อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6  (อ่าน 29384 ครั้ง)

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เอาใจช่วยน้องปลา :hao5: งานหนักทั้งนั้นเลย

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ปลาโดนพร้อมกันหลายเด้ง อาการน่อยเลยออก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทรมานใจ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนที่เจ้าเล่ห์ที่สุดก็คือกวีวัธน์ สินะ  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทพิเศษ วันสิ้นปีเมื่อนานมาแล้ว



วันนั้นเป็นวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม ในปีที่พฤทธิกรมีอายุยี่สิบสองปีและกำลังจะอายุยี่สิบสามในปีหน้า เขามาเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้ากับแฟนสาวเพื่อเลือกซื้อของขวัญสำหรับงานปีใหม่ซึ่งมีการจัดขึ้นที่บ้านในค่ำคืนที่กำลังมาถึง

ครอบครัวของเขามีสมาชิกแค่สามคน แต่คุณทิพปภาผู้เป็นมารดาอยากจัดงานเลี้ยงปีใหม่เพื่อเอาใจหลาน ๆ เขาในฐานะที่เป็นบุตรชายซึ่งอายุมากที่สุดในหมู่เด็ก ๆ จึงต้องรับหน้าที่มาหาของขวัญเพื่อนำไปประเคนให้น้องชายและหลานอีกสามคน กับชา น้องชายที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน เขายังพอคิดออกว่าจะซื้ออะไรให้ แต่กับหลานคนอื่น ๆ ไอเดียในหัวมีแต่ความว่างเปล่า

“ของน้องกาพย์ก็ซื้อตุ๊กตาให้นั่นแหละ”แฟนสาวของเขาเอ่ยแนะนำ “ส่วนน้องกลอนก็ซื้อพวกของซูเปอร์ฮีโร่ ฤทธิ์พอจะรู้ไหมล่ะ ว่าน้องเขาชอบฮีโร่ตัวไหน”

“ไม่รู้สิ คงเป็นพวกซูเปอร์แมน หรือไม่ก็แบตแมนมั้ง”เขาตอบอย่างไม่แน่ใจ ตัวเขาเองก็เลิกดูการ์ตูนมาตั้งหลายปีแล้วจึงนึกไม่ออกว่าตอนนี้หลานชายกำลังติดตามฮีโร่ตัวไหน

“เฮ้อ...”เธอถอนหายใจแล้วเหล่มองเขา “ถ้างั้นก็เดินดูไปเรื่อย ๆ ก่อนแล้วกัน เอาเป็นว่าถ้าฤทธิ์ชอบชิ้นไหนก็ซื้อชิ้นนั้นเลยดีไหม”

“โธ่! ถ้าเรารู้ว่าควรจะซื้ออะไร เราคงจะไม่ชวนลิลินมาด้วยหรอก”

“ฮึ แค่อยากใช้งานเราเท่านั้นเหรอ ลินไม่น่าหลวมตัวตอบตกลงมาด้วยเลยสิเนี่ย”เห็นแฟนสาวทำหน้าตูม พฤทธิกรจึงรีบคว้ามือของเธอขึ้นกุมไว้ กะพริบตาปริบ ๆ พร้อมส่งเสียงออดอ้อนเอาใจ

“ไม่ใช่นะ ที่ฤทธิ์ชวนลิลินเพราะคิดถึงหรอก ตั้งแต่เริ่มทำงานพวกเราเจอกันน้อยมาก”

“ถ้าแม่ของฤทธิ์รู้ว่าลินช่วยเลือกของอาจจะโกรธขึ้นมาก็ได้นะ”

“ลินนะคิดมากไป คุณแม่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย”เขาพยายามพูดประนีประนอม ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมแฟนสาวกับมารดาของเขาถึงไม่ถูกชะตากันไปเสียได้

“คืนนี้ ลินก็ไปที่บ้านด้วยกันนะ”

“เดี๋ยวงานกร่อยเพราะระเบิดลงหรอก”

“ไม่มีทาง คนอื่นอยู่เยอะ”เขาบอกตามที่คิด และไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่เขาพาแฟนสาวไปที่บ้านจะต้องมีเหตุปะทะฝีปากกับมารดาจนคล้ายเกิดระเบิดลูกย่อม ๆ ทุกครั้ง

“ถ้าแต่งงานกันแล้ว ฤทธิ์จะได้ออกมาอยู่ข้างนอกไหมเนี่ย”

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นสิ”เขาจับมือของเธอไว้ ขณะที่พาเดินดูของไปรอบ ๆ  ประเด็นเรื่องแต่งงานถูกยกขึ้นมาพูดบ่อยครั้งนับตั้งแต่ที่พวกเขาเรียนจบ “เห็นคุณพ่อฤทธิ์บอกว่า เขาจะไปซื้อบ้านแถวชานเมืองอยู่หลังเกษียณแล้วยกบ้านหลังปัจจุบันให้อาธร ฤทธิ์ก็ต้องหาที่อยู่ในเมืองของตัวเองแหละ”

“ลินไม่ได้หมายถึงตอนคุณลุงเกษียณ หมายถึงตอนที่เราแต่งงานกัน”

“อีกตั้งหลายปี ลินจะรีบคิดทำไม”เขาพูดตัดบทพลางหยิบตุ๊กตาบนชั้นขึ้นมาดู แม้ปลายหางตาจะมองเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเธอ แต่เขาก็ปล่อยมันให้ผ่านไป เขาเห็นชอบด้วยถ้าคุยว่าอนาคตเราจะแต่งงานกัน แต่มันต้องไม่ใช่อีกหนึ่งหรือสองปีนี้ เนื่องจากเขาเพิ่งเริ่มทำงาน เขาอยากมีความสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตัวเองมากกว่าพึ่งพิงทรัพย์สมบัติของพ่อแม่

จังหวะนั้นเอง เขารู้สึกว่าขากางเกงของตัวเองถูกดึง เมื่อก้มหน้าลงมองจึงได้พบกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“อุ้ม”เด็กชายคนนั้นร้องบอกพร้อมชูมือขึ้น

“ลูกใครเนี่ย”แฟนสาวของเขายิ้มร่าทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กคนนั้น “น่ารักจัง”

“อุ้ม อุ้ม”

เธออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาตามที่ถูกร้องบอก “ตัวหนักเหมือนกันนะ คุณแม่อยู่ไหนครับ ไหนบอกพี่หน่อย”คำถามของเธอถูกเมินโดยสิ้นเชิงเมื่อเด็กชายพยายามเอื้อมตัวไปหยิบตุ๊กตาซึ่งมีลักษณะเป็นเต่าตัวสีฟ้าจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดังที่อยู่บนชั้น

“วางเด็กลงไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวแม่เขามาเจอจะหาว่าพวกเราลักพาตัวลูกเขาหรอก หรือไม่พาไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ดีกว่า”

“ลินก็กำลังจะพาไปน่า แค่น้องเขาน่ารักดี และเขาก็บอกให้อุ้มด้วย”

คำพูดของแฟนสาวทำให้เขาพิศมองเด็กชายอีกครั้ง เด็กคนนั้นมีเส้นผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีดำกลมโต ผิวขาว แก้มฝาดสีระเรื่อ หน้าตาน่าเอ็นดูชนิดที่รู้ได้ทันทีว่า โตขึ้นต้องหน้าตาดีมากแน่ ๆ

“ถ้าลินอยากเล่นกับเด็ก คืนนี้น้องตามก็มาที่บ้าน ลินไปหาน้องตามกับฤทธิ์สิ”เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์

“ไม่ต้องเอาหลานมาล่อหรอกนะ”เธอพูดอย่างแง่งอนพลางอุ้มพาเด็กชายเดินห่างจากบริเวณนั้น ทว่าเสียงแผดร้องกลับดังขึ้นเสียก่อน

“โอ๋ ๆ ร้องทำไมคะ”

เด็กชายพยายามตะกายตัวลงจากตัวหญิงสาวจนน่ากลัวว่าจะร่วงตกลงมา พฤทธิกรจึงต้องเข้ามาคว้าอุ้มไว้แทน จากนั้นแฟนสาวของเขาสังเกตเห็นท่าทางอยากได้ตุ๊กตาบนชั้นของเด็กชาย และเมื่อมันถูกหยิบส่งไปให้ เสียงร้องลั่นถึงเงียบสนิททันที

“เต่า”

“อืม น้องเต่า พอแล้วเนอะ ไปหาคุณแม่กันดีกว่า”เธอพยายามดึงตุ๊กตาไปวางคืนไว้ยังที่ของมัน เพียงแต่เด็กชายกลับยึดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“เอาเต่า จะเอา”

“ฤทธิ์”หญิงสาวหันไปส่งสายตาอ้อนขอกับแฟนหนุ่ม

“ครับ ๆ เดี๋ยวผมจ่ายให้ครับ”

“ขอบคุณมากนะ”เธอยิ้มกว้าง เดินตามเกาะหลังเขาไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ เด็กชายไม่ยอมปล่อยเจ้าเต่าหางยาวตัวสีฟ้า แฟนสาวของเขาจึงต้องช่วยพนักงานหาป้ายราคาเพื่อยิงบาร์โค้ด ก่อนที่เขาจะปล่อยเด็กชายลงยืนกับพื้นเพื่อล้วงกระเป๋าออกมาจ่ายเงิน หันกลับมาอีกทีเห็นหญิงสาวกำลังทรุดตัวนั่งเล่นอยู่กับเด็กชาย

“ไปกันได้แล้ว ป่านนี้แม่ของน้องตามหาให้วุ่นแล้ว”

เธอจึงยืดตัวยืนขึ้นจับข้อมือของเด็กน้อย ทว่า “อุ้ม” เด็กชายปล่อยมือจากตุ๊กตา ชูมือขึ้นสูงแล้วร้องอุ้มหน่อยอีกครั้ง พฤทธิกรจึงพูดว่า

“เดี๋ยวฤทธิ์อุ้มให้เอง”

“น่ารักมากค่ะ คุณพ่อ”

เขายิ้มเขินเมื่อได้ยินเธอเอ่ยชมหลังจากที่เขายกตัวเด็กชายขึ้นสูง

“เต่า”เมื่อมีคนอุ้มตนตามคำขอ จึงขยับมือร้องหาตุ๊กตา ท่าทางน่ารักน่าชังจนแฟนสาวของเขาร้องชมไม่หยุด

“น่ารักอ่า ถ้ามีลูกลินขอน่ารักแบบนี้เลยนะ”

“ต้องอย่างนั้นสิ ลินน่ารักจะตาย”

“น่าลัก”เด็กชายพยักหน้าราวกำลังคุยอยู่กับพวกเขาด้วย พวกเขาทั้งคู่จึงคุยกันว่าเด็กเข้ากับคนอื่นง่ายเหลือเกิน น่ากลัวว่าถ้าไม่มาเจอพวกเขาเสียก่อนจะไปเจอกับพวกมิจฉาชีพเสียแทน แต่เด็กชายพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลู้ ๆ”

“รู้อะไรฮึ”พฤทธิกรเอ่ยถาม

“ไม่ดี เต่า”

คำตอบที่ได้รับทำให้เขาหันมองหน้าแฟนสาว “ลินก็ไม่รู้เรื่องล่ะ” จากนั้นเธอจึงหันไปถามเด็กชายอีกว่า “ชื่ออะไรครับ”

“ปา”

“น้องปาอายุเท่าไหร่แล้วเอ่ย”

“สอง”เด็กชายชูนิ้วสี่นิ้วขึ้นเป็นท่าทางประกอบ หญิงสาวหัวเราะกับท่าทางนั้น ยื่นมือออกไปพับนิ้วของเด็กชายลงสองนิ้วและพูดบอกว่าสองคือเท่านี้

เมื่อพวกเขาไปถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของห้าง พนักงานที่ประจำอยู่จุดนั้นได้แจ้งบอกว่าทางพ่อและแม่ของเด็กได้มาประกาศตามหาไปแล้วหนึ่งรอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะออกไปเดินวนหาภายในห้างอีกครั้ง

“รอสักครู่นะคะ กำลังติดต่อคุณแม่ของน้อง”

พนักงานอีกคนหาเก้าอี้มาให้เด็กชายนั่ง ทว่าเจ้าหนูน้อยกลับเกาะคอคนอุ้มไม่ยอมปล่อย พฤทธิกรจำต้องอุ้มเด็กชายไว้ต่อไป อีกครู่ใหญ่ต่อมาพวกเขาถึงได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“แม่”เด็กชายร้องเรียกทันทีที่เธอมาถึง เขาจึงส่งร่างเล็ก ๆ ในอ้อมแขนกลับคืนไปให้หญิงสาวผู้เป็นมารดา ในมือของเด็กชายยังคงจับยึดตุ๊กตาไว้แน่น

“ขอบคุณมากค่ะ ไปเจอน้องแถวไหนหรือคะ”

แฟนสาวของเขาเป็นคนตอบคำถามนั้น  และอีกไม่นานก็ปรากฏร่างผู้ชายอีกคนตามมาสมทบ เขาตรงดิ่งเข้ามาลูบศีรษะลูบหลังของเด็กชายด้วยความเป็นห่วง

“โอ๊ย ไอ้ตัวเล็กของพ่อ ให้เดินตามหาเสียทั่วเลย”

“ไม่ห่วง”เสียงเล็ก ๆ เอ่ยบอก

“ไม่เป็นห่วงได้ไง ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”

คู่รักวัยรุ่นถึงกับมองหน้ากัน ที่พ่อลูกคุยกันรู้เรื่องยาวเหยียด

“เต่า”เด็กชายพูดพร้อมชูตุ๊กตาขึ้นมาด้วย พ่อแม่ของเด็กชายถึงได้หันมาเอ่ยถามที่มาของเจ้าเต่า

“ตุ๊กตาตัวนี้ของพวกน้องหรือคะ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวพี่จ่ายเงินคืนให้”หญิงสาวที่เป็นมารดาของเด็กบอก ขณะที่ฝ่ายชายล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมายื่นให้

พฤทธิกรชะงักพร้อมโบกมือบอกปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมซื้อของขวัญปีใหม่ให้น้องเขา”

“ไม่เป็นไรเหมือนกัน แค่น้องช่วยพาลูกมาคืน พวกพี่ก็ขอบคุณมาก ๆ แล้ว”ฝั่งสามีพูด

“ผมตั้งใจซื้อให้น้องเขาจริง ๆ เหมือนกันครับ”ชายหนุ่มกล่าวยืนยันซ้ำจนคู่สามีภรรยาต้องมองหน้ากันเอง ก่อนจะยอมตอบรับตกลง

“น้องปลาขอบคุณพี่เขาหรือยังครับ”ผู้เป็นมารดาเอ่ยกับเด็กชาย “ธุจ้าพี่เขาหน่อยลูก เอ้า ธุจ้า” เจ้าตัวเล็กประกบมือส่งเสียงธุจ้าตามที่มารดากล่าวนำ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”หญิงสาวที่เป็นมารดาของเด็กน้อยเอ่ยบอก

พวกเขาแยกย้ายกันหลังจากนั้น

“ซื้อตุ๊กตาไปให้หมดเลยดีไหม”พฤทธิกรเสนอความคิดเห็น

“น้องตามอาจจะยังชอบ แต่น้องกลอนจะชอบเหรอ คุณป้าไม่จำกัดงบใช่ไหม งั้นซื้อไปหลาย ๆ อย่างให้ไปเลือกกันเองดีกว่า”

“ก็ดีนะ”ชายหนุ่มตอบตกลงอย่างเห็นด้วย

งานเลี้ยงปีใหม่คืนนั้นผ่านไปอย่างสนุกสนาน ทั้งมารดาและแฟนสาวของเขาต่างก็ดูปรองดองกันดี จนเขาคิดว่า งานเลี้ยงปีต่อ ๆ ไปก็คงเป็นดังเช่นคืนนั้น

.

.

.

พฤทธิกรเงยหน้ามองท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆทึบหนาเบื้องบน หลายวันที่ผ่านมาอากาศเย็นจัดชนิดที่นาน ๆ จะมีมาเยือนกรุงเทพสักครั้ง แต่กระนั้นแสงแดดกลับจัดจ้าราวกับอยู่ในหน้าร้อน แต่นั่นกลับช่วยทำให้อากาศอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อย

ชายหนุ่มเห็นปวันรัตน์ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่พื้นที่ซักล้างมุมระเบียง เขาจึงเดินเข้าไปหา

ตั้งแต่มีสองพี่น้องปลาปุ้ยมาอยู่ด้วย พื้นที่ตรงนี้ก็ถูกใช้งานมากขึ้นเพราะถ้าพูดถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอย ห้องพักของเขาในคอนโดมิเนียมหรูมีเพียงห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ซักล้างสำหรับตั้งราวตากผ้าอย่างชัดเจน

“ทำอะไรน่ะ”

เด็กสาวเอี้ยวคอมองเขาก่อนส่งเสียงตอบกลับมาว่า “กำลังซักตุ๊กตาอยู่ค่ะ” เธอยกตุ๊กตายัดนุ่นสีซีดด้วยเพราะผ่านกาลเวลามายาวนานขึ้นมาให้เขาดู

“ตัวนี้มันชื่ออะไร”

“มันชื่อเซนิกาเมะค่ะ เป็นตัวการ์ตูนในโปเกม่อน”

เขาพยักหน้ารับ เห็นหน้าตาของมันแล้วพานให้ความทรงจำไหลย้อนกลับไปถึงการซื้อของขวัญในวันสิ้นปีเมื่อหลายปีก่อน

“แม่ของปุ้ยบอกว่า ที่จริงมันเป็นตุ๊กตาของพี่ปลา แต่เพราะปุ้ยร้องอยากได้ พี่ปลาเลยยกให้และมันก็เป็นของปุ้ยมาถึงทุกวันนี้”เด็กสาวพูดพลางล้างน้ำทำความสะอาดฟองผงซักฟอก และยกมันขึ้นพึ่งแดด

พฤทธิกรมองใบหน้าเจ้าเต่ามีหางยาวตัวสีฟ้าจาง ๆ ที่ดูราวกับกำลังยิ้มแย้มตลอดเวลา มันทำให้เขานึกถึงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่เขาเคยเจอเมื่อนานมาแล้วพลางนึกอยู่ในใจว่า 



.....ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง



- จบบทพิเศษ -

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
24



เขานอนไม่ค่อยหลับตลอดทั้งคืน นั่นทำให้รู้สึกตัวตื่นเร็วกว่าปกติแต่กระนั้นกลับเป็นเรื่องดี เนื่องจากมันทำให้เขามีโอกาสได้เห็นเด็กหนุ่มคนรักขยับมาเบียดซุกข้างกายทั้งที่ก่อนนอนอีกฝ่ายเว้นระยะพื้นที่ไว้เสียห่าง พฤทธิกรขยับตัวนอนตะแคงเพื่อให้ตนได้สามารถมองเห็นหน้าเด็กหนุ่มได้ชัด

ปภินวิชมุ่นคิ้วเป็นปมแม้จะยังหลับตาสนิทอยู่เช่นเดิม เขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะพยายามปลอบขวัญ ทว่าเมื่อนานเข้ากลับเพลินมือกับการสางเส้นผมนุ่มลื่นของเด็กหนุ่มเสียแทน

เขานอนมองอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายลืมตาตื่น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมีท่าทีชะงักลังเลจึงเอ่ยถาม

“ยังโกรธอยู่เหรอ”

“เปล่าซะหน่อย”ปภินวิชเอ่ยตอบก่อนยันตัวลุกขึ้น เขาจึงลุกตามขึ้นมาสอดวงแขนรั้งเอวไว้ไม่ให้ลุกหนีพลางแนบแก้มเข้าหา

“ไม่โกรธ แต่ทำไมเย็นชาจัง”

“แค่เคือง”

“เคืองเรื่องอะไรไหนบอกหน่อย”

“ก็ที่มาว่า”เด็กหนุ่มเอี้ยวคอกลับไปเผชิญหน้า “คุณฤทธิ์ไม่เข้าใจหรอก ผมต้องสูญเสียพ่อกับแม่เพราะขี้เมาที่มีแต่ความประมาทคนหนึ่ง และยังมีอีกหลายครอบครัวที่ต้องสูญเสียเหมือนผม อคติ ความเกลียดชังที่ผมมีต่อผู้ชายคนนั้นมันแตกต่างกับอคติที่คุณแม่ของคุณมีต่อผมอย่างสิ้นเชิง แม่ของคุณไม่ชอบผมเพราะคิดว่าผมมาเกาะคอยดูดเงินจากคุณ เขาคิดว่าพวกคุณเป็นชนชั้นที่อยู่เหนือกว่า แล้วยังไง ผมไม่ได้เป็นคนเลือกที่จะมาอยู่กับคุณสักหน่อย ผมไม่เคยคิดแบบนั้นด้วย เงินทุกบาททุกสตางค์ ผมพร้อมจะหามาใช้คืนให้อยู่แล้ว”

ได้ยินสิ่งที่ปภินวิชพูดระบายพาให้ใจของคนฟังเปราะลงอีกโข เนื่องจากฟังคล้ายคนพูดไม่ได้มีใจรักให้ตนสักเท่าไหร่ ราวกับทุกสิ่งที่ผ่านมาล้วนเกิดขึ้นจากการบังคับหรือไม่ก็เหตุการณ์พาไป

เพียงแต่เพราะเด็กหนุ่มพูดพร้อมน้ำตาคลอเบ้า พฤทธิกรจึงเลือกจะปลอบคนรักมากกว่าจะจดจ่ออยู่กับหัวใจที่แกว่งไกวหวั่นไหวของตัวเอง

“นั่นไง เรื่องที่คุณแม่พูดไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย เธอก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจใช่ไหมล่ะ”

“แต่มันเจ็บปวดนะ ทำไมผมต้องโดนพูดว่าแบบนั้นด้วย ผมทำอะไรผิด”ปภินวิชร้องไห้น้ำตาจนชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจตามไปด้วย เขาโอบกอดเด็กหนุ่มไว้พลางลูบหลังปลอบประโลม

“ฉันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฉันทำได้เพียงพูดขอโทษแทนคุณแม่ของฉันด้วย”พฤทธิกรดันร่างของเด็กหนุ่มออกห่าง ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยสองมือ “ฉันสัญญา ต่อไปเธอไม่ต้องไปเจอกับแม่ของฉันอีก เราก็อยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่ต้องสนใจพวกเขา”

“คุณฤทธิ์ทำอย่างนั้นได้ด้วยเหรอครับ ในเมื่อคุณจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”

“ท่านบอกกับเธออย่างนั้นเหรอ”

“ถ้าไม่ใช่ท่าน แล้วควรจะเป็นใครอีกล่ะครับ”ปภินวิชรวนถามกลับไป “ตอนที่ผมได้ยินทีแรก ผมก็พยายามคิดในแง่ดีว่า แม่ของคุณพูดไปเองโดยที่คุณไม่รับรู้ แต่พอลองคิดอีกที ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรด้วยซ้ำ เพิ่งรู้จักกับคุณไม่นาน ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องเลือกแม่ตัวเองอยู่แล้ว”เขาปัดมือของพฤทธิกรออก เจ็บร้าวไปทั้งอกจากความผิดหวังที่คิดว่าชายหนุ่มจะเข้าข้างเข้าใจ ทั้งจากคำพูดดูถูกที่มารดาของพฤทธิกรพูดกับตนและคำพูดบั่นทอนความเชื่อมั่นจากผู้หญิงคนนั้น

ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้สร้างความคลางแคลงให้กับปภินวิช จนเขาคิดว่า ความรักที่มีให้ชายหนุ่มอาจจะเป็นแค่ความหลงใหลเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

“เธอเข้าใจผิดแล้ว”พฤทธิกรพูดบอกด้วยท่าทางคล้ายเหนื่อยหน่าย นั่นยิ่งทำให้หัวใจของปภินวิชเจ็บปวดจนคล้ายกับกำลังจะหมดแรง เขาอ้าปากหายใจเพราะจมูกคัดแน่น เบือนหน้าหนีพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ฟังนะปลา”เขาพูดพร้อมรั้งเด็กหนุ่มให้หันกลับมาสบตา “ท่านเป็นแม่ของฉันก็จริง แต่คนที่ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปจนตายคือคนรักอย่างเธอ ฉันเป็นลูกจะให้ทอดทิ้งพวกเขา ไม่สนใจไยดีเลยก็ทำไม่ได้อีก และถ้าฉันเป็นผู้ชายแบบนั้น ฉันคิดว่าเธอคงไม่ชอบหรอกจริงไหม”

ปภินวิชทำเพียงแค่เงียบฟัง

“ส่วนเรื่องแต่งงาน ถ้าไม่ได้ออกจากปากฉัน อย่าเชื่อใครทั้งนั้น ต่อให้เป็นแม่ก็บังคับให้ฉันแต่งงานไม่ได้”

“ตอนนี้คุณอาจจะกำลังโกหกอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ฉัน...”

ทว่าเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงพูดของคนที่อยู่นอกห้อง “พี่ปลา น้าฤทธิ์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ตื่นหรือยังเดี๋ยวไปทำงานสายนะ”

“เดี๋ยว...”

พฤทธิกรยกมือขึ้นปิดปากปภินวิชไว้ทันควัน “เรายังคุยกันไม่จบ”ก่อนจะร้องตะโกนบอกเด็กสาวว่า “โทษทีปุ้ย แต่วันนี้น้ากับพี่ชายเราไม่ไปทำงาน ปุ้ยไปหาข้าวทานที่โรงเรียนนะ”

“ค่ะ งั้นปุ้ยไปนะ”

รอจนเสียงด้านนอกเงียบลงจริง ๆ แล้ว ชายหนุ่มถึงกล่าวต่อ “ถ้าเธอคิดว่าฉันพูดโกหก อย่างนั้นเดี๋ยวเราสองคนไปหาคุณแม่ของฉันด้วยกัน เรียกผู้หญิงคนนั้นมาด้วย แล้วฉันจะพูดยืนยันต่อหน้าพวกเขา ว่าฉันจะไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนเด็ดขาด”

“ไม่ ไม่ครับ”ปภินวิชรั้งข้อมือของชายหนุ่มไว้ ขนาดเขายังไม่ทำอะไรเลย ยังโดยต่อว่าค่อนแคะถึงเพียงนั้น คราวนี้ถ้าคุณฤทธิ์ทำตามที่พูดจริง ๆ เขายิ่งไม่อยากนึก

“ทำไมล่ะ”

“คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณทำแบบที่พูดจริง ๆ”

พฤทธิกรถอนหายใจ “ฉันรู้ ฉันคิดดีแล้ว ถ้าการที่ฉันรักใครแล้วพ่อแม่มีปัญหา ฉันกับพ่อแม่ก็แค่แยกกันอยู่และค่อยแบ่งเวลาไปดูแลพวกท่าน พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมาผูกติดกันทั้งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทางที่ใครจะมีความสุขขึ้นมา เธอไม่จำเป็นต้องฝืน”

“แต่โลกใบนี้ไม่ได้มีเราแค่สองคน”

“เอาจริง ๆ นะ คำพูดแบบนั้นก็แค่นิยามของพวกที่ต้องใช้ชีวิตพึ่งพาคนอื่น”พฤทธิกรพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย “ก่อนหน้าที่เราจะคบกัน ฉันก็กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่แค่เดือนละครั้งสองครั้งอยู่แล้ว จะมีพิเศษหน่อยก็วันที่พาท่านทั้งสองไปตรวจสุขภาพกับเทศกาลสำคัญ และพวกเขาก็รู้ดีว่าตำแหน่งหน้าที่ของฉันต้องทำงานหนักแค่ไหน แต่ถ้าเธอห่วงเรื่องการบริหารงานของบริษัท ฉันบอกได้ว่า บริษัทของฉันไม่มีทางขาดทุนเพียงแค่ลูกค้ารู้ว่าฉันเป็นเกย์หรอก”

ปภินวิชก้มหน้าลง คิ้วขมวดครุ่นคิดสีหน้ามีแต่ความลังเลไม่แน่ใจ จนพฤทธิกรต้องใช้สองมือช้อนใบหน้าของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมา ในเวลานั้นเขาไม่ได้กลัวปัจจัยภายนอกแต่กลัวหัวใจของปภินวิชจะรวนเรไม่หนักแน่น เพราะเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสัญญาณร้องเตือนอีกแล้ว

“ปลา ให้โอกาสฉัน ให้ฉันพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าฉันทำให้เธอมีความสุขได้ และให้ตัวเธอพิสูจน์ตัวเอง ที่เธอตกลงคบกับฉัน ไม่ใช่เพราะเธอต้องการเงิน เราสองคนแค่รักกันและเราต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ว่าความรักของเราจะคงอยู่ไปจนกว่าเธอหรือฉันจะหมดลมหายใจ”

ปภินวิชยังนิ่งมองเขาอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ ระหว่างนั้นหัวใจพฤทธิกรเต้นรัวอย่างลุ้นระทึก หลังจากเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาจึงลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หวั่นกลัวไปเหมือนกันว่า ถ้าเด็กหนุ่มคนรักตอบปฏิเสธ เขาจะเป็นเช่นไร

พฤทธิกรโน้มหน้าเข้าหาด้วยหวังจะจุมพิตคนตรงหน้า ทว่าเด็กหนุ่มกลับผละหนีพร้อมยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ อารมณ์เศร้าหมองความวิตกกังวลจางหายไปอย่างรวดเร็วนั่นอาจเป็นเพราะท่าทีและคำยืนยันอันมั่นคงของหนุ่มคนรัก

“ยังไม่ได้แปรงฟันเลยครับ”

“ไม่เห็นเป็นไร แค่เอาปากแตะกันเฉย ๆ”

“อื้อ ไม่เอาหรอก”เด็กหนุ่มร้องปฏิเสธพลางลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง “ให้ผมไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน”

“งั้นไปอาบด้วยกัน”พฤทธิกรตามไปคว้าตัวคนรักไว้ได้ทัน ใช้วงแขนคล้องเอวเกี่ยวร่างพาเด็กหนุ่มให้เดินเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน

“ไม่มีแปรงสีฟัน ผมต้องไปเอาแปรงสีฟันก่อน”

“ที่นี่มีแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมให้เธอใช้น่า”ชายหนุ่มพูดดักทางโดยไม่แม้แต่สนใจเสียงร้องตะแหง่ว ๆ ของอีกฝ่ายสักนิด




พฤทธิกรไปทำงานสายกว่าเวลาเข้างานไปร่วมชั่วโมง ทว่าสีหน้าของเขาสดชื่นกว่าเมื่อเย็นวานทั้งเด็กหนุ่มคนรักก็ไม่มีท่าทีมึนตึง เมื่อลิฟต์ถึงชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งของห้องทำงาน ทันทีที่เขาออกจากลิฟต์ สายตาก็เห็นหลานชายเกาะโต๊ะยืนคุยกับเลขาหน้าห้อง

“ได้ยินวีรกรรมของน้องปลาเมื่อวานแล้วนะ”กวีวัธน์เอ่ยแซวแต่คนถูกแซวหน้าตูมลงทันควัน ไม่คิดอธิบายแก้ตัวหรือบอกเล่าอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มอยากจะพูดต่อด้วยอาการคันปากทว่ากลับโดนน้าชายเอ่ยถามถึงธุระที่มาดักรออยู่เสียก่อน

“ผมนำความคืบหน้าเรื่องคุณยายมารายงานครับ”

ปภินวิชได้ยินประโยคนั้นจึงคว้าหมับเข้าที่แขนของท่านประธานใหญ่ทันใด ถึงจะเชื่อทุกคำพูดที่หนุ่มคนรักบอกกับตน แต่เขาก็ยังอยากรับรู้พร้อมกัน ที่สำคัญกวีวัธน์ยังมีประวัติชอบแปลงสารอีกด้วย

พฤทธิกรยกยิ้มบางโอบไหล่เด็กหนุ่มพร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวเราฟังด้วยกัน”

เขาทั้งสามคนจึงเปลี่ยนที่ย้ายเข้าไปในห้องทำงานของพฤทธิกร ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องให้คนรักนั่งที่เก้าอี้ของตน ส่วนเขายืนพิงโต๊ะอยู่ด้านข้าง หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงไม่กล้าลากเก้าอี้มานั่ง พฤทธิกรจึงพยักพเยิดเชิงออกคำสั่งให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว

กวีวัธน์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาขณะที่พูดบอกว่า “คุณยายบอกว่าเรื่องที่น้าฤทธิ์จะคบน้องปลาไม่มีปัญหาครับ แต่ต้องมีทายาทที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของน้าเอง”จากนั้นจึงเปิดข้อความเสียงที่บันทึกไว้ให้ผู้ฟังทั้งสองคนได้ยิน

“ไม่กำหนดเวลา ถ้าแม่ฉันเขาบอกว่าปีหน้าต้องมีหลาน ฉันจะไปหามาจากไหน”พฤทธิกรเอ่ยถาม

“อันนี้ผมจงใจ เวลาที่คุณยายเร่งรัดน้าฤทธิ์ก็ตอบกลับไปว่า ‘ไม่ได้กำหนดเวลานี่ครับ’ แล้วก็ชิงกำหนดไปก่อน แล้วผมก็คิดไว้แล้วด้วย ถ้าน้าฤทธิ์ไปขอให้พี่กาพย์ช่วย พี่กาพย์ต้องตกลงแน่นอน”กวีวัธน์พูดอย่างมั่นใจว่า ‘พี่กาพย์’ หรือพี่สาวแท้ ๆของตนต้องยอมช่วยน้าชาย

ชายหนุ่มฟังคำพูดของหลานชายและนิ่งคิด “มันทำได้ง่าย ๆ อย่างนั้นซะที่ไหน”

“เอ๊ะ”กวีวัธน์ทำหน้าแปลกใจ

“กฎหมายบ้านเราตอนนี้กำหนดให้เฉพาะผู้ที่เป็นสามีภรรยากันเท่านั้นที่สามารถให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนได้”

“เอ๊ะ”หลานชายร้องอุทานออกมาอีกรอบก่อนจะพูดออกมาว่า “เรื่องนั้นไม่เห็นต้องสนใจเลยนี่ครับ มีเงินซะอย่าง”

พฤทธิกรถึงกับขมวดคิ้วเหล่สายตามองคนพูด “แกไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน”

“ไม่ใช่ว่าคุณฤทธิ์เป็นคนสอนหรือครับ”

ชายหนุ่มจึงแค่นหัวเราะหันไปมองคนรักที่จู่ ๆ ก็พูดแขวะตน “โกรธอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย” ปภินวิชสั่นศีรษะ สีหน้ายามพูดประโยคถัดไปดูเรียบเฉยแต่เหมือนแอบสะใจเล็ก ๆ “เมื่อก่อนผมคิดว่า การที่หลานชายอย่างคุณกลอนมีนิสัยชั่ว ๆ น้าชายอย่างคุณฤทธิ์ก็คงต้องชั่วไม่ต่างกัน”

กวีวัธน์แยกเขี้ยวขู่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขณะที่น้าชายทำเพียงส่งเสียงชิชะ “เพราะแกเลยเนี่ย”

“อ้าว ผมผิดตรงไหน มีเงินก็ต้องใช้เงินให้เป็นประโยชน์สิครับ”คนพูดมีสีหน้าบูดบึ้งจนน้าชายยังต้องถอนหายใจจากนั้นจึงเอ่ยปากอบรมไปหนึ่งยก “ฉันไม่ได้ห้ามกับการใช้เงินกรุยทางเพื่อทำให้เรื่องบางอย่างมันง่ายขึ้น แต่มันไม่ควรผิดกฎหมายโจ่งแจ้งหรือทำให้ใครเดือดร้อน อย่างเรื่องเด็กที่จะเป็นทายาทของฉัน ถ้าเขาโตขึ้นมาแล้วมีวันหนึ่งใครก็ไม่รู้ขุดคุ้ยเรื่องของเขาออกมาแฉ ถามหน่อยแกจะบอกเด็กยังไง”

“ก็บอกไปตามตรง”

พฤทธิกรพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ออกมาบ้าง ส่วนปภินวิชเห็นสีหน้าอารมณ์เสียของชายหนุ่มร่างสูง จึงส่งสีหน้าล้อเลียนไปให้คู่อริ

กวีวัธน์ได้แต่กลอกตามองใบหน้าขุ่นเคืองของน้าชายสลับกับรอยยิ้มสมน้ำหน้าของเด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า จากนั้นต้องเอ่ยออกมาอย่างจำยอม

“ครับ ครับ ขอโทษครับ ผมสำนึกแล้ว ผมผิดเอง”

“หน้าตาคุณกลอนไม่เหมือนว่าจะสำนึกได้เลยครับ”

หุบปากน่า!!!”กวีวัธน์เอ่ยตอกกลับไปทันทีเมื่อเด็กหนุ่มพูดจาไม่เข้าหู ก่อนจะละความสนใจจากคู่กัดและหันไปคุยกับน้าชาย

“แล้วน้าฤทธิ์จะเอาอย่างไรล่ะครับ ถ้าน้าไม่มีหลานให้คุณยายผมว่าครั้งนี้น้าฤทธิ์โดนบังคับแต่งงานแน่”

“ถ้าฉันไม่แต่ง ใครจะบังคับฉันได้”พฤทธิกรตอบด้วยท่าทางไม่เดือดร้อนพลางยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งเอ่ยไล่หลานชายให้ออกจากห้อง “แกกลับไปทำงานได้แล้ว ฉันก็จะทำงานแล้วเหมือนกัน ส่วนเรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจะไปลองคิดดู”

“แล้วค่าแรงของผมล่ะครับ”คนเจรจารีบทวงถามหาค่าจ้าง

“ฉันพอใจผลงานของแกแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์ ส่งรายการมาให้ดูก่อนแล้วกัน”

“อะไรล่ะ นี่ผมทำให้ดีที่สุดแล้วนะ ไม่อย่างนั้นผมกลับข้างด้วย”กวีวัธน์งอแงต่อรองราวกับเป็นเด็กเล็ก ๆ

“ถ้ากลับข้าง แกก็ชวดทุกอย่าง เลือกเอาแล้วกัน”ชายหนุ่มพูด แม้ไม่รู้ว่าเจ้าหลานชายตัวดีจะไปคุยกับมารดาของตนอีกแบบหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ มารดาของเขาละเอียดถ้วนถี่กว่าเขา คงไม่มีทางยอมจ่ายง่าย ๆ

คนฟังอ้าปากพะงาบ ๆ นึกอยากจะงอแงอาละวาดต่ออีกเล็กน้อย แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนรักของน้าชายซึ่งเท้าคางมองด้วยใบหน้าอมยิ้มที่เตรียมล้อเลียนตนเต็มที่ จึงได้แต่บอกทิ้งท้ายไว้ว่า “น้าฤทธิ์จำไว้เลย”

กระทั่งกวีวัธน์ออกไปจากห้องและประตูปิดลงแล้ว เด็กหนุ่มผู้ซึ่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่จึงลุกขึ้น เปลี่ยนที่ให้เจ้าของตัวจริงได้นั่ง ส่วนตนเองก็นั่งซ้อนบนตักอีกฝ่าย สองมือคล้องอยู่รอบคอของพฤทธิกรอย่างเช่นทุกครั้ง

“แล้วอย่างนี้คุณฤทธิ์จะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ยังไม่รู้ เดี๋ยวไปคิดสักคืนสองคืนก่อน หรือไม่ก็คงใช้แม่อุ้มบุญในประเทศที่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องห่วงนะ”

“มันจะดีจริง ๆ เหรอ”

“หือ”เขาส่งเสียถามด้วยความสงสัยกับข้อความประโยคนั้น ทว่าเด็กหนุ่มกลับเปลี่ยนไปถามคำถามอื่นอย่างรวดเร็ว

“คุณฤทธิ์อยากมีลูกหรือเปล่าครับ”

“อืม... ไม่รู้สินะ”พฤทธิกรโคลงศีรษะครุ่นคิด “เมื่อก่อนตอนที่เห็นเด็กเล็ก ๆ ก็รู้สึกว่า เด็ก ๆ ก็น่ารักดีนะ แต่แฟนคนที่สองเขาบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะจ้างพี่เลี้ยง ให้มาเลี้ยงเองทั้งวันทั้งคืนคงไม่ไหว ตอนนั้นเลยรู้สึกเฉย ๆ กับการมีลูกไปเหมือนกัน”

คราวนี้จึงเป็นฝ่ายปภินวิชเสียเองที่มีท่าทีสงสัย

“ประมาณว่า สำหรับฉันแล้วจะมีลูกหรือไม่มีลูกก็ได้น่ะ”

“แต่คุณพ่อคุณแม่คุณอยากให้มีทายาท”

“อืม คุณพ่อของฉันมีพี่น้องแค่สองคน แล้วฉันก็เป็นลูกคนเดียว ส่วนอาธรก็มีลูกชายคนเดียวเหมือนกัน”เมื่อพูดถึงประโยคนี้ เขาก็ชะงักไปเสียเฉย ๆ ปภินวิชจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ก็นั่นแหละ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้พวกท่านคงกลัวว่าจะไม่มีใครมารับช่วงสืบทอดบริษัท”ที่ชายหนุ่มชะงักหยุดคิดเพราะกำลังใคร่ครวญว่าควรบอกฐานะที่แท้จริงของนายชัญชกร มาศแคล้วกับเด็กหนุ่มคนรักดีหรือไม่ แต่จากปฏิกิริยาของปภินวิชที่บังเอิญเจอกับนายชัญชกรเมื่อวาน มันทำให้เขาคิดว่าควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไป หรืออย่างน้อยควรรอให้มีโอกาสดีกว่านี้

ชัญชกร มาศแคล้ว หรือชื่อจริงนามสกุลจริงคือ ชัญชกร  ตัณกิติยา ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของเขาที่นอกจากจะทำตัวเอ้อระเหยลอยชายเรียนไม่จบแล้ว  ยังก่อเรื่องใหญ่ที่ถึงขั้นอาธรประกาศจะตัดพ่อตัดลูกเพราะก่อนหน้านั้นอาของเขาเคยทั้งดุปราม ทั้งลงโทษก็แล้วเรื่องเที่ยวกลางคืนและดื่มหนัก กระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง ๆ หลังจากที่เจ้าตัวยอมอดทนทำตัวดี ๆ จนได้กุญแจรถที่บิดายึดไว้กลับคืนมาเพียงแค่วันเดียว

ญาติผู้น้องของเขาแก้ตัวว่าที่ขับรถกลับตอนเช้าเพราะอุตส่าห์นอนที่ผับเพื่อรอให้ตัวเองสร่างเมา แต่บังเอิญวูบหลับในเผลอเหยียบคันเร่งฝ่าไฟแดงไปชนกับรถคันอื่น

ตอนที่พฤทธิกรได้ยินคำพูดเหล่านั้นเขาได้แต่ยกมือกุมขมับ ส่วนชยธรได้ใช้ฝ่ามือฟาดหน้าเจ้าของคำพูดเต็มแรงทั้งที่ลูกชายเพิ่งฟื้น ทำให้ทะเลาะกับอาสะใภ้เสียงดังลั่นโรงพยาบาล และตอนนั้นเองบิดาของผู้ก่อเหตุได้บอกว่า ให้ไปชดใช้กันเอาเอง นั่นหมายความว่า อาของเขาจะยอมปล่อยให้ลูกชายติดคุก

ตอนนั้นชัญชกรอายุยี่สิบเจ็ดแล้วแต่เจ้าตัวไม่ได้ทำงานอะไรสักอย่าง ที่ฝ่ายนั้นสามารถใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้เพราะมีมารดาคอยโอนเงินให้ใช้อยู่ทุกเดือน อย่างไรก็ตามมูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนั้นสูงเกินกว่าทรัพย์สินโดยรวมที่อาสะใภ้ถือครองอยู่

อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่า เหตุการณ์นั้นจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับบริษัท พฤทธิกรจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยแลกกับการที่เจ้าตัวต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยเสียใหม่ เมื่อผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายตอบรับ เขาจึงดำเนินการทุกอย่างให้คดีจบลงรวดเร็วที่สุด โดยให้น้องชายเปลี่ยนนามสกุลเพื่อไม่ให้ถูกสื่อสืบสาวเขียนข่าวโจมตี จ่ายค่าชดเชยและค่ารักษาด้วยจำนวนเงินสูงลิ่ว เมื่อเรื่องถึงชั้นศาล นายชัญชกร มาศแคล้วจึงโดนโทษแค่รอลงอาญาและบำเพ็ญประโยชน์

หลังจากนั้นความประพฤติของชัญชกรก็อยู่ในสายตาของเขา เงินรายเดือนที่ได้รับทุกบาททุกสตางค์ต้องผ่านการอนุมัติจากเขาเท่านั้น

ฝ่ายบิดาของญาติผู้น้องอย่างชยธรนั้นระงับการจ่ายเงินเพื่อให้ลูกชายเอาไปผลาญเล่นมาหลายปีแล้ว จะมีก็แต่มารดาของเจ้าตัวที่พอลูกชายบอกว่าเงินไม่พอก็พร้อมจะจ่ายให้ทันที ซึ่งชายหนุ่มได้ส่งคนให้ไปตามเก็บหนี้ทันควันเหมือนกันหากรับรู้ว่าน้องชายกำลังทำตัวบิดพลิ้ว ด้วยเหตุนั้นอาสะใภ้จึงไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามอีก

หลังจากที่เก็บชั่วโมงบำเพ็ญประโยชน์จนครบ ชัญชกรขออนุญาตเขาไปเรียนเกี่ยวกับการผลิตภาพยนตร์ที่ต่างประเทศ ซึ่งเขาได้อนุญาตแต่เขามีทุนให้ไปเฉพาะค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงผู้เป็นน้องชายจะโอดครวญแต่เมื่อเขายืนกรานเสียงแข็ง เจ้าตัวจึงต้องก้มหน้ายอมรับ

แต่อีกฝ่ายเดินทางกลับมาก่อนทั้งที่เพิ่งเริ่มเรียนไปได้ไม่นาน เพียงเพราะแค่อยากมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่กำลังจะถูกจัดขึ้น

“ทำไมไม่ได้ล่ะ พี่ฤทธิ์เปิดบริษัทนี้ให้ผมเลยไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ซะที่ไหน ฉันแค่พยายามต่อยอดธุรกิจในเครือ”

“อ้าว”

“แกน่ะ ไปถามอาธรก่อนเถอะ ว่ายอมยกหุ้นให้หรือเปล่า”

“พ่อบอกว่า ถ้าพี่ฤทธิ์อนุญาต พ่อก็ยกให้”


แค่นึกถึงน้ำเสียงระรื่นของน้องชาย เขาก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาอีกรอบ

“คุณฤทธิ์เป็นอะไรครับ ไม่สบายเหรอ”ปภินวิชเอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มคนรักหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางอังมือที่หน้าผากของอีกฝ่าย ถึงจะสัมผัสถึงความอุ่นร้อน แต่เขายังรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ชายหนุ่มดึงมือของเขาเข้าไปแตะจูบที่กลางฝ่ามือและโอบกอดซบหน้าลงมา ปภินวิชรู้สึกจั๊กจี้ในคราแรกเมื่อปลายจมูกของพฤทธิกรสัมผัสกับต้นคอของตน แต่เพราะอีกฝ่ายเอาแต่แนบใบหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น เขาจึงโอบกอดชายหนุ่มร่างสูงไว้พร้อมลูบหลังไปพลาง

พฤทธิกรยังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของญาติผู้น้อง ครั้งก่อนที่โทรศัพท์คุยกัน เขาสั่งห้ามว่าไม่ให้เข้ามาที่บริษัท แต่ไม่รู้จะเชื่อฟังเขามากน้อยแค่ไหน เขาควบคุมความประพฤติของน้องชายก็จริง แต่ควบคุมผ่านรายได้ที่ฝ่ายนั้นได้รับ แต่นี่ถึงขนาดหาตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับมาเองทั้งที่เขาไม่อนุญาต แสดงว่าหมอนั่นน่าจะมีปัญญาสามารถหาเงินมาจากทางอื่น

คงได้แต่หาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป ชายหนุ่มคิดในใจ

ครู่หนึ่งต่อมาพฤทธิกรก็ผละตัวออกห่างจากเด็กหนุ่มซึ่งตนกอดรัดไว้ “ต้องทำงานแล้ว”

“งั้นตั้งใจทำงานนะ”เด็กหนุ่มแตะจูบที่ริมฝีปากของชายคนรักเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้อง

“เข้าไปช่วยงานคุณฤทธิ์อยู่นานเลยน้า”สุธาณีเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เขายิ้มเขินแต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไป หญิงสาวจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “วันแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทใหม่น้องปลาไปด้วยหรือเปล่าคะ”

“เอ๋”ปภินวิชไม่รู้เรื่องเพราะปกติพฤทธิกรก็ไม่ค่อยได้คุยเรื่องงานกับเขาอยู่แล้ว

“อีกไม่กี่วันจะถึงงานแถลงข่าวเปิดบริษัทร่วมทุนที่คุณฤทธิ์บินไปเกาหลีเมื่อช่วงก่อนโน้นไง”เธอย้อนความให้ฟัง ก่อนจะเล่าเพิ่มเติมว่ามีปาร์ตี้ด้วย

“อืม... คุณฤทธิ์เขาไม่เห็นพูดอะไรเลย”

“น้องปลาก็ลองขอคุณฤทธิ์สิคะ ไปปาร์ตี้งานนี้ก่อนรอบหนึ่ง แล้วค่อยไปสนุกกับงานเลี้ยงสิ้นปีอีกรอบ”

“มีจัดงานเลี้ยงตอนสิ้นปีด้วยหรือครับ”เด็กหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากตัวเขาก็นับว่าเป็นพนักงานในบริษัทเหมือนกัน อย่างไรเสียต้องได้มีโอกาสเข้าร่วมอย่างแน่นอน

“มีสิจ๊ะ พี่เพิ่งทำเรื่องจองโรงแรมกับจัดอาหารไปเนี่ย รับรองว่ามีแต่ของอร่อย ๆ”

หลังจากนั้น เขาจึงยืนคุยเรื่องงานเลี้ยงวันสิ้นปีกับเลขาสาวหน้าห้องอยู่อีกนาน

และช่วงเวลาอาทิตย์กว่า ๆ ก่อนถึงวันงานแถลงข่าว ปฏิกิริยาทั้งจากทางมารดาและญาติผู้น้องต่างเงียบสนิท จนพฤทธิกรที่ก้มหน้าโหมงานช่วงใกล้สิ้นปีลืมทั้งคู่ไปสิ้น


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//เวลาในเรื่องช้ากว่าเวลาจริงค่ะ บทนี้ยังอยู่ช่วงเดือนธันวาคมอยู่เลยและก็ไม่มีดราม่าท้ายเรื่องแล้วค่ะ แค่เรื่องผู้ร้ายโรคจิตก็พอแล้ว//*


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
บางคนนิสัยก็เปลี่ยนยาก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ระเบิดจะลงอีกเมื่อไรเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
« ตอบ #129 เมื่อ: 04-01-2018 01:05:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
หวังว่าจะไม่มีมาม่าแล้วน้าา   :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เอาใจช่วย

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
25



เช้าวันงานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทร่วมทุน พฤทธิกรแต่งตัวด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษ เขาสวมสูทสั่งตัดของห้องเสื้อชื่อดัง เป็นชุดสูทสามชิ้นสีเทาเข้ม สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและเนกไทสีน้ำตาล สองพี่น้องมองการแต่งตัวของเขาตาค้างยามที่เขาออกมาร่วมโต๊ะทานอาหารตอนเช้า ก่อนที่เด็กหนุ่มคนรักจะทำท่าย่นจมูกเหมือนไม่ค่อยชอบใจ

เขาแวะไปสถานที่จัดงานก่อนเดินทางไปอาคารสำนักงานเพื่อตรวจดูความพร้อมและความเรียบร้อยของงานแถลงข่าวที่จะมีขึ้นในช่วงบ่าย  เมื่อเห็นว่าบริษัทออร์กาไนซ์จัดการทุกอย่างตามแผนที่เคยพูดคุยหารือล่วงหน้ามาหลายสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นเวที  โต๊ะเก้าอี้ รวมถึงพื้นที่หลาย ๆ ส่วนซึ่งมีความพร้อมราว ๆ แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขาจึงเดินทางกลับ

“คุณฤทธิ์ ตอนบ่ายจะไปที่งานใช่ไหมครับ ผมขอไปด้วยได้ไหม”ปภินวิชเอ่ยขออนุญาต ยิ้มกว้างด้วยนัยน์ตากระตือรือร้นจนเขาคล้อยตาม กระนั้นเพราะนึกรู้อยู่ว่างานนี้เด็กหนุ่มคนรักอาจจะไปจ๊ะเอ๋กับญาติผู้น้อง เขาจึงอยากกล่าวปฏิเสธ เพียงแต่ถ้าพูดห้ามออกไปอย่างแข็งขัน มันก็อาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเรื่องอื่น

“ถ้าไปก็ได้แต่นั่งรอเฉย ๆ นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็จะไปนั่งนิ่ง ๆ อยู่กับพี่ก้อยนั่นแหละ รับรองว่าไม่รบกวนเด็ดขาด”เด็กหนุ่มยิ้มกว้างกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น

พฤทธิกรพยายามฝืนยกยิ้ม กะเกณฑ์ในใจว่าคงต้องไปกำชับเลขาให้คอยระวังไม่ให้เด็กหนุ่มคนรักได้มีโอกาสเจอกับชัญชกรอย่างเด็ดขาด  ทว่าเมื่อลิฟต์เคลื่อนที่มาถึงชั้นบน เขาทั้งคู่เพิ่งก้าวเท้ามาหยุดยืนที่โถงทางเดินพร้อมบอดี้การ์ดคนติดตาม ญาติผู้น้องก็โผล่ออกมาจากห้องอาหารพร้อมแก้วกาแฟในมือ

“พี่ฤทธิ์สวัสดีครับ”

ปภินวิชขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายเขม็ง ขณะที่พฤทธิกรได้แต่กลอกนัยน์ตากัดฟันนึกอยากจะยกมือขึ้นทึ้งศีรษะ ทั้งที่เขาสั่งห้ามไว้แล้วแท้ ๆ ชายหนุ่มรู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาเนื่องจากคิดได้ว่าคำสั่งของตนเองช่างไร้ความหมาย หรือเพราะเขาใจดีมากเกินไป ทุกคนถึงเมินคำพูดของเขาเสียหมด

“เออน้อง... วันนั้นพี่ขอโทษนะ พี่ไม่ตั้งใจจะว่าน้องแบบนั้น”ชายหนุ่มพูดกับปภินวิช ก่อนจะหันไปคุยกับญาติผู้พี่ “แล้วอย่างนี้ผมต้องเรียกน้องเขาว่าพี่สะใภ้ใช่หรือเปล่าพี่ฤทธิ์”

เด็กหนุ่มถึงกับตวัดสายตามองเขา พฤทธิกรคว้าข้อมือของคนรักไว้พร้อมกับเอ่ยบอกน้องชายด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้างว่า “หุบปากแล้วไปหาที่นั่งรออย่างสงบเสงี่ยมซะ”

เขาจูงมือพาปภินวิชเข้าไปในห้องทำงาน หันกลับไปเผชิญหน้าเมื่อบานประตูปิดลง กั้นพวกเขาให้เหลือกันเพียงสองคน

“เอ่อ...”พฤทธิกรอึกอักไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีทำให้โดนคนตรงหน้าพูดดักทางด้วยท่าทางขมึงทึง

“ครับ ผมรอฟังอยู่”

ชายหนุ่มอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยทีท่าอาการสงบราวกับปลงใจได้ “เขาเป็น... ลูกของอาธร”

ปภินวิชนิ่งงันไม่มีปฏิกิริยาตอบรับไปครู่ใหญ่

“ปลา”

“เดี๋ยวครับ เมื่อกี้เหมือนผมได้ยินว่า ‘นายชัญชกร มาศแคล้ว’ เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณฤทธิ์หรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าหลากหลาย สับสนงงงันทำอะไรไม่ถูก ตอนที่พฤทธิกรบอกว่ารู้จัก เขาคิดว่าทั้งคู่อาจจะเป็นแค่คนรู้จักธรรมดา เพราะมั่นใจว่าตัวเองจดจำใบหน้าและชื่อนามสกุลของผู้ชายคนนั้นได้แม่น

เขาขยับถอยเท้าออกห่างจนพฤทธิกรต้องรีบรั้งเอวบางเข้าหาตัว

“ใช่ คนที่เป็นต้นเหตุในอุบัติเหตุครั้งนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง”เขาเอ่ยบอกย้ำออกไป

ปภินวิชหน้าซีดไร้สีเลือด ในสมองมีแต่ความคิดที่ปะปนกันยุ่งเหยิง สัมผัสได้ถึงมือที่วางประคองอยู่ข้างแก้มแต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับเย็นเฉียบไปถึงหัวใจ รู้สึกว่าตนกำลังโดนหักหลังมากกว่าแค้นเคืองที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นญาติของผู้ชายซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต น้ำตาของเขาเอ่อคลออย่างไม่อาจห้าม

“คุณฤทธิ์ รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับว่าผมเป็นใคร”

“อืม... ฉันรู้ แต่...”

“คุณกลอนก็ด้วย”

“ใช่”

“สนุกมากหรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงเบาก่อนจะตะเบ็งสุดเสียงถามซ้ำ “ผมถามว่าสนุกมากหรือครับ” เขาฟาดมือใส่อย่างเจ็บแค้น ทว่ามือของเขากลับโดนรวบจับและร่างกายก็โดนโอบรัดทำให้ไม่อาจดิ้นหนีถอยห่าง

“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยปลา เธอเข้าใจผิดแล้ว”

“เข้าใจผิดอะไร คุณจงใจปิดบัง คุณจงใจโกหกผม”ปภินวิชพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการจับกุมแต่ร่างกายของเขาโดนกอดรัดไว้แน่น ทั้งโดนดันตัวเข้าเบียดกับผนังด้านหลัง จากนั้นพฤทธิกรได้แนบจูบลงมาบีบปลายคางให้เขายอมอ้าปาก ปลายลิ้นของอีกฝ่ายได้รุกรานเข้ามาช่วงชิงลมหายใจ จุมพิตนั้นจงใจทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง เพราะมันจ้วงโจนรุกเร้าหนักหน่วงอย่างยาวนาน ไม่ยอมปล่อยจังหวะให้เขาได้พัก ตอนที่อีกฝ่ายผละออกห่าง เขาถึงกับหน้ามืดคล้ายเป็นลม หมดแรงอาละวาดได้แต่อ้าปากหอบหายใจและปล่อยให้อีกฝ่ายลากจมูกคลอเคลียไปทั่วใบหน้า ทั้งถูกวงแขนแข็งแรงรัดรึงไว้แน่นหนา

“ฉันจงใจปิดบังโกหกเธอก็จริง แต่ไม่ได้สนุกกับการทำแบบนั้นเลย”เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยกระซิบ

 ใบหน้าของปภินวิชถูกช้อนให้เงยขึ้นเพื่อสบประสานกับนัยน์ตาที่จ้องมองมา

“ฉันรักเธอ”พฤทธิกรพูดคำนั้นออกไปด้วยความจริงใจ “และฉันเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างที่ผ่านมา มันสามารถยืนยันคำพูดของฉันได้ ครั้งนี้ก็ได้โปรดเชื่อฉัน ที่ฉันทำเพราะไม่อยากเสียเธอไปเท่านั้น”

เด็กหนุ่มหลุบตาลงเพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นับตั้งแต่ที่เขาได้พบกับพฤทธิกร ชายหนุ่มตรงหน้าได้ทำทุกอย่างเพื่อเขามามากมาย ทั้งอาการป่วยของน้องสาว ชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายอย่างทุกวันนี้ ทั้งเหตุการณ์ร้ายแรงที่เขาโชคร้ายต้องประสบพบเจอเมื่อคราวนั้น ก็ได้ชายหนุ่มตรงหน้าคอยอยู่เคียงข้าง คอยกอดปลอบดูแลเขามาตลอด

“วันนี้ คุณฤทธิ์มีงานสำคัญต้องทำนะครับ ถ้า...อย่างไร เราค่อยคุยกันอีกครั้งตอนเย็นแล้วกัน”เด็กหนุ่มพูดออกไปเมื่อไตร่ตรองจนถ้วนถี่แล้ว “ผม... จะกลับไปรออยู่ที่ห้อง”

พฤทธิกรมีสีหน้าโล่งอก กดจูบที่ริมฝีปากได้รูปอีกครั้ง ใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าของเด็กหนุ่มพร้อมพูดย้ำ “ไว้ตอนเย็นเราค่อยคุยกันนะ”

ปภินวิชพยักหน้ารับ ดันชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ให้ออกห่าง กระนั้นอีกฝ่ายกลับคว้ามือของเขาไปจับประสานไว้ เพียงแค่นั้นหัวใจของเขากลับพองฟูขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกน้อยใจคิดในแง่ลบว่าชายหนุ่มแค่ต้องการหลอกลวงเขาเป็นของเล่นได้ปลาสนาการหายไปในพริบตา

แต่เมื่อเขาทั้งคู่ได้เปิดประตูออกมาด้านนอก โลกแห่งความจริงได้ปรากฏให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว ทั้งกวีวัธน์และชัญชกรต่างยืนออรออยู่บริเวณหน้าประตู เขารู้ตัวดีว่า ยังไม่อาจให้อภัยผู้ชายคนนั้นที่มีส่วนทำให้พ่อและแม่เสียชีวิตได้ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกยาวเข้าปอด หันมองหน้าชายหนุ่มคนรักและพูดว่า “ผมกลับก่อนนะครับ”เขาอยากได้เวลาเพื่อครุ่นคิดทำความเข้าใจ ก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทางในวันข้างหน้า

พฤทธิกรพยักหน้ารับ มองตามเด็กหนุ่มคนรักที่มีธนาเดินตามไปติด ๆ กระทั่งแผ่นหลังเล็กบางหายเข้าไปในลิฟต์แล้วถึงได้หันไปหาเลขาสาว

“ถ้าคุณลีมาถึงช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ”

หลังจากสุธาณีรับคำ เขาถึงหันไปพูดกับหลานชาย “ไม่มีงานทำหรือไง” กวีวัธน์จึงได้เผ่นแผล็วเข้าห้องทำงานของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหันไปเอ่ยปากสั่งน้องชายด้วยน้ำเสียงเข้มห้วน

“เข้าไปคุยกันในห้อง”

พฤทธิกรเดินนำเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ไปหยุดยืนพิงสะโพกกับโต๊ะทำงาน สองมือยกขึ้นกอดอกมองญาติผู้น้องที่ยืนเคว้งอยู่กลางห้องด้วยสายตาเยียบเย็น

“ฉันเคยบอกว่ายังไง”

“โธ่ พี่ฤทธิ์ ผมก็แค่อยากรู้จักกับทางฝั่งเกาหลีบ้าง ต่อไปจะได้ทำงานร่วมกันได้ง่าย”

“ก่อนจะคิดถึงเรื่องทำงาน แกควรคิดถึงเรื่องเรียนให้จบก่อนดีกว่าไหม”พฤทธิกรพูด “ฉันบอกไม่ให้แกกลับมา แกก็บินกลับมา บอกไม่ให้มาที่บริษัทแกก็ขัดคำสั่งฉัน ตกลงแกอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วสิ ไม่ต้องได้เงินจากฉันแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ส่งใบแจ้งหนี้ไปให้”

“พี่ก็เอาเรื่องนี้มาขู่ผมตลอด ผมทำอะไรผิดนักหนาแค่บินกลับมาเยี่ยมบ้าน”ชัญชกรมีท่าทีฉุนเฉียว

“แกกลับมาเยี่ยมบ้านทั้งที่ยังมีชั่วโมงเรียนเนี่ยเรอะ”เขาก็รู้สึกโมโหไม่ต่างกัน “แกสามสิบแล้วนะชา ถ้าจะไม่ทำงานเอาแต่เที่ยวเล่นฉันไม่เคยคิดจะสนใจอยู่แล้ว เงินที่แกเอาไปถลุงมันของพ่อแม่แก มันไม่เดือดร้อนฉันหรอก แต่แกคงไม่ลืมว่าสองปีก่อนแกทำอะไรไว้ ฉันช่วยแกเพราะแกบอกว่าจะปรับปรุงตัวนะ”

“เออ ๆ รู้แล้ว ก็พยายามทำอยู่นี่ไงล่ะ พี่โกรธผมแค่เพราะแฟนเด็กของพี่ไม่ชอบขี้หน้าผมเนี่ยนะ มันไม่ถูกต้องเลย ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้สักนิด แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าน้องเขาจริงจังด้วยแค่แซวเล่นเอง”

“หึ ไม่ได้ทำอะไรให้งั้นเหรอ”พฤทธิกรหัวเราะขึ้นจมูกพร้อมเดินตรงเข้าไปตบศีรษะน้องชายอย่างไม่ออมแรง “ตั้งแต่แกโตมา แกก็สร้างศัตรูไว้เป็นร้อยแล้ว สมองเสื่อมจำไม่ได้หรือไง และแกควรรู้ไว้อีกอย่างว่าแฟนของฉันก็เป็นหนึ่งในศัตรูของแก”

“แล้วพี่ไปเอาคนแบบนั้นมาเป็นแฟนได้ยังไง”

“ฉันจะเลือกใครมาเป็นแฟนต้องขออนุญาตแกด้วยเรอะ”ชายหนุ่มตวาดตอบกลับไปเสียงดัง เห็นหน้าพี่ชายแล้ว คนเป็นน้องอย่างชัญชกรยังต้องถอยหลังไปอีกก้าวพลางยกมือไหว้ขอโทษปลก ๆ

“ไม่ครับไม่เลย ครั้งนี้ที่ผมขัดคำสั่งพี่ ผมขอโทษครับแต่ผมมาแล้ว พี่ฤทธิ์จะให้ผมกลับไปเฉย ๆ เหรอ”ชัญชกรทำหน้าอ้อนสุดฤทธิ์ ถ้าเป็นยามปกติเขาคงรู้สึกขบขันอยู่บ้าง แต่ยามนี้เขาเคืองขุ่นจนการข่มอารมณ์โกรธยังยากเย็น จึงขวางหูขวางตาอยากชำระแค้นเสียมากกว่า

“ฉันจะตัดเงินค่าที่พักของแกเป็นการลงโทษ”

“เฮ้ย!!! พี่ฤทธิ์”ชัญชกรร้อง “แค่นี้ผมก็ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตแล้ว”

“เรื่องของแก ออกไปได้แล้ว”เขาเอ่ยปากไล่พร้อมหมุนเท้าเดินกลับไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน แสร้งหยิบแฟ้มออกมาเปิดเมื่อญาติผู้น้องยังตามมาเกาะที่โต๊ะร้องเรียกชื่อเขาโอดครวญไม่หยุดจนน่ารำคาญ พฤทธิกรจึงพูดออกไปว่า

“ถ้าแกยังไม่รีบออกไป ฉันจะไม่จ่ายค่าอะไรให้เลยสักแดงเดียว”เสียงเข้มขุ่นจัดของญาติผู้พี่ ทำให้ชัญชกรต้องรีบสาวเท้าออกจากห้องโดยด่วน เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วเขาจึงระบายลมหายใจหนักหน่วง เอนศีรษะพิงเบาะแล้วหลับตาลง หลังลืมตาขึ้นไม่นานเสียงโทรศัพท์จากเลขาหน้าห้องได้ดังขึ้นแจ้งเรื่องที่ประธานของบริษัทหุ้นส่วนเดินทางมาถึงแล้ว

เขาลุกขึ้นยืนขยับจัดเสื้อสูทและก้าวเท้าออกไปด้านนอกเพื่อต้อนรับแขก

ตัวเขาและประธานของบริษัทต่างชาติเคยพบปะกันหลายครั้งแล้วและค่อนข้างคุ้นเคยกันดี สำหรับครั้งนี้พฤทธิกรพาอีกฝ่ายไปเลี้ยงรับรองที่ห้องอาหารในโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน นั่งพูดคุยกันจนใกล้เวลาเริ่มงาน ก่อนเดินทางไปยังห้องจัดงานแถลงข่าวพร้อมกัน

งานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทผลิตภาพยนตร์และหนังเรื่องแรกเป็นไปอย่างราบรื่น กระทั่งจบช่วงแถลงการณ์ซึ่งพวกเขากำลังจะย้ายไปทานอาหารสังสรรค์กันที่อีกห้องหนึ่ง มารดาของเขาและหญิงสาวสวยได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมช่อดอกไม้ในมือ นักข่าวจึงกรูเข้ารุมล้อมเขาอีกรอบ

พฤทธิกรถูกดันให้ถ่ายรูปคู่กับนัยน์ภัคด้วยความเจ้ากี้เจ้าการของมารดา จากนั้นคำพูดตอบคำถามนักข่าวของคุณทิพปภาผู้เป็นมารดาได้ทำให้เขาขึ้งโกรธขึ้นอีกรอบ หลังจากที่ญาติผู้น้องทำให้เขาอารมณ์เสียไปเมื่อเช้า

“ก็เล็งหนูแขไว้ให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของลูกชายค่ะ ตาฤทธิ์ก็โสดมานานแล้วอยากให้เขามีคนดูแลเสียที”มารดาของเขายิ้มระรื่นที่นักข่าวส่งคำถามถึงที่มาที่ไปของนัยน์ภัคได้อย่างตรงใจ พฤทธิกรจึงโพล่งแทรกตัดบทออกไปพร้อมยกมือเรียกทั้งน้องชายหลานชายให้มาช่วยต้อนกลุ่มนักข่าวให้เข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ก่อนกำชับให้คอยดูแลแขกเหรื่อในงานให้ดี

“พี่ ๆ น้อง ๆ นักข่าวทุกท่านครับ เดี๋ยวเชิญทานอาหารข้างในก่อนดีกว่าครับ ไว้อย่างไรเดี๋ยวค่อยมาถ่ายรูปสัมภาษณ์กันใหม่”

และรอจนแถวนั้นไม่เหลือบุคคลอื่นนอกจากพวกเขาสามคนแล้วพฤทธิกรถึงได้พูดขึ้นว่า

“จะคุยที่นี่หรือจะกลับไปคุยที่บ้านครับ”

“อย่ามาเสียงแข็งใส่แม่นะตาฤทธิ์”

“แต่คุณแม่กำลังล้ำเส้นผมอยู่”ก่อนจะตวัดสายตามองนัยน์ภัคด้วยแววตาเดียดฉันท์ “คุณก็เหมือนกัน คิดว่ายอมให้แม่ของผมลากไปโน่นไปนี่ แล้วผมจะยอมแต่งงานกับคุณเหรอ รู้ไว้เลยนะว่าไม่มีทาง”

แววตาของนัยน์ภัควาวโรจน์ท้าทายที่เขาเดาออกว่าเธอคงไม่มีทางยอมถอยง่าย ๆ ทว่าเขาต้องละสายตาจากเธอเมื่อทิพปภาออกโรงปกป้องหญิงสาวที่พามาด้วย

“อย่ามาพูดจาแบบนี้ใส่น้องต่อหน้าแม่นะ”

“คุณแม่ตกลงให้ผมกับแฟนคบกันได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”พฤทธิกรท้วงถาม

“แต่แกยังไม่มีลูก เพราะฉะนั้นตอนนี้แกก็ต้องทำตามที่แม่สั่ง”

“คุณแม่!!!”เขาเปล่งเสียงเรียก หันรีหันขวางด้วยอาการหงุดหงิดก่อนหันไปพูดกับมารดาอีกครั้งเมื่อคิดข้อต่อรองได้ “ผมจะทำตามที่คุณแม่สั่งก็ได้ แต่คุณแม่ต้องไปคุยกับคุณพ่อก่อนนะครับ ว่าจะยอมให้ผมยกเลิกเรื่องที่รับปากไว้หรือเปล่า ถ้าคุณพ่อไม่ยอม ผมก็ไม่ฟังคุณแม่เหมือนกัน”

“แล้วเรื่องที่รับปากไว้มันเรื่องอะไร”ทิพปภาถามกลับ

“ไปถามสามีของคุณแม่เองสิครับ”ผู้เป็นบุตรชายยักไหล่อย่างไม่แยแส “ผมคงต้องขอตัวก่อน ยังมีงานอื่นให้ทำ อ้อ... พาหนูแขของคุณแม่กลับไปด้วยนะครับ เพราะถ้าปล่อยให้เธอลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้ ผมไม่รับปากอะไรทั้งนั้น”พฤทธิกรยกยิ้มพร้อมยกมือไหว้กล่าวลา ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงาน

เขาเคยรับปากกับบิดาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พาปภินวิชเข้าไปแนะนำให้รู้จักว่า จะไม่ให้การคบหาของพวกเขามีสิ่งใดประเจิดประเจ้อสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูลและบริษัท ต่อหน้ากลุ่มสื่อเมื่อสักครู่เขาจึงไม่อาจพูดสิ่งใด เพราะนอกจากจะเป็นการหักหน้ามารดา ยังทำให้นักข่าวซักไซ้สืบสาวไม่จบ

พฤทธิกรปรับสีหน้าตัวเองเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยงโดยทำเหมือนว่าเรื่องโต้เถียงกับมารดานั้นไม่เคยเกิดขึ้น



เขากลับถึงห้องในเวลาดึกสงัด เพราะนอกเหนือจากงานเลี้ยง ยังต้องเดินทางไปส่งทีมผู้บริหารของบริษัทหุ้นส่วนซึ่งต้องเดินทางกลับประเทศในคืนวันนั้น

พฤทธิกรกดสวิตช์เปิดไฟที่หน้าประตู ก่อนจะเดินมาเปิดไฟที่โถงนั่งเล่นด้านใน เมื่อไฟสว่าง เขาถึงได้เห็นเด็กหนุ่มคนรักนั่งคู้ตัวอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มเดินกลับไปปิดไฟหน้าประตูก่อนเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ปลา”

เด็กหนุ่มเงยหน้าหม่นหมองขึ้นมามองเขา “เมื่อตอนเย็น แม่ของคุณฤทธิ์บอกว่า คุณกำลังจะหมั้น”

“ท่านมาที่นี่เหรอ”

ปภินวิชส่ายศีรษะ “ผมเห็นในคลิป ฟรังค์ส่งมาให้ดู”

“ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่า คุณแม่ของฉันอยากให้ฉันหมั้น”เขาตอบพร้อมเดินเข้าไปหารั้งร่างเพรียวบางเข้ามากอด “กินข้าวเย็นหรือยัง”

เด็กหนุ่มพยักหน้า “โดนปุ้ยบังคับ เริ่มไม่แน่ใจแล้วเนี่ยว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง”เขาตอบพลางสวมกอดชายหนุ่มไว้ พฤทธิกรแนบริมฝีปากลงบนศีรษะของคนรัก กระชับกอดสองแขนเข้าไปอีกนิด

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องชานะ”ชายหนุ่มพูดต่อแม้จะไม่มีเสียงตอบรับจากคนในอ้อมกอด เขารู้ว่าปภินวิชยังคงตั้งใจฟัง น้ำเสียงของเขาอ้อมแอ้มเบาลงเรื่อย ๆ “ที่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวเธอจะโกรธจนพานไม่ชอบฉันไปด้วย”

“คิดได้ยังไง”แต่ต้องชะงักฉุกคิดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน

“ตอนแรกเธอไม่ได้ชอบฉันซะหน่อย”พฤทธิกรพูดสมทบขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มเบ้ปากคิดไปคิดมาว่าไม่บอกเรื่องที่แอบใจเต้นนิด ๆ นั่นดีกว่า

“ถ้าบอกก่อน ก็แค่เพิ่มเรื่องที่ไม่ชอบคุณเข้าไปอีกเรื่อง”

“แต่ฉันอยากให้เธอมีใจให้เร็ว ๆ มีเรื่องที่ไม่ชอบขี้หน้าฉันเยอะ ๆ มันดีซะที่ไหน”

“มารู้ทีหลังผมอาจจะโกรธมากกว่าเดิมก็ได้”เด็กหนุ่มพูดเถียงหน้าง้ำ สองแขนยังเกี่ยวคล้องอยู่รอบคอของอีกฝ่าย พฤทธิกรจึงยืนหน้าเข้าไปแตะจูบพร้อมเอ่ยว่า “เดี๋ยวฉันจะทำดีไถ่โทษ”

“ไม่ได้หมั้นจริง ๆ นะ”ปภินวิชเปลี่ยนไปถามซ้ำเรื่องอื่นอย่างฉับพลัน

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มแหย แต่ก่อนที่คนรักจะได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาพูดต่อไปอีกว่า “เดี๋ยวลองหยุดงานประท้วงสักอาทิตย์ คงจะรู้คำตอบ”

“เอ๋!”คนฟังมีสีหน้าสงสัย

“ดีใจจัง พรุ่งนี้จะได้นอนตื่นสายแล้ว”เขาไม่พูดเปล่าซ้ำยังเอนตัวล้มลงนอนบนโซฟาโดยทับร่างของเด็กหนุ่มคนรักไว้ด้านล่าง

“คุณฤทธิ์อย่ามานอนตรงนี้สิ ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับไปนอนในห้องเถอะ”

“อาบด้วยกันไหม”พฤทธิกรถามตาใส ทว่าคนถูกถามสั่นศีรษะยิก ๆ “ผมอาบน้ำแล้ว”

“อาบแล้วก็อาบอีกได้ อยากแช่น้ำร้อนจัง”เจ้าของคำพูดเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนพร้อมช้อนร่างของเด็กหนุ่มให้ลอยขึ้น คนถูกอุ้มไม่ดิ้นรนขัดขืนได้แต่เอ่ยบอกว่า “ร้อนจะตายยังอยากจะแช่น้ำร้อนอีก”

“ร้อนที่ไหน ข้างนอกลมพัดฉิวอากาศเย็นจะตาย”พฤทธิกรตอบกลับพร้อมเสียงโต้เถียงของคู่รักที่เงียบหายไปเมื่อบานประตูถูกปิดลง



ชายหนุ่มนอนอืดดูรายการโทรทัศน์อยู่บนโซฟามาตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า เขายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดนอนเนื้อหนาคลุมทับร่างด้วยผ้าห่มอีกผืนเนื่องจากอุณหภูมิอากาศที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มที่ถือจานแซนด์วิชเข้ามาใกล้เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอีกฝ่าย

“มาเร็ว ๆ หนาวจะตายอยู่แล้ว”

“หนาวอะไรกันนอนห่มผ้าหนาอย่างนี้”ปภินวิชพูดบ่นก่อนร้องสั่งอีกประโยค “ลุกขึ้นมานั่งทานดี ๆ ก่อนสิครับ”

พฤทธิกรยอมชันตัวลุกขึ้นนั่ง กระนั้นก็คว้าร่างของเด็กหนุ่มเข้ามากอดและดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของพวกเขาไว้  คอยให้คนรักหยิบแซนด์วิชซึ่งเป็นอาหารมื้อกลางวันนำมาป้อนถึงปาก

“คุณฤทธิ์ไม่ไปทำงานแบบนี้จะดีเหรอ”ปภินวิชเอ่ยถามขณะที่ทานส่วนของตนตามไปด้วย

“ไม่เป็นไรหรอก โทรไปบอกคุณก้อยแล้วว่าจะโดดงานประท้วง”

“ยิ่งข้ออ้างอย่างนั้นยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่”พร้อมกับตีหน้าบึ้งพูดดุเมื่อชายหนุ่มจงใจกินนิ้วของเขาเข้าไปด้วยยามที่เขาป้อนอาหาร “ผู้บริหารก็หยุดงานประท้วงได้ด้วย”

“ก็คิดไม่ออกแล้ว”ชายหนุ่มยอมสารภาพออกไปตามตรง “มันมีทางเลือกแค่แตกหักหรือยอมทำตามเท่านั้น”

ประโยคนั้นทำให้ปภินวิชมีสีหน้าสลดลง จนพฤทธิกรต้องกล่าวปลอบใจว่า “เนี่ยแบบนี้ดีที่สุด กดดันคุณดรัสพงศ์ให้กล่อมคุณทิพปภาเพื่อให้คุณทิพปภายอมถอยกลับไปยืนที่เดิม”

กระนั้นคนฟังยังมีสีหน้าครุ่นคิดแม้เมื่อวานจะคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพฤทธิกรอยู่ตลอดทั้งวันแล้วก็ตาม ทางเลือกสำหรับเขาคงมีแค่ดึงดันคบกับชายหนุ่มต่อไป หรือเลิกราและยอมถอยออกมา เรื่องที่ชายคนรักเหมือนจะถูกคลุมถุงชนกลับเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักกว่าเรื่องที่เขาเพิ่งรู้ว่า ญาติพี่น้องของอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนั้นเสียอีก

ถึงเขาจะยังไม่สามารถให้อภัยนายชัญชกรได้ง่าย ๆ แต่กระนั้น ก็ถือได้พฤทธิกรไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น ในกรณีนี้ไม่ว่าอย่างไรคงต้องโทษนายคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังทำตัวไม่รู้จักคิดอีก ปภินวิชคิดอย่างโมโห

“ขมวดคิ้วเป็นปมเชียว คิดอะไรอยู่เหรอ”

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนถามก่อนตอบออกไปว่า “คิดว่านายชัญชกรเนี่ยโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังทำตัวไม่รู้จักคิดอีก” พฤทธิกรมีสีหน้าแปลกใจที่จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องของญาติผู้น้อง ทั้งที่ก่อนหน้ายังคุยเรื่องที่แม่ของเขาบังคับให้หมั้นอยู่เลย

ปภินวิชจึงส่งเสียงหัวเราะ “พอดีคิดว่าระหว่างเรื่องแม่ของคุณกับเรื่องน้องชาย พอมารู้เรื่องพร้อมกัน เรื่องน้องชายของคุณเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย อืม... จะว่าคุณแม่ของคุณก็เคยบอกผมเรื่องที่คุณฤทธิ์จะแต่งงานแล้วนี่นา”

พฤทธิกรมองใบหน้าสงบนิ่งของเด็กหนุ่มคนรักด้วยความปลอดโปร่ง แม้ยังไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วปภินวิชจะคิดเห็นตัดสินใจอย่างไร แต่เขาอยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น ว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมแพ้และตัดใจเลิกรากับเขาง่าย ๆ

“ฉันดีใจที่เธอไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดมาก”

“เพราะผมเชื่อคุณครับ เชื่อในการกระทำของคุณ ก่อนหน้านี้คุณยังอยู่เคียงข้างผมในช่วงเวลาที่แสนโหดร้าย ผมเลยอยากเป็นกำลังใจให้คุณเช่นเดียวกัน”

ชายหนุ่มกอดรัดคนพูดไว้แน่น คำพูดที่ได้ฟังทำให้เขาฮึกเหิมมีแรงมีกำลังผจญกับอุปสรรคทุกสิ่ง พฤทธิกรรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเหมือนกันที่มีโอกาสได้กลับมาเจอกับปภินวิชอีกครั้ง เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ความรักที่ทุ่มเทให้ไปมันถูกส่งตอบกลับมาอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน

“แต่ผมลองคิดเล่น ๆ ไว้เหมือนกันนะ”ปภินวิชพูดขึ้นอีกครั้งหลังปล่อยให้ชายหนุ่มรัดตนจนเหมือนกระดูกจะป่นเป็นผงแล้วจริง ๆ ชายคนรักคลายอ้อมกอด ผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเขา

“ผมไม่อยากให้คุณฤทธิ์ทะเลาะกับแม่ เพราะฉะนั้นคุณจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้”

“ไม่ ไม่เด็ดขาด”ชายหนุ่มเอ่ยค้านทันควัน

“คุณก็แต่งแต่ในนามก็พอ แล้วเราก็อยู่ด้วยกันอย่างนี้”เด็กหนุ่มมั่นใจว่า ต่อให้พฤทธิกรแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น เขาก็ยังเป็นที่หนึ่งอยู่ดี โดยไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน

“ไม่ไหวหรอก”คนพูดโบกมือปฏิเสธ “ผู้หญิงคนนั้นร้ายจะตาย เชื่อว่าที่อยากแต่งกับฉันคงเพราะแค่อยากเอาชนะซะมากกว่า ถ้าได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องเมื่อไหร่ต้องตามมาราวีไม่หยุดแน่”ที่สำคัญเธอมีมารดาของเขาหนุนหลัง ถ้าต้องแต่งงานกันจริง ๆ ชีวิตของเขาคงทุกข์ทรมานยิ่งกว่าอยู่ในนรก

พอลองคิดตาม เด็กหนุ่มเริ่มเห็นด้วยว่าท่าจะเป็นจริงตามที่พฤทธิกรพูด เพราะขนาดเขาบอกว่าคุณฤทธิ์เป็นเกย์ เธอยังไม่สนใจเลย

“แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณไม่ยอมจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะครับ”

พฤทธิกรคิดคำตอบของคำถามแบบนี้ไว้แล้ว จึงสามารถตอบออกไปได้อย่างรวดเร็วพลางทำหน้าทำตาให้น่าสงสารลงอีกนิด “ฉันคงต้องยอมโดนตัดออกจากกองมรดก ออกไปกัดก้อนเกลือกิน ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะอยู่กับฉันไหม”

“คุณฤทธิ์ไม่ต้องห่วงนะครับ เงินที่คุณฤทธิ์ให้ผมไว้ ผมแทบไม่ได้ใช้อะไรเลย ถ้าพวกเรากินใช้อย่างประหยัดคงอยู่สบาย ๆ ได้อีกนาน”

“ดีจัง”พฤทธิกรยกยิ้มกว้างขณะกระชับอ้อมกอดโอบรัดเด็กหนุ่มไว้อีกหน เขาดีใจที่วันนั้นตนเองตัดสินใจรั้งเด็กหนุ่มไว้และยอมทำตามหัวใจตัวเอง ก่อนจะคิดได้ว่าควรหาอะไรไปตอบแทนหลานชายจอมวุ่นวายอย่างกวีวัธน์ด้วยละมั้ง เพราะถ้าไม่ได้กลอุบายหลอกล่อของหลายชายตัวแสบ เขาคงไม่ได้พบความสุขใจจากการมีคนรักเช่นวันนี้


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//วันศุกร์ที่ 12 มกราคมเป็นบทส่งท้ายนะคะ//*


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดีค่ะ จัดการให้เด็ดขาดเสียที

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนเป็นแม่ จะรำคาญลูก เพราะลูกพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง
เหมือนกับที่พฤทธิกร ก็รำคาญแม่เช่นกัน เอ่อ.....คนอ่านก็รำแม่  :angry2:

นอกจากรำ แม่ ก็รำ หนูแข มากกกกกกกก :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทส่งท้าย



พฤทธิกรตั้งใจจะหยุดงานประท้วงเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ตามที่เคยพูดกับคนรักไว้ ทว่าความตั้งใจต้องเขาต้องเป็นหมัน เนื่องจากในวันที่สามที่เขาหยุดงาน หลานชายผู้อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยได้ถือแฟ้มโบนัสและปรับเงินเดือนของปีหน้ามาให้เซ็นถึงที่

ตอนนั้นเขากำลังนอนหนุนตักคนรักดูรายการโทรทัศน์อยู่ในห้องพัก

“น้าฤทธิ์จะประท้วงก็ไม่มีใครว่าครับ แต่ต้องมีความรับผิดชอบ อย่าให้พนักงานตาดำ ๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วย”

“อืม... นั่นสินะ แต่ฉันไม่มีแรงใจจะเซ็นเลย”เขาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเนือยพลางพลิกตัวซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องของปภินวิช ขณะที่คิดอยู่ในใจว่า ถ้ายอมเซ็นต่อไปคงพากันขนงานมาให้ทำถึงคอนโด ถ้าเป็นอย่างนั้นการหยุดงานประท้วงของเขาจะมีความหมายอะไร

“น้าฤทธิ์ ถ้าไม่มีมีลายเซ็นของน้า ฝ่ายบุคคลก็จ่ายเงินไม่ได้นะครับ”

“แกก็เอาไปให้พ่อของฉันเซ็นก็ได้ ฉันมันแค่ประธาน พ่อของฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของ”พฤทธิกรส่งเสียงอู้อี้ตอบกลับไป

ส่วนปภินวิชได้แต่ยกยิ้มแหย ถึงจะตีกันบ่อย ๆ แต่เรื่องแบบนี้ก็เห็นใจกวีวัธน์รวมถึงพนักงานอีกหลายคน กระทั่งชายหนุ่มตรงหน้าพูดขอร้อง เขาจึงได้เขย่าตัวชายคนรัก

“น้องปลาช่วยพูดหน่อย”

“คุณฤทธิ์ครับ ลุกขึ้นมาเซ็นชื่อให้คุณกลอนเขาหน่อยเถอะ”

กระนั้นชายเจ้าของชื่อยังนอนนิ่งไม่หือไม่อือ

“คุณฤทธิ์อย่างทำแบบนี้สิ”

ไม่ว่าปภินวิชจะเอ่ยเรียกซ้ำกี่ครั้ง พฤทธิกรก็ยังนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม จนกวีวัธน์เกิดงอแงขึ้นมาบ้าง “ผมจะไปฟ้องคุณตา” หลานชายทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะสาวเท้าออกจากห้อง เด็กหนุ่มหันมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับมาพูดกับพฤทธิกรว่า

“จะไม่เป็นไรจริง ๆ หรือครับ จะไม่โดนคุณพ่อของคุณว่าเอาเหรอ”

“ก็รอให้โทรมาว่าอยู่ คุณแม่ก็เงียบไปเลย”

ดังนั้นเมื่อวันถัดมามีสายเรียกเข้าจากบิดา พฤทธิกรจึงดีใจแทบเนื้อเต้นเพราะจะได้รู้สักที่ว่าฝั่งบุพการีจะเอาอย่างไรกันแน่

“แทนที่จะเข้ามาคุยกันดี ๆ กลับโดดงานนะไอ้เสือ”บิดาส่งเสียงล้งเล้งกลับมาทันทีที่เขารับสาย “แล้วอย่ามาบอกว่าไม่มีแรงใจเหมือนกับที่บอกเจ้ากลอนล่ะ”

คนฟังหัวเราะ “กลอนคงใส่ไฟผมไว้เยอะเลยสิท่า เพราะตอนที่คุณก้อยโทรไปแจ้งยังเห็นคุณพ่อเฉย ๆ อยู่เลย”

“หลานแกเอามาพูดว่าเยอะเชียวล่ะ บอกว่าแกไม่ยอมทำงานเอาแต่จู๋จี๋กับแฟน”เสียงปลายสายขำขันไม่ต่างกัน ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงมารดาดุแทรกเข้ามา คุณดรัสพงศ์ถึงได้เปลี่ยนโทนเสียงเสียใหม่ “กลับไปทำงานได้แล้วเจ้าฤทธิ์ อย่าให้แฟนแกมาทำให้เสียการเสียงานจนบริษัทล่มจม ส่วนเรื่องแกกับแฟน ไว้ว่างเมื่อไหร่ค่อยเข้ามาคุยกับแม่แกอีกที”

น้ำเสียงประโยคถัดมากระซิบกระซาบเบาลงอย่างชัดเจน “พ่อว่าแม่แกคงหือไม่ขึ้นแล้วล่ะ กลัวลูกชายจะกล้าแตกหักจริง ๆ”จากนั้นน้ำเสียงที่ใช้พูดจึงกลับมาดังแข็งกระด้างอย่างเดิม “เออ... ก็ตามนั้นแหละ โตแล้วอย่ามาทำตัวเป็นเด็ก ๆ เข้าใจไหมเจ้าฤทธิ์”

เขาตอบรับก่อนกดตัดสายไป จากนั้นจึงโถมตัวกอดรัดเด็กหนุ่มคนรักไว้อีกครั้ง

“ผมโดนกอดจนกระดูกเหลวไปทั้งตัวแล้วครับ”คนโดนกอดเอ่ยบ่น กระนั้นกลับยังปล่อยให้เขาคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดิม

“เริ่มขี้เกียจไม่อยากไปทำงานซะแล้ว”

ถึงแม้ว่าพฤทธิกรจะทำตัวเกเรไม่ไปทำงานเป็นระยะเวลารวมแค่สี่วัน แต่ช่วงที่หยุดติดวันอาทิตย์ด้วย นั่นเท่ากับเขาได้หยุดงานรวมห้าวันเต็ม อย่างไรก็ดีเนื่องจากการหยุดงานครั้งนี้ไม่ได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า ชายหนุ่มจึงไม่ได้มีโอกาสพาคนรักไปเที่ยวที่ไหน ได้แต่นอนกอดสร้างความอบอุ่นต้านทานอากาศหนาวกันอยู่ในห้อง

“แล้วคุณพ่อของคุณว่าอย่างไรบ้างครับ”

“ไม่ว่าอะไร ก็แค่บอกให้กลับไปทำงานนั่นแหละ แล้วค่อยเข้าไปคุยกันอีกที”พฤทธิกรพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูปฏิทิน บริษัทของเขากำหนดให้หยุดปีใหม่ตั้งแต่วันที่สามสิบธันวาคมถึงสองมกราคม

“เดี๋ยวฉันเข้าไปหาพวกท่านวันที่สามสิบเลยแล้วกัน แล้วคืนวันที่สามสิบเอ็ดเราสองคนจะได้มาเคาน์ดาวน์ข้ามปีด้วยกัน”ประโยคหลังคนพูดหันมาทำตาเจ้าชู้ใส่ แต่ปภินวิชไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อกระทั่งชายหนุ่มพูดเสริมสมทบออกมาอีกว่า “จะได้ใช้ของที่เธอซื้อมาแล้วนะ ดีใจหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มเขินหน้าแดงแต่แกล้งตีหน้าขรึมพูดตอบกลับไป “ไม่รอวันวาเลนไทน์ล่ะครับ พิเศษกว่าอีก”

“อดทนไม่ไหวแล้ว”พฤทธิกรแสร้งโอดครวญโวยวาย

“ก็ไม่ได้บอกให้อดทนซะหน่อย”เด็กหนุ่มพูดเย้าแหย่

“โอ้ย... อย่ายั่วได้ไหม”พฤทธิกรอดรนทนไม่ได้ลงมือฟัดสองแก้มของคนรักด้วยท่าทางหยอกเย้า ปลายจมูกโด่งและริมฝีปากขยับแตะรุกไล่ตรงโน้นทีตรงนี้ทีทำให้ปภินวิชสะดุ้งจั๊กจี้ ดิ้นหนีไปพลางส่งเสียงหัวเราะไปพลาง แต่เพราะโดนทับอยู่ด้านล่างจึงขยับตัวไม่ถนัด เด็กหนุ่มโดนนัวเนียเล้าโลมจนเหนื่อยหมดแรง ชายคนรักถึงยอมปล่อยให้เขาได้นอนพักหายใจหายคอ



พฤทธิกรกลับไปทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเห็นเอกสารกองโตบนโต๊ะก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

ปลายปีแต่ละแผนกจะส่งเอกสารขออนุมัติค่าใช้จ่ายในปีหน้ามาให้เขาตรวจเช็ก นอกจากนั้นยังมีเอกสารจำพวกแผนงานและแผนโครงการอีกหลายอย่าง รวมถึงยังมีรายงานสรุปการดำเนินงานของปีปัจจุบันอีก เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองจะได้หยุดปีใหม่เหมือนกับคนอื่นหรือไม่

“โอ๋ ๆ อย่าเพิ่งทำหน้าท้อแท้แบบนั้นสิ เดี๋ยวผมช่วย”ปภินวิชพูดพร้อมรอยยิ้ม ดันร่างชายหนุ่มให้ไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันได้หยิบจับอะไร หลานชายได้เปิดประตูดังผลัวะเดินเข้ามาเสียก่อน

“น้าฤทธิ์เซ็นจ่ายโบนัสก่อนเลยครับ”

“แหมเรื่องนี้สำคัญมากเลยนะ”ฝ่ายน้าชายค่อนขอด รับแฟ้มเอกสารมากวาดสายตาอ่านเนื้อหาก่อนจรดปากกาลงไป

“แน่นอนสิครับ ทำงานทั้งปีก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ขอบคุณมากนะครับ”กวีวัธน์กลับออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นปภินวิชจึงแกล้งเอ่ยถามแซวว่าจะเริ่มจากงานไหนก่อนดี เห็นรอยยิ้มให้กำลังใจบนใบหน้าใสของเด็กหนุ่มคนรักแล้ว พฤทธิกรรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงมีเต็มเปี่ยม เอกสารกองโตตรงหน้าจึงดูเหมือนลดน้อยลงไปกว่าเดิม

เขาจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จทันก่อนหยุดยาวได้ฉิวเฉียด ระหว่างนั้นมีวันที่ต้องอยู่ดึกบ้างแต่ปภินวิชก็คอยอยู่เป็นเพื่อนตลอด พอบอกให้กลับไปก่อนเด็กหนุ่มคนรักได้ตอบกลับมาว่า

“ผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณฤทธิ์ได้แค่ช่วงนี้แหละ ถ้าผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วอาจจะว่างไม่ตรงกันก็ได้”

เมื่อได้ยินเหตุผลนั้น พฤทธิกรจึงยอมพยักหน้าเออออรับคำเห็นด้วย ถ้ามีเวลาอยู่ด้วยกันก็น่าจะใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด

ด้วยเหตุนั้น บ่ายวันทำงานวันสุดท้ายของปีจึงค่อนข้างว่าง พนักงานในสำนักงานคนอื่น ๆ ก็คงตื่นเต้นอยู่กับงานเลี้ยงที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงค่ำ ไม่เว้นแม้แต่ปภินวิชที่ไปนั่งช่วยสุธาณีทำสลากจับของขวัญตั้งแต่เช้า

เห็นว่าเลขากำลังยุ่งเขาจึงกดโทรศัพท์มือถือเรียกหลานชายมาหาที่ห้องด้วยตัวเอง นั่งรอด้วยการอ่านรายงานในคอมพิวเตอร์อยู่ครู่หนึ่ง กวีวัธน์ก็เปิดประตูเข้ามา

“น้าฤทธิ์มีอะไรเหรอครับ”

เขาเปิดลิ้นชักหยิบกล่องของขวัญยื่นไปให้

“อะไรเหรอครับ”

“ของขวัญไง”

“รู้ครับ แต่น้าฤทธิ์จะให้ผมเอาไปให้ใคร หรือให้เอาไปทำอะไรล่ะครับ”

“ของแก”

“ของผม?”คนถามชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแต่กระนั้นก็ยื่นมือมาหยิบของชิ้นนั้นไป “น้าฤทธิ์กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า”

“อะไร ฉันก็ซื้อของขวัญปีใหม่ให้ทุกปี”

“ใช่ครับ ซื้อให้ทุกปีแต่น้าซื้อโปเกม่อนให้ผมทุกปีเลย ผมโตแล้วครับ ไม่ได้อยากได้ตุ๊กตา”หลานชายมีสีหน้าละเหี่ยใจ คนฟังได้ยินคำพูดตัดพ้อจึงส่งเสียงหัวเราะ “ลองเปิดดูจะได้รู้ว่าชอบชิ้นนี้หรือเปล่า”

กวีวัธน์ลงมือแกะห่อกระดาษอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นกล่องใบเล็ก ๆ ที่รู้แน่ว่าไม่ใช่ตุ๊กตาเช่นปีก่อน แต่น้าชายอาจจะแกล้งเขาด้วยการใส่พวงกุญแจมาให้ก็ได้ ทว่าทันทีที่เห็นของข้างใน เขาอยากจะเทคตัวขึ้นตีลังกาสักสามรอบและส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี นัยน์ตาเป็นประกายจ้องมองนาฬิกาสายหนังสีดำเรียบ หน้าปัดสีดำตัดกับเข็มนาฬิกาสีเงินซึ่งกำลังนอนนิ่งส่งยิ้มมาให้จากในกล่องด้วยความชอบใจ

“ไหนน้าฤทธิ์บอกว่าพอใจผลงานของผมแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์”ใบหน้าของกวีวัธน์ตื่นเต้นยินดีเสียจนผู้เป็นน้าชายยกยิ้มขำ

“พอรวมกับผลงานอื่น ๆ แล้วรู้สึกว่าก็พอได้อยู่”

กวีวัธน์ถึงกับไปลากเก้าอี้มานั่ง “ผลงานผมดีเพราะเรื่องน้องปลาใช่ม้า เห็นไหมผมมองขาด รู้อยู่แล้วว่าน้าฤทธิ์ต้องชอบน้องเขามาก”หลานชายพูดฝอยไม่หยุดตามประสาประสมรวมอาการกระตือรือร้นปลื้มปริ่ม กระทั่งเลขาสาวมาเคาะประตูแจ้งว่าจะเดินทางไปที่โรงแรมแล้วนั่นล่ะ กวีวัธน์ถึงได้ลุกขึ้นหันไปสนใจกับงานเลี้ยงในคืนนั้นเสียแทน

งานเลี้ยงสิ้นปีถูกจัดขึ้นในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ อาคารสำนักงานเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เป็นงานเลี้ยงที่ไม่ได้บังคับให้พนักงานทุกคนต้องเข้าร่วม เนื่องจากกำหนดให้ลงเวลาเข้างานแค่ช่วงเช้าเท่านั้น แต่เพราะฝ่ายบริหารมีงบของขวัญซึ่งเป็นรางวัลใหญ่อย่างสร้อยคอทองคำหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ด้วย พนักงานจึงอยู่ร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทุกปี

ตอนที่พฤทธิกรไปถึง โต๊ะที่นั่งได้ถูกพนักงานแต่ละฝ่ายจับจองไปหมดแล้ว เว้นไว้ก็แต่โต๊ะวีไอพีสำหรับครอบครัวของเขาที่เก้าอี้เพิ่งถูกจับจองไปไม่กี่ตัว หนึ่งในนั้นมีชัญชกร ญาติผู้น้องนั่งร่วมอยู่ด้วย เขาจึงกวาดสายตามองหาปภินวิช เมื่อเห็นคนรักนั่งอยู่กับเลขาสาวจึงเดินเลี่ยงเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มญาติสนิท

ชายหนุ่มยกมือไหว้อาสะใภ้ก่อนหันไปคุยกับน้องชาย

“อาธรล่ะ”

“พ่อแวะเข้าห้องน้ำครับ ผมกับแม่เลยเข้ามาก่อน”จากนั้นชัญชกรได้ขยับเข้ามากระซิบพูดเสียงเบา “คุณป้าเขาไปรับว่าที่คู่หมั้นของพี่มาด้วยนะ”

พฤทธิกรขมวดคิ้ว “แกรู้ได้ยังไง”

“เมื่อตอนเย็นผมโทรไปถามว่าจะให้ไปรับหรือเปล่า คุณลุงเลยบอกว่า คุณป้าเขาจะไปรับหนูแขด้วย”

คนฟังจึงมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมา

“ผมจัดการให้มะ”ญาติผู้น้องพูดขึ้นมาอีก ยักคิ้วพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ขอแค่พี่ฤทธิ์จ่ายค่าห้องให้ผมเหมือนเดิม เอาเหมือนกลอนก็ได้ พี่ดูผลงานก่อนแล้วค่อยตอบตกลง”

คนพูดดูมั่นใจมากจนทำให้เขามีแต่ความกังขากระนั้นก็พยักหน้าตกลงเนื่องจากเห็นว่าตนเองไม่เสียประโยชน์อะไร และเหมือนว่าชัญชกรจะคุยกับกวีวัธน์มาก่อนหน้า เพราะทันทีที่เขาตอบตกลง หลานชายได้รีบเปลี่ยนที่ย้ายมานั่งข้างเขาอีกฝั่ง

“อยากได้อะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย”เขาถามด้วยความระแวง เริ่มรู้สึกว่าทั้งน้องทั้งหลานคงเห็นเขาเป็นตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ พออยากได้อะไรถึงได้เข้ามาปะเหลาะขอ

“เปล่าครับ ผมแค่พยายามสะสมแต้มบุญไว้สำหรับของขวัญปีหน้า”กวีวัธน์ตอบหน้าทะเล้น

พวกเขานั่งคุยกันอยู่ไม่นาน บิดามารดา อาผู้ชายและหญิงสาวที่มารดาของเขาหมายมั่นปั้นมืออยากได้มาเป็นสะใภ้ก็มาถึง แน่นอนว่าที่นั่งข้างเขาถูกประกบด้วยญาติผู้น้องและหลานชาย คุณทิพปภาจึงต้องจัดที่นั่งให้นัยน์ภัคมาอยู่ข้าง ๆ ตน

หลังจากหลาน ๆ ยกมือไหว้ทักทายญาติผู้ใหญ่กันเรียบร้อย ชัญชกรได้เอ่ยทักนัยน์ภัคขึ้นมาว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณแข ผมจะทักตั้งแต่วันแถลงข่าวแล้วแต่ไม่มีโอกาส คุณสบายดีนะครับ”

“ค่ะ”หญิงสาวรับคำด้วยความงงงวย ก่อนเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าคุณ...”

“ผมชาไงครับ ‘ชัญชกร’ จำไม่ได้เหรอ เมื่อสามสี่ปีก่อนเรายังไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ อยู่เลย”

ทว่าหญิงสาวยังมีท่าทางเหมือนนึกไม่ออก ชัญชกรจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจบ้าง “คุณแขชื่อจริงว่าอะไรครับ”

“นัยน์ภัคค่ะ”

“อ้อ...”คนพูดลากเสียงยาว สีหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “งั้นต้องขอโทษด้วยครับ บางทีผมอาจจะจำผิด”การสนทนาจบลงแค่นั้นพานให้พฤทธิกรรู้สึกขัดใจเล็ก ๆ เขานึกว่าจะมีประเด็นสำคัญอะไรเสียอีก เพราะจับสังเกตได้ว่า มารดาก็ให้ความสนใจกับบทสนทนาของหลานชายและหญิงสาวเช่นกัน จะมีก็แต่ชัญชกรเท่านั้นที่อมยิ้มกรุ้มกริ่มแบบมีนัยสำคัญ

งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าเริ่มต้นโดยการกล่าวเปิดงานและคำอวยพรของดรัสพงศ์ อดีตท่านประธานใหญ่ของบริษัท จากนั้นเป็นการแสดงของพนักงานพร้อมกับอาหารถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ หลังจบการแสดงของพนักงานเป็นการแสดงของวงดนตรีมืออาชีพสลับกับกิจกรรมที่ทีมจัดงานเลี้ยงตระเตรียมกันมา สุดท้ายเป็นกิจกรรมจับของขวัญที่ทุกคนรอคอย

แต่เนื่องจากพนักงานทั้งตึกมีจำนวนหลายร้อยคน คนที่เข้าร่วมงานจึงได้จับสลากหมายเลขพร้อมลงชื่อตั้งแต่ก่อนผ่านหน้าประตูห้องจัดเลี้ยง ส่วนของขวัญได้ถูกเตรียมไว้ใต้ผ้าคลุมสีชมพูและโบว์อันใหญ่เพื่อไม่ให้รู้ว่าของขวัญชิ้นไหนติดหมายเลขอะไร

พฤทธิกรถูกเชิญให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อเปิดผ้าคลุมและมอบของขวัญชิ้นแรกซึ่งเป็นโทรทัศน์แอลอีดี หลังประกาศหมายเลข สิ่งที่ตามมาเป็นเสียงกรีดร้องยินดีของคนที่ได้รางวัล เจ้าของสลากหมายเลขเป็นหญิงร่างท้วมซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานของท่านประธานคนปัจจุบันมาก่อน ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงคว้าหมับดึงเขาเข้าไปกอดเป็นอันดับแรกและกดจมูกที่แก้มอีกข้างละทีถึงจะยอมถือเครื่องโทรทัศน์เดินกลับไป

ระดับบริหารท่านอื่นก็ถูกประกาศเชิญขึ้นไปมอบของขวัญเช่นเดียวกัน กระทั่งของรางวัลใหญ่ชิ้นสุดท้ายที่เป็นสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทซึ่งบิดาของเขาเป็นผู้สนับสนุน คนที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอีกครั้ง เจ้าตัวเป็นชายแต่ยกมือไหว้ย่อขาเกือบถึงพื้น หลังจากรับกล่องสีแดงใส่สร้อยทองมาไว้ในมือแล้ว ยังโบกไม้โบกมือทำหน้าปลาบปลื้มราวกับเจ้าตัวกำลังได้รับมงกุฎนางงาม

จบจากการแจกรางวัลใหญ่ พิธีกรจึงประกาศให้เจ้าของสลากที่เหลือมารับของขวัญซึ่งมีตั้งแต่ขนมของกินไปถึงของใช้

และแล้วงานเลี้ยงคืนนั้นก็สิ้นสุดลง

เขาตามไปส่งบิดามารดาที่รถพร้อมบอกว่าจะเข้าไปหาพรุ่งนี้ก่อนปิดประตูให้  ญาติผู้น้องของเขาที่กำลังก้าวเท้าขึ้นรถอีกคันจึงได้หันมาบอกว่าเดี๋ยวโทรหา ยืนรอมองส่งจนรถยนต์เคลื่อนที่ไปไกลแล้วจึงเดินกลับเข้าไปข้างใน

ภายในห้องจัดเลี้ยงยังคึกคักเพราะยังแจกของขวัญกันไม่หมด คนรักของเขาเองก็ไปยืนช่วยสุธาณีแจกจ่ายของตามหมายเลขสลากอย่างขยันขันแข็ง ดังนั้นอีกพักใหญ่กว่าพวกเขาจะได้เดินทางกลับ








ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

วันรุ่งขึ้นพฤทธิกรออกจากบ้านแต่เช้า มีปภินวิชที่ถือกระเช้าของบำรุงและปวันรัตน์ขึ้นรถตามมาด้วย คนพี่ให้เหตุผลว่า

“ไหน ๆ จะไปเป็นเขยบ้านเขาแล้ว ต่อให้แม่ยายไม่ชอบ ยังไงก็ต้องพยายามเข้าหา”

ได้ยินเหตุผลขำ ๆ แบบนั้นแล้วเขายิ่งรู้สึกดี เพราะถึงจะเคยบอกว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ แต่ถ้าคนรักสามารถเข้ากับครอบครัวของเขาได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

ส่วนเหตุผลของคนน้องคือ “ปุ้ยอยากไปเห็นบ้านน้าฤทธิ์ เมื่อวานส่งข้อความคุยกับพี่กลอน พี่กลอนบอกว่าบ้านน้าฤทธิ์อลังการมาก”

เป็นอันว่า การกลับบ้านครั้งนี้ของเขามีลูกสมุนตามไปอีกเป็นพรวน ทั้งญาติผู้น้องที่โทรบอกไว้ก่อนหน้าและหลานชายที่เขาคิดว่า อย่างไรคงได้เห็นหน้าที่บ้านบิดามารดาแน่นอน

แต่ปรากฏว่ากวีวัธน์และชัญชกรไปนั่งคุยนั่งทานขนมกับบิดามารดาก่อนเขาจะเดินทางไปถึงเสียอีก พวกเขาจึงตามเข้าไปสมทบในห้องรับแขก

ปภินวิชมีท่าทางเกร็งเครียดอย่างเห็นได้ชัดยามที่ถือกระเช้าคลานเข่าเข้าไปมอบให้มารดาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยมีน้องสาวเกาะหลังตามไปติด ๆ และยิ่งหน้าเผือดสีเมื่อทิพปภายังเชิดหน้าคอแข็ง ผู้เป็นสามีจึงยื่นมือออกมารับไว้เสียแทน

“มา ๆ ขอบใจมากนะที่ซื้อมา เออ... รังนกยี่ห้อนี้อร่อยดีลุงชอบ”

เด็กหนุ่มยิ้มรับ และหันมาแนะนำน้องสาวให้รู้จัก “นี่น้องสาวผมครับชื่อปุ้ย” เจ้าของชื่อรีบยกมือไหว้ทันที

“ไหว้พระเถอะ”พร้อมกล่าวบอกให้เด็กทั้งสองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ พลางส่งคำถามไปให้ปวันรัตน์อีกประโยค “แล้วหนูเป็นอะไรล่ะนั่น ทำไมต้องใส่หมวกไหมพรมไว้ล่ะ”

“ปุ้ยต้องรับคีโมค่ะ ที่ใส่หมวกไว้เพราะไม่มีผม”เด็กสาวกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม ดรัสพงศ์จึงอวยพรของให้เธอแข็งแรงหายไว ๆ

ชัญชกรเห็นเป็นโอกาสดีจึงพูดเป็นทำนองชวนคุณป้าคุยว่า “ผมเห็นเมื่อวันงานแถลงข่าวคุณป้าประกาศอยากจะให้คุณแขหมั้นกับพี่ฤทธิ์หรือครับ”

“ถ้าเป็นไปได้ป้าก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่พี่ชายเราน่ะสิยึกยักท่ามากอยู่ได้ อายุก็มากขึ้นทุกวัน”ทิพปภาพูดตอบหลานแต่ปรายสายตาไม่ชอบใจไปทางคนรักของลูกชาย จนเด็กหนุ่มต้องก้มหน้าหลบ

“คุณแขเขาก็นิสัยดีนะครับ แต่จะดีหรือครับเมื่อก่อนเขาเคยกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ กับผมอยู่นะ”

“พูดอะไรของเธอ”ทิพปภาแผดเสียงถามกลับไปทันที

“ก็จะอะไรล่ะครับคุณป้า”คนพูดอึก ๆ อัก ๆ คล้ายไม่กล้าบอก “ผมกับคุณแขเคยควงกันมาก่อน ถ้าเกิดเธอได้แต่งงานกับพี่ฤทธิ์ มันจะมองหน้ากันไม่ติดนะครับ”

“อย่ามาหลอกป้าเสียให้ยากเลย เมื่อวานหนูแขเขายังดูเหมือนไม่รู้จักเราอยู่เลย”

“แหม ถ้าคุณป้ารู้ว่าเธอเคยคบผมมาก่อน คุณป้าจะยังอยากได้คุณแขมาเป็นสะใภ้หรือครับ เธอก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักผมสิ”

“จริงเรอะชา”ดรัสพงศ์เอ่ยถามซ้ำ ตัวเขากับบิดานัยน์ภัครู้จักคบหากันมานาน พอรู้กิตติศัพท์ว่าบ้านนั้นทั้งหวงทั้งดูแลลูกสาวอย่างดี คิดว่าไม่น่าจะปล่อยให้มาคบหากับชัญชกรได้ง่าย ๆ

“จริงสิครับคุณลุง ผมจะโกหกทำไม ผมมีหลักฐานด้วยนะ”คนพูดล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดหาภาพคู่ของเขาและหญิงสาวที่ตกเป็นประเด็นสนทนา ก่อนจะส่งไปให้ผู้อาวุโสทั้งสองได้ดู

“มีภาพที่เอ็กซ์คลูซีฟกว่านี้ด้วยนะครับ”ชัญชกรพูดไม่ทันจบประโยคผู้เป็นป้าก็ร้องว้ายแล้วดันโทรศัพท์หนี กวีวัธน์ถึงกับลุกพรวดเข้าไปสุมหัวดูด้วย แต่ไม่ทันดรัสพงศ์ที่มือไวกดลบอย่างรวดเร็ว

“คุณตารีบลบทำไมล่ะครับ ผมยังไม่เห็นเลย”

“เป็นเด็กเป็นเล็กมาสนใจอะไรเรื่องพรรค์นี้ฮึเจ้ากลอน แกเองก็เหมือนกันเจ้าชา มีภาพพวกนี้อีกหรือเปล่า ลบให้หมดเลยนะ อย่าให้ลุงรู้ว่ามีเก็บไว้เชียว”

“ไม่มีแล้วครับคุณลุง ผมมีเก็บไว้แค่ในไอคลาวน์เท่านั้น”

“นี่ไม่ใช่ว่ามันหลุดเผยแพร่ออกไปหมดแล้วล่ะ ไปเก็บไว้บนอินเทอร์เน็ตแบบนั้น”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้เผยแพร่เป็นสาธารณะ”

แต่ดรัสพงศ์ยังมีสีหน้าไม่เชื่อถือ “เจ้ากลอนช่วยตาดูสิ มันมีอีกหรือเปล่า” กวีวัธน์จึงรับโทรศัพท์มือถือมาด้วยอาการดี๊ด๊า เลื่อนหารูปเอ็กซ์คลูซีฟที่คุณตาได้ดูในโทรศัพท์ของน้าชาย

“ไม่เห็นเลยครับ”ใบหน้าของคนพูดแสดงอาการเสียดายอย่างชัดเจนพลางถือโทรศัพท์ไปคืนเจ้าของ

“หนูแขเคยคบกับเธอจริง ๆ หรือเนี่ย”ทิพปภาร้องหายาดมเพราะอาการหน้ามืดเริ่มถามหา พฤทธิกรต้องขยับเข้าไปช่วยประคอง ขณะที่ปภินวิชกับน้องสาวหยิบหนังสือนิตยสารแถวนั้นไปช่วยกันโบกพัด

“ถ้าแค่คบหาคุยกันเฉย ๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกใช่ไหมครับ แต่แบบ... เอิ่ม... นะ ผมเลยต้องบอกไว้ก่อน เพราะถ้าเกิดพี่ฤทธิ์หรือคุณลุงคุณป้ามารู้ทีหลัง มันจะพานให้มองหน้ากันไม่ติดซะเปล่า ๆ”ชัญชกรทำหน้าแหยพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้สุดความสามารถ

“แล้วอย่างนี้คุณยายจะเอายังไงครับ ยังอยากได้คุณแขเป็นสะใภ้อยู่หรือเปล่า”กวีวัธน์เอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าคุณยายได้ขวดยาดมโลหะสลักลายมาไว้ในมือแล้ว

“จะให้แต่งกันไปได้ยังไง ถ้าใครรู้เข้าอับอายเขาตาย สะใภ้บ้านนี้ได้ทั้งพี่ทั้งน้อง”หญิงสูงวัยพูดตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว ก่อนต้องสูดกลิ่นสมุนไพรในขวดยาดมอีกเฮือกใหญ่

“เท่ากับยอมให้น้าฤทธิ์คบกับน้องปลาแล้วใช่ไหมครับ”

“ไม่ย่ะ”ทิพปภาส่งเสียงปฏิเสธทันควัน “ถ้าน้าเราไม่มีหลานให้ยายภายในหนึ่งปี ยายจะหาผู้หญิงมาให้แต่งด้วยตามเดิม”

ว่าแล้วเชียว พฤทธิกรคิดในใจ ทว่าขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด กวีวัธน์กลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “อะไรกัน ทีแรกคุณยายยังไม่กำหนดเวลาเลย จู่ ๆ จะมาบอกว่าภายในหนึ่งปีไม่ได้หรอกครับ”

“ใช่ครับ”ชัญชกรพูดสมทบ “ถึงพี่ฤทธิ์จะแต่งงานกับผู้หญิงและตั้งใจทำการบ้านทุกวัน ก็ใช่ว่าจะท้องได้ง่าย ๆ นะครับ สี่สิบแล้วผมว่าน้ำยาคงบูดหมดแล้วล่ะ”

คนที่ได้ฟังต่างหัวเราะชอบใจ ดรัสพงศ์ถึงกับส่งเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ออกมาดังลั่น คงจะมีแค่คนที่ถูกกระทบถึงกับทิพปภาเท่านั้นที่ออกอาการหน้าดำหน้าแดง

พฤทธิกรทันเห็นปภินวิชซึ่งยังคงนั่งโบกกระดาษพัดอากาศให้มารดาของเขาทำท่าพยักหน้ารับเห็นด้วย จึงโน้มตัวไปกระซิบบอกเสียงเบา “เดี๋ยวคอยดู คืนนี้จะจัดให้ลุกไม่ขึ้นเลย”

คงเพราะสองหนุ่มนั่งสุมอยู่ข้างตัว ทิพปภาถึงได้ยินคำพูดของลูกชายไปด้วย ความเก้อกระดากวาบขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกต่อต้าน เธอจึงส่งเสียงพร้อมโบกมือไล่คนรักของลูกชาย

“ลุก ๆ ออกไปได้แล้ว มานั่งเบียดอยู่แถวนี้ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่”

สองพี่น้องรีบลุกกลับไปนั่งที่เดิม

“อย่างน้อยก็ต้องสองปีแหละครับคุณแม่”พฤทธิกรดึงให้วงสนทนากลับมาสู่เรื่องที่คุยกันค้างไว้อีกครั้ง “และอย่างที่ชาว่า ต่อให้แต่งงานกับผู้หญิงสักคน ก็ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั๊บจะท้องได้เลยก่อนการตั้งครรภ์คู่แต่งงานต้องตรวจสุขภาพและเตรียมความพร้อมของร่างกายเพื่อให้เด็กออกมามีสุขภาพแข็งแรงด้วย”

ทิพปภามองหน้าลูกชาย “ได้ สองปีก็สองปี แต่หลังจากสองปีไปแล้วแกห้ามขัดคำสั่งแม่นะ”

“ครับ แน่นอน”พฤทธิกรหันไปคว้าจับมือของคนรักไว้ “ตอนนั้น ถ้าแม่อยากให้ผมเลิกกับปลา ผมก็จะตามใจแม่ทุกอย่าง”

“โอเคดีล”กวีวัธน์ส่งเสียง

“ดีลอะไรฮึไอ้ตัวแสบ”ดรัสพงศ์ถาม

“คุณยายกับน้าฤทธิ์ตกลงกันได้ ก็โอเคดีลไงครับคุณตา คุณตาไม่เข้าใจหรือครับ คุณตาไม่คูลเลยอะ”

ชัญชกรจึงเสริมความคูลของหลานชายด้วยการตบศีรษะเบา ๆ ไปอีกทีข้อหาทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ กวีวัธน์จึงหันไปโวยวายกับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ”พฤทธิกรพูดบอกผู้เป็นบิดามารดา ทว่าก็โดนทิพปภาออกปากค้านทันควัน “อะไร หยุดยาวทั้งที ไม่คิดกลับบ้านมาอยู่กับพ่อกับแม่บ้างเหรอ อยู่มันแต่ที่คอนโดนั่นแหละ ไหนตอนแรกบอกเพราะมันใกล้ เดินทางไปทำงานสะดวก หยุดปีใหม่ไม่ต้องไปทำงานก็กลับมาอยู่ที่บ้านสิ ที่พ่อแม่ซื้อบ้านเนี่ยก็ซื้อไว้เผื่อเรานะ ไม่ใช่ซื้อให้ปลวกอยู่... ”

“ครับ ครับ ผมไม่กลับไปนอนคอนโดแล้วครับ”คนเป็นลูกชายต้องรีบตอบรับเพราะกลัวว่ามารดาจะบ่นไม่หยุด “แต่ผมขอไปส่งปลากับปุ้ยก่อนนะครับ”

“ทำไมต้องขับรถไปส่ง...”

“ครับ ไม่ไปส่งครับ”ชายหนุ่มรีบพูดตัดบท “แกสองคนจะกลับหรือยัง ฉันจะฝากขับรถไปส่งสองพี่น้องด้วย”เขารีบลุกขึ้นยืน รุนหลังให้ปภินวิชและปวันรัตน์เดินออกไปด้านนอกจนทั้งคู่ยกมือไหว้ลาผู้สูงวัยแทบไม่ทัน

พ้นสายตาคู่สามีภรรยาเจ้าของบ้านมาแล้ว ปวันรัตน์จึงแอบบ่นเบา ๆ “ถ้าปุ้ยอายุเท่าคุณยาย ปุ้ยจะพูดเยอะเท่าคุณยายไหมเนี่ย”

“ไม่ต้องเท่าหรอก แม่เราก็ขี้บ่นนะ”ปภินวิชพูดถึงมารดาที่ล่วงลับไปแล้ว น้องสาวจึงพยักหน้ารับเห็นด้วย

การมาหาบิดามารดาที่บ้านครั้งนี้ พฤทธิกรขับรถมาเองไม่มีสองบอดี้การ์ดตามมาด้วย ตอนขากลับจึงต้องฝากฝังหลานชายให้พาสองพี่น้องไปส่ง

ชัญชกรและกวีวัธน์เดินตามมาไม่ห่าง

“น้าชาถ่ายรูปกับคุณแขมาจริงหรือเปล่า”กวีวัธน์เอ่ยถามเพราะเขาไม่มีโอกาสได้เห็นรูป จึงไม่รู้ว่าเรื่องที่น้าชายรู้จักนัยน์ภัคจริงเท็จแค่ไหน

“รูปตัดต่อ”ตอบคำถามเสร็จก็เร่งฝีเท้าไปหาพี่ชาย “พี่ฤทธิ์พอใจผลงานของผมหรือเปล่าครับ”

“อืม... ถือว่าดี”

“งั้นข้อตกลงของเราเป็นอันว่าโอเคเนอะ”

“เออ”พฤทธิกรรับคำ พลางพาสองพี่น้องไปส่งถึงรถยนต์ของกวีวัธน์ เอ่ยกำชับด้วยความเป็นห่วงว่า “ถ้าเกิดมีอะไรให้รีบไปบอกพุฒิกับธนาเลยนะ หรือไม่ก็ให้สองคนนั้นมาอยู่ด้วยก็ได้”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ การรักษาความปลอดภัยของคอนโดเป็นเลิศขนาดนั้น”ปภินวิชพูดบอกให้ชายหนุ่มคลายความกังวล

“น้องปุ้ยขึ้นรถก่อนเลยค่ะ ปล่อยให้คู่รักเขาร่ำลากันหน่อย”กวีวัธน์ตะโกนร้องเรียกหลังสตาร์ตเครื่องยนต์เรียบร้อย ปวันรัตน์จึงขานรับ รีบวิ่งไปขึ้นรถตามที่ชายหนุ่มบอก

“เสียดายจัง หยุดตั้งสี่วัน”พฤทธิกรแสร้งส่งเสียงร้องกระซิก ๆ คลอไปด้วย ทว่าประโยคตอบกลับของคนรักทำให้เขาต้องเปลี่ยนจากอาการทีเล่นทีจริงเป็นการตอบกลับไปอย่างจริงจัง

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ เรามีเวลาคบกันอีกตั้งสองปี”

“ไม่ใช่แค่สองปี เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันจนเบื่อขี้หน้ากันไปเลย ฉันสัญญา”เสียงของคนพูดอบอุ่นและมั่นคงในความตั้งใจของตน “เธออย่าเบื่อหน้าฉันไปก่อนล่ะ”

“ถ้าคุณฤทธิ์ไม่เบื่อผม ผมก็จะไม่เบื่อคุณเหมือนกัน”ปภินวิชตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

พฤทธิกรอยากแนบจูบลงไปที่บนริมฝีปากคู่นั้น แต่เพราะพวกเขาอยู่ในที่สาธารณะจึงทำได้แค่ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด กระชับอ้อมแขนดังเช่นเสียงที่ดังขึ้นในใจ

ไม่ว่าอีกกี่สิบปีเขาจะกอดปภินวิชไว้เช่นนี้....



-จบ-




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2018 10:33:29 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขอบคุณค่ะ
อยากรู้จังว่าคุณฤทธิจะจัดการยังไงเรื่องลูก
ว่าแต่น้องปลาให้อภัยชาแล้วเหรอ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


มีมีลูกกันตอนไหนนะ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา



โทรศัพท์มือถือของเขาส่งเสียงแจ้งเตือนรัว ๆ มาจากหลานชาย  หน้าต่างข้อความระบุว่ากวีวัธน์ส่งภาพมาให้ เขาเหล่มองกำลังจะเลื่อนกดดูแต่โดนมารดาดุเสียก่อน

“ทานข้าวอยู่นะตาฤทธิ์ ยังจะเล่นโทรศัพท์อีกเหรอ”

พฤทธิกรอยากเบะปากแต่เพราะจะสี่สิบแล้ว ชายหนุ่มจึงทำเพียงปิดเสียงการเตือนของโทรศัพท์โดยไม่ได้แม้แต่เปิดดูข้อความที่หลานชายส่งมาก่อนเก็บมันใส่กระเป๋า กระทั่งทานข้าวเสร็จเขาถึงปลีกตัวออกมาเช็กโทรศัพท์มือถือ

ภาพที่กวีวัธน์ส่งมานับสิบภาพนั้นเป็นภาพบรรยากาศการทานมื้อค่ำในวงสุกี้ของหลานชาย แต่สถานที่เป็นระเบียงคอนโดของเขา ผู้ร่วมโต๊ะมีทั้งปภินวิช ปวันรัตน์และบอดี้การ์ดสองหนุ่ม ตามด้วยข้อความว่า

“คืนนี้ผมขออนุญาตอยู่เคาน์ดาวน์กับน้องปลานะครับ”พร้อมตัวสติ๊กเกอร์ที่ส่งสายตาวิ๊ง ๆ มาให้

พฤทธิกรแค่นหัวเราะกดโทรศัพท์หาคนรัก ถือสายรออยู่ครู่หนึ่งปลายสายถึงกดรับ

“สวัสดีครับ”

“กินกันเสร็จหรือยัง”

“ยังครับ คุณกลอนบอกว่า ค่อย ๆ ทานกันไปเรื่อย ๆ”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปหา”

“คุณฤทธิ์บอกว่าจะมาแล้วคุณกลอน”เสียงของปลายสายดังลอดเข้ามาให้เขาได้ยิน แต่ฟังเหมือนปภินวิชจะพูดกับหลานชายมากกว่าพูดกับเขา ส่วนเสียงของหลานชายก็ฟังเหมือนกำลังกรึ่มได้ที่

“น้าฤทธิ์ฝากหยิบไวน์ของคุณตาติดมาด้วยนะครับ”

“ดื่มกันด้วยเหรอ”เขาถามขณะเดินไปหยิบกุญแจรถ และเดินกลับเข้าห้องอาหารเพื่อไปหยิบไวน์ตามที่หลานชายร้องสั่ง

“มีแค่คุณกลอน พี่ธนา พี่พุฒิเท่านั้นครับที่ดื่ม”

“น้าฤทธิ์ ปุ้ยขอลองหน่อยไม่ได้เหรอ”เด็กสาวร้องตะโกนแทรกเข้ามา พี่ชายจึงหันไปพูดดุ “ปุ้ยยังต้องรับยาอยู่เลย จะมาอยากกินได้อย่างไร ไว้โตก็ได้ลองเองแหละ ขับรถระวัง ๆ นะครับ”ประโยคสุดท้ายเด็กหนุ่มคนรักหันมาพูดกับเขา

แม้จะแปลกใจอยู่บ้างเนื่องจากช่วงนี้ชัญชกรกลับมาอยู่ที่เมืองไทย กวีวัธน์น่าจะชวนน้าชายอีกคนไปเที่ยวมากกว่าไปสังสรรค์ที่คอนโดของเขา แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่าญาติผู้น้องไม่อยากออกจากบ้านเพื่อไปหาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม นั่นก็เป็นไปได้ อีกทั้งจะให้กวีวัธน์ชวนชัญชกรไปเยี่ยมคนรักของเขาที่คอนโด ต่อให้เป็นเจ้าหลานจอมยุ่งอย่างกวีวัธน์ก็คงไม่ใจกล้าพอ

เมื่อวานตอนที่ปภินวิชเจอกับชัญชกร เจ้าตัวทำเฉย ๆ ไม่แสดงอาการอะไรก็จริงแต่นั่นคงเพราะเกรงใจเขาและบิดามารดาที่เป็นเจ้าของบ้าน และแม้จะขำไปกับมุกตลกของชัญชกรแต่สองพี่น้องกลับไม่เอ่ยพูดคุยกับอีกฝ่ายซ้ำยังไม่ยกมือไหว้อย่างที่เคยทำต่อผู้ที่มีอายุมากกว่าเช่นปกติ เขาถึงคิดว่าสองพี่คงจงใจเมินผ่านชัญชกร

“นั่นเราจะไปไหน”เสียงถามของมารดาดังขึ้นทำให้เขาต้องละความสนใจจากโทรศัพท์และหันไปมองแต่เพราะเป็นช่วงจังหวะที่การสนทนากับอีกฝั่งจบลงพอดีเขาจึงกดตัดสายไป

“พอดีกลอนชวนผมไปเคาน์ดาวน์นะครับ”

“ดึกป่านนี้แล้วยังจะออกไปไหนอีกเหรอ อันตรายจะตายโทรไปบอกหลานว่าไม่ไปสิ”

“แต่ผมรับปากไปแล้ว”

“แล้วนั่นอะไร หิ้วไวน์ไปด้วย ถ้าดื่มแล้วคืนนี้จะกลับมาไหวเหรอ อย่าไปเลยแม่เป็นห่วง”

“ถ้าผมเมาผมก็ค้างกับหลานนั่นแหละ”

“แล้วจะปล่อยพ่อกับแม่อยู่บ้านกันสองคนเหรอ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาอย่างไฟไหม้ โจรขึ้นบ้านอะไรอย่างนี้จะทำอย่างไร”

“คงไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นหรอกมั้งครับ เราจ่ายค่าส่วนกลางไปตั้งเยอะ ถ้าปล่อยให้ไฟไหม้ ขโมยขึ้นบ้านอย่างนั้นบริษัทเขาคงใกล้เจ๊งแล้วล่ะ อีกอย่างมีแม่บ้านอยู่ตั้งเยอะ ไหนจะคนสวนคนขับรถอีก”พฤทธิกรพูดพลางหมุนตัวเดินนำออกไปหน้าบ้าน เด็กรับใช้คนหนึ่งถือรองเท้ามาวางให้เขาเปลี่ยนที่หน้าประตู เขาเอ่ยปากบอกขอบใจพร้อมเอ่ยบอกว่าไม่ต้องรอเปิดประตูเพราะคืนนี้เขาไม่กลับ

“ฤทธิ์อย่าไปเลยแม่เป็นห่วง”มารดาพูดขึ้นมาอีกครั้ง “คืนสิ้นปีแบบนี้มีแต่คนเมาขับรถกันเต็มถนน ถึงเราไม่ไปชนคนอื่น คนอื่นก็อาจจะมาชนเรา”

“แหม... คุณทิพย์ ลูกกำลังออกจากบ้านพูดจาซะเป็นมงคลเชียว”ดรัสพงศ์ส่งเสียงดังมาก่อนตัว

“ก็ฉันพูดความจริงนี่คะคุณพงศ์”

“รัฐเขารณรงค์เรื่องเมาไม่ขับกันโครม ๆ มีด่านตรวจตั้งทุกจุด กฎหมายเอาผิดก็รุนแรงขึ้น คงไม่มีคนเมาอยู่เต็มถนนอย่างที่คุณว่าหรอก”

“ประมาทได้เสียที่ไหนเรื่องพรรค์นี้”

“ผมจะขับรถอย่างระมัดระวังครับ”พฤทธิกรกล่าวบอกพร้อมยกมือไหว้ลา

“อืม... ไปดีมาดี คุณพระคุ้มครอง”บิดาของเขาพูดอวยพรแต่ก็ถูกมารดาพูดดุว่าปล่อยให้ลูกออกไปได้อย่างไร ถึงกระนั้นเขาก็เดินตรงไปขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องขับออกมาจากบ้านโดยไม่สนใจเสียงห้ามปราม

ถนนในช่วงกลางคืนของวันหยุดยาวมีรถราน้อยกว่าปกติ เขาจึงใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาถึงซอยที่ตั้งคอนโด เลี้ยวเข้าซอยมาระยะทางไม่ไกลก็ต้องชะลอความเร็วรถจอดต่อท้ายรถยนต์คันข้างหน้า ปล่อยคันเร่งให้รถเคลื่อนที่ช้า ๆ ไปสักพักถึงได้เห็นสาเหตุที่ทำให้รถติด

เขากดกระจกลงเมื่อเห็นรถคันหน้าผ่านนายตำรวจในเครื่องแบบไปแล้ว

“สวัสดีครับ กำลังจะไปไหนครับ”

“กลับบ้านครับ”

“เดินทางปลอดภัยครับ”เมื่อตำรวจนายนั้นโบกมือให้เขาผ่านไปได้ ชายหนุ่มจึงเร่งความเร็วรถขึ้นอีกนิด ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นก็เปิดไฟเลี้ยว รอจนรถยนต์อีกเลนที่สวนมาว่างลงจึงเลี้ยวเข้าคอนโด หลังจอดรถเรียบร้อยจึงกดปุ่มเรียกลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน

ตอนที่พฤทธิกรเปิดประตูห้องเข้าไป เขายังไม่เห็นวงสุกี้ต้องเดินพ้นเหลี่ยมกำแพงไปอีกนิดถึงจะเห็นแผ่นหลังของหลานชาย และใบหน้าของคนรักที่นั่งหันมาทางนี้ และเมื่อเปิดประตูออกไปถึงได้ยินเสียงอึกทึกดังลั่นจากเครื่องเสียง ทั้งเสียงเฮฮาที่เหมือนกำลังเล่นเกมกันอยู่

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชลุกเดินเข้ามาหา หลานชายของเขาจึงส่งเสียงเรียกตามมาด้วย “น้าฤทธิ์ มาเร็ว ๆ ไหนไวน์ของผม”

“ทานอะไรมาหรือยังครับ เดี๋ยวผมไปเอาถ้วยมาให้”

“ไม่ต้องหรอก”เอ่ยบอกพลางโอบไหล่เด็กหนุ่มคนรักให้เดินกลับไปนั่งด้วยกัน “ฉันทานมาแล้ว”

“ผมต้องไปเอาแก้วและจะไปยกของอื่นมาด้วย คุณฤทธิ์ไปนั่งก่อนเถอะครับ”ปภินวิชพูดก่อนผละออกไปหยิบของตามที่บอกไว้ พฤทธิกรเดินต่อไปที่โต๊ะวางขวดไวน์ที่ถือมาตรงหน้าหลานชาย ปวันรัตน์จึงลุกย้ายที่มานั่งหัวโต๊ะเว้นที่ว่างไว้ให้พี่ชายกับแฟนได้นั่งข้างกัน

“เมาอย่างนี้จะกลับได้เหรอ ในซอยมีด่านตำรวจนะ”

“ไม่กลับครับ เดี๋ยวผมไปนอนห้องโน้น”

พฤทธิกรเข้าใจว่า ‘ห้องโน้น’ ของกวีวัธน์คงหมายถึงห้องนอนอีกห้องในห้องพักของบอดี้การ์ด

“ปกติไม่มีคนอยู่ จะนอนได้เหรอ”

“น่าจะไม่มีปัญหาครับ พี่ชะเอมเขาทำความสะอาดให้ประจำ”คำตอบนี้ธนาเป็นคนพูด พฤทธิกรพยักหน้ารับและหันไปส่งอีกคำถามให้หลายชาย ฝ่ายกวีวัธน์ก็ยกแก้วดื่มเบียร์จนหมดแล้วเปิดขวดเทไวน์แดงลงไป เด็กสาวคนเดียวในโต๊ะยังร้องแซวว่า ไวน์ของน้าฤทธิ์ดูราคาถูกขึ้นมาทันที

“แล้วไม่ไปเคาน์ดาวน์กับเพื่อนหรือไง”

“ผมเห็นน้าฤทธิ์กลับไปอยู่บ้าน เลยมาเฝ้าน้องปลาให้ไงครับ”

“จำเป็นด้วยเหรอพี่กลอน”ปวันรัตน์ถามขึ้นมาทันที

“จำเป็นสิ ถ้าพี่ไม่มาป่านนี้พี่ปลาของน้องปุ้ยออกไปเที่ยวกับเด็กฟรังค์แล้ว”

“ไม่ใช่ซะหน่อย”คนที่ถูกพาดพิงถึงซึ่งกลับมาทันได้ยินประโยคของกวีวัธน์พอดีร้องปฏิเสธทันควัน

ปภินวิชวางแก้วใสก้านยาวเรียวสำหรับใส่ไวน์จำนวนสี่ใบลงกับโต๊ะ อีกมือเขาถือกล่องของสดจำพวกหมู กุ้ง หมึกซึ่งหมักซอสไว้ก่อนหน้า เด็กสาวก็ช่วยแจกจ่ายแก้วทั้งสี่ใบนั้นไปให้ชายหนุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย พุฒิพงศ์จึงลุกขึ้นมาหยิบขวดไวน์จากตรงหน้ากวีวัธน์ ถือไปรินให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายจ้างก่อนเป็นอันดับแรก

“ฟรังค์โทรมาชวนก็จริงแต่ผมตั้งใจจะตอบปฏิเสธไปอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณกลอนจะมาที่ห้องหรือไม่ก็ตาม”

“ตกลงมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่กี่โมง”หลังจบคำบอกเล่าของคนรัก พฤทธิกรจึงเอ่ยถามหลานชายพลางหรี่ตาจ้องจับผิด

“ทำไมน้าฤทธิ์ทำตาแบบนั้นล่ะ ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”

“คุณกลอนมาตั้งแต่สาย ๆ แน่ะครับ”เด็กหนุ่มเห็นคู่อริไม่ยอมตอบคำถาม เลยพูดบอกออกไปเสียแทนพานให้กวีวัธน์ร้อนตัวยกใหญ่

“ไม่มีอะไรจริง ๆ นะน้าฤทธิ์ ไม่ได้คิดอะไรเลย สาบานได้”

“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

“แล้วทำไมต้องทำตาแบบนั้นด้วย”กวีวัธน์บ่นย้ำพลางยกเครื่องดื่มสีแดงในแก้วขึ้นจิบแก้เก้อ

“แล้วมาทำไมตั้งแต่เช้า”พฤทธิกรถามอีกซึ่งคนถูกถามไม่ทันได้อ้าปาก เด็กสาวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็พูดตอบให้เสียแทนทั้งยังรายงานจนครบ “พี่กลอนมาชวนกินสุกี้รอเวลาเคาน์ดาวน์ค่ะ มาชวนไปซื้อของแล้วก็ช่วยเตรียมของด้วยนะ แล้วบอกว่าถ้าส่งรูปไปให้น้าฤทธิ์ดู น้าฤทธิ์ต้องรีบเหาะมาแน่ ๆ ทีแรกชวนพี่ปลาพนันว่าน้าฤทธิ์จะมาหรือไม่มาด้วย แต่พี่ปลาไม่เล่นค่ะ”

“ก็คุณกลอนจะเล่นข้างที่ ‘คุณฤทธิ์มา’ นี่นา”ปภินวิชพูดพลางคีบอาหารสดลงหม้อเพิ่มไปอีกเมื่อเสร็จแล้วจึงปิดฝารอให้มันเดือด

“แล้วจะพนันด้วยอะไร”

“พี่กลอนยังไม่ทันได้บอกค่ะเพราะพี่ปลารีบปฏิเสธเสียก่อน”ปวันรัตน์พูด

“หืม”พฤทธิกรลากเสียง

กวีวัธน์จึงยกแก้วขึ้นมาพลางชวนคุยไปเรื่องอื่น “น้าฤทธิ์ชนแก้วหน่อย พี่พุฒิเขารินให้ตั้งนานแล้ว เดี๋ยวมันชืดหมด น้องปลาตักสุกี้ให้น้าฤทธิ์หน่อยสิ ปล่อยให้น้าชายของพี่เขาหิวได้ยังไง เอ้า! ชนครับทุกคน”ชายหนุ่มชูแก้วขึ้นสูงพลางร้องขอชนแก้วไปรอบโต๊ะ

เห็นหลายชายพยายามเปลี่ยนเรื่องถึงขนาดนั้น ผู้เป็นน้าชายจึงไม่คิดซักไซ้อีก เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

พวกเขานั่งคุยนั่งดื่มกันอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเสียงตึงของพลุฉลองดังขึ้น กวีวัธน์จึงพาร่างโซเซไปเกาะที่ราวระเบียง เขาให้สองบอดี้การ์ดตามไปยืนคุมเพราะกลัวว่าหลานชายจะหัวทิ่มร่วงลงไป ทั้งปวันรัตน์เองก็เดินตามไปยืนชมดอกไม้ไฟที่ริมระเบียงพลางยกมือส่งเสียงชี้ชวนพูดคุยกับกวีวัธน์

ระเบียงห้องพักของพฤทธิกรอยู่บนอาคารสูงจึงทำให้เห็นพลุดอกไม้ไฟปรากฏขึ้นจากหลายทิศทาง

พฤทธิกรมองจนแน่ใจแล้วว่าสี่คนนั้นคงสนใจแต่ประกายแสงไฟบนท้องฟ้า เขาจึงหันไปหาคนข้างตัวพร้อมแนบจูบลงไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย กดย้ำขบเม้มเบา ๆ และผละออกมา

“สวัสดีปีใหม่”

“สวัสดีปีใหม่เหมือนกันครับ”ปภินวิชตอบกลับไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“ขอให้ทุกปีต่อจากนี้ไปให้เราสองคนได้มาฉลองปีใหม่ด้วยกันอีก”

“อืม”เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม เอนศีรษะซบไหล่ชายคนรักและหันเหสายตาไปมองดอกไม้ไฟหลากสีที่ปรากฏอวดโฉมอย่างต่อเนื่อง

เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีกว่าพลุดอกไม้ไฟจะหมดลง จากนั้นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องจึงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปนอน ปภินวิชหันไปเก็บขวดและแก้วเครื่องดื่มโดยมีน้องสาวและหนึ่งหนุ่มบอดี้การ์ดเข้ามาช่วย ส่วนพวกหม้อ ถ้วยชามถูกทยอยนำไปเก็บตั้งช่วงที่เพิ่งทานกันอิ่ม

“ไปอาบน้ำได้เลยนะ เดี๋ยวฉันแวะไปดูเจ้ากลอนก่อน”พฤทธิกรเอ่ยบอกก่อนเดินตามสองบอดี้การ์ดที่กำลังช่วยพยุงกวีวัธน์พาไปนอนที่ห้องข้าง ๆ โดยเจ้าตัวร้องบอกออกมาว่าไม่เมา แต่ดูทรงแล้วหลานชายวัยยี่สิบต้น ๆ คนนี้ก็น่าจะเมาไม่มากอย่างที่เจ้าตัวพูดบอก

อย่างไรก็ตาม พฤทธิกรได้เดินตามเข้าไปในห้องพักของบอดี้การ์ดทั้งสอง ทั้งเดินตามกวีวัธน์เข้าไปในห้องที่เจ้าตัวจะใช้เป็นที่หลับนอนคืนนี้

“แกจะนอนทั้งอย่างนี้เลยเหรอ”เขาเอ่ยทักเมื่ออีกฝ่ายเดินตรงเข้าไปหาเตียงอย่างเดียว

“เฮ้ย!!! น้าฤทธิ์ตกใจหมด”หลานชายร้องอุทานเสียงดัง เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นเขาจึงลูบอกไปพลาง

“ตกใจอะไร แล้วแกไม่รอผ้าปูที่นอนหรือไง”ประโยคหลังเขาพูดเมื่อเห็นว่าเตียงถูกผ้าขาวคลุมไว้ และก่อนหน้านี้ ธนาได้บอกว่าจะเอาผ้าปูเตียงมาให้

“รอครับ ผมจะมาดึงผ้าคลุมเตียงออก”

“แล้วมีเสื้อผ้ามาหรือเปล่า”

“มีครับ อยู่ในตู้แล้ว”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจให้พฤทธิกรหันไปมอง บอดี้การ์ดหนุ่มยื่นผ้าปูที่นอนมาให้ผ่านช่องประตูที่เปิดค้างไว้ เขารับมันมาส่งต่อให้หลานชายจากนั้นจึงได้ยินเสียงประตูปิดงับลงเบา ๆ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เรื่องปลา”

“ผมไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาจริง ๆ ครับ”กวีวัธน์รีบตอบอย่างรวดเร็ว “ที่มาวันนี้เพราะอยู่บ้านเบื่อ ๆ เลยหาเรื่องมาแกล้งเฉย ๆ”

“หาเรื่องมาแกล้ง?”

“เอ้ย! ไม่ใช่ ๆ เอาเป็นว่าผมไม่คิดเกินเลยกับน้องเขาแน่นอน น้าฤทธิ์เชื่อใจได้”

“ฮึ...แกจะคิดอะไรก็เรื่องของแก แต่อย่ามาทำอะไรรุ่มร่ามกับแฟนของฉันแล้วกัน”พฤทธิกรพูดเตือนก่อนหมุนตัวหันหลังกลับ ทว่าประโยคถัดมาที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองคนพูดอีกหน

“นึกว่าจะพูดเป็นทำนองว่า ‘ถ้าแกยอมสารภาพออกมา ฉันจะหลีกทางให้’ ซะอีก”

“จะยอมรับว่าคิดไม่ซื่อกับแฟนฉันหรือไง”

“อุย! เปล่าครับ”กวีวัธน์สั่นศีรษะพลางโบกมือระรัว น้าชายจึงพยักหน้ารับและเดินออกจากห้องไป

เมื่อกลับไปถึงห้องพักปรากฏว่าปภินวิชอาบน้ำเสร็จแล้วทั้งล้มตัวนอนไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังกลับออกมาก็ปรับความสว่างของไฟในห้องเป็นเพียงแสงสลัวและปีนขึ้นเตียง โน้มหน้ามองเด็กหนุ่มคนรักที่นอนตะแคงหันหลังให้ แล้วพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย

“ทำไมรีบนอนจัง”เขาบ่นพลางขยับตัวนั่งชันเข่าใช้ความคิดอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอีกรอบและเอื้อมมือไปปิดไฟพร้อมเอนตัวลงนอน ทว่าทันทีที่แสงไฟมืดสนิทลง ปภินวิชได้พลิกตัวกลับมาขยับเข้ามาเบียดเช่นทุกครั้ง

พฤทธิกรจึงพลิกตัวคร่อมร่างของเด็กหนุ่ม

“คุณฤทธิ์”

อีกฝ่ายเอ่ยเรียก ดวงตาที่เขามองสบประสานในความมืดนั้นใสแจ๋วไม่คล้ายคนเพิ่งตื่นหรือง่วงงุนสักนิด

“แกล้งหลับเหรอ”

“เปล่าครับ แค่นอนพักสายรอคุณเท่านั้น”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดไฟอีกครั้ง แสงสีส้มนวลค่อย ๆ สว่างเรืองขึ้น ทำให้ได้เห็นสีหน้าแปลกใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาแนบริมฝีปากลงไปกดย้ำขยับเม้มหยอกเย้าพร้อมแทรกปลายลิ้มเข้าไปคลุกเคล้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วผละออกมา

“นัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”พฤทธิกรพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายน้อยใจ

“ผมแค่เห็นว่ามันดึกแล้ว”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

เห็นนัยน์ตาเว้าวอนอ้อนขอของชายหนุ่มแล้ว ปภินวิชจำต้องพยักหน้าตอบตกลงแม้จะเตรียมใจไว้แล้วเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ความทรงจำเลวร้ายผุดแทรกเข้าในความคิดยามที่ชายหนุ่มตรงหน้าแนบริมฝีปากลงกับแอ่งชีพจรบริเวณต้นคอ เขาพยายามตั้งสติและปล่อยร่างกายไปกับสัมผัสอ่อนโยนของชายหนุ่ม เพียงแต่เขาอาจจะเกร็งมากเกินไป

“เป็นอะไรหรือเปล่า”พฤทธิกรเอ่ยถาม

“เปล่าครับ”เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ กระนั้นคนตรงหน้าก็คว้ามือของเขาไปแนบบนแผ่นอกซึ่งสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่หนักหน่วงไม่ต่างกัน

“คุณฤทธิ์ยังไม่เคยหรือครับ”

คนโดนปรามาสขมวดคิ้วฉับอ้าปากงับริมฝีปากของคนพูดราวกับจะกลืนกินเข้าไปจริง ๆ ขบขย้ำซ้ำ ๆ จนริมฝีปากคู่นั้นบวมเจ่อกว่าจะได้ฤกษ์สอดลิ้นเข้าไปกลืนกินด้านใน เรียวลิ้นของชายหนุ่มกวาดสำรวจไปทั่วเลาะเล็มเข้าพันเกี่ยวกับปลายลิ้นของปภินวิช ดูดดึงจนพอใจถึงได้ผละออก

ปภินวิชหอบหายใจ ความหวิววาบที่บริเวณท้องน้อยเพิ่มมากขึ้นจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย ชายหนุ่มคนรักจึงลุกขึ้นปลดเสื้อผ้าและกางเกงนอนให้ เมื่อเขาเปลือยเปล่าอีกฝ่ายก็ทำให้ตัวเองเปลือยเปล่าด้วยเช่นกัน ทว่าเมื่อได้เห็นร่างกายกำยำตรงหน้า เด็กหนุ่มต้องเบือนหน้าหลบสายตาด้วยความเขินอายเพราะแม้จะเคยอาบน้ำด้วยกันหลายครั้ง แต่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะเคยชิน

“เบือนหน้าหนีทำไม”พฤทธิกรโน้มหน้าเข้าไปชิดพลางรั้งคนรักให้หันกลับมา

“ใครจะหน้าไม่อายเหมือนคุณ”ปภินวิชย่นจมูก

ชายหนุ่มยกยิ้มกดจมูกบนแก้มเนียน “เรื่องปกติออกจะเมกเลิฟก็ต้องถอดเสื้อผ้าสิ”เขาพูดไปพลาง มืออีกข้างก็ลูบไล้ปลุกเร้าส่วนอ่อนไหวของเด็กหนุ่มไปพลาง “แถมคนแถวนี้ยังคิดว่าฉันไม่เคยด้วย”

“อ๊ะ... อึก... คุณฤทธิ์... เคยทำกับผู้ชาย.. อย่างนั้นหรือครับ”เสียงถามของปภินวิชกระท่อนกระแท่นเพราะอีกฝ่ายขยับมือรูดรั้งไม่หยุด ก่อนจะพักอยู่นิ่งเพื่อตอบคำถามของเขา

“ไม่เคย แต่เคยทำกับผู้หญิง”หลังพูดจบ เขาก็แนบริมฝีปากลงกับยอดอกของปภินวิช ลากลิ้นเลียสลับกับการขบเบา ๆ ด้วยฟัน คนที่ถูกกระทำกระตุกสะดุ้ง พอ ๆ ส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวที่แข็งตั้งขึ้น พฤทธิกรย้ายไปขบกัดเย้าหยอกกับตุ่มไตบนหน้าอกอีกข้างจนมันฉ่ำเยิ้มบวมแดง เขาจึงลากปลายลิ้นลงต่ำไปเรื่อย ๆ พร้อมพาตัวเองไปนั่งแทรกอยู่กลางหว่างขาของร่างซึ่งนอนอ่อนระทวยอยู่บนเตียง มองปลายยอดที่มีน้ำไหลซึมออกมาจากนั้นจึงลองแตะลิ้นลองชิมก่อนจะครอบปากลงไป

ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ทำรักด้วยปากให้กับผู้ชายด้วยกันแต่พฤทธิกรกลับไม่รู้สึกรังเกียจซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารัก แต่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายของปภินวิชมีแรงดึงดูดเรียกร้องให้เขาสัมผัส ยิ่งประกอบกับท่าทางที่มองดูคล้ายพยายามอดกลั้นกับแรงปรารถนา เขายิ่งอยากกระตุ้นเร้าให้เด็กหนุ่มหมดความอดทน

“อ๊ะ”ปภินวิชยกมือปิดปากกันเสียงน่าอาย ความวาบหวามเสียวซ่านที่ชายหนุ่มปรนเปรอให้กระหน่ำโจมตีเขาไม่หยุด มืออีกข้างของเขาขยำขยุ้มอยู่บนศีรษะของชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่า เหมือนจะห้ามปรามผลักดันให้อีกฝ่ายหยุดกระทำแต่ก็เหมือนจะเร่งเร้าให้ช่วยพาเขาไปสู่อีกปลายฝั่งของความสุขสม

ช่วงจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังมัวเมาอยู่กับความปรารถนา พฤทธิกรได้พยายามนวดคลึงปากทางเข้าด้านหลังไปด้วย ทว่ามันฝืดคับจนเขาไม่กล้ากดนิ้วลงไป เขาผละตัวออกเพื่อไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ปภินวิชซื้อมาตั้งแต่ปลายเดือนก่อน ขณะที่ปภินวิชยันตัวลุกขึ้นนั่งเพราะส่วนกลางลำตัวปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว ทว่าเมื่อเห็นส่วนที่แข็งขืนกลางลำตัวของชายคนรัก ความรู้สึกกลัวกลับปรากฏขึ้นมาเสียแทน

ชายหนุ่มหันกลับมาพร้อมกับชโลมเจลที่นิ้วมือและถึงปภินวิชจะยอมแยกขาแต่ใบหน้านั้นก็ซีดลงอย่างชัดเจน เขาจึงใช้วงแขนโอบร่างซึ่งเครียดขึงด้วยความหวั่นกลัวพลางกล่าวปลอบ

“ฉันจะค่อย ๆ ทำ ไม่ต้องกลัวนะ”

ปภินวิชสูดลมหายใจเข้าปอด พยักหน้ารับจดจ้องอยู่แต่กับใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม

พฤทธิกรแต้มเจลเข้ากับปากทางเข้าด้านนอก นวดคลึงรอเวลาให้เด็กหนุ่มคลายอาการเกร็งเครียด และเมื่อเหลือบมาเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองตน เขาจึงกดริมฝีปากลงไป

“แลบลิ้นออกมาหน่อย”

เด็กหนุ่มคนรักส่งสายตาฉงนสงสัยกลับมาให้กระนั้นกลับยอมทำตามที่บอก เขาแลบลิ้นออกไปแตะแล้วขบด้วยริมฝีปาก ใช้ช่วงเวลาที่ปภินวิชสนใจอยู่กับการจูบกดนิ้วกลางเข้าไปช่องทางด้านหลัง ช่องทางนั้นบีบรัดนิ้วของเขาไว้แน่นจนขยับไม่ได้ ทว่าเขาก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายละจากจูบและมืออีกข้างที่เคยวางอยู่บนหัวไหล่มนก็ลากลูบลงไปเคล้นคลึงอยู่ที่ยอดอก ปภินวิชโดนเล้าโลมจนยอมให้เขาขยับนิ้วมือโดยง่าย

หลังเตรียมความพร้อมให้เด็กหนุ่มอยู่ครู่ใหญ่ พฤทธิกรดันตัวร่างของปภินวิชให้นอนลง ใช้หมอนใบหนึ่งรองสะโพกของเด็กหนุ่มไว้และสวมถุงยางให้กับตัวเองชโลมเจลจนชุ่ม จับท่อนขาเรียวข้างหนึ่งของร่างที่นอนอยู่พาดกับไหล่ของตน เท้าแขนคร่อมตัวเด็กหนุ่มคนรัก

“มองหน้าฉันไว้ คนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือฉัน”

ปภินวิชแปลกใจที่พฤทธิกรราวกับรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกอย่างไร

ต่อให้ทุกวันนี้เหตุการณ์ที่เจอกับไอ้คนร้ายโรคจิตนั่นจะไม่มีผลต่อชีวิตเขาแล้ว แต่ร่างกายของเขากลับจดจำความเจ็บปวดจากการถูกกระทำได้เป็นอย่างดี และเขาได้แค่ฝืนเกร็งข่มอาการสั่นสะท้านไม่ให้แสดงออกมา

ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาจูบเขาอีกครั้ง มือข้างขวาถูกอีกฝ่ายจับประสานไว้ขณะที่รู้สึกได้ว่าช่องทางด้านหลังกำลังถูกชำแรกเข้ามา

“ไม่เป็นไรนะ”คนด้านบนพูดปลอบพร้อมดึงมืออีกข้างของปภินวิชไปวางไว้บนไหล่ “ถ้าเจ็บทนไม่ไหวก็จิกได้เลย”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับจดจ้องสบนัยน์ตาของชายคนรักอยู่ตลอดเวลา และแล้วก็ถูกดึงความสนใจให้ไปอยู่กับจุมพิตอีกครั้ง กระนั้นใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงความใหญ่โตที่แทรกเข้ามา แต่เพราะมันปะปนกันหลายความรู้สึก ทั้งหวิววาบปั่นป่วนจนแทบไม่อาจสัมผัสถึงความเจ็บปวด

พฤทธิกรลากมือเข้ากระตุ้นเร้าจุดไวสัมผัสบนร่างกายของเด็กหนุ่มสลับการขยับกายกดลึกเข้าไปในช่องทางอ่อนไหวอย่างเชื่องช้า แม้ยังไม่สามารถเข้าไปจนสุดทาง เขาก็ถอนสะโพกออกมาและกดย้ำเข้าไปอีกครั้งพลางขยับด้วยจังหวะตื้น ๆ อดทนต่อความต้องการของตัวเองที่ปรารถนาสอดแทรกเข้าไปจนสุดในช่องทางอุ่นร้อนคับแน่น

ปภินวิชรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ ร่างกายอึดอัดทรมาน เขาส่งเสียงครางเครือในลำคอชายคนรักจึงละริมฝีปาก

“คุณฤทธิ์”เขาส่งเสียงเรียก ความสุขสมซ่านเสียวแผ่กระจายจากจุดที่อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามา เขาแอ่นสะโพกตอบรับการขยับโยกตอดรัดเพื่อเร่งเร้าอีกชายหนุ่มเร่งจังหวะ

ด้วยเหตุนั้น จังหวะการร่วมรักของพวกเขาจึงร้อนแรงขึ้น พฤทธิกรกระทั้นกายเข้าหาด้วยความหนักหน่วงพาให้ปภินวิชหลุดเสียงครางอย่างไม่นึกอาย กำหนัดอารมณ์ถูกกระหน่ำเร่งไต่ขึ้นสูงก่อนทุกอย่างจะแตกพร่างพรายเป็นประกายระยิบระยับ

ชายหนุ่มร่างสูงยังสาวตัวต่อเนื่อง ช่องทางอุ่นร้อนขมิบตอดรัดจนไม่นานเขาก็ปลดปล่อยออกมา จากนั้นจึงขยับตัวซ้ำอีกสองสามครั้ง ก่อนจะถอนกายออกลุกขึ้นถอดถุงยางเดินหาถังขยะและกระดาษทิชชู ถือมันมาวางไว้ข้างเตียง

บนหน้าท้องของปภินวิชเต็มไปด้วยคราบน้ำสีขาวแต่เจ้าตัวยังหลับตาพริ้มหอบหายใจ พฤทธิกรเช็ดทำความสะอาดคราบนั้นให้ เสร็จแล้วจึงหยิบถุงยางมาแกะฉีกสวมให้ตัวเองอีกครั้ง

“ปลา”

“หือ”เจ้าของชื่อขานรับแต่ยังไม่ยอมลืมตา

“อีกรอบนะ”

“อื้อ”

ชายหนุ่มตีความว่านั่นคือคำตอบรับจึงจับร่างเด็กหนุ่มนอนคว่ำ รั้งสะโพกให้ลอยสูงก่อนจะสอดใส่เข้าไป และเพราะช่องทางเพิ่งผ่านการร่วมรักมาหมาด ๆ ครั้งนี้เขาจึงล่วงผ่านเข้าไปโดยง่าย

ปภินวิชรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นทันที “คุณฤทธิ์ ผมเหนื่อยแล้ว ง่วงด้วย”

“แต่มันเข้าไปสุดแล้วนะ”เขาเอ่ยเสียงอ้อน กอดรัดเอวคนรักไว้และขยับเบียดสะโพกไปพลาง “อีกแค่รอบเดียว... นะ”ถึงพฤทธิกรจะพูดเป็นทำนองขออนุญาตแต่กลับขยับสะโพกปลุกเร้าเขาไม่หยุดพร้อมกดจมูกขบฟันกับผิวเนื้อกระตุ้นตัณหาให้ลุกโชนอีกครั้ง เด็กหนุ่มอย่างปภินวิชจึงไม่อาจต้านทานได้


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'


เมื่อเห็นว่าคนรักไม่มีอากัปกิริยาขัดขืน ชายหนุ่มจึงเดินเครื่องเต็มที่แต่ครั้งนี้เขาค่อนข้างนิ่มนวลเชื่องช้ากว่ารอบแรก ลากจมูกดอมดมผิวกายหอมกรุ่นรัญจวนพร้อมขย้ำเบา ๆ อย่างอดใจไม่ไหว ปภินวิชได้แต่ส่งเสียงครางหอบหายใจ ยามที่โดนกระตุ้นรูดสาวส่วนอ่อนไหวด้านหน้าทั้งยังถูกกระทำจากด้านหลัง

เมื่อนิ้วมือกร้านหนาสะกิดส่วนปลายเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปถึงปลายเท้า ปภินวิชคิดว่าอีกไม่ช้าไม่นานตนเองคงต้องปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ทว่าขณะที่คิดอย่างนั้นชายหนุ่มคนรักกลับถอนกายออก เขาโดนพลิกตัวให้นอนหงายทั้งที่ยังมึนงง สองมือของเขาถูกจับรวบไว้เหนือศีรษะพร้อมกับที่คนด้านบนโน้มตัวละเลงลิ้นลงบนแผ่นอกของเขา

เขารับรู้ได้ว่าช่องทางด้านหลังและส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวปรารถนาการเติมเต็มจากชายหนุ่มจึงเอ่ยเรียกออกไปพลางขยับตัวเสียดสี

“คุณฤทธิ์”

กระนั้นชายหนุ่มกลับไม่มีทีท่าสนใจ คงแต่ขบกัดอยู่แถวบริเวณหน้าอก ถึงมันจะทำให้เขารู้สึกดีเช่นกันแต่มันยังคงไม่เพียงพอ

“คุณฤทธิ์”เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกซ้ำด้วยน้ำเสียงวิงวอนร้องขอ

“รู้แล้วครับ”พฤทธิกรตอบรับด้วยรอยยิ้มทะเล้น  ยันตัวลุกขึ้นนั่งจรดปลายหัวของท่อนเอ็นที่แข็งเป็นลำเข้ากับช่องทางที่กระตุกถี่เรียกร้อง จากนั้นจึงเหยียดสะโพกเดินหน้าพลางดันต้นขาเรียวของคนรักไปแนบกับแผ่นอกเพื่อขยายช่องทางนั้นให้มากขึ้นกระทั่งหน้าท้องของเขาเบียดเข้าชิดแนบสนิท พฤทธิกรจึงปล่อยให้ต้นขาของปภินวิชพาดคร่อมต้นขาของตนไว้

เขาถอนกายจนเกือบสุดความยาวจากนั้นสวนกายเข้าหาจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน ร่างกายของปภินวิชจึงขยับไหวไปตามแรงกระทำนั้น ขณะที่กระแทกกระทั้นกายด้วยจังหวะเนิบนาบหนักหน่วง พฤทธิกรได้รั้งต้นขาเรียวขึ้นมาไล้เลียด้วยปลายลิ้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งบีบรัดช่องทางนุ่มอย่างไม่รู้ตัว

แม้ว่าสมองจะพร่ามัวเพราะม่านหมอกแห่งราคะกามารมณ์ กระนั้นปภินวิชกลับนึกรู้ขึ้นมาว่า รอบที่สองซึ่งชายคนรักร้องขอคงอีกยาวนานกว่าจะจบลง




พฤทธิกรหยุดที่สองรอบตามที่เอ่ยปากบอกคนรักไว้ แต่กว่าที่พวกเขาจะได้นอนก็ใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จวนเจียนโผล่พ้นขอบฟ้าเต็มทน ชายหนุ่มกดข้อความส่งหาบอดี้การ์ดให้จัดการเรื่องอาหารเช้าและมาคอยกันท่าไม่ให้ปวันรัตน์มาเคาะประตูรบกวน จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนข้างเด็กหนุ่มคนรักที่หลับสนิทไปก่อนหน้า เนื้อตัวและผ้าปูเตียงยังเหนียวเหนอะหนะทว่าความอิ่มเอมในการร่วมอภิรมย์กับเด็กหนุ่มคนรักกลับทำให้เขาดิ่งสู่นิทราได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเตือนของโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นครืด ๆ ไม่หยุด เขาเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาดูหน้าจอเห็นเป็นชื่อมารดาปรากฏอยู่บนนั้น เหลือบมองดูเวลาก่อนกดรับสาย

“ฮัลโหลครับ”ถึงจะเก้าโมงแล้วแต่พฤทธิกรก็ยังอยากนอนต่อ จึงได้แต่วางโทรศัพท์แนบหูและหลับตาลงเช่นเดิม

“เมื่อไหร่จะกลับบ้านฮึ”

“บ่าย ๆ ได้ไหมครับ”

“ทำไมต้องบ่าย ๆ นาน ๆ จะกลับบ้านมาอยู่กับพ่อกับแม่ซะที ยังตะลอนออกไปเที่ยวไม่หยุด ไม่อยากอยู่กับแม่ขนาดนั้นเชียว”

“ไปกันใหญ่แล้วครับ”พฤทธิกรไม่อยากหาข้ออ้างพูดแก้ตัวอย่างเด็ก ๆ เขาจึงบอกออกไปว่า “เดี๋ยวผมกลับไปทานข้าวเที่ยงด้วยแล้วกันนะครับ”จากนั้นจึงกดตัดสายไปทันที ปิดเสียงเตือนและวางโทรศัพท์คว่ำหน้าลงกับหลังตู้หัวเตียง ลุกขึ้นสวมกางเกง เดินไปเปิดน้ำอุ่นลงอ่างระหว่างนั้นก็แปรงฟันไปพลาง กลับออกมาด้านนอกเมื่อน้ำเริ่มใกล้เต็มเพื่อปลุกปภินวิช

“ตื่นก่อน ไปอาบน้ำล้างตัวกัน”

ปภินวิชซึ่งนอนคว่ำตะแคงหน้าแนบแก้มอยู่กับหมอนใต้ผ้าห่มผืนหนาปรือตาง่วงงุนขึ้นมอง พลิกตัวชูแขนเรียกให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัวช่วยฉุดดึง ลุกขึ้นนั่งได้ก็พาดคางไว้กับไหล่หนาพร้อมบ่นอุบ

“ระบมไปหมดเลย”

พฤทธิกรจึงลูบหลังลูบไหล่นวดสะโพกไปพลาง “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่ครับ”ปภินวิชตอบ เพราะมันแค่หน่วงปวดเมื่อยขัดยอก “แต่ครั้งหน้าทำแค่รอบเดียวพอ”

“ถ้ารอบเดียวงั้นทำทุกวัน”

พอได้ยินอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ผละตัวออกห่าง ขมวดคิ้วหน้าหงิกมองหน้าคนพูดอย่างไม่พอใจ พฤทธิกรยกยิ้ม “จะได้ชิน”คนฟังจึงยิ่งย่นจมูก

“ไปอาบน้ำกันก่อนเดี๋ยวฉันต้องกลับบ้านแล้ว”

“รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเมียน้อยยังไงก็ไม่รู้”ปภินวิชพูดขณะเกี่ยวแขนคล้องคอพร้อมเกี่ยวขาเข้าเอวชายหนุ่ม ปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เขาโดนปล่อยให้ลงไปยืนในอ่างน้ำที่มีน้ำอุ่นร้อนอยู่เกือบเต็ม เมื่อทรุดตัวนั่งลงแช่พฤทธิกรก็ก้าวเท้าตามลงมา และโดนดึงไปนั่งซ้อนบนตักกว้างโดยมีชายหนุ่มคอยบีบนวดให้

เห็นชายหนุ่มเงียบไปไม่ตอบคำ ปภินวิชจึงพูดอีกว่า “ผมแค่ล้อเล่นนะ พูดแซวขำ ๆ”

“อืมฉันรู้ เดี๋ยวหลังเปิดงานคุณแม่ของฉันก็คงไม่มีข้ออ้างแล้วล่ะ”

“คุณฤทธิ์กลับไปอยู่บ้านบ้างก็ได้ คุณแม่คุณอาจจะเหงา ถึงอย่างไรผมก็ได้เจอคุณอาทิตย์ละห้าวันอยู่แล้ว”

“ฉันต้องทำงานวันเสาร์ด้วย อย่าลืมสิ”

“งั้นเราก็ได้อยู่ด้วยกันห้าวันครึ่ง เยอะกว่าคุณแม่ของคุณตั้งเยอะ”คนพูดเอี้ยวคอกลับมาส่งรอยยิ้มกว้าง

พฤทธิกรได้ฟังแล้วรู้สึกเต็มตื้นในอก เพราะต่อให้ระหว่างคนรักกับครอบครัวมีปัญหากันจนเขาจำต้องตัดสินใจเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาอาจจะเลือกคนรักอย่างที่เคยบอกกับปภินวิชแต่เขาก็คงไม่อาจตัดขาดจากบุพการีได้จริง ๆ อย่างที่ปากพูด หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเขาได้คบหากันอย่างมีเงื่อนไข พฤทธิกรก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนรักรังเกียจรังงอนมีอคติกับมารดา เพราะถึงอย่างไร มารดาก็เป็นผู้เลี้ยงดูหล่อหลอมเขามา การที่คนรักปฏิเสธครอบครัวบุพการีของเขา มันก็คล้ายว่าคู่ชีวิตปฏิเสธตัวตนส่วนหนึ่งของเขาด้วยเช่นกัน

เขาถึงดีใจที่ไม่ว่าปภินวิชจะโดนว่ากล่าวดูถูกจนทำให้โกรธเคืองเสียใจแค่ไหน ส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดอยากให้เขาเลิกติดต่อกับครอบครัวจริง ๆ

“ขอบคุณนะ ที่ไม่โกรธคุณแม่ของฉัน”ชายหนุ่มสอดแขนกอดรัดคนรักจากทางด้านหลัง ปภินวิชจึงยกยิ้มบางแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตามพร้อมบอกตอบกลับ “ท่านไม่ทำอะไรผิด ท่านแค่ห่วงคุณเท่านั้นเอง”

พฤทธิกรหลับตาค่อย ๆ ซึมซับความรักความอบอุ่นจากคนรักผู้มีอายุน้อยกว่าเข้าสู่หัวใจ


-จบบทพิเศษ-



*//ที่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนจบเพราะเราอยากเขียนเรื่องหลักแบบใสๆ อิอิ
ส่วนเรื่องลูกอีกเดี๋ยวน้าฤทธิ์ก็ไปทำแล้ว กว่าน้องจะคลอดก็ปีถัดไป//*



ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม่ โทร ตามจิกลูกชายวัยสี่สิบ ยังกับลูกยังวัยรุ่น  o22 o22 o22
หวงลูกชายขนาดหนักจริงๆ

คุณฤทธิ์ ปลา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ฟิทเจอริ่งกันเรียบร้อยแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ JanLec

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รู้สึกว่าบางฉากบางตอนสมควรจะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ปลาโดนหลอกโดนว่าแรงๆอยู่หลายครั้ง และก็เจอเรื่องแย่ๆมาตลอดไหนจะเรื่องน้องยังมาเจอคนที่โกหกเอารัดเอาเปรียบ ปริ้นปร้อนตอแหลอย่างกลอนอีก แต่เป็นว่าก็โดนหายโกรธง่ายๆ หรือเปลี่ยนเป็นว่าปลารู้สึกหัวร้อนแทนที่จะรู้สึกจะร้องไห้แทน เราอ่านเรายังร้องเลย คนอะไรนิสัยห่วยแตกสิ้นดี ุเรศ นี่ว่าจะไม่พิมพ์ละนะ แต่เหมือนนิสัยนี่จะอยู่จนจบเรื่องเลยรึป่าวคะ จะได้เลิกอ่าน ถ้าเน้นไปที่ คุณพฤษกับน้องปลา นี่เราจะโอเคมากค่ะ รำคาญกลอน รำคาญตัวปัญหาค่ะ ดูเหมือนนักเขียนจะชอบตัวละครตัวนี่มากมองว่ามันน่าเอ็นดูรึยังไง?  เรามองว่าห่วยค่ะนิสัยแย่ 
พล็อตเรื่องดีนะคะ ถ้าจะเน้นไปที่พระเอกเลี้ยงเด็กเลยก็ดีค่ะ น่าตื่นเต้นดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด