว่าเพียงแต่เอ่ยปากก็แทบจะอุ้มบุตรชายสุดที่รักไปวางไว้ให้ในเรือเลยเชียวล่ะ กาลถอนหายใจเบื่อหน่ายกับความเป็นห่วงเกินเหตุของสุดยอดพี่ชายที่แสนดี แต่ด้วยความที่กลัวจะไม่ได้ไปเที่ยวจึงฉีกยิ้มตอบว่า

   “ไหวจ้า หนูบอกพี่พุดไปเป็นล้านรอบแล้วว่าไหว”

   “เอ... เจ้าพุดนี่ก็กระไร หนูกาลบอกว่าไปไหวก็คือไหวสิ” คุณมารตีเอ่ยปาก แน่นอนว่าเมื่อเมียรักเปิด สามีที่ดีย่อมต้องตาม

   “จริงของแม่รตี ก็เจ้ากาลพูดเองว่าไปไหวก็คือไปไหว”

   ไอ้การโดนตามใจมันก็มีข้อดีของมันอยู่ล่ะเนอะ ไม่แปลกใจเล้ยว่าทำไมไอ้คุณหนูกาลถึงเสียคนตอนโต

   “พี่พุดรู้ไหม แค่กินข้าวเสร็จหนูก็มีแรงละ นี่ถ้าให้ฆ่าควายด้วยมือเปล่าตอนนี้ หนูยังทำได้เลยนะพี่”

   พูดจบก็เดินตัวปลิวนำลงเรือนไปทันที เมื่อไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวทางด้านหลัง ยังหันมาตะโกนเร่งเสียอีกต่างหาก พุดได้แต่ส่ายหน้าในความดื้อของคุณหนูกาล ค่อยๆ ยกมือไหว้ลาท่านอำนาจและคุณมารตี ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญ จึงรีบเผ่นแผล็วโดดไปทางบันไดทางลงเรือน แต่ก็ช้าเกินไปเมื่อได้ยินเสียงโอ๊ย โอดโอยมาจากเบื้องล่าง

   “อูย... เจ็บโคตร” ไม่รักษามาดคุณหนูแล้ว กาลตะโกนเสียงดังอย่างแค้นเคือง

   พุดชูตะเกียงในมือขึ้นสูงก่อนจะชะโงกถาม

   “เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับคุณหนูกาล พี่กำลังจะมาเตือนแท้ๆ เทียวว่าให้เดินระวังๆ”

   “จะเป็นไงได้ล่ะพี่พุด” เจ้าตัวก้มลงกุมเท้าไป กระโดดเหยงๆ ตอบคำถามไป

   “เจ็บจะแย่อยู่แล้ว ใครเอาอะไรมาทิ้งไว้หน้าทางขึ้นลงบันไดเรือนเนี่ย เกะกะชะมัด พี่พุดเอาไฟมาส่องตรงนี้ที จะได้เห็นชัดๆ ว่ามันคืออะไร”

   “ไม่ต้องส่องหรอกขอรับ ช่วงนี้ทั้งมรกต ทั้งทับทิม แลพวกพลอยต่างๆ มักจะขึ้นมาอยู่เนืองๆ เมื่อเช้าพี่ก็ให้พวกเด็กๆ เก็บกวาดไปให้พ้นทางเดินบ้างแล้ว สงสัยช่วงค่ำคงผุดมาอีกระลอกนึงน่ะขอรับ”

   “ผืนแผ่นดินนี้มั่งคั่งนัก เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา สายแร่ทองคำมากมายไหลผ่าน...”

   เสียงแลคเชอร์ประวัติการอพยพมาตั้งดินแดนของต้นตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลที่พุดเคยเล่าให้ฟังดังขึ้นมาในหัวกาลทันที แต่... อะไรมันจะมีเยอะขนาดผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดขนาดนี้วะ!!

   คืนเดือนแรม แน่นอนว่าบรรยากาศเงียบสงบรอบข้างมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงที่แขวนไว้ให้ความสว่างเพียงวับแวม พุดค่อยๆ วาดไม้พายสลับซ้ายขวาอย่างเชื่องช้า ลำเรือที่โยกไหวเล็กน้อยส่งให้เกิดเงามืดสว่างสลับไปมาบนใบหน้านวล แต่ถึงจะมองเห็นเพียงรางๆ พุดก็ยังเห็นปากอิ่มที่บ่นขมุบขมิบไปมาไม่ได้หยุด

   “ยังมิหายเคืองดอกหรือ บ่นเป็นหมีกินผึ้งเทียว บ่นมากๆ ระวังหิ่งห้อยตกใจบินหนีหมดนะขอรับ”

   ได้ผลทันทีเมื่อคนช่างบ่นตะปบปากตัวเองแล้วมองซ้ายมองขวาพลางลดเสียงลงเป็นกระซิบ

   “เกือบลืมไปเลยว่าห้ามเสียงดัง แล้วนี่ใกล้ถึงรึยังจ๊ะพี่พุด”

   “โค้งน้ำด้านหน้านั่นก็ถึงแล้วขอรับ”

   พุดค่อยๆ ราไม้พายเมื่อใกล้ถึงจุดชมหิ่งห้อย ต้นลำพูที่ทอดตัวเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตาที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากาลเต็มไปด้วยดวงไฟดวงน้อยที่ส่องแสงวิบวับราวกับไฟประดับต้นคริสต์มาสที่กาลเลยเห็นในทีวี เจ้าตัวอยากตะโกนอุทานชมความมหัศจรรย์นี้ออกมาเต็มแก่ แต่ก็ทำได้เพียงกระตุกแขนของพุดแล้วชี้ชวนให้ดูอย่างตื่นเต้น

   “สวยมากเลยพี่พุด เดี๋ยวๆ ภาษาของเรือนเศรษฐ์ฯ เรียกว่าไงนะจ๊ะพี่เวลาเราจะชมว่าสวยน่ะจ้ะ”

   พุดมองหน้าคุณหนูของตนที่กำลังตื่นเต้นไม่หยุด ประเดี๋ยวก็มองไปที่ต้นลำพู ประเดี๋ยวก็หันกลับมาถามไถ่ พอถามเสร็จก็มิรอฟังคำตอบ ตาก็หันไปจ้องมองแสงกระพริบเหล่านั้นต่อ ใบหน้าด้านข้างที่แหงนเงยน้อยๆ เหมือนจะเรื่อเรืองด้วยความสุข พุดมองเหม่อประทับเสี้ยวหน้านั้นเข้าสู่ความทรงจำของตนทันที เสียงพร่าที่พยายามบังคับให้เอ่ยคำตอบออกมาอย่างมั่นคงกลับติดที่จะสั่นเล็กน้อย

   “งามมาก... ขอรับ”

   กาลพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตายังคงจ้องอยู่ที่เหล่าหิ่งห้อยตัวน้อย จึงไม่ทันเห็นคำว่า งามมาก ของพุดนั้น สายตาของคนพูดตกต้องอยู่กับผู้ใด สักครู่ก็หันกลับมามองพุดด้วยแววตาเจ้าเล่ห์พราวระยับ

   “พี่พุดรู้ไหมจ๊ะ ว่าทำไมหิ่งห้อยถึงต้องเปล่งแสงด้วย”

   “หิ่งห้อยกระพริบแสงเพื่อการสื่อสารและผสมพันธุ์กัน โดยแสงนั้นเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารลูซิเฟอรินกับออกซิเจน โดยมีเอนไซม์ลูซิเฟอเรสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอะดีโนซีนไตรฟอสเฟตเป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดแสง อืม... เท่าที่พี่จำได้ก็ประมาณนี้นะขอรับ”

   “...”

   “มันไม่ใช่เรื่องวิชาการขนาดน้าน โห พี่พุดอะ ตอบซะหมดกันเลย”

   กาลถอนหายใจยาวเหยียดแสดงออกว่าคำตอบของพุดหาได้ถูกใจไม่ เล่นเอาคนตอบใจไม่ดีรับเอ่ยปากง้อปากคอสั่น

   “พี่ขอโทษเถิดหนา พี่หลงนึกว่าคุณหนูอยากทดสอบภูมิพี่เสียอีก ไหนคุณหนูลองบอกพี่ทีรึว่าทำไมหิ่งห้อยต้องเปล่งแสงด้วย”

   กาลหน้าตูมบอกเสียงสะบัดทันที

   “หิ่งห้อยกระพริบแสงเพื่อการสื่อสารและผสมพันธุ์กัน โดยแสงนั้นเกิดจาก...”

   “อย่าล้อพี่เล่นแบบนี้สิเจ้า อย่าโกรธเลยหนา จะให้พี่ทำสิ่งใดชดเชยดีคุณหนูกาลจึงจะหายโกรธแล้วเล่าเรื่องแสงของหิ่งห้อยให้พี่ฟังได้”

   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะพี่พุด เขาว่ากันว่า หิ่งห้อยคือวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงตามหาหญิงคนรักที่ชื่อนางลำพู ซึ่งจมหายไปในแม่น้ำ คือจริงๆ มันควรฟังแล้วโรแมนติก ฟังแล้วว้าวไงพี่พุด ทีนี้เจอสารอะไรต่อมิอะไรของพี่เข้าไปมันเลยแย่เลย”

   กาลส่ายหน้าเบะปากด้วยความขัดใจ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาทำหน้าตาทะเล้นเมื่อนึกขึ้นได้

   “แต่หนูจำไว้แล้วนะว่าพี่พุดติดสัญญาว่าจะทำอะไรก็ได้ชดเชยให้หนูหายโกรธ”

   พุดถอนหายใจโล่งอกทันทีที่คุณหนูกาลกลับมาพูดคุยยิ้มแย้มเช่นเดิม ถึงเวลาเห็นหน้างอๆ ไม่ได้อย่างใจแล้วจะรู้สึกว่าเธอช่างน่าแกล้งน่าหยอกล้อเพียงใดก็ตาม แต่ใบหน้ายามทะลึ่งทะเล้นเยี่ยงนี้กลับทำให้คนมองสุขใจมากกว่า

   “อพิโธ่ ปกติพี่ก็ออกจะตามใจคุณหนูทุกสิ่งอย่าง สิ่งใดที่พี่ออกปากสัญญาให้เยี่ยงไร พี่ก็ต้องปฏิบัติตามให้จงได้”

   “โอ๊ะ โอ... ลูกผู้ชายตัวจริงกระทิงนะพี่พุด ไม่ต้องตั้งท่าขึงขังขนาดนั้นหรอกจ้ะพี่ หนูแค่จะขอให้พี่ตอบคำถามของหนูข้อเดียวเท่านั้นเอง เป็นคำถามง่ายๆ ขอเพียงพี่ตอบคำถามของหนูตามความจริงแล้วหนูก็จะหายโกรธพี่... ดีไหมจ๊ะ”

   กาลยิ้มบางแล้ว ให้มือราผิวน้ำเล่น ในใจมีความรู้สึกกังวลกับความทรงจำเก่าของคุณหนูกาลเมื่อตอนเย็นแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกค้างคาในใจ คล้ายมีเสี้ยนเล็กๆ ปักอยู่ที่ปลายนิ้ว เหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก แต่มักจะแปลบปลาบทุกครั้งที่ลูบโดน หากปล่อยทิ้งไว้นานก็กลัวจะเป็นแผลใหญ่กลัดหนองลุกลามไปได้ ถามกันซะตั้งแต่ตอนนี้ให้หายสงสัยกันไปเลยดีกว่า มือเรียววักน้ำขึ้นแล้วปล่อยให้ไหลลงสู่เบื้องล่าง มองจนน้ำหยดลงจากอุ้งมือจนหมดจึงตัดใจเอ่ยปากถามพยายามทำเสียงให้ฟังดูเรื่อยๆ สบายๆ ที่สุด

   “พี่พุดคิดว่า... คุณหนูกาลคนก่อนหน้านี้กับกาลที่นั่งอยู่ตรงหน้าพี่ปัจจุบัน แบบไหนกันแน่ที่พี่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข”

   ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าเปรียบเทียบคนเก่าใหม่ไปก็เท่านั้น ในเมื่อที่นั่งอยู่ตรงนี้ยังไงก็เป็นไอ้กาลนี่แหละ แต่ขอให้ได้ถามสักนิดเถอะ

   มันคาใจ!!

   การที่ต้องมามองฝ่ายถูกถามขมวดคิ้วมุ่นแล้วทำท่าคิดหนักนี่มันก็ชวนให้ตื่นเต้นดีนะ กาลกำลังคิดว่าตนเองมีอาการหวงพี่ชายขนาดหนัก รู้อีกด้วยว่ามันเป็นนิสัยที่ไม่ดี แต่นานครั้งก็ขอใช้สิทธิ์ในการงอแงบ้างเหอะ

   “มิรู้สิเจ้า” พุดค่อยๆ ตอบออกมาเสียงเบาหลังจากที่นั่งครุ่นคิดมาเป็นครู่

   “จะตอนร้ายพี่ก็ชอบ พอตอนดีพี่ก็รัก พี่ก็มิรู้จะตอบเยี่ยงไร”

   ไม่รู้ว่าหิ่งห้อยบินมาเกาะที่ต้นลำพูมากขึ้นรึยังไง กาลจึงได้รู้สึกว่าบริเวณรอบๆ ดูเหมือนจะสว่างไสวมากขึ้นมา  เมื่อพุดพูดจนจบประโยคพลันก็รีบลุกขึ้นยืน รีบก้าวเท้าไปนั่งชิดพลางเกาะแขนเขย่าโดยไม่สนใจอาการเรือโคลงเลยแม้แต่น้อย

   “จริงๆ นะ ไม่ว่าดีไม่ว่าร้ายยังไง พี่พุดชอบหนูที่เป็นหนูใช่ไหมจ๊ะ”

   กาลดีใจที่พุดไม่ได้เลือกตอบว่าชอบคุณหนูกาลแบบไหนกันแน่ ถ้าตอบว่าชอบแบบเก่าก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ถ้าตอบว่าชอบแบบคนใหม่แล้วอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายนี้ล่ะจะทำยังไง ความรู้สึกสับสนวกวนในใจตีกันให้วุ่นวาย แต่คำตอบของพุดกลับทำให้สิ่งที่คิดมากมาตลอดของกาลรู้สึกสงบลงได้

   “เบาๆ ขอรับคุณหนู เรือโคลงหมดแล้ว จะดีใจกระไรกันขอรับ ยังไงคุณหนูก็เป็นคุณหนูกาลของพี่อยู่เสมอ ปัดโธ่! หยุดเล่นได้แล้วหนา ประเดี๋ยวเรือคว่ำไปจะทำเยี่ยงไร”

   “แหม... จับนิดจับหน่อยทำเป็นปัดป้อง พ่อเนื้อทอง เอ๊ะ! รึว่าจริงๆ พี่พุดบ้าจี้ มาให้หนูจิ้มซะดีๆ ฮ่าๆๆ”

   ฝ่ายหนึ่งเฝ้าระวัง ฝ่ายหนึ่งรุกเข้าใส่ พุดจะทำกระไรรุนแรงมากก็มิได้ เพราะคุณหนูเธอผิวบาง ประเดี๋ยวจับแรงไปก็ขึ้นรอยนิ้วเอาเสียอีก ได้แต่ขอร้องให้หยุดกับยกมือปัดป้องเท่านั้น ไอ้กลัวเรือจะพลิกคว่ำนั่นก็สาเหตุประการหนึ่ง แต่สาเหตุหลักๆ น่ะ ใจของไอ้พุดมันพล่านไปหมดแล้ว ยามมือเล็กๆ นั่นแกล้งจับตรงนู้น จิ้มตรงนี้ คุณหนูเธอยังเด็ก เธอก็นึกสนุกไปตามประสา แต่คนตัวโตกว่า ใจกลับไพล่ไปคิดอกุศล!

   เรือลำน้อยโยกไหวรุนแรงมากขึ้นจนเกือบจะพลิกคว่ำอยู่หลายรอบ กว่ากาลจะยอมหยุดเล่นสงครามจี้เอวคน (ที่คิดเอาเองว่า) บ้าจี้ ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบหน้าแดงกันไปทั้งคู่ เพียงแต่ว่าใบหน้าขึ้นสีเรื่อต่างกันที่เหตุผลของแต่ละคนเท่านั้น

   “โอย... เหนื่อยชะมัด” กาลพูดไปก็หอบไป มือกระพือคอเสื้อตนเองเพื่อระบายความร้อนไม่หยุด ผิดกับพุดที่นั่งนิ่งเฉย เพราะเปลือยท่อนบนอยู่แล้วจึงไม่ต้องมาเสียเวลาพัดกระพือ

   “ก็พี่บอกให้คุณหนูเล่นได้แล้วก็มิยอมหยุด ดื้อเยี่ยงนี้ถ้าเป็นลูกเป็นหลานจะจับตีให้ก้นลาย”

   “อันนี้เป็นน้องเป็นนุ่งเลยไม่ตีใช่ไหมจ๊ะ”

   “มิต้องออดอ้อนเลยหนา เฮ้อ... ไปกันเถอะขอรับ ถ้าร้อนก็กลับเรือนกัน”

   “ยังก่อนเถอะนะพี่พุด นานๆ จะได้ออกมาที หนูมีวิธีคลายร้อนที่ได้ผลนะ ก่อนอื่น... พี่พุดเชื่อใจหนูไหมจ๊ะ”

   คนฟังพยักหน้ารับทันที แม้ใจจะรู้สึกหวาดๆ กับสารพพัดลูกเล่นของคนตรงหน้า มือขาวคว้าหมับเข้าให้ที่มือของพุดทันทีที่พยักหน้าเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วจนพุดลุกตามเกือบไม่ทัน ยังไม่ทันจะอ้าปากถามว่าจะกระทำอันใดก็รู้สึกถึงแรงดึงกระชากอย่างแรง แล้วความเย็นก็จู่โจมเข้ามาทุกทิศทุกทางทันที

   ตูมมมม

   พุดทะลึ่งพรวดขึ้นสู่ผิวน้ำ สิ่งแรกที่ทำคือมองหาร่างของคุณหนูในทันที แรงกระตุกที่มือตามมาด้วยการโผล่หน้ามายิ้มแป้น ทำให้เห็นว่าคนตรงหน้าไม่เป็นอันตรายใดๆ

   “เย็นเนอะ”

   อยากจะยกมือเขกมะเหงกใจจะขาด หากแต่ใบหน้าที่มีหยาดน้ำเกาะพราว ส่งยิ้มมาเป็นทัพหน้า จึงได้แต่ลดมือลงเกลี่ยเส้นผมไปทัดหลังใบหูให้อย่างอ่อนโยนแทน

   “คุณหนูกาลขอรับ ใจคอจะทำให้พี่พุดหัวใจวายหรืออย่างไร เรื่องเล่น...”

   “ชู่ววว”

   ฝ่ามือเย็นเฉียบรีบยกขึ้นปิดปากคนที่กำลังจะร่ายยาวทันที

        “บ่นเป็นหมีกินผึ้งเชียวพี่พุด บ่นมากๆ ระวังหิ่งห้อยตกใจบินหนีหมดนะจ๊ะ”

   พุดได้แต่จำใจลอยคอดูหิ่งห้อยเป็นเพื่อนคุณหนูกาลตัวแสบ ก็เล่นยกเอาทั้งประโยคมายอกย้อนกันเช่นนี้จะให้ทำกระไรได้!



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

รักกันน้อยๆ แต่ขอให้รักกันนานๆ นะเจ้าคะ
นานน้านอัพงาน มันก็จะอายๆหน่อยเจ้าค่ะ แฮร่!!!

เสร็จในวันลอยกระทงพอดีเลย
สุขสันต์วันลอยกระทงค่าทุกๆ คน

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

^-^ qq_oo มาแล้วค่าาาาา ยังคงยาวสะใจเหมือนเดิมค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :L2:
^-^ alternative ใช่ค่ะ ทับทิมนี่ของเบๆ ผิดขึ้นกลางลานบ้านเลยค่ะ คิดว่าสักวันคงโดน แค่กๆๆๆ  :hao3:
^-^ ♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณที่เอ็นดูน้องกาลนะคะ  :L2: น้องกาลนี่ แค่มีของกินก็พอใจแล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พอเพียงมาก เพียงแค่กระเพาะเต็มก็พอ  :laugh:
^-^ mild-dy  :pig4: :L2: :pig4:
^-^ •♀NoM!_KunG♀• วรั๊ยยยย อ่านต่อเถอะค่ะ ยอมให้คนอ่านหน้าตาดีกว่านิดนึงก็ได้  :impress2:
^-^ Billie หวานเหมือนรถบรรทุกอ้อยมาคว่ำอยู่หน้าเรือนค่ะ ในส่วนของพี่พุดก็ยังคงหลงน้องเช่นเคย // ลงให้แล้วค่ะ สวยไหมคะ  :m1:
^-^ puiiz  :L2: :pig4: :L2:
^-^ poppycake วันเกิดปีหน้า คุณแม่ท่านอาจจะเสนอจัดที่ดาวอังคารจริงๆ ก็ได้ค่ะ ถถถ แค่ทับทิมยังเกลื่อนกลาด เก็บกันมิหวาดมิไหว นับประสาอะไรกะแค่เช่ายานไปดาวอังคารล่ะคะ  :laugh:
^-^ Snowermyhae เวลาเขียนช่วงที่ไหลลื่นก็บันเทิงเช่นกันค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ อย่าลืมแว้บบบมาอ่าน มาให้กำลังใจน้องกาลและคนเขียนอีกค่า  :L2:
^-^ dukdikdukdik คนจะได้เอ็นดูน้องกาลและนักเขียนไงคะ  :impress2:
^-^ badbadsumaru ดีใจที่ชอบค่าาาา อยากออกนอกกรอบ จะได้ไม่เหมือนใครค่ะ ส่วนความรวยของน้องกาลนั้นนนน เป็นความฝันของนักเขียนเช่นกันค่ะ  :laugh:
^-^ sirin_chadada คิดว่าพี่พุดคงอยากทำมากกว่าฟัดค่ะ แค่กๆๆๆๆ  :-[
^-^ colorofthewind21 เดี๋ยวปิดประตูขังไว้เลย อย่าเพิ่งไปไหนนะเจ้าคะ คอยให้กำลังใจน้องกาลกับคนเขียนด้วยเจ้าค่ะ
^-^ maneethewa มาแล้วเจ้าค่า  :m1: :m1: :m1:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-11-2017 21:15:21
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-11-2017 21:22:15
ขยันนัวเนียถึงเนื้อถึงตัวพี่พุดขนาดนี้...ระวังจะโดนจับกินเข้าสักวันนะหนูกาล (อยากเห็นพี่พุดตบะแตกจะแย่ล้าวววว)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-11-2017 21:46:34
พี่พุดเข้านัวเลยจ้ะ เด็กมันซื่อ ไม่รู้ตัวหรอก  :laugh:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-11-2017 00:25:04
โรแมนติกเชียว
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 04-11-2017 01:30:46
รอทุกวันเลย ในที่สุดก็มา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 04-11-2017 01:40:37
คุณหนูกาลของบ่าวนี่นะ ซนนักเชียว คอยทำให้พี่พุดแก้มแดงตลอดเลย อย่าทำให้ใจพี่พุดเต้นหนักมากสิเจ้าคะ สงสารพี่พุดเขานา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 04-11-2017 14:01:30
5555555 ถึงเนื้อถึงตัวพี่พุดขนาดนี้ สงสารพี่แกจริงๆ
คุณหนูกาลตอนเด็กน่ารัก น่าหยิกจริงเชียว
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 04-11-2017 15:05:22
กาลนี่ช่างอ่อยจิงๆ พี่พุดใจบางหมดแล้วมั้ง อิอิอิ
(ถึงกาลเองจะไม่รู้ตัวก้อเหอะนะ! ♡♡)
แต่อยากจะไปช่วยเก็บกวาดทับทิมให้จิงๆค่ะ กลัวพี่พุดจะเหนื่อย 55555555

ปล. สารอีโนซีนไตรฟอสเฟต = สารอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ใช่ไหมคะ??
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-11-2017 15:41:19
ช้อบ ชอบ มรกต ทับทิม ที่ผุดขึ้นมาจากดิน
อั๋ยยะ........ สงสัยว่าที่ผุดขึ้นมานี่
เจียระนัย เป็นเหลี่ยมเรียบร้อย น้ำงามวิบวับหรือเปล่านะ
ผุดขึ้นมาวันละสองครั้ง มากมายจนต้องเก็บกวาดไปให้พ้นทางเดิน
อุแม่จ้าว ตระกูลทรัพย์เศรษฐ์อนันต์ ไม่ต้องทำงาน
ก็มีกินมีใช้ไปชั่วลูก ชั่วโหลนเลย

พี่พุด ใจเต้นเหลือเกินเวลาหนูกาลน่ารัก
สงสัยได้เป็นโรคหัวใจซักวันแน่ๆ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 05-11-2017 18:57:56
กาลนี่ช่างอ่อยจิงๆ พี่พุดใจบางหมดแล้วมั้ง อิอิอิ
(ถึงกาลเองจะไม่รู้ตัวก้อเหอะนะ! ♡♡)
แต่อยากจะไปช่วยเก็บกวาดทับทิมให้จิงๆค่ะ กลัวพี่พุดจะเหนื่อย 55555555

ปล. สารอีโนซีนไตรฟอสเฟต = สารอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ใช่ไหมคะ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบค่า แก้ไขเรียบร้อยแล้วนะคะ  :pig4:
ยาวมากจนตาลาย หลุดหูหลุดตาไปจนได้ค่ะ แหะๆ  :really2:

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-11-2017 04:14:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 09-11-2017 14:52:25
อื้อหือ หวานนนนนน
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 09-11-2017 16:01:23
โอ้ยยย

หนูกาลน่ารักมากๆเลยลูก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 09-11-2017 22:03:16
บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ

   “ฮ้าด... ชิ้ว”

   คนโดดนำลงน้ำตอนนี้ได้แต่หันไปมองเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยท่าทางแหยๆ เสียงถอนหายใจยาวหนักหน่วงของคนข้างกาย ยิ่งทำให้กาลหดตัวให้ลีบเล็กลงพลางค่อยๆ ยื่นมือส่งให้พุดที่เหนี่ยวตัวไปคอยท่าอยู่บนเรือเรียบร้อยแล้ว

   “รีบกลับเรือนกันเถิดขอรับ”

   คนพายเรือรีบวาดไม้พายจ้วงเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเสียงจามเริ่มถี่มากขึ้น มือก็ตวัดไม้พายเร็วขึ้นตามไปด้วย แผงอกเปลือยเปล่ากำยำขยับขึ้นลงตามการเคลื่อนไหวจนเห็นลอนกล้ามเนื้อชัดเจน กาลแอบมองเส้นสายบนตัวของพุดไปก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา

   “ไม่ต้องมายิ้มเลยหนา หากไม่อุตริกระโดดลงแช่น้ำชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน ก็มิต้องมานั่งหนาวจนปากสั่นเยี่ยงนี้”

   เจ้าตัวดีฟังคำบ่นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งๆ ที่เนื้อตัวสั่นระริกจากเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มแนบสนิทไปกับผิวกาย หากยังปากดีโต้เถียงกลับไปด้วยปากคอที่สั่นจนฟันกระทบกันกึกๆ

   “ระ... หรือพี่พุดไม่คิดว่าเย็นสบายดี ด้านบนวิบวับ ด้านล่างชุ่มฉ่ำ ออกจะสนุก”

   “สนุกจนจะจับไข้อยู่แล้วยังมิรู้ตัวอีก เฮ้อ! ทนอีกประเดี๋ยวเถิดเจ้า คงต้องแวะเรือนพี่ ผลัดผ้าก่อนก็แล้วกัน หากรอจนกลับถึงเรือนเศรษฐ์ฯ คงไม่แคล้วได้จับไข้เอาเสียก่อน เยี่ยงไรเรือนพี่ก็ถึงก่อนอยู่แล้ว”

   คนปากสั่นเพราะความหนาวพยักหน้ารับหงึกหงัก เอ่ยถามเสียงกระท่อนกระแท่น

   “พี่พุดอยู่เรือนคนเดียวหรือจ๊ะ”

   คำตอบที่ได้คือการผงกศีรษะรับคำ ทีนี้เองคนช่างเจรจาจึงได้แต่ยิ้มแหย เห็นทีคราวนี้พี่พุดจะโกรธจริงๆ ซะละมัง เขายอมรับว่าผิดก็ได้ที่เล่นเกินเลยไปนิดนึง เมื่อรู้ตัวว่าผิดจึงไม่กล้าซักถามอะไรต่อ ได้แต่นั่งนิ่งๆ ห่อไหล่ พยายามขดตัวป้องกันสายลมที่พัดโชยมา หากร่างกายก็ยังสั่นสะท้านขึ้นมาเป็นระยะ เมื่อลมพัดตกต้องผิวเนื้อ

   พุดพยายามเร่งมือพายเรือให้เร็วที่สุด อยากจะดุความซุกซนของคุณหนูหรือก็ทำได้ไม่เต็มปาก ด้วยตอนที่แช่อยู่ในน้ำตัวเขาก็ใจอ่อนยอมลงให้ เพราะเห็นหน้าตาที่ชื่นบานของคุณหนูแล้วก็หักใจดุไม่ลง ได้แต่ปล่อยให้เธอเล่นสนุกเอาเต็มที่ แล้วดูเอาเถิด ยามนี้มานั่งกอดอกสั่นจนเหมือนลูกนกตกน้ำกระนั้นเชียว

   เสียงจ้วงของไม้พายหยุดลงกลายเป็นการราน้ำ เมื่อมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของเรือนแพอยู่ตรงหน้า พอเทียบเรือลำน้อยเรียบร้อยพุดก็โยนเชือกผูกกับหัวเสาให้แน่นหนา เร่งรีบเหนี่ยวตัวขึ้นไปยืนบนเรือน ก่อนจะส่งมือให้กาลใช้เป็นหลักประคองในการก้าวเดิน พอขึ้นเรือนได้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุดหมุนกายเดินเข้าห้องไปคว้าผ้าขนหนูผืนใหญ่จากในหีบทันที นั่งค้นผ้าอยู่ชั่วครู่ มิได้ยินเสียงเดินตามหลังมาจึงเอะใจรีบเดินออกมาดู

   “คุณหนูขอรับ ไยไม่รีบเข้ามาหรือว่าหนาวจัดจนขาแข็งเสียแล้วกระมัง”

   ความที่ทั้งเร่งพายเรือ เร่งหาผ้าขนหนูทำให้พุดพูดเสียงหอบ หากแต่คนฟังกลับฟังว่าเสียงนั้นช่างห้วนเสียจริง กาลยืนนิ่งไม่กล้าขยับจนรอยหยดน้ำจากชุดที่สวมใส่เปียกชื้นเป็นวงกว้าง มือทั้งสองข้างกำขยำโจงของตนเองแน่น ได้แต่นึกโทษตัวเองในใจว่าไม่น่าเล่นเลย หากพี่พุดโกรธไปจะทำยังไง

   ขณะที่ยืนกังวลนึกโทษตัวเองซ้ำๆ อยู่ในหัว ผ้าขนหนูผืนใหญ่ก็ถูกตวัดห่มคลุมลงบนร่างกายที่สั่นไม่หยุด แอบมองทางหางตาก็เห็นพุดกุลีกุจอห่มผ้าให้โดยไม่สนใจว่าร่างกายตนเองจะเปียกโชกอยู่เหมือนกัน แถมดูท่าจะมีอาการเหนียวตัวเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะความที่เร่งจ้ำพาย ทำให้ร่างกายท่อนบนเต็มไปด้วยเหงื่อที่เกาะพราวจนเห็นได้ชัด ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะบนหลังมือคร้าม ส่งผลให้คนที่กำลังดูแลชะงัก พลางมองนิ้วเรียวนิ่งอยู่อย่างนั้น

   แสงไฟวับแวมส่องให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวเพราะความหนาวเย็นเล่นงาน ปากอิ่มที่เคยยั่วเย้าเม้มแน่น ท่าทางคล้ายอยากเอ่ยสิ่งใดแต่มิกล้าพูดออกมา พุดนึกสงสัยอยู่ครามครัน แต่ก็มิได้ซักถามเอาความอันใด เพลานี้ สิ่งที่ต้องทำคือการทำให้ร่างกายของคุณหนูอบอุ่นเสียก่อน คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยปลอบเสียงนุ่มคล้ายกำลังปลอบโยนน้องน้อย

   “หนาวมากหรือเจ้า ทนอีกนิดเถิดหนา เร่งไปผลัดผ้าในห้องของพี่เสียก่อนเถิด ประเดี๋ยวพี่จักชงโกโก้ร้อนให้ พอดีพึ่งได้ปันมาจากบนเรือนเศรษฐ์ฯ เป็นโกโก้นำเข้าจากเบลเยี่ยมที่คุณหนูชอบพอดี อย่ามัวงอแง จะได้รีบมารับประทานของโปรดหนา”

   เสียงปลอบยิ่งอ่อนโยนเท่าไหร่ กาลยิ่งรู้สึกผิดเท่านั้น ได้แต่ลดมือลงจากท่อนแขนของคนปลอบ พูดเสียงเบาเกือบเป็นกระซิบยามออกปาก

   “หนูขอโทษนะจ๊ะ”

   พูดจบก็ไม่รอฟังคำอธิบายใดๆ รีบก้าวเท้ายาวๆ จนเกือบจะเป็นอาการวิ่งเข้าไปในห้องที่พุดชี้ทางบอกเมื่อสักครู่ทันที พอเข้าห้องมาได้ กาลก็ถอนหายใจเฮือกยาว ไม่รู้พี่พุดจะยอมรับคำขอโทษหรือเปล่า ดูท่าทางพี่ก็ไม่ใช่คนขี้ใจน้อยอะไร หวังว่าคงจะหายโกรธยอมอภัยให้น้องคนนี้บ้าง คงแย่แน่ถ้าจะมีชีวิตบนโลกใบนี้โดยที่ไม่มีพี่ชายที่แสนดีคอยช่วยเหลือดูแล

   นับแต่ลืมตามาแล้วพบว่า ตนเองก้าวข้ามมาอยู่ที่เมืองเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลนี้ คนที่คอยดูแล คอยตอบคำถามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็คือพี่พุด ทุกครั้งที่มีปัญหาเพียงหันมองไปข้างหลังก็จะพบผู้ชายผิวคร้ามคนนี้คอยส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ และพร้อมยื่นมือช่วยเหลือในทุกเรื่องราวเสมอ ถ้า... ถ้าหากโกรธกันขึ้นมาจริงๆ แค่คิดก็ให้รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ แล้ว

   กาลนึกแล้วก็ได้แต่เสียใจที่ตัวเองคิดแต่จะเล่นสนุกโดยไม่ได้ไถ่ถามคนอื่นเลยว่าสนุกไปด้วยหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งจิตตก การเคลื่อนไหวร่างกายจึงยิ่งเชื่องช้าไปกันใหญ่ จนเสียงเคาะประตูเร่งดังขึ้น กาลถึงได้รู้ตัวว่าควรออกไปด้านนอกได้แล้ว มือเรียวยาวรีบเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วใส่ชุดใหม่ที่ถูกเตรียมไว้ให้เป็นพัลวัน เสร็จสรรพก็รีบคว้ากองผ้าเปียกหมุนตัวเตรียมก้าวเท้า แต่ด้วยอารามรีบร้อนจึงสะดุดเข้ากับพรมหน้าตั่งนอนร่างเซถลาลงไปบนฟูกพอดิบพอดี เจ้าตัวลุกขึ้นนั่งเอามือลูบจมูกป้อยๆ ดีนะที่เป็นที่นอน ถ้าล้มลงไปบนพื้นนี่มีหน้าแหกดั้งหักกันบ้างล่ะ

   กำลังจะก้าวขาลงจากตั่งก็ให้รู้สึกเหมือนคนโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อโจงเปียกน้ำได้ขึ้นไปนอนเด่นเป็นสง่าอยู่บนหมอนของพี่พุดเป็นที่เรียบร้อย!!

   ฮือ... วันนี้ก้าวขาข้างไหนออกจากบ้านวะเนี่ยไอ้กาล ตายๆๆ ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็จะเข้ามาแทรก จากที่พี่เขาอาจจะไม่โกรธ รึว่าโกรธน้อยก็ได้ ทีนี้จะกลายเป็นพี่พุดพ่นไฟไหมล่ะไอ้กาล... ว่าแต่พี่พุดตอนโมโหจัดจะเป็นยังไงนะไม่เคยเห็นสักที เคยเห็นแต่ตอนเป็นวัยรุ่นที่มีเรื่องชกต่อยกันผ่านทางความทรงจำของไอ้คุณหนูกาล โธ่! มันใช่เวลามาคิดไหมเนี่ย

   ต้องรีบกลบเกลื่อนความผิดทำลายหลักฐานก่อน กาลหันรีหันขวางแล้วคว้าเอาผ้าขนหนูที่พุดส่งให้ตนเมื่อสักครู่มากระหน่ำเช็ดๆ ถูๆ ทันทีเพื่อลดรอยเปียกชื้นให้ได้มากที่สุด กำลังออกแรงเช็ดอย่างเมามันหางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสีฟ้าๆ บริเวณข้างหมอน มือเรียวยาวคว้าหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ด้านในบรรจุดอกไม้แห้ง ๔ - ๕ ดอกนอนสงบนิ่งอยู่ ผ้าเช็ดหน้าถูกบรรจงพับไว้อย่างเรียบร้อย แสดงว่าเป็นของสำคัญของเจ้าตัวกระมัง จึงต้องนำมาเก็บไว้จนมิดชิดที่ข้างหมอนขนาดนี้

   กำลังพินิจพิจารณาดูห่อผ้าในมืออยู่ดีๆ เสียงประตูห้องที่เปิดออกก็ทำเอากาลสะดุ้งโหยง หันไปมองดูก็พบว่าพุดยืนจ้องตนเขม็ง เสร็จกัน! หลักฐานคามือเลยทีนี้ โดนข้อหาหยิบจับของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่งแล้ว เจ้าตัวดีทำหน้าปูเลี่ยนๆ ยิ่งพุดจ้องมองไม่พูดไม่จาก็ยิ่งร้อนตัว

   “พี่พุด คือ... คือ... หนู”

   ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงจริงๆ ทั้งเล่นพิเรนทร์โดดลงน้ำตอนกลางคืน ทั้งทำหมอนพี่เขาเปียก แล้วนี่ยังมาแอบดูของส่วนตัวเขาอีก กาลเริ่มเบะปาก ได้แต่ก้มหน้าลงสำนึกผิดอย่างเต็มที่

   ภายในห้องนอนที่ไฟสลัวลางบนเตียงกว้าง มีคุณหนูกาลที่แต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อย คอเสื้อกว้างเพราะยืมชุดของเขาใส่ ทำให้ไหล่ตกจนเห็นไหปลาร้าวับแวม ส่วนโจงกระเบนนั้นเล่าก็แลดูพันไว้เพียงลวกๆ มิได้พันทบให้สวยงาม มือหนึ่งถือห่อผ้าเช็ดหน้า ส่วนอีกมือหนึ่งกำขยำผ้าเช็ดตัวไว้แน่น เจ้าตัวส่งสายตาตื่นตกใจ ก่อนจะปากเบะแล้วก้มหน้าลงคล้ายรู้สึกผิด พุดมองแล้วก็ให้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจยิ่งนัก โถ... พ่อคุณ ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเปิดประตูมาเจอคุณหนูเยี่ยงนี้ทุกคืนเลย

   ต่างคนต่างก็คิดไปคนละทาง พุดเหม่อมองจ้องกาลอยู่อย่างนั้นจนฝ่ายถูกจ้องเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัดจึงได้ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปหา เสียงลมหายใจที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้กาลรู้ว่าพุดเดินเข้ามาแล้วจึงเกร็งตัวรอรับการดุด่าเต็มที่ แต่...ปุ วัตถุอ่อนนุ่มที่แปะลงบนศีรษะทำให้กาลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงของพุดส่งยิ้มมาให้ พลางบรรจงเช็ดผมให้อย่างเบามือ

   “เป็นกระไรไปหืม พี่ได้ยินเสียงตึงตังจึงได้รีบเข้ามาดู เจ็บปวดที่ใดหรือไม่ ไฉนทำตาแดงๆ เยี่ยงนี้”

   แค่ได้ยินเสียงถามไถ่ กาลก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูท่าพี่พุดคงโกรธไม่มากอย่างที่คิด ง้อสักหน่อยน่าจะได้ผล คิดได้ดังนั้นจึงส่งยิ้มไปเป็นทัพหน้าอย่างเช่นทุกที แล้วรีบขอโทษพร้อมอธิบายเป็นการใหญ่

   “พี่พุด หนูขอโทษจริงๆ นะจ๊ะ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว จะไม่เล่นแผลงๆ โดดน้ำตอนกลางคืนอย่างนี้อีก พี่พุดอย่าโกรธหนูเลยนะจ๊ะ”

   พุดเลิกคิ้วแปลกใจที่คุณหนูกาลมาขอโทษซะอย่างกับเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้คิดโกรธแต่อย่างใด เห็นทีจะกังวลมากกระมัง เพราะดูจากท่าทางเซื่องซึมแล้วน่าจะวิตกมากอยู่ดอกหนา

   เอ... หรือจะมิได้เพียงเรื่องโดดน้ำ พุดจึงแกล้งถามเสียงเรียบเพื่อทดสอบข้อสันนิษฐานของตนเอง

   “แล้วมีเรื่องกระไรอีก”

   อีกฝ่ายอึกๆ อักๆ ก่อนจะตอบเสียงอุบอิบ

   “กะ... ก็มีทำหมอนพี่เปียก”

   ตาคมตวัดปราดไปทางหมอน แล้วก็เห็นหลักฐานยังวางอยู่ทนโท่ เกือบจะหลุดขำออกมาแล้วเชียว หากแต่จำต้องทำหน้านิ่งต่อไป

   “แล้ว...” พุดเอ่ยนำออกมาเรียบๆ

   “แล้ว.... แล้วหนูหยิบผ้าเช็ดหน้าของพี่พุดมาดูโดยไม่ได้รับอนุญาตจ้ะ”

   ทีนี้เสียงตอบเบาเป็นเสียงแมลงหวี่กันเลยทีเดียว กาลเห็นพุดยังนิ่งจึงละล่ำละลักพูดขอโทษรัวอีกครั้ง พลางเงยหน้าขึ้นมาจับแขนของพุดเขย่าไปมาอย่างร้อนใจ

   “หนูขอโทษน้าพี่พุด นะ... อย่าโกรธหนูเลย หนูผิดไปแล้วจริงๆ”

   “เหตุใดจึงคิดว่าพี่โกรธเล่า พี่ยังมิเคยนึกขึ้งโกรธเจ้าเลยสักครา”

   “ก็ตอนหนูถามพี่ตอนพายเรือกลับมาที่เรือน พี่ก็ถามคำตอบคำ มาถึงปุ๊บ พี่ก็รีบไล่หนูไปเปลี่ยนชุด ไม่ยอมมองหน้าหนูเวลาคุยด้วยอีกต่างหาก แล้วเมื่อกี๊... เมื่อกี๊หนูแอบหยิบดอกไม้ของพี่พุดออกมาดู พี่ก็จ้องหนูใหญ่เลย”

   พุดยังคงไม่พูดอะไรหลังจากที่ฟังคำตอบของกาลจบลง หากกลับดูแลเช็ดผมให้จนเห็นว่าหมาดสนิทดีแล้วจึงทรุดตัวลงนั่งที่ด้านข้าง พลางจ้องมองใบหน้าที่เริ่มกลับมามีสีสัน มิได้ซีดเซียวอย่างเมื่อสักครู่แล้ว ดวงตาเรียวยาวใสแจ๋วเต็มไปด้วยความกังวลอย่างปิดไม่มิดจนเห็นได้ชัด อาการกัดริมฝีปากนิดๆ แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวกระวนกระวายเพียงใด พุดยกมือขึ้นใช้นิ้วหัวแม่มือค่อยๆ ไล้เกลี่ยริมฝีปากที่ถูกขบเม้มให้คลายออกจากกันเพราะกลัวจะเกิดเป็นรอยแดง จากนั้นจึงเลื่อนไปจับหัวไหล่ทั้งสองข้างมองสบเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อแสดงความจริงจังในคำตอบให้กาลได้รับรู้

   “คุณหนูกาลฟังพี่หนา พี่หาได้โกรธเคืองคุณหนูไม่ ที่ถามคำตอบคำก็เพียงจักเร่งพายเรือให้กลับถึงเรือนเร็วๆ เท่านั้น หากมัวแต่โอภาปราศรัยก็เกรงจะชักช้า แล้วที่เร่งให้เปลี่ยนชุดก็เพราะกลัวคุณหนูจับไข้ไปจักไม่เป็นการดี ส่วนในข้อสุดท้ายนั้น พี่ได้ยินเสียงคล้ายเสียงกระแทกโครมครามใจก็นึกกังวลกลัวคุณหนูจะเป็นลมเป็นแล้งล้มลงจึงได้รีบเปิดประตูเข้ามาดู เมื่อเห็นคุณหนูนั่งอยู่บนฟูกนอนจึงได้มองดูว่ามีบาดแผลตรงที่ใดหรือไม่ อ้อ! ส่วนดอกไม้แห้งที่ว่าก็คือดอกมะลิที่คุณหนูกาลเคยแบ่งให้พี่มาเมื่อครั้งจัดงานวันเกิดอย่างไรล่ะขอรับ จำได้ฤาไม่”

   กาลพยักหน้ารับว่าจำได้ทันที โล่งอกไปที่พี่พุดไม่ได้โกรธตัวเอง แต่นั่งไปสักครู่ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเมื่ออธิบายทุกคำถามหมดแล้ว แต่พี่พุดยังคงจ้องหน้าตนเองไม่ลุกไปไหนสักที แก้มขาวเริ่มขึ้นสีเรื่อ เมื่อโดนมองไม่วางตาในระยะประชิดขนาดนี้

   “พะ... พี่พุด ตอบเสร็จแล้วก็ลุกไปซะทีสิจ๊ะ นั่งมองอะไรอยู่ได้” เสียงใสบ่นอุบอิบ

   “อ้าว! ก็ไหนคุณหนูบอกพี่ว่าพี่ไม่ยอมมองหน้าเวลาพูดเยี่ยงไรเล่า นี่พี่กำลังนั่งจ้องมองเจ้าชดเชยเมื่อครู่อย่างไร”

   ป้าบ! เสียงฟาดลงบนต้นแขนเล่นเอาพุดปล่อยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ดวงตาพราวระยับจับจ้องทุกอากัปกิริยาของคนที่ประเดี๋ยวก็ทำหน้าเศร้า ประเดี๋ยวก็โมโห แต่อาการหน้าแดงแล้วทำเป็นลงไม้ลงมือกลบเกลื่อนเยี่ยงนี้ แถวบ้านพี่เรียกว่า ‘อาย’ หนา พุดคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ส่วนคนที่เป็นฝ่ายลงมือทุบตีกลับกระฟัดกระเฟียดออกไปพร้อมเสียงบ่นอุบอิบในลำคอแว่วๆ ว่า

   “ไอ้พี่พุด แม่ง... กวน...” จนคนโดนด่าได้แต่หัวเราะขลุกขลักในลำคอ

   “ไปนั่งรอพี่ตรงนอกชานหนา พี่ปูผ้ารองนั่งไว้รอท่าแล้ว รอน้ำเดือดอีกสักชั่วเคี้ยวหมากแหลก ประเดี๋ยวจะยกโกโก้ร้อนไปให้ นั่งชมดาวไปพลางๆ นะเจ้า”

   เสียงพุดตะโกนไล่หลังมา แต่อารมณ์ที่โดนแกล้งเมื่อครู่ ทำให้กาลดื้อแพ่งไม่ยอมเดินไปนั่งรอแต่โดยดี กลับเดินสำรวจบริเวณเรือนแพของพุดแทน เรือนแพก็เหมือนเรือนไทยทั่วไป เพียงแต่ยกเรือนทั้งหลังลงมาลอยอยู่บนน้ำเท่านั้น และความที่อยู่บนน้ำนี่เอง ก็ทำให้มีลมโชยพัดให้เย็นชื่นใจตลอดเวลา คงจะดีถ้าหากลมนั้นพัดมาคลายร้อน แต่นี่กาลเพิ่งลงแช่น้ำมาหมาดๆ ทำให้ขนลุกกรูเกรียวไปทั่วทั้งแขน นึกแล้วก็ได้แต่เซ็งร่างกายนี้ก็ตรงเจ็บป่วยง่ายนี่แหละ สมัยยังเป็นเด็กวัดกาล เคยโดดท่าน้ำเล่นโครมๆ ไม่ยักกะเป็นอะไร นี่โดนน้ำนิดเดียว มือเท้าเย็นหน้าซีดปากสั่นอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ

   กาลเดินกอดอกไหล่ห่อไล่เดินดูรอบๆ บริเวณเรือนของพุด ซึ่งดูแล้วก็เป็นระเบียบเรียบร้อยสมกับตัวเจ้าของดี ข้าวของจัดวางไว้เป็นโซนใครโซนมัน ตู้ โต๊ะ ตั่ง สะอาดหมดจด กาลแอบเอานิ้วลูบดู ฝุ่นสักเม็ดผงยังไม่ระคายมือเลย  พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นขลุ่ยซึ่งวางไว้ในตู้โชว์ห้าเหลี่ยมแกะสลักลายไม้วิจิตรบรรจง นึกย้อนไปเมื่อวันแรกที่มาถึงโลกนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่าพี่พุดเคยเป่าขลุ่ยให้ฟังนี่นา กาลหยิบขลุ่ยเลานั้นขึ้นมาพลางวิ่งไปซุกตัวบนกองผ้าที่พุดเตรียมไว้ให้เพราะทนความหนาวไม่ไหว

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 09-11-2017 22:05:14
   กำลังนั่งพิจารณาขลุ่ยอยู่ดีๆ ถ้วยโกโก้ร้อนที่ส่งกลิ่นหอมควันกรุ่นก็ถูกยกมาวางตรงหน้าพร้อมกับเสียงสัพยอกที่ดังขึ้นข้างหู

   “ซนอะไรอีกเล่า ดื่มเสียก่อนเถิดหนา ร่างกายจักได้อบอุ่น ประเดี๋ยวค่อยซนต่อ”

   กาลวางขลุ่ยในมือลงแล้วยื่นไปรับแก้วโกโก้แต่โดยดี สองมือกุมรอบตัวแก้วเพื่อคลายอาการมือเย็น จากนั้นเป่าให้อุ่นแล้วค่อยยกขึ้นจิบ คลื่นความร้อนไหลวาบไปตามลำคอแล้วลงไปสร้างความอบอุ่นในกระเพาะทันที

   “อ่า...”

   เสียงครางพึงพอใจมาพร้อมกับอาการหลับตาพริ้ม น่าหมั่นไส้จนพุดอยากยกมือดีดหน้าผากโค้งมนที่แหงนเงยนั่นดูสักที แต่ที่ทำได้ก็เพียงแต่มองอย่างมันเขี้ยวแค่นั้นเอง ไม่กล้าลงมือหรอก กลัวคุณหนูเธอจะเจ็บตัว

   หลังลดแก้วในมือลง กาลก็ถามคำถามเดียวกับตอนนั่งมาบนเรือทันที

   “พี่พุดอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอจ๊ะ”

   ครานี้พุดเปิดปากเล่าเสียยืดยาวว่าอยู่เพียงคนเดียว แยกตัวออกมาอยู่ตั้งกะรุ่นๆ นู่นแน่ะ แล้วพอคุ้นชินกับการอยู่คนเดียวมาตั้งนาน จะให้กลับไปรวมอยู่บนเรือนเศรษฐ์ฯ ก็รู้สึกแปลกๆ เสียแล้ว พุดยังเล่าให้ฟังอีกว่าบ่าวไพร่บนเรือน ใครอยากอยู่ตรงไหน ปลูกเรือนที่ใด ท่านอำนาจท่านตามใจหมด แต่ส่วนมากมักจะอยู่กันแถวเรือนเศรษฐ์ฯ นั่นแหละ มีกระไรก็เรียกขานกันได้ง่าย แต่ตัวพุดเองนั้นชอบอยู่บนเรือนแพ เพราะเย็นสบายดี ลมโชยชื่นใจตลอดเวลา

   “แหม... ถามนิดเดียวตอบซะยาวเลยนะจ๊ะ”

   เรือนกายคร้ามแดดที่กำลังตอบคำถามไปดูต้นไม้ในกระถางน้อยริมระเบียงไปถึงกับชะงักทันควัน ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างฝืนไม่อยู่

   “ตอนไม่พูด แค่พยักหน้าตอบก็ว่าไม่พูดไม่จา พอขยายความให้ก็ว่าตอบซะยาว เอาใจยากจริงหนา”

   คนโดนสัพยอกเริ่มทำตาขวาง พุดจึงรีบวางดอกไม้สีขาวดอกเล็กที่เพิ่งเก็บมาจากกระถางเมื่อครู่ลงตรงหน้ากาลทันที

   “อย่าโกรธเคืองกันเลยหนา พี่แค่ล้อเล่นเท่านั้น ดอกไม้นี่พี่ให้คุณหนูนะขอรับ ถือเสียว่าเป็นของงอนง้อที่ทำให้เจ้าขุ่นใจได้หรือไม่”

   กาลยกดอกไม้ขึ้นดมทันทีตามความเคยชิน

   “ไม่เห็นจะหอมเลยพี่พุด ตอนหนูให้ดอกมะลิพี่ยังหอมนะ”

   “ดอกไม้นี้ไม่มีกลิ่นหอมดอกเจ้า แต่มีดอกดกตลอดปี มีให้... ตลอดเวลา” ท้ายเสียงกรุ้มกริ่มชวนให้อยากรู้จนกาลต้องออกปากถามว่านี่คือดอกอะไร

   “พุด... ศุภโชคน่ะเจ้า”

   กะ... ก็แค่ชื่อดอกไม้ ทำไมต้องใจเต้นแรงขนาดนี้ด้วยเล่า!

   กาลมองซ้ายมองขวา มือไม้พันกันเกะกะขึ้นมาทันที ไม่รู้จะวางมืออย่างไร จนเมื่อเห็นขลุ่ยที่ตนหยิบมาจึงรีบเรียกพุดเสียงติดจะสั่นๆ ด้วยความเขิน

   “พะ... พี่พุดจ๋า”

   ฝ่ายถูกเรียกอมยิ้ม ระยะหลังที่คุณหนูกาลความจำเสื่อมมา เธอมิได้วางท่าสูงศักดิ์ แบ่งชั้นวรรณะนายบ่าวอย่างชัดเจนอย่างเมื่อหนหลัง แลมักจะทำหน้าตาสุ้มเสียงออดอ้อนอยู่เนืองๆ ทำให้พุดก็มักจะค่อยๆ ใช้คำพูดราวกับพูดกับน้องน้อยอยู่บ่อยๆ เช่นกัน

   “ทำเสียงเยี่ยงนี้จะออดอ้อนเอาสิ่งใดล่ะเจ้า”

   “พี่พุดเป่าขลุ่ยให้หนูหน่อยสิ”

   แค่กๆๆ พุดสำลักกระอักกระไอจนหน้าแดง กาลตกใจรีบส่งแก้วโกโก้ของตนเองให้พลางลูบหลังลูบไหล่เป็นการใหญ่ หลังจากคลายอาการไอจึงค่อยถามกระท่อนกระแท่น

   “กะ... กระไรนะเจ้า”

   กาลเอียงคอกะพริบตาปริบทำหน้าสงสัย กระไร อะไร? พลันนึกขึ้นได้ หันไปคว้าขลุ่ยส่งให้พุดอย่างรวดเร็ว พุดสูดหายใจเข้า เอาอากาศบริสุทธิ์ไปชะล้างสิ่งอกุศลในสมองอยู่หลายเฮือกจึงค่อยยื่นมือไปรับขลุ่ยจากมือคุณหนูกาลที่ยังทำหน้างงอยู่

   “พี่พุดจะตกใจทำไมจ๊ะ แค่จะขอให้เป่าขลุ่ยให้หนูฟังแค่นี้เอง”

   “เอ่อ... “ พุดเสหลบตากระแอมไอ

   “พี่ไม่ได้เป่านานแล้วน่ะเจ้าเลยกลัวจะไม่ไพเราะเท่าที่ควร วะ... ว่าแต่ อยากฟังเพลงอะไรล่ะขอรับ Moonlight Sonata ของ Beethoven ดีไหม?”

   พุดรีบถามเพื่อเบี่ยงประเด็นทันที กาลก็ถลึงตาตอบกลับทันควัน เพราะเพลงที่พุดเสนอ ไม่ได้เข้ากับคืนเดือนแรมเลยแม้แต่นิดเดียว กาลอยากจะถอนหายใจเป็นภาษาโปรตุเกสจริงๆ ให้ดิ้นตาย คิดได้ไงข้างแรมกับ Moonlight เนี่ยนะ

   “พี่พุดจ๊ะ เราอยู่บนเรือนแพ บรรยากาศโบราณขนาดนี้ หนูขอเพลงที่เข้ากับอารมณ์ความรู้สึก... อืม... ความรู้สึกของพี่พุดก็ได้ พี่ว่าเพลงอะไรดีจ๊ะ”

   เสียงขลุ่ยที่ค่อยๆ แผ่วโหย จากนั้นจึงหวานแหลมดังขึ้น กาลนิ่งฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม มองพุดจรดปากแล้วไล่พรมนิ้วลงบนเลาขลุ่ยพลางนึกชื่นชม ท่านั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าเรียบร้อย หลังไหล่ตึงตรงเป็นสง่าหลับตาพริ้ม

   อืม... ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์แฮะพี่พุดเนี่ย เสียงโน้ตที่ไล่สูงต่ำกังวานอยู่เป็นครู่ จวบจนช่วงท้ายของเพลง เสียงขลุ่ยจึงได้ทอดอ่อนแว่วหวานคล้ายเสียงเจือสะอื้น กาลหลับตาซึมซาบทำนองอยู่ในหัวใจเป็นครู่ก่อนจะเอ่ยปาก

   “หวานมากเลยพี่พุด แต่ก็เป็นความหวานแบบเศร้าๆ เนอะ ชื่อเพลงอะไรหรือจ๊ะพี่”

   “ตามความรู้สึกพี่น่ะเจ้า ตรงกับชื่อเพลง ‘แสนคำนึง’ พอดี แต่ตรงเฉพาะชื่อหนา มิเกี่ยวกับเหตุการณ์แต่อย่างใด”

   “เหตุการณ์อะไรจ๊ะ”

   พุดจึงเล่าให้ฟังถึงประเทศสยามช่วงของสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามที่ได้มีคำสั่งห้ามเล่นดนตรีไทย ด้วยเห็นว่าโบราณคร่ำครึ แล้วเพลงไทยต่างๆ บ้างก็ชื่อขึ้นต้นด้วยลาวบ้าง เขมรบ้าง จีนบ้าง นัยว่าชื่อเพลงเหล่านี้สวนทางต่อนโยบายรวมไทยของท่านผู้นำ หลวงประดิษฐ์ไพเราะจึงได้ประพันธ์เพลงแสนคำนึงถ่ายทอดความเสียใจ และเพื่อเป็นการต่อต้านการถูกห้ามเล่นดนตรีไทยออกมา

   “ถึงว่า...” กาลคราง
   “หนูถึงได้รู้สึกว่าเพราะมาก แต่ก็เศร้ามากเหมือนกัน”
   “อย่าเศร้าไปเลยเจ้า พี่เล่นเพลงนี้เพื่อสื่อความรู้สึก แสนคำนึง ต่างหาก มิได้เล่นเพื่อให้คุณหนูเศร้านะขอรับ”

   คำตอบของพุดทำให้ภายในหัวใจของกาลกลับเต้นผิดจังหวะแปลกๆ อาจเพราะคืนนี้มีแต่ดาวพราวระยับไร้แสงจันทร์เลยทำให้ตื่นเต้นหวาดกลัว หรือไม่ก็เพราะลมหนาวที่บาดผิว จึงทำให้หวามในช่องท้องคล้ายอาการเกร็งตัวยามอยู่บนที่สูง กาลพยายามหาเหตุผลมารองรับอาการใจเต้นแรงของตัวเองเต็มที่

   บางครั้งกาลก็ไม่แน่ใจในตัวของตัวเองนัก ว่าทำไมทุกเรื่องที่มีพี่พุดเข้ามาเกี่ยวข้อง เขามักจะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตลอด ไม่ว่าจะน้อยใจถ้าพี่พุดจะเอ็นดูไอ้คุณหนูกาลมากกว่า หรือความรู้สึกกลัวพี่เขาจะโกรธเวลาตัวเองทำผิดจนต้องมานั่งขอโทษซ้ำๆ แม้กระทั่งอาการที่ในอกมันเต้นแรงๆ ทุกครั้งที่มีเรื่องมากระทบให้ชวนดีใจ เกิดมา ๑๘ ปี ไอ้กาลเพิ่งจะรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก ได้แต่โทษว่าเป็นเพราะร่างกายของคุณหนูกาลนั่นแหละที่มันอ่อนแอ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักตลอดเวลา

   ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ บรรยากาศต่อจากนั้น ไม่มีคำพูดออกจากปากคนทั้งสองแม้สักคำ ปล่อยให้ความเงียบลอยวนโอบล้อมอยู่รอบตัว นานเป็นครู่กว่าเจ้าของเรือนจะออกปากเตือน

   “ดึกแล้วนะขอรับ น้ำค้างเริ่มลงแรงแล้ว ได้เวลากลับเรือนแล้วกระมัง”

   กาลลุกขึ้นจากกองผ้าห่มนวมอย่างเกียจคร้าน ทำท่าจะเดินไปลงเรือที่พุดจอดไว้ หากแต่มือหนาคว้าข้อมือแล้วบุ้ยใบ้ให้เดินตามออกมาอีกทาง ที่แท้อีกด้านของเรือนแพมีทางเดินลัดเลาะมุ่งสู่เรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลอีกทางหนึ่งด้วย กาลเดินตามพุดที่มือหนึ่งคอยจับจูง ส่วนอีกมือคอยยกตะเกียงส่องทาง

   ตลอดทางเดินซ้ายขวาของกาลเป็นต้นไม้เรียงตลอดสองข้างทางสลับสูงต่ำกันไป จากไฟตะเกียงที่วูบวาบ เพียงเห็นเป็นต้นเล็กใหญ่สลับกัน กาลอดดึงมือของพุดแล้วชะลอฝีเท้าลงเพื่อถามไถ่ไม่ได้

   “พี่พุดๆ พี่ปลูกต้นอะไรบ้างอะจ๊ะ รู้แต่ปลูกสลับกันสูงๆ ต่ำๆ เนี่ย”

   แสงจากตะเกียงที่ชูขึ้นสูงเบนมาส่องให้คนช่างสงสัยได้มองเห็นถนัดตา พุ่มเล็กๆ ด้านล่างเป็นต้นบานไม่รู้โรย มีทั้งสีม่วง สีขาว ส่วนต้นที่สูงกว่าและถูกปลูกสลับคั่นไว้คือดอกรักนั่นเอง

   “ต้นรักกับต้นบานไม่รู้โรย?” กาลย่นคิ้ว หันไปถามเพื่อความแน่ใจ

   “อืม... รักไม่รู้โรย”

   ก็แค่ชื่อต้นไม้ ทำไมคนตอบต้องหน้าแดง ท่าทางพี่พุดก็หัวใจทำงานหนักเหมือนกันล่ะมั้ง กาลส่ายหัวงุนงงกำลังจะซักถามต่อก็โดนคนหน้าแดงบีบกระชับมือแล้วพาเดินต่อไป แสงไฟลิบๆ ที่เห็นด้านหน้าทำให้รู้ว่าเดินมาจนเกือบถึงเรือนเศรษฐฯ แล้ว เหลียวหลังกลับไปดูก็เห็นเป็นเส้นทางทอดยาวไปสู่เรือนแพ ความจริงตรงนี้เป็นทางเข้าด้านหน้าของเรือนพี่พุดต่างหากล่ะสิเนี่ย กำลังจะเบนสายตากลับแล้วเชียว ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นแผ่นป้ายเล็กๆ ตรงหน้าทางเข้าเสียก่อน สงสัยจะเป็นชื่อเรือน อยากรู้จริงว่าเรือนของพี่พุดจะใช้ชื่อว่าเรือนอะไร คิดแล้วก็แย่งตะเกียงมาถือเอง แล้วเดินลิ่วๆ กลับไปยกไฟส่องดูให้หายสงสัยทันที

        รัก   หนอรักแต่เจ้า      ดวงใจ พี่เอย
        ไม่     สร่างจากฤทัย      ท่วมท้น
        รู้     เพียงพี่หลงใหล      ขอใฝ่ ชมชื่น
        โรย     ใส่รักจนล้น              พี่เฝ้า ถนอมกาล

   “อื้อหือ สงสัยจะชอบดอกรักกับดอกบานไม่รู้โรยมากนะจ๊ะเนี่ย ถึงขั้นมีกลอนไว้ให้ต้นไม้เลย”

   พุดยืนนิ่งตกตะลึงได้แต่ทอดถอนใจ เออหนอ พ่อคุณของพี่ฉลาดเฉียบแหลมในทุกเรื่อง ใยเรื่องนี้จึงได้ทึ่มทื่อนักเล่า คิดแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างแกนๆ ว่าตนเองนั้นรักต้นไม้มาก พลางอธิบายให้รู้ว่าโคลงบทนี้เรียก โคลงกระทู้เดี่ยว หาใช่เรียกคำกลอนไม่ พ่อคนฉลาดก็ก้มหัวพยักหน้ารับว่ารู้เรื่องเสียดิบดี... ทำไมถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของพี่ง่ายๆ เยี่ยงนี้บ้างเล่า!!
   




~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

มาแล้วค่า
ตอนแต่งโคลงบทนี้นี่ 2 พยางค์สุดท้าย เกือบจะกลายเป็น “หิวโหย” ไปแล้วค่ะ  เพราะนักเขียนกำลังหิวอยู่พอดี  :laugh:
อีกอย่างมันก็เหมาะกับน้องกาลดีนะคะ เพราะน้องค่อนข้าง ตะกละ เอ๊ย! เห็นแก่กิน แฮ่ม อ่า... หมายถึง ชอบกินน่ะค่ะ  :m23: 
สำหรับน้องกาลแล้วเรื่องกินเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องพี่พุดก็ยังคงมึนเหมือนเดิม กร๊ากกก วงวารพี่พุดแกนะคะ  :laugh3:
แต่ที่ต้องเปลี่ยนเป็นคำนี้เพราะเกรงใจพี่พุดแกล่ะค่ะ พี่พุดแกต้องคีปคูลต่อไปอยู่ค่ะ
ฝากติดตามให้กำลังใจน้องกาลด้วยนะคะ  :impress2:

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



^-^ Billie กอดดดค่า  :กอด1:
^-^ sirin_chadada น้องกาลยังคงซึนยั่วตบะพี่พุดตลอดเวค่ะ สักวันคงโดนจับกินแน่นอน  :laugh:
^-^ alternative เจอขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ ถถถ วงวารพี่พุด  :laugh3:
^-^ ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ช่วงนี้ก็ออกจะหวานๆ หน่อยค่ะ  :-[ :-[
^-^ qq_oo ดีใจที่มีคนรอ มาแล้วค่า  :impress2:
^-^ colorofthewind21 ตอนนี้ยิ่งสงสารพี่พุดเข้าไปใหญ่ค่ะ น้องกาลยังคงไม่รู้เรื่อง  :laugh3:
^-^ badbadsumaru พี่พุดน่าสงสารจริงๆ ค่ะ โดนอ่อยแบบที่คนอ่อยไม่ค่อยจะรู้ตัว  :laugh:
^-^ poppycake น้องกาลยังคงอ่อยอย่างต่อเนื่องค่ะ พี่พุดน่าสงสารสุดๆ  อยากไปรับใช้เรือนเศรษฐฯ จริงๆ ค่ะ แค่เป็นคนกวาดลานบ้านก็ยังดี  :oni1:
^-^ ♥►MAGNOLIA◄♥ อิจในความร่ำรวยของบ้านนี้จริงๆ ค่ะ แค่เป็นข้ารับใช้ก็คงมีกินไปทั้งชาติ เผื่อจะได้สารพัดพลอยมาใช้บ้างค่ะ ตอนนี้ผลัดกันใจเต้นแล้วค่ะ ต... แต่ น้องกาลคิดว่าเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ถถถ  :laugh:
^-^ puiiz กอดดดดด  :กอด1:
^-^ maneethewa อื้อหือ เขิลลลลล  :จุ๊บๆ:
^-^ Piima เอร๊ยยยย ขอบคุณค่า รับแทนหนูกาล  :impress2:


:pig4: :pig4:
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-11-2017 22:27:17
เหมือนเป็นโคลงบอกรักเลยอะ แต่หนูกาลก็ยังคงทึ่ม ฮา
นี่ดันคิดว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจหรือป่วยเสียละมั้ง
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 09-11-2017 22:43:16
โอ้ยยย

อะไรจะหวานขนาดนี้ มาพี่จ๊ะ พี่จ๋าาา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 10-11-2017 00:43:55
น้องกาลคนซื่อ พี่พุดพูดเรื่องนี้ เข้าใจไปเรื่องโน้น โถๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 10-11-2017 01:52:17
55555555 หนูกาลลูกกกก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
สงสารพี่พุดนะขอรับ อดทนไว้นะพี่ฮึบๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-11-2017 08:56:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2017 10:31:19
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-11-2017 13:09:26
หนูกาลน่ารักมากๆเอ็นดูสุดๆ พี่พุดคงใจบางแทบทุกตอน  :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-11-2017 15:50:03
พี่พุดต้องเข้าใจเด็กโง่นะ

ถ้าอยากพักใจไหล่ฉันว่างเสมอ อิอิ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 10-11-2017 17:14:38
ตอนนี้คือสวีทหวานกันทั้งตอนเลยจร้า >\\\\<
แต่กาลของเราก้อยังอึนมึนๆต่อไป โทษร่างกายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงซะงั้น!
โครง ก้อสื่อขนาดนี้ ก้อยังไม่รุ้ตัวไปอีก!
วงวารพี่พุดจากใจจริง 555555555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ (3/11/2560) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-11-2017 21:53:22
ถ้าจะรวยขนาดนั้น แบ่งมานี่บ้าง 55555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 11-11-2017 13:29:15
น่ารักจริงๆน้า
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Lautenyu ที่ 13-11-2017 14:21:23
จะให้เข้าใจความในใจกันได้ง่ายๆ ก็จบเร็วนะสิ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 7 @เรือนแพ - รู้สึกไม่แน่ใจ (9/11/2560) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 14-11-2017 19:28:50
สนุกดีจ้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 18-11-2017 21:00:51
บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้

   “หนูกาลๆ ตื่นเถิดหนา วันนี้วันพระ ไหนว่าจะไปช่วยปริกทำขนมไม่ใช่หรือเจ้า”

   แรงเขย่ามาพร้อมกับเสียงเรียกอ่อนหวานที่ชวนให้หลับต่อเสียจริงๆ กาลพลิกหน้าซบลงบนตักของคุณมารตีพลางทำเสียงงัวเงีย

   “ขอหนูนอนต่ออีกหน่อยได้ไหมจ๊ะ” พูดจบก็คว้าเอามือของคุณมารตีมารองหนุนแก้มเตรียมหลับต่อ คนเป็นแม่เห็นแล้วก็ให้เอ็นดูนัก แต่ก็จำต้องหักใจทำเสียงแข็งใส่อีกระลอกเพราะมิเช่นนั้นคงมิทันถวายเพลเป็นแน่ กว่าจะเตรียมอาหารคาวหวาน กว่าจะเดินทาง

   “ไม่ต้องมาออดอ้อนเลยเจ้า ลุกมาเสียแต่โดยดี ถ้ามิอยากโดนแม่หยิกเนื้อเขียวรับอรุณ”

   “คุณแม่อ่า...”

   ใบหน้าที่ซุกซบกลิ้งเกลือกอยู่บนตักของมารดาอย่างเกียจคร้านย่นยู่ ขณะที่ปากอิ่มขอต่อรองอยู่นั้น ดวงตาทั้งคู่ต่างก็สมัครสมานกันปิดสนิท ไม่ยอมเปิดมาดูเสียด้วยซ้ำ คุณมารตีเลยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พยักพเยิดให้ปริกลุกไปเปิดผ้าม่านออกให้หมดทุกด้าน ส่งผลให้คนขี้เซาหยีตาทันที

   ท่าทางที่ค่อยๆ หรี่ตาแล้วทำปากเบะ ไม่รอดพ้นสายตาของผู้เป็นแม่แม้แต่น้อย

   “โตแต่ตัวนะเจ้า ไฉนขี้เซาเป็นเด็กๆ เยี่ยงนี้หือ”

   กาลลุกขึ้นนั่งพับเพียบอยู่บนที่นอนพลางโอบเอวมารดาอย่างประจบประแจงทันที

   “เป็นเด็กอย่างนี้ไม่ดีหรือจ๊ะ หนูจะได้อยู่ให้แม่เลี้ยงหนูไปนานๆ”

   “กระบวนการปากหวานนี่คุณหนูกาลชนะเลิศเจ้าค่ะ อ้อนเก่งขนาดนี้ ถ้ามีคนรัก อิฉันว่าคนรักของคุณหนูต้องหลงคุณหนูหัวปักหัวปำแน่ๆ เทียว”

   “ไม่เอาอะจ้ะ หนูจะอยู่เป็นลูกแดงให้คุณแม่กับพี่ปริกเลี้ยง อยู่อ้อนไปนานๆ ดีไหมจ๊ะสาวๆ”

   เพี๊ยะ!

   เสียงฟาดต้นขาโดยฝีมือคุณมารตีทำให้เจ้าตัวดีหยุดพูดเล่นได้ จากนั้นจึงโดนไล่ให้ไปอาบน้ำแต่งตัว เพราะถ้ายังขืนโยกโย้เยี่ยงนี้ ท่าทางขนมที่จะทำไปถวายท่านเจ้าประคุณคงไม่แล้วเป็นแน่

   แม่ปริกจัดเตรียมข้าวของอันประกอบด้วยแป้งถั่วเขียว แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย เกลือ หัวกะทิ และน้ำลอยดอกมะลิที่คุณหนูกาลอาสาเก็บให้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน กำลังตระเตรียมพิมพ์ใส่ขนมอยู่ ก็มีอันต้องสะดุ้งจนพิมพ์หลุดมือ เมื่อมีท่านแขนอ้อมมาจากด้านหลังแล้วโอบกอดเข้าให้เต็มรัก

   “จ๊ะเอ๋!”

   “อุ๊ย! หกๆ ตกหมดแล้วพ่อคุณเอ๊ย!”

   นางปริกยกมือทาบอก หัวใจยังเต้นตึ้กๆ ด้วยความตกใจ แต่คนแกล้งกลับหัวเราะจนตายิบหยี แล้วยังมีหน้ามาเอ่ยปลอบทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายลงมือแกล้งคนเขาแท้ๆ

   “โอ๋ๆ น้าพี่ปริก ไหนๆ มาให้หนูเป่าเพี้ยงเรียกขวัญมา”

   แขนเรียวยาวที่โอบเข้ารอบเอวพลางเอนหน้าซบลงบนต้นแขนแล้วยิ้มตาหยีส่งให้ เจอลูกประจบแบบนี้เข้าไปแม่ปริกรึจะกล้าเอ่ยคำว่ากล่าว นอกจากดุไม่ลงแล้วยังลูบศีรษะด้วยความรักใคร่อีกต่างหาก

   “มาๆ เจ้าค่ะ เร่งกวนขนมกันดีกว่า ประเดี๋ยวจะยิ่งสายไปกันใหญ่ ซุบซิบอะไรกันยะพวกหล่อน ตั้งเตาสิยะ แล้วกระทะทองล่ะอยู่ไหน ไม้พายด้วย เอามาเสียให้พร้อมกัน คุณหนูเธออุตส่าห์ลงครัว อย่าได้มัวชักช้า”

   พวกบ่าวสาวๆ คนอื่นต่างปิดปากหัวเราะคิกคักพยักพเยิดให้ดูคนสองมาตรฐานกันใหญ่ คุณหนูกาลทำอะไรก็ดีงามไปเสียทั้งสิ้น ทีพวกตนแค่ป้องปากกระซิบก็โดนแหวเข้าใส่กันเสียแล้ว

   ปริกยังคงบ่นต่อไปอีกสามสี่คำ ก่อนจะจับจูงคุณหนูกาลมานั่งแปะลงหน้าเตา เทน้ำลอยดอกมะลิใส่ลงในแป้งถั่วเขียว คนให้เข้ากัน แล้วจึงกรองเพื่อนำไปกวนต่อไป

   “หนูกวนให้นะจ๊ะพี่ปริก เรื่องกวนหนูว่าหนูถนัดนะ”

   ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่รู้กันหรอกว่าคุณหนูกาลเธอจะกวน... เอ่อ กวนอารมณ์เก่งขนาดนี้ แต่บัดนี้ ปริกเชื่อหมดหัวใจเลยเทียวว่าเรื่องกวนนี่ไว้ใจคุณหนูกาลได้ มืออวบส่งไม้พายให้พร้อมทั้งสอนให้กวนไปทิศทางเดียวกัน ขนมจะเข้ากันได้ดีกว่า แรกๆ ตัวขนมยังใส กาลก็กวนไปคุยหยอกล้อกับแม่ปริกไป จนขนมเริ่มข้นขึ้นก็เกิดอาการเก้ๆ กังๆ ขึ้นมาทันที ปริกกลัวขนมจะไหม้จนต้องเททิ้งทั้งกระทะ จึงฉวยไม้พายมาจัดการต่อเองเป็นอันจบเรื่องราว

   จนมาจะหยอดขนมลงพิมพ์ กาลก็ตักช้าจนน่ากลัวขนมจะเย็นตัวแล้วหยอดไม่ได้ ร้อนถึงบ่าวคนอื่นต้องมาช่วยหยอดให้ทันก่อนขนมเย็นตัวกันเป็นการใหญ่ ขั้นตอนสุดท้ายบีบหน้าลงบนตัวขนมก็ทะลักเละเทะจนแม่ปริกต้องกุมขมับ เพราะของถวายพระถวายเจ้าก็ควรต้องงามงดกันอยู่สักหน่อยกระมัง

   กาลหัวเราะแหะๆ ก่อนยื่นถุงบีบส่งคืนให้แม่ปริกอย่างรู้ตัวดีว่าถ้าฝืนทำต่อไปอาจเกิดโศกนาฏกรรมทางอาหารมากไปกว่านี้ก็ได้ หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวตอนนี้ของกาลก็เลยเป็นการยกจานขนมที่แบ่งออกไว้ไปให้คุณมารตีกับท่านอำนาจชิม

   “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ หอมไหม”

   กาลออกปากถาม เมื่อทั้งพ่อและแม่ต่างส่งขนมเข้าปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   “อร่อยมากจ้ะหนูกาล จริงไหมเจ้าคะคุณพี่” คุณมารตีหันไปจิกตาใส่ผู้เป็นสามีให้รีบตอบคำถามของลูกรัก แน่นอนว่าขนมยังไม่ทันถูกกลืนลงคอ ท่านอำนาจก็พยักหน้ารัวว่าอร่อยเต็มที่

   “อร่อยน่ะมันอร่อยแน่อยู่แล้วล่ะจ้ะ แม่ปริกลงมือเองซะอย่าง หนูถามว่าหอมรึเปล่าต่างหากล่ะจ๊ะ”

   “หือ” ท่านอำนาจเลิกคิ้วพลางพยายามสำรวจว่ามีกลิ่นหอมตามคำบอกของบุตรชายหรือไม่ หลังจากที่กลืนขนมคำสุดท้ายลงคอไปก็รู้สึกถึงความหอมอวลอยู่ในโพรงปากจริงๆ

   “หอมอ่อนๆ ชื่นใจดีนะเจ้า กลิ่นมะลิใช่ฤาไม่”

   กาลรีบฉีกยิ้มพยักหน้ารับทันที พลางเอ่ยปากโอ้อวดฝีมืออันเป็นเอกในครานี้อย่างภาคภูมิใจ

   “คุณพ่อตอบถูกจ้ะ เป็นกลิ่นมะลิจริงๆ น้ำลอยดอกมะลิที่เอามาทำขนมวันนี้น่ะ หนูเป็นคนเด็ดมะลิเองกับมือ ขนมถึงได้หอมขนาดนี้ยังไงล่ะจ๊ะ”

   คนที่นั่งอยู่บนนอกชานต่างอึ้งกันไปเป็นแถวๆ ยิ่งแม่ปริกทั้งทึ่งทั้งขำจนน้ำตาเล็ด เออหนอ ทำกระไรไม่ได้เธอก็ยังภูมิใจที่เธอเป็นคนเด็ดดอกมะลิเองกับมือเอาก็ได้ นี่ถ้าท่านเจ้าประคุณรู้ถึงฝีมือเด็ดดอกมะลิจนทำให้ขนมหอมอร่อย คงจะชื่นชมจนน้ำตาไหลเสียกระมัง

   ส่วนท่านอำนาจเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่บุตรชายถามหาความหอมของขนมก็ได้แต่เลิกคิ้วหัวเราะลั่นเรือน ผิดกับคุณมารตีที่หน้าเจื่อนเพราะอุตส่าห์ออกตัวรับรองกับสามีเสียดิบดีว่าวันนี้ลูกลงครัวทำขนมเอง

   “ไปๆ เร่งเดินทาง ไปถวายเพลเสร็จจักได้กลับมาตระเตรียมข้าวของ งานการยังรออยู่อีกพะเรอเกวียน วันนี้นั่งรถไปแล้วกันนะเจ้าคะคุณพี่ ไปทางเรือน้องเห็นว่าจะเป็นการชักช้าเสียเวลา คุณพี่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ”

   ขณะที่ท่านอำนาจเตรียมจะอ้าปากบอก บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็ฉวยหยิบข้าวของเดินลงเรือนไปยังโรงรถข้างเรือนใหญ่ทันที ก็ถ้าคุณมารตีบอกว่านั่งรถเสียอย่าง จะขนของไปทางเรือเพื่ออะไร! บ่าวคนสุดท้ายก้าวลงบันไดเรือนก็ได้ยินเพียงเสียงตอบรับแว่วๆ ตามที่คาดการณ์ดังลอยมาตามลม

   “พี่ก็เห็นพ้องกับแม่รตีเช่นกัน ไปทางเรือน่าจะมิทันท่วงที ไปทางรถตามอย่างที่เจ้าว่าน่ะถูกต้องแล้ว”

*******************************************************************************************

   “กราบนมัสการท่านเจ้าประคุณเจ้าค่ะ”

   คุณมารตีเอ่ยนำพร้อมก้มลงกราบ สามี ลูกและบ่าวด้านหลังล้วนก้มกราบภิกษุแห่งวัดใหญ่กันถ้วนหน้า ท่านเจ้าประคุณรับคำ

   “เจริญพร” ก่อนจะกวาดสายตามองดูญาติโยมที่มาจากเรือนเศรษฐ์ฯ ที่ดูจะมากันครบ ขาดเพียงชายหนุ่มผิวคร้ามที่เคยตามติดเป็นเงาเจ้าเด็กปากดี

   “เจ้าพุดไปไหนเสียเล่า สงสัยฝนฟ้าจะตกผิดฤดูกระมังจึงยอมห่างกายเจ้านายมันได้เยี่ยงนี้”

   “อิฉันใช้ให้ไปเตรียมงานที่ฟากขะโน้นเจ้าค่ะ จักได้เบาใจหน่อยว่ามีคนดูแล” คุณมารตีเป็นฝ่ายตอบ

   “หาไม่พวกคนงานที่จ้างมาคงได้แอบอู้เป็นแน่”

   “อ้อ กระนั้นรึ ข้าก็ลืมไปเสียสิ้นว่าโยมต้องไปที่ฟากโน้นกันทุกปีนี่หนา”

     ริมฝีปากขมุบขมิบที่เห็นทางหางตาแวบๆ ทำให้ท่านเจ้าประคุณอดไม่ได้ที่ต้องหันไปลับฝีปากกับเจ้าตัวดีมันเสียหน่อย
   “มีกระไรรึเจ้ากาล พูดอะไรก็ให้ชัดถ้อยชัดคำ มาทำอุบอิบกระซิบกระซาบ ข้าไม่รู้เรื่อง”

   เจ้าคนโดนเรียกก็ได้แต่สะดุ้ง ส่งยิ้มแหยไปให้ เพราะเมื่อครู่กำลังนึกนินทาอยู่เชียวว่าหลวงตาคนโน้นก็เหมือนกับหลวงตาคนนี้ พอแก่แล้วก็ขี้หลงขี้ลืม แต่ใครจะไปกล้าบอกความจริงกันเล่า คงได้โดนดึงหูยานแน่ ถ้าท่านเจ้าประคุณรู้ว่าโดนนินทา คิดแล้วก็รีบคลานเข่าเข้าไปบีบนวดอย่างประจบประแจงเพื่อแก้สถานการณ์จากการที่กำลังจะโดนดุทันที

   “แหม... หนูกำลังรอ ร้อ รอ ต่างหากล่ะจ๊ะ ว่าเมื่อไหร่ท่านเจ้าประคุณจะชิมขนมของหนูเสียที เนี่ย หนูรีบตื่นตั้งแต่เช้ามาช่วยพี่ปริกทำสุดฝีมือเลยนะจ๊ะ ขนมเนี่ยเหมาะกับผู้สูงอายุเป็นที่สุด”

   ภิกษุชราได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ วันนี้ไอ้เจ้ากาลมาแปลก มาทำเป็นออดอ้อนไม่กวนเหมือนดังเก่า ฤามาอยู่ที่นี่นานวันเข้าคงได้รับการกล่อมเกลาไปบ้างแล้วกระมัง ท่านเจ้าประคุณยิ้มออกมาอย่างพึงใจในพฤติกรรมที่ดูท่าจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นของเจ้ากาล ตาเหลือบลงมองสำรับอาหารที่เพิ่งถูกยกประเคนเมื่อสักครู่ก็เห็นขนมสีสวยหวาน ทั้งสีชมพู สีฟ้า แลดูกระจุ๋มกระจิ๋มอยู่ในพิมพ์ถ้วยพลาสติกใส

   “อืม นี่เรอะขนมที่ว่า เรียกขนมกระไรเล่านี่” ปากเอ่ยถามในขณะที่มือก็หยิบมาพิจารณาไปด้วย

   แม่ปริกรับหน้าที่ตอบทันทีด้วยความภูมิใจ

   “ขนมลืมกลืนเจ้าค่ะท่านเจ้าประคุณ ลองชิมดูสักหน่อยนะเจ้าคะว่ารสชาติถูกปากฤาไม่”

   ขนมรสหวานอ่อนๆ มีรสเค็มของกะทิที่หน้าขนมกลืนแล้วก็ให้ลื่นคอนัก ท่านเจ้าประคุณพยักหน้าเอ่ยชมว่าเข้าทีดีทีเดียว เล่นเอาแม่ปริกถึงกับยิ้มแก้มปริ หลังจากอยู่สนทนากันได้ครู่ใหญ่ ทั้งหมดก็ขอตัวลากลับเรือนเพื่อไปตระเตรียมข้าวของก่อนออกเดินทาง พระภิกษุให้ศีลให้พรให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยเสร็จสรรพต่างก็ทยอยลงจากกุฏิ

   กาลกับแม่ปริกอยู่รั้งท้ายแถวชวนคุยกันหัวเราะกระซิกกระซี้ เมื่อหันมองซ้ายมองขวาไม่มีใครอยู่ใกล้ตัว กาลจึงได้แอบกระซิบกับแม่ปริกด้วยสีหน้ามีเลศนัย

   “พี่ปริกรู้ไหมจ๊ะ ทำไมขนมลืมกลืนถึงเหมาะกับผู้สูงอายุอย่างท่านเจ้าประคุณ”

   “ฮ้าย! คุณหนูกาล” ปรกยกมือทาบอกลากเสียงยาว

   “ประเดี๋ยวท่านเจ้าประคุณได้เอ็ดเสียงเขียว ไปว่าท่านว่าแก่ได้อย่างไรเจ้าคะ”

   “หนูยังไม่ได้พูดเลยนะ พี่ปริกพูดออกมาเองว่าแก่ หนูไม่รู้เรื่อง”

   “แน่ะ!” หาความให้อีปริกแล้วไหมล่ะคุณหนูของบ่าว เอาเถอะๆ อิฉันรับไว้เองก็ได้ ว่าแต่ทำไมลืมกลืนถึงได้เหมาะกับท่านเจ้าประคุณล่ะเจ้าคะคุณหนูกาล”

   “ก็คนแก่ขี้หลงขี้ลืมไงล่ะพี่ปริก รอบที่แล้วก็ลืมนอน รอบนี้ก็ลืมกิน”

   เสียงหัวเราะคิกคักของสองนายบ่าวมีอันต้องชะงักกึกเมื่อมีเสียงตวาดไล่หลังมา

   “เจ้ากาล!”

   จากนั้นก็เป็นการแข่งกันโกยอ้าวแทน โดยมีแม่ปริกที่หุ่นอวบอัดแต่ซอยเท้าได้พลิ้วจนกาลยังตามแทบไม่ทันวิ่งนำอยู่ด้านหน้า ข้อมือบางถูกคว้าหมับเข้าให้โดยมือที่เหี่ยวย่นทว่าแข็งแรงกว่า มองไล่ตามท่อนแขนขึ้นไปจะเห็นสีเหลืองเรืองรองที่รู้สึกเจิดจ้าแสบตามมากกว่าทุกวัน จนเมื่อสบตากับดวงตากระจ่างซึ่งสวนทางกับอายุก็เล่นเอากาลสะดุ้ง เพราะท่านเจ้าประคุณจ้องเขม็งตาเขียวปั้ด

   “แหะๆ นมัสการหลวงตาอีกรอบ แล้วขออนุญาตกราบลาเลยนะจ๊ะ หนูต้องรีบไปช่วยคุณแม่ฉีกใบตองแล้วจ้ะ”

   “เฮ้อ! เอ็งนี่มัน... ไฉนจึงเป็นเด็กที่กวนประสาทข้าเยี่ยงนี้หนอ”

   ท่านเจ้าประคุณแห่งวัดใหญ่ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจยาว พลางระงับอารมณ์ จุดประสงค์ที่แท้จริงเพื่อจะตามมาฝากถ้อยคำสักสองสามคำเพียงเท่านั้น หากดันมาได้ยินเจ้าตัวดีพูดจากระตุ้นต่อมโมโหเอาเสียก่อน แล้วดูหน้าตาตอนถูกจับได้ว่านินทากระทั่งพระกระทั่งเจ้าของมันเข้าเถิดหนา ถ้าเป็นหมาก็เรียกว่าหูลู่หางตกเทียวล่ะ คนมองก็ได้แต่ใจอ่อนแอบยกโทษให้อยู่ร่ำไป

   “เอาเถิด... ไม่ต้องมาทำสายตารู้สึกผิดใส่ข้าเลย มิได้จักมาดุด่าหรอกหนา แค่จะมาเตือนว่าหากเกิดเหตุการณ์อันใด เจ้าจึงรู้จักหัดสงบปากสงบคำไว้เสียจักเป็นการดี อย่าได้เที่ยวยั่วเที่ยวแหย่ไปทั่วเช่นนี้อีก กับตัวข้า กับพ่อแม่แลบ่าวไพร่ของเอ็งอาจไม่ถือสา แต่หากเป็นคนนอกที่มิได้รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนก็คงเป็นการไม่งามนัก เข้าใจหรือไม่ ปากเอ็งนี่หนาเจ้ากาล... บทจะดี ปากนี้ก็ช่างฉอเลาะจำนรรจานัก หากบทจะกวนขึ้นมา เฮ้อ... ขนาดข้าถือศีล ๒๒๗ ข้อ ยังเก็บอารมณ์แทบไม่อยู่”

   ภิกษุชราแห่งวัดใหญ่ทอดถอนใจ ดูเอาเถิดว่าตั้งใจมาเจรจาตักเตือนด้วยหวังดี มาได้ยินเจ้ากาลพูดหยอกล้อตนเข้า เส้นเลือดในกายยังพล่านราวน้ำเดือด

   กาลรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ท่านเจ้าประคุณมีให้ จึงก้มลงกราบน้อมรับคำสั่งสอนมาไว้ในใจแล้วลุกขึ้นสวมกอดเข้าที่เอวพลางออดอ้อน

   “หลวงตาสั่งสอน หนูย่อมต้องน้อมนำไปปฏิบัติตามอยู่แล้วจ้ะ แล้วที่พูดเล่นเมื่อกี๊ว่าหลวงตาแก่ก็ไม่จริงเลยสักนิดเดียว เนี่ย แข็งแรงแบบนี้นี่ยังเตะปี๊บดังแน่นอน”

   “เตะเอ็งก็ดังอยู่ดอกนะเจ้ากาล”

   กาลสะดุ้งโหยง กระโดดหนีพลางหัวเราะร่า ก่อนจะหันไปกราบลาท่านเจ้าประคุณอีกคำรบ ทิ้งให้คนสอนยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าที่พูดไปน่ะมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหรือไม่

   กลับมาถึงที่เรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลก็ได้เวลาวุ่นวายเตรียมดอกไม้ หยวกกล้วย ใบตองกันให้อลหม่าน นาทีนี้ไม่มีใครค่อยๆ เยื้อง ค่อยๆ ย่างกันอีกแล้ว ต่างเดินกันเร็วจนสไบปลิวกันเป็นแถบๆ ฝ่ายฉีก ฝ่ายพับ ฝ่ายเย็บ ฝ่ายประกอบ เร่งทำงานประสานกันจนมือเป็นระวิง แน่นอนว่ากาล อดีตเด็กวัดผู้ช่ำชองการพับกระทงใบตองก็กำลังบรรจงประดิดประดอยกระทงเพื่อนำไปลอยขอขมาพระแม่คงคาอยู่เหมือนกัน

   “คุณหนูกาลทำสวยจริงเจ้าค่ะ เมื่อก่อนคุณหนูมิใคร่ชอบลอยกระทงเท่าใดนัก จำได้ว่าแทบจะเขวี้ยงกระทงลงน้ำตอนพาไปลอยน่ะเจ้าค่ะ”

   กาลคันปากยิกๆ อยากจะตอบว่าเทศกาลลอยกระทงนี่ของโปรดเลย ตอนนั้นที่วัดมีการระดมเด็กวัดและชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาช่วยกันทำกระทงใบตองเพื่อหารายได้เข้าวัดสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ เวลาคนมาซื้อกระทงก็จ่ายตามกำลังศรัทธา แล้วก็นำกระทงไปลอยกันที่ท่าน้ำหน้าวัดนั่นแหละ มันคือเทศกาลแห่งความสุขชัดๆ ไอ้คุณหนูกาลไม่ชอบได้ยังไง ภาพที่แต่ละคนหอบลูกจูงหลานกันเข้ามาที่วัดยังติดตราอยู่ในหัวใจกาลมาจนบัดนี้อยู่เลย

   “เออ... แล้วนี่พี่พุดทำกระทงไปรึยังอะจ๊ะ วิ่งวุ่นทำงานอยู่ทางโน้น ไม่รู้มีใครทำเผื่อพี่เขาบ้างไหม”

   “คุณหนูกาลก็ทำไปเผื่อเจ้าพุดมันสิเจ้าคะ ถ้าเจ้าตัวได้รับกระทงที่คุณหนูตั้งใจทำให้ คงดีใจไม่หยอกเทียว”

   “กลัวว่าจะไม่ทันซะแล้วสิพี่ปริก นู่น... ตาชดมาไล่ต้อนพวกเราเดินทางละ ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนแบ่งของหนูให้พี่พุดลอยก็ได้เนอะ ไปกันเร็วพี่ปริก”

   พูดจบเจ้าตัวก็เดินนำลิ่วๆ ไป ทิ้งให้แม่ปริกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว จนกระทั่งคุณมารตีต้องส่งเสียงกระแอมเตือน จึงได้หันมาเห็นท่านอำนาจกำลังประคองคุณมารตีเดินมา

   “ไม่ต้องลุ้นออกนอกหน้ามากก็ได้กระมังปริก ปล่อยไปตามครรลองที่ควรจะเป็นเถิด”

   “โถ.. อิฉันก็แค่ยิ้มเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ไม่ชักนำ หากก็ไม่ขัดขวางตามที่เจ้าพุดเคยออกปากขอไว้นั่นล่ะเจ้าค่ะ”

***************************************************************************************

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 18-11-2017 21:04:20

   ผลั่วะ!!

   เสียงหมัดที่กระทบใบหน้าของเด็กหนุ่มจนหน้าหัน เรียกเสียงวี้ดว้ายบนเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลได้เป็นอย่างดี คนโดนต่อยนั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่ง ใช้หลังมือปาดเลือดสดๆ ที่ไหลย้อยลงมาตามมุมปากส่งๆ หมัดเดียวยังนับว่าน้อยนักถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาพูดออกไปเมื่อสักครู่

   “เอ็ง... เอ็งว่ากระไรนะเจ้าพุด” คุณมารตีครางเสียงสั่น

   ท่านอำนาจแทบจะปราดไปซ้ำให้อีกคำรบ ถ้าไม่ติดว่าคู่ชีวิตหวีดร้องห้ามเสียงหลง พลางยื้อยุดดึงแขนผู้เป็นสามีไว้ พลางส่งสายตาให้ปริกไปช่วยประคองพุดที หากเจ้าตัวก็ดูจะไม่แยแสกับอาการบาดเจ็บ ยังคงคุกเข่าสองมือประนมพูดเสียงเรียบเรื่อยทว่าเสียงยิ่งนิ่งเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งราดน้ำมันลงไปในกองเพลิงโทสะของท่านอำนาจเท่านั้น

   “กระผมเรียนว่า กระผมรักปักใจในตัวคุณหนูกาลเป็นแม่นมั่น หากในชาตินี้มิได้คุณหนูมาชิดเชยก็จักมิขอมีคู่ จึงอยากขอโอกาสท่านอำนาจกับคุณมารตี ให้กระผมได้ดูแลคุณหนูเถิดขอรับ”

   ผลั่ก!!

   รอบนี้เป็นขาของผู้เป็นตาที่กรากเข้ามาฟาดเข้าไปที่กลางลำตัวของผู้เป็นหลานเต็มๆ พุดเจ็บจุกจนตัวงอ แต่ก็ฝืนตัวนั่งหลังตรง เพื่อแสดงความหนักแน่นกับสิ่งที่เอ่ยปากออกไปเมื่อครู่ หากเพียงแค่เจ็บกายยังทนไม่ได้ แล้วต่อไปภายภาคหน้าจะไปดูแลคุณหนูเธอได้อย่างไร ตาชดมือไม้สั่นชี้หน้าหลาน ตวาดด่าด้วยคาดไม่ถึงกับสิ่งที่พุดเอ่ยขอ

   “ไอ้หลานเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เอ็งคิดกระไรของเอ็ง คุณหนูเธอเพิ่งอายุ ๑๒ แถม... แถมเธอยังเป็นผู้ชาย!” พูดจบก็ตวัดตบแก้มของพุดด้วยหลังมือไปอีกหนึ่งฉาด เล่นเอาหลานถึงกับหูลั่นได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหู

   “จะอายุเท่าใด จะเพศไหนก็ไม่เกี่ยว ฉันรักของฉันนี่ตา”

   “คุณหนูไม่มีทางชายตาแลเอ็งเด็ดขาดไอ้พุด เอ็งรีบขอขมาลาโทษคุณมารตีกับท่านอำนาจเสียเถิด เอ็งแค่จงรักภักดีกับนายของเอ็งมากก็เท่านั้น เอ็งเลยคิดว่าเอ็งรักปักใจในตัวคุณหนูกาลเข้าแล้ว”

   หลังจากที่ได้เตะได้ต่อยเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวออกไปบ้างแล้ว ตาชดจึงได้ชี้แจงด้วยอารมณ์ที่เย็นลงบ้าง หวังใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ให้หลานเลิกคิดในสิ่งไม่ควรนี้เสีย แต่ยังไม่ทันจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย อารมณ์โกรธก็ปะทุอีกระลอก เมื่อหลานรักตอบกลับมาด้วยเสียงนิ่งๆ ของมัน

   “ฉันรักของฉันจริงๆ นะตา ฉันไม่ได้หวังให้คุณหนูชายตาแลมารับรักฉันตอบ ฉันขอแค่โอกาสในการดูแลคุณหนู ได้รับใช้ใกล้ชิดเธอให้เต็มที่ ฉันก็พอใจแล้ว”

   “พอได้แล้วชด!!”

   เสียงตลาดของท่านอำนาจ หยุดยั้งท่อนแขนที่เตรียมจะฟาดลงไปที่ใบหน้าของพุดได้อย่างทันท่วงที ทุกคนบนเรือนเศรษฐ์ฯ ต่างอกใจระทึกกันถ้วนหน้า ได้แต่กลั้นหายใจรอรับคำสั่งจากประมุขของบ้านว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป นานเป็นครู่กว่าท่านอำนาจจะค่อยๆ ทรุดตัวลงบนตั่งที่นอกชานแล้วเริ่มมองพิจารณาร่างที่ช้ำไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทั้งๆ ที่ก็เจ็บตัวขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมถึงยังนั่งคุกเข่าตัวตรงตากแดดอยู่ได้ เมื่อเริ่มสงสัยจึงเริ่มสงบนิ่ง ความโมโหโกรธาเมื่อสักครู่จึงเบาบางลงออกปากเอ่ยถาม

   “เอ็งว่า... เอ็งขอโอกาสดูแล”

   “ขอรับ”

   “ก็ถ้าแค่ดูแล ทุกวันนี้ก็มิใช่ดูแลกันอยู่หรอกหรือ มิใช่คอยรับใช้อยู่แล้วหรือไร ไยต้องมาเอ่ยปากพร่ำบอกว่ารักลูกข้ากระนั้นเล่า”

   พุดเงยหน้าสบตาท่านอำนาจโดยตรง หวังใจให้ความมั่นคงในดวงตาส่งผ่านความรู้สึกทั้งมวลให้ท่านได้รับรู้

   “หากรับใช้ด้วยความเป็นบ่าวหรือจะสู้การดูแลด้วยหัวใจรักเล่าขอรับ”

   นิ่งอึ้งตะลึงกันไปเป็นครู่ กว่าจะมีเสียงหวานใสของคุณมารตีแทรกมา

   “ก็หากเอ็งจะรัก เอ็งก็เก็บความรักของเอ็งไว้ในอก ในเมื่อไม่ได้หวังให้หนูกาลรับรักตอบ แล้วเอ็งจะมาขอโอกาสอันใด ข้ามิเข้าใจเอ็งนักเจ้าพุดเอ๋ย”

   พุดสูดหายใจเข้าปอดลึกยาวระงับความเจ็บปวดที่แล่นริ้วตามชายโครง ก่อนจะค่อยๆ พยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกความประสงค์ของตนเอง

   “กระผมขอโอกาสใช้ความรักที่มีไปดูแลคุณหนูให้เต็มที่ ไม่ต้องสนับสนุน ขอเพียงอย่าขัดขวาง กระผมสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่าจะมิกระทำการอันเกินเลยใดๆ ให้คุณหนูต้องเสื่อมเสีย ต่อไปเบื้องหน้า มิว่าคุณหนูจะรู้สึกเยี่ยงไรกับกระผม ไอ้พุดคนนี้ก็จักดูแลรักมั่นมิแปรเปลี่ยนขอรับ”

******************************************************************************************

   ท่านอำนาจยืนเหม่อมองนอกชานอันว่างเปล่า จากเพลานั้นที่เจ้าพุดขอโอกาส เวลาก็ล่วงผ่านมาถึง ๖ ปีเข้าไปแล้ว นึกๆ แล้วก็ให้สงสารเจ้าพุดอยู่เหมือนกัน แรกๆ เจ้ากาลก็ทำท่าวางปึ่งเข้าใส่ พอความจำเสื่อมมาเจ้าพุดก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย แต่เจ้ากาลกลับไม่รับไม่รู้ใดๆ บ้างเลย เฮ้อ... ก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามทางล่ะหนา ได้แต่คอยเอาใจช่วยเจ้าพุดอยู่ลึกๆ เพราะว่าช่างดูแลเอาอกเอาใจได้ไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องแล้วแต่เจ้ากาลนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้เลือก ส่วนคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องยอมรับและเข้าข้างลูกอยู่ดี สู้ต่อไปนะพงศ์ปณต!

   “เดินทางกันได้แล้วกระมังเจ้าคะคุณพี่ มัวแต่เหม่อมองสิ่งใดเจ้าคะ ประเดี๋ยวลูกกาลก็คอยแย่”

   ท่านอำนาจโอบภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากพลางยิ้มให้

   “กำลังคิดถึงเจ้าพุดมันน่ะ ป่านนี้เตรียมการไปถึงไหนแล้วก็มิรู้”

   “อยากให้เร่งมือให้เสร็จโดยเร็ว คุณพี่ก็ทักแชทไปบอกสิเจ้าคะ ว่าได้ข่าวว่าจะมีคนสละกระทงของตัวเองให้ลอยด้วยกันได้ ขี้คร้านพอรับทราบจะเร่งทำงานให้แทบไม่ทัน”

   “ช่างเจ้าแผนการจริงๆ หนาเมียพี่ ทำตัวดีๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่จักมีรางวัลให้”

   “จริงนะเจ้าคะ ถ้าเยี่ยงนั้นน้องขอหลายๆ รอบได้ฤาไม่”

   เห็นแววตาเมียรักเป็นประกาย ท่านอำนาจก็อดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวไปเชยชมแก้มงามเสียฟอดใหญ่

   “พี่เคยไม่ตามใจน้องด้วยหรือแม่รตี ขอเพียงเอ่ยปาก กี่รอบพี่ก็จัดให้ได้”

   “เอ่อ... ดะ... เดินทางกะ... กันได้แล้วกระมัง”

   เสียงตะกุกตะกักที่เอ่ยเตือน ทำให้สองผัวเมียรู้สึกตัวว่าเริ่มชักช้ามากแล้ว ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกเดิน ท่านอำนาจกลับรู้สึกเอะใจที่บ่าวคนสนิทอย่างแม่ปริกผู้มีฝีปากคมกล้าที่สุดในเรือนเศรษฐ์ฯ ไฉนจึงพูดจาอ้อมแอ้มได้ถึงเพียงนี้ หน้าตาเล่าก็ติดจะแดงก่ำ ฤาว่าจะได้ไข้เสียแล้ว?

   “เป็นกระไรไปรึแม่ปริก จับไข้ฤาไม่ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนัก หากไม่สบายก็รีบหามดหมอเสียแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยปละละเลยจนเจ็บหนักไปหนา”

   เฮ้อ... ตัวเองนั่นละต้นเหตุ ยังจักมาให้คนเขาไปหาหยูกยากินอีกนะท่าน! ไม่ได้การล่ะ ยังไงก็ต้องออกปากเตือนกันเสียบ้าง เกิดบ่าวเด็กๆ หรือคุณหนูเธอมาได้ยินถ้อยคำประเภทนี้เอากะเดี๋ยวก็ได้ใจแตกกันพอดี

   “อย่าหาว่าอิฉันสั่งสอนเลยนะเจ้าคะ ทั้งท่านอำนาจ ทั้งคุณรตี อิฉันว่าจักไม่สอดปากแล้วแท้ๆ เทียว แต่หากไม่บอกกล่าวกัน มันก็ไม่ดีแก่ใจน่ะเจ้าค่ะ ไอ้เรื่องในมุ้งประเภทกี่รอบๆ นี่หาได้ควรนำออกมาพูดกันอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้นะเจ้าคะ ลูกเล็กเด็กแดงบนเรือนนี้ก็นับได้หลายหัวอยู่ แม้กระทั่งคุณหนูกาลเอง เธอก็เพิ่งจะเต็ม ๑๘ ไปเมื่อไม่นานนี่เอง หากมาได้ยินถ้อยคำเหล่านี้เข้าไป มันจะไม่งามนะเจ้าคะ”

   สิ้นคำสั่งสอนของแม่ปริก คุณมารตีได้แต่เบิกตาโตแล้วแก้มสองข้างก็แดงปลั่งด้วยความเขินอาย หากแต่ท่านอำนาจกลับหัวเราะเสียงดังลั่นเรือนจนคุณมารตีต้องแอบบิดเข้าให้ที่เอว พลางส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะว่าหัวเราะมากเกินไป ส่วนแม่ปริกนั้นได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูซิดู อุตส่าห์ตักเตือนกันยังมีหน้ามาหัวเราะเต็มที่

   “อย่าเพิ่งโมโหโทโสไป ที่ฉันขำน่ะขำที่แม่ปริกคิดไปถึงไหนต่อไหน ปรกติถึงฉันจะออกปากหยอดแม่รตีเธอก็เป็นไปด้วยคำหวานหูหรอกหนา ไอ้เรื่องพรรค์ที่ว่ามิเคยนำออกมาสู่ที่แจ้งสักครา ส่วนที่แม่ปริกได้ยินเรื่องกี่รอบๆ น่ะ ฉันหมายถึงจักพาแม่รตีเธอไปนั่งชิงช้าสวรรค์เยี่ยงไรเล่า แม่ปริกก็ไปด้วยกันอยู่ทุกปี จำมิได้กระนั้นรึ”

   จบคำแถลงของท่านอำนาจ แม่ปริกถึงกับอายจนหน้าร้อนซู่ไปหมด ได้แต่อ้อมแอ้มตอบเสียงเบา

   “กะ... ก็อิฉันคิดว่า... ว่า...”

   “พอแล้วๆ แม่ปริกนี่ฟังไปฟังมาฉันเองก็เริ่มจะอายไปด้วยแล้วหนา มีอย่างรึ คิดไปถึงเรื่องนั้นได้ ไปๆ เดินทางกันได้แล้วหนา หนูกาลคอยแย่แล้วกระมัง”

   เสียงคุณมารตีตัดบทพลางก้าวเดินนำลงเรือนไปก่อน ทิ้งให้คนคิดไปไกลยืนอายม้วนอยู่อีกเป็นครู่ จึงจะออกเดินตาม

   ราตรีมืดมิด แขวนประดับด้วยพระจันทร์ดวงกลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ผืนน้ำเบื้องล่างสะท้อนแสงพริบพราว ทั้งจากแสงจันทร์และแสงไฟ มองเห็นคล้ายเป็นแสงสีเงินสลับสีดำตามการเคลื่อนไหวขึ้นลงของระลอกคลื่นบนผิวน้ำ กาลยืนเหม่อมองภาพเบื้องหน้าด้วยความชื่นชม

   “สวยไหมเจ้า” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามดังขึ้นจากทางด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองดูกาลก็รู้ว่าเป็นใครโดยทันที

   “สวยมากเลยพี่พุด”

   “ชมดาวกันมาแล้ว มาชมพระจันทร์บ้างก็เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบนะพี่ว่า”

   เรือนกายสูงที่ซ้อนอยู่ทางด้านหลังเอ่ยชวนคุย พลางแอบมองกระทงที่มือเรียวสวยประคองอยู่ ก็ไหนแม่ปริกบอกว่า...

   “พี่พุดมาเตรียมงานอยู่ที่นี่ตั้งนาน คงไม่ได้ทำกระทงมาลอยด้วยใช่ไหมจ๊ะ ถ้าพี่พุดไม่ถือ เดี๋ยวหนูแบ่งกระทงของหนูให้ลอย เราผลัดกันอธิษฐานเอาก็ได้เนอะพี่เนอะ”

   “พี่มิถือดอก” เสียงพูดคล้ายแลเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ใครจะรู้เล่าว่าในใจนั้นตื่นเต้น หัวใจฟูคับอกสักเพียงไหน

   “คุณหนูทำกระทงสวยเสียจริงขอรับ รับรองว่าคืนนี้กระทงของคุณหนูจะต้องสวยที่สุดบนแม่น้ำแห่งนี้แน่นอน”

   กาลฟังแล้วก็ตื้นตัน ไม่ใช่ตื้นตันที่พุดชมว่าตนทำกระทงสวย แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าในชีวิตจะมีวันนี้ วันที่ได้มาลอยกระทงที่แม่น้ำเทมส์! ถ้าไม่ใช่เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลแล้วใครจะกล้าคิด บอกว่าจะไปลอยกระทงที่แม่น้ำคงคายังพอจะเป็นไปได้มากกว่าซะอีก

   ตอนนี้กาลยืนอยู่ที่สุดด้านตะวันตกของสวนจูบิลี่ แล้วทำไมเราต้องมายืนกันตรงนี้ด้วยล่ะ คำตอบอยู่สูงเสียดฟ้าด้านหลังนี่เอง ก็คุณพ่อต้องพาคุณแม่มานั่งชิงช้าสวรรค์อย่างไรเล่า ลอนดอนอาย อะ รู้จักไหม แล้วเรื่องที่ว่าพี่พุดยุ่งๆ มาเตรียมการก็คือการปิดกั้นบริเวณนี้ทั้งหมด เพื่อความสงบในการขอขมาพระแม่คงคาและการอธิษฐานนั่นเอง

   พุดแตะมือที่แผ่นหลังของกาลแผ่วเบา เพื่อเตือนให้เริ่มจุดธูปเทียนได้แล้ว กาลทำท่าจะยกกระทงให้พุดได้อธิษฐานก่อน แล้วตัวเองจึงค่อยอธิษฐานทีหลัง หากมือคร้ามคว้าจับประคองมือเรียวขาวไว้ทั้งคู่ พลางยกกระทงขึ้นจรดหน้าผากของทั้งสองคนพร้อมกัน

   “อธิษฐานพร้อมกันนี่แหละหนาไม่เสียเวลาดี หลับตาสิเจ้า”

   อากาศที่อังกฤษนี่ก็แปลกนะ เมื่อกี๊ยังเย็นๆ อยู่เลย แต่พอพี่พุดกุมมือแล้วบอกให้หลับตา ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกร้อนซู่แปลกๆ โดยเฉพาะบริเวณผิวหน้า กาลรู้สึกว่ายิ่งร้อนกว่าบริเวณอื่นเป็นเท่าตัว

   พอปล่อยกระทงลงบนผิวน้ำเรียบร้อยแล้ว กาลจึงได้มองไปรอบๆ ตัว คนอื่นๆ ต่างแยกย้ายไปนั่งดื่มด่ำวิวของแม่น้ำยามค่ำคืนกันตามจุดต่างๆ คงรอสองหนุ่มสาวที่ยังสวีทหวานกันไม่เลิกนั่นกระมัง ท่าทางจะยังอีกนาน กาลจึงชวนพุดนั่งรับลมเย็นๆ ระหว่างรอไปพลางๆ

   “ท่าทางจะอีกพักใหญ่เลยนะจ๊ะพี่พุด สองคนข้างบนนั่นน่ะ” กาลชี้นิ้วบุ้ยใบ้ไปด้านหลัง

   “รำลึกความหลังก็เยี่ยงนี้แหละขอรับ มาแต่ละครั้งก็ใช้เวลานานโขอยู่”

   ตาเรียวยาวเป็นประกายขึ้นมาทันที เกาะแขนพุดแจแล้วรีบถามด้วยความสนใจ

   “พ่อกับแม่มีความหลังอะไรกันที่นี่เหรอจ๊ะพี่พุด”

   คนถูกเกาะแขนยังไม่ตอบเรื่องราวโดยทันที แกล้งทำเป็นลูบหลังมือเรียวแผ่ว คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มเล่าจากตรงที่ใดก่อน นานเป็นครู่กว่าจะยอมตัดใจจากสัมผัสนิ่มลื่นแล้วยอมเอื้อนเอ่ยปาก

   “เมื่อครั้งยังรุ่นๆ อยู่ ท่านอำนาจกับคุณมารตีท่านมาเที่ยวเล่นแถวนี้แล้วก็ติดใจทิวทัศน์ที่นี่นัก มองไปทางไหน ชื่นตาชื่นใจ แล้วจู่ๆ คุณมารตีเธอก็ว่าไม่รู้ว่ามองจากด้านบนลงมาจะให้ความรู้สึกยังไง พอท่านอำนาจได้ยินเข้าก็รีบโทรติดต่อวิศวกรทันทีว่าจะมีทางสร้างอะไรที่สูงๆ เพื่อจะมองวิวลงมาจากด้านบนได้บ้าง ท่านอำนาจเคยเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นออกจากเรือนมาก็ไม่ได้หยิบทรัพย์สินมีค่าใดติดตัวมามากนัก ดีที่ท้ายรถพอจะมีเศษก้อนทองคำติดมานิดหน่อย กับควานๆ หาในรถก็เจอสมุดเช็ค จึงเซ็นชื่อไว้แต่ไม่ได้ใส่จำนวนเงินลงไป รีบติดต่อ รีบจ่ายกันน่าดูชม ที่ทำไปก็จะเอาใจคุณมารตีน่ะขอรับ ถึงแม้จะฉุกละหุก แต่ก็ลุล่วงไปจนได้ จากนั้นพอมีเวลาก็มักจะมานั่งเล่นที่นี่กันอยู่เนืองๆ มารำลึกความหลังสมัยยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันขอรับ”

   กาลเลิกแปลกใจละ ถ้าบนโลกนี้จะมีอะไรเป็นของตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล ได้แต่เหลียวกลับไปมองลอนดอนอายอีกครั้งแล้วเอ่ยเสียงถาม

   “ไม่เห็นมีสัญลักษณ์ SS เลยพี่พุด”

   “มีสิเจ้า หากแต่อยู่ตรงหมุดตรงกึ่งกลางของชิงช้า สลักไว้เพียงตัวเล็กๆ เพียงเท่านั้น ไม่แน่ว่าปีนขึ้นไปก็ยังหาไม่เจอ”

   “จริงอะ? พี่พุดโกหกหนูรึเปล่าจ๊ะ ไม่เห็นจะมี” กาลหัวเราะเสียงใส แกล้งหรี่ตาทำเป็นไม่เชื่อ

   “พี่นี่หนาจะกล้าโกหกคุณหนู” พุดเอ่ยเสียงทุ้ม

   “พี่มิเคยโกหกคุณหนูกาลเลย สิ่งใดที่ตาคุณหนูมองไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริงเสียหน่อยขอรับ ดูอย่างตรงนี้สิ”

   พุดพูดพร้อมกับค่อยๆ จับมือกาลขึ้นมาแตะที่บริเวณหน้าอกข้างซ้ายของตนเอง กาลใจเต้นตึ้กตั้ก คล้ายจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงได้แต่ก้มหน้าจนคางชิดจรดอก แล้วฟังเสียงทุ้มพร่าของพุดต่อไป

   “คุณหนูกาลมองเห็นไหมขอรับว่าข้างในเป็นอะไร”

   คำตอบที่ได้รับกลับมาเป็นไปตามคาด คุณหนูกาลสั่นหน้าจนเส้นผมที่ระตามกรอบหน้าส่ายไหว พุดใช้นิ้วค่อยๆ ทัดลงที่ใบหูซึ่งเริ่มขึ้นสีแดง แลดูน่ารักน่าแกล้งอย่างแผ่วเบา

   “คุณหนูมองไม่เห็น ใช่ว่าหัวใจของพี่พุดจะไม่มีอยู่จริงเสียหน่อยนะขอรับ”

   

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

 แม่น้ำเทมส์แทบจะกลายเป็นน้ำเชื่อมเลยค่ะ
ทั้งคู่ใหญ่ทั้งคู่เล็ก ไม่มีใครยอมใครเลย
แหมๆ พี่พุดแหมมมมมมมมมมมมมมม
น้องกาลจะเข้าใจพี่อีกไหม ให้ทายค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




^-^ sirin_chadada ไม่เหมือนล่ะค่ะ ใช่เลยยยย พี่พุดอุตส่าห์กลัวน้องจะเจอ อยากจะบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอกค่ะพี่พุดดดด น้องมันเอ๋อออออ ถถถ วงวารจริงจัง  :laugh:
^-^ Piima หวานจนแม่น้ำจะกลายเป็นน้ำเชื่อมค่ะ แต่คนน้องจะรู้บ้างไหม ก็ม่ายยยย  :laugh:
^-^ colorofthewind21 แทบจะไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ ถถถ วงวารพี่พุดมากค่ะ ณ จุดนี้  :hao3:
^-^ badbadsumaru สงสารมากๆ เลยค่ะ ถถถ กลัวน้องจะอ่าน ไงล่ะ น้องได้อ่านแล้วก็ไม่รู้เหมือนเดิม  :hao3:
^-^ puiiz  :กอด1: :pig4: :กอด1:
^-^ Billie  :กอด1: :pig4: :กอด1:
^-^ Snowermyhae นอกจากใจบางแล้วก็ยังเพลียหนักมากด้วยค่ะ  :laugh:
^-^ alternative พี่พุดพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่ค่ะ ถ้าอยากได้พี่พุดต้องแย่งชิงกันเอาค่ะ  :hao3:
^-^ poppycake  หวานกันตลอดดดค่ะ แต่พี่พุดเข้าใจอยู่คนเดียวววว น้องกาลนี่... วงวารพี่พุดด้วยอีกแรง  :laugh:
^-^ •♀NoM!_KunG♀• คนเขียนก็อยากได้เหมือนกันค่ะ ถถถ เราไปปล้นบ้านนี้กันไหมคะ ข้ารับใช้แค่ผ่านการฝึกในหน่วยซีลมาแค่นั้นเอ๊งงงง ปล้นสบ๊ายยยยยยยยยย  :hao7:
^-^ Jthida ขอบคุณจริงๆ น้า กอดดดด  :กอด1:
^-^ Lautenyu ใช่เลยค่ะ แปะมือ แฮ่!  :katai2-1:
^-^ rainiefonnie ดีใจที่ชอบจ้า แวะมาทักทายบ่อยๆ นะจ๊ะ  :กอด1:


แล้วมาให้กำลังพี่พุดกันต่อนะคะ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า
[/color]

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-11-2017 21:47:18
 :L2: :L1: :pig4:

คิดว่าน้องก็ยังมึน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-11-2017 22:11:01
สุดยอด เข้าทางพี่พุด
ที่กาลจะใจดี แบ่งกระทงให้พุดลอยด้วย
ได้ลอยกระทงใบเดียวกันกับกาล พุดก็ดีใจสุดๆไปน่ะสิ

ที่แท้พุด เป็นคนจริง กล้าหาญ มาก
ขอโอกาสดูแลกาลมานานแล้ว
ดูแลด้วยใจรัก มันต้องดีกว่าดูแลเฉยๆแน่นอน  :mew1: :mew1: :mew1:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 19-11-2017 03:00:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 19-11-2017 10:22:08
หวานจนขนลุก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 19-11-2017 11:31:31
เอาใจช่วยพี่พุดนะครับ หวังว่าคุณหนูกาลจะเห็นใจในเร็ววันนะ ^^
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 19-11-2017 13:29:58
หวานไปอีกกก ทุกคนเอาใจช่วยพี่พุดกันหมดเลย หนูกาลก็รีบๆรู้สึกตัวนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 19-11-2017 14:52:14
5555555 หนูกาลเซี้ยวจริงๆ ปวดหัวแทนแม่ปริก
เอาใจช่วยพี่พัดค่ะ ขอให้หนูกาลรู้ตัวเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-11-2017 15:54:49
เอ้า หยอดเข้าไปค่ะพี่พุด แต่เราว่าถ้าพี่ไม่บอกหนูกาลของพี่ไปตรง ๆ ว่า "พี่จีบหนูอยู่นะจ๊ะ" เนี่ยหนูกาลก็จะยังงง ๆ ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจเข้าไปโน่นนะพี่พุด ฮา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 20-11-2017 07:10:57
เอ๊าาาาาา นี่พี่พุดออกตัวแรงสุดแล้วนะ เหลืออย่าเดียวที่ต้องทำคือพูดว่า "พี่จีบคุณหนูอยู่หนาจ๊ะ" 55555
แต่พี่พุดคือแมนมาก มีการสู่ขอ(ขั้นแรก)ไว้แล้วด้วย! หล่อชนะเลิศ~~~~~
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 20-11-2017 09:27:54
เอาใจช่วยพี่พุด
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 24-11-2017 13:27:36
เป็นกำลังใจให้พี่พุดให้เด็กทึ่มเข้าใจความรู้สึกตัวเองเร็วๆ ค่ะ
กับให้กำลังใจนักเขียนให้เขียนได้เร็วๆ ด้วยค่ะ
 :m7:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-11-2017 01:42:38
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-11-2017 17:05:54
หมันไส้คู่ใหญ่คู่เล็ก

ลอยกระทงในแม่น้ำเทมส์ ระวังถูกปรับนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Lautenyu ที่ 27-11-2017 15:32:07
 :call: รอฉันรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่หนใด เธอจะมา เธอจะมาเมื่อไหร่  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้ (18/11/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-11-2017 20:33:23
พี่พุดเขารักของเขามาตั้งนานนี่เอง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 29-11-2017 20:49:49
บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา

   “โอ๊ะ!... พี่พุดปล่อยหนูก่อนจ้ะ หนูว่า... อาการไม่ค่อยจะดีเลย”

   เสียงละล่ำละลักมาพร้อมกับหน้าตาที่แดงก่ำ กาลค่อยๆ ดึงมือจากการเกาะกุมของพุดออกมากดที่อกด้านซ้ายของตัวเองพลางนิ่วหน้า แรงเต้นกระหน่ำของหัวใจยิ่งทำให้เจ้าตัวหน้าเสียไปกันใหญ่ ได้แต่เกาะยึดที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ไว้แน่น ร่างด้านบนคู้ตัวลงอย่างน่าสงสาร

   “คุณหนูกาลเป็นกระไรขอรับ เดินไหวฤาไม่ มา พี่ประคองไปนั่งที่ม้านั่งตรงด้านนั้นก่อนหนา”

   หลังจากทรุดตัวลงนั่ง กาลก็พรูลมหายใจออกมาชุดใหญ่ หน้าตาที่ดูเป็นกังวลทำให้พุดนึกสงสารยิ่งนัก มืออุ่นแปะลงบนหน้าผากขาวเนียนแล้วก็พบว่าอุณหภูมิปกติ ติดจะเย็นเล็กน้อยเพราะยืนตากลมแม่น้ำเสียด้วยซ้ำ

   “ไข้ก็ไม่มีหนาเจ้า เป็นกระไรคุณหนู บอกพี่พุดที พี่จักได้เร่งหาทางแก้ไข”

   อาการอึกอักเม้มริมฝีปาก ก่อนจะตัดใจเอ่ยปากทำเอาพุดหนักใจ ฤาจะเป็นอะไรที่มากกว่าไข้กระนั้นหรือ

   “หนู... คือ หนูบอกพี่พุดคนเดียวนะจ๊ะ หนูยังไม่กล้าบอกใคร กลัวทุกคนจะเป็นห่วง อีกอย่าง อาการพวกนี้มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ อาจเป็นแค่หนูที่คิดมากไปเองน่ะจ้ะ พี่พุดก็ช่วยรับฟังหนูหน่อยเถอะนะจ๊ะ”

   กาลเริ่มยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรงทั้งๆ ที่มือขวายังกดบริเวณหน้าอกข้างซ้ายไว้แน่น หันหน้าไปทางพุดแล้วระบายสิ่งที่ตนประสบอยู่ออกมาในรวดเดียว

   “หนู... หนูคิดว่าหนูอาจเป็นโรคหัวใจน่ะจ้ะพี่ ช่วงนี้หนูใจเต้นแรงบ่อยๆ หน้าก็คอยจะร้อนซู่ๆ ยังไงก็ไม่รู้ หนูก็ไม่แน่ใจว่าอาการของคนเป็นโรคหัวใจเขาเป็นยังไงกันบ้าง สำหรับหนูแล้วในอกมันเต้นตึ้กๆ แบบแรงมากเลยอะพี่ โชคดีอยู่อย่างที่เวลาเกิดอาการขึ้นมาพี่พุดอยู่ใกล้ๆ ด้วยทุกครั้ง ยังไงหนูก็ยังอุ่นใจว่ายังมีพี่พุดคอยช่วยดูแลถ้าหนูเป็นอะไรไปน่ะจ้ะ”

   สีหน้าที่มีแต่ความกังวล เล่าอาการให้ฟังไปด้วยหน้านิ่งคิ้วขมวดไปด้วย ทำให้พุดต้องกลั้นรอยยิ้มแทบแย่ โถ... พ่อคุณของพี่ ตัวพี่มิต้องจบมดหมอที่ใด พี่ยังระบุชื่อโรคให้เจ้าได้เลย อาการเยี่ยงนี้น่ะ เป็นโรคหัวใจเป็นแน่แท้ หากแต่เป็น ‘โรคหัวใจตกเป็นของพี่พุด’ นั่นแหละหนา เห็นแก่ที่เจ้ากังวลนัก ตัวพี่จักยังไม่เปิดโปงเจ้าก็ได้ พุดคิดแล้วแอบยิ้มในใจอย่างมีความสุข หากแต่ที่แสดงออกมากลับทำสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง พลางเอ่ยถามด้วยเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใย

   “เป็นมานานเท่าใดแล้วเจ้า ลองค่อยๆ นึกแล้วเล่าให้พี่ฟังที เผื่อพี่จะหาทางช่วยได้”

   “อืม... มันก็เป็นมาสักพักนึงแล้วนะจ๊ะ อย่าง... อย่างตอนโน้นที่พี่พุดดมดอกมะลิแล้วว่าชื่นใจ ทั้งๆ ที่พี่ชมดอกไม้ แต่ทำไมหนูใจสั่น ตอนไปดูหิ่งห้อยด้วยกันก็ยิ่งเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปยืนอ่านโคลงที่บ้านพี่นี่ใจหนูเต้นยังกะตีกลองแน่ะ แล้วเมื่อกี๊นี้เองสดๆ ร้อนๆ เลย พอพี่พุดจับมือหนูไปแปะบนตัวพี่เท่านั้นเอง หน้าหนูงี้ร้อนยังกะโดนไฟลน โชคดีอยู่ตรงมีพี่พุดอยู่ในเหตุการณ์ทุกครั้งนี่แหละหนูเลยพอจะเบาใจได้บ้าง”

   “ก็มิได้ทึ่มเท่าใดหรอกหนา”

   “หา... พี่พุดว่าอะไรนะจ๊ะ”

   “พี่ว่าอาการก็มิได้เป็นกระไรมากดอกหนา พักผ่อนมากๆ รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ หมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ ประเดี๋ยวอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับนะเจ้า”

   กาลกระพริบตาปริบ ทำหน้าตางุนงง เพราะข้อแนะนำที่พุดบอกนี่มันคือพื้นฐานทั่วไปในการดูแลสุขภาพของตนเองไม่ใช่เหรอ ฝ่ายพุดกลับทำหน้าเคร่งเครียดเอ่ยต่อเสียงหนักแน่น แลดูทั้งทรงภูมิทั้งน่าเชื่อถือในคราวเดียวกัน

   “คุณหนูกาลอย่าได้สงสัยไปเลยหนา พื้นฐานร่างกายที่แข็งแรง ไม่ว่าโรคภัยใดๆ ก็มากล้ำกรายไม่ได้ ดูอย่างการสร้างเรือนนั่นอย่างไร หากโครงสร้างของเรือนแข็งแรง จะกี่ลมฝนกี่พายุ เรือนก็ยังดำรงอยู่ได้ เชื่อพี่เถิดหนาพี่เรียนวิศวะมาพี่รู้ดี ว่าแต่คุณหนูเคยไปเกิดอาการหัวใจเต้นแรงตอนไปกับคนอื่นๆ บ้างไหมขอรับ”

   คำตอบที่ได้ทำเอางงไปกันใหญ่ คุยไปคุยมาไหงไปเกี่ยวกับการสร้างเรือนได้ล่ะนี่ ขณะกำลังขบคิดตามก็โดนโยนคำถามมาให้ตอบซะอีก กาลจึงได้แต่พึมพำตอบปัญหาไป แล้วปล่อยให้ทฤษฎีการสร้างเรือนให้มั่นคงทำให้ร่างกายแข็งแรงปล่อยผ่านไป

   “อืม เท่าที่นึกๆ ดู เวลาเกิดอาการ หนูก็อยู่กับพี่พุดทุกทีนะจ๊ะ แต่เอาจริงๆ ไปไหนก็ไปกับพี่พุดตลอดนั่นล่ะ จนคุณแม่ยังบอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋แล้ว”

   เสียงหัวเราะคิกคักทำเอาพุดจ้องมองเพลิน ยังไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นไรดอกหนา ขอเพียงพี่รู้ว่าเจ้าก็พอมีใจให้กับพี่บ้างก็ดีพอแล้ว พี่รอได้... ไม่ว่าต้องนานอีกสักเพียงใดพี่ก็รอเจ้าได้เสมอ คุณหนูกาลของพี่

**********************************************************************************

   “เอ็งเห็นแล้วใช่มะ อย่างที่ข้าเคยบอก พวกนี้แม่งมากันทุกปี”

   เสียงพูดมาจากชายรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังดับบุหรี่ในมือลงด้วยการขยี้กับโคนต้นไม้ที่ตนเองกับเพื่อนอีกสองสามคนแอบซุ่มดูอยู่

   “แม่งมาจากประเทศอะไรวะ ท่าทางจะรวยชิบหาย คนเอเชียนี่ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่ะ หัวดำๆ ตาตี่ๆ เหมือนกันไปหมด” หนึ่งในพรรคพวกที่เฝ้าสังเกตการณ์มาได้สักระยะหนึ่งแล้วโพล่งขึ้น พลางเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ

   “ประเทศไหนก็ช่างแม่งเหอะ ขอแค่มีเงินก้อนโตมาเป็นค่าไถ่ตัว ข้าก็ไม่อยากรับรู้หรอกว่ามันเป็นคนที่ไหน ว่าแต่เลือกรึยังว่าจะเอาคนไหนไปดีวะ สาวๆ ทางโน้นไม่เอานะ เบื่อเวลาแม่งกรี๊ดกร๊าด กว่าจะถามเบอร์โทรติดต่อทางบ้านได้ข้าล่ะเครียด” คนตัวผอมสุดมีหน้าตาเบื่อหน่ายยามพูดถึงเหยื่อที่ไม่ได้ดั่งใจ

   “แล้วคนนั้นเป็นไงล่ะที่อ้วนๆ หน่อย ดูท่าทางสูงอายุมาอีกนิดไม่น่าจะแหกปากพร่ำเพรื่อนะข้าว่า”

   นิ้วที่ชี้จิ้มลงบนหัวคนพูดกดย้ำๆ อยู่หลายที ก่อนจะมีเสียงบ่นตามมาด้วยความเกรี้ยวกราด

   “หัวเอ็งนี่มันใส่ฟองน้ำไว้เรอะ หัดใช้สมองคิดซะบ้าง อ้วนๆ ตันๆ อย่างนั้น เวลารีบร้อนหลบพวกตำรวจขึ้นมาแม่งเป็นตัวถ่วงตายห่า คิดสิคิด”

   “เอ็งเลิกจิ้มหัวข้าซะทีได้ไหมวะ จิ้มจนจะทะลุอยู่แล้ว นี่หัวคนนะโว้ย”

   “หยุด! จะทะเลาะเรื่องไร้สาระกันอีกนานไหมวะ ฟังแล้วปวดหัวชะมัด”

   เสียงเย็นจากผู้ชายร่างสูงผิวขาวจนติดจะซีด เจ้าของดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอัลมอนด์รับกับผมสีทองเปรยออกมาเพียงเบาๆ ก็ทำให้ลูกสมุนทั้งสามเงียบเสียงถกเถียงกันลงได้ มือเรียวยกบุหรี่ในมือขึ้นอัดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้เล่นอย่างไม่ยี่หระ กิริยาอาการเรื่อยเฉื่อยจนเหล่าลูกน้องคิดว่าลูกพี่จะยกเลิกแผนการซะแล้ว ถ้าไม่มีเสียงเรียบๆ เอ่ยออกมา

   “เห็นผู้ชายสองคนตรงม้านั่งนั่นมะ เลือกคนที่ผิวขาวๆ นั่นก็แล้วกัน ดูจะเด็กที่สุด น่าจะควบคุมง่าย”

   “แล้วไอ้ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนั่นล่ะ เอาไงดี” ชายที่เคี้ยวหมากฝรั่งถาม

   “ต้องให้บอกด้วยเหรอว่าจะจัดการยังไง”

   ดวงตาคมปลาบตวัดมองพลางถอนหายใจในความได้ได้เรื่องของลูกทีมตัวเอง บอกให้ก็ได้วะ ไม่บอกแม่งคงเดินไปถามเหยื่อว่าผมจะจัดการกับคุณยังไงดีครับ เสียงจึ้กจั้กในลำคอดังอย่างไม่พอใจ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญนิดๆ

   “ทำยังไงก็ได้ที่จะซัดมันให้สลบน่ะ แต่ไม่ต้องเอาให้ถึงตาย แค่นี้คดีก็ติดตัวยาวเป็นหางว่าวละเอ็ง อ้อ แล้วไม่ต้องถามต่ออีกนะว่าทำยังไงให้มันสลบ รึต้องให้ข้าลงมือเอง?”

   ฝ่ายรับคำสั่งส่ายหน้าหวือ ฉายาลูกพี่หล่อแต่เลวไม่ได้มีติดตัวเฉยๆ ใครๆ ก็รู้ขืนงานง่ายๆ อย่างนี้ยังต้องให้ถึงมือลูกพี่คนที่จะถูกเลวใส่จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเขาล่ะ แค่คิดก็ขนต้นคอลุกละ

   แฟรงค์เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดของตน พลางพยักหน้าไปทางรถตู้สีดำที่ติดฟิล์มทึบทั้งคันเป็นสัญญาณว่าจะไปรอที่รถ ซึ่งก็หมายความว่า ทางนี้ก็จัดการกันให้เรียบร้อยล่ะ ปรายตามองลูกน้องทั้งสามคนอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าเอื่อยๆ เดินไป

   ชายอีกสามคนอันประกอบไปด้วยอองรี หนุ่มร่างใหญ่ผู้รับหน้าที่มือขวาของแฟรงค์ ทำงานหมดจดรวบรัด ไม่ต้องสั่งให้มากความ ข้อเสียคือติดบุหรี่ขนาดหนัก ทำให้เวลาซุ่มดูเหยื่อเกือบจะพลาดท่าโดนจับได้กันหลายครั้งเพราะควันที่ลอยโขมงกับไฟที่แดงวาบๆ อยู่ตลอดเวลานั่นล่ะ

   ปีเตอร์ รูปร่างผอมหน้าเสี้ยม ผู้มีแววตาหลุกหลิก ฝีมือดี เวลาทีมมีปัญหาพร้อมจะชิ่งอยู่ตลอดเวลา

   และคนสุดท้าย เดฟ ลูกกระจ๊อกประจำกลุ่ม เจ้าของคำถามว่าจะจัดการยังไงนั่นล่ะ เดฟ เป็นประเภทรับคำสั่งอย่างเดียว ใช้งานคล่อง เสียตรงที่ไม่ค่อยมีสมอง เลยมักตัดสินใจอะไรเองไม่ได้

   “ฟังนะ” อองรีบอกแผนการให้อีกสองคนรับรู้

   “เดี๋ยวข้าจะย่องไปข้างหลังแล้วฟาดไอ้คนติดตามนั่น ปีเตอร์ เอ็งคอยปิดปากไอ้เด็กคนนั้นไว้แล้วลากมายัดใส่รถ อย่าให้มันแหกปากได้ล่ะ เดี๋ยวงานเข้าละลูกพี่ด่าตายห่า ส่วนเอ็ง เดฟ คอยดูต้นทางไว้ เห็นท่าไม่ดีรีบส่งข่าว จะได้เผ่นทัน เข้าใจไหม”

   เมื่อเห็นอีกสองคนพยักหน้ารับ อองรีจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวแฝงไปกับความมืดพร้อมปีเตอร์ โดยมีเดฟคอยยืนระวังหลังให้ทั้งคู่

   เสียงลมที่หวดดังมาทางด้านหลังทำให้พุดยกมือรับไว้ตามสัญชาติญาณทันที แต่ไม้เบสบอลที่ฟาดลงมาเต็มแรงก็สร้างความเจ็บปวดที่ท่อนแขนของพุดอยู่เอาการเหมือนกัน ท่อนแขนคร้ามขึ้นรอยแดงเป็นปื้นทันที

   “คุณหนูระวัง!”

   สิ้นเสียง พุดก็โผตัวไปรวบกาลให้กลิ้งลงไปบนสนามหญ้า รอดพ้นมือที่กำลังเอื้อมมาด้านหลังไปได้อย่างหวุดหวิด ทั้งสองคนกลิ้งไปได้ไม่ไกลนัก พุดก็ต้องรีบเอาตัวบังกาลไว้ทันที เมื่อเห็นทางหางตาว่ามีไม้เบสบอลกระหน่ำตามมา

   “พี่พุด!”

   กาลไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขณะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็รู้สึกหน้าตนแนบเข้ากับหน้าอกของคนที่คอยปกป้องไว้แล้ว ได้ยินเสียงดัง ‘อั้ก’ ลอดเข้าหูมา กำลังจะเงยหน้าขึ้นถามอาการ เพราะฟังจากเสียง พี่พุดต้องโดนทำร้ายเข้าสักที่แน่นอน แต่กลับถูกกดศีรษะไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นมา พร้อมเสียงปลอบประโลมที่ดังขึ้นข้างหู ทั้งๆ ที่คนพูดต้องอดกลั้นจากความเจ็บปวดไว้

   “ชู่ว... หลับตาไว้ขอรับ ไม่ต้อง... กะ... กลัวหนา อีกประ... อึ้ก!... อีกประเดี๋ยวก็ปลอดภัยแล้ว”

   พุดรู้สึกผิดที่ประมาทเลินเล่อ มัวแต่หยอดคำหวานให้คุณหนูกาล ทำให้มิได้ระแวดระวังเภทภัยรอบกายเท่าที่ควร บรรยากาศอบอุ่นอ่อนหวานเมื่อสักครู่คล้ายดั่งภาพเงารางเลือน พุดไม่สนแล้วว่าคุณหนูกาลจะรู้สึกเยี่ยงไรกับเขา เพลานี้ ขอแค่คนในอ้อมกอดปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว จะไม่ขอวาดหวังถึงวันคืนที่ได้อยู่เคียงคู่กันก็ได้ หากเป็นในยามปกติพุดคงหันไปสู้ตายกับคนร้ายให้รู้ดำรู้แดงไปแล้ว แต่นี่มีชีวิตของคุณหนูกาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พุดจึงมิอาจหาญเสี่ยงได้ ทำได้แต่เพียงใช้ลำตัวบดบังคุณหนูไว้ให้ได้มากที่สุด ในส่วนลึกของหัวใจก็เพียรสวดภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าดลใจให้การ์ดที่ทำหน้าที่คุ้มครองคนในตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลรู้สึกถึงความผิดปกติและนำทีมออกค้นหาแล้วมาพาดวงใจของไอ้พุดไปอยู่ในที่ๆ ปลอดภัยทีเถอะ!

   หากแต่คำสวดภาวนาของพุดกลับไม่เป็นผล สติรับรู้ของเจ้าตัวกลับค่อยๆ พร่าเลือนลงเรื่อยๆ สวนทางกับแผลฟกช้ำตามตัวที่มีเพิ่มมากขึ้น เสียง ‘โพล๊ะ’ สุดท้ายคล้ายดังก้องกังวานอยู่ข้างในหู หางคิ้วคงจะแตกกระมัง เพราะรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่เริ่มหยาดหยดลงมา บาดแผลน่ะช่างมันเถิด คิ้วเข้มขมวดมุ่นแทบเป็นปม เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนเงยหน้ามาด้วยดวงตาเบิกกว้าง หางตาคล้ายมีน้ำใสคลอคลอง คุณหนูกาลคล้ายขยับปากพูดบางสิ่ง แต่พุดไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรได้อีก

   พุดฝืนขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูอบอุ่นอ่อนโยนที่สุด คุณหนูจักได้ไม่ต้องเป็นกังวล เห็นหน้าตาซีดเซียวเยี่ยงนั้นแล้ว ในหัวอกมันบีบรัดด้วยความไม่ใคร่สบายใจเอาเสียเลย ไม่อยาก... ไม่อยากทำให้คุณหนูเธอต้องเป็นกังวล มือคร้ามพยายามจับมือของอีกฝ่ายบีบกระชับไว้แน่นเพื่อปลอบประโลม ก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆ หลับตาและเอนพิงซบแน่นิ่งอยู่ตรงไหล่ของกาล

   “พี่พุด!”

   กาลว่ากาลตะโกนสุดเสียง แต่คำที่ได้ยินกลายเป็นแค่เพียงเสียงกระซิบเท่านั้น พยายามจะโอบพุดไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ถนัด เพราะมืออีกข้างถูกพุดเกาะกุมไว้อย่างแน่นหนา

   “พวกเอ็งทำอะไรกันอยู่วะ นานไปแล้วนะโว้ย ไปกันได้แล้ว”

   เดฟวิ่งเข้ามาตะคอกใส่ด้วยเสียงที่พยายามให้เบาที่สุด แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะดึกสงัดแบบนี้เสียงเบาๆ ก็กลายเป็นเสียงที่ชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืด อองรียกมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อจากการกุมด้ามไม้เบสบอลเป็นเวลานานขึ้นปาดเหงื่อพลางดุ

   “แล้วเอ็งจะเสียงดังให้พ่อเอ็งแห่มารึไงวะ มาก็ดีแล้ว มาลากไอ้หมอนี่ไปโยนไว้ข้างหลังพุ่มไม้โน่น แล้วจะได้รีบไป แม่งเสียเวลาชิบ! กว่าจะซัดหมอบได้ใช้เวลาอย่างนาน แม่งจะทนอะไรขนาดนั้นวะ”

   ปีเตอร์ขี้เกียจอยู่ฟังเพื่อนสองคนทะเลาะกันจึงจัดแจงเอาผ้าอุดปากเป้าหมายทันที พยายามทั้งดึงทั้งลากคนที่ก็ดูตัวเล็กๆ แต่ทำไมมันหนักจังวะ

   “พวกเอ็งสองคนเลิกเห่าใส่กันแล้วมาช่วยกันแบกไอ้เด็กนี่ไปที แม่งหนักชิบ!”

   “ไอ้โง่! มือมันจับกันไว้แน่นขนาดนั้นก็แกะก่อนสิวะ”

   ห่าเอ๊ย... ปีเตอร์ได้แต่สบถอยู่ในใจ ทีอย่างนี้แม่งสามัคคีหันมาด่าได้พร้อมเพรียงกันยังกะฝาแฝด

   ทั้งสามคนช่วยกันดึงเพื่อให้มือทั้งคู่หลุดออกจากกัน แต่ไอ้เด็กนี่ก็แสบใช่ย่อย ทั้งดิ้น ทั้งข่วน พยายามจับมือคนที่สลบไปแล้วให้แน่นได้มากที่สุด ขนาดบีบมือจนขึ้นรอยเขียวช้ำไปทั้งแขนยังไม่ยอมปล่อย จึงตกลงใจแบกมันไปพร้อมกันทั้งสองคน เสี่ยงให้ลูกพี่ด่าดีกว่าเสี่ยงเสียเวลารอให้ตำรวจมาจับ

   ครืดดดด

   เสียงเลื่อนเปิดของประตูรถตู้ที่ดังขึ้น ทำให้แฟรงค์หันกลับไปมองแล้วก็ต้องจุปากขัดใจ เมื่อเห็นว่าลูกน้องทั้งสามทำเกินคำสั่งด้วยการพาเหยื่อมาให้เกะกะเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นสองคน หากแต่ยังไม่ทันจะออกปากด่าก็ได้สบตาเด็กที่เป็นเป้าหมายเข้าเสียก่อน ปากนั่นถูกอุดไว้ด้วยผ้า แต่แฟรงค์กลับรู้สึกถึงคำด่าที่ไม่มีเสียงมาจากหน่วยตาเรียวยาวคู่นั้นได้เป็นอย่างดี คาดว่าคงขุดทุกสิ่งอย่างในสากลโลกมาครบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็เป็นธรรมดา ใครโดนจับตัวมาก็ต้องมีอารมณ์นี้กันทั้งนั้นแหละ เผลอๆ ถ้าเป็นตัวเขาโดนใครก็ไม่รู้จับตัวไป อาจจะแค้นจนมีไฟลุกออกจากตาก็ได้ใครจะไปรู้

   “พวกเอ็ง... มีใครจะอธิบายอะไรไหม”

   ทั้งสามคนนั่งหอบแฮ่ก มองหน้ากันไปมาก่อน อองรีจะเป็นคนพูดขึ้นเมื่ออีกสองคนเล่นบทใบ้กันซะงั้น

   “รีบไปก่อนดีกว่า ท่าทางจะเริ่มรู้ตัวกันแล้ว เดี๋ยวเล่าให้ฟังระหว่างทางก็แล้วกัน”

   รถที่แล่นด้วยความเร็วสูง กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน กาลก็ไม่อาจรับรู้ได้ ด้วยตอนนี้ นอกจากผ้าที่ปิดปากไว้แล้ว ยังมีผ้าปิดตาเพิ่มมาเป็นเครื่องประดับสุดชิคอีกชิ้นหนึ่งด้วย ความเครียด ความวิตกกังวลในการถูกพาตัวมาโดยไม่รู้สาเหตุนั้นสำหรับกาลแล้วเฉยๆ มาก เพราะคงไม่มีอะไรจะมาทำให้เขาสติแตกได้เท่ากับการฟื้นมาอยู่ในโลกคู่ขนานใบนี้แล้ว หากแต่ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดกังวลอยู่ในอก กลับเป็นอาการของคนที่กุมมือกันไว้แน่น แม้ยามหมดสตินี่มากกว่า

   ก่อนที่พุดจะสลบไป กาลเห็นเลือดไหลออกมาจากบริเวณหางคิ้วจนชุ่มโชก ทางด้านหลังก็โดนกระหน่ำตีด้วยไม้เบสบอลตั้งหลายครั้ง อวัยวะข้างในแตกหักเสียหายบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ได้แต่คิดห่วงไปสารพัด แต่ทำได้มากที่สุดก็แค่บีบมือให้กำลังใจคนไม่รู้สึกตัวแค่นั้นเอง

   กาลเกร็งตัวขึ้นมาทันที เมื่อรู้สึกได้ถึงการชะลอตัวของพาหนะที่ตนเองนั่งอยู่ จากนั้นตัวเขาก็โดนฉุดกระชากให้ออกเดินเมื่อรถหยุดนิ่ง เดินสะเปะสะปะได้อยู่ครู่หนึ่ง ก็โดนผลักให้นั่งลงบนพื้นหินเย็นเฉียบ แผ่นหลังกระแทกกำแพงจนเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ

   ผ้าที่ผูกปิดตาไว้ถูกกระชากออกด้วยแรงที่ไม่มีออมมือทำเอากาลถึงกับหน้าหงายไปด้านหลังตามแรงดึง ภายในห้องเปิดไฟไว้เพียงสลัวราง หากแต่กาลก็ต้องหยีตามอง เพราะตาถูกปิดให้อยู่ในความมืดมานาน ในขณะที่กำลังปรับตัวกับแสงสว่างอยู่นั่นเอง เสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะก็ทำให้กาลต้องเงยหน้าขึ้นมอง

   “สวัสดีคุณหนู ยินดีต้อนรับสู่รังโจร”

   กาลเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของเสียงเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันไปสำรวจคนข้างกายที่ยังคงไม่ได้สติอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ พอเห็นว่าเลือดที่หางคิ้วหยุดไหลไปแล้ว เหลือเพียงคราบแห้งกรังของเลือดก็เบาใจไปได้ส่วนหนึ่ง มือเรียวยื่นไปลูบรอยย่นระหว่างคิ้วของคนที่นอนหลับตา แต่ก็ดูจะมีความกังวลจนแม้กระทั่งสลบไปก็ยังขมวดคิ้วไม่หยุด

   อาการมองเล็กน้อยแล้วหันไปแทบจะทันทีนี่ที่บ้านเรียก ‘ถูกเมิน’ นะ แฟรงค์หางตากระตุกทันที เพราะเจ้าเด็กที่โดนจับมานี่ไม่แม้แต่จะฟูมฟายขอร้องให้ปล่อยตัวไป ขนาดหน้าของเขามันยังไม่มองเลย! รึว่ามันยังเด็กเลยยังไม่รู้จักความกลัว แบบนี้ต้องมีการข่มขู่กระโชกโฮกฮากเพื่อทำการข่มขวัญซะหน่อยแล้ว

   “เฮ้ย! ไอ้หนู รู้ใช่ไหมว่าโดนจับมาเรียกค่าไถ่น่ะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เวลาพวกพี่ๆ ถามอะไรก็ตอบดีๆ อย่าเล่นลิ้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะเว้ย”

   ตะคอกเสร็จก็ทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้อองรีทำเป็นย่างเท้าสามขุมเข้ามาหาพร้อมกับหักนิ้วจนลั่นกร๊อบประกอบการแสดงไปด้วย

   “เฮ้ย... ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือเว้ย ยังไงไอ้หนูนี่ก็ยังเด็กอยู่ เดี๋ยวกลัวจนตกใจช็อคตายไปซะก่อนจะอดได้เงิน” ชงเองแล้วก็ทำทีเป็นห้ามเพื่อนเองเสร็จสรรพ

   เสียงทอดถอนใจที่ดังออกมาจากร่างเหยื่อตรงหน้าต่างก็ทำให้บรรดาคุณโจรยืนงงกันไปทั้งแก๊งค์ เอ่อ... มันควรร้องไห้สติแตกรีบบอกข้อมูลทางบ้านแล้วละล่ำละลักขอความเมตตาไม่ใช่เหรอวะ ไอ้การมานั่งถอนใจใส่นี่คืออะไร?

   “เบอร์โทรตามนี้นะ xxxxxxxxx บอกไปว่าจับตัวคนชื่อกาลกับชื่อพุดมา จะเอาเงินเท่าไหร่ก็เรียกร้องไป ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญด้านนอกเลยครับ ผมกับพี่ต้องการความสงบ เราจะได้พักผ่อนกันเงียบๆ สักครู่”

   เงิบ!!

   เฮ้ยยยย ไอ้เด็กแวรนี่เห็นที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาว แล้วพวกเขาเป็นเด็กรับใช้รึไงวะ เดฟถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมเบิ๊ดกะโหลกสั่งสอนให้ไอ้เด็กปากดีนี่รู้สำนึกซะบ้าง

   ปีเตอร์ได้แต่คว้าแขนเดฟไว้แล้วลากออกจากห้องไปทันที

   “จะไปเต้นตามมันทำไมวะ กะอีแค่เด็กคนนึงเนี่ย เอ็งจะบ้ารึเปล่าไอ้เดฟ”

   “ก็ดูมันพูดจา ทำท่าทำทางวางโตนั่นสิ แม่งน่ากระทืบจริงๆ พับผ่า”

   แฟรงค์กับอองรีที่เดินตามออกมาทีหลังได้ยินเสียงเดฟโวยวายหงุดหงิดก็ได้แต่ส่ายหน้า ก็สมควรอยู่หรอกนะที่เดฟมันหงุดหงิด ดูท่าทางไม่สนใจใคร พูดเสียงเย็นๆ นั่นซะก่อน บอกได้คำเดียวว่าโคตรจะกวนตีน

   “ช่างแม่งเหอะ รีบไปติดต่อทางบ้านไอ้เด็กเวรนั่นละกัน พอได้เงินแล้วเอ็งจะสั่งสอนยังไงก็เรื่องของเอ็ง”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 29-11-2017 21:00:46
   มาดของคุณหนูกาลจอมเย่อหยิ่งที่กาลงัดขึ้นมาใช้ดูท่าจะได้ผลดีไม่น้อย ยังไงพวกนั้นก็ยอมออกจากห้องไปซะที ทันทีที่ลับร่างของคนทั้งสี่ กาลก็รีบหันมาขยับศีรษะคนที่เอนพิงไหล่ของตนอยู่เมื่อครู่ให้นอนหนุนตัก เพื่อจะได้เพิ่มความสบายให้แม้เพียงอีกนิดก็ยังดี นิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยเส้นผมที่ระหน้าผากของคนสลบไสลอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวจะไปสะกิดโดนแผลจนเปิดออกมาอีกรอบเข้า

   “พี่พุด... พี่พุดจ๋า รู้สึกตัวหรือยังจ๊ะ พี่พุดสลบไปนานแล้วนะ ฟื้นมาเถอะ นอนนานเกินไปเดี๋ยวปวดหัวนะพี่”

   เสียงเรียกแผ่วเบาคล้ายกับถ้าออกเสียงดังเกินไปคนเจ็บจะรู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นได้ เจือไปด้วยอารมณ์ที่พยายามให้เหมือนยามหยอกล้อเล่นกันบนเรือนเศรษฐ์ฯ

   “ตื่นมาเถอะจ้ะพี่จ๋า... เงียบไปแบบนี้ หนูใจคอไม่ค่อยดีเลย ตื่นมาให้คำปรึกษาหนูอีกได้ไหม โรคหัวใจของหนูคล้ายจะกำเริบอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกทีเลยพี่พุด ปกติถึงใจจะเต้นแรง หน้าร้อนซู่สักแค่ไหนมันก็เต้นไปด้วยความสุข”

   กาลพูดไปมือก็ไล้ใบหน้าของคนตัวโตไปด้วยอย่างหนักใจ

   “แต่คราวนี้ใจมันเต้นด้วยความรู้สึกอึดอัดปวดร้าวในอก ตอนที่หนูเห็นพี่ถูกตี หนูรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย ยิ่งตอนที่พี่สลบล้มลง ใจหนูแทบจะขาด... หนูโง่มากเลยใช่ไหมจ๊ะพี่พุด ที่มองข้ามความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ออก”

   มือขาวเนียนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยจ้ำสีม่วงสีเขียวเต็มไปทั่วทั้งหลังมือและท่อนแขนค่อยๆ ยกมือคร้ามที่คอยจับกุมกันไว้ขึ้นมาแนบแก้มของตนพลางหลับตา

   “พี่พุดตื่นมาฟังหนูก่อนสิจ๊ะ หนูรู้แล้วว่าหนูเป็นโรคอะไร หนูว่าหนูเป็นโรค... กาลรักพี่พุดจ้ะ”

   แรงกระตุกเพียงแผ่วเบาบริเวณผิวแก้มทำให้กาลต้องรีบก้มหน้าไปมองเจ้าของมือทันที ดวงตาพราวระยับจากใบหน้าคร้ามคมมองสบขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มราวกับตนไม่รับบาดเจ็บ เพราะช่างเป็นยิ้มที่ดูสุขสดชื่นซะเหลือเกิน

   “คุณหนูกาลของพี่... รู้สึกตัวช้าจริงหนา”

   “พี่พุดนั่นแหละจ้ะที่รู้สึกตัวช้า พี่สลบไปตั้งนานนะจ๊ะ” กาลย่นคิ้วฉับ

   “มิได้หมายถึงเรื่องสลบสิเจ้า หมายถึงเรื่องหัวใจต่างหาก พี่ทั้งหยอดอ้อมๆ พี่ทั้งจีบตรงๆ ไฉนเจ้าช่างเข้าใจยากเย็นนัก”

   พูดจบก็หน้าเหยเกเพราะเริ่มเจ็บบริเวณที่ถูกทำร้าย โดยเฉพาะแถวหน้าผาก เมื่อยกมือไปคลำดูก็พบคราบเลือดเกรอะกรังอยู่ตรงช่วงหางคิ้ว

   “แผลแตกน่ะจ้ะพี่พุด”

   กาลเอื้อมมือไปจะช่วยจับเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าออกให้ก็ต้องตกใจเมื่อพุดทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็วแล้วคว้ามือกาลมาดูด้วยอาการมือสั่น

   “พวกมันทำร้ายคุณหนูหรือขอรับ ช้ำถึงเพียงนี้เชียว เลวชาติเสียจริง กลับออกไปเมื่อไหร่ พี่จะเอาคืนให้สาสม!”

   “ยังไม่ต้องคิดไปถึงเรื่องเอาคืนหรอกจ้ะพี่พุด คิดถึงเรื่องจะออกไปยังไงดีกว่าไหม นี่หนูให้เบอร์โทรที่บ้านไปแล้วนะพี่พุดว่าคุณพ่อกับคุณแม่จะมาได้เมื่อไหร่?”

   “เรามาที่นี่กันนานหรือยังเล่าเจ้า... ช่างเถิดนานเท่าใดก็ช่างเถิด เพราะมาถึงกันแล้วกระมัง”

   “หือ... พี่พุดรู้ได้ยังไงจ๊ะว่าพ่อกับแม่มาถึงแล้ว หนูเพิ่งบอกเบอร์โทรไปเมื่อตะกี๊เองนะ”

   พุดทำสัญญาณมือให้กาลเงียบเสียง ก่อนจะเงี่ยหูฟังเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เสียงแปะเบาๆ ดังขึ้นรอบบริเวณที่พวกเขาถูกพาตัวมา คาดว่าคงโรยตัวกันลงมาจากทางหลังคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พุดจึงหันมาอธิบายให้กาลฟังด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น

   “เครื่องประดับทุกชิ้นที่คนในตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลสวมใส่ล้วนมี GPS ติดตามตัวน่ะขอรับ อย่างวันนี้คุณหนูใส่สร้อยมาใช่ไหม สัญญาณ GPS ก็ฝังอยู่ในตัวสร้อยนั่นแหละหนา”

   อื้อหือ... ลืมความเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลไปได้ยังไง!!

   ในขณะที่ภายในห้องคุยกันอย่างผ่อนคลาย สถานการณ์ภายนอกก็กลับตึงเครียด

   “แม่ง! ต่อสายมาตั้งนานแล้วนะ สายแม่งไม่เคยว่าง ไอ้เด็กเวรนั่นให้เบอร์มั่วมารึเปล่าวะ”

   แฟรงค์โมโหจนแทบกระอัก ยิ่งหันไปเห็นลูกน้องคนหนึ่งนั่งอัดบุหรี่ คนหนึ่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ในขณะที่คนสุดท้ายแม่งนั่งเล่นเกมอย่างเมามัน เวรเอ๊ย! อยากจะเอาหัวชนขอบประตูตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ถ้าได้เงินจากคราวนี้มากพอจะล้างมือแล้วหนีไปใช้ชีวิตสุขสำราญอยู่คนเดียว ไม่ต้องมาข้องแวะกับไอ้เวรพวกนี้อีก

   ออด... เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านแผดขึ้น ทำเอาแต่ละคนสะดุ้งตกใจ อองรีดับบุหรี่ในมือลงพร้อมคว้าอาวุธคู่ใจพร้อมกันกับปีเตอร์แล้วขึ้นไกเสียงดัง ‘กริ๊ก’ ประสานกันโดยมิได้นัดหมายทันที แฟรงค์ขมวดคิ้วมุ่น พยักพเยิดให้เดฟซึ่งวางโทรศัพท์ลงด้วยคามอิดออดให้ไปส่องที่ตาแมว เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่เป็นแขกยามวิกาลเช่นนี้

   ร่างใหญ่หนาของเดฟลากขาอย่างไม่สบอารมณ์ไปแนบลูกตาลงตรงช่อง ก่อนที่จะพบกับความว่างเปล่าเท่านั้นเอง อารมณ์หงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะความสุนทรีย์ออนไลน์ก็ทำให้เดฟเปิดประตูผางออกไปโดยแรงแล้วก็...

   ยิ้มร่า???

   เดฟพลิกกายหันเข้าไปในบ้านพลางตะโกนเสียงรื่นเริงเต็มที่

   “ลูกพี่ มีคนเอาเงินมาไถ่ตัวประกันแล้ว เราจะรวยกันแล้วลูกพี่”

   ขณะที่เสียงเบิกบานด้านหน้าประตูมาพร้อมกับใบหน้าสดใส ชายสามคนด้านในกลับนั่งหน้าซีดเผือดไม่กระดุกกระดิกแม้เพียงสักเซนต์เดียว บนหน้าผากแต่ละคนประดับจุดสีแดงสดอัดแน่นถี่ยิบจนเต็มพื้นที่

   “อ้าว! ทำไมไม่ดีใจกันเลย แล้วนั่นไปแอบดวดเหล้ากันมาตอนไหน หน้าผากถึงได้แดงเป็นปื้นขนาดนี้”

   ไอ้เวร! พ่อเอ็งยืนเรียงเป็นแผงอยู่ด้านหลังยังไม่รู้ตัวอีก จะไปแอบกินเหล้ากันตอนไหนได้ล่ะ โง่ซ้ำโง่ซ้อนนะเอ็ง แต่อันที่จริงมันก็โง่มาตั้งแต่บอกว่ามีคนมาไถ่ตัวแล้ว ไอ้ห่า! โทรศัพท์ยังโทรไม่ติดแล้วมันจะมากันถูกได้ไงวะ เวรกรรมของไอ้แฟรงค์ นี่เขาไปลักพาใครมากันวะเนี่ย

   สี่หนุ่มที่ถูกมัดเอามือไพล่หลังนอนคว่ำหน้าอยู่ในบ้านได้แต่ใจเต้นระทึก เมื่อเสียงคอมแบตที่เดินย่ำไปมาบนพื้นกระหน่ำถี่รัวขนาดนั้น แม่ง! ขนมาทั้งกองทัพกันรึไงวะ ผ่านไปอีกเป็นครู่ กว่าจะมีภาษาแปลกหูเพิ่มขึ้นมา คงไปควานหาตัวเด็กเวรนั่นเจอแล้ว ดาวหายนะชัดๆ!

   “ทำไมมาช้าเสียจริง”

   ตาชดเส้นเลือดที่ขมับแทบจะปริแตก ตัวเขาเร่งรีบจนขาแทบจะขวิด ไอ้หลานตัวดีกลับว่ามาช้าไปเสียฉิบ ด้วยความโมโห จึงตอบเสียงสะบัดกลับไปอย่างอดไม่อยู่

   “มาช้าข้าก็มาช่วยเอ็งกับคุณหนูไว้ได้มิใช่หรือ ดีกว่าคนที่คอยคุ้มครองคุณหนูกาล แต่ตัวเองสลบจนถูกลักพามาด้วยโขนะเอ็ง”

   สองตาหลานทำท่าฮึ่มๆ ใส่กันจนกาลต้องรีบส่งเสียงเข้าแทรกเพื่อห้ามทัพ

   “ตาชดมาเร็วแล้วจ้ะไม่นานเลย แล้วก็ถ้าไม่ได้พี่พุด หนูอาจเป็นคนที่ถูกซ้อมจนสลบก็ได้นะจ๊ะ ต้องขอบคุณทั้งตาชดทั้งพี่พุดเลยจ้ะ”

   แน่นอนว่าเมื่อคุณหนูเอ่ยปาก ทั้งคู่ก็ต้องยอมสงบศึกลงอย่างง่ายดาย กาลจึงถือโอกาสถามคำถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องทันที

   “แล้ว... ทหารพวกนี้...”

   ตาชดยิ้มร่า เชิดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

   “เพื่อนๆ ในหน่วยซีลที่เกษียณมารุ่นๆ เดียวๆ กันกับกระผมขอรับคุณหนู มีปัญหาอะไรเรียกใช้พวกมันได้เลย เห็นแบบนี้แต่ถึงจะแก่ก็ยังมีไฟทุกคนนะขอรับ”

   ขณะที่กาลกำลังอ้าปากค้างว่าบรรดาบุคคลที่มาช่วยเหลือตนเองเป็นใคร พุดก็โน้มตัวไปกระซิบกระซาบกับผู้เป็นตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตาชดฟังจบก็หน้าแดง กล้ามเนื้อหนังตากระตุกริกๆ อย่างเห็นได้ชัดแล้วจึงหันไปพ่นภาษาอังกฤษสำเนียงผู้ดีแท้ๆ ใส่เพื่อนด้วยความเกรี้ยวกราด กาลยังไม่ทันเอ่ยปากห้าม อดีตทหารร่างใหญ่ทั้งหลายต่างก็พากันกลุ้มรุมสี่โจรผู้โชคร้ายที่สุดในรอบศตวรรษทันที

   บนหลังของแต่ละคนถูกยันไว้ด้วยเข่าเพื่อกดไม่ให้ดิ้นรนเกิดการต่อสู้ได้ ประเด็นคือไม่ใช่เข่าของคนๆ เดียวนี่สิ โจรหนึ่งคนต่อทหารผู้เชี่ยวชาญการรบพิเศษ ๕ นาย แขนทั้งสองข้างถูกปล่อยจากพันธนาการที่มัดไว้แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะราบไปกับพื้นประหนึ่งถูกจับกราบกราน ซึ่งถ้าหากมันง่ายแบบนั้นก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ!

   “พวกคุณรู้ไหมว่ามือทั้งคู่ของพวกคุณได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรเอาไว้”

   เสียงของพุดเรียบเรื่อยทว่าเย็นเฉียบ เหล่าโจรตัวสั่นระริกกันถ้วนหน้า เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับตน ความรู้สึกหวาดกลัวยิ่งล้ำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมองไม่เห็นสิ่งใด เพราะโดนจับกดคว่ำหน้าไว้กับพื้น เฉพาะแค่เสียงทุ้มที่ส่งมากดดันก็พอให้สติเตลิดเปิดเปิงมากพอแล้ว ประกอบกับเสียงคอมแบตที่ย่ำอยู่รอบตัวยิ่งชวนให้ประสาทหลอนไปกันใหญ่

   “ตอนเด็กๆ ผมเคยดูการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งนะมันเป็นการ์ตูนแบบเด็กผู้ชายน่ะครับ มีตีรันฟันแทงกันเกือบทั้งเรื่อง เลือดงี้สาดกระจายเต็มจอเชียว”

   พุดหลับตาลงค่อยๆ เปล่งเสียงเนิบช้า คล้ายกำลังเล่าประสบการณ์วัยใสให้ฟังโดยไม่เคยรับรู้เลยว่าผู้ฟังรู้สึกสะท้านเยือกกับคำว่าเลือดสาดกระจายกันมากแค่ไหน

   “ทีนี้มีอยู่ตอนหนึ่งพวกตัวโกงด่าอะไรพระเอกอันนี้ผมก็จำไม่ได้ละ” เล่าถึงตรงนี้ก็ทำเสียงจึ้กจั้กในลำคอคล้ายไม่พอใจที่ตนจำไม่ได้

   “พอพระเอกปราบตัวโกงได้นะ รู้ไหมพระเอกทำยังไง”

   พ่อเจ้าแม่เจ้า ฮือ... ไม่อยากรู้ ร่างทั้งสี่กระสับกระส่ายไม่อยากฟังเรื่องที่เล่าแม้แต่น้อย

   “พระเอกจิกหัวตัวโกงแล้วกระแทกๆๆ เข้ากับผนังจนฟันร่วงทั้งแถบอะ แหม... นึกถึงตอนนั้นแล้วยังสนุกไม่หาย ทีนี้พอโตมาผมก็ยังคงจดจำฉากนี้ได้จนขึ้นใจอะนะ คิดอยากลองเอามาใช้สักครั้งในชีวิต แต่มันยังหาสถานการณ์ที่โมโหสุดๆ ไม่ได้ จนมาวันนี้... เดี๋ยวนี้ผมก็คิดว่าผมมีเหตุผลที่จะใช้วิธีนี้ในการทำโทษคนแล้วล่ะ”

   กาลแทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่ยืนพูดไปด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้ง เล่าไปหัวเราะไปในเวลานี้คือพี่พุดที่ตนเคยรู้จัก เพราะต่อให้เสียงพยายามทำให้ดูสดใสเพียงใดก็กลับปกปิดความโกรธในดวงตาที่ลุกโชนแทบไม่ได้ แถมไอ้เรื่องที่เล่านั่นยัง เอ่อ... โหดเกินไปไหมพี่พุด! ขณะกำลังยืนตกใจกับกิริยาที่เปลี่ยนไปของพุด ร่างสูงก็ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนสันเท้าแล้วค่อยๆ ยกแขนของหนึ่งในสี่คนขึ้นมาพิจารณา

   “แขนของคุณหนูกาลขึ้นรอยช้ำขนาดนั้น จะตอบแทนคืนยังไงให้สาสมดีนะ จับกระแทกๆ เหมือนในการ์ตูนที่ผมเล่าน่ะแหละดีที่สุด”

   “พี่พุด!!”

   กาลร้องเสียงหลงทันที เมื่อรู้ว่าตนคือสาเหตุที่ทำให้พุดสติหลุดถึงขั้นอยากทรมานคนเล่นแบบนี้ ได้แต่รีบวิ่งไปเกาะแขนของพุดเขย่าแล้วอธิบายละล่ำละลักจนลิ้นแทบพันกัน

   “พี่พุดจ๋า ฟังหนูหน่อยนะ พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรเลยคือ ก็แค่... แค่”

   “แค่อะไรหรือเจ้า สิ่งที่พี่เห็นคือแขนอันเขียวช้ำเยี่ยงนี้ จะมาว่ามิได้ทำกระไรได้หรือ”

   กาลเริ่มกัดริมฝีปาก อายก็อายแต่ก็จำต้องยอมพูด

   “ก็แค่ตอนนั้น พี่พุดจับมือของหนูไว้แน่น ไม่ว่าจะดึงจะกระชากยังไงก็ไม่หลุดที่สำคัญ... หนูเองก็ไม่ยอมปล่อยมือจากพี่พุดด้วยล่ะจ้ะ” ท้ายเสียงอุบอิบจนพุดต้องก้มหน้าลงไปฟังใกล้ๆ กว่าจะฟังจบประโยค

   “เพราะฉะนั้น เอ่อ... พี่พุดก็อย่าไปทำอะไรโหดๆ แบบนั้นเลยนะจ๊ะ หนูไม่อยากให้พี่พุดเป็นแบบนี้เลยมันดูน่ากลัว ปกติพี่พุดออกจะใจดีนี่จ๊ะ”

   โถ... พ่อคุณของพี่ ตัวเองก็เจ็บถึงเพียงนี้ ยังจะมีแก่ใจมาห่วงพี่อีกหนา ช่างน่ารักเสียจริง พุดจึงได้แต่บอกผู้เป็นตาว่าเป็นความต้องการของคุณหนูกาลที่จะให้ส่งตัวพวกโจรให้ทางการไปแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีการทรมานทรกรรมให้เสียสายตาคุณหนูเธอหรอก

   สองคนจ้องตากันไปมา บรรยากาศหวานเชื่อมแปลกๆ โดยไม่สนใจชีวิตน้อยๆ ของโจรทั้งสี่เลย

   เมื่อแฟรงค์ อองรี ปีเตอร์ และเดฟ ถูกควบคุมตัวและพาออกไปด้านนอกก็ถึงกับขาสั่นพั่บๆ เข่าทรุดกระแทกลงกับพื้นทันที เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านี่มัน...

   รถถังคันใหญ่ที่จอดเรียงรายไม่ต่ำกว่าสิบคัน โดยทุกคันหันปากกระบอกปืนเข้าสู่ตัวบ้านอย่างพร้อมเพรียง ไฟสปอร์ตไลท์เจิดจ้าส่องสว่างทั่วทั้งน่านฟ้าที่เต็มไปด้วยเฮลิคอปเตอร์บินวนราวกับฝูงนกยักษ์ที่จับจ้องเหยื่อ นี่ยังไม่นับรวมหน่วยซีลที่รายล้อมพร้อมอาวุธครบมือที่ต่างก็ส่องลำแสงสีแดงมาทางเป้าหมายจนบุคคลทั้งสี่เหมือนถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด


   เชรี่ย! นี่กูไปลักพาตัวใครมาวะ!!

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ความเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลนั้น ฉันอิจฉาาาาาาาาาา ถถถ มีความอยากรวยแบบนี้บ้างงงงงงง   :serius2:

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


^-^ Billie ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ยังคงมึนค่ะ น้องกาล เด็กมึน#2017  :laugh3:
^-^ ♥►MAGNOLIA◄♥ พี่พุดปลื้มปริ่มมากเลยค่ะได้ลอยกระทงอันเดียวกัน พี่พุดจริงจังเสมอค่า ตอนนี้นี่นอกจากดูแลด้วยใจแล้ว ยังดูแลด้วยร่างกายอีกด้วย ถถถ กว่าน้องกาลจะเข้าใจได้ พี่พุดช้ำไปหมด เป็นกำลังใจให้พี่พุดด้วยนะคะ  :a1:
^-^ about  :กอด1: :L2: :L1:
^-^ ♥lvl♀‘O’Deal2♥ แม่น้ำกลายเป็นน้ำเชื่อมเลยทีเดียวค่ะ  :-[
^-^ seaz ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่า (รับแทนพี่พุด) กว่าน้องกาลจะเข้าใจ พี่พุดอ่วมไปเลยค่ะ  :laugh:
^-^ colorofthewind21 ความรู้สึกช้าแบบน้องกาลคงหายากแล้วค่ะ กว่าจะเข้าใจ พี่พุดช้ำไปทั้งตัว  :laugh3:
^-^ badbadsumaru ปวดหัวแทนทุกๆ คนที่อยู่ด้วยค่ะ รวมทั้งคนเขียนด้วย  :laugh: ในที่สุดกก็รู้ตัวจนได้ค่ะ เข้าทางพี่พุดเขาละ
^-^ sirin_chadada หยอดจนเมื่อยกว่าจะเต็ม เอ๊ย! กว่าน้องจะเข้าใจ ต้องให้พี่พุดโดนตื้บก่อนถึงจะเก็ท ลุ้นมาตั้งนานน้องเข้าใจแล้วนะคะ ว่าเป็นโรคหัวใจรักพี่พุด ฮิ้ววววววว  :impress2:
^-^ poppycake พี่พุดไม่ต้องพูด แค่โดนตื้บ น้องกาลก็เข้าใจแล้วค่า กร๊ากกกกก ยังคงวงวารอย่างต่อเนื่อง  :laugh:
^-^ qq_oo ในที่สุดพี่พุดก็สมปรารถนาแล้วค่ะ น้องเข้าใจซะที ถถถ  :laugh3:
^-^ maneethewa ในที่สุด น้องกาลก็เข้าใจซะทีค่ะ ลุ้นกันมาตั้งนานนนน  :m11:
^-^ puiiz  :กอด1: :L2: :L1:
^-^ alternative ตั้งมั่นใจในความเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลค่ะ รวยแค่ไหน ถามน้องกาลดู  :laugh:
^-^ Lautenyu แฟนจ๋า ฉันมาแล้วจ้ะ อยู่นี่แล้วน่ะ เขยิบมาใกล้ๆ ตาละลาาาาาา  :laugh3:
^-^ Snowermyhae พี่พุดเป็นคนจริงจังค่ะ ทั้งๆ ที่น่าจะถอดใจไปตั้งแต่น้องมึนใส่ละ  :laugh:


ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ เห็นเม้นท์แล้วชื่นนนนใจ เหมือนได้กลิ่นพี่พุดเลยค่ะ

 :L1: :L1: :pig4: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-11-2017 21:41:01
 :L2: :L1: :pig4:

ความรวยนั้นเวอร์วัง
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-11-2017 22:06:12
เรียกว่าไข่ในหินเลยนะ หนูกาล
ว่าแต่พี่พุดนี่ดีใจใช่ไหม ที่มีคนสารภาพรัก
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 30-11-2017 00:48:38
หนูกาลรู้ใจตัวเองแล้ว พี่พุดคงชื่นใจเสียที
สงสารโจรเขานะคะ ไม่รู้ไปทำบาปกรรมอะไรหนักหนาชีวิตถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้5555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 30-11-2017 01:30:43
ชอบความเวอร์วังของนิยายเรื่องนี้555555555555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 30-11-2017 02:20:32
หวานจนคัน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-11-2017 07:39:19
ในที่สุดคุณหนูของพี่ก็รู้ตัวเสียทีนะพี่พุด เจ็บนี้ดูท่าจะคุ้มเสียจริง ฮา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-11-2017 07:43:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 30-11-2017 12:12:27
พี่พุดน่าจะขอบคุณพวกโจรมันนะจ๊ะ
เพราะโดนมันกระทืบ กาลถึงได้รู้ตัวนะพี่พุดดดดดด 555555
#วงวารพี่พุดอย่างต่อเนื่อง
#วงวารโจรชะตาขาดเช่นกัน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 30-11-2017 13:14:40
เขินแรงมาก   :-[
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-11-2017 17:39:52
อื้อหือ อะไรจะอลังกาลขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-11-2017 19:24:33
สุดยอดดดดดดดดด
เครื่องประดับติดจีพีเอสทุกชิ้นซะด้วย
มาช่วยทันใจ แถมเป็นหน่วยซีลอีก  :z3: :z3: :z3:

กาล รู้ใจตัวเองแล้ว พี่พุดคงดีใจสุดๆ
แหมๆ......มีว่ากาลว่าก็ไม่ได้ทึ่ม อะจ๊ากกกก
ว่าน้องได้ไง ตัวเองแหละกินเด็กชัดๆ  o18  o18  o18
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 01-12-2017 03:59:36
โอ๊ยยย ชอบเรื่องนี้อ่ะ ถูกใจมาก :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 01-12-2017 05:59:56
หนูกาลผู้ใสซื่อเป็นโรคหัวใจ(ตกหลุมรัก)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 01-12-2017 06:35:11
สนุกมากเลยค่ะ อึ้งตามหนูการกับโจกก็เรานี่แหละค่ะ 5555 :really2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-12-2017 00:38:19
 o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 03-12-2017 18:25:38
รอออออออออ
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-12-2017 00:05:55
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-12-2017 02:37:36
อลังการ  :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 04-12-2017 02:59:36
55555555555555 เรื่องเล่นใหญ่ไว้ใจเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล
เย้ ในที่สุดหนูกาลก็รู้ใจตัวเอง ถ้าไม่ติดว่าขนกองทัพมาจะคิดว่าเป็นแผนพี่พุดนะเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา (29/11/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-12-2017 22:26:05
ทึ่มอีกนิด พี่พุดก็ไปรอโลกหน้าแล้วจ้ะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 05-12-2017 17:13:32
บทที่ 10 @เรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล - รู้สึกเป็นที่รัก

   หลังจากที่ทั้งสองได้รับรู้ความในใจของกันและกันแล้ว ทั้งคู่ก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุข จบ.

   ในนิทานทั่วไปมันต้องเป็นเยี่ยงนี้มิใช่หรือ หาก... หากเรื่องหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

   บรรยากาศอึมครึมของคนบนเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลชวนให้รู้สึกอึดอัดนัก จักพูดจักจาสิ่งใดล้วนเป็นไปด้วยถ้อยคำกระซิบกระซาบ ด้วยเกรงว่าจะไปกระทบจิตใจของคุณหนูกาลอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งบ้านเข้า เหตุเพราะตั้งกะโดนลักพาตัวไป ยามเมื่อเธอกลับมาถึงเรือน แต่แรกก็ยังดูสนุกสนานดีอยู่หรอก คุณหนูเธอยังเล่าช่วงเวลาที่ถูกจับตัว รวมทั้งตอนถูกช่วยออกมาอย่างออกอรรถรส แต่หลังจากนั้นสัก ๒ - ๓ วัน เธอก็เซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด มักจะปลีกตัวไปนั่งถอนใจเฮือกๆ อยู่เพียงผู้เดียว ผู้ใดถามก็ตอบแบบแกนๆ เป็นลักษณะถามคำตอบคำเสียส่วนมาก

   โดยเฉพาะกับพุด ที่แต่ก่อนเห็นนายที่ใดก็เห็นบ่าวที่นั่น ครานี้มิรู้พุดไปทำสิ่งใดให้คุณหนูกาลเธอโกรธเคืองเอา นอกจากจะไม่พูดจาหยอกล้อเหมือนแต่ก่อนแล้ว ยังหลบลี้หนีหน้าอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย ถ้าพุดอยู่ด้านหน้าเรือน คุณหนูเธอต้องอยู่ด้านหลังเรือน ถ้าพุดอยู่บนเรือน โน่น... คุณหนูเธอไปอยู่เสียใต้ถุนเรือน จนพุดมิรู้จักทำเช่นไร จึงได้แต่หลบซ่อนตัวเองไว้ไม่ให้ไปเข้าใกล้คุณหนูเธอมากนัก เธอจักได้มิต้องคอยระเห็จตนเองไปตรงนู้นตรงนี้ให้เหนื่อยกาย จนกระทั่งท่านอำนาจทนกับบรรยากาศอึดอัดนี้ไม่ไหว จึงได้เรียกพุดมาสอบถาม

   “เอ้อ เจ้าพุด ไหนเอ็งเล่ามาซิ เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ เอ็งอย่ามัวมาอ้ำอึ้งอมพะนำ”

   “เรื่องเป็นดังที่กระผมแลคุณหนูกาลเธอเคยเล่าให้ฟังน่ะขอรับ มิมีสิ่งใดแผกไปแม้แต่น้อย”

   “ลูกข้ามิได้โดนทารุณกรรมอันใดใช่หรือไม่” คุณมารตีที่นั่งอยู่ด้านข้างอดถามแทรกด้วยความกังวลมิได้

   “มิมีขอรับคุณรตี ตอนกลับมาเธอยังเล่าโอ่อย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ” พุดรับรอง

   “ก็นั่นส่ะซี” คุณรตีเห็นพ้อง ก่อนที่ท่านอำนาจจะเอะใจซักถาม

   “แล้วก่อนหน้าที่จักโดนจับตัวไปเล่า มีสิ่งใดผิดแผกไปบ้างหรือไม่” หัวคิ้วของท่านอำนาจแทบพันกัน เมื่อเห็นพุดมีท่าทางอึกอัก จึงรีบเอ่ยกระตุ้นทันที

   “เร่งบอกมาโดยเร็วเลยเจ้าพุด”

   พุดหน้าขึ้นสีเรื่ออยู่เป็นครู่ ก่อนจะยอมเล่าเรื่องที่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ให้สองคนผัวเมีย รวมไปถึงบ่าวไพร่ที่นั่งตาใสฟัง เมื่อฟังจบ ท่านอำนาจถึงกับกระอักกระไออยู่ครู่ใหญ่ ได้แต่คิดว่าไอ้เด็กนี่มันร้าย ลูกเล่นมันแพรวพราวนัก ก่อนจะรำพึงเสียงเบาว่าหรือลูกกาลจะไม่พอใจที่ถูกเจ้าพุดรุกหนัก แต่พุดก็เอ่ยแย้งเสียงแข็งทันทีเช่นกัน

   “หามิได้ขอรับ คุณหนูมิได้รำคาญ ตอนกระผมสลบไป ช่วงที่กำลังจะฟื้นขึ้นมา กระผมก็ได้ยินเธอเอ่ยปากว่าเธอก็รักกระผมเช่นกันขอรับ”

   คนบนเรือนมีสีหน้าผ่อนคลายคล้ายยกภูเขาออกจากอกทันที ด้วยได้ติดตามเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ มาโดยตลอด แรกๆ ก็กระอักกระอ่วนใจนักกับความรักเช่นนี้ของพุด หากความดีงามและความเสมอต้นเสมอปลายที่ผ่านมาหลายปี ก็ทำให้แต่ละคนอดลุ้นจนตัวโก่งกันอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะแม่ปริกที่ถึงกับลืมตัวตบเข่าฉาดอย่างสมใจ พลางยกมือขวาขึ้นชูแล้วดันศอกลงด้านล่างประหนึ่งทีมรักของคุณมารตีทำแฮตทริกได้ก็ไม่ปาน เสียง ‘Yes’ ที่เล็ดลอดออกมาเบาๆ ทำเอาคุณรตีหัวเราะคิกออกมาอย่างอดไม่อยู่

   “เอ... เช่นนั้นก็ควรไปกันได้ด้วยดีมิใช่หรือ”

   ท่านอำนาจครุ่นคิดพลางรำพึง ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนกลับมามีสีหน้าวิตกกังวลกันอีกครั้ง พุดเองก็ก้มหน้าลงอย่างจนใจ พยายามคิดหาสาเหตุที่คุณหนูกาลเธอตีตัวออกห่างว่าเพราะเหตุใดแต่ก็คิดไม่ออก เสียงทอดถอนใจทั้งท่านอำนาจ ทั้งพุดเป็นไปอย่างพร้อมเพรียง ได้แต่มองสบตากันปริบๆ

   “พ่อจ๋า แม่จ๋า ทำอะไรกันอยู่จ...”

   เสียงพูดที่มาถึงก่อนตัวดังเจื้อยแจ้ว แต่ไม่ทันจบประโยคดีก็รีบหุบปากฉับ เมื่อเห็นว่ามีคนที่ตนหลบหน้านั่งอยู่ด้วย ต่างคนก็ต่างมองหน้ากันไปมาด้วยปฏิบัติตัวไม่ถูก กาลจึงเสออกปากเอ่ยลาว่าจะไปหาท่านเจ้าประคุณที่วัดใหญ่ แล้วรีบยกมือไหว้ลาก่อนจะเผ่นลงเรือนไปโดยไว

   ท่านอำนาจเองก็รู้สึกได้ถึงอาการมองตามตาละห้อยของพุด จึงได้แต่เอื้อมมือมาตบบ่าปลอบโยนอย่างเห็นใจ หากก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ด้วยอีกฝ่ายเป็นลูกบังเกิดเกล้า จะไปซักไปถามมากก็กลัวจะหันมาหลบหน้าตนเองแทนเข้าน่ะสิ

   “อิฉันว่า... เราต่อสายถึงท่านเจ้าประคุณกันดีมั๊ยเจ้าคะ” แม่ปริกเสนอ

   “เรื่องทางโลก อย่าเอาไปให้ท่านวุ่นวายใจเลย” ท่านอำนาจเอ่ยเสียงทุ้ม

   “แต่น้องเห็นด้วยกับปริกนะคะคุณพี่ จะอย่างไรก็ให้ท่านเจ้าประคุณลองซักถามกันดู พักหลังท่านเองก็เอื้อเอ็นดูหนูกาลไม่หยอก น่าจะพอไต่ถามความกันได้นะเจ้าคะ” คุณมารตีกล่าวตาใส

   “เด็กๆ เอ๊ย ไหนใครอยู่ใกล้โทรศัพท์ข้าบ้าง วานหยิบมาที มิได้สนทนาธรรมกับท่านเจ้าประคุณมานาน ลองโทรไปคุยกับท่านบ้างก็น่าจะเข้าที”

   พุดได้แต่กระตุกยิ้ม เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่แม่ปริกชง แล้วคุณมารตีก็ตบ ส่วนท่านอำนาจน่ะหรือ ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้นเอง! หลังท่านอำนาจวางสายที่ได้โทรศัพท์ไป ‘สนทนาธรรม’ กับท่านเจ้าประคุณแห่งวัดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็หันมาพยักพเยิดให้พุดเร่งเดินทางไปที่วัดเพราะท่านเจ้าประคุณท่านว่า

   “เดี๋ยวอาตมาจัดให้! ให้เจ้าพุดมันเร่งมาคืนดีกันเสียที่นี่เถิด ลองว่าเรื่องถึงมือข้า ถ้ามันไม่สำเร็จก็ให้รู้กันไป”

**************************************************************************************

   เสียงวัตถุตกกระทบผิวน้ำดังแปะๆๆ ก่อนที่ปลาที่อยู่ในน้ำจะพากันโผล่ขึ้นมาฮุบเหยื่ออย่างเอื่อยเฉื่อย พอกันทั้งคนทั้งปลา! คนโปรยขนมปังมีสีหน้าเหม่อลอย ในขณะที่มือก็คว้าขนมปังโปรยไปโดยไม่มีจุดหมาย ท่าทางจะคิดมากเอาการ ด้วยความเอ็นดูปนสงสาร ท่านเจ้าประคุณจึงส่งเสียงทักแผ่วเบาไปถาม

   “นั่นเองจะฆาตกรรมปลาเรอะ!”

   กาลไม่หันไปมองเพียงสักนิด ด้วยรู้ว่าผู้ที่มาจะเป็นใครไม่ได้นอกจากท่านเจ้าประคุณแห่งวัดใหญ่ จึงได้แต่พยักหน้ารับและตอบกลับไปด้วยความเคารพสุดซึ้ง

   “จ้ะ หลวงตา! หนูเห็นประชากรปลามันเยอะ ก็เลยจะช่วยลดภาระให้หลวงตายังไงล่ะจ๊ะ แต่จะทุบหัวให้ตายมันก็โหดเกิน หนูเลยเลือกวิธีให้น้องปลาได้มีความสุข กินให้อิ่มแล้วค่อยท้องแตกตายน่ะจ้ะ”

   เออ... ยังมีทางเยียวยาแฮะ ถ้ามันยังกวนกันได้ขนาดนี้นะ หลวงตาได้แต่กลั้นยิ้มและเดินเข้าไปหา ก่อนจะรับการกราบนมัสการจากคนที่ทำหน้ายุ่ง

   “หลวงตานั่งตรงนี้ก่อนสิจ๊ะ อายุเยอะแล้ว ยืนมากเดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวจะเป็นภาระเยอะ”

   เส้นเลือดที่ขมับของภิกษุชราเริ่มกระตุกริกๆ รู้ก็รู้นะว่ามันอยากดูแล ดูท่าทางรีบปัดที่นั่งที่ศาลาริมน้ำเพื่อให้ตนนั่งนั่นก็รู้ว่าเจ้ากาลน่ะมันอยากให้พัก แต่ถ้ามันจะพูดจะจาให้มันเข้าหูกว่านี้นี่มันจักตายหรืออย่างไร ฟังแต่ละคำที่มันพ่นออกมานี่อยากจะเขกมะเหงกลงบนกบาลสักครั้ง เผื่อจะพูดจาดีๆ ได้บ้าง หากแต่ก็ต้องรีบระงับอารมณ์โกรธที่ดูจะพุ่งพล่านทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้าเด็กนี่ เพื่อทำภารกิจเคลียร์ใจช่วยเหลือเจ้าพุดมันเสียก่อน

   “ว่ากระไรล่ะเอ็ง มีปัญหาหนักใจนักรึ ถึงได้มานั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงในวัดข้าได้”

   เสียงถอนใจยาวจากคนหน้าบูดที่ว่า ทำให้ท่านเจ้าประคุณอดที่จะเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนที่นั่งอยู่กับพื้นไม่ได้ พลันที่มือเหี่ยวย่นแตะลูบลงบนผม กาลก็เอนศีรษะซบลงบนตักของภิกษุชราทันที

   “หลวงตาจ๋า... หนูอึดอัดไม่รู้จะทำยังไงดี”

   “อึดอัดกระไรก็ระบายออกมาสิเอ็ง ข้ารอรับฟัง คนบนเรือนเศรษฐ์ฯ ก็รอรับฟัง ยิ่งเจ้าพุดมันยิ่งอยากจะรับฟังเอ็งนัก ติดอยู่ที่เอ็งนั่นแหละหนา มัวแต่กระบิดกระบวนมิยอมพูดออกมาราวกลัวดอกพิกุลจะร่วงกระนั้น” มือที่ลูบศีรษะอดจิ้มแรงๆ ไปทีสองทีไม่ได้กับเจ้าคนเจ้าปัญหา

   “โอ๊ย!” กาลร้องเสียงหลง

   “ก็หนูไม่รู้จะพูดยังไงนี่จ๊ะ” พูดพลางก็ลูบหัวตัวเองป้อยๆ ไปพลาง

   “อย่ามัวพิรี้พิไร มีกระไรก็ว่ามา”

   เมื่อหลวงตาเริ่มเสียงแข็งใส่ กาลจึงรู้ว่าปิดบังต่อไปคงไม่เกิดประโยชน์ หลังจากอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่ใหญ่ก็ทำท่าจะเปิดปากเล่า หากก็ได้แต่หุบปากอ้าปากอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่รู้จะเริ่มเรื่องยังไง

   “อุ๊บ๊ะไอ้นี่ สาลิกาลิ้นทองของเอ็งมันเสื่อมอาคมไปแล้วหรืออย่างไร ทีเมื่อครู่ยังต่อปากต่อคำกับข้าได้อยู่หลัดๆ”

   “เค้าเรียกอยู่แหม่บๆ จ้ะหลวงตา อยู่หลัดๆ นั่น ไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั๊งจ๊ะ”

   “มิต้องเฉไฉ เอาอย่างนี้ ข้าถามนำให้ก่อนเลย ที่เอ็งหลบหน้าหลบตาเจ้าพุดนี่ เพราะเอ็งไม่รักใคร่ชอบพอมันใช่หรือไม่ ถ้าไม่ชอบ ข้าจักได้ไปบอกเจ้าพุดมันว่าให้ตัดใจเสีย”

   “ไม่ใช่นะจ๊ะหลวงตา” กาลละล่ำละลักปฏิเสธ ท่านเจ้าประคุณแห่งวัดใหญ่เลยเหล่ตามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าจริงหรือ เสียงอุบอิบที่ตอบกลับมาก็ไขความกระจ่างได้ทันที

   “จริงๆ นะจ๊ะ หนูรักพี่พุดไม่ใช่ไม่รักเสียหน่อย”

   “อ้าว ก็สองฝ่ายต่างใจรงกันแล้วมันยังมีปัญหาที่ใดอีกเล่าไอ้เจ้ากาล”

   “หนู... หนู เฮ้อ เอ้า! พูดก็พูด”

   “หนูรักพี่พุด หนูรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่ใกล้พี่เขา เวลาพี่เค้าจับมือหนูก็ตื่นเต้นดีใจ แต่... แต่พี่เค้าเป็นผู้ชายนะหลวงตา!”

   อาการนิ่งสงบรับมือได้กับทุกปัญหาของท่านเจ้าประคุณไม่ได้มีสีหน้าผิดไปจากเดิมแม้แต่นิดเดียว ภิกษุชรายิ้มเพียงเล็กน้อย

   “แล้ว...?”

   กาลฟึดฟัดทันทีนี่ต้องเล่าให้หมดเปลือกเลยใช่ไหมนี่ เอาวะปรึกษาใครไม่ได้ก็ต้องปรึกษาหลวงตานี่แหละ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มันออกจะติดเรทอยู่สักหน่อยก็ตาม ในเมื่อหลวงตากล้าถาม ไอ้กาลก็กล้าตอบ

   “แล้วถ้าเป็นแฟนกันขึ้นมา มันก็หนีไม่พ้นไอ้เรื่องพรรค์นั้นใช่ไหมจ๊ะ แล้วทีนี้ ถ้าคิดว่าให้หนูไปเสียบ ซึ่งดูแล้วเป็นไปได้ยาก เพราะพี่พุดตัวใหญ่กว่าหนูอีก งั้นเราตัดข้อที่หนูจะเสียบพี่พุดออกไป ทีนี้ก็เหลือแต่หนูนี่แหละที่จะถูกเสียบ หลวงตาคิดดูสิจ๊ะ ขนาดเสี้ยนไผ่ตำนิ้วหนู หนูยังปวดแทบตายแล้วนี่... นั่น... ไอ้นั่น ต้องเสียบเข้าไปในตัวหนูนะหลวงตา ไอ้นั่นเชียวนะ!!”

   กาลร่ายยาวจนจบก็เห็นท่านเจ้าประคุณทำท่าจะลมใส่ จึงรีบคว้ายาดมที่มีติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะร่างกายของไอ้คุณหนูกาลนั้นอ่อนแอจนต้องมียาดมเป็นปัจจัยที่ ๕ อยู่ในกระเป๋าเสมอควักส่งให้หลวงตาด้วยความรวดเร็ว

   “เอิ๊กกกก”

   ท่านเจ้าประคุณลมตีกลับจนต้องนั่งนิ่งๆ อยู่เป็นครู่ ประกอบกับกาลคอยใช้มือโบกลมให้อยู่ใกล้ๆ จึงรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้าง ทีแรกยังคิดว่าเจ้ากาลกังวลเรื่องที่ทั้งคู่เป็นผู้ชายเพียงเท่านั้น จึงเตรียมคำอธิบายไว้ในใจให้เจ้าเด็กตัวแสบเสียเป็นดิบดี สุดท้ายไอ้เด็กนี่คิดข้ามขั้นกังวลไปถึงเรื่องเสียบไม่เสียบนี่ได้ยังไงกันหนา นั่งเรียบเรียงความคิดไปด้วยขจัดอาการลมตีกลับไปด้วยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดท่านเจ้าประคุณจึงเอ่ยปาก

   “เจ้ากาลเอ๊ย... เอ็งก็คิดเพ้อเจ้อไปถึงที่ใดกันเล่า อย่าพึ่งเถียง ฟังข้าพูดให้สิ้นเสียก่อน” ท่านเจ้าประคุณขยับยกมือห้ามทันที เมื่อเห็นกาลเตรียมอ้าปากแทรก

   “เอ็งรู้ฤาไม่ว่าเจ้าพุดมันรักเอ็งนัก มันเฝ้าถนอม เฝ้าประคับประคองดูแลเอ็งมาตั้งนาน เอ็งว่าใจคอเจ้าพุดมันเป็นเยี่ยงไรเล่า มันดูจ้องจะจับเอ็งเสียบกระนั้นรึ” กาลก้มหน้างุดลงทันที เพราะรู้แก่ใจดีว่าพุดนั้นรักและตามใจมาตลอด ตั้งแต่เป็นคุณหนูกาลจนมาถึงไอ้กาลคนนี้ พุดก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา

   “เจ้าพุดน่ะมันเคยลั่นคำไว้ ขอเพียงได้รักได้ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเอ็ง ต่อให้ไม่ได้รับความรักตอบกลับมามันก็จะเฝ้ารักเอ็งอยู่เยี่ยงนั้นแหละหนา เจ้ากาล เอ็งลองตรองดูสักหน่อยเถิดว่าคนที่มีใจรักมั่นเยี่ยงนี้จะกล้าทำให้เอ็งต้องเจ็บต้องปวดแม้สักปลายก้อยเชียวรึ ไอ้เรื่องเสียบไม่เสียบของเอ็งน่ะ หากไม่ชอบนักก็บอกเจ้าพุดมันไป มันมิกล้าหักหาญน้ำใจเอ็งได้ดอก ความรักน่ะนะเจ้ากาลเอ๊ย บางทีมันก็ไม่ต้องมาพร้อมกับเรื่องพรรค์อย่างว่าหรอกนะเอ็ง”

   กาลนิ่งฟังแล้วคิดตามที่ท่านเจ้าประคุณสอนแล้วก็เห็นเป็นจริงตามนั้น เรื่องการดูแลเอาอกเอาใจนี่ พี่พุดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอด ถ้าคนที่ไม่ได้มีใจลึกซึ้ง คงเบื่อหน่ายที่จะคอยดูแลไปแล้ว ส่วนเรื่องเสียบ... มาย้อนคิดๆ ดู แค่เวลาประคองตอนที่เราเป็นลมหรือเดินสะดุดนู่นนี่ พี่พุดก็หน้าแดงแล้วหน้าแดงอีก แสดงให้เห็นว่าพี่พุดเขาก็คงไม่มีความฝักใฝ่เกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่หรอกมั๊ง พอคิดได้อย่างนี้กาลก็หน้าใสขึ้นมาได้ทันที จึงอดที่จะเอ่ยปากกระเซ้าหลวงตาอีกนิดไม่ได้ ด้วยติดเป็นนิสัยในการชอบยั่วแหย่อีกฝ่ายไปแล้ว

   “ให้คำปรึกษาเก่งขนาดนี้ เคยมีประสบการณ์มาก่อนแน่ๆ เลยอะหลวงตา อย่าบอกนะว่าที่มาบวชนี่ เพราะหลวงตาช้ำรักมาก่อน”

   “ไอ้เจ้ากาล! เอ็งนี่มันวอนซะแล้วหนากับพระกับเจ้านี่ไม่มีเว้น”

   “แหม... รักดอกจึงหยอกเล่นไงจ๊ะหลวงตา”

   “เอ็งไปหยอกกับคนที่เอ็งรักนู่นไป ไม่ต้องมาหยอกกับข้า คุยกับเอ็งมากๆ แล้วข้าจะประสาทกินตาย!”

   ท่านเจ้าประคุณพูดพลางพยักพเยิดไปทางพุดที่มายืนรออยู่อีกด้านด้วยความกระวนกระวาย ก่อนจะผละเดินไปหาคนที่ตนกล่าวถึงรายงานผลการเจรจาให้ฟังคร่าวๆ แล้วจึงเดินขึ้นกุฏิไป

   พุดค่อยๆ เดินเข้ามาในศาลาท่าน้ำอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ด้วยกลัวว่าคุณหนูของตนจะอ้างเหตุอันใดมาแล้วเดินหลบหนีไปดังเช่นหลายวันก่อนหน้านี้ แต่เดินมาจนยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังคุณหนูกาลก็ยังไม่มีทีท่าจะขยับไปทางไหน จึงทำให้พุดพอจะคลายใจไปได้บ้าง ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดสิ่งใด เสียงใสของคนที่ยืนหันหลังให้ก็รีบชิงพูดออกมาก่อน

   “หนูขอโทษที่หนูหลบหน้าพี่พุดนะจ๊ะ”

   พูดพลางก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ตนคอยจะหนีหายไม่กล้าสู้หน้ามาเสียหลายวัน กาลเกาะแขนพุดพลางยิ้มตาหยีให้ หวังจะประจบเอาใจเต็มที่

   “หนูรู้ว่าหนูคิดมากกับเรื่องบางเรื่องจนทำให้พี่แล้วก็คนบนเรือนเศรษฐฯ กังวลไปกับหนูไปด้วย แต่เมื่อกี๊ หนูคุยกับท่านเจ้าประคุณแล้ว ท่านว่าให้หนูคุยกับพี่พุดตรงๆ ล่ะ พี่พุดพร้อมจะคุยกับหนูไหมจ๊ะ”

   ด้วยการเกาะแขนอธิบาย ด้วยการยิ้มแย้มจนตายิบหยี ด้วยการพูดออดอ้อนเยี่ยงนี้ ต่อให้มากกว่าการพูดคุย พุดก็พร้อมจะพยักหน้ารับทันที ขอให้คุณหนูกาลออกปากเถอะ

   เมื่อเห็นพุดพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน กาลจึงจูงมือพุดเดินลงจากศาลา เพื่อไปหย่อนตัวลงนั่งตรงส่วนที่เป็นท่าน้ำ พลางค่อยๆ แช่เท้าในน้ำเล่น แล้วตีน้ำไปมาด้วยความผ่อนคลาย

   “วันนั้นที่ถูกจับตัวไปกัน พี่พุดได้ยินแล้วใช่ไหมจ๊ะว่าหนูบอกว่ารักพี่”

   กาลพูดไป หน้าก็ขึ้นสีเรื่อไปด้วย โดยที่คนฟังได้แต่อมยิ้มนิดๆ โดยมิได้พูดจาใดๆ เป็นการทำให้ต้องเก้อเขินไปกว่านี้

   “หนูชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่ ไปไหนกับพี่ ได้ทำอะไรร่วมกับพี่ มันทำให้หนูรู้สึกดีทุกอย่างเลยจ้ะ แต่ว่าหนูกลัว เอ่อ... คือ... หนูกลัวเรื่องนั้นมากเลย ถ้า... ถ้าเรารักกันแบบรักกันเฉยๆ พี่พุดจะว่าอะไรไหมจ๊ะ โอ๊ย!... นี่หนูจะพูดยังไงดีเนี่ย คือ”

   มือคร้ามค่อยๆ จับประคองมือเรียวยาวที่ทำท่าจะทึ้งผมตัวเอง เพราะไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงดีมาวางไว้แนบตักของตนพลางลูบเบาๆ อย่างปลอบประโลม กาลได้แต่กัดริมฝีปากอย่างขัดใจ นึกโมโหตัวเองที่เรียบเรียงคำพูดได้สับสนวกวนขนาดนี้ ขณะที่จะอ้าปากลองคุยใหม่อีกรอบ พุดก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม

   “ชู่ว... มิต้องพูดแล้วเจ้า พี่เข้าใจสิ่งที่คุณหนูพยายามจะบอกพี่แล้ว คุณหนูกาลรู้ไหมขอรับว่าพี่รักปักใจในตัวเจ้ามาตั้งกะเจ้าอายุได้เพียง ๗ - ๘ ขวบเพียงเท่านั้น หากพี่คิดถึงแต่เรื่องที่ว่า พี่คงมิเฝ้ามองแต่เจ้ามานานขนาดนี้หรอกหนา”

   คลื่นความร้อนไหลซู่ไปรวมอยู่บนใบหน้าของกาลจนหมด สีแดงเรื่อที่เห็นชัดบนผิวขาว ทำให้พุดอดไม่ได้ที่จะไล้นิ้วไปบนผิวแก้มที่ขึ้นสีจัดกว่าบริเวณใด

   “ดูผิวของคุณหนูสิขอรับ บอบบางถึงเพียงนี้ แค่เพียงเขินอายยังเห็นได้ชัดถนัดตา วันที่ถูกจับตัวไป พี่ยังจำได้มิรู้ลืมว่าแขนเจ้าเขียวช้ำเพียงใด เพียงแค่เห็นพี่ยังเจียนจะคลั่งแล้ว เจ้าคิดว่าพี่จะหักใจทำให้เจ้าได้รับความเจ็บปวดได้เชียวหรือ”

   ในหัวใจของกาลเต็มไปด้วยความเต็มตื้น จะมีใครที่ดีแสนดีและช่างเข้าใจในตัวของเขาได้เท่ากับพี่พุดอีกไหมนะ ไม่แน่หรอกในวันหนึ่งข้างหน้า วันที่เขาไม่กลัวเรื่องถูกเสียบนี่เมื่อไหร่ เขาอาจจะสะกิดบอกพี่พุดเป็นคนแรกก็ได้ใครจะรู้ กาลค่อยๆ เอียงศีรษะพิงซบกับไหล่กว้างของพุดอย่างสุขใจ พลางหลับตาซึมซับความสุขที่ไหลผ่านระหว่างพวกเขาทั้งสองด้วยความอิ่มเอม

*******************************************************


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 05-12-2017 17:21:33
   เสียงตึงตังโครมครามยามเช้าปลุกให้คนที่กำลังฝันหวานต้องตื่นมาขยี้ตาด้วยความง่วงงุนปนงุนงง ว่าทำไมถึงมีเสียงดังขนาดนี้บนเรือนได้ ปกติแล้วคนบนเรือนเศรษฐฯ มักจะทำงานกันด้วยความรวดเร็วแต่ทว่าเรียบร้อย ไม่เคยมีเสียงดังขนาดนี้ให้ระคายหูมาก่อน กาลเปิดประตูชะโงกหน้าออกไปมองก็เห็นบ่าวไพร่เดินกันสไบปลิวโจงสะบัดกันเป็นแถว จึงออกปากถามบ่าวคนหนึ่งที่กำลังหอบกระบุงตะกร้าเดินผ่านหน้าพอดี

   “เขาทำอะไรกันเหรอจ๊ะพี่ ทำไมดูวุ่นวายจัง”

   บ่าวสาวน้อยหัวเราะคิกคักปิดปาก ก่อนจะกระเซ้ากลับว่าคุณหนูช่างขี้ลืมเสียจริงแล้วก็เดินผ่านไป ปล่อยให้กาลงุนงงในคำตอบอยู่คนเดียว จนแม่ปริกตัวแม่แห่งเรือนเศรษฐฯ เดินผ่านมานั่นล่ะ ถึงได้รู้เรื่องกัน

   “อธิโธ่อพิถังคุณหนูกาลเจ้าขา ที่บ่าวเดินกันให้ครึ่ดนี่ก็เร่งเตรียมงานผูกข้อมือของคุณหนูกับเจ้าพุดอย่างไรเล่าเจ้าคะ อีกไม่กี่วันก็จักถึงฤกษ์ดีตามที่ท่านเจ้าประคุณจัดหาไว้ให้แล้ว”

   กาลร้องอ๋อลากเสียงยาวทันที งานของตัวเองใครจะจำไม่ได้กันเล่า แต่ไม่คิดว่าวุ่นวายใหญ่โตจะเกี่ยวกับตนเองก็เท่านั้น เพราะที่คุยกับคุณพ่อคุณแม่ไว้ ก็เพียงทำบุญตักบาตรแล้วก็ผูกข้อมือเป็นอันรับรู้กันเฉยๆ ภายในครอบครัว

   ทีแรกกาลจะไม่ยอมให้จัดพิธีอะไรเสียด้วยซ้ำ หากคุณมารตีค้านเสียงหลง ว่ายังไงก็ต้องมีการทำบุญเพื่อให้เป็นสิริมงคลกับการครองคู่ คุยกันอยู่ตั้งนานกว่าจะลดพิธีการเต็มยศของคุณมารตีลงเหลือเพียงงานผูกข้อมือนี่แหละ

   “แหม หนูจำได้สิพี่ปริก แค่ไม่นึกว่าจะต้องเตรียมของกันมากมายขนาดนี้ต่างหากล่ะจ๊ะ มีอะไรให้หนูช่วยบ้างไหม รอหนูอาบน้ำแป๊บเดียว เดี๋ยวหนูไปช่วยนะจ๊ะ”

   ปริกยังจำได้ดีถึงการช่วยกวนขนมของคุณหนูกาล คิดจะส่ายหน้าปฏิเสธก็นึกขึ้นได้ว่าชวนเธอไปเลือกของตกแต่ง คงจะไม่เสียงานเท่าไรนักจึงออกปาก

   “กะเดี๋ยวอิฉันจะลงไปเรือนเก็บของเจ้าค่ะ ไปหาพวกถ้วยโถโอชามเก่าเก็บมาทำความสะอาดเตรียมไว้ใช้ในวันงาน คุณหนูสนใจจะไปด้วยไหมเจ้าคะ”

   “ไปๆ พี่ปริกรอหนูนะ อย่าหนีหนูไปล่ะ หนูโกรธจริงๆ ด้วย”

   เรือนเก็บของเป็นเรือนที่แยกออกมาทางด้านหลังของเรือนเศรษฐฯ มีความพิเศษตรงที่มิได้สร้างจากไม้สักดังเช่นตัวเรือนหลัก หากเป็นตึกฝรั่งทรงนีโอคลาสิคดูเรียบหรู... สาบานเหอะว่านี่คือเรือนเก็บของ! กาลเดินเข้าไปตามแม่ปริกที่ก้าวฉับๆ นำ ก็ถึงกับหูตาพร่าพราย ทรัพย์สินมีค่า เครื่องประดับ ภาพวาด ข้าวของเครื่องใช้ ทุกอย่างถูกเก็บไว้ที่นี่ทั้งหมด ขณะที่กำลังตะลึงกับคลังสมบัติอยู่นั้น แม่ปริกก็หันมาเตือนให้ระวังตะเข่งใส่ไข่มุกที่เก็บไม่เป็นที่เป็นทาง

   กาลยืนเหม่อมองไปทั่วห้องอย่างใจลอย ปล่อยให้แม่ปริกค้นหาถ้วยโถโอชามของตนไปอย่างเงียบๆ สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสะดุดเข้ากับรูปภาพที่แขวนเด่นเป็นสง่าตรงกลางโถง ต่อให้ไม่อยากรู้จักก็ต้องรู้จักกับภาพวาดระดับโลกขนาดนี้

   “โมนาลิซา”

   กาลชี้มืออันสั่นระริกไปที่รูปวาดแล้วครางเรียกชื่อแม่ปริกเสียงสั่น

   “พะ... ปริก นะ... นั่น” ใจกาลอยากให้ปริกตอบว่าเป็นภาพวาดเลียนแบบเหลือเกิน แต่ความเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลก็ทำให้กาลหวั่นๆ ใจ

   “อ๋อ... รูปวาดคุณแตงโมน่ะเจ้าค่ะ”

   ห๊ะ! คราวนี้กาลได้แต่ทำหน้าเหลอ จนปริกต้องขยับร่างกายตุ้บตั้บมายืนอธิบายใกล้ๆ

   “คุณหนูกาลจำมิได้แล้วกระมัง แต่ก็นานมาแล้วนะเจ้าคะที่คุณหนูมิได้มาเรือนเก็บของ สมัยเมื่อยังเล็ก คุณหนูชอบมาวิ่งเล่น หยิบพวกเพชรพลอยที่วางระเกะระกะไปใช้เป็นลูกกระสุนไล่ยิงหมู หมา กา ไก่ไปเรื่อย นึกแล้วก็น่าตีจริงเชียว” ปริกอมยิ้มเมื่อนึกถึงคุณหนูกาลในอดีตที่แสนซุกซน

   กาลเริ่มไถลตัวนั่งแปะกับพื้นเพราะดูท่าเรื่องนี้จะยาวซะแล้ว ปริกทรุดตัวลงนั่งตามแล้วจึงเริ่มเปิดปากเล่า

   “รูปนี้น่ะตั้งกะสมัยอยุธยาตอนต้นเชียวนะเจ้าคะคุณหนู ต้นตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลยังอาศัยอยู่ที่สยามประเทศอยู่เลยเจ้าค่ะ คนในรูปน่ะชื่อคุณแตงโม เธอขึ้นชื่อเรื่องเปิ๊ดสะก๊าดน่าดูเทียว ครบเครื่องทั้งความก๋ากั่นแก่นเซี้ยวและความหัวสมัยใหม่ เธอลงทุนรอนแรมไปหาคุณสิงห์เธอเลยนะเจ้าคะ อ้อ! เลโอนาร์โด ดา วินชีน่ะแหละเจ้าค่ะ คุณแตงโมเธอว่าชื่อยาวนักเรียกยาก เลยเรียกกันคุณสิงห์เสียจนติดปาก” ปริกหยุดขยายความเรื่องชื่อให้กาลฟัง เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของเจ้าตัว

   “ถ้าอย่างนั้นรูปนี้ก็เป็นรูปที่แท้จริงน่ะสิจ๊ะพี่ปริก งั้นรูปที่ฝรั่งเศสล่ะ” กาลย่นหัวคิ้ว อดถามคำถามที่คาใจออกไปไม่ได้

   “รูปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์น่ะหรือเจ้าคะ อันนั้นก็รูปจริงเหมือนกันเจ้าค่ะ แหม... อิฉันล่ะไม่อยากจะพูด”

   คนไม่อยากจะพูดวางเครื่องกระเบื้องไว้ด้านข้างตัว ตั้งท่าเล่าอย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาทันที ส่วนคนฟังก็ใจจดใจจ่ออยากรู้จนนั่งจ้องหน้าแม่ปริกเสียเขม็ง

   “ก็ความที่คุณแตงโมเธออยากมีรูปเหมือนสวยๆ เก็บไว้ชื่นชมไงเจ้าคะ พอไปขอร้องคุณสิงห์ให้เธอวาดให้ แหม... เธอก็ช่างวาดได้งามนัก งามจนตัวคุณสิงห์เองขอวาดออกมาอีกภาพหนึ่ง ซึ่งก็คือภาพที่อยู่ที่ฝรั่งเศสที่ว่านั่นแหละเจ้าค่ะ แต่ถ้าถามถึงภาพแรกเริ่มแต่เดิมทีล่ะก็ ต้องภาพที่อยู่ในเรือนเศรษฐฯ แหละหนา”

   กาลพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น แล้วก็ถามคำถามคาใจสำหรับหลายๆ คนทั่วโลกออกมาทันที

   “แล้วพี่ปริกรู้ความหมายของรอยยิ้มปริศนาของภาพนี้ไหมจ๊ะ” กาลเลือดลมสูบฉีด ใจเต้นแรงทันที ความลับที่ผู้คนค้นหากำลังจะเปิดเผยตัวต่อหน้าเขานี่แล้ว ยิ่งเมื่อปริกพยักหน้ารับว่ารู้ กาลก็ยิ่งตื่นเต้นจนเหงื่อออกซึมเต็มสองฝ่ามือ

   “ปริศนากระไรกันล่ะเจ้าคะ ตอนวาดภาพนี้น่ะ เคราของคุณสิงห์เธอจุ่มลงไปในจานสีจนเปื้อนไปทั้งแถบ คุณแตงโมจะบอกคุณสิงห์ เธอก็ไม่ยอมให้พูด สั่งแต่ว่าให้อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ ที่เห็นอมยิ้มน่ะ เธอกลั้นขำแทบตายรู้ไหมเจ้าคะ”

   หมดกัน! กาลถอนหายใจหน้าเบ้ทันที ไม่น่าถามเล้ยไอ้กาล ปล่อยให้มันเป็นความลับแบบเดิมก็ดี พอรู้ประวัติความเป็นมาแล้วเพลีย

*******************************************************

   พิธีสงฆ์ช่วงเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงการงัดข้อกันเล็กน้อยระหว่างท่านเจ้าประคุณกับศิษย์รักพอหอมปากหอมคอเท่านั้น โดยช่วงตักบาตรก็มิมีการเกี่ยงงอนแต่อย่างใด เมื่อพุดประคองมือของคุณหนูกาลให้จับที่ด้านบนของทัพพีเสร็จสรรพ เล่นเอาคุณมารตีถึงกับหัวเราะตาพราวด้วยความชอบใจ ส่วนท่านอำนาจได้แต่ตบบ่าเขยขวัญแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจเต็มที่

   “มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันหนาเจ้า หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน”

   คุณมารตีพูดพลางบรรจงผูกด้ายสายสิญจน์สีขาวบริสุทธิ์บนข้อมือของทั้งคู่ ดวงตาคู่งามมีประกายน้ำตาแห่งความปีติฉาบเอ่ออยู่คลอคลอง ฝ่ามืออันอ่อนโยนของคุณมารตีรวบมือของทั้งพุดและกาลเข้าด้วยกันแล้วกุมไว้หลวมๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับพุดเป็นการฝากฝัง

   “ฝากหนูกาลด้วยหนาพ่อพุด ที่ผ่านมาพ่อพุดทำให้มิได้ขาดตกบกพร่อง แม่หวังว่าต่อไปเบื้องหน้าพ่อพุดก็ยังคงจักรักจักดูแลทะนุถนอมน้องตลอดไปนะพ่อนะ”

   พุดยกมือไหว้คุณมารตีพลางเงยหน้าสบตาแน่วแน่

   “ด้วยชีวิตขอรับกระผม”

   เพียงคำพูดสั้นๆ ก็จุดรอยยิ้มสว่างไสวบนใบหน้าของคุณมารตีอย่างง่ายดาย มิมีคำรำพัน มิมีการสาบาน มิต้องกล่าวอ้างอันใดให้มากความ แต่สามารถทำให้ผู้เป็นแม่วางใจได้ว่า ต่อให้มีอุปสรรคปัญหาใดๆ ให้ต้องเผชิญ หนูกาลของแม่ก็จักมี ‘ด้วยชีวิต’ ของพ่อพุดคอยปักปักประคองไว้

   ท่านอำนาจกระแอมไอแล้วแทรกตัวไปผูกข้อมือเป็นคนต่อไป ด้วยความที่เป็นผู้ชาย จึงมิรู้จะพูดอะไรให้ซาบซึ้งได้มากมายนัก คำที่ออกจากปากจึงมีเพียง

   “ฝากด้วย”

   หากคนฟังก็จักรู้ถึงกระแสเสียงแห่งความห่วงใยของผู้ที่ออกปากฝากได้เป็นอย่างดี

   กาลนั่งอมยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงผูกข้อไม้ข้อมือเมื่อตอนสาย มีทั้งความสุข ความประทับใจ รวมถึงความเฮฮายามได้ต่อปากต่อคำกับหลวงตาแล้วก็แม่ปริก

   “อารมณ์ดีจริงหนาเจ้า คิดสิ่งใดอยู่หรือ จึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเยี่ยงนี้”

   ร่างคร้ามที่เดินเปลือยท่อนบนพลางใช้มือจับผ้าขนหนูเช็ดศีรษะที่เปียกชื้นจากการอาบน้ำ เดินมาทรุดตัวนั่งข้างคนอมยิ้มที่ตอนนี้หุบยิ้มและหน้าซีดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นความตื่นกลัวในดวงตา แต่กลับพยายามนิ่งเฉยก็ทำให้พุดอดหัวเราะพลางใช้มือจิ้มจมูกคนตรงหน้าอย่างอดมันเขี้ยวไม่ได้

   “กลัวกระไรพี่นักหนาหืม... พี่ไม่ใช่ยักษ์ใช่มารเสียหน่อย”

   “หนูไม่ได้กลัวพี่พุดนะจ๊ะ พี่พุดออกจะใจดี ไม่เห็นน่ากลัวที่ตรงไหน ถึง... ถึงอะไรๆ จะดูแล้วยักษ์อยู่บ้างก็เถอะ”

   คนไม่กลัวฝืนยิ้มตอบ แถมยังออกตัวประจบเอาใจไว้ก่อน เผื่อว่าคนฟังจะนึกเวทนาไม่คว้าเอากระบองยักษ์ออกมาไล่ตีเขากลางดึก!

   “คุณหนูกาลมิต้องกลัวไปดอกหนา พี่บอกแล้วว่าพี่มิมีวันหักใจทำให้คุณหนูเจ็บตัวได้หรอก ยกเว้นคุณหนูต้องการเอง ขอเพียงเอ่ยคำ รับรองว่าพี่พุดจะสนองในเจตนารมย์ของเจ้าอย่างแข็งขันเทียวล่ะ”

   คำพูดชวนหัวของพุดทำให้บรรยากาศผ่อนคลายไปได้ กาลลดความระแวดระวังลงเป็นอย่างมาก พูดคุยถามนี่ถามนั่นเกี่ยวกับเรือนของพุดที่กาลได้ย้ายตัวเองลงมาอยู่ที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยิ่งดึกเสียงคำถามก็ฟังยานคางไปเรื่อยๆ เพราะวันนี้ยุ่งมาตั้งแต่เช้า แต่คนตอบคำถามสติยังแจ่มชัด ค่อยๆ คุยตอบต่อไปอย่างใจเย็น

   “ถ้านั่งคุยแล้วเมื่อยก็เอนหลังสักนิดเถิด” พุดพูดพลางค่อยๆ แตะเอวกาลให้ขยับเอนราบไปกับที่นอน

   “หนูยังไม่ง่วงเลยพี่พุด”

   “พี่ก็มิได้ให้นอนหลับนี่หนา เพียงให้เอนหลัง จักได้คลายปวดเมื่อย วันนี้เดินยุ่งวุ่นวายทั้งวันมิใช่หรือ”

   มือคร้ามค่อยๆ ขยับบีบนวดจนกาลร้องครางด้วยความสบายในแรงกดที่พอเหมาะพอดีจนต้องเบียดร่างเข้าหาคนปรนนิบัติได้จับเส้นให้ถนัดยิ่งขึ้น หน่วยตาเรียวยาวเริ่มหรี่ปรือขณะกำลังเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝันก็คล้ายมีลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดที่ข้างหูพร้อมเสียงทุ้มพร่า

   “คุณหนูกาลจักว่ากระไรไหม หากพี่พุดจะขอหอมแก้มสักครา”

   กาลฟังถ้อยคำนั้นไม่รู้เรื่องสักนิด เพราะง่วงงุนเต็มนี่ เพียงรู้สึกมีลมมาปัดป่ายแถวข้างแก้มก็ให้รู้สึกรำคาญ จึงพลิกตัวเอียงหน้าขึ้นทันที เสียงหัวเราะหึๆ ในคำคอคล้ายลอยมาจากที่ไกลแสนไกล

   “เอียงแก้มให้เยี่ยงนี้ พี่พุดถือว่าอนุญาตนะเจ้า

   ความรู้สึกคล้ายมีเงาดำบดบังแสงสว่างกลางห้อง ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกจั๊กจี้บริเวณผิวแก้มจนกาลต้องส่ายหน้าแล้วพลิกตัวกลับมานอนหงาย นัยน์ตาที่หรี่ปรือเปิดขึ้นสบกับตาคมพราวระยับที่อยู่ใกล้กันในระยะประชิดจนชวนให้ใจสั่น

   “พี่พุด... ทะ... ทำอะไรจ๊ะ”

   “คุณหนูเชื่อใจพี่ไหมขอรับ”

   ความรู้สึกเดจาวูตามมาหลอกหลอนกาลทันทีเมื่อย้อนนึกไปถึงเมื่อครั้งตนถามพุดด้วยประโยคเดียวกันนี้ ก่อนกระชับมือของอีกฝ่ายกระโดดลงคลองเพื่อดับร้อน

กาลหลับตาปี๋พยักหน้ารับอย่างหวาดๆ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วทุ้มพร้อมแรงบีบกระชับมือจากเจ้าของเสียงหัวเราะ

“แค่จูบ... มิเจ็บดอกหนา”

หากเมื่อครั้งก่อนเป็นการกระโดดลงน้ำ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน เพียงแต่กาลรู้สึกได้ว่าพุดได้พาตนเองกระโดดลงบ่อน้ำเชื่อมที่หวานล้ำ!

ริมฝีปากที่แตะแต้มเพียงแผ่วเบา ก่อนจะแนบชิดคลอเคลียดูดดึงซ้ำๆ ทำเอากาลหายใจแทบไม่ทันจนต้องอ้าปากหอบ หากเพียงแค่เปิดปากเรียวลิ้นอุ่นร้อนก็เข้ามากวาดต้อนรุกไล่ช่วงชิงลมหายใจของกาลออกไปอีก มือเรียวขาวทำได้เพียงจิกประท้วงลงไปบนบ่ากว้างเพราะความรู้สึกอวลละมุนอยู่ในอกต้องได้รับการระบายออก นานเป็นครู่กว่าพุดจะถอนริมฝีปากออก หากก็ยังคงขบเม้มริมฝีปากที่บวมเจ่อของอีกฝ่ายอย่างตัดใจผละจากไม่ไหว เสียงกลั้นอาการหอบครางในอกของคนใต้ร่าง ยิ่งชวนให้โน้มจมูกลงไปคลอเคลียอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ เสียงทุ้มพร่าของพุดเอ่ยขาดๆ หายๆ เมื่อเห็นกลีบปากที่บวมแดงและแก้มที่ขึ้นรอยสีกุหลาบระเรื่อ

“ผิวบางจริงหนาเจ้า พี่พุดขอโทษหนา ดูสิปากเจ่อเทียว”

เสียงสูดลมหายใจยาวอย่างอดกลั้นค่อยๆ จางลงจนเป็นเสียงหายใจปกติ พุดจึงค่อยๆ ทิ้งตัวลงแล้วตระกองกอดกาลไว้แนบอก พลางสูดกลิ่นหอมกรุ่นจากศีรษะของคนในอ้อมแขนแทน

“นอนเถิดหนา มิต้องกังวลสิ่งใดไป ขอให้เชื่อใจพี่พุดเถิด”

ร่างในอ้อมแขนคลายความเกร็งลงก่อนจะขยับยุกยิกแล้วจึงตัดสินใจพลิกตัวไปสวมกอดพุดตอบ พลางซุกหน้าลงบนอก พูดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ

“สักวันนะจ๊ะพี่พุด รอหนูหน่อยนะจ๊ะ หนูสัญญาว่าเมื่อหนูพร้อม...”

ท้ายเสียงแทบจะจมหายเข้าไปในอกของพุดเมื่อคนพูดอายจนเบียดเข้าซุกในอกแน่น พุดลูบศีรษะของคนที่เขินจนหลับไปอย่างนึกเอ็นดู แล้วจึงกระซิบกับคนที่หลับไปแล้วอย่างรักใคร่

“พี่อยู่มาได้ถึง ๒๖ ปีโดยมิได้ทำกระไร พี่ก็อยู่มาได้หนา ในตอนนี้ แค่มีเจ้าในอ้อมกอด ได้หอม ได้จูบ ได้หลับแลตื่นขึ้นมาพร้อมเจ้าในทุกๆ วัน พี่ก็สุขใจยิ่งแล้ว หลับให้สบายเถิดหนา พี่มิทำอันใดเจ้าดอก หนูกาลของพี่”

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ขอบคุณนะคะที่แวะเข้ามาอ่านน้องกาลกัน และก็ขอโทษที่เขียนสั้นๆแค่ 10 ตอนจบ เพราะเป็นความขี้เกียจ เอ๊ย ความตั้งใจที่จะเขียนนิยายแบบนับ 1-10 แล้วจบเลย (อันที่จริงเขียนยาวๆไม่เป็นก็สารภาพมาเหอะ แฮร่!!) ขอบคุณที่จิ้มเข้ามาดู ขอบคุณที่คอมเมนท์นิยาย กราบรอบวงทุกท่านมา ณ ที่นี้ค่ะ อย่าลืมตอนพิเศษอีกหนึ่งตอนนะคะ ทิ้งชื่อบทไว้ให้ก่อนเลย @ไร่อ้อย -รู้สึกเซ็กซี่

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

^-^ Billie ความรวยนี้น่าอิจฉามากกกกค่ะ  :pig4:
^-^ k2blove หนูกาลเป็นขวัญใจของบ้านเลยค่าาาาา พี่พุดบรรลุไปแล้ว แต่มามึนกับท่าทีของหนูกาลอีกซะนี่  :laugh:
^-^ colorofthewind21 ชื่นใจได้ไม่นานก็มึนค่า  :laugh: วงวารพี่พุดเหลือเกิน แต่ตอนจบคงสมใจพี่พุดแล้วล่ะค่ะ เอร๊ยยย แต่โจรก็น่าสงสารจังเลยค่ะ ไม่น่าเล้ยยยยย  o3
^-^ Jthida ความเว่อวังนี้ มันก็จะบันเทิงดีนะคะ  :laugh:
^-^ ♥lvl♀‘O’Deal2♥ หวานกว่าตอนนั้นก็ตอนนี้แหละค่ะ  :-[
^-^ sirin_chadada คุ้นสุดก็ตอนท้ายๆ นี่แหละค่า เอร๊ยยยยยย หวานมากกกก
^-^ mild-dy  :L2: :L1: :L2:
^-^ poppycake เจอตอนต้นๆ ของตอนนี้จะยังคงวงวารพี่พุดต่อค่ะ  :laugh: แต่ท้ายๆ นี่สมใจพี่เค้าละ เขินนนนนน ส่วนโจรนั้น..... ไม่ควรมายุ่งกับน้องกาลเล้ยยยยย ซวยไปนะ สงสัยจะปีชง  :laugh:
^-^ net. net_n2537 บทนี้จะเขินแรงกว่าค่ะ บทหน้านี่จะเขินสุดๆๆๆๆ  :-[
^-^ •♀NoM!_KunG♀• ความรวย ความเว่อวังนั้น ไว้ใจเรือนเศรษฐฯ ได้ค่ะ เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ จัดเลยยยย
^-^ ♥►MAGNOLIA◄♥ ความเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลนั้น จะมาแบบเบๆ ธรรมดาๆ ได้ที่ไหนคะ มันต้องจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ (เต็มหัวโจรเลย)  :laugh: พี่พุดได้ชื่นนนนนนนใจสักทีค่ะ หลังจากลุ้นกับความมึนของน้องกาลมาตั้งนานนนนนน อีกอย่างตอนต่อไปก็คงได้กินเด็กสมใจแล้วล่ะค่ะ  :-[
^-^ WaterProof ดีใจที่ชอบค่า คนเขียนปลื้มมมมมม :o8:
^-^ qq_oo โรคนี้นี่พี่พุดเป็นได้ทั้งคนทำให้มีอาการ และคนที่รักษาได้แค่คนเดียวค่ะ เอร๊ยยย
^-^ FaiiFay_Elle ดีใจที่ชอบค่า ปลื้มมมมม  :mew1:
^-^ ommanymontra  :L2: :L1: :L2:
^-^ maneethewa มาแล้วค่าาาา  :L2: :L1: :L2:
^-^ puiiz  :hao7: :L2: :L1: :L2:
^-^ iceman555 งานสร้างมากค่ะ   :laugh:
^-^ badbadsumaru พี่พุดคงไม่กล้าเล่นค่ะ เดี๋ยวจะโดนคอมแบตตาชดเอา เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลจัดให้ค่ะ  :hao3:
^-^ alternative โชคดีที่พี่พุดสายสตรองค่ะ  :laugh: แต่ตอนนี้นี่สมใจพี่เค้าแล้วนะคะ



:L2: :L2: :L1: :pig4: :L1: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-12-2017 18:09:36
หนูกาลจ๊ะ นี่เกือบทำให้หลวงตาชีวิตจะหาไม่ ก็ดูพูดเข้า..อยู่ใกล้นีจะเอาดัชนีดีดปากให้รู้แล้วรู้รอด
พี่พุดนี่นับถือน้ำใจมากมายก่ายกองมากๆ ที่ดูแลหนูกาลอย่างดี แต่จะมาเสียตรงถ้าหนูกาลเรียกร้อง
จะกระหน่ำไม่ยั้งนี่ อะไร ยังไง ว่าแต่ถึงตอนนั้นอย่าลืมบอกล่วงหน้านะ จะได้หยิบทิชชู่ไว้ซับกำเดา
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-12-2017 18:14:45
พอรู้ว่าตอนต่อไปพี่พุด จะได้กินเด็ก
คนอ่านก็ยิ้มหวาน น้ำลายยืดรอแล้ว

กาลเอ๊ย.....พูดเรื่องเสียบ
ใครเสียบใคร กับหลวงตาหน้าตาเฉยเละนะ  o22 o22 o22

สงสารพี่พุด รอหนูกาลมาตั้ง ๒๖ ปี
คงฝันเปียกถึงหนูกาลทุกคืนสินะ  :hao5: :sad4: :heaven
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-12-2017 18:19:41
หืม จบแล้วเหรอคะ พี่พุดยังไม่ได้กินคุณหนูกาลเลย แค่ก
รอตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 05-12-2017 19:17:05
เอ้าเฮ้ สมใจพี่พุดเขาเสียที สมที่พี่พุดรอคอยมานาน ได้ครองรักกันแล้วว แค่รอวันที่หนูกาลเขาหายกลัวเท่านั้นน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 05-12-2017 19:21:53
สนุกมากเลยค่ะชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 05-12-2017 20:53:54
 :mc4: ฉลองให้พี่พุดกันหน่อยเร็ววววววว
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-12-2017 21:03:26
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: little_dugong ที่ 05-12-2017 21:32:49
อ่านไปยิ้มไปเลย น่ารักมากกกก เสียดายมีนิดเดียวต้องคิดถึงหนุกาลกับพี่พุดแน่เลย
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-12-2017 22:33:46
ได้รักกันสักที นึกว่าหนูกาลจะไม่รู้เรื่องรักซะอีก  :hao7: ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ อ่านแล้วยิ้มเลยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 05-12-2017 23:06:25
พึ่งมาตามอ่านเอ็นดูน้องหนักหนาาาาา น่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 05-12-2017 23:18:10
สนุกมากชอบมาก o13 o13ขอบคุณคุณนักเขียนมากนะคะ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-12-2017 23:20:21
สมหวังกันไปเนาะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 06-12-2017 00:21:20
เป็นนิยายคว่ำโรงงานน้ำตาลที่แท้ทรู
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 06-12-2017 07:02:10
กังวลเรื่องนี้จนต้องปรึกษาหลวงตา อกอีแป้นจะแตก!!
กาล เอ๊ย กาล ติ้งต๊องจนหยดสุดท้าย 555555
อยากได้ตอนพิเศษค่ะ! ตอนที่พี่พุดได้เสียบ เอ๊ย ได้สมรักกันไงคะ -.,-
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 06-12-2017 11:38:17


น่ารักมาก

หลงรักกันเลยทีเดียว

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 06-12-2017 14:22:32
อภิมหาความรวยแบบเวอร์วังอลังการและสิ่งที่คาดไม่ถึงยกให้เรื่องนี้คะ แต่เรื่องก็สนุกอ่านแล้วบางตอนถึงกับ"ห๊ะ":really2: ขอบคุณคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 06-12-2017 17:06:59
เหม็นฟาสรักก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-12-2017 18:46:40
ติดอยู่ในความคิดหนึ่งประโยค "น้องกาลกลัวพี่พุดเสียบ " นี่ล่ะทั้งเรื่อง ฝังในสมองเลย ขอบคุณนะคร้าบ แปลกแหวกมว้าก ยิ่งกว่าอะไรๆ บนโลกใบนี้
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 07-12-2017 00:37:26
ไม่เคยเจอนิยายเรื่องไหนที่เว่อวังขนาดนี้55555 อ่านรวดเดียวจบเลยชอบมากกกกกกกก อยากให้คนเขียนเขียนแนวนี้ออกมาอีกเย้อเยอะๆ เพราะคนชอบฟีลกู๊ด ยิ่งไม่มีดราม่ายิ่งชอบบบบ5555 สู้ๆน่าาาา :hao7: :hao7: :mew1:  :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 07-12-2017 14:58:13
ไม่ได้ตามอ่านมาพักนึง ลงจบซะแล้ววว  :hao5:
เราชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ สนุกมากเลย ขอบคุณที่ลงนิยายดีๆให้อ่านนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 07-12-2017 17:19:23
ยังไม่ได้เสียเลือดเลย นี่เตรียมทิชชูไว้เเล้วอ่ะ ไม่ยอมมมม :ling3:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 07-12-2017 17:30:13
เอ็นดูตอนไปปรึกษาหลวงตา55555

รอคอยตอนพิเศษใจจดใจจ่อชื่อตอนมันดึงดูดเหลือเกิน :hao6:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 07-12-2017 18:12:01
จามมาจากที่เค้าแนะนำ สนุกอ่าา ฮาาาา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 07-12-2017 21:34:59
สนุกมากกกกกกเลยคพ
เสียดายมาเห็นเรื่องนี้ช้าไป
จะจบแล้วหรอคะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Mayana ที่ 07-12-2017 22:18:34
สนุกมากมายค่ะ เป็นเรื่องที่ อ่านไป หัวเราะไป ยกให้เป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดเลยค่ะ  :man1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-12-2017 04:59:56
 :mew1: :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 08-12-2017 21:29:13
ตอนพิเศษ
@ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่

   “เฮ้อ...”

   เสียงทอดถอนใจของคุณหนูกาลแห่งเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ปริกก็มิได้ใส่ใจนับให้เป็นจำนวนที่แน่นอนนัก ด้วยเหตุที่นั่งกังวลกับอาการของคุณหนูเสียมากกว่า นิ้วอวบขยับสะกิดผู้เป็นนายพลางพยักพเยิดไปทางต้นเสียงก่อนจะกระซิบกระซาบลดเสียงเพื่อปรึกษากัน

   “อิฉันเห็นนั่งถอนใจมาเป็นอาทิตย์แล้วนะเจ้าคะ”

   “นั่นสิ ฉันถามก็เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ บอกแต่ว่าไม่เป็นไรๆ คนไม่เป็นอะไรไฉนนั่งถอนใจเฮือกๆ ตาลอยเยี่ยงนี้”

   เพิ่งจะคุยกันได้ไม่กี่คำเสียง เฮ้อ... ก็ดังลอยมาตามลมให้ได้ยินอีก คุณมารตีตัดสินใจวางกรวยหยอดแป้งร่ำที่จักทำเป็นของฝากให้นายกเทศมนตรีที่อังกฤษเมื่อครั้งช่วยประสานงานตอนที่หนูกาลโดนจับตัวไป เห็นลูกรักอาการหนักเยี่ยงนี้ผู้ใดจะไปมีแก่ใจทำต่อได้ แม่ปริกส่งผ้าเช็ดมือให้คุณมารตีอย่างรู้ใจ ก่อนจะค่อยๆ พยุงผู้เป็นนายลุกขึ้นแล้วก้าวเดินอย่างหมายมาดไปหาสาเหตุที่ทำให้บุตรของตนต้องมีอาการเช่นนี้

   ปลายนิ้วที่ค่อนข้างเย็นเพราะเพิ่งทำความสะอาดมาแตะลงบนท่อนแขนของลูกชาย ส่งผลให้คนที่ถูกสัมผัสสะดุ้งตกใจแล้วกะพริบตาปริบเมื่อเห็นเป็นมารดา

   “คุณแม่มาเงียบๆ หนูตกใจหมด ทำงานเสร็จแล้วหรือจ๊ะ”

   กาลถามพลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้มารดาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างคุณมารตีสังเกตสีหน้าบุตรชายก็พบรอยคล้ำใต้ตา แสดงถึงอาการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นอย่างดี ร่องรอยที่ว่ายังพอจะมองข้ามไปได้ หากแววตาที่หรุบต่ำ ไม่เปล่งประกายฉายแสงแห่งความสุขดังแต่ก่อน ทำให้หัวอกของผู้เป็นแม่ปวดร้าวยิ่งนัก

   “หนูกาล... บอกแม่เถิดหนา เจ้าเป็นกระไรกันแน่ ไฉนจึงดูอมทุกข์เยี่ยงนี้ แม่กับปริกเห็นแล้วก็อดเป็นกังวลกับเจ้าด้วยไม่ได้ ลองบอกแม่ดูทีรึ แม่จักได้ช่วยคิดช่วยแก้ไขเพื่อให้เจ้าเบาใจ”

   พอโหมดวิเคราะห์ของผู้เป็นนายทำงาน บ่าวอย่างปริกก็สมองหมุนเร็วจี๋ยิ่งกว่าหนูถีบจักร ปากก็เอ่ยขยับตามความคิดในหัวทันที

   “ถ้าจะมีใครที่ทำให้คุณหนูขัดเคืองใจได้ คนๆ นั้นก็ต้องเป็นคนที่คุณหนูรักมากด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ หากเมื่อเช้าคุณหนูยังออดอ้อนท่านอำนาจ แลยามนี้ก็ยังกอดคุณมารตีได้ เพราะฉะนั้นผู้ต้องสงสัยมีเพียงหนึ่งเดียว และอิฉันฟังธงว่าเป็น ‘เจ้าพุด’ เจ้าค่ะ”

   แม่นอย่างกับจับวาง เมื่อชื่อของพุดออกมา กาลก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที และแน่นอนว่าไม่อาจหลุดพ้นสายตาของสองสาวจิตสัมผัสไปได้ แม่ปริกตบเข่าฉาดพลางเอ่ย

   “ว่าแล้วไหมล่ะ ทีซื้อหวยล่ะไม่ยักกะถูก”

   “พ่อพุดทำกระไรให้หนูกาลคับข้องใจกระนั้นรึ”

   คุณมารตีมองออกทันทีว่าปัญหาที่ว่านี้ต้องเป็นปัญหาทางใจเป็นแน่ ด้วยพุดนั้นทะนุถนอมกาลยิ่งกว่าสิ่งใด มิมีทางที่จะหักใจทำร้ายร่างกายบุตรชายของตนเป็นแน่ ยิ่งเห็นท่าทางลูกรักอึกอักคุณมารตียิ่งใช้เสียงอ่อนโยนเข้าปลอบ หวังให้กาลระบายความในใจออกมาจักได้ช่วยหาทางแก้ไข

   “หนูกาลเอ๋ย ฟังแม่ให้ดีหนาลูก การครองคู่กันนั้น ต้องมีเหตุให้กระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ข้อนี้คู่ของใครจักต้องพบเจอด้วยกันทั้งสิ้น หากหัวใจสำคัญนั้นอยู่ที่เมื่อกระทบกันแล้ว ได้เปิดใจพูดคุยถึงปัญหานั้นกันหรือไม่ หากมัวปล่อยให้ค้างคากันไปเนิ่นนานจักกลายเป็นปัญหาใหญ่โตในภายหลังได้หนา” คุณมารตีพูดไป มือก็ลูบแขนปลอบโยนลูกไป

   “หนู... หนูไม่ได้ทะเลาะอะไรกับพี่พุดเลยนะจ๊ะ”

   อาการอึกอัก นิ้วเรียวจิกเกร็งกับโจงที่สวมอยู่จนขึ้นข้อซีดขาว แต่ใบหน้ากลับขึ้นสีเรื่อ ยิ่งทำให้คุณมารตีสงสัย หากก็ได้แต่นิ่งรอให้บุตรชายเป็นฝ่ายเปิดปากบอกเล่าถึงสาเหตุออกมาเอง เงียบกันไปเป็นครู่จึงค่อยได้ยินเสียงบ่นหงุงหงิงคล้ายเสียงแมลงหวี่บินผ่าน

   “ก็พี่พุด... ยอม... อะไร”

   “ขออีกรอบได้ไหมเจ้าคะคุณหนูกาล อิฉันแก่แล้ว หูไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ มีกระไรก็เล่าแจ้งแถลงไขออกมา อิฉันกับคุณมารตีพร้อมจักช่วยเป็นกำลังเสริมให้คุณหนูกาลเต็มที่เจ้าค่ะ” ปริกกระเถิบตัวเข้าไปใกล้พลางเอียงหูตั้งใจฟัง
   “ก็พี่พุด... พี่เขากลัวหนูเจ็บ เลยไม่ยอมมีอะไรกับหนูอะจ้ะ”

   จบคำพูดจากใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อครานี้กลับแดงราวมะเขือเทศสุกก็มิปาน ขณะที่คุณมารตีกับแม่ปริกนั่งอึ้งตะลึงอ้าปากค้างก่อนจะได้สติกระแอมไอแก้เก้อ

   “อ้อ... กระนั้นรึ” คุณมารตีที่ปรับตัวได้เร็วกว่าแม่ปริกเอ่ยปากตอบให้คล้ายเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหา... ให้เยี่ยงไรก็คือปัญหา จะเล็กจะใหญ่ จะในรึจะนอกร่มผ้าก็คือปัญหา อย่างไรก็ต้องเป็นที่พึ่งให้ลูกยามเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือล่ะนะ คุณมารตีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยสงบสติอารมณ์แล้วซักถามต่อไป

   “ไฉนเป็นเช่นนั้นเล่า ไหนหนูกาลลองเล่าต้นสายปลายเหตุให้แม่ฟังที”

   เมื่อมีคนพร้อมรับฟังโดยไม่มีทีท่าหยอกล้อ กาลจึงข่มใจระงับความอายแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดราวกับเขื่อนทำนบแตกก็ไม่ปาน เริ่มจากเมื่อ ๔ เดือนที่แล้วที่ตนเองขอร้องพุดไว้เพราะกลัวความเจ็บปวด ทว่าอยู่ร่วมกันมาตั้งนานนมมีทั้งกอดทั้งหอม มากสุดคือการจูบจนปากเจ่อแล้วพี่พุดก็หยุดแล้วตัดเข้าโคมไฟตลอดๆ จะว่าไปที่พี่พุดไม่ยอมลงมือ เพราะตนดันเป็นคนออกปากเรื่องนี้ไว้เอง

   “อย่างนี้มันเข้าข่ายหล่อแต่ไม่อร่อยนะเจ้าคะคุณหนูกาล!”

   “ห๊ะ!” กาลที่กำลังหนักอกหนักใจถึงกับชะงักในข้อหาของปริก

   “ก็มันจริงไหมล่ะเจ้าคะ เล่นไม่ยอมรุกคืบเยี่ยงนี้ใช้ได้ที่ไหน พูดก็พูดเถอะนะเจ้าคะ ใครๆ ก็ว่าชีวิตคู่เรื่อง Sex ไม่สำคัญ แต่อิฉันว่าถ้าไม่มีมันส์ก็ไม่ Fun จริงไหมเจ้าคะคุณรตี” ปริกหันไปหาเสียงสนับสนุนจากผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในสามคนที่นั่งอยู่ทันที เล่นเอาคุณมารตีถึงกับสะดุ้งแต่ก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างมิให้เสียกิริยา

   “อันที่จริงพี่พุดเขาก็ไม่ผิดหรอกนะจ๊ะ เป็นหนูนี่แหละที่ตั้งแง่ไว้ ทีนี้พี่พุดก็แค่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเฉยๆ เพียงแต่... เพียงแต่หนูว่ามันก็น่าจะเปลี่ยนแปลงข้อตกลงทีหลังได้ก็น่าจะดี”

   สองสาวมองสบตากันแล้วประกายก็สว่างวาบขึ้นจนกาลชักจะใจคอไม่ดี ขณะที่กำลังจะออกปากว่าไม่เป็นไร ทั้งคุณมารตีและแม่ปริกต่างก็เอื้อมมือมากุมมือของกาลไว้คนละข้าง แม่ปริกเอ่ยปาก

   “จะไปยากอาไร้... เราก็แค่ต้องอ่อยให้เจ้าพุดรุกให้ได้สิเจ้าคะ”

   คุณมารตีพยักหน้ารับ กุมกระชับมือบุตรชายแน่น สองคนตนเองกับปริกรวมกันก็มีมารยา ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนละ จะงัดทุกกลยุทธ์มาใช้ก็ให้มันรู้ไปว่ามันจะไม่ได้ผล!!

******************************************************

   “แม่เสือสาวเรียกกระซู่โหย ราชสีห์หนุ่มเดินมาแล้ว ให้สมันน้อยเข้าประจำที่ได้”

   “.....”

   “แม่เสือสาวเรียกกระซู่โหย... เอ๊ะ! แม่ปริกนี่กระไร ฉันเรียกกระไรไม่ตอบ”

   “ทำไมอิฉันต้องเป็นกระซู่ล่ะเจ้าคะ แถมยังเป็นกระซู่โหยอีก อิฉันไม่อยากเป็นกระซู่เลยไม่ตอบเจ้าค่ะ” เสียงกระเง้ากระงอดที่ลอดมาจากวิทยุสื่อสารทำให้คุณมารตีถอนหายใจยาว

   “ก็แล้วแม่ปริกอยากใช้รหัสใดเล่า”

   “ไนติงเกลน้อยเจ้าค่ะ อิฉันอยากเป็นนกไนติงเกลที่มีเสียงไพเราะจับใจคนฟัง”

   “ได้ ไนติงเกลก็ไนติงเกล แต่ฉันจะบอกแม่ปริกไว้ก่อนนะ มีแต่นกไนติงเกลตัวผู้เท่านั้นแหละที่มีเสียงไพเราะ!”

   เมื่อเป้าหมายเดินอ้อมโค้งทางด้านนอกชานผ่านเข้ามาปริกก็สาดน้ำในมือเข้าใส่คุณหนูกาลเต็มแรง  พลางรีบทิ้งกะละมังในมือลงแล้วอุทานเสียงสูงยกมือทาบอกทันที

   “ว้ายตายแล้ว ตาเถรหก อิฉันไม่เห็นคุณหนูจริงๆ เจ้าค่ะ โถ... พ่อคุณ เปียกม่อล่อกม่อแลกไปหมดเลย ทำเยี่ยงไรดี”

   พุดชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อเห็นคุณหนูกาลในสภาพเปียกโชก เสื้อผ้าป่านแนบไปกับผิวเนื้ออ่อนใสจนแลเห็นตุ่มไตชัดเจนจนน่าโมโห เห็นปริกละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องโวยวายแล้วยิ่งขัดใจ จะเสียงดังให้บ่าวไพร่คนอื่นมามุงภาพเช่นนี้ได้กระนั้นรึ ยิ่งคิดยิ่งขุ่นมัว จึงรีบสาวเท้ายาวๆ ไปโอบประคองคุณหนูกาลไว้ทันที

   “คุณหนูกาล หนาวหรือไม่ขอรับ เดี๋ยวพี่รีบพากลับเรือนหนา ทนไหวหรือไม่ คุณปริกนี่ก็กระไร เดินเยี่ยงไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” ท้ายเสียงหันไปกล่าวโทษแม่ปริกเอาเสียอีก ปริกได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยากเถียงใจแทบขาด แต่ก็กลัวแผนจะแตกเอาเสียก่อน จึงได้แต่ข่มความไม่พอใจ แล้วรีบกระวีกระวาดวิ่งไปคว้าผ้าขนหนูมาห่มให้คุณหนูกาลก่อนจะรีบไล่พุดให้พาคุณหนูกลับเรือนแพไปผลัดผ้าเสียที

   ระหว่างเดินกลับเรือน กาลตัวสั่นกึกๆ ขึ้นมาเป็นระยะ พุดจึงยิ่งโอบกระชับวงแขนให้แน่นหนาเพื่อบรรเทาความหนาว กาลนึกถึงคำสอนของคุณมารตีที่แว่วมาเป็นฉากๆ ในหัว ก่อนจะเริ่มเอนตัวพิงซบกับอกของพุด ให้ผิวเนื้อเสียดสีกันมากขึ้น จังหวะการก้าวเท้าที่มั่นคงเมื่อครู่เริ่มเซนิดๆ ทันที กาลเห็นว่าได้ผลจึงเริ่มมั่นใจมากขึ้น กระซิบกับอกของพุดแถวบริเวณป้านสีเข้มทันที

   “พี่พุดจ๋า หนูหนาว”

   ลมที่ปัดผ้าบริเวณหน้าอก ชวนให้หัวใจคันยุบยิบเสียเหลือเกิน พุดถึงกับต้องกลั้นลมหายใจ ท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆในหัวเพื่อช่วยเตือนตัวเองเป็นการด่วน เมื่อเห็นพุดไม่มีคำพูดตอบรับ จึงนึกว่าลมที่ออกจากปากเวลาพูดน่าจะไม่แรงพอ จึงห่อมากเป่าลมออกไปตรงๆ อีกครั้ง

   “ฟู่ววว”

   ได้ผลทันที เมื่อตุ่มไตบนหน้าอกของพุดคล้ายจะชูชันตอบรับ เหลือบตาลงมองด้านล่างก็เห็นกล้ามท้องหดตัวเรียงลูกสวยขึ้นมาทันที แต่ปฏิกิริยาใดก็ไม่เท่ากับอาการเดินสะดุดขาของตัวเองจนเกือบจะล้มคว่ำกันลงไปทั้งคู่ของพุด ที่ทำให้มองออกว่าการเป่าลมในครั้งนี้ได้ผล

   “คะ... คุณหนู ถึงเรือนแล้วขอรับ รีบไปผลัดผ้าเร็ว”

   พุดเอ่ยเร่งปากคอสั่น ในขณะที่กาลช้อนตามองเพียงนิดเดียวแล้วเริ่มทิ้งตัวแปะลงกับพื้นเรือนทันที เล่นเอาพุดอุทานเรียกเสียงหลง แล้วรีบทรุดตัวลงคว้าประคอง

   “คุณหนูกาลเป็นกระไรขอรับ เอ... เมื่อเช้าตอนออกจากเรือนก็ยังดีอยู่หนา คุณหนูผลัดผ้าไปก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวพี่จักรีบไปตามหมอ”

   มือเรียวคว้าเข้าที่ข้อมือของพุดทันที ขืนให้ไปตามหมอมาเดี๋ยวก็โดนจับฉีดยาบำรุงเท่านั้นเอง นาทีนี้ไม่ต้องการยาบำรุง แต่กาลต้องการยาบำเรอ!

   เสียงอ่อนแรงดังมาจากร่างที่นั่งอยู่กับพื้นมาพร้อมกับรอยยิ้มแหยชวนให้เอ็นดู

   “หนูไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะพี่พุด แค่... เอ่อ... แค่เป็นตะคริวน่ะจ้ะ พี่พุดช่วยหนูผลัดผ้าออกหน่อยได้ไหมจ๊ะ เนี่ย พอหนาวแล้วหนูก็เป็นตะคริวแบบเนี้ยอะจ้ะ”

   อืม... สเต็ปแถเริ่มคล่องขึ้นเยอะ ไอ้กาลชักมีกำลังใจอ่อยต่อละ

   กาลมัวแต่ภาคภูมิใจ จนไม่ทันสังเกตอาการมือกระตุกหนังตาสั่นระริกของพุดที่ถูกขอให้ทำภารกิจโหดหิน จะไม่ช่วยคุณหนูเธอก็ไม่ได้ ดูท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง เนื้อตัวเปียกโชกนั่นเสียก่อนว่าน่าสงสารขนาดไหน อดทนไว้ไอ้พุด

   พุดรับคำ “ขอรับ” เสียงแผ่วเบาก่อนจะกลั้นใจโอบประคองร่างขาวเนียนมือไว้แนบอกอีกครั้ง แล้วพาเข้าห้องนอนไปผลัดผ้าด้วยความรู้สึกหิวโหย แต่ต้องอดกลั้นอย่างจำใจ

   “คุณหนูยกมือขึ้นอีกหน่อยขอรับ พี่จักถอดเสื้อให้”

   กาลให้ความร่วมมือรีบยกมือชูสองข้างเหนือศีรษะทันที ก่อนนึกขึ้นได้ว่าต้องทำเป็นไม่มีแรง จึงค่อยๆ ลดความเร็วในการยกมือขึ้นให้แลดูเชื่องช้าไปอีกสักหน่อย เมื่อเสื้อที่เปียกพ้นศีรษะไปแล้วจึงแกล้งลดมือลงวางแปะไว้บนบ่ากว้างของพุดทันทีเหมือนกับหมดแรงขึ้นมากะทันหัน

   ส่วนคนถอดเสื้อให้ก็ถึงกับลืมหายใจไปแล้ว ตาจ้องมองแผ่นอกขาวเนียนตรงหน้าที่สะท้อนขึ้นลงเหมือนเป็นการเชิญชวนก็ไม่ปาน แต่ก่อนคุณหนูกาลเธอขาวแต่ติดจะออกไปทางขาวซีดเสียมากกว่า ทว่าเดี๋ยวนี้เธอขยันรับประทานยาบำรุงกำลังเพิ่มมากขึ้น ผิวเนื้อจึงมีเลือดฝาด แลดูเป็นสีขาวอมชมพู ยิ่งตรงป้านสีชมพูอ่อนนั้น...

   “เอื้อก!”

   กาลว่ากาลเห็นลูกกระเดือกของพี่พุดขยับขึ้นลง และหูคล้ายจะแว่วได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยนะ เอาวะ ถอดท่อนบนยังได้ผลขนาดนี้ ถอดท่านล่างน่าจะโดนละ

   ร่างที่ยังชื้นจากน้ำ เอนลงพิงซบคนที่ยืนตกตะลึงทันที มือที่วางไว้บนบ่าเริ่มขยับมาประสานกันที่หลังต้นคอของพุด จนกลายเป็นการคล้องคอไว้เป็นที่เรียบร้อย

   “พี่พุดผลัดโจงให้หนูด้วย หนูไม่มีแรงแล้วเนี่ย”

   เสียงที่พูดกับซอกคอของพุดทำเอาขนลุกกรูเกรียว เส้นผมที่ยาวประบ่าของกาลหลุดลุ่ยจนน้ำที่เปียกไหลย้อยลงมาตามเส้นผมและหยดลงลวกบนแผ่นอกของพุดอย่างช่วยไม่ได้ พุดพยายามจะมองเพียงดวงตาเรียวยาวของคนตรงหน้าเพียงเท่านั้น ในขณะที่เอื้อมมือไปแกะปมของโจงที่ไม่รู้เปียกน้ำหรืออย่างไร มันถึงได้แกะยากแกะเย็นเช่นนี้

   ในขณะที่มือสั่นสะท้านจับปมผิดปมถูกอยู่นั้น เจ้าของดวงตาที่จ้องตอบกลับมากลับยิ้มหวาน พลางใช้มือค่อยๆ ลากผ่านบริเวณขมับของพุดอย่างช้าๆ พลางเอ่ยถามเสียงแผ่ว

   “พี่พุดร้อนเหรอจ๊ะ เหงื่อออกเลย หนูสิหนาวจะแย่ แต่ก็พอดีเลยนะ ถ้าอย่างนั้นหนูกอดพี่พุดแน่นๆ ดีกว่า พี่พุดถ่ายไอความร้อนให้หนู หนูก็คืนความเย็นให้พี่พุดกลับไปดีไหมจ๊ะ”

   โจงร่วงไปกองอยู่ที่พื้น ในขณะที่กาลทาบลำตัวทั้งหมดกอดพุดอย่างแนบแน่นพอดี เท่ากับว่าตอนนี้เนื้อตัวเปลือยเปล่าทั้งหมดของคุณหนูกาลแนบกับผิวเนื้อของพุดแบบถึงเนื้อถึงตัวโดยมีแต่โจงสีพื้นของพุดเท่านั้นที่กั้นขวางระหว่างพวกเขาสองคน

   “คะ... คุณหนูกาล ปล่อยก่อนดีไหมขอรับ พี่จักทนไม่ไหวเอา พี่มิอยากให้คุณหนูกาลต้องเจ็บหนา”

   อาการทนไม่ไหวที่ดุนดันอยู่เบื้องล่างก็ทำเอากาลตัวแข็งเกร็งอยู่เหมือนกัน แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ไอ้กาลสู้ตาย!

   กาลเงยหน้าขึ้นจุมพิตปลายคางคร้ามคมแผ่วเบาแล้วกระซิบ

   “เขาว่ากันว่า... เจ็บแต่ก็มีความสุขใช่ไหมจ๊ะพี่พุด หนู... หนูก็อยากมีความสุขบ้างอ่ะจ้ะ”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ บทที่ 10 @เรือนเศรษฐฯ - รู้สึกเป็นที่รัก - ตอนจบ (5/12/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 08-12-2017 21:34:03
   ไม่มีเสียงโต้ตอบกลับมาอีกแล้ว เพราะพุดปากไม่ว่างอีกต่อไป เป้าหมายแรกคือริมฝีปากช่างจำนรรจาที่วอนขอความสุขอยู่เมื่อครู่นั่นเอง พุดค่อยๆ และเล็มขบเม้มอย่างพยายามให้เบาแรง มือคร้ามทางหนึ่งโอบกระชับเอวให้เข้ามาบดเบียดให้ได้มากที่สุด อีกทางหนึ่งคลึงต้นคอของกาลไว้ให้แหงนเงยรับจุมพิตได้อย่างถนัดถนี่ พลางเอียงใบหน้าเพื่อปรับองศาแล้วส่งลิ้นร้อนเข้าไปเริ่มกวาดต้อนเรียวลิ้นที่เงอะงะของกาลจนเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก ตวัดพัน ซอกซอน กลืนกินอย่างรวดเร็วเหมือนคนอดอยากที่จ้องมองอาหารที่ละลานตาเบื้องหน้า แต่ถูกสั่งห้ามกิน จนวันหนึ่งอยู่ๆ ก็มีคำสั่งยกเลิกขึ้นมาพุดจึงเต็มที่มาก

   เสียงชื้นแฉะที่บดเบียดยิ่งชวนให้บรรยากาศวาบหวามมากขึ้นไปอีก พุดถอนปากออกจากกลีบปากที่บวมเจ่อและขึ้นสีแดงจัดแวววาว เพราะถูกเคลือบด้วยน้ำใสที่กาลกลืนไม่ทัน มุมปากยังมีเส้นสีเงินเป็นสายยามเมื่อผละออกมามอง พุดใช้นิ้วโป้งค่อยๆ ไล้เกลี่ยเส้นสายนั้นแผ่วเบา พลางโน้มหน้าลงไปกระซิบชิดริมฝีปากนั้นอีกครั้งด้วยเสียงสั่นพร่า

   “คุณหนูกาลยังมีโอกาสปฏิเสธอยู่หนา พี่ยังควบคุมอารมณ์ได้ด้วยสติอันน้อยนิดของพี่ แต่หากเจ้าอนุญาตครานี้แล้ว กลับคิดผลักไสพี่กลางทาง พี่คงมิอาจหยุดได้หนา”

   แทนคำตอบ กาลค่อยๆ งับลงบนริมฝีปากที่คลอเคลียแล้วทำใจกล้าส่งลิ้นเรียวอันอ่อนนุ่มไปท้ารบอีกฝ่ายถึงถิ่นทันที พุดครางกระหึ่มในลำคอคล้ายเสียงสัตว์ป่ายามได้รับบาดเจ็บ ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่าอย่างที่ใจอยาก สำรวจทุกตารางนิ้วบนร่างกายนี้อย่างหลงใหล ในขณะที่ไล่ฟอนเฟ้นไปทั่วร่างกายด้านหลัง มืออีกข้างที่เมื่อครู่ยังอยู่แถวมุมปากของกาลก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านลำคอขาวผ่องลงมาสู่ลาดไหล่ ไล้วนบริเวณไหปลาร้าอย่างนุ่มนวล ก่อนจะแวะทักทายตุ่มไตบนป้านสีอ่อนที่พุดใจสั่นตั้งแต่เห็นผ่านผ้าที่เปียกน้ำเมื่อครู่แล้ว

   เสมือนกระแสไฟฟ้าวาบผ่านที่ปลายยอดอกทันทีที่ถูกมือคร้ามปัดโดน ปลายนิ้วที่สากกระด้างเล็กน้อยสะกิดแผ่วเบาก็ทำให้กาลเผลอแอ่นอกหลุดเสียงครางออกมาทันที บั้นท้ายที่โดยฟอนเฟ้นประกอบกับยอดอกที่ถูกขยี้ทำให้ช่องท้องของกาลบิดมวนเพราะความหวามไหว ได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาซ้ำๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก

   “อือ.. พี่พุด... พี่พุด... อื้อ”

   ปากอุ่นร้อนครอบลงบนยอดอกข้างที่ถูกละเลยทันที กาลกายสะท้าน ศีรษะแหงนหงายไปด้านหลัง ทำให้บริเวณลำตัวแอ่นโค้งขึ้น ส่งผลให้พุดดูดดุนตุ่มไตในปากได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ลิ้นร้อนที่ลวกอยู่บนหน้าอกแล้วยังขบเม้มพลิกพลิ้วไปมายิ่งทำให้กาลใจจะขาดเสียให้ได้ อารมณ์รัญจวนตีขึ้นมาจนเต็มที่ แต่กาลกลับรู้สึกว่างโหวงคล้ายรอคอยสิ่งใดมาเติมเต็ม ขาทั้งสองข้างของกาลสั่นระริกอย่างควบคุมแทบไม่อยู่ ยิ่งเมื่อศีรษะของพุดลดต่ำลงไปจากหน้าอกมุ่งลงสู่เบื้องล่าง เจ้าของเรือนกายขาวยิ่งแทบจะล้มพับลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว ดีที่พุดช่วยโอบประคองแผ่นหลังไว้ ทำให้กาลยังคงทรงตัวอยู่ได้ถึงแม้จะไม่ค่อยมั่นคงนักก็เถอะ

   และก็เหมือนจะรู้ว่าคุณหนูกาลกำลังตกที่นั่งลำบาก ร่างคร้ามจึงค่อยออกแรงดึงบริเวณบั้นเอวให้คนที่กำลังสั่นนั่งลงบนที่นอนด้านหลังทันที

   “อ๊า”

   ได้นั่งแล้วแทนที่จะสบาย กาลกลับรับรู้ได้ถึงริมฝีปากร้อนชื้นที่เข้าครอบครองตัวตนจนสุดความยาวในครั้งเดียว!

   “พี่... ฮึก... พี่”

   มือเรียวจิกขยุ้มผมของพุดอย่างสุดกลั้นพลางก้มลงประสานสายตาที่มองสบขึ้นมาอย่างยั่วเย้า พุดมองหน่วยตาเรียวที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งอารมณ์ แล้วก็ได้แต่นึกอยากรังแกให้มากกว่านี้ จึงตวัดไล้ปลายยอดอย่างแผ่วเบาทันที

   “พี่พุดจ๋า”

   เสียงครางที่ได้ยิน เล่นเอาพุดปวดหนึบจนแทบทนไม่ไหว จึงเร่งห่อปากรูดรั้งเพื่อส่งพ่อคนช่างยั่วไปแตะฝั่งฝันให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อเป็นการตอบโต้กลับ แต่ทว่ากลับกลายเป็นเร่งเสียงครางกระเส่าให้หอบถี่หนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

   “อึก อ๊ะ อ๊า... พี่พุด อืม พี่.. อ่า”

   กาลเสียงสะท้านจนปลายเท้าจิกเกร็ง หางเสียงที่แสดงความอิ่มเอมใจทำให้พุดอดนึกรักจนต้องจูบซับบริเวณต้นขาด้านในซ้ำๆ อย่างหลงใหล คนโดนแสดงความรักเข้าใส่นาทีนี้ไม่รับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ได้แต่ทิ้งตัวลงนอนหอบสะท้านหายใจหนักๆ หัวใจที่เต้นถี่ระรัวเพียงอย่างเดียว จนที่นอนด้านข้างยุบตัวลงจึงได้ลืมตาขึ้นมามองคนที่นอนตะแคงเอามือเท้าศีรษะกำลังส่งยิ้มพรายมาให้

   “เหนื่อยมากหรือเจ้า พี่พุดให้เวลาพักก่อนหนา”

   กาลอยากตอบโต้กลับไปใจจะขาดแต่เมื่อครู่ใช้เสียงมากเกินไปหน่อย ลำคอจึงแห้งผาก ทำได้เพียงถลึงตาใส่คนที่ยิ้มเย้าไปพลาง มือก็นวดเฟ้นสะโพกของเขาไปพลางท่าทางเหมือนเด็กที่ประจบขอขนมกินจนน่าหมั่นไส้

   “อย่าเพิ่งหลับหนา ประเดี๋ยวพี่จะพาไปเที่ยวครานี้ไปพร้อมกันกับพี่นะขอรับคุณหนู”

   เสียงพร่ากระซิบชิดริมหู พลางขบเม้มติ่งเล็กนั้นอย่างมันเขี้ยว มือคร้ามเริ่มกระตุ้นร่างกายส่วนล่างของกาลอีกระลอก เพราะเห็นท่าทางของคุณหนูที่ตาปรือปรอยคล้ายจะชิงหลับไปก่อนเสียอย่างนั้น

   “อื้อ” กาลครางประท้วงพลางพลิกหน้าหนี แล้วอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

   “ทำ... ทำไมพี่พุดชอบ เอ่อ... ชอบเลียหนูจัง นี่โดนเลียจนตัวจะเปื่อยแล้วนะจ๊ะ”

   พุดหัวเราะเสียงต่ำยื่นมือไปบีบจมูกรั้นนั้นเสียทีหนึ่งก่อนจะตอบข้อสงสัย

   “ก็คุณหนูหวานนี่ขอรับ หวาน... ไปทั้งตัว หรือคุณหนูมิชมชอบให้พี่ชิม พี่จักได้มิกระทำอีก”

   ดวงตาที่หลุบต่ำลงพร้อมกับแก้มที่ขึ้นสีแสดงคำตอบ ก่อนที่เจ้าของร่างกายจะได้พูดตอบเสียงอ้อมแอ้มว่า “ชอบจ้ะ” เสียอีก

   “น่ารักจริงหนาเจ้า เพียงนี้พี่ก็รักจนมิรู้จะเอ่ยได้กระไรหมดแล้ว อย่ายั่วพี่พุดไปให้มากกว่านี้เลยพ่อคุณ”

   พุดใจสั่น พรมจูบบนแก้มที่ซับสีเลือดนั้นซ้ำๆ อย่างอดใจไม่อยู่ อารมณ์อันท่วมท้นเริ่มปะทุขึ้นมาในอีกระลอก และครานี้จักได้ประสานกายใจกับคุณหนูแล้วจริงๆ เพียงแค่คิดกายแกร่งก็กระตุกรับอย่างปวดร้าวทันที มือหนาเอื้อมคว้าอุปกรณ์หล่อลื่นที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า เผื่อวันใดที่คุณหนูเปลี่ยนใจจักได้ไม่ฉุกละหุก เพราะหากมิมีของสิ่งนี้ ร่างกายของคุณหนูกาลจะไปรับไหวได้เยี่ยงไร พุดยืดตัวเต็มความสูง ก้มมองร่างขาวที่เริ่มชื้นเหงื่ออย่างชื่นชม ผิวขาวเยี่ยงนี้ เนียนมือเช่นนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวนี้ คุณหนูกาลจักมอบให้พี่พุดคนนี้ได้ชิดเชย

   “พี่จ๋า”

   เสียงครางที่แสดงความเอียงอาย ทำให้พุดกระตุกยิ้มเอ็นดู

   “เชื่อใจพี่นะขอรับ พี่จักไม่โกหกเจ้าหรอกหนาว่ามิเจ็บมิปวด หากจักเจ็บเพียงชั่วครู่ คุณหนูอดทนนิดนึงหนา”

   คนปลอบใช้สุ้มเสียงปะเหลาะเหมือนจะล่อหลอกพาเด็กไปเที่ยวงานวัดซะอย่างนั้น ทำให้กาลเผลอหลุดหัวเราะออกมาทันที แต่แล้วก็ต้องเย็นวาบที่บริเวณช่องทางด้านล่าง เมื่อพุดค่อยชโลมเจลหล่อลื่นแล้วไล้วน

   “ชู่ว... อย่าเกร็งขอรับ พี่จักค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป”

   รอยพับจีบที่กระตุกสั่นไหว เพราะสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามารุกรานช่างแลดูน่าสงสารเกร็งตัวแน่น พุดจึงเบี่ยงเบนความสนใจโดยการโน้มหน้าลงกวาดลิ้นบนยอดอกที่ชูชัน แล้วเริ่มดื่มด่ำกับรสชาติละมุนลิ้นทันที ท่าทางบริเวณหน้าอกนี่จักเป็นจุดอ่อนของคุณหนูกาล เพราะแค่โดนสัมผัส เจ้าตัวก็มักจะหลับตาพริ้มผวาสะท้านตัวอยู่เฮือกๆ ให้ได้เห็น

   เมื่อคนใต้ร่างเริ่มผ่อนคลาย เรียวนิ้วที่นวดวนจึงค่อยๆ รุกราญเข้าไปด้านในทีละนิดจนสุดความยาวนิ้ว พุดหอมแก้มคนที่นอนนิ่งพลางเอ่ยชมให้กำลังใจ เมื่อเห็นคิ้วที่เริ่มขมวดเป็นปมคล้ายอึดอัดทำตัวไม่ถูก

   “เก่งจริงคุณหนูของพี่ อีกนิดนึงนะขอรับ”

   เรียวนิ้วที่กดกระตุ้นช่องทางภายในย้ำๆ ให้อ่อนนุ่มมากที่สุดเพิ่มขยับเป็นสองและสามตามมาจนกาลรู้สึกตึงแน่นไปหมด กำลังจะออกปากประท้วงก็ได้แต่ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อพุดพบจุดที่ต้องการในที่สุด

   “อ๊า”

   ร่างที่กระตุกผวาเฮือกขึ้น พร้อมเสียงคราง ทำให้พุดคลายกังวลได้ในที่สุด นิ้วแกร่งขยับเข้าออกช้าๆ สลับกับกดจุดนั้นย้ำๆ จนกาลน้ำตาเอ่อกลบตา ภายในสมองขาวโพลนไปหมด ได้แต่สะบัดหน้าไปมาจนเส้นผมแผ่กระจายเต็มหมอน กาลคว้าต้นแขนของพุดไว้แล้ววอนขอเสียงพร่า

   “พี่พุด... พี่พุดจ๋า... หนู... ให้หนู”

   พุดจ่อตัวตนเข้ากับปากทางอ่อนนุ่มแล้วค่อยกดเข้าไปทีละนิด จนกาลสะท้านเฮือกหน้าเบ้ ก่อนที่กาลจะอ้าปากส่งเสียงร้อง พุดก็รีบประกบกลีบปากทั้งคู่ไว้เพื่อปลอบประโลมทันที เนิ่นนานจนช่องทางด้านล่างเริ่มขยับส่งสัญญาณตอบรับ พุดจึงค่อยขยับถอดถอนตัวตนและบดเบียดกลับเข้าไปใหม่อย่างช้าๆ

   กาลขบริมฝีปากล่างไว้ด้วยความเสียวสะท้าน แต่พุดกลับใช้นิ้วมือไล้กลีบปากให้เปิดออกแล้วสอดนิ้วตนเองเข้าไปแทน ด้วยห่วงว่ากาลจะได้เลือดเอาเสียก่อน

   “ถ้ารู้สึกมากก็ร้องออกมาสิเจ้า อย่ากัดริมฝีปากเช่นนี้เลย ฤาหากอายนักก็กัดนิ้วของพี่ไปเถิด”

   กาลหรี่ตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาแล้วพยักหน้ารับ แต่กลับไล้ลิ้นนุ่มดูดเลียนิ้วของพุดแทนการกัดเสียอย่างนั้น เสียงครางต่ำพร่ายิ่งทำให้กาลได้ใจอ้าปากออกแล้วอมนิ้วเข้าไปในปากจนแก้มทั้งสองข้างบุ๋มตอบลงไป โดยไม่นึกถึงจิตใจคนมองเลยว่าการกระทำเช่นนี้ชวนให้คิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหน ร่างคร้ามจึงตอบโต้ด้วยการกระแทกกายแกร่งลงไปซ้ำๆ แบบไม่นับ จนกาลต้องเปิดปากครางเสียงกระเส่าแทน

   “อ๊ะ... พี่พุด พี่พุด อึกๆ”

   “อย่า... ยั่ว... พี่”

   เสียงกระแทกสลับกับเสียงครางดังต่อเนื่องไม่หยุดจนกายขาวปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นด้วยอุ้งมือคร้ามนั่นแหละ จึงได้ยินเสียงปึ้กสุดท้ายพร้อมกับร่างของคนที่อยู่ด้านบนซวนซบลงข้างซอกคอขาวผ่องแล้วหายใจยาวอย่างสุขสม

จะเด็ดดอมดอกไม้ฝัน
ระริกสั่นสะดุ้งไหว
จะแตะต้องยังหวั่นใจ
บอบบางไปก็จะราญ

จะผะแผ่วค่อยคลึงเคล้า
แนบเนื้อเจ้าไม่หักหาญ
จะเชยชิดสู่ดวงมาลย์
พลิกพลิ้วผ่าน กาลเวลา   

   
พุดสูดดมแก้มหอมของคนที่ยังหลับใหลไม่ได้สติอย่างรักใคร่ ไม่นึกไม่ฝันจริงๆ ว่าเมื่อคืนพุดจะได้เป็นเจ้าของคุณหนูกาลอย่างสมบูรณ์แล้ว คนโดนก่อกวนส่ายหน้าไปมา พลางมุดหน้าลงซุกซบกับแผ่นอกของพุด เพื่อที่จะเข้าสู่นิทรารมย์ต่อ แต่เสียงเรียกขานคุณหนูกาลๆ ทำให้ต้องปรือตาแล้วขานรับอย่างเสียไม่ได้

“จ๋า... พี่พุดเรียกหนูทำไม หนูง่วงมากเลย ขอหนูนอนต่ออีกนิดนะจ๊ะ”

“พี่จักถามนิดเดียวเท่านั้นเจ้า ว่าคุณหนูมิต้องออกจากเรือนแพสัก ๗ วันได้ฤาไม่”

“หืม... ทำไมล่ะจ๊ะ”

พุดไล้นิ้วตั้งแต่พวงแก้ม ริมฝีปาก ต้นคอ ไหปลาร้า พลางกระซิบตอบด้วยความกังวล

“ขึ้นรอยจ้ำเต็มตัวไปหมดเยี่ยงนี้ พี่กลัวคุณหนูจักได้อายน่ะสิขอรับ”

“อะ... อื้ม ถ้างั้นก็อยู่แต่ในเรือนแพกันเนอะพี่เนอะ”

กาลยิ้มหวาน พยายามตอบด้วยเสียงราบเรียบให้เป็นปกติที่สุด ทั้งๆ ที่ความจริงอายแสนอาย ไม่รู้ว่าร่างนี้ช่างบอบบางเกินไป หรือว่าพี่พุดทำรุนแรงเกินไปกันแน่ ถึงได้เป็นรอยขนาดนี้

“เด็กดีของพี่ บอกกระไรก็เชื่อฟัง” พุดอมยิ้มพูดต่อด้วยสายตาพราวระยับ

“ไหนๆ ก็ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนแพแล้ว ถ้าเยี่ยงนั้น เพิ่มเวลาเป็น ๑๔ วัน ๒๑ วัน ฤา ๒๘ วันดีไหมขอรับ”

“พี่พุด!”

ใจคอจะไม่ให้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยใช่ไหมเนี่ย!!
   

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

จบแล้วจริงๆ ก๊อกสุดท้ายแล้ว ใจหายมากมายค่ะ ทั้งเรื่องไม่มี nc. มีมาบทเดียวน่าจะพอได้เนอะ เขินนน

กอดรวบทุกคลิก ทุกเมนท์ รักทุกคนค่า

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

^-^  k2blove ขนาดกับท่านเจ้าประคุณก็ยังไม่เว้นค่ะ เกรียนเสมอต้นเสมอปลาย  :laugh: จัดทิชชูรึยังคะ พี่พุดได้จัดสมใจแล้วค่ะ ฮี่ๆๆๆ  :z1:
^-^  ♥►MAGNOLIA◄♥ เตรียมผ้าซับน้ำหมาก เอ๊ย ซับน้ำลายไว้พร้อมไหมคะ กินกันแล้ววววว พี่พุดไม่ต้องฝันเปียกอีกต่อไป
แล้วค่ะ เอร๊ยยย เขิลลล  :-[
^-^  sirin_chadada จบแล้วค่า นักเขียนอยากนิยายเต็มทีแล้ว  :laugh: ตอนพิเศษมาแล้ววววว ถึงตอนนี้พี่พุดได้กินแล้วค่ะ  :-[
^-^  colorofthewind21 ตอนนี้สมใจพี่พุดยิ่งกว่าค่ะ น้องกาลหายกลัวแล้วยั่วแทน  :laugh:
^-^  rainiefonnie ขอบคุณมากค่าาาาา ดีใจที่ชอบบบบบบบบ  :impress2:
^-^  net. net_n2537 มาฉลองกันอีกทีเร้วววววววววว  :hao7:
^-^  ommanymontra  :L2: :L2: :L1: :L2: :L2:
^-^  little_dugong อ่านเม้นท์ทีไรก็ยิ้มเหมือนกันค่าาาา มาให้หายคิดถึงอีกนิดนึงแล้วนะคะ  :กอด1:
^-^  Snowermyhae ดีใจที่ชอบค่าาาา กว่าจะเข้าใจ พี่พุดเกือบจะเหี่ยวแห้งหัวโตค่ะ ตอนนี้พี่พุดได้รับการเยียวยาแล้วนะคะ  :laugh:
^-^  fahsai ขอบคุณที่เอ็นดูลูกชายค่าาา ดีใจที่ชอบนะคะ  :L1:
^-^  Quatree ปลื้มมากกกก ขอบคุณที่แวะมาอ่านเช่นกันค่า  :L1:
^-^  •♀NoM!_KunG♀• ตอนนี้สมหวังยิ่งกว่าค่ะ  :impress2: :L1:
^-^  ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ตอนนี้อ้อยคว่ำอีกหลายๆ คันเลยค่ะ  :-[
^-^  poppycake กับพระกับเจ้าก็ยังเกรียนค่ะ เกรียนจนบทสุดท้ายจริงๆ  :laugh: ตอนพิเศษมาแล้วค่าาาา พี่พุดได้เสียบ เอ๊ย ได้สมรักสมใจแล้วนะคะ  :-[
^-^  Ice_Iris ดีใจที่ชอบค่า ขอบคุณที่แวะมาอ่านเช่นกันนะคะ  :L1:
^-^  uyong ความเว่อวังไว้ใจเรือนเศรษฐฯ ค่ะ ตอนเขียนลื่นๆ นี่มันก็จะบันเทิงดีนะคะ ดีใจที่ชอบค่า  :L1:
^-^  KARMI ตอนนี้อาจจะยิ่งเหม็นความหื่น แค่กๆ หมายถึง เหม็นฟามรักยิ่งกว่าเดิมค่ะ  :impress2:
^-^  t2007 เราเด็ดเดี่ยวที่จะโดดเดี่ยว เอ๊ย โดดเด่นค่ะ ไม่อยากให้เหมือนใคร คาดว่าคงจะแปลกสมใจแล้วล่ะค่ะ  :laugh:
^-^  sahatsawat ดีใจที่ชอบค่าาาาา แปลกพอไหมคะ จะพยายามเข็นเรื่องใหม่ออกมานะคะ ขออ่านนิยายก่อน ช่วงนี้อยากนิยายมากค่ะ  :laugh:
^-^  neverland ดีใจทุกครั้งที่มีคนชอบและคนติดตามค่ะ ขอบคุณนะค้า  :L1:
^-^  WaterProof เตรียมทิชชูรึยังคะ เลือด เอ๊ย ตอนพิเศษมาแล้วววววว  :impress2:
^-^  didididia ตอนพิเศษมาแล้วค่าาาา ดูด เอ๊ย ดึงดูดพอไหมคะ  :-[
^-^  aiyuki ดีใจที่ชอบและตามมาอ่านค่า  :L1:
^-^  SaJung13 ดีใจที่ชอบค่า จบแล้วค่ะ แหะๆ ตอนนี้ตอนพิเศษแล้วค่า  :L1:
^-^  Mayana ดีใจที่ชอบกันค่ะ ปลื้มมมมมมม  :L1:
^-^  puiiz  :L2: :L2: :L1: :L2: :L2:


:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-12-2017 22:08:02
ทิชชู่หมดไปเป็นม้วนๆ เป็นอะไรที่อ่อนละมุ่นมาก
พี่พุดนี่ยอมรับเลยว่า ฝีมือเหมือนฝึกมาอย่างดี
ค่อยเป็นค่อยไป แต่ทำให้คนอ่านเกร็งไปด้วย อิอิอิ
ขอบคุณน้า ที่มาต่อให้สมบูรณ์ยิ่งขี้น
รักหนูกาล หรือพี่พุดมากกว่า ดีน้าาา
 :กอด1: :กอด1: :impress2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-12-2017 22:47:33
 :hao3:

มันก็จะหวานๆปนหื่นอยู่นะ
น้องกาล น่ารัก ทีผู้ช่วยน่ารักมากกกกกก 55กระสู้โหย

 :L1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-12-2017 23:33:31


พี่พุดหื่นขึ้นมาทันที

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 08-12-2017 23:52:50
พี่พุดกะไม่น้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลยมั้งงงง

นี่แอบคิดว่า ปริกแอบฟังอยู่ด้วยรึเปล่า 55555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 09-12-2017 02:22:22
ยิ่งว่าเปย์ไร่อ้อยก็โรงงานน้ำตาลนิละ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-12-2017 05:03:38
แหมะๆ..........อุู้ย....น้ำลายหก   :z1: :pighaun: :haun4: :jul1:

ยกนิ้วให้ กระซู่โหย เอ๊ย.....นกไนติงเกลน้อย นี่ช่างเก่งกล้าทัดเทียมคุณหญิงมารตี
พี่พุด ได้โอกาสหื่นแล้ว  :hao5: :sad4: :heaven
ไม่ต้องสะกดกลั้นอารมณ์หื่นอีกแล้ว
เอ้อออ........พี่พุดช่างรอบคอบซะจริงๆ
เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์  เจลเอย อะไรเอย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ถึงกับขอให้หนูกาล ไม่ต้องออกจากห้องเป็นเดือนเลยรึเนี่ย   ฟ้าเหลืองแน่ๆ  :ling1: :m25:
ขอบคุณไรท์มากกกกกกกกก ตายตาหลับและ   :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-12-2017 09:26:28
มาเม้นท์ตอนสุดท้ายท้ายสุดพอดีสนุกมากค่ะตอนพิเศษหวานนมากกกพี่พุดจะไม่ให้คุณหนูเห็นเดือนเห็นตะวันบ้างไม่ได้นะคะเขินน
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-12-2017 10:00:04
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 09-12-2017 12:05:04
น่ารักสุดๆเลยคะ ขอบคุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2017 16:04:01
ชอบแม่ปริกจริงๆค่ะ ตัวฮาเลย ในที่สุดน้องก็โดนสักที น่ารัก แค่นี้พี่พุดก็หลงหัวปักหัวปำแล้ววว
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 09-12-2017 16:35:42
ดูดดึง เอ้ย! ดึงดูดกันน้ำลายหกเลยทีเดียว  :haun4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: benceii ที่ 09-12-2017 17:05:09
หนูกาลลู๊กกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 09-12-2017 17:30:15
โอ้ยตายแล้วว หนูกาลอ่อยได้น่ารักมากลูกก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Mayana ที่ 09-12-2017 17:44:40
เป็นฉากโรแมนซ์ที่ขำได้อีกกก... เขียนได้น่ารักจริงๆ เลยค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 09-12-2017 21:32:43
ชอบมากกกกกกกก  อยากเรื่องให่ไวจังงงง
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-12-2017 21:45:12
 :impress2: :impress2: :impress2: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: khundalah ที่ 10-12-2017 12:17:22
เพิ่งเห็นเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย อ่านไปหัวเราะไป เอ็นดูน้องกาลมาก ตอนแรกๆคิดว่าพี่พุดคงไม่ใช่พระเอกหรอก คาแรคเตอร์พี่แกอารมณ์เหมือนลูกน้องนายเอกที่คลั่งนายเอกงี้ อ่านไปอ่านมาอ้างพี่พุุดเป็นพระเอก! ขอโทษพี่พุดที่เข้าใจผิด  ขำตัวเองมาก 5555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 11-12-2017 22:06:59
ขอเลือดด้วยจ้า  :haun4:
คนนึงยั่วคนนึงสนอง อยากจะแหมมมม ให้ถึงเรือนน้องกาลเลย ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-12-2017 20:09:56
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Maleemol ที่ 12-12-2017 21:40:11
ขอบคุณค่ะ คุณหนูกาลน่ารัก  :-[
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-12-2017 21:53:54
ได้กินแล้วเอาใหญ่เลยนะพี่พุด
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: numildkub ที่ 13-12-2017 14:19:59
หลงรักพี่พุดคนดี คนงาม น้องสิอยากจิเข้าไปเลียกล้ามหน้าท้องพี่เหลือ
หากไม่มีธุระอันใด ได้โปรดเรียกขานชื่อน้องว่า “เมียรัก”
หากไม่เป็นภาระอันใด น้องขอให้มีครางชื่อน้องทุกวันไป 555555
โอ๊ยยย ชอบบบ nc นี่ยิ่งกว่านิยายอิโรติก 5555
ขอบคุณนักเขียนมากนะค้าาา
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-12-2017 23:50:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-12-2017 08:20:03
หนึ่งบททดแทนน้ำตาลทั้งโรงงาน พี่พุดหวานเกิ๊น น้องกาลอ่อยอีกลูก มารยาต้องสร้างขึ้นเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 18-12-2017 10:25:26
ชอบความรวยของตระกูล
บันดาลได้ทุกอย่าง ดั่งใจ
ในที่สุดพี่พุดก็ได้แล้ว
รอมานานมาก สมใจเลย
รออ่านเรื่องต่อไปนะค้า
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 18-12-2017 21:20:09
สมกับไร่อ้อนจริงๆ หวานมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 19-12-2017 02:08:53
ฮามาก สนุกมากค่ะ เริ่มตงิด ๆ ตอนช่วยคุณหนูกาลจากการเม็ดมะยมติดคอละ555 อ่านไปฮาไปเรื่อย จนถึงตอนพิเศษ หวานจนมดแทะเรือนหมดก็ยังไม่หายหวานเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุก ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 21-12-2017 14:34:34
น่ารักมากเลยค่ะ พี่พุดเป็นผู้ชายในฝันมากกกก รักน้องถนอมน้อง งุ้ยๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 22-12-2017 12:36:53
หนูกาลน่ารัก  :mew1:
พี่พุดก็มั่นคงมาก
แต่จะว่าไปพี่พุดนี่หื่นหลบในเนอะ  :-[
กะจะไม่ให้หนูกาลเห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยใช่มั้ยล่ะพี่
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่เว่อร์วังอลังการแบบนี้นะคะ
มันคอนทราสกันมันใช้คำพูดการแต่งตัวแบบโบราณ
แต่เทคโนโลยีฟลูออฟชั่นมากกกกก
ชอบค่ะ ชอบๆ แล้วจะติดตามเรื่องอื่นๆ อีกนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 26-12-2017 21:22:28
หวานมากค่าาาาา
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 28-12-2017 13:13:08
เป็นนิยายที่แฟนตาซีมากค่ะ ตอนแรกแอบนึกว่าโรงเรียนน้องจะเป็น Hogwarts School นะเนี่ย 555
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: JbBojit ที่ 29-12-2017 07:57:24
อยากกดreportเลย สั้นเกินไป 555 ล้อเล่นค่าา ชอบบบบบมากกก อ่านแล้วไม่เครียด หนูกาลรวยจนน่าตกใจ 555 แปลกแหวกแนวดี อยากอ่านอีกยาวๆ เสียดายจบแล้ว   :katai2-1:   :katai5:
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 29-12-2017 12:23:22
เป็นเรื่องที่แหวกแนวมากมาย
อ่านแล้วหัวเราะท้องคัดท้องแข็งน้ำตาเล็ดกันเลยทีเดียว
ขอบคุณสำหรับผลงานดี ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-12-2017 21:52:40
แหม่

พี่รอมา 26 ปี ขอแค่ไม่ออกจากเรือน 21 เอ๊งงงงง

หัวข้อ: Re: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-12-2017 16:43:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: แจ้งข่าว: ♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ@ไร่อ้อย-รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (27/1/61) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 27-01-2018 08:43:56
แจ้งข่าวค่ะ

น้องกาลกับพี่พุดได้เป็นเล่มแล้วค่าาาาาา
ออกกับ Writer Book นะคะ
P-N-T ปลื้มปริ่มเป็นอย่างมาก
ในที่สุดลูกก็เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว
ออกในงาน Gen Y เดือนกุมภานี้นะคะ
กระซิบบอกว่าเล่มแถม แซ่บมากกกกกก
ฝากเอ็นดูลูกๆ หิ้วติดไม้ติดมือมาคนละเล่มสองเล่มจะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ
กราบแนบอกงามๆ
P-N-T
#ลำนำกาล #กอดของนิลกาฬ

รายละเอียดจากสำนักพิมพ์
https://www.facebook.com/writerbookyaoi/posts/401718580239996

ปกของลำนำกาล และ เล่มแถมสุดแซ่บ กอดของนิลกาฬค่ะ

หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย-รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 08-02-2018 00:03:03
น้องกาลพี่พุดน่ารักมาก  :m3: :m3: :m3:

ลุ้น ๆ ให้น้องรู้ตัวว่าพี่พุดคอยอยู่นานมาก กว่าจะรักกัน  :กอด1:
 
ฮากับความแก่นกะโหลก..ชอบความน่ารักช่างเจรจาของน้อง  :m1:

ฮาสุด คือ ความลับของรอยยิ้มคุณแตงโมนี่แหละ..เพลียตามน้องเลย  :m26: :m23:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย-รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 08-02-2018 22:22:21
ขอบคุณมากๆค่ะ
น่ารักดีค่ะ ชอบภาษามากๆค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย-รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 09-02-2018 04:18:15
“ปริศนากระไรกันล่ะเจ้าคะ ตอนวาดภาพนี้น่ะ เคราของคุณสิงห์เธอจุ่มลงไปในจานสีจนเปื้อนไปทั้งแถบ คุณแตงโมจะบอกคุณสิงห์ เธอก็ไม่ยอมให้พูด สั่งแต่ว่าให้อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ ที่เห็นอมยิ้มน่ะ เธอกลั้นขำแทบตายรู้ไหมเจ้าคะ”

มาร์คหน้าแล้วพยายามไม่ขำสุดท้าย หัวเราะแทบตาย เนื้อเรื่องดีมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย-รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 11-02-2018 00:39:31
ชอบมากๆ เรื่องนี้ มีความละมุนมาก น้องก็อ้อยพี่ก็เป็นใจ
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ไร่อ้อย-รู้สึกเซ็กซี่ - จบแล้ว (8/12/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 11-02-2018 11:22:33
เย่ๆๆๆ อ่านจบแล้ว สนุกและก็ตลกมากเลย ชอบทั้งหนูกาลและพี่พุด หวานจิงๆ แต่จะสู้คู่พ่ออำนาจกับแม่มารตีได้ฤา 555555  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re:♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: p-n-t ที่ 15-02-2018 09:06:17
ซองแดง

บรรยากาศสีแดงแห่งมงคลลอยตลบอบอวลไปทั่วเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

“พี่พุดจ๋า... หนูรอพี่มาทั้งวันแล้วนะจ๊ะ เหลือแต่พี่พุดนี่ล่ะจ้ะ ที่ยังไม่ได้ให้หนูเลย”

“ให้กระไรล่ะเจ้า”

“แหม... พี่พุดอย่ามาทำเป็นเฉไฉ ตรุษจีนแบบนี้ ผู้ใหญ่ก็ต้องให้ซองแดงๆ ผู้น้อยสิจ๊ะ”

“อ้อ ซองแดงกระนั้นรึ พี่เตรียมวางไว้ที่หัวเตียงแน่ะเจ้า ลองรื้อๆ ค้นๆ ดูที”

มือขาวที่ถือซองแดงสั่นระริกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะซองน่ะแดงจริง แต่เป็นซองฟอยล์ชิ้นเล็กๆ สีแดงจำนวนมากมายที่ประทับตราหน้าซองว่า ‘กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่’

“พี่พุด หนูไม่ได้หมายถึงแบบนี้!!”

“มิต้องกลัวไม่พอดอกหนา พี่ซื้อเผื่อทุกเทศกาลตลอดทั้งปีไว้แล้ว มีพอสำหรับเทศกาลอีกหลายๆ ปีเสียด้วยซ้ำ”

:L1:

สุขสันต์วันตรุษจีนนะคะ^^

P-N-T

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 15-02-2018 11:40:35
ใจบาปอะพี่พุด..ทำน้องได้
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-02-2018 12:13:24
 :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-02-2018 12:17:32
 :L2: :pig4:

พี่พุดรอมานาน เก็บกดเหลือ
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-02-2018 13:13:09
กร๊ากกกกกกกกก

แดงพอไหมหนูกาล
แถมมีทุกเทศกาลด้วยนะ พี่พุดคนหื่น
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 15-02-2018 13:17:35
แหม ๆ ๆ ...ได้ทีหื่นใหญ่เลยนะพี่พุด  :z1: :haun4:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-02-2018 23:25:28
เพิ่งเข้ามาตอนดึกๆ อย่างนี้พี่พุดให้ซองน้องไปกี่ซองแล้วจ๊ะ
ไม่ค่อยหื่นเลยนะพี่พุด แหมๆๆๆ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 17-02-2018 23:32:09
พี่พุด หื่นตัวพ่อเลยนะ
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: taran ที่ 18-02-2018 21:49:51
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

โอ๊ยยยยยย ชอบๆๆๆๆ อยากอ่านอะไรแบบนี้อะ
ความเป็นไทยปนไปกับเทคโนโลยี ดีจัง สนุกอะ ชอบ เก๋ไก่ เชียวเจ้าค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 23-02-2018 01:36:30
ได้เข้ามาอ่านแล้วไม่ผิดหวังเลยค่ะ อ่านไปก็ขำไปทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ช่างอินเทรนยิ่งนัก! ข้าน้อยอิจฉาในความรวย(มาก)ของท่านจริงๆ 55555555 เราว่ามันเป็นเรื่องที่แหวนแนวและแปลกใหม่สำหรับเรามากเลยค่ะ ถ้าพูดถึงแนวย้อนยุคเราจะนึกถึงอะไรๆที่โบราณเอาไว้ก่อน ไม่ได้นึกเลยว่าจะอินเตอร์ได้ขนาดเน้ นับถือในจินตนาการของผู้เขียนเลยค่ะ อยากจะบอกว่าลุ้นแทนแม่ปริกมากทำไมเค้ายังไม่ได้กันซะที เชียร์ใจจะขาด เราเข้าใจอารมณ์เลย พอเค้าได้กันเราถึงกับพูดกับตัวเองว่า ในที่สุดพี่พุตก็ได้กินน้องสมใจ รอมานานนม // อิช้อยปลื้มใจมาก ณ จุดๆนี้ สุดท้ายอยากจะบอกนข.ว่าแต่งนิยายดีๆ ตลกๆออกมาอีกนะคะ เราจะติดตามผลงานไปเรื่อยๆค่ะ ให้กำลังใจนะคะ เดี๋ยวขอไปอ่านในเล่มพิเศษต่อก่อน  :hao7:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 01-05-2018 00:16:07
 :m25:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 02-06-2018 08:18:25
ชอบมาก สนุกมากก  :-[
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Emmaline ที่ 01-09-2018 02:36:23
สนุกมาก55555 เดาทางไม่ถูกเลยจริงๆ เริ่มอ่านตอนแรกๆ สะดุดตั้งแต่การปฐมพยาบาล อ่านไปเรื่อยๆ นี่มันโลกอะไรว้า5555
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 24-02-2019 23:19:33
มีความตลกมากจริงเจียว แม่เอ้ย
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 10-11-2021 13:32:47
 :m20:
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าว :♣♣♣ ลำนำกาล ♣♣♣ ตอนพิเศษ @ซองแดง (15/2/61) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-12-2021 01:04:02
เนื้อเรื่องสนุกมากเลยค่ะเรื่องนี้
แนวพีเรียด แต่ล้ำมากกกกกบอกเลย
อ่านไปร้องว้าววไป 5555+
ชอบน้องกาลน่ารักดีค่ะ