อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6  (อ่าน 29381 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
10


“ว้าว สวยจัง”ปวันรัตน์ร้องอุทานออกมาทันทีที่เปิดประตูเข้าไปและมองเห็นการตกแต่งภายในห้อง เธอพยายามจะเดินสำรวจให้ทั่วแต่คนเป็นพี่ชายรู้สึกอับอายกับอาการลิงโลดออกนอกหน้าของน้องสาวจนต้องรั้งข้อศอกไว้

คุณหมอเจ้าของไข้อนุญาตให้ปวันรัตน์กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว แต่หลังจากนี้เธอยังต้องไปโรงพยาบาลตามกำหนดนัดเพื่อรับยาเคมีบำบัดเนื่องจากก้อนเนื้อที่ถูกตัดออกไปนั้นเป็นเนื้อร้าย ช่วงเช้าพฤทธิกรจึงโดดงานตั้งแต่สิบโมงเพื่อพาปภินวิชเดินทางไปรับน้องสาว

“ไม่ใช่บ้านเรานะ เกรงใจคุณฤทธิ์หน่อย”เด็กหนุ่มกระซิบบอกเสียงเบา

“แหม...พี่ปลาคอนโดสวยขนาดนี้มันก็ต้องตื่นเต้นกันบ้างสิคะ”เด็กสาวกระซิบตอบกลับไปด้วยระดับความดังเสียงที่ไม่ต่างกันนัก

ปภินวิชไม่แปลกใจที่น้องสาวจะตื่นเต้นกับคอนโดของนายท่าน เพราะบ้านของพวกเขาสองพี่น้องเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้นหลังเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่หน้าบ้านอยู่ไม่กี่ตารางวา ห้องนอนของเขาแคบกว่าห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนของพฤทธิกรเสียอีก แต่การมาเดินสำรวจบ้านของคนอื่นทั้งที่เจ้าของไม่ได้เอ่ยอนุญาต มันดูเป็นการเสียมารยาทเกินไปสักหน่อยในความคิดของเด็กหนุ่ม

“ลองเดินดูก็ได้ ตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่เคยเห็นเธอเดินออกไปดูสวนสักครั้ง”พฤทธิกรเอ่ยบอกอย่างเต็มใจ และประโยคหลังเขาก็เจาะจงพูดกับปภินวิช ก่อนจะช่วยประคองจับจูงเด็กสาวให้เดินสำรวจทั่วถ้วน

สวนที่ระเบียงห้องไม่ได้ลงไม้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นไม้พุ่มและไม้ขนาดกลางเพื่อเสริมจุดเด่นให้สระว่ายน้ำ และมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็น ระเบียงห้องของชายหนุ่มหันไปทางทิศตะวันออก พอบ่ายแก่ ๆ หน่อยก็มีร่มเงาอาคารมาช่วยบังแดด แต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเป็นช่วงเที่ยง แดดจึงแรงจนต้องหยีตา

“สระว่ายน้ำ”ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาของเด็กสาวแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างชัดเจน อันที่จริงเธอเดินได้คล่อง ทั้งสีหน้าท่าทางก็ดูแข็งแรง จะมีส่วนที่บ่งบอกว่าเธอเพิ่งหายจากอาการป่วยคงเป็นศีรษะที่ยังไร้เส้นผมซึ่งมีหมวกไหมพรมสีแดงมีหูกระต่ายสวมคลุมไว้ หมวกใบนี้พี่ชายของเธอเป็นคนซื้อให้

เด็กสาวหันมาส่งสายตาเป็นประกายให้เขา “ลงไปว่ายได้ไหมคะ” ซึ่งพฤทธิกรยินดีตอบรับทุกคำขอเพื่อเป็นการเอาใจ

“ได้อยู่แล้ว แต่รอให้แข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า”เขาจำต้องต่อคำพูดในประโยคหลังเพราะเห็นพี่ชายของเด็กสาวมองเขาตาเขียว

“กลับเข้าข้างในก่อนดีกว่า กินข้าวแล้วพักสักหน่อยแล้วเย็นนี้เราสามคนออกมานั่งทานอาหารที่ระเบียงกัน”พฤทธิกรเอ่ยชวนพลางบังคับด้วยการรุนไหล่ให้ปวันรัตน์เดินนำหน้า

ในช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มใช้เวลาที่เขาและปภินวิชได้อยู่ด้วยกันพยายามสร้างความผูกพันของพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาเข้านอนด้วยกัน ตื่นเช้ามาเจอกัน ไปทำงานด้วยกัน และตกเย็นเขาก็พาเด็กหนุ่มไปเยี่ยมน้องสาวที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มเชื่อว่าได้เห็นหน้ากันตลอดเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้ไม่เดียงสาต่อเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ ย่อมต้องมีใจโอนเอียงมาทางเขาบ้าง อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายก็ยังออกอาการหน้าแดงเบือนหน้าหลบยามที่เขาส่งสายตาให้

เขาสั่งอาหารเที่ยงมาพร้อมเพราะคิดว่าทานอาหารที่คอนโดน่าจะสะดวกกว่าไปนั่งในร้านข้างนอก

ปภินวิชเป็นคนจัดเตรียมอาหารใส่จานอย่างรู้หน้าที่และเอ่ยปากบอกน้องสาวที่กำลังเดินเข้ามาช่วยให้นั่งรออยู่เฉย ๆ  อาหารเที่ยงมื้อนั้นเน้นไปที่ปลาและผักซึ่งถูกปรุงรสอ่อนเกือบทั้งหมด

“พวกพี่สองคนจะกินได้ไหมคะ ที่จริงกับข้าวของหนูแค่อย่างเดียวก็พอแล้ว”ปวันรัตน์พูดบอก อาหารหน้าตาจืดชืดจนกังวลว่าคนอื่นจะต้องฝืนใจทานเพราะเธอ

“ทำไมจะกินไม่ได้”พฤทธิกรเห็นพี่ชายของเด็กสาวยังนั่งเงียบเขาจึงกล่าวออกไปเช่นนั้นพลางให้ช้อนตักกับข้าวใส่จานของเธอ แล้วตักอีกช้อนใส่จานของปภินวิช “กินอาหารรสจัดมาก ๆ ก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะ แล้วอีกอย่างกับข้าวร้านนี้อร่อยมาก ลองชิมดูก่อน”

เห็นเจ้าบ้านนั่งรอเหมือนให้พวกเขาได้เริ่มลงมือทานก่อน เด็กหนุ่มจึงตักกับข้าวใส่จานของชายหนุ่มแล้วพูดคะยั้นคะยอบ้าง“คุณฤทธิ์เองก็ทานด้วยสิครับ”

“ได้ ๆ”พฤทธิกรตอบรับแล้วตักอาหารใส่ปาก จากนั้นจึงส่งเสียงในลำคอพลางพยักพเยิดให้ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนได้ลงมือทานอาหาร ระหว่างทานสองพี่น้องก็ส่งเสียงคุยเรื่องกับข้าว เรื่องโน้นเรื่องนี้ไปด้วย พาให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องฟังเพลิน ซ้ำปวันรัตน์ยังถามถึงเมนูอาหารมื้อเย็น

“อยากกินปิ้งย่างหรือไม่ก็สุกี้อะ”

“ปุ้ยยังไม่หายดี งดไปก่อนไม่ดีเหรอ”พี่ชายเอ่ยขัดขึ้นมาทันควัน

“นั่งกินลมชมวิวแบบนั้นมันควรเป็นสองอย่างนี้สิคะ”

“ก็เอาไว้ให้หายดีก่อนไง”พูดจบเด็กหนุ่มพลันชะงักเพราะดันเผลอตัวพูดจาทำราวกับว่าคอนโดห้องนี้เป็นของตัวเอง เขาเหลือบมองเจ้าของห้องที่นั่งฟังเงียบ ๆ และยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พฤทธิกรเห็นสายตาของเขาจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่กระนั้นเด็กหนุ่มกลับเบือนสายตากลับมามองหน้าน้องสาวดังเดิม

“ก็นั่นแหละ อย่าเพิ่งกินของแบบนั้นเลย”ปภินวิชเอ่ยย้ำ

“แล้วจะได้กินไอศกรีมไหมอะ”เด็กสาวถามเสียงอ่อย

“ได้สิ”พฤทธิกรชิงตอบออกไปเสียก่อน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะพาเด็กหนุ่มคนที่แอบชอบไปเดตแม้จะเป็นการเดตแบบสามคนก็เถอะ“เอาไว้วันอาทิตย์นี้ไปทานไอศกรีมกันและดูหนังกันสักเรื่อง”

ปวันรัตน์ปรบมือด้วยสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที แต่คนเป็นพี่ชายตวัดสายตาเขียวขุ่นมองเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มยกยิ้มรับซ้ำยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเด็กหนุ่มจ้องเขาเขม็ง

หลังทานอาหารเสร็จพวกเขาเคลื่อนย้ายไปจับจองที่นั่งกันที่ชุดโซฟาหน้าทีวี เด็กสาวบอกอยากดูทีวีเพราะติดละครช่วงบ่ายมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นละครรีรันแต่เธอก็นั่งดูตาแป๋ว ฝ่ายพี่ชายเขาได้ยินเสียงทำอะไรก๊อก ๆ แก็ก  ๆ อยู่ในครัว จึงใช้ช่วงที่ปวันรัตน์สนใจแต่ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์เดินเข้าไปดู

ปภินวิชกำลังปอกแอปเปิลกับสาลี่ใส่จาน

“น่ารักจังมาปอกผลไม้ให้กินด้วย”

คนฟังย่นคิ้วทันที “ผมปอกให้ปุ้ย ไม่ได้ปอกให้นายท่านเสียหน่อย” ทว่าประโยคถัดไปของชายหนุ่มยิ่งทำให้ปภินวิชหน้าหงิก

“อะไรกัน จะใจร้ายขนาดไม่ให้เจ้าของห้องกินด้วยเชียวเหรอ”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำแต่หน้างอคล้ายฉุนเคืองขณะที่มือทำงานไม่หยุด

“โกรธอะไรหรือ”ชายหนุ่มร่างสูงถามเสียงเบา ขยับเข้าไปใกล้จนปภินวิชชะงักถอยห่างพลันตอบปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็ว

“หึงหรือไง”พฤทธิกรเห็นได้โอกาสจึงเอ่ยปากถาม ยามที่เขาเอาใจน้องสาวของเจ้าตัวทีไร เด็กหนุ่มต้องขึงตาใส่เขาทุกที

“ห...หึง”ปภินวิชเหลือบมองคนพูดแค่ชั่วแว็บและรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว เหมือนว่ามือกำลังสั่นจนต้องยอมถือมีดไว้เฉย ๆ “หึงอะไรกันครับ”

“หึงที่ฉันคอยเอาใจน้องปุ้ย”

เด็กหนุ่มย่นจมูกกับคำที่พฤทธิกรเรียกขานเด็กสาวว่า ‘น้องปุ้ย’ เสียเต็มปากเต็มคำ ลอบสูดลมหายใจเข้าเพื่อคุมจิตใจให้สงบ มัวแต่ก้มหน้าก้มตามองมือจนไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เห็นแม้กระทั่งมือเรียวบางนั้นอยู่ไม่สุขทั้งที่กำลังถือของอันตราย ขยับสับคมมีดลงบนเปลือกผลไม้ที่ปอกกองทิ้งไว้ ชายหนุ่มยกยิ้มเอื้อมมือไปรั้งการกระทำที่ดูน่าหวาดเสียว คลายมืออีกฝ่ายและดึงของมีคมออก จากนั้นจึงจัดการงานที่เหลือเสียแทน

“พ...พูดถึงเรื่องเอาใจปุ้ย”ปภินวิชพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น “อย่าตามใจน้องสาวผมนักเลยครับ”

“น้องสาวเธอเพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาล แค่ตามใจนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”

ปภินวิชยังขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจกับคำตอบนั้น ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอ้าม กลับเห็นผลไม้ชิ้นสีขาวมาจ่ออยู่ตรงหน้า เขาเบี่ยงศีรษะเอนหลบไปด้านหลังกำลังจะกล่าวคำต่อว่า ผลไม้ชิ้นนั้นกลับถูกส่งดันให้ปิดกั้นการพูดจาตามด้วยใบหน้าคมเข้มที่โน้มเข้ามากัดงับปลายชิ้นสาลี่ที่โผล่พ้นเรียวปาก ทำให้ริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วผิว

“อืม หวานอร่อยดี”พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ยกจานผลไม้ออกไป

ปภินวิชหน้าร้อนฉ่า ยกมือขึ้นแตะสัมผัสริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวพลางขยับเคี้ยวสาลี่เนื้อฉ่ำ “ส...สาลี่หวานจริงๆด้วย นายท่านเขาหมายถึงสาลี่”เด็กหนุ่มพยายามพร่ำบอกตัวเอง และต้องบอกตัวเองซ้ำอีกหลายนาทีกว่าหัวใจที่เต้นโครมครามจะสงบลง



พฤทธิกรใช้เวลาในวันนั้นหมดไปกับการดูทีวีและนั่งเล่นนั่งคุยกับน้องสาวของปภินวิช ผู้เป็นพี่ชายก็ร่วมวงอยู่ด้วยแต่เมื่อเทียบกับเด็กสาวแล้ว ปวันรัตน์คุยเก่งกว่ามาก เพราะถึงขนาดนั่งดูละครยังหันมาชวนคนรอบข้างคุยเกี่ยวกับเนื้อหาละครที่ดู

“พรุ่งนี้ไปดูหนังในโรงจะชวนคุยแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย”ชายหนุ่มถามเป็นเชิงเอ่ยแซว

“เห็นแบบนี้แต่ปุ้ยเป็นคนมีมารยาทนะ ในโรงหนังปุ้ยไม่กล้าคุยหรอก อีกอย่างไม่เคยดูมาก่อนก็ต้องตั้งใจดูสิคะ มัวแต่คุยเสียดายค่าบัตรตายเลย”

“นั่นนะสิ ไปดูหนังในโรงเปลืองจะตาย นั่งดูทีวีอยู่บ้านดีกว่านะ”

เด็กสาวออกอาการหน้างอทันที พฤทธิกรยกยิ้มกว้างหลุดหัวเราะเสียงเบาเพราะยามที่สองพี่น้องเกิดรู้สึกขัดใจทำหน้างอคอหักดูคล้ายกันมากทีเดียว

“ปุ้ยออกค่าตั๋วให้ก็ได้ แต่พี่ปลาเคยบอกไว้ว่าจะเลี้ยงไอศกรีมหนูนะ”เธอทวงถามคำที่พี่ชายเคยรับปากไว้ ทว่าสองพี่น้องยังไม่ทันตกลงอะไรกันได้ ชายหนุ่มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเลี้ยงทั้งไอศกรีมทั้งหนังเลย”

“คุณฤทธิ์ใจดีจังค่ะ”เด็กสาวยิ้มหวานส่งมาให้

“เรียกคุณฤทธิ์ฟังดูห่างเหินจังเลย”

ปวันรัตน์เลิกคิ้วเอียงคอมองด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงหันหน้ามองพี่ชายก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มเจ้าของประโยคนั้นอีกที

“ปุ้ยเรียกตามพี่ปลาค่ะ คุณฤทธิ์เป็นเจ้านายพี่ปลา เรียกแบบนี้... ไม่ถูกหรือคะ”

“อืม แต่ฉันไม่ได้เป็นเจ้านายเธอนี่”พฤทธิกรยกนิ้วชี้บอก คนเป็นพี่ชายฟังคำโต้ตอบสนทนาแล้วเอะใจ แต่เฉลียวคิดในทางที่ไม่ดีเสียมากกว่า

“เรียกฉันว่าน้าฤทธิ์ตามที่กลอนเรียกแล้วกัน”

ปวันรัตน์รู้จักหลานชายของพฤทธิกรเพราะกวีวัธน์เคยตามไปเยี่ยมเด็กสาวอยู่บ่อย ๆ แถมยังคุยกันถูกคอชนิดที่ไม่เรียกไม่เลิกคุยด้วยซ้ำ

“จะดีหรือคะ”เด็กสาวยังมีทีท่าเกรงใจ เขาจึงย้ำว่าดีแล้วอีกครั้งพลางคิดว่าไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้ว เพราะเขายังไม่อยากแก่ถึงขนาดโดนเรียกว่า ‘ลุง’ จะให้เรียกว่า ‘พี่’ ก็กลัวว่าจะโดนหลานชายที่อายุมากกว่าเด็กสาวล้อเลียน ส่วนคำที่เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายเรียกขานเขาปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป พฤทธิกรคิดว่ามันก็ให้ความรู้สึกที่ดี ยามที่อยู่กันตามลำพังสองคน และอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ เป็นคำที่ฟังดูแล้วจั๊กจี้ดี นานเข้าจึงให้ความรู้สึกเหมือนคำเรียกแปลกๆเฉพาะคนพิเศษแบบที่วัยรุ่นนิยมกัน แม้ความจริงการที่ปภินวิชหยิบยกคำนั้นมาใช้จะประสมรวมอารมณ์ประชดประชันอยู่เล็กน้อยก็ตาม

“ไปนอนได้แล้ว”ปภินวิชตัดบทเสียงแข็งด้วยใบหน้าบึ้งตึง และเหมือนเจ้าตัวจะจับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน จึงพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้จะได้สดชื่น จะไปดูหนังกันไม่ใช่หรือ”

เด็กหนุ่มช่วยจับพยุงตัวน้องสาวให้ลุกขึ้น

“ไปนอนแล้วนะคะน้าฤทธิ์ ฝันดีค่ะ”

“ฝันดีเช่นกันครับ”พอเขาตอบรับด้วยคำนั้น พี่ชายของเด็กสาวกลับตวัดสายตาเขม่นมองเขา พฤทธิกรยังยกยิ้มระรื่นเช่นเดิม เห็นสองพี่น้องเดินพ้นประตูห้องไปแล้วเขาจึงกดรีโมตปิดโทรทัศน์และลุกขึ้นปิดไฟ เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองได้แค่พักเดียว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเขาตอบรับ เจ้าของเสียงเคาะประตูจึงเปิดประตูเดินเข้ามาก่อนปิดมันลงเสียงเบา

“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับนายท่าน”เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องพยักหน้ารับ เขานั่งอยู่บนเตียงดึงผ้าห่มมาไว้บนตัก พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนทุกเมื่อ

หลังจากพ้นคืนที่จงใจแกล้งผู้ร่วมอาศัยที่อยู่ในฐานะพ่อบ้าน คืนต่อ ๆ มาเขาได้กลับมาสวมใส่ชุดนอนตามเดิม

สำหรับค่ำคืนนี้ เนื่องจากปวันรัตน์ได้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว ชายหนุ่มอยากพี่ชายน้องสาวได้อยู่ด้วยกัน จึงไม่ได้เรียกให้ปภินวิชมานอนด้วย กระนั้นเจ้าตัวกลับมาหาเขาถึงที่ พฤทธิกรนึกเข้าข้างตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

“นายท่านคิดอะไรกับปุ้ยหรือเปล่าครับ”ปภินวิชพูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีความลังเล

“หือ”เขาส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่เข้าใจกับคำถาม

“ก็คุณ...”เด็กหนุ่มชะงักอึกอักเนื่องด้วยนึกคำพูดที่ฟังดูไม่รุนแรงก้าวร้าวไม่ออก อย่างไรเสียเขายังมีสำนึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าช่วยเหลือเจือจุนพวกเขาสองพี่น้องมาโดยตลอด “น้องสาวผมยังเด็ก อายุห่างจากนายท่านตั้งหลายสิบปี เธอไม่เหมาะสมกับคุณหรอก”

“อ๊ะ”พฤทธิกรเข้าใจขึ้นมาในทันใด เขาเบือนหน้าหลบนัยน์ตาที่จ้องเขม็งพร้อมหลุดเสียงหัวเราะ อีกใจหนึ่งก็นึกอ่อนใจ จากนั้นจึงหันกลับมาและกวักมือเรียกให้คนที่ยังจังก้าเข้ามาใกล้

ปภินวิชมีสีหน้าคลางแคลงกังขาแต่เมื่อชายหนุ่มส่งเสียงเอ่ยเรียกซ้ำจึงจำต้องเดินเข้าไปหา อีกฝ่ายยังตบที่ว่างบนเตียงปุ ๆ ให้รู้ว่าต้องทรุดตัวลงนั่ง กระนั้นยังไม่ทันจะขยับตัวให้ดีร่างกายกลับโดนตวัดรัดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มเสียแล้ว

“นายท่าน!!!”ฝ่ายที่เสียท่าร้องห้ามปรามพลางดันตัวออกห่าง เพียงแต่ถ้าแรงกำลังของเด็กหนุ่มจะต่อกรอีกฝ่ายได้ เขาคงไม่โดนรวบกอดง่ายดายเช่นนี้มาหลายครั้งหลายครา

“ได้ทั้งพี่ทั้งน้องเขาเรียกพระยาเทครัวนี่เนอะ”

“เอ๊ะ!”ปภินวิชชะงักนิ่ง แววตาไหววูบก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองฉุนโกรธ จากนั้นจึงมโนเออเองเอาว่าที่ชายหนุ่มมาคอยสนับสนุนช่วยเหลือเพราะมีความคิดสกปรกแบบนี้นี่เอง

“ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการแน่นอน”

“อืม แล้วเธอจะทำอะไรได้”พูดพลางจรดจมูกเข้าหาใบหน้าที่พยายามเบือนหนี ผิวกายหอมกรุ่นเรียกร้องให้เขาสูดลมหายใจเข้าปอด พฤทธิกรเหลือบตามองปลายจมูกแดงเรื่อและแววตาคลอน้ำ

“ฉันชอบเธอ”

หัวใจของปภินวิชกระตุกวูบหันมองใบหน้าของคนพูดด้วยความตกใจ ด้วยระยะห่างเพียงแค่นั้นมันใกล้เสียจนเห็นแววตาที่สะท้อนภาพเงาของตัวเอง ปลายจมูกที่สัมผัสกันพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนที่คอยเป่ารดริมฝีปาก กระตุ้นเร้าความวาบหวามและฉุดดึงสัมผัสผิวเผินยามที่ริมฝีปากใกล้แนบชิดกันเมื่อกลางวันให้หวนย้อนกลับมาอีกครั้ง

เด็กหนุ่มรู้สึกเก้อเขินทั้งยังเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีไปก่อนเช่นทุกคราว ความคิดวุ่นวายสับสนจนลืมเลือนความโกรธเคืองที่เคยมี เขาเม้มริมฝีปากโดยแรง คาดหวังว่าความเจ็บจากการรั้งสติด้วยวิธีนี้จะขจัดความกระดากอายให้ความคิดพร่ามัวและความร้อนผ่าวบนใบหน้าจางหายไป

“อยากจูบหรือ”

“เปล่าสักหน่อย”ปภินวิชตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด

“แต่คิดว่าถ้าได้จูบจริงๆก็คงดี”

เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดตาขวาง พอเห็นประกายแววตาก็หันหน้าหนีพลางบ่นพึมพำว่า “ทำไมกลับกลายเป็นพูดเรื่องพรรค์นี้ได้ ผมไม่ชอบให้นายท่านมาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่น้องสาวของผมนะครับ”ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับคู่สนทนาที่ยังรวบกอดเขาไว้แน่นด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง

“อืม รับทราบ”

แต่ปภินวิชกลับเห็นว่าคนพูดรับปากแบบขอไปที “ผมจริงจังนะครับ”เขาย้ำ

“อืม รู้แล้ว”พฤทธิกรจึงย้ำด้วยความจริงจังด้วยเช่นกัน “ฉันชอบเธอ กับน้องสาวของเธอก็แค่เอ็นดู”

เด็กหนุ่มพยายามเมินผ่านคำว่า ‘ชอบ’ ที่อีกฝ่ายพูดมา แม้มันจะทำให้หัวใจของเขาเต้นโลดรุนแรงอีกครั้ง “แค่เอ็นดูนี่ เอ็นดูแบบไหนครับ”

พฤทธิกรพ่นลมหายใจกับคำถามที่คล้ายจะรวนหาเรื่อง เขากลอกตาราวกับพยายามคิดหาคำตอบแต่กลับตัดบทไปว่า “ง่วงแล้ว นอนกันเถอะ” พลางใช้วงแขนข้างเดียวเกี่ยวเอวของปภินวิชไว้ แล้วใช้อีกมือดึงผ้าห่มพร้อมรั้งร่างคนที่ยังอยู่ในวงแขนให้ล้มตัวนอนบนเตียง จากนั้นจึงเบี่ยงตัวหยิบรีโมตเพื่อปิดไฟ

“ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะครับ”

“ขี้เกียจนั่ง นอนคุยดีกว่า”พูดพลางขยับโอบดึงร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มเข้ามาชิด

“กอดแน่นไปแล้ว ผมหายใจไม่ออก”ปภินวิชร้องโวยวาย เขาผละตัวออกห่างเมื่อชายหนุ่มยอมคลายแรงกอดรัด ยกศีรษะขึ้นพร้อมยกท่อนแขนของอีกฝ่ายซึ่งวางรองอยู่ด้านล่างออก

“เดี๋ยวก็เหน็บกินหรอก”แล้วทิ้งศีรษะลงบนหมอน พฤทธิกรขยับเข้าหาวางมืออีกข้างไว้บนบั้นเอวของเด็กหนุ่ม กลายเป็นว่าหลังจากจัดตำแหน่งที่นอนกันได้ ทั้งห้องกลับตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังไม่หลับตาแต่รอจนกระทั่งสายตาชินกับความมืดและเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุคคลซึ่งนอนอยู่ด้วยกันชัดเจนขึ้น

ปภินวิชขยับศีรษะอีกครั้งเมื่อเห็นแววตาที่ทอดมองมา เขาซุกศีรษะเข้ากับซอกคอของอีกฝ่ายและหลับตาลง ไม่นึกอยากคุยอะไรอีกแล้ว เพราะใบหน้าของเขาร้อนขึ้นจนคิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองเช่นนั้น



ช่วงสายๆของวันรุ่งขึ้น พฤทธิกรพาสองพี่น้องออกจากห้องโดยตั้งใจว่าจะขับรถเอง เขาจึงอนุญาตให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนลาพัก และเพราะชีวิตที่สงบราบเรียบของเขาทั้งพุฒิพงศ์และธนาจึงก้มศีรษะรับคำแต่โดยดี

พฤทธิกรอยู่ในชุดลำลองอย่างเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีน ไม่ต่างกับสองพี่น้องที่คนพี่ใส่เสื้อยืดคอกลม คนน้องใส่เสื้อมีกระดุมแขนตุ๊กตาสวมหมวกไหมพรมสีแดงใบเมื่อวานไว้บนศีรษะ สวมกางเกงยีนแนบเนื้อแบบสมัยนิยมทั้งคู่ และถึงแม้ปภินวิชจะมีส่วนสูงที่น้อยกว่าเขา แต่ท่อนขาดูเรียวยาวน่ามองจนเขาต้องแอบเหล่ทุกครั้ง

“มองอะไรครับ”

ชายหนุ่มเหลือบสายตากลับมามองหน้าคนถามด้วยท่าทีเฉยๆ ไม่แสดงอาการกระโตกกระตาก “ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่”กระนั้นเด็กหนุ่มยังมองเขาด้วยความระแวงไม่วางตา กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกยังหลีกทางให้เขาเดินนำหน้าไปก่อน พฤทธิกรยักไหล่เดินนำออกไปอย่างไม่นึกเดือดร้อน

“น้าฤทธิ์”พ้นประตูอาคารชั้นที่จอดรถ เสียงของหลานชายก็ดังขึ้นทันที ซ้ำเมื่อปวันรัตน์เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ยังส่งเสียงเรียกพี่กลอนด้วยอาการดีอกดีใจ

“มาได้ยังไง”

“ขับรถมาไงครับ”คนพูดยิ้มเผล่

“ฉันหมายถึง... แกไม่ไปทำงานหรือไง”

“อ้าว ทีน้าฤทธิ์ยังเกไม่ไปทำงานเลย แล้ววันนี้จะไปดูหนังกันไม่ใช่หรือครับ ผมเลยอยากไปด้วย”

“ดีจังเลยค่ะ ไปดูหนังเที่ยวนี้มีแต่ผู้ชายรุมล้อม อุย! หลุดความในใจ”เธอแกล้งยกมือปิดปากคล้ายเผลอพูด กวีวัธน์ส่งเสียงหัวเราะร่าก่อนจะกล่าวออกไปว่า

“ใช่ซะที่ไหน เขาเรียกเดตคู่ต่างหาก”

เด็กสาวจึงแสร้งทำหน้าตาตื่น “เอ๊ะ! เอ๊ะ! ปุ้ยตกข่าวอะไรหรือเปล่า”

คนต้นเรื่องจึงสาวเท้าขยับหาหมายจะกระซิบกระซาบขยายความ แต่เธอโดนพี่ชายรั้งไหล่เข้าหาตัว ซ้ำร้ายเด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายยังจ้องกวีวัธน์ตาขวาง

“ถ้าอยากไปด้วยก็รีบเดินเลย”พฤทธิกรพูดพลางรุนหลังให้หลานชายเดินนำ กวีวัธน์จึงหันมาถามเรื่องรถกับคนขับ

“ฉันขับเอง หรือแกอยากอาสาขับให้”

“ผมขับให้ก็ได้ครับ”กวีวัธน์ยื่นมือไปรับกุญแจ จากนั้นจึงหันไปคุยกับเด็กสาว “น้องปุ้ยมานั่งข้างหน้ากับพี่นะ”ใช่พูดเพียงอย่างเดียว เขายังคว้าจับข้อมือของปวันรัตน์แล้วพามาส่งที่ประตูที่นั่งข้างคนขับ พร้อมกับเปิดประตูรถแล้วดันร่างเด็กสาวให้เข้าไปด้านใน ก่อนย้ายมาประจำที่อย่างหน้าซื่อตาใส รอจนผู้โดยสารอีกสองคนที่เหลือขึ้นรถแล้วจึงออกเดินทาง

เขาหันไปชวนปวันรัตน์คุยแต่สายตาแอบเหลือบมองกระจก สังเกตสังกาชายหนุ่มสองคนซึ่งอยู่ที่นั่งตอนหลัง นึกหงุดหงิดเล็กๆที่ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบเป็นเป่าสาก

“วันนี้ตั้งใจจะดูหนังเรื่องอะไรกันหรือครับ ดูหนังรักดีไหมน้องปุ้ย”

“ง่ะ ไม่ล่ะค่ะ ปุ้ยจะดูอะนิเมชัน”

“ช่วงนี้มีอะนิเมชันเข้าฉายด้วยเหรอ”

“มีสิคะ”หลังจากนั้นเธอจึงหันไปขอยืมโทรศัพท์จากพี่ชายมาเช็กรายการภาพยนตร์และรอบเวลา ก่อนจะจัดการวางแผนให้ไปซื้อตั๋วกันก่อน จากนั้นไปทานข้าว ดูหนังเสร็จแล้วค่อยไปทานไอศกรีมกันอีกรอบ

“ไม่มีรอบที่เร็วกว่านั้นหรือไง”ปภินวิชเอ่ยถาม

“มีค่ะ แต่กว่าจะได้ออกจากโรงก็หิวพอดีแหละ แหมพี่ปลาไปกินที่ฟู้ดคอร์ตแค่มื้อเดียวไม่เป็นไรหรอก ปุ้ยเอาเงินเก็บมา เดี๋ยวปุ้ยเลี้ยง น้าฤทธิ์เลี้ยงหนังกับไอศกรีมแล้ว ปุ้ยเลี้ยงข้าวเอง”

“โถๆ หนูน้อย ไม่ต้องไปจ่ายเงินเลี้ยงมหาเศรษฐีอย่างน้าฤทธิ์หรอก”

“ค่า ปุ้ยรู้แหละว่าน้าฤทธิ์รวย แต่ใช้เงินไม่ระวัง คนรวยก็กลายเป็นคนจนได้นะ พี่กลอนเองก็เถอะโดดงานบ่อยๆระวังน้าฤทธิ์จะไล่ออก”

“เฮ้ย! ทำไมมาแช่งพี่อย่างนี้ล่ะ”

“นั่นสินะ สงสัยต้องไปเช็กแอตเทนแดนซ์(Attendance)[1] ของพนักงานที่ชื่อกวีวัธน์หน่อยแล้ว”พฤทธิกรพูดสมทบด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นขึงขัง

“โธ่ น้าฤทธิ์ครับ ผมไม่ได้โดดงานไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย งานที่ผมต้องรับผิดชอบก็ทำเสร็จส่งตามเวลา”ชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยโอดครวญ พาให้เด็กสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกันส่งเสียงหัวเราะ ปวันรัตน์ยังยิ้มระรื่นเมื่อรถยนต์ถึงที่หมาย เธอก้าวลงจากรถแล้วสาวเท้าเข้าไปหาพี่กลอนที่เธอเรียกขาน ชายหนุ่มยังทำหน้างอราวกับกำลังรอให้เด็กสาวมาง้อขอโทษ

“พี่กลอนไม่โกรธนะ เนี่ยปุ้ยพูดด้วยความเป็นห่วงเหอะ”เธอยิ้มประจบ

“ผู้ชายตัวโตๆทำหน้างอแล้วดูน่าเกลียดเนอะว่าไหม”ปภินวิชเดินตามมาถามน้องสาว จนกวีวัธน์คิ้วกระตุกเพราะโดนรุมมาตลอดทาง เด็กหนุ่มได้โอกาสจึงยักคิ้วส่งรอยยิ้มเยาะตามไปให้แล้วโอบไหล่พาน้องสาวเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า พฤทธิกรเดินตามมาด้านหลังเห็นหลายชายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจึงถามว่า “ไม่ไปดูหนังแล้วใช่ไหม”

“ดูสิครับ น้าฤทธิ์ดูเถอะ เด็กน้าน่ะไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เลย”

“อ้าว แล้วตอนนี้แกไปเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่ไหน”

“เอ๊ะ... ฮะ!”กวีวัธน์ส่งเสียงอุทาน ก่อนจะนึกได้ในวินาทีถัดมา “มุกอะไรของน้าอะ ไม่ตลกเลย”

กระนั้นพฤทธิกรก็ส่งเสียงหัวเราะ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
[1] แอตเทนแดนซ์ (Attendance) = ใบรายงานการขาดลามาสายของพนักงาน


เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์

พุฒิพงศ์ <<< เป็นใคร
ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ และเป็นคำถามที่ดี ทำให้รู้เลยว่าเขียนรวบไปหน่อย ส่วนคำตอบ พุฒิพงศ์คือหนึ่งในสองบอดี้การ์ดของน้าฤทธิ์ค่ะ นายมันช่างเป็นตัวประกอบที่จืดจางจริงๆ

พุฒิพงศ์ : เพราะคุณนั่นแหละ อุตส่าห์ให้ผมโชว์ตัวตั้งแต่บทแรกแต่ดันไม่แนะนำชื่อผมบ้าง
คนเขียน : อ้าว ก็บทแรกนายมันเป็นแค่ตัวประกอบ จะให้แนะนำอะไร สงสัยคงต้องให้น้าฤทธิ์เลิกจ้างจริงๆดีกว่า
พุฒิพงศ์ : เฮ้ย!!! (ธนาก็ส่งเสียงเฮ้ยมาด้วย แล้วปรี่เข้ามาร่วมวงทันที) งั้นให้ผมเป็นสายลับของบริษัทคู่แข่งเข้ามาล้วงความลับดีไหม
คนเขียน : ป๊าด!!! นิยายรักเว้ยเฮ้ย ไม่อยากต้องวางแผนซับซ้อนชิงไหวชิงพริบ

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น้องปลาหึงเหรอลูกกก

อย่าให้นายท่านเป็นพระยาเทครัวจริงๆเลยนะคะ 5555555

รักเดียวใจเดียวกับน้องปลาพอ อิอิ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
11

ห้างสรรพสินค้าช่วงวันกลางสัปดาห์มีผู้คนมาเดินจับจ่ายซื้อของบางตา พวกเขาจึงไม่ต้องเดินเบียดเสียดกับผู้คนและสามารถไปถึงชั้นที่ตั้งโรงภาพยนตร์ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แม้ว่าโรงภาพยนตร์และห้างสรรพสินค้าที่กวีวัธน์ขับรถพาพวกเขามาใช้บริการเป็นสาขาหนึ่งของบริษัทในเครือที่มีน้าชายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถึงกระนั้นพฤทธิกรยังคงเดินเข้าไปซื้อตั๋วหน้าเคาน์เตอร์เหมือนลูกค้าปกติ

“เรียบร้อยไปกินข้าวกัน”พฤทธิกรเก็บตั๋วใส่กระเป๋าสตางค์

“น้าฤทธิ์กินที่ฟู้ดคอร์ตได้ใช่ไหมคะ”ปวันรัตน์ถามซ้ำ แม้จะมีร้านอาหารที่อยากเข้าไปนั่งทานแต่เด็กสาวกลับระงับใจไว้เพราะความเสียดายเงิน และแม้จะรู้ว่าพฤทธิกรจะมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าอาหารให้พวกเธอสองพี่น้องโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ไม่สนิทใจเนื่องจากชายหนุ่มไม่ใช่ญาติพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อ

พฤทธิกรไม่มีปัญหา แต่คนที่มีปัญหากลับเป็นหลานชาย

“เอาจริงดิ น้าฤทธิ์จะกินได้หรือครับ”

“ฉันไม่ได้หัวสูงขนาดนั้นเสียหน่อย”

“ก็แหม ขนาดแม่ครัวห้องอาหารพนักงานในตึกยังต้องคอยตามสืบวันที่น้าจะลงไปกิน ผมก็กลัวว่าต้องหาร้านอาหารเจ้าใหม่มาเปลี่ยนในศูนย์อาหารนะสิ”

“คราวนี้ฉันจะไม่บ่นอะไรเลย พอใจหรือยัง”พฤทธิกรบอกด้วยความรู้สึกรำคาญ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่เขาละเอียดเรื่องรสชาติจะทำให้หลานชายพูดบ่นได้ยาวขนาดนี้

ศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ชั้นจี พื้นที่ตั้งประมาณหนึ่งในสิบของขนาดพื้นที่ทั้งหมด แต่เนื่องจากพื้นที่ชั้นจีถูกจัดให้เป็นแหล่งรวมของร้านอาหารทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ พื้นที่ชั้นนี้จึงคล้ายศูนย์อาหารขนาดใหญ่ และด้วยระดับความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ของห้างฯสาขานี้ ราคาอาหารจึงค่อนข้างสูงแม้จะเป็นร้านอาหารที่อยู่ในขอบข่ายการให้บริการของศูนย์อาหารก็ตาม

การใช้บริการต้องแลกเงินสดเป็นคูปองซึ่งมีลักษณะเป็นการ์ดใบเล็กๆ เมื่อพวกเขามาถึงและจับจองโต๊ะที่นั่งได้แล้ว ปวันรัตน์จึงเปิดกระเป๋าสะพายข้างของตนหยิบเงินออกมา

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยววันนี้น้าเลี้ยง”คนพูดล้วงหยิบแบงก์พันออกมาจากกระเป๋าบ้าง

“ต่างคนต่างจ่ายก็ได้ครับ ถึงอย่างไรคุณฤทธิ์ก็เลี้ยงหนังกับไอศกรีมอยู่แล้ว”ปภินวิชเอ่ยแย้ง

“ผู้ใหญ่จะจ่ายเงินเลี้ยงก็รับไว้เถอะ น้าฤทธิ์จะได้ไม่เสียน้ำใจ”กวีวัธน์คว้าหยิบธนบัตรในมือของหน้าชายพร้อมยกมือกล่าวขอบคุณ “เดี๋ยวผมไปแลกบัตรมาให้  ปุ้ยนั่งจองโต๊ะรออยู่นี่แหละนะ”ประโยคหลังเขาหันไปบอกกับเด็กสาว เพราะพอใกล้เที่ยงปริมาณผู้คนจะเพิ่มขึ้นจนหนาตา จากนั้นจึงเดินลิ่ว ๆ ไปยังเคาน์เตอร์แลกเงิน

ปภินวิชหันมองน้องสาว “ปุ้ยจะกินอะไร”

“ไม่รู้อะ”เธอตอบเช่นนั้นเพราะโดนจำกัดเรื่องอาหารการกินมากกว่าการนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร “อันไหนที่ปุ้ยน่าจะกินได้พี่ปลาก็ซื้ออันนั้นมาแล้วก็กันค่ะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับและย้ำบอกให้เธอนั่งรอ เขาเดินมาสมทบกับกวีวัธน์เพื่อรับการ์ดที่เป็นบัตรจ่ายค่าอาหารโดยมีเจ้ามือเดินตามมาติด ๆ ทว่า ชายหนุ่มที่เป็นคู่อริกลับยื่นผ่านหน้าและส่งมันให้น้าชายตัวเอง ซ้ำยังทำเมินคล้ายไม่อยากพูดกับเขา ปภินวิชชักสีหน้านึกในใจว่าก็ไม่อยากคุยด้วยนักหรอก

“นี่เงินทอนครับ”

กวีวัธน์แลกบัตรมาแค่สองใบ เห็นอย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงนึกเขม่นไปยิ่งกว่าเดิม

“จะไปไหน”พฤทธิกรคว้าจับต้นแขนของปภินวิชไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าทำท่าจะเดินไปยังเคาน์เตอร์แลกเงิน

“ผมจะไปแลกบัตรอาหารครับ”คนพูดเสียงแข็งแต่ก็พยายามปั้นสีหน้าไม่ทำท่าปั้นปึ่งใส่ผู้มากวัยกว่า
“ใบนี้ไง จะไปแลกอีกทำไม”เขายกการ์ดใบนั้นให้ดู จากนั้นจึงรุนหลังแตะไหล่ให้เด็กหนุ่มเดินนำไปยังหน้าร้านอาหาร มือแข็งแรงข้างนั้นยังคงวางอยู่บนบ่าเล็กบางพลางใช้ปลายนิ้วโป้งกดนวดให้อีกฝ่ายคลายอารมณ์ขุ่นเคือง

“คุณกลอนเขาแลกมาให้นายท่านใช้คนเดียวนี่ครับ”

“เหลือเงินทอนกลับมาแค่สองร้อย บัตรใบนี้คงมียอดเงินหลายร้อยแหละหรืออยากแลกเพิ่ม”

“ไม่ใช่ครับ”ปภินวิชตอบปฏิเสธก่อนจะเอ่ยฟ้อง “ก็คุณกลอนจงใจไม่แลกบัตรให้ผม”

“ใช้ใบเดียวกันไม่ได้หรือ”

พอได้ยินเสียงทุ้มเย็นเอ่ยถามมาเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงอึกอักตอบไม่ถูก เขาไม่มีทางตอบปฏิเสธอยู่แล้วแต่ไม่ชอบใจหลานชายของอีกฝ่ายจนนึกโมโห

“คุณกลอนนิสัยไม่ดี นายท่านน่าจะดุบ้าง”

พฤทธิกรไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มบางๆส่งกลับไปแล้วชวนคุยเรื่องรายการอาหารของแต่ละร้านเสียแทน

หลังทานอาหารเสร็จและใกล้ถึงเวลาฉายหนังซึ่งระบุในตั๋วที่พฤทธิกรจองไว้ พวกเขาทั้งสี่คนจึงโดยสารลิฟต์กลับขึ้นไปยังชั้นโรงภาพยนตร์อีกครั้ง

“ปุ้ยกินป๊อปคอร์นรสอะไร”กวีวัธน์เอ่ยถามเด็กสาว

“พี่กลอนยังจะกินอีกเหรอ เมื่อกี้ไม่อิ่มหรือคะ”

“มันคนละอย่างกัน เมื่อกี้มันข้าว อันนี้มันป๊อปคอร์น”

“ปุ้ยไม่เอาหรอกค่ะ”

เมื่อน้องสาวปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงหันไปถามคนเป็นพี่ชาย “แล้วปลาล่ะ กินรสอะไร” ปภินวิชทำหน้าแปลกใจที่อีกฝ่ายหันมาถามเขาหน้าตาเฉย ก่อนจะบอกปฏิเสธเช่นเดียวกัน และเมื่อกวีวัธน์ถามถึงเครื่องดื่มก็มีแต่คนโบกมือบอกปัด เขาจึงได้แต่ซื้อมาเฉพาะแค่ตัวเอง

รอกวีวัธน์ซื้อน้ำซื้อขนมเสร็จพวกเขาถึงเคลื่อนขบวนเข้าโรงภาพยนตร์ พฤทธิกรเป็นคนยื่นตั๋วให้พนักงานตรวจและเดินนำพาสองพี่น้องไปตามทาง เขาซื้อตัวที่นั่งแถวเอช่วงกลางๆแถวไว้ก่อนเดินเข้าไปด้านในก็คว้าจับมือของเด็กหนุ่ม จูงเดินตามกันไป ที่นั่งถัดจากปภินวิชเป็นของน้องสาว และปิดท้ายด้วยหลานชายของเขา

ทรุดตัวลงนั่งแล้ว เจ้าของฝ่ามือจึงพยายามจะดึงมือตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม

“ขอจับไว้ไม่ได้เหรอ”เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้และกระซิบพูด

“ก็จะดูหนัง”อีกคนกระซิบตอบกลับมา

“ดูหนังไม่เกี่ยวกับมือนี่”

ปภินวิชย่นจมูกแต่กลับไม่ได้ว่าอะไรอีก เขาจึงถือว่าเจ้าตัวอนุญาตแล้วจึงขยับเปลี่ยนเป็นประสานมือข้างนั้นไว้ นั่งรออีกครู่เดียวก็ได้เวลาฉายหนังตัวอย่าง ชายหนุ่มไม่ได้ชื่นชอบการดูหนังเป็นพิเศษและไม่ใช่ว่าไม่ชอบด้วยเช่นกัน แต่เพราะการทำงานกินเวลาของทุกกิจกรรมในชีวิตของเขาไปหมด เขาจึงคงเหลือกิจกรรมที่ต้องทำอย่างขาดไม่ได้ไว้ไม่กี่อย่าง แต่ภาพยนตร์ที่ได้มาดูในครั้งนี้นับได้ว่าสนุกดี ตลกขบขัน สร้างสรรค์จินตนาการและปลูกฝังคุณธรรมให้เด็กที่ดูได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามคนที่เข้าชมรอบเดียวกับพวกเขาใช่จะมีแต่เด็กๆ เพราะตอนที่หนังจบ เขาเห็นทั้งคู่รักและกลุ่มวัยรุ่นเดินออกจากโรงกันเป็นแถว

“ดีนะ ที่ในโรงหนังอากาศเย็น ไม่งั้นมือคงแฉะ”เด็กหนุ่มพูดกับเขาแต่ก็ทำท่าเหมือนอยากจะบ่นที่เขาจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย พวกเขายังนั่งอยู่กับที่คล้ายกับกำลังรอให้ผู้คนที่ประตูทางออกซากว่านี้อีกหน่อย

“ไม่รู้หรือ การมาดูหนังกับคนที่ชอบก็เพื่อแอบจับมือกัน”

ปภินวิชขมวดคิ้ว แต่เพราะน้องสาวสะกิดให้ลุกขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องลุกเดินตามน้องสาวออกไป

“ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”เธอกล่าวบอกจากนั้นจึงเดินแยกออกไป

“แล้วจับมือกันข้างนอกไม่ได้หรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจ ทำไมต้องไปแอบจับในโรงหนัง เขาเห็นคู่รักเดินจับมือเกร่อ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนก็แค่จับมือ

“งั้นจะให้จับหรือเปล่าล่ะ”พฤทธิกรแบมือไปตรงหน้า กลายเป็นว่าคนถูกถามชะงักด้วยอาการเก้อเขิน และรู้สึกเหมือนมือไม้เกะกะขึ้นมา กระทั่งมีเสียงกระแอมกระไอจากชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างนั่นล่ะ ปภินวิชถึงได้พูดว่าจะไปเข้าห้องน้ำบ้าง

“งั้นจะให้จับหรือเปล่าล่ะ”หลานชายพูดทวนคำ “ถามจริง น้าจะไม่รู้สึกแปลกหรือครับ เวลาที่คนอื่นมองมา”

“ถ้าแกจะห่วงเรื่องแบบนั้น จะมายุยงส่งเสริมเรื่องปลาทำไม อีกอย่าง”พฤทธิกรหยุดคำพูดของตัวเองไว้เพื่อดึงรั้งความสนใจของหลานชายให้เพิ่มขึ้นอีก กวีวัธน์มองหน้าน้าชายด้วยอาการใจจดใจจ่อ

“ฉันหน้าตาดี ปลาก็น่ารัก ฉันว่ามันก็ไม่น่าเกลียดหรอกนะ”

“เหม็นเบื่อพวกมั่นหน้าจริงๆ”กวีวัธน์ทำหน้าเซ็ง ก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาวัตถุสะท้อนพลางยกมือจัดทรงผมราวกับจะพยายามทำให้ตัวเองหล่อขึ้นในทันทีทันใดนั้นให้ได้ ปากบ่นพึมพำเรื่องหน้าจืดๆของตัวเองไม่หยุด พฤทธิกรจึงผลักศีรษะหลานชายด้วยความหมั่นไส้

“ผมน่าจะเกิดมาเป็นหลานแท้ ๆ ของน้าฤทธิ์บ้าง”

คนฟังถึงกับขมวดคิ้วงุนงงกับคำพูดของหลานชาย แต่เพราะปวันรัตน์เดินกลับมาทันประโยคนั้นของกวีวัธน์พอดีเธอจึงเป็นคนเอ่ยปากถามเสียเอง

“อ้าว พี่กลอนไม่ใช่หลานของน้าฤทธิ์หรือคะ”

ปภินวิชที่เพิ่งเดินตามมาสมทบถึงกับหูผึ่ง

“นั่นสิ ฉันจำได้ว่าตอนที่พี่แก้วคลอดแก ฉันยังไปเยี่ยมอยู่เลย”พี่แก้วที่พฤทธิกรพูดถึงเป็นชื่อเล่นของญาติผู้พี่ซึ่งเป็นมารดาของกวีวัธน์ “แกไม่ใช่หลานแท้ ๆ ของฉันยังไง”

ขณะที่พูดคุยกันเรื่องประโยคอันน่างุนงงของกวีวัธน์ไปพลาง พวกเขาก็เคลื่อนขบวนไปยังจุดหมายต่อไป

“ก็ไม่ได้มีดีเอ็นเอเดียวกัน เหมือนอย่างน้าฤทธิ์กับน้าชาที่มีดีเอ็นเอเดียวกัน หน้าตาเลยหล่อปังเหมือนกัน”

ได้ฟังเหตุผลแล้ว ชายหนุ่มยังคงรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่เพราะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเขาคืนอาจารย์ที่สอนไปหมดแล้ว เขาจึงได้แต่ฟังคำตอบนั้นเฉยๆ ต่างกับคู่กัดอย่างปภินวิช

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับคุณกลอน ดีเอ็นเอมันคือสารพันธุกรรมนะ ถ้าในครอบครัวที่มีพ่อแม่เดียวกัน พี่น้องย่อมต้องมีข้อมูลพันธุกรรมเดียวกันน่ะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าพี่น้องในครอบครัวนั้นไปแต่งงานกับคนอื่น ลูกที่เกิดมาก็ต้องรับยีนจากบุคคลอื่นมาร่วมด้วย ข้อมูลพันธุกรรมมันก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว แต่ผมว่าอย่างคุณน่ะ ตอนที่เป็นสเปิร์มน่าจะดึงเอาเฉพาะยีนด้อยของพ่อแม่มารวมกันมากกว่า”

“พูดมาจ๋อย ๆ นี่รู้เหรอว่าน้าชาเขาเป็นน้องแท้ ๆ ของน้าฤทธิ์หรือไง น้าชาเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้าฤทธิ์เหมือนกันแหละ แต่เขาหล่อเว่อร์ควงสาวเจ็ดวันไม่มีซ้ำหน้าเลย เดี๋ยว ๆ เปิดรูปให้ดู”

“พอได้แล้วน่ากลอน มาเถียงอะไรกันเป็นเด็ก ๆ”พฤทธิกรเอ่ยห้ามก่อนที่หลานชายจะงัดโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูป ‘น้าชา’ ให้ปภินวิชดูจริง ๆ เพราะเขากลัวว่างานจะกร่อยถ้าเด็กหนุ่มได้เห็นรูปคนที่ถูกพูดถึง แม้เขาจะไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะจำหน้าญาติผู้น้องของเขาคนนี้ได้หรือไม่ก็ตาม

“อีกอย่าง แกน่ะโตทันวีรกรรมพวกนั้นของชาด้วยหรือไง”

“ไม่อะ คุณยายเล่าให้ฟัง”กวีวัธน์พูดตอบ

“พวกดีแต่จับโน่นจับนี่มาพูดเป็นตุเป็นตะ”

“ปลา”พฤทธิกรเอ่ยเสียงเข้มห้ามปรามเด็กหนุ่มอีกคนบ้าง
“น้าฤทธิ์ไม่ต้องห้ามพี่ปลาหรอกค่ะ”ปวันรัตน์หัวเราะ “กลุ่มเพื่อนสนิทพี่ปลาก็แบบพี่กลอนเนี่ยแหละ เถียงกันประจำ มาทำงานที่บ้านทีไรนะ เสียงดังไปถึงท้ายซอยแน่ะ”

“ไม่เหมือนสักหน่อย พวกนั้นนิสัยดีกว่าคุณกลอนเยอะ”ปภินวิชบอกน้องสาวแต่ตั้งใจว่ากระทบคู่อริ

“เหรอ”กวีวัธน์ไม่ยอมน้อยหน้า ลากเสียงยาวขานรับอย่างจงใจกวนประสาทอีกฝ่าย

“ปุ้ย เราไปกินไอศกรีมกันสองคนดีกว่าเนอะ”พฤทธิกรพูดชวนเด็กสาวน้ำเสียงคล้ายกำลังปลงตก ปภินวิชจึงถลาเข้าหาชายหนุ่มร่างสูง คว้าจับเสื้อของนายท่านไว้แล้วแสร้งโบกมือไล่ชายหนุ่มที่ตนไม่ชอบขี้หน้า กระนั้นอีกฝ่ายกลับลอยหน้าลอยตาเดินตามมา เมื่อได้ที่นั่งพฤทธิกรยังส่งเสียงปรามไปอีกรอบว่า

“ถ้ายังทะเลาะกันอีกก็ไปนั่งโต๊ะอื่นเลยนะ”

คู่กัดจึงทำได้แค่แยกเขี้ยวส่งสายตาเขม่นกัน

“อืม เดี๋ยวไปแวะซูเปอร์ด้วยได้ไหมครับ”เด็กหนุ่มพูดกับพฤทธิกรเมื่อนึกขึ้นได้ หลังหมดอาทิตย์แรกที่ต้องทำกับข้าวเอง เขาก็บอกกวีวัธน์ว่าไม่ต้องซื้อของสดมาให้อีกเพราะอีกฝ่ายสั่งคนซื้อของมาคละกันไปหมด ของบางอย่างเน่าเสียต้องโยนทิ้งเนื่องจากเขาไม่รู้ว่ามันใช้สำหรับทำอะไร ต่อจากนั้นเขาจึงได้เงินรายเดือนไว้สำหรับซื้อกับข้าวเสียแทน

ด้วยเหตุนั้นหลังทานไอศกรีมกันเสร็จ พวกเขาจึงไปเดินดูของในซูเปอร์มาเกตกันต่อ

“พี่ปลาจะทำกับข้าวอะไร”เด็กสาวถามเมื่อเห็นพี่ชายหยิบแพ็กอาหารสดลงตะกร้ารถเข็น

“สุกี้ วันนี้พี่จะทำสุกี้ที่ระเบียง”

“อะไร เมื่อวานพี่ปลายังบอกว่าไว้ให้หายก่อนอยู่เลย”เธอหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ชาย

“หรือปุ้ยไม่กิน”

ปวันรัตน์จึงร้องตอบว่า กิน ๆ เป็นการใหญ่

“ที่ห้องหน้าฤทธิ์มีหม้อสุกี้ด้วยเหรอครับ”กวีวัธน์ได้ยินเมนูที่ปภินวิชพูดถึงจึงหันไปถามน้าชาย ทว่าพ่อครัวกลับเป็นคนบอกคำตอบออกมาเสียเอง

“ไม่มีหรอกครับแต่ที่ห้องผมมี เดี๋ยวผมจะแวะกลับไปเอาเตาที่ห้องมาให้”

“ห้อง?”

เห็นชายหนุ่มทั้งสองคนสงสัย ปภินวิชจึงยอมบอกออกไปว่ายังไม่ได้ยกเลิกการเช่าห้องที่เคยอยู่ เสื้อผ้าข้าวของที่ขนมามีแต่เฉพาะของที่จำเป็น พฤทธิกรไม่ได้คิดอยากพูดแย้งอะไรเพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ตอบตกลงปลงใจคบหากับเขา

อืม... เขายังไม่เคยถามเรื่องแบบนั้นด้วยเลยนี่นา ชายหนุ่มคิด

“เปลืองเงินตายเลย แทนที่จะเก็บเงินไว้”

“อือ ก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะแหละ แต่ตอนนี้ผมได้เงินเดือนเยอะไง นิด ๆ หน่อย ๆ ผมไม่เสียดายหรอก”ว่าจบเจ้าตัวก็หัวเราะร่า ให้หลายชายของเขามาตะแง้ว ๆ ยุแยงให้ตัดเงินเดือนของปภินวิชลงอีก

พฤทธิกรเห็นได้โอกาสจึงบอกว่าเดี๋ยวขับรถพาไป เขาอยากเห็นหอพักที่หลานชายเคยมาพูดหลอกเขาไว้อยู่เหมือนกัน จากนั้นจึงคุยเรื่องโรงเรียนของปวันรัตน์กันต่อ เพราะอาทิตย์หน้าเด็กสาวควรจะกลับไปเรียนเหมือนเดิมได้แล้ว

จากนั้นเมื่อออกจากห้างสรรพสินค้า พวกเขาจึงมาอยู่บนรถยนต์ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเชื่องช้าบนท้องถนน ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ผ่านหน้าโรงเรียนที่เด็กสาวกำลังศึกษาอยู่

“ท่าทางว่า ผมกับน้องย้ายมาอยู่ห้องเดิมน่าจะสะดวกกว่า”ปภินวิชเปรยขึ้นมาหลังจากชี้บอกทางให้พฤทธิกรซึ่งเปลี่ยนมาเป็นผู้ขับรถแทนหลานชาย บังคับเลี้ยวรถยนต์เข้าไปในซอยแคบๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยบอกอีกฝ่ายให้จอดส่งตนแค่หน้าปากซอย เพราะด้านในค่อนข้างกลับรถยาก กระนั้นชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีกลับไม่ยอมฟัง รถยนต์จอดลงหน้าหอพักเก่าๆซึ่งลึกเข้าไปด้านใน อาคารหอพักรอบด้านบางอาคารมีการปรับปรุงสร้างใหม่ไปบ้างแล้ว

“รอในรถก็ได้ครับ เดี๋ยวผมลงมา”เด็กหนุ่มเปิดประตูลงจากรถ น้องสาวคนเดียวของเขาจึงเปิดประตูรถเดินตามไปด้วย พฤทธิกรดับเครื่องยนต์แล้วลงมาจากรถยนต์เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนั้นหลานชายของเขาจึงต้องลงจากรถอย่างช่วยไม่ได้

เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดประมาณสามสี่ขั้นซึ่งเป็นการยกฐานตึกให้สูงกว่าพื้นถนนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม พื้นที่ชั้นหนึ่งมีเก้าอี้นั่งวางอยู่เรียงรายทั้งยังมีโทรทัศน์รุ่นเก่าติดอยู่บนผนัง หลังเคาน์เตอร์ไม้ซึ่งติดอยู่กับบันไดทางขึ้นชั้นบนมีคนนั่งเฝ้าอยู่ พฤทธิกรเห็นชายหนุ่มคนนั้นมองสังเกตเขาอยู่บ้างเช่นกัน แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไร เขาจึงเดินตามปภินวิชและปวันรัตน์ขึ้นไป

บันไดขึ้นตึกกว้างเพียงแค่ให้คนสองคนเดินสวนกันได้ ประตูห้องพักแต่ละห้องหันหน้าเข้าหาทางเดิน ซึ่งทางเดินนั้นค่อนข้างมืดทึม

ห้องของทั้งสองคนอยู่ชั้นสี่ ซึ่งกว่าจะถึงเด็กสาวก็ออกอาการหอบให้เห็น

“ไหวหรือเปล่า”เสียงถามของเขาทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมามองน้องสาว เธอบอกว่าไหว ก่อนพูดติดตลกต่อไปอีกว่าเพราะไปนอนอยู่โรงพยาบาลนานไปหน่อย

ภายในห้องที่ปภินวิชไขประตูเข้ามาค่อนข้างเล็กแคบ ประตูออกไปยังระเบียงถูกปิดไว้ ความสว่างในห้องจึงมาจากแสงนีออนซึ่งติดอยู่ที่เพดานกลางห้อง มีเตียงเดี่ยวตั้งติดผนังฝั่งทางเดินและเครื่องนอนอีกชุดที่วางพับไว้ใกล้กัน ตู้เสื้อผ้าค่อนข้างเก่าจึงน่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ของหอพักต่างจากโทรทัศน์จอแบนเครื่องเล็กๆและพัดลมตั้งโต๊ะที่ยังดูใหม่ซึ่งน่าจะเป็นสมบัติของสองพี่น้องที่เพิ่งซื้อมา ห้องค่อนข้างโล่งแต่ข้าวของหลายอย่างกลับถูกวางไว้บนพื้นให้แอบชิดผนัง

ปภินวิชมีเตาไฟฟ้าซึ่งถูกเก็บแอบไว้มุมหนึ่งของห้อง เขาลุกขึ้นยืนโดยมือหนึ่งถือเตาอีกมือถือหม้อแล้วหันไปพูดกับน้องสาวที่กำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋าผ้า

“ไม่ต้องเอาไปเยอะหรอก เดี๋ยวพวกเราก็กลับมานอนที่ห้องแล้ว”

“ขนเอาไปให้หมดเถอะ เรื่องรับส่งปุ้ยมาโรงเรียนเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

“แต่แถวนี้ช่วงเช้า ๆ รถติดมากนะครับ ขนาดวันนี้มาบ่าย ๆ ยังใช้เวลาตั้งนาน”

ส่วนเด็กสาวนิ่งเงียบมองพี่ชายและน้าฤทธิ์คุยกัน อยู่ที่นี่ก็ดี เธอไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพราะเดินออกไปไม่กี่นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้ว แต่คอนโดของน้าฤทธิ์ก็ดี กว้าง เตียงนุ่มและมีแอร์ด้วย เธอคิดอยู่แค่นั้น

“ถ้าใช้ทางด่วนก็ไม่นานหรอก มา...จะต้องเอาอะไรไปอีกไหมเดี๋ยวฉันช่วย”จากนั้นจึงหันไปพูดกับเด็กสาว “ปุ้ย เสื้อผ้าชุดนักเรียนเอาไปหมดหรือยัง”เจ้าของชื่อจึงได้หันไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนักเรียน ส่วนพี่ชาย เขาถอนหายใจก่อนจะเก็บหนังสือเรียนของน้องสาวใส่กระเป๋า

ออกจากห้องมาพวกเขาจึงหอบหิ้วข้าวของไว้ทั้งสองมือ

“เดี๋ยวๆ จะย้ายออกเหรอ ต้องแจ้งล่วงหน้านะ”ลงมาถึงชั้นล่าง ชายคนนั้นกุลีกุจอร้องเรียกไว้

“เปล่าครับ ยังไม่ได้ย้ายออก”ปภินวิชร้องบอก จากนั้นจึงล้วงเงินค่าเช่าห้องของเดือนนี้ออกมาจ่าย ขณะยืนรอคนเฝ้าหอเขียนใบเสร็จให้ก็สำทับว่าจะมาจ่ายค่าห้องให้ทุกเดือน อย่างไรก็ตามเมื่อออกมาด้านหน้าที่จอดรถทิ้งไว้ กวีวัธน์ก็เอ่ยถามเหมือนกันว่าจะย้ายออกแล้วหรือ

“เห็นว่าของเยอะยังไม่มาช่วยกันอีก”โดนพฤทธิกรกระตุ้นถามแบบนั้น กวีวัธน์จึงรี่เข้ามาช่วยรับของเพื่อให้น้าชายล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถออกมาปลดล็อกได้ กระทั่งเอาของเก็บเสร็จ หลานชายยังยืนรอคอยดูระยะให้น้าชายถอยกลับรถได้ง่ายๆ

ถนนในซอยนั้นกว้างพอให้รถยนต์สองคันสามารถวิ่งสวนกันได้ แต่เพราะบางจุดโดนรุกล้ำจากเจ้าของตึกจึงทำให้ถนนดูแคบลง และส่วนหน้าซอยก็มีแต่แผงขายของจึงเหลือทางเดินรถที่กว้างเพียงให้รถยนต์ผ่านไปได้อย่างฉิวเฉียด

“ถ้ารถเป็นรอย ผมไม่รับผิดชอบให้หรอกนะ”ปภินวิชย้ำบอกอีกครั้งเมื่อรถยนต์ของพฤทธิกรพ้นปากซอยออกมาได้แล้ว

“ฉันไม่ให้เด็กน้อยมารับผิดชอบอยู่แล้วน่า”ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้า เขาตบไฟหักพวงมาลัยเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ วิ่งย้อนกลับมาอีกนิดจึงเลี้ยวขวาเพื่อเข้าถนนอีกเส้น จากนั้นจึงใช้เส้นทางยกระดับไปลงใกล้ๆกับที่ตั้งคอนโด ระยะเวลาที่ใช้ตอนขากลับจึงเหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง

“ถ้าใช้เวลาเดินทางไปโรงเรียนประมาณครึ่งชั่วโมงแบบนี้ ปุ้ยโอเคไหม”พฤทธิกรหันไปถามปวันรัตน์ เมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิทยังที่จอดรถของคอนโด

“ปุ้ยไม่มีปัญหา แล้วแต่น้าฤทธิ์กับพี่ปลาเลยค่ะ”

“แบบนี้ลำบากออก ต้องเสียค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วนด้วย ต้องเสียเวลาไปส่งไหนคุณฤทธิ์ต้องกลับมาทำงาน”เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาบ้าง

“งั้นเอาค่าเช่าห้องที่เธอจ่ายทุกเดือนมาให้ฉันเป็นค่าเดินทาง”

เด็กหนุ่มหน้างอ “ค่าเดินทางน่าจะมากกว่าค่าเช่าห้องซะอีก”

แต่ละคนต่างช่วยถือของคนละไม้คนละมือ กวีวัธน์และปวันรัตน์เดินนำเข้าไปอยู่ในลิฟต์แล้ว พฤทธิกรจึงต้องเงียบเสียงไว้ก่อนรอกระทั่งมาถึงห้องพัก วางของทั้งหมดลงแล้ว ชายหนุ่มจึงคว้าข้อมือบางดึงเข้าไปคุยในห้องนอนตัวเอง

“อยู่กับฉันไม่ดีเหรอ”พฤทธิกรเอ่ยถาม ฝ่ามือยังกำข้อมือบางกว่าของเด็กหนุ่มไว้ ทว่าคนถูกถามกลับเงียบทั้งไม่ตอบและไม่เงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงดึงให้มาทรุดตัวลงนั่งที่เตียง ห้องนอนของชายหนุ่มมีไว้สำหรับเป็นที่นอนอย่างเดียว ในห้องจึงมีแค่เตียงนอนและมีตู้หัวเตียงสำหรับใส่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ

“ปลา”เขาส่งเสียงเรียกพลางเชยปลายคางให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น “ฉันทำอะไรให้อึดอัดใจหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ถึงจะอึดอัดกับความรู้สึกแปลก ๆ ยามที่ชายหนุ่มอยู่ใกล้ ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ทำให้เขาอยากจะหลีกหนี

“นายท่านจะไม่ลำบากจริง ๆ เหรอ ไหนจะค่ารักษาพยาบาล แล้วเงินเดือนที่ให้ผมแต่ละเดือนอีก”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นน่า บริษัทของฉันทำกำไรได้มากพอที่จะเอาเงินมาจ่ายเลี้ยงเด็กสักคนสองคนได้สบาย ๆ”

“หึ”ปภินวิชย่นจมูก “ถ้าได้กำไรเยอะ ทำไมไม่จ่ายเงินเดือนพนักงานให้เยอะ ๆ หน่อย ตอนผมเป็นพนักงานห้างอยู่ได้เงินเดือนนิดเดียวเอง”

พฤทธิกรจึงหัวเราะ “ถ้าเรื่องนั้นคงต้องคุยกันยาว แต่เงินเดือนมันถูกจ่ายตามความรับผิดชอบนั่นแหละ จำได้ว่ามันจะมีค่าคอมมิชชั่นให้ตอนขายของอีกไม่ใช่หรือ”ชายหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจ เขาดูนโยบายโดยรวมเป็นหลัก เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยจึงจำได้ไม่ค่อยแน่ชัดนัก

“ส่วนเรื่องไปรับไปส่งปุ้ย เดี๋ยวให้ธนาหรือพุฒิขับรถให้ก็ได้”

“ถ้างั้นสุกี้มื้อเย็นผมชวนพี่สองคนนั้นมากินด้วยนะครับ”คนพูดยิ้มกว้าง ทำท่าจะลุกขึ้นเมื่อคู่สนทนาขานเสียงตกลง ทว่ากลับโดนดึงแขนให้นั่งอยู่ก่อน

“อีกเรื่อง ฉันอยากจะให้เธอกลับไปเรียนต่อ”

“เอ๊ะ! แต่ผมต้องทำงานให้นายท่าน”

“ก็ให้เธอเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยงานที่บริษัทฉัน”

ปภินวิชนิ่งมองหน้าคนพูดอยู่เป็นครู่ใหญ่ก่อนจะหลุบตาลงด้วยอาการครุ่นคิด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาพูดว่า “กะจะไม่ให้ผมเป็นอิสระเลยหรือครับ”

คนฟังถึงกับใจแป้ว

“เพิ่งบอกชอบเมื่อวาน วันนี้ก็พยายามผูกมัดกันแล้ว ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือครับ”

โดนว่าเข้าไปอีกประโยค พฤทธิกรถึงกับใจบางไปอีกมากโข “งั้นอย่างน้อย ฉันอยากให้เธอกลับไปเรียนให้จบ ไม่ต้องกลับมาทำงานกับฉันก็ได้ ถ้ามีใบปริญญาเธอจะได้เลือกงานที่อยากทำได้”

“ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มประนมมือไหว้ “ถ้านายท่านจะส่งเสียให้ผมได้เรียนต่อ ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ แต่ถ้าจะให้ผมกลับมาทำงานกับนายท่านอีก...”

ประโยคแบบนี้ฟังดูคล้ายเด็กหนุ่มกำลังปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาด้วย กระนั้นพฤทธิกรได้แต่ทำใจ

“ผมขอตำแหน่งที่สูงกว่าคุณกลอนได้ไหมครับ”

“หือ”ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินไม่ชัด

“ไม่ได้หรือครับ ถ้าตำแหน่งผมต่ำกว่าคุณกลอน ผมต้องโดนข่มอีกแน่เลย นายท่านจะปล่อยให้คุณกลอนรังแกผมเหรอ”

 พฤทธิกรยกยิ้มโล่งใจที่ยังไม่ได้ยินคำปฏิเสธจริงจัง “ได้เลย เดี๋ยวจะเตรียมตำแหน่งหัวหน้าทีมผู้ช่วยไว้ให้”

“นายท่านใจดีที่สุด”คนพูดบอกพลางโผเข้ากอดซ้ำยังหอมแก้มของเขาทั้งซ้ายขวาก่อนจะรีบเผ่นแผล็วออกจากห้องไป พฤทธิกรยังนิ่งงันที่โดนจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่คนทำหลังพ้นประตูห้องออกมาแล้วยังยืนนิ่งด้วยอาการใจสั่น มือสั่นด้วยความตื่นเต้นและใบหน้าแดงเรื่อ

“ไอ้ปลา แกมันโคตรใจง่ายว่ะ”เด็กหนุ่มบ่นพึมอย่างไม่รู้จะดับความรู้สึกเขินอายที่กำลังประสบอยู่อย่างไรดี



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เด็กเขาหวั่นไหวแล้วนะน้าฤทธิ์ พยายามเข้า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รับผิดชอบเลยนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :z1:

 :L1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
12


มื้อเย็นวันนั้นค่อนข้างครึกครื้น เพราะเสียงพูดเจื้อยแจ้วของเด็กสาว มุกตลกเรื่องเล่าของหลานชายและการปะทะฝีปากของสองอริที่มีมาเป็นระยะ นอกจากนี้สายลมเย็นที่พัดโชยตลอดเวลายังทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย วิวทิวทัศน์รอบด้านและแสงไฟสีส้มซึ่งส่องสว่างนวลอบอุ่นทำให้ทุกอย่างดูน่ารื่นรมย์

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศเครียดขึงได้กลับมาเยือนทันทีที่ถ้วยจานบนโต๊ะถูกเก็บเข้าครัวไปจนหมด

จากตำแหน่งที่ตั้งชุดเก้าอี้ริมระเบียงซึ่งพวกเขานั่งอยู่ พฤทธิกรมองไม่เห็นตัวเด็กหนุ่มและน้องสาวเพราะถูกผนังกั้นพื้นที่ส่วนครัวบังไว้ แต่ถ้าสองคนนั้นจะออกมายังระเบียงสวน เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเนื่องจากตลอดความยาวของระเบียงเป็นกระจกใสทั้งแถบ

“เรื่องเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

สรุปแล้ว ญาติผู้น้องของเขาที่ชื่อชัญชกรอาจจะมีลูกนอกสมรสกับผู้หญิงที่เคยคบหาด้วยจริง ๆ

“แม่เด็กน่ะ หวงมากแทบไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้เลย แล้วก็บอกแต่ว่าไม่ใช่ลูกน้าชา ถ้าน้าอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่คงต้องรอพ่อเด็กกลับมาก่อน แต่คิดไปคิดมาอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะครับในเมื่อแม่เด็กบอกว่าไม่ใช่”

พฤทธิกรนิ่งฟังยังไม่ออกความคิดเห็นอะไร เพราะคงต้องรอพ่อเด็กกลับมาอย่างที่หลานชายว่า แต่กระนั้นใช่ว่าแม่เด็กจะยอมให้ตรวจดีเอ็นเอได้ง่ายๆ

“ฉันไม่อยากให้แกพูดถึงชาต่อหน้าสองพี่น้อง”เขาบอกออกไปเรียบ ๆ  หลานชายจึงกล่าวขอโทษเสียงอ่อย กวีวัธน์เข้าใจในทันทีว่าน้าชายอยากพูดเรื่องนี้มากกว่ากล่าวถึงทายาทนอกสมรสของน้าชายอีกคนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์

“แต่ถ้าน้าชากลับมา ยังไงซะเขาก็ต้องมาทำงานในบริษัทหนังที่กำลังจะเปิด จะเลี่ยงไม่ให้เจอกันได้หรือครับ”

“มันน่าจะอีกหลายปี เพราะว่าฉันจะให้ปลาเขาไปลงเรียนต่อแล้ว”

“ยังไงปลากับปุ้ยก็ต้องได้มีโอกาสเจอน้าชาอยู่ดี”หลานชายยังพูดต่อ แต่พฤทธิกรตั้งใจรอแค่ให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทาง ไม่ใช่ให้สองพี่น้องมารับรู้เรื่องญาติผู้น้องของเขาตอนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่มั่นคง เขาไม่รู้ว่าปวันรัตน์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่มั่นใจว่าปภินวิชคงจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

การพูดคุยเรื่องนี้ทำให้พฤทธิกรฉุกใจคิดบางอย่าง

“ฉันจำได้ว่า ค่าชดเชยคนเสียชีวิต เราจ่ายให้เท่ากับเงินเดือนล่าสุดตามอายุงานคงเหลือจนกว่าจะเกษียณไม่ใช่เหรอ และแยกรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลต่างหาก แล้วเด็กสองคนนั้นเอาเงินไปทำอะไรหมด”

“แหม เพิ่งเอะใจหรือครับน้าฤทธิ์ เสียทีที่อุตส่าห์ได้เป็นประธานหญ่ายอะ”กวีวัธน์เอ่ยแซว แต่พอเห็นสายตาดุๆของน้าชายจึงยอมอธิบายไปตามตรงว่า

“โดนโกงน่ะครับ”

“ใคร?”

“ลุงกับป้าครับ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ว่ายังไงนะ แต่ป้าแท้ ๆ มีใบมอบอำนาจมารับเงินชดเชย พอลองสืบ ๆ ลุงกับป้าก็ยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดก แล้วขายบ้านที่พ่อแม่ของสองคนนั้นผ่อนอยู่ไป ช่วงแรก ๆ สองพี่น้องก็อยู่กับลุงและป้านั่นแหละ แต่ได้ยินว่ามีเรื่องทะเลาะกัน สองพี่น้องจึงต้องระเห็จออกมาอยู่กันเองโดยแทบจะไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย”กวีวัธน์บอกเล่าด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย มือข้างหนึ่งเท้าคาง ส่วนปลายนิ้วของอีกมือไล้วนบนขอบแก้ว

“ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”พฤทธิกรพูดเสียงดัง แต่หลานชายกลับตอบพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะโดยไม่เกรงอารมณ์ของน้าชาย

“ถ้าบอก น้าฤทธิ์ก็ต้องให้ไปเอาเรื่องกับลุงป้าคู่นั้น แล้วพยายามรีดเงินกลับมาให้ได้น่ะสิครับ เรื่องนั้นยากกว่าพยายามกล่อมให้น้าช่วยน้องปลาเสียอีก สองคนนั้นติดพนัน น้าคิดว่าจะมีปัญญาหาเงินมาใช้คืนเหรอ”

“แล้วแกจะปล่อยให้พวกเลว ๆ ใช้ชีวิตสุขสบายต่อไป”อารมณ์ของชายหนุ่มฉุนโกรธขึ้นมาจริง ๆ

“ใจเย็น ๆ ครับ เท่าที่ผมรู้ล่าสุด สองคนนั้นกำลังโดนเจ้าหนี้ตามล่าอยู่ น้าปล่อยเขาไปตามยถากรรมเถอะ”กวีวัธน์พยายามพูดให้น้าชายใจเย็นลง ขยับท่าทางพลางยกมือขึ้นโบกปราม

“แกรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เอามาบอกฉันแต่เนิ่น ๆ”

“อ้าว ไม่ใช่ว่าผมชอบน้องเขาเสียหน่อย”กวีวัธน์งึมงำ แล้วจึงพูดบอกว่า “ผมบังเอิญเจอปลาที่ห้าง เห็นแต่งชุดพนักงานเลยนึกแปลกใจใช่ว่าจะจงใจตามติดชีวิตเขาสักหน่อย น้าฤทธิ์เป็นคนบอกเองแท้ ๆ ว่าไม่ให้ไปยุ่งอีก”

เห็นสายตาน้าชายและท่าทางนั่งเงียบ กวีวัธน์จึงหุบปากไว้ก่อน เพียงแค่อึดใจเดียวเสียงของปภินวิชก็ดังมาให้ได้ยิน

“ผมไปอาบน้ำนอนแล้วนะครับ”

พฤทธิกรยกยิ้มบางพร้อมพยักหน้ารับ ส่วนกวีวัธน์หันไปโบกมือให้ “ฝันดีนะจ๊ะน้องปลา”

“คุณกลอนก็ฝันร้ายโดยผีไล่ฆ่านะครับ”

รอจนเด็กหนุ่มหายไปจากครรลองสายตาแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดกับหลานชาย “แกควรมาบอกฉันตั้งแต่ตอนนั้น” ทว่าคนฟังกลับเบะปาก “พูดไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเหอะ ตกลงตอนนี้ไม่ดีหรือครับ”

“แกเองยังลังเลว่าดีหรือไม่ดีอยู่เลย”

“เพราะอยู่ข้างนอกหรอก แต่น้าจะสวีตหวานแหววในสายผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ผมชอบให้คนรักกัน”กวีวัธน์ยิ้มกว้างหน้าตารื่นเริงดี๊ด๊าจนเขาต้องยกยิ้มตาม



“พี่ปลาจะไปไหนอะ”ปวันรัตน์ร้องทักพี่ชายที่กำลังจะเปิดประตู เด็กหนุ่มชะงักหันรีหันขวางก่อนจะตอบกลับมาว่า “พี่ว่าจะไปเข้าห้องน้ำซะหน่อย”

“เข้าห้องน้ำจริงอะ ไม่ใช่หายไปไม่กลับมานอนที่ห้องอีกเลยล่ะ”

“ปุ้ยได้เป็นเจ้าของห้องนี้คนเดียวไม่ดีหรือไง”เขาปิดประตูลงเหมือนเดินแล้วเดินกลับมายังเตียงนอนที่น้องสาวนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น

“แล้วพี่ปลาไปนอนอยู่ที่ไหนล่ะคะ”เธอถาม นั่นเพราะลองเดินสำรวจดูแล้วเธอไม่เห็นห้องนอนอื่น นอกจากห้องนี้กับห้องของพฤทธิกรที่เธอยังไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปชม

“เอ่อ...”

“เตียงกว้างขนาดนี้ไม่ใช่น้าฤทธิ์เขาเตรียมไว้ให้เรานอนด้วยกันเหรอ”

ปภินวิชมองความกว้างของเตียงแล้วคิดเห็นคล้อยตามคำพูดของน้องสาว แต่เพราะเตียงนอนของนายท่านก็กว้างเหมือนกันจึงเริ่มรู้สึกลังเลคิดต่าง

ปวันรัตน์มองใบหน้าพี่ชายที่เริ่มขมวดคิ้วแต่สักพักอีกฝ่ายกลับบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วกระโดดขึ้นมาอยู่บนเตียงขยับหาที่นอนของตัวเอง ก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นอีกครั้ง

“จะนอนหรือยัง พี่จะได้ปิดไฟ”

“ไม่ไปห้องน้ำแล้วเหรอ”

“ไม่ล่ะ พี่ไม่ปวดแล้ว”เขาบอกขณะลุกขึ้นไปปิดไฟกลางห้อง จนเหลือเพียงโคมไฟสีส้มเรืองรองที่หัวเตียง เขากลับมานั่งที่เตียงก่อนจะกดปุ่มปิดสวิตช์ ทั้งห้องจึงมืดสนิท

ปภินวิชนอนตะแคงข้างนิ่งๆอยู่บนเตียง เขายังไม่ได้หลับตา นานเข้าสายตาจึงคุ้นชินกับความมืดในห้อง ในห้องเงียบกริบจนได้ยินเพียงเสียงลมของเครื่องปรับอากาศ และได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆของน้องสาวด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงเลิกผ้าห่มขึ้น ย่างเท้าเชื่องช้าแผ่วเบาลงจากเตียงเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวน ค่อย ๆ ย่องไปที่ประตู จับลูกบิดปลดล็อกดึงเปิดเบามือให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แง้มประตูเป็นช่องเล็กๆและพาตัวเองแทรกออกไป

ไฟในโถงด้านนอกถูกปิดสนิทหมดแล้ว จะเหลือเพียงไฟห้องน้ำที่เขาเปิดทิ้งไว้เผื่อน้องสาวต้องการออกมาเข้าใช้ตอนกลางดึก เขาเดินตรงไปเคาะประตูห้องของนายท่าน ยืนรออยู่ครู่หนึ่งเสียงตอบรับจึงดังกลับมา เด็กหนุ่มถึงได้เปิดประตูเข้าไป

เจ้าของห้องนั่งอยู่บนเตียงกำลังใช้ผ้าขนหนูขยี้ซับเส้นผมที่เปียกชื้น

“นอนไม่หลับหรือ”

เขาสั่นศีรษะ เดินเข้าไปหาพลางยื่นมือออกไปแล้วบอกว่าจะเช็ดผมให้ พฤทธิกรจึงยกผ้าขนหนูผืนนั้นให้แต่โดยดีแล้วรั้งเอวปภินวิชมายืนตรงหน้า สัมผัสเบา ๆ บนศีรษะทำให้เขาเคลิ้มเพลินจนเผลอพิงตัวไว้กับร่างของอีกฝ่าย

“นั่งดี ๆ สิครับ”เด็กหนุ่มพูดบอก

“ง่วงแล้ว”

“มีไดร์เป่าผมไหมล่ะครับ”

“ไม่รู้สินะ”พฤทธิกรใช้สองแขนโอบรัดร่างเพรียวบางไว้เป็นที่พยุงตัว ซ้ำยังขยับศีรษะไปมาราวกับพยายามหามุมสบาย ๆ การกระทำนั้นทำให้ปภินวิชรู้สึกแปลก ๆ เขาจึงละมือแม้ว่าเส้นผมของชายหนุ่มจะยังคงความรู้สึกเย็นชื้นอยู่เล็กน้อยก็ตาม

“ครับ ๆ นอนได้แล้ว”ถึงจะบอกไปเช่นนั้นแต่เขากลับโดนกอดรัดไว้เช่นเดิม เด็กหนุ่มกล่าวเสริมไปอีกว่า “ผมต้องเอาผ้าไปเก็บก่อน”วงแขนแข็งแรงจึงยอมปล่อยแต่โดยดี ทว่าตอนที่เดินกลับมาที่เตียงหลังจากนำผ้าขนหนูไปใส่ตะกร้าแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

“ง่วงไม่ใช่หรือครับ”

“รอเธอมานอนด้วยกัน”

แล้วถ้าคืนไหนเขานอนกับน้องสาว จะไม่นั่งรอทั้งคืนเลยเหรอ ปภินวิชบ่นพึมพำเบา ๆ ขณะปีนขึ้นเตียง สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่ชายหนุ่มเปิดรอไว้ เขาขยับตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา ฝ่ายนั้นจึงโน้มหน้ามาแต้มจุมพิตบนหน้าผาก

“ไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ที่ต้องจูบหน้าผากบอกฝันดี”

“ฉันไม่ได้เห็นว่าเธอเป็นเด็กเสียหน่อย”พฤทธิกรตอบกลับไป แล้วโน้มตัวแตะจูบที่ริมฝีริมปากของเด็กหนุ่มด้วยความรวดเร็ว “ถ้าจูบตรงนี้โอเคไหม”

คนโดนถามย่นจมูกพลางคิดว่า จูบไปแล้วจะมาถามทำไม “ผมนอนแล้ว”พูดพร้อมกับหลับตาปี๋ พฤทธิกรจึงปิดไฟในห้องและล้มตัวลงนอนข้างกัน



ตอนที่ปวันรัตน์ตื่นขึ้นมา พี่ชายก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว เธอเปิดประตูออกมาจากห้อง ชะโงกหน้าออกมาเห็นพี่ชายกับน้าฤทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหาร เสียงเปิดประตูทำให้ทั้งสองคนหันมามอง

“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน จะได้มาทานข้าว”พี่ชายของเธอเอ่ยบอก

“พี่ปลาตื่นก่อนก็ไม่ปลุกปุ้ยเลย”

“ไว้วันจันทร์หน้าพี่จะปลุก แต่วันนี้อยู่คนเดียวนะ พี่ทำกับข้าวสำหรับมื้อเที่ยงไว้ให้แล้วอุ่นเอาเอง”

“ค่ะ”เธอขานตอบรับ หายเข้าห้องน้ำไปพักเดียวก็พาหน้าตาสดชื่นกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร ปภินวิชจึงลุกขึ้นยกถ้วยข้าวต้มมาส่งให้ตรงหน้า ปวันรัตน์เอียงคอมองแล้วพูดว่า “พี่ปลาใส่ชุดพนักงานแบบนี้แล้วแปลกจัง”

คนโดนทักถึงกลับก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ ยูนิฟอร์มของพนักงานทำความสะอาดเป็นสีน้ำตาลอ่อนแขนเสื้อและช่วงคอเสื้อเป็นสีขาว เสื้อที่สวมชิ้นเดียวและดูเหมือนว่าเขาสวมเสื้อกั๊กทับด้านนอก กางเกงเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเสื้อ ขนาดของเสื้อและกางเกงดูหลวมกว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ปกติ ตอนที่เขาทำงานเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า เขาก็ยังใส่เสื้อเชิ้ตและการเกงสแลคที่เข้ารูปกว่านี้

ปภินวิชหน้าเจื่อนอย่างไม่มั่นใจแต่ไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติมให้น้องสาวฟัง นั่งทานข้าวต่อเงียบๆกระทั่งอิ่มและกำลังออกจากห้องจึงย้ำไม่ให้น้องสาวเปิดประตูรับคนแปลกหน้า

“ค่า ถ้าคนที่มาเคาะแล้วบอกรหัสไม่ถูกปุ้ยไม่มีทางเปิดรับเด็ดขาด”

ปภินวิชขมวดคิ้วงุนงงกับรหัสที่น้องสาวกล่าวถึง แต่เพราะกลัวว่าจะพานให้ชายหนุ่มร่างสูงเข้างานสายไปด้วยเขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ จนเข้าไปนั่งในรถแล้วสีหน้าแปลก ๆ ยังไม่จางหายไป พฤทธิกรถึงเอ่ยปากถาม

“เป็นอะไร”

“เปล่าครับ”เขาตอบปฏิเสธเพราะคิดว่ามันเป็นแค่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระของเขาเท่านั้น

“คิดเรื่องที่ปุ้ยทักเรื่องชุด หรือรหัสเปิดประตูล่ะ”

“มีรหัสเปิดประตูด้วยหรือครับ”เขาเลี่ยงไปถามเรื่องนั้นเสียแทน

“นั่นสิ อยู่ห้องนี้มาตั้งนานฉันยังไม่รู้เลย สงสัยต้องลองพิสูจน์อีกทีตอนเย็น”

ปภินวิชมองตอบกลับมาด้วยใบหน้าเหลอหลาแปลกใจ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะและบอกออกมาว่าถ้าลองพิสูจน์จริงๆอาจจะไม่ได้เข้าห้องก็เป็นได้

อีกไม่กี่นาที่หลังจากนั้นรถยนต์ของพวกเขาก็เคลื่อนที่มาถึงสำนักงาน ปภินวิชในชุดพนักงานทำความสะอาดจะโดยสารลิฟต์สำหรับผู้บริหารขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับพฤทธิกรผู้เป็นประธานบริษัท โดยมีพุฒิพงศ์และธนาซึ่งเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวเดินตามไม่ห่าง

พฤทธิกรมาถึงที่ทำงานช่วงเจ็ดโมงครึ่งและเริ่มทำงานเลยโดยไม่รอเวลาเข้างานอย่างพนักงานระดับล่างคนอื่น ไม่ต่างกับเด็กหนุ่มที่ต้องเริ่มงานเลยเช่นเดียวกันเนื่องจากต้องทำความสะอาดห้องผู้บริหารแต่ละคน หรืออย่างน้อยเขาจำต้องเก็บขยะออกมาทิ้งหากเปิดประตูเข้าไปแล้วเจอเจ้าของห้อง กรณีนั้นบางครั้งจะได้คำสั่งอื่นเพิ่มเติม อย่างขอให้ช่วยหยิบน้ำชงกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ

เมื่อทำความสะอาดชั้นผู้บริหารเสร็จแล้ว ปภินวิชจะลงไปทำความสะอาดชั้นเก็บเอกสารทั้งสองชั้นต่อ เนื่องจากแต่เดิมพื้นที่ทุกจุดของสองชั้นนี้ได้รับการดูแลมาอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว เขาจึงใช้เวลาในแต่ละวันอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นงานที่ได้รับมอบหมายก็เสร็จสมบูรณ์ ช่วงบ่าย ๆ เขาจึงค่อนข้างว่างเสมอ เด็กหนุ่มจะใช้เวลาว่างช่วงนี้คอยช่วยงานสุธาณีผู้ที่เป็นเลขาหน้าห้องของพฤทธิกร นั่นทำให้รู้ว่า บอดี้การ์ดทั้งสองคนของชายหนุ่มก็โดนไหว้วานให้ทำงานเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน

“พี่ก้อย วันนี้ผมจะออกไปข้างนอกได้นะ”นอกจากปภินวิชจะเป็นพ่อบ้านทำความสะอาดที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าตำแหน่งงานแล้ว เขายังได้รับอภิสิทธิ์อีกหลายอย่าง อาทิ ไม่ต้องตอกบัตรเข้างานหรือช่วงกลางวันอยากจะออกไปไหนก็สามารถทำได้

“จ้า อย่าลืมไปบอกคุณฤทธิ์ก่อนล่ะ อ้อ พี่ฝากเทน้ำส้มเข้าไปเสิร์ฟท่านด้วยนะ”

นายท่านของปภินวิชไม่ทานกาแฟ ในตู้เย็นของห้องครัวสำนักงานจึงมีน้ำผลไม้หลายรส บางวันสุธาณีจะสั่งพวกโกโก้หรือโอวัลตินเย็นจากร้านข้างล่างขึ้นมาให้

ตอนได้ยินคำบอกเล่าครั้งแรกเขายังนึกแปลกใจ คนทำงานส่วนใหญ่ต่างติดกาแฟทั้งนั้น พ่อและแม่ของเขาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างกัน เมื่อลองถามข้อสงสัยกับสุธาณีออกไป เธอจึงเฉลยให้ฟังว่า “เมื่อก่อนท่านติดกาแฟมาก จนช่วงหนึ่งมาบ่นว่ากินกาแฟตั้งหลายแก้วก็ยังรู้สึกเพลียอยู่ดี แต่สองสามวันหลังจากนั้นกลับมาบอกพี่ว่าจะเลิกกินกาแฟแล้ว เห็นบอกว่าพนักงานร้านกาแฟแนะนำให้เลิก”

“แปลกจัง เป็นพนักงานแทนที่จะเชียร์ให้ลูกค้าซื้อของ”พูดออกไปแล้วต้องชะงักเพราะเด็กหนุ่มบังเอิญนึกขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งตนเคยยุให้ลูกค้างดทานกาแฟเหมือนกันเพราะเจ้าตัวเล่าให้ฟังเป็นทำนองว่า เหมือนร่างกายจะดื้อคาเฟอีน แต่เขาจำได้ว่าลูกค้าคนนั้นน่าจะเป็นคุณลุงแล้วนี่นาแถมยังใส่แว่นด้วย ...คงไม่ใช่หรอก ปภินวิชบอกตัวเองขณะที่สมองกำลังคิดเชื่อมโยงเรื่องที่กวีวัธน์เคยบอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พฤทธิกรเคยเจอเขา

“พี่ก็คิดเหมือนน้องปลา แต่คุณฤทธิ์เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก จนทุกวันนี้เลิกทานกาแฟเด็ดขาดเลยล่ะ แถมยังหันมาใส่ใจสุขภาพมากกว่าเดิมอีก”

ปภินวิชนึกย้อนประโยคสนทนาที่เคยคุยกับสุธาณีไปพลางขณะถือถาดกลมซึ่งด้านบนมีแก้วทรงสูงบรรจุน้ำส้มที่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ระบุว่าเป็นน้ำผลไม้แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่กำลังนั่งอ่านเอกสารในแฟ้ม

“น้ำส้มครับ”เด็กหนุ่มบอกพร้อมวางแก้วลงบนโต๊ะ อีกฝ่ายแค่ส่งเสียงอืมขานรับ

“เดี๋ยวผมขออนุญาตออกไปข้างนอกนะครับ”

“จะไปไหน”พฤทธิกรเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากข้อความบนหน้ากระดาษ

“ผมว่าจะไปหาหนังสือเตรียมตัวสอบครับ”

“อืม ถ้าจะออกไปข้างนอกให้ธนาขับรถไปให้ก็ได้”พูดจบก็เปิดกระดาษไปอีกหน้า คนที่ยังยืนมองอยู่จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นายท่านคุยกับผมแล้วอ่านไอ้นั่นรู้เรื่องด้วยหรือครับ”

“หือ”ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนถาม “รู้เรื่องสิ ทำไมจะไม่รู้เรื่องล่ะ”คนฟังถึงกับเบ้ปาก พฤทธิกรจึงปิดแฟ้มเลื่อนขึ้นวางบนโต๊ะ แล้วกวักมือเรียกเด็กหนุ่มร่างเพรียวเข้าใกล้ ก่อนจะตบมือปุ ๆ ลงบนหน้าขาของตัวเอง ห้องทำงานของพฤทธิกรกว้างก็จริง แต่นอกจากโต๊ะทำงานของตัวเองและโต๊ะเอกสารอีกตัวแล้ว เครื่องเรือนอื่นมีเพียงชั้นใส่เอกสารสีน้ำตาลเข้มเกือบดำสูงจรดเพดานซึ่งถูกตั้งชิดผนังเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าด้านนอกมีห้องรับรองอีกหลายห้อง เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีชุดโซฟาอยู่ภายในห้องทำงานของตน

“นี่มันที่ทำงานนะครับ เดี๋ยวก็มีใครเข้ามาเห็นหรอก”

“แค่นั่งตักไม่เห็นเป็นไรเลย อีกอย่างก่อนจะมีใครเข้ามาคุณก้อยจะต้องโทรเข้ามาแจ้งก่อน”เขาพูดพลางจับข้อมือเล็กบางและดึงเบาๆให้เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง ปภินวิชยังขยับขยุกขยิก เขาจึงประสานมือเกี่ยวเอวบางไว้

“ดูข้อมูลเรื่องที่จะเรียนแล้วหรือ”

“ครับ ผมว่าจะลงเรียนกศน.แล้วค่อยไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“จะกลับไปเรียนมอปลายต่อก็ได้นะ”

“ไม่เอาหรอกครับ ต้องเสียเวลาอีกปีไปนั่งเรียนทำไม”ปภินวิชพูดก่อนจะขยับเอี้ยวตัวหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม “นายท่านว่า ผมเรียนอะไรดีครับ เอาแบบจบมาแล้วได้เป็นหัวหน้าคุณกลอนน่ะ”

พฤทธิกรกลอกตาพลางใช้ความคิดทั้งที่ยังประดับรอยยิ้มบางบนใบหน้า “กลอนเรียนบัญชีแต่จบด้วยคะแนนเกียรตินิยม”

“หน้าตาแบบนั้นเนี่ยนะ”สีหน้าของปภินวิชบ่งบอกว่าน่าเหลือเชื่อ

“ส่วนเอกจบสาขาการตลาด”เห็นเด็กหนุ่มทำท่าเหมือนนึกไม่ออกว่าเขาหมายถึงใคร พฤทธิกรจึงกล่าวขยายความต่ออีกหน่อย “ผู้ชายอีกคนที่นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับเธอน่ะ”

เด็กหนุ่มจึงร้องอ้อพร้อมพยักหน้ารับรู้

“แต่คุณก้อยจบมนุษยฯ และพูดได้หลายภาษา เพราะฉะนั้นเธออยากเรียนอะไรก็เรียนเถอะ เรียนในสิ่งที่ชอบจะได้ไม่อึดอัด”

“ผมไม่รู้ว่าชอบอะไรน่ะสิครับ”เด็กหนุ่มพูดออกมา “พวกเพื่อน ๆ ผมที่เรียนชั้นเดียวกัน ส่วนใหญ่ก็เรียนวิศวะ หรือไม่ก็สถาปัตย์”

“อืม งั้นคงต้องส่งเธอไปอยู่ฝ่ายช่าง”

“ง่ะ”คนฟังหน้างอ “แล้วถ้าผมเรียนหมอล่ะ”

“ก็จะให้เป็นหมอประจำบริษัท ไม่ต้องจ้างหมอหรือพยาบาลข้างนอกแล้ว”

“แต่ละอย่างตำแหน่งต่ำกว่าคุณกลอนทั้งนั้น”เด็กหนุ่มนั่งมองไปมองมาอยู่พักหนึ่งจึงร้องออกมาว่า “ผมนึกออกแล้ว” พลางกระโดดลงจากตักของชายหนุ่มพร้อมกล่าวประโยคต่อไปด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“เดี๋ยวผมไปซื้อหนังสือก่อน”

“ให้รอไหม หรือจะกลับไปที่คอนโดก่อน”

“อืม... ถ้าผมกลับมาไม่ทันเวลาเลิกงาน นายท่านกลับไปก่อนเลยก็ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะโทรหาแล้วแวะไปรับแล้วกัน”

“อย่างนั้นก็ได้ครับ”เมื่อตกลงนัดแนะกันเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มจึงเดินออกจากห้องแวะบอกสุธาณีอีกครั้งก่อนเดินเข้าลิฟต์

ปภินวิชใช้บริการรถไฟบีทีเอสมาลงที่สถานีกลางเมืองซึ่งบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งร้านหนังสือของมหาวิทยาลัย ในความคิดของเขา การเรียนต่อเพื่อให้วุฒิการศึกษาน่าจะไม่ใช่เรื่องยากแต่การสอบเข้าเพื่อให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยน่าจะยากกว่ามาก เพียงแต่ความยินดีที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปมันมากมายเสียจนต่อให้ต้องลำบากตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ เขาก็ไม่หวั่น

เขาอยากเรียนกฎหมายเพราะได้ข้อคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้ารู้กฎหมายมันคงทำให้เขาระวังตัวไม่เชื่อใจคนอื่นง่าย ๆ อีก หรือต่อให้เกิดเรื่องเกิดราว มันน่าจะมีช่องทางให้เขาเรียกร้องอะไรได้บ้างไม่ใช่ได้แต่จำยอม ปภินวิชให้เหตุผลกับตัวเองอีกอย่างว่า ในกลุ่มผู้ช่วยของนายท่านยังไม่มีใครที่จบกฎหมายเลย แต่ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เพราะเด็กหนุ่มไม่แน่ใจ ถ้าเรียนบัญชีแบบหลานชายปากเสียคนนั้น ตนจะสามารถจบด้วยคะแนนระดับสูงได้

“ปลา”เสียงเรียกมาพร้อมแรงฝ่ามือที่กระทบบนไหล่ เขาสะดุ้งเพราะกำลังเพลินกับการอ่านรายละเอียดในหนังสือ เมื่อหันไปเห็นหน้าคนที่เข้ามาทักจึงหลุดร้องอุทานเสียงดัง ก่อนจะต้องยกมือปิดปากเพราะเสียงของตนดึงดูดสายตาจากคนทั้งร้าน

“มาได้ไง”

“กูต่างหากที่ต้องถาม ว่ามึงมาอยู่นี่ได้ไง”ฝ่ายนั้นกระซิบพูดเสียงเบาจากนั้นจึงพยักพเยิดชวนปภินวิชออกไปคุยกันด้านนอก คนที่เข้ามาทักเด็กหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยม มีชื่อว่าทธรรษ

“มึงหายไปอยู่ไหนมาวะ กูโทรไปก็ไม่เคยรับสาย”

“โทษที พอดีกูไม่ค่อยสะดวกว่ะ”

“กูบอกแล้ว ถ้ามึงมีปัญหาอะไรบอกกูได้ พ่อแม่กูยินดีช่วยมึงอยู่แล้ว”

“กูขอบใจ”เด็กหนุ่มเอ่ยบอกไม่ได้ฟื้นฝอยเรื่องที่ผ่านไปแล้วกลับมาพูดอีก ช่วงเวลาแบบนั้นถ้าใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ แค่เสียพ่อแม่ไปเขาก็รู้สึกเคว้งคว้างพอแล้ว ยิ่งต้องมาเจอญาติที่ตนรู้จักมาตั้งแต่เด็กหลอกโกงเงินไปอีก ตอนนั้นเขาตื้อตันคิดอะไรไม่ออกได้แต่ระแวงกลัวไปหมด กลัวว่าถ้าไปหลงเชื่อคำคนง่าย ๆ แม้แต่ชีวิตตัวเองกับน้องสาวก็คงอาจไม่เหลือ

“แต่ตอนนี้กูไม่เป็นไรแล้ว สุขสบายดีด้วย”

“เหรอ”ทธรรษกวาดสายตามองเขาตั้งศีรษะจรดปลายเท้า ปภินวิชได้แต่พยายามยกยิ้มเจื่อนเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง

“แล้วมึงมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”

“อ้อ กูมาหาหนังสือ ตั้งใจว่าจะแอดเข้ามหา’ลัย”

“เฮ้ยจริงดิ ดีใจว่ะ เข้ามหา’ลัยกูนะ เดี๋ยวกูเทคมึงเอง”

“เดี๋ยวๆ ก็จำได้ว่า สมัยมอปลายมึงจะเข้าวิศวะ”หลังจากนั้นพวกเขาจึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอีกยาว ทธรรษจึงชวนเขาให้ไปนั่งคุยกันต่อในร้านคอฟฟี่ช็อปใกล้ๆ กระทั่งใกล้เวลาเลิกงานของพนักงานบริษัท เสียงโทรศัพท์มือถือของเด็กหนุ่มจึงส่งเสียงร้องดังขึ้น ปลายสายเป็นพฤทธิกรที่โทรมาถามว่าจะให้ไปรับที่ไหน

“มารับผมที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเอ็มบีเค(MBK)ก็ได้ครับ”ปภินวิชรับคำอีกสองสามประโยคจึงวางสาย

“ใครวะ”

“น้าที่กูอยู่ด้วย เขาทำงานอยู่แถวนี้เลยจะวนรถมารับ”

“อ้อ แล้วมึงทำงานอะไรวะ แต่งตัวแบบนี้”

“เป็นพ่อบ้าน”เขาบอกออกไปตามตรง เพราะเมื่อมานึกดูแล้วจะมีพนักงานทำความสะอาดที่ไหนทำงานสบายและได้เงินเดือนเยอะเท่าเขาแถมเจ้านายทั้งรักทั้งหลง อีกอย่างมันเป็นงานสุจริต เขาไม่จำเป็นต้องอายเสียหน่อย

ทธรรษสบถออกมา “จริงดิ”

“อ้าว กูจะโกหกเพื่ออะไร”

“จะว่าไปก็ดีว่ะ เลิกงานเร็วกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา”ทธรรษพูดออกไปตามที่ตนเห็น เข้าใจว่าการที่ปภินวิชออกมาเดินเที่ยวได้คงเพราะต้องหมดเวลางานแล้ว

“เดี๋ยวกูต้องไปรอน้าที่ป้ายรถเมล์แล้ว”เมื่อบอกออกไปเช่นนั้นทธรรษจึงลุกยืนเดินตามมาด้วย ซ้ำยังย้ำบอกว่าจะช่วยติวให้

“เออ”เขาลากเสียงตอบรับ “กูรู้แล้วย้ำจัง”

“ก็กูอยากให้มึงเข้ามหา’ลัยกู มึงไม่รู้หรอก กูโคตรดีใจที่เจอมึงวันนี้”จากนั้นยังพร่ำบ่นที่เด็กหนุ่มหายไปจากทุกสังคมบนออนไลน์และไร้การติดต่อ

“เออ ๆ ไว้กูโทรหา”เขาบอกเพื่อนอีกครั้งเมื่อเหมือนเห็นรถยนต์ของพฤทธิกรมาแต่ไกล เขาไม่แน่ใจนักแต่เพราะมันเป็นรถยนต์ยี่ห้อหรูซึ่งเห็นได้น้อยบนท้องถนนเขาจึงคิดว่าน่าจะใช่

“น้ามึงมาถึงแล้วเหรอวะ”

จนเมื่อรถยนต์คันนั้นจอดเทียบตรงหน้า ปภินวิชถึงแน่ใจ เขาโบกมือลาเพื่อนสนิทที่เจอกันโดยบังเอิญอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายนั้นสบถคำหยาบอ้าปากตาโตเมื่อเห็นป้ายบอกยี่ห้อพร้อมร้องย้ำให้รับโทรศัพท์ตอนที่เขาเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ

“ใครน่ะ”เสียงถามดังขึ้นทันทีที่ประตูรถยนต์ปิดลง คนขับรถวันนี้เป็นธนา เขาเปิดไฟเลี้ยวเพื่อขอทางก่อนเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถยนต์ให้เข้าสู่ช่องจราจร

“เพื่อนสมัยมัธยมครับบังเอิญเจอกันที่ศูนย์หนังสือ เขาบอกจะติวสอบให้ ผมขอไปติวกับเพื่อนได้ไหมครับ”

“อืม ได้สิ แล้วตกลงจะสอบเข้าคณะอะไรล่ะ”

ปภินวิชยิ้มกว้าง นึกอยากพูดอวดแต่กลัวว่าจะสอบเข้าไม่ได้จึงได้แต่บอกว่าเป็นความลับ


==== ต่อข้างล่างอีกนิด====

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
กิจวัตรหลังจากนั้นก็เป็นไปตามปกติ กระทั่งช่วงประมาณหนึ่งทุ่มหลังจากที่ทุกคนทานอาหาร อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนและมานั่งรวมกันอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว เสียงโทรศัพท์ของปภินวิชได้ดังขึ้น พฤทธิกรค่อนข้างจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะตั้งแต่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีสัญญาณสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเด็กหนุ่ม

เจ้าของโทรศัพท์มองรายชื่อบนหน้าจอก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกระเบียง

“น้ามึงทำงานอะไรวะ ถึงได้ซื้อจากัวร์มาขับได้”ก่อนหน้าประโยคนี้ของทธรรษ เด็กหนุ่มโดนอีกฝ่ายสบถด่าใส่ทันทีที่เขาส่งเสียงตอบรับกลับไป

“ก็พนักงานบริษัท แต่เขาอยู่ในตำแหน่งบริหาร”

“โชคดีว่ะมึง อย่างนี้มึงคงไม่ต้องลำบากเอาพวกเงินชดเชยออกมาใช้แล้วใช่ม้า”

ปภินวิชไม่ตอบและเขาไม่เคยบอกใครเรื่องยอดเงินที่ควรเป็นของเขาแต่มันกลับไปอยู่ในกระเป๋าคนอื่น พวกเขารู้กันอยู่แค่สองคนพี่น้อง และเป็นปวันรัตน์เองที่บอกกับเขาว่า ‘ช่างมันเถอะ’

“แล้วน้ามึงดุหรือเปล่า”

ทั้งที่ช่วงบ่ายก็นั่งคุยกันไปหลายชั่วโมงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าทธรรษยังชวนคุยได้ไม่หยุด กระทั่งปภินวิชต้องออกปากขอวางสายเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้องมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ แถวผนังกระจก 

“กูจะไปนอนแล้ว เดี๋ยวถ้าว่างวันไหน กูจะโทรไปบอก”

“รีบ ๆ ว่างเลย กูจะไปพามึงไปเลี้ยง”จบประโยคนั้น ปภินวิชจำต้องคุยกับปลายสายอีกยาว ก่อนจะได้วางสายเมื่อเวลาล่วงผ่านไปอีกร่วมชั่วโมง เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าห้องนอนของนายท่านอีกเช่นเคย ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง

“ขอโทษครับ ที่ผมคุยโทรศัพท์นาน”

“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่ง่วงเท่าไหร่”พฤทธิกรพูดพลางวางหนังสือไว้บนหลังตู้เตี้ยซึ่งตั้งอยู่ชิดหัวเตียง “มานอนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”

ปภินวิชสาวเท้าปีนขึ้นเตียงทว่ายังขยับตัวนั่งเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม “เรื่องที่เพื่อนจะช่วยติวให้ มันว่างช่วงเย็น ๆ ผมขอไปหามันตอนช่วงนั้นได้ไหมครับ” ในใจเต้นตุ๋ม ๆ ต่อม ๆ เรื่องที่ทธรรษจะช่วยติวเตรียมสอบให้เป็นเรื่องจริง แต่ฝ่ายนั้นอยากจะพาเขาไปเลี้ยงฉลองในร้านที่เปิดเฉพาะตอนกลางคืนด้วยเช่นกัน ตัวเขาที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ถ้าบอกเรื่องเที่ยวออกไปตามจริงต้องโดนห้ามอยู่แล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะแอบไปไม่บอกให้พฤทธิกรรู้

“อ้อ อืมได้สิ แล้วเรื่องข้าวเย็นจะเอายังไง”

“เดี๋ยว ผมจะกลับมาทำไว้ให้”

“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เธอไม่ต้องกลับมาทำหรอก แค่อยากรู้ว่าเธอจะกลับมาทานหรือเปล่า หรือจะทานกับเพื่อน”

“ไว้ผมค่อยโทรมาบอกดีกว่าครับ ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“อืม... นอนเถอะ”

เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ปิดเปลือกตาแต่ในใจนึกทวนบทสนทนาทางโทรศัพท์กับทธรรษและอยากให้ถึงวันที่เพื่อนกำหนดพาไปเลี้ยงเร็ว ๆ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ให้น้าฤทธิ์รู้ทีหลังระวังคนแก่จะน้อยใจนะปลา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไม่แน่ใจว่าอ่านตกตรงไหนหรือเปล่า ทำไมถึงไม่อยากให้น้าชากับปลาเจอกัน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นอยด์แล้วนะนั้น

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ลืมไปเลยว่าเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน

สนุกมากค่ะ กลับมาติดตามต่อ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
13


ถึงจะบอกชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นกึ่ง ๆ ผู้ปกครองว่าไปติวหนังสือกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย แต่เวลาส่วนมากของปภินวิชก็หมดไปกับการเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนฝูง เนื่องด้วยยังไม่มีทางได้วุฒิการศึกษาภายในปีนี้อย่างแน่นอน นั่นจึงส่งผลให้ไม่มีสิทธิ์สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มยังคงไปทำงานเป็นพ่อบ้านคนทำความสะอาดที่บริษัทของพฤทธิกรในช่วงเช้าเช่นเดิม เพราะกลุ่มเพื่อนที่ทธรรษพาไปรู้จักต่างมีเวลาว่างตรงกันช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานพอดี เพียงแต่ปภินวิชยังไม่มีโอกาสตอบตกลงคำชวนของทธรรษที่เคยบอกว่าจะพาไปเลี้ยงในร้านซึ่งเปิดแต่กลางคืนเสียที เหตุผลประการสำคัญนั่นคือ เขากลัวโดนดุ ประจวบกับถึงกำหนดนัดหมายที่ปวันรัตน์ต้องไปรับยาเคมีบำบัด ปภินวิชจึงมีข้ออ้างให้บอกปัดกลุ่มเพื่อน

ช่วงนั้นนายจ้างอย่างพฤทธิกรยังใจดีอนุญาตให้เขาหยุดงานได้ น้องสาวของเขาแสดงอาการแพ้หลายอย่างทั้งอาเจียน อ่อนแรง มีไข้และเบื่ออาหาร เธอจึงได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงกระทั่งพ้นวันที่สามหรือสี่หลังได้รับยา อาการต่างๆถึงได้ทุเลาลง เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมามุอ่านหนังสือเรียนบ้างเนื่องจากเธอเรียนช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เด็กสาวกลัวว่าตัวเองจะเป็นเด็กโข่งหากต้องซ้ำชั้นอีกปี

ฝ่ายพฤทธิกรเริ่มงานยุ่งขึ้นเพราะเรื่องการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์แห่งใหม่ กลายเป็นว่า ปภินวิชดูคล้ายว่างงานที่สุด

“ตอนน้ามึงอยู่ มึงก็ไม่กล้าขอเขา กูจะไปขออนุญาตให้มึงก็ไม่เอา น้ามึงไม่อยู่มึงก็ไม่ออกมาอีก”วันนั้นทธรรษโทรมาหา และเซ้าซี้คะยั้นคะยอชวนไปเที่ยวกลางคืนเช่นเดิม

“กูไม่เห็นว่ามันจำเป็นต้องไป”ตอนที่โดนเอ่ยปากชวนครั้งแรก ปภินวิชรู้สึกอยากไปลองสัมผัสอยู่หรอก แต่พอถึงตอนที่ต้องเอ่ยปากบอก หรือถ้าชายหนุ่มรู้ว่าเขาอยากไปเที่ยวสถานที่อโคจรแบบนั้น พอนึกว่าจะโดนมองด้วยสายตาแบบไหน เขากลับไม่อยากไปเสียดื้อๆ

“เดี๋ยวมึงเข้ามหา’ลัยได้ มึงต้องโดนบังคับไปอยู่ดีแหละ”

“ก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อน”

“ระวังจะโดนมอม แล้วลากไปปู้ยี่ปู้ยำไม่รู้ตัว”ทธรรษขู่มาอีกประโยค “กับรุ่นพี่กับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอหน้าค่าตากัน มึงคิดว่าจะเชื่อใจได้หรือวะ อยู่กับกูต่อให้มึงเมาแค่ไหนกูดูแลมึงอยู่แล้ว มึงต้องลองจะได้รู้ว่าลิมิตตัวเองอยู่แค่ไหน”

ปภินวิชส่งความเงียบตอบกลับไปด้วยความลังเล

“งั้นเดี๋ยวกูไปรับมึงหน้าคอนโด”โดนปลายสายส่งเสียงรวบรัดตัดความกลับมา เด็กหนุ่มจึงต้องรีบร้องห้าม “จะให้ไปเจอที่ไหนว่ามา เดี๋ยวกูไปหามึงเอง”ทธรรษจึงส่งเสียงระรื่นกลับมาว่าเดี๋ยวแชร์โลเคชันไปให้ ปภินวิชวางสายแล้วคิดเอาง่าย ๆ ว่าไปแค่พักเดียว สักสี่ห้าทุ่มค่อยกลับ วันที่พฤทธิกรมีงานยุ่งแบบนี้กว่าจะได้กลับก็เที่ยงคืนตีหนึ่งไปแล้ว อย่างไรเขาคงกลับมาถึงห้องก่อนอีกฝ่าย

ตอนที่เด็กหนุ่มเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และกลับออกมาที่โถงด้านนอก น้องสาวจึงส่งเสียงถามว่า “พี่ปลาจะไปไหนอะ”

“พอดีฟรังค์มันมีปัญหานิดหน่อย พี่เลยว่าจะไปดูมัน”

ปวันรัตน์พยักหน้ารับ ฟรังค์คือชื่อเล่นของทธรรษซึ่งเธอเคยเจอเพื่อนพี่ชายคนนี้อยู่บ่อยครั้งยามที่ฝ่ายนั้นมาเที่ยวเล่นที่บ้าน

“แล้วพี่จะค้างบ้านพี่ฟรังค์หรือเปล่า”

“คงไม่หรอก อาจจะกลับสักสี่ห้าทุ่ม ปุ้ยนอนก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรอ”

เธอขานเสียงตอบก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับหน้าหนังสือ

เด็กหนุ่มพรูลมหายใจเมื่อก้าวพ้นออกจากประตูห้อง หัวใจที่เต้นแรงตึกตักจึงค่อย ๆ ลดจังหวะลง เขาใช้บริการลิฟต์ลงมายังชั้นหนึ่ง และขึ้นรถแท็กซี่ไปยังจุดนัดหมาย

กรุงเทพฯ ยามค่ำคืนยังคงสว่างไสวแม้ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีดำสนิท ปภินวิชทอดสายตามองรถยนต์ซึ่งยังคงแล่นขวักไขว่อยู่บนท้องถนน เขาใช้เวลาไปอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงสถานบันเทิงที่เพื่อนส่งพิกัดมาให้ กระนั้นยังดูเหมือนว่าเขามาเร็วเกินไป เมื่อโทรศัพท์หาคนที่โทรนัดแล้วปลายสายกลับบอกว่ายังมาไม่ถึง

“อะไรวะ งั้นกูกลับแล้วนะ”

“เฮ้ย ๆ เดี๋ยวดิ ใจเย็น ๆ กูจะถึงแล้วอีกไม่เกินสิบนาที”

“กูอยู่ได้แค่สี่ทุ่ม มึงมาไม่ถึงกูก็กลับ”ปภินวิชพูดออกไปก่อนจะกดตัดสาย นึกขุ่นเคืองที่โดนหลอกให้มายืนรอ ใบหน้าจึงงอหงิกไม่รับแขกยามที่ทธรรษมาถึง

“โอ๋ ๆ ไม่โกรธนะปลาน้อย”ฝ่ายนั้นพูดพลางเดินเข้ามายกแขนโอบไหล่วางมือลูบศีรษะ ปภินวิชเบี่ยงตัวออกแต่โดยทธรรษเกี่ยวคอไว้อย่างรู้ทัน

“ปลาน้งปลายน้อยอะไรของมึง สี่ทุ่มกูกลับ”คนพูดเสียงแข็ง

“สามทุ่มสี่สิบห้าแล้วมึง จะทันได้แดกอะไรไหมเนี่ย”

“งั้นกูกลับ”

โดนย้ำคำนี้หนัก ๆ เข้า ทธรรษจึงต้องหันไปเร่งกลุ่มเพื่อนคนอื่นให้รีบเดินเข้าไปข้างใน ไม่กล้าโอ้เอ้อะไรอีก เพราะขืนอยู่ริมถนนบริเวณหน้าร้านนานไป คนที่พูดว่า ‘จะกลับ’ คงได้โบกแท็กซี่กลับบ้านไปก่อนจริง ๆ

ร้านที่ทธรรษพาเพื่อนอย่างปภินวิชมาเปิดหูเปิดตา เป็นร้านที่รู้จักกันดีว่าไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องอายุคนที่เข้าใช้บริการ พวกเขาจึงเดินผ่านเข้าไปโดยสะดวก บรรยากาศภายในร้านแตกต่างจากความสว่างไสวของด้านนอก นอกจากแสงไฟวูบวาบที่ทำให้มองไม่ค่อยเห็นทาง เสียงเพลงยังดังกระหึ่มจนรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังเต้นตามจังหวะบีตของดนตรี

เด็กหนุ่มเดินตามกลุ่มเพื่อนไปยังโต๊ะที่เหมือนว่าถูกจองไว้ก่อนหน้าแล้วซึ่งอยู่แถวหน้าเวที ขณะนั้นบนเวทีเตี้ย ๆ ยังมีนักดนตรีที่กำลังทำการแสดงอยู่ รอบโต๊ะกลมที่สูงประมาณเอวมีเก้าอี้อยู่แค่สี่ตัว แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มเพื่อนของทธรรษที่เหมือนว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี เพราะบางคนยืนเขย่าตัวตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนานไปก่อนแล้ว

จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าตื่นสถานที่ก็คงไม่ใช่ ปภินวิชแค่คิดว่าทุกอย่างมันแปลกตาไปเสียหมด เขาเคยเห็นภาพแบบนี้มาจากสื่ออื่น ๆ มาบ้าง แต่เมื่อสัมผัสด้วยตัวเองจริง ๆ มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง

“ลองดู”ทธรรษยื่นแก้วมาให้พร้อมตะโกนบอกเสียงดังข้างหู แม้ในแสงสลัวเช่นนี้เขายังเห็นว่ามันเป็นสีดำเข้ม เขายกมันขึ้นจิบ รสชาติเหมือนน้ำอัดลมทั่วไปแต่พอจะรับรู้ได้ว่ามันผสมอะไรบางอย่าง

“แรก ๆ มึงลองกินแบบนี้ไปก่อน”เพื่อนสนิทโน้มตัวมาตะโกนบอกเขาอีกรอบ พร้อมกับยกแก้วของตัวเองที่สีจางกว่าชูขึ้นชนแก้วกับเขา ก่อนจะยกดื่มราวกับมันเป็นน้ำเปล่า ปภินวิชจึงยกดื่มจนหมดแก้วบ้าง เมื่อวางแก้วลง ทธรรษก็ชงแก้วต่อไปให้เขาอย่างรวดเร็ว



กวีวัธน์ทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะพยายามพาตัวเองแทรกผ่านฝูงชนคับคั่งก้าวขึ้นบันไดผ่านไปยังชั้นสอง เปิดประตูห้องวีไอพีเข้าไปซึ่งทำให้เสียงดังกระหึ่มด้านนอกลดลง แต่ลดลงในระดับที่ไม่จำเป็นต้องตะโกนคุยกันเท่านั้น เขาเพิ่งเลิกงานและเหลืออีกแค่สองชั่วโมง กว่าร้านจะปิดตามกฎหมาย เสียงเพลงจังหวะสนุกทำให้ชายหนุ่มรู้สึกง่วงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“มีอะไร รีบพูดรีบกลับ”

“จะรีบไปไหนวะ เพื่อนฝูงอุตส่าห์นัดสังสรรค์”

ชายหนุ่มถอนหายใจ จากนั้นจึงรับเครื่องดื่มที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้ยกขึ้นดื่ม “จะนัด ทำไมพวกมึงไม่นัดวันศุกร์หรือวันเสาร์ พรุ่งนี้กูต้องทำงาน แทนที่จะได้กลับไปนอน”

“ทำอย่างกับมึงยอมออกมาง่าย ๆ”

“เออ ไหน ๆ ไอ้กลอนมันอยากกลับแล้ว พวกเราก็กลับกันเหอะ”อีกคนพูดออกมาบ้าง “เรียกเก็บเงิน มึงต้องจ่ายด้วยนะ”

กวีวัธน์สบถ “นี่พวกมึงเรียกกูมาหารเหรอ”

“เออ เพิ่งรู้เหรอ”สามคนที่เหลือหัวเราะกันครื้นเครง แตะมือกันด้วยความสนุกสนาน เขาหน้าคว่ำแต่ยอมควักเงินออกมาจ่ายแต่โดยดี บ่นในใจว่าอย่าให้ถึงทีเขาบ้าง

กลุ่มเพื่อนของเขาแต่ละคนทำงานแล้วทั้งนั้น กวีวัธน์จึงคิดว่าการที่พวกมันนัดมารวมกันทั้งที่วันรุ่งขึ้นต้องทำงาน คงต้องมีสาเหตุสำคัญ ที่ไหนได้... ชายหนุ่มคิดอย่างแค้นเคือง เขายกดื่มรวดเดียวไปอีกสองแก้ว อย่างน้อยจะได้คุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายไปหน่อย

กวีวัธน์เดินตามเพื่อนลงมาจากห้องวีไอพีบนชั้นสอง สถานบันเทิงยามเที่ยงคืนกำลังคึกคัก นักเที่ยวกำลังเมา มึนและสนุกได้ที่ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานเขาก็อยากจะลงไปสนุกด้วยอยู่หรอก

“โอ๊ะ”กวีวัธน์หลุดร้องอุทานพร้อมยื่นแขนออกไปรั้งร่างที่กำลังเซล้ม

“ไหวไหมเนี่ยมึง”

เสียงนั้นเรียกสายตาของกวีวัธน์ให้เหลือบขึ้นไปมอง ชายคนนั้นยื่นมือมาช่วยพยุงร่างที่เซพิงเขาอยู่ แต่เมื่อกดสายตาลงมองและได้เห็นดวงหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กกว่าได้ชัดเจน กวีวัธน์จึงเผลอคิดไปว่า ตนเองช่างดวงสมพงศ์กับอีกฝ่ายเหลือเกิน เพราะครั้งนี้ก็บังเอิญเจอแบบไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว

“ขอโทษนะครับ”เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยบอกดูท่าว่าจะเมามากจนเห็นหน้าเขาไม่ชัดหรือเมาจนจำหน้าใครไม่ได้ก็ไม่รู้ จากนั้นจึงหันไปเกาะผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน และเมื่อสังเกตดูดี ๆ ผู้ชายคนนั้นก็คุ้นตาสำหรับเขาเหมือนกัน เขามองสองคนนั้นเดินหายไปในฝูงชน จากนั้นจึงพาตัวเองฝ่านักเที่ยวซึ่งเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปยังประตู

ตอนที่กวีวัธน์พาตัวเองออกมานอกร้านได้แล้ว ปรากฏว่ากลุ่มเพื่อนยังคงยืนรออยู่

“อะไรวะ กูนึกว่ามึงเดินตามมาเสียอีก กำลังจะกลับเข้าไปตามอีกรอบแล้ว”

“ไม่มีอะไร แค่บังเอิญเจอคนรู้จัก”

“สวยหรือเปล่าวะ”เพื่อนอีกคนถามขึ้นมาทันควัน

“กูไม่รู้เหมือนกัน เพราะแม่งเป็นผู้ชาย”

“เปลี่ยนรสนิยมเมื่อไหร่วะ”คำถามแซวถูกส่งมาอีกรอบ

“ของน้ากู”

“อ้อ”แต่ละคนจึงส่งเสียงขานรับ “แล้วไง มึงจะรอเขา”

“เฮ้ย กูรอด้วย กูอยากเห็น”กลายเป็นเรื่องครึกครื้นไปเสียอีก กลุ่มเพื่อนของกวีวัธน์รู้จักน้าชายของเขาจากการบอกเล่า และตอนที่พฤทธิกรขึ้นนั่งตำแหน่งประธานเป็นช่วงที่พวกเขาใกล้จะเรียนจบ จึงมีการเอ่ยแซวว่าอยากจะตีสนิทหลานชายท่านประธาน เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทที่น้าชายบริหารงานอยู่บ้าง

เมื่อมีกลุ่มเพื่อนยืนคุยอยู่ด้วย ระยะเวลาสองชั่วโมงจึงคล้ายว่าผ่านไปรวดเร็วกว่าเดิม สามคนนั้นเหมือนสร่างเมาไปเยอะ ผู้คนในร้านค่อยๆทยอยออกมาด้านนอกพร้อมกับเสียงเพื่อนคนที่บอกว่าอยากเห็นร้องถามมาว่าคนไหน

เขาจึงชี้มือไปยังคนที่โดนหิ้วปีกออกมาด้วยท่าทางเมาแอ๋

“แล้วไง มึงจะรับเขากลับหรือโทรบอกน้าฤทธิ์”

“ไม่ล่ะ กูแค่จะตามไปดูว่าคืนนี้เขาจะไปนอนที่ไหน”กวีวัธน์ตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

“มึงมันชั่ว”เสียงพูดด่าดังออกมาแทบพร้อมกัน คนโดนว่ากลับยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนสาวเท้าเดินนำเพื่อน ๆ ตามเด็กสองคนนั้นไปยังลานจอดรถ  เห็นกลุ่มเป้าหมายขับรถมาเองจึงเอ่ยปากบอกลาและขอบใจที่สามคนนั้นอยู่รอพูดคุยฆ่าเวลาเป็นนานสองนาน เร่งเดินกลับไปที่รถ สตาร์ทเครื่องขับตามออกไป

เขาขับรถเองเพราะเห็นว่าตัวเองออกมาเที่ยวดึก ๆ ดื่น ๆ จึงไม่อยากสร้างความลำบากให้คนขับรถมานั่งรอ

รถคันที่เขาขับตามมาเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้านหลังใหญ่ในเขตหมู่บ้านกลางเมือง เขาเห็นสภาพบ้านไม่ชัดเพราะความมืดของค่ำคืน กระนั้น กวีวัธน์ก็ยกยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่า คงจะมีเรื่องไว้เล่นงานเด็กนั่นอีกแล้ว



ปภินวิชรู้สึกตัวเพราะโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นระรัวไม่หยุด เขาพลิกตัวล้วงหยิบมันออกมา หรี่ตามองหน้าจอด้วยอาการสะลึมสะลือยังไม่ตื่นดี ทว่าเสียงจากปลายสายที่แสนคุ้นเคยนั่นทำให้เด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันใด

“ปลา อยู่ไหนน่ะ”

เขาพะอืดพะอมอยากอาเจียนแต่ต้องพยายามข่มกลั้นอาการอยากขย้อนของเก่า แล้วกวาดสายตามองรอบด้าน เห็นเพื่อนสนิทอย่างทธรรษนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน จึงได้ส่งเสียงตอบกลับไปว่า

“ผมอยู่บ้านเพื่อนครับ”ความทรงจำเมื่อคืนวานไหลย้อนกลับมาราวกับน้ำบ่า ซ้ำร้ายยังหนักศีรษะจนต้องยอมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

“ขอโทษครับ พ...”เด็กหนุ่มชะงักพยายามคิดคำแก้ตัว “พอดีเพื่อนผมมันอกหัก ผมเลยต้องอยู่ปลอบใจมัน”

“อ้อ”เสียงปลายสายตอบรับกลับมา “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็ไม่ต้องเข้าไปที่สำนักงานหรอก อยู่จนกว่าเพื่อนจะรู้สึกดีก็ได้”

“ครับ”

จากนั้นปลายสายจึงตัดไป เขาถอนหายใจและหลับตาลงอีกครั้ง ไม่คิดว่าเมื่อคืนเขาจะเมานักขนาดนี้ ไม่เชิงว่าไม่รู้ตัวแต่เหมือนจะควบคุมร่างกายไม่ได้เสียมากกว่า เด็กหนุ่มนึกพลางพยายามย้อนคิดทวนความทรงจำ เพราะเครื่องดื่มที่ทธรรษชงให้มันอร่อยดี เขาจึงดื่มเสียเพลิน พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ทรงตัวไม่อยู่เสียแล้ว

“ไงจ๊ะ แฮงก์มากไหม”เสียงพูดนั้นมาพร้อมวงแขนที่รวบตัวเขาเข้าไปกอดรัด ปภินวิชจึงถองเข้าใส่พลิกตัวไปยันอีกฝ่ายให้ออกห่าง ชันตัวลุกขึ้นนั่งและพูดด้วยความฉุนเฉียว

“กูบอกจะกลับสี่ทุ่ม แม่งเอ้ย!!! เพราะมึงเลย”

ทธรรษหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำว่ากล่าว เขายังนอนเอกเขนกตอนที่พูดถามเรื่องสายโทรเข้าที่ปลุกให้พวกเขารู้สึกตัวตื่น “น้ามึงโทรมาเหรอ”

“อืม”

“คิดอะไรมากวะ ตอนที่กูถาม มึงก็บอกว่าเขาไม่ดุ”

“ปกติก็ไม่ดุ แต่ตอนที่ทำหน้าดุขึ้นมาน่ากลัวมาก”

“กูโคตรไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ออกมาอยู่กันเอง มึงก็สิบเก้าแล้ว ตอนนั้นกูชวนให้มาอยู่บ้านกู มึงก็ไม่มา”

“ก็หลาย ๆ อย่างน่ะ”

ทธรรษเห็นเพื่อนสนิทจงใจเลี่ยงการตอบคำถามจึงไม่คิดคาดคั้นอีก เขาลุกขึ้นไปหาเสื้อผ้าและผ้าขนหนูให้อีกฝ่าย “กูจะบอกมึงอีกครั้ง มึงมีเรื่องอะไรบอกกูได้ กูช่วยมึงไม่ได้ พ่อแม่กูเขาก็ยินดีช่วยมึง เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่มอหนึ่งแล้วนะเว้ย มันยังไม่นานพออีกเหรอ”

ปภินวิชเงียบไม่ตอบคำ

ระหว่างป้าที่เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อกับครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นเรียน เขาย่อมต้องยื่นมือหาญาติตัวเองก่อนอยู่แล้ว ตอนที่พ่อแม่เพิ่งเสียใหม่ ๆ ลุงกับป้าคอยช่วยเหลือเรื่องจัดการงานศพ ดูแลเขากับน้องสาวด้วยดีมาตลอด เด็กหนุ่มจึงไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงได้เปลี่ยนไปได้รวดเร็วอย่างนั้น

“เอาเหอะ ไปอาบน้ำซะมึง เดี๋ยวจะได้ลงไปกินข้าว”ทธรรษโยนของที่หยิบออกมาจากตู้ส่งให้เพื่อน ส่วนตัวเองถือผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟันในห้องน้ำเดินออกไปด้านนอก

เด็กหนุ่มลุกยืนเดินเข้าห้องน้ำ อาการมวนในท้องและศีรษะที่หนักอึ้งเล่นงานเขาอีกแล้ว แต่เมื่อได้อาบน้ำเย็น ๆ ปภินวิชรู้สึกได้ว่าอาการเมาค้างค่อยทุเลาขึ้น และตอนที่กลับออกมาจากห้องน้ำ เขาเห็นเจ้าของห้องสวมเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก

“ปะ เดี๋ยวกินอะไรสักหน่อย มึงจะค่อยยังชั่วขึ้น”

“ครั้งหน้ากูไม่เอาแล้ว แม่งไม่เห็นดี ปวดหัวฉิบหาย”

ทธรรษจึงถลาเข้ามากอดคอ “เฮ้ย! มันต้องฝึกเว้ย เมื่อคืนมึงกินแล้วเมาพอครั้งต่อไปมึงก็ไม่เมาขนาดนี้แล้ว เชื่อกู”

“ถามจริงพ่อแม่มึงไม่ว่าอะไรเหรอ”ปภินวิชหันไปถาม

“ไม่หรอก ขอแค่ผลการเรียนของกูไม่แย่ลง เรียนจบภายในสี่ปีแล้วก็ไม่โดนตำรวจซิว เขาไม่ว่าหรอก กูไม่เหมือนมึงนี่ กูอยากไป กูก็บอกเขา ไม่ใช่แอบไปเที่ยวอย่างมึง”

“ก็นั่นพ่อแม่มึงนี่หว่า”และพึมพำว่าไม่ใช่เพิ่งเข้าไปอยู่ด้วยกันแบบน้ากู “แล้วก็เพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้กูต้องหนีเที่ยว”

ทธรรษจึงเถียงพลางย้ำกลับไปว่า “กูบอกแล้วว่าให้มึงลองขอเขาดู น้ามึงก็ผู้ชายไม่ใช่เหรอ เขาต้องเข้าใจวัยรุ่นอย่างเรา ๆ อยู่แล้วน่า”

ปภินวิชถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

“งั้นก็ให้กูไปเจอเขา เดี๋ยวกูคุยให้”

คราวนี้เด็กหนุ่มรีบบอกปฏิเสธ ถ้าให้ทธรรษไปเจอกับพฤทธิกร เพื่อนสนิทคนนี้ต้องรู้แน่ว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่น้าของเขา ซ้ำร้ายอาจจะไปจุดความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชายหนุ่มอีกด้วย

ไม่เอาหรอก!!! ปภินวิชบอกตัวเอง เขายังไม่พร้อมที่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับพฤทธิกรสักหน่อย และไม่แน่ว่า อีกสักพักอาจจะมีผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นของนายท่านโผล่ออกมาแบบในละครก็ได้ หรือเผลอ ๆ นายท่านอาจจะมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

“เหม่ออะไรเนี่ยมึง”

ปภินวิชสั่นศีรษะระรัว ขณะที่คิดอย่างกังขา อายุระดับนายท่านมันควรแต่งงานมีลูกเล็ก ๆ สักคนสองคนแล้วไม่ใช่หรือไงนะ

เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ต้องเข้าไปทำงานอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงนั่งเล่นนอนเล่นอยู่บ้านเพื่อนจนเวลาค่อนบ่ายถึงได้ลากลับ เขาใช้บริการรถโดยสารสาธารณะไปลงที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ คอนโดของพฤทธิกร แล้วเดินเท้าจากป้ายรถเมล์ไปยังที่ตั้งคอนโด

ปกติเวลาที่จะออกไปไหน เขาเดินทางด้วยรถยนต์ของชายหนุ่มตลอด พอลองมาเดินเข้าซอยเองอย่างนี้จึงรู้สึกว่าระยะทางค่อนข้างไกลโข ทั้งยังเป็นซอยกว้างที่ต่างทางเข้าหอพักเดิม มีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารมากมายอยู่สองข้างทาง ตั้งแทรกสลับกับอาคารหอพักและอะพาร์ตเมนต์

เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาสำรวจสองข้างทาง ก่อนเดินเลี้ยวเข้าซูเปอร์มาเกตขนาดย่อมซึ่งตั้งอยู่บนทางผ่าน

เขาแวะโซนเครื่องแกงสำเร็จรูปเป็นอันดับแรก หยิบซองเครื่องต้มยำกับแกงส้มที่ตนอยากกินใส่ตะกร้า แล้วจึงเดินหาของสด เลือกหยิบกุ้งกับหมึกตัวโต ๆ ใส่ถุง เขาอยากทำต้มยำทะเลแต่ของสดอื่น ๆ เขาไม่รู้จักวิธีจัดการให้พวกมันลงไปอยู่ในหม้อจึงต้องมองผ่านไป จากนั้นจึงเดินหาเครื่องเทศอื่น ๆ แม้ว่าเครื่องต้มยำสำเร็จรูปจะทำให้แกงของเขากลายเป็นต้มยำเพียงแค่ฉีกซองใส่ลงไป แต่ปภินวิชอยากจะให้อาหารของเขาเหมือนต้มยำที่สุดเช่นเดียวกัน

หลังจากเลือกผลไม้ใส่ตะกร้า เขาก็ยกของทั้งหมดไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์

เดินออกมาจากซูเปอร์มาเกตแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่าเขาควรโทรศัพท์หาคนกินเสียก่อน

“วันนี้กลับดึกหรือเปล่าครับ”

“อืม คงต้องอยู่ดึกอีกวัน”

“ว้า”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ แค่จะถามถึงมื้อเย็น”ปภินวิชพูดบอกออกไปเสียงเบา

“ไว้พรุ่งนี้แล้วกัน”

เด็กหนุ่มตอบรับก่อนจะกดวางสาย “งั้นวันนี้ก็กินอะไรแบบธรรมดา ๆ แล้วกันเนอะปุ้ย เนอะ” เขาพูดกับตัวเอง หิ้วถุงใส่ของเดินต่อไปอีกไม่กี่นาที ตึกสูงชนิดเงยหน้ามองคอตั้งบ่าจึงปรากฏอยู่ตรงหน้า อาคารนั้นตั้งอยู่พื้นที่ที่มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด ประตูทางออกทั้งสองฝั่งด้านหน้ามีป้อมที่พักสำหรับพนักงานรักษาความปลอดภัย

เด็กหนุ่มที่เดินท่อม ๆ เข้าไปในเขตอาคารโดนพนักงานในชุดสีน้ำเงินเข้มเรียกตัวไว้ก่อน ฝ่ายนั้นเข้ามาสอบถามด้วยความสุภาพ จากนั้นจึงถามหาคีย์การ์ดเพื่อยืนยันตัวตนเมื่อเขาตอบว่าพักอยู่ที่นี่ อย่างว่าแหละนะ เขาเข้าออกโดยอาศัยรถยนต์ตลอด พี่ยามจะไม่รู้จักเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจพลางนึกต่อไปว่า สมกับเป็นคอนโดคนรวยที่การดูแลรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม เพราะนอกจากมีป้อมรปภ.ตรวจคนเข้าออก ลิฟต์ขึ้นอาคารยังเป็นแบบแตะคีย์การ์ดก่อนกดเรียกอีกต่างหาก

กลับมาถึงห้องพัก เขาโดนน้องสาวยิงคำถามใส่ระรัว เนื่องจากช่วงนี้ยังปิดเทอมปวันรัตน์จึงอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน

“จะไม่กลับก็ไม่บอก ตอนเช้าน้าฤทธิ์ตกใจใหญ่เลยนะคะ”เธอรีบฟ้องเพราะชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องคิดว่า เขานอนกับน้องสาวเมื่อคืนถึงไม่มีการโทรศัพท์มาหา “ปุ้ยก็คิดว่า พี่ปลาไปนอนห้องน้าฤทธิ์”เด็กสาวเองเริ่มระแคะระคายในความสัมพันธ์ของพี่ชายกับพฤทธิกรบ้างแล้วเช่นกัน ทว่าปวันรัตน์กลับไม่ได้เอ่ยถามหรือออกความเห็นใดๆ

ด้วยเหตุนี้ ปภินวิชจึงปฏิเสธคำชวนไปเที่ยวกลางคืนครั้งต่อ ๆ มาของทธรรษโดยเด็ดขาด จะมีแต่ช่วงกลางวันเท่านั้นที่เด็กหนุ่มยังคงเที่ยวเล่นอยู่กับกลุ่มเพื่อนของอีกฝ่าย กระทั่งวันหนึ่งที่ทธรรษชวนไปเที่ยวอีกรอบ

“กูรู้แล้วไง แล้วทำไมกูต้องไปอีก”เด็กหนุ่มพูดเหตุผลเพื่อบอกปฏิเสธ

“แต่คราวนี้มันเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของกู มึงจะไม่มาเหรอ”หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของทธรรษเอ่ยขึ้น ปภินวิชจึงหันไปหาคนพูดแล้วบอกว่า “เฮ้ย งั้นสุขสันต์วันเกิด มีความสุขมาก ๆ นะ”

“เออ ขอบใจ แต่คืนนี้กูจองร้านไว้แล้ว มึงไม่คิดไปฉลองกับกูเหรอ”

“วันเกิดทั้งทีทำไมมึงไม่ไปทำบุญวะ กินแต่เหล้าเดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก”ปภินวิชพูด

“แหมะไอ้นี่ แช่งกูอีก ตอนเช้าแม่กูปลุกขึ้นมาตักบาตรแต่เช้าแล้วเหอะ เย็น ๆ มันต้องเป็นเวลาของเพื่อนฝูงดิวะ ตกลงมึงจะไปหรือไม่ไป ถ้ามึงไม่ไปกูจะคิดว่ามึงไม่อยากคบกู”

“โหมึง เล่นเอาคำนี้มาขู่”เด็กหนุ่มส่งเสียงชิชะไม่สบอารมณ์ “เออ ไปก็ได้เว้ย เดี๋ยวกูโทรบอกน้าก่อน”จากนั้นจึงลุกออกมาจากโต๊ะเดินออกมาจากร้าน พวกเขาจับจองโต๊ะที่นั่งอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ด ผนังหน้าร้านเป็นกระจกใส เขาจึงเห็นพวกนั้นยังนั่งคุยกันอย่างเฮฮาแม้จะเดินออกมาด้านนอกแล้วก็ตาม

ระยะเวลาผ่านไปร่วมสองอาทิตย์แล้วจากที่เขาไปเที่ยวกับทธรรษครั้งก่อน เหล่านักเรียนนักศึกษาได้กลับสู่ช่วงเปิดภาคเรียนอีกครั้ง ภายในห้างสรรพสินค้าจึงคลาคล่ำด้วยเด็กวัยรุ่นหลังเลิกเรียน

ปภินวิชยืนมองโทรศัพท์อยู่นานกว่าจะตัดสินใจโทรออก

“มีอะไรหรือเปล่า”ปลายสายเอ่ยถามทันทีที่ได้ยินเสียงเขา

“เอ่อ...พอดีวันนี้วันเกิดเพื่อนผมนะครับ ผมขอไปกินเลี้ยงวันเกิดกับเพื่อนได้ไหม”

“อืมได้สิ กลับดึกไหม”

“เดี๋ยวผมค้างบ้านเพื่อนดีกว่าครับ”

“อ้อ”พฤทธิกรเงียบไปอย่างน่ากลัวจนเขาต้องกลั้นหายใจรอ “ฝากอวยพรให้เพื่อนเธอมีความสุขมาก ๆ ด้วยละกัน”

ปภินวิชผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกหลังวางสาย ยกยิ้มขณะหมุนตัวก้าวเท้ากลับไปหากลุ่มเพื่อน จากนั้นต่างคนจึงต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวเมื่อรู้ผลลัพธ์ก่อนจะนัดไปเจอกันยังสถานที่จัดงาน

สถานที่จัดงานฉลองวันเกิดในคราวนี้เป็นคนละที่กับร้านที่ทธรรษพาไปครั้งก่อน แม้ร้านมีขนาดเล็กแต่กระนั้นเจ้าของงานยังใจป้ำถึงขั้นเหมาจองไว้ทั้งหมด ถึงจะรู้จักกันมาพักใหญ่แต่ปภินวิชเพิ่งรู้ว่าฝ่ายนั้นร่ำรวยก็ในครั้งนี้

แขกที่ได้รับเชิญมาร่วมงานมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายจนร้านเล็ก ๆ แห่งนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ฟังจากคำทักทาย แขกที่มามีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง เพื่อนเก่าสมัยมัธยมและเพื่อนในมหาวิทยาลัย บางคนไม่ได้มามือเปล่า ที่ถือของขวัญติดมือมาด้วยก็เยอะ ที่หิ้วขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาด้วยก็แยะ ส่วนปภินวิช เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนในกลุ่มของทธรรษซื้อเหล้านอกให้เจ้าของวันเกิดเช่นเดียวกัน

ร้านคึกคักด้วยเสียงดนตรีและเครื่องดื่มโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นเค้กวันเกิดสักกระผีก แก้วเครื่องดื่มของปภินวิชถูกเติมให้เต็มอยู่ตลอดเวลา และเมื่อถูกขอชนแก้วก็ต้องยกดื่มอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนส่งแก้วเครื่องดื่มแปลก ๆ มาให้เขาลองได้ไม่ขาด เพราะเหตุนั้นยังไม่ทันพ้นครึ่งคืนด้วยซ้ำ ปภินวิชจึงไม่สามารถครองสติตัวเองได้อีก



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ไม่แน่ใจว่าอ่านตกตรงไหนหรือเปล่า ทำไมถึงไม่อยากให้น้าชากับปลาเจอกัน

เหตุผลที่ไม่อยากให้น้าชากับปลาเจอกันยังไม่มีการเขียนเฉลยในเรื่องค่ะ มันยังเป็นความลับที่รู้กันสองคนระหว่างน้าฤทธิ์กับหลานกลอนค่ะ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เอาแล้วปลา เด็กไม่ดีต้องโดนลงโทษนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
14

กวีวัธน์กวาดสายตามองเหล่าเด็กวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่าตนเพียงไม่กี่ปี ซึ่งต่างกำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างเมามันตามจังหวะเสียงเพลงดังสนั่นอยู่ในร้าน นอกจากแสงไฟริบหรี่สลัว เขายังเห็นหมอกควันจากบุหรี่คลุ้งกระจายไปทั่ว แต่กลิ่นหอมหวานแปลก ๆ นั่นทำให้พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา

“คงต้องแยกกันหาละมั้ง”เขาหันไปพูดกับชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง  พุฒิพงศ์และธนากำลังกวาดสายตามองหาเป้าหมายเช่นเดียวกัน คืนนี้กวีวัธน์ยืมบอดี้การ์ดมาใช้โดยไม่ได้บอกน้าชาย และเคยยืมมาใช้ตั้งแต่เจอปภินวิชที่ผับเมื่อครั้งก่อนแล้วด้วย เพียงแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเนื้อหางานให้พฤทธิกรรับทราบเพราะเขากะจะเซอร์ไพรซ์น้าชายอีกรอบ

“ถ้าเจอแล้วส่งข้อความมานะครับ ผมอยากเห็นภาพคนเมา”ชายหนุ่มสั่งความ มองบอดี้การ์ดทั้งสองคนของพฤทธิกรในชุดลำลองธรรมดาเดินแทรกตัวปะปนไปกับกลุ่มวัยรุ่นที่ต่างเมากันอย่างได้ที่ ส่วนตัวเขาแค่กวาดสายตามองหาจากจุดที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูอีกครั้ง เมื่อเห็นบริกรของร้านเดินผ่านจึงกวักมือเรียกตัวไว้ ฝากข้อความให้ฝ่ายนั้นช่วยไปตามผู้จัดการร้าน เมื่อพนักงานเดินไปแล้วครู่หนึ่งต่อมา กวีวัธน์ก็ได้รับข้อความจากธนา

สภาพปภินวิชที่เขาได้เห็นดูดีกว่าที่คาดการณ์ไว้แม้จะเมามายไร้สติ

ที่กวีวัธน์อยากเห็นคือภาพของเด็กหนุ่มนัวเนียกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนสนิทนั่นต่างหาก โดยไม่รู้เลยว่าภาพเหตุการณ์ที่ว่า ถูกธนาและพุฒิพงศ์ซึ่งตามมาสมทบกับคู่หูก่อนหน้าที่หลายชายของนายจ้างจะมาถึงโต๊ะที่นั่งนั้น ทำการจัดฉากให้ทุกอย่างดูเรียบร้อยอย่างที่เจ้าตัวได้เห็นในปัจจุบัน

ชายหนุ่มจึงพยักพเยิดให้ทั้งคู่พาปภินวิชออกไปด้านนอกโดยที่ตนเองก้าวเท้านำไป

พ้นประตูหน้าร้าน กวีวัธน์ได้พบกับผู้จัดการร้านและบริกรคนนั้นหันรีหันขวางมองหาตนอยู่ เขาเดินเข้าไปหา มีพุฒิพงศ์เดินตามมา ขณะที่ธนาซึ่งแบกปภินวิชไว้บนหลังเดินเลยไปที่รถ

“รู้ไหมครับ ว่ามีการใช้ยาเสพติด”เขาถามซึ่งอีกฝ่ายมีท่าทางอึกอัก กวีวัธน์จึงหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋า

“เขาจ่ายเหมาร้านไว้เท่าไหร่”

เมื่อได้รับคำตอบ เขาจึงเขียนตัวเลขพร้อมลงลายเซ็นส่งให้คู่สนทนา “ถ้าพรุ่งนี้ผมเห็นข่าวการตรวจจับ คุณก็สามารถนำเช็คใบนี้ไปขึ้นเงินได้เลย แต่ถ้าไม่... ผมจะขอแนะนำให้คุณระวังตัวให้ดี”กวีวัธน์ยกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงสาวเท้าเดินกลับไปที่รถยนต์

ธนายืนรอเปิดประตูให้เขาอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อทุกคนขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย รถยนต์คันหรูจึงเคลื่อนที่ออกจากลานจอดรถ

กวีวัธน์ยิ้มระรื่นขณะมองเด็กหนุ่มที่นั่งพิงเบาะคอพับคออ่อน ถ้าเด็กนี่หัวอ่อนทำตัวน่ารัก ๆ มากกว่านี้อีกหน่อย เขาคงไม่ลงทุนลงแรงตามมาเฝ้า หรือต่อให้อีกฝ่ายมีปัญหาจริง ๆ เขาก็ยังคงเก็บเงียบไว้ไม่บอกให้น้าชายได้ฟัง

“ช่วยไม่ได้นะ คุณพลาดเอง”กวีวัธน์พึมพำบอกปภินวิชเสียงเบา



พฤทธิกรนอนหลับไปแล้วตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน เขาลุกขึ้นอย่างรีบร้อนเพราะกลัวว่าปวันรัตน์จะเกิดอาการเจ็บป่วยกลางดึก ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับเป็นหลานชายกับรอยยิ้มเผล่อันน่าหมั่นไส้ กวีวัธน์หลีกทางให้ธนาพาร่างปภินวิชมาวางลงบนเตียง หลานชายของเขามีคีย์การ์ดเข้าห้องนี้ จึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายสามารถมาเคาะประตูห้องนอนของเขายามวิกาลได้

“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”เขาพูดพลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงมองดูเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นตัวเหม็นหึ่ง

“น้องปลาเขาหนีเที่ยวตั้งหลายครั้งแล้ว น้าฤทธิ์รู้เปล่าครับ”พูดจบ กวีวัธน์ก็หยุดรอปฏิกิริยาตอบกลับจากน้าชาย เพียงแต่อีกฝ่ายยังเงียบสนิท เขาจึงต้องพูดต่อ “ตอนกลางวันเห็นบอกน้าว่าจะไปติวหนังสือใช่ไหมครับ แต่ที่จริงไปเที่ยวเล่นทุกวันเลย”

“แล้ว?”พฤทธิกรหันไปถาม

“แล้ว? แล้วน้าฤทธิ์ไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือครับ”

“จะทำอะไร ปลาเขาขออนุญาตฉันแล้ว บอกก่อนที่จะไปไหนมาไหนด้วย ไม่เหมือนแกที่กลางค่ำกลางคืนจะใช้งานคนของฉันกลับไม่เคยมาบอกกล่าว”

“อ้าว”กวีวัธน์ร้องเสียงหลง หลายชายคงไม่เห็นว่าบอดี้การ์ดสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแอบหัวเราะ  แต่พฤทธิกรเห็นและต้องพยายามตีหน้าขรึม

“วันนี้น้องปลาเขาเสพยาด้วย ถ้าผมไม่ไปพากลับมาคงไปนอนกับใครก็ไม่รู้”

“กลอน พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย”

“ผมพูดจริง ครั้งก่อนที่ผมเจอ น้องปลาก็เมาอย่างนี้แล้วโดนเพื่อนที่ไปด้วยกันลากไปนอนด้วย ต่อให้น้องปลาเป็นผู้ชายแล้วยังไงครับ ผู้ชายกับผู้ชายทำอะไรกันไม่ได้เหรอ”

พฤทธิกรระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นบินอีก ฉันอยากพักและไม่อยากเก็บเรื่องอะไรให้มารกสมอง แกเองก็เถอะแทนที่จะกลับไปหลับไปนอนยังมาวุ่นวายอะไรอยู่อีก”

“น้าจะปล่อยให้มันผ่านไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ”

“แล้วแกเป็นอะไรถึงได้เดือดร้อนกับการกระทำของปลาเขานัก”พฤทธิกรถามสวนกลับไปทันควัน น้ำเสียงเรียบ ๆ แฝงด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

“เพราะผมห่วงน้าฤทธิ์หรอก”

“ห่วงก็ส่วนห่วง แต่ฉันไม่ชอบให้แกเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของฉันมากนัก”

“เออ”กวีวัธน์กระแทกเสียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ไม่ใช่เพราะผมเหรอ น้องปลาถึงได้มาอยู่กับน้าฤทธิ์ ก็ได้ ๆ ต่อไปผมจะไม่ยุ่งอีกเลย จะรอสมน้ำหน้าตอนที่น้าฤทธิ์โดนเด็กหลอกด้วย”หลานชายตะโกนใส่ก่อนจะกระแทกเท้าตึง ๆ เดินออกไป พฤทธิกรจึงบอกให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนตามไปส่ง ด้วยกลัวว่ากวีวัธน์จะหัวร้อนจนเอารถยนต์ไปเสยกับเสาไฟฟ้า จากนั้นจึงหันมาหาคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

เขาจงใจไม่บอกปภินวิชเรื่องที่ต้องไปดูงานที่ต่างประเทศหนึ่งอาทิตย์ ประการหนึ่งนั่นเพราะหลัง ๆ มานี้พวกเขาห่างกันมาก เด็กหนุ่มขยันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนขณะที่เขาก็ยุ่งวุ่นวายกับงาน ถึงจะนอนร่วมเตียงเดียวกันแต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้กลับไม่เหมือนเมื่อก่อน อีกประการ เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ลองใจอีกฝ่าย ถ้าห่างกันจริง ๆ จะคิดถึงกันบ้างไหม จะห่วงกังวลบ้างหรือไม่

“ท่าจะเหลวละมั้ง”พฤทธิกรบ่นพึมพลางใช้หลังมือไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งยังหลับสนิท “ถ้าขังไว้ได้จริง ๆ ก็ดีสินะ”



เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาพร้อมอาการมึนศีรษะ หลังยันตัวลุกขึ้นนั่ง  โลกเบื้องหน้ายังโคลงเคลงจนต้องยอมแพ้และล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ปภินวิชหลับตาอยู่เช่นนั้นอยู่เป็นครู่ใหญ่จึงเอะใจ เปิดเปลือกตาเพื่อมองสังเกตรอบตัว สีของผนังห้องและการตกแต่งดูคุ้นตาเสียจนเขานึกฉงน เมื่อพลิกตัวหันไปอีกฝั่ง จึงพบว่าเตียงกว้างหลังนั้นมีเขานอนอยู่เพียงผู้เดียว จึงเขยิบตัวยืดคอมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงอีกฝั่ง เมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลา เขาต้องเด้งตัวลุกขึ้นทันที

“บ่ายโมง”ปภินวิชกระวีกระวาดสาวเท้าออกไปด้านนอก โถงนั่งเล่นเงียบกริบไร้เงาผู้คน

“นั่นสิ ป่านจะมีใครอยู่ได้ไง”

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะ เมื่อคืนเขาเมาหนักจนจำอะไรไม่ได้สักนิด ซ้ำร้ายอาการตกค้างยังทำให้อยากล้มตัวลงนอนอีกรอบ แต่เพราะข้อสงสัยเกี่ยวกับ ‘การที่ตนกลับมานอนอยู่ในคอนโดของพฤทธิกรได้อย่างไร’ ยังคงเป็นปริศนาที่น่าสงสัย เด็กหนุ่มจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกรอบ มองหาโทรศัพท์มือถือของตนเองซึ่งเขาพบว่ามันอยู่บนชั้นวางของบริเวณหัวเตียง จังหวะนั้นเอง ประตูห้องนอนได้ถูกเปิดเข้ามา

“ดีจังที่คุณตื่นแล้ว”

ปภินวิชคว้ามือถือมาไว้ในมือก่อนจะหันมองเจ้าของเสียงทักทายนั้น

“ก่อนหน้านี้ผมกำลังคิดมาตรการปลุกคุณอยู่พอดี ถ้าคุณตื่นแล้ว ขอความกรุณาออกมาคุยกันหน่อย”เจ้าของประโยคคำพูดยืดยาวไม่รอให้เขาได้เอ่ยตกลงหรือปฏิเสธ ฝ่ายนั้นเดินนำไปที่โถงด้านนอกและทรุดตัวลงนั่งบนชุดโซฟา ปภินวิชเดินตามมาและทรุดตัวลงนั่งอีกฝั่ง

รอจนคู่สนทนาทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว กวีวัธน์จึงพูดขึ้นว่า “ถึงน้าชายของผมจะเอ็นดูคุณ และชื่นชอบคุณมากแต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะนำปัญหาเรื่องเดือดร้อนมาให้น้าฤทธิ์ได้นะ”

“เรื่องเดือดร้อนอะไร”เสียงของเด็กหนุ่มแห้งแหบจนต้องกระแอมออกมา ซ้ำยังรู้สึกคอแห้งและเจ็บคอด้วย

“ก็ที่คุณไปปาร์ตี้มั่วสุมเสพยากับเพื่อนคุณไง”ถึงจะโดนห้ามไม่ให้ก้าวก่าย แต่กวีวัธน์กลับคิดว่าเรื่องความประพฤติของปภินวิชเป็นความรับผิดชอบของเขา ชายหนุ่มถึงต้องมาคุยด้วยตัวเอง

เด็กหนุ่มส่งเสียงหึขึ้นจมูกพร้อมพูดโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “อย่ามาพูดมั่ว ๆ หน่อยเลย ผมยอมรับว่ากินเหล้าจริง แต่ผมไม่เคยเสพยา”

“จะลองไปตรวจดูไหมล่ะ อ้อ อีกอย่างคุณเพิ่งตื่นคงยังไม่รู้ เมื่อคืนตำรวจได้เข้าตรวจค้นงานปาร์ตี้ที่พวกเพื่อน ๆ คุณไปรวมตัวกัน พบทั้งยาไอซ์ กัญชาเต็มไปหมด ป่านนี้เพื่อนคุณคงยังนอนอยู่ในคุกละมั้ง”พูดพลางเปิดหน้าข่าวในแท็บเล็ตส่งให้เด็กหนุ่มได้ดู

“ถ้าผมไม่ไปพาตัวคุณออกมาเสียก่อน เช้านี้น้าฤทธิ์อาจจะต้องวุ่นวายอยู่ที่สถานีตำรวจก็ได้ แล้วก็นะ อย่าคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเลี้ยงจริง ๆ เลยเที่ยวไปนอนกับคนอื่นทั่วไปหมด ถึงน้าฤทธิ์เขาจะไม่ว่าแต่สำส่อนขนาดนี้ หน้าไม่มียางบ้างหรือไง”

“คุณ!!!”

“อย่านะ”กวีวัธน์ร้องห้ามเสียงดังเมื่อปภินวิชทำท่าจะปาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือมาทางเขา “ถ้าของของผมเสียหาย ผมจะให้คุณชดใช้เป็นสิบเท่า”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบ้ด้วยความกรุ่นโกรธ ก่อนจะโยนของในมือให้ไปร่วงบนเบาะโซฟา

“เอาล่ะ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแค่นี้แหละ ขอตัวนะครับ”

ปภินวิชมองใบหน้าระรื่นของกวีวัธน์ที่ลุกเดินออกไปแล้วเหมือนในอกมันจะระเบิดออกมา เขาโกรธโมโหจนราวกับจะหายใจไม่ออก ความขุ่นเคืองมันสุมแน่นเสียจนอยากทำลายทุกอย่างให้หมด แต่เด็กหนุ่มยังมีสตินึกคิดมากพอจะรู้ว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เขากำมือแน่นและทุบหมัดลงกับโซฟานุ่ม ๆ ที่ตนนั่งอยู่ ซ้ำ ๆ หลายครั้งกระทั่งความโมโหทุเลาลง จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก รอสายอยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ

“ไอ้ปลา มึงอยู่ไหนวะ กูโคตรเป็นห่วงมึงเลย”

“เออ ๆ ตอนนี้กูปลอดภัยดี ว่าแต่ฝั่งมึงเถอะ กูได้ยินว่าเมื่อคืนพ่อมึงมา”เขาพูดเข้าเรื่องไม่เยิ่นเย้อ

“เออดิ กูโดนเรื่องที่อายุไม่ถึง แต่มีอีกเพียบที่โดนเรื่องยา แม่งเอ้ย! ดันเอายาเข้ามาเล่นกันในงาน”จากนั้นทธรรษจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเสียละเอียดยิบ ตอนที่ตำรวจตรวจค้นพวกนั้นยังคิดว่าแกล้งกันเล่น แต่เจ้าของวันเกิดโชคดีหน่อยที่มันเป็นวันเกิดปีที่ยี่สิบพอดีและเจ้าตัวก็ไม่มีสารเสพติดในร่างกายจึงรอดมาได้

“ตอนที่กูสร่างแล้วไม่เห็นมึง กูโคตรเป็นห่วงนึกว่าโดนใครหิ้วไปแล้ว โทรไปก็ไม่รับ”

“กูเมา จะให้กูรับโทรศัพท์ยังไง”

“แม่งอยากรู้จริง ๆ ใครมันแจ้งตำรวจวะ พ่อแม่กูเลยสั่งห้ามเด็ดขาดแล้วเนี่ย”ทธรรษบ่นยกใหญ่ เด็กหนุ่มจึงส่งเสียงหัวเราะ โล่งอกที่เพื่อนในกลุ่มแต่ละคนปลอดภัยดี เขาคุยเล่นกับทธรรษต่ออีกนิดหน่อยก่อนฝ่ายนั้นจะวางสาย

บรรยากาศในห้องกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง

ตอนนี้ปภินวิชก็รู้แล้วว่าตัวเองกลับมานอนที่คอนโดได้อย่างไรและเมื่อคืนก็เกิดเรื่องขึ้นจริง เพราะฉะนั้นนายท่านคงจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากหลานชายจอมใส่ไข่คนนั้นแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาไปเที่ยวเล่นจะโดนใส่สีไปแค่ไหน

เด็กหนุ่มยกขาขึ้นคู้ตัวซบหน้าลงกับหัวเข่า

ถ้านายท่านเชื่อคุณกลอนมากกว่าเขา แล้วถ้าโกรธขึ้นมาจริง ๆ จนไม่ยอมฟังคำอธิบาย เขาจะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากโดนเกลียด ไม่อยากเห็นสายตาเย็นชา ไม่อยากโดนทอดทิ้ง ปภินวิชน้ำตาไหลออกมาเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ก่อนจะฉุกใจเรื่องเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ ก้มมองและใช้มือสัมผัสมัน

เขาสวมใส่ชุดนอนผ้าฝ้ายเนื้อดีของนายท่านอยู่ ไม่มีทางที่นายท่านจะให้คนอื่นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาหรอก ความคิดนั้นทำให้เด็กหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมากโข

“หลานชายอย่างคุณกลอนที่นั่งรายงานใส่ไคล้น่ะเหรอ จะมาสู้คนที่นอนคุยกับนายท่านอย่างผมได้”เขาพูดพร้อมลุกขึ้นยืนด้วยแรงใจเต็มเปี่ยม “ผมไม่ทำอะไรผิดซะหน่อยทำไมต้องกลัว ครั้งก่อนหนีเที่ยวก็จริงแต่ครั้งนี้บอกก่อนแล้วเหอะ”เด็กหนุ่มพูดบ่นไปตลอดทาง ขณะเดินออกไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับออกอีกครั้งด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส

เด็กหนุ่มเปิดตู้เย็นหาอะไรใส่ท้องให้ตัวเอง จากนั้นหันไปรื้อตำราทำอาหารของตัวเองออกมาเปิดกาง มองหาเมนูอาหารที่ดูดีน่าทาน

ตอนนี้ปภินวิชมีหนังสือตำราอาหารอยู่หลายเล่ม ทั้งเมนูอาหารไทยและอาหารต่างชาติ หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง เขาจึงพออ่านตำราแล้วทำอาหารที่มีรสชาติพอใช้ได้สำเร็จ ที่สำคัญชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องกลับไม่เคยบ่นเลยสักครั้งซ้ำยังฝืนทานจนหมดอีกต่างหาก

ที่ปภินวิชแน่ใจว่าอีกฝ่ายฝืนทานเพราะถ้าอาหารของเขาไม่อร่อย ชายหนุ่มจะเงียบพูดน้อยกว่าปกติ มีแต่น้องสาวของเขานั่นแหละที่ทานไปติโน่นตินี่ไป แต่เด็กหนุ่มมั่นใจ เขาต้องทำอาหารเมนูแปลก ๆ อร่อยขึ้นบ้างแหละ ก็เขาตั้งใจทำขนาดนี้นี่นา

เมื่อตัดสินใจเลือกเมนูได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเปิดตู้เย็นหยิบของสดออกมาและลงมือทำอาหาร

กับข้าวทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยพอ ๆ กับช่วงที่ปวันรัตน์กลับมาจากโรงเรียน เด็กสาวร้องบอกว่ากลับมาแล้วตั้งแต่อยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินตามกลิ่นอาหารมาถึงห้องครัว

“ได้กลิ่นแล้วหิวเลย”

ปภินวิชยกยิ้มพร้อมยกจานผลไม้ส่งไปให้ “กินรองท้องไปก่อน เดี๋ยวรอคุณฤทธิ์กลับมาแล้วค่อยทานพร้อมกัน”

“ค่า ถ้างั้นปุ้ยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”เธอหยิบฝรั่งเข้าปากจากนั้นจึงเดินหาเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เด็กหนุ่มจึงย้ายไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี นั่งเล่นนั่งคุยกับน้องสาวที่ตามออกมาสมทบกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คนที่รอก็ยังไม่กลับมาเสียที

“ปุ้ยหิวแล้ว ไม่ใช่ว่าน้าฤทธิ์ต้องทำงานเลิกดึกอีกเหรอ”เด็กสาวเอ่ยถาม เขาจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกทว่ามันไม่มีแม้แต่สัญญาณตอบรับ

“งั้นปุ้ยไปกินก่อนนะ”

“พี่ปลามากินด้วยกันสิคะ น้าฤทธิ์ไม่ว่าหรอก ถ้าหิ้วท้องรอจะโดนดุเสียมากกว่า”เธอเอ่ยบอกพลางคะยั้นคะยอ เด็กหนุ่มจึงฝืนทานเป็นเพื่อนน้องสาวทั้งที่รู้สึกเหมือนกลืนอะไรไม่ลงด้วยความกังวลใจ เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ แม้แต่ช่วงหลัง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้กลับพร้อมกัน เพราะหากวันไหนชายหนุ่มต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นก็จะโทรมาบอกเสมอ หรือเพราะเรื่องเมื่อคืนจะทำให้โกรธมากจริง ๆ

“กับข้าวเหลือเยอะเลย เก็บไว้พรุ่งนี้ก็ได้นะเนี่ย”เสียงของปวันรัตน์ทำให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ มองอาหารมากมายบนโต๊ะ ปกติแล้วเขาจะทำอาหารปรุงใหม่ทุกมื้อไม่เหมือนตอนที่พวกเขาอยู่กับพ่อแม่ ที่แกงหม้อหนึ่งอาจจะต้องทานไปวันหรือสองวัน หรือถ้ากับข้าวมื้อนั้น ๆ เหลือจะถูกเก็บไว้ทานมื้อต่อไป สาเหตุของการกระทำเช่นนั้นเนื่องมาจากคำพูดข่มขวัญเกี่ยวกับอาหารการกินของพฤทธิกรที่กวีวัธน์เคยบอกไว้ก่อนหน้า ดังนั้นเพื่อไม่ของเหลือทิ้ง เขาจึงทำอาหารในจำนวนพอเหมาะพอควรกับคนที่ทานในแต่ละมื้อ ครั้งนี้เขาพลาดเองที่ไม่ยอมโทรถามก่อน

“ทิ้งไปก็ได้”ไม่ใช่แค่ความเสียดายที่เกาะกุมจิตใจ แต่มันรวมถึงความพยายามความตั้งใจของเขาที่โดนทอดทิ้งอย่างไม่เห็นค่า

“ง่ะ ไม่ดีหรอกค่ะ วันนี้พี่ปลาทำกับข้าอร่อยจะตาย ทิ้งไปก็น่าเสียดาย”เด็กสาวบอก “ข้าวพี่ปลายังไม่หมดเลย ทานอีกสิคะ”

“พี่ไม่ค่อยหิวน่ะ”เด็กหนุ่มพูดพร้อมลุกขึ้นยืน ถือจานของตัวเองลงไปเททิ้งลงถังขยะ ปวันรัตน์จึงลุกขึ้นมาถือจานอาหารยกเก็บใส่ไว้ในตู้เย็น

“พรุ่งนี้พี่ปลาแค่หุงข้าวแล้วอุ่นกับข้าวพวกนี้ก็พอแล้ว”

“คุณฤทธิ์ไม่ทานกับข้าวเก่าหรอก”

“รู้ได้ไงคะ ขนาดคราวก่อน ๆ ที่ปลาทำกับข้าวรสชาติห่วย ๆ น้าฤทธิ์ยังฝืนกินจนหมดเลย”

ภาพใบหน้าของชายหนุ่มในยามนั้นที่ถูกปวันรัตน์หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงผุดขึ้นมาในมโนความคิด ทำให้เด็กหนุ่มยกยิ้มหัวเราะ

“นั่นสิ งั้นพรุ่งนี้ลองอุ่นกับข้าวเก่าให้คุณฤทธิ์ลองทานดูดีกว่า” ถือว่าเป็นการแก้เผ็ดที่อีกฝ่ายไม่ยอมโทรบอกว่าติดงาน ซ้ำยังปิดเครื่องไม่ให้เขาโทรหา ปภินวิชคิดเช่นนั้นในใจ ก่อนจะไล่น้องสาวให้ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ส่วนตัวเขาหลังอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว กลับออกมานั่งดูทีวีอยู่ด้านนอก

นั่งดูทีวีรอชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องจนเวลาล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมาเสียที เขาง่วงนอนจนฝืนเปิดเปลือกตาไว้แทบไม่ไหว จึงปิดโทรทัศน์พลางพิงศีรษะกับพนักโซฟา ตั้งใจว่าจะพักสายตาแค่ครู่เดียวหรือถ้าเผลอหลับไปจริง ๆ เขาคิดว่า หากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องกลับมาถึง อีกฝ่ายคงต้องปลุกเขาให้ลุกไปนอนในห้องอย่างแน่นอน

ทว่าตอนที่ปภินวิชรู้สึกตัวกลับเป็นเวลาเช้าแล้ว โถงด้านนอกนั้นไม่ได้ปิดม่านไว้ แสงตะวันของเช้าวันใหม่จึงสาดส่องเข้ามาอย่างเต็มที่

เด็กหนุ่มกระเด้งตัวลุกขึ้น เมินเฉยต่ออาการเมื่อยขบของร่างกาย สาวเท้าเร็วรี่กลับไปเปิดประตูห้องนอนของพฤทธิกรเป็นอันดับแรก เนื่องจากเมื่อวานเขาตื่นตอนบ่ายซึ่งเลยเวลาทำความสะอาดของแม่บ้านไปแล้ว เตียงนอนจึงยับย่นจนไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีคนเข้ามานอนหรือเปล่า เขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องน้ำกับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งด้านในว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เขามองหา ปภินวิชจึงออกจากห้องที่พักอาศัยไปเคาะประตูห้องอีกห้องซึ่งเป็นอยู่บนชั้นเดียวกัน หนึ่งในบอดี้การ์ดของพฤทธิกรเป็นคนมาเปิดประตู

“คุณฤทธิ์ล่ะครับ”

“ไม่อยู่ที่นี่ครับ”พุฒิพงศ์ตอบกลับไป

“แล้วไปไหนครับ เมื่อคืนกลับมาหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“แล้วไปไหน”

“ท่านไม่ได้แจ้งครับ”

“อะไรกัน พี่พุฒิเป็นบอดี้การ์ดของคุณฤทธิ์ไม่ใช่หรือครับ”

“ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ คุณฤทธิ์บอกให้ผมมาคอยดูแลรับส่งคุณปุ้ย”

“อ้าว แล้วพี่ธนาล่ะ”

เจ้าของชื่อจึงเยี่ยมหน้าออกมา “คุณปลาจะไปไหนหรือครับ”

“เปล่าครับ แต่คุณฤทธิ์ไม่กลับมาที่ห้อง พี่ธนารู้หรือเปล่าว่าคุณฤทธิ์ไปไหน”

“ไม่ทราบครับ ท่านไม่ได้บอกไว้”

“อะไรกัน พี่ธนาเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่หรือ”

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้คุณฤทธิ์บอกให้คอยมาดูแลรับส่งคุณปลา”

“อะไรกัน”เด็กหนุ่มได้แต่พูดย้ำคำนี้อย่างไม่เข้าใจ “งั้นเดี๋ยวผมจะเข้าไปที่บริษัท”

เกิดเรื่องอะไรกันเนี่ย เด็กหนุ่มมีแต่ความสงสัย เรื่องที่พี่พุฒิคอยขับรถไปรับไปส่งน้องสาวที่โรงเรียน เขารับรู้มาก่อนหน้า หรือแม้แต่ยามที่เขาอยากไปไหนนายท่านจะคอยบอกให้พี่ธนาขับรถไปให้ ตอนนั้นเขาเข้าใจแค่ว่าเพราะชายหนุ่มทำงานอยู่แต่ภายในสำนักงาน ไม่นึกว่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนจะโดนเปลี่ยนตำแหน่งแบบนี้ด้วย

รวยจริง ๆ นะถึงได้จ้างบอดี้การ์ดให้มาทำงานเป็นพนักงานขับรถ เด็กหนุ่มนึกอย่างฉุนเฉียว

เขากลับเข้าห้องและเร่งรีบจัดการธุระอย่างเร็วไว หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จด้วยความรวดเร็ว จึงกลับมาเคาะประตูห้องข้าง ๆ อีกครั้ง เด็กหนุ่มยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดแม้จะขึ้นมานั่งอยู่บนรถยนต์แล้วก็ตาม เมื่อลงจากรถได้ เขารี่ไปที่ลิฟต์อย่างไม่รอช้า ทว่าการ์ดที่เคยใช้สำหรับลิฟต์ของสำนักงานกลับใช้ไม่ได้

“เป็นอะไรเนี่ย ทำไมใช้ไม่ได้ล่ะ”บ่นกับตัวเองเสร็จจึงหันไปหาธนาที่เดินตามหลังมา “พี่ธนา การ์ดของพี่ล่ะครับ ของผมมันใช้ไม่ได้”

“ผมไม่มีการ์ดเป็นของส่วนตัวครับ ถ้าจะไปไหนมาไหน จะยืมการ์ดของคุณก้อยมาใช้”

ปภินวิชย่นคิ้วเมื่อได้ฟังคำตอบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาสุธาณี มองเวลาที่แสดงอยู่บนมุมหน้าจอโทรศัพท์แล้วจึงเดินไปนั่งที่โซฟาในล็อบบี้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้างานเขาคงต้องรออีกพักใหญ่ นั่งมองพนักงานเดินเข้าลิฟต์ขึ้นตึกไปพลางด้วยหวังจะเห็นหญิงสาวผู้ที่มีตำแหน่งเลขาหน้าห้องปะปนอยู่กับฝูงชน กระทั่งแปดโมงถึงได้เดินไปหาพนักงานประจำเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“ผมมาขอพบคุณพฤทธิกรครับ”

“สักครู่ค่ะ”เธอตอบกลับมาพร้อมยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เธอถือสายอยู่นานจนต้องกดปุ่มโทรซ้ำอีกรอบ คราวนี้คงมีคนรับสาย เขาเห็นเธอกรอกเสียงลงไป ครู่ต่อมาจึงวางหูและหันมาแจ้งกับเขาว่า “วันนี้ท่านไม่เข้ามาทำงานค่ะ”

“แล้วคุณกวีวัธน์ล่ะครับ”

เธอยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง จากนั้นไม่นานหญิงสาวก็แจ้งกับเขาว่า คุณกวีวัธน์ไม่เข้ามาทำงานเช่นเดียวกัน

“ไปไหนของเขานะ”เด็กหนุ่มพูดพึมพำ “คุณฤทธิ์กับคุณกลอนแจ้งไว้หรือเปล่าครับว่าจะไปไหน”

“ท่านไม่แจ้งใครไว้เหมือนกันค่ะ และวันนี้คุณสุธาณีก็ลาพักร้อนค่ะ”

ปภินวิชกล่าวขอบคุณเธอ หมุนตัวหันหลังขณะที่ยังพูดพึมพำกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไปไหนกันนะ น่าจะบอกกันสักหน่อย

จู่ ๆ หายตัวกันไปทั้งคู่แบบนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงต้องมีการแจ้งความกันบ้างแล้ว ทว่าคนระดับพฤทธิกรคงไม่ได้หายไปเฉย ๆ แน่ แต่หายไปอย่างไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้มันสร้างความกังวลให้เขามากมาย หรือเพราะเรื่องที่เกิดเมื่อวานจะสร้างปัญหาจริง ๆ

 “หรือว่าจะกลับบ้านใหญ่ พี่ธนารู้จักบ้านใหญ่ของคุณฤทธิ์หรือเปล่า”ประโยคหลังเขาหันไปถามชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของพฤทธิกร

“รู้จักครับ”

“ถ้าอย่างนั้น พาผมไปหน่อยได้ไหมครับ”

“ที่บ้านใหญ่ มีคุณท่านทั้งสองอยู่นะครับ”ธนาพูดคล้ายเตือนสติเป็นเชิงถามว่าเขาพร้อมที่จะเจอบิดาและมารดาของพฤทธิกรแล้วหรือยัง ทั้งยังเป็นการไปเจอแบบที่ยังไม่ได้มีการแจ้งให้ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูได้รับทราบ

“นั่นสิ”เด็กหนุ่มหน้าม่อย ไปแล้วจะบอกว่าอะไรถ้าโดนถาม ที่สำคัญถ้าเกิดเจออีกฝ่ายอยู่ที่นั่น เขาคงรู้สึกแย่กว่านี้แน่ ๆ ปภินวิชเดินนำกลับไปที่รถ ในสมองครุ่นคิดไม่หยุดก่อนจะตัดสินใจว่า “กลับก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวตอนบ่ายมาใหม่”

ยังไงมันก็ต้องเจอสิน่า นายท่านจะทิ้งงานไปได้นานแค่ไหนกันเชียว



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
« ตอบ #79 เมื่อ: 20-11-2017 06:11:07 »





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เข้าใจว่าน้าฤทธิ์จะรู้สึกไม่แน่ใจในความสัมพันธ์อยู่บ้าง เพราะยังไม่ได้มีสถานะที่แน่นอน แถมปลากำลังเจอเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่แบบเด็กวัยรุ่น ดู ๆ แล้วปลายังไม่ยากยอมรับหรือปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มากกว่านี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะอายที่จะต่างจากคู่รักทั่วไปหรือเห็นว่ามันแปลกไม่เป็นไปตามธรรมชาติไม่เป็นที่ยอมรับ ส่วนนี้ก็น่าเห็นใจน้าฤทธิ์ แต่ก็เป็นหน้าที่ของน้านั่นละที่จะทำให้ปลารักและเชื่อมั่นจนปัญหาพวกนี้ไม่มีผลต่อจิตใจของปลา 
ส่วนเรื่องที่ไปทำงานต่างประเทศเป็นสัปดาห์แต่ไม่ยอมบอกนี่ไม่โอเคเท่าไหร่นะ ถึงจะเป็นกลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับก็เถอะ เข้าใจว่าคุณบอดี้การ์ดทั้งสองน่าจะเป็นคนคอยสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของปลาเมื่อน้าฤทธิ์หายไป ยังไงถ้าผ่านไปสัก 2-3 วันก็บอกไปเถอะว่าไปไหน คนคอยจะได้ไม่ห่วงมาก มันรู้สึกแย่นะถ้ารู้ทีหลังว่าเจ้าตัวเขาจงใจไม่บอก (ไม่ใช่บอกแล้วแต่ปลามัวให้ความสำคัญกับเพื่อนอันนี้เป็นอีกเรื่องเลย)

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ช่องว่างระหว่างวัยป่ะ

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
ดีมากเลยน้าฤทธิ์ดัดนิสัยน้องซะบ้าง
ปฏิเสธเพื่อนไม่เคยเด็ดขาด
ก็ต้องโดนแบบนี้บ้างแหละ
ถ้าเจะเที่ยวก็ควรให้พอดี
เราอ่านยังหัวเสียเลย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ดวงตะวัน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
15



วันสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์นี้แล้ว ปภินวิชมานั่งเฝ้าอยู่ที่อาคารสำนักงานของพฤทธิกรทุกวันยังไม่มีโอกาสได้เจอชายหนุ่มสักครั้ง คีย์การ์ดสำหรับใช้งานลิฟต์ผู้บริหารก็ใช้งานไม่ได้เลยสักวัน ติดต่อหญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้องของพฤทธิกรก็ไม่ได้ ข้อความที่เคยส่งไปไม่มีการตอบรับเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา

จากที่ร้อนใจกังวลอยากเจอ อารมณ์ของเขาจึงเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ พร้อมกับมีความคิดว่า อีกฝ่ายคงพยายามตัดเขาออกจากชีวิต อย่างไรก็ตาม ปภินวิชกลับไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะคิดเพียงว่า ถ้านายท่านไม่ต้องการเขาแล้วก็ควรจะมาบอกเขาด้วยตัวเอง ไม่ควรหายหน้าไปอย่างนี้

คราวนี้เด็กหนุ่มจึงตั้งใจรุกหน้าไปอีกก้าว

เขาชะเง้อมองหน้าผู้บริหารซึ่งมีห้องทำงานอยู่ชั้นบนที่ตนคุ้นหน้า ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหาด้วยความกล้าหาญไม่กลัวเกรง เขายกมือไหว้ทักทายชายสูงวัยที่ยังยืนรออยู่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะ ไม่เจอกันนานเชียว เห็นฤทธิ์บอกว่าเรากำลังจะกลับไปเรียนต่อ นึกว่าไม่ได้มาทำงานที่นี่แล้วเสียอีก”ชยธรยกยิ้มให้พลางชวนคุยอย่างอารมณ์ดี

“เรื่องนั้น ต้องรออีกสักพักครับ คงเป็นปีการศึกษาหน้า”

ลิฟต์เคลื่อนที่ลงมาถึงแล้ว ชายสูงวัยก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ปภินวิชจึงตีหน้านิ่งก้าวเท้าตามไปติด ๆ เขาสวมชุดพนักงานทำความสะอาดมาที่สำนักงานทุกวัน แต่เพราะใช้การ์ดของตัวเองขึ้นชั้นบนไม่ได้ เขาจึงไม่ได้ขึ้นไปทำงานของตัวเอง จะให้โดยสารลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนกับผู้บริหารคนอื่น เขาก็ได้เจอกับการเหยียดสายตามองตั้งแต่วันแรก เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าขอโดยสารลิฟต์ขึ้นไปด้วย มีครั้งนี้นั่นแหละที่เขาบังเอิญได้เจอกับชยธร เขาจึงกล้าตีเนียนตามมา

ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นผู้บริหาร ปภินวิชก้าวเท้าตามออกมาทีหลังโดยมีธนาก้าวตามหลังเด็กหนุ่มไปอีกที

“รบกวนชงกาแฟให้ด้วยนะ”ชยธรเอ่ยบอกจากนั้นจึงสาวเท้าเดินไปยังห้องทำงานส่วนตัว เด็กหนุ่มจึงไปชงกาแฟให้ตามคำสั่ง

เมื่อเดินถือถาดเปล่าออกมาจากห้องทำงานของชยธร เด็กหนุ่มก็ยังไม่เห็นเลขาหน้าห้องท่านประธานมาทำงานเสียที ลองเดินไปจับลูกบิดที่ประตูห้องท่านประธาน ปรากฏว่ามันถูกล็อกอยู่เช่นเดียวกัน ปภินวิชขมวดคิ้วหมุนตัวกลับ เดินไปเปิดประตูห้องรับรองที่พฤทธิกรยกให้บอดี้การ์ดประจำตัวไว้อาศัยพักผ่อน

“ทำไมพี่ก้อยไม่มีทำงานสักที”

ธนาเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ในมือ “โทรถามฝ่ายบุคคลไหมครับ ไม่แน่ว่าวันนี้คุณก้อยอาจจะไม่มาทำงาน”

“อะไรกัน ลางานไปหลาย ๆ วันแบบนี้ก็ได้เหรอ”เด็กหนุ่มบ่น สมัยที่เขาทำงานเป็นพนักงานขายในห้าง จะลาสักทีกลับโดนบ่นเช้าบ่นเย็น

“ไม่แน่ว่าอาจไปกับท่านก็ได้”

“ไปด้วยกัน? สองคนนั้นเขากิ๊กกันอยู่เหรอ”เด็กหนุ่มถามหน้าตาตื่น

“คิดอะไรอยู่ครับ คุณก้อยเป็นลูกน้องในแผนกที่คุณฤทธิ์เป็นผู้จัดการอยู่ตั้งแต่สมัยที่คุณก้อยเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ ๆ  คุณฤทธิ์เห็นว่าคุณก้อยทำงานดีเลยดึงตัวให้มาทำงานเลขาน่ะครับ”

“พี่ธนารู้ดีจัง”

“คนรู้จักกัน ก็ต้องคุยกันบ้าง”ชายหนุ่มตอบก่อนเลี่ยงไปถามเรื่องอื่น “แล้วคุณปลาคิดว่าจะลงไปข้างล่างอย่างไรล่ะครับ”

“ลงทำไม ผมไม่ลงจนกว่าจะเจอคุณฤทธิ์หรือไม่ก็พี่ก้อย”

“ถ้าวันไหนที่คุณก้อยไม่มาทำงาน เธอจะสั่งอาหารสำหรับฝ่ายบริหารไว้ล่วงหน้าก็จริง แต่ถ้าคุณฤทธิ์ไม่มาทำงานแบบนี้ด้วย ผู้บริหารท่านอื่นจะลงไปทานอาหารที่ห้องอาหารพนักงานข้างล่างนะครับ”

“พี่ธนารู้ได้อย่างไรว่าคุณฤทธิ์ไม่มาทำงาน”ปภินวิชหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิด

“ท่านแจ้งไว้”

“ไหนทีแรกพี่บอกไม่รู้ว่าคุณฤทธิ์ไปไหน”

“ครับ ท่านไม่ได้แจ้งว่าไปไหน แต่แจ้งว่าคงไม่เข้าบริษัทจนกว่าจะกลับมา”

“อ้าว! ทำไมพี่ธนาไม่บอกผมล่ะ”

“เพราะคุณปลาไม่ได้ถาม”

ปภินวิชนิ่งอึ้งพูดไม่ออกด้วยอาการอ้าปากค้าง ก่อนจะพ่นลมหายใจฮึดฮัด กอดอกแล้วกระแทกไหล่กับพนักพิงโซฟาด้านหลังด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด เขาพลาดเองที่ไม่ได้ถามให้ละเอียด

“กลับก็ได้ครับ”เสียงพูดยังคงกระด้างอย่างขุ่นเคือง เขาไม่สนแล้วอยากไปไหนก็ไปเลย ปภินวิชพูดบอกตัวเองอยู่ในใจ

ธนาลุกขึ้นออกไปด้านนอก สักพักก็กลับมาเปิดประตูห้องส่งเสียงเรียกให้เด็กหนุ่มออกไปรอลิฟต์ แม้จะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแต่ปภินวิชยังหน้างอเป็นจวักที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวอยู่ในภาวะไม่สบอารมณ์

เมื่อกลับมาถึงคอนโดแล้ว เด็กหนุ่มสาวเท้าลิ่วตรงดิ่งไปยังห้องที่ตนอยู่อาศัยมาหลายเดือนทันที

“ถ้าคุณปลาจะออกไปไหน ก็มาเคาะประตูนะครับ”

“ผมไม่ไปแล้วครับ”เขาพูดก่อนจะเปิดประตูห้องพร้อมปิดลงเสียงดังปังที่สนั่นไปทั้งชั้น ธนายกยิ้มมุมปาก สงสัยงานนี้ คุณฤทธิ์จะเดินเกมผิด



ปภินวิชเดินตรงเข้าไปในห้องนอนของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง หยิบหมอนที่อีกฝ่ายใช้หนุนนอนประจำขึ้นมาชี้มือใส่

“เป็นบ้าอะไรฮะ? จะไปไหนทำไมไม่รู้จักบอก คิดว่าตัวเองโตกว่าแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ ปากน่ะมีไหม พูดแค่นี้มันจะตายหรือไง”เด็กหนุ่มพูดกับหมอนใบนั้นด้วยความฉุนเฉียวพร้อมกล่าวพูดขู่อาฆาต “กลับมาเมื่อไหร่นะโดนแน่”

“คุณปลา?”

เสียงเรียกทำให้เด็กหนุ่มชะงัก เขาหมุนตัวไปทางต้นเสียงพลางซ่อนหมอนที่ถือไว้ด้านหลัง และเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงอ่อยประสมความเก้อกระดาก “พี่ชะเอม”

แม่บ้านประจำคอนโดของพฤทธิกร ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำสวมถุงมือยางไว้ทั้งสองข้าง เธอได้เสียงของปภินวิชขณะที่กำลังทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ด้านใน จึงได้ออกมาดู

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่า ๆ ไม่มีเลยครับ ไม่มีอะไรเลย”เด็กหนุ่มโบกมือปฏิเสธอุตลุด ก่อนจะสังเกตเห็นหมอนที่ตนถือไว้ จึงหันหลังวางมันลงและจัดตำแหน่งให้กลับมาดูดีเหมือนเดิม หันมาเห็นชะเอมยังยืนมองอยู่ถึงได้ยกยิ้มแหย ๆ ส่งไปให้อีกรอบ จากนั้นจึงเดินเลี่ยงออกไปด้านนอก

พ้นสายตาบุคคลอื่น ปภินวิชตีหน้าบึ้งอีกครั้ง พลางคิดตั้งมั่นในใจว่า จะโกรธ!!! โกรธจริงจังเลยด้วย!!! และจะไม่ยอมดีด้วยกับคนที่จู่ ๆ ก็หายไปอย่างง่าย ๆ แน่

“พี่ปลา”ปวันรัตน์เปิดประตูออกมาจากห้อง “กลับมาเร็วจัง ไม่ต้องทำงานเหรอ”

“ทำได้ซะที่ไหน คุณฤทธิ์ไม่อยู่ เลขาไม่อยู่ คุณกลอนก็ไม่อยู่”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะคะ”

“ก็ขึ้นลิฟต์ไม่ได้นะสิ”

น้องสาวทำหน้าสงสัย เด็กหนุ่มจึงเล่ารายละเอียดให้ฟังเพิ่มเติม “ถามจริง คุณฤทธิ์ไม่ได้บอกอะไรกับปุ้ยบ้างเหรอ”

“บอกว่าไม่อยู่สักพักนะต้องไปทำงานที่อื่น”

“อ้าว! แล้วทำไมปุ้ยไม่บอกพี่”

“อ้าว!”คนเป็นน้องสาวร้องอุทานออกมาด้วย “ปุ้ยนึกว่าพี่ปลารู้ เห็นพี่ปลาไปทำงานกับน้าฤทธิ์ทุกวัน อีกอย่างน้าฤทธิ์ไม่ได้บอกว่าจะไปวันไหน ปุ้ยก็คิดว่า เดี๋ยวน้าฤทธิ์จะไปวันไหนพี่ปลาคงจะบอกปุ้ยเอง”เธอยังบ่นงึมงำต่อไปว่า ใครจะไปรู้ว่าพี่ปลาไม่รู้ พลางเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรรองท้อง

“พี่ทำกับข้าวไว้แล้ว”เขาร้องบอกพร้อมเดินเข้าไปช่วยน้องสาวอุ่นกับข้าว

ครู่หนึ่งต่อมา แม่บ้านวัยกลางคนก็โผล่หน้าออกมาจากห้องนอนของพฤทธิกร เดินผ่านโต๊ะทานอาหารที่สองพี่น้องนั่งอยู่

“พี่ชะเอมคะ”เด็กสาวเรียก สองมือยังถือช้อนและส้อม เธอรีบเคี้ยวข้าวในปากกลืนลงคอก่อนพูดว่า “ไม่ต้องทำความสะอาดห้องให้ปุ้ย”

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณฤทธิ์เธอจ่ายค่าแรงให้พี่แล้ว”ตอบเสร็จเธอก็รีบเดินหายเข้าไปในห้องนอนของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว

“ถ้าอยากช่วยพี่ชะเอมก็อย่าทำห้องรก”ปภินวิชหันมาพูดกับน้องสาว เธอจึงตอบกลับไปว่าไม่เคยทำรกเลยสักครั้ง

“แล้วปุ้ยรู้หรือเปล่าว่าคุณฤทธิ์จะกลับมาเมื่อไหร่”เด็กหนุ่มวกกลับมาถามเรื่องนี้อีกครั้ง

“ไม่รู้ค่ะ น้าฤทธิ์บอกแค่สักพัก”

“มิน่า เธอถึงดูไม่ตื่นเต้น”

“จะตื่นเต้นอะไรล่ะคะ น้าฤทธิ์โตแล้วนะ”เธอเงยหน้าขึ้นมาพูด “แล้วก็ไม่ใช่แฟนปุ้ยซะหน่อย พี่ปลานั่นแหละที่ควรจะรู้ว่าน้าฤทธิ์ไปไหนแต่กลับไม่รู้”

“ไม่ใช่แฟนซะหน่อย”

“แต่ไปนอนห้องเดียวกับเขาทุกคืนเนี่ยนะ”ปวันรัตน์เอ่ยแซว

“พ... เพราะ... เพราะพี่อยากให้ปุ้ยรู้สึกเป็นส่วนตัวต่างหาก เธอโตแล้ว เผื่ออยากเปลี่ยนเสื้อในห้องจะได้ไม่ต้องอาย”

“สีข้างถลอกแล้ว เสื้อผ้าพี่ปลาอยู่ในห้อง ยังไงตัวเองต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องเดียวกับเค้าอยู่ดีแหละ”เด็กสาวส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

“งั้น... งั้นพี่กลับมานอนด้วยก็ได้”

“โอ๊ะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ปุ้ยนอนคนเดียวได้”

“ไม่ พี่ตัดสินใจแล้ว”เด็กหนุ่มพูดเสียงขุ่น ย้ำกับตัวเองว่าจะไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ

“งอนน้าฤทธิ์เหรอ”ปวันรัตน์เอ่ยถามหน้าเป็น ก่อนจะพูดต่อไปว่า “พี่ปลาก็น่าโดนโกรธ เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านหนีเที่ยว”

ปภินวิชสะดุ้งหันมองน้องสาวด้วยความตระหนก “รู้ได้ไง”

“ปุ้ยเห็นในเฟซพี่ฟรังค์”เด็กสาวพูดตอบพลางตักข้าวทานต่อ “เป็นปุ้ยจะจับพี่ปลามาตีก้นให้เข็ด”

“รอให้ปุ้ยอายุเท่าพี่ก่อนเถอะ ขี้คร้านจะอยากเที่ยวเหมือนกัน”ปภินวิชลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม่อยากคุยกับน้องสาวอีกแล้ว “เก็บจานให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”เขาสั่งก่อนจะสะบัดหน้าหนี

อย่างไรก็ดี ถึงจะบอกว่ากำลังโกรธพฤทธิกรอยู่ แต่เด็กหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองอีกว่าโกรธก็ส่วนโกรธแต่ถ้าได้เจอตัวต้องจัดการก่อน มีอย่างที่ไหน ไปไหนไม่บอกกล่าว

ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าพฤทธิกรไปทำงาน ไม่รู้เพียงแค่ไปทำงานที่ไหนและกลับเมื่อไหร่ ซึ่งกรณีที่นี้สามารถเดาได้ไม่ยาก การไปทำงานในสถานที่ที่ต้องค้างคืนมีแค่ต่างจังหวัดกับต่างประเทศเท่านั้น ปภินวิชจึงได้แต่พยายามทำใจร่ม ๆ เข้าไว้ อย่างไรซะ เมื่อพฤทธิกรทำงานเสร็จ ชายหนุ่มก็ต้องกลับมา

เด็กหนุ่มรออีกอย่างใจเย็นต่ออีกสองวัน คนที่เขาอยากเจอก็ปรากฏตัวให้เห็น ปภินวิชไปนั่งเฝ้าอยู่ที่อาคารสำนักงานเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อน ถึงได้พบพฤทธิกรเดินผ่านหน้าไป เขารีบรวบเก็บหนังสือที่เตรียมมาอ่านฆ่าเวลาแล้วปรี่เข้าไปหาทันที

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงเขียวโดยไม่สนใจกวีวัธน์และชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามมาด้านหลัง

“จะทำอะไรให้มันรู้จักกาลเทศะด้วย”กวีวัธน์เอ่ยเตือน แต่ปภินวิชยังอยู่ในอารามไม่พอใจ ความเคืองโกรธซึ่งสุมรอวันสะสางมาตลอดทั้งอาทิตย์กำลังปะทุรุนแรงจนเห็นช้างตัวเท่ามด เขาขึงตาใส่หลานชายของนายท่านอย่างไม่กลัวเกรง

“กลอน เงียบไปเลย”พฤทธิกรปรามหลานชาย ก่อนจะหันไปพยักพเยิดรุนหลังเด็กหนุ่มให้เข้าไปในลิฟต์พร้อมบอกให้ขึ้นไปคุยกันข้างบน

เห็นบรรยากาศอึมครึมคล้ายจะมีเรื่อง ชายหนุ่มอีกคนผู้อยู่ในตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารซึ่งเดินทางไปต่างประเทศพร้อมพฤทธิกร จึงโบกมือขอขึ้นลิฟต์เที่ยวถัดไป หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงเอาอย่างปล่อยให้น้าชายขึ้นไปจัดการเด็กในปกครองใช้เชื่องเสียก่อน

ดังนั้นเมื่อเห็นในลิฟต์เหลือกันเพียงสองคน ปภินวิชจึงเอ่ยถามทันที “ทำไมจะไปไหนถึงไม่บอกกันบ้างล่ะครับ จู่ ๆ ก็หายไปแบบนี้ทำให้ผมกังวลแค่ไหนรู้หรือเปล่า”

“ฉันคิดว่าเธอน่าจะดีใจเสียอีก จะได้ออกเที่ยวให้หนำใจ”

ปภินวิชชะงักนิ่งงันมองหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มยังเชิดหน้ามองตรงไม่ปรายตามองมาทางเขาสักนิด คดีพลิกกลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มเป็นคนผิดไปเสีย แต่ปภินวิชไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้น เขาเพียงรู้สึกราวกับว่าความกลัวกังวลที่ผ่านของเขามันสูญเปล่า เขาอาจไม่มีสิทธิ์อ้างว่าปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ เขาอาจจะเมาทำตัวเละเทะจริง ๆ เขาอาจจะเคยโกหก แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกดีกับสิ่งที่ทำลงไป

ภาพตรงหน้าที่เห็นพร่าเลือนมากขึ้น

“ถ้าไม่ชอบก็บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่ครับ”เด็กหนุ่มพูดบอกเสียงเครือ “ถ้าคุณบอก ผมต้องยอมทำตามอยู่แล้ว”พลางก้มหน้าใช้หลังมือปาดน้ำมูกที่ไหลออกมา

เสียงสูดน้ำมูกทำให้พฤทธิกรหันมองซึ่งเห็นเพียงใบหน้าก้มต่ำและปลายจมูกสีแดงเรื่อ เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งไปให้ ปภินวิชยกมือไหว้ขอบคุณก่อนรับไปถือ

ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนแล้วแต่เด็กหนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“เดี๋ยวผมกลับก่อนดีกว่า”เขาพูดบอกทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นนั้น พฤทธิกรที่ออกไปยืนอยู่ด้านนอกจึงต้องก้าวเท้ากลับเข้าไปคว้าข้อมือบางและดึงลากไปด้วยกัน ขณะที่ปภินวิชยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เริ่มจะไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อมาอยู่ในลับตาคนอย่างในห้องทำงานแล้ว ชายหนุ่มจึงดึงปภินวิชเข้ามากอดพลางลูบศีรษะปลอบ “ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่ว่าอะไรยังไง เมื่อกี้คุณยังว่าผมอยู่เลย”เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อว่า

“เมื่อกี้แค่ล้อเล่น”

“ผมไม่สนุกด้วยนะ บอกดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องมาพูดกระแทกแดกดันกันด้วย”ปภินวิชกำหมัดทุบแผงอกกว้างอย่างไม่ออมแรงจนพฤทธิกรถึงกับสะดุ้ง “ถ้าโกรธก็บอกว่าโกรธ อย่ามาหายไปเฉย ๆ รู้ไหมว่ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย”

เด็กหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่นึกอาย ก่อนจะซบหน้าเช็ดหยาดน้ำซึ่งร่วงพราวกับเสื้อสูทที่ชายหนุ่มสวมใส่อยู่อย่างไม่สนใจราคาของมัน

การที่พฤทธิกรหายไปโดยที่ติดต่อไม่ได้ทำให้เขากังวลใจมาก เขากลัวว่าชายหนุ่มจะโกรธก็ส่วนหนึ่ง แต่กังวลเป็นห่วงกลัวจะเกิดเหตุร้ายแรงมากกว่า เขาเคยคิดว่าอุบัติเหตุหรือการเสียชีวิตของคนใกล้ตัวเป็นเรื่องอีกยาวไกล แต่มันไม่ใช่เลย มันเคยเกิดขึ้นปุบปับกะทันหันกับเขามาแล้วและเขาก็กลัวว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นซ้ำอีก

“ขอโทษ ไม่ต้องร้องแล้วนะ สัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”พฤทธิกรพูดพลางลูบหลังลูบไหล่เด็กหนุ่มซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพลาง แตะจูบข้างขมับพร้อมกล่าวปลอบประโลมซ้ำ ๆ

กระทั่งผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เด็กหนุ่มถึงได้คลายอาการสะอื้นลง ใบหน้าของเขาแดงช้ำอย่างน่าสงสารซ้ำผิวหน้ายังร้อนผ่าวจากการร้องไห้

“ทำไมคีย์การ์ดของผมใช้ไม่ได้ล่ะครับ”ปภินวิชพูดถามพร้อมหยิบการ์ดเจ้าปัญหาขึ้นมาให้ชายหนุ่มดู ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีอึกอักทำตัวไม่ถูก

“ฉันสั่งไว้เอง”

“ทำไมล่ะครับ ผมทำอะไรผิดอีกเหรอ”เขาถามด้วยอาการร้อนรน

“เปล่า แค่ไม่อยากให้เธอรู้เร็วเกินไปว่าฉันหายไปไหน”

“อะไรกัน”ปภินวิชทุบกำปั้นลงบนอกของชายหนุ่มไปอีกทีและพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง“จงใจแกล้งผมขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ที่เคยบอกว่านายท่านใจดี ผมขอถอนคำพูด”

เด็กหนุ่มสะบัดตัวหนีเพียงแต่อีกฝ่ายกอดรัดเขาไว้แน่นไม่ยอมให้หลุดไปไหน พฤทธิกรใช้มือข้างหนึ่งช้อนใบหน้างอง้ำให้เงยขึ้นขณะที่ตัวเองโน้มหน้าลงไปหา ใบหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้ปภินวิชเอี้ยวตัวดิ้นหนี

“ขอโทษ ไม่โกรธนะ”พฤทธิกรพูดเสียงอ้อน

ปภินวิชหันหน้าหนีไปอีกด้านชายหนุ่มก็ขยับมาดักไว้ เขาเบ้หน้าเมื่อสบนัยน์ตาแวววาวคู่นั้นจึงหลุบตาหนีไม่ยอมมอง พฤทธิกรใช้จังหวะนั้นแนบจุมพิตลงไป คนที่โดนลวนลามจึงเงยขึ้นมองด้วยความตระหนก

“ใครอนุญาต”

“ต้องมีคนอนุญาตด้วยเหรอ”

“แต่...”ปภินวิชพูดไม่ออก เขายังไม่ยินยอมซะหน่อย เอาเปรียบกันเกินไปแล้ว ทว่าชายหนุ่มร่างสูงเห็นคนในอ้อมกอดยังอ้ำอึ้งจึงแนบริมฝีปากตามซ้ำลงไปอีกครั้ง มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มซึ่งยังคงเป็นอิสระพยายามดันร่างที่รุกรานตนให้ออกห่างด้วยความตกใจ เพราะจูบครั้งนี้ต่างจากจูบครั้งก่อน ไม่ใช่จูบที่เพียงแค่แตะริมฝีปากลงมา

หัวใจของปภินวิชเต้นโครมครามกระเด็นกระดอนไปตามการขยับขบเม้ม ความนุ่มนวลที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้เขาเคลิ้มคล้อยตามยอมเปิดริมฝีปากให้ชายหนุ่มได้รุกปลายลิ้นเข้ามา พอ ๆ กับสองมือที่เปลี่ยนจากผลักไสเป็นขย้ำขยุ้มกำเสื้อสูทของพฤทธิกรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว

ปภินวิชโดนกวาดต้อนจนร่างกายอ่อนระทวยคล้ายกำลังหมดลมหายใจ ฝ่ายนั้นจึงผละออกห่างแต่ยังคลอเคลียแต้มจูบลงบนริมฝีปากฉ่ำน้ำ ก่อนจะแนบสัมผัสลึกซึ้งซ้ำลงไปอีกครั้ง เพียรเกี่ยวกระหวัดดูดชิมความหวานจากโพรงปากของร่างในอ้อมกอดราวกับคนกระหายมาเนิ่นนาน

“พ...พอก่อน... เถอะครับ”เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เขาหวิววาบในช่องท้องตัวเบาเหมือนจะลอยได้และกำลังไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนแล้ว ปภินวิชหอบหายใจพร้อมก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนลวนลามอีกรอบ

“โอเค พอก็พอ”พฤทธิกรเอ่ยบอก ดึงร่างของเด็กหนุ่มให้พิงอกตนเองไว้พร้อมลูบหลังไปพลาง

ทว่าฉับพลันนั้นเอง ประตูห้องทำงานได้เปิดออก ปภินวิชจึงกระเด้งตัวออกห่างพฤทธิกรทันใด

“โอ๊ะ ขอโทษครับ”กวีวัธน์ร้องบอกแต่สีหน้าไม่มีเค้าของความสำนึกผิด “พอดีเมื่อกี้ผมแอบฟังที่ประตู ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยถึงได้เปิดเข้ามา นึกว่าน้าฤทธิ์อยู่ห้องอื่นซะอีก”

ปภินวิชหันรีหันขวางลุกลี้ลุกลนเพราะความขัดเขิน ก่อนจะโพล่งออกไปว่า “ผมกลับก่อนนะครับ” แล้วรีบเผ่นแผล็วออกจากห้อง ปรากฏว่าที่หลังบานประตู เขายังเห็นคนอื่นอีกสองสามคนยืนอออยู่แถวโต๊ะทำงานของสุธาณี เด็กหนุ่มจึงก้มหน้างุด ๆ เดินไปที่ลิฟต์โดยไม่มองหน้าใคร ก่อนจะต้องเดินย้อนกลับมาเพราะบัตรของเขาใช้งานไม่ได้

“คุณฤทธิ์ เปิดลิฟต์ให้หน่อย”เขาร้องบอกเมื่อเงยหน้าเห็นคนที่ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอย่างนี้

“เดี๋ยวให้ธนาไปส่ง”

คนฟังเหลือบตาไปมองบอดี้การ์ดร่างสูงที่เดินตามหลังพฤทธิกรมา จากนั้นจึงสั่นศีรษะระรัว “ผมกลับเองได้”เขาพูดเสียงเบา คะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายเรียกลิฟต์ให้สักที เขาอยากไปจากที่นี่ใจจะขาดแล้ว

พฤทธิกรแตะการ์ดบนจอและกดปุ่มเรียก ปรากฏว่าประตูลิฟต์เปิดออกทันที

“เดี๋ยวให้ธนาไปส่ง”พฤทธิกรยังย้ำบอก

“ไม่”ปภินวิชยังสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างแข็งขัน  เขาก้าวเข้าไปด้านพลางรัวนิ้วบนแผงควบคุมเพื่อให้ประตูลิฟต์ปิดเร็ว ๆ 

“ผมกลับเองได้ เจอกันที่บ้านนะครับ”

กระทั่งประตูลิฟต์ปิดเหลือแค่ตนเองอยู่เพียงลำพังแล้ว ปภินวิชจึงได้ทิ้งศีรษะพิงประตูโลหะเย็นเฉียบ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ ใบหน้าของเขายังคงร้อนผ่าว เด็กหนุ่มถึงได้วางมือแนบกับวัตถุตรงหน้าซึ่งเย็นกว่าอุณหภูมิร่างกาย จากนั้นจึงเอามาแนบหน้าตัวเอง

ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางบนรถไฟฟ้าและอยู่บนรถเมล์ ทำให้หัวใจที่เต้นโครมครามจากความขัดเขินจางหายไป เขาเงยหน้ามองฟ้าที่ครึ้มมัวพร้อมอากาศที่เริ่มเย็นลงพลางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่ไม่ต้องฝ่าแสงแดดร้อนจ้ากลับเข้าคอนโด บ่าย ๆ เช่นนี้รถยนต์บนถนนซอยยังวิ่งขวักไขว่ ขณะที่ผู้คนบนทางเท้ากลับดูบางตา

ปภินวิชชะงักเท้าเมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ริมถนนจึงเดินเข้าไปหา หลังถามไถ่ก็ได้ความว่าเด็กน้อยหลงทาง เจ้าตัวยื่นกระดาษจดที่อยู่มาให้ดู หากในสมองคิดลังเลว่าควรพาไปหาตำรวจดีหรือเปล่าเนื่องด้วยเขาไม่รู้จักที่ทางแถวนี้

บนกระดาษใบนั้นเขียนชื่ออะพาร์ตเมนต์ เลขที่ตั้งและเลขที่ห้อง เด็กหนุ่มลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดค้นหาดู ปรากฏว่ามันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

“ปะ เดี๋ยวพาไปส่ง”เขาบอกพลางคว้าจับมือเด็กคนนั้นขึ้นมาจูง ตามแผนที่บนแอปพลิเคชัน เขาต้องเลี้ยวเข้าซอยหน้า เจอแยกแล้วเลี้ยวอีกรอบ เดินเท้าต่ออีกไม่กี่นาทีก็เห็นป้ายชื่ออะพาร์ตเมนต์มาแต่ไกล ยังแอบคิดว่าไม่น่าจะหลงได้แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าเด็กตัวแค่นี้ควรจะรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหนจึงปล่อยความคิดนั้นให้มันผ่านไป

อะพาร์ตเมนต์นั้นทาตัวตึกเป็นสีส้มดูใหม่เหมือนเพิ่งสร้างไม่นาน ประตูทางเข้าเปิดโล่งไม่มีคนเฝ้า

เห็นท่าทางยังคงสะอึกสะอื้นของเด็กชาย เด็กหนุ่มได้แต่มองตัวเลขในกระดาษอีกรอบ เยี่ยมหน้าเข้าไปมองหมายเลขห้องที่ติดอยู่บนบานประตูของห้องชั้นล่าง จึงพอเดาได้ว่า หมายเลขห้องที่ระบุอยู่บนกระดาษอยู่บนชั้นห้าและเหมือนว่าอาคารหลังนี้จะไม่มีลิฟต์ เขาถอนหายใจพลางจูงมือเด็กชายเดินขึ้นบันได

นาน ๆ เดินขึ้นบันไดถึงห้าชั้นสักครั้งปภินวิชถึงกับอ้าปากหอบ

ห้องพักสองฝั่งหันประตูเข้าหากัน ทางเดินกว้างแต่รู้สึกว่าจะค่อนข้างเก่ากว่าภายนอกอาคารที่เห็นเมื่อสักครู่ หมายเลขห้องที่ระบุบนกระดาษอยู่สุดทางเดิน เขามองเด็กที่เดินจูงมือมาซึ่งเจ้าตัวยังไม่หยุดสะอื้น จากนั้นขยับเท้าไปลองเคาะประตู

ประตูห้องค่อย ๆ แง้มเปิดทำให้เด็กหนุ่มจินตนาการถึงหนังสยองขวัญ เขายกยิ้มแหยทว่ายังไม่ทันพูดอะไรกลับโดนกระชากดึงคอเสื้อเข้าไป ถูกดันร่างเบียดกับผนังโดยมีมืออีกข้างประกบที่กึ่งปากกึ่งจมูก ฝ่ายตรงข้ามลงน้ำหนักมือจนเขาเจ็บไปทั้งหน้า และด้วยความตระหนกเขาถึงได้สูดกลิ่นหอมแปลก ๆ จากผ้าชุ่มน้ำในมือข้างนั้นเข้าไปเต็มปอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นแม้เด็กหนุ่มจะพยายามดิ้นรน สุดท้ายเขาก็ต้องสิ้นสติไปอย่างไม่จำยอม

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องปล่อยร่างที่ไร้สติกองไว้ตรงนั้น ดึงประตูเปิดออกพร้อมส่งเงินให้เด็กชายที่ยังยืนรออยู่หน้าห้องซึ่งเจ้าตัวได้ยื่นมือมาคว้าหมับอย่างรวดเร็ว ใบหน้าไร้ร่องรอยอาการสะอื้นไห้ที่แสร้งทำมายาวนาน แล้วหมุนตัววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

เขาหันกลับมาหาเหยื่อและลงมือค้นตัว ได้กระเป๋าเงินที่ภายในมีเงินอยู่สองพันกว่าบาทและบัตรเอทีเอ็ม จึงลองเปิดค้นหารหัสบัตรในโทรศัพท์หรือกระดาษจดตามซอกกระเป๋า เมื่อไม่พบจึงโยนมันใส่ถุงกระดาษเตรียมนำไปทิ้ง

จากนั้นจึงลากเด็กหนุ่มมาที่เตียงลงมือปลดกระดุมเสื้อที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่

“ว้าว หน้าตาดียังไม่พอ ผิวยังขาวขนาดนี้เลย น้องนี่โชคดีชะมัด”เขาหัวเราะพลางโน้มหน้าแลบลิ้นเลียแผ่นอกของเด็กหนุ่ม แล้วผละออกออกมาปลดกระดุมกางเกง เปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ปภินวิชสวมใส่อยู่จนหมด ลุกเดินไปหยิบเชือกและกุญแจมือที่มีเก็บไว้อย่างใจเย็น

สวมกุญแจมือเข้าที่ข้อมือของเหยื่อคล้องไว้กับโครงเหล็กหัวเตียง จับขาทั้งสองข้างกางออกกว้างและมัดยึดไว้ด้วยเชือกกับสก็อตเทป ใช้ฝ่ามือหยาบกระด้างลากลูบต้นขาไปหยุดที่จุดอ่อนไหวกลางลำตัวของเหยื่อพร้อมขยำมืออย่างหยอกเย้า ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความหื่นกระหาย

“รอก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะกลับมาเล่นสนุกกับน้อง”

ปภินวิชยังคงหลับสนิทเพราะพิษยาสลบ โดยไม่รู้เลยว่าตนต้องเผชิญกับอันตรายใดเมื่อลืมตาอีกครั้ง




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอ้า!!!!! งานเข้า

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด