อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6  (อ่าน 29399 ครั้ง)

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
 :z6: อยู่ดีๆโรคจิตมาจากไหนเนี่ย

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
16



เสียงเปิดประตูดึงความสนใจของปวันรัตน์ให้ชะโงกศีรษะข้ามพนักโซฟายื่นหน้าออกไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่ตนเรียกขานว่าน้าจึงยกมือไหว้พลางกล่าวทักทาย

“แล้วพี่ปลาล่ะคะ”เธอถามเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ชาย

“หือ ปลายังกลับมาไม่ถึงอีกเหรอ”

“ตอนที่ปุ้ยกลับมาถึงห้องก็ไม่เจอพี่ปลานะคะ”

พฤทธิกรขมวดคิ้ว ลวงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกทว่ากลับไม่มีสัญญาณตอบรับที่ปลายสาย

“หรือว่าแบตหมด”เด็กสาวพูดเมื่อพฤทธิกรบอกว่าโทรไม่ติด “แต่ไม่แน่ว่า พี่ปลาอาจจะแวะซื้อของที่ซูเปอร์ก็ได้ เดี๋ยวก็คงกลับมาแหละค่ะ”จากนั้นจึงเล่าให้พฤทธิกรฟังว่า ช่วงอาทิตย์ก่อนเธอและพี่ชายไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเกตใกล้ ๆ คอนโดอยู่บ่อยครั้ง

“เดี๋ยวน้าไปดูหน่อยดีกว่า”พฤทธิกรถอดเสื้อสูทถือไปวางพาดไว้บนเตียง ปลดกระดุมแขนเสื้อและพับขึ้นมากองแถวข้อศอก

“งั้นปุ้ยไปเป็นเพื่อน”เธอรีบลุกขึ้นยืนปิดโทรทัศน์ เดินตามชายหนุ่มที่เดินลิ่ว ๆ นำออกไป

“น้าฤทธิ์ พี่ปลาไม่เป็นอะไรหรอก”เด็กสาวกล่าวปลอบเมื่อเห็นพฤทธิกรร้อนรนกระสับกระส่ายกว่าปกติ พลางชวนคุยต่อไปว่า “บางทีพี่ปลาก็ชอบเดินดูของเพลินจนลืมเวลา เมื่อก่อนพ่อกับแม่ต้องโทรตามบ่อย ๆ”ที่ปวันรัตน์ยังไม่รู้ สมัยก่อนพี่ชายของเธอใช้ชอบข้ออ้างนั้นยามตอบคำถามของพ่อแม่ก็จริง แต่ส่วนใหญ่เจ้าตัวมักจะเถลไถลอยู่กับเพื่อนจนลืมเวลาเสียมากกว่า

“แต่โทรศัพท์ก็น่าจะติดต่อได้”

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ เธอจึงได้แต่โคลงศีรษะอย่างไม่มีความเห็น ปวันรัตน์ใช้โทรศัพท์จอสีรุ่นปุ่มกดที่แบตเตอรี่อึดทนทานใช้งานได้ข้ามวันโดยไม่ต้องชาร์จไฟ เธอจึงไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของพี่ชายเปิดใช้งานได้นานแค่ไหน ตอนที่ยืมโทรศัพท์ของพี่ชายมาเล่นเกมก็เสียบชาร์จไฟตลอดเสียด้วย

พฤทธิกรออกจากลิฟต์ที่ชั้นที่จอดรถ เด็กสาวจึงร้องเรียกไว้ “น้าฤทธิ์จะไปไหนคะ”

“น้าจะขับรถไป”

“เดี๋ยวสวนทางกับพี่ปลาเอานะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าดูที่ซูเปอร์แล้วไม่มีค่อยโทรบอกให้ธนาไปดูที่ห้องก็ได้ ขับรถไปเร็วกว่า”เขาก้าวเท้ายาว ๆ ตรงดิ่งไปที่รถโดยไม่หยุดเท้ารอพูดประโยคนั้นให้จบ ปวันรัตน์จึงต้องรีบวิ่งตามไปเพราะไม่อยากถูกทิ้ง เธอไม่ได้มีอะไรติดตัวมาสักอย่างไม่ว่าจะโทรศัพท์หรือคีย์การ์ด

พฤทธิกรขับรถออกมาโดยสอดส่ายสายตามองข้างทางไปด้วย เมื่อเห็นป้ายซูเปอร์มาเกตจึงเปิดไฟเลี้ยวก่อนหักเลี้ยวรถเข้าไป หลังได้ที่จอดรถก็รีบก้าวเท้ายาวเข้าไปด้านใน

เขากังวลใจเพราะเด็กหนุ่มกลับผิดเวลาทั้งยังไม่รับโทรศัพท์ เมื่อกลางวันเจ้าตัวเพิ่งร้องไห้เพราะคำว่ากล่าวของเขาอยู่หยก ๆ เขาจึงไม่คิดว่าปภินวิชจะทำตัวเถลไถลได้อย่างฉับพลันเช่นนั้น

ซูเปอร์มาเกตมีพื้นที่การให้บริการเพียงชั้นเดียวและแม้ว่าช่วงเย็น ๆ จะมีผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่ แต่เขาคิดว่าแค่เด็กผู้ชายคนเดียวคงไม่น่าจะหลงหูหลงตาไปได้ หลังเดินวนไปวนมาอยู่สองถึงสามรอบ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่า คนที่เขาตามหาคงไม่ได้อยู่ในนี้

เขายกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออก

“ธนา ไปดูที่ห้องหน่อย ปลากลับมาหรือยัง ถ้ายังช่วยเช็กสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ตำแหน่งล่าสุดให้ที”หลังกดตัดสาย เขาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์แล้วกดโทรออก

“สวัสดีครับ”

ปลายส่งเสียงตอบรับและถามกลับมาว่าสบายดีไหม พฤทธิกรจึงต้องพูดคุยทักทายอีกสองสามประโยค ก่อนจะได้พูดธุระที่ตนตั้งใจโทรหา

“ผมโทรมารบกวนขอความช่วยเหลือครับ”เขาเงียบฟังสิ่งที่ปลายสายตอบกลับมาก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ผมอยากจะเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดนะครับ อยากจะขอความกรุณาให้ท่านช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่อย”





เมื่อลืมตาขึ้นมาปรากฏว่าในห้องแห่งนั้นมีแต่ความมืดสนิท เขาพยายามกวาดตามองทว่าฉับพลันนั้นแสงสว่างจากโคมไฟวัตต์ต่ำกลับสาดส่องเข้าตา เขาหลับตาลงและเบือนหน้าหนี

“ในที่สุดน้องก็ตื่นแล้ว”เสียงแหบพร่าดังมาพร้อมใบหน้าผอมตอบด้วยตาโหลลึกยื่นเข้ามาใกล้

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร”เขาเอ่ยถาม นัยน์ตากำลังพยายามปรับสภาพทำให้มองเห็นทุกสิ่งรอบตัวชัดขึ้น ห้องนั้นเป็นห้องโล่งไม่มีข้าวของอื่น เขายังพอเห็นแสงสว่างจ้าตกกระทบลงพื้นตรงที่มีผ้าม่านบังหน้าต่างทางฝั่งหลังห้อง ก่อนจะหันกลับมามองชายที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาของแสงไฟอีกครั้ง

แคว้ก!!!

ทันทีที่สิ้นสุดเสียงนั้นสกอตซ์เทปสีทึบได้ถูกนำมาปิดปากเขาไว้พร้อมกับหัวใจของเขาที่เต้นถี่รัว ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังเมื่อเห็นว่าร่างกายของตนเองไร้ซึ่งอาภรณ์ ปภินวิชขยับร่างกายพยายามกระถดหนีกลับพบว่าทั้งแขนและขาถูกมัดตรึงไว้แน่นหนา เมื่อเห็นแววตาของชายที่อยู่ตรงหน้า ขนในกายกลับพร้อมใจกันลุกพรึบขึ้นฉับพลัน อากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อซึมแต่ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้าน

ฝ่ามือคล้ำหมองของอีกฝ่ายถูกวางลงบนต้นขาของเขา เด็กหนุ่มพยายามสะบัดมันทิ้งแต่ติดที่เชือกซึ่งผูกรั้งขาข้างนั้นไว้กับโครงเหล็กของเตียงทำให้ขยับได้ลำบาก ผลที่ได้จึงกลายเป็นข้อเท้าของเขาที่เสียดสีกับเชือกจนเป็นรอยแดง

ฝ่ายนั้นไต่มือขึ้นสูงจนถึงจุดกึ่งกลางลำตัว เขาสะอิดสะเอียนกับสัมผัสจนอยากจะอาเจียนออกมากระนั้นเมื่อถูกปลุกเร้าหนักเข้า ร่างกายของเขากลับตอบสนอง ปภินวิชได้แต่นึกก่นด่าร่างกายตัวเองอยู่ภายในใจ

ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะที่ทำให้ปภินวิชยิ่งเจ็บแค้น

เขาไม่ยอม!!! เด็กหนุ่มได้แต่บอกตัวเองอยู่ภายในใจเช่นนั้น เขาจะไม่ยอมให้ไอ้บ้านี้มาทำกับเขาแบบนี้ง่าย ๆ ปภินวิชคิดพลางกระชากข้อมือกระชากข้อเท้าสุดแรง แม้จะโดนขอบกุญแจข้อมือบาดจนเป็นแผลเด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมหยุด

ทว่าเพียงแค่ชายคนนั้นเสือกกายเข้าหา เขากลับต้องยอมชะงักนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับน้ำตาไหลออกมาโดยไม่อาจกลั้น ร่างกายเจ็บร้าวราวกับทั้งร่างกำลังจะปริแตกเป็นเสี่ยง ๆ เจ็บปวดมากมายกว่าบาดแผลที่ข้อมือ

อีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะอย่างสมใจ ขยับโยกโดยไม่สนใจความเจ็บปวดทรมานที่เขากำลังได้รับ

“อือ อือ”เขาพยายามส่งเสียงร้อง ร้องขอให้ใครสักคนผ่านมาช่วยเหลือ

ใครก็ได้ช่วยผมที!!! นายท่าน!!! คุณฤทธิ์!!! ช่วยผมด้วย!!!





ฟ้ามืดแล้ว พฤทธิกรได้แต่นั่งรอด้วยความกระวนกระวาย มือของเขากำโทรศัพท์ไว้แน่นเคาะปลายนิ้วกับมันราวกับการทำเช่นนั้นจะทำให้สายที่เขาเฝ้ารอจะติดต่อกลับมา

ปวันรัตน์กอดเข่าอยู่ด้านข้างแต่เธอดูสงบกว่าเขามาก

ประตูห้องถูกเปิดผลัวะเข้ามาพร้อมร่างสูงใหญ่ของบอดี้การ์ดทั้งสองคน เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับธนาที่เอ่ยรายงานเรื่องที่เขาออกคำสั่งไว้ก่อนหน้า “ได้ที่อยู่แล้วครับ ตำรวจกำลังจะไปถึงที่นั่นเพื่อขอดูกล้องของอาคารก่อน”

“ปุ้ยไปด้วย”เด็กสาวร้องบอก เมื่อทั้งสามคนเดินลิ่วออกไปโดยไม่รอเธอ

“ปุ้ยรออยู่ที่อยู่ที่ห้องก่อนเถอะ ถ้ายังไงเดี๋ยวน้าให้พุฒิมารับ”

“แต่...”

“เชื่อน้า เธออยู่นี่แหละอย่าเพิ่งดื้อ”เมื่อชายหนุ่มเสียงดังดุใส่ เธอจำต้องยอมเงียบอย่างเชื่อฟัง

“พี่ปลาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

“ปลาต้องปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วง”เขาพูดปลอบก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่พุฒิพงศ์เดินนำมากดเรียกไว้ให้ พวกเขานิ่งเงียบไม่มีการพูดคุยกันเพราะความเคร่งเครียดที่รายล้อมอยู่รอบตัว ถ้านับชั่วโมงตามเวลาที่ปภินวิชหายไป มันควรที่จะไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น เพียงแต่พุฒิพงศ์ตรวจพบว่าสัญญาณโทรศัพท์ของปภินวิชหายไปแถวสะพานข้ามแม่น้ำ พวกเขาจึงต้องรอตรวจสอบข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงสะพานแห่งนั้นและกล้องหน้าถนน เส้นทางจากป้ายรถเมล์มาที่คอนโด ก่อนระบุตัวผู้ต้องสงสัยและที่อยู่

รถยนต์ที่มีพุฒิพงศ์เป็นคนขับเลี้ยวซ้ายเข้าไปในแยกหนึ่งซึ่งเลยจากซูเปอร์มาเกตที่ปวันรัตน์พาเขามาเมื่อตอนเย็นไปไม่ไกล ที่หน้าตึกสีส้มมีรถยนต์ติดตราตำรวจจอดรออยู่ก่อนแล้ว พุฒิพงศ์จอดรถให้เขาได้ลง  ก่อนขับเลยด้านหน้าตึกไปจอดแอบริมถนน

พฤทธิกรเดินตามตำรวจไปยังห้องห้องหนึ่งที่เจ้าของตึกใช้สำหรับเก็บเซิร์ฟเวอร์ของกล้องวงจรปิด ตัวกล้องติดอยู่ที่ทางขึ้นชั้นหนึ่งจึงจับภาพได้เฉพาะคนที่เดินเข้าเดินออก แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะมีภาพของเด็กหนุ่มที่เขาตามหา เดินขึ้นตึกไปพร้อมกับเด็กชายอีกคนปรากฏอยู่อย่างชัดเจน

ธนาจึงเปิดภาพบุคคลต้องสงสัยจากแท็บเล็ตให้หญิงวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของตึกได้ดู

“อ้อ คนนี้อยู่ชั้นบนสุด”เธอบอกหมายเลขห้อง สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตระหนกตื่นเต้นกับการที่มีตำรวจเข้ามาติดต่อขอความร่วมมือ

ชายหนุ่มไม่รอช้า ก้าวเท้าขึ้นบันไดนำขึ้นไปอย่างรีบร้อนจนบอดี้การ์ดทั้งสองแทบก้าวตามไม่ทัน มีตำรวจอีกสองสามนายวิ่งตามขึ้นมา เมื่อถึงห้องเป้าหมาย พฤทธิกรตรงดิ่งไปหมุนลูกบิดประตูและพบว่ามันล็อกจากด้านใน

“พวกผมเองดีกว่าครับ”ธนาเอ่ยห้ามไว้ก่อนเมื่อเห็นว่านายจ้างกำลังจะพังประตูเข้าไป พลางหลีกให้คู่หูหยิบอุปกรณ์ออกมาสะเดาะกุญแจ

ประตูถูกเปิดเข้าไปเพื่อให้ชายหนุ่มได้เห็นภาพซึ่งทำให้ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ เขาปรี่เข้าไปหาชายโสโครกที่อยู่เหนือร่างปภินวิช กระชากเหวี่ยงมันออกห่าง แสงไฟสลัว ๆ ทำให้เห็นเลือดสีแดงนองอยู่บนเตียง พฤทธิกรหันไปหาชายคนนั้น กระทืบฝ่าเท้าลงบนร่างกายอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้น

ธนาตรงมาเข้าดูคนที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง ถอดล็อกกุญแจมือให้จากนั้นจึงนำเสื้อของเด็กหนุ่มซึ่งถูกถอดทิ้งอยู่ไม่ไกลมาคลุมร่างกายของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะถอดสูทตัวนอกของตนคลุมทับอีกชั้น พลางร้องบอกเป็นการห้ามปรามเจ้านายกลาย ๆ

“คุณฤทธิ์ครับ มาดูคุณปลาก่อนดีกว่าครับ”

ถึงกระนั้น ชายหนุ่มกลับยังคงซ้ำฝ่าเท้าไปอีกหลายครั้ง เขาเดินกลับมาหาปภินวิช ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พลางเอ่ยเรียก แตะมือลงบนแก้มที่ขาวซีดอย่างแผ่วเบา

“ปลา ได้ยินหรือเปล่า”น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า “ปลาลืมตาหน่อยเถอะ”

เปลือกตาบางกะพริบขยับปรือขึ้นมองพร้อมริมฝีปากแห้งที่พยายามอ้าปากพูด

“ไม่เป็นไรแล้ว”เขาเอ่ยปลอบพลางช้อนอีกฝ่ายขึ้นอุ้มอย่างเบามือ

พุฒิพงศ์ผลุนผลันออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่ ส่วนชายคนร้ายอยู่ในอำนาจการกุมตัวของตำรวจ แต่ก่อนที่พฤทธิกรจะเดินออกจากห้อง เขาหันมาพูดกับธนาว่า “ทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีทางหลุดออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกอีก หรือถ้าจะให้ดีก็ให้มันตายอย่างทรมานไปซะ”

เขาอุ้มร่างเบาโหวงของเด็กหนุ่มลงมาด้านล่าง  มีผู้คนซึ่งพักอยู่ในอาคารนั้นออกมามุงดูเหตุการณ์กันมากขึ้น พฤทธิกรรีบสาวก้าวผ่านไปอย่างไม่คิดเหลียวหันไปให้ความสนใจ ก้าวเข้าไปยังที่นั่งตอนหลังซึ่งบอดี้การ์ดของเขาเปิดประตูไว้รอ พุฒิพงศ์กุลีกุจอขึ้นประจำที่นั่งคนขับ จากนั้นจึงเหยียบคันเร่งออกตัวไปอย่างรวดเร็ว





กว่าที่ปภินวิชจะได้ออกจากห้องฉุกเฉินเวลาก็ผ่านไปค่อนดึกแล้ว พฤทธิกรจึงแค่โทรบอกปวันรัตน์ให้มาเยี่ยมในวันถัดไป

“ทำไมละคะ พี่ปลาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วง”

“งั้นให้ปุ้ยไปเยี่ยมพี่ปลาหน่อยไม่ได้หรือคะ”

“ปุ้ยควรจะเข้านอนได้แล้วนะ อีกไม่กี่วันก็ต้องรับยาอีกแล้ว อยากให้พี่ชายต้องเป็นห่วงเหรอ”เขาไม่รอให้เธอพูดเถียง เอ่ยต่อไปว่า “ตอนนี้พี่ชายเธอไม่สบาย ยังอยากทำให้เขาต้องกังวลเพิ่มอีกหรือ”

“น้าฤทธิ์”เธอเรียกชื่อเขาเสียงอ่อย “อย่าดุสิคะ ปุ้ยกลัวแล้ว น้าฤทธิ์จะเฝ้าพี่ปลาที่โรงพยาบาลคืนนี้ใช่ไหมคะ มีเสื้อผ้าหรือเปล่า ให้ปุ้ยเตรียมให้เอาไหม”

“ไม่เป็นไรคิดว่าพุฒิคงใกล้จะถึงแล้ว เธอก็รีบเข้านอนอย่าโอ้เอ้”

เธอตอบรับอย่างแข็งขัน หลังจากวางสายชายหนุ่มจึงเดินกลับมาที่เตียงผู้ป่วย ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เขาชื่นชอบยังคงซีดเซียวไร้สีเลือดไม่ต่างจากริมฝีปากได้รูปคู่นั้น เขายกหลังมือขึ้นไล้แก้มเนียนซึ่งอุ่นร้อนกว่าปกติด้วยความรู้สึกผิด ถ้าหากเขาแข็งใจไม่ยอมให้เด็กหนุ่มเดินทางกลับไปคนเดียว เด็ดขาดยืนยันให้ธนาตามไปส่ง ปภินวิชก็คงจะไม่ต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายพรรค์นี้

ทั้งที่เขาควรจะดูแลอีกฝ่ายได้ดีกว่านี้แท้ ๆ ชายหนุ่มได้แต่นึกโทษตัวเองในใจ

เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง นั่งมองใบหน้าซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่เนิ่นนาน กระทั่งธนาตามมาสมทบ หลังจากนั้นไม่กี่นาที พุฒิพงศ์ก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าของเขา

“วันนี้ขอบใจมากนะ”

“ไม่ครับ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว”ทั้งสองคนพูด

“คืนนี้ก็กลับไปพักได้แล้ว”

“ถ้าอย่างไรให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเถอะครับ”พุฒิพงศ์บอก “ส่วนคุณปุ้ยให้ธนากลับไปดูแล”พลางส่งกุญแจรถไปให้ เห็นบอดี้การ์ดทั้งสองคนแบ่งหน้าที่เสร็จสรรพ พฤทธิกรจึงไม่ได้พูดแย้งอะไรอีก เขาหยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยน

ห้องพักผู้ป่วยแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ห้องด้านในนั้นเป็นที่พักฟื้นสำหรับผู้ป่วยและมีพื้นที่พักผ่อนด้านนอกสำหรับบรรดาญาติที่มาเยี่ยมหรือผู้ที่มาเฝ้าไข้

เพียงแต่พฤทธิกรยึดที่นั่งข้างเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทั้งยังหลับตาไม่ลงเพราะห่วงกังวลว่าอาการของเด็กหนุ่มจะทรุดหนักลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว แม้แพทย์จะบอกว่าอาการทางร่างกายของปภินวิชไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้วก็ตาม

เขาสอดฝ่ามือกุมมือเรียวบางของเด็กหนุ่มไว้ มองเห็นผ้าพันแผลสีขาวแล้วยิ่งรู้สึกผิด ทว่าในเวลานี้เขาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่พยายามดูแลปกป้องเด็กหนุ่มต่อไปในวันข้างหน้า พฤทธิกรบอกกับตัวเองเช่นนั้น

ทั้งที่คิดว่าจะนั่งเฝ้าปภินวิชไปตลอดทั้งคืน เพียงทว่าสุดท้ายแล้วความเหนื่อยล้าง่วงงุนก็จู่โจมเขา ชายหนุ่มนั่งสัปหงกเป็นพัก ๆ ในช่วงใกล้รุ่งสาง ก่อนจะต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงโวยวายร้องดังขึ้น

“ช่วยด้วย! ช่วยผมด้วย! อย่าเข้ามานะ! อย่าเข้ามา!”ปภินวิชกระถดตัวจนชิดหัวเตียง สองมือโบกปัดเป็นพัลวันราวกับพยายามหนีอะไรบางอย่าง จนเข็มให้น้ำเกลือหลุดออกจากหลังมือ

พฤทธิกรรีบปราดเข้าประชิดดึงรั้งโอบกอดร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มไว้ ส่งเสียงเรียกพลางลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่เด็กหนุ่มยังร้องโวยวายไม่หยุดคล้ายยังไม่รู้สึกตัว

“ปลา ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เธอปลอดภัยแล้ว”เขาได้แต่กอดรัดปภินวิชไว้เมื่อฝ่ายนั้นพยายามดิ้นหนี ชายหนุ่มพยายามพูดปลอบว่า นี่ฉันเอง ไม่มีใครทำอะไรเธอได้อีกแล้ว พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ เช่นนั้นกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ อาการผวาตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มจึงค่อยทุเลา

“นายท่าน”ปภินวิชส่งเสียงเรียก น้ำตาใสเอ่อคลอเบ้าก่อนกลิ้งหล่นร่วงลงมา สองมือของเขาขยุ้มกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น จ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบด้วยกังวลกลัวว่าตนจะฝันไป แล้วต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความเจ็บปวดทรมานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

“นายท่าน”

“อืม ฉันเอง”

“ผมฝันไปหรือเปล่า”เขาเอ่ยถามพลางแนบศีรษะซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง

“ไม่ เธอไม่ได้ฝัน ฉันอยู่ตรงนี้”พฤทธิกรประคองช้อนใบหน้าเด็กหนุ่มให้เงยขึ้น แตะจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากเนียนและริมฝีปากสีซีด ใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัวแล้ว เธอปลอดภัยแล้ว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับกระนั้นกลับไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีก เขาปล่อยน้ำตาและเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอาย ราวกับพยายามใช้น้ำตาเหล่านั้นชำระล้างช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวถูกทารุณให้หมดสิ้นไป สองมือของเขายึดเหนี่ยวชายหนุ่มร่างสูงไว้เป็นที่พึ่งด้วยหวังให้อ้อมกอดอบอุ่นนี้ขับไล่ความทรงจำมืดดำที่เคยเผชิญ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ขอโทษครับ”พุฒิพงศ์เคาะประตูพร้อมเอ่ยแทรกขัดจังหวะ “ผมตามหมอให้มาดูอาการคุณปลาครับ”

ชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะนายจ้างพยักหน้า บอดี้การ์ดร่างสูงจึงปล่อยหมอและพยาบาลให้เดินเข้าไป เขาเห็นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายกระซิบพูดกับคนในอ้อมกอด จากนั้นจึงดึงมือเด็กหนุ่มส่งให้พยาบาลจัดการทำแผลและแทงเข็มน้ำเกลืออีกรอบ

“ขอตรวจร่างกายหน่อยนะครับ”

ด้วยเหตุนั้น ปภินวิชจำต้องผละร่างกายออกห่างจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงทั้งที่ยังสะอื้นไม่หยุด ปล่อยให้หมอฟังเสียงหัวใจวัดความดันเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนตัวไปพิงร่างชายหนุ่มไว้อีกครั้ง

“ให้พักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ หมอจะให้น้ำเกลืออีกขวด และถ้าเกิดมีปัญหาอะไรคุณพฤทธิกรสามารถแจ้งพยาบาลเพื่อติดต่อแพทย์เฉพาะทางได้ครับ”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้าตอบรับ รอจนกระทั่งหมอและพยาบาลเดินออกไปแล้ว จึงหันมากล่อมเด็กที่เกาะตนไว้แน่น “นอนต่อเถอะนะ”ทว่าอีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะระรัว

“เดี๋ยวฉันนั่งอยู่ตรงนี้ จับมือเธอไว้ไม่ลุกไปไหนหรอก”

“ผมไม่ง่วง”

“แต่ฉันเมื่อย”

ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นร่างบนเตียงจึงขยับแอบไปอีกด้าน ตบที่ว่างบนเตียงเพื่อบอกให้พฤทธิกรมานั่งด้วยกัน อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มร่างสูงกลับยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการง่าย ๆ เขาปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น ทรุดนั่งพิงหลังพร้อมกับดึงศีรษะของเด็กหนุ่มมาซบอก และลูบกลุ่มผมนิ่มไปพลาง

ใช้เวลากล่อมไม่นาน ปภินวิชก็หลับสนิทลงอีกครั้ง

พฤทธิกรพยุงร่างของเด็กหนุ่มวางราบกับเตียง ปรับระดับหัวเตียงให้คนป่วยได้นอนสบาย จากนั้นจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เขาแตะริมฝีปากกับหน้าผากของร่างคนป่วยอีกครั้งก่อนเดินออกไปข้างนอกเพื่อโทรศัพท์

เขาคงไม่มีใจทำงานถ้าปภินวิชยังไม่หายดี จึงต้องโทรไปแจ้งเลขาเพื่อเคลียร์งานและเลื่อนนัดบางส่วน อีกสายที่ต้องโทรไปหาคือปวันรัตน์

“ทำไมล่ะ ตกลงพี่ปลาเป็นอะไรรุนแรงเหรอ ปุ้ยถึงไปหาตอนนี้ไม่ได้”เด็กสาวส่งเสียงร้องถามท้วงกลับมาทันทีที่เขาบอกให้เธอไปเรียนในช่วงเช้า และกลับมาพี่ชายช่วยหลังเลิกเรียน

“ปลาปลอดภัยดีไม่มีอาการอะไรรุนแรง แต่น้าไม่อยากให้เธอขาดเรียนโดยไม่จำเป็น”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่วันเดียวเอง”

“หลังจากรับยาเธอก็ได้หยุดอีกหลายวันแน่ ๆ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ไปโรงเรียนซะ”

เธอเงียบเสียงไปแต่เขานึกออก ภาพที่เธอกำลังทำหน้างออย่างไม่พอใจ “เชื่อฟังที่น้าพูด”

“ค่ะ”เสียงขานตอบรับของเธอฟังดูกระชากห้วนทั้งยังตัดสายไปอย่างรวดเร็ว เห็นพฤทธิกรวางโทรศัพท์แล้วบอดี้การ์ดหนุ่มจึงส่งเมนูอาหารมาให้

“เป็นเมนูสำหรับคุณปลาครับ”

เขารับมาเปิดดูซึ่งภายในมีแต่เมนูอาหารอ่อนอย่างข้าวต้ม โจ๊ก หรือซุป เขาชี้มือบอกและฝากให้พุฒิพงศ์ถามพยาบาลว่าคนป่วยทานอะไรได้อีกบ้าง

“อาหารเช้าของคุณฤทธิ์เดี๋ยวผมสั่งกับข้าวร้านเดิมมาให้นะครับ”

“ไม่ต้องก็ได้ แจ้งสั่งห้องอาหารของโรงพยาบาลนั่นแหละ ฉันขอเป็นโจ๊กเหมือนกัน ถ้ามาพร้อมกับอาหารของปลาได้ก็ดี”

พุฒิพงศ์ขานรับพร้อมหมุนตัวเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่มีตั้งประจำห้องขึ้นมากดโทรออก พฤทธิกรจึงเดินกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย และทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงตำแหน่งเดิม


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//เนื่องจากตั้งใจเขียนแบบรักใส ๆ อะไรอะไรที่มันดูโหดร้ายจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บทนี้เป็นบทสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนแล้ว บทที่ 17 พบกันวันที่ 4 ธันวาคมค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ//*

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
 :katai1:  o22 ช็อค
ไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างจุดหักเหได้เเรงขนาดนี้
แรงระดับฆ่าตัวละครให้ตายอ่ะ
เปลี่ยนโทนนิยายกระทันหันเเละเเรงเกิน
ทำไมทำกับตัวละครได้...

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่าสงสารปลา อุตส่าห์ทำดีพาเด็กหลงไปส่งบ้านแท้ ๆ
แต่ก็เตือนใจเรานะว่าการทำความดีเดี๋ยวนี้ต้องมีความเฉลียว ต้องระวังพวกมิจฉาชีพด้วย เพราะเดี๋ยวนี้มีเยอะ
อีกอย่างที่น่าจะทำคือตรวจเลือดไอ้โรคจิตนั่นว่าเป็นโรคอะไรไหม คือเป็นสิ่งที่ควรทำอ่ะ หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนั้น พอตั้งสติและนึกขึ้นได้ก็จะเริ่มกังวลแทนแล้ว
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
สงสารน้องปลา ไอ้เลวนั่นมันน่าจะให้ตายๆไปซะ
ดูหัวรุนแรง แต่ถ้ามันไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก
คิดแล้วก็หัวร้อน
คงเป็นเรื่องฝังใจน้องไปอีกนานแน่ๆ
น้าฤทธิ์ต้องดูแลน้องดีๆนะ
อย่าทิ้งน้องไปไหนละ แค่นี้น้องก็คงแย่น่า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :fire:

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
17



ปวันรัตน์หิ้วถุงใส่ของมาเต็มสองมือซึ่งชายหนุ่มร่างสูงผู้ทำหน้าที่ขับรถอย่างธนาก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก

หลังเลิกเรียนในตอนเย็นเด็กสาวตั้งใจจะตรงดิ่งมาหาพี่ชายที่โรงพยาบาลทันที แต่เพราะมีสายเรียกเข้าจากพฤทธิกรโทรศัพท์มาบอกให้เธอซื้อของบำรุงร่างกายพี่ชายและอาหารอื่น ๆ สำหรับคนเฝ้าไข้ เธอจึงเลือกซื้อมาเสียเต็มที่

ธนารวบถุงสินค้าต่าง ๆ มาถือไว้ในมือเดียวพลางเดินนำหน้าไปเปิดประตูให้เด็กสาว เธอถือของเดินตามมาและนำพวกมันไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ติดผนัง

“พี่ปลาล่ะคะ”เธอเอ่ยถามเพราะสังเกตว่าห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงโทรทัศน์ด้านนอกที่ถูกเปิดทิ้งไว้เท่านั้น

พุฒิพงศ์ชี้ไปที่ห้องพักผู้ป่วยด้านใน เธอจึงสาวเท้าไปแอบชะเง้อชะแง้มองดู เห็นพี่ชายกับพฤทธิกรนั่งสุมหัวเล่นเกมในแท็บเล็ตอยู่บนเตียงผู้ป่วย เธอโล่งใจเพราะมองจากไกล ๆ พี่ชายของเธอก็ดูไม่เป็นอะไรมากอย่างที่น้าฤทธิ์เคยบอกไว้จริง ๆ

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เธอส่งเสียง ทั้งสองคนจึงเงยหน้าขึ้นมา

“เข้ามาสิ ไปยืนทำอะไรตรงนั้น”ปภินวิชเอ่ยถาม

“แหม...”เธอลากเสียงยานคาง จะให้เธอเข้ามาขัดจังหวะบรรยากาศส่วนตัวของพี่ชายกับพี่เขยหรือไง ปวันรัตน์แอบหัวเราะกับความคิดตัวเอง

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำหน้าแปลก ๆ”พี่ชายถามซ้ำพลางยื่นมือมาแตะสัมผัสใบหน้าของเธอ เด็กสาวจึงได้เห็นผ้าสีขาวซึ่งพันอยู่รอบข้อมือของพี่ชาย

“เจ็บมากหรือเปล่าเนี่ย”เธอลูบมันอย่างแผ่วเบา

ปภินวิชยิ้มให้ “ไม่เจ็บแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วด้วย”เขาบอกอย่างหนักแน่น ปวันรัตน์พยักหน้ารับ แล้วปีนขึ้นเตียงผู้ป่วยมานั่งเบียดกับพี่ชาย โน้มหน้าไปดูหน้าจอแท็บเล็ตบนตัก นั่นคุยนั่งเล่นกันสามคนอยู่ครู่หนึ่ง คนที่อยู่ด้านนอกก็ส่งเสียงแจ้งมาว่า คุณหมอเข้ามาดูอาการคนป่วย

ปวันรัตน์ลงจากเตียงเดินออกไปด้านนอก ส่วนพฤทธิกรแค่ถอยเท้าขยับห่างออกมาแต่พยาบาลกลับยกยิ้มและผายมือเชิญเขาออกไปรอในห้องด้านนอกพร้อมกับเลื่อนปิดประตูห้อง เด็กสาวเห็นอย่างนั้นจึงไปรื้อถุงของกินพลางกวักมือเรียกชายหนุ่มให้ไปนั่งร่วมวง

ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา คนป่วยกลับแผดเสียงลั่นดังชัดมาถึงข้างนอก

“ออกไป! บอกให้ออกไปไง!!!”

ชายหนุ่มรีบถลาไปเปิดประตู เห็นทั้งหมอนทั้งผ้าห่มถูกเขวี้ยงลงมากองอยู่ที่พื้น ส่วนหมอเจ้าของไข้ยืนห่างออกมากำลังพูดกล่อมคนบนเตียงซึ่งนั่งกอดเข่าขยับตัวเบียดชิดหัวเตียง

ปวันรัตน์และบอดี้การ์ดของพฤทธิกรทั้งสองคนต่างก็ลุกขึ้นมายืนมุงดูอยู่หลังกรอบประตู

“ใจเย็น ๆ นะครับ หมอแค่จะดูแผลเฉย ๆ”

คนป่วยบนเตียงไม่ตอบคำทั้งไม่กล้าอาละวาดมากไปกว่านี้เพราะชายหนุ่มร่างสูงที่ตนมองเห็นอยู่ในครรลองสายตา เขาจึงขดตัวลงและพลิกหันหลังให้

“เดี๋ยวผมขอตัวคุยกับเขาสักครู่นะครับ”พฤทธิกรเอ่ยบอกและเป็นฝ่ายเชิญหมอกับพยาบาลให้ออกไปรอนอกห้องผู้ป่วย จากนั้นจึงเก็บหมอนและผ้าห่มถือกลับมาวางบนเตียงพลางสาวเท้าเดินเข้าไปหาร่างที่ซุกหน้าอยู่กับเข่า

“เดี๋ยวหายใจไม่ออก เงยหน้าขึ้นเถอะ”

ปภินวิชเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้เต็มแก่ “ผมหายดีแล้ว เรากลับบ้านกันเลยได้ไหมครับ”

“ได้ แต่ให้หมอเขาดูแผลก่อนไม่ได้เหรอ”

“ผม...”เด็กหนุ่มก้มหน้าขมวดคิ้วด้วยใบหน้าสับสน พฤทธิกรจึงยื่นมือออกไปคว้าจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่เอาแต่กอดตัวเองไว้ ดึงยืดออกมาพร้อมกับสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปสวมกอดไว้ ดึงมือข้างหนึ่งของปภินวิชมาแนบที่ข้างแก้มของเขาพลางจ้องมองสบนัยน์ตาสีดำไหวระริก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ มันผ่านไปแล้ว”

ปภินวิชน้ำตาไหลออกมา แต่ความเจ็บปวดของร่างกายยังคอยย้ำเตือนความทรงจำของเขาอยู่เสมอ เขาอยากสลัดมันทิ้งไม่อยากจดจำมันอีก

ชายหนุ่มแต้มจูบซับน้ำตา วนเวียนจุมพิตปลอบขวัญทั่วใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีแต่ความซีดเซียวเศร้าหมองพลางเอ่ยย้ำ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงมันอีก ตอนนี้ขอแค่เธอรักษาตัวเองให้แข็งแรง อย่างน้อยเพื่อฉัน เพื่อปุ้ย”เขาปาดเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย แล้วพูดกล่อม “ให้หมอดูแผลนะ”

ปภินวิชยังนิ่งเงียบต่อไปอีกหลายอึดใจก่อนพยักหน้า พฤทธิกรจึงพยักพเยิดส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้ากรอบประตู

เมื่อหมอและพยาบาลเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงผละตัวออกห่างแต่มือของเขายังโดนจับยึดไว้แน่น พฤทธิกรวางมือทับบนหลังมือของปภินวิช พร้อมกระซิบบอกว่าเขารออยู่ด้านนอกก่อนจะดึงมือออกมา ปล่อยหน้าที่หลังจากนี้ให้อยู่ในความดูแลของหมอเจ้าของไข้

แพทย์ผู้รักษาเดินออกมาจากห้องพักฟื้นผู้ป่วยโดยยังทิ้งพยาบาลให้ทำเช็ดทำความสะอาดร่างกายคนไข้อยู่ด้านใน เขาตรงเข้ามาหาพฤทธิกร พูดคุยเรื่องสภาพร่างของปภินวิชอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวไปดูแลผู้ป่วยคนอื่น อีกหลายนาทีต่อจากนั้นเมื่อพยาบาลสาวออกมาด้านนอก ปวันรัตน์จึงรีบก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

“พี่ปลา”เธอเอ่ยเรียกพี่ชายซึ่งมีน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมขานรับ เธอจึงพุ่งตรงเข้าไปกอดเขาไว้

ทั้งธนาและพุฒิพงศ์ต่างบอกเธอว่า พี่ชายของเธอโดนโจรปล้นและถูกทำร้ายจนสลบ แต่จากภาพเมื่อครู่ที่ได้เห็น เธอกลับคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงกว่านั้น เพียงแต่เธอไม่กล้าถาม

“ไม่เป็นไรนะ พี่ปลามีปุ้ยอยู่ด้วยทั้งคน ปุ้ยจะอยู่กับพี่ปลาตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ปลาไม่ต้องร้องนะ”เด็กสาวพูดปลอบ ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ไปด้วย “เดี๋ยวปุ้ยจะร้องตาม”

ผู้เป็นพี่ชายจึงหัวเราะ “ยัยเด็กบ้าเอ๊ย”ครู่หนึ่งต่อมาก็เอ่ยด้วยแผ่วเบาต่อไปอีกว่า “พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล”

เด็กสาวหลุบสายตาซบหน้าลงกับไหล่ของพี่ชาย เธออยากถามเขา ถ้าไม่มีอะไรต้องกังวลทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย แต่เธอยังเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ

“เด็ก ๆ ทานข้าวกันเถอะ”พฤทธิกรพูดเสียงดัง ขับไล่ความอึมครึมภายในห้องพักด้วยความกระตือรือร้นกระฉับกระเฉง เขาลากโต๊ะทานอาหารสำหรับผู้ป่วยมาตั้งตรงหน้าเด็กหนุ่ม พุฒิพงศ์และธนาจึงได้ยกจานอาหารมาวางเสิร์ฟ

“โอ้ มาได้จังหวะพอดีเลย”เสียงร้องที่ดังแทรกขึ้นมานั้นเป็นของกวีวัธน์ เขาสาวเท้ามายื่นหน้าสำรวจกับข้าวด้วยความสนใจ

“คุณกลอนมาทำไมครับ”คนป่วยขมวดคิ้วถามเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งมีเรื่องกันไปหมาด ๆ  เด็กหนุ่มจึงคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะญาติดีกันง่าย ๆ

“มากินข้าวกับน้าฤทธิ์”

คำตอบกวนประสาทของอีกฝ่ายทำให้เขานึกโมโห

“ถ้าจะกินข้าวด้วย ก็ไปตักข้าวมา”พฤทธิกรเอ่ยบอกก่อนหันไปตักข้าวใส่จานผู้ป่วยบนเตียง

กวีวัธน์ขานรับหายออกไปด้านนอกครู่เดียวก็กลับมาพร้อมจานในมือ ทั้งน้าชายและน้องสาวของคนป่วยต่างยืนล้อมรอบเตียงอยู่คนละฝั่ง ปวันรัตน์ถือจานข้าวของตัวเองไว้ในมือ ส่วนพฤทธิกรมีจานข้าวของตัวเองอยู่บนโต๊ะ แต่เหมือนจะสนใจแต่อาหารการกินของคนป่วยมากกว่า และทำเหมือนอยากจะป้อนข้าวคนบนเตียงเสียเอง

“เป็นประสบการณ์ที่เจ๋งสุด ๆ เพิ่งเคยยืนกินข้าวในโรง’บาลครั้งแรกเลยนะเนี่ย”

“แล้วใครใช้ให้มาเล่า”ปภินวิชบ่นงึมงำ ขณะที่น้องสาวอย่างปวันรัตน์ออกโรงจัดการแทนพี่ชาย “รีบ ๆ กินไปเลยค่ะพี่กลอนอย่าพูดมาก”

“จ้า ๆ แต่แหม กินไปคุยไปจะได้เจริญอาหารไง”

ปภินวิชทำหน้าเหม็นเบื่อ หยุดช้อนในมือแต่พอพฤทธิกรตักกับข้าวมาให้อีก เขาก็ส่งเสียงขอบคุณไปให้ กวีวัธน์จึงนึกสนุกตักกับข้าวอีกอย่างไปใส่จานของปภินวิช แต่ตักอาหารของพฤทธิกรในจานของเด็กหนุ่มมาใส่ปากตัวเอง

“คุณกลอน!!!”

“กลอน!!!”

ปภินวิชและพฤทธิกรส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน

“ครับ”เจ้าตัวยังเคี้ยวหงับ ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาซ้ำยังตักอาหารทานต่อไปหน้าตาเฉย ปภินวิชหน้างอง้ำส่วนน้าชายได้แต่มองอย่างทั้งขำทั้งฉิว



“นายท่านบอกคุณกลอนหรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถาม ภายในห้องพักผู้ป่วยกลับมาสงบเงียบอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มและเด็กสาวที่มาเยี่ยมไข้ทยอยกลับไป ที่จริงปวันรัตน์อยากจะอยู่เฝ้าพี่ชายแต่โดนพฤทธิกรเอ่ยดุจนต้องกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนบอดี้การ์ดที่อยู่เฝ้าในคืนนี้เป็นหน้าที่ของธนา

“ไม่ได้บอกหรอก น่าจะเป็นคุณก้อยที่บอก”พูดพลางดึงผ้าห่มคลุมร่างของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง

ปภินวิชย่นจมูกขยับปากพึมพำ ก่อนจะหันใบหน้าบึ้งตึงไปทางชายหนุ่ม ขยับตัวนอนตะแคงเมื่ออีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ “ผมมีเรื่องจะฟ้อง”

“หือ”

“คุณกลอนพูดไม่ดีว่าผมอีกแล้ว”

“อืม”พฤทธิกรพยักหน้ารับ

“นายท่านต้องจัดการให้ผมนะ นี่เป็นความผิดครั้งที่สองของคุณกลอนแล้วด้วย ไม่สิครั้งที่สามต่างหาก”

“งั้น...ควรลงโทษยังไงดีล่ะ”

“นั่นสิ”พวกเขานั่งคุยเล่นกันอีกครู่ใหญ่ก่อนที่พฤทธิกรจะพูดบอกให้เด็กหนุ่มหลับตานอนได้แล้ว ปภินวิชยื่นมือออกไปคว้าจับมือของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงไว้

“อยากกลับบ้านแล้ว”เด็กหนุ่มบอกออกไปตามตรง บรรยากาศของโรงพยาบาลทำให้เขารู้สึกไม่ดี

“อืม พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว”เมื่อชายหนุ่มพูดตอบ ปภินวิชจึงยอมหลับตาลง เขานั่งมองพลางยกมือลูบศีรษะเด็กหนุ่มกระทั่งเวลาผ่านไปนานเป็นชั่วโมง รอจนลมหายใจของร่างบนเตียงทอดยาวสม่ำเสมอ

ธนาสืบเท้าเงียบเชียบเข้ามาใกล้พลางกระซิบพูดเสียงเบา “ผมเตรียมที่นอนไว้ให้แล้วครับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวคืนนี้ผมเฝ้าคุณปลาให้เอง”

พฤทธิกรยังนั่งนิ่ง

“พักสักหน่อยเถอะครับ สักสามสี่ชั่วโมงก็ยังดี เมื่อคืนคุณฤทธิ์ก็ไม่ได้นอนไม่ใช่หรือครับ”

ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงมือที่ถูกกุมไว้ออก เขายืดตัวลุกขึ้นยืน โน้มตัวแนบจุมพิตลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มพร้อมเอ่ยบอกฝันดีเสียงเบา

“ฝากด้วยนะ”เขาพูดกับธนาก่อนเดินออกไปยังห้องด้านนอกซึ่งแสงไฟยังคงถูกเปิดสว่าง แวะเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวด้วยความรวดเร็วและกลับมานอนบนโซฟาตัวยาวที่บอดี้การ์ดเตรียมหมอและผ้าห่มไว้ให้ เมื่อศีรษะถึงหมอนเขาก็หลับสนิททันที ดังนั้นตอนที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องตะโกนโวยวายจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งหลับไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม พฤทธิกรกลับพุ่งตัวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอย่างว่องไว

ปภินวิชยังมีอาการเหมือนเมื่อคืนวาน ที่แม้จะลืมตาตื่นแต่เหมือนไม่รู้สึกตัว ส่งเสียงร้องไห้พยายามปัดป้องตัวเองจากอะไรสักอย่าง ถดตัวเบียดร่างกายแนบไปกับผนังบริเวณหัวเตียง ธนากำลังพยายามเขย่าร่างเด็กหนุ่มพลางตบหน้าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ

เขาตรงเข้าไปหา ชายหนุ่มอีกคนจึงหลีกทางให้ พฤทธิกรดึงร่างบนเตียงมาโอบกอดไว้ เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมพูดปลอบ มือข้างหนึ่งลูบหลังไปพลาง ทำอย่างนั้นด้วยความใจเย็นชั่วครู่ใหญ่เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว

“ไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูต่อเอง”พฤทธิกรหันไปบอกบอดี้การ์ดที่ยังยืนรออยู่ไม่ห่าง ฝ่ายนั้นก้มศีรษะก่อนหมุนตัวออกไปด้านนอก

ปภินวิชปล่อยน้ำตาให้ไหลพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น ซบหน้ากับแผงอกกว้างและกอดรัดชายหนุ่มไว้

มันกลับมาหลอกหลอนเขาอีกแล้ว ทั้งที่ตัวเขาก็รับรู้ว่ามันได้ผ่านไปแล้ว ไอ้บ้านั่นไม่มีทางทำร้ายเขาได้อีก เขาอยู่ในที่ปลอดภัยแต่มันก็ยังตามมาทำร้ายเขาในฝัน

เขาน่าจะรู้ตัวว่ามันเป็นความฝัน แต่ภาพทุกอย่างกลับชัดเจนจนเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง

ในยามที่เขาปล่อยให้น้ำตาหลั่งเป็นสาย ปภินวิชนึกโทษตัวเองทุกครั้ง ถ้าวันนั้นเขาระวังตัวกว่านี้อีกนิด มันไม่มีทางดึงเขาเข้าไปในห้องได้อยู่แล้ว เขาเห็นมือผอมแห้งของมัน เขาควรจะมีเรี่ยวแรงมากกว่า เขาควรจะสู้มันได้ ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงมันมีแต่ความเสียใจ

เด็กหนุ่มผละตัวออกห่างเมื่อเริ่มคุมสติของตัวเองได้ จมูกของเขาคัดแน่นจนหายใจไม่ออก ยามหายใจจึงได้ยินเสียงฟืดฟาด ศีรษะปวดตุ้บ ๆ อย่างทรมาน

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”ชายหนุ่มพูดตอบกลับไป

“ผมทำให้นายท่านตื่น”ปภินวิชพูดเสียงเบาทั้งยังคงก้มหน้าก้มตาเช่นเดิม พฤทธิกรจึงใช้สองมือแตะช้อนใบหน้าแดงก่ำเพราะการร่ำไห้ให้เงยขึ้น เมื่อแนบหน้าผากชนกับหน้าผากของเด็กหนุ่มตรงหน้าอุณหภูมิร้อนผ่าวจึงถูกส่งมา “ไม่เลย เธอไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนั้น เพราะฉันไม่อยากให้เธอต้องเผชิญกับฝันร้ายเพียงลำพังเหมือนกัน”

ปภินวิชมองแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งมาให้ จากนั้นจึงโผเข้ากอดชายหนุ่ม พิงร่างแอบอิงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเขาเคยทำบุญอะไรไว้ถึงได้เจอคนดี ๆ เช่นนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งตนเคยประสบกลายเป็นแค่อุปสรรคเล็กน้อยที่ถูกส่งมาทดสอบเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเจอคนที่ดีพร้อมอย่างพฤทธิกร

“ผมรักนายท่านนะครับ”เด็กหนุ่มพูดออกไป

ตอนที่เขาถูกคนเลวทรามย่ำยีทำร้าย ชั่วขณะที่จมอยู่กับความเจ็บปวดของร่างกาย เขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีชีวิตรอดพ้นไปจากสถานที่แห่งนั้น เขานึกห่วงกังวลถึงน้องสาวและคิดถึงพฤทธิกร คิดถึงแววตาที่ชายหนุ่มใช้มองเขา คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน และนึกเสียใจที่น่าจะกอบโกยความสุขจากการถูกรักให้มากกว่านี้อีกหน่อย

ปภินวิชรู้ดีว่าการพลัดพรากมันมักจะมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงไม่อยากต้องนึกเสียใจอีก

คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงักพลางรั้งร่างเพรียวบางของปภินวิชออกห่าง มองแววตาฉ่ำวาวที่ยังคงนิ่งมองสบสายตาเขา

“รังเกียจผมหรือเปล่า”เสียงถามมาพร้อมแววตาสั่นไหวไม่มั่นใจ “ผม...”

พฤทธิกรรีบแนบริมฝีปากปิดกั้นคำพูดประโยคต่อไปไว้ ก่อนจะละห่างออกมาอย่างเชื่องช้า “ไม่... ไม่เลย ฉันไม่ได้บอกชอบเธอเพราะหวังเรื่องอย่างนั้น”เมื่อกล่าวจบก็แนบจูบลงไปอีกครั้ง ทอดสายตาอ่อนเชื่อมสอดประสานกับนัยน์ตาสีดำสนิท หลังจากขบเม้มย้ำแรง เด็กหนุ่มก็ยอมเผยอริมฝีปากให้แทรกปลายลิ้นเข้าไปโดยง่าย เขามุ่งตรงเข้าหาเรียวลิ้นนุ่มหยุ่นที่พยายามถดถอยด้วยความขัดเขินประหม่า

ความหวิววาบกระหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเผลอไผลดันร่างของเด็กหนุ่มให้ล้มลงบนเตียง สองมือคอยลูบไล้ปลุกเร้าอย่างลืมตัว

พฤทธิกรตัดใจจำยอมถอนริมฝีปากออกมา ร่างด้านล่างจึงลืมตามองเขาด้วยความกังขาไม่เข้าใจ

“เธอยังไม่หายดี คงต้องรออีกพัก”เขาตั้งศอกยันช่วงตัวด้านบนไว้ไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปทับเด็กหนุ่ม

“ไม่เป็นไร ผมทนได้”ปภินวิชบอกอย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ภายในอกยังหวั่นระแวงไม่มั่นคงแม้จะได้ยินคำพูดที่ชัดเจนจากชายหนุ่มแล้วก็ตาม เขาคิดว่าความสัมพันธ์ทางกายอาจจะทำให้ความสั่นไหวคลอนแคลนที่กำลังรู้สึกจางหายไปได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับเพียงยกยิ้มและดึงให้เขาลุกขึ้นนั่ง แตะจูบที่ริมฝีปากกับหน้าผากซ้ำเหมือนปลอบใจพลางรั้งร่างของเขาเข้าไปกอดพร้อมกระซิบบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน

ปภินวิชยอมพิงแนบศีรษะลงไปแต่โดยดี เพียงแต่มีความกลัวมากมายกับผุดพรายออกมาไม่หยุด



เด็กหนุ่มมองการตกแต่งของห้องภายในคอนโดของพฤทธิกรด้วยความคิดถึง เขาไม่ได้กลับมานอนที่ห้องนี้แค่สองคืนเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของเขาราวกับว่ามันยาวนานหลายสิบปี เขาสูดลมหายใจเข้าปอดและปล่อยลมหายใจออกด้วยอาการผ่อนคลาย

“ง่วงหรือเปล่า”

ปภินวิชเงยหน้ามองคนถามพร้อมสั่นศีรษะปฏิเสธ “อยู่ที่โรงพยาบาลก็นอนตลอด แล้วนายท่านไม่ต้องไปทำงานเหรอ”เขาเอ่ยถามกลับไปบ้าง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงดึงข้อมือให้เขาเดินตามมานั่งที่โซฟา

“ลาแค่วันสองวัน ไม่เป็นไรหรอก”

เด็กหนุ่มแสร้งเบ้ปากกับคำตอบ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วสอดแขนกอดรัดช่วงเอวของชายหนุ่มไว้ เกยคางกับช่วงบ่าหนาด้วยอากัปกิริยาออดอ้อน ไออุ่นและกลิ่นกายของอีกฝ่ายทำให้เขาสบายใจ ปภินวิชจึงเบียดกายเข้าหายามที่ได้มีโอกาสอิงแอบแนบชิด

“พูดอย่างนี้ เดี๋ยวก็ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก”

และยิ่งรู้สึกดีเมื่ออีกฝ่ายลูบหลังลูบศีรษะด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นนี้

“ต้องทำใจหน่อยนะ เป็นแฟนท่านประธาน”

“เราสองคนเป็นแฟนกันแล้วเหรอเนี่ย”ปภินวิชแกล้งทำเป็นหน้าตาตื่นไม่รู้เรื่อง ท่านประธานจึงแกล้งทำเป็นตกใจด้วย “อ้าว ไม่ใช่เหรอ เธอบอกรักฉันแล้ว เธอก็ต้องเป็นแฟนฉันแล้วสิ”

“อะไรกัน เสียเปรียบชะมัด นายท่านต้องขอผมเป็นแฟนก่อนสิ เราถึงจะเป็นแฟนกันได้”เขากระเง้ากระงอดแต่ถึงกระนั้นสองแขนยังกอดชายหนุ่มไว้ไม่ปล่อย

“เอ... อย่างนั้นเหรอ”พฤทธิกรพูดพึมพำ ทำท่าครุ่นคิดแสร้งยึกยักประวิงเวลา คล้ายกำลังหยอกเย้าเด็กหนุ่มซึ่งมองเขาด้วยสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยม เพียงแต่มีเสียงร้องเรียกจากน้องสาวของเด็กหนุ่มซึ่งดังมาให้ได้ยินตั้งแต่ที่เธออยู่หน้าประตูขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ปภินวิชกลอกนัยน์ตาสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นจึงขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง

“พี่ปลา”ปวันรัตน์พุ่งตรงเข้ามาหาพี่ชายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว พี่ชายจำต้องยิ้มฝืดฝืนส่งไปให้

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”เธอถาม

“ไม่ ไม่เลย”เขาปฏิเสธเสียงสูง “พี่สบายดี”

เด็กสาวไม่แน่ใจกับคำตอบของพี่ชายนักแต่เพราะเมื่อหันไปทางพฤทธิกรแล้วเขาพยักหน้ายืนยัน เธอจึงยอมเชื่อคำพูดนั้นอย่างเสียไม่ได้

“เออ พี่ฟรังค์ถามถึงพี่ปลาด้วย”

“ไปคุยกันตอนไหน”เขาถามอย่างแปลกใจ

“คุยในเฟซ พี่ฟรังค์โทรหาพี่ปลาไม่ติดเลยส่งเมสเซจมาถามปุ้ย ปุ้ยเลยบอกไปว่า พี่โดนขโมยโทรศัพท์”

“วัน ๆ ได้เรียนบ้างหรือเปล่าเนี่ย เห็นเล่นเฟซทุกวัน”

“ปุ้ยเล่นแค่ช่วงพักเอง โทรศัพท์ปุ้ยเป็นสองจีนะ จะเล่นในเวลาเรียนได้ยังไง”เธอตอบพี่ชาย ก่อนหันไปพูดกับพฤทธิกร “น้าฤทธิ์คะ ปุ้ยขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยกยิ้ม จากนั้นจึงหยิบแท็บเล็ตในกระเป๋ามาส่งให้ เด็กสาวยกมือไว้ขอบคุณ เธอกดเปิดหน้าจอและล็อกอินเข้ากล่องข้อความของแอปพลิเคชัน

“นี่ไง ปุ้ยบอกไปว่าพี่ปลาไม่ค่อยสบายด้วย พี่เขาเลยอยากมาเยี่ยม ถามว่าอยู่โรงพยาบาลไหน”เด็กสาวขยับปากบอกพี่ชายแต่สองมือก็พิมพ์ตอบข้อความทธรรษทิ้งไว้ในกล่องสนทนา

เด็กหนุ่มจึงโน้มหน้าเข้าไปดูข้อความโต้ตอบ

“บอกมันว่าให้ทิ้งเบอร์ไว้ เดี๋ยวพี่มีโทรศัพท์ใหม่จะโทรหามันเอง”

“พี่ฟรังค์เขาอยากเห็นหน้าอะ อยากรู้ว่ายังอยู่ครบสามสิบสองหรือเปล่า”

“ไอ้บ้า ปากไม่เป็นมงคลชะมัด”ปภินวิชพูดบ่น พฤทธิกรจึงพูดแทรกออกไปว่า “ให้เพื่อนมาหาก็ได้นี่”

“ไม่เอาเด็ดขาดครับ”ปภินวิชบอกปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เหตุผลคราวนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พวกนั้นรู้ระแคะระคายในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพฤทธิกรเหมือนเมื่อช่วงก่อน “พวกนั้นเสียงดังจะตาย แล้วก็วุ่นวายมาก ถ้ามาที่นี่นะห้องนายท่านโดนสำรวจจนพรุนแน่ ไม่เด็ดขาด”เขายกมือไขว้กันเป็นรูปกากบาท ขนาดปวันรัตน์ยังหัวเราะกับคำบรรยายของพี่ชาย

“พรุ่งนี้คุณฤทธิ์ไปทำงานหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมติดรถไปด้วย”เด็กหนุ่มกลับมาเรียกพฤทธิกรด้วยชื่อเหมือนเดิม เมื่อสะดุดใจนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวนั่งอยู่ด้วย

“พักอยู่เฉย ๆ อีกสักวันจะดีกว่า”พฤทธิกรบอกด้วยความเป็นห่วง “หรือถ้าจะไปเจอเพื่อนจริง ๆ เดี๋ยวให้ธนามาคอยรับส่ง ไม่ต้องไปแกร่วรออยู่ที่บริษัทหรอก”

ปภินวิชยังลังเล จะบอกว่าร่างกายของเขาหายดีแล้วก็พูดไม่ได้เต็มปาก แต่จะพูดว่าไม่อยากรบกวนพี่ธนา เขาก็เข็ดขยาดกับการเดินทางคนไปไหนมาไหนคนเดียว

“งั้นเอาอย่างนี้ นัดเพื่อนมาเจอที่ห้างวันเสาร์ดีไหม เผื่อจะได้กินข้าวกับเพื่อน แล้วฉันตั้งใจว่าจะพาไปซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่ด้วย”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมมีเงินในบัญชีเหลืออีกเยอะ”เด็กหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธ อยากจะต่อประโยคว่าเงินที่นายท่านโอนให้ทุกเดือนนั่นแหละ

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าจะซื้อให้ปุ้ยด้วยเหมือนกัน”

“จริงเหรอคะ”เด็กสาวร้องถามอย่างดีใจ “งั้นปุ้ยขอแท็บเล็ตแทนได้ไหม”

“ปุ้ย!!!”พี่ชายร้องปรามอย่างนึกอ่อนใจ แทนที่น้องสาวจะเกรงใจบอกปฏิเสธกลับขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสียนี่

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เงินเดือนท่านประธานเยอะจะตาย”พฤทธิกรพูดบอกให้เด็กหนุ่มสบายใจ

“ขอบคุณค่ะ”เด็กสาวประนมมือไหว้ชายหนุ่มผู้ใจดี และกล่าวบอกต่อไปว่า “ปุ้ยเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าไปเรียนดีกว่า ไม่ต้องระวังหาย แต่อยากได้แท็บเล็ตมาหาข้อมูลค่ะ”

“งั้นน้าซื้อโน้ตบุ๊กให้แล้วกัน”

“น้าฤทธิ์ใจดีมาก”ปวันรัตน์อยากกระโดดเข้าไปกอดเขา ถ้าชายหนุ่มเป็นน้าชายแท้ ๆ เธอคงทำอย่างนั้นไปแล้ว เด็กสาวจึงสะกิดเรียกพี่ชาย “พี่ปลา” เมื่อเขาหันหน้ามาหาเธอจึงบอกว่า “พี่ปลากอดน้าฤทธิ์แทนปุ้ยให้หน่อย ปุ้ยดีใจมากที่น้าฤทธิ์จะซื้อโน้ตบุ๊กให้”

ปภินวิชหน้าแดงขณะที่พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะต้องหัวเราะเสียงดังมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของเธอ

“เนี่ย ถ้าไม่ติดว่าน้าฤทธิ์เป็นพี่เขยของปุ้ยนะ ปุ้ยเข้าไปกอดเองแล้ว”

เด็กหนุ่มได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้ว่าควรพูดกับน้องสาวว่าอย่างไรดี ระหว่างที่กำลังคิดหาทางปฏิเสธคำร้องของอันน่ากระอักกระอ่วนขัดเขินอย่างไรไม่ให้เป็นการทำร้ายน้ำใจชายหนุ่มผู้ที่ตนมีใจให้ไปด้วย เขากลับถูกดึงเขาไปกอดเสียแล้ว และเพราะไอร้อนผ่าวบนใบหน้ากับเสียงหัวเราะคิกคักของน้องสาวทำให้เขาต้องซุกหน้าลงกับลาดไหล่ผู้เป็นเจ้าของอ้อมกอดอย่างช่วยไม่ได้



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

:katai1:  o22 ช็อค
ไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างจุดหักเหได้เเรงขนาดนี้
แรงระดับฆ่าตัวละครให้ตายอ่ะ
เปลี่ยนโทนนิยายกระทันหันเเละเเรงเกิน
ทำไมทำกับตัวละครได้...
ตอนที่เขียนเรื่องนี้รอบแรก เราตัน คิดเหตุการณ์ที่ช่วยส่งให้ตัวละครรักกันมากขึ้นไม่ออก แล้วบังเอิญว่าอ่านเจอข่าวนี้พอดีแต่เหยื่อเป็นผู้หญิง เราเลยยกมาใช้ ประมาณให้นายเอกเห็นว่า ต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงพระเอกก็ยังอยู่เคียงข้างอะไรทำนองนี้ (ส่วนหนึ่งก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์เหมือนกัน)
ตอนที่เขียนฉากโหดเราก็ลุ้นนะ กลัวอยู่เหมือนกันว่าถ้าน้าฤทธิ์จะมาช่วยไม่ทัน น้องปลาอาจจะโดนฆ่าหันศพโยนทิ้งน้ำก็ได้ เพราะตอนหาข้อมูลเจอแต่โอกาสติดตามตำแหน่งจากโทรศัทพ์มือถือกรณีที่โทรศัพท์ปิดเครื่องเป็นไม่ได้ล่ะ แต่ก็เขียนให้เจอ เนื่องจากเราคิดว่ามันน่าจะมีเทคโนโลยีที่ทำได้น่า ส่วนเวอร์ชันที่แล้ว พระเอกหานายเอกเจอเพราะพระเอกมีลูกน้อง(ทีมบอดี้การ์ด)เป็นสิบ
 แต่ที่นำเรื่องนี้มารีไรต์ใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะอยากเขียนช่วงหลังเหตุการณ์นี้ใหม่อีกรอบค่ะ และอยากเปลี่ยนโทนโดยรวมของเรื่อง แต่ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าจะทำได้แค่ไหน เพราะน้าฤทธิ์กับน้องปลายังต้องฟันฝ่าต่อไป

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ เขาเป็นแฟนกันอล้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
18



ความมืดสนิทที่รายล้อมรอบกายทำให้เขาตื่นตัวระแวดระวัง มันนำพาความหวาดกลัวบุกเข้ามาจู่โจมบีบคั้นหัวใจ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ออก เขาจึงบอกตัวเองให้หายใจเข้าและหายใจออก ฉับพลันนั้นกลับรู้สึกว่าร่างกายถูกรัดแน่นจนกระดิกไม่ได้ และเขาก็ได้เห็นว่าทั้งมือและเท้าถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา เขารู้สึกตระหนกเมื่อรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเผชิญกำลังหวนกลับมาเยือนอีกครั้ง

จู่ ๆ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น

เขากวาดสายตามองหาที่มาของเสียง ทว่าสิ่งที่ปรากฏให้เขาเห็นกลับเป็นมือผอมแห้ง ใบหน้าตอบซูบและรอยยิ้มน่าขยะแขยง มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ และทันทีที่มันสัมผัสร่างกายของเขา เด็กหนุ่มก็พยายามส่งเสียงร้องพร้อมขยับกายถอยหนีให้ห่างจากมัน เพียงแต่ทุกอย่างกลับทำได้ยากเย็น เสียงหัวเราะนั้นดังก้องชัดข่มหัวใจของเขาให้เย็นเยียบอีกครั้ง มันขยับกายเข้ามาใกล้ เขาได้แต่เกร็งตัวเมื่อนึกรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

“ปลา” เสียงเรียกชื่อของเขาดังย้ำซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้งที่ข้างหู มันช่วยดึงสติของเขาให้รู้ตัว ปภินวิชกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้ง ทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงไฟ ไม่ใช่สถานที่มืดมิดอีกต่อไป ไม่มีชายน่ารังเกียจคนนั้น เขาหอบหายใจ ยังคงได้ยินเสียงก้อนเนื้อภายใต้แผ่นอกเต้นกระหน่ำไม่หยุด

“ฝันร้ายหรือ”

เขาหันมองเจ้าของเสียงพูดก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้ เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองร้องไห้ยามที่มือหนายกขึ้นเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ทั้งเสียงและสัมผัสอ่อนโยนที่โอบล้อมร่างกายทำให้อาการเกร็งเครียดผ่อนคลายลง

“ผมขอโทษครับ ที่ผมทำให้นายท่านต้องตื่นกลางดึก” เขาผละตัวออกมาพร้อมพูดออกไปอย่างรู้สึกผิด ทั้งที่คิดว่าถ้ากลับมานอนในที่คุ้นเคย ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่จะหายไป ที่ไหนได้มันกลับตามมาถึงที่นี่

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากตามเข้าไปปกป้องเธอในฝันเสียด้วยซ้ำ”

พฤทธิกรประคองใบหน้าของเขาไว้ด้วยสองมือ กล่าวคำพูดปลอบที่ทำให้เขาอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

“แค่ตื่นมาแล้วเห็นคุณอยู่ข้าง ๆ ผมก็ดีใจแล้วครับ”

ชายหนุ่มยกยิ้มพลางโน้มตัวลงมาแตะจูบลงบนริมฝีปากของปภินวิช จูบแผ่วเบาที่เพียงริมฝีปากสัมผัสกันก่อนจะถอยห่างออกไป

“นอนกันเถอะครับ พรุ่งนี้นายท่าน ...เอ๊ย คุณฤทธิ์จะเข้าบริษัทนี่นา” เด็กหนุ่มดึงให้อีกฝ่ายล้มตัวลงนอน

“เรียกนายท่านเหมือนเดิมก็ได้”

“ไม่เอาล่ะครับ วันนี้เผลอเรียกนายท่านต่อหน้าปุ้ยด้วย ต่อไปผมจะเรียกคุณฤทธิ์อย่างเดียวจะได้ไม่หลุด” เห็นแสงไฟยังสว่าง ปภินวิชจึงยันตัวลุกขึ้นเอื้อมข้ามตัวชายหนุ่มเพื่อหยิบรีโมตมาปิดไฟ จากนั้นจึงล้มตัวเบียดอีกฝ่าย

“หนาวเหรอ” พฤทธิกรถามเสียงเบา

“เปล่าครับ แค่อยากให้คุณฤทธิ์กอด”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อจึงกอดร่างเพรียวบางตามคำร้องขอ ไม่ช้าไม่นานปภินวิชก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพฤทธิกร แต่เด็กหนุ่มยังคงลืมตาอยู่เช่นนั้น เขาไม่อยากหลับตาเพราะไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์นั้นอีก จึงได้นอนฟังเสียงหัวใจของชายหนุ่มผู้นอนร่วมเตียงอยู่เช่นนั้นจวบกระทั่งแสงสีทองยามเช้ามาเยือน

เขาลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบา เดินออกจากห้องไปจัดการธุระส่วนตัวยังห้องน้ำข้างนอก จากนั้นจึงลงมือทำอาหาร ตอนที่หันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเดินมาที่โต๊ะอาหารพร้อมชุดทำงานเรียบกริบ ข้าวต้มมื้อเช้าของเขาก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ตื่นเช้าจัง” พฤทธิกรส่งเสียงทักมาแต่ไกล ก่อนจะขมวดคิ้วรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขา “หน้าซีด ๆ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“แข็งแรงดีทุกอย่างครับ” ปภินวิชพูดตอบด้วยรอยยิ้ม

“ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหนให้รีบบอกรู้หรือเปล่า”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เสียงออดดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหันไปสนใจกับผู้มาเยือนที่หน้าประตู

“พี่ชะเอมคงมาถึงแล้ว เดี๋ยวผมไปเปิดประตูนะครับ” จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตู ส่งรอยยิ้มพูดคุยทักทายกับแม่บ้านพร้อมทั้งรับหนังสือพิมพ์เดินกลับมาส่งให้พฤทธิกร

ยามเช้าผ่านไปอย่างปกติเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนั้นพฤทธิกรบอกให้เด็กหนุ่มหยุดพักอยู่ที่ห้องอีกสักวัน ปภินวิชจึงไม่ได้ตามไปที่สำนักงานด้วย และระหว่างที่แม่บ้านกำลังจัดการทำความสะอาดตามหน้าที่ เขาจึงถือตะกร้าชั้นในของตนและชายหนุ่มเจ้าของห้องออกมาซัก

“ไม่ต้องทำหรอกค่ะคุณปลา”

ก่อนหน้านี้ ปภินวิชซักเฉพาะของตัวเองเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะซักเสื้อผ้าชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ให้ชายหนุ่ม

“ปกติคุณฤทธิ์ก็ส่งซักทั้งหมดอยู่แล้ว”

แค่เขาคิดว่าจะซักชั้นในให้ชายหนุ่มยังต้องทำใจไม่ให้เขินอยู่ตั้งนาน นี่เจ้าตัวถึงขั้นส่งให้ใครก็ไม่รู้ซักให้ ช่างเป็นคนที่ใจกล้าจริง ๆ ปภินวิชค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ “ผมนึกว่าคุณฤทธิ์จะซักเองซะอีก”

“เธอจะเอาเวลาที่ไหนมาทำเรื่องพวกนี้ เท่าที่พี่รู้ เห็นเธอทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดด้วยซ้ำ”

นั่นก็จริง ช่วงที่มาอยู่ที่นี่แรก ๆ คุณฤทธิ์ยังไปทำงานวันอาทิตย์อยู่เลย เด็กหนุ่มคิดก่อนจะหันไปพูดกับแม่บ้านว่า “เดี๋ยวต่อไปผมซักของพวกนี้เองดีกว่าครับ พี่ชะเอมไม่ต้องห่วงนะ”

อันที่จริงเพราะจะให้มานั่งอยู่เฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่มีคนต้องทำงานงก ๆ อยู่ภายในห้อง เด็กหนุ่มก็รู้สึกประดักประเดิดแปลก ๆ จึงลุกขึ้นมาหาอะไรทำ ส่วนตะกร้าผ้าของพฤทธิกรจะเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ก็ไม่ผิดนัก

คล้อยสายแม่บ้านทำความสะอาดจึงกลับไป เหลือปภินวิชคนเดียวอยู่ในห้อง เขาจึงรื้อหนังสือเตรียมสอบออกมาอ่าน ในห้องเงียบกริบเพราะเด็กหนุ่มไม่อยากเปิดโทรทัศน์ให้เสียงของมันดังรบกวนสมาธิ ทว่าจู่ ๆ กลับมีเสียงตึงดังขึ้นมา เขาเหลียวซ้ายแลขวามองหาที่มาของเสียง

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน เดินไปดูพื้นที่ส่วนครัวเป็นอันดับแรกเพราะต้องคอยระวังฟืนไฟไม่ให้ลุกไหม้ แต่เตาในคอนโดเป็นเตาไฟฟ้า และทุกอย่างก็เรียบร้อยเป็นปกติดี เขาจึงเดินกลับไปอ่านหนังสือต่อ เพียงแต่ไม่นานหลังจากนั้นเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงหัวเราะดังขึ้นอีก คราวนี้เขาผวาลุกขึ้นยืน กวาดสายตาไหวระริกด้วยความหวาดกลัวมองพื้นที่โดยรอบ

ทั้งที่รู้ว่าในที่พักมีเขาอยู่เพียงคนเดียว ซ้ำระบบรักษาความปลอดภัยของอาคารยังดีเยี่ยมไม่มีทางที่คนร้ายจะขึ้นมาบนคอนโดนี้ได้ แต่ปภินวิชกลับรู้สึกหวาดวิตกจนไม่อาจควบคุมร่างกายซึ่งสั่นสะท้านให้หยุดนิ่งได้

เขากลับเข้าไปในห้องนอนของน้องสาวเพื่อที่จะมองหากระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของตัวเอง แต่นึกขึ้นมาได้เสียก่อน พฤทธิกรบอกว่าไอ้คนร้ายนั่นมันเอากระเป๋ากับโทรศัพท์ของเขาไปทิ้งลงน้ำ

“ใจเย็น ๆ หน่อยซี ในห้องนี้ไม่มีอะไรหรอก ตั้งสติไว้” เขาบอกตัวเองพลางข่มใจให้สงบ ค่อย ๆ แง้มประตูชะเง้อมองออกไปด้านนอก

“เห็นไหม ไม่มีใครเลย”

กระนั้นเขากลับเดินไปดูประตูหน้าห้องอีกรอบ ประตูห้องในคอนโดเป็นแบบล็อกอัตโนมัติที่เมื่อปิดประตูแล้ว คนที่อยู่ด้านนอกจะไม่สามารถเปิดประตูเข้ามาได้ถ้าไม่มีคีย์การ์ดของห้อง นอกจากนั้นด้านในจะมีโซ่คล้องประตู แต่ปกติพฤทธิกรจะไม่ได้คล้องไว้ คงเพราะมั่นใจระบบความปลอดภัยของอาคารเช่นเดียวกัน

ปภินวิชคล้องโซ่ที่ประตู จากนั้นเดินกลับไปที่ครัวหยิบมีดออกมาถือ เดินไล่เปิดประตูทุกประตูในคอนโดเพื่อตรวจดูว่าภายในห้องมีแค่เขาคนเดียวจริง ๆ

เขากลับมาทรุดนั่งหมกตัวอยู่แถวโซฟาอีกครั้ง กอดเข่ายกมือกุมศีรษะกับอาการประสาทหลอนของตัวเอง และน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปภินวิชกลับเงยหน้าขึ้น ปาดน้ำตาพร้อมสูดลมหายใจปอด ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงกระแทกของโซ่คล้องประตู

“ปลา อยู่ข้างในหรือเปล่า” เสียงชายหนุ่มเจ้าของห้องดังเข้ามาทำให้เขารีบวิ่งออกไปเปิดประตู

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ปภินวิชร้องถามเมื่อปลดโซ่เปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาแล้ว ทว่าพฤทธิกรกลับถามไปอีกเรื่อง

“ร้องไห้เหรอ”

เด็กหนุ่มหันหลัง ยกมือขึ้นลูบหน้าลูกตาตัวเองยกใหญ่ จากนั้นจึงหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง “ไม่ได้ร้องสักหน่อย”

“แต่จมูกแดง”

เขายกมือกุมจมูกตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงตัวเขาเข้าไปกอด “ร้องก็บอกว่าร้อง ฉันจะได้กอดปลอบ”

“ผมแค่...” เด็กหนุ่มพูด จมูกแสบร้อนเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว เขาไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย ไม่ใช่แค่ฝันร้ายแต่ยังมีอาการประสาทหลอนเวลาที่อยู่คนเดียวอีก ปภินวิชได้แต่สงสัยว่าทำไมอาการแบบนี้ถึงเกิดกับเขาได้ เหตุการณ์เลวร้ายนั่นผ่านไปแล้ว เขาควรที่จะเลิกกลัวได้แล้วสิ

พฤทธิกรโอบร่างของเด็กหนุ่มไว้ ลูบศีรษะลูบหลังปลอบยืนรอให้ปภินวิชคลายอาการเศร้าหมองเคร่งเครียดอย่างใจเย็น

“หิวข้าวไหม” ชายหนุ่มถามเมื่อคนที่ยืนให้เขากอดอยู่นานผละออกห่าง “แต่ถึงจะไม่หิวก็ต้องกิน เพราะนี่เที่ยงแล้ว” จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปเปิดประตูห้อง เด็กหนุ่มถึงได้สังเกตเห็นสองบอดี้การ์ดยืนถือกล่องอาหารมื้อกลางวันอยู่ด้านนอก

“พี่ธนา พี่พุฒิ ผมขอโทษ” ปภินวิชร้องบอกอย่างรู้สึกผิด ตรงเข้าไปหาจะช่วยถือแต่ทั้งสองคนกับสั่นศีรษะ เดินถือเข้าไปวางยังโต๊ะอาหาร

“ทานด้วยกันไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ของผมสองคนอยู่ที่ห้องแล้ว ขอตัวก่อนครับ”

ชายทั้งสองก้มศีรษะให้พฤทธิกรก่อนเดินออกจากห้อง ปภินวิชจึงตีหน้ามุ่ยพลางพูดว่า “ทำไมคุณฤทธิ์ไม่รีบบอกล่ะครับ ปล่อยให้พี่สองคนนั้นยืนรออยู่ได้ตั้งนาน”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก พุฒิกับธนาเขาไม่ว่าอะไรหรอก”

“แต่ในใจอาจจะบ่นอยู่ก็ได้” พูดพลางจัดอาหารใส่จาน พฤทธิกรยกยิ้มย้ำยืนยันว่าสองคนนั้นไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นั้นหรอก ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นพร้อมกินอาหารไปพลาง กว่าจะทานกันเสร็จจึงกินเวลางานช่วงบ่ายไปร่วมชั่วโมง

พฤทธิกรไม่ได้กลับไปทำงานช่วงบ่าย เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองและออกมานั่งคุยกับเด็กหนุ่มคนรัก สลับกับดูรายการโทรทัศน์ที่นาน ๆ จะได้มีโอกาสดูสักครั้ง นั่งเงียบดูละครยามบ่ายอยู่พักใหญ่ หันกลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างกายปรากฏว่าปภินวิชหลับไปเสียแล้ว จึงลุกขึ้นไปหาผ้าห่มผืนบางจากในห้องนอน ทว่าเมื่อเดินกลับมา เด็กหนุ่มที่น่าจะยังหลับกลับนั่งอยู่บนโซฟาด้วยอาการหน้าตาตื่น

เขารีบเดินเข้าไปหาซึ่งเจ้าตัวโผเข้ามากอดเขาไว้ทันที

“เป็นอะไร ฝันร้ายหรือ”

ปภินวิชซุกหน้าอยู่กับซอกคอของเขา อาการตอบรับจึงแทบจะมองไม่เห็นถ้าไม่สังเกตให้ดี

“ไปหาหมอไหม”

คราวนี้อีกฝ่ายกลับผละออกห่างพร้อมสั่นศีรษะระรัว “ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ฝันร้ายนิดหน่อย”

“ฝันร้ายนิดหน่อย แต่มันก็ส่งผลต่อสุขภาพนะ” คงเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้ฟังดูจริงจัง ปภินวิชจึงต่อรองกลับมาว่าขอรอดูอีกสักพัก ชายหนุ่มยอมพยักหน้ารับพลางย้ำว่าเป็นอะไรให้รีบบอก




ในเช้าวันเสาร์ เด็กหนุ่มตื่นมาทำมื้อเช้าเช่นปกติ พฤทธิกรก็ตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมเหมือนทุกวันแต่เมื่อออกมาจากห้องนอนและได้เห็นหน้าตาของคนที่นอนร่วมเตียงเดียวกัน เขาก็อดส่งเสียงดุออกไปไม่ได้

“เมื่อคืนแค่แกล้งนอนเฉย ๆ ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “เปล่าครับ ผมหลับสบายดี”

“ปลา อย่าโกหก”เสียงของพฤทธิกรดุเข้มเสียจนต้องย่นคอหนี เขากอดอกยืนมองเด็กหนุ่มด้วยแววตากดดัน อีกฝ่ายจึงยกยิ้มแหยทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดินเข้ามาหา เกาะแขนร่างสูงกว่าพลางทำหน้าอ้อน ปภินวิชคิดว่าตนเองส่องกระจกดีแล้วนะ คิดว่าอย่างไรเสียพฤทธิกรคงไม่มีทางรู้ หากตนจะไม่ยอมนอนเพราะไม่อยากฝันร้ายอีก

“ไม่โกรธนะ”

“ฉันควรไม่โกรธหรือ”

เขาพยักหน้ารับศีรษะแทบหลุด พฤทธิกรจึงประคองจับใบหน้าของเขาด้วยสองมือ “ทั้งที่หน้าซีดใต้ตาคล้ำขนาดนี้เนี่ยนะ”

“แค่คืนเดียวเองคงไม่เป็นไรหรอก” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย แต่คนฟังพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเธอเลือกใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา ฉันคิดว่าเธอคงไม่ทำมันแค่คืนเดียวหรอก เธอทำเพราะอะไร ไม่อยากฝันร้าย ไม่อยากตื่นกลางดึก และไม่อยากปลุกให้ฉันตื่นไปด้วยหรือ แต่เธอรู้หรือเปล่าปลา การไม่นอนมันส่งผลเสียกว่าอีก ฉันคิดว่าฉันควรนัดหมอพาเธอไปบำบัดเลยดีกว่า”

“ไม่ ๆ ครับ อย่าเพิ่ง” ปภินวิชร้องเรียกพร้อมคว้าจับพฤทธิกรไว้ “ผมจะนอนปกติแล้วครับ อย่าเพิ่งพาผมไปหาหมอนะ”

“ไม่อยากไปหาหมอเพราะกลัวโดนเรียกด้วยคำที่ไม่ดีเหรอ” พฤทธิกรถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ปภินวิชตอบปฏิเสธ “ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไม่อยากไป ผมคิดว่า... ผมจะจัดการความรู้สึกของตัวเองได้”

ชายหนุ่มย่อตัวลงมาเพื่อมองหน้าสบสายตากับอีกฝ่าย “ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหน อย่างไรให้รีบบอก ปัญหาบางอย่างที่เธอแก้ไม่ได้ เชื่อฉันเถอะ ว่าฉันจัดการให้เธอได้”

ปภินวิชพยักหน้ารับ

“อะแฮ่ม ๆ ปุ้ยออกไปได้หรือยัง อยากไปเข้าห้องน้ำค่ะ” เด็กสาวส่งเสียงดังมาก่อนตัว เนื่องจากถ้าเดินจากห้องนอนของเธอไปยังห้องน้ำ จะต้องเดินผ่านพื้นที่ครัว เธอไม่อยากออกไปขัดจังหวะคนทั้งคู่จึงได้แต่อดทนรออยู่ในห้อง

คนเป็นพี่ชายจึงขยับถอยออกห่างจากชายหนุ่มร่างสูงอีกนิดพร้อมร้องบอกอนุญาตกับน้องสาว เขาหันรีหันขวางด้วยความเก้อเขิน ก่อนหันไปให้ความสนใจหม้อข้าวต้มที่ตั้งอยู่บนเตา

หลังทานอาหารเสร็จ พฤทธิกรย้ายตัวเองมานั่งที่โต๊ะทำงานเช็กอีเมลอ่านรายงานต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะพาสองพี่น้องออกจากห้องตอนประมาณสิบโมงกว่าเพื่อไปซื้อเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหม่ให้ปภินวิช และพาเด็กหนุ่มไปเจอกลุ่มเพื่อนตามที่ได้เคยนัดหมายกันไว้

พฤทธิกรขับรถเองแต่คราวนี้สองบอดี้การ์ดขับรถอีกคันตามมาด้วย มาถึงห้างสรรพสินค้ายังมาเจอหลายชายในร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกต่างหาก

“ทำไมล่ะครับ ผมก็อยากมาเดินเที่ยวบ้าง”กวีวัธน์ตอบหน้าตาย จากนั้นจึงหันไปคุยกับเด็กสาวเรื่องสเปกคอมพิวเตอร์ที่เธอต้องการนำไปใช้งาน พฤทธิกรถึงได้รุนหลังเด็กหนุ่มให้ไปดูโทรศัพท์มือถือและถอยอีกเครื่องสำหรับตัวเอง เด็กสาวเห็นเช่นนั้นจึงทำหน้าตาน่ารักส่งมาให้พร้อมเอ่ยขอเครื่องเก่าที่เขาเคยใช้

"จะให้น้าซื้อเครื่องใหม่ให้ก็ได้นะ"

"ไม่ต้องหรอกค่ะ เครื่องนี้น่ะดีแล้ว"เธอยกยิ้มตอบกลับมาก่อนจะก้มหน้าก้มตาใช้นิ้วลากเปิดแอปพลิเคชันในเครื่อง

ออกจากร้าน พฤทธิกรพาเด็กหนุ่มไปขอเปิดซิมโทรศัพท์และพาไปทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ หลังจากได้ของทั้งสองอย่าง เขายกนาฬิกาขึ้นดูเห็นใกล้ถึงเวลานัดแล้ว จึงได้พากันเดินไปยังสถานที่นัดซึ่งเป็นร้านพิซซ่าแบรนด์ดังที่ราคาค่าอาหารเหมาะสำหรับเงินในกระเป๋าของวัยรุ่น

เมื่อไปถึงปรากฏว่ากลุ่มเพื่อนของปภินวิชมานั่งรออยู่แล้ว พฤทธิกรจึงแยกไปนั่งอีกโต๊ะที่ไม่ห่างกันนักโดยมีปวันรัตน์และกวีวัธน์ตามมานั่งที่โต๊ะเดียวกัน ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองคนเลือกโต๊ะที่นั่งใกล้ ๆ กับนายจ้าง ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้นั่งคุยกับกลุ่มเพื่อน

“นั่นน้ามึง?” ทธรรษเอ่ยถาม เพราะรู้จักปภินวิชมาตั้งแต่เด็กและรู้ว่ามารดาของเพื่อนสนิทเป็นคนต่างจังหวัดที่มาทำงานในกรุงเทพฯ ตอนที่ปภินวิชพูดถึงน้าจึงนึกว่าอีกฝ่ายมีญาติจริง ๆ ย้ายเข้ามาทำงานที่นี่เหมือนกัน

“ก็ทำนองนั้น” เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มเสียงทั้งไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ไม่บอกแต่แรกวะ กูรู้จักน้ามึงนะ แม่กูชอบเอามาพูดให้ฟัง” เพื่อนอีกคนพูดแทรกขึ้นมา

“หลานเขานั่งอยู่นี่พูดดี ๆ นะมึง”

“ดีอยู่แล้วเว้ย แม่กูบอกให้เอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง แบบนี้เรียกว่าดีไหมล่ะ”

แต่ละคนจึงสบถขานรับพร้อมเพรียง “แต่ละครั้งที่แม่กูพูดถึง ยิ่งกว่าเพ้อถึงดารา แถมยังบอกว่าถ้าพี่กูเรียนจบกลับมาแล้วเขายังไม่มีข่าวเรื่องคบกับใคร จะไปทาบทามขอให้พี่กูอะ”

“เทพขนาดนั้นเลยหรือวะ แต่กูได้ยินว่าเขาอายุเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ”

ปภินวิชได้แต่นั่งฟังกลุ่มเพื่อนนินทาถึงชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะผู้ปกครองและคนรักโดยไม่กล้าพูดแทรกอะไร พลางแกล้งทำเป็นยกน้ำขึ้นดื่มเมื่อรู้สึกถึงสายตาของเพื่อนสนิท

“กูว่าเขามีแฟนแล้วว่ะ” ทธรรษโพล่งออกไป ทั้งกลุ่มเงียบกริบหันมองคนพูดพานให้ปภินวิชชะงักไปด้วย

“พวกมึงบอกว่าเขาดีเลิศขนาดนั้น ไม่หลุดมาถึงพี่มึงหรอกไอ้ตรอน”

“มึงรู้ได้ไง น้ามึงมีแฟนแล้วเหรอวะปลา” คำถามถูกส่งมาถึงคนที่อยู่ในฐานะหลานชาย เด็กหนุ่มอึกอักลังเลหันมองเพื่อนสนิทที่จุดประเด็น ทว่าอีกฝ่ายกลับหันไปให้ความสนใจแต่ของกินเล่นบนโต๊ะหน้าตาเฉย เขาเดาใจใครไม่ถูกเลยแม้แต่ทธรรษที่รู้จักคบหากันมาหลายปี

“ก็ตอบมันไปตรง ๆ นั่นแหละ แม่ไอ้ตรอนจะได้ไม่พยายามสู่ขอผู้ชายให้พี่สาวมัน ถ้าน้ามึงกับแฟนเขารักกันดีจะปล่อยให้มีมือที่สามหลุดไปทำลายความสัมพันธ์ทำไม” ทธรรษพูดบอกมาอีกรอบ

“มึงพูดเหมือนรู้ดีเลยไอ้ฟรังค์ ตกลงมึงไปนอนอยู่ใต้เตียงเขาเหรอ” เพื่อนอีกคนถามแซว ทธรรษจึงสบถด่ากลับไปก่อนชวนเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น

พวกเขานั่งคุยกันอยู่นานกว่าจะแยกย้าย ขณะที่ทธรรษยังกอดคอเขาไม่ปล่อยพาเดินวนในห้างโดยมีชายฉกรรจ์สี่คนกับน้องสาวของเขาเดินตามอยู่ห่าง ๆ

“กูไม่ได้บอกพวกนั้นเรื่องมึงหรอก แค่พูดว่าไม่ได้เจอมึงนานตั้งแต่ปาร์ตี้คืนนั้น” ทธรรษพูดพลางก้มมองเสื้อแขนยาวตัดเย็บจากผ้ายีนที่ปภินวิชสวมอยู่ ถึงจะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วแต่อากาศของใจกลางเมืองยังร้อนเกินกว่าจะใส่เสื้อคลุมทับอีกตัว และเพื่อนของเขาก็ไม่ใช่คนขี้หนาว

“คนอื่นว่ายังไงไหม”

“จะว่าอะไร ต่างคนต่างถูกคุมประพฤติแหละ ไอ้เรื่องเที่ยวกินเหล้านะไม่เท่าไหร่แต่มีของผิดกฎหมายเข้ามาเกี่ยว...” เพื่อนสนิทของเขาเล่าถึงเพื่อนในกลุ่มที่พ่อแม่ต้องลางานเพื่อเดินทางกลับดูลูกชาย ซ้ำร้ายยังมีการคุยว่าจะให้ย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศจะได้ใกล้หูใกล้ตาพ่อแม่

“ว่าแต่ เขาดูแลมึงดีหรือเปล่า”

“ดีดิ คุณฤทธิ์เขาดูแลกูดีมาก” ปภินวิชลากเสียงยาวพร้อมรอยยิ้ม

“ดีประสาอะไรวะ มึงถึงเกิดเรื่องได้เนี่ย”

“วันนั้นกูดื้อเองแหละ แล้วซอยเข้าคอนโดก็ไม่ได้เปลี่ยวมาก” เขาหยุดพูดไปแค่นั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เขาเชื่อใจคนง่ายและเพราะเห็นว่าเป็นเด็กจึงยิ่งไม่นึกระแวงสงสัย เมื่อลองย้อนนึกดู เด็กคนนั้นคงจะเป็นนกต่อที่ถูกจ้างมา

ทธรรษเห็นเพื่อนสนิทมีสีหน้าหมองลงจึงวางมือโยกศีรษะอีกฝ่าย “ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปมึง แล้วจับคนร้ายได้หรือยัง”

“น่าจะได้มั้ง กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณฤทธิ์เขาไม่ได้บอกอะไรกูเลย”

“ออ” ทธรรษพยักหน้ารับ “ถ้ามึงเดือดร้อนอะไรให้รีบบอกแล้วกัน”

“อืม มึงไม่ต้องห่วงหรอก” เด็กหนุ่มบอก เงียบไปอีกครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มึง... เรื่องคุณฤทธิ์อะ มึงไม่อะไรใช่ไหม”

“ไม่อะไรที่ไหน” ทธรรษตอบกลับไปทันควัน พลางรัดคอเด็กหนุ่มร่างเล็กบางกว่าแน่นขึ้น “ก่อนที่มึงจะตัดสินใจคบกับเขา มึงควรให้กูสแกนก่อนดิวะ เกิดแม่งแค่หวังฟันขึ้นมาจะทำยังไง เดี๋ยวได้โดนทิ้งน้ำตาเช็ดหัวเข่าไม่รู้ตัว” เมื่อโดนปภินวิชทุบหลังรัว ๆ เขาจึงยอมคลายวงแขนออก

“อายุเยอะกว่าขนาดนี้ เขาจะมาสนใจเด็กทำไมวะ มีลูกมีเมียหรือยังก็ไม่รู้ ไม่ได้การล่ะ กูต้องไปลองสืบประวัติดูก่อน มึงก็เหมือนกันอย่ายอมเขาง่าย ๆ นะเว้ย หรือว่าซั่มกันไปแล้ว” จากนั้นก็พึมพำต่อไปอีกว่า มึงย้ายไปอยู่กับเขาแล้วนี่หว่า

“พูดบ้าอะไรเนี่ย” ปภินวิชดันอีกฝ่ายออกห่างพยายามตีหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ก็เรื่องที่รู้ ๆ กันดีนะแหละ เอาเป็นว่าถ้ามีปัญหากันให้รีบโทรหากูก่อนนะเว้ย เดี๋ยวกูจัดการให้ ส่วนเรื่องลูกเมียเขาได้ความยังไงเดี๋ยวกูเอาข่าวมาบอก”

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ปภินวิชหันไปบอกคนที่พยายามดันให้เขาเดินกลับไปรวมกลุ่มกับคนที่ถูกพูดถึงในบทสนทนา

“เออน่า” ทธรรษบอกอย่างขอไปที ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างยกมือไหว้ชายหนุ่มที่เพื่อนสนิทเคยบอกว่าเป็นน้าชาย

“สวัสดีครับน้าฤทธิ์ ผมชื่อฟรังค์ครับ เป็นเพื่อนสนิทของปลา รู้จักกันมาตั้งแต่มอหนึ่ง พ่อแม่ปลาผมก็รู้จักแต่ไม่ยักจะรู้ว่าน้าฤทธิ์เป็นน้องชายของแม่เพื่อนผม”

พฤทธิกรยกมือรับไหว้ จากนั้นจึงตอบคำถามด้วยรอยยิ้มและสีหน้าปกติ “ก็เป็นญาติห่าง ๆ เธอคงไม่รู้จักญาติทุกคนของพี่ปันหรอกมั้ง”

ทธรรษถึงกับมองหน้าเพื่อนสนิท ขณะที่ปภินวิชกับปวันรัตน์ก็แปลกใจไม่แพ้กันด้วยไม่นึกว่าพฤทธิกรจะรู้ชื่อเล่นของมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว

“ก็ใช่” ทธรรษส่งเสียงหัวเราะอย่างไร้ความหมาย ก่อนจะกล่าวตัดบทขอตัวลา “งั้นวันนี้ผมลาก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่ครับ ไปนะปุ้ย”

เด็กสาวจึงโบกมือลาเพื่อนพี่ชาย คล้อยหลังอีกฝ่ายแล้วจึงหันมาพูดถามคนที่ตนเรียกว่าน้าชาย “น้าฤทธิ์รู้ด้วยหรือคะว่าแม่ของปุ้ยชื่ออะไร”

“ก็จะเป็นน้าฤทธิ์นี่นา มันต้องรู้เรื่องหลานที่ดูแลอยู่บ้าง”

ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มเกร็งเครียดขึ้นมา พฤทธิกรหันไปเห็นจึงวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม “แต่สำหรับน้องปลา ฉันขอเป็นน้าฤทธิ์เฉพาะต่อหน้าเพื่อนเธอเท่านั้นนะ”

“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละครับ น้าฤทธิ์มาทีหลังนี่” กวีวัธน์โพล่งแทรกขึ้นมา

“อะไรของแก”

ปวันรัตน์หันไปมองคนพูดเพราะอยากรู้ด้วยเหมือนกัน

“น้องปลากับน้องฟรังค์เขาคบกันมาตั้งแต่มอหนึ่ง น้าฤทธิ์มาทีหลังเป็นได้แค่บ้านเล็กเท่านั้นแหละ เผลอ ๆ อาจมีศักดินาเป็นแค่กิ๊กด้วยซ้ำ”

“โห พี่กลอนนี่ก็ช่างคิดเนอะ” เด็กสาวพูด “พี่ฟรังค์เขาแนะนำตัวออกจะชัดว่าเป็นเพื่อนสนิท ยังเอามาพูดอีก พี่เขยคะ อย่าไปเชื่อหลานชายขี้โม้มากนะ” ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับพฤทธิกร กวีวัธน์จึงหันไปพูดเถียงกับเด็กสาวเสียแทน ส่วนฝ่ายน้าชาย เขายื่นมือออกไปให้เด็กหนุ่มคนรักเอ่ยปากพูดพร้อมรอยยิ้ม

“กลับบ้านกันเถอะ”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
19



เมื่อเช้าวันจันทร์มาถึงปภินวิชได้ติดสอยห้อยตามพฤทธิกรมาที่อาคารสำนักงานด้วย เด็กหนุ่มอยู่ในชุดพนักงานทำความสะอาดเหมือนเดิม เนื่องจากอยู่คนเดียวแล้วฟุ้งซ่านหลอนไปเองจึงได้ขอกลับมารับตำแหน่งเดิมดีกว่า

ชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งประธานบริษัทเดินแยกเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ปภินวิชจึงเดินไปยังห้องเล็ก ๆ สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ดึงเครื่องดูดฝุ่นออกมาทำความสะอาดพื้นและนำขยะในห้องทำงานแต่ละห้องออกไปทิ้ง แวะทักทายกับสุธาณีเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวมาถึงโต๊ะทำงานก่อนเปิดประตูห้องท่านประธานเข้าไป

“รับน้ำอะไรดีครับ”

คนที่ปภินวิชส่งคำถามไปให้กำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับแฟ้มเอกสารรายงานที่ถูกส่งมาให้ตรวจลงนาม ชายหนุ่มเงยหน้ายกยิ้มให้พร้อมตอบกลับไปว่าขอแค่น้ำเปล่าก็พอ แต่กระนั้นคนถามกลับทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ข้างโต๊ะ โผล่มาให้เห็นเฉพาะใบหน้าและปลายมือทั้งสอง

“ไปลากเก้าอี้มานั่งดี ๆ”เจ้าของห้องเอ่ยปากบอกทว่าอีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ

“งั้นลุกขึ้นมานั่งนี่”

‘นี่’ ที่ว่าคือบนตักของคนพูดและเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนทำตามอย่างว่าง่าย พฤทธิกรจึงสอดมือโอบเอวอีกฝ่ายไว้

“ไม่รับกาแฟสักหน่อยหรือครับ ไม่ง่วงเหรอ”ที่ปภินวิชถามออกไปแบบนั้นเพราะเมื่อคืนพวกเขาก็ต้องตื่นกลางดึกกันอีกแล้ว และหลังจากนั้น ชายหนุ่มยังชวนเขาคุยอยู่นานกว่าที่เขาจะง่วงนอนอีกครั้ง

“เธอง่วงหรือ”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะตอบปฏิเสธ ก่อนจะถามต่อไปอีกว่า “ทำไมถึงไม่กินกาแฟล่ะครับ”

“กินเยอะแล้วมันไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วถ้ากินไปนาน ๆ มันก็จะติด”

“เมื่อก่อนคุณฤทธิ์ติดกาแฟไม่ใช่เหรอ”

เจ้าของชื่อหัวเราะ เดาได้ว่าคู่สนทนาคงได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว แต่คงอยากได้ยินจากปากเขาอีกรอบ “อืมติดมาก จนร่างกายดื้อคาเฟอีน พนักงานร้านกาแฟเลยบอกให้หยุดดื่มบ้าง”

“เป็นพนักงานภาษาอะไร พูดจาไล่ลูกค้า”ปภินวิชขมวดคิ้วพูดคล้ายไม่ชอบใจ

“แต่ฉันกลับคิดว่า เป็นเด็กที่รู้จักห่วงใยคนอื่นดีนะ”

คนฟังถึงกับย่นจมูกเมื่อพฤทธิกรแสดงออกว่าปลื้มพนักงานคนนั้นมาก จากนั้นจึงหรี่ตาด้วยอาการพินิจพิเคราะห์ ใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาพร้อมทั้งเพ่งพิศจ้องนัยน์ตาของชายหนุ่มอย่างจับผิด

“คุณฤทธิ์มีปัญหาด้านสายตาหรือเปล่าครับ”

คำถามนั้นทำให้พฤทธิกรต้องเลิกคิ้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากคนตรงหน้าได้พูดออกมาว่า “ผมไม่เคยเห็นคุณฤทธิ์ใส่แว่นหรือคอนแทกต์เลนส์เลย อายุไม่มีผลต่อสายตาหรือครับ”

“ว่าฉันแก่หรือเปล่าเนี่ย”ชายหนุ่มถามกลับพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกวูบวาบในอก คนถามจึงแสร้งตีสีหน้าเหยเกพร้อมเอ่ยอ้อมแอ้มปฏิเสธ ละมือออกห่างพลางดันตัวลุกขึ้นยืน “ป... เปล่าสักหน่อย สายมากแล้ว ผมไปทำงานดีกว่า”

ปภินวิชหมุนตัวสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ยกยิ้มแหยให้หญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้องจากนั้นตรงดิ่งเข้าไปในลิฟต์ ลงไปยังชั้นเก็บเอกสาร ออกจากลิฟต์มายืนที่ระเบียงทางเดินแล้วยังถอนหายใจเฮือกใหญ่

เพราะนึกสงสัยว่าเขาทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านั่นแหละ เด็กหนุ่มถึงได้ถามคำถามเหล่านั้นออกไป แต่เพราะประกายนัยน์ตาและใบหน้าดูดีน่าหลงใหลนั่นทำให้เขาความคิดขาวโพลนกลวงเปล่าขึ้นมาในฉับพลัน เขาถึงต้องล่าถอย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบอุปกรณ์อะไรมาสักอย่างจึงต้องกลับขึ้นไปข้างบนเพื่อหยิบไม้ถูกพื้นและถังน้ำ




ช่วงสาย ธนากลับเข้ามาที่สำนักงานพร้อมซองกระดาษสีน้ำตาลในมือ หลังจากเมื่อช่วงเช้าเขาขับรถมาส่งเจ้านายเรียบร้อยก็วนรถออกไปข้างนอกอีกครั้ง เอกสารในซองนั้นเป็นผลการตรวจเลือดของปภินวิช ดังนั้นเขาจึงนำมันไปส่งให้ผู้เป็นนายจ้างทันทีที่มาถึง

พฤทธิกรรับมันมาถือไว้มือ นิ่งมองอย่างทำใจอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เปิดซองดูผลการตรวจ กวาดสายตาอ่านข้อความบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอ่านทวนย้อนบรรทัดสรุปผลที่ระบุว่าผลเลือดเป็นปกติ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เก็บมันใส่ซองไว้ตามเดิม

“ทางตำรวจแจ้งมาว่าอยากให้คุณปลาไปชี้ตัวคนร้ายครับ”

ประโยคนั้นทำให้เขาขมวดคิ้ว “จะแน่ใจได้ไหมว่ามันจะไม่มีชีวิตออกมาเดินเล่นข้างนอกอีก”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติส่งมันเข้าคุกไปก่อน หลังจากนั้นผมจะหาคนไปจัดการให้ครับ”

“ถ้างั้นให้ปลาไปชี้ตัวบ่ายนี้เลยก็ได้ ช่วงบ่ายฉันยังว่างอยู่ สักสามโมงครึ่ง ออกจากสถานีตำรวจก็กลับคอนโดเลย”ชายหนุ่มนัดหมายเวลา เขาอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว เผื่ออย่างน้อยที่สุดมันอาจจะลดอาการฝังใจของเด็กหนุ่มได้บ้าง

บอดี้การ์ดของเขาขอตัวออกไปเมื่อหมดธุระ ทว่าประตูได้ถูกผลักเข้ามาอีกครั้งหลังจากนั้นเพียงไม่นาน พฤทธิกรเหลือบสายตาขึ้นมองพลางขยับซองสีน้ำตาลสอดไว้ใต้แฟ้มเอกสารอื่น คราวนี้อีกฝ่ายดึงเก้าอี้มานั่งที่หัวโต๊ะ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเจื่อนซีดกว่าเมื่อเช้าที่เขาได้เห็นล่าสุดก่อนเจ้าตัวจะออกไปจากห้อง กระนั้นเขากลับไม่ได้พูดทักออกไป

“มาช่วยทำงานหรือ”เขายกยิ้มบางในประโยคที่คล้ายเอ่ยแซวแต่เด็กหนุ่มก็ขานรับตอบตกลงกลับมา พฤทธิกรจึงส่งเอกสารของแผนกบัญชีไปให้ช่วยตรวจตัวเลข แม้ว่าก่อนที่แฟ้มเล่มนั้นจะมาถึงเขา มันได้ผ่านสายตาสองคู่ของผู้ช่วยมาแล้วก็ตาม

“เอกสารฉบับนี้กลอนตรวจมาแล้วรอบหนึ่ง ลองดูเผื่อเจ้านั่นจะหลุด”

พอได้ยินว่าเขาให้จับผิดของรายงานของคู่ปรับ เด็กหนุ่มจึงดูเหมือนว่ามีไฟขึ้นมาทันตาเห็น

ด้วยเหตุนั้นภายในห้องจึงเงียบกริบเพราะต่างคนต่างทำงาน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษกับเสียงลากปากกาจรดลายเซ็น จนเวลาผ่านครู่ใหญ่ เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะได้ดังเตือนขึ้นมา ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องจึงเอื้อมมือไปกดปุ่มรับ

“ครับ”

“คุณฤทธิ์คะ วันนี้ออร์กาไนซ์จัดงานแถลงข่าวนำแบบงานเข้ามานำเสนอค่ะ จะเข้าร่วมด้วยไหมคะ”

“ครับ เดี๋ยวผมลงไป”

“งั้นผมขอเอาแฟ้มไปนั่งกับพี่ก้อยนะครับ”ปภินวิชพูดทันทีที่ชายหนุ่มกดวางสาย ในเมื่ออีกฝ่ายจะไม่อยู่ในห้องแล้ว เขาก็ไม่รู้จะอยู่ในนี้ต่อไปทำไม

“ได้ ไม่ต้องขยันมากล่ะ”พฤทธิกรพูดตอบขณะหยิบสมุดบันทึกและปากกา เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ปภินวิชจึงหอบแฟ้มถือไปด้วยพร้อมกล่าวตอบมาว่า

“มีแต่ให้ขยันตั้งใจทำงาน”

“ฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้เครียด”

“ไม่ ผมจะต้องหาจุดผิดพลาดในแฟ้มเล่มนี้ให้ได้”

พฤทธิกรพยักพเยิดเออออรับด้วยรอยยิ้ม วางมือลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูจากนั้นจึงแยกออกไปประชุม เมื่อกลับขึ้นมาหลังประชุมเสร็จ ปรากฏว่าหน้าตาของปภินวิชกำลังง่วงงุนเต็มที่ แต่เพราะใกล้เวลาทานอาหารแล้ว เขาจึงสะกิดปลุกให้ไปทานข้าว กระนั้นเมื่อทานอาหารเสร็จ เด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาง่วงงุนกลับหายไปแล้วซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสดชื่นเหมือนเดิม

พฤทธิกรจึงใช้โอกาสนี้บอกเรื่องนัดตอนบ่าย

“วันนี้ต้องไปชี้ตัวคนร้ายนะ”

ปภินวิชออกอาการเกร็งเครียดขึ้นมาในทันที ชายหนุ่มผู้ที่กล่าวประโยคนั้นจึงเอื้อมมือมาวางทับกุมมือเขาไว้ และเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ด้วย ไหนจะธนาอีก ฉันไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรเธอได้แน่นอน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับกระนั้นหัวใจก็เต้นรัวกังวลไม่เป็นสุข ไม่สามารถสงบสติความฟุ้งซ่านของตัวเองได้ เขานั่งรออยู่ในห้องทำงานของพฤทธิกรตลอดชั่วโมงการทำงานช่วงบ่าย นั่งสะกดจิตตัวเองให้ออกอาการตื่นกลัวน้อยที่สุด กระทั่งมือหนาถูกยื่นมากุมมือของเขาไว้อีกครั้ง

“ถึงเวลานัดแล้ว”

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมา ทว่าเพียงแค่อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปกอดไว้ ได้สูดกลิ่นกายที่คุ้นเคย สัมผัสความอุ่นร้อนจากร่างกายของชายหนุ่ม หัวใจที่เคยเต้นรัวกลับสงบลงอย่างน่าประหลาด

พฤทธิกรผละออกห่างเมื่อร่างกายของปภินวิชหายจากอาการสั่นกลัว กล่าวย้ำให้กำลังใจพร้อมแตะจูบบนหน้าผากเนียน จับจูงมือซึ่งเล็กบางกว่าพาให้เดินตามมา

พวกเขามาถึงสถานีตำรวจโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน การเดินทางมาที่สถานีตำรวจเที่ยวนี้ ชายหนุ่มมีบอดี้การ์ดติดตามมาเพียงคนเดียว เนื่องจากพุฒิพงศ์มีหน้าที่ขับรถรับส่งปวันรัตน์ ช่วงเวลาประมาณนี้บอดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นคงกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปรับเด็กสาว

หลังจากรถยนต์จอดสนิท ธนาได้ยื่นหมวกกับหน้ากากผ้าไปให้เจ้านายที่อยู่เบาะหลังเพื่อป้องกันสายตานักข่าว แม้การปิดหน้าปิดตาจะยิ่งดึงดูดความสนใจ แต่พฤทธิกรแจ้งเรื่องให้ตำรวจเก็บข้อมูลคดีนี้ไว้แล้ว

“ไม่เป็นไรนะ เธอมาชี้ตัวคนร้ายแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วไว้สัก... หลังจากที่ปุ้ยรับยาคราวหน้าฉันจะพาเธอไปเที่ยว”พฤทธิกรพูดพลางสวมผ้าปิดให้เด็กหนุ่ม

“ผมไม่ใช่เด็กนะ ถึงได้เอาเรื่องเที่ยวมาล่อ”เสียงพูดตอบฟังอู้อี้ลงเพราะผืนผ้าที่คาดอยู่บนหน้า คนตรงหน้าสวมหมวกให้แต่ยังคงวางมือค้างไว้บนศีรษะและพูดประโยคต่อไปด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยไม่สมวัย

“อ้าว... ไม่อยากไปงั้นเหรอ น่าเสียดายจัง”

“ผมยังไม่ได้บอกว่าไม่อยากไปเลย”

“ดีจัง นึกว่าจะต้องไปคนเดียวเสียแล้ว งั้นรีบเข้าไปแล้วกลับไปจัดกระเป๋ากันดีกว่าเนอะ”พฤทธิกรพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาก้าวเท้าลงจากรถแล้วยื่นมือให้เด็กหนุ่มจับไว้

“คุณฤทธิ์ต้องไปทำงานที่อื่นอีกหรือครับ”เอ่ยปากถามเมื่อออกมายืนด้านนอกตัวรถแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงกว่าก้าวเท้าเดินพร้อมโอบไหล่ให้เขาเดินอยู่ข้างกัน ปล่อยให้บอดี้การ์ดเป็นผู้ปิดประตูรถให้

“เปล่า ตั้งใจพาเธอไม่เที่ยวนั่นแหละ แต่ถ้าเธอไม่ไปฉันก็ต้องไปคนเดียวใช่ไหมล่ะ”

“แบบนั้นก็ได้ด้วย”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

ประโยคสนทนาถูกหยุดไว้แค่นั้นเมื่อเขาทั้งคู่ได้ก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในตัวอาคารแล้ว พฤทธิกรหยุดเท้ารออยู่ครู่หนึ่ง บอดี้การ์ดที่ตามหลังมาก็ผายมือพร้อมเดินนำไปด้านใน มือข้างหนึ่งยังถือโทรศัพท์แนบหู ด้วยเหตุนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ธนาติดต่อไว้ก่อนหน้าเดินออกมารับ และพาเดินเข้าไปยังห้องหนึ่ง

ภายในห้องนั้นผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกซึ่งมองเห็นอีกฟากที่มีชายหนุ่มห้าคนยืนเรียงกันพร้อมถือป้ายหมายเลข ปภินวิชกวาดสายตามอง อาการหัวใจเต้นแรงหายใจไม่ค่อยออกกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง

เมื่อได้มองเห็นคนร้ายภายใต้แสงไฟสว่างชัด เขารู้สึกว่าหน้าตาของมันช่างต่างกับในความฝันที่หลอกหลอนอยู่ทุกค่ำคืนเหลือเกิน ใบหน้าธรรมดาที่หากเดินผ่านกันในเวลาปกติ เขาคงเดินผ่านไปโดยไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด

มือสั่นระริกของปภินวิชค่อย ๆ ยกสูงขึ้น ทว่าวินาทีนั้นเขาเกิดรู้สึกลังเลขึ้นมา หรือเขาอาจจะจำผิด ข้อความประโยคนี้ผุดขึ้นมาในสมองของเด็กหนุ่มพร้อมกับมือของเขาขยับเลื่อนไปโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่พฤทธิกรได้คว้าจับมือเขาไว้

“ผมนับว่าเป็นพยานได้ไหมครับ”ชายหนุ่มร่างสูงหันไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“อ๊ะ... ได้ครับ”

พฤทธิกรจึงใช้มือข้างที่ยังจับยึดมือเด็กหนุ่มไว้ชี้ไปยังหมายเลขที่ปภินวิชตั้งใจชี้เลือกในทีแรก

ขั้นตอนการชี้ตัวสิ้นสุดลงแค่นั้น พฤทธิกรจึงเร่งพาปภินวิชเดินทางกลับ ระหว่างอยู่บนรถยนต์พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายยังนั่งนิ่งเงียบคล้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่พฤทธิกรยังจับยึดมืออีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย

“อ้าว! สวัสดีค่ะ ทำไมวันนี้น้าฤทธิ์กับพี่ปลากลับเร็วจัง”เสียงใส ๆ ของเด็กสาวดังทักมาให้ได้ยินทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่อาศัย

“น้ามีธุระจะคุยกับพี่ชายของเราแป๊บนึง เดี๋ยวออกมาคุยด้วยนะ”พฤทธิกรส่งยิ้มกลับไปให้ พลางรุนหลังเด็กหนุ่มให้เดินเข้าไปในห้องนอน กดตัวอีกฝ่ายให้ทรุดนั่งบนเตียง

“ฉันไม่ชอบให้เธอเงียบไปแบบนี้เลย”เขาพูดพร้อมปลายนิ้วโป้งที่เกลี่ยไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มเบา ๆ ปภินวิชจึงยกยิ้มไปให้ แล้วก้มหน้าลงด้วยท่าทางสับสน

“ที่... ผมเห็นในฝัน เขาน่ากลัวมาก ว...วัน... นั้นก็เหมือนกัน”เด็กหนุ่มบีบจับมือของตัวเองไว้เพื่อสะกดกลั้นความหวั่นกลัวที่เคยเผชิญไม่ให้ปะทุขึ้นมาอีก ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

“แต่ที่เห็นวันนี้”

“นั่นสิ คนแบบนั้นมีอะไรน่ากลัว”พฤทธิกรพูด น้ำเสียงเรียบ ๆ แฝงเค้าลางการดูถูก

ปภินวิชยิ้มรับพร้อมพูดสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่าย “ก็แค่พวกโรคจิต ถ้าครั้งหน้าผมเจอไอ้พวกแบบนี้อีก จะตื้บให้จมดินเลยคอยดู”

“ใช่ พวกมารสังคมแบบนี้ปล่อยไว้ก็หนักแผ่นดิน”

“งั้นเรากลับไปที่สน.แล้วกระทืบมันอีกสักทีสองทีดีไหม”เด็กหนุ่มเอ่ยเสนอ

“อันนั้นก็เกินไป”พฤทธิกรหัวเราะ แล้วเล่าว่าวันนั้นมันก็โดนไปจนอ่วมแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังทำหน้าฉุนเฉียวบอกว่า ผมยังไม่ได้แก้แค้นเลย หลังจากนั้นจึงร่ายวิธีเอาคืนไอ้โรคจิตคนนั้นออกมายาวเหยียดจนคนนั่งฟังต้องยกยิ้มตาม




เสียงโทรศัพท์ของพฤทธิกรดังขึ้นช่วงที่เขาและสองพี่น้องกำลังนั่งเล่นเกมไปพลาง ดูรายการโทรทัศน์ไปพลางในช่วงย่ำค่ำ ในห้องสว่างไสวด้วยแสงจากดวงไฟ ชายหนุ่มเห็นว่าเป็นเบอร์ของมารดาจึงกดรับสายโดยไม่ได้ขยับลุกไปคุยที่อื่น

“ฮัลโหลครับ”

“พรุ่งนี้เย็นไปออกงานเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิ”

“อ้อ”เขาขานเสียงตอบรับแต่ยังลังเลที่จะตอบตกลง

“อย่าบอกนะว่าไม่ว่าง แม่แค่อยากควงลูกชายไปอวดเพื่อนฝูงบ้างไม่ได้เลยหรือ เรานะร้อยวันพันปีก็ไม่เคยคิดถึงอยากกลับบ้านมาหาแม่สักครั้ง...”

“พอแล้วครับ ผมยังไม่ทันบอกปฏิเสธเลยนะ”

“งั้นพรุ่งนี้มารับแม่ที่บ้านด้วย”มารดากดตัดวางสายไปทันทีเมื่อกล่าวประโยคนั้นจบ คู่พี่ชายน้องสาวซึ่งนั่งอยู่แถวนั้นจึงหันมอง

“อะไรหรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถาม

“พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยนะ ต้องไปพาคุณแม่ไปงาน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแต่ผู้เป็นน้องสาวยังส่งเสียงถามต่อเกี่ยวกับมารดาของพฤทธิกร ปภินวิชจึงได้อานิสงส์รู้จักครอบครัวของชายหนุ่มไปด้วย

ช่วงเย็นของวันถัดมา พฤทธิกรจึงวนรถมาส่งเด็กหนุ่มที่คอนโดก่อนจะเดินทางไปหามารดาที่หมู่บ้านชานเมือง เขายังอยู่ในชุดสูทที่ใส่ไปทำงานตัวเดิม และเมื่อไปถึงมารดาได้เดินออกมาอยู่บริเวณชานหน้าบ้านพอดี ธนาซึ่งประจำอยู่ที่นั่งตอนหน้าข้างคนขับเป็นคนลงไปเปิดประตูรถให้ทิพปภา

“งานอะไรหรือครับคืนนี้”เขาถามเมื่อมารดาเข้ามาอยู่ในรถแล้ว เธอสวมชุดผ้าลูกไม้สีโอลด์โรส

“งานแต่งลูกชายเพื่อน”

“แล้วคุณพ่อไม่ต้องไปด้วยหรือครับ”

“ทำไมไม่อยากไปกับแม่เหรอ”เธอตวัดเสียงถาม

“เปล่าครับ ผมก็แค่ถามเฉย ๆ”ชายหนุ่มจำต้องยอมเงียบเพราะกลัวว่าจะไปทำให้มารดาอารมณ์ขุ่นเคืองเสียก่อนจะได้ไปถึงงาน

สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นรีสอร์ตหรูตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีซึ่งตอนที่พวกเขามาถึงมีรถยนต์หลายคันขับเลี้ยวตามกันมาติด ๆ บอดี้การ์ดซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถอย่างพุฒิพงศ์จอดส่งเขาและมารดาที่บันไดทางขึ้นด้านหน้า

หลังลงมาจากรถ พฤทธิกรให้มารดาควงแขนเดินเข้างาน ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่า เจ้าบ่าวเป็นลูกชายเพื่อนคนไหน แต่เห็นนักข่าวถือกล้องเดินให้ว่อนอยู่บริเวณทางเข้าหน้าห้องบอลรูม จึงพอเดาได้ว่าคงมีชื่อเสียงอยู่ในวงสังคมพอควร เขาต้องยกยิ้มให้นักข่าวถ่ายรูปตามความประสงค์ของมารดาที่ต้องการพาเขามาอวด ด้วยเหตุนั้น ผ่านไปหลายสิบนาทีพวกเขาแม่ลูกจึงยังไม่ได้เข้าไปด้านในเสียที

ระหว่างนั้นมารดาของเขาได้เจอคนรู้จักเสียก่อน เธอหันไปยิ้มทักอย่างสนิทสนมพลางยกมือรับไหว้หญิงสาวอ่อนวัยอีกคนซึ่งเดินเคียงกันมา พฤทธิกรยกมือไหว้คนรู้จักของมารดาก่อนหันไปรับไหว้เมื่อหญิงสาวอายุน้อยกว่าคนนั้นยกมือไหว้เขาด้วยเช่นกัน

“บังเอิญจังค่ะ ที่ได้เจอคุณจันทร์ แล้วนี่หนูแขใช่ไหมคะ นาน ๆ เจอกันทีโตเป็นสาวสวยจนจำแทบไม่ได้”

หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชมยกยิ้มรับพร้อมกล่าวขอบคุณ มารดาของเธอจึงกล่าวแกมหยอกขึ้นมาว่า “สวยไปก็เท่านั้นค่ะคุณทิพย์ อายุป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟนเสียที นี่จันทร์ยังกลัวว่าจะกลายเป็นสาวเทื้อต้องอยู่กับแม่ไปจนแก่”

“อุ๊ย! พอดีเลยค่ะ พ่อฤทธิ์ก็ยังโสดไม่ได้แต่งงานเสียที ไว้หลังจากนี้ให้เขาไปรับหนูแขออกไปกินข้าวดูหนังดีไหมคะ”

“คุณแม่ครับ”พฤทธิกรสะกิดปรามมารดาที่เกิดอยากจะทำหน้าที่แม่สื่อขึ้นมา แต่เธอเพียงหันมาปัดมือเขาพลางทำหน้ารำคาญใส่เท่านั้น ก่อนจะหันไปคุยกับคุณจันทร์หรือจรัสวรรณอย่างถูกคอ

ครู่ต่อมาได้มีนักข่าววนมาถ่ายรูปพวกเขาอีกรอบ พฤทธิกรจึงถูกดันให้ไปยืนตรงกลางเคียงข้างกับหนูแขหรือนัยน์ภัคที่คุณแม่ของเขาชอบนักชอบหนา ชายหนุ่มจึงรู้สึกยิ้มไม่ออกเพราะเหมือนว่าโดนจัดฉากให้มาเจอหญิงสาวผู้นี้ ทั้งในงานเขายังโดนบังคับให้นั่งข้างเธอเสียอีก

“พี่ฤทธิ์เหนื่อยหรือคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”หญิงสาวเอ่ยถามพลางชวนคุย

“ก็ไม่เชิงครับ พอดีเลิกงานผมก็ตรงมาที่งานเลย”

“จริงหรือคะ พี่ฤทธิ์ยังดูหล่อเนี้ยบเหมือนเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวมาใหม่อยู่เลย ผิดกับแข กว่าจะเลิกงานสภาพเหมือนไปเผชิญสมรภูมิมาทุกวัน”

“แล้วตอนนี้คุณแขทำงานอยู่ที่ไหนหรือครับ”พฤทธิกรเอ่ยถาม เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่เจอกัน มารดาของเธอฝากฝังให้หญิงสาวมาทำงานกับเขา แต่เขาปล่อยให้หลานชายเป็นคนดูตำแหน่งงาน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก

“ที่บริษัทคุณพ่อแหละคะ แต่คุณพ่อให้แขไปคุมทีมออกแบบ”เธอเล่ารายละเอียดการทำงานให้ฟัง ครอบครัวของหญิงสาวเป็นเจ้าของบริษัทจิวเวอร์รี่ที่มีหน้าร้านอยู่ในห้างสรรพสินค้าของเขา ดังนั้นเมื่อคุยกันเรื่องงาน จึงดูเหมือนว่าเขาและเธอจะสามารถคุยกันได้เรื่อย ๆ ถึงจะไม่คิดสานสัมพันธ์ แต่พฤทธิกรไม่นึกอยากหักหน้าหมางเมินหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง คิดเอาไว้ว่า ค่อยกลับไปคุยกับมารดาของตนอีกที

ราว ๆ สี่ทุ่มแขกเหรื่อในงานฉลองมงคลสมรสก็ทยอยเดินทางกลับ และเมื่อเข้ามาอยู่ในรถ มารดาของเขาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เราก็พาหนูแขไปกินข้าวสิ”

“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวเธอจะเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดอะไร แม่พูดไปแล้วนะ จะให้แม่เสียคำพูดเหรอ”

“ก็ก่อนที่คุณแม่จะพูดไม่ปรึกษาผมก่อนล่ะครับ อีกอย่างผมเคยบอกคุณแม่เรื่องคนที่ผมชอบไปแล้ว ทำไมจู่ ๆ ถึงได้แนะนำให้ผมไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่นล่ะ”

“เรายังจีบไม่ติดไม่ใช่เหรอ ระหว่างนั้นก็ลองคบหากับผู้หญิงคนอื่นดู ไม่แน่ว่าอาจจะชอบผู้หญิงที่คุยด้วยมากกว่าก็ได้”

“ผมกับเขาตกลงเป็นแฟนกันแล้วครับ”

“อะไร ทำไมเร็วนัก เด็กคนนั้นใจง่ายขนาดนี้เชียว ไม่ใช่ว่าตั้งใจมาจับเราล่ะ”

“เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ”

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงวันอาทิตย์นี้ก็ต้องพาหนูแขไปกินข้าวก่อน แล้วก็พาเด็กคนนั้นมาให้แม่ดูนิสัยใจคอด้วย ถ้าแม่เห็นว่านิสัยไม่ดีก็ต้องเลิก”

“คุณแม่!!!”

“ไม่ต้องมาเสียงดัง”ทิพปภาพูดเสียงดุกลับไปบ้าง “พรุ่งนี้เลย พามาหาแม่พรุ่งนี้เลย ตอนเช้าเราพาเขามาส่งไว้ที่บ้านแม่ แล้วตอนเย็นค่อยกลับมารับ”

“ให้เขามาอยู่ทั้งวัน แม่คิดจะทำอะไรกันแน่ครับ”

“ทำไม หรือเรากลัวว่าเด็กคนนั้นจะเผยธาตุแท้ให้แม่เห็น”

พฤทธิกรขมวดคิ้วเริ่มออกอาการหัวเสีย “ผมกลัวคุณแม่จะไปแกล้งเขามากกว่า”

“แล้วอย่างไร โบราณเขายังว่าทองแท้ไม่แพ้ไฟ”

“แล้วผมจำเป็นต้องส่งคนรักมาให้คุณแม่โขกสับเล่นหรือครับ”

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเราไม่ทำตามที่แม่บอก แม่ก็ไม่มีทางยอมรับเด็กคนนี้”ทิพปภาเชิดหน้าคอแข็งไม่มีทางยอมอ่อนให้ง่าย ๆ จนพฤทธิกรอ่อนใจ “กลอนไม่ได้บอกคุณแม่หรือครับว่าเด็กคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร”

“หึ”เสียงในลำคอสั้น ๆ นั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นการตอบรับหรือตอบปฏิเสธ ชายหนุ่มยกมือกุมขมับคิดทบทวนอีกครั้ง

“ผมขอไปถามแฟนผมก่อนแล้วกันนะครับ”

“งั้นฝากไปบอกเด็กคนนั้นด้วยว่า ถ้าไม่กล้ามา แม่จะคิดว่าเขาจงใจมาปอกลอกเรา”

“คุณแม่!!! ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”ชายหนุ่มถามอย่างฉุนเฉียว

“ทำไมแม่จะไม่มีสิทธิ์คิด ลูกเต้าเหล่าใครเทือกเถาเหล่ากอเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องค้ายาติดการพนันขึ้นมาจะทำอย่างไร เราน่ะอยากให้สมบัติที่ปู่ย่าพ่อแม่สร้างมาสูญไปหมดรึ อย่างนั้นแม่จะไปยุพ่อแกให้ยกสมบัติให้น้องชายเขาดีกว่า”

คำพูดของมารดาทำให้พฤทธิกรสะดุ้งไปบ้าง ไม่ใช่ว่าเจ้าหลานตัวดีเอาเรื่องครอบครัวของปภินวิชมาปูดให้คุณยายฟังจนหมดแล้วล่ะ ชายหนุ่มคิดอย่างร้อนใจ

“ครับ ผมจะพาเขามาให้ได้ครับ”เขารับคำไปก่อน

ส่วนสมบัติที่มารดากล่าวถึงคือบริษัทที่เขานั่งตำแหน่งประธานดูแลอยู่ เพราะถึงแม้จะมีหน้าที่ดูแลบริหารงาน แต่เจ้าของทรัพย์สินตัวจริงยังเป็นชื่อของบิดา ถึงกระนั้นเขาไม่ได้ห่วงเรื่องที่ว่ามากนัก เขาทำงานมาร่วมยี่สิบปีย่อมต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวมากพอที่จะเลี้ยงดูเด็กสองคนได้อยู่แล้ว ที่เขากริ่งเกรงคืออารมณ์โมโหโทโสของบุพการีที่จะทำให้เรื่องเลยเถิดจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเด็กหนุ่มคนรักอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วน

พฤทธิกรไม่อยากกลายเป็นคนกลางที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในความสัมพันธ์ขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ แฟนคนที่สองเขาจึงถูกเลือกมาจากหญิงสาวที่มารดาถูกชะตา และก่อนที่เขาจะตัดสินใจจริงจังกับปภินวิช ถึงได้มาบอกกล่าวให้มารดารับทราบเสียก่อน

แต่เขาไม่ทันคิด ว่ามารดาจะเปลี่ยนใจกลับคำ

กว่าจะกลับไปถึงคอนโด นาฬิกาได้ตีบอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว ชายหนุ่มสาวเท้าเงียบเชียบเข้าไปในห้องนอนซึ่งถูกเปิดไฟเป็นแสงสลัว ๆ ทิ้งไว้ ทำให้มองเห็นปภินวิชซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาจึงเดินเข้าห้องน้ำจัดการชำระล้างร่างกายพร้อมกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อนอน

เขาหยิบรีโมตมากดปิดไฟก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเตียง ทว่าน้ำหนักที่ทำให้พื้นเตียงยวบลงกลับทำให้อีกคนตื่นขึ้นมา

“กลับมาแล้วหรือครับ”ปภินวิชงัวเงียลืมตามองชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งกำลังสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม จากนั้นจึงขยับตัวกอดซุกเข้ากับร่างใหญ่หนาของอีกฝ่าย

“นอนต่อเถอะ”พฤทธิกรกดจูบที่หน้าผากและกลุ่มผมนุ่มของเด็กหนุ่มเช่นทุกที มองร่างในอ้อมกอดที่ปิดเปลือกตาหลับลงอีกครั้ง ทว่าในสมองยังคิดไม่ตก นึกไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่มารดาอคติไม่ชอบปภินวิชทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้าอย่างไรดี



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เบื่อพวกมนุษย์ป้าสังคมไฮโซจริงๆอยากได้หน้าตามากกว่าความรู้สึกของลูกตัวเองแก่แล้วควรเข้าวัดทำบุญแล้วปลงได้ค่ะป้า แหมะ!  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
20



ปภินวิชโน้มหน้ามองแฟ้มเอกสารที่ชายหนุ่มนั่งจ้องอยู่นานสองนาน และหันมองคิ้วที่ขมวดมุ่นของอีกฝ่ายอีกครั้ง กระนั้นก็ยังไม่ได้เอ่ยปากส่งเสียงทักออกไป ได้แต่นั่งเท้าคางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ จนกระทั่งเวลาเคลื่อนผ่านไปอีกหลายนาทีที่พฤทธิกรยังจ้องเอกสารนิ่งค้างอยู่หน้านั้นเช่นเดิม

“รายงานมันมีปัญหาหรือครับ”เมื่ออดไม่ได้จริง ๆ เด็กหนุ่มจำต้องเอ่ยปากถามเพราะความอยากรู้ มองอาการสะดุ้งของชายหนุ่มด้วยความแปลกใจเล็กน้อย และยิ่งนึกฉงนกับท่าทีสับสนกระสับกระส่ายของชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพฤทธิกรมีอาการว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้

เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้ เขาคงไม่มีความสามารถมากพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้ แต่อย่างน้อยเขาสามารถให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเหมือนที่ชายหนุ่มเคยทำให้เขา

ในห้องทำงานของท่านประธานยังคงเงียบสงบเช่นเดิมแม้ปภินวิชจะใช้เวลาหลังจากที่ทำงานในความรับผิดชอบของตนเสร็จเรียบร้อย เข้ามาอยู่ในห้องนี้ซึ่งส่วนใหญ่เขาทำเพียงนั่งเล่นอยู่เฉย ๆ บ้างหรือช่วยชายหนุ่มอ่านเอกสารรายงานบ้างเท่านั้น เด็กหนุ่มพยายามไม่รบกวนการทำงานของอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การเข้ามาอยู่ในห้องนี้ไม่ใช่แค่ ‘อยากเห็นหน้าพฤทธิกรเพราะพวกเขาใจตรงกัน’ แต่มันทำให้เขาสงบจากอาการประสาทหลอนของตัวเอง ปภินวิชรู้ตัวดีว่าอาการหวาดระแวงเริ่มน้อยลงแล้ว เขายังคงฝันร้าย ทว่าในฝันไม่ได้น่ากลัวเท่ากับหลายคืนก่อนหน้า และการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นกลัวเท่ากับวันแรกที่รับรู้ถึงอาการนี้  กระนั้นก็ยังอยากอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มอยู่ดี

“ฉันไม่เป็นไรหรอก”เสียงของพฤทธิกรดังขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนยังประดับอยู่บนใบหน้าเช่นทุกครั้ง

“ผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณฤทธิ์อยากพูดระบายอะไร ก็เล่าให้ผมฟังได้นะครับ ผมรับรองว่าจะปิดปากให้สนิท ไม่แพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด”เด็กหนุ่มทำท่ารูดซิปปากประกอบคำพูดตัวเอง จากนั้นยกมือนวดหัวคิ้วให้ชายหนุ่ม

“คิ้วขมวดเป็นปมขนาดนี้ ไม่ชอบเลย”

พฤทธิกรจึงพลิกมือของเด็กหนุ่มยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก “แค่นี้ก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเต็มเปี่ยมแล้ว”และนิ่งมองหน้าเด็กหนุ่มคนรักอีกครู่หนึ่ง ทว่าขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงเตือนของโทรศัพท์ตั้งโต๊ะภายในห้องกลับดังขึ้นเสียก่อน

พฤทธิกรกดปุ่มรับสาย

“ครับ”

“ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ”

“ครับ ผมกำลังออกไป”

จบเสียงสนทนาทั้งพฤทธิกรและปภินวิชจึงลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่จะเปิดประตูออกจากห้อง ปภินวิชได้เขย่งปลายเท้ายืดตัวขึ้นไปแตะจูบที่ริมฝีปากของชายหนุ่มร่างสูง

“เติมกำลังใจให้อีกหน่อย อย่าเครียดอีกนะ”กล่าวจบก็ดึงประตูเปิด ก้าวเท้าออกไปด้านนอก นั่นทำให้เห็นว่าสุธาณีได้หยิบสมุดปากกาลุกขึ้นยืนทันทีเหมือนกัน

พฤทธิกรลงลิฟต์มายังห้องประชุม ภายในเป็นห้องซึ่งมีโต๊ะไม้เทียมสีน้ำตาลเข้มตัวยาวตั้งอยู่พร้อมเก้าอี้มีพนักวางอยู่รอบโต๊ะ พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหัวข้อการประชุมครั้งนี้มานั่งรอพร้อมอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ผู้ช่วยของเขาอีกสองคนอย่างเอกภพและกวีวัธน์ เมื่อเขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงตำแหน่งประจำบริเวณหัวโต๊ะ การประชุมจึงได้เริ่มขึ้น

หัวข้อการประชุมนั้นเกี่ยวกับการแถลงข่าวการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ในประเทศไทย การจัดงานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทออร์กาไนซ์ แต่พวกเขายังต้องชี้แจงและสรุปข้อมูลส่วนของบริษัทให้พนักงานที่เกี่ยวข้องกับงานในวันนั้นได้รับทราบ

ในวันงาน นอกจากเป็นการแถลงข่าวพร้อมการลงนามเซ็นสัญญาต่อหน้าสื่อ พวกเขายังต้องแถลงเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัท หลังจากนั้นจะเป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ฉลองความสัมพันธ์ทางธุรกิจให้กับบริษัทที่เข้ามาร่วมทุน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องอย่างพนักงาน นักข่าว ผู้กำกับและทีมงานสร้างภาพยนตร์

ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงการประชุมจึงสิ้นสุดลง พฤทธิกรบอกเลิกการประชุมแต่ยังให้หลานชายอยู่ต่อ เขานั่งรอจนกระทั่งทุกคนออกไปหมดแล้วและภายในห้องเหลือเพียงเขากับกวีวัธน์ ชายหนุ่มจึงได้เอ่ยปากถามถึงเรื่องที่เป็นเหตุให้รั้งหลานชายไว้

“แกพูดอะไรกับแม่ฉันบ้าง”

“หือ เรื่องอะไรเหรอครับ”

“เรื่องปลา”

“ก็... เอาแบบละเอียดหรือเอาแบบย่อ ๆ ละครับ”

แต่พอเห็นน้าชายชักสีหน้า คนเป็นหลานจึงพูดต่อไปทันทีว่า “ทีแรก ๆ ผมก็ถามความคิดเห็นของคุณยายเกี่ยวกับเกย์ เกี่ยวกับผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกันแหละครับ แล้วก็เอาข่าวฆ่าตัวตายกรณีที่ครอบครัวไม่ยอมรับไปให้ดู สลับกับเอาเรื่องของบุคคลเพศที่สามที่สร้างประโยชน์ไปเล่าให้ฟัง”

พฤทธิกรพยักหน้ารับ“แม่ฉันเลยคิดว่าแกเป็นเกย์”

“ใช่”กวีวัธน์ตอบรับอย่างรวดเร็ว “เอาไปบอกที่บ้านผมด้วย เข้าใจผิดกันไปใหญ่เลยแต่พ่อกับแม่ผมไม่มีปัญหานะ แต่ไม่ใช่ผมไง ผมเลยต้องบอกว่า คนที่ชอบผู้ชายคือน้าฤทธิ์ ตอนนี้น้าฤทธิ์แอบชอบเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่ พอบอกอายุน้องปลาเท่านั้นแหละ คุณยายเป็นลมเลย”เขาหัวเราะเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“แล้ว... พอเกิดเรื่อง น้าฤทธิ์บอกว่าจะถอยออกมา ผมก็เลยอยู่เฉย ๆ คุณยายถามถึงเหมือนกัน เลยบอกไปว่า น้องเขายังเด็ก น้าฤทธิ์คงไม่จริงจังหรอก แค่เห็นว่าน่ารักนิสัยดีละมั้ง แต่ล่าสุด ผมก็ไปบอกคุณยายว่า น้าฤทธิ์กับน้องเขาบังเอิญมาเจอกันอีกแล้วนะ ยังบอกให้คุณยายทำใจเพราะเนื้อคู่ของน้าคงจะเป็นผู้ชายจริง ๆ”เมื่อเล่าจบกวีวัธน์ก็พูดถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“แม่ฉันเขาแนะนำผู้หญิงให้รู้จัก บังคับให้พาเขาไปกินข้าวด้วย”

“แล้วน้องปลารู้หรือยังครับ”

“มันไม่ใช่แค่นั้น”พฤทธิกรถอนหายใจ “คุณยายแกยังบอกว่า ให้ฉันพาแฟนไปทิ้งไว้ที่บ้านสักหนึ่งวัน”

“โอ๊ะ”คนฟังส่งเสียงอุทานด้วยความแปลกใจ “ว่าแต่น้องปลาเขายอมเป็นแฟนกับน้าฤทธิ์แล้วเหรอ”

“ใช่สิ ถ้าไม่ ฉันจะกล้าพูดเรอะ”

จบคำพูดนั้นทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ หลายชายอย่างกวีวัธน์ไม่กล้าออกความคิดเห็นเพราะคราวนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน  แม้จะเกี่ยวข้องกับมารดาของน้าชาย แต่คนที่ต้องฝ่าฟันแก้ไขปัญหามันคือน้าชายและคนรัก

“เรื่องลุงกับป้าของปลาได้บอกใครอีกหรือเปล่า”

“เปล่าครับ เอกสารก็มีชุดเดียวที่เคยส่งให้น้าดู”

“ดีแล้ว”พฤทธิกรพยักหน้ารับ “และไม่ต้องเอาไปพูดให้ใครฟังล่ะ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้กวีวัธน์เอะใจ “คุณยายรู้เรื่องด้วยหรือครับ”

“เขาอาจจะพูดรวม ๆ คงไม่รู้จริง ๆ หรอก”พฤทธิกรลุกขึ้นยืนเมื่อคิดว่าหมดธุระที่ต้องการพูดคุยกับหลานชายแล้ว “อืม ขอบใจมาก ไม่มีอะไรแล้ว”

“อยากให้ผมช่วยเหลืออะไรเป็นพิเศษไหม”กวีวัธน์พูดด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีศักดิ์เป็นน้าจึงแค่นหัวเราะ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้นเสียก่อน หมายเลขของปลายสายที่แสดงอยู่บนหน้าจอยาวเหยียด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังกดรับ

“ฮัลโหลครับ”

“พี่ฤทธิ์ นี่ผมชานะ”

พฤทธิกรกลอกตาด้วยความเหนื่อยใจ ยังไม่ทันที่จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเลย น้องชายสุดที่รักก็ติดต่อมาเสียแล้ว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปล่งเสียงตอบรับกลับไป



หลังคิดทบทวนมาตลอดทั้งวัน พฤทธิกรได้ตัดสินใจว่า ควรจะบอกเรื่องที่คุยกับมารดาให้เด็กหนุ่มคนรักได้รับรู้ด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ชายหนุ่มจึงรั้งข้อมือบางให้เด็กหนุ่มนั่งลงตรงหน้า และเหมือนปภินวิชจะรับรู้ว่าเรื่องที่เขาต้องการพูดด้วยเป็นเรื่องสำคัญ อีกฝ่ายจึงนั่งนิ่งอย่างตั้งใจ

“เอ่อ... คุณแม่ฉันอยากเจอเธอ”

“อ้อครับ”เด็กหนุ่มไม่มีอาการตื่นเต้นตกใจ เขาตอบรับด้วยท่าทีปกติ “ทำไมถึงอยากเจอผมล่ะครับ”

“ก็เพราะว่าเธอเป็นแฟนฉัน”

“คุณฤทธิ์!!!”ปภินวิชร้องเสียงหลง “จะบอกเรื่องผมกับคุณแม่ของคุณทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะครับ แล้วนี่คุณแม่ของคุณว่ายังไงบ้าง ท่านดุหรือเปล่า ท่านแอนตี้หรือเปล่า ผมอายุน้อยกว่าคุณตั้งเยอะต้องโดนว่าแน่ ทำยังไงดีล่ะ”

“ใจเย็น ๆ ก่อน”พฤทธิกรร้องปรามพลางดึงร่างเด็กหนุ่มที่แสดงอาการลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขเข้ามากอดไว้

“ผมอายุน้อยกว่า ฐานะก็ไม่ดี แถมยังเรียนไม่จบด้วย ท่านต้องไม่ชอบแน่เลย”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำด้วยความกังวล “ท่านจะบังคับให้คุณเลิกกับผมหรือเปล่า”

เขาเพิ่งได้คบกับพฤทธิกรแค่ไม่กี่วันเองนะ จะต้องเลิกกันแล้วเหรอ ปภินวิชคิดอย่างเศร้าสลด กระนั้นก็ปักใจเชื่อไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วว่า พฤทธิกรคงโดนบังคับให้เลิกกับเขา

“ที่คุณฤทธิ์ทำหน้าเครียดเพราะเรื่องนี้เหรอ”

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เห็นว่าหนุ่มคนรักจะคิดเริ่มคิดเองเออเองไปไกล จึงยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายไว้

“อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้น”

ปภินวิชช้อนแววตาเว้าวอนขึ้นมองเขา พฤทธิกรใจอ่อนยวบพร้อมกล่าวยืนยันความรู้สึกของตนขณะที่กอดรัดร่างกายเพรียวบางกว่าไว้ในอ้อมแขน “ฉันรักเธอ ไม่ยอมเลิกกับเธอเด็ดขาดไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ต้องห่วงนะ”

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเอ่ยเรียก แหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม “มาทำกันเถอะ”

“หือ!!!”

“ถ้าจะต้องเลิกกันจริง ๆ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจ ไม่ได้สิ... ยังไม่มีอุปกรณ์เลย”

พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่ต้องเลิกคบกันหรอกน่า ไม่ต้องกลัว” กระนั้นสีหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

“พูดจริง”ชายหนุ่มบอกซ้ำพร้อมยิ้มปลอบ “คุณแม่ฉันเขาแค่อยากเห็นว่า ลูกสะใภ้หน้าตาเป็นอย่างไรเท่านั้นแหละ”

ปภินวิชยังคงเงียบกริบ หัวคิ้วขมวดครุ่นคิด

“ฉันจะสี่สิบแล้วนะ จะเลือกคู่ครองสักคนไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่มาช่วยดูให้แล้วล่ะ”

“แต่พวกท่านก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี”ปภินวิชแนบศีรษะลงบนแผ่นอกกว้างอย่างที่ชอบทำ

“พูดเหมือนเคยมีลูก”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “พ่อกับแม่ผมพูดบ่อย ๆ ที่จริงผมก็ไม่ใช่เด็กดีหรอก เถลไถลกลับบ้านเย็นจนโดนบ่นประจำ และท่านบอกว่าต่อให้โตแค่ไหนผมยังคงเป็นเด็กในสายตาของพวกท่านอยู่ดี การที่แม่คุณฤทธิ์จะไม่ชอบผมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

คนพูดเสียงอ่อยขณะที่พฤทธิกรลูบหลังลูบไหล่อีกฝ่ายไปพลาง

ปภินวิชที่อยู่ในความทรงจำของเขาเป็นเด็กที่สดใสร่าเริง ชอบพูดจากวนประสาทแบบเด็กวัยรุ่นที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ทั่วไป เป็นเด็กที่อัธยาศัยดีเข้ากับคนง่าย ทว่านั่นอาจเป็นด้านหนึ่งของเด็กหนุ่มเท่านั้น ถึงกระนั้น เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากวิตกกังวลไปล่วงหน้าเช่นนี้

“อย่าเพิ่งคิดแบบนั้นสิ ใช่ว่าคุณแม่ของฉันจะไม่ชอบเธอจริง ๆ เสียหน่อย เราต้องเลิกกันเพราะคนอื่นบอกให้เราเลิกกันอย่างนั้นหรือ”พฤทธิกรเอ่ยถาม รั้งอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา “ทั้งที่เรารักกันมาก” เขาลากเสียงยาวที่คำสุดท้าย

“แต่นั่นเป็นคุณแม่ของคุณนะ”

“แล้วเธอจะไม่พยายามทำให้ ‘แม่ของฉันชอบเธอ’ บ้างงั้นหรือ”

“แต่ผมไม่มีอะไรดีสักอย่าง แล้ว...”

พฤทธิกรแนบริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเด็กหนุ่มมีสีหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ ราวกับมีเสียงเล็ก ๆ ร้องบอกว่าอีกฝ่ายกำลังนึกถึงและจะพูดถึงเรื่องอะไร

“ความดีของคนไม่เกี่ยวกับฐานะความร่ำรวย ความดีไม่เกี่ยวกับหน้าตา ไม่เกี่ยวกับวุฒิการศึกษา ความดีของคนอยู่ที่ไม่ว่าเธอจะเผชิญเรื่องราวร้ายแรงแค่ไหน เธอก็ยังไม่จมสู่ความมืดที่อยู่ในใจ ความดีของเธอคือการที่เธอพยายามใช้ชีวิตในทุก ๆ วันให้มีค่า เธอดีที่สุดแล้ว เธอดีพอสำหรับฉันแล้ว”

ปภินวิชน้ำตาไหล เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมพยักหน้ารับ หัวใจในอกมันพองฟูจนรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะลอยได้ เขายืดตัวขึ้นจูบชายหนุ่มเพราะแค่คำพูดคงอธิบายความรู้สึกของเขาไม่หมด

“เมื่อเราเข้าใจกันดีแล้ว วันที่เธอไปหาคุณแม่ของฉัน ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ ล่ะ”

“คุณแม่คุณฤทธิ์จะทำเหมือนในละครหรือครับ”

“อา...”

“แบบที่ใช้ผมไปซักผ้า ถูบ้าน ทำอาหาร พูดจาดูถูกอะไรแบบนี้”

“ไม่รู้สินะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกไว้ก่อน”พฤทธิกรหยุดพูดเพื่อทำใจและจับสังเกตท่าทีของเด็กหนุ่มเล็กน้อย “คุณแม่ของฉัน เขาบอกให้ฉันพาผู้หญิงคนหนึ่งไปกินข้าววันอาทิตย์นี้”

ปภินวิชนิ่งงันไป จากนั้นจึงก้มหน้าลง

“ฉ...”

“ผู้หญิงคนนั้นสวยหรือเปล่า”

“ก็...”

“คุณจะชอบเธอไหม”คำถามมาพร้อมแววตาสั่นไหวที่จ้องกดดันเขาเพื่อรอคอยคำตอบ

“ไม่ ฉันไม่มีวันชอบผู้หญิงคนนั้น”

เด็กหนุ่มทำท่าถอนหายใจและยกยิ้มออกมา “งั้นไม่เป็นไรครับ คุณต้องพาเธอไปกินข้าวก็ไปเถอะ”

“งั้นเราตกลงตามนี้  เธอไปบ้านฉันเพื่อประจบเอาใจคุณแม่ของฉันหนึ่งวัน ส่วนฉันก็ไปกินข้าวกับผู้หญิงคนนั้นตามที่คุณแม่ของฉันสั่งหนึ่งมื้อ”

“ครับ”ตอบรับแล้วก็พูดว่า งั้นมาจูบสัญญากันเถอะ พฤทธิกรจึงโดนเด็กหนุ่มคนรักรุกเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างกายของเขาเซล้มลงบนฟูกที่นอน โดนระดมจูบจนเหมือนจงใจแกล้ง เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส ครู่หนึ่งต่อมาเสียงหัวเราะได้จางหายไปเมื่อปภินวิชคอยแต่ขบเม้มริมฝีปากของชายหนุ่มซึ่งกลายเป็นเบาะรองรับร่างของตน

เสียงในลำคอดังขึ้นเมื่อจุมพิตเริ่มลึกซึ้งดูดดื่ม เด็กหนุ่มขยับเบี่ยงเอียงใบหน้าหลบปลายจมูกของพฤทธิกร ส่งปลายลิ้นเข้าไปหยอกเย้าและผละออกมา หัวใจของเขาเต้นแรงโครมครามแต่ยังคงย้ำจุมพิตซ้ำ ๆ กระทั่งมือหนากดหลังคอเขาไว้ หลังจากนั้นเขาจึงโดนสูบลมหายใจจนร่างกายอ่อนระทวยหมดเรี่ยวแรง

พฤทธิกรหัวเราะในลำคอเมื่อเด็กหนุ่มคนรักนอนแผละหอบหายใจอยู่บนอก เขาประคองร่างอีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้น อุ้มพาให้หันศีรษะย้ายไปนอนทางหัวเตียง กดจูบบนหน้าผากของอีกฝ่ายอีกครั้ง เมื่อไฟถูกดับลงพวกเขาก็หลับตาเข้าสู่นิทราพร้อมกัน



เด็กหนุ่มสอดส่ายสายตามองทิวทัศน์ข้างทางซึ่งอยู่ภายนอกตัวรถด้วยอาการตื่นเต้นกระสับกระส่าย ถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้านว่างโล่งเรียบเสมอกันไร้หลุมบ่อ สองข้างทางปลูกไม้ประดับ บางพื้นที่โล่งมีแต่หญ้าสนาม บ้านสองชั้นหน้าตาใกล้เคียงกันถูกปลูกเรียงเป็นแถว พอเลี้ยวอีกแยก รูปทรงของบ้านก็เปลี่ยนไปพร้อมอาณาเขตบริเวณที่กว้างขวางตามกำลังทรัพย์ของผู้เป็นเจ้าของ

รถยนต์ถูกบังคับเลี้ยวผ่านประตูรั้วอัลลอย วิ่งตรงเข้าไปเลี้ยววนตามวงเวียนน้ำพุก่อนจะไปหยุดจอดที่หน้าบ้าน พฤทธิกรเปิดประตูรถพลางดึงมือให้ปภินวิชลงจากรถยนต์มาพร้อมกัน  แววตาของเด็กหนุ่มยังมีประกายสดใสแม้จะแฝงไปด้วยความหวั่นประหม่า กวาดมองสำรวจรอบกายเมื่อหันสายตาไปสบกับชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็ยกยิ้มให้

พฤทธิกรตบหลังมือที่เขากุมไว้เป็นการให้กำลังใจ จากนั้นจึงดึงให้เด็กหนุ่มเดินตามเข้าไปด้านใน พาเดินตรงไปยังห้องอาหารซึ่งถูกตกแต่งด้วยสีโทนสว่างตัดกับโต๊ะหินแกรนิตสีทึบตัวยาวขนาดยี่สิบที่นั่ง ผ้าม่านกันแดดสำหรับผนังกระจกถูกรวบเก็บไว้ทั้งสองด้าน กระนั้นแสงสีส้มนวลในห้องยังมาจากด้วยดวงไฟดาวไลต์และโคมระย้า

ที่นั่งซึ่งถูกใช้งานมีแค่เก้าอี้สองตัวทางฝั่งหัวโต๊ะเท่านั้น พฤทธิกรจึงพาเด็กหนุ่มเดินไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับมารดา หลังยกมือไหว้ทักทาย เขาจึงแนะนำคนที่พามาด้วยให้บุพการีทั้งสองได้รู้จัก

“นี่ปลาครับ แฟนผมเอง”

ปภินวิชยกมือไหว้ทั้งสองซ้ำอีกครั้ง

ทั้งบิดาและมารดาวางช้อนสำหรับทานอาหารลงตั้งแต่พวกเขาดึงเก้าอี้ แต่เมื่อแนะนำเด็กหนุ่ม ทิพปภายิ่งตวัดสายตาจ้องจับผิดใส่เจ้าของชื่อ ปภินวิชถึงกับยกยิ้มแหย

“กินอะไรมาหรือยัง กินข้าวด้วยกันก่อนนะ”ดรัสพงศ์ไม่สนใจอาการของภรรยา หันไปสั่งแม่บ้านให้ยกอาหารมาเสิร์ฟหลังจากที่ลูกชายพยักหน้าตอบรับ

โจ๊กปลาเก๋าถูกนำมาวางให้ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เนื้อปลาสีขาวถูกวางเด่นอยู่ด้านบนโรยด้วยขิงซอยและต้นหอมซอย มีถ้วยใส่ปาท่องโก๋ชิ้นเล็ก ๆ แยกออกมาต่างหาก ปภินวิชนั่งรอจนกระทั่งโดนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะกิด ถึงได้ลงมือทานอาหาร

“แล้วนี่คือพาแฟนมาแนะนำเฉย ๆ หรือยังไง”ชายสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถามต่อ

“ฉันบอกให้พามาเองค่ะ”ทิพปภาเอ่ยตอบแทรกขึ้นมา เสียงกระด้างจนเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนข้าวกำลังติดคอ เขาถึงต้องขยับช้อนให้ช้าลงอีก

“ชื่ออะไรนะ”เสียงถามเป็นของดรัสพงศ์แต่คำถามนั้นส่งตรงไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างลูกชาย ปภินวิชที่คอยระวังตัวอยู่แล้วจึงรีบกลืนอาหาร และอ้าปากตอบ

“ชื่อเล่นชื่อปลาครับ ชื่อจริงปภินวิช”

“แล้วตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ล่ะ”

คำถามต่อมาทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย พฤทธิกรหันมาสบตาก่อนหันไปตอบบิดาว่า “ตอนนี้ปลาเขาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ที่สำนักงานครับ เพิ่งลงเรียนกศน. ไปไม่นาน ปีหน้าคงจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“หือ แล้วตอนนี้อายุเท่าไหร่ล่ะ”

“สิบเก้าครับ”คราวนี้ปภินวิชพูดตอบเอง จากนั้นดรัสพงศ์จึงถามถึงสาเหตุที่ไม่ได้เรียนต่อ และเรื่องอื่น ๆ อีกเล็กน้อยระหว่างที่ทานอาหารไปพลาง ใบหน้าเจ้าของคำถามยังนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ อาการเกร็งเครียดของเด็กหนุ่มจึงไม่ลดลงง่าย ๆ กระนั้นเขาก็ฝืนทานอาหารจนหมดเพราะถึงอย่างไรกองทัพย่อมต้องเดินด้วยท้อง

“เออ... ฤทธิ์ แกไปที่ห้องทำงานกับพ่อหน่อย”

คำพูดประโยคนั้นดังขึ้นเมื่อสิ้นสุดมื้ออาหาร หัวใจของปภินวิชเต้นกระหน่ำหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที เหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยื่นมือมาบีบมือของเขาที่วางอยู่บนตักก่อนลุกเดินออกไป แล้วหันเหสายตากลับมามองหญิงสูงวัยตรงหน้า

“ไม่ต้องเครียด หนูปลา ป้าไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดพาหนูไปฆ่าแกงเสียหน่อย”เธอยกยิ้มคล้ายเอ็นดู พลางพยักพเยิดให้เขาลงมือทานผลไม้ตรงหน้าต่อ

“แล้วที่ว่าไปช่วยงานตาฤทธิ์ที่บริษัท หนูทำอะไรล่ะ”

“เป็นพนักงานทำความสะอาดครับ”เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเมื่อเทียบกับชายหนุ่มคนรัก มันยังดูด้อยกว่าไม่คู่ควรอยู่ดี อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มได้สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมองอย่างรวดเร็ว เพราะการดูถูกตัวเองก็เหมือนจะเป็นการดูถูกความคิดของพฤทธิกรด้วย

“แต่ก่อนผมทำงานเป็นพนักงานขายในห้างของคุณฤทธิ์ครับ”เด็กหนุ่มกล่าวต่อ “แต่น้องสาวผมมีปัญหาด้านสุขภาพ คุณฤทธิ์เลยให้ออกมาดูแลน้องสาวน่ะครับ”

ก่อนมาที่นี่ พวกเขาทั้งคู่คุยกันแล้วว่า จะไม่กล่าวถึงเรื่องการเจ้ากี้เจ้าการของหลานชายคุณฤทธิ์อย่างกวีวัธน์ พฤทธิกรให้เหตุผลว่ามันจะทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กหนุ่มก็เห็นด้วย ถ้าพ่อแม่ของพฤทธิกรรู้ว่าเขาเคยตัดสินใจขายตัว คงจะมองเขาแย่ลงกว่าเดิม

“อ้อ แล้วตอนนี้น้องสาวเป็นอย่างไรบ้างละจ๊ะ”

“อาการดีขึ้นมากแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็ถึงกำหนดรับยาเคมีบำบัดอีกครั้ง”เมื่อกล่าวถึงน้องสาว ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วนี่อยู่กันอย่างไร อยู่กับน้องสองคนหรือ”

“ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่คอนโดคุณฤทธิ์ครับ”

“อ้อ...”ทิพปภาลากเสียงยาว “มาเกาะดูดเงินจากตาฤทธิ์เอาทุกทางเลยสินะ”

เด็กหนุ่มตัวชาวาบขณะที่คนพูดยังยกยิ้มมีเมตตาอยู่เช่นเดิม เขากลืนน้ำลายลงคอสูดลมหายใจ ลดมือซึ่งเคยจับช้อนส้อมสำหรับทานผลไม้ ลงมาไว้ใต้โต๊ะพลางบีบกุมมือที่เริ่มออกอาการสั่นของตนจนแน่น สูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อปลุกปลอบกำลังใจของตัวเอง

“ผมทราบครับ ว่ารบกวนคุณฤทธิ์หลายเรื่อง”ปภินวิชยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นเดิม “ถ้ามีโอกาส ผมต้องตอบแทนบุญคุณของคุณฤทธิ์แน่นอนครับ”

“ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ดีใจ อย่างน้อยหนูปลาก็รู้จักสำนึกบุญคุณคน”หลังจากนั้นทิพปภาจึงทานผลไม้ในจานของตัวเองต่อไปโดยไม่คิดจะชวนเด็กหนุ่มพูดคุยอีก ทั้งปล่อยให้คู่สนทนานั่งก้มหน้าอยู่เช่นนั้นกระทั่งพฤทธิกรเดินกลับมา

“ผมคงต้องไปทำงานก่อนนะครับ”ชายหนุ่มเอ่ยบอกมารดา เมื่อหญิงสูงอายุลุกขึ้นยืน ปภินวิชจึงลุกออกจากเก้าอี้ด้วย

“วันนี้เราพาหนูปลาไปทำงานด้วยเหมือนเดิมเถอะ ไว้ว่าง ๆ แม่ขอชวนน้องเขาไปเที่ยวบ้างได้หรือเปล่า”ทิพปภาเดินเข้าไปหาลูกชายพร้อมแสร้งทอดสายตาเอื้อเอ็นดูไปให้คนรักของลูกชาย ซึ่งอากัปกิริยาที่แสดงออกนั้นทำให้พฤทธิกรแปลกใจกับท่าทีของมารดา แต่เมื่อหันไปมองเด็กหนุ่มคนรัก ปภินวิชกลับยกยิ้มรับแม้จะดูแปร่งแปลกอยู่บ้างก็ตาม

“คุณแม่โทรมาบอกก่อนละกันนะครับ ว่าจะไปไหนวันไหน”

“อะไรกัน หนูปลาเขางานยุ่งขนาดนั้นเชียว”เธอกล่าว ขณะที่พวกเขาพากันเดินออกมาจากห้องอาหาร

“ไม่ใช่หรอกครับ เผื่อผมจะได้ไปด้วย”

“เพราะเรานี่เอง”เธอพูดพร้อมฟาดมือลงบนท่อนแขนลูกชาย “น้องเขาถึงได้ทำท่ากลัวแม่มากนัก แม่ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มารเสียหน่อย”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ทิพปภาเห็นสีหน้ากังขาของลูกชาย เธอจึงกล่าวต่อพร้อมกับรุนหลังเด็กหนุ่มซึ่งเดินรั้งท้ายเข้ามาใกล้ “วันก่อนก็ส่วนวันก่อน หนูปลาเขาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูดี จะให้แม่พูดว่าอะไร”

“ครับ”พฤทธิกรพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงยกมือไหว้ขอตัวลา ปภินวิชซึ่งเงียบฟังสองแม่ลูกคุยกัน ยกมือไหว้เช่นเดียวกัน ทิพปภายังยกยิ้มให้เขาเช่นเดิม เด็กหนุ่มจึงรู้สึกคลายใจลง เดินตามการจับจูงของพฤทธิกรกลับไปขึ้นรถ

พ้นจากสายตาของมารดาแล้ว เขาจึงเอ่ยถามคนรักว่า “คุณแม่คุยอะไรกับเธอบ้าง”

“ก็... เรื่องทั่วไปครับ เรื่องปุ้ย เรื่องงานที่ทำ”ปภินวิชเลี่ยงตอบเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มกังวล แม้บางคำพูดของทิพปภาจะกระทบใจ แต่มารดาของชายหนุ่มก็ใช่ว่าจะตั้งท่ารังเกียจเขาจริงจัง ปภินวิชคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

พฤทธิกรนิ่งมองสังเกตเด็กหนุ่มที่หลุบสายตาลงต่ำอยู่ชั่วเสี้ยววินาที ก่อนอีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของคนตรงหน้าซึ่งได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเช่นทุกคราว กระนั้นชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าประกายนัยน์ตาสีดำคู่นั้นดูหมองมัวลง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//คุณแม่ของน้าฤทธิ์เป็นคนดีนะ เขาก็รักลูกเขาแหละ//*

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูท่าว่าทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอะไรอีกเยอะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มนุษย์แม่ส่วนใหญ่ก็อย่างนี้แหละ
ชอบเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคู่ครองของลูก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
« ตอบ #109 เมื่อ: 16-12-2017 19:13:48 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เหนื่อยหน่อยนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อุปสรรคเยอะแต่ทั้งสองก็ยังเข้าใจกันดี o13

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
21



วันอาทิตย์ที่พฤทธิกรต้องพานัยน์ภัคไปกินข้าวตามคำสั่งมารดามาถึงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพอดีตัวสีออกเทาฟ้า ผ้าเนื้อหนาแต่นุ่มและระบายอากาศได้ดี สวมคู่กับกางเกงสแลคสีดำ การแต่งตัวของเขาค่อนข้างเป็นทางการเพราะพฤทธิกรไม่อยากให้หญิงสาวที่เขาต้องไปทานข้าวด้วยคิดว่าเป็นการนัดเดต

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มคนรักกลับหน้าคว่ำทันทีที่เขาเปิดประตูออกมาจากห้องแต่งตัว

ปภินวิชนั่งกอดหมอนใบหน้างอง้ำอยู่บนเตียง

“คุณฤทธิ์หล่อเกินไปแล้ว”อีกฝ่ายต่อว่าเสียงเขียวจนเขาต้องเดินเข้าไปหา เมื่อทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง เด็กหนุ่มก็ขยับตัวหันมาเผชิญหน้าพร้อมทำจมูกฟุดฟิด “ใส่น้ำหอมเสียฟุ้งเลย ที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงนั้นน่ะ โกหกใช่ไหม”

ชายหนุ่มยิ้มเหลอหลาด้วยความแปลกใจในแว็บแรก ก่อนจะต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อนึกได้ว่าอาการที่เด็กหนุ่มเป็นอยู่คงเรียกว่า ‘หึง’

“หล่อที่ไหนกัน ฉันแค่แต่งตัวสุภาพตามปกติ”

คนฟังจ้องเข้าเขม็งทำปากยื่นจนเขาต้องโน้มหน้าเข้าไปงับปากหยอกเย้าอย่างอดไม่ได้ กระนั้นปภินวิชก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอารมณ์ดีขึ้น เด็กหนุ่มกอดหมอนไว้แน่เพราะกลัวตัวเองจะเผลอยื่นมือออกไปขยี้ศีรษะอีกฝ่ายหรือกระชากรั้งเสื้อที่ชายหนุ่มสวมเพื่อให้คนตรงหน้าดูน่าเกลียดเพิ่มขึ้น เมื่อได้แต่จินตนาการ ปภินวิชจึงสะบัดหน้าหนี

พฤทธิกรขยับเข้าไปใกล้ ดึงหมอนที่เด็กหนุ่มกอดไว้ออก จากนั้นดึงให้อีกฝ่ายมานั่งบนตัก ท่อนแขนเรียวบางถูกเจ้าตัวยกขึ้นคล้องเกี่ยวรอบคอเขาไว้แทบจะทันทีพร้อมใบหน้าที่ซุกซบอยู่แถวลาดไหล่ เขาแนบจูบลงกับกลุ่มผมนุ่มพลางเอ่ยว่า

“ฉันรักเธอคนเดียว ไม่มองผู้หญิงคนไหนอีกแน่นอน”

“แต่คุณฤทธิ์กำลังล่อลวงให้ผู้หญิงคนนั้นให้มาชอบ”ปภินวิชเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าทันที เขายกยิ้มตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระว่า

“มีแฟนหล่อก็ต้องทำใจนะ”

เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบ ๆ นึกคำเถียงกลับไม่ออก “ผมจะเอาครีมบำรุงผิวของคุณฤทธิ์ไปทิ้งให้หมดเลย”

“อย่านะ!!!”ชายหนุ่มร้องห้ามจริงจัง “มันแพง อย่าเพิ่งเอาไปทิ้งเลย เอาไว้ฉันใช้หมดแล้วจะไม่ซื้อมาใช้อีก ตกลงไหม”

“น้ำหอมด้วยนะ”

“เธอไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมที่ฉันใช้หรือ”คนถามตีหน้าซื่อทั้งที่นัยน์ตาวาวระยับ

ปภินวิชย่นจมูกทำเหมือนไม่ชอบใจ ทั้งที่จริงกลิ่นน้ำหอมบนตัวของชายหนุ่มก็ทำให้เขาใจเต้นเหมือนกัน เพราะอย่างนี้เขาถึงคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องตกหลุมรักคุณฤทธิ์ของเขาแน่ ๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งหน้างอยิ่งกว่าปลาทูแม่กลอง

“ไม่อยากให้ไปแล้ว”เขาร้องบอก โถมกอดรัดอีกฝ่ายไว้

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่นอกใจแน่นอน ไม่ให้ความหวังกับผู้หญิงคนนั้นด้วย”พฤทธิกรบอกย้ำ มองเด็กหนุ่มที่ผละออกห่างพร้อมทั้งปลดกระดุมเสื้อของเขาสองเม็ดบนออก เจ้าตัวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่งก็ติดกระดุมไว้เหมือนเดิม จนเขาต้องเอ่ยถาม

“อะไรหรือ”

“ผมอยากจะกัดคอคุณทำรอยไว้ แต่กลัวคุณเจ็บเลยคิดว่าไม่ทำดีกว่า”

“คิสมาร์ก?”

“ทำไม่เป็น”เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธกลับไปทันที พฤทธิกรจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ยังมีเวลาเหลือลองทำดูไหม”เขาพูดอย่างนึกสนุก กระนั้นกลายเป็นว่า คนที่อยากทำรอยให้เขากลับหน้าเหลอขึ้นมาเสียเอง

พฤทธิกรหัวเราะ

“ถ้าไม่ทำ งั้นฉันไปแล้ว”

“ทำครับ ทำ”

ถึงปภินวิชจะไม่รั้งไว้ เขาก็ลุกขึ้นไม่ได้อยู่ดีเพราะอีกฝ่ายยังนั่งนิ่งอยู่บนตัก ครั้งนี้เขาปลดกระดุมเสื้อแล้วชี้จุด ถึงจะยอมให้อีกฝ่ายทำรอยได้ แต่ถ้ามันเห็นชัดดูโจ่งแจ้งเหมือนจงใจให้เห็นก็ไม่ใช่ว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ดี

“ใช้ปากดูดแล้วก็เม้มนิด ๆ”เขาพูดแนะนำ ปภินวิชพยักหน้าด้วยท่าทางแข็งขัน แนบริมฝีปากลงไปในขณะที่เขาเอียงคอเงยหน้าเปิดทางให้เต็มที่

ครู่ต่อมา เด็กหนุ่มก็ผละออกห่างพร้อมมุ่ยหน้า “ไม่เห็นเป็นรอยเลย” เขาปล่อยให้เจ้าตัวลองอีกที แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นที่พอใจ ใบหน้าน่ารักนั้นจึงยุ่งเป็นปม พฤทธิกรจึงบอกว่าจะลองสาธิตให้ดู

ทว่าเพียงแค่ชายหนุ่มแนบริมฝีปากและปลายลิ้นลงมา ปภินวิชก็เสียววาบในท้องน้อย สองมือขยำขยุ้มแขนเสื้อของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว จากนั้นรู้สึกเจ็บจี๊ดแต่ปนไปด้วยความรู้แปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูก ดังนั้นเมื่อพฤทธิกรผละห่างออกไปแล้วเขาจึงยังก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น พร้อมรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าที่มากกว่าปกติ

“ลองไปส่งกระจกดูสิ”

เหมือนได้โอกาส เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องเสื้อผ้าของชายหนุ่ม ตรงไปยังหน้ากระจกบานใหญ่ ร่องรอยที่พฤทธิกรทำให้เป็นตัวอย่างสาธิตอยู่ในที่มิดชิดต่ำกว่าคอเสื้อยืด มันเป็นรอยแดงต่างจากผิวปกติอย่างชัดเจน แต่เพียงแค่นึกถึงเขาก็รู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว

เขาเดินกลับออกมาโดยลืมเรื่องรอยคิสมาร์กที่คิดจะทำให้พฤทธิกรไปเสียสนิท “คุณฤทธิ์รีบกลับนะครับ”

พฤทธิกรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ กระนั้นกลับพยักหน้ารับแต่โดยดี ลุกขึ้นยืน คว้ามือเด็กหนุ่มพร้อมจูงให้เดินออกไปด้านนอกพร้อมกัน “คิดว่าบ่าย ๆ ก็น่าจะได้กลับแล้วล่ะ”เขาหยุดยืนที่หน้าประตูห้อง เปิดตู้รองเท้าหยิบรองเท้าหนังสีดำออกมาสวม

“จะออกไปไหน ให้ชวนพุฒิไปด้วยทุกครั้งนะ”เขาสั่งความอีกประโยค คนฟังพยักหน้า

พื้นที่โถงทางเดินในห้องพักบริเวณหน้าประตูมีเหลี่ยมผนังกันสายตาเด็กสาวผู้อาศัยอีกหนึ่งคนในห้องซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ชุดโซฟา เขาจึงไม่ลังเลที่จะกดจูบบนหน้าผากเนียนของเด็กหนุ่มคนรัก ตามด้วยการแตะสัมผัสลงที่ริมฝีปากก่อนเปิดประตูออกไปด้านนอก

นัดครั้งนี้เขาให้ธนาตามไปเป็นคนขับรถให้  โดยไปรับหญิงสาวที่บ้านของเธอ และไม่ได้ไปหามารดาก่อน ถึงกระนั้นพฤทธิกรก็ไม่รู้ว่า นัยน์ภัครับรู้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าเธอไม่รู้กำหนดนัดหมาย เขาจะชิ่งขอตัวกลับ

“ธนาแวะร้านนั้นก่อน”เขาเอ่ยบอกเมื่อเห็นป้ายร้านขนมโฮมเมดมาแต่ไกล พร้อมส่งเงินให้บอดี้การ์ดหนุ่ม “ขนมอะไรก็ได้ที่หน้าตาดูดี”

ธนารับเงินและเปิดประตูลงไปจากรถ ระหว่างนั้นชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเข้าแอปพลิเคชันเพื่อส่งข้อความคุยกับคนรัก เวลาผ่านไปไม่นานนัก บอดี้การ์ดพ่วงตำแหน่งคนขับรถก็ถือถุงพลาสติกสีขุ่นพิมพ์ตราโลโก้ร้านเดินกลับมา เขาเปิดประตูฝั่งคนขับ ยื่นถุงขนมไปวางที่เบาะข้างและส่งเงินทอนกลับไปให้เจ้านาย

“นายเก็บไว้เถอะ”

ธนาก้มศีรษะรับพร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงหันไปจับพวงมาลัย เข้าเกียร์และเหยียบคันเร่ง

ถึงจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แต่รถยนต์บนท้องถนนยังหนาแน่นเช่นเดิม พวกเขาใช้เวลาเดินทางไปเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านของนัยน์ภัคซึ่งแทรกตัวอยู่ในหมู่ตึกอาคารแถวย่านกลางเมือง

คนที่มาเปิดประตูรั้วของบ้านให้เป็นสาวใช้ที่สังเกตดูจากหน้าตาแล้ว น่าจะไม่เกิดยี่สิบหรือยี่สิบต้น ๆ ธนาเป็นคนกดกระจกลงเพื่อแจ้งขอพบเจ้าของบ้าน ก่อนจะบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนเข้าไปด้านใน ระยะทางจากประตูรั้วจนถึงตัวบ้านห่างกันโดยใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่กี่นาที และเมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิท พฤทธิกรจึงเปิดประตูออกไปยืนด้านนอก มีธนาที่กระวีกระวาดตามออกมาส่งขนมมาให้เขาถือ

“อุ๊ย! คุณฤทธิ์แวะมาเยี่ยมอาหรือคะ”มารดาของนัยน์ภัคเป็นคนออกมาต้อนรับ ประโยคทักทายนั้นทำให้เขาอยากจะตบเข่าร้องบอกว่าเข้าทางทันที

“ครับ  บังเอิญขับรถผ่านร้านขนมเจ้าหนึ่งที่อร่อยมากน่ะครับ ผมเลยซื้อขนมเอามาฝาก”

ทว่าประโยคตอบรับและรอยยิ้มของเขากลับทำให้หญิงเจ้าของบ้านหน้าเจื่อนลงชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะปั้นยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งเอ่ยชวนให้เข้าไปทานน้ำทานขนมด้านใน

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ พอดีว่าผมจะไปทำธุระอื่นต่อ ถ้าอย่างไรผมขอตัวก่อนนะครับ”พฤทธิกรรีบยกมือไหว้บอกลาพร้อมรีบก้าวเท้าเข้าไปในรถ ซึ่งธนาก็คล่องแคล่วทันใจเพราะทันทีที่เขาดึงประตูรถปิดสนิท บอดี้การ์ดหนุ่มได้เหยียบคันเร่งออกตัวทันควัน

เพียงแต่... รถยนต์ที่เขานั่งยังไม่ทันได้พ้นจากซอยทางเข้าบ้านของนัยน์ภัค เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ซึ่งปลายสายเป็นมารดาของเขากลับดังขึ้นเสียก่อน

“ฮัลโหลครับ”พฤทธิกรรับสายด้วยน้ำเสียงปกติ

“ถึงไหนแล้วล่ะ”

“ใกล้จะถึงบ้านคุณแขแล้วครับ”

“อ้อเหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้คุณจันทร์ถึงโทรบอกว่าเราเอาขนมไปให้เขา แล้วก็รีบแจ้นออกไปเลยล่ะ”

“คุณอาจันทร์เขาโทรฟ้องคุณแม่หรือครับ”ชายหนุ่มถามกลับ ขยับช่องลำโพงเงี่ยหูฟังเสียงอึกอักเมื่อปลายสายเงียบนิ่งไปสองสามวินาที

“เปล่า” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เขาเหมือนได้ยินเสียงปฏิเสธที่สูงกว่าปกติ “แม่บังเอิญโทรไปหาคุณจันทร์พอดี แล้วเขาก็บอกว่าเราเพิ่งเข้าไปหา  อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”มารดาเสียงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นมา “แม่ให้เราไปรับหนูแขไปกินข้าว นี่อะไรเอาขนมมาไปให้เขาแล้วก็กลับออกมาเนี่ยนะ”

“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าติดธุระนิดหน่อยนะครับ”เขากลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ฤทธิ์ตั้งใจจะเบี้ยวแม่เหรอ เรื่องแฟนเรา แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วนะ”

ได้ยินสิ่งที่มารดาพูดแล้วพฤทธิกรอยากจะถามกลับไปนัก ถ้าไม่ว่า... ทำไมจะต้องให้เขาไปกินข้าวกับผู้หญิงอื่นอีก แต่ราวกับทิพปภาได้ยินเสียงในใจของลูกชาย เธอจึงกล่าวต่อ “เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มันไม่แน่ไม่นอนเสียหน่อย ถ้าเราได้คุยกับหนูแขจริงจัง เราอาจจะชอบหนูแขมากกว่าแฟนเด็กก็ได้”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้ว จะไปรับคุณแขเขาไปทานข้าวละกัน”พฤทธิกรพูดอย่างไร้อารมณ์ “อ้อ... คุณแม่คงไม่ลืมใช่ไหมครับ ว่าผมรังเกียจผู้หญิงที่จ้องจะจับผมโดยพยายามเข้าหาทางคุณแม่มาก”

“ย่ะ ฉันไม่ลืม”ปลายสายประชดเสียงแข็งก่อนตัดสายไป ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ

เนื่องจากมารดาของเขาไม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่ตนไม่รู้จักที่มาที่ไปมาก่อน และเขาก็ไม่ชอบใจกับการโดนจับคู่ให้คบหากับผู้หญิงที่ตนไม่ได้เลือก หลังผ่านความกระอักกระอ่วนมึนตึงช่วงที่เขาคบกับแฟนคนแรกมาได้ ระหว่างเขากับมารดาจึงเหมือนมีข้อตกลงที่รู้กันอย่างลับ ๆ ว่าเขายินดีที่จะลองพูดคุยกับหญิงสาวที่มารดาแนะนำให้ แต่จะคบด้วยหรือจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา

เมื่อก่อนนั้น มีผู้หญิงคนบางคนที่เข้าหามารดาออกหน้าออกตาเพื่อมุ่งหวังจะคบหาแต่งงานกับเขา ซึ่งชายหนุ่มเคยหักหน้าปฏิเสธให้ได้อายในวงสังคมมาแล้ว มารดาของเขาจึงค่อนข้างระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ กระนั้นท่านก็ยังแอบเชียร์เปิดทางช่วยผู้หญิงบางคนที่ถูกใจ แม้พฤทธิกรจะรับรู้ว่าผู้เป็นมารดาพยายามจับคู่ให้ แต่เขาก็ไม่คิดเอะอะกระโตกกระตากเนื่องด้วยเขายังโสด แต่ ณ ปัจจุบันนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว

พฤทธิกรถือว่าตนบอกกล่าวไปแล้ว ในเมื่อมารดายังคิดคะยั้นคะยอส่งเสริมผู้หญิงคนอื่นมาให้ ก็มาคอยดูกันว่าผู้หญิงที่มารดาถูกชะตาจะทนได้สักกี่น้ำ

“ธนาเดี๋ยววนรถกลับไปรับคุณแขนะ”เขาพูด ส่วนมือกดโทรศัพท์ส่งข้อความให้เลขาสาวช่วยจองร้านอาหารให้ “เดี๋ยวคุณก้อยจะส่งแผนที่ร้านอาหารมาให้ก็ไปร้านนั้น”



ร้านอาหารที่สุธาณีหามาให้อยู่ถึงสมุทรสาคร เป็นร้านอาหารทะเลที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากปากแม่น้ำท่าจีน เพราะฉะนั้นกว่าที่จะเดินทางถึงร้าน เวลาได้ล่วงผ่านเข้าบ่ายโมงไปแล้ว ที่เลขาสาวอุตส่าห์หาร้านอาหารริมทะเลมาให้ นั่นก็เป็นเพราะคำสั่งของเขาเช่นเดียวกัน

ระหว่างที่เดินทางมา พฤทธิกรได้แต่นั่งหลับตาพิงเบาะนิ่ง แม้เมื่อตอนที่รถยนต์เพิ่งออกตัวเดินทาง นัยน์ภัคจะพยายามชวนเขาคุย แต่เขาปฏิเสธแสดงออกให้หญิงสาวเห็นชัดว่าเขาไม่ได้อยากคุยด้วย จากนั้นในห้องโดยสารของรถยนต์จึงเงียบกริบไร้เสียงสนทนาตลอดระยะเวลาการเดินทาง

ร้านอาหารริมทะเลแห่งนั้นเป็นอาคารชั้นเดียว บันไดทางขึ้นด้านหน้าคล้ายบ้านเรือนทั่วไป ด้านในเป็นโรงกว้างมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงเต็มพื้นที่ซึ่งล้วนมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารเกือบทุกโต๊ะสำหรับโซนที่นั่งในร่ม นอกจากนี้ทางร้านยังมีสะพานทางเดินยื่นล้ำไปในทะเลให้ลูกค้าได้เดินไปนั่งเล่นชมวิว และถึงแม้จะเป็นช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัด กระนั้นลมทะเลยังพัดโชยอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศยามเย็นคงสวยกว่านี้ เพราะเขาเห็นทางร้านมีพื้นที่กลางแจ้งไว้ให้บริการด้วย

พฤทธิกรคิดวางแผนว่า ครั้งหน้าเขาจะพาสองพี่น้องมาทานข้าวเย็นที่นี่

โต๊ะที่สุธาณีจองไว้ให้อยู่ในส่วนพื้นที่ในร่มซึ่งเมื่อนัยน์ภัคเห็นที่ตั้งเธอก็ชักสีหน้าทันที

“มีอะไรหรือครับ”

เธอพยายามยิ้มเจื่อนให้เขา “แขเห็นว่ามีห้องแอร์ด้วยนี่คะ เราย้ายเข้าไปนั่งในนั้นกันดีไหมคะ”

“ครับ”เขาพยักหน้ารับ นัยน์ภัคจึงยิ้มกว้างขึ้นอีก “ถ้าคุณแขอยากนั่งด้านในก็เชิญครับ แต่ผมตั้งใจมาทานที่ร้านอาหารริมทะเลเพราะอยากนั่งทานอาหารไปพลาง สัมผัสลมทะเลไปพลาง”

เขาทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ให้ความสนใจกับหญิงสาวอีกพร้อมกับเรียกธนาให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน จากนั้นจับรับเมนูมาเปิดดูรายการด้านใน

นัยน์ภัคอยากกระทืบเท้าแสดงอาการขัดใจให้ชายหนุ่มรับรู้เหมือนกัน แต่เพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางยอมง้อเอาใจเธอ หญิงสาวจึงจำต้องเดินไปดึงเก้าอี้ทรุดตัวลงนั่งข้างเขา เธอเหลือบมองชายหนุ่มทั้งสองคนที่เริ่มคุยกันเองราวกับไม่มีเธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย นัยน์ภัคกลอกตา กัดฟันข่มอารมณ์ขุ่นเคืองไม่พอใจ ก่อนหันไปฉีกยิ้มกับสองหนุ่มพยายามพาตัวเองเข้าไปร่วมวงสนทนา



ยิ่งตะวันคล้อยต่ำลงเท่าใด ภายในใจของปภินวิชยิ่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขมากเท่านั้น เขานั่งซึมอยู่หน้าโทรทัศน์กับน้องสาว ในมือถือโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องใหม่ซึ่งพฤทธิกรเป็นผู้ซื้อให้ กำลังเปิดหน้าต่างข้อความที่คุยกับชายหนุ่มคนรักเมื่อช่วงกลาง เลื่อนอ่านทวนซ้ำอีกรอบเนื่องจากอีกฝ่ายเงียบหายไปเลยตลอดบ่าย

ไม่ใช่ว่า คุยกับผู้หญิงคนนั้นอย่างสนุกสนานอยู่ล่ะ เขาบ่นอยู่ในใจพลางกดกลับมาหน้าสมุดโทรศัพท์อีกรอบ เขาอยากโทรหาแต่ถ้าโทรศัพท์ไปทั้งที่อีกฝ่ายไม่สะดวกตอบข้อความ มันก็เหมือนพวกผู้หญิงที่ขยันโทรจิกแฟนนั่นแหละ เพราะคิดอย่างนั้น เด็กหนุ่มถึงต้องพยายามหักห้ามใจเอาไว้

เขาลุกขึ้นยืน บอกน้องสาวว่าจะไปซื้อของ ปวันรัตน์จะตามมาด้วย แต่เมื่อครู่เขายังเห็นเธอจ้องหน้าจอทีวีตาเขม็งจึงบอกว่าไม่ต้องหรอก

“ไม่ได้หรอกค่ะ ไปด้วยกันดีกว่า”เด็กสาวกล่าวย้ำพร้อมลุกขึ้นยืน

ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกคนก็พร้อมใจกันดูแลเขาเป็นพิเศษไม่เว้นแม้แต่น้องสาวที่ยังต้องรักษาอาการของโรคร้าย แต่ครั้งนี้เขาให้เธอไปด้วยไม่ได้จริง ๆ

“เดี๋ยวพี่ไปชวนพี่พุฒิ ปุ้ยไม่ต้องไปหรอก”

“เอางั้นเหรอ”

เขาพยักหน้ารับ เดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงินซึ่งกระเป๋าใบนี้ พฤทธิกรก็เป็นคนซื้อให้เขาเมื่อครั้งที่ไปห้างสรรพสินค้าด้วยกันคราวก่อน

ปภินวิชออกจากห้องและเดินผ่านห้องพักของบอดี้การ์ดไปหน้าตาเฉย เขาลงลิฟต์ไปถึงชั้นล่างเดินออกไปหน้าคอนโดแล้วด้วยซ้ำ แต่ต้องกลับขึ้นมาเคาะประตูเรียกพุฒิพงศ์อีกครั้งเนื่องจากเกิดอาการกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ ส่วนทีแรกที่เขาไม่ได้เรียกให้พุฒิพงศ์ไปด้วยเพราะไม่อยากให้ใครเห็นของที่เขาต้องการซื้อ เพียงแต่ความรู้สึกกลัวการก้าวเท้าเดินบนฟุตบาทด้านนอกนั่นมากมายกว่าความอาย เขาจึงต้องย้อนกลับขึ้นมา

เด็กหนุ่มถือตะกร้าไปเลือกซื้อของสดสองสามอย่างก่อนวนกลับยังชั้นวางสินค้าแถวหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ เขาหยิบของที่ต้องการซื้อขึ้นมาดูโดยพยายามทำหน้าเรียบ ๆ เฉย ๆ และตั้งมั่นว่าจะไม่หันไปสบตากับพุฒิพงศ์เด็ดขาด แต่กระนั้นก็เผลออดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง เห็นบอดี้การ์ดหนุ่มกำลังก้มหน้าสนใจขนมจำพวกช็อกโกแลตกับลูกอม เขาจึงหันกลับมามองของที่ต้องการอย่างเดิม พลางยกมือขึ้นกำประกอบการกะประมาณก่อนจะรีบลดมือลงเพราะรู้สึกเขินอายขึ้นมา จากนั้นจึงรีบหยิบสินค้าลงตะกร้า

ฝ่ายพุฒิพงศ์ซึ่งตามมาคอยดูแลเด็กหนุ่ม แม้ว่าเขาทำท่าเหมือนสนใจสินค้าอื่นก็ตามแต่ความจริงแล้ว หลังจากปภินวิชหันกลับไป เขาได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาจับภาพเด็กหนุ่มพร้อมส่งต่อภาพเหล่านั้นไปให้เจ้านาย เขายกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเคอะเขินของคนที่กล้องกำลังจับภาพอยู่หน้าจอ และนึกอยากเห็นหน้านายจ้างยามที่ได้เห็นภาพพวกนี้ขึ้นมาติดหมัด

เมื่อสังเกตว่าปภินวิชกำลังจะหันกลับมา บอดี้การ์ดหนุ่มจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วและแนบเนียน เขารู้สึกว่าใบหน้าเนียนใสของเด็กหนุ่มกำลังกลายเป็นสีแดงจาง ๆ กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยทักออกไปนอกจากอยากจะยกกล้องของโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดถ่ายภาพอีกสักรูปสองรูป

ปภินวิชนำสินค้าออกจากตะกร้าวางลงบนเคาน์เตอร์ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งมาด้วยกัน เดินเลี่ยงไปยืนอีกฝั่งเพื่อรอรับถุงใส่ของ เด็กหนุ่มพยายามตีสีหน้านิ่งเฉยยามที่พนักงานอมยิ้มเหลือบตามองเขาสลับกับบอดี้การ์ดหนุ่มข้างกายซึ่งอยู่ในชุดลำลองอย่างเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงยีน จนปภินวิชต้องเหล่มองพลางขอโทษขอโพยในใจก่อนจะยื่นเงินให้พนักงาน

“คุณหนูไม่ลืมอะไรแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มชะงักกับคำเรียกขานของพุฒิพงศ์ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากพูดกับเขาหลังจากที่รวบถุงใส่ของไปถือในมือ เขาสั่นศีรษะปฏิเสธพร้อมชำเลืองมองพนักงานคนนั้นอีกรอบ ไม่ต่างจากบอดี้การ์ดหนุ่มที่ความพยายามในการแก้ความเข้าใจผิดดูเหมือนจะไม่เป็นผล เนื่องจากพนักงานหญิงคนนั้นยังอมยิ้มและมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่เช่นเดิม

“อย่างนั้นกลับกันเถอะครับ”เขาผายมือ ยืนรอให้ปภินวิชเดินนำ ก่อนเดินไปยังปรายตามองหญิงพนักงานด้วยความไม่พอใจ

กลับมาถึงห้องพักในคอนโด พุฒิพงศ์ซึ่งถือของเดินตามหลังมา ได้นำมันไปวางไว้ที่โต๊ะทานอาหารและกลับออกไป ส่วนของที่เขาตั้งใจไปซื้อถูกแยกใส่ถุงใบเล็กซึ่งบอดี้การ์ดหนุ่มส่งคืนมาให้เขาตั้งแต่ออกจากซูเปอร์มาเกต เด็กหนุ่มจึงเดินเนียนผ่านชุดโซฟาที่น้องสาวยังคงนั่งจ้องหน้าจออยู่เช่นเดิม เอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องนอนของพฤทธิกร จากนั้นจึงกลับออกมาเตรียมอาหารมื้อเย็น

ในที่สุดปภินวิชก็มีข้ออ้างให้โทรหาพฤทธิกรเสีย

เด็กหนุ่มกดปุ่มโทรออกและถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ปลายสายจะตอบรับกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่งเป็นทางการ

“ไม่สะดวกคุยหรือครับ”เขาถาม ทว่าอีกฝ่ายกลับพูดไปอีกเรื่อง

“ได้ครับ ผมเพิ่งเสร็จธุระพอดี เดี๋ยวจะแวะไปหานะครับ”

“เอ่อ...”ปภินวิชได้แต่เอ่ออ่าเพราะงุนงงตามไม่ทัน กระนั้นปลายสายกลับกล่าวบอกสวัสดีและวางสายไปโดยที่เขาไม่ทันรั้งเรียก

“อะไรของเขา แล้วจะแวะไปที่อื่นอีกหรือไงนะ”และฉุกคิดขึ้นได้ว่า ให้พี่พุฒิโทรหาพี่ธนาก็น่าจะได้ เขาจึงเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องข้างเคียง และได้คำตอบกลับมาว่า

“กำลังเดินทางกลับมาแล้วครับ”

ถึงยังคงฉงนสงสัย กระนั้นปภินวิชก็กลับไปเตรียมอาหารมื้อเย็นเผื่อชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องแต่โดยดี

พฤทธิกรกลับมาถึงตอนที่กับข้าวกำลังจะเสร็จเรียบร้อย ปวันรัตน์เอี้ยวตัวหันไปยกมือไหว้ชายหนุ่มแล้วหันกลับไปสนใจโทรทัศน์เช่นเดิม เขาจึงเดินเข้าไปหาพี่ชายของเด็กสาวในครัว

“กลับมาแล้วหรือครับ”ปภินวิชยกยิ้มกว้าง หลังประโยคนั้นเขาถามถึงเรื่องที่สงสัยขณะที่สองมือยกถ้วยแกงไปวางบนโต๊ะ “เมื่อกี้โทรไป คุณฤทธิ์ได้รับสายหรือเปล่าครับ”

“อ้อ... ใช่ โทรมาได้จังหวะพอดีเลยด้วย”จากนั้นเขายังพูดให้ฟังว่า อยากจะขอตัวกลับแต่โดนพูดรั้งไว้ทุกครั้ง

“เพราะอยากอยู่กับผู้หญิงคนนั้นนาน ๆ ก็บอกมาเถอะ”ปภินวิชมีสีหน้าบึ้งตึง ชายหนุ่มร่างสูงที่โดนค่อนขอดจึงเดินเข้ามากอด ลดเสียงพูดให้เบาลงจนคล้ายต้องการกระซิบพูดคุยกันสองคน

“ใครอยากจะอยู่กับผู้หญิงคนนั้น ฉันอยากกลับมาหาเธอใจจะขาด วันอาทิตย์แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน”พูดพร้อมขยับศีรษะแนบหน้าผากของเด็กหนุ่ม น้ำเสียงงุ้งงิ้งออดอ้อน

“ให้มันจริงเถอะ”ปภินวิชพยายามกลั้นยิ้ม สอดแขนกอดเอวชายหนุ่มไว้กระนั้นก็ยังแกล้งพูดเสียงแข็ง

“พูดจริง ถ้าไม่เชื่อจะพิสูจน์อย่างไรก็ได้”พฤทธิกรยกยิ้มทำตาเจ้าชู้ใส่ ปภินวิชถึงกับย่นจมูกคล้ายหมั่นไส้พยายามบังคับริมฝีปากไม่ให้เผยรอยยิ้มกว้างเกินไปนัก สุดท้ายก็อดไม่ได้เพราะในยามที่ได้สบสายตากับชายหนุ่ม หัวใจของเขาพองฟูจนต้องยกยิ้มยินดีไปเสียทุกครั้ง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//รู้ไหมคะ ว่าน้องปลาเขาไปซื้ออะไรมา//*

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูท่างานจะเข้าเรื่อย ๆ ถ้ายังไม่แก้ปัญหาเรื่องแม่ไม่ยอมรับ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
22



“มาทำกันเถอะ”

พฤทธิกรยิ้มขำเมื่อเด็กหนุ่มพูดราวกับกำลังชวนเขาเล่นเกม เขามองของที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยอาการหน้าร้อน พอประกอบกับภาพที่หนึ่งในบอดี้การ์ดคนสนิทส่งมาให้ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะวางสีหน้าอย่างไรดี ความคิดหนึ่งก็ดีใจที่คนรักอยากขยับระดับความสัมพันธ์ แต่เพราะเขาผ่านประสบการณ์หลากหลายมามากพอที่เข้าใจและรับรู้ว่า ‘ความรักระหว่างคนสองคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความสัมพันธ์ทางกาย’

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเสียงหงอย พาตัวเองขึ้นมาเบียดซุกอยู่บนตักของเขา สองแขนเพรียวบางของร่างกายวัยรุ่นที่ยังโตไม่เต็มวัยกอดคล้องรอบคอของเขาไว้

“ไหนว่าไม่รังเกียจ...”

เขากดจูบช่วงชิงลมหายใจของเด็กหนุ่มด้วยความหนักแน่นดุดัน เพราะนึกโมโหที่ปภินวิชคอยแต่จะย้ำพูดถึงเหตุการณ์ที่แม้แต่เขาก็ไม่อยากจดจำ เขากวาดต้อนดูดดึงราวกับพยายามสูบความทรงจำนั้นออกมาจากสมองของเด็กหนุ่มให้หมด เผื่ออีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องพูดถึงมันอีกในคราวหน้า

ชายหนุ่มผละออกห่างมองใบหน้าคนรักที่กลายเป็นสีแดงก่ำ อ้าปากหอบหายใจ พลางใช้นิ้วโป้งเช็ดหยาดน้ำที่มุมปากของอีกฝ่าย

“จูบอย่างนี้จะฆ่ากันหรือไง”ปภินวิชว่าเสียงขุ่นพลางทุบไหล่พฤทธิกรด้วยความหงุดหงิด

“ถ้าครั้งหน้าพูดอีกจะจูบให้ขาดอากาศหายใจตายไปจริง ๆ ด้วย”

ปภินวิชเบ้ปากกระนั้นก็วางศีรษะซบไหล่ของชายหนุ่มไว้ “ถ้าตายตอนที่กำลังจูบกับคุณฤทธิ์ก็ดีเหมือนกันนะ” อีกฝ่ายเสียงพูดเบาด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายปกติ แต่พฤทธิกรกลับชะงักเอะใจทั้งยังรู้สึกไม่ดี เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าของคนรักแต่จากมุมนี้ไม่สามารถมองเห็นแววตาของเด็กหนุ่มได้ชัด ชายหนุ่มพยายามสงบใจพร้อมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงปกติเช่นกัน

“ไม่ดีหรอก ถ้าเธอตายไป ฉันจะอยู่กับใครล่ะ”

“ก็อยู่กับผู้หญิงคนนั้นไง”ปภินวิชเงยหน้าบึ้งตึงมาให้เขาเห็น พฤทธิกรกวาดสายตาสำรวจเด็กหนุ่มคนรักอย่างรวดเร็ว เห็นแววตาและใบหน้าอ่อนเยาว์ยังดูปกติจึงนึกโล่งใจ จากนั้นจึงตอบด้วยน้ำเสียงแง่งอนขึ้นมาบ้าง

“ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น ทำไมชอบยัดเยียดฉันให้กับคนอื่นนัก ที่จริงเธอไม่ได้ชอบฉันเลยใช่ไหม”พฤทธิกรแสร้งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาบ้าง ซ้ำยังขยับตัวหันหลังให้ ปภินวิชถึงกับออกอาการร้อนรน

“เปล่านะ ผมรักคุณฤทธิ์นะครับ”เด็กหนุ่มขยับตามมาง้อ พฤทธิกรยังแกล้งสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง อีกฝ่ายจึงใช้สองมือยึดใบหน้าของเขาไว้และง้อด้วยการประทับริมฝีปากลงไปทั่วใบหน้า

“หายโกรธหรือยัง”เสียงถามอ้อมแอ้มไม่แน่ใจ เขายังนิ่งเบือนสายตาหนี “ผมขอโทษ ผมแค่กลัว... คุณฤทธิ์ไม่ใช่เกย์ไม่ใช่หรือครับ เมื่อก่อนก็เกือบจะแต่งงานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเกิดคุณกลับใจไปคบผู้หญิงอีก ผมก็โดนทิ้งนะสิ”คนพูดเริ่มน้ำตาคลอ แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าเลิกคิ้วสงสัยจึงพูดต่อไปว่า “ฟรังค์โทรมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีก่อนคุณแจกการ์ดจะแต่งงานอยู่แล้ว แต่พิธีโดนยกเลิกไปก่อน”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่งานแต่งโดนยกเลิกเพราะฉันเกิดรู้รสนิยมตัวเอง”

คราวนี้ปภินวิชเป็นฝ่ายงุนงงเสียเอง ...หมายความว่ายังไง เด็กหนุ่มคิดอย่างฉงนสงสัย “คุณฤทธิ์เป็นเกย์มาตั้งนานแล้วหรือครับ”

พฤทธิกรยกยิ้มเจื่อน พอโดนถามโต้ง ๆ ตรง ๆ เขาก็รู้สึกกระดากไม่น้อย แต่เมื่อลองคิดทบทวนดู การที่เขาแอบชอบเด็กผู้ชายอย่างปภินวิชมาตั้งหลายปี ตัวเขาน่าจะเข้าข่ายนั้นแล้ว อีกอย่าง ถ้าตอบรับออกไปอาจจะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจขึ้น

“อืม... ก็ฉันรักเธอ ฉันต้องเป็นเกย์อยู่แล้ว”

“ดีใจจัง”สีหน้าของเด็กหนุ่มโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด โถมกอดร่างของพฤทธิกรไว้อยู่ครู่หนึ่งก็ผละออก หันไปเก็บข้าวของที่ซื้อมาใส่ลิ้นชักของตู้ที่ตั้งอยู่หัวเตียง

“หือ เก็บทำไม ไม่ทำแล้วเหรอ”พฤทธิกรแกล้งถามเย้า

“เอ่อ... เอาไว้วันหลังได้ไหมครับ วันนี้ผมง่วงแล้ว”ปภินวิชยิ้มแหย ๆ

“แต่ฉันเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วนะ”ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวเข้าไปประชิด รั้งชายเสื้อชุดนอนของร่างในอ้อมกอดให้เลิกสูงขึ้นพลางสอดมือเข้าไปลูบไล้ปลุกปั่น จนปภินวิชต้องเอี้ยวตัวหนี ยิ่งพฤทธิกรแนบปลายจมูกลงมาซุกไซ้แถวฐานคอ ขนบนร่างกายของเด็กหนุ่มได้พร้อมใจกันลุกเกรียว

“คุณฤทธิ์... เดี๋ยวก่อน”ปภินวิชร้องห้ามปรามขณะที่อาการเสียววาบในท้องน้อยกลับมาเยือนอีกครั้งพานให้เขาต้องขยับต้นขาเสียดสีกันอย่างลืมตัว “ผ... แผลยังไม่หาย”

พฤทธิกรเด้งตัวออกห่างทันใด สีหน้าปกติไร้วี่แววอารมณ์หื่นกระหาย “แผลยังไม่หายแล้วมาชวนให้ทำเนี่ยนะ”เขาพูดดุอย่างไม่ลังเล คนโดนว่ากล่าวจึงพูดตอบด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน

“ก็ไม่เชิงไม่หาย แบบอีกนิดนึงก็หายดีแล้ว”ปภินวิชยกมือขึ้นมาทำท่าประกอบ เพราะเขาคิดง่าย ๆ ว่าถ้ามีอะไรกันชายหนุ่มคงจะไม่มีทางไปชอบผู้หญิงคนไหนอีก ดังนั้นต่อให้ต้องทนเจ็บเขาก็ยอม แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างแล้ว ถ้าเลือกได้ เขาอยากอยู่กับพฤทธิกรแบบที่ไม่ต้องทำอะไรกันแบบนี้ไปตลอดเลย เขาไม่อยากเจ็บตัวจนต้องทายาอีกแล้ว

“งั้นนอนลงเลย ขอฉันดูแผลหน่อย”

ปภินวิชถอยหลังกรู “ไม่เป็นไรครับ ผมทายาตามที่หมอสั่งตลอด มันใกล้จะหายแล้วจริง ๆ”

“ปลา”เสียงของพฤทธิกรเข้มห้วนจนเด็กหนุ่มต้องย่นคอ ชายหนุ่มกระเถิบเข้าไปจับข้อเท้าทว่าอีกฝ่ายยังสั่นศีรษะระรัว

“ทำไมถึงไม่ยอมให้ดู ถ้าไม่ให้ฉันดูพรุ่งนี้ต้องไปหาหมอนะ”

“ไม่เอา ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ”ปภินวิชพูดย้ำ เห็นท่าทางต่อต้านอย่างหนักเช่นนั้นพฤทธิกรจึงถอนหายใจออกมา “ก็ได้ ไม่อยากให้ดู ฉันก็ไม่ดู เอาเลย… อยากทำอะไรตามใจเลย”

ปภินวิชเปลี่ยนไปคว้าจับข้อมือของชายหนุ่มไว้ทันควัน นี่มันวันอะไรก็ไม่รู้ พฤทธิกรถึงได้ออกอาการโมโหไม่พอใจเขาบ่อยครั้งทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้

“คุณฤทธิ์ คุณฤทธิ์ครับผมขอโทษ อย่าโกรธนะ ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่เรื่องแบบนี้มันทำใจไม่ได้ง่าย ๆ นะ”

“ไม่เห็นเป็นยังไงเลย ก็เราเป็นแฟนกัน”

“แต่มันก็แปลก ๆ อยู่ดี”

“เมื่อกี้ยังชวนให้มาทำอยู่เลย”

“อันนั้นเพราะผมเตรียมใจมาอยู่แล้ว”

“ฉันดูแผลให้ก็ไม่ต่างกันหรอก”

“ไม่รู้ล่ะ”ปภินวิชหน้างอ “มันไม่เหมือนกันแต่คุณฤทธิ์ไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปนี้ผมจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น คืนนี้เรานอนกันเถอะ ผมง่วงแล้ว”เขาเอ่ยชวนพลางขยับไปตบหมอน

พฤทธิกรจึงยกยิ้มเมื่อพ้นสายตาของเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้คิดโมโหจริงจังมาตั้งแต่แรกแค่ไม่อยากให้คนรักละเลยตัวเองทั้งที่เขาเป็นห่วงมากถึงขนาดนี้ เมื่ออารมณ์ดีเสียงตอบรับจึงระรื่นตามไปด้วย

“ครับ ได้ครับคุณภรรยา”

“ใครเป็นภรรยา”ปภินวิชแหวออกมาทันทีทั้งที่ก่อนยังทำเหมือนว่าจะยอมเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่าง และจากที่ทำท่าว่าจะนอนสรุปเลยยังไม่ได้ล้มตัวลงนอนเสียที “เราสองคนยังไม่มีการพูดคุยตกลงกันเลย อย่ามาเรียกอย่างนี้นะ เอางี้ดีกว่า มาเป่ายิ้งฉุบตัดสินกันเลย”เด็กหนุ่มกำหมัดตั้งท่า

“ง่าย ๆ อย่างนี้เลย”พฤทธิกรถามอย่างตกใจจากนั้นจึงสัพยอกกลับไปว่า “งั้น ถ้าฉันชนะทำวันนี้เลยนะ”

ปภินวิชอ้าปากค้างชะงักคิดคำโต้ตอบอยู่ชั่วเสี้ยววินาที “อ... อะไรกัน เมื่อกี้ยังเป็นห่วงเรื่องแผลของผมอยู่เลย”

ชายหนุ่มจึงหัวเราะ รวบร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มเข้ามากอดและล้มตัวลงนอนพร้อมกัน “ล้อเล่นครับคุณแฟนที่รัก คืนนี้ดึกแล้วนอนเถอะ”พูดพลางจัดการดับไฟ กระนั้นปภินวิชยังไม่วายย้ำว่าเรื่องแบบนี้ต้องมานั่งจับเข่าพูดคุยตกลงกันก่อน ซึ่งพฤทธิกรก็เออออรับคำแต่โดยดี



โทรศัพท์ของพฤทธิกรมีสายเรียกเข้าจากมารดาอีกครั้งในช่วงเช้าของวันกลางสัปดาห์เพื่อนัดหมายให้ปภินวิชออกไปทานเข้าด้วย ก่อนหน้านี้ผู้เป็นมารดาได้โทรศัพท์หาเขาแล้วหลายครั้ง แต่เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนน้องสาวของปภินวิชมีนัดเข้ารับยาเคมีบำบัด เขาจึงบอกปฏิเสธไป

“ตกลงหนูปลาจะว่างไปกินข้าวกับแม่ได้เมื่อไหร่”ปลายสายถามเสียงขุ่น “แม่ว่าเราน่ะ บอกเบอร์หนูปลามาเลยดีกว่า เดี๋ยวแม่คุยเอง”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณแม่นัดมาเลยก็ได้”

“งั้นเที่ยงนี้”

“เดี๋ยวผมมีประชุมน่ะครับ กว่าจะเลิกประชุมก็เที่ยง คงจะไปสายหน่อยนะครับ”

“แล้วเรามาเกี่ยวอะไรด้วยฮึตาฤทธิ์ เราไม่ว่างก็ไม่ต้องมา ให้หนูปลามาคนเดียวไม่ได้หรือไง”

“ผม...”

“ฤทธิ์อยากให้แม่ยอมรับแฟนเรา แต่ดูสิ เราไม่ยอมปล่อยให้แม่ได้คุยกับหนูปลาเลย แล้วจะไม่ให้แม่คิดอคติได้อย่างไร”

“ครับ ผมทราบแล้วครับ”พอมารดาเซ้าซี้ชักแม่น้ำทั้งห้ามากดดันด้วยคำพูดตัดพ้อต่าง ๆ นานา เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องตอบรับกลับไปทั้งที่ยังไม่ค่อยไว้ใจมารดานัก

ต่อหน้าเขา มารดาทำเป็นว่าเอ็นดูปภินวิชอย่างดี แต่พฤทธิกรไม่ค่อยอยากจะเชื่อมั่นกับท่าทีนั้นเนื่องจากคุณทิพปภาเคยเปลี่ยนใจมาแล้ว และถ้าบอกว่าเพราะมารดาได้เจอปภินวิชแล้วนึกเอ็นดูขึ้นมา เขายิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่

ชายหนุ่มหยิบสมุดปากกาลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอกห้องทำงาน คนที่เขากำลังอยากเจอนั่งคุยอยู่กับสุธาณี หญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้อง

“ปลา”

เด็กหนุ่มหันมาตามเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้มที่เห็นกี่ทีเขาก็ต้องยกยิ้มตามทุกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องพูดบอกรอยยิ้มของเขาจึงจางลงอย่างช่วยไม่ได้

“คุณแม่ชวนเธอไปกินข้าว”

“ครับ”

“วันนี้เธอคงต้องไปคนเดียวนะ”

ปภินวิชชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะยกยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยพลังและแรงใจส่งกลับมาให้เขาอีกครั้ง “คุณฤทธิ์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แค่กินข้าวเอง”

เขากำลังจะพูดประโยคต่อไปเพียงแต่สายตาเหลือบไปเห็นเลขาสาวที่อยู่ตรงนั้นเสียก่อน พฤทธิกรยกมือป้องปากทำท่ากระแอมกระไอ

“คุณก้อยไปก่อนก็ได้ครับ ผมขอเวลาคุยกับปลาสักครู่”ว่าจบ ชายหนุ่มจึงรีบดึงข้อมือปภินวิชให้หายเข้าไปในห้องทำงาน เมื่อไม่มีจากสายตาบุคคลที่สามแล้ว เขาจึงเอ่ยต่อประโยคที่ตั้งใจจะบอกอีกฝ่าย

“ฉันรักเธอนะ เรารักกันและเราไม่จำเป็นต้องเลิกกันเพราะคนอื่นบอกว่าเราทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน”

เด็กหนุ่มหัวเราะเนื่องด้วยบางครั้งเขาก็คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับพฤทธิกรเอาเสียเลย กระนั้นเขาก็พยักหน้ารับ “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจำคำที่คุณบอกได้แม่นเลย ไม่ต้องกังวลนะ ดูสิคิ้วขมวดอีกแล้ว”พูดพลางยื่นมือออกไปนวดคลายปมที่หัวคิ้ว พฤทธิกรจึงจับมือข้างนั้นไว้และแนบจูบลงไปที่กลางฝ่ามือ

“คุณฤทธิ์รีบไปเถอะ เดี๋ยวเข้าประชุมสายนะ”ปภินวิชพูดเร่งพร้อมเปิดประตูออกไปด้านนอก เมื่อเปิดประตูออกมาถึงเห็นว่ากวีวัธน์ยืนรีรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อพฤทธิกรก้าวเท้าเดินนำไป หลานชายจึงเดินตามไปสมทบทั้งยังหยุดรอเมื่อน้าชายแวะคุยกับบอดี้การ์ด กระทั่งเขาทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้ว กวีวัธน์ถึงเอ่ยขึ้นว่า

“มีอะไรหรือครับ อยากให้ผมช่วยอะไรไหม”

พฤทธิกรเหล่มองคนพูดที่ยิ้มทะเล้น ทว่าหลานชายยังพูดต่อ “เรื่องที่คุณยายไม่ชอบน้องปลา ผมคุยให้ได้นะ แต่ผมขอนาฬิกาสักเรือนเป็นค่าแรง”

“กลอน”น้าชายเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม กวีวัธน์จึงหน้าซีดลงและอ้อมแอ้มพูดว่า “ไม่เอาค่าแรงก็ได้ครับ”

“ถ้าทำได้ฉันจ่ายให้เต็มที่”

คนฟังหน้าบานขึ้นทันควัน “รุ่นที่ผมกำลังอยากได้แพงมากนะ”

ชายหนุ่มจึงทำเสียงชิชะเหมือนหงุดหงิดไม่พอใจ “ฉันให้รางวัลตามผลงาน เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ”กวีวัธน์จึงยิ้มร่า ออกอาการดี๊ด๊าจนแม้แต่น้าชายยังหมั่นไส้



พอใกล้เที่ยง ปภินวิชจึงออกเดินทางโดยมีพุฒิพงศ์ บอดี้การ์ดหนุ่มของพฤทธิกรเป็นคนขับรถไปให้ เขาอยู่ในชุดฟอร์มของพนักงานทำความสะอาดเฉกเช่นทุกวัน แต่เมื่อเห็นสถานที่ที่มารดาของชายคนรักนัดเขามาทานข้าวแล้ว เด็กหนุ่มถึงกับนึกอยากกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น

ทำไมไม่กินที่ร้านอาหารธรรมดา ๆ บ้างนะ เขาคิดในใจ ก่อนผ่อนลมหายใจออกและสูดลมหายใจอีกเฮือกเพื่อเรียกกำลังใจ

เด็กหนุ่มเดินตามการนำทางของพุฒิพงศ์ไปยังห้องอาหารของโรงแรมซึ่งตั้งอยู่พื้นที่ชั้นล่าง เมื่อบอดี้การ์ดหนุ่มแจ้งชื่อของเขา พนักงานจึงเดินนำไปยังโต๊ะที่นั่งริมระเบียงติดกับสวนซึ่งสามารถมองเห็นสระน้ำที่อยู่ไม่ไกล ปภินวิชไม่มีโอกาสได้กวาดสายตามองรอบตัวเนื่องจากเขาเห็นว่ามารดาของพฤทธิกรมานั่งรออยู่แล้ว

“ขอโทษครับที่มาสาย”เขายกมือไหว้ทักทายพร้อมกล่าวคำนั้น เมื่อสายตาเหลือบเห็นหญิงสาวอีกสองคนซึ่งน่าจะมีอายุมากกว่าตนนั่งอยู่ จึงประนมมือไหว้เธอทั้งสองด้วย และยืนนิ่งรอกระทั่งทิพปภาบอกให้เขานั่งลง ส่วนบอดี้การ์ดหนุ่มที่มากับเขานั่งห่างออกไปอีกสองช่วงโต๊ะ

“นี่ใครหรือคะ”คำถามนั้นถูกเอ่ยขึ้นหลังจากที่บริกรนำเมนูมาให้และถอยห่างออกไปแล้ว

“เด็กที่ตาฤทธิ์เขาอุปการะเลี้ยงดูไว้นะคะ  ดิฉันชวนเขามาทานข้าวด้วยเพื่อแนะนำให้คุณจันทร์กับหนูแขรู้จักไว้ ตอนหนูแขแต่งงานกับลูกชายป้าจะได้ไม่ตกอกตกใจว่าเด็กที่ไหน”

ปภินวิชตกใจกับประโยคที่ได้ยินถึงกับหันมองคนพูดหน้าตาตื่น พฤทธิกรไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขามาก่อน ความคิดในสมองจึงสับสนปนเปกันไปหมด ใจหนึ่งเขาเชื่อว่าชายหนุ่มย่อมไม่มีทางปิดบังหรือโกหกเขา แต่กระนั้น ถ้าเรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องจริง ทิพปภาจะกล้าพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำหรือ

“ค่ะ แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ”ประโยคหลังนัยน์ภัคหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ปภินวิชยังคุมสติตัวเองไม่ได้ เขาเตรียมใจมาว่า อาจจะโดนว่าค่อนขอดแต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาจึงขาวซีด เขากุมมือที่สั่นระริกของตัวเองไว้ เงยหน้าขึ้นเมื่อผู้ร่วมโต๊ะยังนิ่งเงียบรอคำตอบของเขา

“เอ่อ... ขอโทษครับ เมื่อครู่ผมไม่ทันฟัง คุณถามว่าอะไรหรือครับ”

“อ้อ แขถามว่าทำไมใส่ชุดพนักงานทำความสะอาดแบบนี้ล่ะคะ”

“คุณฤทธิ์ให้ผมไปทำงานเป็นพ่อบ้านที่บริษัท”เด็กหนุ่มตอบกลับไปเสียงเบาซ้ำยังก้มหน้าลงเรื่อย ๆ

“แล้วไม่ไปเรียนหรือ”เธอยังถามต่อ

“ผมกำลังลงเรียนกศน.เพื่อเอาวุฒิไว้สอบเข้ามหาวิทยาลัยครับ”

“ดีค่ะ ยังใฝ่ดีอย่างนี้ก็น่าสนับสนุน”

“พวกเราสั่งอาหารกันก่อนดีไหมคะ จะได้นั่งคุยไปทานกันไป”จรัสวรรณเอ่ยแทรก ทิพปภาจึงพยักพเยิดเออออ ยกมือเรียกพนักงานก่อนจะพูดกับปภินวิชด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู

“หนูปลาสั่งได้ตามสบายเลยนะจ๊ะ ถ้าหนูกินไม่อิ่มเดี๋ยวตาฤทธิ์จะมาว่าป้าได้”

เจ้าชื่อจึงเงยหน้าขึ้นไปกล่าวตอบรับด้วยรอยยิ้มเจื่อน และนั่งเงียบไม่ออกเสียงพูดคุยกับใครจนกระทั่งจบมื้ออาหาร ซ้ำร้ายอาหารมื้อนั้นยังเฝื่อนคอจนแทบกลืนไม่ลง

“แล้วหนูแขคิดรูปแบบงานแต่งไว้บ้างหรือยังจ๊ะ”ทิพปภาเอ่ยถามชวนคุยคล้ายไม่อยากให้การพบปะพูดคุยของพวกเขาจบลงง่าย ๆ

“แขอยากได้งานแต่งแบบไทยค่ะ ถ้าพี่ฤทธิ์ใส่ชุดไทยคงจะหล่อน่าดู”เธอยิ้มตอบรับ วงสนทนาคงจะสนุกสนานชื่นมื่นต่อไปถ้าปภินวิชไม่พูดแทรกขึ้นว่า

“คุณฤทธิ์จะแต่งงานกับคุณจริง ๆ หรือครับ”หลังจากตั้งสติ ควบคุมอาการตระหนกของตนทั้งมีเวลาให้นั่งคิด เด็กหนุ่มเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาว่า ไม่มีทางที่พฤทธิกรจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนง่าย ๆ

“ทำไมหรือคะ”

“คุณฤทธิ์เป็นเกย์ เขาไม่แต่งงานกับผู้หญิงหรอกครับ คุณไม่รู้เหรอครั้งก่อนที่เขาล้มเลิกงานแต่งเพราะว่ารู้รสนิยมตัวเอง”เด็กหนุ่มพูดบอกออกไปโดยไม่สนใจมารยาทและเสียงห้ามปรามที่ดังมาจากทิพปภา

“เธอเอาอะไรมาพูด ลูกชายฉัน ฉันเลี้ยงมากับมือ เขาเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ฉันรู้ดี”

“แต่คุณฤทธิ์เขาบอกกับผม”

“แล้วเธอไม่คิดบ้าง ที่ตาฤทธิ์พูดบอกกับเธอก็แค่พูดหลอกให้เธอตายใจเท่านั้น ลูกชายฉันเป็นใคร เขาต้องเอาชีวิตมาผูกติดกับเธอหรือ ตอนนี้เขาก็แค่สนุกกับบทคุณพ่อขายาวเท่านั้นล่ะ”จากนั้นทิพปภาจึงหันไปพูดกับสองแม่ลูกที่เป็นแขกของเธอว่า “คุณจันทร์กับหนูแขอย่าไปสนใจเด็กขี้โกหกแบบนี้เลยนะคะ แย่จริง ๆ ตาฤทธิ์อุตส่าห์เลี้ยงดูอุปการะทั้งพี่และน้องอย่างดี ยังมาพูดจาว่าร้ายผู้มีพระคุณแบบนี้อีก”

นัยน์ภัคเหมือนรอเวลานี้มานาน ครั้งก่อนพฤทธิกรพาเธอไปกินข้าวแต่เขากลับมีท่าทีเมินเฉยมองผ่าน ดังนั้นหญิงสาวจึงกำลังหาโอกาสเอาคืนเขา เธอดูออกว่าเด็กหนุ่มที่ทิพปภาพามาแนะนำคงไม่ใช่แค่เด็กในอุปการะ ไม่อย่างนั้น คงไม่หน้าเปลี่ยนสีออกอาการทันทีที่ทิพปภาพูดถึงเรื่องแต่งงาน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า ที่จริงแขไม่ถือหรอกค่ะว่าคุณฤทธิ์จะเป็นเกย์หรือเปล่า พวกรักชอบเพศเดียวกันหาที่คบกันยืดได้น้อยยิ่งกว่าน้อย แล้วดูคุณฤทธิ์กับน้องเขา อายุก็ต่างกันมาก หน้าที่การงานเอย สถานะทางสังคมเอยราวกับอยู่กันคนละโลก อีกไม่นานคุณฤทธิ์ก็คงบอกเลิกเองแหละค่ะ”นัยน์ภัคปรายมองเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงอย่างหวั่นไหวและเสียความมั่นใจตั้งแต่ที่เธอพูดถึงกลางประโยค ก่อนจะหันไปพูดแนะนำด้วยท่าทางคล้ายหวังดี

“พี่แนะนำอะไรให้นะคะน้อง ถ้าน้องริจะชอบผู้ชายด้วยกันเองเนี่ย หาที่รุ่น ๆ เดียวกันดีกว่าหรือไม่ก็ห่างกันไม่กี่ปี อย่างน้อยก็คุยภาษาเดียวกัน จะไปไหนด้วยกันก็ไม่มีคนมาจ้องจับผิด หรือถ้าเขาแปลกเพราะมีคนอื่น อย่างน้อยน้องก็จะเจอพิรุธให้จับได้ คบคนที่อายุเยอะกว่ามากเขาก็มีชั่วโมงบินสูงกว่าน้องนะคะ พี่คิดว่าน้องจับโกหกเขาไม่ได้หรอกค่ะ”พูดจบเธอจึงหันไปหยิบกระเป๋า

“กลับกันเถอะค่ะคุณแม่ แขลาก่อนนะคะคุณป้า”หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือไหว้ซึ่งทิพปภาได้ยกมือรับไหว้และยิ้มรับอย่างดีคล้ายถูกใจไม่น้อย

“เอาล่ะ ป้าก็คงต้องขอตัวกลับเสียที วันนี้ขอบใจหนูปลามากนะจ๊ะที่มาทานข้าวเป็นเพื่อน”ทิพปภาพูดพร้อมวางมือไว้บนบ่าของเด็กหนุ่มและตบเบา ๆ เธอลุกออกไปจากโต๊ะแล้วแต่ปภินวิชยังนั่งอยู่กับที่ จนพุฒิพงศ์ต้องมาสะกิดเรียก

“คุณปลา กลับกันเถอะครับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาลุกขึ้นยืนเดินตามทั้งที่ภายในใจยังคงหนักอึ้ง สมองตื้อตันคิดอะไรไม่ออก มีแต่คำพูดที่นัยน์ภัคและทิพปภาพูดไว้วนเวียนอยู่เต็มพื้นที่ กระนั้นเมื่อก้าวเท้าเข้าไปนั่งอยู่ในรถยนต์ที่บอดี้การ์ดเปิดประตูไว้ให้ คำพูดก็ออกมาจากปากของเขาทันที

“พี่พุฒิ ไปส่งผมที่คอนโดนะครับ”

ชายหนุ่มรับคำโดยไม่มีคำถาม ปภินวิชทิ้งตัวลงพิงเบาะหลับตานั่งนิ่งด้วยอาการไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะลืมตาเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าหากเขากลับไปที่คอนโดก่อน พฤทธิกรจะต้องเฉลียวใจกับมื้ออาหารเที่ยงของเขากับทิพปภาแน่ ๆ

“พี่พุฒิ ผมขอโทษครับ กลับไปที่บริษัทนั่นแหละ”

ปภินวิชใช้สองมือกุมหน้าตัวเองไว้ จากนั้นขยับนวดเพื่อให้สีหน้าของตนกลับกลายเป็นปกติเหมือนเดิม พร้อมสูดลมหายใจเข้าปอด เขามีเรื่องติดค้างสงสัยซึ่งความสงสัยนั้นมีแค่พฤทธิกรเท่านั้นที่สามารถให้ความกระจ่าง



เด็กหนุ่มเปิดประตูลงจากรถเมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิทในที่จอดรถ เขาก้าวเท้าเดินลิ่ว ๆ เข้าไปในล็อบบี้ชั้นล่าง ตอนที่กดเรียกลิฟต์ ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่บอดี้การ์ดพ่วงตำแหน่งคนขับรถได้ก้าวตามมาทันก่อนประตูลิฟต์จะเปิดออกเช่นกัน

“ขอโทษครับ รอด้วย ขอผมไปด้วย”

เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียก ทว่าเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปทันควัน ปภินวิชจำใบหน้านั้นได้แม่น ผู้ชายที่เป็นสาเหตุให้พ่อแม่ของเขาและอีกหลายคนต้องเสียชีวิต

“ขอโทษครับ ลิฟต์นี่สำหรับผู้บริหารเท่านั้น คนนอกกรุณาติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแข็งกระด้าง และเมื่อเขาพูดประโยคนั้นจบ อีกฝ่ายกลับปรายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“อย่างน้องก็คงไม่ใช่ผู้บริหารหรอกมั้ง”

นั่นยิ่งทำให้ปภินวิชโมโหขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้นไปอีก เขากัดฟันถามเสียงกร้าวกลับไป“แล้วน้ำหน้าอย่างคุณมาทำอะไรที่นี่หรือครับ”

“โห้”คนฟังถึงกลับหัวเราะไม่ออก แม้จะแปลกใจกับความกร่างของพนักงานทำความสะอาด แต่เขาก็อดยวนกลับไปไม่ได้ “พี่จะมาทำอะไรที่นี่ก็คงไม่เกี่ยวกับน้องนี่”

“อ้อ”ปภินวิชขานเสียงรับอย่างไม่มีความหมาย “พี่พุฒิครับ รบกวนแจ้งรปภ.ให้มาลากผู้ชายคนนี้ออกไปข้างนอกด้วย แล้วก็ห้ามไม่ให้เข้ามาเหยียบที่นี่อีก”

“ครับ”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อรับคำ ก้าวเท้าไปยืนเบื้องหน้าชายหนุ่มคนนั้น ผายมือพร้อมพูดเชิญ คู่กรณียังอึกอักยึกยักสีหน้าคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จนพุฒิพงศ์ร้องตะโกนเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย คนตรงหน้าถึงร้องเออเสียงดังกระแทกส้นเท้าเดินออกไป พลางล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ต้องรอสายอยู่ครู่ใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะกดรับ

“พี่ฤทธิ์ บริษัทพี่มันอะไรกันเนี่ย เมื่อกี้ผมเจอพนักงานทำความสะอาดมันทำกร่างใส่ผมใหญ่เลย เฮ้ย... ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเป็นลูกค้าผู้มาติดต่อคนอื่นโดนแบบนี้เข้าไป เขาจะรู้สึกยังไง”เขากรอกเสียงพูดรัวฟ้องพี่ชายด้วยความฉุนเฉียว ขณะนั้นคิดอยู่แค่ว่า เขามารยาทแย่แล้ว ยังมีคนมารยาทแย่กว่าเขาอีกเหรอวะ พี่ชายไม่รู้บ้างเลยหรือไงว่ามีพนักงานแบบนั้นอยู่ในบริษัท ถ้าไม่ติดว่าเขาโดนทัณฑ์บนห้ามก่อเรื่องอีก เขาไม่มีทางยอมถอยออกมาง่าย ๆ แบบนี้หรอก

ทว่า พี่ฤทธิ์ที่เขาโทรศัพท์หา กลับตอบมาแค่ “อืม แกกลับไปรอที่บ้านก่อนแล้วกัน แล้วฉันจะโทรหา”พร้อมสายการเชื่อมต่อที่ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว เขามองหน้าจอโทรศัพท์ ชะงักงันนิ่งอึ้งความคิดขาดหายว่างเปล่า เหมือนจะได้ยินคำว่า ‘เฮ้ย อะไรวะ’ หลุดมาแค่คำเดียวเท่านั้น


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ร่วมตอบคำถามของเราเมื่อตอนที่แล้วค่ะ แต่เนื่องจากเป็นรักใส ๆ ของที่น้องปลาซื้อมาจึงยังไม่ได้ใช้ต่อไป แต่เนื้อเรื่องเหมือนจะเข้าสู่โหมดอึมครึมอีกแล้ว อืมมมมมม แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ หลานกลอนจัดการได้//*

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ถ้าทำขนาดนี้ก็แต่งเองไปเลยไหมคุณแม่ เฮ้อ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
23



“คุณฤทธิ์ อ๊ะ... ขอโทษครับ”ปภินวิชชะงักหยุดยืนรอหลังเปิดประตูเข้าไปและพบว่าชายหนุ่มผู้นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกำลังถือโทรศัพท์แนบหู

“อืม แกกลับไปรอที่บ้านก่อนแล้วกัน แล้วฉันจะโทรหา”เมื่อชายหนุ่มตัดสายจึงหันมาหาเขา เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ”

เด็กหนุ่มเดินตรงเข้าไปนั่งยังที่ประจำของตนบนตักของอีกฝ่าย ส่วนปากก็ขยับพูดฟ้อง “ถ้าผู้ชายที่ชื่อชัญชกร  มาศแคล้ว มาสมัครงานที่นี่ห้ามรับเข้าทำงานนะครับ”

หัวใจของพฤทธิกรเต้นสะดุด ปะติดปะต่อเรื่องราวไว้ทันควันกระนั้นเขายังมีสีหน้าปกติ ก่อนแสร้งปั้นหน้าเหมือนสงสัยที่มาที่ไปเรื่อง “ทำไมล่ะ”

“ก็ผู้ชายคนนี้นิสัยไม่ดี”ปภินวิชตอบเสียงเบาเนื่องจากลังเลว่าควรบอกออกไปตามตรงดีหรือไม่ “ผมเจอเขาข้างล่างตอนกำลังจะขึ้นลิฟต์ เลยบอกไปว่านี่ลิฟต์ผู้บริหาร ให้ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อน แต่เขากลับพูดเป็นทำนองดูถูกว่า ผมก็ไม่ใช่ผู้บริหารเหมือนกัน ผ่านไปตั้งหลายปีแล้วยังนิสัยเสียเหมือนเดิมไม่มีผิด”

“ตกลงเคยมีเรื่องกันมาก่อนหน้าหรือไง”

“ครับ ผู้ชายคนนี้แหละที่เมาขับรถฝ่าไฟแดงไปชนรถคันอื่นจนทำให้พ่อกับแม่เสียชีวิต ตอนแรกเขายอมรับผิดทุกอย่าง ยอมชดใช้ให้เต็มที่ ผมก็ไม่ค่อยอะไรนะ แต่มีคืนหนึ่งที่เขามาฟังพระสวดงานศพพ่อกับแม่ ผมเห็นเขาชักสีหน้ารำคาญแบบไม่ค่อยอยากจะมาเสียเท่าไหร่ แล้วเหมือนไม่ได้สำนึกผิดจริง ๆ ด้วย แถมยอดเงินชดเชยที่บอกว่าจะจ่ายกับที่จ่ายให้จริง ๆ ก็ไม่เท่ากันอีก อ๊ะ...”เด็กหนุ่มชะงักคำพูดเพราะเหมือนฉุกคิดขึ้นได้

พฤทธิกรขมวดคิ้ว “ยอดเงินที่ต้องจ่ายกับจ่ายจริงไม่เท่ากัน”

“เรื่องนี้คงไม่ใช่หรอกครับ”

ชายหนุ่มจึงได้โอกาสถามต่อ “เมื่อกี้เธอบอกว่า เขายอมจ่ายให้เต็มที่แล้วเงินหายไปไหนหมด”

ปภินวิชถอนหายใจ และเล่าเรื่องหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตให้ชายหนุ่มฟัง “ผมคิดว่าที่ได้เงินไม่ครบเพราะฝั่งนั้นตั้งใจจะเบี้ยว ป้ากับลุงก็บอกว่า เดี๋ยวจัดการให้เพราะไม่อยากให้ผมเสียการเรียน สองสามวันหลังจากนั้นป้าก็กลับมาบอกว่า เขาไม่มีเงินแล้ว ถ้าอยากได้เงินเพิ่มก็ไปฟ้องเอา ตอนนั้นโคตรโมโห รวมกับท่าทางของนายชัญชกรเมื่อตอนวันสวดด้วยแล้ว ผมยิ่งโคตรเกลียดมัน”

ทั้งเล่าต่อไปอีกว่า โดนลุงกับป้าหลอกให้ขายบ้านเพื่อจะได้เอาเงินไปจ่ายค่ารักษาให้ปวันรัตน์ ตอนที่หมอบอกว่าตรวจพบเนื้องอกในสมอง กระทั่งบังเอิญไปได้ยินว่าญาติแท้ ๆ อย่างลุงกับป้าจะส่งพวกเขาสองพี่น้องไปขัดดอกกับเจ้าหนี้ พวกเขาถึงหนีออกมา

“ผมมาคิดได้ทีหลัง ถ้าพวกเขาติดพนันจริง เงินผมคงโดนโกงไปแน่ ๆ เพราะผมไว้ใจไง ไม่เคยขอใบเสร็จเอกสารอะไรเลย ได้เงินมาเท่าไหร่ก็เท่านั้น เขาบอกว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ก็เท่านั้น”

“อยากได้เงินคืนไหม เดี๋ยวฉันจัดการให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ”เด็กหนุ่มพูดตอบหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “คุณฤทธิ์ต้องไปลำบากตามตัวลุงกับป้าชั่ว ๆ นั่นอีก แล้วพวกเขาก็เอาเงินของพวกผมไปลงบ่อนหมดแล้ว อย่าไปตามรีดเงินกลับมาให้เหนื่อยเลย คนแบบนี้แม่งไม่ได้ตายดีหรอก”

“ก็น่าจะมีโฉนดที่บ้านเหลืออยู่”

ปภินวิชสั่นศีรษะ “บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่าครับ แต่ถ้าเป็นบ้านของพวกเขาเองผมว่าก็ไม่มีทางเหลือมาถึงป่านนี้ได้หรอก”

ชายหนุ่มจึงต้องจำใจพยักหน้ารับ

“แต่เรื่องนายชัญชกร  มาศแคล้วนี่ผมเอาจริงนะ คุณฤทธิ์ห้ามรับเข้าทำงานเด็ดขาดนะครับ ผมสั่งให้ยามดูไว้แล้วด้วย ไม่ให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาในบริษัทเด็ดขาด”

“เขาอาจจะกลับใจสำนึกได้แล้วก็ได้ จะไม่ให้โอกาสเขาหน่อยเหรอ”พฤทธิกรลองหยั่งเชิงดูท่าที

“จากที่คุยกันเมื่อกี้ผมว่าคงยังไม่สำนึกหรอกครับ พวกที่ชอบกดสายตาดูถูกคนอื่นแบบนั้น พ่อแม่คงเลี้ยงมาแบบตามใจน่าดู และพวกเมายันเช้ายังสะเหล่อมาขับรถอีก ผมว่าสำนึกของเขาคงหายากมากแน่ ๆ”

ชายหนุ่มจึงได้แต่ฝืนยิ้ม ถามต่อไปอีกว่า “แล้วถ้าเขาเป็นพวกลูกค้าหรือซัปพลายเออร์ล่ะ”

“ถ้าเป็นพนักงานก็บอกให้เขาเปลี่ยนตัวคนมาติดต่อ”ปภินวิชตอบเสียงขุ่น ก่อนจะหรี่ตาจับสังเกต “คุณฤทธิ์รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือครับ”

“ก็ทำนองนั้น”

“เลิกคบไปเลยคนพรรค์นี้ เขาไม่มีวันทำให้คุณฤทธิ์เจริญขึ้นหรอก”

“เขาอาจจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเธอยึดแต่อคติ มันก็เหมือนที่แม่ของฉันมีอคติต่อตัวเธอนั่นแหละ”

ปภินวิชมีท่าทางไม่ยอมรับ “มันไม่เหมือนกันตรงที่ผมรู้สึกอคติเพราะเขาทำให้คนหลายสิบคนต้องเสียชีวิตครับ ทำให้หลายครอบครัวต้องเสียพ่อ แม่ หรือลูก แต่แม่ของคุณรังเกียจผมเพราะเขาคิดว่าผมจะทำให้ชีวิตคุณตกต่ำ”



ตกเย็นวันนั้นเมื่อหมดเวลาทำงาน กวีวัธน์ตรงดิ่งไปทานข้าวที่บ้านคุณยายทันทีด้วยเพราะอยากได้นาฬิกาเรือนใหม่ใจจะขาดแล้ว ขับรถออกจากบริษัทที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไปยังหมู่บ้านชานเมืองใช้เวลาเดินทางไปสองชั่วโมง กระนั้นชายหนุ่มกลับไม่ได้คิดย่อท้อ และเมื่อไปถึงก็ได้เวลาทานอาหารเย็นพอดี

“มาแล้วรึ พ่อตัวดี”หญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านทักเขาเสียงขุ่น กวีวัธน์จึงรี่เข้าไปกอดประจบ “คุณยายอย่าเพิ่งโมโหนะ เนี่ยพอเลิกงานปุ๊บผมก็ตรงมาที่นี่ปั๊บ หิวข้าวจะตายแล้วครับ เราไปกินข้าวกันก่อนนะหรือแบบกินไปคุยไปก็ได้”

เมื่อโดนหลานชายพูดเสียงหวานออดอ้อน ทิพปภาก็ยอมใจอ่อนอย่างรวดเร็วแม้ยังหน้าเชิดคอแข็งอยู่ก็ตาม เธอเดินนำหลานชายเข้าไปด้านในพลางร้องบอกแม่บ้านให้ตั้งโต๊ะและให้คนไปตามคุณท่านของบ้านมาทานข้าว

ดรัสพงศ์เดินเข้าห้องอาหารมาเห็นหลานชายจึงยกยิ้มพร้อมส่งเสียงถามไปว่า “วันนี้เอาเรื่องอะไรมารายงานยายเขาล่ะ เห็นตอนกลางวันออกไปกินข้าวกับแฟนเจ้าฤทธิ์ กลับเข้ามาหน้าชื่นตาบานเชียวล่ะ”เมื่อเขาทรุดตัวลงนั่งที่หัวโต๊ะ แม่บ้านที่ยืนรออยู่จึงตักข้าวใส่จาน

กวีวัธน์นั่งฝั่งเดียวกับคุณยายเพราะจะได้เอาใจได้เต็มที่

“น้องปลาเขาน่ารักไหมครับ”

“น่ารักอะไร ปากคอเราะร้ายก้าวร้าวขี้โกหกเป็นที่สุด”ทิพปภาตอบคำถามอย่างใส่อารมณ์

“อ้าว เขาก้าวร้าวขี้โกหกยังไงหรือครับ”คนถามละช้อนที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก เงยหน้าถามด้วยความอยากรู้

“ก็บอกว่าตาฤทธิ์เป็นเกย์ แล้วมาพูดเถียงฉอด ๆ”

“น้าฤทธิ์เขาเป็นจริง ๆ นี่ครับ”

ไฮ้!!! เรานี่!!! น้าเราเป็นซะที่ไหน ยายเลี้ยงมากับมือ”ทิพปภายืนยันเสียงแข็ง

“แต่น้าฤทธิ์เขาชอบน้องปลาที่เป็นผู้ชายนี่ครับ แบบนี้แหละเขาเรียกว่าเป็นเกย์ แถมยังตั้งใจจีบน้องเขาจริงจังด้วย”กวีวัธน์พูดจบก็ตักข้าวเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ ปล่อยให้ผู้เป็นยายทำท่าฮึดฮัดขัดใจทั้งไม่คิดลงมือทานอาหารเสียที

“เรื่องนี้ก็เพราะเรานะแหละ”

ชายหนุ่มรีบกลืนอาหารในปาก หน้าตาเหลอหลาหันไปถามคุณยาย “ทำไมมาว่าผมล่ะครับ”

“คุณจันทร์เขาเล่าว่าฝากหนูแขให้ไปทำงานกับตาฤทธิ์แล้ว แต่โดนหลานชายกันท่าโยนงานอะไรไม่รู้มาให้ทำ ตอนนั้นน่ะมันก่อนที่น้าเราจะมาบอกยายเรื่องเด็กคนนั้นอีกไม่ใช่เหรอ”

ชายหนุ่มกลัวว่าคุณยายจะมุ่งความสนใจแต่เรื่องที่คุยกันจนไม่ยอมทานข้าวจริง ๆ เขาจึงตักกับข้าวใส่จานให้ ก่อนพูดตอบ “อ้อ ก็คุณแขอะไรนั่นเขาโง่เองนี่ครับ”

“ไปว่าพี่เขา”คำว่ามาพร้อมฝ่ามือซึ่งฟาดผลัวะเข้าที่ไหล่ กวีวัธน์จึงตักกับข้าวใส่จานคุณยายเพิ่มไปอีกพลางคะยั้นคะยอให้หญิงสูงวัยจับช้อนมาไว้ในมือ

“ผมให้เขาลงตำแหน่งประสานงานโครงการครับ ดูโปรเจกต์ร่วมทุนกับเกาหลีที่จะเปิดค่ายหนัง แล้วโปรเจกต์นี้น้าฤทธิ์ลงไปดูเองตลอด แต่เขาปฏิเสธ คุณยายก็รู้ว่าน้าฤทธิ์เขาไม่ชอบผู้หญิงจงใจตามตื๊อ ต่อให้มาเป็นผู้ช่วยหรือเลขาถ้าน้าฤทธิ์ไม่อยากเห็นหน้าก็ไม่ได้เจออยู่ดีแหละ ผมช่วยเขาสุด ๆ แล้วนะ”กวีวัธน์พยายามแก้ต่างให้ตัวเอง

“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ ปล่อยให้มาเจอกับตาฤทธิ์ได้ยังไง”

กวีวัธน์ตักกับข้าวใส่จานทิพปภาเพิ่มให้อีกจนหญิงสูงวัยต้องร้องปรามบอกให้พอแล้ว

“คุณยายบอกให้ผมช่วยหาแฟนให้น้าฤทธิ์ไม่ใช่เหรอ น้าฤทธิ์จะได้เพลา ๆ เรื่องทำงานลงมาบ้าง”

“แต่ไม่ใช่ให้หาแฟนเป็นเด็กผู้ชายนี่ยะ”

“โน่นเลยครับ วนกลับไปที่คุณสมบัติข้างบนเลยครับ”พูดจบเขาก็ส่งเสียงเรียกแม่บ้านให้เติมข้าว “กับน้องปลานี่ก็ยากนะครับ ไม่ใช่น้าฤทธิ์จะยอมรับง่าย ๆ ผมต้องหลอกล่อสารพัด แถมเสี่ยงโดนน้าฤทธิ์ปลดไปเป็นพนักงานส่งเอกสารตั้งหลายครั้ง”

“เรานี่น่ะ จะหาใครมาให้น้าชายทำไมไม่มาถามความเห็นยายก่อน”

“โธ่ คุณยายครับ คุณสมบัติที่คุณยายอยากได้มันห่างจากสเปกผู้หญิงที่น้าฤทธิ์เขาชอบนะครับ ผู้หญิงที่ชาติตระกูลดี มีทรัพย์สมบัติไม่ตัวเปล่าเล่าเปลือย มารยาทงาม พวกนี้หัวสูงทั้งนั้นแหละ อีกอย่างนะเขาอยู่ต่อหน้าคุณยายก็ทำเป็นเรียบร้อยน่ารัก แต่พออยู่ต่อหน้าผู้ชายก็ทำตัวอีกอย่าง”

“พูดจาอย่างนั้นผู้หญิงเขาเสียนะกลอน”ดรัสพงศ์ที่นั่งเงียบฟังอยู่นานเอ่ยปราม “แล้วใช่ว่าทุกคนที่วงศ์ตระกูลดีจะเป็นอย่างนั้น”

“ผมขอโทษครับคุณตา ผมทราบครับ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบที่ผมกล่าว แต่ผู้หญิงที่ตรงตามคุณสมบัติของคุณยายและตรงสเปกน้าฤทธิ์ ผมว่าป่านนี้แต่งงานมีลูกไปหมดแล้วล่ะครับ”

“แล้วเด็กคนนั้นตรงสเปกตาฤทธิ์หรือไง”ทิพปภาพูดถาม

“ถ้าเมื่อก่อนก็ใช่ครับ ใส ๆ ไม่เยอะ เฮฮาปาร์ตี้ อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย”

“แล้วตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วเรอะ”ดรัสพงศ์เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

“ก็... ที่ช่วงนั้นน้าฤทธิ์เขาไม่ไปข้องแวะอีก เพราะพ่อแม่ของน้องปลาเขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุนั่นนะครับ หลังจากนั้นน้องเขาก็เจอมรสุมชีวิตหลายอย่าง นิสัยอื่น ๆ เปลี่ยนไปยังไงบ้าง ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจแต่ที่ผมรู้ ตอนนี้เขาขี้ระแวงสุด ๆ เลยครับ”

“อุ๊ย! ไม่ใช่ว่าเด็กนั่นมาตีสนิทเพราะวางแผนจะแก้แค้นอะไรหรอกเรอะ”

“คุณก็คิดอะไรเป็นละครไปได้”ชายสูงวัยผู้เป็นสามีเอ่ยแซวพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ไม่หรอกครับ ป่านนี้น้องปลาเขายังไม่รู้เลยว่า ผมกับน้าฤทธิ์เป็นญาติของผู้ก่อเหตุ”

“นั่นก็ไม่แน่ เขาอาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ได้ ไม่รู้ล่ะ ยังไงยายก็ไม่ยอมรับเด็กคนนี้เด็ดขาด”

กวีวัธน์จึงรีบกวาดกับข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยว ๆ กลืนและดื่มน้ำตาม จากนั้นจึงหันไปถามคุณยายว่า “ที่คุณยายไม่ชอบน้องปลา เพราะน้องเขาเป็นผู้ชายหรือครับ”

“ก็รวมทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องนั้นเรื่องเดียว”

“อย่างนั้น ถ้าผู้ชายที่จะมาเป็นแฟนน้าฤทธิ์เขาตรงตามคุณสมบัติของคุณยายทุกอย่าง ไม่ว่าชาติตระกูลการศึกษา คุณยายจะยอมรับไหมครับ”

“โอ๊ย! แบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ผู้หญิงมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่รู้จักเลือกคบมาสักคน”

กวีวัธน์นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ รอจนกระทั่งคุณตาคุณยายทานอาหารเสร็จและแม่บ้านเก็บจาน เปลี่ยนมาเสิร์ฟของหวานแล้ว เขาจึงพูดขึ้นอีกว่า

“เมื่อก่อนตอนที่ผมเอาเรื่องที่น้าฤทธิ์เป็นเกย์มาบอก คุณยายยังไม่ต่อต้านมากขนาดนี้เลย ที่คุณยายไม่ยอมรับเรื่องที่น้าฤทธิ์เขาชอบเพศเดียวกันเพราะว่ามีผู้หญิงที่แสดงออกว่าอยากจะแต่งงานกับน้าฤทธิ์แล้วใช่ไหมครับ”

ทิพปภาปรายตามองคนถาม “ย่ะ แล้วยายก็เชื่อว่าตาฤทธิ์ไม่ใช่เกย์ ตอนคบกับแฟนสมัยมหาวิทยาลัยก็เห็นรักกันจะเป็นจะตาย ตอนที่เลิกกันยังบ้าบอไปตั้งพักใหญ่”

“อ้าว แล้วตอนนั้นคุณยายไปกีดกันน้าฤทธิ์กับแฟนทำไมล่ะ”

“ใครว่ายายกีดกัน แค่อยากให้รออีกสักสามสี่ปีแล้วค่อยแต่งต่างหาก ยัยเด็กนั่นก็ชิงบอกเลิกน้าเราไปก่อน”

“งั้นครั้งนี้ก็ทำแบบนั้นแล้วกันนะครับ”

“ทำแบบนั้นอะไร”ทิพปภาหันไปถามหลานชายอย่างกังขา

“ก็ปล่อยให้เขาคบกันไป เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็เลิกไปเองนั่นแหละ”

“อย่ามาหลอกยายง่าย ๆ เลย ยายไม่หลงกลหรอก ปล่อยให้เขาคบกันแล้วเมื่อไหร่ตาฤทธิ์จะมีลูก น้าเราจะสี่สิบอยู่แล้วนะ เราคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”

“อ้อ คุณยายอยากเลี้ยงหลานนี่เอง งั้นถ้าน้าฤทธิ์มีหลานมาให้คุณยายเลี้ยงได้ ทุกอย่างก็โอเคใช่ไหมครับ”

“ย่ะ แต่ต้องเป็นหลานที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตาฤทธิ์เท่านั้นนะ ไม่ใช่เด็กที่ขอมาเลี้ยง”ทิพปภาเอ่ยบอก เธอคิดว่าตั้งเงื่อนไขแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรลูกชายก็คงไม่สามารถหาเด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองมาได้นอกจากต้องแต่งงานกับผู้หญิง

“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตนะครับ”กวีวัธน์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา กดเข้าแอปพลิเคชันบันทึกเสียงและนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ

“อะไร นี่ไม่เชื่อใจยายรึ”ทิพปภาถามหน้าตื่น ส่วนดรัสพงศ์กลับส่งเสียงหัวเราะพร้อมพูดสนับสนุน “ไม่แปลกนี่คุณ ทำธุรกิจมันต้องรู้จักระมัดระวัง”

“ใช่ครับคุณตา ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจคุณยายนะ แต่กลัวคุณยายเบี้ยวถ้าเกิดน้าฤทธิ์เขาหาลูกมาได้ แล้วผมต้องเอาไปรายงานน้าฤทธิ์ด้วยครับ”

“อ้อ... รับเงินฝั่งโน้นมาเจรจาฝั่งนี้”ดรัสพงศ์พยักหน้าทำท่ารับรู้ แล้วหันไปยุภรรยาว่า “คุณก็จ่ายเงินเกทับไปสิ ให้เจ้ากลอนไปกล่อมเจ้าฤทธิ์ให้ยอมแต่งกับผู้หญิงที่คุณเลือก”

“ผมยอมรับงานนะครับ”หลายชายตอบรับอย่างกระตือรือร้นพร้อมจะกลายร่างเป็นนกสองหัวเปลี่ยนข้างทันที “แต่คุณยายต้องจ่ายเยอะนิดนึง เพราะน้าฤทธิ์บอกว่าถ้าผลงานของผมเข้าตา ผลตอบแทนไม่อั้น”

“ฉันไม่จ่ายหรอกย่ะ”ทิพปภาพูดยืนยัน แล้วเร่งบอกหลานชายว่าจะบันทึกอะไรก็รีบ ๆ ทำซะ กวีวัธน์จึงทวนข้อตกลงและให้คุณยายกล่าวยืนยันอีกครั้ง เมื่อบันทึกเสียงทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว กวีวัธน์จึงพูดกับคุณยายว่า

“คุณยายรู้ไหมครับว่าสมัยนี้ทำเด็กหลอดแก้วได้”

“แล้วยังไงคะ ทำเด็กหลอดแก้วก็ต้องมีแม่อุ้มบุญ แล้วจะไปหาแม่อุ้มบุญมาจากไหน แล้วแม่อุ้มบุญจะไปจ้างผู้หญิงทั่วไปมาเป็นก็ไม่ได้ ผิดกฎหมายอีก อย่าคิดว่ายายไม่รู้เรื่อง ข่าวพวกนี้ออกจะดัง”ทิพปภาพูดพลางตีสีหน้าว่ารู้ทัน

“คร้าบ”กวีวัธน์ขานรับแต่คิดในใจว่าจะไปทาบทามพี่สาวของตนให้มาเป็นแม่อุ้มบุญให้น้าฤทธิ์ คราวนี้น้าชายต้องประทับใจผลงานของเขามากแน่ ๆ

“งั้นวันนี้ผมขอตัวลากลับแล้วครับ”ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือไหว้ สองตายายรับไหว้ก็จริงแต่คุณผู้ชายของบ้านยังเดินตามไปส่งถึงหน้าประตูเพื่อพูดคุยถามข่าวคราวเกี่ยวกับงานที่บริษัท ซึ่งกวีวัธน์ได้รายงานทุกอย่างไปตามตรง



“ฉันถามมาแล้ว แกไปทำท่าดูถูกเขาไม่ใช่เหรอ”พฤทธิกรพูดบอกปลายสาย มองท้องฟ้าด้านบนเป็นสีดำมืดมิดไร้แสงดาวแต่บนพื้นด้านล่างเต็มไปด้วยแสงไฟสว่าง ระเบียงของห้องพักบนคอนโดมิเนียมที่เขาอาศัยอยู่มีสายลมพัดแรงกระนั้นเขายังได้ยินเสียงจากปลายสายชัดเจน

“ดูถูกอะไร ผมแค่พูดว่าอย่างน้องก็คงไม่ใช่ผู้บริหารหรอกมั้ง ซึ่งผมคิดว่าเขาก็ไม่ใช่จริง ๆ”

“แต่ลิฟต์นั่นไม่ให้คนนอกใช้ แม้แต่พนักงานก็ไม่มีสิทธิ์ใช้”

“แต่พนักงานทำความสะอาดมีสิทธิ์ใช้ มันเป็นใครเนี่ยพี่ฤทธิ์ พี่ถึงให้อภิสิทธิ์มันนัก”

เขาหมุนตัวพิงสะโพกเข้ากับราวระเบียงขณะสายตามองตามการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มคนรัก ได้ยินเสียงลูกพี่ลูกน้องสบถกลับมาเมื่อเขาตอบคำถามนั้น

“แฟนฉันเอง”

ปภินวิชพยายามไม่หันไปมองทางชายหนุ่มซึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงด้านนอก ด้วยเพราะระหว่างพวกเขาทั้งคู่กำลังอยู่ในช่วงมึนตึงจากทัศนคติที่ไม่ตรงกัน 

เด็กหนุ่มบอกปวันรัตน์ว่าจะไปอาบน้ำก่อนเดินผลุบหายเข้าไปในห้องของเด็กสาว ถึงจะไปนอนกับพฤทธิกรทุกคืน แต่เสื้อผ้าข้าวของส่วนใหญ่ของเขาก็ยังอยู่ในห้องของเธอ

ทว่าหลังอาบน้ำเสร็จแล้วเขายังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของน้องสาวจนกระทั่งเธอกลับเข้ามา

“พี่ปลา น้าฤทธิ์เขาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วนะ”

“อืม”เขาขานเสียงตอบรับอย่างไม่ค่อยอยากรับรู้มากนัก จนเด็กสาวแปลกใจแต่ก่อนที่จะเธอจะเอ่ยถาม เขากลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“เราสองคน... ย้ายกลับไปอยู่หอเดิมกันดีไหม”

“พี่ปลาทะเลาะกับน้าฤทธิ์เหรอ”

เด็กหนุ่มไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงรู้ เพราะจู่ ๆ เขาพูดออกไปแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงต้องเดาได้ “ก็ไม่เชิงทะเลาะ แต่พี่กับคุณฤทธิ์โคตรต่างกันเลย เขาเป็นประธานบริษัท พี่เป็นแค่เด็กที่เรียนไม่จบต้องทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด เงินก็ไม่มี หาเงินด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ความรู้อะไรก็ไม่มีสักอย่าง แถมเป็นผู้ชายอีก”

“คิดอะไรมากขนาดนั้นเนี่ย”ปวันรัตน์พาตัวเองมานั่งบนเตียงข้าง ๆ พี่ชาย เมื่อรู้สึกว่าวาระนี้คงต้องคุยกันอีกยาว

“เรื่องเรียนอะ เดี๋ยวปีหน้าพี่ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เหรอ พอเรียนจบก็หางานทำ ทีนี้ก็มีเงินแล้วและมีความรู้ด้วย แล้วถ้าอยากเป็นผู้หญิงก็ไปผ่าตัดแปลงเพศ”

ปภินวิชเหล่มองน้องสาวด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ก่อนจะส่งเสียงเฮอะออกมา “เธอไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่เข้าใจอะไร พี่น่ะคิดเยอะเกินไป ขนาดปุ้ยเป็นผู้หญิงยังไม่คิดอะไรให้มันยุ่งยากเลย”

“ปุ้ยไม่ได้มาเจออย่างพี่ ปุ้ยไม่เข้าใจหรอก”

“ถ้าพี่ปลาพูดคำนี้ก็จบเลย”เด็กสาวพูด นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “เอางี้ สมมติปุ้ยมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียนพี่ปลาจะทำยังไง”

“ปัญหาอะไรล่ะ”

เด็กสาวนิ่งคิดไปอีกครู่ “เพื่อนในกลุ่มค่ะ เหมือนไม่อยากให้ปุ้ยอยู่ในกลุ่มด้วย แบบ... เห็นหน้าแล้วเกลียดขี้หน้าอะไรทำนองนี้ ชอบจิกชอบกัดค่อนแคะปุ้ยตลอด แล้วก็เอาปุ้ยไปด่าในเฟซ”

“เพื่อนคนไหน เปิดหน้าฟีดให้พี่ดูหน่อยดิ”

“สมมติค่ะ สมมติ”ปวันรัตน์พูดย้ำ “เนี่ยสมมติว่าปุ้ยเจอปัญหาแบบนี้ พี่ปลาจะแนะนำยังไง”

“ถ้าเพื่อนเอาปุ้ยไปด่าในเฟซ พี่จะเข้าไปดูก่อนว่าร้ายแรงแค่ไหน พูดชื่อปุ้ยออกมาหรือเปล่า มีชื่อปุ้ยออกมาพี่จะแค็ปหน้าจอเอาไปแจ้งอาจารย์ที่โรงเรียน แต่ถ้าไม่... ก็ปล่อยเขาไป ส่วนเรื่องที่เพื่อนในกลุ่มเกลียดขี้หน้า ก็ไปคบกลุ่มอื่นสิ”

“พี่ปลาไม่เข้าใจหรอก พี่ไม่ได้มาเจออย่างปุ้ย พี่ไม่มีวันเข้าใจ”คนพูดใช้โทนเสียงฉุนเฉียวขุ่นเคืองผสมกลับมาด้วย

ปภินวิชถึงกับชะงักค้างนิ่งอึ้ง ปวันรัตน์จึงส่งเสียงหัวเราะ “อืมก็ประมาณนี้แหละ ปุ้ยไม่ได้ว่าพี่ปลานะ แต่พอเป็นปัญหาของคนอื่นทำไมคนเราถึงให้คำแนะนำได้ง่ายเชียว แต่ปัญหาของตัวเองถึงคิดไม่ออกล่ะคะ แถมยังว่าคนที่ให้คำแนะนำด้วย”

ถึงน้องสาวจะพูดอ้างมาก่อนหน้าว่า ไม่ได้เจาะจงว่าเขา แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนว่ากระทบกลาย ๆ อยู่ดี กระนั้นเมื่อเห็นพี่ชายยังดูหม่นหมอง ปวันรัตน์จึงเข้าไปกอดปลอบ

“โอ๋ ๆ ไม่โกรธนะ ปุ้ยแค่ล้อเล่น พี่ปลาก็รู้ว่าปุ้ยยังไม่เคยมีแฟน ให้คำปรึกษาไม่ได้หรอกค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรคาใจก็ถามน้าฤทธิ์สิคะ เหมือนที่แม่ทำอะ เจอข้อความที่ผู้หญิงส่งมาชวนพ่อไปกินข้าวในโทรศัพท์ ก็ถือสากเอาไปถามพ่อเลย”

ปภินวิชหัวเราะออกมาบ้าง เพราะเรื่องราวนั้นนับว่าเป็นเรื่องตลกอมตะของบ้าน เนื่องจากแม่ของพวกเขาต้องลงทุนไปยืมไม้ตีพริกจากเพื่อนบ้านเพื่อเอามาเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากยามที่ไปถามเค้นผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับข้อความในโทรศัพท์

อย่างไรก็ดี เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา ตามด้วยเสียงพูดของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องพักในคอนโดหรู

“นี่น้าเอง น้าเข้าไปได้หรือเปล่า”

“เปิดเข้ามาเลยค่ะ”ปวันรัตน์ร้องตะโกนบอกออกไป พฤทธิกรเปิดประตูเข้ามาแต่หยุดยืนอยู่ที่กรอบประตู

“พอดีน้ามาดูว่าพี่ชายของปุ้ยจะนอนห้องนี้หรือเปล่า”

เด็กสาวเบ้ปากทำหน้าตาแปลกประหลาดจากนั้นจึงหันไปมองหน้าพี่ชาย “แยกห้องนอนเป็นอาการเริ่มต้นของรักร้าว”

“ไหนบอกไม่เคยมีแฟนทำไมรู้ดีจัง”เด็กหนุ่มกระซิบพูดกับน้องสาวทั้งยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ปวันรัตน์จึงกระซิบตอบกลับไปว่า “พี่ปลาไม่รู้จักโซเชียลเน็ตเวิร์กเหรอ อยากรู้อะไรก็ถามอากู๋สิ”หลังจบประโยคนั้นเธอลุกขึ้นยืนพลางฉุดมือพี่ชายให้ลุกขึ้นเดินตาม แล้วขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งมาดันหลังให้พี่ชายเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม

“นี่ค่ะ ปุ้ยพาพี่ปลามาส่งคืน”

ถึงกระนั้นปภินวิชได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น พฤทธิกรมองตามท่าทางนั้นของคนรักก่อนจะหันไปยกยิ้มขอบคุณให้เด็กสาว จากนั้นจึงบอกราตรีสวัสดิ์พร้อมทั้งพาปภินวิชเดินออกมา

เข้ามาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวแล้วพฤทธิกรจึงเอ่ยว่า “ถ้าฉันทำให้เธอโกรธก็ขอโทษด้วย” ทว่าเด็กหนุ่มกลับสะบัดหน้าหนีปีนขึ้นเตียงและสอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนหันหลังให้โดยไม่แม้แต่ส่งเสียงตอบกลับมา ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจ เขาเดินไปหยิบรีโมตขึ้นมาปิดไฟ ก้าวเท้าขึ้นเตียงนอนซึ่งปภินวิชก็ขยับตัวออกห่างทันที เขามองการแสดงออกนั้นด้วยอาการวูบโหวงในอก กระนั้นก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่แม้แต่จะขยับเขาไปหาอีกฝ่าย

นี่เป็นคืนแรกที่เขาและเด็กหนุ่มนอนห่างกันคนละฟากของเตียงนับตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งคู่ตกลงปลงใจคบหากัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ก่อนอื่นขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ค่ะ ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่เป็นคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับนิยาย ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่ทำให้เรารู้ว่าคุณชื่นชอบนิยายเรื่องนี้
นิยายเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วค่ะ แต่ยังไม่ขอกำหนดจำนวนตอนที่แน่นอนนะ ขอฝากให้ทุกท่านติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ บทที่ 24 จะได้พบกันวันที่ 4 มกราคม 2561 ค่ะ
สุดท้าย ขอให้ทุกท่านเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลโดยสวัสดิภาพค่ะ ขับขี่อย่างระมัดระวัง สวมหมวกกันน็อก/คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ถ้าเมาก็กลับรถทัวร์นะคะ ขอให้โชคดีค่ะ//*

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด