พิมพ์หน้านี้ - อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ตีสี่ ที่ 22-09-2017 12:21:48

หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 22-09-2017 12:21:48
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น

หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 1 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 22-09-2017 12:23:02
01



ในชีวิตของคนเรามันคงต้องมีบ้างสักครั้งสองครั้งที่จนตรอกจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน อาจจะไม่ใช่ทุกคนแต่สำหรับปภินวิชมันคือครั้งนี้ เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มคือถนนเส้นที่ผู้คนส่วนใหญ่รับรู้กันว่า คนดี ๆ ไม่ควรเหยียบย่างไปในยามค่ำคืน เพราะมันคือแหล่งซื้อขายความสำราญจากเรือนร่างที่จ่ายได้ด้วยเงิน เขาลังเลเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เพราะหวั่นกลัวว่าถ้าก้าวเท้าออกไป โลกที่เขาอยู่อาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่สิ่งที่ตอกย้ำไม่ให้เขาถอยเท้าหนี มันคือเงินจำนวนมากที่เขาไม่อาจหาได้จากการเป็นแรงงานรายเดือน

เมื่อสองปีก่อน มีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นบนท้องถนน อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นในยามเช้า สาเหตุเกิดจากมีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงฝ่าไฟแดง พุ่งเข้าชนรถยนต์คันอื่นซึ่งกำลังออกตัวเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าบริเวณสี่แยก หลังรอไฟเขียวมาสามนาที ที่ถูกเรียกว่าอุบัติเหตุใหญ่เพราะมีรถยนต์ซึ่งเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจำนวนมาก นอกเหนือจากจำนวนรถยนต์คือจำนวนผู้เสียชีวิต

ชีวิตของปภินวิชเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือในทันที

เช้าวันนั้น พ่อ แม่และน้องสาวของเขาโดยสารไปในรถยนต์คันเดียวกันเช่นปกติ พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ตึกเดียวกัน ไปทำงานพร้อมกันตั้งแต่แต่งงานกันใหม่ๆ ส่วนน้องสาวหลังจากขึ้นมัธยมก็ติดเบาะหลังรถไปลงหน้าโรงเรียนทุกเช้า ส่วนตอนเย็น เธอจะนั่งรอพ่อแม่ซึ่งผ่านมารับหลังเลิกงาน

ปภินวิชเป็นคนเดียวที่ออกจากบ้านสายกว่าคนอื่น โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ตั้งอยู่คนละทิศทางกับบริษัทของพ่อแม่ ทั้งยังใกล้บ้าน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่มีเหตุให้ต้องทำตัวเร่งรีบในยามเช้า

เขาปิดล็อกประตูบ้านและออกจากบ้านไปโรงเรียนตามปกติ กระทั่งประมาณคาบที่สองโทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาจึงสั่นระรัวขึ้นมา เขาไม่ได้หยิบออกมาดูเพราะคิดว่าเป็นข้อความ แต่เพราะการแจ้งเตือนนั้นยาวนานต่อเนื่องเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกเขาจึงตัดสายทิ้ง ทว่าสัญญาณเรียกเข้ายังมีมาต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง และถึงจะตัดสายซ้ำ ปลายสายกลับโทรกลับเข้ามาอีกครั้ง สุดท้ายเขาจำต้องขออนุญาตอาจารย์เพื่อรับสายนี้

แค่คู่สนทนาแจ้งว่าโทรมาจากโรงพยาบาลเขาก็ใจหายวูบ ยิ่งได้ยินว่ารถยนต์คันที่พ่อแม่ใช้เกิดอุบัติเหตุ เขาก็ตรงดิ่งไปโรงพยาบาลทันที ประตูรั้วโรงเรียนปิดล็อกเขาก็กระโดดข้ามรั้วไปอย่างไม่ลังเล ทั้งที่เขาเป็นเด็กนักเรียนที่อยู่ในกฎระเบียบมาตลอด

อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต เหลือเพียงน้องสาวที่เจ็บหนักต้องนอนพักรักษาตัวอยู่หลายเดือน

เขาได้รับเงินประกันชีวิตของพ่อแม่ เงินชดเชยและเงินเยียวยาทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่ปภินวิชรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตจนกระทั่งพวกเขาสองคนพี่น้องจบปริญญาตรี ทีแรก เขาตั้งใจว่าอย่างน้อยก็ขอให้เรียนมัธยมปลายจนจบ การมีวุฒิการศึกษาจะทำให้เขาหางานได้ง่าย แต่เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้น้องสาวของเขาตรวจพบเนื้องอกในสมอง ...ราวกับว่าพวกเขายังเผชิญเคราะห์กรรมไม่เพียงพอ

บิดามารดาของปภินวิชเป็นพนักงานบริษัท เงินเดือนของทั้งสองคนรวมกันเพียงพอต่อการผ่อนบ้านที่อาศัยอยู่ ค่าเล่าเรียนของลูกทั้งสองคนรวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะ นอกจากนี้ยังมีเงินเก็บในธนาคารอยู่อีกเล็กน้อย เล็กน้อยที่ว่าคือระดับหลักแสน เด็กหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของตนไม่ได้ร่ำรวยเพราะถูกสอนไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะขาดเสาหลักของครอบครัวเร็วเกินไป ทุกอย่างจึงซวนเซไปหมด

หลังหมดปีการศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน และขายบ้านเพื่อนำเงินเหล่านั้นมารักษาน้องสาว ครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่

น้องสาวของเขาได้รับการผ่าตัดเนื้องอกหลังจากรักษาอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจนแข็งแรง เธอและเขาจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาอีกหลายเดือน ก่อนจะตรวจพบเนื้องอกก้อนใหม่และมันมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

แพทย์ผู้วินิจฉัยบอกว่ามันอาจจะเป็นเนื้อร้าย นั่นหมายถึงค่ารักษาที่ตามมาหลังจากผ่าตัด

เขาไม่ยอมเสียน้องสาวไปอย่างเด็ดขาด

ยามที่ขลาดกลัวจนหันหลังกลับ ความคิดนี้ได้ผุดขึ้นมาในใจทุกครั้ง ทำให้เขาย่ำเท้ากลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ จนเวลาค่อนดึกขึ้นเรื่อย ๆ เขาหยุดยืนสูดลมหายใจเข้าปอดซ้ำ ๆ พลางกล่อมตัวเองว่ามันไม่เสียหายอะไร เขาเป็นผู้ชาย การนอนกับคนแปลกหน้าไม่ได้ทำให้เขาสึกหรอ และเมื่อเทียบระหว่างศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้กับน้องสาวเดียวที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เกิด คำว่าศักดิ์ศรีมันกลายเป็นเพียงนามธรรมที่คนส่วนมากบัญญัติขึ้นมาเท่านั้นเอง

เมื่อตัดสินใจได้ เขาจึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ทว่าท่อนแขนของเขากลับถูกรั้งไว้เสียก่อน ชายหนุ่มหันไปมองคนที่ดึงตนไว้ อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเขาหันกลับไปมองจึงปล่อยมือ แล้วยกยิ้มคล้ายพยายามผูกมิตร

“คุณปภินวิช รัตนชัยใช่ไหมครับ”

การที่คนแปลกหน้าเอ่ยชื่อจริงนามสกุลจริงของเขาออกมาทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งตัวขึ้นด้วยความหวาดระแวง

“ผมไม่ได้มาร้ายครับ แค่ต้องการพูดคุยธุรกิจกับคุณ”

ถึงจะได้ยินเช่นนั้นความระแวดระวังของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ลดน้อยลง ตัวเขาไม่ได้มีทรัพย์สินหรือมีความสามารถใดที่จะเจรจากับอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่ขมวดคิ้วเขม่นมองอย่างไม่วางใจ

“ไปหาที่นั่งคุยกันไหมครับ”

ปภินวิชสั่นศีรษะปฏิเสธทันควัน “ไม่ดีกว่าครับ ผมขอตัว”

กระนั้น ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มกลับไม่ให้เขาไปอย่างที่หวัง และกลายเป็นว่าปภินวิชถูกล้อมโดยชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำซึ่งมองปราดเดียวเด็กหนุ่มก็สามารถคาดเดาอาชีพของบุคคลที่อยู่รอบตัวได้ทันที

“ไม่ต้องตื่นตกใจไปครับ ผมรับรองความปลอดภัยของคุณ หากหลังจากที่เราคุยกันเสร็จและคุณไม่สนใจข้อเสนอของผม คุณจะยังมีชีวิต ร่างกายครบสามสิบสองและไม่บาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น”

ให้คนของตัวเองมาดักขวางทางเขาไว้แล้วบอกว่าเขาจะปลอดภัยแน่นอนเนี่ยนะ ใครมันจะไปเชื่อวะ ปภินวิชได้แต่สบถในใจ หัวใจเต้นรัวและเหงื่อซึมข้างขมับแม้ว่าอากาศยามกลางคืนจะเย็นลงแล้วก็ตาม

“รถจอดอยู่ทางนี้ครับ” คนพูดผายมือ

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ พยายามข่มอาการสั่นกลัวและก้าวเท้าไปข้างหน้า เมื่อคู่สนทนาเห็นเขาก้าวเท้าเดินจึงสาวเท้าเดินนำไป

รถยนต์ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงจอดอยู่ริมถนนไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาพูดคุยกันนัก รถยนต์สีดำเงาวับบ่งบอกฐานะของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ชายหนุ่มคนดังกล่าวยังเปิดประตูที่นั่งตอนหลังให้เขาอีกด้วย ปภินวิชก้าวเท้าเข้าไปด้านใน หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วยังไม่คลายอาการตื่นกลัว

ถ้าเขาตัวคนเดียวคงไม่รู้สึกวิตกกังวลถ้าหากตัวเองต้องตาย แต่การมีชีวิตอยู่ของเขามันหมายถึงชีวิตของน้องสาวด้วยเช่นกัน

เด็กหนุ่มกุมมือตัวเองไว้แน่น เบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างรถยนต์ พยายามมองและจดจำทิศทางที่รถวิ่งผ่าน พร้อมคิดถึงทางหนีทีไล่ รวมถึงพยายามสงบใจเพื่อให้ตัวเองมีสติและเอาตัวรอดให้ได้

รถยนต์วิ่งเลี้ยวเข้าสู่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่านกลางใจเมือง เมื่อเห็นสถานที่จุดหมายที่อีกฝ่ายพาตนมา อารมณ์เคร่งเครียดซึ่งเกาะกุมความคิดและหัวใจของเขาอยู่จึงผ่อนคลายลงบ้าง

ชายหนุ่มที่ต้องการพูดคุยเจรจากับเขาลงจากรถและเดินนำเขาเข้าไปในโรงแรม พาเขาขึ้นลิฟต์มายังห้องอาหารชั้นบน เด็กหนุ่มก้มมองเสื้อผ้าตนเองที่ไม่น่าจะเหมาะกับสถานที่ แต่อีกฝ่ายยังเดินนำหน้าเขาไปและไม่มีพนักงานคนใดกล้ากล่าวต่อว่า ปภินวิชจึงเดินตามต่อไปเงียบ ๆ ในตอนนี้ความหวาดวิตกที่เคยมีก่อนหน้าได้จางหายไปเกือบหมด เหลือเพียงความคลางแคลงสงสัยเท่านั้น

“ทานอะไรหรือยัง สั่งอาหารก่อนไหม” คู่สนทนาถามทันทีที่พวกเขาได้ที่นั่ง น้ำเสียงที่ใช้พูดฟังดูผ่อนคลายเหมือนพูดคุยกับญาติพี่น้องคนสนิท แต่เด็กหนุ่มไม่มีทางสนิทใจด้วยแน่นอนแม้ว่าความระแวงจะเจือจางลงแล้วก็ตาม

“ไม่ดีกว่าครับ เข้าเรื่องของคุณเลยดีกว่า”

ฝ่ายตรงข้ามโคลงศีรษะรับ “อ้อ... ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อกวีวัธน์ เจียรพิบูลย์ นี่นามบัตรผมครับ”

นามบัตรที่ทำมาจากกระดาษสีขาวอย่างหนาถูกเลื่อนมาตรงหน้า ปภินวิชแค่เหลือบตามองแต่ไม่ได้คิดที่จะหยิบขึ้นมาดู ระหว่างนั้นมีพนักงานเข้ามาเสิร์ฟน้ำให้เขา ส่วนของอีกคนเป็นไวน์แดงในแก้วทรงสูง

“ผมคิดว่าคุณคงกำลังหารายได้พิเศษ ผมจึงมีงานรายได้ดีมานำเสนอ”

คราวนี้เด็กหนุ่มจึงหลุบตาอ่านรายละเอียดบนนามบัตรซ้ำอีกครั้ง ตำแหน่งหน้าที่การทำงานของกวีวัธน์ซึ่งระบุอยู่บนกระดาษทำให้เขาแคลงใจ เขาไม่คิดว่าคนที่มีหน้าที่การงานดีขนาดนี้จะหาลำไพ่พิเศษด้วยการเป็นนายหน้า

“นี่เป็นตัวเลขที่คุณจะได้ต่อครั้ง” กวีวัธน์ดึงปากกาซึ่งเหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อมาเขียนตัวเลขลงบนกระดาษที่เขาขอมาจากพนักงาน จากนั้นเลื่อนไปให้เด็กหนุ่มดู ปภินวิชที่เห็นข้อเสนอนั้นถึงกับแสดงอาการตกใจ เพียงแต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความหวาดระแวงที่ฉายชัดมากกว่าเดิม

“ผมไม่ทำงานผิดกฎหมาย”

กวีวัธน์หัวเราะ “เจตนาของคุณที่ไปยืนอยู่แถวถนนเส้นนั้นไม่ผิดกฎหมายหรือ ผมจำได้ว่ามันก็ผิดกฎหมายบ้านเราเหมือนกัน”

ปภินวิชเถียงไม่ออก

“งานนี้ไม่ยาก ผมแค่อยากให้คุณดูแลนายท่าน ทำให้นายท่านพอใจ ไม่ต่างจากงานที่คุณตั้งใจจะทำ แต่ได้เงินเยอะกว่า” กวีวัธน์กล่าวเหมือนสิ่งที่บอกเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

“ผมจะเลิกทำเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ”

“อันนี้บอกยาก” คนพูดมีสีหน้าลังเล “ถ้านายท่านไม่พอใจ แค่ครั้งเดียวคุณคงไม่ต้องไปหาเขาอีก แต่ถ้านายท่านพอใจคุณ มันอาจจะมีครั้งที่สองที่สามตามมาเรื่อย ๆ”

“ผมไม่ได้คิดว่าจะทำแบบนี้ไปตลอด”

“ไม่ดีหรือไง มีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงานหนัก”

“ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่คิดจะทำงานแบบนี้หรอกนะ” ปภินวิชพูดอย่างฉุนเฉียว เขากัดงับกลืนคำว่า 'ตนเองก็มีศักดิ์ศรีลงคอ' เพราะตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ คำว่าศักดิ์ศรีก็ไม่มีความหมายแล้ว เพียงแต่ เขาไม่อยากให้น้องสาวต้องทุกข์กังวลโทษตัวเอง

กวีวัธน์พยักหน้ารับรู้ด้วยท่าทางที่เด็กหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด

“ถ้าอย่างนั้น... ก็ได้ คุณอยากทำกี่ครั้งล่ะ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ปภินวิชแปลกใจอีกครั้ง ดูเหมือนว่ากวีวัธน์จะเป็นนายหน้าที่มีอำนาจอยู่ไม่น้อยถึงสามารถต่อรองนายท่านที่ว่านั่นได้ หรือไม่ก็นายท่านที่ว่าอาจจะไม่ใช่คนคนเดียว

“ผมไม่รับงานอะไรที่พิเรนทร์ ๆ นะ” เด็กหนุ่มบอกออกไปก่อน

“ไม่พิเรนทร์แน่นอน แต่อาจจะมีอุปกรณ์อื่นบ้าง” กวีวัธน์บอกออกไปอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่รู้รสนิยมของนายท่านเสียด้วย จึงได้แต่บอกออกไปกลาง ๆ “แต่คุณไปยืนอยู่แถวนั้นอาจจะเจออะไรที่รุนแรงกว่าการไปกับนายท่านอีกนะ”

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงครุ่นคิด เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ถ้าได้เงินตามที่อีกฝ่ายเสนอมา ทำงานเพียงไม่กี่ครั้งก็เพียงพอต่อค่ารักษาของน้องสาวแล้ว

“ถ้าคุณยังต้องการเวลาตัดสินใจ...”

“ได้ ผมตกลง” ปภินวิชพูด เขาไม่อยากลังเลอีก เขาไม่อยากให้ความรู้สึกหวั่นกลัวในใจต้องเป็นอุปสรรคให้ตัวเองลังเล เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับน้องสาวของเขาอีกแล้ว

“ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะติดต่อไป” เขาพูดพลางยกมือเรียกพนักงานให้คิดเงิน ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำเด็กหนุ่มลงจากห้องอาหารไปที่รถและบอกว่าจะไปส่งที่บ้าน แต่ปภินวิชเอ่ยปฏิเสธบอกว่าเขาสามารถกลับเองได้ จากนั้นจึงรีบสาวเท้าจากมา เพราะเขาไม่อยากให้นายหน้าอย่างกวีวัธน์รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน

เด็กหนุ่มยืนรอรถประจำทางอยู่นานจนหวั่นว่ามันจะไม่มีแล้ว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาพลางคิดว่าเขาอาจจะพลาดรถเมล์เที่ยวสุดท้ายหรือเปล่า เขามีเงินติดตัวอยู่หลายร้อยแต่ไม่อยากนั่งแท็กซี่ ตั้งแต่เหลือกันแค่สองคนพี่น้อง เขาพยายามประหยัดอดออมทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้ นั่งรออยู่นาน ในที่สุดรถประจำทางก็ผ่านมาเสียที เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

เนื่องจากขายบ้านไปแล้ว เขาและน้องสาวจึงต้องมาเช่าห้องเล็ก ๆ อยู่กันสองคน แม้จะเป็นหอพักหน้ามหาวิทยาลัยแต่เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ถัดออกมาจากเขตใจกลางเมือง ค่าห้องเช่าจึงถูกตามสภาพห้องที่ค่อนข้างเก่า นอกจากนั้นแถวนี้ยังมีโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในบริเวณที่ไม่ห่างกันนัก อาจจะดูโหดร้ายไปสักหน่อยที่ต้องให้น้องสาวลาออกจากโรงเรียนเก่าและย้ายมาเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่ใกล้ ๆ หอพักแต่เมื่อพูดคุยกัน น้องสาวที่น่ารักของเขาก็ยินยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี

“พี่ปลายังอุตส่าห์ลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานหาเลี้ยงหนูเลย หนูจะดื้อกับพี่ได้ยังไง”

เมื่อก่อน ปภินวิชและน้องสาวเคยทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสาพี่น้อง แต่หลังจากที่สูญเสียพ่อและแม่จนเหลือกันแค่สองคน เขาจึงรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองรักน้องสาวคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม

“พี่ปลา” เสียงเรียกชื่อทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง น้องสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ เธออยู่ในชุดนักเรียนเตรียมพร้อมจะไปโรงเรียน

“พี่ไม่กินเลย ง่วงหรือคะ”

อาการป่วยของเธอยังคงทรงตัว สิ่งที่แสดงอาการของโรคคืออาการปวดศีรษะในบางครั้ง หมอจึงอนุญาตให้เด็กสาวได้ไปโรงเรียนก่อนจะเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างจริงจังเมื่อพวกเขาพร้อม

“เปล่าสักหน่อย เราเถอะ รีบ ๆ กินเข้าเดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”

“ไม่สายหรอก โรงเรียนของปุ้ยอยู่แค่นี้เอง เดินไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง”

เธอพูดพร้อมลงมือทานอาหารมื้อเช้าต่อจนอิ่ม เมื่อเธอพร้อมออกจากห้องเขาจึงย้ำเรื่องยาที่ต้องมีติดตัว

“ปุ้ยไม่ลืม พี่ปลาเองก็นอนต่ออีกหน่อยนะคะ เมื่อคืนก็กลับมาดึก” เธอบอกจากนั้นจึงยกมือขึ้นประนมไหว้เขา แต่ก่อนปุ้ยหรือปวันรัตน์ไม่เคยยกมือไหว้เขาก่อนออกจากบ้าน เธอไหว้แค่พ่อและแม่ตามธรรมเนียมที่ถูกสอนมา แต่เมื่อบุพการีทั้งสองเสียไป เธอจึงไหว้เขาในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง

ปภินวิชทำงานเป็นพนักงานขายสินค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ห่างออกไปประมาณสี่ป้ายรถเมล์ เขามีวุฒิมัธยมสามซ้ำยังหน้าตาดี นอกจากนี้เรื่องเคราะห์กรรมที่เขาประสบยังทำให้มีแต่คนเอ็นดูได้ไม่ยาก รวมทั้งการพยายามลดนิสัยติดตัวบางอย่างลงเพื่อให้ทำงานได้นาน ๆ เขาเป็นพวกใจร้อนชอบมีเรื่องปะทะฝีปากกับคนอื่นไปทั่วเพราะเป็นพวกขวานผ่าซาก จึงไม่อยากให้ข้อด้อยมาทำให้ชีวิตของเขามีอุปสรรคมากไปกว่าเดิม

เด็กหนุ่มออกจากห้องประมาณเก้าโมงสิบห้านาที เขาเผื่อเวลาสำหรับการรอรถประจำทางและต้องตอกบัตรก่อนเข้างานอย่างน้อยสิบห้านาทีเพื่อจัดเตรียมความเรียบร้อยของสินค้า เพราะทันทีที่ห้างเปิดพนักงานทุกคนต้องยืนประจำแผนกเพื่อรอต้อนรับลูกค้า

ปภินวิชอยู่แผนกเครื่องแต่งกายชาย ซึ่งมีทั้งแบรนด์ที่เขารู้จักและไม่รู้จัก หรือต่อให้ไม่รู้จักแบรนด์สินค้าที่ต้องดูแล ที่ห้างก็มีรุ่นพี่คอยแนะนำและมีระยะเวลาให้ทดลองงาน ซึ่งเขาได้ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว

“ปลา รีบจัดด่วนเลย เช้านี้จะมีฝ่ายบริหารมาเดินดูก่อนห้างเปิด” พี่ที่เป็นหัวหน้าเดินมาบอกเขาก่อนจะเดินเลยไปส่งเสียงเตือนคนอื่น เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กที่คล่องแคล่วว่องไวสมกับที่ทำงานในห้างสรรพสินค้ามานาน

ด้วยเหตุนั้น ตอนที่ปภินวิชได้ยินเสียงสัญญาณเตือนก่อนห้างเปิด เขาถึงเห็นกลุ่มคนในชุดสูทกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากประตูเข้าออกของพนักงาน เด็กหนุ่มรีบสาวเท้ามายืนประจำจุด มองดูพนักงานคนอื่นๆ ยืนนิ่งประจำที่เรียงเป็นแถว

เขาทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มาร่วมหนึ่งปีแล้ว จึงเริ่มเคยชินกับการตรวจประเมินของฝ่ายบริหาร นอกจากนี้บางครั้งยังมีการตรวจสอบการบริการแบบไม่ให้รู้ตัว โดยมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายตรวจสอบแต่งตัวธรรมดาปกติปะปนไปกับผู้มาใช้บริการของห้าง กระนั้นปภินวิชก็ยังคงแอบเหลือบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ทว่าความอยากรู้อยากเห็นครั้งนี้ไม่ดีเสียเลย เมื่อเขาบังเอิญไปสบตากับนายหน้าที่เพิ่งเจอกันเมื่อวาน เด็กหนุ่มหลุบสายตาก้มหน้าหนีอย่างรวดเร็ว อาจฟังดูว่าเป็นการหวาดวิตกเกินเหตุแต่เด็กหนุ่มก็หวั่นกลัวว่าการพบกันระหว่างเขาและกวีวัธน์เมื่อคืนจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในปัจจุบัน ถึงกระนั้นคู่กรณีกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าให้หัวใจของเขาทำงานหนักเพิ่มขึ้น ก่อนจะยอมก้าวเท้าจากไปโดยไม่พูดอะไร

กรุงเทพก็ไม่ได้แคบ ไม่รู้ว่าบังเอิญมาอยู่แถวนี้ได้อย่างไร ปภินวิชบ่นพึมพำในใจพลางลูบอกให้คลายอาการตื่นตระหนก

“เป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อเช้าเห็นท่าทางแปลกๆ”

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองชายหนุ่มพนักงานรุ่นพี่ซึ่งเดินเข้ามาหาหลังผ่านพ้นช่วงเวลาเปิดห้าง

“เปล่าครับ” เขาตอบปฏิเสธ จะให้บอกเรื่องราวที่เจอกวีวัธน์กับคนอื่นได้อย่างไร

คนฟังเลิกคิ้วมองก่อนจะสาธยายข้อมูลของกลุ่มผู้บริหารเมื่อเช้าให้ฟัง “ได้ยินจากเจ๊มาว่า มาจากสำนักงานใหญ่ เห็นว่าสุ่มตรวจห้างในเครือ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม เขาไม่ใช่คนพูดน้อยแต่ไม่ใช่คนช่างพูดด้วยเช่นกัน สมัยเรียนก็พูดคุยกับเพื่อนปกติ มีเพื่อนสนิทและมีกลุ่มเพื่อนที่พูดคุย ทำงาน เล่นกีฬาด้วยกันได้ เพียงแต่เมื่อถูกบังคับให้ก้าวสู่วัยทำงานแบบกะทันหัน ต้องมาทำงานร่วมกับคนที่อายุมากกว่าหลายปี เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะชวนคุยเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ในที่ทำงาน ตัวเขาก็คุยกับคนอื่นแต่เรื่องงาน

หลังจากนั้น ปภินวิชทำงานไปอย่างราบรื่นตลอดทั้งวัน คงเพราะหน้าตาด้วยล่ะมั้ง ที่ทำให้แม้แต่ลูกค้าก็เอ็นดู เมื่อรวมกับการพูดจาสุภาพไพเราะเข้าไปด้วย จึงไม่ค่อยเจอลูกค้าโวยวายแบบที่พนักงานบางคนเคยเจอ





สองสามวันหลังจากนั้น กวีวัธน์ได้ติดต่อมาเพื่อนัดหมายสำหรับการทำงานครั้งแรก ถึงจะบอกตัวเองว่าตัดสินใจแล้ว กระนั้นเขายังรู้สึกหวั่นกังวลอยู่ลึกๆ

ดูเหมือนว่ากวีวัธน์จะตรวจสอบเวลาทำงานของเขามาแล้ว เนื่องจากเวลาสำหรับการทำงานในห้างสรรพสินค้าถูกแบ่งเป็นสองกะ ตอนเช้าเข้างานตั้งแต่สิบโมงถึงหนึ่งทุ่มและกะบ่ายเข้างานตั้งแต่เที่ยงถึงสี่ทุ่ม พนักงานจะได้รับตารางการเข้างานตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เวลางานนั้นก็สลับกันไประหว่างกะเช้าและกะบ่าย ที่ปภินวิชคิดว่านายหน้าคนนั้นตรวจสอบตารางการทำงานของเขาเพราะวันที่มีการนัดหมาย เด็กหนุ่มเลิกงานตอนหนึ่งทุ่มและวันรุ่งขึ้นเขามีตารางเข้าทำงานตอนเที่ยง

เด็กหนุ่มบอกน้องสาวว่า เพื่อนที่รู้จักกันให้ไปช่วยงานกลางคืนจึงไม่กลับมานอนที่ห้องและบอกย้ำให้เด็กสาวปิดล็อกประตูให้ดี อย่าเปิดประตูให้ใครไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งก่อนหน้านั้นตั้งแต่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เด็กหนุ่มได้หากลอนประตูมาติดเพิ่มไว้แล้ว

สถานที่นัดหมายกับกวีวัธน์ในคราวนี้ยังคงเป็นร้านอาหารเช่นเดิม เด็กหนุ่มเพิ่งเลิกงานก็ตรงดิ่งมาทันที แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความกระตือรือร้น แต่เป็นเพราะห้างสรรพสินค้าที่เขาทำงานอยู่ห่างจากร้านอาหารนั้นด้วยระยะเวลาการเดินทางที่มากโข ยิ่งในช่วงเย็นที่การจราจรบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถราด้วยแล้ว กว่าจะถึงที่นัดหมายปภินวิชใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงกับเศษเวลาอีกเล็กน้อย

“ขอโทษครับ พอดีรถติด” อันที่จริงไม่จำเป็นต้องบอกเลยด้วยซ้ำ ใครๆ ก็รู้ว่าสภาพการจราจรมุ่งเข้าสู่กลางเมืองเป็นเช่นไร แต่เด็กหนุ่มยังกล่าวตามมารยาท

เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับกวีวัธน์ ฝ่ายนั้นตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรก่อนจะยกมือเรียกพนักงาน เพียงแค่ครู่เดียว อาหารมากมายก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ

“ทานให้เต็มที่นะ กว่าที่นายท่านจะประชุมเสร็จคงอีกสักพัก”

เด็กหนุ่มยังไม่ได้ทานมื้อเย็น แต่กระนั้นเมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องเกิดในค่ำคืนนี้แล้ว มันพานให้เขาทานอะไรไม่ค่อยลง ท้ายที่สุดเขาจึงทานไปเพียงแค่รองท้องเท่านั้น

“คุณเตรียมตัวมาพร้อมใช่ไหมครับ”

ปภินวิชสำลักน้ำที่กำลังยกขึ้นดื่ม โชคดีว่าอีกฝ่ายถามเขาตอนที่ทานอาหารเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มหน้าแดงด้วยรู้ความหมายของการเตรียมตัวที่คนตรงหน้าพูดถึง หรือถ้าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่เขาดันนึกไปถึงเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะเสียแล้ว

ชายหนุ่มผู้ที่เป็นนายหน้าไม่ได้ถามต่อ เขาเพียงเรียกพนักงานให้เก็บเงิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงลุกขึ้นและเดินนำเขาออกจากร้านอาหาร

รถยนต์คันหรูพาเขาและนายหน้ามาส่งที่คอนโดสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งในย่านพื้นที่ติดริมแม่น้ำ ไม่ห่างจากร้านอาหารมากนัก อาจเพราะเริ่มค่อนดึก รถยนต์บนท้องถนนจึงซาลง ระยะทางสั้นๆ จึงใช้เวลาเดินทางไม่นาน

กวีวัธน์ยังคงเดินนำอยู่ด้านหน้าเช่นเดิม เขากดเรียกลิฟต์และใช้คีย์การ์ดแตะบนหน้าจอควบคุมภายในลิฟต์ก่อนจะกดหมายเลขชั้น ห้องพักของนายท่านไม่ถึงขนาดกับอยู่บนชั้นบนสุด แต่ลิฟต์เคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ที่ชั้นหกสิบกว่าๆ โถงทางเดินด้านนอกปูพื้นด้วยกระเบื้องเงาวับ ลองกวาดสายตานับประตูห้องคร่าวๆ ปภินวิชพบว่ามีประตูเพียงไม่กี่บานเท่านั้น

ประตูห้องของนายท่านถูกเปิดด้วยคีย์การ์ดใบเดิมที่อยู่ในมือของกวีวัธน์ เด็กหนุ่มกวาดสายตาสำรวจห้องอีกครั้งเมื่อแสงไฟค่อยๆ เรืองสว่างพร้อมเดินตามนายหน้าเข้าไปในห้อง

กวีวัธน์ผายมือให้เขานั่งที่โซฟา

“อีกพักใหญ่ๆ กว่าที่นายท่านจะกลับมา คุณก็พักผ่อนตามสบายไปก่อนแล้วกัน”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้ปภินวิชเหลือบตามองหานาฬิกา ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว นายท่านที่ว่าเลิกงานกี่โมงกันเนี่ย เด็กหนุ่มเกิดคำถามในใจ

“วันนี้ผมกลับก่อนนะ”

เขาชะงักด้วยเพราะอยากจะเอ่ยปากรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เปลี่ยนใจพยักหน้าในทันควัน

“อ้อ... พยายามทำให้นายท่านพอใจเข้าไว้ล่ะ” กวีวัธน์ย้ำอีกรอบ ก่อนปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งรอนายท่านแต่เพียงผู้เดียว
หัวข้อ: Re: อยากวางหัวใจไว้ที่คุณ บทที่ 1 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-09-2017 19:00:44
เรียกว่านายท่านนี่ภาพชายแก่ผุดขึ้นมาในหัวเลยค่ะ ฮา
ว่าแต่ครอบครัวน้องไม่มีใครแล้วเหรอ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา งี้ (หรือเราอ่านข้ามหว่า)
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: อยากวางหัวใจไว้ที่คุณ บทที่ 1 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 23-09-2017 20:30:48
 :hao6: นายท่านต้องเป็นเจ้าของที่น้องทำงานแน่เลย...  :hao3:
หัวข้อ: Re: อยากวางหัวใจไว้ที่คุณ บทที่ 1 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 24-09-2017 15:47:32
จินตนาการภาพนายท่านแล้วแอบกรี๊ดเบาๆ มาดท่านชายเย็นชาปากหนักโผล่วาบเชียว
หัวข้อ: Re: อยากวางหัวใจไว้ที่คุณ บทที่ 1 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 24-09-2017 22:41:14
 :katai4: ติดตามนะคะ
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-09-2017 05:50:55
02



ความรู้สึกตื่นประหม่าหายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยความง่วงงุน ห้องนี้อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ เบาะโซฟานุ่มกำลังดีจนยามที่พิงศีรษะลงไปคล้ายจะเคลิ้มหลับ ที่สำคัญเข็มนาฬิกาผ่านเลขสิบสองไปแล้วเขายังไม่เห็นแม้แต่เงานายท่านของกวีวัธน์

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ปภินวิชกำลังเคลิ้มเหมือนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ฉับพลันเสียงเปิดประตูได้ปลุกเขาให้สะดุ้งตื่น เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา เขาจึงลุกขึ้นยืนพลางลูบหน้าลูบตา

“นายท่าน?”เขาส่งเสียงถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจนัก เนื่องด้วยคาดเดาหน้าตาของนายท่านว่า จะต้องเป็นชายสูงอายุพุงพลุ้ย ทว่าคนที่เขาเห็นนอกจากจะเป็นชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างดีแล้ว หน้าตายังจัดอยู่ในข่ายที่เรียกว่าดีมากอีกด้วย

ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วมองคล้ายหงุดหงิดหรือกำลังไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง พร้อมสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มจึงได้มีโอกาสสังเกต ‘นายท่าน’ ให้ชัดเจนอีกครั้ง นอกจากดวงตาและใบหน้าที่ดูอ่อนล้าแล้ว ทั้งทรงผม เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งท่าทางการถือเสื้อสูท ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งเลิกงานสักนิด ทุกอย่างยังดูเป็นระเบียบเหมือนเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

“เด็กของกลอน?”

คำถามนั้นทำให้ปภินวิชงุนงง

“ฉันหมายถึง... กวีวัธน์เป็นคนพาเธอมา”

“ครับ”ทีแรกเด็กหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่าอาจจะไม่สุภาพจึงส่งเสียงรับคำตามไปด้วย

“เจ้าบ้านั่น!!!”

เด็กหนุ่มได้ยินนายท่านสบถออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะส่งคำถามตามมา “ทานอะไรมาหรือยัง”

“คุณกวีวัธน์พาไปทานมาแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำแล้วตามเข้าไปในห้อง”น้ำเสียงคนพูดห้วนเข้มดั่งคนที่ออกคำสั่งมาทั้งชีวิต เขาใช้มือข้างที่คล้องเสื้อสูทชี้ไปทางห้องน้ำเนื่องจากอีกมือถือกระเป๋าเอกสาร ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวฉับๆเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง

ความตื่นประหม่าตีรวนขึ้นมาในอกของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ไม่เหลืออาการง่วงงุนในความรู้สึกอีกต่อไป เขายืนลังเลเพราะตื่นเต้นหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งจึงฮึดเรียกกำลังใจกลับมา

ปภินวิชเตรียมเสื้อผ้ามาพร้อมเพียงแต่เสื้อผ้าที่ว่านั่นมันสำหรับใส่เดินทางกลับ หลังอาบน้ำเสร็จเขาจึงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีครีมซึ่งมีอยู่บนชั้นวางของในห้องน้ำและเดินเข้าไปยังห้องที่นายท่านหายเข้าไปก่อนหน้า เขายืนเคว้งเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นไร้เงาของผู้เป็นเจ้าของ ยืนนิ่งรออยู่ครู่หนึ่งประตูอีกบานจึงเปิดออก

“ไม่มีชุดนอนเหรอ”นายท่านถามเขา เลิกคิ้วมองชุดที่เขาสวมใส่ด้วยความแปลกใจในมือข้างหนึ่งมีผ้าขนหนูผืนเล็กกำลังขยี้ซับเส้นผมเปียกชื้นบนศีรษะ

“ไม่มีครับ”

คนถามไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับเดินหายเข้าไปในประตูอีกบานหนึ่ง สองสามนาทีต่อจากนั้นจึงกลับออกมาพร้อมชุดเสื้อผ้าสีน้ำตาลซึ่งวางพับเรียบร้อยในมือ ฝ่ายนั้นยื่นมันมาให้เขา

“เอาไปเปลี่ยน”

เด็กหนุ่มประนมมือไหว้ก่อนยื่นมือไปรับและถือมันกลับไปยังห้องน้ำด้านนอก ไม่กล้าทำท่าลังเลแม้ภายในใจจะสงสัย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดอยู่แล้วจะต้องลำบากหามาให้เขาใส่ทำไม แต่นึกไปนึกมามันอาจจะเป็นเพราะรสนิยมของอีกฝ่าย เขาจึงทิ้งความสงสัยไว้แค่นั้น รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

“นั่นผ้าห่มของเธอ”เจ้าของห้องชี้มือบอก ฝ่ายนั้นนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคลุมครึ่งท่อนล่างด้วยผ้าห่มผืนหน้า เส้นผมตัดสั้นสีดำขลับบนศีรษะแห้งสนิท มองดูคล้ายเตรียมพร้อมจะเข้านอนแล้ว

“รีบขึ้นมาสิ ฉันจะปิดไฟแล้ว”

โดนเอ่ยเร่งอีกครั้งปภินวิชจึงต้องรีบก้าวเท้าขึ้นเตียง เขางุนงงตรงที่ ทำไมนายท่านจึงทำเหมือนให้ต่างคนต่างนอน ทว่ายังไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย ไฟในห้องกลับถูกหรี่ดับลงด้วยรีโมตในมือของนายท่านเสียแล้ว ทั้งห้องมืดสนิทในทันใด เด็กหนุ่มยังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นกระทั่งเสียงของนายท่านดังขึ้นอีกรอบ

“จะนั่งอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม ถ้าไม่อยากนอนในห้องก็ออกไปข้างนอก”

ปภินวิชรีบสั่นศีรษะไม่ทันนึกด้วยว่านายท่านมองเห็นเขาได้อย่างไรทั้งที่ภายในห้องมืดขนาดนี้ เขาล้มตัวลงนอน เมื่อหัวถึงหมอนความง่วงงุนได้จู่โจมเขาอีกครั้ง ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็หลับสนิท



เด็กหนุ่มลืมตาตื่นเมื่อยามเช้ามาเยือน คนที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันเมื่อคืนลุกออกไปแล้วเพราะที่ว่างด้านข้างเหลือแต่ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มยับย่น เขาจึงลุกขึ้นพับผ้าห่มไว้ปลายเตียง พอเปิดประตูออกมาเขาได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆ จึงเดินตรงไปตามทาง หลังจากพ้นเหลี่ยมผนังเขาจึงได้เห็นนายท่านนั่งอยู่หัวโต๊ะทานอาหาร ที่นั่งถัดมาคือกวีวัธน์

“ขอโทษที่ตื่นสายครับ”

“อือ ล้างหน้าแปรงฟันหรือยัง จะได้มาทานข้าว”คนพูดเป็นนายท่านที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือ ปภินวิชรับคำหมุนตัวหันหลังเดินไปหยิบกระเป๋าของตนซึ่งวางไว้บนชุดโซฟา แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มกลับออกมาด้วยชุดเสื้อผ้าของตนชุดใหม่ ส่วนชุดนอนที่นายท่านให้ยืม เขาพับเป็นระเบียบและถือออกมาด้วย

“ชุดที่ให้ยืม เดี๋ยวผมนำไปซักแล้วจะนำมาคืนให้วันหลังนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก ในห้องนอนมีตะกร้าอยู่ เอาไปใส่ไว้ในนั้น”

ถึงหูจะฟังนายท่านพูด แต่สายตาของปภินวิชกลับมองกวีวัธน์ที่กำลังยกยิ้มหน้าเป็นแต่เมื่อผู้เป็นใหญ่ในที่แห่งนี้เหลือบสายตาไปมองกลับหุบยิ้มปั้นหน้านิ่งทันควัน หลังประโยคนั้นของผู้เป็นเจ้าของห้องจบ เขาจึงนำเสื้อผ้าของชายหนุ่มไปวางไว้ในตะกร้าตามที่สั่ง และเดินกลับมายืนนิ่งใกล้ๆโต๊ะทานอาหาร

“นั่งสิ”

เด็กหนุ่มขยับเท้าก้าวเข้าไปลากเก้าอี้และทรุดตัวลงนั่งตามคำสั่ง ขณะเดียวกันนายท่านก็รวบรวมเอกสารส่งคืนให้กวีวัธน์ ในนาทีนั้น ปภินวิชถึงได้สังเกตเห็นว่าในห้องมีแม่บ้านที่เป็นหญิงวัยกลางคนด้วย เธอยกข้าวต้มในถ้วยกระเบื้องมาเสิร์ฟให้นายท่านก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยกวีวัธน์และเขาเป็นคนสุดท้าย

โต๊ะอาหารยามเช้าทำให้ปภินวิชหายใจไม่ค่อยออกแม้ว่ามื้ออาหารตรงหน้าจะอร่อยรสชาติดี บรรยากาศเงียบกริบไร้สรรพเสียงพูดคุยทำให้เด็กหนุ่มตัวเกร็ง ระวังตัวถึงขนาดไม่กล้าให้ช้อนกระเบื้องกระทบถ้วยจนเกิดเสียงดัง ทั้งยังก้มหน้าก้มตาทานโดยไม่คิดที่จะเงยหน้ามองผู้ใด ละเลียดทานไปเรื่อยๆกระทั่งเห็นจากปลายหางตาว่านายท่านวางช้อนแล้วเขาจึงหยุดทาน

“อิ่มหรือเปล่า”

“อิ่มครับ”ต่อให้ไม่อิ่มแต่บรรยากาศเคร่งขรึมกดดันเช่นนี้ ปภินวิชก็ทานอะไรไม่ลง เขามองนายหน้าอย่างกวีวัธน์ที่เอาแต่ปิดปากเงียบสนิทอีกครั้งก่อนจะหลุบตามองโต๊ะ

เช็คระบุจำนวนเงินใบหนึ่งถูกเลื่อนมาตรงหน้าเขา

“เอ๊ะ”ปภินวิชเงยหน้ามองเจ้าของกระดาษใบนั้นด้วยความแปลกใจ ทว่าอีกฝ่ายได้อธิบายให้เขาฟังก่อนจะถูกเอ่ยถาม

“ค่าเสียเวลา แล้ววันนี้ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง”นายท่านลุกขึ้นเหมือนไม่อยากรอให้เขาเอ่ยแย้ง แต่จำนวนเงินในเช็คมันมากกว่าที่กวีวัธน์เคยตกลงไว้ ทั้งเมื่อคืนตัวเขาเองไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าปภินวิขเป็นคนดีหรืออยากเสนอตัวเพื่อแลกกับเงินให้ได้ ในภาวะที่สภาพทางการเงินของเขาและน้องสาวเป็นเช่นนี้ ใครยื่นเงินมาให้เขาก็ยินดีรับ สิ่งที่เขากลัวมีแต่เมื่อรับเงินไปแล้วภายหลังจะต้องชดใช้คืนเป็นเท่าตัวเสียมากกว่า

“นี่มันเยอะเกินไป แล้วเมื่อคืนก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย”เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนพูดท้วงถาม มองแผ่นหลังกว้างของนายท่านซึ่งกำลังสวมสูทสีเข้ม หลังจัดแต่งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เสร็จแล้ว ใบหน้าคมคายจึงหันมามองเขา

“เธอมีปัญหาอะไร เงินนั่นเป็นของฉันและฉันก็พอใจที่จะให้เธอ”

โดนพูดย้อนกลับมาแบบนั้นพาลให้ปภินวิชอึกอักพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเล่นแง่เพื่อให้มองดูเหมือนคนไม่เห็นแก่เงินหรอกนะ แต่เรื่องเงินเรื่องทองเขาอยากถามเพื่อให้แน่ใจ ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีการมาทวงบุญคุณกันทีหลัง

“ไม่ครับ เพียงแต่...”

อีกฝ่ายยังนิ่งเงียบรอให้เขาพูดต่อ

“นายท่านให้เฉยๆเลยหรือครับ ไม่มีพันธะผูกพันใดๆ”

คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าและตอบว่า “ใช่ ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรจากเธอทีหลังแน่นอน”

“ขอบคุณครับ”ปภินวิชกล่าวพร้อมกระพุ่มมือยกขึ้นไหว้

เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเห็นว่าปภินวิชไม่มีทีท่าสงสัยหรือกล่าวความอันใด เขาจึงหยิบกระเป๋าส่วนตัวเดินนำออกจากห้อง โดยมีกวีวัธน์เดินตามหลังมาติดๆ พ้นออกจากห้องยังมีบอดี้การ์ดอีกสองคนยืนประจำตำแหน่งหน้าประตู สองคนนั้นก้มศีรษะทักทายเขา จากนั้นหนึ่งในสองคนนั้นจึงเดินนำไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ หลังจากหยุดเท้ายืนรอลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนที่ขึ้นมา เขาจึงหันไปบอกบอดี้การ์ดคนสนิทให้จัดเตรียมรถไปส่งเด็กหนุ่มด้วย

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้”ปภินวิชส่งเสียงบอกจากตำแหน่งวงนอกสุดเยื้องไปทางด้านหลังของกวีวัธน์

“คนของฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

แน่สิ ลูกน้องที่ไหนจะกล้าบอกว่าลำบาก เด็กหนุ่มคิดในใจ กระนั้นเขาก็ยอมหุบปากนิ่งเงียบเมื่อกวีวัธน์ส่งสายตาดุๆมากำราบ

ลิฟต์เคลื่อนที่มาหยุดชั้นที่จอดรถ ปภินวิชโดนต้อนให้ไปขึ้นรถยนต์ยี่ห้อหรูคนละคันกับของนายท่าน ขณะที่กวีวัธน์เดินตามนายท่านต้อยๆไปขึ้นรถยนต์เช่นเดียวกัน คนขับรถหันมาถามเขาถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการให้ไปส่ง เด็กหนุ่มจึงบอกตำแหน่งสถานีรถไฟฟ้าที่เป็นทางผ่านไปหอพักของเขาแทน จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาน้องสาว



“ไม่ถูกใจหรือครับ”กวีวัธน์เอ่ยปากถามชายหนุ่มที่เขาเรียกว่านายท่านขณะที่อีกฝ่ายกำลังดูข้อมูลข่าวสารจากแท็บเล็ต พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในรถยนต์ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังอาคารสำนักงาน มีบอดี้การ์ดทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นั่งตอนหน้า พ้นออกจากถนนซอยปริมาณรถยนต์ซึ่งคลาคล่ำบนท้องถนนทำให้การเคลื่อนที่ช้าลง แสงแดดแรงจัดขึ้นเรื่อยๆ แต่อากาศภายในห้องโดยสารยังเย็นฉ่ำ

“ถูกใจแล้วอย่างไร ไม่ถูกใจแล้วอย่างไร แกก็ทำอะไรโดยพลการต่อไปอยู่ดี”คนพูดยังคงก้มหน้าสนใจกับสิ่งที่อยู่ในมือ คนที่เริ่มต้นบทสนทนาจึงส่งเสียงหัวเราะราวกับไม่รู้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำไป ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ผมมีเหตุผลนะครับ”

ประโยคนั้นทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้น มองหน้ากวีวัธน์เป็นเชิงว่ากำลังรอฟังเหตุผลนั้นอยู่

“น้องเขาน่าสงสารนะครับ พ่อแม่เสียชีวิต น้องสาวป่วย ต้องการหาเงินไปรักษาน้องสาว นายท่านไม่คิดจะยื่นมือไปช่วยเหลือหรือครับ”

“คำเรียกนั่นอีก ฉันแก่ขนาดที่สามารถเรียกว่านายท่านเลยเรอะ”

คนฟังส่งเสียงหัวเราะคิกคักราวกับเด็กๆ “แก่กว่าผม แก่กว่าน้องเขามากด้วย”

“เออ เออ”คนโดนเรียกว่านายท่านเถียงไม่ออก เพราะเป็นจริงดังที่อีกฝ่ายพูดจึงได้ส่งเสียงรับคำอย่างขอไปที แล้วหยิบเช็คขึ้นมาเขียนจำนวนเงินแล้วส่งให้

“แค่นี้พอไหม”

“ให้ง่ายจังง่ะ ไม่คิดจะให้ค่าขนมหลานคนนี้บ้างหรือครับ”กวีวัธน์มองหน้าผู้มีศักดิ์เป็นน้าชายแล้วทำตาปริบๆ

“แกทำงานมีเงินเดือนแล้วยังต้องขอเงินอีก? อย่างนั้นฉันย้ายแกไปเป็นเด็กส่งเอกสารดีไหม”

“ไม่ครับ ไม่ดีเลย”กวีวัธน์รีบปฏิเสธทันควัน ชายหนุ่มแค่พูดเล่นแต่ไม่กล้าคาดเดาว่าคำพูดของน้าชายจะเล่นๆด้วยหรือไม่ ถ้าเกิดอีกฝ่ายคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเขาคงแย่ ปฏิเสธไว้ก่อนย่อมเป็นการดีกว่า

“ส่วนเงินนี่ ไหนแกบอกว่าน้องเขาน่าสงสาร พอฉันช่วยกลับมาบ่น”

“อย่างน้องเขา น้าฤทธิ์ต้องเรียกว่าหลาน”กวีวัธน์ชวนพูดไปนอกเรื่องอีกครั้ง

“แกมีปัญหาอะไรกับอายุฉันนัก”น้าฤทธิ์ที่กวีวัธน์เรียกขานเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ เสียงทุ้มต่ำเข้มห้วนอย่างกรุ่นโกรธ “เดี๋ยวถึงบริษัท ฉันจะอนุมัติย้ายแกไปเป็นพนักงานส่งเอกสารสักสองสามเดือน”

“ผมขอโทษ”กวีวัธน์ร้องเสียงหลง ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในรถชายหนุ่มคิดว่าตนคงทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้ว “ผมไม่ได้ตั้งใจครับน้าฤทธิ์ ผมแค่แซวเล่น น้าฤทธิ์ของผมยังหล่อ หุ่นดี ดูดิกล้ามแน่นเป็นมัดๆ แหม...” น่าจะกัดแขนเล่นเบาๆ เนื้อเพลงท่อนสุดท้าย กวีวัธน์ได้แต่ฮึมฮัมในใจพร้อมกับลดมือที่กำลังบีบเคล้นกล้ามแขนแข็งๆของคุณน้าลง เมื่อเห็นสายตาคมปลาบตวัดมองตน พลางขยับตัวนั่งดีๆ กระแอมกระไอสองสามครั้งจากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“น้าฤทธิ์ไม่คิดว่าจะเอาเงินนี่ไปให้น้องเขาเองหรือครับ อย่างน้อยน้องเขาจะได้รู้ว่าน้าเป็นคนให้”

“ไม่จำเป็น เพราะฉันไม่ได้คิดที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับเขาอยู่แล้ว”

“เพราะว่าอายุห่างกันมากหรือครับ”

“แกเลิกคิดเป็นตุเป็นตะเพ้อเจ้อเรื่องนี้ซะที”พฤทธิกรหรือน้าฤทธิ์ปรามเสียงเข้ม พาลให้คนโดนดุมุ่ยหน้าด้วยความไม่ชอบใจ กระนั้นพฤทธิกรกลับไม่คิดจะต่อความหรือชี้แจงใดๆนอกจากสั่งให้รีบไปจัดการเรื่องที่ว่า

กวีวัธน์จำต้องพยักหน้ารับและสอดเช็คใส่กระเป๋าเอกสาร เพียงแต่ในสมองกลับคิดหาวิธีจัดการเด็ดๆ ที่จะทำให้น้าชายต้องอ้าปากค้างด้วยความยินดี แม้ในอนาคตอันใกล้ พฤทธิกรจะไม่ได้รู้สึกยินดีอย่างที่คนเป็นหลานชายคาดหวังไว้ก็ตาม

ชายหนุ่มเลือกมาหาปภินวิชในเวลาเย็นหลังจากที่อีกฝ่ายหมดเวลางานแล้ว โดยนัดหมายฝ่ายนั้นให้มาเจอที่ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า แม้เวลาเย็นๆในห้างจะเต็มไปด้วยผู้มาใช้บริการทั้งในส่วนร้านอาหารและร้านค้าต่างๆในพื้นที่ แต่เพราะกวีวัธน์ได้โทรจองโต๊ะที่นั่งไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อเขาไปถึงจึงเห็นเด็กหนุ่มในชุดพนักงานนั่งรออยู่ที่โต๊ะ เด็กหนุ่มยกมือไหว้เขาเมื่อเห็นเขาปรากฏตัว

“สั่งอะไรไหม”กวีวัธน์เอ่ยปากถามพลางรับเมนูจากพนักงาน

ปภินวิชสั่นศีรษะพร้อมเอ่ยปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงสั่งอาการสองสามอย่างโดยแจ้งให้พนักงานใส่กล่องเพื่อนำกลับบ้าน

“นายท่านอยากจะอุปการะคุณ”

“เงินที่ได้มาเมื่อคราวก่อนมันพอแล้วครับ ผมคงไม่คิดทำงานแบบนั้นอีก”เด็กหนุ่มตอบไปตามตรง ที่จริงเขาต้องการเงินเพิ่มแค่ให้เพียงพอต่อค่ารักษาของน้องสาวเท่านั้น เพราะตั้งใจว่าจะใช้สิทธิการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ  แม้จะไม่สะดวกสบายเท่ากับโรงพยาบาลเอกชน แต่เมื่อพูดคุยกับน้องสาวแล้วเธอไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา เขาจึงติดต่อพาน้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่ดูข้อมูลไว้

ปภินวิชทำงานมีเงินเดือนก็จริง แต่เงินเดือนที่ได้รับมันแค่หมื่นกว่าบาทเพียงพอแค่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างจำกัดจำเขี่ย ส่วนเงินที่ได้รับมาหลังจากพ่อแม่เสียชีวิต มันหมดไปแล้วเพราะความไม่รู้จักคิดและการเชื่อคนง่ายของเขา แม้ความรู้สึกผิดโทษตัวเองจะมีส่วนผลักดันให้เขาตัดสินใจคิดทำงานแบบนั้น แต่เขาได้คิดคำนวณอย่างรอบคอบแล้วว่า การเสียสละศักดิ์ศรีเล็กๆน้อยๆจะทำให้พวกเขาสองพี่น้องใช้ชีวิตได้สุขสบายมากขึ้น

นั่นสิ... ถ้าใช้สิทธิการรักษาคงใช้เงินไม่เท่าไหร่ กวีวัธน์คิดในใจ

“อืม ถ้าอย่างนั้นดีใจด้วยนะ”ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางพูดคุยกับเด็กหนุ่มต่อไป อย่างเรื่องที่จะให้น้องสาวไปรักษาตัวที่ไหน เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มเห็นว่า กวีวัธน์รู้ทั้งชื่อของตนโดนไม่ได้บอก ทั้งเวลาการทำงาน ไหนจะยังที่ไปโผล่แถวถนนเส้นนั้นราวกับว่าอีกฝ่ายคอยให้คนตามดูเขาอยู่ ถึงจะรู้สึกระแวงกังวลเหมือนโดนคุกคามอยู่บ้าง แต่นายท่านของกวีวัธน์กลับดูเป็นคนดีต่างจากชายหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มจึงยอมพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวที่อีกฝ่ายถามมา กระทั่งอาหารที่กวีวัธน์สั่งไว้ถูกนำมาวางให้บนโต๊ะ ชายหนุ่มจ่ายเงินค่าอาหาร จากนั้นจึงเลื่อนถุงอาหารไปให้ปภินวิช

“เอากลับไปทานกับน้องนะ”

เด็กหนุ่มชะงัก นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากถามไปว่า “ทำไมพวกคุณถึงต้องมาทำดีกับผมด้วยละครับ” ถ้าเงินที่ได้รับต้องแลกเปลี่ยนกับความสัมพันธ์ในค่ำคืน ปภินวิชคงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่นี่นอกจากให้เงินเขามาฟรีๆ ยังเลี้ยงข้าวเขาทั้งที่ปฏิเสธข้อเสนอ มันจึงยิ่งทำให้เขาแคลงคลาง ทั้งยังหวั่นกลัวอยู่ลึกๆ ถ้าเขาตอบรับไมตรีนี้เขาอาจจะต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายในสักวัน

“ไม่คิดว่าผมกับนายท่านเป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้คนไปทั่วบ้างล่ะ”ใบหน้าของกวีวัธน์ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“มีมูลนิธิมากมายที่ต้องการเงินสนับสนุน”เด็กหนุ่มเอ่ยแย้ง ซึ่งทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าส่งเสียงหัวเราะกับคำพูดนั้น

“เอาเป็นว่า...”กวีวัธน์ทำท่านึก “มันเป็นผลบุญที่คุณเคยทำไว้ในอดีต”

“ผลบุญ?”

“เคยเก็บกระเป๋าเงินคืนเจ้าของหรือเปล่า”

คราวนี้ปภินวิชกลอกตานึกจากนั้นจึงเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย อาจจะมีเหตุการณ์แบบนั้น น่าจะเป็นช่วงที่เขาไปทำงานพิเศษในร้านกาแฟเมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่ที่พ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงอย่างไรการเก็บสิ่งของคืนให้ลูกค้ามันก็เป็นหน้าที่ของพนักงาน อีกอย่างคือกระเป๋าที่เขานำคืนส่งเจ้าของน่าจะไม่ใช่ของกวีวัธน์หรือของนายท่าน ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจนัก

“ผมเคยเก็บกระเป๋าคืนคุณหรือนายท่านหรือครับ”

กวีวัธน์ไม่ตอบทำเพียงยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว”ปภินวิชบอกออกไปตามที่คิด ยังไม่เชื่อสนิทใจนักว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นั้นจะทำให้กวีวัธน์หรือนายท่านตอบแทนเขาด้วยจำนวนเงินมากมายถึงเพียงนี้

“ไม่ต้องมัวแต่คิดมากหรอก ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไว้เถอะ”

ถ้าของนั้นมาจากความจริงใจ คงไม่ต้องมาคิดมากมายอย่างนี้หรอก ปภินวิชคิดในใจ เพราะมันดูเหมือนมีอะไรแอบแฝงต่างหากที่ทำให้กังวลไม่หาย

“ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะขอตัวลาและยกมือไหว้อีกครั้ง

“อือ ถ้ามีปัญหาอะไร ติดต่อฉันได้เสมอนะ”กวีวัธน์กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกจากโต๊ะ ปภินวิชพยักหน้ารับก็จริง แต่ในใจกลับคิดว่า เขาคงไม่มีทางติดต่ออีกฝ่าย ต่อให้เจอเรื่องลำบากขึ้นมาจริงๆก็ตาม

กวีวัธน์มองตามหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินลงบันไดเลื่อนผ่านกระจกใสจากในร้าน เป็นอันว่าแผนการของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเป้าหมายไม่มีเหตุเดือดร้อนหรือรักสบายจนเลือกใช้เส้นทางลัด เขานิ่งคิดด้วยความหน่ายระอาที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด อีกอย่างเพราะเช็คใบนั้นเขาเอาเข้าบัญชีตัวเองไปแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะฮุบเงินของน้าชาย ด้วยเงินเดือนของเขาบวกกับความสนิทสนมที่มี ต่อให้เดือดร้อนจริงๆพฤทธิกรต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน แต่ที่ทำแบบนี้เพราะเขาไม่ได้คิดจะเอาเงินให้ปภินวิชทั้งก้อน แต่เจ้าของเงินตัวจริงกลับไม่อยากได้แล้วเนี่ยสิ

ชายหนุ่มส่งเสียงชิชะอย่างไม่สบอารมณ์ ครู่หนึ่งต่อมา ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และเมื่อปลายสายกดรับ เขาก็กรอกเสียงลงไปทันที

“อยากให้ช่วยทำงานให้หน่อย”


เด็กหนุ่มติดต่อทำเรื่องนัดหมายเข้ารักษาให้น้องสาวไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอเวลานัดหมายตามคิว ถึงโรงพยาบาลแห่งนี้จะอยู่ในความดูแลของรัฐบาลแต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาเฉพาะทาง ราคาค่ารักษาไม่แพงแลกกับจำนวนผู้มาเข้ารักษาล้นหลาม วันที่เขาพาน้องสาวไปตรวจ ยังต้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อรับบัตรคิวแต่เมื่อได้กำหนดวันผ่าตัดมาแล้ว ปภินวิชจึงรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไปอย่างราบรื่น แม้ว่าเด็กหญิงจะมีอาการเตือนจากโรคบ่อยขึ้นก็ตาม

และในที่สุด กำหนดนัดหมายที่เขานึกภาวนาเร่งวันเร่งคืนก็มาถึง

ปภินวิชแจ้งขอหยุดงานไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตารางการทำงานยังไม่ออก เพราะฉะนั้นประวัติการลางานของเขาจึงยังขาวสะอาด ส่วนน้องสาว เขาให้เธอนำใบนัดของแพทย์ไปแจ้งกับอาจารย์ประจำชั้นเมื่อวันก่อน รวมถึงแจ้งจำนวนวันที่ต้องขาดเรียนด้วย

โรงพยาบาลที่เขาต้องการให้น้องสาวไปรักษาตัวอยู่ห่างจากที่พักปัจจุบันราวๆสิบเอ็ดกิโลเมตร อยู่ในเขตกลางเมืองที่เป็นแหล่งรวมของหลายๆโรงพยาบาล ปภินวิชพาน้องสาวข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเรียกแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง เขาและน้องออกจากห้องแต่เช้าช่วงประมาณหกโมงกว่าๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด ถ้ารถไม่ติดมากใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงถึง

เด็กหนุ่มหันมองน้องสาวซึ่งสองตากำลังมองวิวถนนข้างทาง ใบหน้าของเด็กหญิงซีดเซียวด้วยเพราะอาการปวดศีรษะคงทำให้เธอทรมานจนนอนไม่หลับ แต่เขาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรในเมื่อแม้แต่ยาแก้ปวดยังใช้ไม่ได้ผล กระนั้นเธอกลับไม่เคยหลุดปากร้องบอกเขาสักคำ หากไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็นอาการเหล่านั้นด้วยตัวเอง

กว่าจะถึงโรงพยาบาล พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่บนท้องถนนเกินจากเวลาที่เด็กหนุ่มคาดไว้ประมาณยี่สิบนาที ปภินวิชจับจูงน้องสาวมานั่งพักยังเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้บริการ จากนั้นจึงถือใบนัดเข้าไปติดต่อแผนกเวชระเบียน

เจ้าหน้าที่สาวรับเอกสารจากเขาไปเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์

“คนไข้ชื่อปวัตรันต์ รัตนชัยนะคะ”เธอถามย้ำ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เอ่อ... มีญาติคนไข้ติดต่อเข้ามาขอยกเลิกนัดหมายที่จะทำการผ่าตัดแล้วนี่คะ”

“เอ๊ะ!!! ญาติหรือครับ ญาติที่ไหน”

“เห็นแจ้งชื่อว่า คุณปภินวิช รันตชัยค่ะ ระบุเหตุผลว่าได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว”

“ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย ปภินวิชไหนครับ ผมไม่ได้มาแจ้งเลย”เด็กหนุ่มพูดถามระรัวด้วยน้ำเสียงร้อนรน นึกคับแค้นโมโหที่ใครก็ไม่รู้มากลั่นแกล้งเล่นสนุกกับเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้

“แล้วอย่างนี้จะทำยังไงครับ น้องสาวของผมจะได้รับการผ่าตัดหรือเปล่า”

“ญาติคนไข้ใจเย็นๆก่อนนะคะ เพราะมีการแจ้งขอยกเลิกนัด ทางอาจารย์หมอจึงเลื่อนคิวผ่าตัดอื่นเข้ามา ถ้าอย่างไรกรุณารอสักครู่ ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลก่อนนะคะ”

เด็กหนุ่มไม่ยอมขยับเท้าหนีไปไหน เขายืนปักหลักกดดันเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่ตรงนั้น แม้เมื่อพอจะใจเย็นลง และฉุกคิดได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเจ้าหน้าที่ แต่ก็อดรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่พวกนี้ยอมให้ใครก็ไม่รู้ที่เอาชื่อเขาอ้างหลอกลวงเอาได้ง่ายๆ พาลคิดไปว่าไม่มีการตรวจสอบบ้างเลยหรือไงนะ

ปภินวิชมองดูเจ้าหน้าที่สาวยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อใครต่อใครวุ่นวาย จนครู่ใหญ่ๆต่อมาเธอจึงแจ้งให้เขาพาคนไข้ไปยังห้องตรวจ กระบวนตรวจวินิจฉัยต่อจากนั้นเริ่มวนลูปเข้าสู่กระบวนการที่เด็กหญิงเคยผ่านมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่การซักประวัติอาการ ตรวจร่างกายและตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มาจบที่เด็กหญิงถูกแอดมิทให้นอนพักที่โรงพยาบาล โดยที่เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายของคนไข้ยังไม่ได้พูดคุยกับแพทย์เจ้าของไข้แม้แต่นิดเดียว ปภิชวินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินกลับไปที่แผนกเวชระเบียนอีกครั้ง

“ขอโทษครับ ผมจะขออนุญาตคุยกับคุณหมอหน่อยได้ไหมครับ”เด็กหนุ่มแจ้งชื่อหมอเจ้าของไข้ของน้องสาว

“ต้องขอโทษค่ะ วันนี้คุณหมอออกเวรไปแล้วค่ะ”

“แล้วน้องสาวผมต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วันครับ เมื่อไหร่ถึงจะได้ผ่าตัด”

เจ้าหน้าที่จึงถามชื่อคนไข้ก่อนจะกดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ “ต้องขอประทานโทษค่ะ แต่ยังไม่ได้คิวผ่าตัดนะคะ ถ้าอย่างไรขอให้ญาติคนไข้รออีกหน่อยจะรีบแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์หมอทราบอีกครั้งอย่างเร่งด่วนค่ะ”

ปภินวิชต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม ด้วยไม่เห็นประโยชน์ของการโวยวายต่อว่าต่อขาน เขากลับไปหาน้องสาวที่ห้องพักรวม นอกจากน้องสาวของเขาแล้วห้องพักผู้ป่วยแห่งนี้ยังมีคนไข้คนอื่นที่เป็นผู้หญิงอีกหลายสิบเตียง

“อดทนหน่อยนะ”เขาเอ่ยปลอบซึ่งปวันรัตน์ได้พยักหน้าตอบกลับมา

“ไม่เป็นไร ปุ้ยรอได้ ป่วยก็ดีได้หยุดเรียนตั้งหลายวัน”เธอยิ้มบอก

“ดีตรงไหนออกจากโรงพยาบาลไปก็ต้องไปทบทวนหนังสือตามเพื่อนให้ทัน”

“พี่ปลาช่วยติวให้ปุ้ยด้วยนะ ความรู้มอหนึ่ง จิ๊บๆเนอะพี่ปลาเนอะ”เธอชวนเขาคุย เด็กหนุ่มอยู่กับน้องสาวกระทั่งหมดเวลาเยี่ยม เขาจึงเดินทางกลับห้องพัก โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าพรุ่งนี้จะมาหาใหม่




หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-09-2017 05:55:59
ดังนั้นหลังจากเลิกงาน เด็กหนุ่มจึงโดยสารรถประจำทางมาหาน้องสาวที่โรงพยาบาล ก่อนเข้าไปหาน้องสาวก็แวะถามเจ้าหน้าที่เรื่องคิวนัดหมายผ่าตัด แต่มันยังคงเงียบสนิทพร้อมกับคำตอบว่าถ้ามีกำหนดเมื่อไหร่จะรีบแจ้งให้ทราบ เขาทำเช่นนั้นอยู่เป็นอาทิตย์พลางพร่ำบอกให้ตัวเองเฝ้าคอยอย่างใจเย็น กระทั่งเห็นเด็กหญิงเมื่อยามนอนหลับยังต้องขมวดคิ้วอย่างทรมาน ปภินวิชจึงย่างสามขุมออกจากห้องผู้ป่วยไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่และพยาบาล ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาโกรธกรุ่นยิ่งกว่าเดิม

“ต้องขอโทษค่ะ อาจารย์หมอที่มีหน้าที่รับผิดชอบไปดูงานต่างประเทศสองเดือนค่ะ”

“ไปต่างประเทศ? บ้าไปแล้ว ผมมาถามตารางพวกคุณทุกวัน สุดท้ายคุณกลับมาบอกผมอย่างนี้เนี่ยนะ”น้ำเสียงของเขาอ่อนระโหยเจือเสียงสะอื้น ในสมองกลวงเปล่าไร้คำพูด เด็กหนุ่มยกมือกุมหน้าด้วยต้องดึงรั้งสติของตนเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จมูกของเขาก็แดงก่ำน้ำเสียงอู้อี้เพราะหายใจไม่สะดวก เพียงแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด

“แล้วผมต้องทำอย่างไรครับ รอต่อไปเรื่อยๆเหรอ”เขาถาม

“ต้องขออภัยจริงๆค่ะ ถ้าอย่างไรเมื่ออาจารย์หมอกลับมาแล้ว จะให้คุณปวันรัตน์ได้เข้าผ่าตัดเป็นคิวแรกเลยค่ะ”คำพูดนั้นของเธอฟังดูเหมือนหญิงสาวกระตือรือร้นตั้งใจทำงานเต็มที่ แต่สมองอั้นอึ้งของปภินวิชกลับมองเห็นแต่ความเสแสร้งจากแววตาคู่นั้น เขาสาวเท้าระหวยอ่อนแรงกลับไปยังห้องพักผู้ป่วย จนปัญญาคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

บนเตียงผู้ป่วย น้องสาวยังคงหลับนอนนิ่งก็จริง ตาหน้าตาเหยเกบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมาน เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงยกมือขึ้นปาดน้ำตา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดเบราว์เซอร์ ใช้สองมืออันสั่นเทากดข้อความค้นหาข้อมูลโรงพยาบาลที่จะพอทำการรักษาอาการป่วยของน้องสาวได้

สมัยที่พ่อแม่ยังอยู่ ปภินวิชใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังราคาสูงลิ่ว เขาขอเงินบิดามารดาครึ่งหนึ่งผสมกับที่ตนเองทำงานพิเศษอีกครึ่ง เมื่อสูญเสียบุพการีทั้งสอง เขาจึงนำมันไปขายเปลี่ยนเป็นเงิน แล้วซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ราคาสองสามพันมาใช้ การทำงานของเครื่องจึงช้าเอื่อยสมราคาสินค้า แต่เพราะเขาเลิกเล่นเกม เลิกเข้าแอปพลิเคชันโซเชียลทั้งหลาย ทุกวันนี้เขาใช้แค่แอปพลิเคชันสำหรับสนทนากับน้องสาว เด็กหนุ่มจึงไม่นึกเดือดร้อน

เขานั่งรอหน้าเว็บที่ค่อยๆโหลดขึ้นอย่างใจเย็น พลางยกหลังมือปาดน้ำมูกน้ำตา ถ้าเจ้าหน้าที่พวกนั้นบอกเขาเร็วกว่านี้ เขาคงไม่รอมาเป็นสัปดาห์ ถ้ารู้ก่อน เขาจะได้ย้ายน้องสาวไปที่โรงพยาบาลอื่น เด็กหนุ่มคิดพลางก่นโคตรคนพวกนั้นในใจ เพราะน้องสาวเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องตัวเอง เลยไม่รู้สึกรู้สานึกเดือดร้อนล่ะสิ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ปภินวิชก็หลุดสะอื้น เขาซบหน้าลงกับเตียงผู้ป่วย ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเป็นสายทว่าไร้สำเนียงเสียงคร่ำครวญ

ขณะที่ทุกข์ทรมานใจอย่างหนัก โทรศัพท์ในมือได้สั่นระรัวขึ้นมา ปภินวิชเงยหน้ามองรายชื่อสายโทรเข้า หน้าตาของเขายู่ยี่ยับเยิน เขาหายใจเข้าด้วยปากเพราะจมูกตันจึงไม่อยากได้ยินสูดน้ำมูกของตัวเอง โทรศัพท์ยังสั่นต่อเนื่องบ่งบอกว่าปลายสายของเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกชื่อยังอดทนถือสายรอ เด็กหนุ่มกดปุ่มรับสายและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ เป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม”

เขาจำเสียงคนพูดได้ทันที ที่สำคัญคือมันเหมาะเจาะราวกับแกล้ง เขาอ้าปากสูดอากาศหายใจอีกครั้ง ไม่อยากให้น้ำเสียงแปร่งพร่าหลุดเข้าโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายได้ยิน “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ” กระนั้นปลายสายยังคงรับรู้ได้อยู่ดี เสียงพูดจากอีกฝั่งจึงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันควัน

“เป็นอะไรหรือ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”

“คุณกวีวัธน์ครับ”ปภินวิชเอ่ยเรียกก่อนที่สัญชาตญาณลึกๆจะฉุดรั้งเขาไว้ ทว่าเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใบหน้าของเด็กหญิงซึ่งนอนอยู่บนเตียง ความหวั่นกลัวทั้งหลายพลันมลายไปสิ้น

“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง”เด็กหนุ่มพูดออกไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ตนได้ก้าวเท้าตกลงไปในหลุมพรางที่อีกฝ่ายวางดักไว้เสียแล้ว



         +++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



*// งงเด้!  งงเด้! พอดีว่าเขียนบทที่ 2 จบแล้วรู้สึกควรเปลี่ยนชื่อเรื่อง เลยเปลี่ยนซะเลย

ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เปิดเข้าชมนิยายเรื่องนี้ค่ะ ต้องขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามมากๆค่ะ
นิยายเรื่องนี้เป็นฉบับรีไรต์จากนิยายเก่าที่เราเขียนเมื่อสมัยยังละอ่อน  โดยเปลี่ยนธีมมาอยู่ในเมืองไทย เปลี่ยนชื่อตัวละคร เปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่เพราะชื่อเดิมของเรื่องไปซ้ำกับนิยายของสำนักพิมพ์ใหญ่ และปรับแก้รายละเอียด ซึ่งเป้าหมายของเรื่องนี้คือ รักใสๆนอนจับมือ (ฮา) แม้เปิดเรื่องขึ้นมาจะดูเหมือนดราม่าหน่อยๆก็ตาม  หวังว่าทุกท่านจะยังติดตามนายท่านต่อไปน้าาาาาาา  (ยิ้ม)

และอย่างที่เขียนไว้ตอนต้น หลังจากพยายามตรวจสอบชื่ออยู่หลายชั่วโมง เราก็ได้ชื่อเรื่องใหม่ น่าจะเข้ากับเนื้อหามากกว่าเดิม (หรือเปล่า) ดังนั้น เราจึงส่งบทที่ 2 มากำนัลนักอ่านทุกท่าน


เรียกว่านายท่านนี่ภาพชายแก่ผุดขึ้นมาในหัวเลยค่ะ ฮา
ว่าแต่ครอบครัวน้องไม่มีใครแล้วเหรอ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา งี้ (หรือเราอ่านข้ามหว่า)
รอตอนต่อไปค่ะ

ต้องขอบคุณที่ทักเรื่องญาติๆคนอื่นค่ะ สารภาพตามตรงว่าเราลืม ดีนะที่เราเขียนจบบทแรกก็ลงเลย ไม่อย่างนั้นคงแก้กันยาว
ดังนั้น หลังจากนี้จะมีการพูดถึงเรื่องญาติคนอื่นๆของสองพี่น้องปลาปุ้ยกันบ้าง  แต่จากบทที่สองเชื่อว่านักอ่านเก่งๆหลายท่านก็อาจจะเดาได้แล้ว  แต่ถ้ามีจุดไหนอยากให้ปรับแก้ สามารถแจ้งบอกได้ค่ะ เรายินดีมาก(ก ไก่หลายตัวนับไม่ถ้วน) โดยเฉพาะช่วงไปหาหมอของพี่ปลาน้องปุ้ย เรากูลเกิ้ลกับเดาๆเอาทั้งนั้น 

ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 26-09-2017 07:08:35
ชอบจ้า  o13 เดานะ คนที่ขับรถชนครอบครัวของปลาคงเป็นใครสักคนในฝั่งคุณท่าน
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 26-09-2017 07:30:59
สงสารน้องง  :hao5:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-09-2017 08:24:14
แหม ถ้าเป็นเราคงได้มีการแชร์ประสบการณ์ทางพันทิปกันบ้างละนะ เอาให้ทางโรงพยาบาลต้องออกมาดิ้นเลย ทำงานแบบนี้ เฮ้อ
สงสารน้องปลาเสียจริง กวีวัธน์ช่างไม่คิดถึงคนอื่น น้องปุ้ย (หรือเปล่า) จะเป็นยังไง อาการทรุดแค่ไหนก็ไม่ต้องสนใจเลยใช่ไหม ขอแค่แผนตัวเองสำเร็จสินะ หึ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-09-2017 09:08:07
สงสารน้องจัง
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 26-09-2017 11:56:28
ตกหลุมเต็มๆๆ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-09-2017 15:41:16
อุบายผูกหัวใจ ให้คนสองคนอยู่ด้วยกัน
ทั้งที่พฤทธิกร กับปภินวิช ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันเลย
แต่หลานกวีวัจน์ ตั้งตนเป็นกามเทพเฉยเลย
แผนนี้น่าจะสำเร็จนะ
เพราะมีความเจ็บป่วยของน้องปภินวิช มาเป็นที่ตั้ง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 2 [26/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2017 16:35:57
 :pig4:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-09-2017 20:11:55
03



กวีวัธน์เดินทางมาหาเขาถึงที่ เด็กหนุ่มนั่งรออีกฝ่ายอยู่ในศูนย์อาหารของโรงพยาบาล หน้าตาหม่นหมองของเขาไร้ร่องรอยน้ำตาและการร้องไห้ ด้วยเหตุที่ในศูนย์อาหารแห่งนั้นมีปริมาณผู้คนพลุกพล่านไม่เหมาะแก่การพูดคุยกัน ชายหนุ่มจึงเดินนำเขาออกไปยังด้านนอก เดินเลี้ยวไปยังลานจอดรถ แล้วเปิดประตูให้เขาขึ้นไปนั่งยังที่นั่งตอนหลัง รถยนต์ของชายหนุ่มยังคงติดเครื่องไว้พร้อมแอร์เย็นฉ่ำ ขณะที่คนขับรถในชุดเสื้อซาฟารีออกไปยืนอยู่ด้านนอก

“เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องย้ายโรงพยาบาลและจัดหาหมอที่จะทำการรักษาให้ทันที”ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่รอให้ปภินวิชเอ่ยปาก หยุดชะงักเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเมื่อประโยคถัดไปจบลง“แต่มีข้อแม้แลกเปลี่ยน”

“ครับ”ปภินวิชตอบรับเสียงเบา เขาก้มหน้าจับจ้องแต่สองมือของตัวเอง

“คุณคงต้องลาออกจากงานที่ทำอยู่”

คู่สนทนาเงยด้วยความตกใจทันที

“ผมจะจ่ายเงินให้คุณเป็นรายเดือน ซึ่งนั่นมากกว่าเงินเดือนที่คุณได้รับอยู่ หน้าที่คือดูแลความเป็นอยู่ของนายท่าน เป็นเพื่อนไปเที่ยว กินข้าวดูหนัง”

คนฟังขมวดคิ้วรู้สึกทะแม่งๆกับรายละเอียดของงาน

“จะสงสัยทำไม พูดด้วยภาษาชาวบ้านก็เด็กเลี้ยงนั่นแหละ”

“มีสัญญาหรือเปล่าผมต้องทำงานไปนานแค่ไหน”ปภินวิชถาม ไม่ยอมให้ตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบโดนผูกมัดไปตลอดชีวิตแน่นอน แค่ทุกวันนี้เขาก็ยอมให้คนอื่นข่มเหงมามากพอแล้ว

“ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายในการรักษาน้องสาวของคุณ”

“อย่างนี้ไม่เท่ากับผมต้องทำงานชดใช้ไม่จบไม่สิ้นเหรอ”เด็กหนุ่มถามเสียงขุ่น “คุณจ่ายค่ารักษาให้น้องสาวผม คุณจ่ายเงินเดือนแต่ละเดือนให้ แล้วผมต้องเป็นเด็กเลี้ยงไปกี่ปีกว่าจะใช้หนี้ให้คุณหมด”

“คุณคิดว่า เด็กเลี้ยงจะได้เงินเท่าไหร่ หมื่นห้าหรือสองหมื่น มันไม่น้อยอย่างนั้นหรอกนะ โดยเฉพาะเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่าน ไม่อย่างนั้นจะมีคนรักสบายขวนขวายเป็นเด็กเลี้ยงหรือไง”

ใครจะไปรู้ไม่เคยเป็นสักหน่อย ปภินวิชบ่นอยู่ในใจ

“เอาเป็นว่า เรื่องสัญญาและรายละเอียดผมจะให้คนร่างมาให้คุณดูวันหลัง วันนี้คุณกลับไปอยู่กับน้องสาวคุณก่อนก็ได้ ผมคิดว่ารออีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงน้องสาวของคุณคงได้ย้ายโรงพยาบาล และพรุ่งนี้เข้าห้องผ่าตัด ผมจะเอาสัญญามาให้คุณเซ็น”

ทุกอย่างมันเร่งรีบรวบรัดจนเด็กหนุ่มตกใจ ประโยคแรก กวีวัธน์ยังบอกว่าวันหลังจะเอาสัญญามาให้ดูซึ่งมันทำให้เขาคิดว่าน่าจะอีกหลายวัน แต่ประโยคสุดท้ายกลับบอกว่าเขาต้องเซ็นสัญญาแล้ว

“ทำไมคุณต้องรีบร้อนขนาดนี้”

“มันเหมือนขายของนั่นแหละ ผมจ่ายเงินแล้ว ผมก็ต้องได้ของ”

ปภินวิชรู้สึกได้ในนาทีนั้นว่า การขอความช่วยเหลือจากกวีวัธน์เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แม้จะไม่มีหลักฐานแต่เขานึกรู้ขึ้นมาในฉับพลัน เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้มองคล้ายเป็นแผนการของอีกฝ่าย

“ผมขอโทษ ผมไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากคุณแล้ว”เด็กหนุ่มพูดจากนั้นจึงจับประตูคิดจะก้าวเท้าลงจากรถ ทว่าคำพูดในประโยคต่อมาของกวีวัธน์ได้รั้งยึดร่างกายของเขาไว้เสียก่อน

“สุดท้าย น้องสาวก็ไม่มีความสำคัญเท่าตัวเองสินะ”กวีวัธน์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ไม่ใช่!!!”ปภินวิชปฏิเสธทันควัน

“อ้าวเหรอ ก็เห็นว่าอุตส่าห์มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือตั้งขนาดนี้แต่ขอสิ่งแลกเปลี่ยนแค่เล็กๆน้อยๆ คุณกลับปฏิเสธ”

“คุณคิดว่าการขายชีวิตตัวเองคือเรื่องเล็กน้อยเหรอ”เด็กหนุ่มตะคอกเสียงดัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้น้องสาวตายไปแลกกับการมีชีวิตอยู่ของคุณงั้นสิ”

นั่นก็ไม่เอาเหมือนกัน ปภินวิชร้องบอกตัวเองในใจ

“บางครั้งคนเราก็ต้องเลือก แม้ตัวเลือกเหล่านั้นจะไม่มีทางใดเลยที่เป็นอย่างที่ต้องการ มันมีแค่เส้นทางที่เสียมากหรือเสียน้อย ทุกข์หรือทุกข์น้อย”กวีวัธน์หัวเราะ

“เอาไว้คุณอายุมากขึ้นกว่านี้คุณก็จะเข้าใจเอง”ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องที่พวกเขาคุยค้างไว้และยังตกลงกันไม่ได้ “ยังมีเวลาเหลือหนึ่งชั่วโมง คุณลองไปตัดสินใจดูแล้วกัน ถ้าคุณตกลงกับข้อเสนอนี้ก็เซ็นอนุญาตให้น้องสาวย้ายโรงพยาบาล”

ปภินวิชก้าวเท้าลงจากรถ มองดูรถยนต์คันนั้นค่อยๆเคลื่อนที่ห่างออกไป จากนั้นจึงทรุดตัวนั่งลงกอดเข่า นึกทดท้อจนอยากร้องไห้ออกมาอีกหน ทั้งบริภาษก่นด่าโชคชะตา ตนทำกรรมเวรอะไรไว้หนักหนาถึงได้เจอเรื่องเลวร้ายติดๆกันไม่ให้เขาพักหายใจบ้าง เด็กหนุ่มคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดถึงคำสัญญาที่เคยบอกต่อหน้าโลงศพของท่านทั้งสอง พลันแรงใจก็ฮึดกลับคืนมา

“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”ปภินวิชบอกตัวเอง ก่อนจะยกเท้าก้าวเดินอีกหน



รถยนต์ของกวีวัธน์เลี้ยวกลับเข้าสู่อาคารสำนักงานในช่วงเวลาบ่ายๆของวัน เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาที่หายไปจากชั่วโมงทำงานอีกครั้ง ใช่ว่าตำแหน่งงานที่เขาทำอยู่จะไปแว็บออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่หัวหน้าของเขามักจะทำสีหน้าไม่พอใจเสมอ ที่แม้แต่ฝ่ายบริหารยังรักษาระเบียบวินัยในการทำงานไม่ได้

กวีวัธน์รีบก้าวเท้าเร็วๆเดินเข้าสู่ลิฟต์ของผู้บริหาร ลิฟต์เคลื่อนที่จากชั้นที่เขากดเรียกมุ่งสู่ด้านบนโดยไม่ต้องหยุดแวะที่ชั้นใดๆ เมื่อถึงชั้นจุดหมายเสียงติ๊งได้ดังขึ้นเบาๆ เขาก้าวเท้าออกไปด้านนอกเมื่อประตูลิฟต์ถูกเปิด ทางเดินของทั้งชั้นถูกปูไว้ด้วยพรมสีน้ำตาล จึงไม่มีเสียงรองเท้ากระทบพื้น ซ้ำทั้งชั้นยังเงียบสนิท

“คุณก้อย น้าฤทธิ์ถามถึงผมหรือเปล่า”โต๊ะของเลขาหน้าห้องของพฤทธิกรตั้งอยู่มุมหนึ่งถัดจากห้องส่วนตัวของฝ่ายบริหารคนอื่นๆทางปีกขวา โต๊ะมีลักษณะเป็นเคาน์เตอร์ยาวปิดทั้งมุม พื้นกว้างขวางเกินกว่าการใช้งานสำหรับเลขาคนเดียว ส่วนลิฟต์อยู่ทางปีกซ้ายตรงข้ามกับห้องประชุมและห้องรับรอง

“เปล่าค่ะ แต่มีเอกสารฝากถึงคุณกลอน”หญิงสาวตอบพร้อมยื่นแฟ้มเอกสารส่งให้

“แล้วตอนนี้น้าฤทธิ์ยุ่งอยู่ไหม”

“ท่านไม่ได้แจ้งอะไรนะคะ”

“งั้น ผมฝากแฟ้มไว้ก่อน ขอเข้าไปคุยกับเจ้านายแป็บนึงเดี๋ยวออกมาเอานะครับ”กวีวัธน์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินไปเคาะประตูไม้สีน้ำตาลเข้มแล้วเปิดเข้าไป

พฤทธิกรเหลือบตาขึ้นมองคนที่เดินเข้าห้องก่อนจะก้มหน้ามองเอกสารในมือพลางพูดว่า “ยิ้มได้น่าเกลียดจริงๆ”

“อะไรกัน ผมยิ้มมีความสุขก็มาบอกว่ารอยยิ้มผมน่าเกลียด”

“เรอะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเห็นแผนชั่วในสมองแกมากกว่า”

กวีวัธน์สะดุ้ง ไม่นึกว่าน้าชายจะเดาอะไรได้แม่นราวกับมานั่งอยู่ในใจเขาได้ขนาดนี้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเจ้านายใหญ่กลับเอ่ยปากถามมาว่า “ออกไปเที่ยวมาสนุกไหม”

“ใครเอามาฟ้องว่าผมไปเที่ยว ไม่ใช่สักหน่อย”หลายชายปฏิเสธเสียงแข็ง ให้นั่งยันนอนยันเขาก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ได้ไปเที่ยวมา

“ผมไปจัดการเรื่องน้องเขานั่นแหละ”

คู่สนทนามีอาการสนใจขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้น”

“พอดีว่าโรงพยาบาลที่น้องปลาพาน้องสาวไปรักษาตัว หมอศัลย์เขาบินไปต่างประเทศกว่าจะกลับก็อีกหลายเดือน แต่อาการของน้องสาวท่าจะทนไม่ไหว”

“แล้วเงินที่ฉันให้ไป?”

“ขอโทษครับที่ยังไม่ได้มาบอก แต่น้องเขาไม่รับ”

คนฟังนิ่งคิด

“โรงพยาบาลไหนจะได้ร้องเรียน”

“อุย ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้ผมให้น้องสาวย้ายไปเข้าอีกโรงพยาบาลแล้ว คิดว่าน่าจะเข้าห้องผ่าตัดพรุ่งนี้ แต่ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาเกี่ยวกับหลังจากที่น้องเขาออกจากโรงพยาบาล”คนพูดแสร้งทำท่าอ้ำๆอึ้งๆ พฤทธิกรจึงยิ่งจ้องหน้ากดดันให้พูดออกมาเสียที

“ผมเคยไปเห็นสภาพหอพักที่สองพี่น้องเขาอยู่แล้ว เก่ามาก แล้วก็เป็นหอรวม ใครอยากจะขึ้นก็ขึ้นได้ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยอะไรเลย ผมเลยอยากให้น้องเขาไปอยู่ที่คอนโดน้าได้ไหมครับ”เห็นสายตาน้าชายแล้วกวีวัธน์จึงรีบต่อคำอย่างไม่รอช้า “น้าก็รู้ ตอนนี้คอนโดผมปล่อยเช่าอยู่”

“เดี๋ยวฉันซื้อห้องใหม่ให้อีกห้อง”

“โอย ไม่ดีเข้าไปใหญ่เลยครับ”ชายหนุ่มโบกมือพัลวัน “แค่นี้น้องปลาเขาก็พูดขอบคุณกับเกรงใจเป็นสิบรอบจนผมแทบรับไม่ไหวแล้ว นี่ขนาดบอกว่าไม่ใช่เงินผม ผมแค่มาจัดการตามที่นายท่านสั่ง”

“นี่แกยังไม่เลิกเล่นอีกเหรอ”พฤทธิกรมีท่าทางฉุนเฉียวกับคำเรียกขานเช่นนั้น

“แล้วจะให้ผมบอกน้องเขาว่ายังไง ไม่ว่าใครต่อใครในบริษัทก็เรียกน้าว่าท่านทั้งนั้นล่ะ เรียกว่าท่านคำเดียวฟังดูเหมือนพวกตัวร้ายหรือตาแก่ตัณหากลับมากกว่าอีกนะ”ประโยคหลังกวีวัธน์ทำเหมือนแค่พูดลอยๆ

“ก็เรียกชื่อไง”พฤทธิกรกระแทกเสียง

“อ๋อ น้าอยากให้น้องเขาเรียกว่า ‘พี่ฤทธิ์’ เหรอ อืมก็ดีเหมือนกันนะ สมมติว่าถ้าเป็นผม พี่กลอนครับ ปลาอย่างนู้น ปลาอย่างนี้ เอ้ย น้าฤทธิ์แค่คิดก็กระชุ่มกระชวยแล้วอ่ะ”

พฤทธิกรได้แต่ยกมือกุมขมับกับคำพร่ำเพ้อของหลานชาย จากนั้นจึงโบกมือไล่ “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็รีบๆออกไปซะ” ทว่าคนถูกไล่กลับรีบถลามาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่

“ธุระของผมยังไม่จบเลย ยังไปไม่ได้หรอกครับ”

ในเมื่อหลานชายพูดออกมาเช่นนั้น พฤทธิกรจึงยอมวางปากกาและงานในมือ ขยับตัวพิงหลังกับพนักเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ที่เขานั่งอยู่ วางสองมือไว้บนที่เท้าแขนพร้อมพยักพเยิดให้อีกฝ่ายเริ่มพูดได้

“คือ... น้องปลาเขารู้สึกว่าการที่ได้รับเงินมาเปล่าๆแบบนี้มันไม่ค่อยถูกต้อง เขาเลยอยากทำอะไรตอบแทนน่ะครับ เขาบอกว่าอยากเข้ามาช่วยดูแลน้าฤทธิ์ อะไรประมาณนี้”

“ไม่จำเป็น ฉันมีแม่บ้านอยู่แล้ว”

“ก็นั่น ผมก็บอกเขาไปตามนี้ แต่น้องเขาดื้อดึงมาก เขาบอกว่าจะให้ทำอะไรก็ได้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ผมบอกปฏิเสธตั้งหลายรอบ น้องเขาเลยบอกว่าจะไปลาออกจากที่ทำงานแล้วก็มาเป็นคนรับใช้ให้นายท่าน เขาพูดแบบนี้เลย”

พฤทธิกรขมวดคิ้ว ไม่น่าเชื่อว่า เด็กหน้าตาแบบนั้นจะเป็นพวกไม่ฟังเหตุผล ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่คิดในใจ

“แล้วไอ้เรื่องมาอยู่ที่คอนโดฉัน นั่นมันอะไร”

“คือน้องเขาตื๊อหนักๆ ผมเลยใจอ่อนยอมตกลงไปน่ะครับ”กวีวัธน์พูดเสียงอ่อยคล้ายรู้สึกผิดมากจริงๆที่ตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในบทสนทนา แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่ตัวเขาปั้นน้ำมาทั้งนั้น แต่เขาต้องแสร้งแสดงออกให้สัมพันธ์กับบทที่ตนเขียนไว้ ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนจับโกหกได้ง่ายๆ

“เลยพูดไปว่า เดินทางไปมาอย่างนี้คงลำบากแย่ ไหนจะต้องดูแลน้องสาว ไหนจะต้องเผชิญรถติด...”

“ไม่เอาน้ำ”พฤทธิกรเอ่ยปากขัดการสาธยายอันยืดยาวของหลานชายอีกครั้ง

“เลยบอกว่า ย้ายมาอยู่ที่ห้องนายท่านก็ได้”

“แล้วเขาเชื่อแกหรือไง”

“ทีแรกเขาก็ลังเลเกรงใจครับ แต่พอผมบอกว่า น้าฤทธิ์ซื้อห้องอีกห้องไว้สำหรับบอดี้การ์ดกับแม่บ้าน น้องก็เลยตกลง แต่น้าคิดดู น้าจะกล้าปล่อยให้น้องปลากับน้องสาวไปอยู่อาศัยในห้องเดียวกับพวกบอดี้การ์ดเหรอ”

คอนโดในโครงการที่พฤทธิกรอาศัยอยู่ในปัจจุบันถูกเขาจับจองตั้งแต่โครงการเพิ่งลงเข็ม พื้นที่บนอาคารซึ่งเขาซื้อไว้ถูกออกแบบตามรายละเอียดการใช้งานที่คุยไว้กับสถาปนิกและมัณฑนากร โดยแยกห้องเล็กอีกห้องที่ภายในประกอบด้วยสามห้องนอน และโถงกว้างซึ่งถูกจัดตกแต่งเป็นห้องนั่งเล่นและห้องครัว ห้องเล็กนี้สำหรับบอดี้การ์ดและแม่บ้านตามที่กวีวัธน์พูด แต่ปัจจุบันแม่บ้านที่คอยดูแลคอนโดมาจากบริษัททำความสะอาด ส่วนอาหารก็ถูกสั่งมาจากร้านอาหารโดยเฉพาะ ห้องนอนห้องที่สามจึงยังว่าง

ส่วนห้องของพฤทธิกร แม้จะมีพื้นที่กว้างกระนั้นกลับมีห้องนอนเพียงห้องเดียว

“ถ้าอย่างนั้น ให้พามาหาฉัน เดี๋ยวฉันคุยเอง”

“น้าฤทธิ์จะคุยอะไรครับ”กวีวัธน์ถาม น้ำเสียงร้อนรนจนคนฟังมุ่นคิ้ว

“จะคุยอะไรทำไมแกต้องรู้ หรือทุกคำที่แกพูดมามันโกหก”

“เปล่าครับ ไม่เลย”ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ มองน้าชายเอื้อมมือไปกดปุ่มบนโทรศัพท์ ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆเมื่อดูท่าว่าแผนจะพังอีกแล้ว “คุณก้อย ช่วยตามคุณเอกภพให้ผมหน่อย”

กวีวัธน์พยายามยกยิ้มให้น้าชายแล้วทำหน้าให้เป็นปกติทั้งที่รู้สึกเหมือนเลือดบนสีหน้ากำลังจางหายไปเรื่อยๆ เอกภพมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของน้าชาย เป็นคนสนิท เป็นมือขวาที่ทำงานกับพฤทธิกรมานานหลายปี เป็นหูตาที่คอยตรวจตราสอดส่องรอบตัวพฤทธิกรอย่างซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้นจึงเดาได้เลยว่า แผนของเขาจะโป๊ะก็คราวนี้

“เรื่องที่น้าอยากให้ผมพาน้องปลามาหา เอาเป็นวันมะรืนได้ไหมครับ”กวีวัธน์ตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้รีบนัดเวลาน้าชายให้ได้ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า แล้วเช็กตารางนัดหมายของชายหนุ่มผู้นั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท

“อ้าว มีงานทั้งวันเลย ถ้าอย่างนั้นหลังจากจบงานเลี้ยงแฟชั่นการกุศลไหมครับ รีบคุยก่อนเดี๋ยวน้องเขาจะหุนหันลาออกจากงานจะลำบากแย่”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันให้เอกไปลองคุยดูก่อน แกยังเด็กพูดห้ามอะไรไปเขาคงไม่ค่อยฟัง”

“น้าไม่เชื่อใจให้ผมจัดการเหรอ”กวีวัธน์แสร้งถามเสียงเศร้า

“เพราะแกมันมัวแต่เล่นน่ะสิ แล้วอีกอย่างที่ยืดเยื้ออย่างนี้ก็เพราะตัวแกนั่นแหละ”

“งั้นผมสารภาพตามตรงก็ได้ ที่ผมพยายามช่วยน้องเขาเพราะ...”กวีวัธน์แกล้งหยุดประโยคไว้เพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย และพฤทธิกรก็มองเขาด้วยความสนใจในประโยคที่ขาดหายนั่นจริงๆ

“เพราะ...ผมชอบเขา”ชายหนุ่มโพล่งออกไปพร้อมจับจ้องปฏิกิริยาตอบรับของคนฟัง น้าฤทธิ์ขมวดคิ้วมุ่น ขบกรามและเบือนหน้าหนี

“ออ”เสียงขานตอบรับกลับมาคำเดียวทำให้กวีวัธน์คาดเดาอะไรมากไม่ได้

“แต่ผมไม่รวยเท่าน้า จะดูแลอะไรเขาก็ไม่ได้”

“เลยมาหลอกเงินฉันไปให้เขา”พฤทธิกรแค่นเสียงตอบกลับไป แววตาซึ่งหันกลับมาจ้องเขาดูเกรี้ยวโกรธขึ้นเล็กน้อยแต่กวีวัธน์ทำเป็นละมันไว้ไม่เก็บมาใส่ใจ เขารีบพูดต่อไปทันที

“อีกอย่าง ผมยังไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ ผมไม่รู้ว่าพวกท่านจะรับได้หรือเปล่า แต่น้องเขาเดือดร้อน จะให้ผมปล่อยคนที่ชอบต้องเจอเรื่องร้ายๆเพียงลำพังก็ทำไม่ได้ น้าคิดดู ทำแบบนั้นได้เนี่ยต้องใจร้ายแค่ไหน”

คนฟังเหมือนโดนคำพูดนั้นแทงใจดำเข้าอย่างจัง เขาขยับตัวอย่างกระสับกระส่ายก่อนจะคุมสติได้อย่างรวดเร็ว ทว่าในจังหวะนั้นเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นขัดการสนทนาของทั้งคู่ คนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นคนที่เขาเรียกหา

“คุณก้อยแจ้งว่าคุณฤทธิ์เรียกหาผม?”เอกภพเอ่ยถาม เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของพฤทธิกรห่างไปประมาณสามสี่ก้าว เยื้องจากเก้าอี้ที่กวีวัธน์กำลังนั่งอยู่ไปทางด้านข้าง

พฤทธิกรมองหน้าเอกภพสลับกับหลานชาย นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยออกไปว่า “ผมอยากจะเปลี่ยนห้องทำงานในคอนโดเป็นห้องนอนอีกห้อง คุณพอจะหาคนจัดการได้หรือเปล่า”

เอกภพค่อนข้างแปลกใจเนื่องด้วยนานๆทีพฤทธิกรถึงจะสั่งให้เขาทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานในบริษัท ส่วนใหญ่แล้วการจัดการเรื่องส่วนตัวของนายใหญ่เช่นนี้ หญิงสาวที่เป็นเลขาหน้าห้องจะเป็นคนจัดการเสียมากกว่า กระนั้นเขาก็ตอบรับ

ส่วนกวีวัธน์ถึงกับยิ้มกริ่มไม่กล้าเอ่ยปากขัดน้าชายสักคำ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะโมโหฉุนเฉียวจนเปลี่ยนใจ

“ขอเตียงคิงไซส์ แล้วผมอยากให้ห้องเสร็จภายในสองวัน”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”แม้คำสั่งของพฤทธิกรจะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่เอกภพทำงานมานานจนพอรู้ว่า ต้องทำอย่างไรหัวหน้าจึงจะพอใจ

“ขอบคุณมากครับ”จบประโยคคำพูดของพฤทธิกร เอกภพจึงก้มศีรษะและหมุนเท้าเดินออกจากห้อง

“ขอบคุณมากครับน้าฤทธิ์”กวีวัธน์กล่าวขึ้นทันทีที่ประตูถูกปิดลง ยิ้มกว้างอย่างดีใจราวกับถูกรางวัล

“ฉันไม่อนุญาตให้มาทำเรื่องเสียๆหายๆในห้องฉันนะ”

“ไม่มีแน่นอนครับ ผมรู้ว่าน้องเขายังเด็ก”กวีวัธน์พูดโดยเก็บอีกประโยคไว้ในใจ ‘น้านั่นแหละที่ต้องบอกตัวเอง ฮุฮุฮุ’



โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่กวีวัธน์ติดต่อไว้ให้หรูหราเสียจนเด็กหนุ่มไม่กล้าก้าวเท้าเพราะกลัวทำพื้นที่สะอาดเป็นเงาวับสกปรก ห้องพักผู้ป่วยที่เด็กหญิงได้อยู่ก็เป็นห้องเดี่ยวไม่รวมกับผู้ป่วยคนอื่น ยังดีที่มันไม่ได้วิลิศมาหราจนน่าตกใจ ในห้องมีเพียงโทรทัศน์ โซฟาสำหรับเฝ้าไข้และห้องน้ำในตัวเท่านั้น

“พี่ปลา ไม่ใช่ห้องรวมจะดีเหรอ ค่าห้องแพงหรือเปล่า”ปวันรัตน์ยังมีแก่ใจถามถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดีเลยได้แต่พูดเลี่ยงไปว่าไม่ต้องกังวล แล้วเปิดทีวีให้น้องสาวได้ดูแก้เบื่อและขับไล่ความเงียบ เขานั่งอยู่ข้างเตียงของน้องสาวพูดคุยไปพลางกระทั่งถึงมื้อเย็นที่มีพยาบาลนำอาหารเข้ามาให้

“เดี๋ยวทานอาหารมื้อนี้แล้วต้องงดน้ำงดอาหารนะคะ พรุ่งนี้น้องปวันรัตน์ต้องเข้าห้องผ่าตัดตอนเก้าโมงนะ”คุณพยาบาลคุยกับคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง

“ใช้เวลาผ่าตัดนานไหมครับ”

“ประมาณสิบสองชั่วโมงค่ะ”เธอตอบพร้อมกับเช็กสภาพร่างกายของคนไข้

คล้อยหลังพยาบาลสาว เด็กหญิงจึงพูดขึ้นมาว่า “อาหารที่โรงพยาบาลนี้น่ากินมากๆเลย พี่ปลากินด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ เมื่อกี้คุณพยาบาลก็บอกอยู่ว่ากินข้าวเสร็จต้องงดน้ำงดอาหาร ตอนเช้าก็จะไม่ได้กินข้าวนะ เพราะงั้นปุ้ยกินให้อิ่มเถอะ”

ในเมื่อชวนแล้วพี่ชายบอกปฏิเสธ เธอจึงไม่คิดเกรงใจอีก หลังจากที่รู้ว่าตัวเองมีก้อนเนื้อที่ต้องตัดเอาออกอยู่ในสมอง ปวันรัตน์ก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอลงเหมือนมันจะป่วยตลอดเวลา เธอไม่ค่อยอยากอาหารเพราะรู้สึกขมปากทานอะไรก็ไม่อร่อย แต่เพราะรู้ว่า ถ้าเธอไม่กินข้าว พี่ชายจะเป็นห่วง เด็กหญิงจึงพยายามฝืนทานอาหารแต่ละมื้อให้หมดซึ่งมันต่างกับคราวนี้ คงเพราะหน้าตามันน่าทานละมั้ง เด็กหญิงคิดอยู่ในใจ หลังจากทานอาหารในจานหมดเกลี้ยง

ปภินวิชเทน้ำใส่แก้วส่งให้น้องสาว มองเธอดูดน้ำจากหลอด

“เดี๋ยวพี่กลับไปที่ห้องพักนึงแล้วจะกลับมานอนเฝ้า”

“พรุ่งนี้พี่ปลาไม่ทำงานเหรอ วันนี้ก็หยุดแล้ว”

“ไม่เป็นไร พี่ลาได้”

“ไหนตอนแรกพี่บอกว่า ถ้าไม่ลางานเลยจะได้เงินเพิ่ม ลาทำไมไม่ต้องลาหรอกปุ้ยอยู่ได้ ผ่าตัดสิบสองชั่วโมง”เธอทำท่านึก “กว่าจะเสร็จก็ตั้งสามทุ่ม พี่ปลายไม่ต้องมานั่งรอหรอก”

“งั้นเอาอย่างนี้ คืนนี้พี่นอนเฝ้าแล้วตอนเช้าก็ไปทำงาน เออ... ตารางงานเข้ากะบ่ายด้วยพอดีเลย”เด็กหนุ่มพูดเมื่อนึกขึ้นได้

“โชคดีจังเลยค่ะ”เธอยิ้มให้

เนื่องจากตกลงกับน้องสาวว่าพรุ่งนี้จะไปทำงาน เขาจึงไม่ได้กลับหอพักให้ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมา แค่ลงไปที่ร้านสะดวกซื้อและซื้อของจำพวกแปรงสีฟันยาสีฟัน ส่วนสบู่มีอยู่ในห้องน้ำอยู่แล้วและเขาก็มักจะใช้สบู่ก้อนเดียวล้างทั้งหน้าล้างทั้งตัว




หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-09-2017 20:13:24



รุ่งเช้าถัดมา ปภินวิชตื่นแต่เช้ามาล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นจึงช่วยพยุงตัวน้องสาวให้มาจัดการธุระในห้องน้ำบ้าง แล้วหันไปเปิดโทรทัศน์

ก่อนเวลาเก้าโมงเช้าประมาณครึ่งชั่วโมง เด็กหญิงก็ถูกพาตัวออกจากห้องไปยังห้องผ่าตัด เหลือปภินวิชอยู่ในห้องพักผู้ป่วยคนเดียว เขาจึงจะเดินทางกลับไปทำงานตามที่คุยกับน้องสาวไว้เมื่อวาน ทว่า กวีวัธน์กลับเปิดประตูเข้ามาราวกับล่วงรู้มาก่อนหน้า

“ผมนำเอกสารมาให้ครับ”เขาระบายยิ้มอย่างน่าคบหาหากมองจากสายตาของคนภายนอก แต่กับเด็กหนุ่มที่ตัวเขารู้สึกว่าได้เห็นด้านมืดของอีกฝ่ายมากมายในชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน รอยยิ้มนั้นกลับทำให้เขาระแวงระวัง

เด็กหนุ่มรับเอกสารฉบับนั้นขึ้นมาอ่านโดยละเอียด เนื้อหาใจความด้านในระบุยอดค่าใช้จ่ายที่ทำให้เขาอ้าปากค้าง ซึ่งยอดเงินที่ว่าเป็นยอดรวมเพียงแค่สองวันเท่านั้น

“ทำไมจำนวนเงินมันสูงขนาดนี้ล่ะครับ”

“มีหลักฐานประกอบ เปิดดูด้านหลังได้”

ปภินวิชพลิกกระดาษไปดูหลักฐานประกอบที่กวีวัธน์กล่าวถึงทันที หลักฐานที่ว่าเป็นกระดาษสีขาวขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่มาตรฐานทั่วไป ส่วนหัวระบุชื่อโรงพยาบาลและคำว่าใบแจ้งยอดค่าใช้จ่าย เด็กหนุ่มกวาดสายตาอ่านรายละเอียดค่าห้องพัก ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด และดูยอดรวมด้านล่างสลับกับเอกสารสัญญาใบแรก

“ใบแจ้งยอดนี่เป็นของจริงแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณลองไปติดต่อขอเอกสารจากเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ได้”

ปภินวิชไม่ได้มีคำโต้แย้งอะไรอีก แค่หวิวๆในอกเหมือนจะเป็นลม แต่พอนึกถึงคำโต้ตอบสนทนาระหว่างกวีวัธน์ในบ่ายเมื่อว่ากับฉุกคิดได้ว่า ยอดเงินทั้งหมดไม่ได้ออกจากกระเป๋าตัวเอง หัวใจที่สั่นไหวจึงค่อยๆนิ่งสงบขึ้น จึงพลิกหน้ากระดาษกลับมาอ่านสัญญาที่อีกฝ่ายเขียนมาต่อไป แต่เมื่อได้เห็นเงินเดือนที่ตัวเองจะได้รับแล้วในสมองของเด็กหนุ่มก็คำนวณระยะเวลาที่ต้องทำงานทันที

แค่ประมาณสองเดือนยอดหนี้ก้อนนี้ก็หมดแล้ว!!! ปภินวิชคิดว่าตัวเองต้องทำงานไปจนแก่ตายเสียอีก

“หลังจากที่น้องสาวของคุณออกจากโรงพยาบาล ผมจะส่งยอดค่าใช้จ่ายที่อัปเดตแล้วมาให้ดูอีกที”

“ครับ”หลังรับคำ เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าอ่านรายละเอียดของงานที่ถูกระบุไว้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เนื้อความในส่วนนี้ใช้ภาษาด้วยคำจำกัดความอย่างกว้างๆ ครอบคลุมพฤติกรรมทั่วไปสำหรับการจ้างพนักงาน โดยเริ่มต้นประโยคด้วย เขามีหน้าที่ต้องดูแลนายพฤทธิกร ตัณกิติยาให้ได้รับความพึงพอใจ

มัวแต่เรียกนายท่านๆ เด็กหนุ่มเพิ่งรู้จักชื่อจริงๆของผู้ชายคนนั้นก็ตอนนี้นี่เอง

ต้องไม่สร้างความขุ่นเคือง ต้องเคารพ จริงใจ ซื่อสัตย์ ไม่นำความเดือดร้อนมาสู่นายจ้าง และไม่เผยแพร่ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้แก่บุคคลภายนอก

ทั้งที่ไม่มีเนื้อหาตรงส่วนใดส่อไปในทางมิดีมิร้าย แต่คนร่างสัญญายังอุตส่าห์ระบุเรื่องการเก็บความลับของสัญญาซ้ำอีก ข้อความหลังสุดนี้สร้างความกังขาให้แก่เด็กหนุ่ม ด้วยไม่เห็นความจำเป็นในการย้ำเตือน ปกติในที่ทำงานปัจจุบันของปภินวิชก็ไม่ค่อยเห็นมีใครเอาเรื่องสัญญาจ้างงานมาพูดคุยกันเสียหน่อย

“ไม่เผยแพร่ข้อมูลในสัญญานี่ หมายความว่าอย่างไรหรือครับ”

“ก็ห้ามบอกใครว่า คุณทำสัญญาฉบับนี้อย่างไรล่ะ”กวีวัธน์ตอบ

ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเก็บความลับของสัญญา เขาใส่เพิ่มเติมไว้กันเหนียว ถ้าบอกย้ำห้ามพูดเรื่องสัญญากับใคร เขากลัวเด็กหนุ่มจะสงสัยแล้วพานจะเอาไปถามกับพฤทธิกร ขณะที่นั่งมองอีกฝ่ายอ่านสัญญาเขายังนั่งลุ้นอยู่ว่า ปภินวิชจะสังเกตหรือฉุกคิดอะไรได้ไหม และโชคดีที่คำถามเข้าทางเขาพอดี

“ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดคนรอบตัวของนายท่านอย่างลูกน้องในที่ทำงานถามคุณว่า คุณเป็นอะไรกับนายท่าน ทำไมจู่ๆคุณถึงมาติดสอยห้อยตามท่านได้ คุณจะตอบว่าอะไร ‘อ๋อ ผมเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่านครับ’ อย่างนั้นหรือ”

ฟังกวีวัธน์ถามเองตอบเองแล้วเด็กหนุ่มได้แต่มุ่ยหน้าพลางพึมพำเสียงเบาว่า “ใครจะไปกล้าพูดแบบนั้น”

ส่วนถัดมากล่าวถึงหากเขาผิดสัญญา เขาจะต้องยินดีชดใช้หนี้ทั้งหมดรวมดอกเบี้ยยี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์ต่อปี และกำหนดให้ผ่อนชำระต่อเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละสามเปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้ทั้งหมด

เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดคำนวณยอดเงินทันที เมื่อเห็นตัวเลขเขาต้องร้องอุทานในใจ ถ้าหักลบกับเงินเดือนที่ได้ในปัจจุบัน เท่ากับว่าเขาจะเหลือเงินในแต่ละเดือนแค่ไม่กี่พันเท่านั้น ในทางกลับกัน ถ้าเขาหนีไม่ยอมจ่ายหรือไม่ยอมทำตามสัญญา

ไม่ได้หรอก!!! คำนี้ผุดขึ้นมาในใจทันที เขาจะสามารถหนีไปไหนได้ ถ้าจะพาน้องสาวหนีไปต้องรอให้เธอแข็งแรงก่อน พอหนีไปแล้วก็ต้องใช้เงิน ต้องหางานทำ ปภินวิชเกิดและเติบโตในกรุงเทพ ตอนยังเด็กเขาเคยไปเที่ยวบ้านยายที่ต่างจังหวัดบ้างเหมือนกัน แต่หลังจากไปงานศพยายตอนประถมหก แม่ก็ไม่เคยพาเขากลับไปที่นั่นอีกเลย ในความคิดของเด็กหนุ่ม ต่างจังหวัดต้องหางานทำยากกว่าในกรุงเทพ ไม่อย่างนั้นคนต่างจังหวัดคงไม่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพกันอย่างครึกโครม

ปภินวิชใช้เวลาอ่านทวนเอกสารที่หน้าตาเนื้อหาเหมือนกันทั้งสองฉบับอยู่ร่วมยี่สิบนาทีเพราะนอกจากอ่านเปรียบเทียบเนื้อหา ยังคิดโน่นคิดนี่มากมายจากนั้นถึงได้เงยหน้ามองกวีวัธน์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างกันบนโซฟาสำหรับนอนเฝ้าคนไข้

“ให้ผมเซ็นเลยหรือเปล่าครับ”เด็กหนุ่มถาม

“อืม เซ็นได้เลย”กวีวัธน์ตอบพร้อมกับส่งปากกามาให้ เด็กหนุ่มจึงจรดปากกาเซ็นชื่ออย่างไม่ลังเล และส่งเอกสารกลับไปให้ชายหนุ่ม ฝ่ายนั้นก็ลงชื่อในเอกสารอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งเอกสารฉบับหนึ่งมาให้เขาเก็บไว้

“พรุ่งนี้เย็นผมจะมารับคุณไปหานายท่าน และขอให้คุณเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปอยู่ที่คอนโดของนายท่านด้วย อีกอย่างหวังว่าคุณจะลาออกจากงานให้เรียบร้อยภายในวันนี้”

“ผมคิดว่าจะเดินทางไปกลับครับ ไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับนายท่านหรอก”

“แต่นายท่านอยากให้คุณไปพักอยู่ด้วยกัน หรือคุณจะขัดความประสงค์ของท่าน”

เท่ากับว่าต้องทำตัวผูกติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ปภินวิชคิดด้วยความหวั่นใจ โดยไม่ทันได้ให้ความสนใจกับกวีวัธน์ซึ่งลุกขึ้นยืนเมื่อคิดว่าตนเสร็จธุระแล้ว

“นายท่านไม่มีคนรักหรือครับ”เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมส่งเสียงถาม กวีวัธน์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ หลุบตามองเด็กหนุ่มซึ่งยังนั่งอยู่บนโซฟา แล้วยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา

“อยากรู้เหรอ”

“ผมไม่อยากรู้แล้วก็ได้”

ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะ “ฉันไม่ขออะไรแลกเปลี่ยนหรอก แค่จะบอกว่า ถ้าอยากรู้ต้องไปถามนายท่านเอาเอง แต่ฉันรู้อยู่อย่างหนึ่ง”แล้วหยุดคำพูดเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่ม

“นายท่านชอบคนที่เอาใจเก่ง”




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//บทต่อไปพบกันวันพุธที่ 4 ตุลาคมนะคะ//*   


หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-09-2017 21:10:13
โห นายกลอนแต่งเรื่องกับน้าชายเสียเป็นตุเป็นตะเชียว จะบอกว่าให้น้องปลาไปเป็นเด็กเลี้ยงของคุณน้าก็กลัวเขาจะไม่รับใช่ไหม
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-09-2017 23:36:41
ร้ายมากกก หลานน้าคนนี้ 5555
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 29-09-2017 01:42:11
รอตอนเจอกัลล :-[ :impress2: :o8:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 3 [28/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2017 02:36:39
ปั้นน้ำให้เป็นตัวเก่งนะกลอน
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-10-2017 04:36:04
04

“นอกจากเอาใจเก่งแล้วยังต้องขยันออดอ้อนออเซาะ”

ความต้องการของนายท่านที่กวีวัธน์บอกช่างขัดกับสิ่งที่เขาพบเจอเมื่อครั้งก่อนอย่างมาก

“นายท่านเป็นคนจ่ายเงินให้คุณนะ ท่านต้องคอยเข้าหา คอยเอาใจพะเน้าพะนอคุณด้วยเหรอ”กวีวัธน์ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ปภินวิชยังสงบปากสงบคำด้วยนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าผู้ชายอย่างเขาต้องไปออดอ้อนออเซาะผู้ชายด้วยกันจะมีสภาพอย่างไร

“ถ้านายท่านอยากให้มีคนมาคอยออเซาะ ทำไมไม่เลี้ยงผู้หญิงล่ะ คงจะน่ารักกว่าผู้ชายอย่างผมเยอะ”

“เพราะนายท่านชอบผู้ชายไง”

ยิ่งเจอคำตอบนี้เข้าไปยิ่งพูดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่ และอยากได้กระจกสักบานมาส่องหน้าตัวเองว่าหน้าตาอย่างเขาเหมาะกับสายแบ๊วแบบนั้นหรือเปล่า เขาหันเข้าหากระจกรถยนต์ ใช้เงาสะท้อนรางๆสังเกตใบหน้าตัวเอง

รถยนต์บนท้องถนนเคลื่อนตัวได้ช้าแต่ไม่ถึงกับติดชะงักขยับไปไหนไม่ได้ แสงสว่างจากดวงตะวันซึ่งลาลับเหลี่ยมตึกอาคารหายไป ถูกแทนที่ด้วยความสว่างจากแสงไฟซึ่งติดตั้งอยู่ตามท้องถนนและไฟหน้าของรถยนต์ทั้งหลาย

กวีวัธน์เพิ่งเดินทางไปรับเด็กหนุ่มมาจากโรงพยาบาลโดยบอกว่าจะพาไปพบนายท่าน ก่อนออกมายังถามถึงเสื้อผ้าและการลาออกจากงาน ปภินวิชไม่กล้าบิดพลิ้วเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในคณะบริหารของห้าง ตอนที่ชายหนุ่มยื่นนามบัตรให้เขาดูในครั้งแรก จะเป็นเพราะเขาไม่สนใจก็ไม่ใช่ ถ้าชื่อบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่บนนามบัตรต่อให้ไม่ตั้งใจมองเขาก็ควรสังเกตเห็น แต่เด็กหนุ่มเพิ่งรู้จากพี่ที่เป็นหัวหน้างาน กิจการห้างสรรพสินค้าแค่ถูกแตกย่อยออกมาเป็นบริษัท ซึ่งยังมีอีกหลายบริษัทที่มีเจ้าของคนเดียวกัน แทบไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด ในเมื่อกวีวัธน์มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยประธานบริษัท

“เรื่องที่ให้เอาใจนายท่านผมไม่ได้พูดล้อเล่น ท่านสั่งผมให้มาเตือนคุณ ผมเองก็เห็นด้วย ถ้าคุณทำให้ท่านขุ่นเคืองตัวคุณเองจะลำบากเสียเปล่าๆ”เสียงพูดจริงจังของกวีวัธน์เรียกให้ปภินวิชหันหน้ากลับไปหา ประกายในแววตาของเด็กหนุ่มที่กวีวัธน์มองเห็นมีแต่ความกังขา เขายิ้มให้ซึ่งมองคล้ายรอยยิ้มเอ็นดูยามที่ผู้สูงวัยมองดูเด็กๆ

“ท่านชื่นชอบคุณมาก ถึงขนาดอยากจะซื้อคอนโดให้อยู่ แต่เพราะกลัวคุณจะพาผู้ชายคนอื่นมาค้างในคอนโดของท่าน เรื่องนี้เลยถูกระงับไว้ก่อน”

“อย่างผมเนี่ยนะ จะพาผู้ชายขึ้นห้อง คิดอะไรบ้าๆ”แค่นึกปภินวิชก็ขนลุกเกรียว

“อย่าลืมว่าคุณเคยคิดจะขายเรือนร่างให้ผู้ชาย”

กวีวัธน์กล่าวย้ำเรื่องที่เด็กหนุ่มอยากลืมขึ้นมาอีกครั้ง กระนั้นเขาก็ได้แต่เถียงค้านอยู่ในใจ ถึงคิดที่จะทำงานแบบนั้น ปภินวิชกลับมั่นใจว่าตัวเองคงจะไม่มีทางเบี่ยงเบนไปแน่ๆ เขาทำเพราะความจำเป็น ไม่ได้ชื่นชอบโดยส่วนตัวเสียหน่อย

“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ที่ผมอยากจะเตือนคือ ถ้าคุณทำให้นายท่านขุ่นเคือง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะโดยส่งไปฝึกสอนมาใหม่ ท่านเสียดายเพราะไม่อยากให้คุณช้ำแต่ท่านก็เบื่อที่จะฝึกพวกพยศไม่รู้งาน”

“ฝึกสอน?”

“ให้ผู้ชายหลายๆคนช่วยฝึกคุณให้เป็นงานบนเตียง”กวีวัธน์บอกด้วยรอยยิ้ม พานให้ปภินวิชขนลุกเกรียวยิ่งกว่าตอนที่นึกจินตนาการว่าตนพิศวาสผู้ชายเสียอีก

“ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าไม่ทำอะไรพิเรนทร์ๆแบบนั้น”

“ถ้าคุณเป็นเด็กดี เรื่องแบบนั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก”รอยยิ้มเย็นเยียบยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของกวีวัธน์ เด็กหนุ่มตัวสั่นเพราะความหวาดกลัวซึ่งจู่โจมเข้ามาในหัวใจ เขายกมือกอดตัวเอง ไม่กล้าคิดว่าคำพูดของกวีวัธน์เป็นเรื่องล้อเล่น แม้ไม่มีหลักฐานแต่ปภินวิชก็เชื่อสนิทใจว่าการที่น้องสาวของเขาไม่ได้ผ่าตัดทั้งที่มีกำหนดนัดออกมาแล้ว นั่นต้องเป็นเพราะการจัดการของกวีวัธน์ หรืออาจจะเป็นคำสั่งของนายท่าน เด็กหนุ่มไม่รู้ว่านายท่านมีอำนาจแค่ไหนและเขาก็ไม่อยากท้าทายอำนาจนั้น

ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้เขา เมื่อรถยนต์เข้ามาจอดเทียบหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ปภินวิชตัวแข็งไม่อยากก้าวเท้าเพราะรู้สึกเหมือนตนกำลังก้าวเข้าสู่ลานประหาร

“ผมขอโทษ ที่คำพูดของผมอาจจะดูโหดร้ายไปสักหน่อย แต่อย่างที่ผมบอก ถ้าคุณทำตัวดีๆ เอาใจนายท่านๆมากให้ท่านรักและเอ็นดู เรื่องแบบนั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ผมรับรองได้ แม้ว่าตอนที่นายท่านเบื่อคุณแล้ว คุณก็จะมีทรัพย์สินเล็กน้อยติดตัวก่อนจะเป็นอิสระ”

ปภินวิชไม่ได้หวังอยากได้เงิน แต่คำว่าอิสระที่อีกฝ่ายพูดถึง มันช่างเย้ายวนเขาได้มากกว่า

“ในสัญญาบอกว่าผมทำงานแค่ใช้หนี้หมด”เด็กหนุ่มเอ่ยย้ำ

“อ้อ นั่นสินะ ผมลืมไป... ก็ตามนั้น ไม่ว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงก่อนหรือนายท่านจะเบื่อคุณก่อน หากคุณทำตัวดีๆ คุณย่อมได้รับมากกว่าสิ่งที่เสียไปแน่นอน”

ปภินวิชมองหน้าคนพูดที่อยู่ด้านนอก พยายามข่มความหวั่นกลัวและก้าวเท้าลงจากรถ เขามาถึงจุดนี้แล้วไม่มีทางให้ถอยกลับได้อีก อยากหนีก็หนีไม่ได้ อยากต่อต้านปฏิเสธก็ทำไม่ได้เช่นกัน น้องสาวเขาอยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย เขาจะขัดขืนอะไรได้ ยิ่งคิดยิ่งทำให้เขาขุ่นแค้นที่ตนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

“ทานอาหารไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปหานายท่านก่อน”

เด็กหนุ่มมองกับข้าวมากมายตรงหน้า คิดประชดประชันไปว่า กวีวัธน์ขุนเขาอย่างกับหมู สั่งกับข้าวมากมายขนาดนี้ เขาไม่มีทางทานได้หมดอยู่แล้วหรือว่าคงอยากอวดรวย อวดว่าเงินทองที่มีมากมายจนสามารถใช้ทิ้งใช้ขว้างได้ อย่าให้มีบ้างแล้วกัน ปภินวิชคิดพร้อมทั้งตักอาหารเข้าปากด้วยความฉุนเฉียว เพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะโยนเขาให้ผู้ชายคนอื่น เด็กหนุ่มจึงเกรี้ยวโกรธขึ้น เขาขายตัว เขาขายศักดิ์ศรีแต่เขาไม่ใช่ผักปลาที่จะถูกโยนให้ใครก็ได้ แล้วก็ไม่ใช่ทาส เงินมากมายนั่นนายท่านและกวีวัธน์ให้เขาด้วยจิตพิศวาส จะมาถือว่าเขาขายชีวิตไม่ได้ ฉับพลัน ประกายความคิดได้สว่างวาบในสมองของเด็กหนุ่ม

เขาจะแจ้งความ!!!

ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เยาว์ แต่ถ้ามีหลักฐานว่าอีกฝ่ายล่วงละเมิดทางเพศและค้ามนุษย์ นายท่านกับกวีวัธน์ต้องโดนจับด้วยข้อหาหนักแน่ๆ ปภินวิชยกยิ้มด้วยความสะใจ อยากให้เขาออดอ้อนออเซาะเอาใจใช่ไหม คราวนี้แหละต้องเจ็บใจจนกระอักเลือดออกมาแน่นอน



พฤทธิกรนั่งอยู่แถวหน้าติดขอบเวทีการแสดงแฟชั่นโชว์การกุศล มองดูการเดินแบบรอบสุดท้ายด้วยความเบื่อหน่ายแม้ใบหน้าจะยังนิ่งเฉยคล้ายมองด้วยความสนใจ เขาปรบมือเมื่อเหล่านางแบบซึ่งเป็นลูกหลานคนดังและเหล่าผู้มีเงินในแวดวงธุรกิจออกมายืนรวมตัวบนเวทีอีกครั้ง พิธีกรบนเวทีพูดสรุปอีกเล็กน้อยก่อนกล่าวปิดงานคืนนี้ลง แต่ใช่ว่างานจะเลิกจริงๆ ชายต้องยืนคุยอยู่กับคนรู้จักอีกครู่ใหญ่

“นี่น้องแขค่ะ ลูกสาวอา”หญิงวัยกลางคนที่ยืนคุยกับชายหนุ่มเป็นคนรู้จักของบิดา ซึ่งหลังจากที่เขามาจับธุรกิจแทนผู้เป็นพ่อก็ได้พบปะพูดคุยกับเธอบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนลูกสาวที่เธอเอ่ยปากแนะนำมองดูจากหน้าตาท่าทางแล้ว คงอายุน้อยกว่าเขาหลายปี

“ถ้าเป็นไปได้ อาอยากฝากน้องไปฝึกงานที่บริษัทคุณฤทธิ์”

“คุณแขเพิ่งจบหรือครับ”เขาหันไปถามคนที่ถูกฝาก

“เปล่าค่ะ แต่แขอยากลองทำงานในบริษัทอื่นก่อนเข้าไปช่วยงานคุณพ่อเต็มตัว”เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเอง

“อา...ครับ”พฤทธิกรตอบรับและหันไปเห็นหลานชายเดินเข้ามาพอดี เขายกมือเรียก เมื่อกวีวัธน์เดินเข้ามาใกล้จึงเอ่ยขอนามบัตรจากเจ้าตัวและส่งกระดาษแผ่นเล็กใบนั้นให้หญิงสาว

“ส่งเรซูเม่ไปที่อีเมลนี้ก่อนนะครับ ผมจะให้กลอนดูตำแหน่งให้”

“ขอตำแหน่งเลขาหน้าห้องพี่ฤทธิ์ไม่ได้หรือคะ”

คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนผู้หญิงจีบ เขาอายุใกล้จะสี่สิบแล้วจึงไม่คิดว่าผู้หญิงสาวๆจะยังมาชอบตนอยู่ แม้เขาจะพยายามดูแลสุขภาพร่างกายให้ดูดีอยู่เสมอ พยายามหาเวลาออกกำลังกายเพื่อรักษาหุ่น แต่อย่างสายตาของเขาก็ผ่านการทำเลสิกมาแล้วรอบหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่รอผมขาวอีกอย่างเท่านั้น

“ต้องขอประทานโทษที่ขัดการสนทนานะครับ แต่น้าฤทธิ์มีทั้งเลขาและผู้ช่วยอยู่สามคนแล้ว แค่นี้ผมก็ว่างงานจนโดนน้าชายไล่ให้ไปตรวจสาขาบ่อยๆ คุณผู้หญิงอย่ามาแย่งงานผมเลยนะครับ”คงเพราะสรรพนามที่คนพูดใช้เรียกพฤทธิกรกอปรกับท่าทางสุภาพเป็นมิตรขี้เล่นของเจ้าตัว หญิงสาวสองวัยจึงไม่ถือโทษโกรธเคืองซ้ำยังหัวเราะรับมุก

“เอ่อนี่ กลอนครับ กวีวัธน์  เจียรพิบูลย์ เป็นหลานชายของผม”

“หลานหรือคะ”หญิงที่แทนตัวว่าอาถามเขาอย่างสงสัย ใครๆในแวดวงสังคมต่างก็รู้ว่าพฤทธิกรเป็นลูกชายคนเดียวของคุณดรัสพงศ์  ตัณกิติยาประธานกรรมการกลุ่มบริษัทตัณติกำจร

“ครับ เป็นญาติทางคุณแม่”พฤทธิกรตอบแล้วเหลือบมองหน้าหลานชายก่อนจะกล่าวขอตัวกับหญิงสาวทั้งสอง

“ขอโทษครับ พอดีวันนี้ผมมีธุระต่ออีกนิดหน่อย คงต้องขอตัวก่อน”เขากล่าวจบและยกมือไหว้หญิงสูงวัยกว่าตนทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเรียกรั้งชายหนุ่มได้หมุนตัวก้าวเท้าด้วยจังหวะฝีเท้าปกติเดินนำไปแล้ว กวีวัธน์จึงต้องรีบยกมือลาเดินตามน้าชายออกมา ห่างออกมาจากห้องจัดเลี้ยงแล้ว พฤทธิกรถึงได้หันหน้าไปคุยกับหลานชายขณะที่ยังก้าวเท้าอยู่เช่นเดิม

“ฉันไปรอที่รถ”หลังจบคำกล่าวสั้นๆพฤทธิกรยังก้าวเดินด้วยความเร็วของฝีเท้าเท่าเดิมลงบันไดเลื่อน ปล่อยให้กวีวัธน์แยกออกไปรับเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวพามาทานอาหาร

จังหวะที่รถยนต์แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันได ทั้งกวีวัธน์และปภินวิชก็ได้ปรากฏตัวให้เห็นพอดี

พฤทธิกรก้าวเท้าขึ้นรถที่บอดี้การ์ดเปิดประตูให้และนั่งพิงเบาะพักสายตารออยู่ภายในกระทั่งสองหนุ่มเดินตามมาถึง  เด็กหนุ่มถูกกวีวัธน์รุนหลังให้ขึ้นมายังเบาะหลังจากนั้นประตูจึงปิดลงพร้อมกับรถยนต์ที่ค่อยเคลื่อนที่ ชายหนุ่มได้ยินเสียงขยับตัวยุกยิกอยู่เป็นครู่จากคนที่นั่งอยู่ข้างกาย จึงลืมตาขึ้นมองและเอ่ยถามไปว่า

“ทานอะไรมาหรือยัง หิวหรือเปล่า”

ปภินวิชชะงักก่อนจะตอบคำถามกลับมา“คุณกวีวัธน์พาไปทานอาหารมาแล้วครับ”

“น้องสาวเป็นอย่างไรบ้าง”เสียงถามเรียบเรื่อยคล้ายถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปก็จริง แต่นั่นกลับทำให้คนฟังนิ่งงัน อีกฝ่ายเงียบนิ่งไปนานจนพฤทธิกรต้องมองด้วยความแปลกใจ ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นกลับทำให้คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าชะงักเสียเอง เมื่อเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้และยกมือก้มกราบบนไหล่ พฤทธิกรตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาโดยอัตโนมัติกับไออุ่นร้อนและกลิ่นกายของอีกฝ่ายที่เข้ามาประชิด

“ผมขอบคุณนายท่านมากนะครับที่ให้การช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้นายท่าน ไม่รู้ผมว่าจะไปพึ่งใครจริงๆ”

จบประโยคนั้นยังตามมาด้วยศีรษะของเด็กหนุ่มซึ่งวางซบบนไหล่และสองแขนที่วางพาดโอบกอดรอบตัว คราวนี้พฤทธิกรจึงนิ่งยิ่งกว่าก้อนหิน ขณะที่ปภินวิชกลับเบ้หน้าด้วยอาการกล้ำกลืน อาศัยว่าภายในรถมืดสลัวมีแสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านมาได้น้อย เด็กหนุ่มจึงยังพูดประโยคที่ตนนั่งคิดเตรียมไว้ต่อไป

“ชีวิตผมมันอาภัพขาดทั้งพ่อขาดทั้งแม่ การที่นายท่านเมตตาเด็กตาดำๆคนนี้ก็เหมือนพระมาโปรด ผมหวังว่านายท่านจะเมตตาเอ็นดูผมต่อไป ถ้าผมทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอให้นายท่านว่ากล่าวตักเตือนได้เลยนะครับ ผมจะปรับปรุงตัวเชื่อฟังนายท่านทุกอย่าง”

ทว่าหลังจากได้ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มแล้ว หัวใจคนแก่กลับใจอ่อนยวบเชื่อคำพูดนั้นโดยง่าย สติพึงรู้ควรคิดพิจารณาพลันจางหายรวมกับคำพูดที่กวีวัธน์เคยบอกเล่าไว้ล่วงหน้า พฤทธิกรจึงนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มมากขึ้นตามที่อีกฝ่ายร้องขอ เขายกมือขึ้นตบแผ่นหลังบางของปภินวิชเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม

“ไม่ต้องกังวลไป มีอะไรอยากให้ฉันช่วยเหลือก็บอกได้”

เด็กหนุ่มรู้สึกแขยงแขงขนกับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ลูบหลังลูบไหล่แต่จำต้องข่มกลั้นฝืนทน ท่องเอาไว้ในใจว่า ‘หลักฐาน หลักฐาน’ ถ้าเขาเจอหลักฐานที่จะเอาผิดหัวหน้าลูกน้องตัณหากลับสองคนนี้ได้เมื่อไหร่ เขาก็ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก และไม่น่าเชื่อว่า ก่อนหน้านี้เขาจะเคยสิ้นคิดที่จะไปทำงานบำเรอความสุขประเภทนั้น เพราะขนาดแค่โดนลูบหลังด้วยจิตพิศวาส เด็กหนุ่มยังรู้สึกรับไม่ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์เกินเลยลึกซึ้งจริง ปภินวิชคิดว่าตนอาจจะสลบคาเตียงไปเลยก็ได้ โดยไม่รู้เลยว่า เจ้าของฝ่ามืออุ่นร้อนที่ตนนึกรังเกียจยังไม่ได้คิดอกุศลใดๆสักนิด

ลงจากรถมา ปภินวิชยังเกาะแขนนายท่านแน่นไม่ยอมปล่อย ด้วยเกรงว่าหากทำตัวเหินห่างปุบปับจะทำให้นายท่านเอะใจ ด้วยเหตุนั้นจึงได้รับแววตาเจ้าเล่ห์สมใจส่งมาจากกวีวัธน์

“ดึกมากแล้ว ไม่รีบกลับบ้านหรือไง”พฤทธิกรหันไปพูดกับหลานชายซึ่งเดินตามลงมาจากรถยนต์อีกคัน โดยมีคนขับรถของอีกฝ่ายเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมมาส่งให้บอดี้การ์ดของเขา “เดี๋ยวแม่ก็เป็นห่วง”

ประโยคสุดท้ายของนายท่านทำให้ปภินวิชหูผึ่ง เขายกมืออีกข้างขึ้นมาปิดรอยยิ้มขำขัน นัยน์ตาแวววาวมีประกายล้อเลียน ก่อนจะขยับปากทวนประโยคนั้นแบบไม่มีเสียงให้กวีวัธน์ได้เห็น และถึงอีกฝ่ายจะเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ใช่ว่าจะตอบโต้ได้ เมื่อยังยืนอยู่ต่อหน้านายท่านเช่นนี้

“ผมโตแล้วครับ โทรบอกแม่แล้วด้วย น้าไม่ต้องห่วงหรอก”

เอ๊ะ! สรรพนามเรียกขานของกวีวัธน์ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรให้ต้องช่วยแล้ว แกกลับไปเถอะ อ๊ะ...”พฤทธิกรชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ ที่หลานชายตามมาอาจจะเพราะน้องปลาที่เจ้าตัวแอบชอบก็เป็นได้ ชายหนุ่มจึงแกะมือที่เกาะแขนตัวเองออกพร้อมทั้งรุนหลังเด็กหนุ่มไปยืนตรงหน้าหลานชาย

“เผื่ออยากจะคุยอะไรกัน แล้วถ้าพรุ่งนี้เช้าจะมาให้โทรสั่งอาหารเช้าเพิ่มมาด้วยแล้วกัน”เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะถอยเท้าไปยืนหน้าประตูทางเข้าอาคารซึ่งบอดี้การ์ดสองคนก็เดินตามเขาไปไม่ห่าง

“คุณกวีวัธน์เป็นอะไรกับนายท่านหรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังกับเจ้าของชื่อ

“เป็นหลานชาย”

“อ้อ” มิน่าถึงเลวเชื้อไม่ทิ้งแถว

“คุณกวีวัธน์รีบกลับเถอะครับ คุณแม่คงรอกล่อมนอนแล้ว”

“หึ”ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นจมูก “ยังไม่ทันได้เป็นคนโปรดของนายท่านก็เริ่มทำตัวปีกกล้าขาแข็งซะแล้ว ระวังจะตกกระป๋องก่อนจะได้เป็นคนโปรด”

กวีวัธน์ยกยิ้มพลางโบกมือลาด้วยท่าทีเหนือกว่าก่อนจะหมุนเท้าไปขึ้นรถของตน เด็กหนุ่มฮึดฮัดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวจากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปหานายท่านที่ยังคงยืนรออยู่ไม่ไกล

“เจ้านั่นทำอะไรงั้นหรือ”พฤทธิกรถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเด็กหนุ่ม

“เปล่าครับ”คนตอบพูดปฏิเสธเสียงขุ่น

“เจ้ากลอนมันอาจจะทะเล้นเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนดีและจริงใจนะ”ชายหนุ่มพูดอวยช่วยส่งเสริมหลายชาย เพราะถ้ามองตามความเหมาะสมด้านอายุและตัดเรื่องเพศออกไป หากหลานชายของเขาจะรักจะชอบปภินวิชก็ดูเหมาะดูควร กวีวัธน์มีงานการที่มั่นคงมากพอที่จะดูแลเด็กหนุ่มได้

ฟังคำพูดของนายท่านแล้ว ปภินวิชอยากจะตีสีหน้าเหม็นเบื่อให้มากขึ้นไปอีก เป็นน้าเป็นหลายกันย่อมต้องเข้าข้างกันนะสิ แต่เขาไม่อยากพูดให้เป็นเรื่องราวจึงได้แต่ยกยิ้มเจื่อนแบบขอไปที

เดินตามนายท่านเข้าไปในลิฟต์ หลังจากกดหมายเลขชั้นจุดหมายและปล่อยให้ลิฟต์เคลื่อนที่อยู่ครู่หนึ่ง ประตูลิฟต์จึงเปิดออก โถงทางเดินสะอาดสะอ้านเรียบหรูเฉกเช่นครั้งก่อนที่เขาเคยมา แต่ทุกย่างก้าวกลับทำให้เขาใจระส่ำ ความตื่นกลัวย้อนกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้งอารมณ์โมโหหงุดหงิดที่มีต่อกวีวัธน์หายไปหมดเกลี้ยง

เมื่อนายท่านเปิดประตูเข้าไปด้านในแล้ว บอดี้การ์ดคนที่ถือกระเป๋าให้เขาจึงเดินตามเข้ามาวางกระเป๋าไว้บนโซฟา จากนั้นก้มศีรษะและเดินออกไปพร้อมปิดประตูให้

พฤทธิกรหยิบซองสีน้ำตาลซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกระจกของชุดโซฟาขึ้นมาดู เทของชิ้นดังกล่าวออกจากซองและส่งมันให้เด็กหนุ่มที่จะมาเป็นอีกหนึ่งผู้อาศัยในห้องแห่งนี้

“คีย์การ์ด และนั่นห้องนอนของเธอ ไม่มีห้องน้ำในตัว เธอต้องออกมาใช้ห้องน้ำข้างนอก”ชายหนุ่มเจ้าของห้องชี้มือไปยังห้องที่สั่งผู้ช่วยคนสนิทจัดการไว้ให้ เขายังไม่ได้ตรวจดูแต่เพราะมั่นใจในการทำงานของเอกภพรวมทั้งเขาถือว่าได้มอบห้องเล็กนั้นให้ปภินวิชแล้ว จึงไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายให้เด็กหนุ่มอึดอัดใจ เขาเดินเข้าห้องนอนตัวเองและปิดประตูลง

เห็นเจ้าของห้องเดินหายเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวแล้ว ปภินวิชจึงได้หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าถือเข้าห้องนอนของตนบ้าง

ภายในห้องกว้างนั้นมีเพียงเตียงนอนซึ่งตั้งไว้ชิดผนังด้านหนึ่งนอกเหนือจากนั้นกลับไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใดอีก เด็กหนุ่มจึงนำกระเป๋าไปวางไว้บนเตียง หันซ้ายหันขวาจึงเห็นรีโมตเครื่องปรับอากาศติดอยู่บนผนัง เดินตรงไปยังส่วนที่ผ้าม่านปิดอยู่เป็นหน้าต่างกระจก หันกลับมามองอีกด้านถึงได้เห็นว่ามีประตูบานเลื่อน

“เจอแล้ว”ปภินวิชร้องออกมาเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพบว่าด้านในเป็นห้องขนาดเล็กซึ่งราวแขวนเสื้อผ้า ชั้นวางของมากมาย ทั้งยังมีโต๊ะเล็กหน้ากระจกครึ่งตัวและกระจกยาวเต็มตัววางชิดผนัง

เขาเดินออกไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามาวางไว้ด้านใน ไม่มีความคิดที่จะรื้อเสื้อผ้าออกมาแขวน นอกจากหยิบชุดที่ต้องใส่และผ้าขนหนูออกมาจากกระเป๋า จากนั้นถือเสื้อผ้าทั้งหมดและของใช้ส่วนตัวอย่างแปรงสีฟันไปเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาประมาณสิบนาที เด็กหนุ่มก็อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นพร้อมนอน

หลังจากปิดไฟและสอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาแล้ว เขาก็ดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว



รุ่งเช้าอีกวันเมื่อปภินวิชตื่นขึ้นมาและจัดการธุระส่วนตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินออกมายังโต๊ะอาหาร เขากลับพอว่านายท่านอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวเหมือนกำลังเตรียมพร้อมจะไปทำงาน ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะเหลือบสายตามองเขาแค่ครู่เดียวก็กลับไปจดจ่อกับหนังสือพิมพ์เช่นเดิม

“วันนี้นายท่านไปทำงานด้วยหรือครับ”

“อืม”อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ เขาจึงไม่ได้เซ้าซี้ซักถามอะไรอีก นอกจากนั่งลงบนเก้าอี้ในตำแหน่งที่เขาเคยนั่งเมื่อคราวก่อน และเมื่อเขานั่งลงนายท่านจึงพับเก็บหนังสือพิมพ์ จากนั้นแม่บ้านจึงนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟพร้อมกับเสียงกริ่งหน้าประตูที่ดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน ดังนั้นหลังจากจัดการเรื่องอาหารเสร็จ แม่บ้านคนดังกล่าวจึงต้องเดินไปเปิดประตู

“น้าฤทธิ์จะไปทำงานด้วยหรือครับ”กวีวัธน์เอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อก้าวมาถึงโต๊ะอาหาร เขาดึงเก้าอี้ออกและทรุดตัวลงนั่ง

“แกแปลกใจอะไร ฉันก็ไปทำงานปกติของฉัน”คนตอบมุ่นคิ้วแต่เสียงตอบเรื่อยเอื่อยตักอาหารเข้าปากอย่างไม่คิดว่าเรื่องที่หลานชายเอ่ยทักจะผิดแปลกจากเดิมตรงไหน ทว่าพฤทธิกรกลับไม่เห็นสายตาขัดใจที่กวีวัธน์ส่งไปให้เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ กระนั้นทุกอย่างกลับดูเป็นปกติเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ทั้งที่สงสัยแต่เขาเลือกที่จะไม่ถาม

“วันอาทิตย์ทั้งที น้าน่าจะหยุดบ้าง ถึงไม่กลับไปบ้านใหญ่ก็ดูหนังดูทีวีก็ได้”

“อ้อ”

กวีวัธน์ฟังดูก็รู้ว่าน้าชายรับคำแบบขอไปที เขาจึงพยักพเยิดส่งสายตาให้ปภินวิชเป็นการใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้

“งั้นไปเยี่ยมน้องปุ้ยกันดีไหมครับ”คำพูดประโยคนั้นของชายหนุ่มทำให้ปภินวิชสะดุ้ง ส่วนน้าชายเงยหน้ามองเด็กหนุ่มอีกคนเป็นเชิงขอความคิดเห็น แต่ปภินวิชไม่กล้าพูดอะไรได้แต่ยิ้มแหยๆ เขาไม่อยากให้ไปจะตอบออกไปได้อย่างไร

“จะได้ไปดูอาการของน้องเขาด้วย”กวีวัธน์ยังกล่าวเสริม “ถึงยังไงวันนี้ปลาก็ต้องไปเยี่ยมน้องปุ้ยอยู่ดี”

เด็กหนุ่มหน้าตึงกับสรรพนามสนิทสนมที่อีกฝ่ายใช้เรียกเขากับน้องสาว

“แกกับปลาไปกันสองคนก็ได้”

“ถ้าน้าไม่อยากไปไม่เป็นไรครับ งั้นวันนี้ผมไปทำงานกับน้าฤทธิ์ดีกว่า”กวีวัธน์เปลี่ยนใจทันควัน

พฤทธิกรมองหน้าหลานชายแล้วถอนหายใจออกมา ไม่คิดอยากจะพูดอะไรต่อจนกระทั่งอาหารมื้อนั้นเสร็จสิ้น หลานชายยังคงกระโดดตามมาขึ้นรถคันเดียวกับเขาอย่างที่ปากว่า

“เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“อะไร เป็นยังไง”พฤทธิกรเอ่ยถามกลับไป

“ก็...น้ากับน้องปลา”กวีวัธน์ทำท่ายึกยักอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมา

“ฉันไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับคนที่แกชอบหรอกน่า”

เป็นอันว่าเมื่อคืนต่างคนต่างนอน ดูท่าคงต้องไซโคเด็กนั่นให้มากกว่าเดิม กวีวัธน์คิดในใจ

“ตกลงแกชอบเขาแน่หรือเปล่า เช้านี้ฉันเปิดโอกาสให้ แกยังตามมาทำงานกับฉันอีก”

“ก็...ชอบ แต่เขาไม่ค่อยชอบหน้าผม ถ้าอยู่กันสองคนเขาต้องทำตาขวางหรือไม่ก็ทำท่าโมโหตลอด”กวีวัธน์พูดแถที่มีส่วนของความจริงผสมอยู่บ้าง

“ไปพูดอะไรไม่เข้าหูเขาเข้าล่ะสิ”

“แหะ แหะ แหะ”เขาไม่บอกอะไรมากเพราะกลัวโดนน้าชายจับไต๋ได้ “น้าฤทธิ์ก็ช่วยผมหน่อย ถ้าน้าไปด้วยน้องปลาเขาจะได้เกรงใจน้า”

“แล้วเขาจะยอมใจอ่อนมาชอบแกเมื่อไหร่”

“เถอะน่า ตีกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง”คนเป็นหลานตอบปัดแบบขอไปที

พฤทธิกรฟังคำตอบแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ กระนั้นใช่ว่าตัวเขาเองจะดีกว่าหลานชาย เพราะมัวแต่ห่วงกังวลเรื่องความแตกต่างทั้งหลายทั้งแหล่ถึงได้แต่แอบมองเด็กคนนั้นจนหลานชายมาตกหลุมรักอีกฝ่ายเสียแทน ชายหนุ่มเบนสายตามองถนนโล่งว่างยามเช้าวันอาทิตย์พลางปัดความแปลบปลาบเล็กๆที่ทิ่มตำหัวใจทิ้งไปเสีย



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-10-2017 11:14:24
เข้าใจกันไปคนละทาง ถ้าเปิดอกคุยกันนี่กลอนงานเข้าแน่ ฮา
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 04-10-2017 14:33:36
กลอนนี่เจ้าแผนการจริงๆ ความแตกมีหนาว
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-10-2017 15:49:33
เจ้าเล่ห์ แสนกลจริงกวีวัจน์
อยากรู้ใครจะมาเป็นคู่ของกวีวัจน์กันนะ

ที่ไปโกหกว่าชอบปลา ก็เพื่อให้น้าฤทธิ์ ไม่ทำตัวห่างเหินปลาสินะ
แล้วความใกล้ชิดก็จะได้ผล
แต่เหมือนพฤทธิกร ก็หวั่นไหวเล็กๆและ

น้องสาวปลา ก็ได้รับการรักษาอย่างดีล้ว
ที่ยังไงปลา ก็ไม่มีทางทำได้ด้วยตัวเอง
ปลา ไม่ชอบสัมผัสของผู้ชาย
ก็ดูกันต่อไป ว่าจะยังไง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 4 [04/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 07-10-2017 09:33:57
อย่าเพิ่งด่วนสรุป รีบทำอะไรแบบนั้นนะน้องปลา
ดูนายท่านไปนาน ๆ ก่อน

รอตอนต่อไปจ้าา  :mew1:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 5 [08/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-10-2017 05:41:46
05


กวีวันธ์แอบไปหาปภินวิชช่วงบ่ายๆอีกเช่นเคย โดยบอกน้าชายว่าขอตัวกลับก่อนเพราะเพื่อนโทรตาม และเพราะมันเป็นวันอาทิตย์ พฤทธิกรจึงพยักหน้าไม่ซักถามอะไรต่อ

วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของสำนักงานแต่พฤทธิกรมักเข้ามาเคลียร์งานต่างๆในหน้าที่จนหลานชายแสนดีอย่างเขาอดที่จะเข้ามาช่วยไม่ได้ แม้ว่าน้าฤทธิ์จะเคยบอกว่าไม่จำเป็นกระนั้นเมื่อเห็นญาติสนิททำงานไม่หยุดไม่พัก มันทำให้กวีวัธน์เป็นห่วง ซ้ำหลังๆที่เขาเข้าไปบ้านใหญ่ คุณยายยังบ่นให้ฟังว่าน้าชายทำงานเหมือนประชดแต่เจ้าตัวคนถูกบ่นกลับแค่หัวเราะ

ชายหนุ่มถอดเปลี่ยนรองเท้าและหยิบรองเท้าของตนวางบนชั้น เดินเข้าไปด้านในซึ่งแบ่งเป็นห้องเล็กๆอีกหลายห้อง เมื่อเจอป้ายหน้าห้องระบุชื่อคนป่วยที่ต้องการมาเยี่ยม เขาจึงเคาะประตูและเปิดเข้าไป ปภินวิชมีสีหน้าแตกตื่นทันทีที่เห็นหน้าเขา เจ้าตัวรีบลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ตรงเข้ามาหาและลากตัวเขาออกมาจากห้อง ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มรู้ตัวหรือไม่แต่เขาทันเห็นว่าคนป่วยบนเตียงมองตามด้วยความแปลกใจ

ปภินวิชลากเขามาหยุดที่สวนนอกอาคารอาศัยร่มไม้เพื่อหลบแดด แต่ใช่ว่าแสงอาทิตย์จะแรงจัด ท้องฟ้าด้านบนครึ้มเมฆจนดูคล้ายว่าฝนใกล้ตกในไม่ช้า

“ผมไม่อยากให้คุณพูดเรื่องงานให้น้องสาวผมได้ยิน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรทำงานตามหน้าที่ตัวเองบ้าง ผมจะได้ไม่ต้องมาคอยย้ำเตือน”

“ผมเพิ่งมาอยู่กับนายท่านวันเดียว ไม่สิ... แค่คืนเดียว คุณจะให้ผมทำอะไรนัก นายท่านยังไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยคุณจะมาเดือดร้อนทำไม”

“อ้อ น้องสาวคุณคงไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องไอซียูแล้วก็ได้มั้ง อืม...หรือถ้าพรุ่งนี้ทางโรงพยาบาลไม่ได้รับเงินค่าใช้จ่ายมันจะเป็นยังไงน้า”

“คุณกวีวัธน์!!!”

“ไม่ต้องเรียกชื่อผม ผมจำชื่อตัวเองได้”ชายหนุ่มพูดเสียงระรื่น

ปภินวิชรู้สึกหงุดหงิดโมโหที่เอะอะอีกฝ่ายก็เอาน้องสาวมาอ้าง เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย นายท่านเป็นฝ่ายที่ไม่กระตือรือร้นให้เขาดูแลเองต่างหาก เห็นหน้าตายังหนุ่มแบบนั้นอาจจะหมดน้ำยาไปแล้วก็ได้ เด็กหนุ่มนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ยามโมโหกรุ่นโกรธดูเหมือนว่าความไม่ชอบใจกับสัมผัสของนายท่านที่ตนเคยรู้สึกจะจางหายไปสิ้น

“ผมไม่เคยดูแลใคร คุณอยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาเลยแล้วกัน โตๆกันแล้วต้องมาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำกันอีกหรือไง ไม่ได้พิการสักหน่อย”ประโยคหลังๆเด็กหนุ่มงึมงำเสียงเบาแต่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันอย่างไรก็ได้ยิน ชายหนุ่มจึงกระเซ้าไปว่า

“ทำได้ก็ดีถึงนายท่านจะไม่ได้พิการก็เถอะ”เขาหัวเราะออกมา “เอาเป็นว่า ทำอาหารให้ทาน เตรียมน้ำให้อาบ เตรียมเสื้อผ้าให้ใส่ ก่อนนอนท่านนอนนวดหลังให้ท่านด้วย แล้วก็ต้องหาทางห้ามท่านไปทำงานวันอาทิตย์”

“ให้ผมทำอาหาร นายท่านคงท้องเสียแน่ ส่วนเรื่องห้ามไปทำงานใครมันจะไปทำได้ ขนาดคุณยังทำไม่ได้เลย”

“ทำอาหารไม่ได้ก็ต้องหัดทำ คุณต้องทำอาหารให้ท่านทานสามมื้อ ต่อไปผมจะยกเลิกการสั่งอาหารจากร้านข้างนอก ผมจะให้คนซื้อของสดเข้าไปให้ หรือคุณจะใช้เงินตัวเองซื้ออาหารสำเร็จเข้าไปให้ท่านทานก็แล้วแต่ แต่ผมอยากบอกให้คุณรู้ไว้อย่าง เห็นอย่างนั้น นายท่านเรื่องมากเรื่องอาหารการกินที่สุด”

“ถ้าที่คุณพูดว่านายท่านเรื่องมากเรื่องอาหารการกิน แล้วฝีมือทำอาหารบ้านๆแบบผม นายท่านจะยอมกินได้ยังไง”

กวีวัธน์ยักไหล่แบบไม่แยแส “ส่วนเรื่องการห้ามท่านไปทำงานวันอาทิตย์ ถ้าผมทำได้ ผมคงไม่ช่วยหาเด็กอย่างคุณมาให้ท่านเลี้ยงหรอก”

“ทีแรกคุณบอกแค่ว่า ผมมีหน้าที่ต้องทำให้นายท่านพอใจ”ปภินวิชพูดท้วง

“ก็นายท่านยังไม่เคยพูดว่าพอใจคุณสักคำ”

“ท่านไม่ได้พูดว่าไม่พอใจผมเหมือนกัน”เด็กหนุ่มเถียงกลับ กวีวัธน์ได้ฟังประโยคนั้นแล้วนึกขำ เขาส่งเสียงหึขึ้นจมูกก่อนพูดว่า

“ถ้านายท่านพอใจคุณจริง ท่านจะออกจากห้องไปทำงานทำไมทั้งที่เพิ่งได้เด็กมาใหม่ เรื่องง่ายๆแค่นี้ถามใครก็ต้องพูดแบบผมทั้งนั้น ยอมรับมาเถอะ คุณแค่อยากเลี่ยงงานของตัวเองเท่านั้นแหละ เอาเถอะ...”กวีวัธน์ทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดา “ผมขี้เกียจมาปวดหัวกับเรื่องพรรค์นี้แล้ว ถ้าคุณไม่อยากทำผมก็ไม่อยากฝืนใจ เงินที่จ่ายไปแล้วผมจะถือว่าทำทาน แต่หลังจากนี้ก็ขอให้คุณหาเงินมาจ่ายค่ารักษาของน้องสาวด้วยตัวเองแล้วกัน”

“เดี๋ยวๆ ผมขอโทษ”เด็กหนุ่มรีบคว้าเกาะแขนของกวีวัธน์ไว้ ไม่ใช่ว่าเขารักสบายไม่อยากทำงานหนัก แต่การรักษา การดูแล การบริการของโรงพยาบาลเอกชนมันดีสมกับจำนวนเงินที่จ่ายออกไป ช่วงที่เขาไม่มาอยู่เฝ้าก็มีทั้งหมอทั้งพยาบาลคอยดูแลน้องสาวของเขาตลอด เธอเล่าให้ฟังว่า อยากได้อะไรพอบอกออกไปคุณพยาบาลก็หามาให้ อาหารไม่อร่อยก็เปลี่ยนให้แม้จะถูกจำกัดเมนูที่ให้เลือกก็ตาม แค่เรื่องอาการเจ็บป่วยก็ทำให้เด็กหญิงต้องอดทนมากพอแล้ว ถ้ามีอะไรที่ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้นอีกนิดหน่อย ปภินวิชจึงอยากจะทำให้โดยไม่คิดลังเล

“ผมทราบแล้วครับ ผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณสั่ง”

“ดี”กวีวัธน์ร้องบอกพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง ถ้าคุณช่วยนายท่านผ่อนคลายยามค่ำคืนด้วยก็จะดีมาก”

ปภินวิชมีสีหน้าไม่เข้าใจ

“อ้าว... ก็หน้าที่จริงๆของเด็กเลี้ยงน่ะ ต่อให้นายท่านไม่เริ่มคุณก็ต้องเริ่มก่อน คุณเป็นผู้ชายก็น่าจะรู้นะว่ามันช่วยลดความเครียดได้”

เด็กหนุ่มหน้าแดง นึกอยากจะโต้ตอบกลับไปนัก อยากให้เด็กที่ไม่เคยแม้แต่จูบอย่างเขาเนี่ยนะเป็นฝ่ายเริ่ม อยากจะถามจริงๆว่าใช้อะไรคิด



หลังออกจากห้องทำงานตอนเย็นวันอาทิตย์ พฤทธิกรจะไปออกกำลังกายต่อที่ฟิตเนตของคอนโด เขาติดการออกกำลังกายมาตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น แม้จะมีงานยุ่งรัดตัวมากขึ้นแต่อย่างไรต้องหาเวลามาออกกำลังกายเรียกเหงื่อให้ได้อาทิตย์ละสองถึงสามวันเพื่อรักษากล้ามเนื้อที่สร้างมา อีกอย่างคือถ้าเขาปล่อยปละละเลย ลอนกล้ามที่มีจะแปรเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อเหลวๆรวดเร็วมาก ภาพเนื้อย้วยๆของตนเองเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มค่อนข้างจะรับไม่ได้

ออกจากฟิตเนตแล้วตามแผนปกติ เขาจะกลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปหาอาหารเบาๆทานอีกมื้อ พฤทธิกรค่อนข้างใส่ใจต่อการทานอาหารให้ครบทุกมื้อ แม้จะมีเวลาน้อยแต่ก็ต้องทานโดยใช้วิธีลดเวลาเที่ยวเล่นสังสรรค์ลง นั่นเท่ากับว่าชีวิตของเขาค่อนข้างจำเจน่าเบื่อ ใช้ชีวิตอยู่กับงานทุกวันตลอดสัปดาห์แต่เพราะไม่ค่อยมีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษด้วย เขาจึงไม่ค่อยเดือดร้อนกับการดำเนินชีวิตแบบนี้

ปีหน้าเขาจะมีอายุครบสี่สิบปี สถานภาพปัจจุบันยังโสดแต่เคยมีแฟนที่คบกันจริงจังมาแล้วสองคนและเกือบจะได้แต่งงานแล้วครั้งหนึ่ง แฟนคนแรกคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นพฤทธิกรนับว่าเป็นผู้ชายเนื้อหอมที่สาวๆอยากควงด้วยเป็นอันดับต้นๆ ทั้งหน้าตาทั้งฐานะเรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อม กับแฟนคนนั้นรู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตกลงเป็นแฟนกันตอนปีสอง แต่หลังเรียนจบมาสองปีเธอกลับขอเลิกด้วยเหตุผลที่ว่า เขาดีเกินไป แม้จะเสียใจแต่ชายหนุ่มได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของเธอ และปลายปีนั้น เขาก็ได้ยินข่าวการแต่งงานของหญิงสาว

แฟนคนที่สองเป็นลูกสาวของเพื่อนมารดา เขาและเธอเจอกันในงานสังคมงานหนึ่ง ตกลงคบหากันเพราะมารดาสนับสนุน แต่เธอนับว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไม่ต่างกัน ส่วนเขาในตอนนั้นแม้ว่าจะทำงานในบริษัทของบิดาแต่ด้วยตำแหน่งทายาทผู้สืบทอด ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่คบกับเขาย่อมต้องได้หน้าไม่น้อย ทว่าก่อนถึงงานแต่งเพียงไม่กี่เดือน ชายหนุ่มกลับได้รับรู้ว่า คู่หมั้นสาวไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น ตอนนั้นเขาค่อนข้างจะลังเลเพราะความรักที่มีต่อเธอ แต่เนื่องจากไม่แน่ใจว่าชีวิตคู่จะดำเนินต่อไปได้ตลอดรอดฝั่ง เขาจึงล้มเลิกงานแต่งซึ่งพานให้มารดาและเพื่อนมองหน้ากันไม่ติด หลังจากนั้นมา มารดาของเขาจึงไม่กล้าแนะนำผู้หญิงคนไหนให้อีกเพราะกลัวไปล้มเลิกงานแต่งอีกหน กอปรกับงานที่เขารับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เขาจึงไม่มีเวลาไปเอาใจหญิงสาวคนไหน

กระทั่งได้เจอเด็กหนุ่มที่หลานชายออกปากว่าแอบชอบ

พฤทธิกรยกยิ้มขำจนบอดี้การ์ดซึ่งเดินตามหลังมามองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจ

ช่วงนั้นเขายอมเสียเวลาวันละหลายชั่วโมงไปนั่งแช่อยู่ในร้านกาแฟ บางครั้งก็เอางานไปทำในร้านเพียงเพราะแค่อยากเห็นหน้าเด็กคนนั้น ไม่แปลกใจเลยที่กวีวัธน์จะเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะ

ชายหนุ่มถอนหายใจ บอกตัวเองว่าคงต้องตัดใจจริงๆเสียทีแล้ว

“กลับมาแล้วหรือครับ”เสียงร้องต้อนรับดังออกมาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มแต้มประดับรอยยิ้มกว้าง ร่างเพรียวบางกว่าเดินเข้ามาใกล้พลางจับจูงมือเขาให้เดินตามเข้าไปด้านใน

“นายท่านจะอาบน้ำก่อนหรือทานอาหารก่อนดีล่ะครับ”

ชายหนุ่มนิ่งงันไปกับคำถาม จะเรียกว่าระบบประมวลผลโดนช็อตไปก็ไม่ผิดนัก ถึงกวีวัธน์จะบอกว่าเด็กหนุ่มปลื้มปริ่มยินดีกับความช่วยเหลือของเขามาก แต่เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของหลานชายทั้งหมด ที่ยอมทำตามคำพูดของฝ่ายนั้นเพราะเห็นว่าปภินวิชเดือดร้อน และกวีวัธน์บอกว่าแอบชอบเด็กหนุ่มอยู่ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็อยากจะอุ้มสมให้หลานชายได้ครองคู่กับเด็กหนุ่มคนรัก

พฤทธิกรยกมือขึ้นลูบศีรษะ “อาบน้ำก่อนแล้วกัน”ด้วยความที่คิดอะไรไม่ออก เขาจึงอยากได้เวลาตั้งตัวอีกสักนิด

ชายหนุ่มเดินเข้าห้องนอนตัวเองโดยมีปภินวิชเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาตามเข้ามาติดๆ เขายังอยู่ในชุดกีฬาซึ่งเป็นเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า ด้วยเพราะฟิตเนตที่เขาใช้บริการอยู่ในคอนโด ชายหนุ่มจึงคิดที่จะกลับมาอาบน้ำที่ห้องตัวเอง

หลังหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำกลับยังเห็นเด็กหนุ่มเดินตามทำท่าจะเข้ามาด้วย

“ขอโทษทีนะ ฉันไม่ค่อยชอบให้ใครอาบน้ำด้วย”

ประตูตรงหน้าถูกดึงปิดดังปัง ปภินวิชหน้าชา หน้าแตก หน้าม้านและอีกหลายความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ตามมาด้วยความรู้สึกกรุ่นโมโห เขารึอุตส่าห์ทำใจกล้าเตรียมใจอยู่นานกับการปรนนิบัติพัดวีบ้าๆนี่ กลับมาใช้ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์แบบนั้นปฏิเสธง่ายดาย เด็กหนุ่มมองค้อนประตูตรงหน้าราวกับเป็นตัวแทนของคนที่เขาค่อนแคะ ก่อนจะสะบัดหน้าซ้ำแล้วเดินออกไปรอข้างนอก

นายท่านใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแต่งตัว เด็กหนุ่มไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามให้ตัวเองหน้าแตกซ้ำสอง เขาใช้เวลาช่วงนั้นปั้นหน้ายิ้มเรียกแรงฮึดกลับมาใหม่ และอุ่นอาหารอีกรอบ

ปภินวิชทำกับข้าวได้เพราะถึงอย่างไรเขากับน้องสาวก็ใช้ชีวิตตามลำพังมาเป็นปี ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่เขาก็พอทำอาหารได้บ้างอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เพียงพอต่อการประทังชีวิตช่วงที่แม่ติดโอที แม้จะซื้อข้าวแกงถุงมาทานบ้างแต่การทำอาหารทานเองมันช่วยลดค่าใช้จ่ายได้หลายบาท ยิ่งช่วงหลังที่น้องสาวป่วย เด็กหนุ่มจึงค่อนข้างใส่ใจกับการทำอาหารมากเป็นพิเศษ แต่กระนั้นมันก็ยังคงเป็นอาหารพื้นๆในความคิดของเขา

“หือ เมนูวันนี้เธอสั่งเหรอ”นายท่านเอ่ยปากถามเมื่อเห็นหน้าตาอาหารทั้งสามอย่างที่เขาทำไว้ และเมื่อชายหนุ่มเจ้าของห้องถามแบบนั้น เขาจึงเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วพลางคิดไปว่าเมนูสิ้นคิดแบบแกงจืด ผัดผักและไข่เจียวคงไม่ค่อยโดนใจอีกฝ่ายเสียเท่าไร่

“เปล่าครับ ผมทำเอง”ปภินวิชยิ้มแหย

“อ้อ”ทว่าชายหนุ่มแค่พยักหน้ารับและนั่งลงตรงที่นั่งประจำ เห็นเช่นนั้น ปภินวิชจึงรีบกุลีกุจอตักข้าวใส่จานมาให้ แล้วยืนมองอย่างใจจดใจจ่อ

“ไม่ทานด้วยกันเหรอ”

“อ๊ะ ทานครับ”เมื่อโดนทัก เขาจึงไปตักข้าวมาบ้างรอให้นายท่านตักข้าวใส่ปากและไม่มีข้อติติงอะไรแล้วเขาจึงตัวข้าวเข้าปากตัวเองบ้าง

“ทำไมถึงทำอาหารล่ะ กลอนไม่ได้บอกเหรอว่าฉันสั่งอาหารจากร้านข้างนอก”

“ก็คุณกวี...คุณกลอนนั่นแหละที่บอกให้ผมทำ”เด็กหนุ่มตอบหน้ามุ่ยพร้อมเปลี่ยนไปเรียกชื่อเล่นของคนที่ถูกกล่าวถึงตามผู้ที่อาวุโสกว่า

“งั้นคราวหน้าก็ชวนเจ้านั่นมากินด้วยกันสิ”

“คงไม่ต้องชวนหรอกครับ คุณกลอนเขาให้ผมทำอาหารให้นายท่านทานทั้งเช้า กลางวัน เย็นเลย เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้คุณกลอนมาหานายท่านอีก คงได้ทานด้วยแน่ๆ”

“อย่างนั้นไม่ต้องหรอก อย่างที่ฉันบอก ฉันสั่งอาหารจากร้านอาหารอยู่แล้ว”

“มันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยหรือครับ”ปภินวิชถามด้วยความกังวล

“ไม่ๆ ก็อร่อยดี”พฤทธิกรรีบปฏิเสธเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าเสีย “แค่... ไม่เห็นต้องทำให้เหนื่อย”

“ไม่ได้เหนื่อยหรอกครับตอนนี้ผมไม่ได้ทำอะไรด้วย แล้วมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมควรทำ”

พฤทธิกรเห็นว่าเป็นจังหวะดีที่เด็กหนุ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงพูดไปว่า “เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ไม่เห็นต้องคิดว่าเป็นบุญคุณอะไร ฉันช่วยเพราะอยากช่วย”

คำพูดของพฤทธิกรสะดุดหูนัก ช่วยเพราะอยากช่วยอะไร ไม่ต้องคิดว่าเป็นบุญคุณอะไร เด็กหนุ่มคิด ตัวเองให้หลานชายมาเรียกเก็บให้ทำงานชดใช้ทุกบาททุกสตางค์แท้ๆ ยังมาอ้างเรื่องบุญคุณอยากช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่แน่ว่าเงินก้อนแรกนั่นก็แค่เอามาล่อเขาเฉยๆ ปภินวิชหน้าตึงขึ้นมาทันควันเมื่อคิดมาถึงจุดนี้

ฝ่ายพฤทธิกรที่เห็นว่าอารมณ์ของเด็กหนุ่มขุ่นเคืองขึ้นจึงไม่คิดพูดอะไรเพื่อกวนโมโหอีกฝ่ายอีก พลางคิดว่าที่กวีวัธน์เอ่ยเล่าให้ฟังคงเป็นเรื่องจริงอยู่ไม่น้อย

เขาก้มหน้าทานข้าวจนหมดจาน หลังอาหารยังมีผลไม้ล้างปากที่ปภินวิชยกมาเสิร์ฟขณะที่เด็กหนุ่มเก็บจานอาหารทั้งหมดไปวางในอ่างล้างจาน ก่อนจะยกจานผลไม่ของตัวเองมาทานบ้าง ระหว่างนั้นพวกเขาเพียงแค่ทานอาหารด้วยกันเงียบๆ

เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด ชายหนุ่มเจ้าของห้องได้พาตัวเองมานั่งที่โต๊ะทำงานซึ่งถูกย้ายออกมาวางด้านนอกติดระเบียง พื้นที่ระเบียงด้านนอกนั้นเขาให้จัดตกแต่งเป็นสวนและมีสระว่ายน้ำย่อมๆ ไว้สำหรับช่วงที่เขาขี้เกียจออกจากห้องจะได้มีกิจกรรมให้ทำบ้าง แต่กระนั้นกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัย เขาใช้บริการสระว่ายน้ำนอกระเบียงแทบนับครั้งได้

พฤทธิกรนั่งทำงานเพียงไม่นานก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอน ทว่าเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้วกลับพบว่ามีเด็กหนุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกันมานั่งอยู่บนเตียงของเขาด้วย

“ผมมานวดให้นายท่านครับ”คนพูดยกยิ้มหวาน พฤทธิกรรับรู้แล้วว่าถ้าเขาขัดใจ เด็กหนุ่มคงจะเคืองขุ่นขึ้นอีก เขาจึงยอมตามใจเดินไปล้มตัวลงนอนคว่ำให้ปภินวิชได้ทำอย่างที่ตั้งใจ

ปภินวิชลงน้ำหนักมือกดนวดแผ่นหลังกว้างตั้งแต่ช่วงบ่า กล้ามเนื้อแน่นๆภายใต้เสื้อชุดนอนซึ่งตัดเย็บมาจากผ้าฝ้ายทำให้เด็กหนุ่มต้องลงน้ำหนักแทบทั้งตัว กระนั้นคนที่นอนคว่ำหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าเจ็บหรือปวด และเพราะคิดอยากแก้แค้นเล็กน้อยๆ ปภินวิชถึงกดเข่าลงไปด้วยก่อนจะลามไปถึงขั้นใช้เท้าเหยียบ กระนั้นสีหน้านายท่านกลับดูเคลิ้มเพลินเหมือนจะหลับเสียมากกว่า

เด็กหนุ่มไม่มีความรู้เรื่องนวดคลายเส้น จึงได้แต่กดๆเหยียบๆเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆจนทั่วแผ่นหลัง เมื่อเห็นจังหวะดีๆที่ชายหนุ่มดูคล้ายเผลอหลับ เขาจึงละมือ แล้วคิดอุตริว่าจะลักหลับอีกฝ่ายเสีย

สำหรับเรื่องการขายเรือนร่างแลกเงินนั้นเขาได้ยินมาตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยมแต่แค่ฟังเฉยๆ จนมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่หาทางออกไม่ได้จริงๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างเขา เด็กหนุ่มคิดว่าตนคงไม่ได้เป็นฝ่ายรุกง่ายๆ แต่ตั้งใจไว้ว่าหากมีคนซื้อ เขาจะขอเป็นฝ่ายทำเพราะเคยอ่านกระทู้มาว่า ‘เกย์รุกหายาก’ ถึงจะไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ากับใครเลยก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครย่อมต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น แต่ก็เตรียมตัวมาเป็นรับด้วยเหมือนกันเพราะจากข้อมูลที่อ่านมา ครั้งแรกของฝ่ายรับเขาบอกเล่ากันว่า เจ็บเหมือนจะตายให้ได้ เขาถึงกลัวนัก

คราวนี้ได้โอกาส ประกอบกับที่กวีวัธน์บอกให้เขาเริ่มก่อน ไม่แน่ว่าเพราะนายท่านอาจจะเป็นรับแต่กลัวเสียเชิงเลยไม่กล้ารุกเข้าหา ถึงจะเป็นครั้งแรกแต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจในทฤษฎีของตัวเองมาก

เขานั่งคุกเข่าคร่อมชายหนุ่มร่างใหญ่ไว้ จากที่บีบๆคลำๆอยู่เมื่อครู่ เขาเดาได้ว่านายท่านนอนแบบไม่ใส่ชั้นใน พอเขาทิ้งสะโพกปุ๊บบั้นท้ายตึงแน่นของอีกฝ่ายก็สัมผัสร่างกายเขาผ่านเนื้อผ้าแค่สองชิ้นพอดี เด็กหนุ่มใจเต้นตูมตามด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามควบคุมมือให้หยุดสั่นขณะสอดมือลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้วรั้งให้ชายเสื้อเลิกสูงขึ้น แผ่นหลังของชายหนุ่มเห็นลอนกล้ามเนื้อชัด ผิวเนื้อเนียนเรียบไร้สิวฝ้าไม่ต่างผิวผู้หญิงยิ่งสนับสนุนความเข้าใจของปภินวิชเข้าไปใหญ่ เด็กหนุ่มทิ่มหน้าเพื่อดอมดมกลิ่นตัวของอีกฝ่ายทันที

แหม...ตัวก็หอมด้วย เขาคิดในใจ

เขาพยายามจะไถจมูกขึ้นไปตามแผ่นหลังแต่ติดตรงที่ชายเสื้ออีกด้านโดนร่างหนาทับไว้ จึงต้องเปลี่ยนวิธีเล้าโลม ย้ายไปแทะเล็มใบหูของนายท่านแทน เพราะจากที่เขาอ่านมา ใบหูคืออีกหนึ่งจุดอ่อนเวลาร่วมรัก เด็กหนุ่มงัดมาทุกกระบวนท่า ทั้งขบเม้มทั้งใช้ลิ้นเลีย จนคนที่เคลิ้มใกล้หลับรู้สึกตัว

ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดป่ายด้วยความรู้สึกรำคาญ ทว่ามือข้างนั้นกลับโดนยึดไว้และโดนบังคับให้พลิกตัว ตามมาด้วยความรู้สึกนุ่มหยุ่นซึ่งสัมผัสอยู่ที่ริมฝีปาก คราวนี้สติสตังจึงกลับมาครบถ้วน เขาเห็นปภินวิชหลับตาพริ้ม จมูกของเด็กหนุ่มเฉียดแก้มเขาไปมา พร้อมความรู้สึกที่ริมฝีปากถูกดูดดึงอย่างเอาเป็นเอาตายชัดเจนขึ้นมา ทั้งเนื้อตัวของเด็กหนุ่มร่างเพรียวยังแนบทาบอยู่บนร่างของเขา

พฤทธิกรรู้สึกว่านี้คือภาวะฉุกเฉินที่สุด!!!

เขาใช้สองมือยันไหล่ของเด็กหนุ่มและดันร่างนั้นออกห่าง

“นายท่านตื่นแล้วหรือครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทะนุถนอนนายท่านเอง”

เขาอยากจะถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!

ปภินวิชพยายามจะคลุกวงในเขาให้ได้ ฝ่ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายปะป่ายไปทั่ว จนเขากลัวว่าตัวเองจะตบะแตกแล้วพาให้มองหน้าหลานชายไม่ติด พฤทธิกรตัดสินใจพลิกร่างเด็กหนุ่มเปลี่ยนตำแหน่งให้ตัวเขากลับมาอยู่ด้านบนก่อนดึงผ้าห่มมาห่ออีกฝ่ายไว้จนกลายเป็นแหนมเนือง

“นายท่าน”ปภินวิชร้องแต่ชายหนุ่มไม่สนใจ เขากอดก่ายร่างที่ถูกพันด้วยผ้าห่มไว้แน่น กดศีรษะของเด็กหนุ่มแนบอกพลางลูบหน้าลูบหลังกล่อมนอน แม้ได้ยินเสียงสูดลมหายใจฮึดฮัดและการขยับดิ้นอย่างต้องการให้หลุดพ้นจากพันธนาการ เขาก็ได้แต่ปลอบไปว่า

“นอนซะ นอนซะ”

เป็นจนครู่ใหญ่กว่าร่างในอ้อมกอดจะหลับสนิท

ช่างเป็นคืนที่สุ่มเสี่ยงจริงๆ ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ



เช้าวันถัดมาปภินวิชสะดุ้งรู้สึกตัวตื่น เขาก้มมองผ้าห่มที่ห่อพันร่างกายซึ่งมันถูกคลี่ออกและเปลี่ยนเป็นห่มคลุมไว้ปกติธรรมดา ข้างกายเป็นที่นอนว่างเปล่า เด็กหนุ่มจึงยิ่งเร่งรีบลุกออกจากที่นอน สาวเท้ายาวๆจนกลายเป็นวิ่งทั้งที่ระยะทางจากห้องนอนของนายท่านถึงโต๊ะอาหารห่างกันเพียงไม่กี่เมตร

“ขอโทษครับ เช้านี้ผมต้องเป็นคนทำอาหาร”

“อืม แม่บ้านแจ้งแล้วว่ากลอนยกเลิกการสั่งอาหาร”พฤทธิกรพูดขณะยกกาแฟขึ้นจิบรองท้องด้วยรู้ว่าอาจจะไม่ได้ทานอาหารเช้า

“สักครู่ครับ เดี๋ยวผมทำอาหารให้”

“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยออกมาจัดการ”ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดูเห็นยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่ หากเป็นอาหารง่ายคงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เขาเคร่งครัดต่อเวลางานก็จริงแต่เพราะตื่นเช้าเป็นกิจวัตรและเวลาส่วนใหญ่ในช่วงเช้าก็หมดไปกับการเสพข่าวสารบ้านเมือง จึงไม่เคร่งเครียดให้เด็กหนุ่มต้องร้อนรน

ปภินวิชใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขากลับออกมาและตรงไปเปิดตู้เย็นทันที โดยของสดที่มีแช่อยู่ในตู้ถูกเขาสำรวจไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน และเช้านี้เขาตั้งใจจะทำข้าวต้มเช่นเดิม สองครั้งก่อนที่ได้ทานอาหารกับนายท่าน อาหารทั้งสองมื้อเป็นข้าวต้มทั้งคู่ ครั้งแรกเป็นข้าวต้มกุ้ง ส่วนอีกครั้งเป็นข้าวต้มปลา แต่เนื่องจากเขาตื่นสายจึงต้องยอมเปลี่ยนเมนูกะทันหัน

เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นตอนที่ปภินวิชกำลังตักไข่ดาวหน้าตาบ้านๆใส่จาน

เขาเลือกทอดไส้กรอก แฮม ไข่ดาวและปิ้งขนมปังให้เป็นมื้อเช้าของนายท่าน แต่เผอิญว่าเขาไม่ใช่เชฟ ไข่ดาวของเขาจึงหน้าตาเหมือนไข่ดาวสำหรับใส่กะเพราไก่ แม้จะรู้สึกอับอายกับฝีมือของตัวเองที่ดูไม่ค่อยเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ และนายท่านก็ใจดีมากพอที่จะไม่เอ่ยทักอะไรให้ความอายได้เพิ่มสูงขึ้น

“นี่มันไข่ดาวอะไรน่ะครับ”

แต่คนที่พร้อมจะล้อเลียนและเหยียบเขาซ้ำยังคงมีอยู่ ทว่าประโยคที่ทำให้เขากรุ่นโกรธมีหลุดออกมาประโยคเดียวก่อนที่จะกวีวัธน์จะกล่าวสั่งอาหารอีกจาน เด็กหนุ่มยกจานของตัวเองมาให้ก่อนจะหันไปจัดการส่วนของตน

ระหว่างนั้นพฤทธิกรกับกวีวัธน์จึงพูดคุยเรื่องอื่นๆแทนที่จะหยิบช้อนกับส้อม กระทั่งไส้กรอก แฮม ไข่ดาว ขนมปังของเขาสำเร็จอยู่บนจานและถูกยกมาวางที่โต๊ะ ทั้งสองคนถึงจะเริ่มทาน

“ใส่อะไรไว้หรือเปล่า ทำไมไม่กิน”กวีวัธน์เอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งลุ้นแทนที่จะลงมือกิน

“เปล่าครับ”คนตอบสั่นศีรษะยิก “แค่อยากรู้ว่าคนอื่นจะคิดว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร”

“แค่เอามาทอด ต้องใช้ฝีมือด้วยเหรอ”

“คุณทอดไข่ดาวเป็นหรือเปล่า ถ้าทำไม่เป็นไม่ต้องมาพูด”

“อ๋อเหรอ”กวีวัธน์ลากเสียงอย่างจงใจกวนประสาท จนน้าชายต้องห้ามปรามเพราะกลัวจะตีกันเสียก่อน

“กินเข้าจะได้ไปทำงาน”

หลังจากนั้น ต่างคนจึงต่างทานไม่มีเสียงพูดคุยอีก พฤทธิกรมีสีหน้าเรียบเฉยพยายามข่มอารมณ์ในอกที่ค่อยๆปะทุ เขาไม่ค่อยอยากมองภาพหลานชายกับเด็กหนุ่มครงหน้านัก จึงได้แสร้งเป็นตั้งใจทานอาหารกระทั่งอาหารในจานหมดลงจึงรวบช้อน ดื่มน้ำแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบสูทที่วางพาดไว้ที่พนักโซฟาขึ้นมาสวม หลานชายจึงรีบทานให้อิ่มแต่ก่อนจะได้ลุกจากโต๊ะกลับโดนคนที่นั่งตรงข้ามเหยียบเท้า ทั้งขยับปากขมุบขมิบว่าให้อยู่ก่อน

“เดี๋ยวฉันไปก่อน”พฤทธิกรพูดเมื่อหันไปทันเห็นเด็กหนุ่มขยับปากแบบไม่มีเสียงคุยกับหลานชาย

“เอ้อ...ครับ”กวีวัธน์จำต้องตอบรับเมื่อโดนเด็กหนุ่มเหยียบเท้าไม่ปล่อยราวกับจงใจจะเอาคืน

หลังจากที่พฤทธิกรออกจากห้องและประตูถูกปิดลงแล้ว ปภินวิชจึงลุกขึ้นเดินไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะกล่าวกับแม่บ้านให้ช่วยเก็บจากให้ จากนั้นจึงลากหลานชายเจ้าของห้องเข้าห้องนอนของตน


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


รู้สึกว่ามีแต่คนชื่นชอบน้องกลอนอย่างนี้ต้องพิจารณาเพิ่มบทกับค่าตัว

กลอน : จริงหรือครับเจ้ ขอบคุณมากครับ

คนเขียน : แหมไม่เป็นไรจ้า น้องกลอนที่น่ารักของพี่

น้าฤทธิ์ : เปลี่ยนพระเอกด้วยเลยดีไหม!!! ชอบมันเหลือเกินนี่  อายุป่านนี้แล้วยังริอาจทำตัวเป็นหญ้าแก่มาล่อวัวอ่อน (น้าฤทธิ์หงุดหงิดมาก ยืนกอดอกกระดิกเท้ารัวๆ)

คนเขียน : อุย! ไม่ดีค่ะ พ่อคุณทูนหัวของน้อง นิยายเรื่องนี้น้องเขียนมาเพื่อพี่ฤทธิ์เลยนะคะ อย่าเพิ่งน้อยใจไป เดี๋ยวอีกสองสามตอนรับรองว่าออร่าความหล่อของพี่ฤทธิ์จะทำให้คนอ่านฟินกระจายแน่นอน (มั้งนะ คาดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น)
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 5 [08/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 08-10-2017 07:21:40
กลอนเจ้าแผนการ o13
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 5 [08/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 08-10-2017 08:42:51
ช่างปั้นเรื่อง ๆ เล้ยยยยย หลานคนนี้ ไปบอกน้าว่าชอบน้องเขา แล้วแบบนี้ น้าเขาก็ไม่อยากยุ่งน่ะสิ อยากเห็นหน้าคนแผนแตกจริง ๆ  :katai5:

รักน้าฤทธิ์แล้ว น้อง(พยายาม)รุก แต่คุณน้ากลับเอาผ้ามาพันซะนี่ เพื่อความปลอดภัยของน้อง  :กอด1:

เห็นไหมนายกลอน แผนนายมันมีจุดบอด  :katai3:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-10-2017 06:36:24
06



“นายท่านไม่ได้ชอบผู้ชาย”ปภินวิชชิงพูดออกไปก่อน “เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผม เพราะฉะนั้นคุณจะเอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อยกเลิกสัญญาไม่ได้”

“อะไร? คุณรู้ได้อย่างไร”ชายถามด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

“ผมก็ทดสอบมาแล้วนะสิ ต้องให้ผมเล่าให้ละเอียดเลยไหมว่าทดสอบอย่างไรบ้าง”เด็กหนุ่มบอกเสียงขุ่น

“เป็นไปไม่ได้”กวีวัธน์พึมพำเสียงเบา ซ้ำยังหันมาถามย้ำอีกรอบ “คุณแน่ใจหรือ”

ปภินวิชถึงกับอ้าปากพะงาบๆ แล้วจะให้เขาเล่ายังไง ให้บอกว่า ‘เมื่อคืนเขาทดลองปล้ำนายท่านดูแล้ว’ เหรอ ทั้งที่อุตส่าห์เตรียมใจอยู่ตั้งนานแต่ต้องโดนปฏิเสธซ้ำๆ เขาไม่ได้หน้าหนาเหมือนถนนคอนกรีตนะ สำหรับเรื่องเมื่อคืนก็นับว่าเป็นความอับอายของเขาที่สุดแล้ว ทั้งที่ต้องไปฉีกยิ้มเอาใจ ทั้งที่ต้องไปทำอะไรบ้าๆแบบนั้น

“ผมต่างหากที่ต้องถาม คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าน้าชายของคุณชอบผู้ชาย นายท่านเคยคบผู้ชายมาก่อนหรือไง”เด็กหนุ่มเปลี่ยนมาไล่บี้อีกฝ่ายแทน

“เฮ้ย! แน่ใจดิ”กวีวัธน์ตอบไม่เต็มเสียงนักพลางคิดไปว่า หรือน้าฤทธิ์จะไปนั่งเฝ้าคนอื่นวะ

“ผมเริ่มคิดแล้วว่าไอ้เรื่องที่คุณยกมาข่มขู่ผมมากมาย คุณพูดโกหกหรือเปล่า”ปภินวิชเห็นได้ทีจึงถามคาดคั้น ทว่ากวีวัธน์ไม่ยอมแสดงท่าทีเสียขวัญออกมาง่ายๆ

“ไม่เชื่อก็ลองไปถามนายท่านดู”

“ดี แล้วจะได้รู้ว่าคุณพูดจริงหรือเปล่า”

“เอาเลย แต่บอกไว้ก่อน น้าชายของผมไม่ชอบให้ใครเข้าไปกวนเวลาทำงาน เตรียมใจไว้ด้วยละกันถ้าเกิดคุณไปทำให้น้าฤทธิ์อารมณ์เสีย”

เด็กหนุ่มชะงักเท้าทันที ทั้งยังหันหน้ากลับไปบอกอย่างไม่ให้เสียเชิงว่า “งั้นเดี๋ยวผมไว้ถามตอนเย็นก็ได้” เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่เรียกว่ารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี จากนั้นจึงพูดทิ้งท้ายว่า ‘ไปเยี่ยมปุ้ยดีกว่า’ แล้วเผ่นแผล็วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้กวีวัธน์นึกสงสัยว่า หรือผิดคนจริงๆ

กวีวัธน์นึกสงสัยจนต้องแวะหาน้าชายก่อนเข้าห้องทำงานของตัวเอง

“น้าฤทธิ์เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่ทำอะไรคนที่แกแอบชอบอยู่แล้ว”พฤทธิกรตอบอย่างรวดเร็วราวกับคิดเตรียมคำตอบมาไว้ล่วงหน้า ที่จริงเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองไปไกล แต่ด้วยความที่อายุอานามของเขาก็ไม่ใช่น้อยถือได้ว่าผ่านโลกมามาก รวมถึงถ้าให้น้ำหนักคำพูดของหลานชายที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้นเป็นจริงทุกคำ อีกฝ่ายอาจจะแค่สำนึกในบุญคุณอยากตอบแทนหรือแค่หลงใหลไปกับความมั่งมีของเขาเท่านั้น

“เอ่อ...น้าฤทธิ์ผมมีอะไรจะสารภาพ”

แต่คำสารภาพของกวีวัธน์กลับโดนขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของพฤทธิกร ชายหนุ่มยกมือบอกหลานชายให้รอก่อน จากนั้นจึงปุ่มสปีกเกอร์เพื่อรับสาย

“ครับ”

“คุณฤทธิ์คะ ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ”เป็นเสียงของสุธาณีซึ่งเป็นเลขาหน้าห้องที่ดังลอดออกมา

“ครับเดี๋ยวผมออกไป”หลังจากตัดสายเขาจึงหันมาบอกหลานชายพร้อมกับลุกขึ้นยืน ทั้งหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กติดมือมาด้วย “เรื่องที่แกจะสารภาพ เอาไว้ค่อยพูดหลังจากที่ประชุมเสร็จแล้วกัน” เขาสาวเท้าเดินออกจากห้อง เพียงแต่ประโยคต่อมาของหลานชายทำให้ต้องชะงักเท้าหยุดยืนหน้าบานประตู

“ผมบอกปลาไปแล้วนะครับ แต่น้องเขาปฏิเสธเพราะเขาบอกว่าชอบน้าฤทธิ์”กวีวัธน์รีบพูดออกมาทันทีที่ประโยคก่อนหน้าของน้าชายจบลง หัวใจของพฤทธิกรกระเด้งกระดอนเพราะประโยคนั้น เขายังยืนนิ่งไม่หันหลังกลับไปมองและพยายามข่มใจให้สงบ จากนั้นจึงจับลูกบิดหมุนเปิดประตูและก้าวเท้าออกไป

เมื่อเห็นเขาออกมาจากห้อง สุธาณีจึงขยับลุกหยิบปากกาและสมุดของตนเดินตามมา เช้านี้เขามีประชุมสรุปยอดไตรมาสที่สองและการกำหนดเป้าหมายในไตรมาสที่สามของปี ห้องประชุมที่ใช้จะอยู่ชั้นล่างถัดลงไปอีกสองชั้น ด้วยความที่เขามีบริษัทในเครืออยู่ในความดูแลหลายแห่งเท่ากับว่าทั้งอาทิตย์นี้เขามีประชุมเกือบทุกวัน

กวีวันธ์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาทีหลัง

“นึกว่าจะเศร้าใจจนโดดประชุม”พฤทธิกรเอ่ยแซวอย่างนึกครึ้มอกครึ้มใจ กระแสเสียงในสำเนียงฟังดูรื่นเริงจนหลานชายรู้สึกหมั่นไส้ ออกจะชัดเจนขนาดนี้ยังบอกว่าเขาเพ้อเจ้อ เขาทั้งหลอกล่อทั้งขุดหลุมพรางไว้มากมายน้าชายยังไม่ยอมกระโดดลงมาเสียที ไม่รู้จะหวงความโสดไว้ทำไม

“เงียบเลย”

“แล้วจะให้ผมพูดอะไร”กวีวัธน์ก้าวเท้าเดินตามออกไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก “ผมเป็นมืออาชีพมากพอที่จะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้”

“ทั้งที่ชอบเอาเวลางานไปทำเรื่องส่วนตัว?”

โดนแซะกลับมาเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออกแต่ชายหนุ่มก็ยังคงแก้ต่างให้ตัวเองเสียงเจื่อน “แค่ไม่กี่ครั้งเอง เวลาทำงานผมก็ตั้งใจนะ”

พฤทธิกรตัดบทไม่ต่อความด้วยการส่งเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อสองเท้าได้เหยียบย้ำเข้าสู่ห้องประชุม ภายในห้องมีผู้จัดการของสาขาต่างๆมาเตรียมอุปกรณ์เพื่อนำเสนออยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาเดินไปนั่งหัวโต๊ะกล่าวเริ่มการประชุมก่อนจะหยิบเอกสารขึ้นมาเปิดดูประกอบ ทั้งเลขาสาวและผู้ช่วยหนุ่มทั้งสองคนนั่งเยื้องไปทางด้านหลัง

ชายหนุ่มทำท่าเหมือนนั่งฟังรายงานการประชุมดังเช่นไตรมาสก่อนๆเพียงแต่ต่างกันตรงที่ ครั้งนี้ใจของเขากลับไม่ค่อยจดจ่อเรื่องงานมากนัก เหตุการณ์เมื่อคืนคอยจะรบกวนเขาอยู่ร่ำไป พฤทธิกรไม่คิดว่าหน้าอ่อนๆแบบนั้นจะใจกล้าถึงขนาดนี้ แต่เขาพอจะรู้ ปภินวิชไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นกับใครมาก่อน เพราะจุมพิตของอีกฝ่ายดูเงอะงะจนเขาคิดว่าเด็กหนุ่มน่าจะอยากกัดปากเขาให้จมเขี้ยวมากกว่าปลุกเร้าอารมณ์

เขาพยายามบังคับใบหน้าของตัวเองไม่ให้ยกยิ้มและกำหนดสายตาให้จดจ่อกับการนำเสนอ แต่ในใจกลับกระหวัดคิดขึ้นมาอีกว่า หรือเขาจะลองเสี่ยงดูสักครั้งดี



ปกติการประชุมจะทำให้พฤทธิกรเหนื่อยล้าแม้ท่าทางภายนอกที่คนอื่นเห็นจะดูปกติก็ตาม แต่คราวนี้เขามัวแต่ใจลอยถึงจะรับรู้เนื้อหาการประชุมกระนั้นกลับปลอดโปร่งจนต้องแสร้งยกหลังฝ่ามือขึ้นมาบังรอยยิ้มที่มุมปาก กระแอมกระไอกลบเกลื่อนและพยายามปรับสีหน้าอีกครั้ง

“คุณฤทธิ์ไม่สบายหรือเปล่าคะ”สุธาณีซึ่งเดินตามหลังมาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

พวกเขาเพิ่งออกจากห้องประชุมซึ่งชนกับช่วงพักเที่ยงพอดี ตอนบ่ายเขาไม่มีประชุมอีกแล้วแต่มีรายงานอีกสองสามฉบับที่ต้องตรวจดู จากนั้นช่วงบ่ายสามเขามีนัดกับบริษัทธุรกิจบันเทิงของต่างชาติเรื่องร่วมลงทุนการสร้างค่ายหนังร่วมกัน

“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

พวกเขากลับขึ้นไปชั้นบนและตรงไปยังห้องทานอาหารของผู้บริหาร ทว่าทันทีที่พฤทธิกรเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงักเท้า ส่วนเด็กหนุ่มที่นั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ด้านในก็รีบยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ท่านประธานใหญ่จึงหันไปมองหลานชายเพื่อตั้งคำถาม กวีวัธน์ถึงได้ชะโงกหน้ามาดูและออกอาการชะงักเหมือนกัน

“อ้าว ทำไมยังอยู่อีกล่ะคะ เอ๊ะ! ปิ่นโต”เป็นเลขาสาวที่ส่งเสียงออกไปและคลายอาการตะลึงงันของสองหนุ่มน้าหลาน และปิ่นโตที่ถูกพูดถึงยังเป็นแบบเถาทรงกลมสามชั้นสีฟ้าอ่อน และก่อนที่เธอจะได้ซักไซ้อะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของสำนักงานกลับดังขึ้นขัดจังหวะ สุธาณีจึงต้องกล่าวขอออกไปรับโทรศัพท์

“ก็... คุณกลอนบอกให้ผมทำอาหารกลางวันให้นายท่านด้วย”ปภินวิชตอบด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนเคอะเขินเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทาง

“แล้วขึ้นมาได้ยังไง”

“พอผมบอกเคาน์เตอร์ข้างล่าง เขาก็ให้ขึ้นมาครับ”

“นายไม่ใช่พนักงานของร้าน”สุธาณีกลับเข้ามาพร้อมบอดี้การ์ดของพฤทธิกรซึ่งปกติจะพักอยู่อีกห้อง

อาหารกลางวันของฝ่ายบริหารจะถูกสั่งมาจากร้านข้างนอก บางครั้งอาจจะเป็นร้านค้าของศูนย์อาหารในตึกซึ่งเป็นหนึ่งในสวัสดิการของสำนักงานเพื่อสุ่มตรวจสอบคุณภาพและรสชาติของอาหาร หากวันไหนที่สุธาณีสั่งอาหารจากร้านประจำ และเธอไม่ติดประชุม หญิงสาวจะขอความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดของฤทธิ์ให้ไปช่วยรับมาให้ ลิฟต์ของฝ่ายบริหารไม่อนุญาตให้คนนอกใช้ แม้กระทั่งพนักงานในบริษัทยังต้องมีบัตรอนุญาตซึ่งมีเฉพาะบางบุคคลเท่านั้น

และครั้งนี้ช่างบังเอิญเหมาะเจาะที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ข้างล่างส่งข้อความมาแจ้งเรื่องคนส่งอาหารตอนที่หญิงสาวอยู่ในห้องประชุม และเธอดันพลั้งเผลอชะล่าใจบอกอนุญาตปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ขึ้นมาด้านบน

“เดี๋ยวๆใจเย็นก่อน”พฤทธิกรร้องปรามก่อนจะมีเหตุการณ์ชุลมุน แต่บอดี้การ์ดของท่านประธานคุ้นหน้าปภินวิชแล้วจากท่าทีตื่นตัวจึงผ่อนคลายลงตั้งแต่เห็นหน้าเด็กหนุ่ม

“จะว่ายังไงดีล่ะ เอ่อ... คนที่ผมอุปการะไว้น่ะ”ชายหนุ่มอธิบายต่อ มองหน้าเลขาสาวด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด และดูเหมือนว่าประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งเลขาหลายต่อหลายปีของหญิงสาวทำให้เธอพอจะรู้ว่า ‘อะไรควรพูด อะไรไม่ควรถาม’

“เอ่อ... ถ้าอย่างนั้น คุณฤทธิ์จะให้สั่งทำการ์ดใช้งานลิฟต์ไหมคะ”

“ครับ ขอบคุณมากครับ”พฤทธิกรตอบตกลง

“โอ้...เกิดอะไรกันขึ้นหรือ ยืนออกันเต็มไปหมด”คำพูดนั้นไม่ได้เกินจริงไปนักเมื่อพฤทธิกรพร้อมผู้ช่วยสองคน และบอดี้การ์ดอีกสองคนยืนขวางอยู่บริเวณประตูทางเข้าห้องอาหาร ชายหนุ่มที่รู้ตัวว่ากำลังยืนขวางทางจึงขยับเท้าหลีกทางกันเป็นแถว ส่วนหญิงสาวหนึ่งเดียวจึงฉวยจังหวะนี้สะกิดชายหนุ่มหนึ่งในบอดี้การ์ดให้ลงไปช่วยรับอาหารจากเคาน์เตอร์ชั้นล่าง เนื่องจากพนักงานร้านตัวจริงโดนสกัดไว้เพราะมีคนขึ้นมาส่งอาหารตัดหน้า

“ไม่มีอะไรหรอกครับอาธร พอดีมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”พฤทธิกรเอ่ยบอก เจ้าของคำถามมีชื่อจริงว่าชยธร มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของพฤทธิกรและมีตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัท

“แล้วเด็กคนนั้นใครหรือ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียว”

คนโดนชมขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกดีกับคำชมแบบนี้หรอกนะ เด็กหนุ่มคิดในใจ

“อ้อ... รุ่นน้องเจ้ากลอนนะครับ พอดีกลอนไปช่วยเหลืออะไรไว้เขาจึงทำอาหารมาตอบแทน”

“ดูหน้าเด็กกว่ากลอนเยอะเลยนะ รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยหรือ”ชยธรพูดถามพลางเดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ

“ครับ ประมาณนั้น แต่น้องเขาเป็นรุ่นน้องผมหลายปี แบบรุ่นน้องของรุ่นน้องน่ะครับ”หลานชายรีบกล่าวเสริมคำพูดของน้าชายทันที จนปภินวิชยังแปลกใจกับอาการเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยของน้าหลานคู่นี้ เด็กหนุ่มจึงคิดว่า สงสัยจะเตี๊ยมกันไว้

เมื่อสุธาณีกลับเข้ามาในห้องพร้อมกล่องอาหาร ผู้ร่วมวงสนทนาจึงแยกย้ายหาที่นั่ง ขณะที่หญิงสาวเดินนำอาหารไปจัดเตรียมใส่จาน

ในห้องมีโต๊ะกลมสองตัวถูกวางล้อมด้วยเก้าอี้โต๊ะละหกตัว ไม่มีครัวสำหรับทำอาหารแต่มีเครื่องครัวจำพวกกาต้มน้ำ เตาไมโครเวฟและตู้เย็น มีตู้ชั้นวางจานติดผนังและด้านล่างของตู้เป็นซิงค์ล้างจาน

พอเห็นว่าจำนวนคนเยอะกว่าที่คาดไว้ ปภิชวินถึงกับออกอาการเงอะงะเหลอหลา คนต้นเรื่องอย่างกวีวัธน์จึงได้รีบสาวเท้ามาช่วยเด็กหนุ่มเทอาหารใส่จาน และยิ่งเห็นหน้าตาอาหารจากร้านที่สุธาณีกำลังจัดเตรียมอยู่ด้วยแล้ว เขายิ่งใจเสีย

“คุณไม่เห็นต้องแกล้งผมแบบนี้”เด็กหนุ่มกระซิบพูดเสียงเบา นึกค่อนขอดที่อีกฝ่ายกลั่นแกล้งให้เขาต้องเสียหน้า นายท่านสั่งอาหารมาทานอยู่แล้ว ทำไมต้องให้เขาพยายามทำอะไรเปิ่นๆแบบนี้ด้วย

“แล้วคุณจะมาทำไมไม่ยอมบอกก่อน”

อ้าว!!! โทษเขาอีก ปภินวิชอยากจะตะโกนบอกออกไปแบบนั้นนัก แต่ติดที่เสียงพูดคุยของพวกคนใหญ่คนโตในห้องนี้มันไม่ได้ดังมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ แค่เสียงกระซิบคุยเมื่อกี้ เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามันดังก้องทั้งห้องแล้ว ถึงขนาดที่คุณเลขาหญิงหันมามอง

อาหารหน้าตาเหมือนกันทั้งสองชุดถูกยกไปวางบนโต๊ะทั้งสองตัว โต๊ะตัวหนึ่งเป็นที่นั่งของพฤทธิกร อาผู้ชาย กวีวัธน์ซึ่งได้มานั่งที่โต๊ะตัวนี้เพราะมีศักดิ์เป็นหลานชายของประธานบริษัท และประธานบอร์ดบริหารของบริษัทย่อย ส่วนอีกตัวเป็นของผู้ช่วยประธานบริษัทอย่างเอกภพ เลขาสาว บอดี้การ์ดทั้งสองคนและตอนนี้มีปภินวิชรวมอยู่ด้วย

เด็กหนุ่มหน้าตึงอย่างขุ่นเคืองแต่สุธาณีอมยิ้มกับหน้างอหงิกของอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยชวนคุย “น้องชื่ออะไรคะ”

“ชื่อปลาครับ”ได้ยินน้ำเสียงถามด้วยความเอ็นดูของหญิงสาว ปภินวิชจึงไม่กล้าตีสีหน้าฉุนเฉียวใส่อีกฝ่าย

“ลองทานกับข้าวอันนี้ดูนะคะ อร่อยมากเลย”สุธาณีพูดพลางตักอาหารให้ ก่อนจะต้องยิ้มเจื่อนเมื่อเด็กหนุ่มหน้างอขึ้นมาอีก

“พี่คิดว่าคุณกลอนคงไม่ได้คิดแกล้งน้องปลาหรอกค่ะ”เธอพูดปลอบ ทว่าคนฟังไม่ตอบทำเพียงแค่ตักอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

“ไม่อย่างนั้นเธอจะยกกับข้าวของน้องปลาไปที่โต๊ะโน้นหรือ”

“ก็แค่ต้มข่าไก่กับไข่เจียวเหี่ยวๆ พวกเขาคงไม่กินหรอกครับพี่”เด็กหนุ่มมองกับข้าวสี่อย่างตรงหน้าแล้วนึกเปรียบเทียบกับฝีมือตัวเอง โต๊ะโน้นยิ่งแล้วใหญ่กับข้าวมีตั้งหกอย่าง และไข่เจียวที่ทอดมานานจนเหี่ยวๆน่าเกลียดแบบนั้นยิ่งเทียบไม่ได้เข้าไปใหญ่ ทำไมถึงคิดทำไข่เจียวใส่ปิ่นโตมาวะ เด็กหนุ่มนึกบ่นตัวเองอยู่ในใจ

“งั้น... เอาไว้รอดูตอนเก็บจานแล้วกัน ค่อยไปโมโหตอนนั้นก็ยังไม่สาย แล้วพี่จะช่วยเอาคืนคุณกลอนให้ ตอนนี้น้องปลากินข้าวให้เยอะๆก่อนดีกว่านะ”ไม่พูดเปล่า สุธาณียังตักอาหารใส่จานของเด็กหนุ่มอีกหลายอย่าง พอโดนคะยั้นคะยอเช่นนั้นเขาจึงตักอาหารอย่างไม่อิดออด และด้วยสภาพกระเพาะอาหารของผู้ชายถึงสี่คนไม่นานกับข้าวบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง

เด็กหนุ่มช่วยสุธาณีเก็บจานไปวางไว้บนซิงค์ เธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องล้างเดี๋ยวช่วงบ่ายจะมีแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดให้ และยกยิ้มยักคิ้วหลิ่วตาเมื่อกับข้าวของปภินวิชหมดเกลี้ยงเช่นด้วยกัน พานให้คนทำวางหน้าไม่สนิทเพราะกล่าวบ่นหาเรื่องไปเยอะ

“อาขอตัวก่อนนะ”ชยธรลุกออกจากโต๊ะเป็นคนแรก ซึ่งเสียงกล่าวประโยคนั้นเรียกความสนใจทั้งสุธาณีและปภินวิชให้หันไปมอง

พฤทธิกรจึงลุกขึ้นจากโต๊ะบ้าง ตามมาด้วยฝ่ายบริหารคนอื่นที่ขอตัวแยกย้ายกันไป ในห้องทานอาหารจึงเหลือเพียงท่านประธานใหญ่ เลขาสาว ผู้ช่วยหนุ่มพ่วงตำแหน่งหลานชาย และเด็กหนุ่มที่มาอยู่ในที่แห่งนี้แบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ส่วนเอกภพและบอดี้การ์ดอีกสองคนเดินหายออกจากห้องไปก่อนหน้าแล้ว

“ปลา”พฤทธิกรส่งเสียงเรียกชื่อให้เด็กหนุ่มละสายตาที่เอาแต่ก้มหน้าจ้องมองพื้นอย่างไม่รู้ตัวให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา “ขอบคุณสำหรับกับข้าว มันอร่อยมาก”

หัวใจที่ฝ่อแฟบเพราะกลัวคำตำหนิพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงผู้มากวัยกว่าทำให้เขารู้สึกร้อนวูบแปลกๆ จนอดที่จะต้องก้มหน้าลงอีกครั้งไม่ได้

“ม...ไม่เป็นไรครับ”เขาตอบกลับเสียงเบา

กวีวัธน์ส่งเสียงกระแอมขัดจังหวะบรรยากาศหวานๆในภวังค์มีแต่สองเราขึ้นมาด้วยอาการหมั่นไส้ พฤทธิกรถึงได้สติรู้ตัวว่าหลานชายเพิ่งอกหักมาหมาดๆ จึงปรับสีหน้าและเอ่ยบอกเด็กหนุ่มว่า ตนมีงานในช่วงเย็น

“เย็นนี้ฉันกลับดึก”เขาพูดและนิ่งค้างไป จะบอกว่าไม่ต้องทำกับข้าวรอก็กลัวจะกระทบใจหลานชายอีก และเพราะไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดีจึงหมุนตัวหันหลังเดินออกไปเสียดื้อๆ กวีวัธน์เห็นน้าชายเดินออกไปง่ายๆทั้งที่ทำเหมือนมีคำพูดที่อยากจะเอ่ย จึงได้เดินตามออกไป

แต่ปภินวิชกลับไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร เขาหันมองหญิงสาวที่ส่งเสียงพูดกับตน “น้องปลารีบไปไหนหรือเปล่าคะ ถ้าอย่างไรรอพี่เดี๋ยวได้ไหม พี่จะออกคีย์การ์ดสำหรับใช้ลิฟต์ให้”

“คงไม่ต้องหรอกครับ ผมคงไม่มาอีก”

“ไม่มาก็เก็บไว้กับตัวได้ค่ะ คุณฤทธิ์ท่านคงอยากให้น้องปลามีเก็บไว้ไม่อย่างนั้นคงไม่ตอบอนุญาตตอนที่พี่ถาม”กล่าวจบหญิงสาวก็จับจูงข้อมือหนุ่มน้อยให้เดินตาม เดินไปเปิดห้องรับรองให้นั่งพักพร้อมพูดบอกให้รอเดี๋ยวจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

เมื่อได้นั่งนิ่งให้ใจสงบ ปภินวิชถึงได้นึกขึ้นได้ ว่าที่ตนเองลงทุนทำกับข้าวหิ้วปิ่นโตมาเป็นข้ออ้างเพื่อขอเข้าพบนายท่านเพราะอะไร เขาตั้งใจจะมาถามเรื่องที่คุยกับคุณกวีวัธน์เมื่อเช้าเสียหน่อย กะจะถามให้รู้แน่ชัดไปเลยว่านายท่านชอบผู้ชายจริงๆหรือเปล่า แต่เพราะมาเจอคนเยอะแยะนี่แหละ เลยไม่มีโอกาสที่จะได้ถามเรื่องนี้ ถ้าเขาเดินออกไปบอกอยากขอคุยกับนายท่านตอนนี้ คุณพี่ผู้หญิงจะบอกทางให้เขาไปพบนายท่านหรือเปล่า

จะว่าไป ยังไม่รู้จักชื่อพี่คนนั้นเลย เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ

นั่งอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ปภินวิชจึงหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นสองพันบาทของตัวเองขึ้นมาเล่น กดเปิดหน้าจอแล้วต้องรออยู่อีกชั่วอึดใจใหญ่กว่าหน้าจอจะติด จากนั้นจึงกดเข้าแอปพลิเคชันโซเชียลชื่อดัง กลุ่มเพื่อนอัปเดตเรื่องการรับน้องและมหาวิทยาลัยใหม่จนเต็มหน้าฟีด เขามองภาพเหล่านั้นด้วยความสะท้อนใจและนั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลิกติดตามโลกในสังคมออนไลน์ เขาควรจะมีชีวิตที่มีความสุข ได้สนุกกับเพื่อนในมหาวิทยาลัย ถ้าพ่อแม่ของเขายังอยู่ ถ้าไม่มีไอ้คนขับรถสารเลวคันนั้น

แกร๊ก!!!

เสียงเปิดประตูทำให้ปภินวิชดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมสูดลมหายใจเข้าเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนหันไปยกยิ้มให้กับคนที่เดินเข้ามา

“รอนานเลย พี่ขอโทษนะ”สุธาณีพูดพร้อมยื่นคีย์การ์ดลายกราฟิกสีฟ้าระบุการใช้งานบนหน้าบัตรส่งมาให้ เด็กหนุ่มยกมือไหว้ก่อนรับมาถือ

“ขอบคุณครับ”

“ครั้งหน้าถ้ามาอีกก็ให้แจ้งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์พร้อมยื่นบัตรใบนี้ให้พนักงานดู แล้วเอาบัตรไปนี้มาใช้ในลิฟต์ มาเดี๋ยวพี่สอน”หญิงสาวเดินนำออกไป

ตอนที่เขาขึ้นมา พนักงานหน้าเคาน์เตอร์เดินมาส่งเขาที่ลิฟต์พร้อมทั้งกดหมายเลขชั้นให้ด้วย ปภินวิชจึงแค่ยืนเฉยๆรอให้ลิฟต์เปิดอีกครั้งเท่านั้น พนักงานหญิงคนนั้นยังบอกอีกว่าถ้าจะลงมาให้ใช้โทรศัพท์ของสำนักงานกดศูนย์แล้วเดินมาที่รอหน้าลิฟต์

วิธีการใช้คีย์การ์ดใบนี้แทบไม่ได้แตกต่างจากคีย์การ์ดคอนโดของนายท่านที่เขาเคยได้รับมาก่อนหน้า เมื่อได้รับคำอธิบายเพียงรอบเดียวเขาจึงพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจทันที และไหนๆเขาก็มาอยู่ในลิฟต์แล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยบอกลาหญิงสาวเพื่อขอตัวกลับ

เธอโบกไม้โบกมือให้เขาก่อนประตูลิฟต์จะปิด ตอนที่ลิฟต์เคลื่อนที่มาถึงชั้นล่าง เขาจึงนึกขึ้นได้ว่า

“อ้าว ลืมเลย” ปภินวิชลืมเป้าหมายที่ตนอุตส่าห์ถ่อมาที่นี่อีกครั้ง



พฤทธิกรออกจากบริษัทอีกครั้งตอนประมาณบ่ายสองครึ่ง โรงแรมที่นัดหมายไม่ไกลจากอาคารสำนักงานนักจึงไม่ต้องเผื่อเวลารถติดเป็นชั่วโมง ครั้งนี้พวกเขาโดยสารมาในรถยนต์ขนาดเจ็ดที่นั่ง มีบอดี้การ์ดสองคนนั่งอยู่ด้านหน้าเช่นเดิม ส่วนที่ตามเขาในครั้งนี้ด้วย มีประธานบอร์ดของบริษัทโรงภาพยนตร์และหลานชาย

กวีวัธน์เข้ามาฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยของเขาได้ร่วมหนึ่งปีแล้ว โดยก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทำงานในฝ่ายขายทั้งที่จบบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในตอนแรกพฤทธิกรตั้งใจจะดัดนิสัยชอบใช้เส้นสายของหลานชาย แต่ที่ไหนได้ ผลการทำงานกลับดีเกินคาดคงเพราะฝีปากแบบนั้นด้วยละนะ ชายหนุ่มคิดในใจ และถึงจะขายของก็ละเอียดเรื่องตัวเลขอย่างคนเรียนบัญชี เขาจึงย้ายหลานชายสุดแสบมาไว้ใกล้ๆตัว คนได้ย้ายตำแหน่งดีใจยกใหญ่ถึงกับลงทุนจัดปาร์ตี้เลี้ยงขอบคุณเลยทีเดียว

พฤทธิกรตั้งใจที่จะเกษียณอายุการทำงานเท่ากับบิดา ท่านประธานคนก่อนพอมีอายุครบหกสิบก็โยนงานส่งต่อมาให้เขาปั๊บ ตอนนี้เขาจึงเริ่มมองหาทายาทที่จะมาทำงานแทน เพราะจะสี่สิบแล้วยังไม่ได้แต่งงานเสียที เรื่องที่จะยกบริษัทให้ลูกของตนจึงต้องตัดทิ้งไป

เขาเป็นลูกคนเดียวเพราะบุพการีทั้งสองวางแผนว่าจะมีน้องเมื่อเขาเข้าอนุบาล แต่ดูเหมือนว่าเขาจะบุญไม่ถึงที่จะมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน จึงมีเพียงญาติผู้น้องที่อายุห่างกันเก้าปีเสียแทนแต่ก็สนิทกันมากในระดับหนึ่งเพราะแต่ก่อนอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน หลังจากที่บิดาเกษียณจึงได้ยกบ้านหลังนั้นให้อาธร แล้วย้ายไปอยู่หมู่บ้านชานเมืองกับมารดา

ส่วนกวีวัธน์เป็นลูกชายของญาติผู้พี่

ให้เทียบกันแล้ว บริษัทนี้ควรจะยกให้ชัญชกรที่เป็นญาติผู้น้องดูแลต่อไป บริษัทของตระกูลก็ควรให้คนนามสกุลเดียวกันครอบครอง แต่เจ้าตัวสำมะเลเทเมาอย่างน่าเอือมระอาจนหลายคนเปรียบเทียบว่าเขาคือผ้าสีขาว ส่วนญาติผู้น้องคือผ้าย้อมสีดำ ไม่รู้ว่าการได้ไปเรียนในสิ่งที่ชอบตามที่ชัญชกรขอไว้จะทำให้ฝ่ายนั้นเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆหรือเปล่า

เมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้ พฤทธิกรจึงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“กลอน หานักสืบไปตรวจดูความเป็นอยู่ของผู้หญิงที่เคยคบกับชาหน่อยได้ไหม”

“น้าฤทธิ์อยากรู้อะไรหรือครับ น้าชาเขาโดนผู้หญิงตามขู่ฆ่าอีกแล้วเหรอ”กวีวัธน์ถามพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ถ้าโดนอย่างนั้นจริงคงต้องจัดการเองแล้วล่ะ”

ญาติผู้น้องของเขาคนนี้เป็นเสือผู้หญิงที่ควงสาวเจ็ดวันไม่เคยซ้ำหน้า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนไม่จบเพราะมัวแต่เที่ยวเล่นสังสรรค์ โดนอาธรยึดทั้งรถยนต์ทั้งบัตรเครดิตก็ยังไปอาศัยอยู่กับผู้หญิง จนไม่รู้ไปทำอีท่าไหนโดนผู้หญิงถือปืนมาดักยิงถึงหน้าบ้านแต่เป็นหน้าบ้านผู้หญิงอีกคนที่ชัญชกรไปนอนด้วยในคืนนั้น ที่พลิกล็อกกว่านั้นคือ ชัญชกรกลับโดนจับข้อหาพรากผู้เยาว์และลักทรัพย์ ซ้ำร้ายโทรศัพท์หายเพราะเมาหนัก น้องชายของเขาจึงได้ประสบการณ์นอนในคุกหนึ่งคืนเพิ่มขึ้นมา

“จำได้ว่าชามันมั่วผู้หญิงตั้งเยอะ อาจจะมีใครที่ท้องขึ้นมาแต่ไม่ได้ส่งข่าวบอกหรือเปล่า”

“น้าจะรับลูกน้าชามาเลี้ยงเหรอ แล้วไม่ยกบริษัทให้ผมแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่เบาะถัดไปถึงกับส่งเสียงหัวเราะออกมา “วันนั้นคุณกลอนยังบอกว่าไม่อยากทำงานหนักอย่างน้าฤทธิ์อยู่เลย”

“ครับ ผมกะว่าจะปรับโครงสร้างใหม่และนั่งนับเงินอย่างเดียว แต่ติดอยู่ที่ว่าถ้านายแม่รู้เข้า ผมคงโดนแพ่นกระบาลแยก”

พฤทธิกรหัวเราะขึ้นมาบ้างเมื่อนึกถึงภาพญาติผู้พี่คนดังกล่าวผู้ซึ่งเป็นมารดาของคนพูดตามไปด้วย ก่อนจะพยายามวกกลับเข้าเรื่องขณะที่สายตามองเห็นว่าใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าชาไปก่อเรื่องให้ผู้หญิงไว้ ฉันก็ไม่อยากให้ฝ่ายหญิงต้องลำบากเพราะความไม่รับผิดชอบจากคนของเรา”

“ป่านนี้เด็กไม่โตกันหมดแล้วหรือครับ”กวีวัธน์พูดเดา

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงค่อยมาคิดกันทีหลัง แต่คราวนี้ให้สืบอย่างเดียวอย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันสั่งปลดแกไปเป็นเด็กส่งเอกสารแน่”พฤทธิกรพูดขู่ไปอีกประโยค หลานชายจึงส่งเสียงตอบรับกลับมาอย่างจริงจังแข็งขัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//ใกล้แหละ ใกล้โดนจับได้แหละ//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-10-2017 08:38:03
โอย ลุ้นสุด แต่น้องปลาก็ลืมได้ลืมดี ฮา
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 12-10-2017 09:06:50
อ่านเพลินมากค่ะ ชอบ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-10-2017 13:45:59
สนุกกกกกก   :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-10-2017 15:18:37
 o13
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-10-2017 06:37:36
07



พฤทธิกรกลับมาถึงคอนโดเมื่อนาฬิกาบอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ตัวของเขาอบอวลด้วยกลิ่นสุราที่ไม่ว่าจะมียี่ห้อดังราคาแพงแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกฉุนจมูก สมัยที่ยังวัยรุ่นกว่านี้ก็มีบ้างที่เคยดื่มจนเมาหัวราน้ำเพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้นอบายมุขทั้งหลายจึงลดลงไปตามกาลเวลา และดื่มเมื่อจำเป็นต้องดื่ม

ครั้งนี้ก็นับได้ว่าถึงคราวจำเป็น ประธานบริษัทของฝ่ายนั้นตั้งใจมาเมืองไทยเพื่อเที่ยวชมสถานเริงรมย์โดยเฉพาะ การจับมือกันทำธุรกิจเป็นแค่เป้าหมายรอง แต่พฤทธิกรเล็งเห็นประโยชน์หลายอย่างจากการร่วมมือนี้จึงไม่ขัดขวางและตามน้ำไปกับคนอื่น เขาดื่มแต่น้อยและปล่อยหน้าที่รับรองแขกให้กับชายหนุ่มอีกสองคนซึ่งยังเยาว์กว่าคอยรับหน้าไป กระนั้นปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้การตัดสินใจผิดเพี้ยนไปจากเดิม

พฤทธิกรหยุดยืนหน้าประตูห้องของปภินวิช เขาวางมือบนลูกบิดประตูพลางยืนนิ่งด้วยความลังเล ก่อนจะบอกตัวเองว่า แค่เข้าไปดูว่าอีกฝ่ายนอนหลับสบายดีไหม เช่นนั้นถึงได้เปิดประตูเข้าไปด้วยความเงียบเชียบ แสงไฟด้านนอกสาดส่องเข้าไปในห้องทำให้เขาเห็นร่างบนเตียงนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้โดยเปิดประตูแง้มๆทิ้งไว้อย่างนั้น อาศัยความสว่างซึ่งลอดผ่านเข้ามาพาตัวเองไปถึงเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ไม่กล้าทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนั้นเพราะกลัวจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัวตื่นจึงคุกเข่าลงกับพื้น มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่โผล่พ้นจากผ้าห่ม

ปภินวิชนอนตะแคงและดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนเกือบถึงปลายจมูก เขาอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางยามหลับของอีกฝ่ายไร้ความกังวล อดไม่ได้ที่จะใช้หลังมือสัมผัสแก้มขาวเนียนตรงหน้าก่อนจะแตะปลายจมูกของตนอย่างผิวแผ่วบนหน้าผากของอีกฝ่าย

“ราตรีสวัสดิ์”เขากระซิบบอกก่อนจะลุกขึ้นและถอยเท้าออกไป

ทว่าทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ปภินวิชก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งในทันใด หัวใจของเขายังเต้นโครมครามอันเกิดจากความหวั่นระแวง

เด็กหนุ่มเป็นมนุษย์จำพวกรู้สึกตัวไวดังนั้นจึงรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ที่ประตูถูกเปิดเข้ามา แต่เขายังแกล้งหลับเพื่อสังเกตการณ์ ประเด็นสำคัญคือเขาหวั่นวิตกว่าจะโดนทำมิดีมิร้ายตอนที่ไม่รู้สึกตัว ถึงจะคาดเดาเอาว่านายท่านอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน แต่ยอมให้คนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ด้วยง่ายๆมันต้องเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน เขาไม่อยากพลาดท่าโดนทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ปภินวิชจึงคิดว่าตนควรต้องระวังตัวไว้ก่อน

เขาลุกขึ้นจากเตียง จรดปลายเท้าลงกับพื้นและค่อยๆย่องไปที่ประตู หมุนสลักบิดล็อกประตูด้วยความเชื่องช้าระมัดระวังด้วยกลัวเสียงที่เกิดขึ้นนั้นจะปลุกให้นายท่านย้อนกลับมายังห้องนอนของตนอีกครั้ง ครั้นสำเร็จแล้วจึงเดินกลับไปล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ

เช้ารุ่งขึ้น ปภินวิชตื่นเช้ามากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากสังเกตเห็นว่า ครั้งก่อนๆเขาไม่เคยตื่นทันนายท่านเลย เมื่อเปิดประตูห้องออกไปและพบว่าแสงไฟสำหรับทางเดินไปห้องน้ำยังปิดสนิท จึงกระหยิ่มอยู่ในใจเพราะได้มีโอกาสตื่นก่อนนายท่านเสียที หลังล้างหน้าล้างตาและจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย เขาจึงเดินออกไปยังโถงกว้างด้านนอก

แสงสลัวรางของรุ่งอรุณสาดส่องผ่านบานหน้าต่างกระจกใสเข้ามาในห้องขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน เด็กหนุ่มทอดสายตามองสวนสนามหญ้าและสระน้ำด้านนอก นึกอยากออกไปเดินดูอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่า นี่ไม่ใช่บ้านของตนจึงยั้งเท้าไว้ทุกครั้ง

เขาเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นหยิบของสดออกมาวางบนเคาน์เตอร์ และหยิบหม้อมาวางบนเตาไฟฟ้าซึ่งถูกติดตั้งให้เรียบเสมอเป็นเนื้อเดียวกับเคาน์เตอร์หินอ่อน เด็กหนุ่มเคยเห็นครัวแบบนี้ตามห้างสรรพสินค้าที่ร้านขายของจำพวกอุปกรณ์ในบ้านเซตไว้ให้ลูกค้าดู แต่ไม่นึกว่าชาตินี้จะมีบุญวาสนาได้มาสัมผัสและใช้งานจริงๆ

เด็กหนุ่มเปิดไฟตั้งน้ำ ส่วนอีกเตาเขาตั้งกระทะเพื่อรวนหมูสับแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องหุงข้าวก่อน เขาจึงหันไปซาวข้าวเพื่อหุงในหม้อไฟฟ้า และเพราะต้องรอข้าวสุก ปภินวิชจึงกดปิดเตาไฟ ก่อนจะมานึกได้อีกรอบว่าทำน้ำซุปให้เสร็จแล้วค่อยใส่ข้าวก็ได้ เขาหัวเราะ

“เออแฮะ ป้ำๆเป๋อๆชะมัด”เด็กหนุ่มบ่นพึมกับตัวเอง ขณะจุดไฟเตาต้มน้ำอีกครั้ง

“อรุณสวัสดิ์”เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจ เมื่อหันไปมองจึงเห็นนายท่านลากเก้าอี้ออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ตำแหน่งประจำ จากนั้นประตูหน้าห้องก็ถูกเปิดออกโดยบอดี้การ์ดคนสนิทเพื่อส่งแม่บ้านเข้ามา เธอมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าซึ่งนำมาวางให้นายท่านถึงโต๊ะ

“ขอบคุณครับ”

“ค่ะ”เธอรับคำก่อนจะเดินไปยังระเบียงเพื่อรดน้ำต้นไม้ด้านนอก เป็นครั้งแรกที่ปภินวิชได้เห็นกิจกรรมยามเช้าของนายท่านเช่นนี้

เขาหันไปมองหม้อหุงข้าวพลางคิด คงอีกพักใหญ่กว่าข้าวจะสุก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัว

“นายท่านครับ ผมมีเรื่องจะถาม”

“อืม”พฤทธิกรขานเสียงรับแต่ไม่ได้เงยหน้ามองคู่สนทนา เด็กหนุ่มจึงลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่า กระทั่งนายท่านส่งเสียงตามมาอีกคำทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่กับหน้าหนังสือพิมพ์

“มีอะไรเหรอ”

“นายท่านชอบผู้ชายหรือเปล่าครับ”

“หือ”คนฟังคงตกใจกับคำถามถึงได้ขานเสียงถามย้ำและเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม “อะไรนะ”

“นายท่านชอบผู้ชายหรือครับ”

คำถามนั้นทำให้หัวใจในอกหวิวโหวงเต้นระรัว ชายหนุ่มพับเก็บหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัวก่อนจะประสานมือกุมกันไว้ และมองหน้าคู่สนทนาด้วยความจริงจัง ขณะคิดชั่งใจกับคำตอบ

“มีอะไรหรือเปล่า”พฤทธิกรถามกลับเพราะยังไม่แน่ใจกับคำตอบของตัวเอง ทั้งที่เคยได้ยินจากปากหลานชายว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าชอบตน แต่ความรู้สึกนี้คงเป็นความหวาดกลัวของการเป็นผู้ใหญ่ เขาเคยมีความรักมาแล้วถึงสองครั้ง และการเลิกราทั้งสองครั้งไม่ได้นำพาความสุขมาให้ ทั้งยังจดจำได้ดีถึงความรู้สึกผิดหวังเหมือนโดนหลอกลวง เพียงแต่เขาไม่เคยปล่อยให้ความผิดหวังมาทำลายชีวิตส่วนอื่น เขาทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไรก็จริงแต่ความเจ็บปวดจากการเลิกรายังคงอยู่ไม่จางหายไปไหน

“ก็เมื่อคืนก่อนนั้น...”ปภินวิชก้มหน้าลงต่ำพลางตอบเสียงเบา พานให้เข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงกังวลเรื่องที่เขามีทีท่าปฏิเสธ

“อ้อ... อืม... นั่นเพราะเธอยังเด็ก ให้สักยี่สิบก่อนก็คงดี”

“ยี่สิบ!!!”เด็กหนุ่มร้องอุทานออกมา “นี่ผมต้องอยู่กับนายท่านอีกนานขนาดนั้นเลยหรือครับ ไหนในสัญญาบอกว่าแค่ใช้หนี้หมดไง จู่ๆมาเพิ่มเวลาแบบนี้ไม่แฟร์เลยนะ”

“สัญญา? สัญญาอะไร”

“ก็สัญญาที่คุณกลอนเอามาให้ผมเซ็นยอมรับยอดหนี้ที่ช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาของน้องสาวผมแลกกับการที่ผมต้องมาเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่านไงครับ”

“อ้อ”พฤทธิกรขานเสียงพยักหน้ารับรู้แต่ในหัวใจกลับรู้สึกเหมือนมีมีดมาแทงกระหน่ำซ้ำๆ มันเจ็บปวดวูบไหว เขาสำนึกขึ้นมาได้ในนาทีนั้น ตนได้ถลำลึกไปไกลอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า อายุปาเข้าไปป่านนี้ยังอ่อนไหวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่อีก

ชายหนุ่มลวงหยิบโทรศัพท์ออกมากระเป๋ากางเกง กดโทรออกหาหลานชาย เขาขบกรามแน่นพยายามข่มความแปลบปลาบที่กำลังปะทุในอก พลางลุกขึ้นยืนหันหน้าหนีจากอีกฝ่ายเพื่อฝืนกลั้นความร้อนผ่าวที่กระบอกตา

“แกอยู่ไหน แวะมาหาฉันที่คอนโดก่อน”เขาเอ่ยปากสั่งทันทีที่ปลายสายกดรับ จากนั้นจึงกดวางโดยไม่รั้งรอให้ฝ่ายนั้นปฏิเสธ ก่อนจะกดโทรออกหาเลขาเป็นสายถัดไป

“เช้านี้ผมจะเข้าสาย คุณก้อยช่วยเลื่อนประชุมให้หน่อยนะครับ ...ยังไม่แน่ใจครับ ถ้าตอนบ่ายผมไม่เข้าไป จะโทรบอกอีกทีแล้วกันครับ อ้อ ผมลางานให้กลอนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

ปภินวิชเห็นแค่แผ่นหลังของนายท่านกับได้ยินแต่เสียงยังรู้สึกเสียวสันหลัง ปะติดปะต่อเรื่องได้ในทันทีว่าสัญญานั่น คงเป็นกวีวัธน์ที่ริทำขึ้นมาโดยพลการและดันเผลอคิดไปว่า ไม่ใช่ว่าจะเกิดพลิกล็อกอีกรอบ กลายเป็นนายท่านไม่ได้อยากให้ทำสัญญา แต่ฝ่ายนั้นอยากจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาตามแต่พอใจโดยไม่สนใจเรื่องการลงลายลักษณ์อักษรหรอกนะ ...หรือควรหนีก่อนดี

อย่างไรก็ ปภินวิชยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน นายท่านก็หันกลับทรุดตัวลงนั่งที่เดิม

“สัญญายังอยู่กับตัวหรือเปล่า ขอดูหน่อยได้ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก็จริงแต่เต็มไปด้วยความแคลงใจ ไม่ใช่ว่าจะเอาสัญญาของเขาไปฉีกทิ้งล่ะ เขายังคงนั่งนิ่งเพราะฉุกคิดได้เช่นนั้น ทว่าเสียงดุห้วนของชายหนุ่มกลับทำให้เขารีบลุกขึ้นทันควัน

“บอกว่าให้ไปเอามาดู!!!”

“ครับ ครับ”เด็กหนุ่มลุกลี้ลุกลน เสียงตวาดนั้นทำให้ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นายท่านยามโกรธน่ากลัวอย่างที่คุณกลอนเคยบอกไว้จริงๆด้วย

คล้อยหลังปภินวิชไปแล้ว ชายหนุ่มถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ นอกจากความเพ้อเจ้อคิดไปเองจนถลำใจไปไกลแล้ว ยังรู้สึกกรุ่นโกรธเจ้าหลานชายตัวดีที่ปั้นเรื่องมาต้มเขาเสียเปื่อย เขาระแวงแต่ก็ยังชะล่าใจไม่ระมัดระวังให้ดี แล้วจะโทษใครได้เมื่อใจเจ้ากรรมมันเอนเอียงไปแล้ว

เสียงฝีเท้าทำให้เขาเงยหน้ามองตรง ตั้งสติให้มั่นอีกครั้ง เขาเหลือบสายตาเห็นแม่บ้านที่จ้างไว้เดินอ้อมเก้าอี้ที่เขานั่งเข้าไปดูหม้ออาหารบนเตาและปิดไฟให้

“พี่ชะเอมครับ วันนี้พี่กลับไปก่อนละกัน เดี๋ยวผมจ่ายค่าจ้างให้ปกติ”

“ได้ค่ะ ถ้าคุณฤทธิ์มีอะไร โทรเรียกได้ตลอดนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

หลังจากนั้นคนที่เดินออกมาจากห้องอีกคนคือเด็กหนุ่มที่เป็นผู้อาศัย ฝ่ายนั้นวางเอกสารขนาดเอสี่ไว้บนโต๊ะก่อนจะถอยห่างออกไปสองสามก้าว

“หิวไหม เห็นเหมือนเธอทำอะไรไว้บนเตา”

“เฮ้ย!!!”เด็กหนุ่มร้องและรีบวิ่งไปดู

“ไม่ต้องตกใจไป พี่ชะเอมเขาปิดไฟให้แล้ว”น้ำเสียงของพฤทธิกรยังเรียบนิ่งขณะกวาดสายตามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ส่วนปภินวิชก็โล่งใจที่ไม่ได้ทำให้ห้องของนายท่านเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องตามชดใช้อีกมากโข

“แล้วนายท่านจะรับอาหารเช้าไหมครับ”

“ไม่ล่ะ ฉันยังไม่ค่อยหิว”ที่จริงเพราะเขาตื้อจนทานอะไรไม่ลงทั้งในสมองยังทึบตันคิดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นหน้าเด็กหนุ่มยิ่งเหมือนตอกย้ำ การที่อีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้เพราะเล่ห์คำลวงของหลานชายทั้งนั้น ชายหนุ่มอยากได้เวลาตริตรองใคร่ครวญจึงเอ่ยปากไปว่า

“ช่วยออกไปบอกธนากับพุฒิที ว่าเช้านี้ฉันไม่เข้าบริษัท เธอจะเอากับข้าวที่ทำไว้ไปทานด้วยก็ได้หรืออยากจะโทรสั่งอาหารอื่นก็ตามใจ สองคนนั้นมีเบอร์อยู่”

ถึงจะได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเพียงไม่กี่วันแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่าครั้งนี้นายท่านช่างเย็นชาห่างเหิน ซ้ำนัยน์ตายังแห้งผากไร้ชีวิต ปภินวิชถึงได้ชะงักเท้าอย่างลังเลอึกอักคล้ายทำอะไรไม่ถูก มองนายท่านที่ทำเป็นก้มหน้าสนใจแต่เนื้อหาในเอกสาร กระทั่งเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังอุตส่าห์ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเสียเอง ปภินวิชใจหายเมื่อโดนเมินผ่านโดยสิ้นเชิง

“น้าฤทธิ์”กวีวัธน์ส่งเสียงเรียกชื่อน้าชายด้วยความแปลกใจเพราะคนเปิดประตูไม่ใช่แม่บ้านเช่นปกติ มองสีหน้าอีกฝ่ายและสังเกตเห็นบรรยากาศมาคุให้ห้องแล้ว ในหัวได้แต่ร้องอุทานว่า ‘ฉิบหายแล้ว’

“เข้ามาก่อนสิ”พฤทธิกรพูดบอกพลางพยักพเยิดให้เดินตามมานั่งยังชุดโซฟา เมื่อหลานชายทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยถึงได้โยนเอกสารสามสี่แผ่นส่งไปให้ มันหล่นปุตรงหน้ากวีวัธน์พอดิบพอดี

“นี่อะไร”

“ก็ตามที่น้าเข้าใจ”กวีวัธน์สารภาพออกไปตามตรง เขารู้อยู่แล้วว่าต้องโดนจับได้ในสักวันเพียงแต่ถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัวจะไม่ยอมรับผิดง่ายๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้อง “ปลาออกไปก่อน”

“ทำไมต้องไป ครั้งก่อนๆคุณก็ทำอย่างนี้ บอกกับผมอีกอย่าง คุยกับนายท่านอีกอย่าง”พอเห็นว่ากวีวัธน์เป็นคนออกคำสั่งปภินวิชจึงไม่ยอมปฏิบัติตามง่ายๆ เพราะความขุ่นเคืองไม่ชอบใจส่วนตัวที่โดนหลอกโดนข่มขู่มาเยอะ เลยตั้งใจว่าครั้งนี้จะเล่นงานคู่กรณีแก้แค้นคืนเสียบ้าง

“เหอะ!!!”คนฟังพ่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงหันไปคุยกับน้าชาย “น้าฤทธิ์รู้หรือเปล่าผมเจอเด็กนี่ที่ไหน ตอนที่ผมเจอ เขากำลังยืนขายตัวอยู่ริมถนน ผมเห็นว่าไหนๆเขาก็ขายอยู่แล้วเลยอยากจะเสนอเงินดีๆให้ แต่คนมันเนรคุณรับเงินแต่ไม่ยอมทำงานน่ะครับ”

ปภินวิชหน้าม้านก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธผสมความอับอาย คิดอยากจะแก้แค้นแต่กลับโดนเล่นงานเสียก่อน

“ม... มันใช่ความผิดผมเสียที่ไหน คืนนั้นนายท่านมาถึงก็อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย”เขาตะเบ็งเสียงเถียง

“อ้าว แล้วเด็กขายอย่างคุณมันไม่มีมารยามาใช้มัดใจลูกค้าหรือไง หรือที่จริงแค่แกล้งทำเป็นขายตัวแต่เป้าหมายที่จริงคือการรูดทรัพย์”

“บ้า!!! บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกนะ”

“พอ!!! พอได้แล้ว หยุดเถียงกันซะที”พฤทธิกรตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธจัด “ใครอนุญาตให้มาเถียงกันไปเถียงกันมาอย่างนี้ฮะ”จากนั้นจึงไล่เรียงจัดการทีละคน เขาไม่สนใจแล้วว่าทั้งสองคนเคยคุยอะไรกันไว้บ้างทั้งไม่สนใจเรื่องที่หลานกุขึ้นมาหลอกเขาด้วย เพียงแต่ถ้าไม่กำราบเสียบ้างอนาคตข้างหน้าคงก่อเรื่องไม่หยุด

“เจ้ากลอน ฉันเคยบอกแล้วว่าถ้าก่อเรื่อง ฉันจะย้ายแกไปเป็นพนักงานส่งเอกสาร”

“น้าฤทธิ์ไม่เอานะ”หลานชายทรุดตัวลงนั่งกับพื้นออดอ้อนทันทีพร้อมพล่ามเรื่องโทษครั้งแรก “ผมเพิ่งทำผิดครั้งเดียวเอง น้าจะลงโทษผมเลยเหรอแล้วความดีที่ผมเคยทำมาทั้งหมดล่ะ เรื่องนี้ถ้าน้าไม่พอใจน้าก็แค่ไล่ ‘ไอ้เด็กขาย’ นี่ไปก็เท่านั้น”

ปภินวิชได้ฟังคำกล่าวว่าก็โกรธขึ้งขึ้นมาในฉับพลัน

“เรื่องเงินที่น้าให้มาผมก็เอาไปจ่ายค่าโรงพยาบาลให้น้องสาวมันหมดแล้ว ถ้าน้าอยากเห็นรายการผมเอาบัญชีรายรับรายจ่ายพร้อมใบเสร็จมาให้ก็ได้”

“ฉันเคยบอกว่าไม่ชอบให้แกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของฉัน”

“ผมก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกแต่คุณยายฝากมา น้าจะให้ผมทำยังไง ถ้าน้าไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายก็กลับบ้านใหญ่บ้างดิ น้ารู้ปะ เป็นคนที่ต้องรับหน้าแบบผมมันลำบากนะเว้ย”กวีวัธน์แสร้งตีสีหน้าหงุดหงิดให้รู้ว่าที่ทำไปเพราะเขาจำใจจริงๆ พฤทธิกรนึกหมั่นไส้จึงตบศีรษะหลานชายแก้อาการมันเขี้ยว คนเป็นหลายร้องอูยก็จริงแต่รับรู้ได้ว่าน้าชายหายโกรธแล้ว งานนี้จึงเล็งเห็นว่าตนคงพ้นโทษใสๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย กวีวัธน์จึงเอี้ยวคอกลับไปส่งสายตาเยาะเย้ยให้คนที่โดนผลกระทบเข้าเต็มๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งหัวร้อนขนาดเห็นช้างตัวเท่ามด

“อยากได้เงินมากเลยหรือ”

ปภินวิชหันมาให้ความสนใจกับคำถามของผู้สูงวัยตรงหน้า “ทำไมล่ะครับ งานง่ายๆสบายๆใครก็ชอบ”เขาพูดประชดออกไปอย่างไม่คิดอยากแก้ตัว เพราะนึกเห็นเอาว่าเป็นญาติพี่น้องพวกพ้องเดียวกันคงไม่มีทางยอมฟังคำของคนนอก พูดไปก็เท่านั้น

“ถ้าอยากได้เงินฉันจะจ่ายให้”

“น้าฤทธิ์”กวีวัธน์ส่งเสียงขัดออกมาทันควัน “ทำไมต้องไปเสียเงินเปล่าๆปลี้ๆกับคนพรรค์นี้ด้วย”

“คนพรรค์นี้แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณเหรอ”เด็กหนุ่มตะคอกเสียงถามกลับไปทันที ยิ่งพูดคุยกันไปนานเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเกลียดกวีวัธน์มากขึ้นเท่านั้น

“กลอน เงียบเถอะน่า ไม่สั่งก็ห้ามพูด ไม่อย่างนั้นฉันจะเห็นว่าเป็นความผิดครั้งที่สอง”พฤทธิกรปราม จากนั้นจึงกลับมาพูดเรื่องที่บอกเด็กหนุ่มค้างไว้

“อยากได้งานสบายๆเงินดีๆไม่ใช่หรือ ฉันจะจ้างเธอเอง ก็งานแม่บ้านทั่วไปแต่ฉันจะให้ไปทำที่สำนักงาน ส่วนของห้องนี้แค่ทำอาหารสองมื้อ เช้ากับเย็น เรื่องค่าใช้จ่ายรักษาน้องสาวฉันจะเป็นคนออกให้ ฉันอนุญาตให้อยู่ห้องนี้ได้เหมือนเดิม ส่วนระยะเวลาแค่ปีเดียว แค่น้องสาวของเธอได้เข้ารับกระบวนการรักษาจนหมดภาวะกำเริบของโรค เป็นอย่างไรข้อเสนอนี้”

ดีจนอดระแวงไม่ได้เชียวล่ะ เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ

พฤทธิกรถอนหายใจเมื่อคู่สนทนาทำท่าคิดนานเหลือเกิน “ฉันไม่นึกพิศวาสเด็กผู้ชายคราวลูกอย่างเธอหรอกน่า”ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อย้ำเตือนกับตัวเองด้วย ทุกสิ่งอย่างที่ปภินวิชแสดงออกมาให้เขาเห็นก่อนหน้านี้ ก็แค่การแสดงที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข คงไม่มีใครที่ไหนตกหลุมรักชายแก่คราวพ่อภายในวันสองวันทั้งที่เพิ่งได้เจอกันหรอก

“และก็ไม่นิยมการใช้กำลังกับคนที่ไม่เต็มใจด้วย แต่ถ้าคิดว่าข้อเสนอนี้ไม่ดีจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร”

“ผมตกลงครับ”สีหน้าของปภินวิชเหมือนต้องจำยอมอย่างช่วยไม่ได้

“ที่แท้ก็หน้าเงินแหละว้า”

“กลอน”

กวีวัธน์หุบปากฉับเมื่อโดนเรียกชื่อเตือนอีกรอบ ขณะที่ปภินวิชทำได้แค่ถลึงตาใส่

“น้องสาวเธออยู่โรงพยาบาลไหน ฉันอยากไปเยี่ยมแล้วจะคุยกับหมอเรื่องการรักษาด้วย”พฤทธิกรพูดพลางลุกขึ้นยืน หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงรีบขันอาสา

“ผมพาไปเองครับน้าฤทธิ์”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเลยครับ น้องสาวผมตอนนี้เริ่มจะแข็งแรงดีแล้ว อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้”ปภินวิชพูดขัดเพราะถ้าสองคนนี้ไป ปุ้ยต้องนึกสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของคนทั้งคู่แน่ๆ

“ฉันเป็นคนจ่ายเงิน เป็นเจ้าของไข้ ฉันไม่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมคนป่วยที่ฉันให้การอุปถัมภ์หรือ ไม่ใช่ว่าน้องสาวเธออาการร่อแร่แต่ยังตื๊อหมอให้พยุงอาการต่อไป”

“ทำไมถึงได้ปากเสียแบบนี้”

“เธอเองก็ยังมองฉันไม่ดีเลย มันก็ไม่ต่างนักหรอก เธอเองก็ไม่น่าไว้ใจสำหรับฉันเหมือนกัน”

“ถ้าผมไม่น่าไว้ใจก็ไม่เห็นจะต้องมายุ่งวุ่นวายด้วยนี่นา”

“แล้วปล่อยให้เธอไปยืนขายตัวอยู่ริมถนนต่อไปน่ะหรือ เป็นเธอ เห็นคนเดือดร้อนอยู่ตรงหน้าแล้วตัวเธอเองมีกำลังมากพอที่จะช่วยเขาได้ เธอจะช่วยเขาไหม อันที่จริงฉันจะให้เงินไปสักก้อนหนึ่งแล้วให้เธอไปจัดการเอาเองก็ย่อมได้ แต่ฉันเห็นด้วยกับกลอน ทำไมฉันต้องให้เงินกับคนอย่างเธอไปเปล่าๆปลี้ๆ โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนด้วย”พฤทธิกรขยับเท้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มขณะที่พูดประโยคนั้น ด้วยความสูงที่แตกต่างกันให้สายตาที่มองกดลงมาดูคล้ายตนกำลังถูกเหยียดหยามในความคิดของปภินวิช ชายหนุ่มไม่ได้สัมผัสส่วนใดในร่างกายของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ร่างกายใหญ่โตนั่นกลับเหมือนคุกคามเขาอยู่กลายๆ

ร่างกายของปภินวิชสั่นสะท้านแต่เขาไม่คิดอ่อนข้อแสดงความอ่อนแอ “คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่รับเงินของคุณมาฟรีๆแน่ จะทำงานชดใช้ให้ทุกบาททุกสตางค์ แต่ถ้าพวกคุณมายุ่งกับน้องสาวผม ผมไม่เอาพวกคุณไว้แน่”

พฤทธิกรโคลงศีรษะรับรู้ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระกับคำขู่นั้นก่อนหมุนตัวสาวเท้าเดินนำออกไป พ้นสายตาน้าชาย กวีวัธน์จึงลอยหน้าลอยตาขยับปากล้อเลียนเด็กหนุ่มเสียงเบา

“ผมไม่เอาพวกคุณไว้แน่”ซ้ำร้ายยังแสร้งกวาดสายตามองปภินวิชตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตานึกสมเพช คนโดนมองถึงกับเต้นเร่าๆ ทว่ามีเสียงเรียกชื่อคู่กรณีดังมาจากหน้าประตูเสียก่อน เจ้าตัวถึงเผ่นแผล็วไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มกระทืบเท้าด้วยความโกรธเคือง คิดแค้นอยู่ในใจว่าอย่าให้ถึงทีเขาบ้าง ก่อนจะรีบสาวเท้าตามน้าหลานคู่นั้นไป



เพราะเคยมาเยี่ยมปวันรัตน์ครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งตนยังเป็นคนจัดการดูแลเรื่องค่ารักษา กวีวัธน์จึงเดินนำน้าชายไปยังห้องไอซียูที่เด็กหญิงพักฟื้นได้อย่างคล่องแคล่ว

ร่างกายของเด็กหญิงฟื้นตัวแข็งแรงได้รวดเร็วสมกับที่อายุยังน้อย วันที่พวกเขามาเยี่ยมจึงไม่เห็นอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆห้อยระโยงระยางอย่างในละครทีวีที่กวีวัธน์เคยดู แต่เด็กหญิงเพิ่งสะลึมสะลือลืมตาตื่นเมื่อเธอได้ยินเสียงจากประตูเหมือนมีคนเข้ามาให้ห้อง

ชายหนุ่มสองคนที่เข้ามาก่อนทำให้เธอย่นคิ้วมองด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อเห็นพี่ชายจึงร้องเรียกออกไป

“พี่ปลา มาอีกแล้ว ไม่ทำงานหรือคะ”เธอถาม

พี่ชายเคยบอกเธอว่ามีคนใจดีช่วยออกค่าโรงพยาบาลให้และตอนนี้เขาก็ย้ายไปทำงานกับคนใจดีคนนั้น กระนั้นตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา พี่ชายกลับมาเยี่ยมและอยู่เฝ้าไข้เธอตลอด

“นี่คุณฤทธิ์กับคุณกลอน คนใจดีที่พี่เคยบอกว่าช่วยออกค่ารักษาให้”

พฤทธิกรสะดุดหูกับคำว่าคนใจดี ทั้งที่มีท่าทางไม่วางใจเขาแต่กลับโกหกน้องสาวเสียดิบดีเชียว ชายหนุ่มนึกอย่างเอ็นดู

เด็กหญิงตาโต เธอยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณพี่ทั้งสองคนมากค่ะที่ช่วยหนูกับพี่ชาย”

“ไม่เป็นไร ขอหายไวๆนะ”เขาตอบกลับพร้อมกล่าวอวยพร ขณะที่หลานชายเหล่ตายิ้มแซวเพราะน้าชายโดนเด็กสาววัยมัธยมเรียกด้วยสรรพนามที่เด็กกว่าอายุจริงไปหลายสิบปี

จากนั้นพฤทธิกรจึงสอบถามเรื่องการดูแลจากพยาบาลและอาหารการกินของปวันรัตน์อีกสามสี่ประโยค เมื่อเห็นเวลาสมควรเขาจึงบอกลาเด็กหญิงขอตัวกลับ โดยหันไปบอกฝั่งพี่ชายว่าจะอยู่เฝ้าน้องสาวต่อก็ได้ พฤทธิกรมีแผนว่าจะไปคุยกับหมอเจ้าของไข้หลังจากนี้

คล้อยหลังพฤทธิกรไปแล้ว ปวันรัตน์จึงหันไปถามกับพี่ชายต่ออีกว่า

“คนนี้ใช่เจ้านายพี่ปลาหรือเปล่าคะ”

“อืม ก็ทำนองนั้น”เขาตอบพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ความกังวลและร่างกายที่ตื่นเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลง เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวาดหวั่น เด็กหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองกลัวอะไร เพียงแต่ตอนที่นายท่านบอกว่าจะมาเยี่ยมน้องสาว เขาก็วิตกจริตไปว่าจะต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“หล่ออะ เหมือนท่านชายเลย พี่เขาอายุเท่าไหร่แล้วคะ มีแฟนหรือยัง”

ปวันรัตน์อายุสิบห้าแล้ว ไม่แปลกถ้าเธอจะเริ่มสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ

“ไม่รู้สิ แต่น่าจะแก่มาก เขาเป็นน้าชายคุณกลอน”

“แล้วพี่กลอนอายุเท่าไหร่ล่ะคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”ปภินวิชบอกปัดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก

“แหม พี่ปลาก็... ได้ทำงานกับเจ้านายหล่อๆทั้งที ไม่หัดถามเรื่องประมาณนี้มาบ้างล่ะคะ พี่เป็นผู้ชายพี่อาจจะไม่สนใจแต่ปุ้ยสนใจนะ”

“อยากรู้ก็ไว้รอถามเจ้าตัวเอาเองเถอะ พอปุ้ยหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ก็ต้องย้ายไปอยู่กับนาย...คุณฤทธิ์”

“จริงหรือคะ ดีใจจัง อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆจังเลย”ปวันรัตน์ตื่นเต้นเสียจนไม่นึกสงสัยเลยว่าพวกเขาสองพี่น้องจะเข้าไปอยู่กับพฤทธิกรด้วยฐานะอะไร ถ้าบอกน้องสาวว่า เขาเปลี่ยนอาชีพไปเป็นพ่อบ้านแล้ว เธอจะแปลกใจไหมนะ ปภินวิชนึกสงสัยอยู่ครามครัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

จินตนาการภาพนายท่านแล้วแอบกรี๊ดเบาๆ มาดท่านชายเย็นชาปากหนักโผล่วาบเชียว

ขอยืมอิมเมจที่คุณเคยเขียนคอมเมนต์ไว้มาให้น้องปุ้ยใช้หน่อยนะคะคุณมาม่าหมูสับ ขอกราบขอบพระคุณงามๆค่ะ


หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-10-2017 10:36:31
โธ่ ชักจะสงสารหัวใจคนแก่อย่างคุณฤทธิ์เสียแล้วสิ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 16-10-2017 12:02:28
กลอนนี่เกเรจริง ๆ สร้างเรื่องให้คนอื่นแล้วยังไม่สำนึกผิดอีก น่าตีจริง ๆ ดูสิ เขาเข้าใจผิดกันไปหมด อยากให้ทำผิดอีกครั้งจริง ๆ ให้คุณน้าย้ายแผนกซะให้เข็ด

คุณน้าไม่ต้องน้อยใจน้า น้องปลาเป็นเด็กดี แบบที่เคยไปเฝ้าดูนั่นแหละ  :o8:

ส่งเสียน้องเรียนหน่อยค่าาาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-10-2017 12:04:44
สูงวัยอ่อนไหว
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-10-2017 20:56:49
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 16-10-2017 22:07:38
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-10-2017 00:23:27
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 17-10-2017 08:32:54
กลอนพูดจาไม่ดีเลย

ขอให้คุณฤทธิ์กับน้องปลาสวีทกันไวๆนะคะ

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ  :mew2:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 17-10-2017 17:46:38
แล้วจะทำไงต่อล่ะทีนี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 17-10-2017 20:47:57
สนุกค่ะ ไม่โอเว่อร์ประโลมโลกเกินไป แต่ก็ไม่ real จนแห้งแล้งจนขาดอรรถรสของนิยาย รอมาต่อนะคะ
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-10-2017 06:25:32
08



พฤทธิกรนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกเป็นครู่ใหญ่กว่าจะสลัดเรื่องราวในหัวและลงมือทำงานอย่างจริงจังได้เสียที ทว่าเพิ่งก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานจากแผนกบัญชีได้ไม่กี่บรรทัด เสียงเคาะประตูหน้าห้องได้ดังขึ้นรบกวนเสียก่อน กวีวัธน์เดินเข้ามาพร้อมเอกสารฉบับหนึ่ง

“รายงานตรวจประเมินห้างครับ”

“สุ่มครบแล้วเหรอ”พฤทธิกรรับมาพร้อมทั้งพลิกหน้าเปิดดู

“ผมไม่ได้เอาแต่เล่นนะ มีงานก็ต้องทำงานสิครับ”ตอบกลับมาเช่นนั้นแล้วคนพูดยังดึงเก้าอี้มานั่งคล้ายมีเรื่องให้พูดคุย

“มีอะไร”พฤทธิกรเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม

“เรื่องปลา ถ้าน้าฤทธิ์ไม่ชอบใจก็ไล่เด็กนั่นออกไปก็ได้นี่ครับ”

“อะไรกัน นี่คือสิ่งที่แกอยากได้ไม่ใช่เหรอถึงได้ปั้นคำพูดโกหกมาหลอกฉันตั้งมากมาย”

“มัน...ก็ใช่ครับ แต่แบบ...”กวีวัธน์อึกอักลังเล

“ถามจริงคำพูดที่แกเคยพูดกับฉัน มีเรื่องไหนที่พูดจริงบ้าง”

คำถามนี้ทำให้กวีวัธน์ตีหน้ามึน เพราะพูดโกหกไปเยอะมากจึงจำไม่ค่อยได้ว่าตัวเองโกหกอะไรบ้าง

“เอางี้เรื่องที่แกชอบปลา”

“โกหก”

“สารภาพรัก”

“โกหก เรื่องที่เขาชอบน้าด้วย”

พฤทธิกรฉุนกึก อุตส่าห์ไม่ถามกลับเอ่ยปากย้ำออกมาเสียได้ “มีอะไรอีกไหม ฉันจะทำงาน”

“ทำไมน้าต้องช่วย แต่ก่อนที่น้าฤทธิ์ไม่อยากให้ยุ่งเพราะไม่อยากให้มีคนที่สองคนที่สามหาเหตุมาอ้างไม่ใช่เหรอ”

พฤทธิกรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมาว่า “เพราะฉันชอบเขา”

“ฮั่นแน่”หลานชายออกอาการดี๊ด๊าขึ้นมาทันที “ตกลงผมเดาถูก ที่น้าฤทธิ์ไปนั่งอยู่ร้านกาแฟตั้งนานสองนานเพราะน้องปลา รู้ปะ ตอนที่น้องเขามาบอกว่าน้าไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมงี้จิตตกเลยนึกว่าเดาผิดซะอีก คืนนั้นน้าน่าจะรวบหัวรวบหางไปซะ”

“อ้อ แกเองที่ไปยุเขาอย่างนั้น”ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเอือมระอา

“ไมอะ น้องปลาเขาตั้งใจจะขายตัวจริงๆนะ ผมคิดว่าเขาคงเตรียมใจมาแล้ว เลยกะว่าถ้าน้าเสียท่าให้ ยังไงน้าฤทธิ์ก็คงไม่ปล่อยเขาไปหรอก”

“คิดตื้นๆ ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบ”

“แต่แพ้เด็ก”คู่สนทนาไม่วายพูดแซว พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแต่หน้าตาคล้ายเบื่อหน่ายหลานชายเต็มทน

“แล้วจะเอาไงต่อครับ”กวีวัธน์ถามด้วยความอยากรู้โดยไม่คิดปิดบังความใคร่รู้นี้สักนิด

“ยังไม่รู้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันเท่าไหร่ด้วย”เขาพูดพร้อมเหล่ตามองกวีวัธน์เพื่อให้รู้ว่าเป็นความผิดของเจ้าตัว คนถูกมองจึงหัวเราะแห้งๆพลางทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

“แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องคุณยายแก”

“คุณยาย? ทำไมเหรอ”กวีวัธน์ถามซ้ำด้วยความสงสัยจริงๆ

“เอ้า ถ้าเกิดฉันไปตกลงปลงใจกับเด็กผู้ชาย เขาไม่ช็อกหัวใจวายเหรอ”

“โธ่ เรื่องนั้นน้าไม่ต้องเป็นห่วง ผมไปแย็บๆถามคุณยายมาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกล้าสร้างเรื่องขนาดนี้เหรอ ถ้าเกิดน้าฤทธิ์กับน้องปลาได้ลงเอยกันจริงๆแล้วต้องมีปัญหากับบ้านใหญ่ที่หลัง ผมคงรู้สึกผิดมากๆ แต่แหมๆ ขนาดยังไม่เริ่มจีบเลยยังกล้าพูดขนาดนี้”อย่าเผลอให้มีช่องว่าง กวีวัธน์พร้อมพูดแซวเสมอ เห็นน้าชายอมยิ้มสีหน้าคลายความเคร่งเครียดกังวลแล้ว หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงลุกขึ้นยืนคล้ายบ่งบอกว่าหมดธุระที่ต้องการมาคุยแล้ว

“มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ ผมพร้อมเสมอ”เขาพูดก่อนจะเปิดประตูเดินออกจากห้อง

“ช่วยให้เขาเกลียดฉันมากขึ้นนะสิไม่ว่า”พฤทธิกรพูดบ่นกับตัวเองเสียงเบา

การพูดคุยกับหลานชายทำให้พฤทธิกรอารมณ์ดีขึ้นมากและทำให้เขารู้สึกขี้เกียจทำงานด้วยเช่นกัน ช่วงบ่ายวันนั้น เขาจึงหมดเวลาไปกับการนั่งเล่นและปล่อยให้จิตใจเหม่อลอย ก่อนจะออกจากห้องทำงานตรงตามเวลาเลิกงาน

“คุณก้อย วันนี้ผมกลับก่อนนะ”พฤทธิกรแวะบอกเลขาหน้าห้อง ก่อนเดินไปเคาะประตูเรียกบอดี้การ์ดทั้งสองคน และเดินนำไปกดลิฟต์รอ เมื่อทั้งสองคนตามมาสมทบแล้วจึงเอ่ยชวนคุย

“วันนี้ไปเล่นเทนนิสกันไหม”

บอดี้การ์ดทั้งสองส่งเสียงหัวเราะ ก่อนที่ชายหนุ่มซึ่งชื่อพุฒิพงศ์จะพูดขึ้นมา “ทุกวันนี้พวกผมไม่ค่อยเหมือนบอดี้การ์ดแล้วนะครับ”

“นี่ไง ไปออกกำลังซะบ้าง เส้นจะได้ไม่ยึด”พฤทธิกรพูด

ชายหนุ่มเริ่มมีบอดี้การ์ดเดินตามหลังเมื่อสามปีก่อนตอนที่บิดากำลังจะยกตำแหน่งประธานบริษัทคนต่อไปให้เขารับผิดชอบ ซึ่งช่วงแรกๆเขาก็ไปกลับที่ทำงานโดยอาศัยคนขับรถบ้าง ขับรถเองบ้างเช่นพนักงานคนอื่น แต่เผอิญช่วงนั้นนอกจากเพิ่งรับตำแหน่งใหม่แล้ว เขายังมีปัญหาเรื่องที่ดินที่หมายตาสำหรับการสร้างสาขาห้างสรรพสินค้ากับพวกผู้มีอิทธิพล และปมปัญหาขัดแย้งเรื่องธุรกิจอีกสองสามอย่างจนถึงขั้นมีคนตามมาดักยิง บิดามารดาจึงบังคับให้จ้างบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน แต่ก่อนเขาเคยมีบอดี้การ์ดประจำตัวสี่คน จำนวนสามทีมคอยสับเปลี่ยนยี่สิบสี่ชั่วโมง

มันเป็นภาวการณ์ที่สร้างความงุนงงให้เขาไม่น้อย

จำได้ว่าตอนเด็กๆเขาเคยมีคนดูแลอยู่บ้าง แต่นั่นเพราะทั้งบิดาและปู่ย่าเป็นห่วงเรื่องการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และพอโตมาเขาก็ใช้ชีวิตเช่นคนปกติ พอต้องมีคนมาเดินตามเลยให้ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นมาเฟียมากกว่าคนทำธุรกิจ

และเมื่อเวลาผ่านไปปัญหาขัดแย้งที่เคยมีก็คลี่คลายลง เขาจึงลดจำนวนบอดี้การ์ด จนปัจจุบันเขากำลังมีแผนจะยกเลิกคนคุ้มกันทั้งหมดเนื่องจากกลัวว่าบอดี้การ์ดจะเบื่อไปเสียก่อนเพราะวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของเขา แต่ธนาและพุฒิพงศ์อยู่กับเขามานาน เขาจึงกำลังชั่งใจเรื่องนี้อยู่ ในอีกแง่หนึ่งการมีทั้งสองคนอยู่ข้างกายก็มีประโยชน์หลายอย่าง มีคนขับรถให้ มีคู่ซ้อมเวลาเล่นกีฬา หรืออย่างกวีวัธน์หลานชายของเขาก็ชอบเรียกทั้งสองคนไปใช้งานเป็นตัวประกอบฉากอยู่บ่อยๆ

พฤทธิกรมีคอร์ทประจำที่ไปใช้บริการอยู่เสมอ ทั้งมีพวกเสื้อผ้ากีฬาเตรียมไว้ในรถ

เสื้อผ้าเหล่านี้ก็เป็นพุฒิพงศ์และธนาที่จัดเตรียมไว้ให้ แม่บ้านที่เขาจ้างมาเพื่อดูแลทำความสะอาดห้องจะเป็นคนนำเสื้อผ้าของเขาไปส่งซัก เมื่อเสื้อผ้าเหล่านั้นถูกส่งกลับมา บอดี้การ์ดหนุ่มก็จะทำหน้าที่พ่อบ้านให้ด้วย เพราะมีประโยชน์อย่างนี้จึงตัดใจเลิกจ้างคนคุ้มกันไม่ได้สักที เลยคิดเอาไว้ว่า รอให้ทั้งคู่พูดออกมาเองถ้าสองคนนั้นอยากไปทำงานอื่น

พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่สนามเทนนิสร่วมสองชั่วโมงก่อนนั่งพักให้เหงื่อแห้งและไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ถึงจะดูเหมือนเป็นการเสียเงินจ้างเพื่อนเล่นมากกว่าคนคุ้มกัน แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่อย่างดีในกรณีที่พวกเขาไปสถานที่อื่นนอกจากคอนโดและที่ทำงาน

ธนาเป็นคนเข้าไปตรวจดูในห้องน้ำก่อนจะปล่อยให้พฤทธิกรเข้าไปใช้ ระหว่างนั้นจะมีคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ส่วนอีกคนไปอาบน้ำ แต่เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูออกมาอีกครั้งกลับพบว่าทั้งคู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นอกจากนี้กระเป๋าและข้าวของต่างๆ เขาก็ไม่เคยต้องถือเอง

ระหว่างนั่งรถที่มีพุฒิพงศ์เป็นคนขับ พฤทธิกรก็เริ่มกล่อมใจตัวเองให้สงบ

เขายกยิ้มขำ เมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มย้อนเวลากลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ทั้งที่อุตส่าห์ไปออกแรงวิ่งในสนามเทนนิสอยู่นานสองนาน และยิ่งก้าวเท้าเข้าใกล้ห้องพักของตัวเองมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็เต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงต้องโทษหลานชายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะคำพูดของเจ้านั่นที่ทำให้เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมา

พฤทธิกรเดินตามธนาที่เปิดประตูห้องเข้าไป คนเดินนำหน้าถือกระเป๋าเสื้อผ้าไปวางไว้บนโต๊ะโซฟา เขากวาดสายตาไปทั่วกลับไม่พบใครอีกคนที่ควรจะอยู่ในห้อง หัวใจที่เคยเต้นโครมครามจึงค่อยๆเต้นช้าลง

“ให้โทรสั่งอาหารไหมครับ”พุฒิพงศ์เอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นเหมือนกันว่าบนโต๊ะทานอาหารว่างเปล่าซ้ำยังไม่เห็นเงาของพ่อครัวคนใหม่ในห้อง ชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะเจ้านายโคลงศีรษะพลางคิดเค้นนึกถึงรายการอาหาร พร้อมทั้งพยายามเก็บงำความวูบโหวงในหัวใจเอาไว้

“มีอะไรแนะนำไหม”เขาพูดถามกลับไป ทว่าเสียงเปิดประตูกลับเรียกความสนใจของคนทั้งสามพร้อมเสียงของปภินวิชที่ดังตามมา

“นายท่าน รับอาหารเลยไหมครับ”

ชายหนุ่มทั้งสามหันมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน จากนั้นพุฒิพงศ์กับธนาจึงมองหน้ากันก่อนก้มศีรษะให้พฤทธิกรเป็นเชิงบอกลาแล้วเดินออกจากห้องของเจ้านายไปเงียบๆ ส่วนปภินวิช เขาเดินเลยไปยังพื้นที่ครัว เปิดประตูตู้เย็นและรินน้ำใส่แก้วเดินมาส่งให้

พฤทธิกรยื่นมือไปรับด้วยความขัดเขิน ซึ่งความรู้สึกนั้นมาจากเหตุที่การกระทำทุกอย่างของเด็กหนุ่มดูเป็นธรรมชาติ ไม่คล้ายปั้นแต่งไม่เต็มใจ

เขายกน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วจึงเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะตำแหน่งประจำของตน จากนั้นกับข้าวหน้าตาธรรมดาสามอย่างถูกนำมาวางตรงหน้า แต่ละเมนูก็คล้ายกับเมื่อวันก่อน

“ผมมีความสามารถแค่นี้นะครับ”คนทำรีบออกตัว

ชายหนุ่มรับจานข้าวมาแล้วรีบหยิบช้อนกับส้อม เขาตักกับข้าวใส่ปากอย่างไม่คิดรีรอด้วยต้องการให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่มีปัญหากับเรื่องที่เด็กหนุ่มกังวล

“อร่อยดี ไม่มากินด้วยกันหรือ”ประโยคหลังเขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าปภินวิชยังยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ

“ไม่ดีกว่าครับ ผมเป็นแค่พ่อบ้าน”

พฤทธิกรย่นคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ ประโยคต่อไปเสียงของเขาจึงเข้มขึ้น “ไปตักข้าวมานั่งทานด้วยกัน”

“ผมทานแล้วครับ”

คำพูดนั้นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มเป็นเท่าตัว และรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจงใจกวนโมโห เขาวางทั้งช้อนทั้งส้อมกระแทกจานดังเพล้ง “ครั้งหน้าถ้าเธอไม่มานั่งทานด้วยก็ไม่ต้องทำมาให้ฉันกิน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าห้องนอนอย่างมีคิดสนใจพ่อบ้านคนใหม่อีก แต่เพราะนึกอะไรดีๆ ได้ จึงได้หันไปร้องเรียกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะทานอาหาร

“ปลามานี่หน่อย”

เขาเปิดประตูห้องนอนของตนทิ้งไว้แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ชั่วอึดใจต่อมาคนที่เรียกหาก็เยี่ยมหน้าเข้ามา

“ฉันจะอาบน้ำมาถอดเสื้อผ้าให้ที”

“ฮะ!?”เด็กหนุ่มส่งเสียงอุทานออกมาทันควัน

“อะไร หูตึงหรือไง ฉันบอกว่ามาถอดเสื้อผ้าให้หน่อย ฉันจะอาบน้ำ”

“นายท่านก็ถอดเองสิครับ จะต้องมาใช้ผมทำไม”

“ก็เพราะเธอเป็นพ่อบ้านและฉันจ่ายเงินจ้างเธอมาทำงาน ฉันมีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือยัง”

“อย่างนี้ก็ได้เหรอ แค่อ้างว่าจ่ายเงินจ้างมาทำงานเลยจะใช้อะไรก็ได้เนี่ยนะ”

“ฉันยังไม่ได้สั่งให้เธอไปเสี่ยงตายอะไรเลยนะ จะโวยวายทำไม แล้วอีกอย่างเรื่องพวกนี้มันก็หน้าที่ของพ่อบ้านอยู่แล้ว อ้อ... เธอไม่เคยทำงานพ่อบ้านนี่นะ เธอเลยไม่รู้”

ปภินวิชอยากเถียงก็เถียงไม่ออก นึกอยากดื้อแพ่งไม่ทำตามคำสั่ง คำว่านายจ้างลูกจ้างก็ค้ำคออยู่ เขาได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะก่อนจะกระแทกเท้าเดินเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงอย่างไม่เต็มใจนัก

พฤทธิกรนั่งเท้าแขนเอนตัวไปด้านหลังขณะที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มปลดกระดุมเสื้อ ใบหน้าของอีกฝ่ายยับย่นงอหงิกจนเขานึกขำ

“ดูเธอไม่ค่อยพอใจนะ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเขียนจ็อบดิสคริปต์ชัน(Job Description)มาให้ดูแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกครับ นายท่านอยากใช้งานอะไรก็เชิญสั่งมาได้เลยครับ”ปภินวิชกัดฟันพูด

“อ้อ ดี”ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เขาขยับตัวเพื่อให้อีกฝ่ายถอดเสื้อได้ถนัด จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนโคลงศีรษะส่งสายตาเพื่อให้เด็กหนุ่มจัดการถอดกางเกงให้ด้วย ปภินวิชเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจกระนั้นก็ยังยื่นมือมาปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของเขา ก่อนจะหลับตาปี๋แล้วดึงกางเกงของเขาลง

พฤทธิกรยกเท้าให้เด็กหนุ่มได้เอากางเกงตัวนั้นไปใส่ตะกร้า แต่เมื่อเห็นปภินวิชหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง เขาจึงเอ่ยเรียกไว้ “จะให้ฉันอาบน้ำทั้งกางเกงในเหรอ” เขาไม่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มแต่เห็นสองมือที่กำหมัดแน่นแล้วยิ่งรู้สึกสนุกยิ่งไปกว่าเดิม

“อะไรกัน เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ เธอจะอายอะไร อ๊ะ...หรือเห็นฉันเปลือยแล้วเธอเกิดอารมณ์ เมื่อวันก่อนเธอพยายามจะปล้ำฉันด้วยนี่นะ”

“ผมไม่เกิดอารมณ์อะไรทั้งนั้นแหละครับ”ปภินวิชหันไปพูดบอกเสียงดัง พยายามโฟกัสสายตาอยู่ที่บริเวณใบหน้าของนายท่านอย่างเดียว ทั้งที่ไม่ควรอายอย่างที่ชายหนุ่มพูดแท้ๆแต่ไฉนเขาถึงได้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าก็ไม่รู้ ถึงกระนั้นเมื่อเห็นสายตาวิบวับเย้าหยอกก็ยิ่งรู้สึกหน้าบางกระดากอายมากขึ้นไปกว่าเดิม จนต้องหลุบสายตาลงมองต่ำอยู่แถวลาดไหล่กว้างเสียแทน โดยปล่อยให้มือทำหน้าที่ควานหาอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่

“อ๊า...”

ปภินวิชสะดุ้งชักมือหนีทว่าสายตาก็เหลือบมองต่ำโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะตวัดสายตามองหน้าชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ด้วยความขุ่นเคือง

“ก็มันเสียว”

ปภินวิชสบถ แค่ปลายนิ้วแตะโดนนิดเดียวเนี่ยนะ เขานึกตั้งคำถามอยู่ในใจ

ครั้งนี้จึงกลั้นใจหลุบตามองขอบบ็อกเซอร์บรีฟ และจับมันด้วยปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของทั้งสองมือ หลับตาและกลั้นใจอีกครั้งดึงพรวดพร้อมทรุดตัวลงนั่ง ทว่าไอ้ชั้นในเจ้าปัญหากลับเหมือนติดอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มจึงต้องลืมตาขึ้นมามอง เพื่อได้พบว่านายท่านยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับตัวออก

“ยกเท้าสิครับ”ปภินวิชร้องสั่งทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น จึงมองไม่เห็นว่าชายหนุ่มยกยิ้มกว้างด้วยความขบขันแค่ไหน

“อ้อ ขอโทษที”

เด็กหนุ่มรอกระทั่งให้นายท่านเดินพ้นจากหางตาไปและได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เขาถึงได้ลุกขึ้นยืนเพียงแต่นายท่านคนนั้นกลับไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ

“ปลา รีบตามเข้ามาล่ะ เธอต้องมาอาบน้ำให้ฉันด้วย”

โว้ย! นี่มันวันอาเพศอะไรเนี่ย “นายท่านชอบอาบน้ำคนเดียวไม่ใช่หรือครับ”เขาหันไปถามอย่างไม่เก็บอารมณ์ฉุนโกรธ ก่อนจะต้องหน้าเก้อแดงเถือกหมุนตัวหันหลังให้แทบไม่ทัน เมื่อชายหนุ่มยังยืนจังก้าอย่างหน้าไม่อายอยู่ตรงนั้น

“ทำไม วันนี้ฉันอยากให้มีคนช่วยขัดหลังให้ไม่ได้เหรอ นี่มันหน้าที่พ่อบ้านนะ”

ปภินวิชรู้สึกอยากได้เอกสารขอบเขตการทำงานขึ้นมาตงิดๆ อีกอย่างเมื่อเช้าบอกให้เขาทำแค่อาหาร ตอนเย็นเพิ่มหน้าที่โน่นนี่นั่นขึ้นมาอีกแล้ว

“อะไรกัน เมื่อกี้เธอยังบอกว่า อยากให้ทำอะไรก็สั่งมาได้เลยอยู่หยกๆ”พฤทธิกรยังบ่นต่อจนเด็กหนุ่มต้องจำใจรับคำ

“ครับ ครับ ครับ” เอาวะ มันจะสักแค่ไหนกันเชียว ปภินวิชบอกตัวเองก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย



ปภินวิชรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลมหมดแรง เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปทั้งตัวจนไม่กล้าก้าวเท้าไปไหน แต่เพราะโดนเจ้าของห้องไล่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจึงพยักหน้ารับ อีกใจคืออยากรีบออกจากห้องนี้เร็วๆ

“อาบน้ำเสร็จแล้วกลับมาหาฉันด้วยนะ”

ยังจะใช้อีกเรอะ!!! เขาตวัดสายตากลับไปมองพร้อมกับคำถามนั้นที่ดังขึ้นในใจ ก่อนจะสะบัดก้นเดินหนีออกมาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังยกยิ้มให้โดยไม่นึกเดือดร้อน

นี่มันงานสบายเหรอเนี่ย เด็กหนุ่มเริ่มตั้งคำถามในใจอีกครั้ง แล้วก็นึกได้ในนาทีต่อมาว่า ทุกงานก็ต้องใช้แรงกำลังแลกเงินมาทั้งนั้น อย่างงานสบายๆที่เขาเคยยกมาอ้างกับนายท่าน ปภินวิชก็คิดว่ามันคงไม่สบายจริงๆอย่างที่ใครเขาว่าหรอก คิดไปคิดมาจึงรู้สึกว่าดีแล้วที่วันนั้นได้เจอกับกวีวัธน์ ถึงจะโดนจิกกัดด้วยคำพูดจากกวีวัธน์ ถึงจะโดนโขกสับใช้งานแปลกๆจากนายท่าน แต่ใช่ว่าเขาจะโดนกดขี่จนถึงขั้นทนไม่ได้จริงๆ

แต่พอนึกถึงงานแปลกๆที่นายท่านใช้ให้เขาทำแล้ว ใบหน้าของปภินวิชก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นอีกหน

“ต้องอาบน้ำให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆแบบนั้นทุกวันเลยหรือเปล่าเนี่ย”เขาคร่ำครวญออกมา ใครว่าผู้ชายเหมือนกันไม่มีอะไรต้องอาย ทำไมหัวใจของเขายังเต้นแรงไม่หยุดสักที

“โอ้ย ถ้าพรุ่งนี้ต้องเจออีกต้องตายแน่ๆ”ว่าแล้วก็ก้มมองมือตัวเองพลันหวนคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดถึงเสียได้ “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น”เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไปมาพลางดึงสติให้มาอยู่กับการอาบน้ำในปัจจุบัน หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาแขวนเสื้อผ้าเปียกชื้นของตนไว้ในห้องน้ำ จากนั้นออกมาเดินหาถังพลาสติกที่จะนำมาใส่เสื้อผ้า

ห้องของเขาไม่มีราวตากผ้า ทั้งยังเล็งเห็นว่าถ้าตากผ้าเปียกไว้ในห้องนอนจะทำให้ทั้งห้องเหม็นอับเสียเปล่าๆ

ปภินวิชมองหาสวิตช์สำหรับไฟระเบียง สวนของนายท่านไม่มีดาวน์ไลท์ที่เปิดตลอดคืน แต่เขาคิดว่าคงไม่มีใครออกแบบให้สวนมืดตึ๊ดตื๋อตลอดเวลาด้วยเช่นกัน มองไปมองมากลับเห็นประตูห้องหนึ่งซึ่งถูกซ่อนด้วยฉากกั้นอยู่ถัดจากเคาน์เตอร์ของพื้นที่ครัว

ประตูห้องนั้นไม่ได้ล็อก และเมื่อเปิดเข้าไปภายในเป็นเพียงห้องเล็กๆสำหรับเก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด

“พอดีเลย”เด็กหนุ่มจึงหยิบไม้ถูพื้นติดมือมาด้วย จากนั้นจึงเดินย้อนกลับไปเช็ดน้ำทำความสะอาดพื้นที่ตนทำเปียกไว้

“มาสักที”เสียงร้องทักดังขึ้นเมื่อเขาถูพื้นเข้าไปถึงในห้องของนายท่าน ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งพิงหลังอยู่บนเตียง ถือแท็บเล็ตไว้ในมือ

“นายท่านจะให้ทำอะไรอีกหรือครับ”

“มานวดหลังให้หน่อย”

“ครับ”ปภินวิชรับคำด้วยความเบื่อหน่าย เนื่องจากนี่ก็สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว เขาก็อยากนอนบ้างเหมือนกัน ถึงเมื่อก่อนเขาจะเคยอยู่เล่นเกมหรือดูทีวีจนดึกจนดื่นแต่กิจกรรมเหล่านั้นมันต่างกับการทำงาน หรือช่วงที่เขาทำงานในห้างและต้องประจำกะบ่ายซึ่งเลิกงานตอนสี่ทุ่มก็เถอะ ความรู้สึกมันต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง นั่นเพราะเขาขี้เกียจแล้ว

“เดี๋ยวผมเอาไม้ถูกพื้นไปเก็บก่อน เอ้อ นายท่านครับ เสื้อผ้าผมเปียก คอนโดของนายท่านมีราวตากผ้าหรือเปล่าครับ”

“น่าจะมีอยู่ในสวน”เจ้าของห้องบอกพร้อมลุกขึ้นจากเตียง ตอนนั้นปภินวิชถึงได้เพิ่งสังเกตว่านายท่านสวมเพียงแค่ชุดคลุมอาบน้ำ เขายังมองด้วยความแปลกใจ

พฤทธิกรเดินนำไปกดสวิตช์ ไฟดาวน์ไลท์ในสวนจึงสว่างขึ้นมา จากนั้นเขาจึงชี้มือไปยังราวตากผ้าเล็กๆที่อยู่ชิดเข้ามาด้านใน เหมือนว่ามันจะถูกใช้สำหรับแค่ตากผ้าขนหนูหรือไม่ก็ผ้าผืนเล็กๆเพียงไม่กี่ผืน

เด็กหนุ่มจึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมาตาก โดยที่นายท่านยังยืนรออยู่ที่เดิมกระทั่งเขาทำธุระเสร็จแล้ว ถึงได้ก้าวเท้าเดินนำหน้าไป

“ปิดประตูห้องด้วย”

ปภินวิชทำตามอย่างไม่นึกสงสัย จนฝ่ายนั้นถอดเสื้อคลุมออกนี่ล่ะ เด็กหนุ่มหลับตาหนีแทบไม่ทัน

“นายท่านถอดเสื้อผ้าทำไมครับ”เขาร้องถามเสียงดังด้วยความตกใจ พยายามถอยเท้ากลับไปที่ประตูทั้งที่ยังหลับตาอยู่เช่นนั้น ทว่าเขากลับโดนคว้าข้อมือไว้ได้เสียก่อน

“ทีแรกก็จะให้เธอนวดให้นั่นแหละ แต่ฉันเปลี่ยนใจ นี่มันก็ดึกแล้วเลยว่าจะนอนดีกว่า”

“อย่างนั้นก็ปล่อยผมสิครับ ผมจะได้ไปนอนบ้าง”

“คงไม่ได้ล่ะ เพราะฉันอยากได้หมอนข้าง”พฤทธิกรพูดพลางดึงแขนของเด็กหนุ่มให้เดินตามไปพลาง

“ถ้าอยากได้หมอนข้างก็ไปซื้อเอาสิโว้ย”

“ปลา พูดไม่เพราะเลย ฉันไม่ชอบ”ชายหนุ่มดุเสียงเข้ม

“อย่างนี้มันเข้าข่ายคุกคามทางเพศแล้วรู้หรือเปล่า”

“คุกคามอะไร ก็แค่ให้เธอมานอนด้วย”

“แต่คุณแก้ผ้า”

“นอนโดยไม่ใส่อะไรเลยสบายดีออก”พฤทธิกรพูดออกไปหน้าตาเฉย ทั้งที่ชีวิตประจำวันตามปกติเขาเคยชินกับการใส่ชุดนอนแท้ๆ

“อย่าดื้อน่า ผู้ชายด้วยกันไม่เสียหายอะไรหรอกน่า”

บ๊ะ!!! ไม่เสียหายอะไร นี่มันเหตุการณ์เสี่ยงเสียตัวเลยล่ะ “ไหนคุณเคยบอกว่าไม่พิศวาสผู้ชายไง” เด็กหนุ่มพยายามขืนแรงต้านไว้ แต่อย่างว่า เขาตัวเล็กกว่าชายหนุ่มตั้งเยอะจึงโดนจับเหวี่ยงขึ้นเตียงและถูกโถมทับกอดรัดโดยง่ายดาย เมื่อลืมตาด้วยอารามตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาก็มาประชิดอยู่ตรงหน้าซ้ำยังลอยหน้าลอยตาพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ

“อือ ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”

แต่เนื้อตัวของปภินวิชถูกบดเบียดจนแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกับอีกฝ่ายแล้ว ความอุ่นร้อนที่โอบรัดทั้งร่างทำให้หัวใจของเขากระเด้งกระดอนเต้นโครมครามเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ซ้ำจะวางมือไปตรงไหนก็ไม่ได้ เพราะจะพานให้สัมผัสเนื้อตัวเปล่าเปลือยของชายหนุ่มอยู่ร่ำไป

“ถ้าไม่ได้จะทำอะไรก็ปล่อยเลยครับ ผมจะไปนอนแล้ว”

“อ้าว งั้นถ้าจะทำก็ไม่ต้องปล่อยก็ได้ใช่ไหม”พฤทธิกรผละตัวยกศีรษะออกห่าง จ้องหน้าเจ้าของคำพูดนั้นพลางถามหน้าซื่อตาใส

“เปล่าครับ ผ...ผมไม่ได้ความว่าอย่างนั้น”เขาฉุนเฉียวทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำเช่นเดิม “ยังไงก็เถอะ ปล่อยผม ผมง่วงแล้ว จะไปนอน”

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”ชายหนุ่มพูดบอกพร้อมปล่อยศีรษะลงแนบหมอนและหลับตาลงไปง่ายๆ ปภินวิชอ้าปากค้าง นี่ไม่เข้าใจคำพูดของเขาเลยใช่ไหม เด็กหนุ่มพยายามขยับตัวทว่าแรงกอดรัดกลับเพิ่มมากขึ้นจนเขาแทบจะกระดิกตัวไม่ได้

“นายท่าน ผมหายใจไม่ออก”กระนั้นเมื่อพูดบอกไปอีกฝ่ายก็ยังนอนนิ่งสนิท เขาพยายามสะบัดตัวดิ้นรนอีกรอบแต่ว่ามันก็เท่านั้น เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างปลงตก ถ้าไม่นึกถึงส่วนที่สัมผัสเสียดสีกับไออุ่นร้อนจากร่างกายของชายหนุ่ม ปภินวิชก็ยอมหลับตาและปล่อยให้ตัวเองดิ่งลงสู่นิทราโดยง่าย

ดังนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมา พฤทธิกรจึงได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากเด็กหนุ่มในอ้อมแขน เขาคลายวงแขนออก ประคองยกตัวอีกฝ่ายเพื่อดึงผ้าห่มซึ่งถูกทับอยู่ด้านล่างขึ้นมาคลุมห่มร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ แตะริมฝีปากที่หน้าผากมนเนียนเพื่อบอกฝันดีอีกครั้ง ก่อนล้มตัวลงนอนอยู่เคียงข้างพร้อมกับค่ำคืนที่จบลง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*// เหมือนน้าฤทธิ์จะไม่ใช่น้าฤทธิ์รึเปล่า//*


หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-10-2017 10:46:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 20-10-2017 10:57:24
คุณฤทธิ์ผู้สุขุมไปอยู่หนายยยยย

นี่มันคุณฤทธิ์เวอร์ชั่นหัวงูแล้ววว

 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-10-2017 12:25:13
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 20-10-2017 16:57:29
สนุกกกกกกกกกก อ่านเพลินเลยค่ะ
ไม่อยากให้หมด555555555
กลอนนี่ไม่น่าใช่ปากร้ายนะคะ
น่าจะเรียกปากเสียมากกว่า
เลี้ยงหมาไว้ในปากรึเปล่า
ลุ้นให้ปลาตกหลุมพรางคุณฤทธิ์เร็วๆ
อยากให้มีคนกินเด็ก คริ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 20-10-2017 18:35:37
จีบแบบลวนลามเด็กนะคะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-10-2017 19:31:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 8 [20/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 22-10-2017 11:57:08
ทำไมเป็นคนแก่ขี้แกล้งแบบนี้คะ นายท่าน  :hao7:
นี่อัดอั้นจากตอนแรก ๆ หรือเปล่า

:hao3:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-10-2017 08:03:03
09


“ตื่นเถอะ เช้าแล้ว”

เสียงพูดนั้นทำให้เขารู้สึกตัว เมื่อปรือตามองจึงเห็นแผ่นอกเปลือยและปลายคางในระยะใกล้ สติความรู้ตัวกลับคืนสู่ร่างในฉับพลัน เขายันตัวลุกขึ้นเด้งตัวออกห่างทันควัน สายตามองเจ้าของเตียงที่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ไปช่วยฉันอาบน้ำหน่อยนะ”

คำพูดประโยคนั้นทำให้ปภินวิชรีบกระโดดผลุงลงจากเตียง “ผมต้องไปทำอาหารเช้าครับ คงไม่มีเวลาพอที่จะอาบน้ำให้นายท่าน”

“ไม่ต้อง ก็ฉันบอกแล้วไง ถ้าเธอไม่คิดจะนั่งทานอาหารกับฉัน ก็ไม่ต้องทำหรอก”

“ไม่ครับ ผมรับรองว่าเช้านี้จะร่วมโต๊ะด้วย”

“แน่ใจนะ”พฤทธิกรถามย้ำ

“ครับ แน่ใจมาก”

“ดี แต่เช้านี้ไม่ต้องทำอาหารหรอก”

“อ้าว!”เด็กหนุ่มหน้าเหลอหลา

“ฉันสั่งอาหารมาแล้ว เธอแค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปนั่งรอที่โต๊ะ วันนี้ฉันจะพาเข้าไปที่บริษัท”

“ไปทำไมครับ”

“ลืมไปแล้วเหรอ ว่าเธอต้องไปทำหน้าที่พ่อบ้านที่สำนักงานด้วย”

“ฮะ!”

“หน้าแดงอีกแล้ว คิดอะไรลามกอยู่หรือเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย”เด็กหนุ่มรีบตอบปฏิเสธพลางยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ทั้งยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะมัวแต่ครุ่นคิดกังวลว่าจะโดนใช้ให้ทำงานอะไรแผลงๆอีก กับคิดว่าจะมีเวลาว่างมากพอให้เขาแว็บไปเยี่ยมน้องสาวหรือเปล่า

“ยังไม่ไปอีก หรืออยากรอส่งฉันเข้าห้องน้ำ”ชายหนุ่มพูดพร้อมขยับชายผ้าห่ม ปภินวิชถึงฉุกคิดขึ้นได้ว่านายท่านนอนเปลือยทั้งคืน เขาขานเสียงรับก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไป

พ้นสายตาของเด็กหนุ่มแล้ว พฤทธิกรจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวและแต่งกายอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมงจึงเดินออกไปด้านนอก เมื่อเดินไปถึงปรากฏว่าปภินวิชมานั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว แม่บ้านที่ชื่อชะเอมก็มาถึงแล้วเช่นกัน เธอนำหนังสือพิมพ์มาให้เขาก่อนถามว่า

“คุณฤทธิ์จะรอคุณกลอนไหมคะ เอมเห็นอาหารเช้ามีสามที่”

พฤทธิกรยกนาฬิกาขึ้นดูก่อนจะเอ่ยตอบออกไปว่า “รอครับ” จากนั้นเขาจึงเปิดหนังสือพิมพ์และให้ความสนใจแต่กับเนื้อหาด้านใน ทั้งห้องกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง ขณะที่แม่บ้านออกไปรดน้ำต้นไม้ในสวนที่ระเบียง ปภินวิชได้แต่นั่งว่างๆมองโน่นมองนี่ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมากดดูบ้าง ตอนที่ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้น เขาจึงนึกดีใจขึ้นมาที่คู่ปรับมาถึงเสียทีอย่างน้อยก็มีคนคุยด้วย ถึงเขาจะไม่ใช่พวกช่างพูดช่างคุย แต่การนั่งอยู่เงียบๆเฉยๆก็น่าเบื่อเช่นเดียวกัน

ปภินวิชเป็นคนลุกไปเปิดประตู

“อะไร หน้าบานเหมือนหมาเห็นกระดูก”

“ปากหมาแต่เช้าเหมือนกันนะ”เด็กหนุ่มว่าโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่พอโดนมองด้วยหางตาขึ้นมาก็รู้สึกฉุนโกรธถึงขั้นเหวี่ยงปิดประตูเสียงดัง เสียงปังดังขึ้นแล้วเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนพาลพาโลไม่เข้าเรื่อง ซ้ำเดินกลับมายังโต๊ะอาหารยังโดนเจ้าของห้องซักไซ้

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ผมไม่รู้ครับ แม่บ้านคนใหม่ของน้าฤทธิ์ไม่รู้จักมารยาทมั้ง”

โดนกวีวัธน์ชิงตัดหน้าพูดใส่ไคล้ให้เขาเป็นคนผิดอีกแล้ว เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจก่อนจะหันไปชี้แจงด้วยคำโกหกว่า “เปล่านะครับ ผมเผลอไม่ได้จับประตูไว้เท่านั้นเอง” ก่อนเดินเลี่ยงไปยกถ้วยข้าวต้มมาเสิร์ฟด้วยต้องการเอาใจ แต่ไม่วายพูดกระทบกระเทียบคนที่เพิ่งมาถึง

“ทานข้าวดีกว่าครับ นายท่านต้องหิ้วท้องรอคุณกลอนตั้งนานคงหิวแย่แล้ว”

“ครั้งหน้าผมจะมาเช้าๆหน่อยแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้อยากให้น้าต้องมานั่งรอเหมือนกันแต่ผมกลัวว่า น้าฤทธิ์จะเหงาถ้าต้องกินข้าวคนเดียว”

“ละเมออยู่เหรอคุณกลอน มีผมทานข้าวด้วยทุกวันนายท่านจะเหงาได้ยังไง ใช่ไหมครับ”คำสุดท้ายยังหันไปถามคนกลางเพื่อหาเสียงสนับสนุน

“อืม จะดีกว่านี้ถ้าจะได้เริ่มกินข้าวสักที”พฤทธิกรพูดอย่างเอือมระอา กระนั้นทั้งปภินวิชและกวีวัธน์ก็ยังคงส่งสายตากัดกันอีกรอบ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะยกอาหารมาเสิร์ฟให้หลานชายของนายท่านด้วยอาการกระแทกกระทั้น อย่างไรก็ตามอาหารเช้ามื้อนั้นก็ผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อต่างคนต่างทานอาหารในส่วนของตัวเอง ก่อนที่พวกเขาจะยกขบวนตามกันไปทำงาน

พฤทธิกรพาเด็กหนุ่มไปฝากไว้กับสุธาณี โดยแจ้งบอกว่าต่อไปปภินวิชจะมาเป็นคนทำความสะอาดและดูแลความเรียบร้อยสามชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน

“ไปไงมาไง น้องปลาถึงได้มาทำงานนี้ได้ แล้วเคยทำงานจำพวกงานทำความสะอาดมาก่อนใช่ไหมคะ”

“งานทำความสะอาดมันต้องใช้ความรู้ขนาดนั้นเลยหรือครับ”เด็กหนุ่มถามกลับแทนที่จะตอบคำถาม

“เปล่าค่ะ แต่มันเหนื่อยนะ”หญิงสาวพูดบอกขณะที่พาปภินวิชไปดูสองชั้นที่ถัดลงมา “สองชั้นนี้เป็นชั้นเก็บเอกสารของบริษัท ชั้นหนึ่งสำหรับเอกสารทั่วไป อีกชั้นสำหรับเอกสารสำคัญ แต่ถึงจะเป็นเอกสารทั่วไปก็ต้องแจ้งขออนุญาตเข้าใช้งานก่อนทั้งนั้น”

เขาได้แต่ฟังอย่างเดียวเพราะไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบทำงาน จึงทำเพียงพยักหน้ารับ

“ถ้าเกิดอนาคตข้างหน้า มีใครมาขอให้เอาเอกสารอะไรออกไปให้ ก็อย่าทำตามง่ายๆนะคะ”

“นายท่านกับคุณกลอนด้วยหรือครับ”

“นายท่าน?”เธอทวนคำอย่างสงสัย

“เอ่อ... คุณฤทธิ์น่ะครับ”

“กรณีคุณกลอนเธอจะลงมาหาเอกสารที่เธอต้องใช้เองค่ะ แต่สำหรับคุณฤทธิ์ก็เป็นพี่เนี่ยแหละที่จะมาหยิบให้”สุธาณีพาเดินชมห้องเก็บเอกสารแต่ละห้อง พร้อมทั้งชี้แจงหน้าที่ที่ต้องเช็ดถูทำความสะอาด

“ปกติแม่บ้านจะขึ้นมาทำความสะอาดทุกสองหรือสามวันค่ะ แต่สำหรับน้องปลาคงต้องกลับไปถามคุณฤทธิ์ดูอีกที”เมื่อคนนำทางพูดเช่นนั้นจึงตกลงกันว่าจะกลับขึ้นไปถามนายจ้างให้ชัดเจนอีกรอบ

“วันนี้แค่นี้ก็ได้ เดี๋ยวให้คุณก้อยเตรียมยูนิฟอร์มกับอุปกรณ์ให้ก่อน”

เมื่อได้รับคำชี้แจงเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงคิดที่จะไปหาน้องสาวที่โรงพยาบาล

“น่าเสียดายจัง เลยไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลย”สีหน้าของสุธาณีบ่งบอกว่าเสียดายจริงๆอย่างที่ปากว่า หลังจากที่เดินออกมาจากห้องของท่านประธานใหญ่แล้ว จังหวะนั้นกวีวัธน์เดินผ่านมาแถวนั้นพอดีจึงเอ่ยปากแซวคุณเลขาคนสวยว่า

“จะเสียดายทำไมครับ คุณก้อยก็กินข้าวกับผมทุกวันอยู่แล้ว หรือเพราะปลาเขาเอ๊าะกว่าถึงได้จะทิ้งน้ำพริกถ้วยเก่าอย่างผม”

เด็กหนุ่มที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นด้วยถึงกับเบ้หน้า

“แหม คุณกลอนพูดอะไรไม่รู้ เดี๋ยวใครมาได้ยินจะเสียหายนะคะ”

“ผมนะหรือครับ”

“ตัวก้อยเองสิ ก้อยจะห่วงคุณทำไม”

“แหม ใช่สินะ เรามันเก่าแล้วนี่”

ปภินวิชได้ยินเสียงหยอดออดอ้อนของกวีวัธน์แล้วหมั่นไส้จนอยากจะอาเจียน เขาจึงหันไปกล่าวขอตัวลากับเลขาสาวพร้อมยกมือไหว้ โดยไม่สนใจเรื่องมารยาทเกี่ยวกับการพูดแทรกขัดจังหวะการสนทนาของผู้ที่มากวัยกว่า

“ผมไปก่อนนะครับพี่ก้อย”โดยเลี่ยงการกล่าวลากับกวีวัธน์อย่างจงใจ เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้ว สุธาณีจึงพูดว่า “ท่าทางคุณกลอนจะโดนน้องปลาเกลียดขี้หน้ามากเลยนะคะ”

คนฟังถึงกับชะงัก แล้วตอบกลับพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ “รู้ตัวครับ ไม่ต้องบอก”



สายๆเพลๆวันนั้นที่ปภินวิชไปเยี่ยมน้องสาว เขาบอกเรื่องที่คงจะมาหาบ่อยๆไม่ได้อีกแล้ว เธอกลับยิ้มแล้วบอกว่าควรเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว

“ไม่ต้องห่วงปุ้ยนะ ปุ้ยอยู่คนเดียวได้ แต่ถ้าปุ้ยออกจากโรงพยาบาลแล้วพาไปกินไอศกรีมหน่อยนะ”เธอว่าสำทับ รอยยิ้มกระจ่างบนหน้ายังไม่จางหายแต่คนเป็นพี่เหมือนจะน้ำตาซึม ทั้งที่เด็กสาวอย่างเธอต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆและต้องทนอยู่กับความทรมานมากกว่าเขาแท้ๆ แต่เธอกลับเข้มแข็งกว่าเขาเสียอีก

“อือ กินข้าวเยอะๆและหายเร็วๆล่ะ”เขารับปาก นั่งคุยอยู่กับเธอกระทั่งถึงเวลาที่ควรกลับไปเตรียมอาหารเย็น

พูดถึงอาหารเย็น ช่างเป็นอะไรที่ลำบากและยุ่งยากสำหรับเด็กหนุ่มอย่างปภินวิชจริงๆ ไหนจะต้องคิดเมนู ไหนจะต้องหาสูตร คิดได้อย่างนั้นเขาจึงแวะเข้าร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าเสียหน่อย โดยตั้งใจว่าจะซื้อตำราอาหารสักสามสี่เล่ม แล้วไล่ทำกับข้าวตามนั้นเสียเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคิด

เด็กหนุ่มแวะกดเงินจากตู้เอทีเอ็มก่อนเพราะเหลือเงินติดอยู่ในกระเป๋าเพียงไม่กี่ร้อยบาท เขาไม่ค่อยเก็บเงินไว้กับตัวอย่างมากแค่มีพอใช้ระหว่างหนึ่งอาทิตย์ด้วยกลัวเผอเรอทำหาย อีกอย่างคือถ้ามีมาก เห็นอะไรก็จะนึกอยากได้ไปเสียหมด

อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นหน้าจอแสดงยอดเงินคงเหลือปภินวิชถึงกับออกอาการตกใจ เมื่อยอดเงินมันมากกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเคยตรวจสอบ เขากดยกเลิกการทำรายการ จากนั้นลองเสียบบัตรและกดรหัสซ้ำ ปรากฏว่ายอดเงินยังเท่ากับเมื่อสักครู่ซึ่งแสดงว่ามันไม่ได้มาจากความผิดพลาดของระบบ เขานึกสงสัยถึงที่มาของเงิน แต่คงต้องนำสมุดมาปรับยอดซ้ำเพื่อยืนยันรายการ

ปภินวิชกดเงินออกมาจำนวนหนึ่งและสั่งให้เครื่องเอทีเอ็มพิมพ์ใบสลิป ยอดตัวเลขยังสูงลิ่วจนน่าประหลาดใจพลันคิดไปว่า ไม่ใช่ว่ามีคนโอนเงินผิดบัญชีมาหรอกนะ ยอดเงินขนาดนี้ควรโอนคืนให้ก่อนหรือต้องรอฝ่ายนั้นมาทวงถามดีล่ะเนี่ย เด็กหนุ่มย่นคิ้วด้วยความสงสัย

กระนั้น เขาก็แวะเข้าร้านหนังสือตามความตั้งใจเดิมและเลือกหยิบหนังสือทำอาหารโดยเปิดดูหน้าสารบัญที่เมนูไม่ซ้ำกัน จ่ายเงินเดินออกจากร้านมาแล้วก็เริ่มคิดอีกว่า เงินที่จ่ายซื้อหนังสือไปจะขอเบิกคืนได้ไหมนะ

เด็กหนุ่มทำอาหารตามสูตรในตำราที่ซื้อมาแต่เลือกเมนูที่ทำง่ายๆและใช้วัตถุดิบที่ไม่ยุ่งยาก และถึงแม้จะพยายามปรุงตามสูตร รสชาติที่ได้ก็แปร่งๆอยู่ดีจึงต้องปรับรสกันอีกพักใหญ่ ตอนที่ยกหม้อลงจากเตา เขาก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพอดี ถึงได้หันไปกดดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ ตัวเลขที่แสดงให้เห็นบ่งบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะสองทุ่ม ทำให้ปภินวิชเข้าใจว่า นี่คงเป็นเวลาเลิกงานปกติของนายท่านผู้เป็นเจ้าของห้องละมั้ง

“รับอาหารเลยไหมครับ”ปภินวิชรินน้ำเย็นเดินถือไปเสิร์ฟ เขาเตรียมน้ำเย็นมาให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนด้วย แต่ทั้งคู่มือวางของที่ถือมาแล้วก้มศีรษะและเดินออกจากห้องไป

“ทานอาหารกันเลยก็ได้ เพราะหลังจากนี้ฉันมีธุระจะคุยกับเธอด้วย”

แม้จะนึกสงสัยถึงธุระที่ว่า แต่เพราะโดนเอ่ยเร่งย้ำเรื่องสำรับอาหาร ทั้งตอนที่ทานข้าวนายท่านยังชวนคุยไปเรื่องอื่น ปภินวิชจึงต้องเก็บความกังขาไว้กระทั่งทานอาหารเสร็จ นายท่านถึงได้ลุกเดินนำไปที่โซฟายาวซึ่งหุ้มเบาะด้วยผ้าสีเทานวล ส่วนตัวเขาก็นั่งลงบนเบาะทรงกลมอีกตัว

พฤทธิกรขยับเข้าไปหาพร้อมยื่นเอกสารให้อ่าน “สัญญาจ้างงาน”

มีสัญญาอีกแล้ว แล้วฉบับก่อนล่ะ ทว่าคำถามของปภินวิชได้รับคำตอบโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม “ส่วนของฉบับก่อนให้เป็นโมฆะ”คนพูดยกสัญญาฉบับนั้นมาให้ดูแล้วฉีกมันทิ้งต่อหน้าต่อตา

“สัญญาฉบับนี่เกี่ยวกับการจ้างงานและเงินเดือนที่ได้รับ ไม่มีเรื่องการระบุยอดหนี้ที่ต้องชดใช้”

เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเงินเดือน เด็กหนุ่มจึงกวาดตามองหาตัวเลขนั้นทันใด ยอดตัวเลขเท่ากับสัญญาฉบับก่อนหน้าที่กวีวัธน์ให้เขาเซ็นเลยทีเดียว

“อ๊ะ”เด็กหนุ่มร้องออกมาเมื่อฉุกใจคิดขึ้นมาได้ “นายท่านเอาเงินเข้าบัญชีให้ผมหรือครับ”

“ใช่”

ใช่จริงๆด้วย เขาพึมพำอยู่ในใจ เพราะยอดเงินที่จะได้แต่ละเดือนบวกรวมกับยอดเงินเดิมที่มีอยู่ในบัญชี มันพอๆกับยอดเงินในปัจจุบัน

“จะดีหรือครับ ให้เงินเดือนผมเยอะขนาดนี้”ปภินวิชเอ่ยถาม “ผมทำงานเป็นแค่พ่อบ้านเอง ที่จริงแค่นายท่านช่วยออกค่ารักษาให้ปุ้ยโดยไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ก็ได้ ส่วนเรื่องงานผมทำงานที่อื่นก็ได้”

“อยากทำงานสบายๆไม่ใช่หรือ”

“ฮึ”เด็กหนุ่มย่นคิ้วนึกเคืองใจที่อีกฝ่ายย้อนเอาคำพูดของเขากลับมาเล่นงาน “นั่นผมแค่พูดประชดด้วยความโมโห โดนคุณกลอนพูดว่าเสียหายขนาดนั้น นายท่านยังไม่ยอมจัดการอะไรให้ผมเลย...” ผมก็เหมารวมไปหมดแหละ ประโยคหลังเขาพูดกับตัวเองอยู่ในใจ

“อย่าคิดมากเลย นี่ก็เรตเงินเดือนพ่อบ้าน”

เด็กหนุ่มทำหน้าไม่เชื่อถือแต่พฤทธิกรไม่อยากขยายความ เพราะความจริงอัตราเงินเดือนสำหรับการจ้างงานมันขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้จ่ายและผู้รับ

“อย่าคิดมากเลย คิดซะว่ามันเป็นค่าความอึดอัดใจ”

ข้อความประโยคนี้ทำให้คนฟังขมวดคิ้วฉับ ชายหนุ่มจึงพูดต่อไปว่า “เผื่อจะมีงานแบบเมื่อวานอีกไง”

“งั้นผมไม่ทำได้ไหมครับ”

“ไม่ได้ เพราะสัญญาจ้างงานมันผูกพันกับความช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาล”

ปภินวิชรู้สึกทะแม่งๆ

“เรื่องค่ารักษามันเป็นสัญญาใจน่ะ แต่ฉันไม่คิดเบี้ยวรับรองได้”คนพูดยกยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มล่อลวงของพวกต้มตุ๋นมากกว่ารอยยิ้มของประธานเจ้าของบริษัทใหญ่ บางครั้งนายท่านก็ดูจริงใจมากกว่าคุณกวีวัธน์แต่บางคราวน้าหลานคู่นี้ก็นิสัยเหมือนกันราวกับโขกกันมา

“ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรก็เซ็นซะ”พฤทธิกรยื่นปากกาไปให้

“ไม่เซ็นได้ไหมครับ”ปภินวิชอ้อมแอ้มถามออกไป

“อืม... ทำไมล่ะ การเขียนสัญญาก็มีส่วนดีนะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆทองๆ หรืออะไรก็ตามที่เราต้องมีส่วนได้ส่วนเสีย หากมีปัญหาจะได้หยิบขึ้นมายืนยันกันได้ แต่ถ้ากลัวสัญญานี้จะผูกมัดเธอเกินไป ไม่ต้องเซ็นให้ฉันก็ได้”ดังนั้นชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปขอสัญญาทั้งสอง เขาวางกระดาษชุดนั้นลงบนโต๊ะอะคริลิกสีขาวตัวเตี้ยด้านหน้าแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปทั้งสองฉบับ ก่อนส่งคืนกลับไปฉบับหนึ่ง

“ฉันให้เธอ หากวันไหนฉันเบี้ยวให้เธอเอามันมาเรียกร้องได้เลย”

เด็กหนุ่มมองลายเซ็นบนกระดาษนิ่ง ตั้งแต่ที่พ่อแม่เสียไป มุมมองต่อโลกใบนี้ของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เขาไม่เชื่อว่าคนเราจะช่วยเหลือกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากพลั้งพลาดก็จะโดนสูบเลือดสูบเนื้อจนเหลือแต่กระดูก แม้แต่ญาติพี่น้องคนที่เขาเรียกว่าลุงกับป้ายังทำแบบนั้น

“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยครับ”เขาพูดด้วยเสียงเครือสั่น ยกมือขึ้นปาดน้ำมูกและสูดจมูก

“นั่นสินะ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้”อีกฝ่ายกลับพูดเสริมสำทับกับคำพูดของตนซะงั้น ปภินวิชมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ

“อยากรู้ไหม”พฤทธิกรยกยิ้ม พอโดนถามด้วยคำถามนั้นเด็กหนุ่มเกิดนึกรู้สึกลังเลขึ้นมา ซ้ำนัยน์ตาพราวระยับยังทำให้หัวใจของเขาเต้นแปลกๆ ปภินวิชหลุบตาลงมองกระดาษในมือ ก่อนจะสั่นศีรษะยิกๆเมื่อโดนถามซ้ำว่าไม่อยากรู้เหรอ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆดังลอยมาก็เหมือนว่าใบหน้าจะร้อนผ่าวขึ้นด้วย

“ผ...ผมไปล้างจานก่อนนะครับ”ปภินวิชโพล่งออกไปพร้อมทั้งพรวดพราดลุกขึ้นด้วยเพราะอยากหนีจากสถานการณ์นี้เต็มทน ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ได้เอ่ยห้ามปฏิเสธ เขาเพียงแค่พูดออกไปอีกประโยคว่า

“ล้างจานเสร็จแล้วก็อาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วมานอนที่ห้องฉันล่ะ”

“ม..”

“ห้ามขัดคำสั่งนายจ้างนะคุณพ่อบ้าน”

ชายหนุ่มร่างสูงไม่ยอมให้เขาท้วงติง ฝ่ายนั้นเดินลิ่วๆ หายเข้าไปในห้องตัวเองโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรสักคำ

“มัน ม... มันใช่หน้าที่พ่อบ้านที่ไหนกัน”เด็กหนุ่มพูดบ่นตามหลังไป



เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนผ่านลูกระนาด เบาะที่นั่งข้างคนขับถูกจับจองโดยธนา อีกหนึ่งบอดี้การ์ดที่เป็นคู่หูทำงานร่วมกับเขา มีพฤทธิกรผู้เป็นเจ้านายนั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนด้านนอกรถยนต์แสงแดดร้อนจัดทั้งที่ค่ำคืนที่ผ่านมาสายฝนเพิ่งเทกระหน่ำ คงมีแค่แอ่งน้ำขังบางจุดบนถนนเท่านั้นที่พอจะยืนยันได้ว่ากรุงเทพฯ เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว

จุดหมายปลายทางเป็นบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่บริษัทบ้านจัดสรรออกแบบมาเพื่อดึงดูดลูกค้าระดับไฮเอนด์ (High-end Market) สวนรอบบ้านมีพื้นที่กว้างพื้นปูด้วยผืนหญ้าสีเขียวมีต้นชาฮกเกี้ยนปลูกกั้นเขตแนว มีไม้ใหญ่อย่างปีบและกระจงปลูกแซมกับปาล์ม ฟากหนึ่งเป็นไม้พุ่มมีดอกซึ่งแข่งกันชูช่อเพราะความชุ่มฉ่ำจากน้ำฝน มีลานน้ำพุอยู่หน้าบ้านตามหลักฮวงจุ้ย ถัดมาเป็นบ่อน้ำที่มีปลาคาร์ฟตัวโตหลายสีแหวกว่ายเป็นเครื่องประดับ

ตัวบ้านก่อสูงขึ้นไปมองคล้ายตึกอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีเทาเนื่องเพราะมุมโครงหลังคาซึ่งมุงด้วยกระเบื้องสีแดงค่อนข้างเตี้ย แต่การออกแบบหน้าต่างทรงโค้งสีขาวและเพิ่มความสว่างของบ้านด้วยกระจกใสบานใหญ่กลับเป็นที่ดึงดูดสายตา นอกจากนี้ตัวบ้านยังอ้างอิงการออกแบบตามสถาปัตยกรรมดังในต่างประเทศ

พฤทธิกรเปิดประตูลงจากรถเมื่อมันจอดนิ่งสนิท ก้าวเท้าขึ้นบันไดก็เห็นสาวใช้รีบเดินเข้ามาหา เธอมาพร้อมรองเท้าที่ให้เขาผลัดเปลี่ยน

“คุณแม่ล่ะ”

“คุณทิพย์อยู่ในห้องนั่งเล่นเล็กค่ะ”

เขาพยักหน้ารับพร้อมกล่าวขอบคุณ

ห้องนั่งเล่นเล็กเป็นสถานที่ที่มารดาของเขาจะใช้เวลาอยู่ภายในนั้นเป็นประจำ นอกจากดูละครดูทีวี ก็มักจะนำงานฝีมือเล็กๆน้อยๆไปนั่งทำอยู่ที่นั่น

“มาให้เห็นหน้าได้แล้วเหรอพ่อคุณ”คุณทิพปภาส่งเสียงถามประชดประชันทันทีที่เขาโผล่หน้าเข้าไป

พฤทธิกรเดินเข้านั่งบนโซฟาตัวเดียวกันพร้อมกับยกมือไหว้ เขาโตเกินกว่าจะกอดประจบอย่างเด็กๆจึงทำแค่คว้ามือมารดามาจับไว้ “ผมต้องทำงานนี่ครับ แล้วบ้านหลังนี้ก็อยู่ไกลด้วย”

“จ้า พ่อคนขยัน ต่างกับหลานจังนะ รายนั้นไม่เห็นบอกว่าบ้านยายไกล”

“แหม... ก็มันมาประจบรอสมบัติ บ้านคุณยายจะไกลได้อย่างไร”

“ปากคอเราะร้าย ว่าแต่มานี่มาเยี่ยมหรือมาธุระ”

“ก็ทั้งสองอย่างครับ”

“นั่นปะไร”เธอตบเขาของลูกชายเสียงดังฉาด “ไม่มีธุระคงไม่เห็นหน้าอย่างที่หลานกลอนบอกไว้จริงๆ”

พฤทธิกรถึงกับพ่นลมด้วยความขุ่นใจปนความระอิดระอา “กลอนมาฟ้องอะไรอีกหรือครับ”

“ฟ้องที่ไหน เขาเรียกเอาข่าวมาบอก”

ชายหนุ่มฟังคำพูดของมารดาแล้วนึกกังขา ไม่รู้ว่าความเจ้าเล่ห์บิดเบือนเล่นลิ้นเป็นมารดาของเขาเสี้ยมสอนให้หลานชาย หรือคุณทิพปภาติดวิธีการเล่นคำมาจากกวีวัธน์กันแน่

“ผมจะมาถามยืนยันเรื่องนั้นแหละครับ ฟังเจ้ากลอนมันพูดแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อถือ”

“เรื่องนั้นน่ะเรื่องไหน”ทิพปภาถามกลับด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ คนเป็นลูกชายถึงกับชะงัก ไม่ใช่ว่าเขาโดนหลานชายหลอกอีกแล้ว

“เอ่อ...เรื่องคนที่ผมจะจีบ”

“หือ มันทำไมหรือ”มารดาของเขามีสีหน้าใคร่รู้จริง ๆ เห็นเช่นนั้นพฤทธิกรจึงยิ่งอึกอักด้วยไม่รู้ว่าควรเกริ่นบอกเช่นไร อีกใจคือนึกคาดโทษเจ้าหลานชายตัวดี

ทิพปภาเห็นสีหน้าพิพักพิพ่วนของลูกชายแล้วจึงหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา “เรื่องที่เราไปถูกใจเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าเป็นยี่สิบปีน่ะเหรอ”ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงักงันอีกรอบ

“คุณแม่ไม่ว่าอะไรหรือครับ”

“น้อยไปสิ”เธอกล่าวด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนเป็นฉุนโกรธในฉับพลัน “แต่แม่เป็นลมไปแล้วเมื่อคราวที่กลอนเอามาบอก”

“แต่กลอนบอกว่าแย็บ ๆ”

“แย็บจนแม่เข้าใจผิดเอาไปบอกบ้านโน้นว่ากลอนอาจจะเป็นเกย์ เจ้าตัวถึงได้โพล่งออกมาว่าหมายถึงน้าฤทธิ์”บ้านโน้นที่มารดาพูดถึงคงจะเป็นยายๆแท้ของเจ้าตัวรวมทั้งญาติผู้พี่ของเขา “แม่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร หลังจากที่ฤทธิ์ล้มงานแต่งไปคราวนั้น แม่ไปทาบทามลูกสาวบ้านอื่น เขาก็พลอยจะปฏิเสธเสียหมด”

พฤทธิกรพอจะรู้ว่ามารดาคงอยากอุ้มหลานบ้าง

“ตอนนั้นเจ้ากลอนมันน่าจะโตเหมือนตอนนี้ แม่จะได้ส่งให้ไปสืบได้ว่าฤทธิ์ล้มงานเพราะอะไร”

เขาไม่เคยพูดบอกสาเหตุที่แท้จริงกับมารดา เพราะไม่อยากให้ฝ่ายหญิงโดนขุดคุ้ยจนเสียหายไปด้วย เขาแค่บอกว่าไม่อยากแต่งแต่เพราะทั้งการ์ดก็แจกแล้วทั้งงานต่างก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว เขาจึงเป็นคนจัดการโทรไปยกเลิกเองทั้งหมด

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงอีกเลยครับ”เขาพูดปลอบ

ทิพปภาถอนหายใจก่อนจะวกเข้าเรื่องที่คุยค้างไว้ “เอาจริงหรือเรื่องเด็กคนนั้น”

“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ผมยังจีบไม่ติดเลย”

“ลูกแม่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้มันจะไปยากอะไร”เธอกล่าวอวยเข้าข้างลูกชาย จากนั้นจึงวกกลับไปถามอีกว่า “แล้วไม่เจอผู้หญิงคนอื่นที่ถูกใจบ้างหรือ แม่เลขาหน้าห้องนั่นล่ะ หน้าตาก็สวยดีไม่ถูกใจบ้างหรือไง”

“คุณก้อยเขาจะแต่งงานอยู่แล้วนะครับแม่”เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ กับสุธาณี ถ้าเขาจะนึกรักชอบพอ มันคงไม่มีเหตุการณ์ล้มงานแต่งคราวนั้น เขารู้จักกับเลขาสาวมาก่อนแฟนคนที่สองเสียอีก

“เอาเถอะ จะรักชอบใครก็ตามใจเถิดพ่อ”เธอบอกอย่างนึกปลงพร้อมกล่าวสำทับ “แต่แม่ไม่ชอบใจผู้ชายที่ทำตัวตุ้งติ้ง ถ้าเขามีใจเป็นหญิงก็ให้ไปผ่าตัดเสียก่อนมาเจอแม่นะ”

“เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ แต่เป็นเด็กนิสัยดีใช้ได้เชียวล่ะ”พฤทธิกรบอกมารดาอย่างมั่นใจ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*// สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุกการติดตามค่ะ
ตามกำหนดแล้ว จะต้องลงนิยายบทที่ 10 วันที่ 28 ตุลาคม แต่เนื่องด้วยวันดังกล่าวยังอยู่ในช่วงพิธีถวายพระเพลิงฯ
ดังนั้นจะขออนุญาตงดการลงนิยายนะคะ ส่วนบทต่อไปพบกันวันที่ 4 พฤศจิกายน ขอบคุณค่ะ
ปล. คุณ namngern ค่ะ น้องปลาก็คิดเหมือนคุณเช่นเดียวกัน//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2017 08:19:38
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 24-10-2017 14:08:00
เราชอบเรื่องนี้ตรงที่ ตัวละครมีทางเลือกแบบชีวิตจริงบ่างที่เรื่องอื่นไม่มีเช่น การผ่าตัด รพ.รัฐ เวลาอ่านเรื่องอื่นจะขัดใจมาก เฮ้ยยย มีบัตรทองไปใช้สิทธิสิว่ะะะ อินไปนิดเพราะใช้สิทธินี้อยู่5555 แต่การที่กลอนยกเลิกการผ่าตัดนี่เราว่าเลวมากๆๆๆ สำหรับคนที่พกความหวัง เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว มันแย่มากๆเลยนะ เราไม่ชอบเลยรู้สึกแย่ (อินมาก55 ) ปากหมามากๆๆๆ ด้วย เราอยากให้กลอนได้บทเรียนนะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 24-10-2017 18:10:16
เอาเลยค่ะคุณฤทธิ์ เดินเครื่อง!!!

 :hao7:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 24-10-2017 19:06:39
 :z3: นี่จีบน้องแล้วใช่มั้ยย
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2017 22:36:42
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-10-2017 23:27:09
เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์

พุฒิพงศ์ <<< เป็นใคร
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 9 [24/10/2017] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-10-2017 00:59:25
 :mc4:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 10 [4/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-11-2017 06:58:19
10


“ว้าว สวยจัง”ปวันรัตน์ร้องอุทานออกมาทันทีที่เปิดประตูเข้าไปและมองเห็นการตกแต่งภายในห้อง เธอพยายามจะเดินสำรวจให้ทั่วแต่คนเป็นพี่ชายรู้สึกอับอายกับอาการลิงโลดออกนอกหน้าของน้องสาวจนต้องรั้งข้อศอกไว้

คุณหมอเจ้าของไข้อนุญาตให้ปวันรัตน์กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว แต่หลังจากนี้เธอยังต้องไปโรงพยาบาลตามกำหนดนัดเพื่อรับยาเคมีบำบัดเนื่องจากก้อนเนื้อที่ถูกตัดออกไปนั้นเป็นเนื้อร้าย ช่วงเช้าพฤทธิกรจึงโดดงานตั้งแต่สิบโมงเพื่อพาปภินวิชเดินทางไปรับน้องสาว

“ไม่ใช่บ้านเรานะ เกรงใจคุณฤทธิ์หน่อย”เด็กหนุ่มกระซิบบอกเสียงเบา

“แหม...พี่ปลาคอนโดสวยขนาดนี้มันก็ต้องตื่นเต้นกันบ้างสิคะ”เด็กสาวกระซิบตอบกลับไปด้วยระดับความดังเสียงที่ไม่ต่างกันนัก

ปภินวิชไม่แปลกใจที่น้องสาวจะตื่นเต้นกับคอนโดของนายท่าน เพราะบ้านของพวกเขาสองพี่น้องเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้นหลังเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่หน้าบ้านอยู่ไม่กี่ตารางวา ห้องนอนของเขาแคบกว่าห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนของพฤทธิกรเสียอีก แต่การมาเดินสำรวจบ้านของคนอื่นทั้งที่เจ้าของไม่ได้เอ่ยอนุญาต มันดูเป็นการเสียมารยาทเกินไปสักหน่อยในความคิดของเด็กหนุ่ม

“ลองเดินดูก็ได้ ตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่เคยเห็นเธอเดินออกไปดูสวนสักครั้ง”พฤทธิกรเอ่ยบอกอย่างเต็มใจ และประโยคหลังเขาก็เจาะจงพูดกับปภินวิช ก่อนจะช่วยประคองจับจูงเด็กสาวให้เดินสำรวจทั่วถ้วน

สวนที่ระเบียงห้องไม่ได้ลงไม้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นไม้พุ่มและไม้ขนาดกลางเพื่อเสริมจุดเด่นให้สระว่ายน้ำ และมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็น ระเบียงห้องของชายหนุ่มหันไปทางทิศตะวันออก พอบ่ายแก่ ๆ หน่อยก็มีร่มเงาอาคารมาช่วยบังแดด แต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเป็นช่วงเที่ยง แดดจึงแรงจนต้องหยีตา

“สระว่ายน้ำ”ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาของเด็กสาวแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างชัดเจน อันที่จริงเธอเดินได้คล่อง ทั้งสีหน้าท่าทางก็ดูแข็งแรง จะมีส่วนที่บ่งบอกว่าเธอเพิ่งหายจากอาการป่วยคงเป็นศีรษะที่ยังไร้เส้นผมซึ่งมีหมวกไหมพรมสีแดงมีหูกระต่ายสวมคลุมไว้ หมวกใบนี้พี่ชายของเธอเป็นคนซื้อให้

เด็กสาวหันมาส่งสายตาเป็นประกายให้เขา “ลงไปว่ายได้ไหมคะ” ซึ่งพฤทธิกรยินดีตอบรับทุกคำขอเพื่อเป็นการเอาใจ

“ได้อยู่แล้ว แต่รอให้แข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า”เขาจำต้องต่อคำพูดในประโยคหลังเพราะเห็นพี่ชายของเด็กสาวมองเขาตาเขียว

“กลับเข้าข้างในก่อนดีกว่า กินข้าวแล้วพักสักหน่อยแล้วเย็นนี้เราสามคนออกมานั่งทานอาหารที่ระเบียงกัน”พฤทธิกรเอ่ยชวนพลางบังคับด้วยการรุนไหล่ให้ปวันรัตน์เดินนำหน้า

ในช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มใช้เวลาที่เขาและปภินวิชได้อยู่ด้วยกันพยายามสร้างความผูกพันของพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาเข้านอนด้วยกัน ตื่นเช้ามาเจอกัน ไปทำงานด้วยกัน และตกเย็นเขาก็พาเด็กหนุ่มไปเยี่ยมน้องสาวที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มเชื่อว่าได้เห็นหน้ากันตลอดเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้ไม่เดียงสาต่อเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ ย่อมต้องมีใจโอนเอียงมาทางเขาบ้าง อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายก็ยังออกอาการหน้าแดงเบือนหน้าหลบยามที่เขาส่งสายตาให้

เขาสั่งอาหารเที่ยงมาพร้อมเพราะคิดว่าทานอาหารที่คอนโดน่าจะสะดวกกว่าไปนั่งในร้านข้างนอก

ปภินวิชเป็นคนจัดเตรียมอาหารใส่จานอย่างรู้หน้าที่และเอ่ยปากบอกน้องสาวที่กำลังเดินเข้ามาช่วยให้นั่งรออยู่เฉย ๆ  อาหารเที่ยงมื้อนั้นเน้นไปที่ปลาและผักซึ่งถูกปรุงรสอ่อนเกือบทั้งหมด

“พวกพี่สองคนจะกินได้ไหมคะ ที่จริงกับข้าวของหนูแค่อย่างเดียวก็พอแล้ว”ปวันรัตน์พูดบอก อาหารหน้าตาจืดชืดจนกังวลว่าคนอื่นจะต้องฝืนใจทานเพราะเธอ

“ทำไมจะกินไม่ได้”พฤทธิกรเห็นพี่ชายของเด็กสาวยังนั่งเงียบเขาจึงกล่าวออกไปเช่นนั้นพลางให้ช้อนตักกับข้าวใส่จานของเธอ แล้วตักอีกช้อนใส่จานของปภินวิช “กินอาหารรสจัดมาก ๆ ก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะ แล้วอีกอย่างกับข้าวร้านนี้อร่อยมาก ลองชิมดูก่อน”

เห็นเจ้าบ้านนั่งรอเหมือนให้พวกเขาได้เริ่มลงมือทานก่อน เด็กหนุ่มจึงตักกับข้าวใส่จานของชายหนุ่มแล้วพูดคะยั้นคะยอบ้าง“คุณฤทธิ์เองก็ทานด้วยสิครับ”

“ได้ ๆ”พฤทธิกรตอบรับแล้วตักอาหารใส่ปาก จากนั้นจึงส่งเสียงในลำคอพลางพยักพเยิดให้ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนได้ลงมือทานอาหาร ระหว่างทานสองพี่น้องก็ส่งเสียงคุยเรื่องกับข้าว เรื่องโน้นเรื่องนี้ไปด้วย พาให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องฟังเพลิน ซ้ำปวันรัตน์ยังถามถึงเมนูอาหารมื้อเย็น

“อยากกินปิ้งย่างหรือไม่ก็สุกี้อะ”

“ปุ้ยยังไม่หายดี งดไปก่อนไม่ดีเหรอ”พี่ชายเอ่ยขัดขึ้นมาทันควัน

“นั่งกินลมชมวิวแบบนั้นมันควรเป็นสองอย่างนี้สิคะ”

“ก็เอาไว้ให้หายดีก่อนไง”พูดจบเด็กหนุ่มพลันชะงักเพราะดันเผลอตัวพูดจาทำราวกับว่าคอนโดห้องนี้เป็นของตัวเอง เขาเหลือบมองเจ้าของห้องที่นั่งฟังเงียบ ๆ และยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พฤทธิกรเห็นสายตาของเขาจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่กระนั้นเด็กหนุ่มกลับเบือนสายตากลับมามองหน้าน้องสาวดังเดิม

“ก็นั่นแหละ อย่าเพิ่งกินของแบบนั้นเลย”ปภินวิชเอ่ยย้ำ

“แล้วจะได้กินไอศกรีมไหมอะ”เด็กสาวถามเสียงอ่อย

“ได้สิ”พฤทธิกรชิงตอบออกไปเสียก่อน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะพาเด็กหนุ่มคนที่แอบชอบไปเดตแม้จะเป็นการเดตแบบสามคนก็เถอะ“เอาไว้วันอาทิตย์นี้ไปทานไอศกรีมกันและดูหนังกันสักเรื่อง”

ปวันรัตน์ปรบมือด้วยสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที แต่คนเป็นพี่ชายตวัดสายตาเขียวขุ่นมองเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มยกยิ้มรับซ้ำยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเด็กหนุ่มจ้องเขาเขม็ง

หลังทานอาหารเสร็จพวกเขาเคลื่อนย้ายไปจับจองที่นั่งกันที่ชุดโซฟาหน้าทีวี เด็กสาวบอกอยากดูทีวีเพราะติดละครช่วงบ่ายมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นละครรีรันแต่เธอก็นั่งดูตาแป๋ว ฝ่ายพี่ชายเขาได้ยินเสียงทำอะไรก๊อก ๆ แก็ก  ๆ อยู่ในครัว จึงใช้ช่วงที่ปวันรัตน์สนใจแต่ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์เดินเข้าไปดู

ปภินวิชกำลังปอกแอปเปิลกับสาลี่ใส่จาน

“น่ารักจังมาปอกผลไม้ให้กินด้วย”

คนฟังย่นคิ้วทันที “ผมปอกให้ปุ้ย ไม่ได้ปอกให้นายท่านเสียหน่อย” ทว่าประโยคถัดไปของชายหนุ่มยิ่งทำให้ปภินวิชหน้าหงิก

“อะไรกัน จะใจร้ายขนาดไม่ให้เจ้าของห้องกินด้วยเชียวเหรอ”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำแต่หน้างอคล้ายฉุนเคืองขณะที่มือทำงานไม่หยุด

“โกรธอะไรหรือ”ชายหนุ่มร่างสูงถามเสียงเบา ขยับเข้าไปใกล้จนปภินวิชชะงักถอยห่างพลันตอบปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็ว

“หึงหรือไง”พฤทธิกรเห็นได้โอกาสจึงเอ่ยปากถาม ยามที่เขาเอาใจน้องสาวของเจ้าตัวทีไร เด็กหนุ่มต้องขึงตาใส่เขาทุกที

“ห...หึง”ปภินวิชเหลือบมองคนพูดแค่ชั่วแว็บและรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว เหมือนว่ามือกำลังสั่นจนต้องยอมถือมีดไว้เฉย ๆ “หึงอะไรกันครับ”

“หึงที่ฉันคอยเอาใจน้องปุ้ย”

เด็กหนุ่มย่นจมูกกับคำที่พฤทธิกรเรียกขานเด็กสาวว่า ‘น้องปุ้ย’ เสียเต็มปากเต็มคำ ลอบสูดลมหายใจเข้าเพื่อคุมจิตใจให้สงบ มัวแต่ก้มหน้าก้มตามองมือจนไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เห็นแม้กระทั่งมือเรียวบางนั้นอยู่ไม่สุขทั้งที่กำลังถือของอันตราย ขยับสับคมมีดลงบนเปลือกผลไม้ที่ปอกกองทิ้งไว้ ชายหนุ่มยกยิ้มเอื้อมมือไปรั้งการกระทำที่ดูน่าหวาดเสียว คลายมืออีกฝ่ายและดึงของมีคมออก จากนั้นจึงจัดการงานที่เหลือเสียแทน

“พ...พูดถึงเรื่องเอาใจปุ้ย”ปภินวิชพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น “อย่าตามใจน้องสาวผมนักเลยครับ”

“น้องสาวเธอเพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาล แค่ตามใจนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”

ปภินวิชยังขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจกับคำตอบนั้น ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอ้าม กลับเห็นผลไม้ชิ้นสีขาวมาจ่ออยู่ตรงหน้า เขาเบี่ยงศีรษะเอนหลบไปด้านหลังกำลังจะกล่าวคำต่อว่า ผลไม้ชิ้นนั้นกลับถูกส่งดันให้ปิดกั้นการพูดจาตามด้วยใบหน้าคมเข้มที่โน้มเข้ามากัดงับปลายชิ้นสาลี่ที่โผล่พ้นเรียวปาก ทำให้ริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วผิว

“อืม หวานอร่อยดี”พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ยกจานผลไม้ออกไป

ปภินวิชหน้าร้อนฉ่า ยกมือขึ้นแตะสัมผัสริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวพลางขยับเคี้ยวสาลี่เนื้อฉ่ำ “ส...สาลี่หวานจริงๆด้วย นายท่านเขาหมายถึงสาลี่”เด็กหนุ่มพยายามพร่ำบอกตัวเอง และต้องบอกตัวเองซ้ำอีกหลายนาทีกว่าหัวใจที่เต้นโครมครามจะสงบลง



พฤทธิกรใช้เวลาในวันนั้นหมดไปกับการดูทีวีและนั่งเล่นนั่งคุยกับน้องสาวของปภินวิช ผู้เป็นพี่ชายก็ร่วมวงอยู่ด้วยแต่เมื่อเทียบกับเด็กสาวแล้ว ปวันรัตน์คุยเก่งกว่ามาก เพราะถึงขนาดนั่งดูละครยังหันมาชวนคนรอบข้างคุยเกี่ยวกับเนื้อหาละครที่ดู

“พรุ่งนี้ไปดูหนังในโรงจะชวนคุยแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย”ชายหนุ่มถามเป็นเชิงเอ่ยแซว

“เห็นแบบนี้แต่ปุ้ยเป็นคนมีมารยาทนะ ในโรงหนังปุ้ยไม่กล้าคุยหรอก อีกอย่างไม่เคยดูมาก่อนก็ต้องตั้งใจดูสิคะ มัวแต่คุยเสียดายค่าบัตรตายเลย”

“นั่นนะสิ ไปดูหนังในโรงเปลืองจะตาย นั่งดูทีวีอยู่บ้านดีกว่านะ”

เด็กสาวออกอาการหน้างอทันที พฤทธิกรยกยิ้มกว้างหลุดหัวเราะเสียงเบาเพราะยามที่สองพี่น้องเกิดรู้สึกขัดใจทำหน้างอคอหักดูคล้ายกันมากทีเดียว

“ปุ้ยออกค่าตั๋วให้ก็ได้ แต่พี่ปลาเคยบอกไว้ว่าจะเลี้ยงไอศกรีมหนูนะ”เธอทวงถามคำที่พี่ชายเคยรับปากไว้ ทว่าสองพี่น้องยังไม่ทันตกลงอะไรกันได้ ชายหนุ่มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเลี้ยงทั้งไอศกรีมทั้งหนังเลย”

“คุณฤทธิ์ใจดีจังค่ะ”เด็กสาวยิ้มหวานส่งมาให้

“เรียกคุณฤทธิ์ฟังดูห่างเหินจังเลย”

ปวันรัตน์เลิกคิ้วเอียงคอมองด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงหันหน้ามองพี่ชายก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มเจ้าของประโยคนั้นอีกที

“ปุ้ยเรียกตามพี่ปลาค่ะ คุณฤทธิ์เป็นเจ้านายพี่ปลา เรียกแบบนี้... ไม่ถูกหรือคะ”

“อืม แต่ฉันไม่ได้เป็นเจ้านายเธอนี่”พฤทธิกรยกนิ้วชี้บอก คนเป็นพี่ชายฟังคำโต้ตอบสนทนาแล้วเอะใจ แต่เฉลียวคิดในทางที่ไม่ดีเสียมากกว่า

“เรียกฉันว่าน้าฤทธิ์ตามที่กลอนเรียกแล้วกัน”

ปวันรัตน์รู้จักหลานชายของพฤทธิกรเพราะกวีวัธน์เคยตามไปเยี่ยมเด็กสาวอยู่บ่อย ๆ แถมยังคุยกันถูกคอชนิดที่ไม่เรียกไม่เลิกคุยด้วยซ้ำ

“จะดีหรือคะ”เด็กสาวยังมีทีท่าเกรงใจ เขาจึงย้ำว่าดีแล้วอีกครั้งพลางคิดว่าไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้ว เพราะเขายังไม่อยากแก่ถึงขนาดโดนเรียกว่า ‘ลุง’ จะให้เรียกว่า ‘พี่’ ก็กลัวว่าจะโดนหลานชายที่อายุมากกว่าเด็กสาวล้อเลียน ส่วนคำที่เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายเรียกขานเขาปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป พฤทธิกรคิดว่ามันก็ให้ความรู้สึกที่ดี ยามที่อยู่กันตามลำพังสองคน และอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ เป็นคำที่ฟังดูแล้วจั๊กจี้ดี นานเข้าจึงให้ความรู้สึกเหมือนคำเรียกแปลกๆเฉพาะคนพิเศษแบบที่วัยรุ่นนิยมกัน แม้ความจริงการที่ปภินวิชหยิบยกคำนั้นมาใช้จะประสมรวมอารมณ์ประชดประชันอยู่เล็กน้อยก็ตาม

“ไปนอนได้แล้ว”ปภินวิชตัดบทเสียงแข็งด้วยใบหน้าบึ้งตึง และเหมือนเจ้าตัวจะจับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน จึงพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้จะได้สดชื่น จะไปดูหนังกันไม่ใช่หรือ”

เด็กหนุ่มช่วยจับพยุงตัวน้องสาวให้ลุกขึ้น

“ไปนอนแล้วนะคะน้าฤทธิ์ ฝันดีค่ะ”

“ฝันดีเช่นกันครับ”พอเขาตอบรับด้วยคำนั้น พี่ชายของเด็กสาวกลับตวัดสายตาเขม่นมองเขา พฤทธิกรยังยกยิ้มระรื่นเช่นเดิม เห็นสองพี่น้องเดินพ้นประตูห้องไปแล้วเขาจึงกดรีโมตปิดโทรทัศน์และลุกขึ้นปิดไฟ เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองได้แค่พักเดียว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเขาตอบรับ เจ้าของเสียงเคาะประตูจึงเปิดประตูเดินเข้ามาก่อนปิดมันลงเสียงเบา

“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับนายท่าน”เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องพยักหน้ารับ เขานั่งอยู่บนเตียงดึงผ้าห่มมาไว้บนตัก พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนทุกเมื่อ

หลังจากพ้นคืนที่จงใจแกล้งผู้ร่วมอาศัยที่อยู่ในฐานะพ่อบ้าน คืนต่อ ๆ มาเขาได้กลับมาสวมใส่ชุดนอนตามเดิม

สำหรับค่ำคืนนี้ เนื่องจากปวันรัตน์ได้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว ชายหนุ่มอยากพี่ชายน้องสาวได้อยู่ด้วยกัน จึงไม่ได้เรียกให้ปภินวิชมานอนด้วย กระนั้นเจ้าตัวกลับมาหาเขาถึงที่ พฤทธิกรนึกเข้าข้างตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

“นายท่านคิดอะไรกับปุ้ยหรือเปล่าครับ”ปภินวิชพูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีความลังเล

“หือ”เขาส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่เข้าใจกับคำถาม

“ก็คุณ...”เด็กหนุ่มชะงักอึกอักเนื่องด้วยนึกคำพูดที่ฟังดูไม่รุนแรงก้าวร้าวไม่ออก อย่างไรเสียเขายังมีสำนึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าช่วยเหลือเจือจุนพวกเขาสองพี่น้องมาโดยตลอด “น้องสาวผมยังเด็ก อายุห่างจากนายท่านตั้งหลายสิบปี เธอไม่เหมาะสมกับคุณหรอก”

“อ๊ะ”พฤทธิกรเข้าใจขึ้นมาในทันใด เขาเบือนหน้าหลบนัยน์ตาที่จ้องเขม็งพร้อมหลุดเสียงหัวเราะ อีกใจหนึ่งก็นึกอ่อนใจ จากนั้นจึงหันกลับมาและกวักมือเรียกให้คนที่ยังจังก้าเข้ามาใกล้

ปภินวิชมีสีหน้าคลางแคลงกังขาแต่เมื่อชายหนุ่มส่งเสียงเอ่ยเรียกซ้ำจึงจำต้องเดินเข้าไปหา อีกฝ่ายยังตบที่ว่างบนเตียงปุ ๆ ให้รู้ว่าต้องทรุดตัวลงนั่ง กระนั้นยังไม่ทันจะขยับตัวให้ดีร่างกายกลับโดนตวัดรัดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มเสียแล้ว

“นายท่าน!!!”ฝ่ายที่เสียท่าร้องห้ามปรามพลางดันตัวออกห่าง เพียงแต่ถ้าแรงกำลังของเด็กหนุ่มจะต่อกรอีกฝ่ายได้ เขาคงไม่โดนรวบกอดง่ายดายเช่นนี้มาหลายครั้งหลายครา

“ได้ทั้งพี่ทั้งน้องเขาเรียกพระยาเทครัวนี่เนอะ”

“เอ๊ะ!”ปภินวิชชะงักนิ่ง แววตาไหววูบก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองฉุนโกรธ จากนั้นจึงมโนเออเองเอาว่าที่ชายหนุ่มมาคอยสนับสนุนช่วยเหลือเพราะมีความคิดสกปรกแบบนี้นี่เอง

“ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการแน่นอน”

“อืม แล้วเธอจะทำอะไรได้”พูดพลางจรดจมูกเข้าหาใบหน้าที่พยายามเบือนหนี ผิวกายหอมกรุ่นเรียกร้องให้เขาสูดลมหายใจเข้าปอด พฤทธิกรเหลือบตามองปลายจมูกแดงเรื่อและแววตาคลอน้ำ

“ฉันชอบเธอ”

หัวใจของปภินวิชกระตุกวูบหันมองใบหน้าของคนพูดด้วยความตกใจ ด้วยระยะห่างเพียงแค่นั้นมันใกล้เสียจนเห็นแววตาที่สะท้อนภาพเงาของตัวเอง ปลายจมูกที่สัมผัสกันพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนที่คอยเป่ารดริมฝีปาก กระตุ้นเร้าความวาบหวามและฉุดดึงสัมผัสผิวเผินยามที่ริมฝีปากใกล้แนบชิดกันเมื่อกลางวันให้หวนย้อนกลับมาอีกครั้ง

เด็กหนุ่มรู้สึกเก้อเขินทั้งยังเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีไปก่อนเช่นทุกคราว ความคิดวุ่นวายสับสนจนลืมเลือนความโกรธเคืองที่เคยมี เขาเม้มริมฝีปากโดยแรง คาดหวังว่าความเจ็บจากการรั้งสติด้วยวิธีนี้จะขจัดความกระดากอายให้ความคิดพร่ามัวและความร้อนผ่าวบนใบหน้าจางหายไป

“อยากจูบหรือ”

“เปล่าสักหน่อย”ปภินวิชตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด

“แต่คิดว่าถ้าได้จูบจริงๆก็คงดี”

เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดตาขวาง พอเห็นประกายแววตาก็หันหน้าหนีพลางบ่นพึมพำว่า “ทำไมกลับกลายเป็นพูดเรื่องพรรค์นี้ได้ ผมไม่ชอบให้นายท่านมาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่น้องสาวของผมนะครับ”ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับคู่สนทนาที่ยังรวบกอดเขาไว้แน่นด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง

“อืม รับทราบ”

แต่ปภินวิชกลับเห็นว่าคนพูดรับปากแบบขอไปที “ผมจริงจังนะครับ”เขาย้ำ

“อืม รู้แล้ว”พฤทธิกรจึงย้ำด้วยความจริงจังด้วยเช่นกัน “ฉันชอบเธอ กับน้องสาวของเธอก็แค่เอ็นดู”

เด็กหนุ่มพยายามเมินผ่านคำว่า ‘ชอบ’ ที่อีกฝ่ายพูดมา แม้มันจะทำให้หัวใจของเขาเต้นโลดรุนแรงอีกครั้ง “แค่เอ็นดูนี่ เอ็นดูแบบไหนครับ”

พฤทธิกรพ่นลมหายใจกับคำถามที่คล้ายจะรวนหาเรื่อง เขากลอกตาราวกับพยายามคิดหาคำตอบแต่กลับตัดบทไปว่า “ง่วงแล้ว นอนกันเถอะ” พลางใช้วงแขนข้างเดียวเกี่ยวเอวของปภินวิชไว้ แล้วใช้อีกมือดึงผ้าห่มพร้อมรั้งร่างคนที่ยังอยู่ในวงแขนให้ล้มตัวนอนบนเตียง จากนั้นจึงเบี่ยงตัวหยิบรีโมตเพื่อปิดไฟ

“ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะครับ”

“ขี้เกียจนั่ง นอนคุยดีกว่า”พูดพลางขยับโอบดึงร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มเข้ามาชิด

“กอดแน่นไปแล้ว ผมหายใจไม่ออก”ปภินวิชร้องโวยวาย เขาผละตัวออกห่างเมื่อชายหนุ่มยอมคลายแรงกอดรัด ยกศีรษะขึ้นพร้อมยกท่อนแขนของอีกฝ่ายซึ่งวางรองอยู่ด้านล่างออก

“เดี๋ยวก็เหน็บกินหรอก”แล้วทิ้งศีรษะลงบนหมอน พฤทธิกรขยับเข้าหาวางมืออีกข้างไว้บนบั้นเอวของเด็กหนุ่ม กลายเป็นว่าหลังจากจัดตำแหน่งที่นอนกันได้ ทั้งห้องกลับตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังไม่หลับตาแต่รอจนกระทั่งสายตาชินกับความมืดและเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุคคลซึ่งนอนอยู่ด้วยกันชัดเจนขึ้น

ปภินวิชขยับศีรษะอีกครั้งเมื่อเห็นแววตาที่ทอดมองมา เขาซุกศีรษะเข้ากับซอกคอของอีกฝ่ายและหลับตาลง ไม่นึกอยากคุยอะไรอีกแล้ว เพราะใบหน้าของเขาร้อนขึ้นจนคิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองเช่นนั้น



ช่วงสายๆของวันรุ่งขึ้น พฤทธิกรพาสองพี่น้องออกจากห้องโดยตั้งใจว่าจะขับรถเอง เขาจึงอนุญาตให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนลาพัก และเพราะชีวิตที่สงบราบเรียบของเขาทั้งพุฒิพงศ์และธนาจึงก้มศีรษะรับคำแต่โดยดี

พฤทธิกรอยู่ในชุดลำลองอย่างเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีน ไม่ต่างกับสองพี่น้องที่คนพี่ใส่เสื้อยืดคอกลม คนน้องใส่เสื้อมีกระดุมแขนตุ๊กตาสวมหมวกไหมพรมสีแดงใบเมื่อวานไว้บนศีรษะ สวมกางเกงยีนแนบเนื้อแบบสมัยนิยมทั้งคู่ และถึงแม้ปภินวิชจะมีส่วนสูงที่น้อยกว่าเขา แต่ท่อนขาดูเรียวยาวน่ามองจนเขาต้องแอบเหล่ทุกครั้ง

“มองอะไรครับ”

ชายหนุ่มเหลือบสายตากลับมามองหน้าคนถามด้วยท่าทีเฉยๆ ไม่แสดงอาการกระโตกกระตาก “ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่”กระนั้นเด็กหนุ่มยังมองเขาด้วยความระแวงไม่วางตา กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกยังหลีกทางให้เขาเดินนำหน้าไปก่อน พฤทธิกรยักไหล่เดินนำออกไปอย่างไม่นึกเดือดร้อน

“น้าฤทธิ์”พ้นประตูอาคารชั้นที่จอดรถ เสียงของหลานชายก็ดังขึ้นทันที ซ้ำเมื่อปวันรัตน์เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ยังส่งเสียงเรียกพี่กลอนด้วยอาการดีอกดีใจ

“มาได้ยังไง”

“ขับรถมาไงครับ”คนพูดยิ้มเผล่

“ฉันหมายถึง... แกไม่ไปทำงานหรือไง”

“อ้าว ทีน้าฤทธิ์ยังเกไม่ไปทำงานเลย แล้ววันนี้จะไปดูหนังกันไม่ใช่หรือครับ ผมเลยอยากไปด้วย”

“ดีจังเลยค่ะ ไปดูหนังเที่ยวนี้มีแต่ผู้ชายรุมล้อม อุย! หลุดความในใจ”เธอแกล้งยกมือปิดปากคล้ายเผลอพูด กวีวัธน์ส่งเสียงหัวเราะร่าก่อนจะกล่าวออกไปว่า

“ใช่ซะที่ไหน เขาเรียกเดตคู่ต่างหาก”

เด็กสาวจึงแสร้งทำหน้าตาตื่น “เอ๊ะ! เอ๊ะ! ปุ้ยตกข่าวอะไรหรือเปล่า”

คนต้นเรื่องจึงสาวเท้าขยับหาหมายจะกระซิบกระซาบขยายความ แต่เธอโดนพี่ชายรั้งไหล่เข้าหาตัว ซ้ำร้ายเด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายยังจ้องกวีวัธน์ตาขวาง

“ถ้าอยากไปด้วยก็รีบเดินเลย”พฤทธิกรพูดพลางรุนหลังให้หลานชายเดินนำ กวีวัธน์จึงหันมาถามเรื่องรถกับคนขับ

“ฉันขับเอง หรือแกอยากอาสาขับให้”

“ผมขับให้ก็ได้ครับ”กวีวัธน์ยื่นมือไปรับกุญแจ จากนั้นจึงหันไปคุยกับเด็กสาว “น้องปุ้ยมานั่งข้างหน้ากับพี่นะ”ใช่พูดเพียงอย่างเดียว เขายังคว้าจับข้อมือของปวันรัตน์แล้วพามาส่งที่ประตูที่นั่งข้างคนขับ พร้อมกับเปิดประตูรถแล้วดันร่างเด็กสาวให้เข้าไปด้านใน ก่อนย้ายมาประจำที่อย่างหน้าซื่อตาใส รอจนผู้โดยสารอีกสองคนที่เหลือขึ้นรถแล้วจึงออกเดินทาง

เขาหันไปชวนปวันรัตน์คุยแต่สายตาแอบเหลือบมองกระจก สังเกตสังกาชายหนุ่มสองคนซึ่งอยู่ที่นั่งตอนหลัง นึกหงุดหงิดเล็กๆที่ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบเป็นเป่าสาก

“วันนี้ตั้งใจจะดูหนังเรื่องอะไรกันหรือครับ ดูหนังรักดีไหมน้องปุ้ย”

“ง่ะ ไม่ล่ะค่ะ ปุ้ยจะดูอะนิเมชัน”

“ช่วงนี้มีอะนิเมชันเข้าฉายด้วยเหรอ”

“มีสิคะ”หลังจากนั้นเธอจึงหันไปขอยืมโทรศัพท์จากพี่ชายมาเช็กรายการภาพยนตร์และรอบเวลา ก่อนจะจัดการวางแผนให้ไปซื้อตั๋วกันก่อน จากนั้นไปทานข้าว ดูหนังเสร็จแล้วค่อยไปทานไอศกรีมกันอีกรอบ

“ไม่มีรอบที่เร็วกว่านั้นหรือไง”ปภินวิชเอ่ยถาม

“มีค่ะ แต่กว่าจะได้ออกจากโรงก็หิวพอดีแหละ แหมพี่ปลาไปกินที่ฟู้ดคอร์ตแค่มื้อเดียวไม่เป็นไรหรอก ปุ้ยเอาเงินเก็บมา เดี๋ยวปุ้ยเลี้ยง น้าฤทธิ์เลี้ยงหนังกับไอศกรีมแล้ว ปุ้ยเลี้ยงข้าวเอง”

“โถๆ หนูน้อย ไม่ต้องไปจ่ายเงินเลี้ยงมหาเศรษฐีอย่างน้าฤทธิ์หรอก”

“ค่า ปุ้ยรู้แหละว่าน้าฤทธิ์รวย แต่ใช้เงินไม่ระวัง คนรวยก็กลายเป็นคนจนได้นะ พี่กลอนเองก็เถอะโดดงานบ่อยๆระวังน้าฤทธิ์จะไล่ออก”

“เฮ้ย! ทำไมมาแช่งพี่อย่างนี้ล่ะ”

“นั่นสินะ สงสัยต้องไปเช็กแอตเทนแดนซ์(Attendance)[1] ของพนักงานที่ชื่อกวีวัธน์หน่อยแล้ว”พฤทธิกรพูดสมทบด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นขึงขัง

“โธ่ น้าฤทธิ์ครับ ผมไม่ได้โดดงานไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย งานที่ผมต้องรับผิดชอบก็ทำเสร็จส่งตามเวลา”ชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยโอดครวญ พาให้เด็กสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกันส่งเสียงหัวเราะ ปวันรัตน์ยังยิ้มระรื่นเมื่อรถยนต์ถึงที่หมาย เธอก้าวลงจากรถแล้วสาวเท้าเข้าไปหาพี่กลอนที่เธอเรียกขาน ชายหนุ่มยังทำหน้างอราวกับกำลังรอให้เด็กสาวมาง้อขอโทษ

“พี่กลอนไม่โกรธนะ เนี่ยปุ้ยพูดด้วยความเป็นห่วงเหอะ”เธอยิ้มประจบ

“ผู้ชายตัวโตๆทำหน้างอแล้วดูน่าเกลียดเนอะว่าไหม”ปภินวิชเดินตามมาถามน้องสาว จนกวีวัธน์คิ้วกระตุกเพราะโดนรุมมาตลอดทาง เด็กหนุ่มได้โอกาสจึงยักคิ้วส่งรอยยิ้มเยาะตามไปให้แล้วโอบไหล่พาน้องสาวเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า พฤทธิกรเดินตามมาด้านหลังเห็นหลายชายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจึงถามว่า “ไม่ไปดูหนังแล้วใช่ไหม”

“ดูสิครับ น้าฤทธิ์ดูเถอะ เด็กน้าน่ะไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เลย”

“อ้าว แล้วตอนนี้แกไปเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่ไหน”

“เอ๊ะ... ฮะ!”กวีวัธน์ส่งเสียงอุทาน ก่อนจะนึกได้ในวินาทีถัดมา “มุกอะไรของน้าอะ ไม่ตลกเลย”

กระนั้นพฤทธิกรก็ส่งเสียงหัวเราะ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
[1] แอตเทนแดนซ์ (Attendance) = ใบรายงานการขาดลามาสายของพนักงาน


เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์

พุฒิพงศ์ <<< เป็นใคร
ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ และเป็นคำถามที่ดี ทำให้รู้เลยว่าเขียนรวบไปหน่อย ส่วนคำตอบ พุฒิพงศ์คือหนึ่งในสองบอดี้การ์ดของน้าฤทธิ์ค่ะ นายมันช่างเป็นตัวประกอบที่จืดจางจริงๆ

พุฒิพงศ์ : เพราะคุณนั่นแหละ อุตส่าห์ให้ผมโชว์ตัวตั้งแต่บทแรกแต่ดันไม่แนะนำชื่อผมบ้าง
คนเขียน : อ้าว ก็บทแรกนายมันเป็นแค่ตัวประกอบ จะให้แนะนำอะไร สงสัยคงต้องให้น้าฤทธิ์เลิกจ้างจริงๆดีกว่า
พุฒิพงศ์ : เฮ้ย!!! (ธนาก็ส่งเสียงเฮ้ยมาด้วย แล้วปรี่เข้ามาร่วมวงทันที) งั้นให้ผมเป็นสายลับของบริษัทคู่แข่งเข้ามาล้วงความลับดีไหม
คนเขียน : ป๊าด!!! นิยายรักเว้ยเฮ้ย ไม่อยากต้องวางแผนซับซ้อนชิงไหวชิงพริบ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 10 [4/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 04-11-2017 08:39:10
น้องปลาหึงเหรอลูกกก

อย่าให้นายท่านเป็นพระยาเทครัวจริงๆเลยนะคะ 5555555

รักเดียวใจเดียวกับน้องปลาพอ อิอิ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 10 [4/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-11-2017 23:53:22
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 11 [8/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-11-2017 06:46:33
11

ห้างสรรพสินค้าช่วงวันกลางสัปดาห์มีผู้คนมาเดินจับจ่ายซื้อของบางตา พวกเขาจึงไม่ต้องเดินเบียดเสียดกับผู้คนและสามารถไปถึงชั้นที่ตั้งโรงภาพยนตร์ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แม้ว่าโรงภาพยนตร์และห้างสรรพสินค้าที่กวีวัธน์ขับรถพาพวกเขามาใช้บริการเป็นสาขาหนึ่งของบริษัทในเครือที่มีน้าชายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถึงกระนั้นพฤทธิกรยังคงเดินเข้าไปซื้อตั๋วหน้าเคาน์เตอร์เหมือนลูกค้าปกติ

“เรียบร้อยไปกินข้าวกัน”พฤทธิกรเก็บตั๋วใส่กระเป๋าสตางค์

“น้าฤทธิ์กินที่ฟู้ดคอร์ตได้ใช่ไหมคะ”ปวันรัตน์ถามซ้ำ แม้จะมีร้านอาหารที่อยากเข้าไปนั่งทานแต่เด็กสาวกลับระงับใจไว้เพราะความเสียดายเงิน และแม้จะรู้ว่าพฤทธิกรจะมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าอาหารให้พวกเธอสองพี่น้องโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ไม่สนิทใจเนื่องจากชายหนุ่มไม่ใช่ญาติพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อ

พฤทธิกรไม่มีปัญหา แต่คนที่มีปัญหากลับเป็นหลานชาย

“เอาจริงดิ น้าฤทธิ์จะกินได้หรือครับ”

“ฉันไม่ได้หัวสูงขนาดนั้นเสียหน่อย”

“ก็แหม ขนาดแม่ครัวห้องอาหารพนักงานในตึกยังต้องคอยตามสืบวันที่น้าจะลงไปกิน ผมก็กลัวว่าต้องหาร้านอาหารเจ้าใหม่มาเปลี่ยนในศูนย์อาหารนะสิ”

“คราวนี้ฉันจะไม่บ่นอะไรเลย พอใจหรือยัง”พฤทธิกรบอกด้วยความรู้สึกรำคาญ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่เขาละเอียดเรื่องรสชาติจะทำให้หลานชายพูดบ่นได้ยาวขนาดนี้

ศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ชั้นจี พื้นที่ตั้งประมาณหนึ่งในสิบของขนาดพื้นที่ทั้งหมด แต่เนื่องจากพื้นที่ชั้นจีถูกจัดให้เป็นแหล่งรวมของร้านอาหารทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ พื้นที่ชั้นนี้จึงคล้ายศูนย์อาหารขนาดใหญ่ และด้วยระดับความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ของห้างฯสาขานี้ ราคาอาหารจึงค่อนข้างสูงแม้จะเป็นร้านอาหารที่อยู่ในขอบข่ายการให้บริการของศูนย์อาหารก็ตาม

การใช้บริการต้องแลกเงินสดเป็นคูปองซึ่งมีลักษณะเป็นการ์ดใบเล็กๆ เมื่อพวกเขามาถึงและจับจองโต๊ะที่นั่งได้แล้ว ปวันรัตน์จึงเปิดกระเป๋าสะพายข้างของตนหยิบเงินออกมา

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยววันนี้น้าเลี้ยง”คนพูดล้วงหยิบแบงก์พันออกมาจากกระเป๋าบ้าง

“ต่างคนต่างจ่ายก็ได้ครับ ถึงอย่างไรคุณฤทธิ์ก็เลี้ยงหนังกับไอศกรีมอยู่แล้ว”ปภินวิชเอ่ยแย้ง

“ผู้ใหญ่จะจ่ายเงินเลี้ยงก็รับไว้เถอะ น้าฤทธิ์จะได้ไม่เสียน้ำใจ”กวีวัธน์คว้าหยิบธนบัตรในมือของหน้าชายพร้อมยกมือกล่าวขอบคุณ “เดี๋ยวผมไปแลกบัตรมาให้  ปุ้ยนั่งจองโต๊ะรออยู่นี่แหละนะ”ประโยคหลังเขาหันไปบอกกับเด็กสาว เพราะพอใกล้เที่ยงปริมาณผู้คนจะเพิ่มขึ้นจนหนาตา จากนั้นจึงเดินลิ่ว ๆ ไปยังเคาน์เตอร์แลกเงิน

ปภินวิชหันมองน้องสาว “ปุ้ยจะกินอะไร”

“ไม่รู้อะ”เธอตอบเช่นนั้นเพราะโดนจำกัดเรื่องอาหารการกินมากกว่าการนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร “อันไหนที่ปุ้ยน่าจะกินได้พี่ปลาก็ซื้ออันนั้นมาแล้วก็กันค่ะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับและย้ำบอกให้เธอนั่งรอ เขาเดินมาสมทบกับกวีวัธน์เพื่อรับการ์ดที่เป็นบัตรจ่ายค่าอาหารโดยมีเจ้ามือเดินตามมาติด ๆ ทว่า ชายหนุ่มที่เป็นคู่อริกลับยื่นผ่านหน้าและส่งมันให้น้าชายตัวเอง ซ้ำยังทำเมินคล้ายไม่อยากพูดกับเขา ปภินวิชชักสีหน้านึกในใจว่าก็ไม่อยากคุยด้วยนักหรอก

“นี่เงินทอนครับ”

กวีวัธน์แลกบัตรมาแค่สองใบ เห็นอย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงนึกเขม่นไปยิ่งกว่าเดิม

“จะไปไหน”พฤทธิกรคว้าจับต้นแขนของปภินวิชไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าทำท่าจะเดินไปยังเคาน์เตอร์แลกเงิน

“ผมจะไปแลกบัตรอาหารครับ”คนพูดเสียงแข็งแต่ก็พยายามปั้นสีหน้าไม่ทำท่าปั้นปึ่งใส่ผู้มากวัยกว่า
“ใบนี้ไง จะไปแลกอีกทำไม”เขายกการ์ดใบนั้นให้ดู จากนั้นจึงรุนหลังแตะไหล่ให้เด็กหนุ่มเดินนำไปยังหน้าร้านอาหาร มือแข็งแรงข้างนั้นยังคงวางอยู่บนบ่าเล็กบางพลางใช้ปลายนิ้วโป้งกดนวดให้อีกฝ่ายคลายอารมณ์ขุ่นเคือง

“คุณกลอนเขาแลกมาให้นายท่านใช้คนเดียวนี่ครับ”

“เหลือเงินทอนกลับมาแค่สองร้อย บัตรใบนี้คงมียอดเงินหลายร้อยแหละหรืออยากแลกเพิ่ม”

“ไม่ใช่ครับ”ปภินวิชตอบปฏิเสธก่อนจะเอ่ยฟ้อง “ก็คุณกลอนจงใจไม่แลกบัตรให้ผม”

“ใช้ใบเดียวกันไม่ได้หรือ”

พอได้ยินเสียงทุ้มเย็นเอ่ยถามมาเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงอึกอักตอบไม่ถูก เขาไม่มีทางตอบปฏิเสธอยู่แล้วแต่ไม่ชอบใจหลานชายของอีกฝ่ายจนนึกโมโห

“คุณกลอนนิสัยไม่ดี นายท่านน่าจะดุบ้าง”

พฤทธิกรไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มบางๆส่งกลับไปแล้วชวนคุยเรื่องรายการอาหารของแต่ละร้านเสียแทน

หลังทานอาหารเสร็จและใกล้ถึงเวลาฉายหนังซึ่งระบุในตั๋วที่พฤทธิกรจองไว้ พวกเขาทั้งสี่คนจึงโดยสารลิฟต์กลับขึ้นไปยังชั้นโรงภาพยนตร์อีกครั้ง

“ปุ้ยกินป๊อปคอร์นรสอะไร”กวีวัธน์เอ่ยถามเด็กสาว

“พี่กลอนยังจะกินอีกเหรอ เมื่อกี้ไม่อิ่มหรือคะ”

“มันคนละอย่างกัน เมื่อกี้มันข้าว อันนี้มันป๊อปคอร์น”

“ปุ้ยไม่เอาหรอกค่ะ”

เมื่อน้องสาวปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงหันไปถามคนเป็นพี่ชาย “แล้วปลาล่ะ กินรสอะไร” ปภินวิชทำหน้าแปลกใจที่อีกฝ่ายหันมาถามเขาหน้าตาเฉย ก่อนจะบอกปฏิเสธเช่นเดียวกัน และเมื่อกวีวัธน์ถามถึงเครื่องดื่มก็มีแต่คนโบกมือบอกปัด เขาจึงได้แต่ซื้อมาเฉพาะแค่ตัวเอง

รอกวีวัธน์ซื้อน้ำซื้อขนมเสร็จพวกเขาถึงเคลื่อนขบวนเข้าโรงภาพยนตร์ พฤทธิกรเป็นคนยื่นตั๋วให้พนักงานตรวจและเดินนำพาสองพี่น้องไปตามทาง เขาซื้อตัวที่นั่งแถวเอช่วงกลางๆแถวไว้ก่อนเดินเข้าไปด้านในก็คว้าจับมือของเด็กหนุ่ม จูงเดินตามกันไป ที่นั่งถัดจากปภินวิชเป็นของน้องสาว และปิดท้ายด้วยหลานชายของเขา

ทรุดตัวลงนั่งแล้ว เจ้าของฝ่ามือจึงพยายามจะดึงมือตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม

“ขอจับไว้ไม่ได้เหรอ”เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้และกระซิบพูด

“ก็จะดูหนัง”อีกคนกระซิบตอบกลับมา

“ดูหนังไม่เกี่ยวกับมือนี่”

ปภินวิชย่นจมูกแต่กลับไม่ได้ว่าอะไรอีก เขาจึงถือว่าเจ้าตัวอนุญาตแล้วจึงขยับเปลี่ยนเป็นประสานมือข้างนั้นไว้ นั่งรออีกครู่เดียวก็ได้เวลาฉายหนังตัวอย่าง ชายหนุ่มไม่ได้ชื่นชอบการดูหนังเป็นพิเศษและไม่ใช่ว่าไม่ชอบด้วยเช่นกัน แต่เพราะการทำงานกินเวลาของทุกกิจกรรมในชีวิตของเขาไปหมด เขาจึงคงเหลือกิจกรรมที่ต้องทำอย่างขาดไม่ได้ไว้ไม่กี่อย่าง แต่ภาพยนตร์ที่ได้มาดูในครั้งนี้นับได้ว่าสนุกดี ตลกขบขัน สร้างสรรค์จินตนาการและปลูกฝังคุณธรรมให้เด็กที่ดูได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามคนที่เข้าชมรอบเดียวกับพวกเขาใช่จะมีแต่เด็กๆ เพราะตอนที่หนังจบ เขาเห็นทั้งคู่รักและกลุ่มวัยรุ่นเดินออกจากโรงกันเป็นแถว

“ดีนะ ที่ในโรงหนังอากาศเย็น ไม่งั้นมือคงแฉะ”เด็กหนุ่มพูดกับเขาแต่ก็ทำท่าเหมือนอยากจะบ่นที่เขาจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย พวกเขายังนั่งอยู่กับที่คล้ายกับกำลังรอให้ผู้คนที่ประตูทางออกซากว่านี้อีกหน่อย

“ไม่รู้หรือ การมาดูหนังกับคนที่ชอบก็เพื่อแอบจับมือกัน”

ปภินวิชขมวดคิ้ว แต่เพราะน้องสาวสะกิดให้ลุกขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องลุกเดินตามน้องสาวออกไป

“ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”เธอกล่าวบอกจากนั้นจึงเดินแยกออกไป

“แล้วจับมือกันข้างนอกไม่ได้หรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจ ทำไมต้องไปแอบจับในโรงหนัง เขาเห็นคู่รักเดินจับมือเกร่อ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนก็แค่จับมือ

“งั้นจะให้จับหรือเปล่าล่ะ”พฤทธิกรแบมือไปตรงหน้า กลายเป็นว่าคนถูกถามชะงักด้วยอาการเก้อเขิน และรู้สึกเหมือนมือไม้เกะกะขึ้นมา กระทั่งมีเสียงกระแอมกระไอจากชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างนั่นล่ะ ปภินวิชถึงได้พูดว่าจะไปเข้าห้องน้ำบ้าง

“งั้นจะให้จับหรือเปล่าล่ะ”หลานชายพูดทวนคำ “ถามจริง น้าจะไม่รู้สึกแปลกหรือครับ เวลาที่คนอื่นมองมา”

“ถ้าแกจะห่วงเรื่องแบบนั้น จะมายุยงส่งเสริมเรื่องปลาทำไม อีกอย่าง”พฤทธิกรหยุดคำพูดของตัวเองไว้เพื่อดึงรั้งความสนใจของหลานชายให้เพิ่มขึ้นอีก กวีวัธน์มองหน้าน้าชายด้วยอาการใจจดใจจ่อ

“ฉันหน้าตาดี ปลาก็น่ารัก ฉันว่ามันก็ไม่น่าเกลียดหรอกนะ”

“เหม็นเบื่อพวกมั่นหน้าจริงๆ”กวีวัธน์ทำหน้าเซ็ง ก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาวัตถุสะท้อนพลางยกมือจัดทรงผมราวกับจะพยายามทำให้ตัวเองหล่อขึ้นในทันทีทันใดนั้นให้ได้ ปากบ่นพึมพำเรื่องหน้าจืดๆของตัวเองไม่หยุด พฤทธิกรจึงผลักศีรษะหลานชายด้วยความหมั่นไส้

“ผมน่าจะเกิดมาเป็นหลานแท้ ๆ ของน้าฤทธิ์บ้าง”

คนฟังถึงกับขมวดคิ้วงุนงงกับคำพูดของหลานชาย แต่เพราะปวันรัตน์เดินกลับมาทันประโยคนั้นของกวีวัธน์พอดีเธอจึงเป็นคนเอ่ยปากถามเสียเอง

“อ้าว พี่กลอนไม่ใช่หลานของน้าฤทธิ์หรือคะ”

ปภินวิชที่เพิ่งเดินตามมาสมทบถึงกับหูผึ่ง

“นั่นสิ ฉันจำได้ว่าตอนที่พี่แก้วคลอดแก ฉันยังไปเยี่ยมอยู่เลย”พี่แก้วที่พฤทธิกรพูดถึงเป็นชื่อเล่นของญาติผู้พี่ซึ่งเป็นมารดาของกวีวัธน์ “แกไม่ใช่หลานแท้ ๆ ของฉันยังไง”

ขณะที่พูดคุยกันเรื่องประโยคอันน่างุนงงของกวีวัธน์ไปพลาง พวกเขาก็เคลื่อนขบวนไปยังจุดหมายต่อไป

“ก็ไม่ได้มีดีเอ็นเอเดียวกัน เหมือนอย่างน้าฤทธิ์กับน้าชาที่มีดีเอ็นเอเดียวกัน หน้าตาเลยหล่อปังเหมือนกัน”

ได้ฟังเหตุผลแล้ว ชายหนุ่มยังคงรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่เพราะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเขาคืนอาจารย์ที่สอนไปหมดแล้ว เขาจึงได้แต่ฟังคำตอบนั้นเฉยๆ ต่างกับคู่กัดอย่างปภินวิช

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับคุณกลอน ดีเอ็นเอมันคือสารพันธุกรรมนะ ถ้าในครอบครัวที่มีพ่อแม่เดียวกัน พี่น้องย่อมต้องมีข้อมูลพันธุกรรมเดียวกันน่ะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าพี่น้องในครอบครัวนั้นไปแต่งงานกับคนอื่น ลูกที่เกิดมาก็ต้องรับยีนจากบุคคลอื่นมาร่วมด้วย ข้อมูลพันธุกรรมมันก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว แต่ผมว่าอย่างคุณน่ะ ตอนที่เป็นสเปิร์มน่าจะดึงเอาเฉพาะยีนด้อยของพ่อแม่มารวมกันมากกว่า”

“พูดมาจ๋อย ๆ นี่รู้เหรอว่าน้าชาเขาเป็นน้องแท้ ๆ ของน้าฤทธิ์หรือไง น้าชาเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้าฤทธิ์เหมือนกันแหละ แต่เขาหล่อเว่อร์ควงสาวเจ็ดวันไม่มีซ้ำหน้าเลย เดี๋ยว ๆ เปิดรูปให้ดู”

“พอได้แล้วน่ากลอน มาเถียงอะไรกันเป็นเด็ก ๆ”พฤทธิกรเอ่ยห้ามก่อนที่หลานชายจะงัดโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูป ‘น้าชา’ ให้ปภินวิชดูจริง ๆ เพราะเขากลัวว่างานจะกร่อยถ้าเด็กหนุ่มได้เห็นรูปคนที่ถูกพูดถึง แม้เขาจะไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะจำหน้าญาติผู้น้องของเขาคนนี้ได้หรือไม่ก็ตาม

“อีกอย่าง แกน่ะโตทันวีรกรรมพวกนั้นของชาด้วยหรือไง”

“ไม่อะ คุณยายเล่าให้ฟัง”กวีวัธน์พูดตอบ

“พวกดีแต่จับโน่นจับนี่มาพูดเป็นตุเป็นตะ”

“ปลา”พฤทธิกรเอ่ยเสียงเข้มห้ามปรามเด็กหนุ่มอีกคนบ้าง
“น้าฤทธิ์ไม่ต้องห้ามพี่ปลาหรอกค่ะ”ปวันรัตน์หัวเราะ “กลุ่มเพื่อนสนิทพี่ปลาก็แบบพี่กลอนเนี่ยแหละ เถียงกันประจำ มาทำงานที่บ้านทีไรนะ เสียงดังไปถึงท้ายซอยแน่ะ”

“ไม่เหมือนสักหน่อย พวกนั้นนิสัยดีกว่าคุณกลอนเยอะ”ปภินวิชบอกน้องสาวแต่ตั้งใจว่ากระทบคู่อริ

“เหรอ”กวีวัธน์ไม่ยอมน้อยหน้า ลากเสียงยาวขานรับอย่างจงใจกวนประสาทอีกฝ่าย

“ปุ้ย เราไปกินไอศกรีมกันสองคนดีกว่าเนอะ”พฤทธิกรพูดชวนเด็กสาวน้ำเสียงคล้ายกำลังปลงตก ปภินวิชจึงถลาเข้าหาชายหนุ่มร่างสูง คว้าจับเสื้อของนายท่านไว้แล้วแสร้งโบกมือไล่ชายหนุ่มที่ตนไม่ชอบขี้หน้า กระนั้นอีกฝ่ายกลับลอยหน้าลอยตาเดินตามมา เมื่อได้ที่นั่งพฤทธิกรยังส่งเสียงปรามไปอีกรอบว่า

“ถ้ายังทะเลาะกันอีกก็ไปนั่งโต๊ะอื่นเลยนะ”

คู่กัดจึงทำได้แค่แยกเขี้ยวส่งสายตาเขม่นกัน

“อืม เดี๋ยวไปแวะซูเปอร์ด้วยได้ไหมครับ”เด็กหนุ่มพูดกับพฤทธิกรเมื่อนึกขึ้นได้ หลังหมดอาทิตย์แรกที่ต้องทำกับข้าวเอง เขาก็บอกกวีวัธน์ว่าไม่ต้องซื้อของสดมาให้อีกเพราะอีกฝ่ายสั่งคนซื้อของมาคละกันไปหมด ของบางอย่างเน่าเสียต้องโยนทิ้งเนื่องจากเขาไม่รู้ว่ามันใช้สำหรับทำอะไร ต่อจากนั้นเขาจึงได้เงินรายเดือนไว้สำหรับซื้อกับข้าวเสียแทน

ด้วยเหตุนั้นหลังทานไอศกรีมกันเสร็จ พวกเขาจึงไปเดินดูของในซูเปอร์มาเกตกันต่อ

“พี่ปลาจะทำกับข้าวอะไร”เด็กสาวถามเมื่อเห็นพี่ชายหยิบแพ็กอาหารสดลงตะกร้ารถเข็น

“สุกี้ วันนี้พี่จะทำสุกี้ที่ระเบียง”

“อะไร เมื่อวานพี่ปลายังบอกว่าไว้ให้หายก่อนอยู่เลย”เธอหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ชาย

“หรือปุ้ยไม่กิน”

ปวันรัตน์จึงร้องตอบว่า กิน ๆ เป็นการใหญ่

“ที่ห้องหน้าฤทธิ์มีหม้อสุกี้ด้วยเหรอครับ”กวีวัธน์ได้ยินเมนูที่ปภินวิชพูดถึงจึงหันไปถามน้าชาย ทว่าพ่อครัวกลับเป็นคนบอกคำตอบออกมาเสียเอง

“ไม่มีหรอกครับแต่ที่ห้องผมมี เดี๋ยวผมจะแวะกลับไปเอาเตาที่ห้องมาให้”

“ห้อง?”

เห็นชายหนุ่มทั้งสองคนสงสัย ปภินวิชจึงยอมบอกออกไปว่ายังไม่ได้ยกเลิกการเช่าห้องที่เคยอยู่ เสื้อผ้าข้าวของที่ขนมามีแต่เฉพาะของที่จำเป็น พฤทธิกรไม่ได้คิดอยากพูดแย้งอะไรเพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ตอบตกลงปลงใจคบหากับเขา

อืม... เขายังไม่เคยถามเรื่องแบบนั้นด้วยเลยนี่นา ชายหนุ่มคิด

“เปลืองเงินตายเลย แทนที่จะเก็บเงินไว้”

“อือ ก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะแหละ แต่ตอนนี้ผมได้เงินเดือนเยอะไง นิด ๆ หน่อย ๆ ผมไม่เสียดายหรอก”ว่าจบเจ้าตัวก็หัวเราะร่า ให้หลายชายของเขามาตะแง้ว ๆ ยุแยงให้ตัดเงินเดือนของปภินวิชลงอีก

พฤทธิกรเห็นได้โอกาสจึงบอกว่าเดี๋ยวขับรถพาไป เขาอยากเห็นหอพักที่หลานชายเคยมาพูดหลอกเขาไว้อยู่เหมือนกัน จากนั้นจึงคุยเรื่องโรงเรียนของปวันรัตน์กันต่อ เพราะอาทิตย์หน้าเด็กสาวควรจะกลับไปเรียนเหมือนเดิมได้แล้ว

จากนั้นเมื่อออกจากห้างสรรพสินค้า พวกเขาจึงมาอยู่บนรถยนต์ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเชื่องช้าบนท้องถนน ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ผ่านหน้าโรงเรียนที่เด็กสาวกำลังศึกษาอยู่

“ท่าทางว่า ผมกับน้องย้ายมาอยู่ห้องเดิมน่าจะสะดวกกว่า”ปภินวิชเปรยขึ้นมาหลังจากชี้บอกทางให้พฤทธิกรซึ่งเปลี่ยนมาเป็นผู้ขับรถแทนหลานชาย บังคับเลี้ยวรถยนต์เข้าไปในซอยแคบๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยบอกอีกฝ่ายให้จอดส่งตนแค่หน้าปากซอย เพราะด้านในค่อนข้างกลับรถยาก กระนั้นชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีกลับไม่ยอมฟัง รถยนต์จอดลงหน้าหอพักเก่าๆซึ่งลึกเข้าไปด้านใน อาคารหอพักรอบด้านบางอาคารมีการปรับปรุงสร้างใหม่ไปบ้างแล้ว

“รอในรถก็ได้ครับ เดี๋ยวผมลงมา”เด็กหนุ่มเปิดประตูลงจากรถ น้องสาวคนเดียวของเขาจึงเปิดประตูรถเดินตามไปด้วย พฤทธิกรดับเครื่องยนต์แล้วลงมาจากรถยนต์เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนั้นหลานชายของเขาจึงต้องลงจากรถอย่างช่วยไม่ได้

เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดประมาณสามสี่ขั้นซึ่งเป็นการยกฐานตึกให้สูงกว่าพื้นถนนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม พื้นที่ชั้นหนึ่งมีเก้าอี้นั่งวางอยู่เรียงรายทั้งยังมีโทรทัศน์รุ่นเก่าติดอยู่บนผนัง หลังเคาน์เตอร์ไม้ซึ่งติดอยู่กับบันไดทางขึ้นชั้นบนมีคนนั่งเฝ้าอยู่ พฤทธิกรเห็นชายหนุ่มคนนั้นมองสังเกตเขาอยู่บ้างเช่นกัน แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไร เขาจึงเดินตามปภินวิชและปวันรัตน์ขึ้นไป

บันไดขึ้นตึกกว้างเพียงแค่ให้คนสองคนเดินสวนกันได้ ประตูห้องพักแต่ละห้องหันหน้าเข้าหาทางเดิน ซึ่งทางเดินนั้นค่อนข้างมืดทึม

ห้องของทั้งสองคนอยู่ชั้นสี่ ซึ่งกว่าจะถึงเด็กสาวก็ออกอาการหอบให้เห็น

“ไหวหรือเปล่า”เสียงถามของเขาทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมามองน้องสาว เธอบอกว่าไหว ก่อนพูดติดตลกต่อไปอีกว่าเพราะไปนอนอยู่โรงพยาบาลนานไปหน่อย

ภายในห้องที่ปภินวิชไขประตูเข้ามาค่อนข้างเล็กแคบ ประตูออกไปยังระเบียงถูกปิดไว้ ความสว่างในห้องจึงมาจากแสงนีออนซึ่งติดอยู่ที่เพดานกลางห้อง มีเตียงเดี่ยวตั้งติดผนังฝั่งทางเดินและเครื่องนอนอีกชุดที่วางพับไว้ใกล้กัน ตู้เสื้อผ้าค่อนข้างเก่าจึงน่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ของหอพักต่างจากโทรทัศน์จอแบนเครื่องเล็กๆและพัดลมตั้งโต๊ะที่ยังดูใหม่ซึ่งน่าจะเป็นสมบัติของสองพี่น้องที่เพิ่งซื้อมา ห้องค่อนข้างโล่งแต่ข้าวของหลายอย่างกลับถูกวางไว้บนพื้นให้แอบชิดผนัง

ปภินวิชมีเตาไฟฟ้าซึ่งถูกเก็บแอบไว้มุมหนึ่งของห้อง เขาลุกขึ้นยืนโดยมือหนึ่งถือเตาอีกมือถือหม้อแล้วหันไปพูดกับน้องสาวที่กำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋าผ้า

“ไม่ต้องเอาไปเยอะหรอก เดี๋ยวพวกเราก็กลับมานอนที่ห้องแล้ว”

“ขนเอาไปให้หมดเถอะ เรื่องรับส่งปุ้ยมาโรงเรียนเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

“แต่แถวนี้ช่วงเช้า ๆ รถติดมากนะครับ ขนาดวันนี้มาบ่าย ๆ ยังใช้เวลาตั้งนาน”

ส่วนเด็กสาวนิ่งเงียบมองพี่ชายและน้าฤทธิ์คุยกัน อยู่ที่นี่ก็ดี เธอไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพราะเดินออกไปไม่กี่นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้ว แต่คอนโดของน้าฤทธิ์ก็ดี กว้าง เตียงนุ่มและมีแอร์ด้วย เธอคิดอยู่แค่นั้น

“ถ้าใช้ทางด่วนก็ไม่นานหรอก มา...จะต้องเอาอะไรไปอีกไหมเดี๋ยวฉันช่วย”จากนั้นจึงหันไปพูดกับเด็กสาว “ปุ้ย เสื้อผ้าชุดนักเรียนเอาไปหมดหรือยัง”เจ้าของชื่อจึงได้หันไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนักเรียน ส่วนพี่ชาย เขาถอนหายใจก่อนจะเก็บหนังสือเรียนของน้องสาวใส่กระเป๋า

ออกจากห้องมาพวกเขาจึงหอบหิ้วข้าวของไว้ทั้งสองมือ

“เดี๋ยวๆ จะย้ายออกเหรอ ต้องแจ้งล่วงหน้านะ”ลงมาถึงชั้นล่าง ชายคนนั้นกุลีกุจอร้องเรียกไว้

“เปล่าครับ ยังไม่ได้ย้ายออก”ปภินวิชร้องบอก จากนั้นจึงล้วงเงินค่าเช่าห้องของเดือนนี้ออกมาจ่าย ขณะยืนรอคนเฝ้าหอเขียนใบเสร็จให้ก็สำทับว่าจะมาจ่ายค่าห้องให้ทุกเดือน อย่างไรก็ตามเมื่อออกมาด้านหน้าที่จอดรถทิ้งไว้ กวีวัธน์ก็เอ่ยถามเหมือนกันว่าจะย้ายออกแล้วหรือ

“เห็นว่าของเยอะยังไม่มาช่วยกันอีก”โดนพฤทธิกรกระตุ้นถามแบบนั้น กวีวัธน์จึงรี่เข้ามาช่วยรับของเพื่อให้น้าชายล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถออกมาปลดล็อกได้ กระทั่งเอาของเก็บเสร็จ หลานชายยังยืนรอคอยดูระยะให้น้าชายถอยกลับรถได้ง่ายๆ

ถนนในซอยนั้นกว้างพอให้รถยนต์สองคันสามารถวิ่งสวนกันได้ แต่เพราะบางจุดโดนรุกล้ำจากเจ้าของตึกจึงทำให้ถนนดูแคบลง และส่วนหน้าซอยก็มีแต่แผงขายของจึงเหลือทางเดินรถที่กว้างเพียงให้รถยนต์ผ่านไปได้อย่างฉิวเฉียด

“ถ้ารถเป็นรอย ผมไม่รับผิดชอบให้หรอกนะ”ปภินวิชย้ำบอกอีกครั้งเมื่อรถยนต์ของพฤทธิกรพ้นปากซอยออกมาได้แล้ว

“ฉันไม่ให้เด็กน้อยมารับผิดชอบอยู่แล้วน่า”ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้า เขาตบไฟหักพวงมาลัยเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ วิ่งย้อนกลับมาอีกนิดจึงเลี้ยวขวาเพื่อเข้าถนนอีกเส้น จากนั้นจึงใช้เส้นทางยกระดับไปลงใกล้ๆกับที่ตั้งคอนโด ระยะเวลาที่ใช้ตอนขากลับจึงเหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง

“ถ้าใช้เวลาเดินทางไปโรงเรียนประมาณครึ่งชั่วโมงแบบนี้ ปุ้ยโอเคไหม”พฤทธิกรหันไปถามปวันรัตน์ เมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิทยังที่จอดรถของคอนโด

“ปุ้ยไม่มีปัญหา แล้วแต่น้าฤทธิ์กับพี่ปลาเลยค่ะ”

“แบบนี้ลำบากออก ต้องเสียค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วนด้วย ต้องเสียเวลาไปส่งไหนคุณฤทธิ์ต้องกลับมาทำงาน”เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาบ้าง

“งั้นเอาค่าเช่าห้องที่เธอจ่ายทุกเดือนมาให้ฉันเป็นค่าเดินทาง”

เด็กหนุ่มหน้างอ “ค่าเดินทางน่าจะมากกว่าค่าเช่าห้องซะอีก”

แต่ละคนต่างช่วยถือของคนละไม้คนละมือ กวีวัธน์และปวันรัตน์เดินนำเข้าไปอยู่ในลิฟต์แล้ว พฤทธิกรจึงต้องเงียบเสียงไว้ก่อนรอกระทั่งมาถึงห้องพัก วางของทั้งหมดลงแล้ว ชายหนุ่มจึงคว้าข้อมือบางดึงเข้าไปคุยในห้องนอนตัวเอง

“อยู่กับฉันไม่ดีเหรอ”พฤทธิกรเอ่ยถาม ฝ่ามือยังกำข้อมือบางกว่าของเด็กหนุ่มไว้ ทว่าคนถูกถามกลับเงียบทั้งไม่ตอบและไม่เงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงดึงให้มาทรุดตัวลงนั่งที่เตียง ห้องนอนของชายหนุ่มมีไว้สำหรับเป็นที่นอนอย่างเดียว ในห้องจึงมีแค่เตียงนอนและมีตู้หัวเตียงสำหรับใส่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ

“ปลา”เขาส่งเสียงเรียกพลางเชยปลายคางให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น “ฉันทำอะไรให้อึดอัดใจหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ถึงจะอึดอัดกับความรู้สึกแปลก ๆ ยามที่ชายหนุ่มอยู่ใกล้ ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ทำให้เขาอยากจะหลีกหนี

“นายท่านจะไม่ลำบากจริง ๆ เหรอ ไหนจะค่ารักษาพยาบาล แล้วเงินเดือนที่ให้ผมแต่ละเดือนอีก”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นน่า บริษัทของฉันทำกำไรได้มากพอที่จะเอาเงินมาจ่ายเลี้ยงเด็กสักคนสองคนได้สบาย ๆ”

“หึ”ปภินวิชย่นจมูก “ถ้าได้กำไรเยอะ ทำไมไม่จ่ายเงินเดือนพนักงานให้เยอะ ๆ หน่อย ตอนผมเป็นพนักงานห้างอยู่ได้เงินเดือนนิดเดียวเอง”

พฤทธิกรจึงหัวเราะ “ถ้าเรื่องนั้นคงต้องคุยกันยาว แต่เงินเดือนมันถูกจ่ายตามความรับผิดชอบนั่นแหละ จำได้ว่ามันจะมีค่าคอมมิชชั่นให้ตอนขายของอีกไม่ใช่หรือ”ชายหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจ เขาดูนโยบายโดยรวมเป็นหลัก เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยจึงจำได้ไม่ค่อยแน่ชัดนัก

“ส่วนเรื่องไปรับไปส่งปุ้ย เดี๋ยวให้ธนาหรือพุฒิขับรถให้ก็ได้”

“ถ้างั้นสุกี้มื้อเย็นผมชวนพี่สองคนนั้นมากินด้วยนะครับ”คนพูดยิ้มกว้าง ทำท่าจะลุกขึ้นเมื่อคู่สนทนาขานเสียงตกลง ทว่ากลับโดนดึงแขนให้นั่งอยู่ก่อน

“อีกเรื่อง ฉันอยากจะให้เธอกลับไปเรียนต่อ”

“เอ๊ะ! แต่ผมต้องทำงานให้นายท่าน”

“ก็ให้เธอเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยงานที่บริษัทฉัน”

ปภินวิชนิ่งมองหน้าคนพูดอยู่เป็นครู่ใหญ่ก่อนจะหลุบตาลงด้วยอาการครุ่นคิด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาพูดว่า “กะจะไม่ให้ผมเป็นอิสระเลยหรือครับ”

คนฟังถึงกับใจแป้ว

“เพิ่งบอกชอบเมื่อวาน วันนี้ก็พยายามผูกมัดกันแล้ว ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือครับ”

โดนว่าเข้าไปอีกประโยค พฤทธิกรถึงกับใจบางไปอีกมากโข “งั้นอย่างน้อย ฉันอยากให้เธอกลับไปเรียนให้จบ ไม่ต้องกลับมาทำงานกับฉันก็ได้ ถ้ามีใบปริญญาเธอจะได้เลือกงานที่อยากทำได้”

“ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มประนมมือไหว้ “ถ้านายท่านจะส่งเสียให้ผมได้เรียนต่อ ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ แต่ถ้าจะให้ผมกลับมาทำงานกับนายท่านอีก...”

ประโยคแบบนี้ฟังดูคล้ายเด็กหนุ่มกำลังปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาด้วย กระนั้นพฤทธิกรได้แต่ทำใจ

“ผมขอตำแหน่งที่สูงกว่าคุณกลอนได้ไหมครับ”

“หือ”ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินไม่ชัด

“ไม่ได้หรือครับ ถ้าตำแหน่งผมต่ำกว่าคุณกลอน ผมต้องโดนข่มอีกแน่เลย นายท่านจะปล่อยให้คุณกลอนรังแกผมเหรอ”

 พฤทธิกรยกยิ้มโล่งใจที่ยังไม่ได้ยินคำปฏิเสธจริงจัง “ได้เลย เดี๋ยวจะเตรียมตำแหน่งหัวหน้าทีมผู้ช่วยไว้ให้”

“นายท่านใจดีที่สุด”คนพูดบอกพลางโผเข้ากอดซ้ำยังหอมแก้มของเขาทั้งซ้ายขวาก่อนจะรีบเผ่นแผล็วออกจากห้องไป พฤทธิกรยังนิ่งงันที่โดนจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่คนทำหลังพ้นประตูห้องออกมาแล้วยังยืนนิ่งด้วยอาการใจสั่น มือสั่นด้วยความตื่นเต้นและใบหน้าแดงเรื่อ

“ไอ้ปลา แกมันโคตรใจง่ายว่ะ”เด็กหนุ่มบ่นพึมอย่างไม่รู้จะดับความรู้สึกเขินอายที่กำลังประสบอยู่อย่างไรดี



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 11 [8/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-11-2017 11:28:18
เด็กเขาหวั่นไหวแล้วนะน้าฤทธิ์ พยายามเข้า
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 11 [8/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-11-2017 12:58:14
รับผิดชอบเลยนะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 11 [8/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-11-2017 13:33:50
 :z1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-11-2017 06:31:51
12


มื้อเย็นวันนั้นค่อนข้างครึกครื้น เพราะเสียงพูดเจื้อยแจ้วของเด็กสาว มุกตลกเรื่องเล่าของหลานชายและการปะทะฝีปากของสองอริที่มีมาเป็นระยะ นอกจากนี้สายลมเย็นที่พัดโชยตลอดเวลายังทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย วิวทิวทัศน์รอบด้านและแสงไฟสีส้มซึ่งส่องสว่างนวลอบอุ่นทำให้ทุกอย่างดูน่ารื่นรมย์

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศเครียดขึงได้กลับมาเยือนทันทีที่ถ้วยจานบนโต๊ะถูกเก็บเข้าครัวไปจนหมด

จากตำแหน่งที่ตั้งชุดเก้าอี้ริมระเบียงซึ่งพวกเขานั่งอยู่ พฤทธิกรมองไม่เห็นตัวเด็กหนุ่มและน้องสาวเพราะถูกผนังกั้นพื้นที่ส่วนครัวบังไว้ แต่ถ้าสองคนนั้นจะออกมายังระเบียงสวน เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเนื่องจากตลอดความยาวของระเบียงเป็นกระจกใสทั้งแถบ

“เรื่องเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

สรุปแล้ว ญาติผู้น้องของเขาที่ชื่อชัญชกรอาจจะมีลูกนอกสมรสกับผู้หญิงที่เคยคบหาด้วยจริง ๆ

“แม่เด็กน่ะ หวงมากแทบไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้เลย แล้วก็บอกแต่ว่าไม่ใช่ลูกน้าชา ถ้าน้าอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่คงต้องรอพ่อเด็กกลับมาก่อน แต่คิดไปคิดมาอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะครับในเมื่อแม่เด็กบอกว่าไม่ใช่”

พฤทธิกรนิ่งฟังยังไม่ออกความคิดเห็นอะไร เพราะคงต้องรอพ่อเด็กกลับมาอย่างที่หลานชายว่า แต่กระนั้นใช่ว่าแม่เด็กจะยอมให้ตรวจดีเอ็นเอได้ง่ายๆ

“ฉันไม่อยากให้แกพูดถึงชาต่อหน้าสองพี่น้อง”เขาบอกออกไปเรียบ ๆ  หลานชายจึงกล่าวขอโทษเสียงอ่อย กวีวัธน์เข้าใจในทันทีว่าน้าชายอยากพูดเรื่องนี้มากกว่ากล่าวถึงทายาทนอกสมรสของน้าชายอีกคนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์

“แต่ถ้าน้าชากลับมา ยังไงซะเขาก็ต้องมาทำงานในบริษัทหนังที่กำลังจะเปิด จะเลี่ยงไม่ให้เจอกันได้หรือครับ”

“มันน่าจะอีกหลายปี เพราะว่าฉันจะให้ปลาเขาไปลงเรียนต่อแล้ว”

“ยังไงปลากับปุ้ยก็ต้องได้มีโอกาสเจอน้าชาอยู่ดี”หลานชายยังพูดต่อ แต่พฤทธิกรตั้งใจรอแค่ให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทาง ไม่ใช่ให้สองพี่น้องมารับรู้เรื่องญาติผู้น้องของเขาตอนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่มั่นคง เขาไม่รู้ว่าปวันรัตน์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่มั่นใจว่าปภินวิชคงจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

การพูดคุยเรื่องนี้ทำให้พฤทธิกรฉุกใจคิดบางอย่าง

“ฉันจำได้ว่า ค่าชดเชยคนเสียชีวิต เราจ่ายให้เท่ากับเงินเดือนล่าสุดตามอายุงานคงเหลือจนกว่าจะเกษียณไม่ใช่เหรอ และแยกรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลต่างหาก แล้วเด็กสองคนนั้นเอาเงินไปทำอะไรหมด”

“แหม เพิ่งเอะใจหรือครับน้าฤทธิ์ เสียทีที่อุตส่าห์ได้เป็นประธานหญ่ายอะ”กวีวัธน์เอ่ยแซว แต่พอเห็นสายตาดุๆของน้าชายจึงยอมอธิบายไปตามตรงว่า

“โดนโกงน่ะครับ”

“ใคร?”

“ลุงกับป้าครับ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ว่ายังไงนะ แต่ป้าแท้ ๆ มีใบมอบอำนาจมารับเงินชดเชย พอลองสืบ ๆ ลุงกับป้าก็ยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดก แล้วขายบ้านที่พ่อแม่ของสองคนนั้นผ่อนอยู่ไป ช่วงแรก ๆ สองพี่น้องก็อยู่กับลุงและป้านั่นแหละ แต่ได้ยินว่ามีเรื่องทะเลาะกัน สองพี่น้องจึงต้องระเห็จออกมาอยู่กันเองโดยแทบจะไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย”กวีวัธน์บอกเล่าด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย มือข้างหนึ่งเท้าคาง ส่วนปลายนิ้วของอีกมือไล้วนบนขอบแก้ว

“ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”พฤทธิกรพูดเสียงดัง แต่หลานชายกลับตอบพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะโดยไม่เกรงอารมณ์ของน้าชาย

“ถ้าบอก น้าฤทธิ์ก็ต้องให้ไปเอาเรื่องกับลุงป้าคู่นั้น แล้วพยายามรีดเงินกลับมาให้ได้น่ะสิครับ เรื่องนั้นยากกว่าพยายามกล่อมให้น้าช่วยน้องปลาเสียอีก สองคนนั้นติดพนัน น้าคิดว่าจะมีปัญญาหาเงินมาใช้คืนเหรอ”

“แล้วแกจะปล่อยให้พวกเลว ๆ ใช้ชีวิตสุขสบายต่อไป”อารมณ์ของชายหนุ่มฉุนโกรธขึ้นมาจริง ๆ

“ใจเย็น ๆ ครับ เท่าที่ผมรู้ล่าสุด สองคนนั้นกำลังโดนเจ้าหนี้ตามล่าอยู่ น้าปล่อยเขาไปตามยถากรรมเถอะ”กวีวัธน์พยายามพูดให้น้าชายใจเย็นลง ขยับท่าทางพลางยกมือขึ้นโบกปราม

“แกรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เอามาบอกฉันแต่เนิ่น ๆ”

“อ้าว ไม่ใช่ว่าผมชอบน้องเขาเสียหน่อย”กวีวัธน์งึมงำ แล้วจึงพูดบอกว่า “ผมบังเอิญเจอปลาที่ห้าง เห็นแต่งชุดพนักงานเลยนึกแปลกใจใช่ว่าจะจงใจตามติดชีวิตเขาสักหน่อย น้าฤทธิ์เป็นคนบอกเองแท้ ๆ ว่าไม่ให้ไปยุ่งอีก”

เห็นสายตาน้าชายและท่าทางนั่งเงียบ กวีวัธน์จึงหุบปากไว้ก่อน เพียงแค่อึดใจเดียวเสียงของปภินวิชก็ดังมาให้ได้ยิน

“ผมไปอาบน้ำนอนแล้วนะครับ”

พฤทธิกรยกยิ้มบางพร้อมพยักหน้ารับ ส่วนกวีวัธน์หันไปโบกมือให้ “ฝันดีนะจ๊ะน้องปลา”

“คุณกลอนก็ฝันร้ายโดยผีไล่ฆ่านะครับ”

รอจนเด็กหนุ่มหายไปจากครรลองสายตาแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดกับหลานชาย “แกควรมาบอกฉันตั้งแต่ตอนนั้น” ทว่าคนฟังกลับเบะปาก “พูดไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเหอะ ตกลงตอนนี้ไม่ดีหรือครับ”

“แกเองยังลังเลว่าดีหรือไม่ดีอยู่เลย”

“เพราะอยู่ข้างนอกหรอก แต่น้าจะสวีตหวานแหววในสายผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ผมชอบให้คนรักกัน”กวีวัธน์ยิ้มกว้างหน้าตารื่นเริงดี๊ด๊าจนเขาต้องยกยิ้มตาม



“พี่ปลาจะไปไหนอะ”ปวันรัตน์ร้องทักพี่ชายที่กำลังจะเปิดประตู เด็กหนุ่มชะงักหันรีหันขวางก่อนจะตอบกลับมาว่า “พี่ว่าจะไปเข้าห้องน้ำซะหน่อย”

“เข้าห้องน้ำจริงอะ ไม่ใช่หายไปไม่กลับมานอนที่ห้องอีกเลยล่ะ”

“ปุ้ยได้เป็นเจ้าของห้องนี้คนเดียวไม่ดีหรือไง”เขาปิดประตูลงเหมือนเดินแล้วเดินกลับมายังเตียงนอนที่น้องสาวนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น

“แล้วพี่ปลาไปนอนอยู่ที่ไหนล่ะคะ”เธอถาม นั่นเพราะลองเดินสำรวจดูแล้วเธอไม่เห็นห้องนอนอื่น นอกจากห้องนี้กับห้องของพฤทธิกรที่เธอยังไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปชม

“เอ่อ...”

“เตียงกว้างขนาดนี้ไม่ใช่น้าฤทธิ์เขาเตรียมไว้ให้เรานอนด้วยกันเหรอ”

ปภินวิชมองความกว้างของเตียงแล้วคิดเห็นคล้อยตามคำพูดของน้องสาว แต่เพราะเตียงนอนของนายท่านก็กว้างเหมือนกันจึงเริ่มรู้สึกลังเลคิดต่าง

ปวันรัตน์มองใบหน้าพี่ชายที่เริ่มขมวดคิ้วแต่สักพักอีกฝ่ายกลับบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วกระโดดขึ้นมาอยู่บนเตียงขยับหาที่นอนของตัวเอง ก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นอีกครั้ง

“จะนอนหรือยัง พี่จะได้ปิดไฟ”

“ไม่ไปห้องน้ำแล้วเหรอ”

“ไม่ล่ะ พี่ไม่ปวดแล้ว”เขาบอกขณะลุกขึ้นไปปิดไฟกลางห้อง จนเหลือเพียงโคมไฟสีส้มเรืองรองที่หัวเตียง เขากลับมานั่งที่เตียงก่อนจะกดปุ่มปิดสวิตช์ ทั้งห้องจึงมืดสนิท

ปภินวิชนอนตะแคงข้างนิ่งๆอยู่บนเตียง เขายังไม่ได้หลับตา นานเข้าสายตาจึงคุ้นชินกับความมืดในห้อง ในห้องเงียบกริบจนได้ยินเพียงเสียงลมของเครื่องปรับอากาศ และได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆของน้องสาวด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงเลิกผ้าห่มขึ้น ย่างเท้าเชื่องช้าแผ่วเบาลงจากเตียงเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวน ค่อย ๆ ย่องไปที่ประตู จับลูกบิดปลดล็อกดึงเปิดเบามือให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แง้มประตูเป็นช่องเล็กๆและพาตัวเองแทรกออกไป

ไฟในโถงด้านนอกถูกปิดสนิทหมดแล้ว จะเหลือเพียงไฟห้องน้ำที่เขาเปิดทิ้งไว้เผื่อน้องสาวต้องการออกมาเข้าใช้ตอนกลางดึก เขาเดินตรงไปเคาะประตูห้องของนายท่าน ยืนรออยู่ครู่หนึ่งเสียงตอบรับจึงดังกลับมา เด็กหนุ่มถึงได้เปิดประตูเข้าไป

เจ้าของห้องนั่งอยู่บนเตียงกำลังใช้ผ้าขนหนูขยี้ซับเส้นผมที่เปียกชื้น

“นอนไม่หลับหรือ”

เขาสั่นศีรษะ เดินเข้าไปหาพลางยื่นมือออกไปแล้วบอกว่าจะเช็ดผมให้ พฤทธิกรจึงยกผ้าขนหนูผืนนั้นให้แต่โดยดีแล้วรั้งเอวปภินวิชมายืนตรงหน้า สัมผัสเบา ๆ บนศีรษะทำให้เขาเคลิ้มเพลินจนเผลอพิงตัวไว้กับร่างของอีกฝ่าย

“นั่งดี ๆ สิครับ”เด็กหนุ่มพูดบอก

“ง่วงแล้ว”

“มีไดร์เป่าผมไหมล่ะครับ”

“ไม่รู้สินะ”พฤทธิกรใช้สองแขนโอบรัดร่างเพรียวบางไว้เป็นที่พยุงตัว ซ้ำยังขยับศีรษะไปมาราวกับพยายามหามุมสบาย ๆ การกระทำนั้นทำให้ปภินวิชรู้สึกแปลก ๆ เขาจึงละมือแม้ว่าเส้นผมของชายหนุ่มจะยังคงความรู้สึกเย็นชื้นอยู่เล็กน้อยก็ตาม

“ครับ ๆ นอนได้แล้ว”ถึงจะบอกไปเช่นนั้นแต่เขากลับโดนกอดรัดไว้เช่นเดิม เด็กหนุ่มกล่าวเสริมไปอีกว่า “ผมต้องเอาผ้าไปเก็บก่อน”วงแขนแข็งแรงจึงยอมปล่อยแต่โดยดี ทว่าตอนที่เดินกลับมาที่เตียงหลังจากนำผ้าขนหนูไปใส่ตะกร้าแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

“ง่วงไม่ใช่หรือครับ”

“รอเธอมานอนด้วยกัน”

แล้วถ้าคืนไหนเขานอนกับน้องสาว จะไม่นั่งรอทั้งคืนเลยเหรอ ปภินวิชบ่นพึมพำเบา ๆ ขณะปีนขึ้นเตียง สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่ชายหนุ่มเปิดรอไว้ เขาขยับตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา ฝ่ายนั้นจึงโน้มหน้ามาแต้มจุมพิตบนหน้าผาก

“ไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ที่ต้องจูบหน้าผากบอกฝันดี”

“ฉันไม่ได้เห็นว่าเธอเป็นเด็กเสียหน่อย”พฤทธิกรตอบกลับไป แล้วโน้มตัวแตะจูบที่ริมฝีริมปากของเด็กหนุ่มด้วยความรวดเร็ว “ถ้าจูบตรงนี้โอเคไหม”

คนโดนถามย่นจมูกพลางคิดว่า จูบไปแล้วจะมาถามทำไม “ผมนอนแล้ว”พูดพร้อมกับหลับตาปี๋ พฤทธิกรจึงปิดไฟในห้องและล้มตัวลงนอนข้างกัน



ตอนที่ปวันรัตน์ตื่นขึ้นมา พี่ชายก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว เธอเปิดประตูออกมาจากห้อง ชะโงกหน้าออกมาเห็นพี่ชายกับน้าฤทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหาร เสียงเปิดประตูทำให้ทั้งสองคนหันมามอง

“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน จะได้มาทานข้าว”พี่ชายของเธอเอ่ยบอก

“พี่ปลาตื่นก่อนก็ไม่ปลุกปุ้ยเลย”

“ไว้วันจันทร์หน้าพี่จะปลุก แต่วันนี้อยู่คนเดียวนะ พี่ทำกับข้าวสำหรับมื้อเที่ยงไว้ให้แล้วอุ่นเอาเอง”

“ค่ะ”เธอขานตอบรับ หายเข้าห้องน้ำไปพักเดียวก็พาหน้าตาสดชื่นกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร ปภินวิชจึงลุกขึ้นยกถ้วยข้าวต้มมาส่งให้ตรงหน้า ปวันรัตน์เอียงคอมองแล้วพูดว่า “พี่ปลาใส่ชุดพนักงานแบบนี้แล้วแปลกจัง”

คนโดนทักถึงกลับก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ ยูนิฟอร์มของพนักงานทำความสะอาดเป็นสีน้ำตาลอ่อนแขนเสื้อและช่วงคอเสื้อเป็นสีขาว เสื้อที่สวมชิ้นเดียวและดูเหมือนว่าเขาสวมเสื้อกั๊กทับด้านนอก กางเกงเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเสื้อ ขนาดของเสื้อและกางเกงดูหลวมกว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ปกติ ตอนที่เขาทำงานเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า เขาก็ยังใส่เสื้อเชิ้ตและการเกงสแลคที่เข้ารูปกว่านี้

ปภินวิชหน้าเจื่อนอย่างไม่มั่นใจแต่ไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติมให้น้องสาวฟัง นั่งทานข้าวต่อเงียบๆกระทั่งอิ่มและกำลังออกจากห้องจึงย้ำไม่ให้น้องสาวเปิดประตูรับคนแปลกหน้า

“ค่า ถ้าคนที่มาเคาะแล้วบอกรหัสไม่ถูกปุ้ยไม่มีทางเปิดรับเด็ดขาด”

ปภินวิชขมวดคิ้วงุนงงกับรหัสที่น้องสาวกล่าวถึง แต่เพราะกลัวว่าจะพานให้ชายหนุ่มร่างสูงเข้างานสายไปด้วยเขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ จนเข้าไปนั่งในรถแล้วสีหน้าแปลก ๆ ยังไม่จางหายไป พฤทธิกรถึงเอ่ยปากถาม

“เป็นอะไร”

“เปล่าครับ”เขาตอบปฏิเสธเพราะคิดว่ามันเป็นแค่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระของเขาเท่านั้น

“คิดเรื่องที่ปุ้ยทักเรื่องชุด หรือรหัสเปิดประตูล่ะ”

“มีรหัสเปิดประตูด้วยหรือครับ”เขาเลี่ยงไปถามเรื่องนั้นเสียแทน

“นั่นสิ อยู่ห้องนี้มาตั้งนานฉันยังไม่รู้เลย สงสัยต้องลองพิสูจน์อีกทีตอนเย็น”

ปภินวิชมองตอบกลับมาด้วยใบหน้าเหลอหลาแปลกใจ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะและบอกออกมาว่าถ้าลองพิสูจน์จริงๆอาจจะไม่ได้เข้าห้องก็เป็นได้

อีกไม่กี่นาที่หลังจากนั้นรถยนต์ของพวกเขาก็เคลื่อนที่มาถึงสำนักงาน ปภินวิชในชุดพนักงานทำความสะอาดจะโดยสารลิฟต์สำหรับผู้บริหารขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับพฤทธิกรผู้เป็นประธานบริษัท โดยมีพุฒิพงศ์และธนาซึ่งเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวเดินตามไม่ห่าง

พฤทธิกรมาถึงที่ทำงานช่วงเจ็ดโมงครึ่งและเริ่มทำงานเลยโดยไม่รอเวลาเข้างานอย่างพนักงานระดับล่างคนอื่น ไม่ต่างกับเด็กหนุ่มที่ต้องเริ่มงานเลยเช่นเดียวกันเนื่องจากต้องทำความสะอาดห้องผู้บริหารแต่ละคน หรืออย่างน้อยเขาจำต้องเก็บขยะออกมาทิ้งหากเปิดประตูเข้าไปแล้วเจอเจ้าของห้อง กรณีนั้นบางครั้งจะได้คำสั่งอื่นเพิ่มเติม อย่างขอให้ช่วยหยิบน้ำชงกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ

เมื่อทำความสะอาดชั้นผู้บริหารเสร็จแล้ว ปภินวิชจะลงไปทำความสะอาดชั้นเก็บเอกสารทั้งสองชั้นต่อ เนื่องจากแต่เดิมพื้นที่ทุกจุดของสองชั้นนี้ได้รับการดูแลมาอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว เขาจึงใช้เวลาในแต่ละวันอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นงานที่ได้รับมอบหมายก็เสร็จสมบูรณ์ ช่วงบ่าย ๆ เขาจึงค่อนข้างว่างเสมอ เด็กหนุ่มจะใช้เวลาว่างช่วงนี้คอยช่วยงานสุธาณีผู้ที่เป็นเลขาหน้าห้องของพฤทธิกร นั่นทำให้รู้ว่า บอดี้การ์ดทั้งสองคนของชายหนุ่มก็โดนไหว้วานให้ทำงานเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน

“พี่ก้อย วันนี้ผมจะออกไปข้างนอกได้นะ”นอกจากปภินวิชจะเป็นพ่อบ้านทำความสะอาดที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าตำแหน่งงานแล้ว เขายังได้รับอภิสิทธิ์อีกหลายอย่าง อาทิ ไม่ต้องตอกบัตรเข้างานหรือช่วงกลางวันอยากจะออกไปไหนก็สามารถทำได้

“จ้า อย่าลืมไปบอกคุณฤทธิ์ก่อนล่ะ อ้อ พี่ฝากเทน้ำส้มเข้าไปเสิร์ฟท่านด้วยนะ”

นายท่านของปภินวิชไม่ทานกาแฟ ในตู้เย็นของห้องครัวสำนักงานจึงมีน้ำผลไม้หลายรส บางวันสุธาณีจะสั่งพวกโกโก้หรือโอวัลตินเย็นจากร้านข้างล่างขึ้นมาให้

ตอนได้ยินคำบอกเล่าครั้งแรกเขายังนึกแปลกใจ คนทำงานส่วนใหญ่ต่างติดกาแฟทั้งนั้น พ่อและแม่ของเขาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างกัน เมื่อลองถามข้อสงสัยกับสุธาณีออกไป เธอจึงเฉลยให้ฟังว่า “เมื่อก่อนท่านติดกาแฟมาก จนช่วงหนึ่งมาบ่นว่ากินกาแฟตั้งหลายแก้วก็ยังรู้สึกเพลียอยู่ดี แต่สองสามวันหลังจากนั้นกลับมาบอกพี่ว่าจะเลิกกินกาแฟแล้ว เห็นบอกว่าพนักงานร้านกาแฟแนะนำให้เลิก”

“แปลกจัง เป็นพนักงานแทนที่จะเชียร์ให้ลูกค้าซื้อของ”พูดออกไปแล้วต้องชะงักเพราะเด็กหนุ่มบังเอิญนึกขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งตนเคยยุให้ลูกค้างดทานกาแฟเหมือนกันเพราะเจ้าตัวเล่าให้ฟังเป็นทำนองว่า เหมือนร่างกายจะดื้อคาเฟอีน แต่เขาจำได้ว่าลูกค้าคนนั้นน่าจะเป็นคุณลุงแล้วนี่นาแถมยังใส่แว่นด้วย ...คงไม่ใช่หรอก ปภินวิชบอกตัวเองขณะที่สมองกำลังคิดเชื่อมโยงเรื่องที่กวีวัธน์เคยบอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พฤทธิกรเคยเจอเขา

“พี่ก็คิดเหมือนน้องปลา แต่คุณฤทธิ์เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก จนทุกวันนี้เลิกทานกาแฟเด็ดขาดเลยล่ะ แถมยังหันมาใส่ใจสุขภาพมากกว่าเดิมอีก”

ปภินวิชนึกย้อนประโยคสนทนาที่เคยคุยกับสุธาณีไปพลางขณะถือถาดกลมซึ่งด้านบนมีแก้วทรงสูงบรรจุน้ำส้มที่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ระบุว่าเป็นน้ำผลไม้แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่กำลังนั่งอ่านเอกสารในแฟ้ม

“น้ำส้มครับ”เด็กหนุ่มบอกพร้อมวางแก้วลงบนโต๊ะ อีกฝ่ายแค่ส่งเสียงอืมขานรับ

“เดี๋ยวผมขออนุญาตออกไปข้างนอกนะครับ”

“จะไปไหน”พฤทธิกรเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากข้อความบนหน้ากระดาษ

“ผมว่าจะไปหาหนังสือเตรียมตัวสอบครับ”

“อืม ถ้าจะออกไปข้างนอกให้ธนาขับรถไปให้ก็ได้”พูดจบก็เปิดกระดาษไปอีกหน้า คนที่ยังยืนมองอยู่จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นายท่านคุยกับผมแล้วอ่านไอ้นั่นรู้เรื่องด้วยหรือครับ”

“หือ”ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนถาม “รู้เรื่องสิ ทำไมจะไม่รู้เรื่องล่ะ”คนฟังถึงกับเบ้ปาก พฤทธิกรจึงปิดแฟ้มเลื่อนขึ้นวางบนโต๊ะ แล้วกวักมือเรียกเด็กหนุ่มร่างเพรียวเข้าใกล้ ก่อนจะตบมือปุ ๆ ลงบนหน้าขาของตัวเอง ห้องทำงานของพฤทธิกรกว้างก็จริง แต่นอกจากโต๊ะทำงานของตัวเองและโต๊ะเอกสารอีกตัวแล้ว เครื่องเรือนอื่นมีเพียงชั้นใส่เอกสารสีน้ำตาลเข้มเกือบดำสูงจรดเพดานซึ่งถูกตั้งชิดผนังเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าด้านนอกมีห้องรับรองอีกหลายห้อง เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีชุดโซฟาอยู่ภายในห้องทำงานของตน

“นี่มันที่ทำงานนะครับ เดี๋ยวก็มีใครเข้ามาเห็นหรอก”

“แค่นั่งตักไม่เห็นเป็นไรเลย อีกอย่างก่อนจะมีใครเข้ามาคุณก้อยจะต้องโทรเข้ามาแจ้งก่อน”เขาพูดพลางจับข้อมือเล็กบางและดึงเบาๆให้เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง ปภินวิชยังขยับขยุกขยิก เขาจึงประสานมือเกี่ยวเอวบางไว้

“ดูข้อมูลเรื่องที่จะเรียนแล้วหรือ”

“ครับ ผมว่าจะลงเรียนกศน.แล้วค่อยไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“จะกลับไปเรียนมอปลายต่อก็ได้นะ”

“ไม่เอาหรอกครับ ต้องเสียเวลาอีกปีไปนั่งเรียนทำไม”ปภินวิชพูดก่อนจะขยับเอี้ยวตัวหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม “นายท่านว่า ผมเรียนอะไรดีครับ เอาแบบจบมาแล้วได้เป็นหัวหน้าคุณกลอนน่ะ”

พฤทธิกรกลอกตาพลางใช้ความคิดทั้งที่ยังประดับรอยยิ้มบางบนใบหน้า “กลอนเรียนบัญชีแต่จบด้วยคะแนนเกียรตินิยม”

“หน้าตาแบบนั้นเนี่ยนะ”สีหน้าของปภินวิชบ่งบอกว่าน่าเหลือเชื่อ

“ส่วนเอกจบสาขาการตลาด”เห็นเด็กหนุ่มทำท่าเหมือนนึกไม่ออกว่าเขาหมายถึงใคร พฤทธิกรจึงกล่าวขยายความต่ออีกหน่อย “ผู้ชายอีกคนที่นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับเธอน่ะ”

เด็กหนุ่มจึงร้องอ้อพร้อมพยักหน้ารับรู้

“แต่คุณก้อยจบมนุษยฯ และพูดได้หลายภาษา เพราะฉะนั้นเธออยากเรียนอะไรก็เรียนเถอะ เรียนในสิ่งที่ชอบจะได้ไม่อึดอัด”

“ผมไม่รู้ว่าชอบอะไรน่ะสิครับ”เด็กหนุ่มพูดออกมา “พวกเพื่อน ๆ ผมที่เรียนชั้นเดียวกัน ส่วนใหญ่ก็เรียนวิศวะ หรือไม่ก็สถาปัตย์”

“อืม งั้นคงต้องส่งเธอไปอยู่ฝ่ายช่าง”

“ง่ะ”คนฟังหน้างอ “แล้วถ้าผมเรียนหมอล่ะ”

“ก็จะให้เป็นหมอประจำบริษัท ไม่ต้องจ้างหมอหรือพยาบาลข้างนอกแล้ว”

“แต่ละอย่างตำแหน่งต่ำกว่าคุณกลอนทั้งนั้น”เด็กหนุ่มนั่งมองไปมองมาอยู่พักหนึ่งจึงร้องออกมาว่า “ผมนึกออกแล้ว” พลางกระโดดลงจากตักของชายหนุ่มพร้อมกล่าวประโยคต่อไปด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“เดี๋ยวผมไปซื้อหนังสือก่อน”

“ให้รอไหม หรือจะกลับไปที่คอนโดก่อน”

“อืม... ถ้าผมกลับมาไม่ทันเวลาเลิกงาน นายท่านกลับไปก่อนเลยก็ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะโทรหาแล้วแวะไปรับแล้วกัน”

“อย่างนั้นก็ได้ครับ”เมื่อตกลงนัดแนะกันเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มจึงเดินออกจากห้องแวะบอกสุธาณีอีกครั้งก่อนเดินเข้าลิฟต์

ปภินวิชใช้บริการรถไฟบีทีเอสมาลงที่สถานีกลางเมืองซึ่งบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งร้านหนังสือของมหาวิทยาลัย ในความคิดของเขา การเรียนต่อเพื่อให้วุฒิการศึกษาน่าจะไม่ใช่เรื่องยากแต่การสอบเข้าเพื่อให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยน่าจะยากกว่ามาก เพียงแต่ความยินดีที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปมันมากมายเสียจนต่อให้ต้องลำบากตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ เขาก็ไม่หวั่น

เขาอยากเรียนกฎหมายเพราะได้ข้อคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้ารู้กฎหมายมันคงทำให้เขาระวังตัวไม่เชื่อใจคนอื่นง่าย ๆ อีก หรือต่อให้เกิดเรื่องเกิดราว มันน่าจะมีช่องทางให้เขาเรียกร้องอะไรได้บ้างไม่ใช่ได้แต่จำยอม ปภินวิชให้เหตุผลกับตัวเองอีกอย่างว่า ในกลุ่มผู้ช่วยของนายท่านยังไม่มีใครที่จบกฎหมายเลย แต่ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เพราะเด็กหนุ่มไม่แน่ใจ ถ้าเรียนบัญชีแบบหลานชายปากเสียคนนั้น ตนจะสามารถจบด้วยคะแนนระดับสูงได้

“ปลา”เสียงเรียกมาพร้อมแรงฝ่ามือที่กระทบบนไหล่ เขาสะดุ้งเพราะกำลังเพลินกับการอ่านรายละเอียดในหนังสือ เมื่อหันไปเห็นหน้าคนที่เข้ามาทักจึงหลุดร้องอุทานเสียงดัง ก่อนจะต้องยกมือปิดปากเพราะเสียงของตนดึงดูดสายตาจากคนทั้งร้าน

“มาได้ไง”

“กูต่างหากที่ต้องถาม ว่ามึงมาอยู่นี่ได้ไง”ฝ่ายนั้นกระซิบพูดเสียงเบาจากนั้นจึงพยักพเยิดชวนปภินวิชออกไปคุยกันด้านนอก คนที่เข้ามาทักเด็กหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยม มีชื่อว่าทธรรษ

“มึงหายไปอยู่ไหนมาวะ กูโทรไปก็ไม่เคยรับสาย”

“โทษที พอดีกูไม่ค่อยสะดวกว่ะ”

“กูบอกแล้ว ถ้ามึงมีปัญหาอะไรบอกกูได้ พ่อแม่กูยินดีช่วยมึงอยู่แล้ว”

“กูขอบใจ”เด็กหนุ่มเอ่ยบอกไม่ได้ฟื้นฝอยเรื่องที่ผ่านไปแล้วกลับมาพูดอีก ช่วงเวลาแบบนั้นถ้าใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ แค่เสียพ่อแม่ไปเขาก็รู้สึกเคว้งคว้างพอแล้ว ยิ่งต้องมาเจอญาติที่ตนรู้จักมาตั้งแต่เด็กหลอกโกงเงินไปอีก ตอนนั้นเขาตื้อตันคิดอะไรไม่ออกได้แต่ระแวงกลัวไปหมด กลัวว่าถ้าไปหลงเชื่อคำคนง่าย ๆ แม้แต่ชีวิตตัวเองกับน้องสาวก็คงอาจไม่เหลือ

“แต่ตอนนี้กูไม่เป็นไรแล้ว สุขสบายดีด้วย”

“เหรอ”ทธรรษกวาดสายตามองเขาตั้งศีรษะจรดปลายเท้า ปภินวิชได้แต่พยายามยกยิ้มเจื่อนเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง

“แล้วมึงมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”

“อ้อ กูมาหาหนังสือ ตั้งใจว่าจะแอดเข้ามหา’ลัย”

“เฮ้ยจริงดิ ดีใจว่ะ เข้ามหา’ลัยกูนะ เดี๋ยวกูเทคมึงเอง”

“เดี๋ยวๆ ก็จำได้ว่า สมัยมอปลายมึงจะเข้าวิศวะ”หลังจากนั้นพวกเขาจึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอีกยาว ทธรรษจึงชวนเขาให้ไปนั่งคุยกันต่อในร้านคอฟฟี่ช็อปใกล้ๆ กระทั่งใกล้เวลาเลิกงานของพนักงานบริษัท เสียงโทรศัพท์มือถือของเด็กหนุ่มจึงส่งเสียงร้องดังขึ้น ปลายสายเป็นพฤทธิกรที่โทรมาถามว่าจะให้ไปรับที่ไหน

“มารับผมที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเอ็มบีเค(MBK)ก็ได้ครับ”ปภินวิชรับคำอีกสองสามประโยคจึงวางสาย

“ใครวะ”

“น้าที่กูอยู่ด้วย เขาทำงานอยู่แถวนี้เลยจะวนรถมารับ”

“อ้อ แล้วมึงทำงานอะไรวะ แต่งตัวแบบนี้”

“เป็นพ่อบ้าน”เขาบอกออกไปตามตรง เพราะเมื่อมานึกดูแล้วจะมีพนักงานทำความสะอาดที่ไหนทำงานสบายและได้เงินเดือนเยอะเท่าเขาแถมเจ้านายทั้งรักทั้งหลง อีกอย่างมันเป็นงานสุจริต เขาไม่จำเป็นต้องอายเสียหน่อย

ทธรรษสบถออกมา “จริงดิ”

“อ้าว กูจะโกหกเพื่ออะไร”

“จะว่าไปก็ดีว่ะ เลิกงานเร็วกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา”ทธรรษพูดออกไปตามที่ตนเห็น เข้าใจว่าการที่ปภินวิชออกมาเดินเที่ยวได้คงเพราะต้องหมดเวลางานแล้ว

“เดี๋ยวกูต้องไปรอน้าที่ป้ายรถเมล์แล้ว”เมื่อบอกออกไปเช่นนั้นทธรรษจึงลุกยืนเดินตามมาด้วย ซ้ำยังย้ำบอกว่าจะช่วยติวให้

“เออ”เขาลากเสียงตอบรับ “กูรู้แล้วย้ำจัง”

“ก็กูอยากให้มึงเข้ามหา’ลัยกู มึงไม่รู้หรอก กูโคตรดีใจที่เจอมึงวันนี้”จากนั้นยังพร่ำบ่นที่เด็กหนุ่มหายไปจากทุกสังคมบนออนไลน์และไร้การติดต่อ

“เออ ๆ ไว้กูโทรหา”เขาบอกเพื่อนอีกครั้งเมื่อเหมือนเห็นรถยนต์ของพฤทธิกรมาแต่ไกล เขาไม่แน่ใจนักแต่เพราะมันเป็นรถยนต์ยี่ห้อหรูซึ่งเห็นได้น้อยบนท้องถนนเขาจึงคิดว่าน่าจะใช่

“น้ามึงมาถึงแล้วเหรอวะ”

จนเมื่อรถยนต์คันนั้นจอดเทียบตรงหน้า ปภินวิชถึงแน่ใจ เขาโบกมือลาเพื่อนสนิทที่เจอกันโดยบังเอิญอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายนั้นสบถคำหยาบอ้าปากตาโตเมื่อเห็นป้ายบอกยี่ห้อพร้อมร้องย้ำให้รับโทรศัพท์ตอนที่เขาเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ

“ใครน่ะ”เสียงถามดังขึ้นทันทีที่ประตูรถยนต์ปิดลง คนขับรถวันนี้เป็นธนา เขาเปิดไฟเลี้ยวเพื่อขอทางก่อนเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถยนต์ให้เข้าสู่ช่องจราจร

“เพื่อนสมัยมัธยมครับบังเอิญเจอกันที่ศูนย์หนังสือ เขาบอกจะติวสอบให้ ผมขอไปติวกับเพื่อนได้ไหมครับ”

“อืม ได้สิ แล้วตกลงจะสอบเข้าคณะอะไรล่ะ”

ปภินวิชยิ้มกว้าง นึกอยากพูดอวดแต่กลัวว่าจะสอบเข้าไม่ได้จึงได้แต่บอกว่าเป็นความลับ


==== ต่อข้างล่างอีกนิด====
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-11-2017 06:33:02
กิจวัตรหลังจากนั้นก็เป็นไปตามปกติ กระทั่งช่วงประมาณหนึ่งทุ่มหลังจากที่ทุกคนทานอาหาร อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนและมานั่งรวมกันอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว เสียงโทรศัพท์ของปภินวิชได้ดังขึ้น พฤทธิกรค่อนข้างจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะตั้งแต่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีสัญญาณสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเด็กหนุ่ม

เจ้าของโทรศัพท์มองรายชื่อบนหน้าจอก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกระเบียง

“น้ามึงทำงานอะไรวะ ถึงได้ซื้อจากัวร์มาขับได้”ก่อนหน้าประโยคนี้ของทธรรษ เด็กหนุ่มโดนอีกฝ่ายสบถด่าใส่ทันทีที่เขาส่งเสียงตอบรับกลับไป

“ก็พนักงานบริษัท แต่เขาอยู่ในตำแหน่งบริหาร”

“โชคดีว่ะมึง อย่างนี้มึงคงไม่ต้องลำบากเอาพวกเงินชดเชยออกมาใช้แล้วใช่ม้า”

ปภินวิชไม่ตอบและเขาไม่เคยบอกใครเรื่องยอดเงินที่ควรเป็นของเขาแต่มันกลับไปอยู่ในกระเป๋าคนอื่น พวกเขารู้กันอยู่แค่สองคนพี่น้อง และเป็นปวันรัตน์เองที่บอกกับเขาว่า ‘ช่างมันเถอะ’

“แล้วน้ามึงดุหรือเปล่า”

ทั้งที่ช่วงบ่ายก็นั่งคุยกันไปหลายชั่วโมงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าทธรรษยังชวนคุยได้ไม่หยุด กระทั่งปภินวิชต้องออกปากขอวางสายเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้องมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ แถวผนังกระจก 

“กูจะไปนอนแล้ว เดี๋ยวถ้าว่างวันไหน กูจะโทรไปบอก”

“รีบ ๆ ว่างเลย กูจะไปพามึงไปเลี้ยง”จบประโยคนั้น ปภินวิชจำต้องคุยกับปลายสายอีกยาว ก่อนจะได้วางสายเมื่อเวลาล่วงผ่านไปอีกร่วมชั่วโมง เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าห้องนอนของนายท่านอีกเช่นเคย ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง

“ขอโทษครับ ที่ผมคุยโทรศัพท์นาน”

“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่ง่วงเท่าไหร่”พฤทธิกรพูดพลางวางหนังสือไว้บนหลังตู้เตี้ยซึ่งตั้งอยู่ชิดหัวเตียง “มานอนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”

ปภินวิชสาวเท้าปีนขึ้นเตียงทว่ายังขยับตัวนั่งเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม “เรื่องที่เพื่อนจะช่วยติวให้ มันว่างช่วงเย็น ๆ ผมขอไปหามันตอนช่วงนั้นได้ไหมครับ” ในใจเต้นตุ๋ม ๆ ต่อม ๆ เรื่องที่ทธรรษจะช่วยติวเตรียมสอบให้เป็นเรื่องจริง แต่ฝ่ายนั้นอยากจะพาเขาไปเลี้ยงฉลองในร้านที่เปิดเฉพาะตอนกลางคืนด้วยเช่นกัน ตัวเขาที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ถ้าบอกเรื่องเที่ยวออกไปตามจริงต้องโดนห้ามอยู่แล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะแอบไปไม่บอกให้พฤทธิกรรู้

“อ้อ อืมได้สิ แล้วเรื่องข้าวเย็นจะเอายังไง”

“เดี๋ยว ผมจะกลับมาทำไว้ให้”

“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เธอไม่ต้องกลับมาทำหรอก แค่อยากรู้ว่าเธอจะกลับมาทานหรือเปล่า หรือจะทานกับเพื่อน”

“ไว้ผมค่อยโทรมาบอกดีกว่าครับ ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“อืม... นอนเถอะ”

เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ปิดเปลือกตาแต่ในใจนึกทวนบทสนทนาทางโทรศัพท์กับทธรรษและอยากให้ถึงวันที่เพื่อนกำหนดพาไปเลี้ยงเร็ว ๆ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-11-2017 08:38:45
ให้น้าฤทธิ์รู้ทีหลังระวังคนแก่จะน้อยใจนะปลา
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-11-2017 08:50:22
ไม่แน่ใจว่าอ่านตกตรงไหนหรือเปล่า ทำไมถึงไม่อยากให้น้าชากับปลาเจอกัน
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-11-2017 11:45:24
นอยด์แล้วนะนั้น
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 12-11-2017 18:26:16
ลืมไปเลยว่าเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน

สนุกมากค่ะ กลับมาติดตามต่อ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2017 18:45:30
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 12 [12/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-11-2017 18:53:11
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 13 [16/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-11-2017 03:54:18
13


ถึงจะบอกชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นกึ่ง ๆ ผู้ปกครองว่าไปติวหนังสือกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย แต่เวลาส่วนมากของปภินวิชก็หมดไปกับการเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนฝูง เนื่องด้วยยังไม่มีทางได้วุฒิการศึกษาภายในปีนี้อย่างแน่นอน นั่นจึงส่งผลให้ไม่มีสิทธิ์สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มยังคงไปทำงานเป็นพ่อบ้านคนทำความสะอาดที่บริษัทของพฤทธิกรในช่วงเช้าเช่นเดิม เพราะกลุ่มเพื่อนที่ทธรรษพาไปรู้จักต่างมีเวลาว่างตรงกันช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานพอดี เพียงแต่ปภินวิชยังไม่มีโอกาสตอบตกลงคำชวนของทธรรษที่เคยบอกว่าจะพาไปเลี้ยงในร้านซึ่งเปิดแต่กลางคืนเสียที เหตุผลประการสำคัญนั่นคือ เขากลัวโดนดุ ประจวบกับถึงกำหนดนัดหมายที่ปวันรัตน์ต้องไปรับยาเคมีบำบัด ปภินวิชจึงมีข้ออ้างให้บอกปัดกลุ่มเพื่อน

ช่วงนั้นนายจ้างอย่างพฤทธิกรยังใจดีอนุญาตให้เขาหยุดงานได้ น้องสาวของเขาแสดงอาการแพ้หลายอย่างทั้งอาเจียน อ่อนแรง มีไข้และเบื่ออาหาร เธอจึงได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงกระทั่งพ้นวันที่สามหรือสี่หลังได้รับยา อาการต่างๆถึงได้ทุเลาลง เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมามุอ่านหนังสือเรียนบ้างเนื่องจากเธอเรียนช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เด็กสาวกลัวว่าตัวเองจะเป็นเด็กโข่งหากต้องซ้ำชั้นอีกปี

ฝ่ายพฤทธิกรเริ่มงานยุ่งขึ้นเพราะเรื่องการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์แห่งใหม่ กลายเป็นว่า ปภินวิชดูคล้ายว่างงานที่สุด

“ตอนน้ามึงอยู่ มึงก็ไม่กล้าขอเขา กูจะไปขออนุญาตให้มึงก็ไม่เอา น้ามึงไม่อยู่มึงก็ไม่ออกมาอีก”วันนั้นทธรรษโทรมาหา และเซ้าซี้คะยั้นคะยอชวนไปเที่ยวกลางคืนเช่นเดิม

“กูไม่เห็นว่ามันจำเป็นต้องไป”ตอนที่โดนเอ่ยปากชวนครั้งแรก ปภินวิชรู้สึกอยากไปลองสัมผัสอยู่หรอก แต่พอถึงตอนที่ต้องเอ่ยปากบอก หรือถ้าชายหนุ่มรู้ว่าเขาอยากไปเที่ยวสถานที่อโคจรแบบนั้น พอนึกว่าจะโดนมองด้วยสายตาแบบไหน เขากลับไม่อยากไปเสียดื้อๆ

“เดี๋ยวมึงเข้ามหา’ลัยได้ มึงต้องโดนบังคับไปอยู่ดีแหละ”

“ก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อน”

“ระวังจะโดนมอม แล้วลากไปปู้ยี่ปู้ยำไม่รู้ตัว”ทธรรษขู่มาอีกประโยค “กับรุ่นพี่กับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอหน้าค่าตากัน มึงคิดว่าจะเชื่อใจได้หรือวะ อยู่กับกูต่อให้มึงเมาแค่ไหนกูดูแลมึงอยู่แล้ว มึงต้องลองจะได้รู้ว่าลิมิตตัวเองอยู่แค่ไหน”

ปภินวิชส่งความเงียบตอบกลับไปด้วยความลังเล

“งั้นเดี๋ยวกูไปรับมึงหน้าคอนโด”โดนปลายสายส่งเสียงรวบรัดตัดความกลับมา เด็กหนุ่มจึงต้องรีบร้องห้าม “จะให้ไปเจอที่ไหนว่ามา เดี๋ยวกูไปหามึงเอง”ทธรรษจึงส่งเสียงระรื่นกลับมาว่าเดี๋ยวแชร์โลเคชันไปให้ ปภินวิชวางสายแล้วคิดเอาง่าย ๆ ว่าไปแค่พักเดียว สักสี่ห้าทุ่มค่อยกลับ วันที่พฤทธิกรมีงานยุ่งแบบนี้กว่าจะได้กลับก็เที่ยงคืนตีหนึ่งไปแล้ว อย่างไรเขาคงกลับมาถึงห้องก่อนอีกฝ่าย

ตอนที่เด็กหนุ่มเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และกลับออกมาที่โถงด้านนอก น้องสาวจึงส่งเสียงถามว่า “พี่ปลาจะไปไหนอะ”

“พอดีฟรังค์มันมีปัญหานิดหน่อย พี่เลยว่าจะไปดูมัน”

ปวันรัตน์พยักหน้ารับ ฟรังค์คือชื่อเล่นของทธรรษซึ่งเธอเคยเจอเพื่อนพี่ชายคนนี้อยู่บ่อยครั้งยามที่ฝ่ายนั้นมาเที่ยวเล่นที่บ้าน

“แล้วพี่จะค้างบ้านพี่ฟรังค์หรือเปล่า”

“คงไม่หรอก อาจจะกลับสักสี่ห้าทุ่ม ปุ้ยนอนก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรอ”

เธอขานเสียงตอบก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับหน้าหนังสือ

เด็กหนุ่มพรูลมหายใจเมื่อก้าวพ้นออกจากประตูห้อง หัวใจที่เต้นแรงตึกตักจึงค่อย ๆ ลดจังหวะลง เขาใช้บริการลิฟต์ลงมายังชั้นหนึ่ง และขึ้นรถแท็กซี่ไปยังจุดนัดหมาย

กรุงเทพฯ ยามค่ำคืนยังคงสว่างไสวแม้ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีดำสนิท ปภินวิชทอดสายตามองรถยนต์ซึ่งยังคงแล่นขวักไขว่อยู่บนท้องถนน เขาใช้เวลาไปอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงสถานบันเทิงที่เพื่อนส่งพิกัดมาให้ กระนั้นยังดูเหมือนว่าเขามาเร็วเกินไป เมื่อโทรศัพท์หาคนที่โทรนัดแล้วปลายสายกลับบอกว่ายังมาไม่ถึง

“อะไรวะ งั้นกูกลับแล้วนะ”

“เฮ้ย ๆ เดี๋ยวดิ ใจเย็น ๆ กูจะถึงแล้วอีกไม่เกินสิบนาที”

“กูอยู่ได้แค่สี่ทุ่ม มึงมาไม่ถึงกูก็กลับ”ปภินวิชพูดออกไปก่อนจะกดตัดสาย นึกขุ่นเคืองที่โดนหลอกให้มายืนรอ ใบหน้าจึงงอหงิกไม่รับแขกยามที่ทธรรษมาถึง

“โอ๋ ๆ ไม่โกรธนะปลาน้อย”ฝ่ายนั้นพูดพลางเดินเข้ามายกแขนโอบไหล่วางมือลูบศีรษะ ปภินวิชเบี่ยงตัวออกแต่โดยทธรรษเกี่ยวคอไว้อย่างรู้ทัน

“ปลาน้งปลายน้อยอะไรของมึง สี่ทุ่มกูกลับ”คนพูดเสียงแข็ง

“สามทุ่มสี่สิบห้าแล้วมึง จะทันได้แดกอะไรไหมเนี่ย”

“งั้นกูกลับ”

โดนย้ำคำนี้หนัก ๆ เข้า ทธรรษจึงต้องหันไปเร่งกลุ่มเพื่อนคนอื่นให้รีบเดินเข้าไปข้างใน ไม่กล้าโอ้เอ้อะไรอีก เพราะขืนอยู่ริมถนนบริเวณหน้าร้านนานไป คนที่พูดว่า ‘จะกลับ’ คงได้โบกแท็กซี่กลับบ้านไปก่อนจริง ๆ

ร้านที่ทธรรษพาเพื่อนอย่างปภินวิชมาเปิดหูเปิดตา เป็นร้านที่รู้จักกันดีว่าไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องอายุคนที่เข้าใช้บริการ พวกเขาจึงเดินผ่านเข้าไปโดยสะดวก บรรยากาศภายในร้านแตกต่างจากความสว่างไสวของด้านนอก นอกจากแสงไฟวูบวาบที่ทำให้มองไม่ค่อยเห็นทาง เสียงเพลงยังดังกระหึ่มจนรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังเต้นตามจังหวะบีตของดนตรี

เด็กหนุ่มเดินตามกลุ่มเพื่อนไปยังโต๊ะที่เหมือนว่าถูกจองไว้ก่อนหน้าแล้วซึ่งอยู่แถวหน้าเวที ขณะนั้นบนเวทีเตี้ย ๆ ยังมีนักดนตรีที่กำลังทำการแสดงอยู่ รอบโต๊ะกลมที่สูงประมาณเอวมีเก้าอี้อยู่แค่สี่ตัว แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มเพื่อนของทธรรษที่เหมือนว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี เพราะบางคนยืนเขย่าตัวตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนานไปก่อนแล้ว

จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าตื่นสถานที่ก็คงไม่ใช่ ปภินวิชแค่คิดว่าทุกอย่างมันแปลกตาไปเสียหมด เขาเคยเห็นภาพแบบนี้มาจากสื่ออื่น ๆ มาบ้าง แต่เมื่อสัมผัสด้วยตัวเองจริง ๆ มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง

“ลองดู”ทธรรษยื่นแก้วมาให้พร้อมตะโกนบอกเสียงดังข้างหู แม้ในแสงสลัวเช่นนี้เขายังเห็นว่ามันเป็นสีดำเข้ม เขายกมันขึ้นจิบ รสชาติเหมือนน้ำอัดลมทั่วไปแต่พอจะรับรู้ได้ว่ามันผสมอะไรบางอย่าง

“แรก ๆ มึงลองกินแบบนี้ไปก่อน”เพื่อนสนิทโน้มตัวมาตะโกนบอกเขาอีกรอบ พร้อมกับยกแก้วของตัวเองที่สีจางกว่าชูขึ้นชนแก้วกับเขา ก่อนจะยกดื่มราวกับมันเป็นน้ำเปล่า ปภินวิชจึงยกดื่มจนหมดแก้วบ้าง เมื่อวางแก้วลง ทธรรษก็ชงแก้วต่อไปให้เขาอย่างรวดเร็ว



กวีวัธน์ทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะพยายามพาตัวเองแทรกผ่านฝูงชนคับคั่งก้าวขึ้นบันไดผ่านไปยังชั้นสอง เปิดประตูห้องวีไอพีเข้าไปซึ่งทำให้เสียงดังกระหึ่มด้านนอกลดลง แต่ลดลงในระดับที่ไม่จำเป็นต้องตะโกนคุยกันเท่านั้น เขาเพิ่งเลิกงานและเหลืออีกแค่สองชั่วโมง กว่าร้านจะปิดตามกฎหมาย เสียงเพลงจังหวะสนุกทำให้ชายหนุ่มรู้สึกง่วงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“มีอะไร รีบพูดรีบกลับ”

“จะรีบไปไหนวะ เพื่อนฝูงอุตส่าห์นัดสังสรรค์”

ชายหนุ่มถอนหายใจ จากนั้นจึงรับเครื่องดื่มที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้ยกขึ้นดื่ม “จะนัด ทำไมพวกมึงไม่นัดวันศุกร์หรือวันเสาร์ พรุ่งนี้กูต้องทำงาน แทนที่จะได้กลับไปนอน”

“ทำอย่างกับมึงยอมออกมาง่าย ๆ”

“เออ ไหน ๆ ไอ้กลอนมันอยากกลับแล้ว พวกเราก็กลับกันเหอะ”อีกคนพูดออกมาบ้าง “เรียกเก็บเงิน มึงต้องจ่ายด้วยนะ”

กวีวัธน์สบถ “นี่พวกมึงเรียกกูมาหารเหรอ”

“เออ เพิ่งรู้เหรอ”สามคนที่เหลือหัวเราะกันครื้นเครง แตะมือกันด้วยความสนุกสนาน เขาหน้าคว่ำแต่ยอมควักเงินออกมาจ่ายแต่โดยดี บ่นในใจว่าอย่าให้ถึงทีเขาบ้าง

กลุ่มเพื่อนของเขาแต่ละคนทำงานแล้วทั้งนั้น กวีวัธน์จึงคิดว่าการที่พวกมันนัดมารวมกันทั้งที่วันรุ่งขึ้นต้องทำงาน คงต้องมีสาเหตุสำคัญ ที่ไหนได้... ชายหนุ่มคิดอย่างแค้นเคือง เขายกดื่มรวดเดียวไปอีกสองแก้ว อย่างน้อยจะได้คุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายไปหน่อย

กวีวัธน์เดินตามเพื่อนลงมาจากห้องวีไอพีบนชั้นสอง สถานบันเทิงยามเที่ยงคืนกำลังคึกคัก นักเที่ยวกำลังเมา มึนและสนุกได้ที่ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานเขาก็อยากจะลงไปสนุกด้วยอยู่หรอก

“โอ๊ะ”กวีวัธน์หลุดร้องอุทานพร้อมยื่นแขนออกไปรั้งร่างที่กำลังเซล้ม

“ไหวไหมเนี่ยมึง”

เสียงนั้นเรียกสายตาของกวีวัธน์ให้เหลือบขึ้นไปมอง ชายคนนั้นยื่นมือมาช่วยพยุงร่างที่เซพิงเขาอยู่ แต่เมื่อกดสายตาลงมองและได้เห็นดวงหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กกว่าได้ชัดเจน กวีวัธน์จึงเผลอคิดไปว่า ตนเองช่างดวงสมพงศ์กับอีกฝ่ายเหลือเกิน เพราะครั้งนี้ก็บังเอิญเจอแบบไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว

“ขอโทษนะครับ”เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยบอกดูท่าว่าจะเมามากจนเห็นหน้าเขาไม่ชัดหรือเมาจนจำหน้าใครไม่ได้ก็ไม่รู้ จากนั้นจึงหันไปเกาะผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน และเมื่อสังเกตดูดี ๆ ผู้ชายคนนั้นก็คุ้นตาสำหรับเขาเหมือนกัน เขามองสองคนนั้นเดินหายไปในฝูงชน จากนั้นจึงพาตัวเองฝ่านักเที่ยวซึ่งเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปยังประตู

ตอนที่กวีวัธน์พาตัวเองออกมานอกร้านได้แล้ว ปรากฏว่ากลุ่มเพื่อนยังคงยืนรออยู่

“อะไรวะ กูนึกว่ามึงเดินตามมาเสียอีก กำลังจะกลับเข้าไปตามอีกรอบแล้ว”

“ไม่มีอะไร แค่บังเอิญเจอคนรู้จัก”

“สวยหรือเปล่าวะ”เพื่อนอีกคนถามขึ้นมาทันควัน

“กูไม่รู้เหมือนกัน เพราะแม่งเป็นผู้ชาย”

“เปลี่ยนรสนิยมเมื่อไหร่วะ”คำถามแซวถูกส่งมาอีกรอบ

“ของน้ากู”

“อ้อ”แต่ละคนจึงส่งเสียงขานรับ “แล้วไง มึงจะรอเขา”

“เฮ้ย กูรอด้วย กูอยากเห็น”กลายเป็นเรื่องครึกครื้นไปเสียอีก กลุ่มเพื่อนของกวีวัธน์รู้จักน้าชายของเขาจากการบอกเล่า และตอนที่พฤทธิกรขึ้นนั่งตำแหน่งประธานเป็นช่วงที่พวกเขาใกล้จะเรียนจบ จึงมีการเอ่ยแซวว่าอยากจะตีสนิทหลานชายท่านประธาน เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทที่น้าชายบริหารงานอยู่บ้าง

เมื่อมีกลุ่มเพื่อนยืนคุยอยู่ด้วย ระยะเวลาสองชั่วโมงจึงคล้ายว่าผ่านไปรวดเร็วกว่าเดิม สามคนนั้นเหมือนสร่างเมาไปเยอะ ผู้คนในร้านค่อยๆทยอยออกมาด้านนอกพร้อมกับเสียงเพื่อนคนที่บอกว่าอยากเห็นร้องถามมาว่าคนไหน

เขาจึงชี้มือไปยังคนที่โดนหิ้วปีกออกมาด้วยท่าทางเมาแอ๋

“แล้วไง มึงจะรับเขากลับหรือโทรบอกน้าฤทธิ์”

“ไม่ล่ะ กูแค่จะตามไปดูว่าคืนนี้เขาจะไปนอนที่ไหน”กวีวัธน์ตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

“มึงมันชั่ว”เสียงพูดด่าดังออกมาแทบพร้อมกัน คนโดนว่ากลับยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนสาวเท้าเดินนำเพื่อน ๆ ตามเด็กสองคนนั้นไปยังลานจอดรถ  เห็นกลุ่มเป้าหมายขับรถมาเองจึงเอ่ยปากบอกลาและขอบใจที่สามคนนั้นอยู่รอพูดคุยฆ่าเวลาเป็นนานสองนาน เร่งเดินกลับไปที่รถ สตาร์ทเครื่องขับตามออกไป

เขาขับรถเองเพราะเห็นว่าตัวเองออกมาเที่ยวดึก ๆ ดื่น ๆ จึงไม่อยากสร้างความลำบากให้คนขับรถมานั่งรอ

รถคันที่เขาขับตามมาเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้านหลังใหญ่ในเขตหมู่บ้านกลางเมือง เขาเห็นสภาพบ้านไม่ชัดเพราะความมืดของค่ำคืน กระนั้น กวีวัธน์ก็ยกยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่า คงจะมีเรื่องไว้เล่นงานเด็กนั่นอีกแล้ว



ปภินวิชรู้สึกตัวเพราะโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นระรัวไม่หยุด เขาพลิกตัวล้วงหยิบมันออกมา หรี่ตามองหน้าจอด้วยอาการสะลึมสะลือยังไม่ตื่นดี ทว่าเสียงจากปลายสายที่แสนคุ้นเคยนั่นทำให้เด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันใด

“ปลา อยู่ไหนน่ะ”

เขาพะอืดพะอมอยากอาเจียนแต่ต้องพยายามข่มกลั้นอาการอยากขย้อนของเก่า แล้วกวาดสายตามองรอบด้าน เห็นเพื่อนสนิทอย่างทธรรษนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน จึงได้ส่งเสียงตอบกลับไปว่า

“ผมอยู่บ้านเพื่อนครับ”ความทรงจำเมื่อคืนวานไหลย้อนกลับมาราวกับน้ำบ่า ซ้ำร้ายยังหนักศีรษะจนต้องยอมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

“ขอโทษครับ พ...”เด็กหนุ่มชะงักพยายามคิดคำแก้ตัว “พอดีเพื่อนผมมันอกหัก ผมเลยต้องอยู่ปลอบใจมัน”

“อ้อ”เสียงปลายสายตอบรับกลับมา “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็ไม่ต้องเข้าไปที่สำนักงานหรอก อยู่จนกว่าเพื่อนจะรู้สึกดีก็ได้”

“ครับ”

จากนั้นปลายสายจึงตัดไป เขาถอนหายใจและหลับตาลงอีกครั้ง ไม่คิดว่าเมื่อคืนเขาจะเมานักขนาดนี้ ไม่เชิงว่าไม่รู้ตัวแต่เหมือนจะควบคุมร่างกายไม่ได้เสียมากกว่า เด็กหนุ่มนึกพลางพยายามย้อนคิดทวนความทรงจำ เพราะเครื่องดื่มที่ทธรรษชงให้มันอร่อยดี เขาจึงดื่มเสียเพลิน พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ทรงตัวไม่อยู่เสียแล้ว

“ไงจ๊ะ แฮงก์มากไหม”เสียงพูดนั้นมาพร้อมวงแขนที่รวบตัวเขาเข้าไปกอดรัด ปภินวิชจึงถองเข้าใส่พลิกตัวไปยันอีกฝ่ายให้ออกห่าง ชันตัวลุกขึ้นนั่งและพูดด้วยความฉุนเฉียว

“กูบอกจะกลับสี่ทุ่ม แม่งเอ้ย!!! เพราะมึงเลย”

ทธรรษหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำว่ากล่าว เขายังนอนเอกเขนกตอนที่พูดถามเรื่องสายโทรเข้าที่ปลุกให้พวกเขารู้สึกตัวตื่น “น้ามึงโทรมาเหรอ”

“อืม”

“คิดอะไรมากวะ ตอนที่กูถาม มึงก็บอกว่าเขาไม่ดุ”

“ปกติก็ไม่ดุ แต่ตอนที่ทำหน้าดุขึ้นมาน่ากลัวมาก”

“กูโคตรไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ออกมาอยู่กันเอง มึงก็สิบเก้าแล้ว ตอนนั้นกูชวนให้มาอยู่บ้านกู มึงก็ไม่มา”

“ก็หลาย ๆ อย่างน่ะ”

ทธรรษเห็นเพื่อนสนิทจงใจเลี่ยงการตอบคำถามจึงไม่คิดคาดคั้นอีก เขาลุกขึ้นไปหาเสื้อผ้าและผ้าขนหนูให้อีกฝ่าย “กูจะบอกมึงอีกครั้ง มึงมีเรื่องอะไรบอกกูได้ กูช่วยมึงไม่ได้ พ่อแม่กูเขาก็ยินดีช่วยมึง เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่มอหนึ่งแล้วนะเว้ย มันยังไม่นานพออีกเหรอ”

ปภินวิชเงียบไม่ตอบคำ

ระหว่างป้าที่เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อกับครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นเรียน เขาย่อมต้องยื่นมือหาญาติตัวเองก่อนอยู่แล้ว ตอนที่พ่อแม่เพิ่งเสียใหม่ ๆ ลุงกับป้าคอยช่วยเหลือเรื่องจัดการงานศพ ดูแลเขากับน้องสาวด้วยดีมาตลอด เด็กหนุ่มจึงไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงได้เปลี่ยนไปได้รวดเร็วอย่างนั้น

“เอาเหอะ ไปอาบน้ำซะมึง เดี๋ยวจะได้ลงไปกินข้าว”ทธรรษโยนของที่หยิบออกมาจากตู้ส่งให้เพื่อน ส่วนตัวเองถือผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟันในห้องน้ำเดินออกไปด้านนอก

เด็กหนุ่มลุกยืนเดินเข้าห้องน้ำ อาการมวนในท้องและศีรษะที่หนักอึ้งเล่นงานเขาอีกแล้ว แต่เมื่อได้อาบน้ำเย็น ๆ ปภินวิชรู้สึกได้ว่าอาการเมาค้างค่อยทุเลาขึ้น และตอนที่กลับออกมาจากห้องน้ำ เขาเห็นเจ้าของห้องสวมเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก

“ปะ เดี๋ยวกินอะไรสักหน่อย มึงจะค่อยยังชั่วขึ้น”

“ครั้งหน้ากูไม่เอาแล้ว แม่งไม่เห็นดี ปวดหัวฉิบหาย”

ทธรรษจึงถลาเข้ามากอดคอ “เฮ้ย! มันต้องฝึกเว้ย เมื่อคืนมึงกินแล้วเมาพอครั้งต่อไปมึงก็ไม่เมาขนาดนี้แล้ว เชื่อกู”

“ถามจริงพ่อแม่มึงไม่ว่าอะไรเหรอ”ปภินวิชหันไปถาม

“ไม่หรอก ขอแค่ผลการเรียนของกูไม่แย่ลง เรียนจบภายในสี่ปีแล้วก็ไม่โดนตำรวจซิว เขาไม่ว่าหรอก กูไม่เหมือนมึงนี่ กูอยากไป กูก็บอกเขา ไม่ใช่แอบไปเที่ยวอย่างมึง”

“ก็นั่นพ่อแม่มึงนี่หว่า”และพึมพำว่าไม่ใช่เพิ่งเข้าไปอยู่ด้วยกันแบบน้ากู “แล้วก็เพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้กูต้องหนีเที่ยว”

ทธรรษจึงเถียงพลางย้ำกลับไปว่า “กูบอกแล้วว่าให้มึงลองขอเขาดู น้ามึงก็ผู้ชายไม่ใช่เหรอ เขาต้องเข้าใจวัยรุ่นอย่างเรา ๆ อยู่แล้วน่า”

ปภินวิชถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

“งั้นก็ให้กูไปเจอเขา เดี๋ยวกูคุยให้”

คราวนี้เด็กหนุ่มรีบบอกปฏิเสธ ถ้าให้ทธรรษไปเจอกับพฤทธิกร เพื่อนสนิทคนนี้ต้องรู้แน่ว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่น้าของเขา ซ้ำร้ายอาจจะไปจุดความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชายหนุ่มอีกด้วย

ไม่เอาหรอก!!! ปภินวิชบอกตัวเอง เขายังไม่พร้อมที่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับพฤทธิกรสักหน่อย และไม่แน่ว่า อีกสักพักอาจจะมีผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นของนายท่านโผล่ออกมาแบบในละครก็ได้ หรือเผลอ ๆ นายท่านอาจจะมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

“เหม่ออะไรเนี่ยมึง”

ปภินวิชสั่นศีรษะระรัว ขณะที่คิดอย่างกังขา อายุระดับนายท่านมันควรแต่งงานมีลูกเล็ก ๆ สักคนสองคนแล้วไม่ใช่หรือไงนะ

เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ต้องเข้าไปทำงานอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงนั่งเล่นนอนเล่นอยู่บ้านเพื่อนจนเวลาค่อนบ่ายถึงได้ลากลับ เขาใช้บริการรถโดยสารสาธารณะไปลงที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ คอนโดของพฤทธิกร แล้วเดินเท้าจากป้ายรถเมล์ไปยังที่ตั้งคอนโด

ปกติเวลาที่จะออกไปไหน เขาเดินทางด้วยรถยนต์ของชายหนุ่มตลอด พอลองมาเดินเข้าซอยเองอย่างนี้จึงรู้สึกว่าระยะทางค่อนข้างไกลโข ทั้งยังเป็นซอยกว้างที่ต่างทางเข้าหอพักเดิม มีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารมากมายอยู่สองข้างทาง ตั้งแทรกสลับกับอาคารหอพักและอะพาร์ตเมนต์

เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาสำรวจสองข้างทาง ก่อนเดินเลี้ยวเข้าซูเปอร์มาเกตขนาดย่อมซึ่งตั้งอยู่บนทางผ่าน

เขาแวะโซนเครื่องแกงสำเร็จรูปเป็นอันดับแรก หยิบซองเครื่องต้มยำกับแกงส้มที่ตนอยากกินใส่ตะกร้า แล้วจึงเดินหาของสด เลือกหยิบกุ้งกับหมึกตัวโต ๆ ใส่ถุง เขาอยากทำต้มยำทะเลแต่ของสดอื่น ๆ เขาไม่รู้จักวิธีจัดการให้พวกมันลงไปอยู่ในหม้อจึงต้องมองผ่านไป จากนั้นจึงเดินหาเครื่องเทศอื่น ๆ แม้ว่าเครื่องต้มยำสำเร็จรูปจะทำให้แกงของเขากลายเป็นต้มยำเพียงแค่ฉีกซองใส่ลงไป แต่ปภินวิชอยากจะให้อาหารของเขาเหมือนต้มยำที่สุดเช่นเดียวกัน

หลังจากเลือกผลไม้ใส่ตะกร้า เขาก็ยกของทั้งหมดไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์

เดินออกมาจากซูเปอร์มาเกตแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่าเขาควรโทรศัพท์หาคนกินเสียก่อน

“วันนี้กลับดึกหรือเปล่าครับ”

“อืม คงต้องอยู่ดึกอีกวัน”

“ว้า”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ แค่จะถามถึงมื้อเย็น”ปภินวิชพูดบอกออกไปเสียงเบา

“ไว้พรุ่งนี้แล้วกัน”

เด็กหนุ่มตอบรับก่อนจะกดวางสาย “งั้นวันนี้ก็กินอะไรแบบธรรมดา ๆ แล้วกันเนอะปุ้ย เนอะ” เขาพูดกับตัวเอง หิ้วถุงใส่ของเดินต่อไปอีกไม่กี่นาที ตึกสูงชนิดเงยหน้ามองคอตั้งบ่าจึงปรากฏอยู่ตรงหน้า อาคารนั้นตั้งอยู่พื้นที่ที่มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด ประตูทางออกทั้งสองฝั่งด้านหน้ามีป้อมที่พักสำหรับพนักงานรักษาความปลอดภัย

เด็กหนุ่มที่เดินท่อม ๆ เข้าไปในเขตอาคารโดนพนักงานในชุดสีน้ำเงินเข้มเรียกตัวไว้ก่อน ฝ่ายนั้นเข้ามาสอบถามด้วยความสุภาพ จากนั้นจึงถามหาคีย์การ์ดเพื่อยืนยันตัวตนเมื่อเขาตอบว่าพักอยู่ที่นี่ อย่างว่าแหละนะ เขาเข้าออกโดยอาศัยรถยนต์ตลอด พี่ยามจะไม่รู้จักเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจพลางนึกต่อไปว่า สมกับเป็นคอนโดคนรวยที่การดูแลรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม เพราะนอกจากมีป้อมรปภ.ตรวจคนเข้าออก ลิฟต์ขึ้นอาคารยังเป็นแบบแตะคีย์การ์ดก่อนกดเรียกอีกต่างหาก

กลับมาถึงห้องพัก เขาโดนน้องสาวยิงคำถามใส่ระรัว เนื่องจากช่วงนี้ยังปิดเทอมปวันรัตน์จึงอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน

“จะไม่กลับก็ไม่บอก ตอนเช้าน้าฤทธิ์ตกใจใหญ่เลยนะคะ”เธอรีบฟ้องเพราะชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องคิดว่า เขานอนกับน้องสาวเมื่อคืนถึงไม่มีการโทรศัพท์มาหา “ปุ้ยก็คิดว่า พี่ปลาไปนอนห้องน้าฤทธิ์”เด็กสาวเองเริ่มระแคะระคายในความสัมพันธ์ของพี่ชายกับพฤทธิกรบ้างแล้วเช่นกัน ทว่าปวันรัตน์กลับไม่ได้เอ่ยถามหรือออกความเห็นใดๆ

ด้วยเหตุนี้ ปภินวิชจึงปฏิเสธคำชวนไปเที่ยวกลางคืนครั้งต่อ ๆ มาของทธรรษโดยเด็ดขาด จะมีแต่ช่วงกลางวันเท่านั้นที่เด็กหนุ่มยังคงเที่ยวเล่นอยู่กับกลุ่มเพื่อนของอีกฝ่าย กระทั่งวันหนึ่งที่ทธรรษชวนไปเที่ยวอีกรอบ

“กูรู้แล้วไง แล้วทำไมกูต้องไปอีก”เด็กหนุ่มพูดเหตุผลเพื่อบอกปฏิเสธ

“แต่คราวนี้มันเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของกู มึงจะไม่มาเหรอ”หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของทธรรษเอ่ยขึ้น ปภินวิชจึงหันไปหาคนพูดแล้วบอกว่า “เฮ้ย งั้นสุขสันต์วันเกิด มีความสุขมาก ๆ นะ”

“เออ ขอบใจ แต่คืนนี้กูจองร้านไว้แล้ว มึงไม่คิดไปฉลองกับกูเหรอ”

“วันเกิดทั้งทีทำไมมึงไม่ไปทำบุญวะ กินแต่เหล้าเดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก”ปภินวิชพูด

“แหมะไอ้นี่ แช่งกูอีก ตอนเช้าแม่กูปลุกขึ้นมาตักบาตรแต่เช้าแล้วเหอะ เย็น ๆ มันต้องเป็นเวลาของเพื่อนฝูงดิวะ ตกลงมึงจะไปหรือไม่ไป ถ้ามึงไม่ไปกูจะคิดว่ามึงไม่อยากคบกู”

“โหมึง เล่นเอาคำนี้มาขู่”เด็กหนุ่มส่งเสียงชิชะไม่สบอารมณ์ “เออ ไปก็ได้เว้ย เดี๋ยวกูโทรบอกน้าก่อน”จากนั้นจึงลุกออกมาจากโต๊ะเดินออกมาจากร้าน พวกเขาจับจองโต๊ะที่นั่งอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ด ผนังหน้าร้านเป็นกระจกใส เขาจึงเห็นพวกนั้นยังนั่งคุยกันอย่างเฮฮาแม้จะเดินออกมาด้านนอกแล้วก็ตาม

ระยะเวลาผ่านไปร่วมสองอาทิตย์แล้วจากที่เขาไปเที่ยวกับทธรรษครั้งก่อน เหล่านักเรียนนักศึกษาได้กลับสู่ช่วงเปิดภาคเรียนอีกครั้ง ภายในห้างสรรพสินค้าจึงคลาคล่ำด้วยเด็กวัยรุ่นหลังเลิกเรียน

ปภินวิชยืนมองโทรศัพท์อยู่นานกว่าจะตัดสินใจโทรออก

“มีอะไรหรือเปล่า”ปลายสายเอ่ยถามทันทีที่ได้ยินเสียงเขา

“เอ่อ...พอดีวันนี้วันเกิดเพื่อนผมนะครับ ผมขอไปกินเลี้ยงวันเกิดกับเพื่อนได้ไหม”

“อืมได้สิ กลับดึกไหม”

“เดี๋ยวผมค้างบ้านเพื่อนดีกว่าครับ”

“อ้อ”พฤทธิกรเงียบไปอย่างน่ากลัวจนเขาต้องกลั้นหายใจรอ “ฝากอวยพรให้เพื่อนเธอมีความสุขมาก ๆ ด้วยละกัน”

ปภินวิชผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกหลังวางสาย ยกยิ้มขณะหมุนตัวก้าวเท้ากลับไปหากลุ่มเพื่อน จากนั้นต่างคนจึงต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวเมื่อรู้ผลลัพธ์ก่อนจะนัดไปเจอกันยังสถานที่จัดงาน

สถานที่จัดงานฉลองวันเกิดในคราวนี้เป็นคนละที่กับร้านที่ทธรรษพาไปครั้งก่อน แม้ร้านมีขนาดเล็กแต่กระนั้นเจ้าของงานยังใจป้ำถึงขั้นเหมาจองไว้ทั้งหมด ถึงจะรู้จักกันมาพักใหญ่แต่ปภินวิชเพิ่งรู้ว่าฝ่ายนั้นร่ำรวยก็ในครั้งนี้

แขกที่ได้รับเชิญมาร่วมงานมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายจนร้านเล็ก ๆ แห่งนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ฟังจากคำทักทาย แขกที่มามีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง เพื่อนเก่าสมัยมัธยมและเพื่อนในมหาวิทยาลัย บางคนไม่ได้มามือเปล่า ที่ถือของขวัญติดมือมาด้วยก็เยอะ ที่หิ้วขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาด้วยก็แยะ ส่วนปภินวิช เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนในกลุ่มของทธรรษซื้อเหล้านอกให้เจ้าของวันเกิดเช่นเดียวกัน

ร้านคึกคักด้วยเสียงดนตรีและเครื่องดื่มโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นเค้กวันเกิดสักกระผีก แก้วเครื่องดื่มของปภินวิชถูกเติมให้เต็มอยู่ตลอดเวลา และเมื่อถูกขอชนแก้วก็ต้องยกดื่มอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนส่งแก้วเครื่องดื่มแปลก ๆ มาให้เขาลองได้ไม่ขาด เพราะเหตุนั้นยังไม่ทันพ้นครึ่งคืนด้วยซ้ำ ปภินวิชจึงไม่สามารถครองสติตัวเองได้อีก



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ไม่แน่ใจว่าอ่านตกตรงไหนหรือเปล่า ทำไมถึงไม่อยากให้น้าชากับปลาเจอกัน

เหตุผลที่ไม่อยากให้น้าชากับปลาเจอกันยังไม่มีการเขียนเฉลยในเรื่องค่ะ มันยังเป็นความลับที่รู้กันสองคนระหว่างน้าฤทธิ์กับหลานกลอนค่ะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 13 [16/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 16-11-2017 05:06:53
เอาแล้วปลา เด็กไม่ดีต้องโดนลงโทษนะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 13 [16/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-11-2017 09:44:16
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 13 [16/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-11-2017 11:34:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-11-2017 06:11:07
14

กวีวัธน์กวาดสายตามองเหล่าเด็กวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่าตนเพียงไม่กี่ปี ซึ่งต่างกำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างเมามันตามจังหวะเสียงเพลงดังสนั่นอยู่ในร้าน นอกจากแสงไฟริบหรี่สลัว เขายังเห็นหมอกควันจากบุหรี่คลุ้งกระจายไปทั่ว แต่กลิ่นหอมหวานแปลก ๆ นั่นทำให้พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา

“คงต้องแยกกันหาละมั้ง”เขาหันไปพูดกับชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง  พุฒิพงศ์และธนากำลังกวาดสายตามองหาเป้าหมายเช่นเดียวกัน คืนนี้กวีวัธน์ยืมบอดี้การ์ดมาใช้โดยไม่ได้บอกน้าชาย และเคยยืมมาใช้ตั้งแต่เจอปภินวิชที่ผับเมื่อครั้งก่อนแล้วด้วย เพียงแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเนื้อหางานให้พฤทธิกรรับทราบเพราะเขากะจะเซอร์ไพรซ์น้าชายอีกรอบ

“ถ้าเจอแล้วส่งข้อความมานะครับ ผมอยากเห็นภาพคนเมา”ชายหนุ่มสั่งความ มองบอดี้การ์ดทั้งสองคนของพฤทธิกรในชุดลำลองธรรมดาเดินแทรกตัวปะปนไปกับกลุ่มวัยรุ่นที่ต่างเมากันอย่างได้ที่ ส่วนตัวเขาแค่กวาดสายตามองหาจากจุดที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูอีกครั้ง เมื่อเห็นบริกรของร้านเดินผ่านจึงกวักมือเรียกตัวไว้ ฝากข้อความให้ฝ่ายนั้นช่วยไปตามผู้จัดการร้าน เมื่อพนักงานเดินไปแล้วครู่หนึ่งต่อมา กวีวัธน์ก็ได้รับข้อความจากธนา

สภาพปภินวิชที่เขาได้เห็นดูดีกว่าที่คาดการณ์ไว้แม้จะเมามายไร้สติ

ที่กวีวัธน์อยากเห็นคือภาพของเด็กหนุ่มนัวเนียกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนสนิทนั่นต่างหาก โดยไม่รู้เลยว่าภาพเหตุการณ์ที่ว่า ถูกธนาและพุฒิพงศ์ซึ่งตามมาสมทบกับคู่หูก่อนหน้าที่หลายชายของนายจ้างจะมาถึงโต๊ะที่นั่งนั้น ทำการจัดฉากให้ทุกอย่างดูเรียบร้อยอย่างที่เจ้าตัวได้เห็นในปัจจุบัน

ชายหนุ่มจึงพยักพเยิดให้ทั้งคู่พาปภินวิชออกไปด้านนอกโดยที่ตนเองก้าวเท้านำไป

พ้นประตูหน้าร้าน กวีวัธน์ได้พบกับผู้จัดการร้านและบริกรคนนั้นหันรีหันขวางมองหาตนอยู่ เขาเดินเข้าไปหา มีพุฒิพงศ์เดินตามมา ขณะที่ธนาซึ่งแบกปภินวิชไว้บนหลังเดินเลยไปที่รถ

“รู้ไหมครับ ว่ามีการใช้ยาเสพติด”เขาถามซึ่งอีกฝ่ายมีท่าทางอึกอัก กวีวัธน์จึงหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋า

“เขาจ่ายเหมาร้านไว้เท่าไหร่”

เมื่อได้รับคำตอบ เขาจึงเขียนตัวเลขพร้อมลงลายเซ็นส่งให้คู่สนทนา “ถ้าพรุ่งนี้ผมเห็นข่าวการตรวจจับ คุณก็สามารถนำเช็คใบนี้ไปขึ้นเงินได้เลย แต่ถ้าไม่... ผมจะขอแนะนำให้คุณระวังตัวให้ดี”กวีวัธน์ยกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงสาวเท้าเดินกลับไปที่รถยนต์

ธนายืนรอเปิดประตูให้เขาอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อทุกคนขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย รถยนต์คันหรูจึงเคลื่อนที่ออกจากลานจอดรถ

กวีวัธน์ยิ้มระรื่นขณะมองเด็กหนุ่มที่นั่งพิงเบาะคอพับคออ่อน ถ้าเด็กนี่หัวอ่อนทำตัวน่ารัก ๆ มากกว่านี้อีกหน่อย เขาคงไม่ลงทุนลงแรงตามมาเฝ้า หรือต่อให้อีกฝ่ายมีปัญหาจริง ๆ เขาก็ยังคงเก็บเงียบไว้ไม่บอกให้น้าชายได้ฟัง

“ช่วยไม่ได้นะ คุณพลาดเอง”กวีวัธน์พึมพำบอกปภินวิชเสียงเบา



พฤทธิกรนอนหลับไปแล้วตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน เขาลุกขึ้นอย่างรีบร้อนเพราะกลัวว่าปวันรัตน์จะเกิดอาการเจ็บป่วยกลางดึก ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับเป็นหลานชายกับรอยยิ้มเผล่อันน่าหมั่นไส้ กวีวัธน์หลีกทางให้ธนาพาร่างปภินวิชมาวางลงบนเตียง หลานชายของเขามีคีย์การ์ดเข้าห้องนี้ จึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายสามารถมาเคาะประตูห้องนอนของเขายามวิกาลได้

“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”เขาพูดพลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงมองดูเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นตัวเหม็นหึ่ง

“น้องปลาเขาหนีเที่ยวตั้งหลายครั้งแล้ว น้าฤทธิ์รู้เปล่าครับ”พูดจบ กวีวัธน์ก็หยุดรอปฏิกิริยาตอบกลับจากน้าชาย เพียงแต่อีกฝ่ายยังเงียบสนิท เขาจึงต้องพูดต่อ “ตอนกลางวันเห็นบอกน้าว่าจะไปติวหนังสือใช่ไหมครับ แต่ที่จริงไปเที่ยวเล่นทุกวันเลย”

“แล้ว?”พฤทธิกรหันไปถาม

“แล้ว? แล้วน้าฤทธิ์ไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือครับ”

“จะทำอะไร ปลาเขาขออนุญาตฉันแล้ว บอกก่อนที่จะไปไหนมาไหนด้วย ไม่เหมือนแกที่กลางค่ำกลางคืนจะใช้งานคนของฉันกลับไม่เคยมาบอกกล่าว”

“อ้าว”กวีวัธน์ร้องเสียงหลง หลายชายคงไม่เห็นว่าบอดี้การ์ดสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแอบหัวเราะ  แต่พฤทธิกรเห็นและต้องพยายามตีหน้าขรึม

“วันนี้น้องปลาเขาเสพยาด้วย ถ้าผมไม่ไปพากลับมาคงไปนอนกับใครก็ไม่รู้”

“กลอน พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย”

“ผมพูดจริง ครั้งก่อนที่ผมเจอ น้องปลาก็เมาอย่างนี้แล้วโดนเพื่อนที่ไปด้วยกันลากไปนอนด้วย ต่อให้น้องปลาเป็นผู้ชายแล้วยังไงครับ ผู้ชายกับผู้ชายทำอะไรกันไม่ได้เหรอ”

พฤทธิกรระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นบินอีก ฉันอยากพักและไม่อยากเก็บเรื่องอะไรให้มารกสมอง แกเองก็เถอะแทนที่จะกลับไปหลับไปนอนยังมาวุ่นวายอะไรอยู่อีก”

“น้าจะปล่อยให้มันผ่านไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ”

“แล้วแกเป็นอะไรถึงได้เดือดร้อนกับการกระทำของปลาเขานัก”พฤทธิกรถามสวนกลับไปทันควัน น้ำเสียงเรียบ ๆ แฝงด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

“เพราะผมห่วงน้าฤทธิ์หรอก”

“ห่วงก็ส่วนห่วง แต่ฉันไม่ชอบให้แกเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของฉันมากนัก”

“เออ”กวีวัธน์กระแทกเสียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ไม่ใช่เพราะผมเหรอ น้องปลาถึงได้มาอยู่กับน้าฤทธิ์ ก็ได้ ๆ ต่อไปผมจะไม่ยุ่งอีกเลย จะรอสมน้ำหน้าตอนที่น้าฤทธิ์โดนเด็กหลอกด้วย”หลานชายตะโกนใส่ก่อนจะกระแทกเท้าตึง ๆ เดินออกไป พฤทธิกรจึงบอกให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนตามไปส่ง ด้วยกลัวว่ากวีวัธน์จะหัวร้อนจนเอารถยนต์ไปเสยกับเสาไฟฟ้า จากนั้นจึงหันมาหาคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

เขาจงใจไม่บอกปภินวิชเรื่องที่ต้องไปดูงานที่ต่างประเทศหนึ่งอาทิตย์ ประการหนึ่งนั่นเพราะหลัง ๆ มานี้พวกเขาห่างกันมาก เด็กหนุ่มขยันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนขณะที่เขาก็ยุ่งวุ่นวายกับงาน ถึงจะนอนร่วมเตียงเดียวกันแต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้กลับไม่เหมือนเมื่อก่อน อีกประการ เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ลองใจอีกฝ่าย ถ้าห่างกันจริง ๆ จะคิดถึงกันบ้างไหม จะห่วงกังวลบ้างหรือไม่

“ท่าจะเหลวละมั้ง”พฤทธิกรบ่นพึมพลางใช้หลังมือไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งยังหลับสนิท “ถ้าขังไว้ได้จริง ๆ ก็ดีสินะ”



เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาพร้อมอาการมึนศีรษะ หลังยันตัวลุกขึ้นนั่ง  โลกเบื้องหน้ายังโคลงเคลงจนต้องยอมแพ้และล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ปภินวิชหลับตาอยู่เช่นนั้นอยู่เป็นครู่ใหญ่จึงเอะใจ เปิดเปลือกตาเพื่อมองสังเกตรอบตัว สีของผนังห้องและการตกแต่งดูคุ้นตาเสียจนเขานึกฉงน เมื่อพลิกตัวหันไปอีกฝั่ง จึงพบว่าเตียงกว้างหลังนั้นมีเขานอนอยู่เพียงผู้เดียว จึงเขยิบตัวยืดคอมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงอีกฝั่ง เมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลา เขาต้องเด้งตัวลุกขึ้นทันที

“บ่ายโมง”ปภินวิชกระวีกระวาดสาวเท้าออกไปด้านนอก โถงนั่งเล่นเงียบกริบไร้เงาผู้คน

“นั่นสิ ป่านจะมีใครอยู่ได้ไง”

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะ เมื่อคืนเขาเมาหนักจนจำอะไรไม่ได้สักนิด ซ้ำร้ายอาการตกค้างยังทำให้อยากล้มตัวลงนอนอีกรอบ แต่เพราะข้อสงสัยเกี่ยวกับ ‘การที่ตนกลับมานอนอยู่ในคอนโดของพฤทธิกรได้อย่างไร’ ยังคงเป็นปริศนาที่น่าสงสัย เด็กหนุ่มจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกรอบ มองหาโทรศัพท์มือถือของตนเองซึ่งเขาพบว่ามันอยู่บนชั้นวางของบริเวณหัวเตียง จังหวะนั้นเอง ประตูห้องนอนได้ถูกเปิดเข้ามา

“ดีจังที่คุณตื่นแล้ว”

ปภินวิชคว้ามือถือมาไว้ในมือก่อนจะหันมองเจ้าของเสียงทักทายนั้น

“ก่อนหน้านี้ผมกำลังคิดมาตรการปลุกคุณอยู่พอดี ถ้าคุณตื่นแล้ว ขอความกรุณาออกมาคุยกันหน่อย”เจ้าของประโยคคำพูดยืดยาวไม่รอให้เขาได้เอ่ยตกลงหรือปฏิเสธ ฝ่ายนั้นเดินนำไปที่โถงด้านนอกและทรุดตัวลงนั่งบนชุดโซฟา ปภินวิชเดินตามมาและทรุดตัวลงนั่งอีกฝั่ง

รอจนคู่สนทนาทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว กวีวัธน์จึงพูดขึ้นว่า “ถึงน้าชายของผมจะเอ็นดูคุณ และชื่นชอบคุณมากแต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะนำปัญหาเรื่องเดือดร้อนมาให้น้าฤทธิ์ได้นะ”

“เรื่องเดือดร้อนอะไร”เสียงของเด็กหนุ่มแห้งแหบจนต้องกระแอมออกมา ซ้ำยังรู้สึกคอแห้งและเจ็บคอด้วย

“ก็ที่คุณไปปาร์ตี้มั่วสุมเสพยากับเพื่อนคุณไง”ถึงจะโดนห้ามไม่ให้ก้าวก่าย แต่กวีวัธน์กลับคิดว่าเรื่องความประพฤติของปภินวิชเป็นความรับผิดชอบของเขา ชายหนุ่มถึงต้องมาคุยด้วยตัวเอง

เด็กหนุ่มส่งเสียงหึขึ้นจมูกพร้อมพูดโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “อย่ามาพูดมั่ว ๆ หน่อยเลย ผมยอมรับว่ากินเหล้าจริง แต่ผมไม่เคยเสพยา”

“จะลองไปตรวจดูไหมล่ะ อ้อ อีกอย่างคุณเพิ่งตื่นคงยังไม่รู้ เมื่อคืนตำรวจได้เข้าตรวจค้นงานปาร์ตี้ที่พวกเพื่อน ๆ คุณไปรวมตัวกัน พบทั้งยาไอซ์ กัญชาเต็มไปหมด ป่านนี้เพื่อนคุณคงยังนอนอยู่ในคุกละมั้ง”พูดพลางเปิดหน้าข่าวในแท็บเล็ตส่งให้เด็กหนุ่มได้ดู

“ถ้าผมไม่ไปพาตัวคุณออกมาเสียก่อน เช้านี้น้าฤทธิ์อาจจะต้องวุ่นวายอยู่ที่สถานีตำรวจก็ได้ แล้วก็นะ อย่าคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเลี้ยงจริง ๆ เลยเที่ยวไปนอนกับคนอื่นทั่วไปหมด ถึงน้าฤทธิ์เขาจะไม่ว่าแต่สำส่อนขนาดนี้ หน้าไม่มียางบ้างหรือไง”

“คุณ!!!”

“อย่านะ”กวีวัธน์ร้องห้ามเสียงดังเมื่อปภินวิชทำท่าจะปาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือมาทางเขา “ถ้าของของผมเสียหาย ผมจะให้คุณชดใช้เป็นสิบเท่า”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบ้ด้วยความกรุ่นโกรธ ก่อนจะโยนของในมือให้ไปร่วงบนเบาะโซฟา

“เอาล่ะ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแค่นี้แหละ ขอตัวนะครับ”

ปภินวิชมองใบหน้าระรื่นของกวีวัธน์ที่ลุกเดินออกไปแล้วเหมือนในอกมันจะระเบิดออกมา เขาโกรธโมโหจนราวกับจะหายใจไม่ออก ความขุ่นเคืองมันสุมแน่นเสียจนอยากทำลายทุกอย่างให้หมด แต่เด็กหนุ่มยังมีสตินึกคิดมากพอจะรู้ว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เขากำมือแน่นและทุบหมัดลงกับโซฟานุ่ม ๆ ที่ตนนั่งอยู่ ซ้ำ ๆ หลายครั้งกระทั่งความโมโหทุเลาลง จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก รอสายอยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ

“ไอ้ปลา มึงอยู่ไหนวะ กูโคตรเป็นห่วงมึงเลย”

“เออ ๆ ตอนนี้กูปลอดภัยดี ว่าแต่ฝั่งมึงเถอะ กูได้ยินว่าเมื่อคืนพ่อมึงมา”เขาพูดเข้าเรื่องไม่เยิ่นเย้อ

“เออดิ กูโดนเรื่องที่อายุไม่ถึง แต่มีอีกเพียบที่โดนเรื่องยา แม่งเอ้ย! ดันเอายาเข้ามาเล่นกันในงาน”จากนั้นทธรรษจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเสียละเอียดยิบ ตอนที่ตำรวจตรวจค้นพวกนั้นยังคิดว่าแกล้งกันเล่น แต่เจ้าของวันเกิดโชคดีหน่อยที่มันเป็นวันเกิดปีที่ยี่สิบพอดีและเจ้าตัวก็ไม่มีสารเสพติดในร่างกายจึงรอดมาได้

“ตอนที่กูสร่างแล้วไม่เห็นมึง กูโคตรเป็นห่วงนึกว่าโดนใครหิ้วไปแล้ว โทรไปก็ไม่รับ”

“กูเมา จะให้กูรับโทรศัพท์ยังไง”

“แม่งอยากรู้จริง ๆ ใครมันแจ้งตำรวจวะ พ่อแม่กูเลยสั่งห้ามเด็ดขาดแล้วเนี่ย”ทธรรษบ่นยกใหญ่ เด็กหนุ่มจึงส่งเสียงหัวเราะ โล่งอกที่เพื่อนในกลุ่มแต่ละคนปลอดภัยดี เขาคุยเล่นกับทธรรษต่ออีกนิดหน่อยก่อนฝ่ายนั้นจะวางสาย

บรรยากาศในห้องกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง

ตอนนี้ปภินวิชก็รู้แล้วว่าตัวเองกลับมานอนที่คอนโดได้อย่างไรและเมื่อคืนก็เกิดเรื่องขึ้นจริง เพราะฉะนั้นนายท่านคงจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากหลานชายจอมใส่ไข่คนนั้นแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาไปเที่ยวเล่นจะโดนใส่สีไปแค่ไหน

เด็กหนุ่มยกขาขึ้นคู้ตัวซบหน้าลงกับหัวเข่า

ถ้านายท่านเชื่อคุณกลอนมากกว่าเขา แล้วถ้าโกรธขึ้นมาจริง ๆ จนไม่ยอมฟังคำอธิบาย เขาจะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากโดนเกลียด ไม่อยากเห็นสายตาเย็นชา ไม่อยากโดนทอดทิ้ง ปภินวิชน้ำตาไหลออกมาเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ก่อนจะฉุกใจเรื่องเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ ก้มมองและใช้มือสัมผัสมัน

เขาสวมใส่ชุดนอนผ้าฝ้ายเนื้อดีของนายท่านอยู่ ไม่มีทางที่นายท่านจะให้คนอื่นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาหรอก ความคิดนั้นทำให้เด็กหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมากโข

“หลานชายอย่างคุณกลอนที่นั่งรายงานใส่ไคล้น่ะเหรอ จะมาสู้คนที่นอนคุยกับนายท่านอย่างผมได้”เขาพูดพร้อมลุกขึ้นยืนด้วยแรงใจเต็มเปี่ยม “ผมไม่ทำอะไรผิดซะหน่อยทำไมต้องกลัว ครั้งก่อนหนีเที่ยวก็จริงแต่ครั้งนี้บอกก่อนแล้วเหอะ”เด็กหนุ่มพูดบ่นไปตลอดทาง ขณะเดินออกไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับออกอีกครั้งด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส

เด็กหนุ่มเปิดตู้เย็นหาอะไรใส่ท้องให้ตัวเอง จากนั้นหันไปรื้อตำราทำอาหารของตัวเองออกมาเปิดกาง มองหาเมนูอาหารที่ดูดีน่าทาน

ตอนนี้ปภินวิชมีหนังสือตำราอาหารอยู่หลายเล่ม ทั้งเมนูอาหารไทยและอาหารต่างชาติ หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง เขาจึงพออ่านตำราแล้วทำอาหารที่มีรสชาติพอใช้ได้สำเร็จ ที่สำคัญชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องกลับไม่เคยบ่นเลยสักครั้งซ้ำยังฝืนทานจนหมดอีกต่างหาก

ที่ปภินวิชแน่ใจว่าอีกฝ่ายฝืนทานเพราะถ้าอาหารของเขาไม่อร่อย ชายหนุ่มจะเงียบพูดน้อยกว่าปกติ มีแต่น้องสาวของเขานั่นแหละที่ทานไปติโน่นตินี่ไป แต่เด็กหนุ่มมั่นใจ เขาต้องทำอาหารเมนูแปลก ๆ อร่อยขึ้นบ้างแหละ ก็เขาตั้งใจทำขนาดนี้นี่นา

เมื่อตัดสินใจเลือกเมนูได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเปิดตู้เย็นหยิบของสดออกมาและลงมือทำอาหาร

กับข้าวทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยพอ ๆ กับช่วงที่ปวันรัตน์กลับมาจากโรงเรียน เด็กสาวร้องบอกว่ากลับมาแล้วตั้งแต่อยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินตามกลิ่นอาหารมาถึงห้องครัว

“ได้กลิ่นแล้วหิวเลย”

ปภินวิชยกยิ้มพร้อมยกจานผลไม้ส่งไปให้ “กินรองท้องไปก่อน เดี๋ยวรอคุณฤทธิ์กลับมาแล้วค่อยทานพร้อมกัน”

“ค่า ถ้างั้นปุ้ยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”เธอหยิบฝรั่งเข้าปากจากนั้นจึงเดินหาเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เด็กหนุ่มจึงย้ายไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี นั่งเล่นนั่งคุยกับน้องสาวที่ตามออกมาสมทบกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คนที่รอก็ยังไม่กลับมาเสียที

“ปุ้ยหิวแล้ว ไม่ใช่ว่าน้าฤทธิ์ต้องทำงานเลิกดึกอีกเหรอ”เด็กสาวเอ่ยถาม เขาจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกทว่ามันไม่มีแม้แต่สัญญาณตอบรับ

“งั้นปุ้ยไปกินก่อนนะ”

“พี่ปลามากินด้วยกันสิคะ น้าฤทธิ์ไม่ว่าหรอก ถ้าหิ้วท้องรอจะโดนดุเสียมากกว่า”เธอเอ่ยบอกพลางคะยั้นคะยอ เด็กหนุ่มจึงฝืนทานเป็นเพื่อนน้องสาวทั้งที่รู้สึกเหมือนกลืนอะไรไม่ลงด้วยความกังวลใจ เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ แม้แต่ช่วงหลัง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้กลับพร้อมกัน เพราะหากวันไหนชายหนุ่มต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นก็จะโทรมาบอกเสมอ หรือเพราะเรื่องเมื่อคืนจะทำให้โกรธมากจริง ๆ

“กับข้าวเหลือเยอะเลย เก็บไว้พรุ่งนี้ก็ได้นะเนี่ย”เสียงของปวันรัตน์ทำให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ มองอาหารมากมายบนโต๊ะ ปกติแล้วเขาจะทำอาหารปรุงใหม่ทุกมื้อไม่เหมือนตอนที่พวกเขาอยู่กับพ่อแม่ ที่แกงหม้อหนึ่งอาจจะต้องทานไปวันหรือสองวัน หรือถ้ากับข้าวมื้อนั้น ๆ เหลือจะถูกเก็บไว้ทานมื้อต่อไป สาเหตุของการกระทำเช่นนั้นเนื่องมาจากคำพูดข่มขวัญเกี่ยวกับอาหารการกินของพฤทธิกรที่กวีวัธน์เคยบอกไว้ก่อนหน้า ดังนั้นเพื่อไม่ของเหลือทิ้ง เขาจึงทำอาหารในจำนวนพอเหมาะพอควรกับคนที่ทานในแต่ละมื้อ ครั้งนี้เขาพลาดเองที่ไม่ยอมโทรถามก่อน

“ทิ้งไปก็ได้”ไม่ใช่แค่ความเสียดายที่เกาะกุมจิตใจ แต่มันรวมถึงความพยายามความตั้งใจของเขาที่โดนทอดทิ้งอย่างไม่เห็นค่า

“ง่ะ ไม่ดีหรอกค่ะ วันนี้พี่ปลาทำกับข้าอร่อยจะตาย ทิ้งไปก็น่าเสียดาย”เด็กสาวบอก “ข้าวพี่ปลายังไม่หมดเลย ทานอีกสิคะ”

“พี่ไม่ค่อยหิวน่ะ”เด็กหนุ่มพูดพร้อมลุกขึ้นยืน ถือจานของตัวเองลงไปเททิ้งลงถังขยะ ปวันรัตน์จึงลุกขึ้นมาถือจานอาหารยกเก็บใส่ไว้ในตู้เย็น

“พรุ่งนี้พี่ปลาแค่หุงข้าวแล้วอุ่นกับข้าวพวกนี้ก็พอแล้ว”

“คุณฤทธิ์ไม่ทานกับข้าวเก่าหรอก”

“รู้ได้ไงคะ ขนาดคราวก่อน ๆ ที่ปลาทำกับข้าวรสชาติห่วย ๆ น้าฤทธิ์ยังฝืนกินจนหมดเลย”

ภาพใบหน้าของชายหนุ่มในยามนั้นที่ถูกปวันรัตน์หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงผุดขึ้นมาในมโนความคิด ทำให้เด็กหนุ่มยกยิ้มหัวเราะ

“นั่นสิ งั้นพรุ่งนี้ลองอุ่นกับข้าวเก่าให้คุณฤทธิ์ลองทานดูดีกว่า” ถือว่าเป็นการแก้เผ็ดที่อีกฝ่ายไม่ยอมโทรบอกว่าติดงาน ซ้ำยังปิดเครื่องไม่ให้เขาโทรหา ปภินวิชคิดเช่นนั้นในใจ ก่อนจะไล่น้องสาวให้ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ส่วนตัวเขาหลังอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว กลับออกมานั่งดูทีวีอยู่ด้านนอก

นั่งดูทีวีรอชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องจนเวลาล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมาเสียที เขาง่วงนอนจนฝืนเปิดเปลือกตาไว้แทบไม่ไหว จึงปิดโทรทัศน์พลางพิงศีรษะกับพนักโซฟา ตั้งใจว่าจะพักสายตาแค่ครู่เดียวหรือถ้าเผลอหลับไปจริง ๆ เขาคิดว่า หากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องกลับมาถึง อีกฝ่ายคงต้องปลุกเขาให้ลุกไปนอนในห้องอย่างแน่นอน

ทว่าตอนที่ปภินวิชรู้สึกตัวกลับเป็นเวลาเช้าแล้ว โถงด้านนอกนั้นไม่ได้ปิดม่านไว้ แสงตะวันของเช้าวันใหม่จึงสาดส่องเข้ามาอย่างเต็มที่

เด็กหนุ่มกระเด้งตัวลุกขึ้น เมินเฉยต่ออาการเมื่อยขบของร่างกาย สาวเท้าเร็วรี่กลับไปเปิดประตูห้องนอนของพฤทธิกรเป็นอันดับแรก เนื่องจากเมื่อวานเขาตื่นตอนบ่ายซึ่งเลยเวลาทำความสะอาดของแม่บ้านไปแล้ว เตียงนอนจึงยับย่นจนไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีคนเข้ามานอนหรือเปล่า เขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องน้ำกับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งด้านในว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เขามองหา ปภินวิชจึงออกจากห้องที่พักอาศัยไปเคาะประตูห้องอีกห้องซึ่งเป็นอยู่บนชั้นเดียวกัน หนึ่งในบอดี้การ์ดของพฤทธิกรเป็นคนมาเปิดประตู

“คุณฤทธิ์ล่ะครับ”

“ไม่อยู่ที่นี่ครับ”พุฒิพงศ์ตอบกลับไป

“แล้วไปไหนครับ เมื่อคืนกลับมาหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“แล้วไปไหน”

“ท่านไม่ได้แจ้งครับ”

“อะไรกัน พี่พุฒิเป็นบอดี้การ์ดของคุณฤทธิ์ไม่ใช่หรือครับ”

“ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ คุณฤทธิ์บอกให้ผมมาคอยดูแลรับส่งคุณปุ้ย”

“อ้าว แล้วพี่ธนาล่ะ”

เจ้าของชื่อจึงเยี่ยมหน้าออกมา “คุณปลาจะไปไหนหรือครับ”

“เปล่าครับ แต่คุณฤทธิ์ไม่กลับมาที่ห้อง พี่ธนารู้หรือเปล่าว่าคุณฤทธิ์ไปไหน”

“ไม่ทราบครับ ท่านไม่ได้บอกไว้”

“อะไรกัน พี่ธนาเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่หรือ”

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้คุณฤทธิ์บอกให้คอยมาดูแลรับส่งคุณปลา”

“อะไรกัน”เด็กหนุ่มได้แต่พูดย้ำคำนี้อย่างไม่เข้าใจ “งั้นเดี๋ยวผมจะเข้าไปที่บริษัท”

เกิดเรื่องอะไรกันเนี่ย เด็กหนุ่มมีแต่ความสงสัย เรื่องที่พี่พุฒิคอยขับรถไปรับไปส่งน้องสาวที่โรงเรียน เขารับรู้มาก่อนหน้า หรือแม้แต่ยามที่เขาอยากไปไหนนายท่านจะคอยบอกให้พี่ธนาขับรถไปให้ ตอนนั้นเขาเข้าใจแค่ว่าเพราะชายหนุ่มทำงานอยู่แต่ภายในสำนักงาน ไม่นึกว่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนจะโดนเปลี่ยนตำแหน่งแบบนี้ด้วย

รวยจริง ๆ นะถึงได้จ้างบอดี้การ์ดให้มาทำงานเป็นพนักงานขับรถ เด็กหนุ่มนึกอย่างฉุนเฉียว

เขากลับเข้าห้องและเร่งรีบจัดการธุระอย่างเร็วไว หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จด้วยความรวดเร็ว จึงกลับมาเคาะประตูห้องข้าง ๆ อีกครั้ง เด็กหนุ่มยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดแม้จะขึ้นมานั่งอยู่บนรถยนต์แล้วก็ตาม เมื่อลงจากรถได้ เขารี่ไปที่ลิฟต์อย่างไม่รอช้า ทว่าการ์ดที่เคยใช้สำหรับลิฟต์ของสำนักงานกลับใช้ไม่ได้

“เป็นอะไรเนี่ย ทำไมใช้ไม่ได้ล่ะ”บ่นกับตัวเองเสร็จจึงหันไปหาธนาที่เดินตามหลังมา “พี่ธนา การ์ดของพี่ล่ะครับ ของผมมันใช้ไม่ได้”

“ผมไม่มีการ์ดเป็นของส่วนตัวครับ ถ้าจะไปไหนมาไหน จะยืมการ์ดของคุณก้อยมาใช้”

ปภินวิชย่นคิ้วเมื่อได้ฟังคำตอบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาสุธาณี มองเวลาที่แสดงอยู่บนมุมหน้าจอโทรศัพท์แล้วจึงเดินไปนั่งที่โซฟาในล็อบบี้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้างานเขาคงต้องรออีกพักใหญ่ นั่งมองพนักงานเดินเข้าลิฟต์ขึ้นตึกไปพลางด้วยหวังจะเห็นหญิงสาวผู้ที่มีตำแหน่งเลขาหน้าห้องปะปนอยู่กับฝูงชน กระทั่งแปดโมงถึงได้เดินไปหาพนักงานประจำเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“ผมมาขอพบคุณพฤทธิกรครับ”

“สักครู่ค่ะ”เธอตอบกลับมาพร้อมยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เธอถือสายอยู่นานจนต้องกดปุ่มโทรซ้ำอีกรอบ คราวนี้คงมีคนรับสาย เขาเห็นเธอกรอกเสียงลงไป ครู่ต่อมาจึงวางหูและหันมาแจ้งกับเขาว่า “วันนี้ท่านไม่เข้ามาทำงานค่ะ”

“แล้วคุณกวีวัธน์ล่ะครับ”

เธอยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง จากนั้นไม่นานหญิงสาวก็แจ้งกับเขาว่า คุณกวีวัธน์ไม่เข้ามาทำงานเช่นเดียวกัน

“ไปไหนของเขานะ”เด็กหนุ่มพูดพึมพำ “คุณฤทธิ์กับคุณกลอนแจ้งไว้หรือเปล่าครับว่าจะไปไหน”

“ท่านไม่แจ้งใครไว้เหมือนกันค่ะ และวันนี้คุณสุธาณีก็ลาพักร้อนค่ะ”

ปภินวิชกล่าวขอบคุณเธอ หมุนตัวหันหลังขณะที่ยังพูดพึมพำกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไปไหนกันนะ น่าจะบอกกันสักหน่อย

จู่ ๆ หายตัวกันไปทั้งคู่แบบนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงต้องมีการแจ้งความกันบ้างแล้ว ทว่าคนระดับพฤทธิกรคงไม่ได้หายไปเฉย ๆ แน่ แต่หายไปอย่างไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้มันสร้างความกังวลให้เขามากมาย หรือเพราะเรื่องที่เกิดเมื่อวานจะสร้างปัญหาจริง ๆ

 “หรือว่าจะกลับบ้านใหญ่ พี่ธนารู้จักบ้านใหญ่ของคุณฤทธิ์หรือเปล่า”ประโยคหลังเขาหันไปถามชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของพฤทธิกร

“รู้จักครับ”

“ถ้าอย่างนั้น พาผมไปหน่อยได้ไหมครับ”

“ที่บ้านใหญ่ มีคุณท่านทั้งสองอยู่นะครับ”ธนาพูดคล้ายเตือนสติเป็นเชิงถามว่าเขาพร้อมที่จะเจอบิดาและมารดาของพฤทธิกรแล้วหรือยัง ทั้งยังเป็นการไปเจอแบบที่ยังไม่ได้มีการแจ้งให้ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูได้รับทราบ

“นั่นสิ”เด็กหนุ่มหน้าม่อย ไปแล้วจะบอกว่าอะไรถ้าโดนถาม ที่สำคัญถ้าเกิดเจออีกฝ่ายอยู่ที่นั่น เขาคงรู้สึกแย่กว่านี้แน่ ๆ ปภินวิชเดินนำกลับไปที่รถ ในสมองครุ่นคิดไม่หยุดก่อนจะตัดสินใจว่า “กลับก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวตอนบ่ายมาใหม่”

ยังไงมันก็ต้องเจอสิน่า นายท่านจะทิ้งงานไปได้นานแค่ไหนกันเชียว



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-11-2017 07:23:20
เข้าใจว่าน้าฤทธิ์จะรู้สึกไม่แน่ใจในความสัมพันธ์อยู่บ้าง เพราะยังไม่ได้มีสถานะที่แน่นอน แถมปลากำลังเจอเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่แบบเด็กวัยรุ่น ดู ๆ แล้วปลายังไม่ยากยอมรับหรือปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มากกว่านี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะอายที่จะต่างจากคู่รักทั่วไปหรือเห็นว่ามันแปลกไม่เป็นไปตามธรรมชาติไม่เป็นที่ยอมรับ ส่วนนี้ก็น่าเห็นใจน้าฤทธิ์ แต่ก็เป็นหน้าที่ของน้านั่นละที่จะทำให้ปลารักและเชื่อมั่นจนปัญหาพวกนี้ไม่มีผลต่อจิตใจของปลา 
ส่วนเรื่องที่ไปทำงานต่างประเทศเป็นสัปดาห์แต่ไม่ยอมบอกนี่ไม่โอเคเท่าไหร่นะ ถึงจะเป็นกลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับก็เถอะ เข้าใจว่าคุณบอดี้การ์ดทั้งสองน่าจะเป็นคนคอยสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของปลาเมื่อน้าฤทธิ์หายไป ยังไงถ้าผ่านไปสัก 2-3 วันก็บอกไปเถอะว่าไปไหน คนคอยจะได้ไม่ห่วงมาก มันรู้สึกแย่นะถ้ารู้ทีหลังว่าเจ้าตัวเขาจงใจไม่บอก (ไม่ใช่บอกแล้วแต่ปลามัวให้ความสำคัญกับเพื่อนอันนี้เป็นอีกเรื่องเลย)
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 20-11-2017 08:10:03
ช่องว่างระหว่างวัยป่ะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 20-11-2017 08:25:03
ดีมากเลยน้าฤทธิ์ดัดนิสัยน้องซะบ้าง
ปฏิเสธเพื่อนไม่เคยเด็ดขาด
ก็ต้องโดนแบบนี้บ้างแหละ
ถ้าเจะเที่ยวก็ควรให้พอดี
เราอ่านยังหัวเสียเลย
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-11-2017 09:47:44
 o13 o13
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-11-2017 00:53:29
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 14 [20/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ดวงตะวัน ที่ 21-11-2017 14:51:36
 :3123:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 15 [24/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-11-2017 06:13:39
15



วันสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์นี้แล้ว ปภินวิชมานั่งเฝ้าอยู่ที่อาคารสำนักงานของพฤทธิกรทุกวันยังไม่มีโอกาสได้เจอชายหนุ่มสักครั้ง คีย์การ์ดสำหรับใช้งานลิฟต์ผู้บริหารก็ใช้งานไม่ได้เลยสักวัน ติดต่อหญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้องของพฤทธิกรก็ไม่ได้ ข้อความที่เคยส่งไปไม่มีการตอบรับเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา

จากที่ร้อนใจกังวลอยากเจอ อารมณ์ของเขาจึงเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ พร้อมกับมีความคิดว่า อีกฝ่ายคงพยายามตัดเขาออกจากชีวิต อย่างไรก็ตาม ปภินวิชกลับไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะคิดเพียงว่า ถ้านายท่านไม่ต้องการเขาแล้วก็ควรจะมาบอกเขาด้วยตัวเอง ไม่ควรหายหน้าไปอย่างนี้

คราวนี้เด็กหนุ่มจึงตั้งใจรุกหน้าไปอีกก้าว

เขาชะเง้อมองหน้าผู้บริหารซึ่งมีห้องทำงานอยู่ชั้นบนที่ตนคุ้นหน้า ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหาด้วยความกล้าหาญไม่กลัวเกรง เขายกมือไหว้ทักทายชายสูงวัยที่ยังยืนรออยู่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะ ไม่เจอกันนานเชียว เห็นฤทธิ์บอกว่าเรากำลังจะกลับไปเรียนต่อ นึกว่าไม่ได้มาทำงานที่นี่แล้วเสียอีก”ชยธรยกยิ้มให้พลางชวนคุยอย่างอารมณ์ดี

“เรื่องนั้น ต้องรออีกสักพักครับ คงเป็นปีการศึกษาหน้า”

ลิฟต์เคลื่อนที่ลงมาถึงแล้ว ชายสูงวัยก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ปภินวิชจึงตีหน้านิ่งก้าวเท้าตามไปติด ๆ เขาสวมชุดพนักงานทำความสะอาดมาที่สำนักงานทุกวัน แต่เพราะใช้การ์ดของตัวเองขึ้นชั้นบนไม่ได้ เขาจึงไม่ได้ขึ้นไปทำงานของตัวเอง จะให้โดยสารลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนกับผู้บริหารคนอื่น เขาก็ได้เจอกับการเหยียดสายตามองตั้งแต่วันแรก เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าขอโดยสารลิฟต์ขึ้นไปด้วย มีครั้งนี้นั่นแหละที่เขาบังเอิญได้เจอกับชยธร เขาจึงกล้าตีเนียนตามมา

ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นผู้บริหาร ปภินวิชก้าวเท้าตามออกมาทีหลังโดยมีธนาก้าวตามหลังเด็กหนุ่มไปอีกที

“รบกวนชงกาแฟให้ด้วยนะ”ชยธรเอ่ยบอกจากนั้นจึงสาวเท้าเดินไปยังห้องทำงานส่วนตัว เด็กหนุ่มจึงไปชงกาแฟให้ตามคำสั่ง

เมื่อเดินถือถาดเปล่าออกมาจากห้องทำงานของชยธร เด็กหนุ่มก็ยังไม่เห็นเลขาหน้าห้องท่านประธานมาทำงานเสียที ลองเดินไปจับลูกบิดที่ประตูห้องท่านประธาน ปรากฏว่ามันถูกล็อกอยู่เช่นเดียวกัน ปภินวิชขมวดคิ้วหมุนตัวกลับ เดินไปเปิดประตูห้องรับรองที่พฤทธิกรยกให้บอดี้การ์ดประจำตัวไว้อาศัยพักผ่อน

“ทำไมพี่ก้อยไม่มีทำงานสักที”

ธนาเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ในมือ “โทรถามฝ่ายบุคคลไหมครับ ไม่แน่ว่าวันนี้คุณก้อยอาจจะไม่มาทำงาน”

“อะไรกัน ลางานไปหลาย ๆ วันแบบนี้ก็ได้เหรอ”เด็กหนุ่มบ่น สมัยที่เขาทำงานเป็นพนักงานขายในห้าง จะลาสักทีกลับโดนบ่นเช้าบ่นเย็น

“ไม่แน่ว่าอาจไปกับท่านก็ได้”

“ไปด้วยกัน? สองคนนั้นเขากิ๊กกันอยู่เหรอ”เด็กหนุ่มถามหน้าตาตื่น

“คิดอะไรอยู่ครับ คุณก้อยเป็นลูกน้องในแผนกที่คุณฤทธิ์เป็นผู้จัดการอยู่ตั้งแต่สมัยที่คุณก้อยเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ ๆ  คุณฤทธิ์เห็นว่าคุณก้อยทำงานดีเลยดึงตัวให้มาทำงานเลขาน่ะครับ”

“พี่ธนารู้ดีจัง”

“คนรู้จักกัน ก็ต้องคุยกันบ้าง”ชายหนุ่มตอบก่อนเลี่ยงไปถามเรื่องอื่น “แล้วคุณปลาคิดว่าจะลงไปข้างล่างอย่างไรล่ะครับ”

“ลงทำไม ผมไม่ลงจนกว่าจะเจอคุณฤทธิ์หรือไม่ก็พี่ก้อย”

“ถ้าวันไหนที่คุณก้อยไม่มาทำงาน เธอจะสั่งอาหารสำหรับฝ่ายบริหารไว้ล่วงหน้าก็จริง แต่ถ้าคุณฤทธิ์ไม่มาทำงานแบบนี้ด้วย ผู้บริหารท่านอื่นจะลงไปทานอาหารที่ห้องอาหารพนักงานข้างล่างนะครับ”

“พี่ธนารู้ได้อย่างไรว่าคุณฤทธิ์ไม่มาทำงาน”ปภินวิชหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิด

“ท่านแจ้งไว้”

“ไหนทีแรกพี่บอกไม่รู้ว่าคุณฤทธิ์ไปไหน”

“ครับ ท่านไม่ได้แจ้งว่าไปไหน แต่แจ้งว่าคงไม่เข้าบริษัทจนกว่าจะกลับมา”

“อ้าว! ทำไมพี่ธนาไม่บอกผมล่ะ”

“เพราะคุณปลาไม่ได้ถาม”

ปภินวิชนิ่งอึ้งพูดไม่ออกด้วยอาการอ้าปากค้าง ก่อนจะพ่นลมหายใจฮึดฮัด กอดอกแล้วกระแทกไหล่กับพนักพิงโซฟาด้านหลังด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด เขาพลาดเองที่ไม่ได้ถามให้ละเอียด

“กลับก็ได้ครับ”เสียงพูดยังคงกระด้างอย่างขุ่นเคือง เขาไม่สนแล้วอยากไปไหนก็ไปเลย ปภินวิชพูดบอกตัวเองอยู่ในใจ

ธนาลุกขึ้นออกไปด้านนอก สักพักก็กลับมาเปิดประตูห้องส่งเสียงเรียกให้เด็กหนุ่มออกไปรอลิฟต์ แม้จะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแต่ปภินวิชยังหน้างอเป็นจวักที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวอยู่ในภาวะไม่สบอารมณ์

เมื่อกลับมาถึงคอนโดแล้ว เด็กหนุ่มสาวเท้าลิ่วตรงดิ่งไปยังห้องที่ตนอยู่อาศัยมาหลายเดือนทันที

“ถ้าคุณปลาจะออกไปไหน ก็มาเคาะประตูนะครับ”

“ผมไม่ไปแล้วครับ”เขาพูดก่อนจะเปิดประตูห้องพร้อมปิดลงเสียงดังปังที่สนั่นไปทั้งชั้น ธนายกยิ้มมุมปาก สงสัยงานนี้ คุณฤทธิ์จะเดินเกมผิด



ปภินวิชเดินตรงเข้าไปในห้องนอนของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง หยิบหมอนที่อีกฝ่ายใช้หนุนนอนประจำขึ้นมาชี้มือใส่

“เป็นบ้าอะไรฮะ? จะไปไหนทำไมไม่รู้จักบอก คิดว่าตัวเองโตกว่าแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ ปากน่ะมีไหม พูดแค่นี้มันจะตายหรือไง”เด็กหนุ่มพูดกับหมอนใบนั้นด้วยความฉุนเฉียวพร้อมกล่าวพูดขู่อาฆาต “กลับมาเมื่อไหร่นะโดนแน่”

“คุณปลา?”

เสียงเรียกทำให้เด็กหนุ่มชะงัก เขาหมุนตัวไปทางต้นเสียงพลางซ่อนหมอนที่ถือไว้ด้านหลัง และเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงอ่อยประสมความเก้อกระดาก “พี่ชะเอม”

แม่บ้านประจำคอนโดของพฤทธิกร ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำสวมถุงมือยางไว้ทั้งสองข้าง เธอได้เสียงของปภินวิชขณะที่กำลังทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ด้านใน จึงได้ออกมาดู

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่า ๆ ไม่มีเลยครับ ไม่มีอะไรเลย”เด็กหนุ่มโบกมือปฏิเสธอุตลุด ก่อนจะสังเกตเห็นหมอนที่ตนถือไว้ จึงหันหลังวางมันลงและจัดตำแหน่งให้กลับมาดูดีเหมือนเดิม หันมาเห็นชะเอมยังยืนมองอยู่ถึงได้ยกยิ้มแหย ๆ ส่งไปให้อีกรอบ จากนั้นจึงเดินเลี่ยงออกไปด้านนอก

พ้นสายตาบุคคลอื่น ปภินวิชตีหน้าบึ้งอีกครั้ง พลางคิดตั้งมั่นในใจว่า จะโกรธ!!! โกรธจริงจังเลยด้วย!!! และจะไม่ยอมดีด้วยกับคนที่จู่ ๆ ก็หายไปอย่างง่าย ๆ แน่

“พี่ปลา”ปวันรัตน์เปิดประตูออกมาจากห้อง “กลับมาเร็วจัง ไม่ต้องทำงานเหรอ”

“ทำได้ซะที่ไหน คุณฤทธิ์ไม่อยู่ เลขาไม่อยู่ คุณกลอนก็ไม่อยู่”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะคะ”

“ก็ขึ้นลิฟต์ไม่ได้นะสิ”

น้องสาวทำหน้าสงสัย เด็กหนุ่มจึงเล่ารายละเอียดให้ฟังเพิ่มเติม “ถามจริง คุณฤทธิ์ไม่ได้บอกอะไรกับปุ้ยบ้างเหรอ”

“บอกว่าไม่อยู่สักพักนะต้องไปทำงานที่อื่น”

“อ้าว! แล้วทำไมปุ้ยไม่บอกพี่”

“อ้าว!”คนเป็นน้องสาวร้องอุทานออกมาด้วย “ปุ้ยนึกว่าพี่ปลารู้ เห็นพี่ปลาไปทำงานกับน้าฤทธิ์ทุกวัน อีกอย่างน้าฤทธิ์ไม่ได้บอกว่าจะไปวันไหน ปุ้ยก็คิดว่า เดี๋ยวน้าฤทธิ์จะไปวันไหนพี่ปลาคงจะบอกปุ้ยเอง”เธอยังบ่นงึมงำต่อไปว่า ใครจะไปรู้ว่าพี่ปลาไม่รู้ พลางเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรรองท้อง

“พี่ทำกับข้าวไว้แล้ว”เขาร้องบอกพร้อมเดินเข้าไปช่วยน้องสาวอุ่นกับข้าว

ครู่หนึ่งต่อมา แม่บ้านวัยกลางคนก็โผล่หน้าออกมาจากห้องนอนของพฤทธิกร เดินผ่านโต๊ะทานอาหารที่สองพี่น้องนั่งอยู่

“พี่ชะเอมคะ”เด็กสาวเรียก สองมือยังถือช้อนและส้อม เธอรีบเคี้ยวข้าวในปากกลืนลงคอก่อนพูดว่า “ไม่ต้องทำความสะอาดห้องให้ปุ้ย”

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณฤทธิ์เธอจ่ายค่าแรงให้พี่แล้ว”ตอบเสร็จเธอก็รีบเดินหายเข้าไปในห้องนอนของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว

“ถ้าอยากช่วยพี่ชะเอมก็อย่าทำห้องรก”ปภินวิชหันมาพูดกับน้องสาว เธอจึงตอบกลับไปว่าไม่เคยทำรกเลยสักครั้ง

“แล้วปุ้ยรู้หรือเปล่าว่าคุณฤทธิ์จะกลับมาเมื่อไหร่”เด็กหนุ่มวกกลับมาถามเรื่องนี้อีกครั้ง

“ไม่รู้ค่ะ น้าฤทธิ์บอกแค่สักพัก”

“มิน่า เธอถึงดูไม่ตื่นเต้น”

“จะตื่นเต้นอะไรล่ะคะ น้าฤทธิ์โตแล้วนะ”เธอเงยหน้าขึ้นมาพูด “แล้วก็ไม่ใช่แฟนปุ้ยซะหน่อย พี่ปลานั่นแหละที่ควรจะรู้ว่าน้าฤทธิ์ไปไหนแต่กลับไม่รู้”

“ไม่ใช่แฟนซะหน่อย”

“แต่ไปนอนห้องเดียวกับเขาทุกคืนเนี่ยนะ”ปวันรัตน์เอ่ยแซว

“พ... เพราะ... เพราะพี่อยากให้ปุ้ยรู้สึกเป็นส่วนตัวต่างหาก เธอโตแล้ว เผื่ออยากเปลี่ยนเสื้อในห้องจะได้ไม่ต้องอาย”

“สีข้างถลอกแล้ว เสื้อผ้าพี่ปลาอยู่ในห้อง ยังไงตัวเองต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องเดียวกับเค้าอยู่ดีแหละ”เด็กสาวส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

“งั้น... งั้นพี่กลับมานอนด้วยก็ได้”

“โอ๊ะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ปุ้ยนอนคนเดียวได้”

“ไม่ พี่ตัดสินใจแล้ว”เด็กหนุ่มพูดเสียงขุ่น ย้ำกับตัวเองว่าจะไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ

“งอนน้าฤทธิ์เหรอ”ปวันรัตน์เอ่ยถามหน้าเป็น ก่อนจะพูดต่อไปว่า “พี่ปลาก็น่าโดนโกรธ เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านหนีเที่ยว”

ปภินวิชสะดุ้งหันมองน้องสาวด้วยความตระหนก “รู้ได้ไง”

“ปุ้ยเห็นในเฟซพี่ฟรังค์”เด็กสาวพูดตอบพลางตักข้าวทานต่อ “เป็นปุ้ยจะจับพี่ปลามาตีก้นให้เข็ด”

“รอให้ปุ้ยอายุเท่าพี่ก่อนเถอะ ขี้คร้านจะอยากเที่ยวเหมือนกัน”ปภินวิชลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม่อยากคุยกับน้องสาวอีกแล้ว “เก็บจานให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”เขาสั่งก่อนจะสะบัดหน้าหนี

อย่างไรก็ดี ถึงจะบอกว่ากำลังโกรธพฤทธิกรอยู่ แต่เด็กหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองอีกว่าโกรธก็ส่วนโกรธแต่ถ้าได้เจอตัวต้องจัดการก่อน มีอย่างที่ไหน ไปไหนไม่บอกกล่าว

ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าพฤทธิกรไปทำงาน ไม่รู้เพียงแค่ไปทำงานที่ไหนและกลับเมื่อไหร่ ซึ่งกรณีที่นี้สามารถเดาได้ไม่ยาก การไปทำงานในสถานที่ที่ต้องค้างคืนมีแค่ต่างจังหวัดกับต่างประเทศเท่านั้น ปภินวิชจึงได้แต่พยายามทำใจร่ม ๆ เข้าไว้ อย่างไรซะ เมื่อพฤทธิกรทำงานเสร็จ ชายหนุ่มก็ต้องกลับมา

เด็กหนุ่มรออีกอย่างใจเย็นต่ออีกสองวัน คนที่เขาอยากเจอก็ปรากฏตัวให้เห็น ปภินวิชไปนั่งเฝ้าอยู่ที่อาคารสำนักงานเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อน ถึงได้พบพฤทธิกรเดินผ่านหน้าไป เขารีบรวบเก็บหนังสือที่เตรียมมาอ่านฆ่าเวลาแล้วปรี่เข้าไปหาทันที

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงเขียวโดยไม่สนใจกวีวัธน์และชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามมาด้านหลัง

“จะทำอะไรให้มันรู้จักกาลเทศะด้วย”กวีวัธน์เอ่ยเตือน แต่ปภินวิชยังอยู่ในอารามไม่พอใจ ความเคืองโกรธซึ่งสุมรอวันสะสางมาตลอดทั้งอาทิตย์กำลังปะทุรุนแรงจนเห็นช้างตัวเท่ามด เขาขึงตาใส่หลานชายของนายท่านอย่างไม่กลัวเกรง

“กลอน เงียบไปเลย”พฤทธิกรปรามหลานชาย ก่อนจะหันไปพยักพเยิดรุนหลังเด็กหนุ่มให้เข้าไปในลิฟต์พร้อมบอกให้ขึ้นไปคุยกันข้างบน

เห็นบรรยากาศอึมครึมคล้ายจะมีเรื่อง ชายหนุ่มอีกคนผู้อยู่ในตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารซึ่งเดินทางไปต่างประเทศพร้อมพฤทธิกร จึงโบกมือขอขึ้นลิฟต์เที่ยวถัดไป หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงเอาอย่างปล่อยให้น้าชายขึ้นไปจัดการเด็กในปกครองใช้เชื่องเสียก่อน

ดังนั้นเมื่อเห็นในลิฟต์เหลือกันเพียงสองคน ปภินวิชจึงเอ่ยถามทันที “ทำไมจะไปไหนถึงไม่บอกกันบ้างล่ะครับ จู่ ๆ ก็หายไปแบบนี้ทำให้ผมกังวลแค่ไหนรู้หรือเปล่า”

“ฉันคิดว่าเธอน่าจะดีใจเสียอีก จะได้ออกเที่ยวให้หนำใจ”

ปภินวิชชะงักนิ่งงันมองหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มยังเชิดหน้ามองตรงไม่ปรายตามองมาทางเขาสักนิด คดีพลิกกลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มเป็นคนผิดไปเสีย แต่ปภินวิชไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้น เขาเพียงรู้สึกราวกับว่าความกลัวกังวลที่ผ่านของเขามันสูญเปล่า เขาอาจไม่มีสิทธิ์อ้างว่าปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ เขาอาจจะเมาทำตัวเละเทะจริง ๆ เขาอาจจะเคยโกหก แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกดีกับสิ่งที่ทำลงไป

ภาพตรงหน้าที่เห็นพร่าเลือนมากขึ้น

“ถ้าไม่ชอบก็บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่ครับ”เด็กหนุ่มพูดบอกเสียงเครือ “ถ้าคุณบอก ผมต้องยอมทำตามอยู่แล้ว”พลางก้มหน้าใช้หลังมือปาดน้ำมูกที่ไหลออกมา

เสียงสูดน้ำมูกทำให้พฤทธิกรหันมองซึ่งเห็นเพียงใบหน้าก้มต่ำและปลายจมูกสีแดงเรื่อ เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งไปให้ ปภินวิชยกมือไหว้ขอบคุณก่อนรับไปถือ

ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนแล้วแต่เด็กหนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“เดี๋ยวผมกลับก่อนดีกว่า”เขาพูดบอกทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นนั้น พฤทธิกรที่ออกไปยืนอยู่ด้านนอกจึงต้องก้าวเท้ากลับเข้าไปคว้าข้อมือบางและดึงลากไปด้วยกัน ขณะที่ปภินวิชยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เริ่มจะไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อมาอยู่ในลับตาคนอย่างในห้องทำงานแล้ว ชายหนุ่มจึงดึงปภินวิชเข้ามากอดพลางลูบศีรษะปลอบ “ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่ว่าอะไรยังไง เมื่อกี้คุณยังว่าผมอยู่เลย”เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อว่า

“เมื่อกี้แค่ล้อเล่น”

“ผมไม่สนุกด้วยนะ บอกดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องมาพูดกระแทกแดกดันกันด้วย”ปภินวิชกำหมัดทุบแผงอกกว้างอย่างไม่ออมแรงจนพฤทธิกรถึงกับสะดุ้ง “ถ้าโกรธก็บอกว่าโกรธ อย่ามาหายไปเฉย ๆ รู้ไหมว่ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย”

เด็กหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่นึกอาย ก่อนจะซบหน้าเช็ดหยาดน้ำซึ่งร่วงพราวกับเสื้อสูทที่ชายหนุ่มสวมใส่อยู่อย่างไม่สนใจราคาของมัน

การที่พฤทธิกรหายไปโดยที่ติดต่อไม่ได้ทำให้เขากังวลใจมาก เขากลัวว่าชายหนุ่มจะโกรธก็ส่วนหนึ่ง แต่กังวลเป็นห่วงกลัวจะเกิดเหตุร้ายแรงมากกว่า เขาเคยคิดว่าอุบัติเหตุหรือการเสียชีวิตของคนใกล้ตัวเป็นเรื่องอีกยาวไกล แต่มันไม่ใช่เลย มันเคยเกิดขึ้นปุบปับกะทันหันกับเขามาแล้วและเขาก็กลัวว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นซ้ำอีก

“ขอโทษ ไม่ต้องร้องแล้วนะ สัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”พฤทธิกรพูดพลางลูบหลังลูบไหล่เด็กหนุ่มซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพลาง แตะจูบข้างขมับพร้อมกล่าวปลอบประโลมซ้ำ ๆ

กระทั่งผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เด็กหนุ่มถึงได้คลายอาการสะอื้นลง ใบหน้าของเขาแดงช้ำอย่างน่าสงสารซ้ำผิวหน้ายังร้อนผ่าวจากการร้องไห้

“ทำไมคีย์การ์ดของผมใช้ไม่ได้ล่ะครับ”ปภินวิชพูดถามพร้อมหยิบการ์ดเจ้าปัญหาขึ้นมาให้ชายหนุ่มดู ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีอึกอักทำตัวไม่ถูก

“ฉันสั่งไว้เอง”

“ทำไมล่ะครับ ผมทำอะไรผิดอีกเหรอ”เขาถามด้วยอาการร้อนรน

“เปล่า แค่ไม่อยากให้เธอรู้เร็วเกินไปว่าฉันหายไปไหน”

“อะไรกัน”ปภินวิชทุบกำปั้นลงบนอกของชายหนุ่มไปอีกทีและพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง“จงใจแกล้งผมขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ที่เคยบอกว่านายท่านใจดี ผมขอถอนคำพูด”

เด็กหนุ่มสะบัดตัวหนีเพียงแต่อีกฝ่ายกอดรัดเขาไว้แน่นไม่ยอมให้หลุดไปไหน พฤทธิกรใช้มือข้างหนึ่งช้อนใบหน้างอง้ำให้เงยขึ้นขณะที่ตัวเองโน้มหน้าลงไปหา ใบหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้ปภินวิชเอี้ยวตัวดิ้นหนี

“ขอโทษ ไม่โกรธนะ”พฤทธิกรพูดเสียงอ้อน

ปภินวิชหันหน้าหนีไปอีกด้านชายหนุ่มก็ขยับมาดักไว้ เขาเบ้หน้าเมื่อสบนัยน์ตาแวววาวคู่นั้นจึงหลุบตาหนีไม่ยอมมอง พฤทธิกรใช้จังหวะนั้นแนบจุมพิตลงไป คนที่โดนลวนลามจึงเงยขึ้นมองด้วยความตระหนก

“ใครอนุญาต”

“ต้องมีคนอนุญาตด้วยเหรอ”

“แต่...”ปภินวิชพูดไม่ออก เขายังไม่ยินยอมซะหน่อย เอาเปรียบกันเกินไปแล้ว ทว่าชายหนุ่มร่างสูงเห็นคนในอ้อมกอดยังอ้ำอึ้งจึงแนบริมฝีปากตามซ้ำลงไปอีกครั้ง มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มซึ่งยังคงเป็นอิสระพยายามดันร่างที่รุกรานตนให้ออกห่างด้วยความตกใจ เพราะจูบครั้งนี้ต่างจากจูบครั้งก่อน ไม่ใช่จูบที่เพียงแค่แตะริมฝีปากลงมา

หัวใจของปภินวิชเต้นโครมครามกระเด็นกระดอนไปตามการขยับขบเม้ม ความนุ่มนวลที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้เขาเคลิ้มคล้อยตามยอมเปิดริมฝีปากให้ชายหนุ่มได้รุกปลายลิ้นเข้ามา พอ ๆ กับสองมือที่เปลี่ยนจากผลักไสเป็นขย้ำขยุ้มกำเสื้อสูทของพฤทธิกรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว

ปภินวิชโดนกวาดต้อนจนร่างกายอ่อนระทวยคล้ายกำลังหมดลมหายใจ ฝ่ายนั้นจึงผละออกห่างแต่ยังคลอเคลียแต้มจูบลงบนริมฝีปากฉ่ำน้ำ ก่อนจะแนบสัมผัสลึกซึ้งซ้ำลงไปอีกครั้ง เพียรเกี่ยวกระหวัดดูดชิมความหวานจากโพรงปากของร่างในอ้อมกอดราวกับคนกระหายมาเนิ่นนาน

“พ...พอก่อน... เถอะครับ”เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เขาหวิววาบในช่องท้องตัวเบาเหมือนจะลอยได้และกำลังไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนแล้ว ปภินวิชหอบหายใจพร้อมก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนลวนลามอีกรอบ

“โอเค พอก็พอ”พฤทธิกรเอ่ยบอก ดึงร่างของเด็กหนุ่มให้พิงอกตนเองไว้พร้อมลูบหลังไปพลาง

ทว่าฉับพลันนั้นเอง ประตูห้องทำงานได้เปิดออก ปภินวิชจึงกระเด้งตัวออกห่างพฤทธิกรทันใด

“โอ๊ะ ขอโทษครับ”กวีวัธน์ร้องบอกแต่สีหน้าไม่มีเค้าของความสำนึกผิด “พอดีเมื่อกี้ผมแอบฟังที่ประตู ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยถึงได้เปิดเข้ามา นึกว่าน้าฤทธิ์อยู่ห้องอื่นซะอีก”

ปภินวิชหันรีหันขวางลุกลี้ลุกลนเพราะความขัดเขิน ก่อนจะโพล่งออกไปว่า “ผมกลับก่อนนะครับ” แล้วรีบเผ่นแผล็วออกจากห้อง ปรากฏว่าที่หลังบานประตู เขายังเห็นคนอื่นอีกสองสามคนยืนอออยู่แถวโต๊ะทำงานของสุธาณี เด็กหนุ่มจึงก้มหน้างุด ๆ เดินไปที่ลิฟต์โดยไม่มองหน้าใคร ก่อนจะต้องเดินย้อนกลับมาเพราะบัตรของเขาใช้งานไม่ได้

“คุณฤทธิ์ เปิดลิฟต์ให้หน่อย”เขาร้องบอกเมื่อเงยหน้าเห็นคนที่ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอย่างนี้

“เดี๋ยวให้ธนาไปส่ง”

คนฟังเหลือบตาไปมองบอดี้การ์ดร่างสูงที่เดินตามหลังพฤทธิกรมา จากนั้นจึงสั่นศีรษะระรัว “ผมกลับเองได้”เขาพูดเสียงเบา คะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายเรียกลิฟต์ให้สักที เขาอยากไปจากที่นี่ใจจะขาดแล้ว

พฤทธิกรแตะการ์ดบนจอและกดปุ่มเรียก ปรากฏว่าประตูลิฟต์เปิดออกทันที

“เดี๋ยวให้ธนาไปส่ง”พฤทธิกรยังย้ำบอก

“ไม่”ปภินวิชยังสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างแข็งขัน  เขาก้าวเข้าไปด้านพลางรัวนิ้วบนแผงควบคุมเพื่อให้ประตูลิฟต์ปิดเร็ว ๆ 

“ผมกลับเองได้ เจอกันที่บ้านนะครับ”

กระทั่งประตูลิฟต์ปิดเหลือแค่ตนเองอยู่เพียงลำพังแล้ว ปภินวิชจึงได้ทิ้งศีรษะพิงประตูโลหะเย็นเฉียบ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ ใบหน้าของเขายังคงร้อนผ่าว เด็กหนุ่มถึงได้วางมือแนบกับวัตถุตรงหน้าซึ่งเย็นกว่าอุณหภูมิร่างกาย จากนั้นจึงเอามาแนบหน้าตัวเอง

ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางบนรถไฟฟ้าและอยู่บนรถเมล์ ทำให้หัวใจที่เต้นโครมครามจากความขัดเขินจางหายไป เขาเงยหน้ามองฟ้าที่ครึ้มมัวพร้อมอากาศที่เริ่มเย็นลงพลางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่ไม่ต้องฝ่าแสงแดดร้อนจ้ากลับเข้าคอนโด บ่าย ๆ เช่นนี้รถยนต์บนถนนซอยยังวิ่งขวักไขว่ ขณะที่ผู้คนบนทางเท้ากลับดูบางตา

ปภินวิชชะงักเท้าเมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ริมถนนจึงเดินเข้าไปหา หลังถามไถ่ก็ได้ความว่าเด็กน้อยหลงทาง เจ้าตัวยื่นกระดาษจดที่อยู่มาให้ดู หากในสมองคิดลังเลว่าควรพาไปหาตำรวจดีหรือเปล่าเนื่องด้วยเขาไม่รู้จักที่ทางแถวนี้

บนกระดาษใบนั้นเขียนชื่ออะพาร์ตเมนต์ เลขที่ตั้งและเลขที่ห้อง เด็กหนุ่มลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดค้นหาดู ปรากฏว่ามันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

“ปะ เดี๋ยวพาไปส่ง”เขาบอกพลางคว้าจับมือเด็กคนนั้นขึ้นมาจูง ตามแผนที่บนแอปพลิเคชัน เขาต้องเลี้ยวเข้าซอยหน้า เจอแยกแล้วเลี้ยวอีกรอบ เดินเท้าต่ออีกไม่กี่นาทีก็เห็นป้ายชื่ออะพาร์ตเมนต์มาแต่ไกล ยังแอบคิดว่าไม่น่าจะหลงได้แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าเด็กตัวแค่นี้ควรจะรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหนจึงปล่อยความคิดนั้นให้มันผ่านไป

อะพาร์ตเมนต์นั้นทาตัวตึกเป็นสีส้มดูใหม่เหมือนเพิ่งสร้างไม่นาน ประตูทางเข้าเปิดโล่งไม่มีคนเฝ้า

เห็นท่าทางยังคงสะอึกสะอื้นของเด็กชาย เด็กหนุ่มได้แต่มองตัวเลขในกระดาษอีกรอบ เยี่ยมหน้าเข้าไปมองหมายเลขห้องที่ติดอยู่บนบานประตูของห้องชั้นล่าง จึงพอเดาได้ว่า หมายเลขห้องที่ระบุอยู่บนกระดาษอยู่บนชั้นห้าและเหมือนว่าอาคารหลังนี้จะไม่มีลิฟต์ เขาถอนหายใจพลางจูงมือเด็กชายเดินขึ้นบันได

นาน ๆ เดินขึ้นบันไดถึงห้าชั้นสักครั้งปภินวิชถึงกับอ้าปากหอบ

ห้องพักสองฝั่งหันประตูเข้าหากัน ทางเดินกว้างแต่รู้สึกว่าจะค่อนข้างเก่ากว่าภายนอกอาคารที่เห็นเมื่อสักครู่ หมายเลขห้องที่ระบุบนกระดาษอยู่สุดทางเดิน เขามองเด็กที่เดินจูงมือมาซึ่งเจ้าตัวยังไม่หยุดสะอื้น จากนั้นขยับเท้าไปลองเคาะประตู

ประตูห้องค่อย ๆ แง้มเปิดทำให้เด็กหนุ่มจินตนาการถึงหนังสยองขวัญ เขายกยิ้มแหยทว่ายังไม่ทันพูดอะไรกลับโดนกระชากดึงคอเสื้อเข้าไป ถูกดันร่างเบียดกับผนังโดยมีมืออีกข้างประกบที่กึ่งปากกึ่งจมูก ฝ่ายตรงข้ามลงน้ำหนักมือจนเขาเจ็บไปทั้งหน้า และด้วยความตระหนกเขาถึงได้สูดกลิ่นหอมแปลก ๆ จากผ้าชุ่มน้ำในมือข้างนั้นเข้าไปเต็มปอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นแม้เด็กหนุ่มจะพยายามดิ้นรน สุดท้ายเขาก็ต้องสิ้นสติไปอย่างไม่จำยอม

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องปล่อยร่างที่ไร้สติกองไว้ตรงนั้น ดึงประตูเปิดออกพร้อมส่งเงินให้เด็กชายที่ยังยืนรออยู่หน้าห้องซึ่งเจ้าตัวได้ยื่นมือมาคว้าหมับอย่างรวดเร็ว ใบหน้าไร้ร่องรอยอาการสะอื้นไห้ที่แสร้งทำมายาวนาน แล้วหมุนตัววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

เขาหันกลับมาหาเหยื่อและลงมือค้นตัว ได้กระเป๋าเงินที่ภายในมีเงินอยู่สองพันกว่าบาทและบัตรเอทีเอ็ม จึงลองเปิดค้นหารหัสบัตรในโทรศัพท์หรือกระดาษจดตามซอกกระเป๋า เมื่อไม่พบจึงโยนมันใส่ถุงกระดาษเตรียมนำไปทิ้ง

จากนั้นจึงลากเด็กหนุ่มมาที่เตียงลงมือปลดกระดุมเสื้อที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่

“ว้าว หน้าตาดียังไม่พอ ผิวยังขาวขนาดนี้เลย น้องนี่โชคดีชะมัด”เขาหัวเราะพลางโน้มหน้าแลบลิ้นเลียแผ่นอกของเด็กหนุ่ม แล้วผละออกออกมาปลดกระดุมกางเกง เปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ปภินวิชสวมใส่อยู่จนหมด ลุกเดินไปหยิบเชือกและกุญแจมือที่มีเก็บไว้อย่างใจเย็น

สวมกุญแจมือเข้าที่ข้อมือของเหยื่อคล้องไว้กับโครงเหล็กหัวเตียง จับขาทั้งสองข้างกางออกกว้างและมัดยึดไว้ด้วยเชือกกับสก็อตเทป ใช้ฝ่ามือหยาบกระด้างลากลูบต้นขาไปหยุดที่จุดอ่อนไหวกลางลำตัวของเหยื่อพร้อมขยำมืออย่างหยอกเย้า ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความหื่นกระหาย

“รอก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะกลับมาเล่นสนุกกับน้อง”

ปภินวิชยังคงหลับสนิทเพราะพิษยาสลบ โดยไม่รู้เลยว่าตนต้องเผชิญกับอันตรายใดเมื่อลืมตาอีกครั้ง




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 15 [24/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2017 08:55:21
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 15 [24/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-11-2017 11:33:42
เอ้า!!!!! งานเข้า
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 15 [24/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-11-2017 12:47:29
 :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 15 [24/11/2017] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-11-2017 21:15:13
 :z6: อยู่ดีๆโรคจิตมาจากไหนเนี่ย
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 16 [28/11/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-11-2017 06:50:41
16



เสียงเปิดประตูดึงความสนใจของปวันรัตน์ให้ชะโงกศีรษะข้ามพนักโซฟายื่นหน้าออกไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่ตนเรียกขานว่าน้าจึงยกมือไหว้พลางกล่าวทักทาย

“แล้วพี่ปลาล่ะคะ”เธอถามเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ชาย

“หือ ปลายังกลับมาไม่ถึงอีกเหรอ”

“ตอนที่ปุ้ยกลับมาถึงห้องก็ไม่เจอพี่ปลานะคะ”

พฤทธิกรขมวดคิ้ว ลวงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกทว่ากลับไม่มีสัญญาณตอบรับที่ปลายสาย

“หรือว่าแบตหมด”เด็กสาวพูดเมื่อพฤทธิกรบอกว่าโทรไม่ติด “แต่ไม่แน่ว่า พี่ปลาอาจจะแวะซื้อของที่ซูเปอร์ก็ได้ เดี๋ยวก็คงกลับมาแหละค่ะ”จากนั้นจึงเล่าให้พฤทธิกรฟังว่า ช่วงอาทิตย์ก่อนเธอและพี่ชายไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเกตใกล้ ๆ คอนโดอยู่บ่อยครั้ง

“เดี๋ยวน้าไปดูหน่อยดีกว่า”พฤทธิกรถอดเสื้อสูทถือไปวางพาดไว้บนเตียง ปลดกระดุมแขนเสื้อและพับขึ้นมากองแถวข้อศอก

“งั้นปุ้ยไปเป็นเพื่อน”เธอรีบลุกขึ้นยืนปิดโทรทัศน์ เดินตามชายหนุ่มที่เดินลิ่ว ๆ นำออกไป

“น้าฤทธิ์ พี่ปลาไม่เป็นอะไรหรอก”เด็กสาวกล่าวปลอบเมื่อเห็นพฤทธิกรร้อนรนกระสับกระส่ายกว่าปกติ พลางชวนคุยต่อไปว่า “บางทีพี่ปลาก็ชอบเดินดูของเพลินจนลืมเวลา เมื่อก่อนพ่อกับแม่ต้องโทรตามบ่อย ๆ”ที่ปวันรัตน์ยังไม่รู้ สมัยก่อนพี่ชายของเธอใช้ชอบข้ออ้างนั้นยามตอบคำถามของพ่อแม่ก็จริง แต่ส่วนใหญ่เจ้าตัวมักจะเถลไถลอยู่กับเพื่อนจนลืมเวลาเสียมากกว่า

“แต่โทรศัพท์ก็น่าจะติดต่อได้”

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ เธอจึงได้แต่โคลงศีรษะอย่างไม่มีความเห็น ปวันรัตน์ใช้โทรศัพท์จอสีรุ่นปุ่มกดที่แบตเตอรี่อึดทนทานใช้งานได้ข้ามวันโดยไม่ต้องชาร์จไฟ เธอจึงไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของพี่ชายเปิดใช้งานได้นานแค่ไหน ตอนที่ยืมโทรศัพท์ของพี่ชายมาเล่นเกมก็เสียบชาร์จไฟตลอดเสียด้วย

พฤทธิกรออกจากลิฟต์ที่ชั้นที่จอดรถ เด็กสาวจึงร้องเรียกไว้ “น้าฤทธิ์จะไปไหนคะ”

“น้าจะขับรถไป”

“เดี๋ยวสวนทางกับพี่ปลาเอานะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าดูที่ซูเปอร์แล้วไม่มีค่อยโทรบอกให้ธนาไปดูที่ห้องก็ได้ ขับรถไปเร็วกว่า”เขาก้าวเท้ายาว ๆ ตรงดิ่งไปที่รถโดยไม่หยุดเท้ารอพูดประโยคนั้นให้จบ ปวันรัตน์จึงต้องรีบวิ่งตามไปเพราะไม่อยากถูกทิ้ง เธอไม่ได้มีอะไรติดตัวมาสักอย่างไม่ว่าจะโทรศัพท์หรือคีย์การ์ด

พฤทธิกรขับรถออกมาโดยสอดส่ายสายตามองข้างทางไปด้วย เมื่อเห็นป้ายซูเปอร์มาเกตจึงเปิดไฟเลี้ยวก่อนหักเลี้ยวรถเข้าไป หลังได้ที่จอดรถก็รีบก้าวเท้ายาวเข้าไปด้านใน

เขากังวลใจเพราะเด็กหนุ่มกลับผิดเวลาทั้งยังไม่รับโทรศัพท์ เมื่อกลางวันเจ้าตัวเพิ่งร้องไห้เพราะคำว่ากล่าวของเขาอยู่หยก ๆ เขาจึงไม่คิดว่าปภินวิชจะทำตัวเถลไถลได้อย่างฉับพลันเช่นนั้น

ซูเปอร์มาเกตมีพื้นที่การให้บริการเพียงชั้นเดียวและแม้ว่าช่วงเย็น ๆ จะมีผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่ แต่เขาคิดว่าแค่เด็กผู้ชายคนเดียวคงไม่น่าจะหลงหูหลงตาไปได้ หลังเดินวนไปวนมาอยู่สองถึงสามรอบ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่า คนที่เขาตามหาคงไม่ได้อยู่ในนี้

เขายกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออก

“ธนา ไปดูที่ห้องหน่อย ปลากลับมาหรือยัง ถ้ายังช่วยเช็กสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ตำแหน่งล่าสุดให้ที”หลังกดตัดสาย เขาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์แล้วกดโทรออก

“สวัสดีครับ”

ปลายส่งเสียงตอบรับและถามกลับมาว่าสบายดีไหม พฤทธิกรจึงต้องพูดคุยทักทายอีกสองสามประโยค ก่อนจะได้พูดธุระที่ตนตั้งใจโทรหา

“ผมโทรมารบกวนขอความช่วยเหลือครับ”เขาเงียบฟังสิ่งที่ปลายสายตอบกลับมาก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ผมอยากจะเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดนะครับ อยากจะขอความกรุณาให้ท่านช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่อย”





เมื่อลืมตาขึ้นมาปรากฏว่าในห้องแห่งนั้นมีแต่ความมืดสนิท เขาพยายามกวาดตามองทว่าฉับพลันนั้นแสงสว่างจากโคมไฟวัตต์ต่ำกลับสาดส่องเข้าตา เขาหลับตาลงและเบือนหน้าหนี

“ในที่สุดน้องก็ตื่นแล้ว”เสียงแหบพร่าดังมาพร้อมใบหน้าผอมตอบด้วยตาโหลลึกยื่นเข้ามาใกล้

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร”เขาเอ่ยถาม นัยน์ตากำลังพยายามปรับสภาพทำให้มองเห็นทุกสิ่งรอบตัวชัดขึ้น ห้องนั้นเป็นห้องโล่งไม่มีข้าวของอื่น เขายังพอเห็นแสงสว่างจ้าตกกระทบลงพื้นตรงที่มีผ้าม่านบังหน้าต่างทางฝั่งหลังห้อง ก่อนจะหันกลับมามองชายที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาของแสงไฟอีกครั้ง

แคว้ก!!!

ทันทีที่สิ้นสุดเสียงนั้นสกอตซ์เทปสีทึบได้ถูกนำมาปิดปากเขาไว้พร้อมกับหัวใจของเขาที่เต้นถี่รัว ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังเมื่อเห็นว่าร่างกายของตนเองไร้ซึ่งอาภรณ์ ปภินวิชขยับร่างกายพยายามกระถดหนีกลับพบว่าทั้งแขนและขาถูกมัดตรึงไว้แน่นหนา เมื่อเห็นแววตาของชายที่อยู่ตรงหน้า ขนในกายกลับพร้อมใจกันลุกพรึบขึ้นฉับพลัน อากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อซึมแต่ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้าน

ฝ่ามือคล้ำหมองของอีกฝ่ายถูกวางลงบนต้นขาของเขา เด็กหนุ่มพยายามสะบัดมันทิ้งแต่ติดที่เชือกซึ่งผูกรั้งขาข้างนั้นไว้กับโครงเหล็กของเตียงทำให้ขยับได้ลำบาก ผลที่ได้จึงกลายเป็นข้อเท้าของเขาที่เสียดสีกับเชือกจนเป็นรอยแดง

ฝ่ายนั้นไต่มือขึ้นสูงจนถึงจุดกึ่งกลางลำตัว เขาสะอิดสะเอียนกับสัมผัสจนอยากจะอาเจียนออกมากระนั้นเมื่อถูกปลุกเร้าหนักเข้า ร่างกายของเขากลับตอบสนอง ปภินวิชได้แต่นึกก่นด่าร่างกายตัวเองอยู่ภายในใจ

ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะที่ทำให้ปภินวิชยิ่งเจ็บแค้น

เขาไม่ยอม!!! เด็กหนุ่มได้แต่บอกตัวเองอยู่ภายในใจเช่นนั้น เขาจะไม่ยอมให้ไอ้บ้านี้มาทำกับเขาแบบนี้ง่าย ๆ ปภินวิชคิดพลางกระชากข้อมือกระชากข้อเท้าสุดแรง แม้จะโดนขอบกุญแจข้อมือบาดจนเป็นแผลเด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมหยุด

ทว่าเพียงแค่ชายคนนั้นเสือกกายเข้าหา เขากลับต้องยอมชะงักนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับน้ำตาไหลออกมาโดยไม่อาจกลั้น ร่างกายเจ็บร้าวราวกับทั้งร่างกำลังจะปริแตกเป็นเสี่ยง ๆ เจ็บปวดมากมายกว่าบาดแผลที่ข้อมือ

อีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะอย่างสมใจ ขยับโยกโดยไม่สนใจความเจ็บปวดทรมานที่เขากำลังได้รับ

“อือ อือ”เขาพยายามส่งเสียงร้อง ร้องขอให้ใครสักคนผ่านมาช่วยเหลือ

ใครก็ได้ช่วยผมที!!! นายท่าน!!! คุณฤทธิ์!!! ช่วยผมด้วย!!!





ฟ้ามืดแล้ว พฤทธิกรได้แต่นั่งรอด้วยความกระวนกระวาย มือของเขากำโทรศัพท์ไว้แน่นเคาะปลายนิ้วกับมันราวกับการทำเช่นนั้นจะทำให้สายที่เขาเฝ้ารอจะติดต่อกลับมา

ปวันรัตน์กอดเข่าอยู่ด้านข้างแต่เธอดูสงบกว่าเขามาก

ประตูห้องถูกเปิดผลัวะเข้ามาพร้อมร่างสูงใหญ่ของบอดี้การ์ดทั้งสองคน เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับธนาที่เอ่ยรายงานเรื่องที่เขาออกคำสั่งไว้ก่อนหน้า “ได้ที่อยู่แล้วครับ ตำรวจกำลังจะไปถึงที่นั่นเพื่อขอดูกล้องของอาคารก่อน”

“ปุ้ยไปด้วย”เด็กสาวร้องบอก เมื่อทั้งสามคนเดินลิ่วออกไปโดยไม่รอเธอ

“ปุ้ยรออยู่ที่อยู่ที่ห้องก่อนเถอะ ถ้ายังไงเดี๋ยวน้าให้พุฒิมารับ”

“แต่...”

“เชื่อน้า เธออยู่นี่แหละอย่าเพิ่งดื้อ”เมื่อชายหนุ่มเสียงดังดุใส่ เธอจำต้องยอมเงียบอย่างเชื่อฟัง

“พี่ปลาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

“ปลาต้องปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วง”เขาพูดปลอบก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่พุฒิพงศ์เดินนำมากดเรียกไว้ให้ พวกเขานิ่งเงียบไม่มีการพูดคุยกันเพราะความเคร่งเครียดที่รายล้อมอยู่รอบตัว ถ้านับชั่วโมงตามเวลาที่ปภินวิชหายไป มันควรที่จะไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น เพียงแต่พุฒิพงศ์ตรวจพบว่าสัญญาณโทรศัพท์ของปภินวิชหายไปแถวสะพานข้ามแม่น้ำ พวกเขาจึงต้องรอตรวจสอบข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงสะพานแห่งนั้นและกล้องหน้าถนน เส้นทางจากป้ายรถเมล์มาที่คอนโด ก่อนระบุตัวผู้ต้องสงสัยและที่อยู่

รถยนต์ที่มีพุฒิพงศ์เป็นคนขับเลี้ยวซ้ายเข้าไปในแยกหนึ่งซึ่งเลยจากซูเปอร์มาเกตที่ปวันรัตน์พาเขามาเมื่อตอนเย็นไปไม่ไกล ที่หน้าตึกสีส้มมีรถยนต์ติดตราตำรวจจอดรออยู่ก่อนแล้ว พุฒิพงศ์จอดรถให้เขาได้ลง  ก่อนขับเลยด้านหน้าตึกไปจอดแอบริมถนน

พฤทธิกรเดินตามตำรวจไปยังห้องห้องหนึ่งที่เจ้าของตึกใช้สำหรับเก็บเซิร์ฟเวอร์ของกล้องวงจรปิด ตัวกล้องติดอยู่ที่ทางขึ้นชั้นหนึ่งจึงจับภาพได้เฉพาะคนที่เดินเข้าเดินออก แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะมีภาพของเด็กหนุ่มที่เขาตามหา เดินขึ้นตึกไปพร้อมกับเด็กชายอีกคนปรากฏอยู่อย่างชัดเจน

ธนาจึงเปิดภาพบุคคลต้องสงสัยจากแท็บเล็ตให้หญิงวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของตึกได้ดู

“อ้อ คนนี้อยู่ชั้นบนสุด”เธอบอกหมายเลขห้อง สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตระหนกตื่นเต้นกับการที่มีตำรวจเข้ามาติดต่อขอความร่วมมือ

ชายหนุ่มไม่รอช้า ก้าวเท้าขึ้นบันไดนำขึ้นไปอย่างรีบร้อนจนบอดี้การ์ดทั้งสองแทบก้าวตามไม่ทัน มีตำรวจอีกสองสามนายวิ่งตามขึ้นมา เมื่อถึงห้องเป้าหมาย พฤทธิกรตรงดิ่งไปหมุนลูกบิดประตูและพบว่ามันล็อกจากด้านใน

“พวกผมเองดีกว่าครับ”ธนาเอ่ยห้ามไว้ก่อนเมื่อเห็นว่านายจ้างกำลังจะพังประตูเข้าไป พลางหลีกให้คู่หูหยิบอุปกรณ์ออกมาสะเดาะกุญแจ

ประตูถูกเปิดเข้าไปเพื่อให้ชายหนุ่มได้เห็นภาพซึ่งทำให้ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ เขาปรี่เข้าไปหาชายโสโครกที่อยู่เหนือร่างปภินวิช กระชากเหวี่ยงมันออกห่าง แสงไฟสลัว ๆ ทำให้เห็นเลือดสีแดงนองอยู่บนเตียง พฤทธิกรหันไปหาชายคนนั้น กระทืบฝ่าเท้าลงบนร่างกายอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้น

ธนาตรงมาเข้าดูคนที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง ถอดล็อกกุญแจมือให้จากนั้นจึงนำเสื้อของเด็กหนุ่มซึ่งถูกถอดทิ้งอยู่ไม่ไกลมาคลุมร่างกายของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะถอดสูทตัวนอกของตนคลุมทับอีกชั้น พลางร้องบอกเป็นการห้ามปรามเจ้านายกลาย ๆ

“คุณฤทธิ์ครับ มาดูคุณปลาก่อนดีกว่าครับ”

ถึงกระนั้น ชายหนุ่มกลับยังคงซ้ำฝ่าเท้าไปอีกหลายครั้ง เขาเดินกลับมาหาปภินวิช ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พลางเอ่ยเรียก แตะมือลงบนแก้มที่ขาวซีดอย่างแผ่วเบา

“ปลา ได้ยินหรือเปล่า”น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า “ปลาลืมตาหน่อยเถอะ”

เปลือกตาบางกะพริบขยับปรือขึ้นมองพร้อมริมฝีปากแห้งที่พยายามอ้าปากพูด

“ไม่เป็นไรแล้ว”เขาเอ่ยปลอบพลางช้อนอีกฝ่ายขึ้นอุ้มอย่างเบามือ

พุฒิพงศ์ผลุนผลันออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่ ส่วนชายคนร้ายอยู่ในอำนาจการกุมตัวของตำรวจ แต่ก่อนที่พฤทธิกรจะเดินออกจากห้อง เขาหันมาพูดกับธนาว่า “ทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีทางหลุดออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกอีก หรือถ้าจะให้ดีก็ให้มันตายอย่างทรมานไปซะ”

เขาอุ้มร่างเบาโหวงของเด็กหนุ่มลงมาด้านล่าง  มีผู้คนซึ่งพักอยู่ในอาคารนั้นออกมามุงดูเหตุการณ์กันมากขึ้น พฤทธิกรรีบสาวก้าวผ่านไปอย่างไม่คิดเหลียวหันไปให้ความสนใจ ก้าวเข้าไปยังที่นั่งตอนหลังซึ่งบอดี้การ์ดของเขาเปิดประตูไว้รอ พุฒิพงศ์กุลีกุจอขึ้นประจำที่นั่งคนขับ จากนั้นจึงเหยียบคันเร่งออกตัวไปอย่างรวดเร็ว





กว่าที่ปภินวิชจะได้ออกจากห้องฉุกเฉินเวลาก็ผ่านไปค่อนดึกแล้ว พฤทธิกรจึงแค่โทรบอกปวันรัตน์ให้มาเยี่ยมในวันถัดไป

“ทำไมละคะ พี่ปลาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วง”

“งั้นให้ปุ้ยไปเยี่ยมพี่ปลาหน่อยไม่ได้หรือคะ”

“ปุ้ยควรจะเข้านอนได้แล้วนะ อีกไม่กี่วันก็ต้องรับยาอีกแล้ว อยากให้พี่ชายต้องเป็นห่วงเหรอ”เขาไม่รอให้เธอพูดเถียง เอ่ยต่อไปว่า “ตอนนี้พี่ชายเธอไม่สบาย ยังอยากทำให้เขาต้องกังวลเพิ่มอีกหรือ”

“น้าฤทธิ์”เธอเรียกชื่อเขาเสียงอ่อย “อย่าดุสิคะ ปุ้ยกลัวแล้ว น้าฤทธิ์จะเฝ้าพี่ปลาที่โรงพยาบาลคืนนี้ใช่ไหมคะ มีเสื้อผ้าหรือเปล่า ให้ปุ้ยเตรียมให้เอาไหม”

“ไม่เป็นไรคิดว่าพุฒิคงใกล้จะถึงแล้ว เธอก็รีบเข้านอนอย่าโอ้เอ้”

เธอตอบรับอย่างแข็งขัน หลังจากวางสายชายหนุ่มจึงเดินกลับมาที่เตียงผู้ป่วย ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เขาชื่นชอบยังคงซีดเซียวไร้สีเลือดไม่ต่างจากริมฝีปากได้รูปคู่นั้น เขายกหลังมือขึ้นไล้แก้มเนียนซึ่งอุ่นร้อนกว่าปกติด้วยความรู้สึกผิด ถ้าหากเขาแข็งใจไม่ยอมให้เด็กหนุ่มเดินทางกลับไปคนเดียว เด็ดขาดยืนยันให้ธนาตามไปส่ง ปภินวิชก็คงจะไม่ต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายพรรค์นี้

ทั้งที่เขาควรจะดูแลอีกฝ่ายได้ดีกว่านี้แท้ ๆ ชายหนุ่มได้แต่นึกโทษตัวเองในใจ

เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง นั่งมองใบหน้าซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่เนิ่นนาน กระทั่งธนาตามมาสมทบ หลังจากนั้นไม่กี่นาที พุฒิพงศ์ก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าของเขา

“วันนี้ขอบใจมากนะ”

“ไม่ครับ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว”ทั้งสองคนพูด

“คืนนี้ก็กลับไปพักได้แล้ว”

“ถ้าอย่างไรให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเถอะครับ”พุฒิพงศ์บอก “ส่วนคุณปุ้ยให้ธนากลับไปดูแล”พลางส่งกุญแจรถไปให้ เห็นบอดี้การ์ดทั้งสองคนแบ่งหน้าที่เสร็จสรรพ พฤทธิกรจึงไม่ได้พูดแย้งอะไรอีก เขาหยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยน

ห้องพักผู้ป่วยแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ห้องด้านในนั้นเป็นที่พักฟื้นสำหรับผู้ป่วยและมีพื้นที่พักผ่อนด้านนอกสำหรับบรรดาญาติที่มาเยี่ยมหรือผู้ที่มาเฝ้าไข้

เพียงแต่พฤทธิกรยึดที่นั่งข้างเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทั้งยังหลับตาไม่ลงเพราะห่วงกังวลว่าอาการของเด็กหนุ่มจะทรุดหนักลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว แม้แพทย์จะบอกว่าอาการทางร่างกายของปภินวิชไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้วก็ตาม

เขาสอดฝ่ามือกุมมือเรียวบางของเด็กหนุ่มไว้ มองเห็นผ้าพันแผลสีขาวแล้วยิ่งรู้สึกผิด ทว่าในเวลานี้เขาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่พยายามดูแลปกป้องเด็กหนุ่มต่อไปในวันข้างหน้า พฤทธิกรบอกกับตัวเองเช่นนั้น

ทั้งที่คิดว่าจะนั่งเฝ้าปภินวิชไปตลอดทั้งคืน เพียงทว่าสุดท้ายแล้วความเหนื่อยล้าง่วงงุนก็จู่โจมเขา ชายหนุ่มนั่งสัปหงกเป็นพัก ๆ ในช่วงใกล้รุ่งสาง ก่อนจะต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงโวยวายร้องดังขึ้น

“ช่วยด้วย! ช่วยผมด้วย! อย่าเข้ามานะ! อย่าเข้ามา!”ปภินวิชกระถดตัวจนชิดหัวเตียง สองมือโบกปัดเป็นพัลวันราวกับพยายามหนีอะไรบางอย่าง จนเข็มให้น้ำเกลือหลุดออกจากหลังมือ

พฤทธิกรรีบปราดเข้าประชิดดึงรั้งโอบกอดร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มไว้ ส่งเสียงเรียกพลางลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่เด็กหนุ่มยังร้องโวยวายไม่หยุดคล้ายยังไม่รู้สึกตัว

“ปลา ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เธอปลอดภัยแล้ว”เขาได้แต่กอดรัดปภินวิชไว้เมื่อฝ่ายนั้นพยายามดิ้นหนี ชายหนุ่มพยายามพูดปลอบว่า นี่ฉันเอง ไม่มีใครทำอะไรเธอได้อีกแล้ว พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ เช่นนั้นกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ อาการผวาตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มจึงค่อยทุเลา

“นายท่าน”ปภินวิชส่งเสียงเรียก น้ำตาใสเอ่อคลอเบ้าก่อนกลิ้งหล่นร่วงลงมา สองมือของเขาขยุ้มกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น จ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบด้วยกังวลกลัวว่าตนจะฝันไป แล้วต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความเจ็บปวดทรมานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

“นายท่าน”

“อืม ฉันเอง”

“ผมฝันไปหรือเปล่า”เขาเอ่ยถามพลางแนบศีรษะซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง

“ไม่ เธอไม่ได้ฝัน ฉันอยู่ตรงนี้”พฤทธิกรประคองช้อนใบหน้าเด็กหนุ่มให้เงยขึ้น แตะจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากเนียนและริมฝีปากสีซีด ใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัวแล้ว เธอปลอดภัยแล้ว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับกระนั้นกลับไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีก เขาปล่อยน้ำตาและเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอาย ราวกับพยายามใช้น้ำตาเหล่านั้นชำระล้างช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวถูกทารุณให้หมดสิ้นไป สองมือของเขายึดเหนี่ยวชายหนุ่มร่างสูงไว้เป็นที่พึ่งด้วยหวังให้อ้อมกอดอบอุ่นนี้ขับไล่ความทรงจำมืดดำที่เคยเผชิญ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ขอโทษครับ”พุฒิพงศ์เคาะประตูพร้อมเอ่ยแทรกขัดจังหวะ “ผมตามหมอให้มาดูอาการคุณปลาครับ”

ชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะนายจ้างพยักหน้า บอดี้การ์ดร่างสูงจึงปล่อยหมอและพยาบาลให้เดินเข้าไป เขาเห็นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายกระซิบพูดกับคนในอ้อมกอด จากนั้นจึงดึงมือเด็กหนุ่มส่งให้พยาบาลจัดการทำแผลและแทงเข็มน้ำเกลืออีกรอบ

“ขอตรวจร่างกายหน่อยนะครับ”

ด้วยเหตุนั้น ปภินวิชจำต้องผละร่างกายออกห่างจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงทั้งที่ยังสะอื้นไม่หยุด ปล่อยให้หมอฟังเสียงหัวใจวัดความดันเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนตัวไปพิงร่างชายหนุ่มไว้อีกครั้ง

“ให้พักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ หมอจะให้น้ำเกลืออีกขวด และถ้าเกิดมีปัญหาอะไรคุณพฤทธิกรสามารถแจ้งพยาบาลเพื่อติดต่อแพทย์เฉพาะทางได้ครับ”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้าตอบรับ รอจนกระทั่งหมอและพยาบาลเดินออกไปแล้ว จึงหันมากล่อมเด็กที่เกาะตนไว้แน่น “นอนต่อเถอะนะ”ทว่าอีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะระรัว

“เดี๋ยวฉันนั่งอยู่ตรงนี้ จับมือเธอไว้ไม่ลุกไปไหนหรอก”

“ผมไม่ง่วง”

“แต่ฉันเมื่อย”

ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นร่างบนเตียงจึงขยับแอบไปอีกด้าน ตบที่ว่างบนเตียงเพื่อบอกให้พฤทธิกรมานั่งด้วยกัน อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มร่างสูงกลับยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการง่าย ๆ เขาปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น ทรุดนั่งพิงหลังพร้อมกับดึงศีรษะของเด็กหนุ่มมาซบอก และลูบกลุ่มผมนิ่มไปพลาง

ใช้เวลากล่อมไม่นาน ปภินวิชก็หลับสนิทลงอีกครั้ง

พฤทธิกรพยุงร่างของเด็กหนุ่มวางราบกับเตียง ปรับระดับหัวเตียงให้คนป่วยได้นอนสบาย จากนั้นจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เขาแตะริมฝีปากกับหน้าผากของร่างคนป่วยอีกครั้งก่อนเดินออกไปข้างนอกเพื่อโทรศัพท์

เขาคงไม่มีใจทำงานถ้าปภินวิชยังไม่หายดี จึงต้องโทรไปแจ้งเลขาเพื่อเคลียร์งานและเลื่อนนัดบางส่วน อีกสายที่ต้องโทรไปหาคือปวันรัตน์

“ทำไมล่ะ ตกลงพี่ปลาเป็นอะไรรุนแรงเหรอ ปุ้ยถึงไปหาตอนนี้ไม่ได้”เด็กสาวส่งเสียงร้องถามท้วงกลับมาทันทีที่เขาบอกให้เธอไปเรียนในช่วงเช้า และกลับมาพี่ชายช่วยหลังเลิกเรียน

“ปลาปลอดภัยดีไม่มีอาการอะไรรุนแรง แต่น้าไม่อยากให้เธอขาดเรียนโดยไม่จำเป็น”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่วันเดียวเอง”

“หลังจากรับยาเธอก็ได้หยุดอีกหลายวันแน่ ๆ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ไปโรงเรียนซะ”

เธอเงียบเสียงไปแต่เขานึกออก ภาพที่เธอกำลังทำหน้างออย่างไม่พอใจ “เชื่อฟังที่น้าพูด”

“ค่ะ”เสียงขานตอบรับของเธอฟังดูกระชากห้วนทั้งยังตัดสายไปอย่างรวดเร็ว เห็นพฤทธิกรวางโทรศัพท์แล้วบอดี้การ์ดหนุ่มจึงส่งเมนูอาหารมาให้

“เป็นเมนูสำหรับคุณปลาครับ”

เขารับมาเปิดดูซึ่งภายในมีแต่เมนูอาหารอ่อนอย่างข้าวต้ม โจ๊ก หรือซุป เขาชี้มือบอกและฝากให้พุฒิพงศ์ถามพยาบาลว่าคนป่วยทานอะไรได้อีกบ้าง

“อาหารเช้าของคุณฤทธิ์เดี๋ยวผมสั่งกับข้าวร้านเดิมมาให้นะครับ”

“ไม่ต้องก็ได้ แจ้งสั่งห้องอาหารของโรงพยาบาลนั่นแหละ ฉันขอเป็นโจ๊กเหมือนกัน ถ้ามาพร้อมกับอาหารของปลาได้ก็ดี”

พุฒิพงศ์ขานรับพร้อมหมุนตัวเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่มีตั้งประจำห้องขึ้นมากดโทรออก พฤทธิกรจึงเดินกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย และทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงตำแหน่งเดิม


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//เนื่องจากตั้งใจเขียนแบบรักใส ๆ อะไรอะไรที่มันดูโหดร้ายจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บทนี้เป็นบทสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนแล้ว บทที่ 17 พบกันวันที่ 4 ธันวาคมค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 16 [28/11/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 28-11-2017 07:25:24
 :katai1:  o22 ช็อค
ไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างจุดหักเหได้เเรงขนาดนี้
แรงระดับฆ่าตัวละครให้ตายอ่ะ
เปลี่ยนโทนนิยายกระทันหันเเละเเรงเกิน
ทำไมทำกับตัวละครได้...
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 16 [28/11/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-11-2017 08:47:41
น่าสงสารปลา อุตส่าห์ทำดีพาเด็กหลงไปส่งบ้านแท้ ๆ
แต่ก็เตือนใจเรานะว่าการทำความดีเดี๋ยวนี้ต้องมีความเฉลียว ต้องระวังพวกมิจฉาชีพด้วย เพราะเดี๋ยวนี้มีเยอะ
อีกอย่างที่น่าจะทำคือตรวจเลือดไอ้โรคจิตนั่นว่าเป็นโรคอะไรไหม คือเป็นสิ่งที่ควรทำอ่ะ หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนั้น พอตั้งสติและนึกขึ้นได้ก็จะเริ่มกังวลแทนแล้ว
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 16 [28/11/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-11-2017 11:05:30
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 16 [28/11/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 28-11-2017 11:12:20
สงสารน้องปลา ไอ้เลวนั่นมันน่าจะให้ตายๆไปซะ
ดูหัวรุนแรง แต่ถ้ามันไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก
คิดแล้วก็หัวร้อน
คงเป็นเรื่องฝังใจน้องไปอีกนานแน่ๆ
น้าฤทธิ์ต้องดูแลน้องดีๆนะ
อย่าทิ้งน้องไปไหนละ แค่นี้น้องก็คงแย่น่า
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 16 [28/11/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-11-2017 11:25:24
 :fire:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 17 [04/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-12-2017 06:43:35
17



ปวันรัตน์หิ้วถุงใส่ของมาเต็มสองมือซึ่งชายหนุ่มร่างสูงผู้ทำหน้าที่ขับรถอย่างธนาก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก

หลังเลิกเรียนในตอนเย็นเด็กสาวตั้งใจจะตรงดิ่งมาหาพี่ชายที่โรงพยาบาลทันที แต่เพราะมีสายเรียกเข้าจากพฤทธิกรโทรศัพท์มาบอกให้เธอซื้อของบำรุงร่างกายพี่ชายและอาหารอื่น ๆ สำหรับคนเฝ้าไข้ เธอจึงเลือกซื้อมาเสียเต็มที่

ธนารวบถุงสินค้าต่าง ๆ มาถือไว้ในมือเดียวพลางเดินนำหน้าไปเปิดประตูให้เด็กสาว เธอถือของเดินตามมาและนำพวกมันไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ติดผนัง

“พี่ปลาล่ะคะ”เธอเอ่ยถามเพราะสังเกตว่าห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงโทรทัศน์ด้านนอกที่ถูกเปิดทิ้งไว้เท่านั้น

พุฒิพงศ์ชี้ไปที่ห้องพักผู้ป่วยด้านใน เธอจึงสาวเท้าไปแอบชะเง้อชะแง้มองดู เห็นพี่ชายกับพฤทธิกรนั่งสุมหัวเล่นเกมในแท็บเล็ตอยู่บนเตียงผู้ป่วย เธอโล่งใจเพราะมองจากไกล ๆ พี่ชายของเธอก็ดูไม่เป็นอะไรมากอย่างที่น้าฤทธิ์เคยบอกไว้จริง ๆ

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เธอส่งเสียง ทั้งสองคนจึงเงยหน้าขึ้นมา

“เข้ามาสิ ไปยืนทำอะไรตรงนั้น”ปภินวิชเอ่ยถาม

“แหม...”เธอลากเสียงยานคาง จะให้เธอเข้ามาขัดจังหวะบรรยากาศส่วนตัวของพี่ชายกับพี่เขยหรือไง ปวันรัตน์แอบหัวเราะกับความคิดตัวเอง

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำหน้าแปลก ๆ”พี่ชายถามซ้ำพลางยื่นมือมาแตะสัมผัสใบหน้าของเธอ เด็กสาวจึงได้เห็นผ้าสีขาวซึ่งพันอยู่รอบข้อมือของพี่ชาย

“เจ็บมากหรือเปล่าเนี่ย”เธอลูบมันอย่างแผ่วเบา

ปภินวิชยิ้มให้ “ไม่เจ็บแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วด้วย”เขาบอกอย่างหนักแน่น ปวันรัตน์พยักหน้ารับ แล้วปีนขึ้นเตียงผู้ป่วยมานั่งเบียดกับพี่ชาย โน้มหน้าไปดูหน้าจอแท็บเล็ตบนตัก นั่นคุยนั่งเล่นกันสามคนอยู่ครู่หนึ่ง คนที่อยู่ด้านนอกก็ส่งเสียงแจ้งมาว่า คุณหมอเข้ามาดูอาการคนป่วย

ปวันรัตน์ลงจากเตียงเดินออกไปด้านนอก ส่วนพฤทธิกรแค่ถอยเท้าขยับห่างออกมาแต่พยาบาลกลับยกยิ้มและผายมือเชิญเขาออกไปรอในห้องด้านนอกพร้อมกับเลื่อนปิดประตูห้อง เด็กสาวเห็นอย่างนั้นจึงไปรื้อถุงของกินพลางกวักมือเรียกชายหนุ่มให้ไปนั่งร่วมวง

ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา คนป่วยกลับแผดเสียงลั่นดังชัดมาถึงข้างนอก

“ออกไป! บอกให้ออกไปไง!!!”

ชายหนุ่มรีบถลาไปเปิดประตู เห็นทั้งหมอนทั้งผ้าห่มถูกเขวี้ยงลงมากองอยู่ที่พื้น ส่วนหมอเจ้าของไข้ยืนห่างออกมากำลังพูดกล่อมคนบนเตียงซึ่งนั่งกอดเข่าขยับตัวเบียดชิดหัวเตียง

ปวันรัตน์และบอดี้การ์ดของพฤทธิกรทั้งสองคนต่างก็ลุกขึ้นมายืนมุงดูอยู่หลังกรอบประตู

“ใจเย็น ๆ นะครับ หมอแค่จะดูแผลเฉย ๆ”

คนป่วยบนเตียงไม่ตอบคำทั้งไม่กล้าอาละวาดมากไปกว่านี้เพราะชายหนุ่มร่างสูงที่ตนมองเห็นอยู่ในครรลองสายตา เขาจึงขดตัวลงและพลิกหันหลังให้

“เดี๋ยวผมขอตัวคุยกับเขาสักครู่นะครับ”พฤทธิกรเอ่ยบอกและเป็นฝ่ายเชิญหมอกับพยาบาลให้ออกไปรอนอกห้องผู้ป่วย จากนั้นจึงเก็บหมอนและผ้าห่มถือกลับมาวางบนเตียงพลางสาวเท้าเดินเข้าไปหาร่างที่ซุกหน้าอยู่กับเข่า

“เดี๋ยวหายใจไม่ออก เงยหน้าขึ้นเถอะ”

ปภินวิชเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้เต็มแก่ “ผมหายดีแล้ว เรากลับบ้านกันเลยได้ไหมครับ”

“ได้ แต่ให้หมอเขาดูแผลก่อนไม่ได้เหรอ”

“ผม...”เด็กหนุ่มก้มหน้าขมวดคิ้วด้วยใบหน้าสับสน พฤทธิกรจึงยื่นมือออกไปคว้าจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่เอาแต่กอดตัวเองไว้ ดึงยืดออกมาพร้อมกับสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปสวมกอดไว้ ดึงมือข้างหนึ่งของปภินวิชมาแนบที่ข้างแก้มของเขาพลางจ้องมองสบนัยน์ตาสีดำไหวระริก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ มันผ่านไปแล้ว”

ปภินวิชน้ำตาไหลออกมา แต่ความเจ็บปวดของร่างกายยังคอยย้ำเตือนความทรงจำของเขาอยู่เสมอ เขาอยากสลัดมันทิ้งไม่อยากจดจำมันอีก

ชายหนุ่มแต้มจูบซับน้ำตา วนเวียนจุมพิตปลอบขวัญทั่วใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีแต่ความซีดเซียวเศร้าหมองพลางเอ่ยย้ำ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงมันอีก ตอนนี้ขอแค่เธอรักษาตัวเองให้แข็งแรง อย่างน้อยเพื่อฉัน เพื่อปุ้ย”เขาปาดเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย แล้วพูดกล่อม “ให้หมอดูแผลนะ”

ปภินวิชยังนิ่งเงียบต่อไปอีกหลายอึดใจก่อนพยักหน้า พฤทธิกรจึงพยักพเยิดส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้ากรอบประตู

เมื่อหมอและพยาบาลเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงผละตัวออกห่างแต่มือของเขายังโดนจับยึดไว้แน่น พฤทธิกรวางมือทับบนหลังมือของปภินวิช พร้อมกระซิบบอกว่าเขารออยู่ด้านนอกก่อนจะดึงมือออกมา ปล่อยหน้าที่หลังจากนี้ให้อยู่ในความดูแลของหมอเจ้าของไข้

แพทย์ผู้รักษาเดินออกมาจากห้องพักฟื้นผู้ป่วยโดยยังทิ้งพยาบาลให้ทำเช็ดทำความสะอาดร่างกายคนไข้อยู่ด้านใน เขาตรงเข้ามาหาพฤทธิกร พูดคุยเรื่องสภาพร่างของปภินวิชอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวไปดูแลผู้ป่วยคนอื่น อีกหลายนาทีต่อจากนั้นเมื่อพยาบาลสาวออกมาด้านนอก ปวันรัตน์จึงรีบก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

“พี่ปลา”เธอเอ่ยเรียกพี่ชายซึ่งมีน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมขานรับ เธอจึงพุ่งตรงเข้าไปกอดเขาไว้

ทั้งธนาและพุฒิพงศ์ต่างบอกเธอว่า พี่ชายของเธอโดนโจรปล้นและถูกทำร้ายจนสลบ แต่จากภาพเมื่อครู่ที่ได้เห็น เธอกลับคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงกว่านั้น เพียงแต่เธอไม่กล้าถาม

“ไม่เป็นไรนะ พี่ปลามีปุ้ยอยู่ด้วยทั้งคน ปุ้ยจะอยู่กับพี่ปลาตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ปลาไม่ต้องร้องนะ”เด็กสาวพูดปลอบ ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ไปด้วย “เดี๋ยวปุ้ยจะร้องตาม”

ผู้เป็นพี่ชายจึงหัวเราะ “ยัยเด็กบ้าเอ๊ย”ครู่หนึ่งต่อมาก็เอ่ยด้วยแผ่วเบาต่อไปอีกว่า “พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล”

เด็กสาวหลุบสายตาซบหน้าลงกับไหล่ของพี่ชาย เธออยากถามเขา ถ้าไม่มีอะไรต้องกังวลทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย แต่เธอยังเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ

“เด็ก ๆ ทานข้าวกันเถอะ”พฤทธิกรพูดเสียงดัง ขับไล่ความอึมครึมภายในห้องพักด้วยความกระตือรือร้นกระฉับกระเฉง เขาลากโต๊ะทานอาหารสำหรับผู้ป่วยมาตั้งตรงหน้าเด็กหนุ่ม พุฒิพงศ์และธนาจึงได้ยกจานอาหารมาวางเสิร์ฟ

“โอ้ มาได้จังหวะพอดีเลย”เสียงร้องที่ดังแทรกขึ้นมานั้นเป็นของกวีวัธน์ เขาสาวเท้ามายื่นหน้าสำรวจกับข้าวด้วยความสนใจ

“คุณกลอนมาทำไมครับ”คนป่วยขมวดคิ้วถามเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งมีเรื่องกันไปหมาด ๆ  เด็กหนุ่มจึงคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะญาติดีกันง่าย ๆ

“มากินข้าวกับน้าฤทธิ์”

คำตอบกวนประสาทของอีกฝ่ายทำให้เขานึกโมโห

“ถ้าจะกินข้าวด้วย ก็ไปตักข้าวมา”พฤทธิกรเอ่ยบอกก่อนหันไปตักข้าวใส่จานผู้ป่วยบนเตียง

กวีวัธน์ขานรับหายออกไปด้านนอกครู่เดียวก็กลับมาพร้อมจานในมือ ทั้งน้าชายและน้องสาวของคนป่วยต่างยืนล้อมรอบเตียงอยู่คนละฝั่ง ปวันรัตน์ถือจานข้าวของตัวเองไว้ในมือ ส่วนพฤทธิกรมีจานข้าวของตัวเองอยู่บนโต๊ะ แต่เหมือนจะสนใจแต่อาหารการกินของคนป่วยมากกว่า และทำเหมือนอยากจะป้อนข้าวคนบนเตียงเสียเอง

“เป็นประสบการณ์ที่เจ๋งสุด ๆ เพิ่งเคยยืนกินข้าวในโรง’บาลครั้งแรกเลยนะเนี่ย”

“แล้วใครใช้ให้มาเล่า”ปภินวิชบ่นงึมงำ ขณะที่น้องสาวอย่างปวันรัตน์ออกโรงจัดการแทนพี่ชาย “รีบ ๆ กินไปเลยค่ะพี่กลอนอย่าพูดมาก”

“จ้า ๆ แต่แหม กินไปคุยไปจะได้เจริญอาหารไง”

ปภินวิชทำหน้าเหม็นเบื่อ หยุดช้อนในมือแต่พอพฤทธิกรตักกับข้าวมาให้อีก เขาก็ส่งเสียงขอบคุณไปให้ กวีวัธน์จึงนึกสนุกตักกับข้าวอีกอย่างไปใส่จานของปภินวิช แต่ตักอาหารของพฤทธิกรในจานของเด็กหนุ่มมาใส่ปากตัวเอง

“คุณกลอน!!!”

“กลอน!!!”

ปภินวิชและพฤทธิกรส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน

“ครับ”เจ้าตัวยังเคี้ยวหงับ ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาซ้ำยังตักอาหารทานต่อไปหน้าตาเฉย ปภินวิชหน้างอง้ำส่วนน้าชายได้แต่มองอย่างทั้งขำทั้งฉิว



“นายท่านบอกคุณกลอนหรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถาม ภายในห้องพักผู้ป่วยกลับมาสงบเงียบอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มและเด็กสาวที่มาเยี่ยมไข้ทยอยกลับไป ที่จริงปวันรัตน์อยากจะอยู่เฝ้าพี่ชายแต่โดนพฤทธิกรเอ่ยดุจนต้องกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนบอดี้การ์ดที่อยู่เฝ้าในคืนนี้เป็นหน้าที่ของธนา

“ไม่ได้บอกหรอก น่าจะเป็นคุณก้อยที่บอก”พูดพลางดึงผ้าห่มคลุมร่างของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง

ปภินวิชย่นจมูกขยับปากพึมพำ ก่อนจะหันใบหน้าบึ้งตึงไปทางชายหนุ่ม ขยับตัวนอนตะแคงเมื่ออีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ “ผมมีเรื่องจะฟ้อง”

“หือ”

“คุณกลอนพูดไม่ดีว่าผมอีกแล้ว”

“อืม”พฤทธิกรพยักหน้ารับ

“นายท่านต้องจัดการให้ผมนะ นี่เป็นความผิดครั้งที่สองของคุณกลอนแล้วด้วย ไม่สิครั้งที่สามต่างหาก”

“งั้น...ควรลงโทษยังไงดีล่ะ”

“นั่นสิ”พวกเขานั่งคุยเล่นกันอีกครู่ใหญ่ก่อนที่พฤทธิกรจะพูดบอกให้เด็กหนุ่มหลับตานอนได้แล้ว ปภินวิชยื่นมือออกไปคว้าจับมือของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงไว้

“อยากกลับบ้านแล้ว”เด็กหนุ่มบอกออกไปตามตรง บรรยากาศของโรงพยาบาลทำให้เขารู้สึกไม่ดี

“อืม พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว”เมื่อชายหนุ่มพูดตอบ ปภินวิชจึงยอมหลับตาลง เขานั่งมองพลางยกมือลูบศีรษะเด็กหนุ่มกระทั่งเวลาผ่านไปนานเป็นชั่วโมง รอจนลมหายใจของร่างบนเตียงทอดยาวสม่ำเสมอ

ธนาสืบเท้าเงียบเชียบเข้ามาใกล้พลางกระซิบพูดเสียงเบา “ผมเตรียมที่นอนไว้ให้แล้วครับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวคืนนี้ผมเฝ้าคุณปลาให้เอง”

พฤทธิกรยังนั่งนิ่ง

“พักสักหน่อยเถอะครับ สักสามสี่ชั่วโมงก็ยังดี เมื่อคืนคุณฤทธิ์ก็ไม่ได้นอนไม่ใช่หรือครับ”

ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงมือที่ถูกกุมไว้ออก เขายืดตัวลุกขึ้นยืน โน้มตัวแนบจุมพิตลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มพร้อมเอ่ยบอกฝันดีเสียงเบา

“ฝากด้วยนะ”เขาพูดกับธนาก่อนเดินออกไปยังห้องด้านนอกซึ่งแสงไฟยังคงถูกเปิดสว่าง แวะเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวด้วยความรวดเร็วและกลับมานอนบนโซฟาตัวยาวที่บอดี้การ์ดเตรียมหมอและผ้าห่มไว้ให้ เมื่อศีรษะถึงหมอนเขาก็หลับสนิททันที ดังนั้นตอนที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องตะโกนโวยวายจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งหลับไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม พฤทธิกรกลับพุ่งตัวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอย่างว่องไว

ปภินวิชยังมีอาการเหมือนเมื่อคืนวาน ที่แม้จะลืมตาตื่นแต่เหมือนไม่รู้สึกตัว ส่งเสียงร้องไห้พยายามปัดป้องตัวเองจากอะไรสักอย่าง ถดตัวเบียดร่างกายแนบไปกับผนังบริเวณหัวเตียง ธนากำลังพยายามเขย่าร่างเด็กหนุ่มพลางตบหน้าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ

เขาตรงเข้าไปหา ชายหนุ่มอีกคนจึงหลีกทางให้ พฤทธิกรดึงร่างบนเตียงมาโอบกอดไว้ เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมพูดปลอบ มือข้างหนึ่งลูบหลังไปพลาง ทำอย่างนั้นด้วยความใจเย็นชั่วครู่ใหญ่เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว

“ไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูต่อเอง”พฤทธิกรหันไปบอกบอดี้การ์ดที่ยังยืนรออยู่ไม่ห่าง ฝ่ายนั้นก้มศีรษะก่อนหมุนตัวออกไปด้านนอก

ปภินวิชปล่อยน้ำตาให้ไหลพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น ซบหน้ากับแผงอกกว้างและกอดรัดชายหนุ่มไว้

มันกลับมาหลอกหลอนเขาอีกแล้ว ทั้งที่ตัวเขาก็รับรู้ว่ามันได้ผ่านไปแล้ว ไอ้บ้านั่นไม่มีทางทำร้ายเขาได้อีก เขาอยู่ในที่ปลอดภัยแต่มันก็ยังตามมาทำร้ายเขาในฝัน

เขาน่าจะรู้ตัวว่ามันเป็นความฝัน แต่ภาพทุกอย่างกลับชัดเจนจนเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง

ในยามที่เขาปล่อยให้น้ำตาหลั่งเป็นสาย ปภินวิชนึกโทษตัวเองทุกครั้ง ถ้าวันนั้นเขาระวังตัวกว่านี้อีกนิด มันไม่มีทางดึงเขาเข้าไปในห้องได้อยู่แล้ว เขาเห็นมือผอมแห้งของมัน เขาควรจะมีเรี่ยวแรงมากกว่า เขาควรจะสู้มันได้ ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงมันมีแต่ความเสียใจ

เด็กหนุ่มผละตัวออกห่างเมื่อเริ่มคุมสติของตัวเองได้ จมูกของเขาคัดแน่นจนหายใจไม่ออก ยามหายใจจึงได้ยินเสียงฟืดฟาด ศีรษะปวดตุ้บ ๆ อย่างทรมาน

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”ชายหนุ่มพูดตอบกลับไป

“ผมทำให้นายท่านตื่น”ปภินวิชพูดเสียงเบาทั้งยังคงก้มหน้าก้มตาเช่นเดิม พฤทธิกรจึงใช้สองมือแตะช้อนใบหน้าแดงก่ำเพราะการร่ำไห้ให้เงยขึ้น เมื่อแนบหน้าผากชนกับหน้าผากของเด็กหนุ่มตรงหน้าอุณหภูมิร้อนผ่าวจึงถูกส่งมา “ไม่เลย เธอไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนั้น เพราะฉันไม่อยากให้เธอต้องเผชิญกับฝันร้ายเพียงลำพังเหมือนกัน”

ปภินวิชมองแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งมาให้ จากนั้นจึงโผเข้ากอดชายหนุ่ม พิงร่างแอบอิงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเขาเคยทำบุญอะไรไว้ถึงได้เจอคนดี ๆ เช่นนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งตนเคยประสบกลายเป็นแค่อุปสรรคเล็กน้อยที่ถูกส่งมาทดสอบเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเจอคนที่ดีพร้อมอย่างพฤทธิกร

“ผมรักนายท่านนะครับ”เด็กหนุ่มพูดออกไป

ตอนที่เขาถูกคนเลวทรามย่ำยีทำร้าย ชั่วขณะที่จมอยู่กับความเจ็บปวดของร่างกาย เขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีชีวิตรอดพ้นไปจากสถานที่แห่งนั้น เขานึกห่วงกังวลถึงน้องสาวและคิดถึงพฤทธิกร คิดถึงแววตาที่ชายหนุ่มใช้มองเขา คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน และนึกเสียใจที่น่าจะกอบโกยความสุขจากการถูกรักให้มากกว่านี้อีกหน่อย

ปภินวิชรู้ดีว่าการพลัดพรากมันมักจะมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงไม่อยากต้องนึกเสียใจอีก

คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงักพลางรั้งร่างเพรียวบางของปภินวิชออกห่าง มองแววตาฉ่ำวาวที่ยังคงนิ่งมองสบสายตาเขา

“รังเกียจผมหรือเปล่า”เสียงถามมาพร้อมแววตาสั่นไหวไม่มั่นใจ “ผม...”

พฤทธิกรรีบแนบริมฝีปากปิดกั้นคำพูดประโยคต่อไปไว้ ก่อนจะละห่างออกมาอย่างเชื่องช้า “ไม่... ไม่เลย ฉันไม่ได้บอกชอบเธอเพราะหวังเรื่องอย่างนั้น”เมื่อกล่าวจบก็แนบจูบลงไปอีกครั้ง ทอดสายตาอ่อนเชื่อมสอดประสานกับนัยน์ตาสีดำสนิท หลังจากขบเม้มย้ำแรง เด็กหนุ่มก็ยอมเผยอริมฝีปากให้แทรกปลายลิ้นเข้าไปโดยง่าย เขามุ่งตรงเข้าหาเรียวลิ้นนุ่มหยุ่นที่พยายามถดถอยด้วยความขัดเขินประหม่า

ความหวิววาบกระหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเผลอไผลดันร่างของเด็กหนุ่มให้ล้มลงบนเตียง สองมือคอยลูบไล้ปลุกเร้าอย่างลืมตัว

พฤทธิกรตัดใจจำยอมถอนริมฝีปากออกมา ร่างด้านล่างจึงลืมตามองเขาด้วยความกังขาไม่เข้าใจ

“เธอยังไม่หายดี คงต้องรออีกพัก”เขาตั้งศอกยันช่วงตัวด้านบนไว้ไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปทับเด็กหนุ่ม

“ไม่เป็นไร ผมทนได้”ปภินวิชบอกอย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ภายในอกยังหวั่นระแวงไม่มั่นคงแม้จะได้ยินคำพูดที่ชัดเจนจากชายหนุ่มแล้วก็ตาม เขาคิดว่าความสัมพันธ์ทางกายอาจจะทำให้ความสั่นไหวคลอนแคลนที่กำลังรู้สึกจางหายไปได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับเพียงยกยิ้มและดึงให้เขาลุกขึ้นนั่ง แตะจูบที่ริมฝีปากกับหน้าผากซ้ำเหมือนปลอบใจพลางรั้งร่างของเขาเข้าไปกอดพร้อมกระซิบบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน

ปภินวิชยอมพิงแนบศีรษะลงไปแต่โดยดี เพียงแต่มีความกลัวมากมายกับผุดพรายออกมาไม่หยุด



เด็กหนุ่มมองการตกแต่งของห้องภายในคอนโดของพฤทธิกรด้วยความคิดถึง เขาไม่ได้กลับมานอนที่ห้องนี้แค่สองคืนเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของเขาราวกับว่ามันยาวนานหลายสิบปี เขาสูดลมหายใจเข้าปอดและปล่อยลมหายใจออกด้วยอาการผ่อนคลาย

“ง่วงหรือเปล่า”

ปภินวิชเงยหน้ามองคนถามพร้อมสั่นศีรษะปฏิเสธ “อยู่ที่โรงพยาบาลก็นอนตลอด แล้วนายท่านไม่ต้องไปทำงานเหรอ”เขาเอ่ยถามกลับไปบ้าง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงดึงข้อมือให้เขาเดินตามมานั่งที่โซฟา

“ลาแค่วันสองวัน ไม่เป็นไรหรอก”

เด็กหนุ่มแสร้งเบ้ปากกับคำตอบ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วสอดแขนกอดรัดช่วงเอวของชายหนุ่มไว้ เกยคางกับช่วงบ่าหนาด้วยอากัปกิริยาออดอ้อน ไออุ่นและกลิ่นกายของอีกฝ่ายทำให้เขาสบายใจ ปภินวิชจึงเบียดกายเข้าหายามที่ได้มีโอกาสอิงแอบแนบชิด

“พูดอย่างนี้ เดี๋ยวก็ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก”

และยิ่งรู้สึกดีเมื่ออีกฝ่ายลูบหลังลูบศีรษะด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นนี้

“ต้องทำใจหน่อยนะ เป็นแฟนท่านประธาน”

“เราสองคนเป็นแฟนกันแล้วเหรอเนี่ย”ปภินวิชแกล้งทำเป็นหน้าตาตื่นไม่รู้เรื่อง ท่านประธานจึงแกล้งทำเป็นตกใจด้วย “อ้าว ไม่ใช่เหรอ เธอบอกรักฉันแล้ว เธอก็ต้องเป็นแฟนฉันแล้วสิ”

“อะไรกัน เสียเปรียบชะมัด นายท่านต้องขอผมเป็นแฟนก่อนสิ เราถึงจะเป็นแฟนกันได้”เขากระเง้ากระงอดแต่ถึงกระนั้นสองแขนยังกอดชายหนุ่มไว้ไม่ปล่อย

“เอ... อย่างนั้นเหรอ”พฤทธิกรพูดพึมพำ ทำท่าครุ่นคิดแสร้งยึกยักประวิงเวลา คล้ายกำลังหยอกเย้าเด็กหนุ่มซึ่งมองเขาด้วยสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยม เพียงแต่มีเสียงร้องเรียกจากน้องสาวของเด็กหนุ่มซึ่งดังมาให้ได้ยินตั้งแต่ที่เธออยู่หน้าประตูขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ปภินวิชกลอกนัยน์ตาสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นจึงขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง

“พี่ปลา”ปวันรัตน์พุ่งตรงเข้ามาหาพี่ชายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว พี่ชายจำต้องยิ้มฝืดฝืนส่งไปให้

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”เธอถาม

“ไม่ ไม่เลย”เขาปฏิเสธเสียงสูง “พี่สบายดี”

เด็กสาวไม่แน่ใจกับคำตอบของพี่ชายนักแต่เพราะเมื่อหันไปทางพฤทธิกรแล้วเขาพยักหน้ายืนยัน เธอจึงยอมเชื่อคำพูดนั้นอย่างเสียไม่ได้

“เออ พี่ฟรังค์ถามถึงพี่ปลาด้วย”

“ไปคุยกันตอนไหน”เขาถามอย่างแปลกใจ

“คุยในเฟซ พี่ฟรังค์โทรหาพี่ปลาไม่ติดเลยส่งเมสเซจมาถามปุ้ย ปุ้ยเลยบอกไปว่า พี่โดนขโมยโทรศัพท์”

“วัน ๆ ได้เรียนบ้างหรือเปล่าเนี่ย เห็นเล่นเฟซทุกวัน”

“ปุ้ยเล่นแค่ช่วงพักเอง โทรศัพท์ปุ้ยเป็นสองจีนะ จะเล่นในเวลาเรียนได้ยังไง”เธอตอบพี่ชาย ก่อนหันไปพูดกับพฤทธิกร “น้าฤทธิ์คะ ปุ้ยขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยกยิ้ม จากนั้นจึงหยิบแท็บเล็ตในกระเป๋ามาส่งให้ เด็กสาวยกมือไว้ขอบคุณ เธอกดเปิดหน้าจอและล็อกอินเข้ากล่องข้อความของแอปพลิเคชัน

“นี่ไง ปุ้ยบอกไปว่าพี่ปลาไม่ค่อยสบายด้วย พี่เขาเลยอยากมาเยี่ยม ถามว่าอยู่โรงพยาบาลไหน”เด็กสาวขยับปากบอกพี่ชายแต่สองมือก็พิมพ์ตอบข้อความทธรรษทิ้งไว้ในกล่องสนทนา

เด็กหนุ่มจึงโน้มหน้าเข้าไปดูข้อความโต้ตอบ

“บอกมันว่าให้ทิ้งเบอร์ไว้ เดี๋ยวพี่มีโทรศัพท์ใหม่จะโทรหามันเอง”

“พี่ฟรังค์เขาอยากเห็นหน้าอะ อยากรู้ว่ายังอยู่ครบสามสิบสองหรือเปล่า”

“ไอ้บ้า ปากไม่เป็นมงคลชะมัด”ปภินวิชพูดบ่น พฤทธิกรจึงพูดแทรกออกไปว่า “ให้เพื่อนมาหาก็ได้นี่”

“ไม่เอาเด็ดขาดครับ”ปภินวิชบอกปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เหตุผลคราวนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พวกนั้นรู้ระแคะระคายในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพฤทธิกรเหมือนเมื่อช่วงก่อน “พวกนั้นเสียงดังจะตาย แล้วก็วุ่นวายมาก ถ้ามาที่นี่นะห้องนายท่านโดนสำรวจจนพรุนแน่ ไม่เด็ดขาด”เขายกมือไขว้กันเป็นรูปกากบาท ขนาดปวันรัตน์ยังหัวเราะกับคำบรรยายของพี่ชาย

“พรุ่งนี้คุณฤทธิ์ไปทำงานหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมติดรถไปด้วย”เด็กหนุ่มกลับมาเรียกพฤทธิกรด้วยชื่อเหมือนเดิม เมื่อสะดุดใจนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวนั่งอยู่ด้วย

“พักอยู่เฉย ๆ อีกสักวันจะดีกว่า”พฤทธิกรบอกด้วยความเป็นห่วง “หรือถ้าจะไปเจอเพื่อนจริง ๆ เดี๋ยวให้ธนามาคอยรับส่ง ไม่ต้องไปแกร่วรออยู่ที่บริษัทหรอก”

ปภินวิชยังลังเล จะบอกว่าร่างกายของเขาหายดีแล้วก็พูดไม่ได้เต็มปาก แต่จะพูดว่าไม่อยากรบกวนพี่ธนา เขาก็เข็ดขยาดกับการเดินทางคนไปไหนมาไหนคนเดียว

“งั้นเอาอย่างนี้ นัดเพื่อนมาเจอที่ห้างวันเสาร์ดีไหม เผื่อจะได้กินข้าวกับเพื่อน แล้วฉันตั้งใจว่าจะพาไปซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่ด้วย”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมมีเงินในบัญชีเหลืออีกเยอะ”เด็กหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธ อยากจะต่อประโยคว่าเงินที่นายท่านโอนให้ทุกเดือนนั่นแหละ

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าจะซื้อให้ปุ้ยด้วยเหมือนกัน”

“จริงเหรอคะ”เด็กสาวร้องถามอย่างดีใจ “งั้นปุ้ยขอแท็บเล็ตแทนได้ไหม”

“ปุ้ย!!!”พี่ชายร้องปรามอย่างนึกอ่อนใจ แทนที่น้องสาวจะเกรงใจบอกปฏิเสธกลับขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสียนี่

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เงินเดือนท่านประธานเยอะจะตาย”พฤทธิกรพูดบอกให้เด็กหนุ่มสบายใจ

“ขอบคุณค่ะ”เด็กสาวประนมมือไหว้ชายหนุ่มผู้ใจดี และกล่าวบอกต่อไปว่า “ปุ้ยเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าไปเรียนดีกว่า ไม่ต้องระวังหาย แต่อยากได้แท็บเล็ตมาหาข้อมูลค่ะ”

“งั้นน้าซื้อโน้ตบุ๊กให้แล้วกัน”

“น้าฤทธิ์ใจดีมาก”ปวันรัตน์อยากกระโดดเข้าไปกอดเขา ถ้าชายหนุ่มเป็นน้าชายแท้ ๆ เธอคงทำอย่างนั้นไปแล้ว เด็กสาวจึงสะกิดเรียกพี่ชาย “พี่ปลา” เมื่อเขาหันหน้ามาหาเธอจึงบอกว่า “พี่ปลากอดน้าฤทธิ์แทนปุ้ยให้หน่อย ปุ้ยดีใจมากที่น้าฤทธิ์จะซื้อโน้ตบุ๊กให้”

ปภินวิชหน้าแดงขณะที่พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะต้องหัวเราะเสียงดังมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของเธอ

“เนี่ย ถ้าไม่ติดว่าน้าฤทธิ์เป็นพี่เขยของปุ้ยนะ ปุ้ยเข้าไปกอดเองแล้ว”

เด็กหนุ่มได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้ว่าควรพูดกับน้องสาวว่าอย่างไรดี ระหว่างที่กำลังคิดหาทางปฏิเสธคำร้องของอันน่ากระอักกระอ่วนขัดเขินอย่างไรไม่ให้เป็นการทำร้ายน้ำใจชายหนุ่มผู้ที่ตนมีใจให้ไปด้วย เขากลับถูกดึงเขาไปกอดเสียแล้ว และเพราะไอร้อนผ่าวบนใบหน้ากับเสียงหัวเราะคิกคักของน้องสาวทำให้เขาต้องซุกหน้าลงกับลาดไหล่ผู้เป็นเจ้าของอ้อมกอดอย่างช่วยไม่ได้



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

:katai1:  o22 ช็อค
ไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างจุดหักเหได้เเรงขนาดนี้
แรงระดับฆ่าตัวละครให้ตายอ่ะ
เปลี่ยนโทนนิยายกระทันหันเเละเเรงเกิน
ทำไมทำกับตัวละครได้...
ตอนที่เขียนเรื่องนี้รอบแรก เราตัน คิดเหตุการณ์ที่ช่วยส่งให้ตัวละครรักกันมากขึ้นไม่ออก แล้วบังเอิญว่าอ่านเจอข่าวนี้พอดีแต่เหยื่อเป็นผู้หญิง เราเลยยกมาใช้ ประมาณให้นายเอกเห็นว่า ต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงพระเอกก็ยังอยู่เคียงข้างอะไรทำนองนี้ (ส่วนหนึ่งก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์เหมือนกัน)
ตอนที่เขียนฉากโหดเราก็ลุ้นนะ กลัวอยู่เหมือนกันว่าถ้าน้าฤทธิ์จะมาช่วยไม่ทัน น้องปลาอาจจะโดนฆ่าหันศพโยนทิ้งน้ำก็ได้ เพราะตอนหาข้อมูลเจอแต่โอกาสติดตามตำแหน่งจากโทรศัทพ์มือถือกรณีที่โทรศัพท์ปิดเครื่องเป็นไม่ได้ล่ะ แต่ก็เขียนให้เจอ เนื่องจากเราคิดว่ามันน่าจะมีเทคโนโลยีที่ทำได้น่า ส่วนเวอร์ชันที่แล้ว พระเอกหานายเอกเจอเพราะพระเอกมีลูกน้อง(ทีมบอดี้การ์ด)เป็นสิบ
 แต่ที่นำเรื่องนี้มารีไรต์ใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะอยากเขียนช่วงหลังเหตุการณ์นี้ใหม่อีกรอบค่ะ และอยากเปลี่ยนโทนโดยรวมของเรื่อง แต่ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าจะทำได้แค่ไหน เพราะน้าฤทธิ์กับน้องปลายังต้องฟันฝ่าต่อไป
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 17 [04/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-12-2017 18:27:59
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 17 [04/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 05-12-2017 01:20:04
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ เขาเป็นแฟนกันอล้ววว
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 18 [08/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-12-2017 05:35:08
18



ความมืดสนิทที่รายล้อมรอบกายทำให้เขาตื่นตัวระแวดระวัง มันนำพาความหวาดกลัวบุกเข้ามาจู่โจมบีบคั้นหัวใจ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ออก เขาจึงบอกตัวเองให้หายใจเข้าและหายใจออก ฉับพลันนั้นกลับรู้สึกว่าร่างกายถูกรัดแน่นจนกระดิกไม่ได้ และเขาก็ได้เห็นว่าทั้งมือและเท้าถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา เขารู้สึกตระหนกเมื่อรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเผชิญกำลังหวนกลับมาเยือนอีกครั้ง

จู่ ๆ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น

เขากวาดสายตามองหาที่มาของเสียง ทว่าสิ่งที่ปรากฏให้เขาเห็นกลับเป็นมือผอมแห้ง ใบหน้าตอบซูบและรอยยิ้มน่าขยะแขยง มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ และทันทีที่มันสัมผัสร่างกายของเขา เด็กหนุ่มก็พยายามส่งเสียงร้องพร้อมขยับกายถอยหนีให้ห่างจากมัน เพียงแต่ทุกอย่างกลับทำได้ยากเย็น เสียงหัวเราะนั้นดังก้องชัดข่มหัวใจของเขาให้เย็นเยียบอีกครั้ง มันขยับกายเข้ามาใกล้ เขาได้แต่เกร็งตัวเมื่อนึกรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

“ปลา” เสียงเรียกชื่อของเขาดังย้ำซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้งที่ข้างหู มันช่วยดึงสติของเขาให้รู้ตัว ปภินวิชกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้ง ทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงไฟ ไม่ใช่สถานที่มืดมิดอีกต่อไป ไม่มีชายน่ารังเกียจคนนั้น เขาหอบหายใจ ยังคงได้ยินเสียงก้อนเนื้อภายใต้แผ่นอกเต้นกระหน่ำไม่หยุด

“ฝันร้ายหรือ”

เขาหันมองเจ้าของเสียงพูดก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้ เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองร้องไห้ยามที่มือหนายกขึ้นเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ทั้งเสียงและสัมผัสอ่อนโยนที่โอบล้อมร่างกายทำให้อาการเกร็งเครียดผ่อนคลายลง

“ผมขอโทษครับ ที่ผมทำให้นายท่านต้องตื่นกลางดึก” เขาผละตัวออกมาพร้อมพูดออกไปอย่างรู้สึกผิด ทั้งที่คิดว่าถ้ากลับมานอนในที่คุ้นเคย ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่จะหายไป ที่ไหนได้มันกลับตามมาถึงที่นี่

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากตามเข้าไปปกป้องเธอในฝันเสียด้วยซ้ำ”

พฤทธิกรประคองใบหน้าของเขาไว้ด้วยสองมือ กล่าวคำพูดปลอบที่ทำให้เขาอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

“แค่ตื่นมาแล้วเห็นคุณอยู่ข้าง ๆ ผมก็ดีใจแล้วครับ”

ชายหนุ่มยกยิ้มพลางโน้มตัวลงมาแตะจูบลงบนริมฝีปากของปภินวิช จูบแผ่วเบาที่เพียงริมฝีปากสัมผัสกันก่อนจะถอยห่างออกไป

“นอนกันเถอะครับ พรุ่งนี้นายท่าน ...เอ๊ย คุณฤทธิ์จะเข้าบริษัทนี่นา” เด็กหนุ่มดึงให้อีกฝ่ายล้มตัวลงนอน

“เรียกนายท่านเหมือนเดิมก็ได้”

“ไม่เอาล่ะครับ วันนี้เผลอเรียกนายท่านต่อหน้าปุ้ยด้วย ต่อไปผมจะเรียกคุณฤทธิ์อย่างเดียวจะได้ไม่หลุด” เห็นแสงไฟยังสว่าง ปภินวิชจึงยันตัวลุกขึ้นเอื้อมข้ามตัวชายหนุ่มเพื่อหยิบรีโมตมาปิดไฟ จากนั้นจึงล้มตัวเบียดอีกฝ่าย

“หนาวเหรอ” พฤทธิกรถามเสียงเบา

“เปล่าครับ แค่อยากให้คุณฤทธิ์กอด”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อจึงกอดร่างเพรียวบางตามคำร้องขอ ไม่ช้าไม่นานปภินวิชก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพฤทธิกร แต่เด็กหนุ่มยังคงลืมตาอยู่เช่นนั้น เขาไม่อยากหลับตาเพราะไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์นั้นอีก จึงได้นอนฟังเสียงหัวใจของชายหนุ่มผู้นอนร่วมเตียงอยู่เช่นนั้นจวบกระทั่งแสงสีทองยามเช้ามาเยือน

เขาลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบา เดินออกจากห้องไปจัดการธุระส่วนตัวยังห้องน้ำข้างนอก จากนั้นจึงลงมือทำอาหาร ตอนที่หันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเดินมาที่โต๊ะอาหารพร้อมชุดทำงานเรียบกริบ ข้าวต้มมื้อเช้าของเขาก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ตื่นเช้าจัง” พฤทธิกรส่งเสียงทักมาแต่ไกล ก่อนจะขมวดคิ้วรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขา “หน้าซีด ๆ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“แข็งแรงดีทุกอย่างครับ” ปภินวิชพูดตอบด้วยรอยยิ้ม

“ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหนให้รีบบอกรู้หรือเปล่า”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เสียงออดดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหันไปสนใจกับผู้มาเยือนที่หน้าประตู

“พี่ชะเอมคงมาถึงแล้ว เดี๋ยวผมไปเปิดประตูนะครับ” จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตู ส่งรอยยิ้มพูดคุยทักทายกับแม่บ้านพร้อมทั้งรับหนังสือพิมพ์เดินกลับมาส่งให้พฤทธิกร

ยามเช้าผ่านไปอย่างปกติเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนั้นพฤทธิกรบอกให้เด็กหนุ่มหยุดพักอยู่ที่ห้องอีกสักวัน ปภินวิชจึงไม่ได้ตามไปที่สำนักงานด้วย และระหว่างที่แม่บ้านกำลังจัดการทำความสะอาดตามหน้าที่ เขาจึงถือตะกร้าชั้นในของตนและชายหนุ่มเจ้าของห้องออกมาซัก

“ไม่ต้องทำหรอกค่ะคุณปลา”

ก่อนหน้านี้ ปภินวิชซักเฉพาะของตัวเองเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะซักเสื้อผ้าชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ให้ชายหนุ่ม

“ปกติคุณฤทธิ์ก็ส่งซักทั้งหมดอยู่แล้ว”

แค่เขาคิดว่าจะซักชั้นในให้ชายหนุ่มยังต้องทำใจไม่ให้เขินอยู่ตั้งนาน นี่เจ้าตัวถึงขั้นส่งให้ใครก็ไม่รู้ซักให้ ช่างเป็นคนที่ใจกล้าจริง ๆ ปภินวิชค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ “ผมนึกว่าคุณฤทธิ์จะซักเองซะอีก”

“เธอจะเอาเวลาที่ไหนมาทำเรื่องพวกนี้ เท่าที่พี่รู้ เห็นเธอทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดด้วยซ้ำ”

นั่นก็จริง ช่วงที่มาอยู่ที่นี่แรก ๆ คุณฤทธิ์ยังไปทำงานวันอาทิตย์อยู่เลย เด็กหนุ่มคิดก่อนจะหันไปพูดกับแม่บ้านว่า “เดี๋ยวต่อไปผมซักของพวกนี้เองดีกว่าครับ พี่ชะเอมไม่ต้องห่วงนะ”

อันที่จริงเพราะจะให้มานั่งอยู่เฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่มีคนต้องทำงานงก ๆ อยู่ภายในห้อง เด็กหนุ่มก็รู้สึกประดักประเดิดแปลก ๆ จึงลุกขึ้นมาหาอะไรทำ ส่วนตะกร้าผ้าของพฤทธิกรจะเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ก็ไม่ผิดนัก

คล้อยสายแม่บ้านทำความสะอาดจึงกลับไป เหลือปภินวิชคนเดียวอยู่ในห้อง เขาจึงรื้อหนังสือเตรียมสอบออกมาอ่าน ในห้องเงียบกริบเพราะเด็กหนุ่มไม่อยากเปิดโทรทัศน์ให้เสียงของมันดังรบกวนสมาธิ ทว่าจู่ ๆ กลับมีเสียงตึงดังขึ้นมา เขาเหลียวซ้ายแลขวามองหาที่มาของเสียง

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน เดินไปดูพื้นที่ส่วนครัวเป็นอันดับแรกเพราะต้องคอยระวังฟืนไฟไม่ให้ลุกไหม้ แต่เตาในคอนโดเป็นเตาไฟฟ้า และทุกอย่างก็เรียบร้อยเป็นปกติดี เขาจึงเดินกลับไปอ่านหนังสือต่อ เพียงแต่ไม่นานหลังจากนั้นเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงหัวเราะดังขึ้นอีก คราวนี้เขาผวาลุกขึ้นยืน กวาดสายตาไหวระริกด้วยความหวาดกลัวมองพื้นที่โดยรอบ

ทั้งที่รู้ว่าในที่พักมีเขาอยู่เพียงคนเดียว ซ้ำระบบรักษาความปลอดภัยของอาคารยังดีเยี่ยมไม่มีทางที่คนร้ายจะขึ้นมาบนคอนโดนี้ได้ แต่ปภินวิชกลับรู้สึกหวาดวิตกจนไม่อาจควบคุมร่างกายซึ่งสั่นสะท้านให้หยุดนิ่งได้

เขากลับเข้าไปในห้องนอนของน้องสาวเพื่อที่จะมองหากระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของตัวเอง แต่นึกขึ้นมาได้เสียก่อน พฤทธิกรบอกว่าไอ้คนร้ายนั่นมันเอากระเป๋ากับโทรศัพท์ของเขาไปทิ้งลงน้ำ

“ใจเย็น ๆ หน่อยซี ในห้องนี้ไม่มีอะไรหรอก ตั้งสติไว้” เขาบอกตัวเองพลางข่มใจให้สงบ ค่อย ๆ แง้มประตูชะเง้อมองออกไปด้านนอก

“เห็นไหม ไม่มีใครเลย”

กระนั้นเขากลับเดินไปดูประตูหน้าห้องอีกรอบ ประตูห้องในคอนโดเป็นแบบล็อกอัตโนมัติที่เมื่อปิดประตูแล้ว คนที่อยู่ด้านนอกจะไม่สามารถเปิดประตูเข้ามาได้ถ้าไม่มีคีย์การ์ดของห้อง นอกจากนั้นด้านในจะมีโซ่คล้องประตู แต่ปกติพฤทธิกรจะไม่ได้คล้องไว้ คงเพราะมั่นใจระบบความปลอดภัยของอาคารเช่นเดียวกัน

ปภินวิชคล้องโซ่ที่ประตู จากนั้นเดินกลับไปที่ครัวหยิบมีดออกมาถือ เดินไล่เปิดประตูทุกประตูในคอนโดเพื่อตรวจดูว่าภายในห้องมีแค่เขาคนเดียวจริง ๆ

เขากลับมาทรุดนั่งหมกตัวอยู่แถวโซฟาอีกครั้ง กอดเข่ายกมือกุมศีรษะกับอาการประสาทหลอนของตัวเอง และน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปภินวิชกลับเงยหน้าขึ้น ปาดน้ำตาพร้อมสูดลมหายใจปอด ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงกระแทกของโซ่คล้องประตู

“ปลา อยู่ข้างในหรือเปล่า” เสียงชายหนุ่มเจ้าของห้องดังเข้ามาทำให้เขารีบวิ่งออกไปเปิดประตู

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ปภินวิชร้องถามเมื่อปลดโซ่เปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาแล้ว ทว่าพฤทธิกรกลับถามไปอีกเรื่อง

“ร้องไห้เหรอ”

เด็กหนุ่มหันหลัง ยกมือขึ้นลูบหน้าลูกตาตัวเองยกใหญ่ จากนั้นจึงหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง “ไม่ได้ร้องสักหน่อย”

“แต่จมูกแดง”

เขายกมือกุมจมูกตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงตัวเขาเข้าไปกอด “ร้องก็บอกว่าร้อง ฉันจะได้กอดปลอบ”

“ผมแค่...” เด็กหนุ่มพูด จมูกแสบร้อนเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว เขาไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย ไม่ใช่แค่ฝันร้ายแต่ยังมีอาการประสาทหลอนเวลาที่อยู่คนเดียวอีก ปภินวิชได้แต่สงสัยว่าทำไมอาการแบบนี้ถึงเกิดกับเขาได้ เหตุการณ์เลวร้ายนั่นผ่านไปแล้ว เขาควรที่จะเลิกกลัวได้แล้วสิ

พฤทธิกรโอบร่างของเด็กหนุ่มไว้ ลูบศีรษะลูบหลังปลอบยืนรอให้ปภินวิชคลายอาการเศร้าหมองเคร่งเครียดอย่างใจเย็น

“หิวข้าวไหม” ชายหนุ่มถามเมื่อคนที่ยืนให้เขากอดอยู่นานผละออกห่าง “แต่ถึงจะไม่หิวก็ต้องกิน เพราะนี่เที่ยงแล้ว” จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปเปิดประตูห้อง เด็กหนุ่มถึงได้สังเกตเห็นสองบอดี้การ์ดยืนถือกล่องอาหารมื้อกลางวันอยู่ด้านนอก

“พี่ธนา พี่พุฒิ ผมขอโทษ” ปภินวิชร้องบอกอย่างรู้สึกผิด ตรงเข้าไปหาจะช่วยถือแต่ทั้งสองคนกับสั่นศีรษะ เดินถือเข้าไปวางยังโต๊ะอาหาร

“ทานด้วยกันไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ของผมสองคนอยู่ที่ห้องแล้ว ขอตัวก่อนครับ”

ชายทั้งสองก้มศีรษะให้พฤทธิกรก่อนเดินออกจากห้อง ปภินวิชจึงตีหน้ามุ่ยพลางพูดว่า “ทำไมคุณฤทธิ์ไม่รีบบอกล่ะครับ ปล่อยให้พี่สองคนนั้นยืนรออยู่ได้ตั้งนาน”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก พุฒิกับธนาเขาไม่ว่าอะไรหรอก”

“แต่ในใจอาจจะบ่นอยู่ก็ได้” พูดพลางจัดอาหารใส่จาน พฤทธิกรยกยิ้มย้ำยืนยันว่าสองคนนั้นไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นั้นหรอก ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นพร้อมกินอาหารไปพลาง กว่าจะทานกันเสร็จจึงกินเวลางานช่วงบ่ายไปร่วมชั่วโมง

พฤทธิกรไม่ได้กลับไปทำงานช่วงบ่าย เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองและออกมานั่งคุยกับเด็กหนุ่มคนรัก สลับกับดูรายการโทรทัศน์ที่นาน ๆ จะได้มีโอกาสดูสักครั้ง นั่งเงียบดูละครยามบ่ายอยู่พักใหญ่ หันกลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างกายปรากฏว่าปภินวิชหลับไปเสียแล้ว จึงลุกขึ้นไปหาผ้าห่มผืนบางจากในห้องนอน ทว่าเมื่อเดินกลับมา เด็กหนุ่มที่น่าจะยังหลับกลับนั่งอยู่บนโซฟาด้วยอาการหน้าตาตื่น

เขารีบเดินเข้าไปหาซึ่งเจ้าตัวโผเข้ามากอดเขาไว้ทันที

“เป็นอะไร ฝันร้ายหรือ”

ปภินวิชซุกหน้าอยู่กับซอกคอของเขา อาการตอบรับจึงแทบจะมองไม่เห็นถ้าไม่สังเกตให้ดี

“ไปหาหมอไหม”

คราวนี้อีกฝ่ายกลับผละออกห่างพร้อมสั่นศีรษะระรัว “ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ฝันร้ายนิดหน่อย”

“ฝันร้ายนิดหน่อย แต่มันก็ส่งผลต่อสุขภาพนะ” คงเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้ฟังดูจริงจัง ปภินวิชจึงต่อรองกลับมาว่าขอรอดูอีกสักพัก ชายหนุ่มยอมพยักหน้ารับพลางย้ำว่าเป็นอะไรให้รีบบอก




ในเช้าวันเสาร์ เด็กหนุ่มตื่นมาทำมื้อเช้าเช่นปกติ พฤทธิกรก็ตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมเหมือนทุกวันแต่เมื่อออกมาจากห้องนอนและได้เห็นหน้าตาของคนที่นอนร่วมเตียงเดียวกัน เขาก็อดส่งเสียงดุออกไปไม่ได้

“เมื่อคืนแค่แกล้งนอนเฉย ๆ ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “เปล่าครับ ผมหลับสบายดี”

“ปลา อย่าโกหก”เสียงของพฤทธิกรดุเข้มเสียจนต้องย่นคอหนี เขากอดอกยืนมองเด็กหนุ่มด้วยแววตากดดัน อีกฝ่ายจึงยกยิ้มแหยทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดินเข้ามาหา เกาะแขนร่างสูงกว่าพลางทำหน้าอ้อน ปภินวิชคิดว่าตนเองส่องกระจกดีแล้วนะ คิดว่าอย่างไรเสียพฤทธิกรคงไม่มีทางรู้ หากตนจะไม่ยอมนอนเพราะไม่อยากฝันร้ายอีก

“ไม่โกรธนะ”

“ฉันควรไม่โกรธหรือ”

เขาพยักหน้ารับศีรษะแทบหลุด พฤทธิกรจึงประคองจับใบหน้าของเขาด้วยสองมือ “ทั้งที่หน้าซีดใต้ตาคล้ำขนาดนี้เนี่ยนะ”

“แค่คืนเดียวเองคงไม่เป็นไรหรอก” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย แต่คนฟังพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเธอเลือกใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา ฉันคิดว่าเธอคงไม่ทำมันแค่คืนเดียวหรอก เธอทำเพราะอะไร ไม่อยากฝันร้าย ไม่อยากตื่นกลางดึก และไม่อยากปลุกให้ฉันตื่นไปด้วยหรือ แต่เธอรู้หรือเปล่าปลา การไม่นอนมันส่งผลเสียกว่าอีก ฉันคิดว่าฉันควรนัดหมอพาเธอไปบำบัดเลยดีกว่า”

“ไม่ ๆ ครับ อย่าเพิ่ง” ปภินวิชร้องเรียกพร้อมคว้าจับพฤทธิกรไว้ “ผมจะนอนปกติแล้วครับ อย่าเพิ่งพาผมไปหาหมอนะ”

“ไม่อยากไปหาหมอเพราะกลัวโดนเรียกด้วยคำที่ไม่ดีเหรอ” พฤทธิกรถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ปภินวิชตอบปฏิเสธ “ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไม่อยากไป ผมคิดว่า... ผมจะจัดการความรู้สึกของตัวเองได้”

ชายหนุ่มย่อตัวลงมาเพื่อมองหน้าสบสายตากับอีกฝ่าย “ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหน อย่างไรให้รีบบอก ปัญหาบางอย่างที่เธอแก้ไม่ได้ เชื่อฉันเถอะ ว่าฉันจัดการให้เธอได้”

ปภินวิชพยักหน้ารับ

“อะแฮ่ม ๆ ปุ้ยออกไปได้หรือยัง อยากไปเข้าห้องน้ำค่ะ” เด็กสาวส่งเสียงดังมาก่อนตัว เนื่องจากถ้าเดินจากห้องนอนของเธอไปยังห้องน้ำ จะต้องเดินผ่านพื้นที่ครัว เธอไม่อยากออกไปขัดจังหวะคนทั้งคู่จึงได้แต่อดทนรออยู่ในห้อง

คนเป็นพี่ชายจึงขยับถอยออกห่างจากชายหนุ่มร่างสูงอีกนิดพร้อมร้องบอกอนุญาตกับน้องสาว เขาหันรีหันขวางด้วยความเก้อเขิน ก่อนหันไปให้ความสนใจหม้อข้าวต้มที่ตั้งอยู่บนเตา

หลังทานอาหารเสร็จ พฤทธิกรย้ายตัวเองมานั่งที่โต๊ะทำงานเช็กอีเมลอ่านรายงานต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะพาสองพี่น้องออกจากห้องตอนประมาณสิบโมงกว่าเพื่อไปซื้อเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหม่ให้ปภินวิช และพาเด็กหนุ่มไปเจอกลุ่มเพื่อนตามที่ได้เคยนัดหมายกันไว้

พฤทธิกรขับรถเองแต่คราวนี้สองบอดี้การ์ดขับรถอีกคันตามมาด้วย มาถึงห้างสรรพสินค้ายังมาเจอหลายชายในร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกต่างหาก

“ทำไมล่ะครับ ผมก็อยากมาเดินเที่ยวบ้าง”กวีวัธน์ตอบหน้าตาย จากนั้นจึงหันไปคุยกับเด็กสาวเรื่องสเปกคอมพิวเตอร์ที่เธอต้องการนำไปใช้งาน พฤทธิกรถึงได้รุนหลังเด็กหนุ่มให้ไปดูโทรศัพท์มือถือและถอยอีกเครื่องสำหรับตัวเอง เด็กสาวเห็นเช่นนั้นจึงทำหน้าตาน่ารักส่งมาให้พร้อมเอ่ยขอเครื่องเก่าที่เขาเคยใช้

"จะให้น้าซื้อเครื่องใหม่ให้ก็ได้นะ"

"ไม่ต้องหรอกค่ะ เครื่องนี้น่ะดีแล้ว"เธอยกยิ้มตอบกลับมาก่อนจะก้มหน้าก้มตาใช้นิ้วลากเปิดแอปพลิเคชันในเครื่อง

ออกจากร้าน พฤทธิกรพาเด็กหนุ่มไปขอเปิดซิมโทรศัพท์และพาไปทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ หลังจากได้ของทั้งสองอย่าง เขายกนาฬิกาขึ้นดูเห็นใกล้ถึงเวลานัดแล้ว จึงได้พากันเดินไปยังสถานที่นัดซึ่งเป็นร้านพิซซ่าแบรนด์ดังที่ราคาค่าอาหารเหมาะสำหรับเงินในกระเป๋าของวัยรุ่น

เมื่อไปถึงปรากฏว่ากลุ่มเพื่อนของปภินวิชมานั่งรออยู่แล้ว พฤทธิกรจึงแยกไปนั่งอีกโต๊ะที่ไม่ห่างกันนักโดยมีปวันรัตน์และกวีวัธน์ตามมานั่งที่โต๊ะเดียวกัน ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองคนเลือกโต๊ะที่นั่งใกล้ ๆ กับนายจ้าง ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้นั่งคุยกับกลุ่มเพื่อน

“นั่นน้ามึง?” ทธรรษเอ่ยถาม เพราะรู้จักปภินวิชมาตั้งแต่เด็กและรู้ว่ามารดาของเพื่อนสนิทเป็นคนต่างจังหวัดที่มาทำงานในกรุงเทพฯ ตอนที่ปภินวิชพูดถึงน้าจึงนึกว่าอีกฝ่ายมีญาติจริง ๆ ย้ายเข้ามาทำงานที่นี่เหมือนกัน

“ก็ทำนองนั้น” เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มเสียงทั้งไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ไม่บอกแต่แรกวะ กูรู้จักน้ามึงนะ แม่กูชอบเอามาพูดให้ฟัง” เพื่อนอีกคนพูดแทรกขึ้นมา

“หลานเขานั่งอยู่นี่พูดดี ๆ นะมึง”

“ดีอยู่แล้วเว้ย แม่กูบอกให้เอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง แบบนี้เรียกว่าดีไหมล่ะ”

แต่ละคนจึงสบถขานรับพร้อมเพรียง “แต่ละครั้งที่แม่กูพูดถึง ยิ่งกว่าเพ้อถึงดารา แถมยังบอกว่าถ้าพี่กูเรียนจบกลับมาแล้วเขายังไม่มีข่าวเรื่องคบกับใคร จะไปทาบทามขอให้พี่กูอะ”

“เทพขนาดนั้นเลยหรือวะ แต่กูได้ยินว่าเขาอายุเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ”

ปภินวิชได้แต่นั่งฟังกลุ่มเพื่อนนินทาถึงชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะผู้ปกครองและคนรักโดยไม่กล้าพูดแทรกอะไร พลางแกล้งทำเป็นยกน้ำขึ้นดื่มเมื่อรู้สึกถึงสายตาของเพื่อนสนิท

“กูว่าเขามีแฟนแล้วว่ะ” ทธรรษโพล่งออกไป ทั้งกลุ่มเงียบกริบหันมองคนพูดพานให้ปภินวิชชะงักไปด้วย

“พวกมึงบอกว่าเขาดีเลิศขนาดนั้น ไม่หลุดมาถึงพี่มึงหรอกไอ้ตรอน”

“มึงรู้ได้ไง น้ามึงมีแฟนแล้วเหรอวะปลา” คำถามถูกส่งมาถึงคนที่อยู่ในฐานะหลานชาย เด็กหนุ่มอึกอักลังเลหันมองเพื่อนสนิทที่จุดประเด็น ทว่าอีกฝ่ายกลับหันไปให้ความสนใจแต่ของกินเล่นบนโต๊ะหน้าตาเฉย เขาเดาใจใครไม่ถูกเลยแม้แต่ทธรรษที่รู้จักคบหากันมาหลายปี

“ก็ตอบมันไปตรง ๆ นั่นแหละ แม่ไอ้ตรอนจะได้ไม่พยายามสู่ขอผู้ชายให้พี่สาวมัน ถ้าน้ามึงกับแฟนเขารักกันดีจะปล่อยให้มีมือที่สามหลุดไปทำลายความสัมพันธ์ทำไม” ทธรรษพูดบอกมาอีกรอบ

“มึงพูดเหมือนรู้ดีเลยไอ้ฟรังค์ ตกลงมึงไปนอนอยู่ใต้เตียงเขาเหรอ” เพื่อนอีกคนถามแซว ทธรรษจึงสบถด่ากลับไปก่อนชวนเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น

พวกเขานั่งคุยกันอยู่นานกว่าจะแยกย้าย ขณะที่ทธรรษยังกอดคอเขาไม่ปล่อยพาเดินวนในห้างโดยมีชายฉกรรจ์สี่คนกับน้องสาวของเขาเดินตามอยู่ห่าง ๆ

“กูไม่ได้บอกพวกนั้นเรื่องมึงหรอก แค่พูดว่าไม่ได้เจอมึงนานตั้งแต่ปาร์ตี้คืนนั้น” ทธรรษพูดพลางก้มมองเสื้อแขนยาวตัดเย็บจากผ้ายีนที่ปภินวิชสวมอยู่ ถึงจะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วแต่อากาศของใจกลางเมืองยังร้อนเกินกว่าจะใส่เสื้อคลุมทับอีกตัว และเพื่อนของเขาก็ไม่ใช่คนขี้หนาว

“คนอื่นว่ายังไงไหม”

“จะว่าอะไร ต่างคนต่างถูกคุมประพฤติแหละ ไอ้เรื่องเที่ยวกินเหล้านะไม่เท่าไหร่แต่มีของผิดกฎหมายเข้ามาเกี่ยว...” เพื่อนสนิทของเขาเล่าถึงเพื่อนในกลุ่มที่พ่อแม่ต้องลางานเพื่อเดินทางกลับดูลูกชาย ซ้ำร้ายยังมีการคุยว่าจะให้ย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศจะได้ใกล้หูใกล้ตาพ่อแม่

“ว่าแต่ เขาดูแลมึงดีหรือเปล่า”

“ดีดิ คุณฤทธิ์เขาดูแลกูดีมาก” ปภินวิชลากเสียงยาวพร้อมรอยยิ้ม

“ดีประสาอะไรวะ มึงถึงเกิดเรื่องได้เนี่ย”

“วันนั้นกูดื้อเองแหละ แล้วซอยเข้าคอนโดก็ไม่ได้เปลี่ยวมาก” เขาหยุดพูดไปแค่นั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เขาเชื่อใจคนง่ายและเพราะเห็นว่าเป็นเด็กจึงยิ่งไม่นึกระแวงสงสัย เมื่อลองย้อนนึกดู เด็กคนนั้นคงจะเป็นนกต่อที่ถูกจ้างมา

ทธรรษเห็นเพื่อนสนิทมีสีหน้าหมองลงจึงวางมือโยกศีรษะอีกฝ่าย “ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปมึง แล้วจับคนร้ายได้หรือยัง”

“น่าจะได้มั้ง กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณฤทธิ์เขาไม่ได้บอกอะไรกูเลย”

“ออ” ทธรรษพยักหน้ารับ “ถ้ามึงเดือดร้อนอะไรให้รีบบอกแล้วกัน”

“อืม มึงไม่ต้องห่วงหรอก” เด็กหนุ่มบอก เงียบไปอีกครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มึง... เรื่องคุณฤทธิ์อะ มึงไม่อะไรใช่ไหม”

“ไม่อะไรที่ไหน” ทธรรษตอบกลับไปทันควัน พลางรัดคอเด็กหนุ่มร่างเล็กบางกว่าแน่นขึ้น “ก่อนที่มึงจะตัดสินใจคบกับเขา มึงควรให้กูสแกนก่อนดิวะ เกิดแม่งแค่หวังฟันขึ้นมาจะทำยังไง เดี๋ยวได้โดนทิ้งน้ำตาเช็ดหัวเข่าไม่รู้ตัว” เมื่อโดนปภินวิชทุบหลังรัว ๆ เขาจึงยอมคลายวงแขนออก

“อายุเยอะกว่าขนาดนี้ เขาจะมาสนใจเด็กทำไมวะ มีลูกมีเมียหรือยังก็ไม่รู้ ไม่ได้การล่ะ กูต้องไปลองสืบประวัติดูก่อน มึงก็เหมือนกันอย่ายอมเขาง่าย ๆ นะเว้ย หรือว่าซั่มกันไปแล้ว” จากนั้นก็พึมพำต่อไปอีกว่า มึงย้ายไปอยู่กับเขาแล้วนี่หว่า

“พูดบ้าอะไรเนี่ย” ปภินวิชดันอีกฝ่ายออกห่างพยายามตีหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ก็เรื่องที่รู้ ๆ กันดีนะแหละ เอาเป็นว่าถ้ามีปัญหากันให้รีบโทรหากูก่อนนะเว้ย เดี๋ยวกูจัดการให้ ส่วนเรื่องลูกเมียเขาได้ความยังไงเดี๋ยวกูเอาข่าวมาบอก”

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ปภินวิชหันไปบอกคนที่พยายามดันให้เขาเดินกลับไปรวมกลุ่มกับคนที่ถูกพูดถึงในบทสนทนา

“เออน่า” ทธรรษบอกอย่างขอไปที ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างยกมือไหว้ชายหนุ่มที่เพื่อนสนิทเคยบอกว่าเป็นน้าชาย

“สวัสดีครับน้าฤทธิ์ ผมชื่อฟรังค์ครับ เป็นเพื่อนสนิทของปลา รู้จักกันมาตั้งแต่มอหนึ่ง พ่อแม่ปลาผมก็รู้จักแต่ไม่ยักจะรู้ว่าน้าฤทธิ์เป็นน้องชายของแม่เพื่อนผม”

พฤทธิกรยกมือรับไหว้ จากนั้นจึงตอบคำถามด้วยรอยยิ้มและสีหน้าปกติ “ก็เป็นญาติห่าง ๆ เธอคงไม่รู้จักญาติทุกคนของพี่ปันหรอกมั้ง”

ทธรรษถึงกับมองหน้าเพื่อนสนิท ขณะที่ปภินวิชกับปวันรัตน์ก็แปลกใจไม่แพ้กันด้วยไม่นึกว่าพฤทธิกรจะรู้ชื่อเล่นของมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว

“ก็ใช่” ทธรรษส่งเสียงหัวเราะอย่างไร้ความหมาย ก่อนจะกล่าวตัดบทขอตัวลา “งั้นวันนี้ผมลาก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่ครับ ไปนะปุ้ย”

เด็กสาวจึงโบกมือลาเพื่อนพี่ชาย คล้อยหลังอีกฝ่ายแล้วจึงหันมาพูดถามคนที่ตนเรียกว่าน้าชาย “น้าฤทธิ์รู้ด้วยหรือคะว่าแม่ของปุ้ยชื่ออะไร”

“ก็จะเป็นน้าฤทธิ์นี่นา มันต้องรู้เรื่องหลานที่ดูแลอยู่บ้าง”

ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มเกร็งเครียดขึ้นมา พฤทธิกรหันไปเห็นจึงวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม “แต่สำหรับน้องปลา ฉันขอเป็นน้าฤทธิ์เฉพาะต่อหน้าเพื่อนเธอเท่านั้นนะ”

“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละครับ น้าฤทธิ์มาทีหลังนี่” กวีวัธน์โพล่งแทรกขึ้นมา

“อะไรของแก”

ปวันรัตน์หันไปมองคนพูดเพราะอยากรู้ด้วยเหมือนกัน

“น้องปลากับน้องฟรังค์เขาคบกันมาตั้งแต่มอหนึ่ง น้าฤทธิ์มาทีหลังเป็นได้แค่บ้านเล็กเท่านั้นแหละ เผลอ ๆ อาจมีศักดินาเป็นแค่กิ๊กด้วยซ้ำ”

“โห พี่กลอนนี่ก็ช่างคิดเนอะ” เด็กสาวพูด “พี่ฟรังค์เขาแนะนำตัวออกจะชัดว่าเป็นเพื่อนสนิท ยังเอามาพูดอีก พี่เขยคะ อย่าไปเชื่อหลานชายขี้โม้มากนะ” ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับพฤทธิกร กวีวัธน์จึงหันไปพูดเถียงกับเด็กสาวเสียแทน ส่วนฝ่ายน้าชาย เขายื่นมือออกไปให้เด็กหนุ่มคนรักเอ่ยปากพูดพร้อมรอยยิ้ม

“กลับบ้านกันเถอะ”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 18 [08/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-12-2017 23:29:20
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 19 [12/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-12-2017 06:44:34
19



เมื่อเช้าวันจันทร์มาถึงปภินวิชได้ติดสอยห้อยตามพฤทธิกรมาที่อาคารสำนักงานด้วย เด็กหนุ่มอยู่ในชุดพนักงานทำความสะอาดเหมือนเดิม เนื่องจากอยู่คนเดียวแล้วฟุ้งซ่านหลอนไปเองจึงได้ขอกลับมารับตำแหน่งเดิมดีกว่า

ชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งประธานบริษัทเดินแยกเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ปภินวิชจึงเดินไปยังห้องเล็ก ๆ สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ดึงเครื่องดูดฝุ่นออกมาทำความสะอาดพื้นและนำขยะในห้องทำงานแต่ละห้องออกไปทิ้ง แวะทักทายกับสุธาณีเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวมาถึงโต๊ะทำงานก่อนเปิดประตูห้องท่านประธานเข้าไป

“รับน้ำอะไรดีครับ”

คนที่ปภินวิชส่งคำถามไปให้กำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับแฟ้มเอกสารรายงานที่ถูกส่งมาให้ตรวจลงนาม ชายหนุ่มเงยหน้ายกยิ้มให้พร้อมตอบกลับไปว่าขอแค่น้ำเปล่าก็พอ แต่กระนั้นคนถามกลับทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ข้างโต๊ะ โผล่มาให้เห็นเฉพาะใบหน้าและปลายมือทั้งสอง

“ไปลากเก้าอี้มานั่งดี ๆ”เจ้าของห้องเอ่ยปากบอกทว่าอีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ

“งั้นลุกขึ้นมานั่งนี่”

‘นี่’ ที่ว่าคือบนตักของคนพูดและเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนทำตามอย่างว่าง่าย พฤทธิกรจึงสอดมือโอบเอวอีกฝ่ายไว้

“ไม่รับกาแฟสักหน่อยหรือครับ ไม่ง่วงเหรอ”ที่ปภินวิชถามออกไปแบบนั้นเพราะเมื่อคืนพวกเขาก็ต้องตื่นกลางดึกกันอีกแล้ว และหลังจากนั้น ชายหนุ่มยังชวนเขาคุยอยู่นานกว่าที่เขาจะง่วงนอนอีกครั้ง

“เธอง่วงหรือ”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะตอบปฏิเสธ ก่อนจะถามต่อไปอีกว่า “ทำไมถึงไม่กินกาแฟล่ะครับ”

“กินเยอะแล้วมันไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วถ้ากินไปนาน ๆ มันก็จะติด”

“เมื่อก่อนคุณฤทธิ์ติดกาแฟไม่ใช่เหรอ”

เจ้าของชื่อหัวเราะ เดาได้ว่าคู่สนทนาคงได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว แต่คงอยากได้ยินจากปากเขาอีกรอบ “อืมติดมาก จนร่างกายดื้อคาเฟอีน พนักงานร้านกาแฟเลยบอกให้หยุดดื่มบ้าง”

“เป็นพนักงานภาษาอะไร พูดจาไล่ลูกค้า”ปภินวิชขมวดคิ้วพูดคล้ายไม่ชอบใจ

“แต่ฉันกลับคิดว่า เป็นเด็กที่รู้จักห่วงใยคนอื่นดีนะ”

คนฟังถึงกับย่นจมูกเมื่อพฤทธิกรแสดงออกว่าปลื้มพนักงานคนนั้นมาก จากนั้นจึงหรี่ตาด้วยอาการพินิจพิเคราะห์ ใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาพร้อมทั้งเพ่งพิศจ้องนัยน์ตาของชายหนุ่มอย่างจับผิด

“คุณฤทธิ์มีปัญหาด้านสายตาหรือเปล่าครับ”

คำถามนั้นทำให้พฤทธิกรต้องเลิกคิ้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากคนตรงหน้าได้พูดออกมาว่า “ผมไม่เคยเห็นคุณฤทธิ์ใส่แว่นหรือคอนแทกต์เลนส์เลย อายุไม่มีผลต่อสายตาหรือครับ”

“ว่าฉันแก่หรือเปล่าเนี่ย”ชายหนุ่มถามกลับพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกวูบวาบในอก คนถามจึงแสร้งตีสีหน้าเหยเกพร้อมเอ่ยอ้อมแอ้มปฏิเสธ ละมือออกห่างพลางดันตัวลุกขึ้นยืน “ป... เปล่าสักหน่อย สายมากแล้ว ผมไปทำงานดีกว่า”

ปภินวิชหมุนตัวสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ยกยิ้มแหยให้หญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้องจากนั้นตรงดิ่งเข้าไปในลิฟต์ ลงไปยังชั้นเก็บเอกสาร ออกจากลิฟต์มายืนที่ระเบียงทางเดินแล้วยังถอนหายใจเฮือกใหญ่

เพราะนึกสงสัยว่าเขาทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านั่นแหละ เด็กหนุ่มถึงได้ถามคำถามเหล่านั้นออกไป แต่เพราะประกายนัยน์ตาและใบหน้าดูดีน่าหลงใหลนั่นทำให้เขาความคิดขาวโพลนกลวงเปล่าขึ้นมาในฉับพลัน เขาถึงต้องล่าถอย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบอุปกรณ์อะไรมาสักอย่างจึงต้องกลับขึ้นไปข้างบนเพื่อหยิบไม้ถูกพื้นและถังน้ำ




ช่วงสาย ธนากลับเข้ามาที่สำนักงานพร้อมซองกระดาษสีน้ำตาลในมือ หลังจากเมื่อช่วงเช้าเขาขับรถมาส่งเจ้านายเรียบร้อยก็วนรถออกไปข้างนอกอีกครั้ง เอกสารในซองนั้นเป็นผลการตรวจเลือดของปภินวิช ดังนั้นเขาจึงนำมันไปส่งให้ผู้เป็นนายจ้างทันทีที่มาถึง

พฤทธิกรรับมันมาถือไว้มือ นิ่งมองอย่างทำใจอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เปิดซองดูผลการตรวจ กวาดสายตาอ่านข้อความบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอ่านทวนย้อนบรรทัดสรุปผลที่ระบุว่าผลเลือดเป็นปกติ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เก็บมันใส่ซองไว้ตามเดิม

“ทางตำรวจแจ้งมาว่าอยากให้คุณปลาไปชี้ตัวคนร้ายครับ”

ประโยคนั้นทำให้เขาขมวดคิ้ว “จะแน่ใจได้ไหมว่ามันจะไม่มีชีวิตออกมาเดินเล่นข้างนอกอีก”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติส่งมันเข้าคุกไปก่อน หลังจากนั้นผมจะหาคนไปจัดการให้ครับ”

“ถ้างั้นให้ปลาไปชี้ตัวบ่ายนี้เลยก็ได้ ช่วงบ่ายฉันยังว่างอยู่ สักสามโมงครึ่ง ออกจากสถานีตำรวจก็กลับคอนโดเลย”ชายหนุ่มนัดหมายเวลา เขาอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว เผื่ออย่างน้อยที่สุดมันอาจจะลดอาการฝังใจของเด็กหนุ่มได้บ้าง

บอดี้การ์ดของเขาขอตัวออกไปเมื่อหมดธุระ ทว่าประตูได้ถูกผลักเข้ามาอีกครั้งหลังจากนั้นเพียงไม่นาน พฤทธิกรเหลือบสายตาขึ้นมองพลางขยับซองสีน้ำตาลสอดไว้ใต้แฟ้มเอกสารอื่น คราวนี้อีกฝ่ายดึงเก้าอี้มานั่งที่หัวโต๊ะ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเจื่อนซีดกว่าเมื่อเช้าที่เขาได้เห็นล่าสุดก่อนเจ้าตัวจะออกไปจากห้อง กระนั้นเขากลับไม่ได้พูดทักออกไป

“มาช่วยทำงานหรือ”เขายกยิ้มบางในประโยคที่คล้ายเอ่ยแซวแต่เด็กหนุ่มก็ขานรับตอบตกลงกลับมา พฤทธิกรจึงส่งเอกสารของแผนกบัญชีไปให้ช่วยตรวจตัวเลข แม้ว่าก่อนที่แฟ้มเล่มนั้นจะมาถึงเขา มันได้ผ่านสายตาสองคู่ของผู้ช่วยมาแล้วก็ตาม

“เอกสารฉบับนี้กลอนตรวจมาแล้วรอบหนึ่ง ลองดูเผื่อเจ้านั่นจะหลุด”

พอได้ยินว่าเขาให้จับผิดของรายงานของคู่ปรับ เด็กหนุ่มจึงดูเหมือนว่ามีไฟขึ้นมาทันตาเห็น

ด้วยเหตุนั้นภายในห้องจึงเงียบกริบเพราะต่างคนต่างทำงาน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษกับเสียงลากปากกาจรดลายเซ็น จนเวลาผ่านครู่ใหญ่ เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะได้ดังเตือนขึ้นมา ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องจึงเอื้อมมือไปกดปุ่มรับ

“ครับ”

“คุณฤทธิ์คะ วันนี้ออร์กาไนซ์จัดงานแถลงข่าวนำแบบงานเข้ามานำเสนอค่ะ จะเข้าร่วมด้วยไหมคะ”

“ครับ เดี๋ยวผมลงไป”

“งั้นผมขอเอาแฟ้มไปนั่งกับพี่ก้อยนะครับ”ปภินวิชพูดทันทีที่ชายหนุ่มกดวางสาย ในเมื่ออีกฝ่ายจะไม่อยู่ในห้องแล้ว เขาก็ไม่รู้จะอยู่ในนี้ต่อไปทำไม

“ได้ ไม่ต้องขยันมากล่ะ”พฤทธิกรพูดตอบขณะหยิบสมุดบันทึกและปากกา เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ปภินวิชจึงหอบแฟ้มถือไปด้วยพร้อมกล่าวตอบมาว่า

“มีแต่ให้ขยันตั้งใจทำงาน”

“ฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้เครียด”

“ไม่ ผมจะต้องหาจุดผิดพลาดในแฟ้มเล่มนี้ให้ได้”

พฤทธิกรพยักพเยิดเออออรับด้วยรอยยิ้ม วางมือลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูจากนั้นจึงแยกออกไปประชุม เมื่อกลับขึ้นมาหลังประชุมเสร็จ ปรากฏว่าหน้าตาของปภินวิชกำลังง่วงงุนเต็มที่ แต่เพราะใกล้เวลาทานอาหารแล้ว เขาจึงสะกิดปลุกให้ไปทานข้าว กระนั้นเมื่อทานอาหารเสร็จ เด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาง่วงงุนกลับหายไปแล้วซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสดชื่นเหมือนเดิม

พฤทธิกรจึงใช้โอกาสนี้บอกเรื่องนัดตอนบ่าย

“วันนี้ต้องไปชี้ตัวคนร้ายนะ”

ปภินวิชออกอาการเกร็งเครียดขึ้นมาในทันที ชายหนุ่มผู้ที่กล่าวประโยคนั้นจึงเอื้อมมือมาวางทับกุมมือเขาไว้ และเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ด้วย ไหนจะธนาอีก ฉันไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรเธอได้แน่นอน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับกระนั้นหัวใจก็เต้นรัวกังวลไม่เป็นสุข ไม่สามารถสงบสติความฟุ้งซ่านของตัวเองได้ เขานั่งรออยู่ในห้องทำงานของพฤทธิกรตลอดชั่วโมงการทำงานช่วงบ่าย นั่งสะกดจิตตัวเองให้ออกอาการตื่นกลัวน้อยที่สุด กระทั่งมือหนาถูกยื่นมากุมมือของเขาไว้อีกครั้ง

“ถึงเวลานัดแล้ว”

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมา ทว่าเพียงแค่อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปกอดไว้ ได้สูดกลิ่นกายที่คุ้นเคย สัมผัสความอุ่นร้อนจากร่างกายของชายหนุ่ม หัวใจที่เคยเต้นรัวกลับสงบลงอย่างน่าประหลาด

พฤทธิกรผละออกห่างเมื่อร่างกายของปภินวิชหายจากอาการสั่นกลัว กล่าวย้ำให้กำลังใจพร้อมแตะจูบบนหน้าผากเนียน จับจูงมือซึ่งเล็กบางกว่าพาให้เดินตามมา

พวกเขามาถึงสถานีตำรวจโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน การเดินทางมาที่สถานีตำรวจเที่ยวนี้ ชายหนุ่มมีบอดี้การ์ดติดตามมาเพียงคนเดียว เนื่องจากพุฒิพงศ์มีหน้าที่ขับรถรับส่งปวันรัตน์ ช่วงเวลาประมาณนี้บอดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นคงกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปรับเด็กสาว

หลังจากรถยนต์จอดสนิท ธนาได้ยื่นหมวกกับหน้ากากผ้าไปให้เจ้านายที่อยู่เบาะหลังเพื่อป้องกันสายตานักข่าว แม้การปิดหน้าปิดตาจะยิ่งดึงดูดความสนใจ แต่พฤทธิกรแจ้งเรื่องให้ตำรวจเก็บข้อมูลคดีนี้ไว้แล้ว

“ไม่เป็นไรนะ เธอมาชี้ตัวคนร้ายแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วไว้สัก... หลังจากที่ปุ้ยรับยาคราวหน้าฉันจะพาเธอไปเที่ยว”พฤทธิกรพูดพลางสวมผ้าปิดให้เด็กหนุ่ม

“ผมไม่ใช่เด็กนะ ถึงได้เอาเรื่องเที่ยวมาล่อ”เสียงพูดตอบฟังอู้อี้ลงเพราะผืนผ้าที่คาดอยู่บนหน้า คนตรงหน้าสวมหมวกให้แต่ยังคงวางมือค้างไว้บนศีรษะและพูดประโยคต่อไปด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยไม่สมวัย

“อ้าว... ไม่อยากไปงั้นเหรอ น่าเสียดายจัง”

“ผมยังไม่ได้บอกว่าไม่อยากไปเลย”

“ดีจัง นึกว่าจะต้องไปคนเดียวเสียแล้ว งั้นรีบเข้าไปแล้วกลับไปจัดกระเป๋ากันดีกว่าเนอะ”พฤทธิกรพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาก้าวเท้าลงจากรถแล้วยื่นมือให้เด็กหนุ่มจับไว้

“คุณฤทธิ์ต้องไปทำงานที่อื่นอีกหรือครับ”เอ่ยปากถามเมื่อออกมายืนด้านนอกตัวรถแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงกว่าก้าวเท้าเดินพร้อมโอบไหล่ให้เขาเดินอยู่ข้างกัน ปล่อยให้บอดี้การ์ดเป็นผู้ปิดประตูรถให้

“เปล่า ตั้งใจพาเธอไม่เที่ยวนั่นแหละ แต่ถ้าเธอไม่ไปฉันก็ต้องไปคนเดียวใช่ไหมล่ะ”

“แบบนั้นก็ได้ด้วย”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

ประโยคสนทนาถูกหยุดไว้แค่นั้นเมื่อเขาทั้งคู่ได้ก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในตัวอาคารแล้ว พฤทธิกรหยุดเท้ารออยู่ครู่หนึ่ง บอดี้การ์ดที่ตามหลังมาก็ผายมือพร้อมเดินนำไปด้านใน มือข้างหนึ่งยังถือโทรศัพท์แนบหู ด้วยเหตุนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ธนาติดต่อไว้ก่อนหน้าเดินออกมารับ และพาเดินเข้าไปยังห้องหนึ่ง

ภายในห้องนั้นผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกซึ่งมองเห็นอีกฟากที่มีชายหนุ่มห้าคนยืนเรียงกันพร้อมถือป้ายหมายเลข ปภินวิชกวาดสายตามอง อาการหัวใจเต้นแรงหายใจไม่ค่อยออกกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง

เมื่อได้มองเห็นคนร้ายภายใต้แสงไฟสว่างชัด เขารู้สึกว่าหน้าตาของมันช่างต่างกับในความฝันที่หลอกหลอนอยู่ทุกค่ำคืนเหลือเกิน ใบหน้าธรรมดาที่หากเดินผ่านกันในเวลาปกติ เขาคงเดินผ่านไปโดยไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด

มือสั่นระริกของปภินวิชค่อย ๆ ยกสูงขึ้น ทว่าวินาทีนั้นเขาเกิดรู้สึกลังเลขึ้นมา หรือเขาอาจจะจำผิด ข้อความประโยคนี้ผุดขึ้นมาในสมองของเด็กหนุ่มพร้อมกับมือของเขาขยับเลื่อนไปโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่พฤทธิกรได้คว้าจับมือเขาไว้

“ผมนับว่าเป็นพยานได้ไหมครับ”ชายหนุ่มร่างสูงหันไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“อ๊ะ... ได้ครับ”

พฤทธิกรจึงใช้มือข้างที่ยังจับยึดมือเด็กหนุ่มไว้ชี้ไปยังหมายเลขที่ปภินวิชตั้งใจชี้เลือกในทีแรก

ขั้นตอนการชี้ตัวสิ้นสุดลงแค่นั้น พฤทธิกรจึงเร่งพาปภินวิชเดินทางกลับ ระหว่างอยู่บนรถยนต์พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายยังนั่งนิ่งเงียบคล้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่พฤทธิกรยังจับยึดมืออีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย

“อ้าว! สวัสดีค่ะ ทำไมวันนี้น้าฤทธิ์กับพี่ปลากลับเร็วจัง”เสียงใส ๆ ของเด็กสาวดังทักมาให้ได้ยินทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่อาศัย

“น้ามีธุระจะคุยกับพี่ชายของเราแป๊บนึง เดี๋ยวออกมาคุยด้วยนะ”พฤทธิกรส่งยิ้มกลับไปให้ พลางรุนหลังเด็กหนุ่มให้เดินเข้าไปในห้องนอน กดตัวอีกฝ่ายให้ทรุดนั่งบนเตียง

“ฉันไม่ชอบให้เธอเงียบไปแบบนี้เลย”เขาพูดพร้อมปลายนิ้วโป้งที่เกลี่ยไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มเบา ๆ ปภินวิชจึงยกยิ้มไปให้ แล้วก้มหน้าลงด้วยท่าทางสับสน

“ที่... ผมเห็นในฝัน เขาน่ากลัวมาก ว...วัน... นั้นก็เหมือนกัน”เด็กหนุ่มบีบจับมือของตัวเองไว้เพื่อสะกดกลั้นความหวั่นกลัวที่เคยเผชิญไม่ให้ปะทุขึ้นมาอีก ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

“แต่ที่เห็นวันนี้”

“นั่นสิ คนแบบนั้นมีอะไรน่ากลัว”พฤทธิกรพูด น้ำเสียงเรียบ ๆ แฝงเค้าลางการดูถูก

ปภินวิชยิ้มรับพร้อมพูดสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่าย “ก็แค่พวกโรคจิต ถ้าครั้งหน้าผมเจอไอ้พวกแบบนี้อีก จะตื้บให้จมดินเลยคอยดู”

“ใช่ พวกมารสังคมแบบนี้ปล่อยไว้ก็หนักแผ่นดิน”

“งั้นเรากลับไปที่สน.แล้วกระทืบมันอีกสักทีสองทีดีไหม”เด็กหนุ่มเอ่ยเสนอ

“อันนั้นก็เกินไป”พฤทธิกรหัวเราะ แล้วเล่าว่าวันนั้นมันก็โดนไปจนอ่วมแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังทำหน้าฉุนเฉียวบอกว่า ผมยังไม่ได้แก้แค้นเลย หลังจากนั้นจึงร่ายวิธีเอาคืนไอ้โรคจิตคนนั้นออกมายาวเหยียดจนคนนั่งฟังต้องยกยิ้มตาม




เสียงโทรศัพท์ของพฤทธิกรดังขึ้นช่วงที่เขาและสองพี่น้องกำลังนั่งเล่นเกมไปพลาง ดูรายการโทรทัศน์ไปพลางในช่วงย่ำค่ำ ในห้องสว่างไสวด้วยแสงจากดวงไฟ ชายหนุ่มเห็นว่าเป็นเบอร์ของมารดาจึงกดรับสายโดยไม่ได้ขยับลุกไปคุยที่อื่น

“ฮัลโหลครับ”

“พรุ่งนี้เย็นไปออกงานเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิ”

“อ้อ”เขาขานเสียงตอบรับแต่ยังลังเลที่จะตอบตกลง

“อย่าบอกนะว่าไม่ว่าง แม่แค่อยากควงลูกชายไปอวดเพื่อนฝูงบ้างไม่ได้เลยหรือ เรานะร้อยวันพันปีก็ไม่เคยคิดถึงอยากกลับบ้านมาหาแม่สักครั้ง...”

“พอแล้วครับ ผมยังไม่ทันบอกปฏิเสธเลยนะ”

“งั้นพรุ่งนี้มารับแม่ที่บ้านด้วย”มารดากดตัดวางสายไปทันทีเมื่อกล่าวประโยคนั้นจบ คู่พี่ชายน้องสาวซึ่งนั่งอยู่แถวนั้นจึงหันมอง

“อะไรหรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถาม

“พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยนะ ต้องไปพาคุณแม่ไปงาน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแต่ผู้เป็นน้องสาวยังส่งเสียงถามต่อเกี่ยวกับมารดาของพฤทธิกร ปภินวิชจึงได้อานิสงส์รู้จักครอบครัวของชายหนุ่มไปด้วย

ช่วงเย็นของวันถัดมา พฤทธิกรจึงวนรถมาส่งเด็กหนุ่มที่คอนโดก่อนจะเดินทางไปหามารดาที่หมู่บ้านชานเมือง เขายังอยู่ในชุดสูทที่ใส่ไปทำงานตัวเดิม และเมื่อไปถึงมารดาได้เดินออกมาอยู่บริเวณชานหน้าบ้านพอดี ธนาซึ่งประจำอยู่ที่นั่งตอนหน้าข้างคนขับเป็นคนลงไปเปิดประตูรถให้ทิพปภา

“งานอะไรหรือครับคืนนี้”เขาถามเมื่อมารดาเข้ามาอยู่ในรถแล้ว เธอสวมชุดผ้าลูกไม้สีโอลด์โรส

“งานแต่งลูกชายเพื่อน”

“แล้วคุณพ่อไม่ต้องไปด้วยหรือครับ”

“ทำไมไม่อยากไปกับแม่เหรอ”เธอตวัดเสียงถาม

“เปล่าครับ ผมก็แค่ถามเฉย ๆ”ชายหนุ่มจำต้องยอมเงียบเพราะกลัวว่าจะไปทำให้มารดาอารมณ์ขุ่นเคืองเสียก่อนจะได้ไปถึงงาน

สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นรีสอร์ตหรูตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีซึ่งตอนที่พวกเขามาถึงมีรถยนต์หลายคันขับเลี้ยวตามกันมาติด ๆ บอดี้การ์ดซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถอย่างพุฒิพงศ์จอดส่งเขาและมารดาที่บันไดทางขึ้นด้านหน้า

หลังลงมาจากรถ พฤทธิกรให้มารดาควงแขนเดินเข้างาน ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่า เจ้าบ่าวเป็นลูกชายเพื่อนคนไหน แต่เห็นนักข่าวถือกล้องเดินให้ว่อนอยู่บริเวณทางเข้าหน้าห้องบอลรูม จึงพอเดาได้ว่าคงมีชื่อเสียงอยู่ในวงสังคมพอควร เขาต้องยกยิ้มให้นักข่าวถ่ายรูปตามความประสงค์ของมารดาที่ต้องการพาเขามาอวด ด้วยเหตุนั้น ผ่านไปหลายสิบนาทีพวกเขาแม่ลูกจึงยังไม่ได้เข้าไปด้านในเสียที

ระหว่างนั้นมารดาของเขาได้เจอคนรู้จักเสียก่อน เธอหันไปยิ้มทักอย่างสนิทสนมพลางยกมือรับไหว้หญิงสาวอ่อนวัยอีกคนซึ่งเดินเคียงกันมา พฤทธิกรยกมือไหว้คนรู้จักของมารดาก่อนหันไปรับไหว้เมื่อหญิงสาวอายุน้อยกว่าคนนั้นยกมือไหว้เขาด้วยเช่นกัน

“บังเอิญจังค่ะ ที่ได้เจอคุณจันทร์ แล้วนี่หนูแขใช่ไหมคะ นาน ๆ เจอกันทีโตเป็นสาวสวยจนจำแทบไม่ได้”

หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชมยกยิ้มรับพร้อมกล่าวขอบคุณ มารดาของเธอจึงกล่าวแกมหยอกขึ้นมาว่า “สวยไปก็เท่านั้นค่ะคุณทิพย์ อายุป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟนเสียที นี่จันทร์ยังกลัวว่าจะกลายเป็นสาวเทื้อต้องอยู่กับแม่ไปจนแก่”

“อุ๊ย! พอดีเลยค่ะ พ่อฤทธิ์ก็ยังโสดไม่ได้แต่งงานเสียที ไว้หลังจากนี้ให้เขาไปรับหนูแขออกไปกินข้าวดูหนังดีไหมคะ”

“คุณแม่ครับ”พฤทธิกรสะกิดปรามมารดาที่เกิดอยากจะทำหน้าที่แม่สื่อขึ้นมา แต่เธอเพียงหันมาปัดมือเขาพลางทำหน้ารำคาญใส่เท่านั้น ก่อนจะหันไปคุยกับคุณจันทร์หรือจรัสวรรณอย่างถูกคอ

ครู่ต่อมาได้มีนักข่าววนมาถ่ายรูปพวกเขาอีกรอบ พฤทธิกรจึงถูกดันให้ไปยืนตรงกลางเคียงข้างกับหนูแขหรือนัยน์ภัคที่คุณแม่ของเขาชอบนักชอบหนา ชายหนุ่มจึงรู้สึกยิ้มไม่ออกเพราะเหมือนว่าโดนจัดฉากให้มาเจอหญิงสาวผู้นี้ ทั้งในงานเขายังโดนบังคับให้นั่งข้างเธอเสียอีก

“พี่ฤทธิ์เหนื่อยหรือคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”หญิงสาวเอ่ยถามพลางชวนคุย

“ก็ไม่เชิงครับ พอดีเลิกงานผมก็ตรงมาที่งานเลย”

“จริงหรือคะ พี่ฤทธิ์ยังดูหล่อเนี้ยบเหมือนเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวมาใหม่อยู่เลย ผิดกับแข กว่าจะเลิกงานสภาพเหมือนไปเผชิญสมรภูมิมาทุกวัน”

“แล้วตอนนี้คุณแขทำงานอยู่ที่ไหนหรือครับ”พฤทธิกรเอ่ยถาม เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่เจอกัน มารดาของเธอฝากฝังให้หญิงสาวมาทำงานกับเขา แต่เขาปล่อยให้หลานชายเป็นคนดูตำแหน่งงาน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก

“ที่บริษัทคุณพ่อแหละคะ แต่คุณพ่อให้แขไปคุมทีมออกแบบ”เธอเล่ารายละเอียดการทำงานให้ฟัง ครอบครัวของหญิงสาวเป็นเจ้าของบริษัทจิวเวอร์รี่ที่มีหน้าร้านอยู่ในห้างสรรพสินค้าของเขา ดังนั้นเมื่อคุยกันเรื่องงาน จึงดูเหมือนว่าเขาและเธอจะสามารถคุยกันได้เรื่อย ๆ ถึงจะไม่คิดสานสัมพันธ์ แต่พฤทธิกรไม่นึกอยากหักหน้าหมางเมินหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง คิดเอาไว้ว่า ค่อยกลับไปคุยกับมารดาของตนอีกที

ราว ๆ สี่ทุ่มแขกเหรื่อในงานฉลองมงคลสมรสก็ทยอยเดินทางกลับ และเมื่อเข้ามาอยู่ในรถ มารดาของเขาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เราก็พาหนูแขไปกินข้าวสิ”

“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวเธอจะเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดอะไร แม่พูดไปแล้วนะ จะให้แม่เสียคำพูดเหรอ”

“ก็ก่อนที่คุณแม่จะพูดไม่ปรึกษาผมก่อนล่ะครับ อีกอย่างผมเคยบอกคุณแม่เรื่องคนที่ผมชอบไปแล้ว ทำไมจู่ ๆ ถึงได้แนะนำให้ผมไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่นล่ะ”

“เรายังจีบไม่ติดไม่ใช่เหรอ ระหว่างนั้นก็ลองคบหากับผู้หญิงคนอื่นดู ไม่แน่ว่าอาจจะชอบผู้หญิงที่คุยด้วยมากกว่าก็ได้”

“ผมกับเขาตกลงเป็นแฟนกันแล้วครับ”

“อะไร ทำไมเร็วนัก เด็กคนนั้นใจง่ายขนาดนี้เชียว ไม่ใช่ว่าตั้งใจมาจับเราล่ะ”

“เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ”

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงวันอาทิตย์นี้ก็ต้องพาหนูแขไปกินข้าวก่อน แล้วก็พาเด็กคนนั้นมาให้แม่ดูนิสัยใจคอด้วย ถ้าแม่เห็นว่านิสัยไม่ดีก็ต้องเลิก”

“คุณแม่!!!”

“ไม่ต้องมาเสียงดัง”ทิพปภาพูดเสียงดุกลับไปบ้าง “พรุ่งนี้เลย พามาหาแม่พรุ่งนี้เลย ตอนเช้าเราพาเขามาส่งไว้ที่บ้านแม่ แล้วตอนเย็นค่อยกลับมารับ”

“ให้เขามาอยู่ทั้งวัน แม่คิดจะทำอะไรกันแน่ครับ”

“ทำไม หรือเรากลัวว่าเด็กคนนั้นจะเผยธาตุแท้ให้แม่เห็น”

พฤทธิกรขมวดคิ้วเริ่มออกอาการหัวเสีย “ผมกลัวคุณแม่จะไปแกล้งเขามากกว่า”

“แล้วอย่างไร โบราณเขายังว่าทองแท้ไม่แพ้ไฟ”

“แล้วผมจำเป็นต้องส่งคนรักมาให้คุณแม่โขกสับเล่นหรือครับ”

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเราไม่ทำตามที่แม่บอก แม่ก็ไม่มีทางยอมรับเด็กคนนี้”ทิพปภาเชิดหน้าคอแข็งไม่มีทางยอมอ่อนให้ง่าย ๆ จนพฤทธิกรอ่อนใจ “กลอนไม่ได้บอกคุณแม่หรือครับว่าเด็กคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร”

“หึ”เสียงในลำคอสั้น ๆ นั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นการตอบรับหรือตอบปฏิเสธ ชายหนุ่มยกมือกุมขมับคิดทบทวนอีกครั้ง

“ผมขอไปถามแฟนผมก่อนแล้วกันนะครับ”

“งั้นฝากไปบอกเด็กคนนั้นด้วยว่า ถ้าไม่กล้ามา แม่จะคิดว่าเขาจงใจมาปอกลอกเรา”

“คุณแม่!!! ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”ชายหนุ่มถามอย่างฉุนเฉียว

“ทำไมแม่จะไม่มีสิทธิ์คิด ลูกเต้าเหล่าใครเทือกเถาเหล่ากอเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องค้ายาติดการพนันขึ้นมาจะทำอย่างไร เราน่ะอยากให้สมบัติที่ปู่ย่าพ่อแม่สร้างมาสูญไปหมดรึ อย่างนั้นแม่จะไปยุพ่อแกให้ยกสมบัติให้น้องชายเขาดีกว่า”

คำพูดของมารดาทำให้พฤทธิกรสะดุ้งไปบ้าง ไม่ใช่ว่าเจ้าหลานตัวดีเอาเรื่องครอบครัวของปภินวิชมาปูดให้คุณยายฟังจนหมดแล้วล่ะ ชายหนุ่มคิดอย่างร้อนใจ

“ครับ ผมจะพาเขามาให้ได้ครับ”เขารับคำไปก่อน

ส่วนสมบัติที่มารดากล่าวถึงคือบริษัทที่เขานั่งตำแหน่งประธานดูแลอยู่ เพราะถึงแม้จะมีหน้าที่ดูแลบริหารงาน แต่เจ้าของทรัพย์สินตัวจริงยังเป็นชื่อของบิดา ถึงกระนั้นเขาไม่ได้ห่วงเรื่องที่ว่ามากนัก เขาทำงานมาร่วมยี่สิบปีย่อมต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวมากพอที่จะเลี้ยงดูเด็กสองคนได้อยู่แล้ว ที่เขากริ่งเกรงคืออารมณ์โมโหโทโสของบุพการีที่จะทำให้เรื่องเลยเถิดจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเด็กหนุ่มคนรักอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วน

พฤทธิกรไม่อยากกลายเป็นคนกลางที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในความสัมพันธ์ขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ แฟนคนที่สองเขาจึงถูกเลือกมาจากหญิงสาวที่มารดาถูกชะตา และก่อนที่เขาจะตัดสินใจจริงจังกับปภินวิช ถึงได้มาบอกกล่าวให้มารดารับทราบเสียก่อน

แต่เขาไม่ทันคิด ว่ามารดาจะเปลี่ยนใจกลับคำ

กว่าจะกลับไปถึงคอนโด นาฬิกาได้ตีบอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว ชายหนุ่มสาวเท้าเงียบเชียบเข้าไปในห้องนอนซึ่งถูกเปิดไฟเป็นแสงสลัว ๆ ทิ้งไว้ ทำให้มองเห็นปภินวิชซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาจึงเดินเข้าห้องน้ำจัดการชำระล้างร่างกายพร้อมกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อนอน

เขาหยิบรีโมตมากดปิดไฟก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเตียง ทว่าน้ำหนักที่ทำให้พื้นเตียงยวบลงกลับทำให้อีกคนตื่นขึ้นมา

“กลับมาแล้วหรือครับ”ปภินวิชงัวเงียลืมตามองชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งกำลังสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม จากนั้นจึงขยับตัวกอดซุกเข้ากับร่างใหญ่หนาของอีกฝ่าย

“นอนต่อเถอะ”พฤทธิกรกดจูบที่หน้าผากและกลุ่มผมนุ่มของเด็กหนุ่มเช่นทุกที มองร่างในอ้อมกอดที่ปิดเปลือกตาหลับลงอีกครั้ง ทว่าในสมองยังคิดไม่ตก นึกไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่มารดาอคติไม่ชอบปภินวิชทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้าอย่างไรดี



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 19 [12/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-12-2017 20:29:34
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 19 [12/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 12-12-2017 21:32:58
เบื่อพวกมนุษย์ป้าสังคมไฮโซจริงๆอยากได้หน้าตามากกว่าความรู้สึกของลูกตัวเองแก่แล้วควรเข้าวัดทำบุญแล้วปลงได้ค่ะป้า แหมะ!  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 19 [12/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2017 00:20:39
 :pig4:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-12-2017 03:48:53
20



ปภินวิชโน้มหน้ามองแฟ้มเอกสารที่ชายหนุ่มนั่งจ้องอยู่นานสองนาน และหันมองคิ้วที่ขมวดมุ่นของอีกฝ่ายอีกครั้ง กระนั้นก็ยังไม่ได้เอ่ยปากส่งเสียงทักออกไป ได้แต่นั่งเท้าคางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ จนกระทั่งเวลาเคลื่อนผ่านไปอีกหลายนาทีที่พฤทธิกรยังจ้องเอกสารนิ่งค้างอยู่หน้านั้นเช่นเดิม

“รายงานมันมีปัญหาหรือครับ”เมื่ออดไม่ได้จริง ๆ เด็กหนุ่มจำต้องเอ่ยปากถามเพราะความอยากรู้ มองอาการสะดุ้งของชายหนุ่มด้วยความแปลกใจเล็กน้อย และยิ่งนึกฉงนกับท่าทีสับสนกระสับกระส่ายของชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพฤทธิกรมีอาการว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้

เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้ เขาคงไม่มีความสามารถมากพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้ แต่อย่างน้อยเขาสามารถให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเหมือนที่ชายหนุ่มเคยทำให้เขา

ในห้องทำงานของท่านประธานยังคงเงียบสงบเช่นเดิมแม้ปภินวิชจะใช้เวลาหลังจากที่ทำงานในความรับผิดชอบของตนเสร็จเรียบร้อย เข้ามาอยู่ในห้องนี้ซึ่งส่วนใหญ่เขาทำเพียงนั่งเล่นอยู่เฉย ๆ บ้างหรือช่วยชายหนุ่มอ่านเอกสารรายงานบ้างเท่านั้น เด็กหนุ่มพยายามไม่รบกวนการทำงานของอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การเข้ามาอยู่ในห้องนี้ไม่ใช่แค่ ‘อยากเห็นหน้าพฤทธิกรเพราะพวกเขาใจตรงกัน’ แต่มันทำให้เขาสงบจากอาการประสาทหลอนของตัวเอง ปภินวิชรู้ตัวดีว่าอาการหวาดระแวงเริ่มน้อยลงแล้ว เขายังคงฝันร้าย ทว่าในฝันไม่ได้น่ากลัวเท่ากับหลายคืนก่อนหน้า และการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นกลัวเท่ากับวันแรกที่รับรู้ถึงอาการนี้  กระนั้นก็ยังอยากอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มอยู่ดี

“ฉันไม่เป็นไรหรอก”เสียงของพฤทธิกรดังขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนยังประดับอยู่บนใบหน้าเช่นทุกครั้ง

“ผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณฤทธิ์อยากพูดระบายอะไร ก็เล่าให้ผมฟังได้นะครับ ผมรับรองว่าจะปิดปากให้สนิท ไม่แพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด”เด็กหนุ่มทำท่ารูดซิปปากประกอบคำพูดตัวเอง จากนั้นยกมือนวดหัวคิ้วให้ชายหนุ่ม

“คิ้วขมวดเป็นปมขนาดนี้ ไม่ชอบเลย”

พฤทธิกรจึงพลิกมือของเด็กหนุ่มยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก “แค่นี้ก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเต็มเปี่ยมแล้ว”และนิ่งมองหน้าเด็กหนุ่มคนรักอีกครู่หนึ่ง ทว่าขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงเตือนของโทรศัพท์ตั้งโต๊ะภายในห้องกลับดังขึ้นเสียก่อน

พฤทธิกรกดปุ่มรับสาย

“ครับ”

“ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ”

“ครับ ผมกำลังออกไป”

จบเสียงสนทนาทั้งพฤทธิกรและปภินวิชจึงลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่จะเปิดประตูออกจากห้อง ปภินวิชได้เขย่งปลายเท้ายืดตัวขึ้นไปแตะจูบที่ริมฝีปากของชายหนุ่มร่างสูง

“เติมกำลังใจให้อีกหน่อย อย่าเครียดอีกนะ”กล่าวจบก็ดึงประตูเปิด ก้าวเท้าออกไปด้านนอก นั่นทำให้เห็นว่าสุธาณีได้หยิบสมุดปากกาลุกขึ้นยืนทันทีเหมือนกัน

พฤทธิกรลงลิฟต์มายังห้องประชุม ภายในเป็นห้องซึ่งมีโต๊ะไม้เทียมสีน้ำตาลเข้มตัวยาวตั้งอยู่พร้อมเก้าอี้มีพนักวางอยู่รอบโต๊ะ พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหัวข้อการประชุมครั้งนี้มานั่งรอพร้อมอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ผู้ช่วยของเขาอีกสองคนอย่างเอกภพและกวีวัธน์ เมื่อเขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงตำแหน่งประจำบริเวณหัวโต๊ะ การประชุมจึงได้เริ่มขึ้น

หัวข้อการประชุมนั้นเกี่ยวกับการแถลงข่าวการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ในประเทศไทย การจัดงานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทออร์กาไนซ์ แต่พวกเขายังต้องชี้แจงและสรุปข้อมูลส่วนของบริษัทให้พนักงานที่เกี่ยวข้องกับงานในวันนั้นได้รับทราบ

ในวันงาน นอกจากเป็นการแถลงข่าวพร้อมการลงนามเซ็นสัญญาต่อหน้าสื่อ พวกเขายังต้องแถลงเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัท หลังจากนั้นจะเป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ฉลองความสัมพันธ์ทางธุรกิจให้กับบริษัทที่เข้ามาร่วมทุน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องอย่างพนักงาน นักข่าว ผู้กำกับและทีมงานสร้างภาพยนตร์

ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงการประชุมจึงสิ้นสุดลง พฤทธิกรบอกเลิกการประชุมแต่ยังให้หลานชายอยู่ต่อ เขานั่งรอจนกระทั่งทุกคนออกไปหมดแล้วและภายในห้องเหลือเพียงเขากับกวีวัธน์ ชายหนุ่มจึงได้เอ่ยปากถามถึงเรื่องที่เป็นเหตุให้รั้งหลานชายไว้

“แกพูดอะไรกับแม่ฉันบ้าง”

“หือ เรื่องอะไรเหรอครับ”

“เรื่องปลา”

“ก็... เอาแบบละเอียดหรือเอาแบบย่อ ๆ ละครับ”

แต่พอเห็นน้าชายชักสีหน้า คนเป็นหลานจึงพูดต่อไปทันทีว่า “ทีแรก ๆ ผมก็ถามความคิดเห็นของคุณยายเกี่ยวกับเกย์ เกี่ยวกับผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกันแหละครับ แล้วก็เอาข่าวฆ่าตัวตายกรณีที่ครอบครัวไม่ยอมรับไปให้ดู สลับกับเอาเรื่องของบุคคลเพศที่สามที่สร้างประโยชน์ไปเล่าให้ฟัง”

พฤทธิกรพยักหน้ารับ“แม่ฉันเลยคิดว่าแกเป็นเกย์”

“ใช่”กวีวัธน์ตอบรับอย่างรวดเร็ว “เอาไปบอกที่บ้านผมด้วย เข้าใจผิดกันไปใหญ่เลยแต่พ่อกับแม่ผมไม่มีปัญหานะ แต่ไม่ใช่ผมไง ผมเลยต้องบอกว่า คนที่ชอบผู้ชายคือน้าฤทธิ์ ตอนนี้น้าฤทธิ์แอบชอบเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่ พอบอกอายุน้องปลาเท่านั้นแหละ คุณยายเป็นลมเลย”เขาหัวเราะเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“แล้ว... พอเกิดเรื่อง น้าฤทธิ์บอกว่าจะถอยออกมา ผมก็เลยอยู่เฉย ๆ คุณยายถามถึงเหมือนกัน เลยบอกไปว่า น้องเขายังเด็ก น้าฤทธิ์คงไม่จริงจังหรอก แค่เห็นว่าน่ารักนิสัยดีละมั้ง แต่ล่าสุด ผมก็ไปบอกคุณยายว่า น้าฤทธิ์กับน้องเขาบังเอิญมาเจอกันอีกแล้วนะ ยังบอกให้คุณยายทำใจเพราะเนื้อคู่ของน้าคงจะเป็นผู้ชายจริง ๆ”เมื่อเล่าจบกวีวัธน์ก็พูดถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“แม่ฉันเขาแนะนำผู้หญิงให้รู้จัก บังคับให้พาเขาไปกินข้าวด้วย”

“แล้วน้องปลารู้หรือยังครับ”

“มันไม่ใช่แค่นั้น”พฤทธิกรถอนหายใจ “คุณยายแกยังบอกว่า ให้ฉันพาแฟนไปทิ้งไว้ที่บ้านสักหนึ่งวัน”

“โอ๊ะ”คนฟังส่งเสียงอุทานด้วยความแปลกใจ “ว่าแต่น้องปลาเขายอมเป็นแฟนกับน้าฤทธิ์แล้วเหรอ”

“ใช่สิ ถ้าไม่ ฉันจะกล้าพูดเรอะ”

จบคำพูดนั้นทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ หลายชายอย่างกวีวัธน์ไม่กล้าออกความคิดเห็นเพราะคราวนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน  แม้จะเกี่ยวข้องกับมารดาของน้าชาย แต่คนที่ต้องฝ่าฟันแก้ไขปัญหามันคือน้าชายและคนรัก

“เรื่องลุงกับป้าของปลาได้บอกใครอีกหรือเปล่า”

“เปล่าครับ เอกสารก็มีชุดเดียวที่เคยส่งให้น้าดู”

“ดีแล้ว”พฤทธิกรพยักหน้ารับ “และไม่ต้องเอาไปพูดให้ใครฟังล่ะ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้กวีวัธน์เอะใจ “คุณยายรู้เรื่องด้วยหรือครับ”

“เขาอาจจะพูดรวม ๆ คงไม่รู้จริง ๆ หรอก”พฤทธิกรลุกขึ้นยืนเมื่อคิดว่าหมดธุระที่ต้องการพูดคุยกับหลานชายแล้ว “อืม ขอบใจมาก ไม่มีอะไรแล้ว”

“อยากให้ผมช่วยเหลืออะไรเป็นพิเศษไหม”กวีวัธน์พูดด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีศักดิ์เป็นน้าจึงแค่นหัวเราะ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้นเสียก่อน หมายเลขของปลายสายที่แสดงอยู่บนหน้าจอยาวเหยียด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังกดรับ

“ฮัลโหลครับ”

“พี่ฤทธิ์ นี่ผมชานะ”

พฤทธิกรกลอกตาด้วยความเหนื่อยใจ ยังไม่ทันที่จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเลย น้องชายสุดที่รักก็ติดต่อมาเสียแล้ว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปล่งเสียงตอบรับกลับไป



หลังคิดทบทวนมาตลอดทั้งวัน พฤทธิกรได้ตัดสินใจว่า ควรจะบอกเรื่องที่คุยกับมารดาให้เด็กหนุ่มคนรักได้รับรู้ด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ชายหนุ่มจึงรั้งข้อมือบางให้เด็กหนุ่มนั่งลงตรงหน้า และเหมือนปภินวิชจะรับรู้ว่าเรื่องที่เขาต้องการพูดด้วยเป็นเรื่องสำคัญ อีกฝ่ายจึงนั่งนิ่งอย่างตั้งใจ

“เอ่อ... คุณแม่ฉันอยากเจอเธอ”

“อ้อครับ”เด็กหนุ่มไม่มีอาการตื่นเต้นตกใจ เขาตอบรับด้วยท่าทีปกติ “ทำไมถึงอยากเจอผมล่ะครับ”

“ก็เพราะว่าเธอเป็นแฟนฉัน”

“คุณฤทธิ์!!!”ปภินวิชร้องเสียงหลง “จะบอกเรื่องผมกับคุณแม่ของคุณทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะครับ แล้วนี่คุณแม่ของคุณว่ายังไงบ้าง ท่านดุหรือเปล่า ท่านแอนตี้หรือเปล่า ผมอายุน้อยกว่าคุณตั้งเยอะต้องโดนว่าแน่ ทำยังไงดีล่ะ”

“ใจเย็น ๆ ก่อน”พฤทธิกรร้องปรามพลางดึงร่างเด็กหนุ่มที่แสดงอาการลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขเข้ามากอดไว้

“ผมอายุน้อยกว่า ฐานะก็ไม่ดี แถมยังเรียนไม่จบด้วย ท่านต้องไม่ชอบแน่เลย”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำด้วยความกังวล “ท่านจะบังคับให้คุณเลิกกับผมหรือเปล่า”

เขาเพิ่งได้คบกับพฤทธิกรแค่ไม่กี่วันเองนะ จะต้องเลิกกันแล้วเหรอ ปภินวิชคิดอย่างเศร้าสลด กระนั้นก็ปักใจเชื่อไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วว่า พฤทธิกรคงโดนบังคับให้เลิกกับเขา

“ที่คุณฤทธิ์ทำหน้าเครียดเพราะเรื่องนี้เหรอ”

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เห็นว่าหนุ่มคนรักจะคิดเริ่มคิดเองเออเองไปไกล จึงยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายไว้

“อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้น”

ปภินวิชช้อนแววตาเว้าวอนขึ้นมองเขา พฤทธิกรใจอ่อนยวบพร้อมกล่าวยืนยันความรู้สึกของตนขณะที่กอดรัดร่างกายเพรียวบางกว่าไว้ในอ้อมแขน “ฉันรักเธอ ไม่ยอมเลิกกับเธอเด็ดขาดไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ต้องห่วงนะ”

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเอ่ยเรียก แหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม “มาทำกันเถอะ”

“หือ!!!”

“ถ้าจะต้องเลิกกันจริง ๆ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจ ไม่ได้สิ... ยังไม่มีอุปกรณ์เลย”

พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่ต้องเลิกคบกันหรอกน่า ไม่ต้องกลัว” กระนั้นสีหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

“พูดจริง”ชายหนุ่มบอกซ้ำพร้อมยิ้มปลอบ “คุณแม่ฉันเขาแค่อยากเห็นว่า ลูกสะใภ้หน้าตาเป็นอย่างไรเท่านั้นแหละ”

ปภินวิชยังคงเงียบกริบ หัวคิ้วขมวดครุ่นคิด

“ฉันจะสี่สิบแล้วนะ จะเลือกคู่ครองสักคนไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่มาช่วยดูให้แล้วล่ะ”

“แต่พวกท่านก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี”ปภินวิชแนบศีรษะลงบนแผ่นอกกว้างอย่างที่ชอบทำ

“พูดเหมือนเคยมีลูก”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “พ่อกับแม่ผมพูดบ่อย ๆ ที่จริงผมก็ไม่ใช่เด็กดีหรอก เถลไถลกลับบ้านเย็นจนโดนบ่นประจำ และท่านบอกว่าต่อให้โตแค่ไหนผมยังคงเป็นเด็กในสายตาของพวกท่านอยู่ดี การที่แม่คุณฤทธิ์จะไม่ชอบผมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

คนพูดเสียงอ่อยขณะที่พฤทธิกรลูบหลังลูบไหล่อีกฝ่ายไปพลาง

ปภินวิชที่อยู่ในความทรงจำของเขาเป็นเด็กที่สดใสร่าเริง ชอบพูดจากวนประสาทแบบเด็กวัยรุ่นที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ทั่วไป เป็นเด็กที่อัธยาศัยดีเข้ากับคนง่าย ทว่านั่นอาจเป็นด้านหนึ่งของเด็กหนุ่มเท่านั้น ถึงกระนั้น เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากวิตกกังวลไปล่วงหน้าเช่นนี้

“อย่าเพิ่งคิดแบบนั้นสิ ใช่ว่าคุณแม่ของฉันจะไม่ชอบเธอจริง ๆ เสียหน่อย เราต้องเลิกกันเพราะคนอื่นบอกให้เราเลิกกันอย่างนั้นหรือ”พฤทธิกรเอ่ยถาม รั้งอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา “ทั้งที่เรารักกันมาก” เขาลากเสียงยาวที่คำสุดท้าย

“แต่นั่นเป็นคุณแม่ของคุณนะ”

“แล้วเธอจะไม่พยายามทำให้ ‘แม่ของฉันชอบเธอ’ บ้างงั้นหรือ”

“แต่ผมไม่มีอะไรดีสักอย่าง แล้ว...”

พฤทธิกรแนบริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเด็กหนุ่มมีสีหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ ราวกับมีเสียงเล็ก ๆ ร้องบอกว่าอีกฝ่ายกำลังนึกถึงและจะพูดถึงเรื่องอะไร

“ความดีของคนไม่เกี่ยวกับฐานะความร่ำรวย ความดีไม่เกี่ยวกับหน้าตา ไม่เกี่ยวกับวุฒิการศึกษา ความดีของคนอยู่ที่ไม่ว่าเธอจะเผชิญเรื่องราวร้ายแรงแค่ไหน เธอก็ยังไม่จมสู่ความมืดที่อยู่ในใจ ความดีของเธอคือการที่เธอพยายามใช้ชีวิตในทุก ๆ วันให้มีค่า เธอดีที่สุดแล้ว เธอดีพอสำหรับฉันแล้ว”

ปภินวิชน้ำตาไหล เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมพยักหน้ารับ หัวใจในอกมันพองฟูจนรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะลอยได้ เขายืดตัวขึ้นจูบชายหนุ่มเพราะแค่คำพูดคงอธิบายความรู้สึกของเขาไม่หมด

“เมื่อเราเข้าใจกันดีแล้ว วันที่เธอไปหาคุณแม่ของฉัน ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ ล่ะ”

“คุณแม่คุณฤทธิ์จะทำเหมือนในละครหรือครับ”

“อา...”

“แบบที่ใช้ผมไปซักผ้า ถูบ้าน ทำอาหาร พูดจาดูถูกอะไรแบบนี้”

“ไม่รู้สินะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกไว้ก่อน”พฤทธิกรหยุดพูดเพื่อทำใจและจับสังเกตท่าทีของเด็กหนุ่มเล็กน้อย “คุณแม่ของฉัน เขาบอกให้ฉันพาผู้หญิงคนหนึ่งไปกินข้าววันอาทิตย์นี้”

ปภินวิชนิ่งงันไป จากนั้นจึงก้มหน้าลง

“ฉ...”

“ผู้หญิงคนนั้นสวยหรือเปล่า”

“ก็...”

“คุณจะชอบเธอไหม”คำถามมาพร้อมแววตาสั่นไหวที่จ้องกดดันเขาเพื่อรอคอยคำตอบ

“ไม่ ฉันไม่มีวันชอบผู้หญิงคนนั้น”

เด็กหนุ่มทำท่าถอนหายใจและยกยิ้มออกมา “งั้นไม่เป็นไรครับ คุณต้องพาเธอไปกินข้าวก็ไปเถอะ”

“งั้นเราตกลงตามนี้  เธอไปบ้านฉันเพื่อประจบเอาใจคุณแม่ของฉันหนึ่งวัน ส่วนฉันก็ไปกินข้าวกับผู้หญิงคนนั้นตามที่คุณแม่ของฉันสั่งหนึ่งมื้อ”

“ครับ”ตอบรับแล้วก็พูดว่า งั้นมาจูบสัญญากันเถอะ พฤทธิกรจึงโดนเด็กหนุ่มคนรักรุกเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างกายของเขาเซล้มลงบนฟูกที่นอน โดนระดมจูบจนเหมือนจงใจแกล้ง เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส ครู่หนึ่งต่อมาเสียงหัวเราะได้จางหายไปเมื่อปภินวิชคอยแต่ขบเม้มริมฝีปากของชายหนุ่มซึ่งกลายเป็นเบาะรองรับร่างของตน

เสียงในลำคอดังขึ้นเมื่อจุมพิตเริ่มลึกซึ้งดูดดื่ม เด็กหนุ่มขยับเบี่ยงเอียงใบหน้าหลบปลายจมูกของพฤทธิกร ส่งปลายลิ้นเข้าไปหยอกเย้าและผละออกมา หัวใจของเขาเต้นแรงโครมครามแต่ยังคงย้ำจุมพิตซ้ำ ๆ กระทั่งมือหนากดหลังคอเขาไว้ หลังจากนั้นเขาจึงโดนสูบลมหายใจจนร่างกายอ่อนระทวยหมดเรี่ยวแรง

พฤทธิกรหัวเราะในลำคอเมื่อเด็กหนุ่มคนรักนอนแผละหอบหายใจอยู่บนอก เขาประคองร่างอีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้น อุ้มพาให้หันศีรษะย้ายไปนอนทางหัวเตียง กดจูบบนหน้าผากของอีกฝ่ายอีกครั้ง เมื่อไฟถูกดับลงพวกเขาก็หลับตาเข้าสู่นิทราพร้อมกัน



เด็กหนุ่มสอดส่ายสายตามองทิวทัศน์ข้างทางซึ่งอยู่ภายนอกตัวรถด้วยอาการตื่นเต้นกระสับกระส่าย ถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้านว่างโล่งเรียบเสมอกันไร้หลุมบ่อ สองข้างทางปลูกไม้ประดับ บางพื้นที่โล่งมีแต่หญ้าสนาม บ้านสองชั้นหน้าตาใกล้เคียงกันถูกปลูกเรียงเป็นแถว พอเลี้ยวอีกแยก รูปทรงของบ้านก็เปลี่ยนไปพร้อมอาณาเขตบริเวณที่กว้างขวางตามกำลังทรัพย์ของผู้เป็นเจ้าของ

รถยนต์ถูกบังคับเลี้ยวผ่านประตูรั้วอัลลอย วิ่งตรงเข้าไปเลี้ยววนตามวงเวียนน้ำพุก่อนจะไปหยุดจอดที่หน้าบ้าน พฤทธิกรเปิดประตูรถพลางดึงมือให้ปภินวิชลงจากรถยนต์มาพร้อมกัน  แววตาของเด็กหนุ่มยังมีประกายสดใสแม้จะแฝงไปด้วยความหวั่นประหม่า กวาดมองสำรวจรอบกายเมื่อหันสายตาไปสบกับชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็ยกยิ้มให้

พฤทธิกรตบหลังมือที่เขากุมไว้เป็นการให้กำลังใจ จากนั้นจึงดึงให้เด็กหนุ่มเดินตามเข้าไปด้านใน พาเดินตรงไปยังห้องอาหารซึ่งถูกตกแต่งด้วยสีโทนสว่างตัดกับโต๊ะหินแกรนิตสีทึบตัวยาวขนาดยี่สิบที่นั่ง ผ้าม่านกันแดดสำหรับผนังกระจกถูกรวบเก็บไว้ทั้งสองด้าน กระนั้นแสงสีส้มนวลในห้องยังมาจากด้วยดวงไฟดาวไลต์และโคมระย้า

ที่นั่งซึ่งถูกใช้งานมีแค่เก้าอี้สองตัวทางฝั่งหัวโต๊ะเท่านั้น พฤทธิกรจึงพาเด็กหนุ่มเดินไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับมารดา หลังยกมือไหว้ทักทาย เขาจึงแนะนำคนที่พามาด้วยให้บุพการีทั้งสองได้รู้จัก

“นี่ปลาครับ แฟนผมเอง”

ปภินวิชยกมือไหว้ทั้งสองซ้ำอีกครั้ง

ทั้งบิดาและมารดาวางช้อนสำหรับทานอาหารลงตั้งแต่พวกเขาดึงเก้าอี้ แต่เมื่อแนะนำเด็กหนุ่ม ทิพปภายิ่งตวัดสายตาจ้องจับผิดใส่เจ้าของชื่อ ปภินวิชถึงกับยกยิ้มแหย

“กินอะไรมาหรือยัง กินข้าวด้วยกันก่อนนะ”ดรัสพงศ์ไม่สนใจอาการของภรรยา หันไปสั่งแม่บ้านให้ยกอาหารมาเสิร์ฟหลังจากที่ลูกชายพยักหน้าตอบรับ

โจ๊กปลาเก๋าถูกนำมาวางให้ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เนื้อปลาสีขาวถูกวางเด่นอยู่ด้านบนโรยด้วยขิงซอยและต้นหอมซอย มีถ้วยใส่ปาท่องโก๋ชิ้นเล็ก ๆ แยกออกมาต่างหาก ปภินวิชนั่งรอจนกระทั่งโดนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะกิด ถึงได้ลงมือทานอาหาร

“แล้วนี่คือพาแฟนมาแนะนำเฉย ๆ หรือยังไง”ชายสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถามต่อ

“ฉันบอกให้พามาเองค่ะ”ทิพปภาเอ่ยตอบแทรกขึ้นมา เสียงกระด้างจนเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนข้าวกำลังติดคอ เขาถึงต้องขยับช้อนให้ช้าลงอีก

“ชื่ออะไรนะ”เสียงถามเป็นของดรัสพงศ์แต่คำถามนั้นส่งตรงไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างลูกชาย ปภินวิชที่คอยระวังตัวอยู่แล้วจึงรีบกลืนอาหาร และอ้าปากตอบ

“ชื่อเล่นชื่อปลาครับ ชื่อจริงปภินวิช”

“แล้วตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ล่ะ”

คำถามต่อมาทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย พฤทธิกรหันมาสบตาก่อนหันไปตอบบิดาว่า “ตอนนี้ปลาเขาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ที่สำนักงานครับ เพิ่งลงเรียนกศน. ไปไม่นาน ปีหน้าคงจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“หือ แล้วตอนนี้อายุเท่าไหร่ล่ะ”

“สิบเก้าครับ”คราวนี้ปภินวิชพูดตอบเอง จากนั้นดรัสพงศ์จึงถามถึงสาเหตุที่ไม่ได้เรียนต่อ และเรื่องอื่น ๆ อีกเล็กน้อยระหว่างที่ทานอาหารไปพลาง ใบหน้าเจ้าของคำถามยังนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ อาการเกร็งเครียดของเด็กหนุ่มจึงไม่ลดลงง่าย ๆ กระนั้นเขาก็ฝืนทานอาหารจนหมดเพราะถึงอย่างไรกองทัพย่อมต้องเดินด้วยท้อง

“เออ... ฤทธิ์ แกไปที่ห้องทำงานกับพ่อหน่อย”

คำพูดประโยคนั้นดังขึ้นเมื่อสิ้นสุดมื้ออาหาร หัวใจของปภินวิชเต้นกระหน่ำหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที เหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยื่นมือมาบีบมือของเขาที่วางอยู่บนตักก่อนลุกเดินออกไป แล้วหันเหสายตากลับมามองหญิงสูงวัยตรงหน้า

“ไม่ต้องเครียด หนูปลา ป้าไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดพาหนูไปฆ่าแกงเสียหน่อย”เธอยกยิ้มคล้ายเอ็นดู พลางพยักพเยิดให้เขาลงมือทานผลไม้ตรงหน้าต่อ

“แล้วที่ว่าไปช่วยงานตาฤทธิ์ที่บริษัท หนูทำอะไรล่ะ”

“เป็นพนักงานทำความสะอาดครับ”เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเมื่อเทียบกับชายหนุ่มคนรัก มันยังดูด้อยกว่าไม่คู่ควรอยู่ดี อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มได้สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมองอย่างรวดเร็ว เพราะการดูถูกตัวเองก็เหมือนจะเป็นการดูถูกความคิดของพฤทธิกรด้วย

“แต่ก่อนผมทำงานเป็นพนักงานขายในห้างของคุณฤทธิ์ครับ”เด็กหนุ่มกล่าวต่อ “แต่น้องสาวผมมีปัญหาด้านสุขภาพ คุณฤทธิ์เลยให้ออกมาดูแลน้องสาวน่ะครับ”

ก่อนมาที่นี่ พวกเขาทั้งคู่คุยกันแล้วว่า จะไม่กล่าวถึงเรื่องการเจ้ากี้เจ้าการของหลานชายคุณฤทธิ์อย่างกวีวัธน์ พฤทธิกรให้เหตุผลว่ามันจะทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กหนุ่มก็เห็นด้วย ถ้าพ่อแม่ของพฤทธิกรรู้ว่าเขาเคยตัดสินใจขายตัว คงจะมองเขาแย่ลงกว่าเดิม

“อ้อ แล้วตอนนี้น้องสาวเป็นอย่างไรบ้างละจ๊ะ”

“อาการดีขึ้นมากแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็ถึงกำหนดรับยาเคมีบำบัดอีกครั้ง”เมื่อกล่าวถึงน้องสาว ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วนี่อยู่กันอย่างไร อยู่กับน้องสองคนหรือ”

“ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่คอนโดคุณฤทธิ์ครับ”

“อ้อ...”ทิพปภาลากเสียงยาว “มาเกาะดูดเงินจากตาฤทธิ์เอาทุกทางเลยสินะ”

เด็กหนุ่มตัวชาวาบขณะที่คนพูดยังยกยิ้มมีเมตตาอยู่เช่นเดิม เขากลืนน้ำลายลงคอสูดลมหายใจ ลดมือซึ่งเคยจับช้อนส้อมสำหรับทานผลไม้ ลงมาไว้ใต้โต๊ะพลางบีบกุมมือที่เริ่มออกอาการสั่นของตนจนแน่น สูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อปลุกปลอบกำลังใจของตัวเอง

“ผมทราบครับ ว่ารบกวนคุณฤทธิ์หลายเรื่อง”ปภินวิชยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นเดิม “ถ้ามีโอกาส ผมต้องตอบแทนบุญคุณของคุณฤทธิ์แน่นอนครับ”

“ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ดีใจ อย่างน้อยหนูปลาก็รู้จักสำนึกบุญคุณคน”หลังจากนั้นทิพปภาจึงทานผลไม้ในจานของตัวเองต่อไปโดยไม่คิดจะชวนเด็กหนุ่มพูดคุยอีก ทั้งปล่อยให้คู่สนทนานั่งก้มหน้าอยู่เช่นนั้นกระทั่งพฤทธิกรเดินกลับมา

“ผมคงต้องไปทำงานก่อนนะครับ”ชายหนุ่มเอ่ยบอกมารดา เมื่อหญิงสูงอายุลุกขึ้นยืน ปภินวิชจึงลุกออกจากเก้าอี้ด้วย

“วันนี้เราพาหนูปลาไปทำงานด้วยเหมือนเดิมเถอะ ไว้ว่าง ๆ แม่ขอชวนน้องเขาไปเที่ยวบ้างได้หรือเปล่า”ทิพปภาเดินเข้าไปหาลูกชายพร้อมแสร้งทอดสายตาเอื้อเอ็นดูไปให้คนรักของลูกชาย ซึ่งอากัปกิริยาที่แสดงออกนั้นทำให้พฤทธิกรแปลกใจกับท่าทีของมารดา แต่เมื่อหันไปมองเด็กหนุ่มคนรัก ปภินวิชกลับยกยิ้มรับแม้จะดูแปร่งแปลกอยู่บ้างก็ตาม

“คุณแม่โทรมาบอกก่อนละกันนะครับ ว่าจะไปไหนวันไหน”

“อะไรกัน หนูปลาเขางานยุ่งขนาดนั้นเชียว”เธอกล่าว ขณะที่พวกเขาพากันเดินออกมาจากห้องอาหาร

“ไม่ใช่หรอกครับ เผื่อผมจะได้ไปด้วย”

“เพราะเรานี่เอง”เธอพูดพร้อมฟาดมือลงบนท่อนแขนลูกชาย “น้องเขาถึงได้ทำท่ากลัวแม่มากนัก แม่ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มารเสียหน่อย”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ทิพปภาเห็นสีหน้ากังขาของลูกชาย เธอจึงกล่าวต่อพร้อมกับรุนหลังเด็กหนุ่มซึ่งเดินรั้งท้ายเข้ามาใกล้ “วันก่อนก็ส่วนวันก่อน หนูปลาเขาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูดี จะให้แม่พูดว่าอะไร”

“ครับ”พฤทธิกรพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงยกมือไหว้ขอตัวลา ปภินวิชซึ่งเงียบฟังสองแม่ลูกคุยกัน ยกมือไหว้เช่นเดียวกัน ทิพปภายังยกยิ้มให้เขาเช่นเดิม เด็กหนุ่มจึงรู้สึกคลายใจลง เดินตามการจับจูงของพฤทธิกรกลับไปขึ้นรถ

พ้นจากสายตาของมารดาแล้ว เขาจึงเอ่ยถามคนรักว่า “คุณแม่คุยอะไรกับเธอบ้าง”

“ก็... เรื่องทั่วไปครับ เรื่องปุ้ย เรื่องงานที่ทำ”ปภินวิชเลี่ยงตอบเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มกังวล แม้บางคำพูดของทิพปภาจะกระทบใจ แต่มารดาของชายหนุ่มก็ใช่ว่าจะตั้งท่ารังเกียจเขาจริงจัง ปภินวิชคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

พฤทธิกรนิ่งมองสังเกตเด็กหนุ่มที่หลุบสายตาลงต่ำอยู่ชั่วเสี้ยววินาที ก่อนอีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของคนตรงหน้าซึ่งได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเช่นทุกคราว กระนั้นชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าประกายนัยน์ตาสีดำคู่นั้นดูหมองมัวลง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//คุณแม่ของน้าฤทธิ์เป็นคนดีนะ เขาก็รักลูกเขาแหละ//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-12-2017 07:45:49
ดูท่าว่าทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอะไรอีกเยอะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-12-2017 19:05:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-12-2017 19:13:48
มนุษย์แม่ส่วนใหญ่ก็อย่างนี้แหละ
ชอบเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคู่ครองของลูก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-12-2017 19:17:59
เหนื่อยหน่อยนะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-12-2017 21:49:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 20 [16/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 17-12-2017 10:15:58
อุปสรรคเยอะแต่ทั้งสองก็ยังเข้าใจกันดี o13
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 21 [20/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-12-2017 06:19:37
21



วันอาทิตย์ที่พฤทธิกรต้องพานัยน์ภัคไปกินข้าวตามคำสั่งมารดามาถึงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพอดีตัวสีออกเทาฟ้า ผ้าเนื้อหนาแต่นุ่มและระบายอากาศได้ดี สวมคู่กับกางเกงสแลคสีดำ การแต่งตัวของเขาค่อนข้างเป็นทางการเพราะพฤทธิกรไม่อยากให้หญิงสาวที่เขาต้องไปทานข้าวด้วยคิดว่าเป็นการนัดเดต

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มคนรักกลับหน้าคว่ำทันทีที่เขาเปิดประตูออกมาจากห้องแต่งตัว

ปภินวิชนั่งกอดหมอนใบหน้างอง้ำอยู่บนเตียง

“คุณฤทธิ์หล่อเกินไปแล้ว”อีกฝ่ายต่อว่าเสียงเขียวจนเขาต้องเดินเข้าไปหา เมื่อทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง เด็กหนุ่มก็ขยับตัวหันมาเผชิญหน้าพร้อมทำจมูกฟุดฟิด “ใส่น้ำหอมเสียฟุ้งเลย ที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงนั้นน่ะ โกหกใช่ไหม”

ชายหนุ่มยิ้มเหลอหลาด้วยความแปลกใจในแว็บแรก ก่อนจะต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อนึกได้ว่าอาการที่เด็กหนุ่มเป็นอยู่คงเรียกว่า ‘หึง’

“หล่อที่ไหนกัน ฉันแค่แต่งตัวสุภาพตามปกติ”

คนฟังจ้องเข้าเขม็งทำปากยื่นจนเขาต้องโน้มหน้าเข้าไปงับปากหยอกเย้าอย่างอดไม่ได้ กระนั้นปภินวิชก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอารมณ์ดีขึ้น เด็กหนุ่มกอดหมอนไว้แน่เพราะกลัวตัวเองจะเผลอยื่นมือออกไปขยี้ศีรษะอีกฝ่ายหรือกระชากรั้งเสื้อที่ชายหนุ่มสวมเพื่อให้คนตรงหน้าดูน่าเกลียดเพิ่มขึ้น เมื่อได้แต่จินตนาการ ปภินวิชจึงสะบัดหน้าหนี

พฤทธิกรขยับเข้าไปใกล้ ดึงหมอนที่เด็กหนุ่มกอดไว้ออก จากนั้นดึงให้อีกฝ่ายมานั่งบนตัก ท่อนแขนเรียวบางถูกเจ้าตัวยกขึ้นคล้องเกี่ยวรอบคอเขาไว้แทบจะทันทีพร้อมใบหน้าที่ซุกซบอยู่แถวลาดไหล่ เขาแนบจูบลงกับกลุ่มผมนุ่มพลางเอ่ยว่า

“ฉันรักเธอคนเดียว ไม่มองผู้หญิงคนไหนอีกแน่นอน”

“แต่คุณฤทธิ์กำลังล่อลวงให้ผู้หญิงคนนั้นให้มาชอบ”ปภินวิชเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าทันที เขายกยิ้มตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระว่า

“มีแฟนหล่อก็ต้องทำใจนะ”

เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบ ๆ นึกคำเถียงกลับไม่ออก “ผมจะเอาครีมบำรุงผิวของคุณฤทธิ์ไปทิ้งให้หมดเลย”

“อย่านะ!!!”ชายหนุ่มร้องห้ามจริงจัง “มันแพง อย่าเพิ่งเอาไปทิ้งเลย เอาไว้ฉันใช้หมดแล้วจะไม่ซื้อมาใช้อีก ตกลงไหม”

“น้ำหอมด้วยนะ”

“เธอไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมที่ฉันใช้หรือ”คนถามตีหน้าซื่อทั้งที่นัยน์ตาวาวระยับ

ปภินวิชย่นจมูกทำเหมือนไม่ชอบใจ ทั้งที่จริงกลิ่นน้ำหอมบนตัวของชายหนุ่มก็ทำให้เขาใจเต้นเหมือนกัน เพราะอย่างนี้เขาถึงคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องตกหลุมรักคุณฤทธิ์ของเขาแน่ ๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งหน้างอยิ่งกว่าปลาทูแม่กลอง

“ไม่อยากให้ไปแล้ว”เขาร้องบอก โถมกอดรัดอีกฝ่ายไว้

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่นอกใจแน่นอน ไม่ให้ความหวังกับผู้หญิงคนนั้นด้วย”พฤทธิกรบอกย้ำ มองเด็กหนุ่มที่ผละออกห่างพร้อมทั้งปลดกระดุมเสื้อของเขาสองเม็ดบนออก เจ้าตัวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่งก็ติดกระดุมไว้เหมือนเดิม จนเขาต้องเอ่ยถาม

“อะไรหรือ”

“ผมอยากจะกัดคอคุณทำรอยไว้ แต่กลัวคุณเจ็บเลยคิดว่าไม่ทำดีกว่า”

“คิสมาร์ก?”

“ทำไม่เป็น”เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธกลับไปทันที พฤทธิกรจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ยังมีเวลาเหลือลองทำดูไหม”เขาพูดอย่างนึกสนุก กระนั้นกลายเป็นว่า คนที่อยากทำรอยให้เขากลับหน้าเหลอขึ้นมาเสียเอง

พฤทธิกรหัวเราะ

“ถ้าไม่ทำ งั้นฉันไปแล้ว”

“ทำครับ ทำ”

ถึงปภินวิชจะไม่รั้งไว้ เขาก็ลุกขึ้นไม่ได้อยู่ดีเพราะอีกฝ่ายยังนั่งนิ่งอยู่บนตัก ครั้งนี้เขาปลดกระดุมเสื้อแล้วชี้จุด ถึงจะยอมให้อีกฝ่ายทำรอยได้ แต่ถ้ามันเห็นชัดดูโจ่งแจ้งเหมือนจงใจให้เห็นก็ไม่ใช่ว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ดี

“ใช้ปากดูดแล้วก็เม้มนิด ๆ”เขาพูดแนะนำ ปภินวิชพยักหน้าด้วยท่าทางแข็งขัน แนบริมฝีปากลงไปในขณะที่เขาเอียงคอเงยหน้าเปิดทางให้เต็มที่

ครู่ต่อมา เด็กหนุ่มก็ผละออกห่างพร้อมมุ่ยหน้า “ไม่เห็นเป็นรอยเลย” เขาปล่อยให้เจ้าตัวลองอีกที แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นที่พอใจ ใบหน้าน่ารักนั้นจึงยุ่งเป็นปม พฤทธิกรจึงบอกว่าจะลองสาธิตให้ดู

ทว่าเพียงแค่ชายหนุ่มแนบริมฝีปากและปลายลิ้นลงมา ปภินวิชก็เสียววาบในท้องน้อย สองมือขยำขยุ้มแขนเสื้อของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว จากนั้นรู้สึกเจ็บจี๊ดแต่ปนไปด้วยความรู้แปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูก ดังนั้นเมื่อพฤทธิกรผละห่างออกไปแล้วเขาจึงยังก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น พร้อมรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าที่มากกว่าปกติ

“ลองไปส่งกระจกดูสิ”

เหมือนได้โอกาส เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องเสื้อผ้าของชายหนุ่ม ตรงไปยังหน้ากระจกบานใหญ่ ร่องรอยที่พฤทธิกรทำให้เป็นตัวอย่างสาธิตอยู่ในที่มิดชิดต่ำกว่าคอเสื้อยืด มันเป็นรอยแดงต่างจากผิวปกติอย่างชัดเจน แต่เพียงแค่นึกถึงเขาก็รู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว

เขาเดินกลับออกมาโดยลืมเรื่องรอยคิสมาร์กที่คิดจะทำให้พฤทธิกรไปเสียสนิท “คุณฤทธิ์รีบกลับนะครับ”

พฤทธิกรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ กระนั้นกลับพยักหน้ารับแต่โดยดี ลุกขึ้นยืน คว้ามือเด็กหนุ่มพร้อมจูงให้เดินออกไปด้านนอกพร้อมกัน “คิดว่าบ่าย ๆ ก็น่าจะได้กลับแล้วล่ะ”เขาหยุดยืนที่หน้าประตูห้อง เปิดตู้รองเท้าหยิบรองเท้าหนังสีดำออกมาสวม

“จะออกไปไหน ให้ชวนพุฒิไปด้วยทุกครั้งนะ”เขาสั่งความอีกประโยค คนฟังพยักหน้า

พื้นที่โถงทางเดินในห้องพักบริเวณหน้าประตูมีเหลี่ยมผนังกันสายตาเด็กสาวผู้อาศัยอีกหนึ่งคนในห้องซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ชุดโซฟา เขาจึงไม่ลังเลที่จะกดจูบบนหน้าผากเนียนของเด็กหนุ่มคนรัก ตามด้วยการแตะสัมผัสลงที่ริมฝีปากก่อนเปิดประตูออกไปด้านนอก

นัดครั้งนี้เขาให้ธนาตามไปเป็นคนขับรถให้  โดยไปรับหญิงสาวที่บ้านของเธอ และไม่ได้ไปหามารดาก่อน ถึงกระนั้นพฤทธิกรก็ไม่รู้ว่า นัยน์ภัครับรู้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าเธอไม่รู้กำหนดนัดหมาย เขาจะชิ่งขอตัวกลับ

“ธนาแวะร้านนั้นก่อน”เขาเอ่ยบอกเมื่อเห็นป้ายร้านขนมโฮมเมดมาแต่ไกล พร้อมส่งเงินให้บอดี้การ์ดหนุ่ม “ขนมอะไรก็ได้ที่หน้าตาดูดี”

ธนารับเงินและเปิดประตูลงไปจากรถ ระหว่างนั้นชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเข้าแอปพลิเคชันเพื่อส่งข้อความคุยกับคนรัก เวลาผ่านไปไม่นานนัก บอดี้การ์ดพ่วงตำแหน่งคนขับรถก็ถือถุงพลาสติกสีขุ่นพิมพ์ตราโลโก้ร้านเดินกลับมา เขาเปิดประตูฝั่งคนขับ ยื่นถุงขนมไปวางที่เบาะข้างและส่งเงินทอนกลับไปให้เจ้านาย

“นายเก็บไว้เถอะ”

ธนาก้มศีรษะรับพร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงหันไปจับพวงมาลัย เข้าเกียร์และเหยียบคันเร่ง

ถึงจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แต่รถยนต์บนท้องถนนยังหนาแน่นเช่นเดิม พวกเขาใช้เวลาเดินทางไปเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านของนัยน์ภัคซึ่งแทรกตัวอยู่ในหมู่ตึกอาคารแถวย่านกลางเมือง

คนที่มาเปิดประตูรั้วของบ้านให้เป็นสาวใช้ที่สังเกตดูจากหน้าตาแล้ว น่าจะไม่เกิดยี่สิบหรือยี่สิบต้น ๆ ธนาเป็นคนกดกระจกลงเพื่อแจ้งขอพบเจ้าของบ้าน ก่อนจะบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนเข้าไปด้านใน ระยะทางจากประตูรั้วจนถึงตัวบ้านห่างกันโดยใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่กี่นาที และเมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิท พฤทธิกรจึงเปิดประตูออกไปยืนด้านนอก มีธนาที่กระวีกระวาดตามออกมาส่งขนมมาให้เขาถือ

“อุ๊ย! คุณฤทธิ์แวะมาเยี่ยมอาหรือคะ”มารดาของนัยน์ภัคเป็นคนออกมาต้อนรับ ประโยคทักทายนั้นทำให้เขาอยากจะตบเข่าร้องบอกว่าเข้าทางทันที

“ครับ  บังเอิญขับรถผ่านร้านขนมเจ้าหนึ่งที่อร่อยมากน่ะครับ ผมเลยซื้อขนมเอามาฝาก”

ทว่าประโยคตอบรับและรอยยิ้มของเขากลับทำให้หญิงเจ้าของบ้านหน้าเจื่อนลงชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะปั้นยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งเอ่ยชวนให้เข้าไปทานน้ำทานขนมด้านใน

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ พอดีว่าผมจะไปทำธุระอื่นต่อ ถ้าอย่างไรผมขอตัวก่อนนะครับ”พฤทธิกรรีบยกมือไหว้บอกลาพร้อมรีบก้าวเท้าเข้าไปในรถ ซึ่งธนาก็คล่องแคล่วทันใจเพราะทันทีที่เขาดึงประตูรถปิดสนิท บอดี้การ์ดหนุ่มได้เหยียบคันเร่งออกตัวทันควัน

เพียงแต่... รถยนต์ที่เขานั่งยังไม่ทันได้พ้นจากซอยทางเข้าบ้านของนัยน์ภัค เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ซึ่งปลายสายเป็นมารดาของเขากลับดังขึ้นเสียก่อน

“ฮัลโหลครับ”พฤทธิกรรับสายด้วยน้ำเสียงปกติ

“ถึงไหนแล้วล่ะ”

“ใกล้จะถึงบ้านคุณแขแล้วครับ”

“อ้อเหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้คุณจันทร์ถึงโทรบอกว่าเราเอาขนมไปให้เขา แล้วก็รีบแจ้นออกไปเลยล่ะ”

“คุณอาจันทร์เขาโทรฟ้องคุณแม่หรือครับ”ชายหนุ่มถามกลับ ขยับช่องลำโพงเงี่ยหูฟังเสียงอึกอักเมื่อปลายสายเงียบนิ่งไปสองสามวินาที

“เปล่า” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เขาเหมือนได้ยินเสียงปฏิเสธที่สูงกว่าปกติ “แม่บังเอิญโทรไปหาคุณจันทร์พอดี แล้วเขาก็บอกว่าเราเพิ่งเข้าไปหา  อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”มารดาเสียงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นมา “แม่ให้เราไปรับหนูแขไปกินข้าว นี่อะไรเอาขนมมาไปให้เขาแล้วก็กลับออกมาเนี่ยนะ”

“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าติดธุระนิดหน่อยนะครับ”เขากลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ฤทธิ์ตั้งใจจะเบี้ยวแม่เหรอ เรื่องแฟนเรา แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วนะ”

ได้ยินสิ่งที่มารดาพูดแล้วพฤทธิกรอยากจะถามกลับไปนัก ถ้าไม่ว่า... ทำไมจะต้องให้เขาไปกินข้าวกับผู้หญิงอื่นอีก แต่ราวกับทิพปภาได้ยินเสียงในใจของลูกชาย เธอจึงกล่าวต่อ “เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มันไม่แน่ไม่นอนเสียหน่อย ถ้าเราได้คุยกับหนูแขจริงจัง เราอาจจะชอบหนูแขมากกว่าแฟนเด็กก็ได้”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้ว จะไปรับคุณแขเขาไปทานข้าวละกัน”พฤทธิกรพูดอย่างไร้อารมณ์ “อ้อ... คุณแม่คงไม่ลืมใช่ไหมครับ ว่าผมรังเกียจผู้หญิงที่จ้องจะจับผมโดยพยายามเข้าหาทางคุณแม่มาก”

“ย่ะ ฉันไม่ลืม”ปลายสายประชดเสียงแข็งก่อนตัดสายไป ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ

เนื่องจากมารดาของเขาไม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่ตนไม่รู้จักที่มาที่ไปมาก่อน และเขาก็ไม่ชอบใจกับการโดนจับคู่ให้คบหากับผู้หญิงที่ตนไม่ได้เลือก หลังผ่านความกระอักกระอ่วนมึนตึงช่วงที่เขาคบกับแฟนคนแรกมาได้ ระหว่างเขากับมารดาจึงเหมือนมีข้อตกลงที่รู้กันอย่างลับ ๆ ว่าเขายินดีที่จะลองพูดคุยกับหญิงสาวที่มารดาแนะนำให้ แต่จะคบด้วยหรือจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา

เมื่อก่อนนั้น มีผู้หญิงคนบางคนที่เข้าหามารดาออกหน้าออกตาเพื่อมุ่งหวังจะคบหาแต่งงานกับเขา ซึ่งชายหนุ่มเคยหักหน้าปฏิเสธให้ได้อายในวงสังคมมาแล้ว มารดาของเขาจึงค่อนข้างระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ กระนั้นท่านก็ยังแอบเชียร์เปิดทางช่วยผู้หญิงบางคนที่ถูกใจ แม้พฤทธิกรจะรับรู้ว่าผู้เป็นมารดาพยายามจับคู่ให้ แต่เขาก็ไม่คิดเอะอะกระโตกกระตากเนื่องด้วยเขายังโสด แต่ ณ ปัจจุบันนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว

พฤทธิกรถือว่าตนบอกกล่าวไปแล้ว ในเมื่อมารดายังคิดคะยั้นคะยอส่งเสริมผู้หญิงคนอื่นมาให้ ก็มาคอยดูกันว่าผู้หญิงที่มารดาถูกชะตาจะทนได้สักกี่น้ำ

“ธนาเดี๋ยววนรถกลับไปรับคุณแขนะ”เขาพูด ส่วนมือกดโทรศัพท์ส่งข้อความให้เลขาสาวช่วยจองร้านอาหารให้ “เดี๋ยวคุณก้อยจะส่งแผนที่ร้านอาหารมาให้ก็ไปร้านนั้น”



ร้านอาหารที่สุธาณีหามาให้อยู่ถึงสมุทรสาคร เป็นร้านอาหารทะเลที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากปากแม่น้ำท่าจีน เพราะฉะนั้นกว่าที่จะเดินทางถึงร้าน เวลาได้ล่วงผ่านเข้าบ่ายโมงไปแล้ว ที่เลขาสาวอุตส่าห์หาร้านอาหารริมทะเลมาให้ นั่นก็เป็นเพราะคำสั่งของเขาเช่นเดียวกัน

ระหว่างที่เดินทางมา พฤทธิกรได้แต่นั่งหลับตาพิงเบาะนิ่ง แม้เมื่อตอนที่รถยนต์เพิ่งออกตัวเดินทาง นัยน์ภัคจะพยายามชวนเขาคุย แต่เขาปฏิเสธแสดงออกให้หญิงสาวเห็นชัดว่าเขาไม่ได้อยากคุยด้วย จากนั้นในห้องโดยสารของรถยนต์จึงเงียบกริบไร้เสียงสนทนาตลอดระยะเวลาการเดินทาง

ร้านอาหารริมทะเลแห่งนั้นเป็นอาคารชั้นเดียว บันไดทางขึ้นด้านหน้าคล้ายบ้านเรือนทั่วไป ด้านในเป็นโรงกว้างมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงเต็มพื้นที่ซึ่งล้วนมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารเกือบทุกโต๊ะสำหรับโซนที่นั่งในร่ม นอกจากนี้ทางร้านยังมีสะพานทางเดินยื่นล้ำไปในทะเลให้ลูกค้าได้เดินไปนั่งเล่นชมวิว และถึงแม้จะเป็นช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัด กระนั้นลมทะเลยังพัดโชยอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศยามเย็นคงสวยกว่านี้ เพราะเขาเห็นทางร้านมีพื้นที่กลางแจ้งไว้ให้บริการด้วย

พฤทธิกรคิดวางแผนว่า ครั้งหน้าเขาจะพาสองพี่น้องมาทานข้าวเย็นที่นี่

โต๊ะที่สุธาณีจองไว้ให้อยู่ในส่วนพื้นที่ในร่มซึ่งเมื่อนัยน์ภัคเห็นที่ตั้งเธอก็ชักสีหน้าทันที

“มีอะไรหรือครับ”

เธอพยายามยิ้มเจื่อนให้เขา “แขเห็นว่ามีห้องแอร์ด้วยนี่คะ เราย้ายเข้าไปนั่งในนั้นกันดีไหมคะ”

“ครับ”เขาพยักหน้ารับ นัยน์ภัคจึงยิ้มกว้างขึ้นอีก “ถ้าคุณแขอยากนั่งด้านในก็เชิญครับ แต่ผมตั้งใจมาทานที่ร้านอาหารริมทะเลเพราะอยากนั่งทานอาหารไปพลาง สัมผัสลมทะเลไปพลาง”

เขาทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ให้ความสนใจกับหญิงสาวอีกพร้อมกับเรียกธนาให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน จากนั้นจับรับเมนูมาเปิดดูรายการด้านใน

นัยน์ภัคอยากกระทืบเท้าแสดงอาการขัดใจให้ชายหนุ่มรับรู้เหมือนกัน แต่เพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางยอมง้อเอาใจเธอ หญิงสาวจึงจำต้องเดินไปดึงเก้าอี้ทรุดตัวลงนั่งข้างเขา เธอเหลือบมองชายหนุ่มทั้งสองคนที่เริ่มคุยกันเองราวกับไม่มีเธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย นัยน์ภัคกลอกตา กัดฟันข่มอารมณ์ขุ่นเคืองไม่พอใจ ก่อนหันไปฉีกยิ้มกับสองหนุ่มพยายามพาตัวเองเข้าไปร่วมวงสนทนา



ยิ่งตะวันคล้อยต่ำลงเท่าใด ภายในใจของปภินวิชยิ่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขมากเท่านั้น เขานั่งซึมอยู่หน้าโทรทัศน์กับน้องสาว ในมือถือโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องใหม่ซึ่งพฤทธิกรเป็นผู้ซื้อให้ กำลังเปิดหน้าต่างข้อความที่คุยกับชายหนุ่มคนรักเมื่อช่วงกลาง เลื่อนอ่านทวนซ้ำอีกรอบเนื่องจากอีกฝ่ายเงียบหายไปเลยตลอดบ่าย

ไม่ใช่ว่า คุยกับผู้หญิงคนนั้นอย่างสนุกสนานอยู่ล่ะ เขาบ่นอยู่ในใจพลางกดกลับมาหน้าสมุดโทรศัพท์อีกรอบ เขาอยากโทรหาแต่ถ้าโทรศัพท์ไปทั้งที่อีกฝ่ายไม่สะดวกตอบข้อความ มันก็เหมือนพวกผู้หญิงที่ขยันโทรจิกแฟนนั่นแหละ เพราะคิดอย่างนั้น เด็กหนุ่มถึงต้องพยายามหักห้ามใจเอาไว้

เขาลุกขึ้นยืน บอกน้องสาวว่าจะไปซื้อของ ปวันรัตน์จะตามมาด้วย แต่เมื่อครู่เขายังเห็นเธอจ้องหน้าจอทีวีตาเขม็งจึงบอกว่าไม่ต้องหรอก

“ไม่ได้หรอกค่ะ ไปด้วยกันดีกว่า”เด็กสาวกล่าวย้ำพร้อมลุกขึ้นยืน

ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกคนก็พร้อมใจกันดูแลเขาเป็นพิเศษไม่เว้นแม้แต่น้องสาวที่ยังต้องรักษาอาการของโรคร้าย แต่ครั้งนี้เขาให้เธอไปด้วยไม่ได้จริง ๆ

“เดี๋ยวพี่ไปชวนพี่พุฒิ ปุ้ยไม่ต้องไปหรอก”

“เอางั้นเหรอ”

เขาพยักหน้ารับ เดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงินซึ่งกระเป๋าใบนี้ พฤทธิกรก็เป็นคนซื้อให้เขาเมื่อครั้งที่ไปห้างสรรพสินค้าด้วยกันคราวก่อน

ปภินวิชออกจากห้องและเดินผ่านห้องพักของบอดี้การ์ดไปหน้าตาเฉย เขาลงลิฟต์ไปถึงชั้นล่างเดินออกไปหน้าคอนโดแล้วด้วยซ้ำ แต่ต้องกลับขึ้นมาเคาะประตูเรียกพุฒิพงศ์อีกครั้งเนื่องจากเกิดอาการกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ ส่วนทีแรกที่เขาไม่ได้เรียกให้พุฒิพงศ์ไปด้วยเพราะไม่อยากให้ใครเห็นของที่เขาต้องการซื้อ เพียงแต่ความรู้สึกกลัวการก้าวเท้าเดินบนฟุตบาทด้านนอกนั่นมากมายกว่าความอาย เขาจึงต้องย้อนกลับขึ้นมา

เด็กหนุ่มถือตะกร้าไปเลือกซื้อของสดสองสามอย่างก่อนวนกลับยังชั้นวางสินค้าแถวหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ เขาหยิบของที่ต้องการซื้อขึ้นมาดูโดยพยายามทำหน้าเรียบ ๆ เฉย ๆ และตั้งมั่นว่าจะไม่หันไปสบตากับพุฒิพงศ์เด็ดขาด แต่กระนั้นก็เผลออดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง เห็นบอดี้การ์ดหนุ่มกำลังก้มหน้าสนใจขนมจำพวกช็อกโกแลตกับลูกอม เขาจึงหันกลับมามองของที่ต้องการอย่างเดิม พลางยกมือขึ้นกำประกอบการกะประมาณก่อนจะรีบลดมือลงเพราะรู้สึกเขินอายขึ้นมา จากนั้นจึงรีบหยิบสินค้าลงตะกร้า

ฝ่ายพุฒิพงศ์ซึ่งตามมาคอยดูแลเด็กหนุ่ม แม้ว่าเขาทำท่าเหมือนสนใจสินค้าอื่นก็ตามแต่ความจริงแล้ว หลังจากปภินวิชหันกลับไป เขาได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาจับภาพเด็กหนุ่มพร้อมส่งต่อภาพเหล่านั้นไปให้เจ้านาย เขายกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเคอะเขินของคนที่กล้องกำลังจับภาพอยู่หน้าจอ และนึกอยากเห็นหน้านายจ้างยามที่ได้เห็นภาพพวกนี้ขึ้นมาติดหมัด

เมื่อสังเกตว่าปภินวิชกำลังจะหันกลับมา บอดี้การ์ดหนุ่มจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วและแนบเนียน เขารู้สึกว่าใบหน้าเนียนใสของเด็กหนุ่มกำลังกลายเป็นสีแดงจาง ๆ กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยทักออกไปนอกจากอยากจะยกกล้องของโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดถ่ายภาพอีกสักรูปสองรูป

ปภินวิชนำสินค้าออกจากตะกร้าวางลงบนเคาน์เตอร์ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งมาด้วยกัน เดินเลี่ยงไปยืนอีกฝั่งเพื่อรอรับถุงใส่ของ เด็กหนุ่มพยายามตีสีหน้านิ่งเฉยยามที่พนักงานอมยิ้มเหลือบตามองเขาสลับกับบอดี้การ์ดหนุ่มข้างกายซึ่งอยู่ในชุดลำลองอย่างเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงยีน จนปภินวิชต้องเหล่มองพลางขอโทษขอโพยในใจก่อนจะยื่นเงินให้พนักงาน

“คุณหนูไม่ลืมอะไรแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มชะงักกับคำเรียกขานของพุฒิพงศ์ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากพูดกับเขาหลังจากที่รวบถุงใส่ของไปถือในมือ เขาสั่นศีรษะปฏิเสธพร้อมชำเลืองมองพนักงานคนนั้นอีกรอบ ไม่ต่างจากบอดี้การ์ดหนุ่มที่ความพยายามในการแก้ความเข้าใจผิดดูเหมือนจะไม่เป็นผล เนื่องจากพนักงานหญิงคนนั้นยังอมยิ้มและมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่เช่นเดิม

“อย่างนั้นกลับกันเถอะครับ”เขาผายมือ ยืนรอให้ปภินวิชเดินนำ ก่อนเดินไปยังปรายตามองหญิงพนักงานด้วยความไม่พอใจ

กลับมาถึงห้องพักในคอนโด พุฒิพงศ์ซึ่งถือของเดินตามหลังมา ได้นำมันไปวางไว้ที่โต๊ะทานอาหารและกลับออกไป ส่วนของที่เขาตั้งใจไปซื้อถูกแยกใส่ถุงใบเล็กซึ่งบอดี้การ์ดหนุ่มส่งคืนมาให้เขาตั้งแต่ออกจากซูเปอร์มาเกต เด็กหนุ่มจึงเดินเนียนผ่านชุดโซฟาที่น้องสาวยังคงนั่งจ้องหน้าจออยู่เช่นเดิม เอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องนอนของพฤทธิกร จากนั้นจึงกลับออกมาเตรียมอาหารมื้อเย็น

ในที่สุดปภินวิชก็มีข้ออ้างให้โทรหาพฤทธิกรเสีย

เด็กหนุ่มกดปุ่มโทรออกและถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ปลายสายจะตอบรับกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่งเป็นทางการ

“ไม่สะดวกคุยหรือครับ”เขาถาม ทว่าอีกฝ่ายกลับพูดไปอีกเรื่อง

“ได้ครับ ผมเพิ่งเสร็จธุระพอดี เดี๋ยวจะแวะไปหานะครับ”

“เอ่อ...”ปภินวิชได้แต่เอ่ออ่าเพราะงุนงงตามไม่ทัน กระนั้นปลายสายกลับกล่าวบอกสวัสดีและวางสายไปโดยที่เขาไม่ทันรั้งเรียก

“อะไรของเขา แล้วจะแวะไปที่อื่นอีกหรือไงนะ”และฉุกคิดขึ้นได้ว่า ให้พี่พุฒิโทรหาพี่ธนาก็น่าจะได้ เขาจึงเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องข้างเคียง และได้คำตอบกลับมาว่า

“กำลังเดินทางกลับมาแล้วครับ”

ถึงยังคงฉงนสงสัย กระนั้นปภินวิชก็กลับไปเตรียมอาหารมื้อเย็นเผื่อชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องแต่โดยดี

พฤทธิกรกลับมาถึงตอนที่กับข้าวกำลังจะเสร็จเรียบร้อย ปวันรัตน์เอี้ยวตัวหันไปยกมือไหว้ชายหนุ่มแล้วหันกลับไปสนใจโทรทัศน์เช่นเดิม เขาจึงเดินเข้าไปหาพี่ชายของเด็กสาวในครัว

“กลับมาแล้วหรือครับ”ปภินวิชยกยิ้มกว้าง หลังประโยคนั้นเขาถามถึงเรื่องที่สงสัยขณะที่สองมือยกถ้วยแกงไปวางบนโต๊ะ “เมื่อกี้โทรไป คุณฤทธิ์ได้รับสายหรือเปล่าครับ”

“อ้อ... ใช่ โทรมาได้จังหวะพอดีเลยด้วย”จากนั้นเขายังพูดให้ฟังว่า อยากจะขอตัวกลับแต่โดนพูดรั้งไว้ทุกครั้ง

“เพราะอยากอยู่กับผู้หญิงคนนั้นนาน ๆ ก็บอกมาเถอะ”ปภินวิชมีสีหน้าบึ้งตึง ชายหนุ่มร่างสูงที่โดนค่อนขอดจึงเดินเข้ามากอด ลดเสียงพูดให้เบาลงจนคล้ายต้องการกระซิบพูดคุยกันสองคน

“ใครอยากจะอยู่กับผู้หญิงคนนั้น ฉันอยากกลับมาหาเธอใจจะขาด วันอาทิตย์แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน”พูดพร้อมขยับศีรษะแนบหน้าผากของเด็กหนุ่ม น้ำเสียงงุ้งงิ้งออดอ้อน

“ให้มันจริงเถอะ”ปภินวิชพยายามกลั้นยิ้ม สอดแขนกอดเอวชายหนุ่มไว้กระนั้นก็ยังแกล้งพูดเสียงแข็ง

“พูดจริง ถ้าไม่เชื่อจะพิสูจน์อย่างไรก็ได้”พฤทธิกรยกยิ้มทำตาเจ้าชู้ใส่ ปภินวิชถึงกับย่นจมูกคล้ายหมั่นไส้พยายามบังคับริมฝีปากไม่ให้เผยรอยยิ้มกว้างเกินไปนัก สุดท้ายก็อดไม่ได้เพราะในยามที่ได้สบสายตากับชายหนุ่ม หัวใจของเขาพองฟูจนต้องยกยิ้มยินดีไปเสียทุกครั้ง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//รู้ไหมคะ ว่าน้องปลาเขาไปซื้ออะไรมา//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 21 [20/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-12-2017 07:35:53
ดูท่างานจะเข้าเรื่อย ๆ ถ้ายังไม่แก้ปัญหาเรื่องแม่ไม่ยอมรับ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 21 [20/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-12-2017 23:33:43
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 22 [24/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-12-2017 05:08:38
22



“มาทำกันเถอะ”

พฤทธิกรยิ้มขำเมื่อเด็กหนุ่มพูดราวกับกำลังชวนเขาเล่นเกม เขามองของที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยอาการหน้าร้อน พอประกอบกับภาพที่หนึ่งในบอดี้การ์ดคนสนิทส่งมาให้ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะวางสีหน้าอย่างไรดี ความคิดหนึ่งก็ดีใจที่คนรักอยากขยับระดับความสัมพันธ์ แต่เพราะเขาผ่านประสบการณ์หลากหลายมามากพอที่เข้าใจและรับรู้ว่า ‘ความรักระหว่างคนสองคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความสัมพันธ์ทางกาย’

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเสียงหงอย พาตัวเองขึ้นมาเบียดซุกอยู่บนตักของเขา สองแขนเพรียวบางของร่างกายวัยรุ่นที่ยังโตไม่เต็มวัยกอดคล้องรอบคอของเขาไว้

“ไหนว่าไม่รังเกียจ...”

เขากดจูบช่วงชิงลมหายใจของเด็กหนุ่มด้วยความหนักแน่นดุดัน เพราะนึกโมโหที่ปภินวิชคอยแต่จะย้ำพูดถึงเหตุการณ์ที่แม้แต่เขาก็ไม่อยากจดจำ เขากวาดต้อนดูดดึงราวกับพยายามสูบความทรงจำนั้นออกมาจากสมองของเด็กหนุ่มให้หมด เผื่ออีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องพูดถึงมันอีกในคราวหน้า

ชายหนุ่มผละออกห่างมองใบหน้าคนรักที่กลายเป็นสีแดงก่ำ อ้าปากหอบหายใจ พลางใช้นิ้วโป้งเช็ดหยาดน้ำที่มุมปากของอีกฝ่าย

“จูบอย่างนี้จะฆ่ากันหรือไง”ปภินวิชว่าเสียงขุ่นพลางทุบไหล่พฤทธิกรด้วยความหงุดหงิด

“ถ้าครั้งหน้าพูดอีกจะจูบให้ขาดอากาศหายใจตายไปจริง ๆ ด้วย”

ปภินวิชเบ้ปากกระนั้นก็วางศีรษะซบไหล่ของชายหนุ่มไว้ “ถ้าตายตอนที่กำลังจูบกับคุณฤทธิ์ก็ดีเหมือนกันนะ” อีกฝ่ายเสียงพูดเบาด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายปกติ แต่พฤทธิกรกลับชะงักเอะใจทั้งยังรู้สึกไม่ดี เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าของคนรักแต่จากมุมนี้ไม่สามารถมองเห็นแววตาของเด็กหนุ่มได้ชัด ชายหนุ่มพยายามสงบใจพร้อมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงปกติเช่นกัน

“ไม่ดีหรอก ถ้าเธอตายไป ฉันจะอยู่กับใครล่ะ”

“ก็อยู่กับผู้หญิงคนนั้นไง”ปภินวิชเงยหน้าบึ้งตึงมาให้เขาเห็น พฤทธิกรกวาดสายตาสำรวจเด็กหนุ่มคนรักอย่างรวดเร็ว เห็นแววตาและใบหน้าอ่อนเยาว์ยังดูปกติจึงนึกโล่งใจ จากนั้นจึงตอบด้วยน้ำเสียงแง่งอนขึ้นมาบ้าง

“ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น ทำไมชอบยัดเยียดฉันให้กับคนอื่นนัก ที่จริงเธอไม่ได้ชอบฉันเลยใช่ไหม”พฤทธิกรแสร้งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาบ้าง ซ้ำยังขยับตัวหันหลังให้ ปภินวิชถึงกับออกอาการร้อนรน

“เปล่านะ ผมรักคุณฤทธิ์นะครับ”เด็กหนุ่มขยับตามมาง้อ พฤทธิกรยังแกล้งสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง อีกฝ่ายจึงใช้สองมือยึดใบหน้าของเขาไว้และง้อด้วยการประทับริมฝีปากลงไปทั่วใบหน้า

“หายโกรธหรือยัง”เสียงถามอ้อมแอ้มไม่แน่ใจ เขายังนิ่งเบือนสายตาหนี “ผมขอโทษ ผมแค่กลัว... คุณฤทธิ์ไม่ใช่เกย์ไม่ใช่หรือครับ เมื่อก่อนก็เกือบจะแต่งงานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเกิดคุณกลับใจไปคบผู้หญิงอีก ผมก็โดนทิ้งนะสิ”คนพูดเริ่มน้ำตาคลอ แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าเลิกคิ้วสงสัยจึงพูดต่อไปว่า “ฟรังค์โทรมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีก่อนคุณแจกการ์ดจะแต่งงานอยู่แล้ว แต่พิธีโดนยกเลิกไปก่อน”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่งานแต่งโดนยกเลิกเพราะฉันเกิดรู้รสนิยมตัวเอง”

คราวนี้ปภินวิชเป็นฝ่ายงุนงงเสียเอง ...หมายความว่ายังไง เด็กหนุ่มคิดอย่างฉงนสงสัย “คุณฤทธิ์เป็นเกย์มาตั้งนานแล้วหรือครับ”

พฤทธิกรยกยิ้มเจื่อน พอโดนถามโต้ง ๆ ตรง ๆ เขาก็รู้สึกกระดากไม่น้อย แต่เมื่อลองคิดทบทวนดู การที่เขาแอบชอบเด็กผู้ชายอย่างปภินวิชมาตั้งหลายปี ตัวเขาน่าจะเข้าข่ายนั้นแล้ว อีกอย่าง ถ้าตอบรับออกไปอาจจะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจขึ้น

“อืม... ก็ฉันรักเธอ ฉันต้องเป็นเกย์อยู่แล้ว”

“ดีใจจัง”สีหน้าของเด็กหนุ่มโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด โถมกอดร่างของพฤทธิกรไว้อยู่ครู่หนึ่งก็ผละออก หันไปเก็บข้าวของที่ซื้อมาใส่ลิ้นชักของตู้ที่ตั้งอยู่หัวเตียง

“หือ เก็บทำไม ไม่ทำแล้วเหรอ”พฤทธิกรแกล้งถามเย้า

“เอ่อ... เอาไว้วันหลังได้ไหมครับ วันนี้ผมง่วงแล้ว”ปภินวิชยิ้มแหย ๆ

“แต่ฉันเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วนะ”ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวเข้าไปประชิด รั้งชายเสื้อชุดนอนของร่างในอ้อมกอดให้เลิกสูงขึ้นพลางสอดมือเข้าไปลูบไล้ปลุกปั่น จนปภินวิชต้องเอี้ยวตัวหนี ยิ่งพฤทธิกรแนบปลายจมูกลงมาซุกไซ้แถวฐานคอ ขนบนร่างกายของเด็กหนุ่มได้พร้อมใจกันลุกเกรียว

“คุณฤทธิ์... เดี๋ยวก่อน”ปภินวิชร้องห้ามปรามขณะที่อาการเสียววาบในท้องน้อยกลับมาเยือนอีกครั้งพานให้เขาต้องขยับต้นขาเสียดสีกันอย่างลืมตัว “ผ... แผลยังไม่หาย”

พฤทธิกรเด้งตัวออกห่างทันใด สีหน้าปกติไร้วี่แววอารมณ์หื่นกระหาย “แผลยังไม่หายแล้วมาชวนให้ทำเนี่ยนะ”เขาพูดดุอย่างไม่ลังเล คนโดนว่ากล่าวจึงพูดตอบด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน

“ก็ไม่เชิงไม่หาย แบบอีกนิดนึงก็หายดีแล้ว”ปภินวิชยกมือขึ้นมาทำท่าประกอบ เพราะเขาคิดง่าย ๆ ว่าถ้ามีอะไรกันชายหนุ่มคงจะไม่มีทางไปชอบผู้หญิงคนไหนอีก ดังนั้นต่อให้ต้องทนเจ็บเขาก็ยอม แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างแล้ว ถ้าเลือกได้ เขาอยากอยู่กับพฤทธิกรแบบที่ไม่ต้องทำอะไรกันแบบนี้ไปตลอดเลย เขาไม่อยากเจ็บตัวจนต้องทายาอีกแล้ว

“งั้นนอนลงเลย ขอฉันดูแผลหน่อย”

ปภินวิชถอยหลังกรู “ไม่เป็นไรครับ ผมทายาตามที่หมอสั่งตลอด มันใกล้จะหายแล้วจริง ๆ”

“ปลา”เสียงของพฤทธิกรเข้มห้วนจนเด็กหนุ่มต้องย่นคอ ชายหนุ่มกระเถิบเข้าไปจับข้อเท้าทว่าอีกฝ่ายยังสั่นศีรษะระรัว

“ทำไมถึงไม่ยอมให้ดู ถ้าไม่ให้ฉันดูพรุ่งนี้ต้องไปหาหมอนะ”

“ไม่เอา ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ”ปภินวิชพูดย้ำ เห็นท่าทางต่อต้านอย่างหนักเช่นนั้นพฤทธิกรจึงถอนหายใจออกมา “ก็ได้ ไม่อยากให้ดู ฉันก็ไม่ดู เอาเลย… อยากทำอะไรตามใจเลย”

ปภินวิชเปลี่ยนไปคว้าจับข้อมือของชายหนุ่มไว้ทันควัน นี่มันวันอะไรก็ไม่รู้ พฤทธิกรถึงได้ออกอาการโมโหไม่พอใจเขาบ่อยครั้งทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้

“คุณฤทธิ์ คุณฤทธิ์ครับผมขอโทษ อย่าโกรธนะ ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่เรื่องแบบนี้มันทำใจไม่ได้ง่าย ๆ นะ”

“ไม่เห็นเป็นยังไงเลย ก็เราเป็นแฟนกัน”

“แต่มันก็แปลก ๆ อยู่ดี”

“เมื่อกี้ยังชวนให้มาทำอยู่เลย”

“อันนั้นเพราะผมเตรียมใจมาอยู่แล้ว”

“ฉันดูแผลให้ก็ไม่ต่างกันหรอก”

“ไม่รู้ล่ะ”ปภินวิชหน้างอ “มันไม่เหมือนกันแต่คุณฤทธิ์ไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปนี้ผมจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น คืนนี้เรานอนกันเถอะ ผมง่วงแล้ว”เขาเอ่ยชวนพลางขยับไปตบหมอน

พฤทธิกรจึงยกยิ้มเมื่อพ้นสายตาของเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้คิดโมโหจริงจังมาตั้งแต่แรกแค่ไม่อยากให้คนรักละเลยตัวเองทั้งที่เขาเป็นห่วงมากถึงขนาดนี้ เมื่ออารมณ์ดีเสียงตอบรับจึงระรื่นตามไปด้วย

“ครับ ได้ครับคุณภรรยา”

“ใครเป็นภรรยา”ปภินวิชแหวออกมาทันทีทั้งที่ก่อนยังทำเหมือนว่าจะยอมเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่าง และจากที่ทำท่าว่าจะนอนสรุปเลยยังไม่ได้ล้มตัวลงนอนเสียที “เราสองคนยังไม่มีการพูดคุยตกลงกันเลย อย่ามาเรียกอย่างนี้นะ เอางี้ดีกว่า มาเป่ายิ้งฉุบตัดสินกันเลย”เด็กหนุ่มกำหมัดตั้งท่า

“ง่าย ๆ อย่างนี้เลย”พฤทธิกรถามอย่างตกใจจากนั้นจึงสัพยอกกลับไปว่า “งั้น ถ้าฉันชนะทำวันนี้เลยนะ”

ปภินวิชอ้าปากค้างชะงักคิดคำโต้ตอบอยู่ชั่วเสี้ยววินาที “อ... อะไรกัน เมื่อกี้ยังเป็นห่วงเรื่องแผลของผมอยู่เลย”

ชายหนุ่มจึงหัวเราะ รวบร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มเข้ามากอดและล้มตัวลงนอนพร้อมกัน “ล้อเล่นครับคุณแฟนที่รัก คืนนี้ดึกแล้วนอนเถอะ”พูดพลางจัดการดับไฟ กระนั้นปภินวิชยังไม่วายย้ำว่าเรื่องแบบนี้ต้องมานั่งจับเข่าพูดคุยตกลงกันก่อน ซึ่งพฤทธิกรก็เออออรับคำแต่โดยดี



โทรศัพท์ของพฤทธิกรมีสายเรียกเข้าจากมารดาอีกครั้งในช่วงเช้าของวันกลางสัปดาห์เพื่อนัดหมายให้ปภินวิชออกไปทานเข้าด้วย ก่อนหน้านี้ผู้เป็นมารดาได้โทรศัพท์หาเขาแล้วหลายครั้ง แต่เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนน้องสาวของปภินวิชมีนัดเข้ารับยาเคมีบำบัด เขาจึงบอกปฏิเสธไป

“ตกลงหนูปลาจะว่างไปกินข้าวกับแม่ได้เมื่อไหร่”ปลายสายถามเสียงขุ่น “แม่ว่าเราน่ะ บอกเบอร์หนูปลามาเลยดีกว่า เดี๋ยวแม่คุยเอง”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณแม่นัดมาเลยก็ได้”

“งั้นเที่ยงนี้”

“เดี๋ยวผมมีประชุมน่ะครับ กว่าจะเลิกประชุมก็เที่ยง คงจะไปสายหน่อยนะครับ”

“แล้วเรามาเกี่ยวอะไรด้วยฮึตาฤทธิ์ เราไม่ว่างก็ไม่ต้องมา ให้หนูปลามาคนเดียวไม่ได้หรือไง”

“ผม...”

“ฤทธิ์อยากให้แม่ยอมรับแฟนเรา แต่ดูสิ เราไม่ยอมปล่อยให้แม่ได้คุยกับหนูปลาเลย แล้วจะไม่ให้แม่คิดอคติได้อย่างไร”

“ครับ ผมทราบแล้วครับ”พอมารดาเซ้าซี้ชักแม่น้ำทั้งห้ามากดดันด้วยคำพูดตัดพ้อต่าง ๆ นานา เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องตอบรับกลับไปทั้งที่ยังไม่ค่อยไว้ใจมารดานัก

ต่อหน้าเขา มารดาทำเป็นว่าเอ็นดูปภินวิชอย่างดี แต่พฤทธิกรไม่ค่อยอยากจะเชื่อมั่นกับท่าทีนั้นเนื่องจากคุณทิพปภาเคยเปลี่ยนใจมาแล้ว และถ้าบอกว่าเพราะมารดาได้เจอปภินวิชแล้วนึกเอ็นดูขึ้นมา เขายิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่

ชายหนุ่มหยิบสมุดปากกาลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอกห้องทำงาน คนที่เขากำลังอยากเจอนั่งคุยอยู่กับสุธาณี หญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้อง

“ปลา”

เด็กหนุ่มหันมาตามเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้มที่เห็นกี่ทีเขาก็ต้องยกยิ้มตามทุกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องพูดบอกรอยยิ้มของเขาจึงจางลงอย่างช่วยไม่ได้

“คุณแม่ชวนเธอไปกินข้าว”

“ครับ”

“วันนี้เธอคงต้องไปคนเดียวนะ”

ปภินวิชชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะยกยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยพลังและแรงใจส่งกลับมาให้เขาอีกครั้ง “คุณฤทธิ์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แค่กินข้าวเอง”

เขากำลังจะพูดประโยคต่อไปเพียงแต่สายตาเหลือบไปเห็นเลขาสาวที่อยู่ตรงนั้นเสียก่อน พฤทธิกรยกมือป้องปากทำท่ากระแอมกระไอ

“คุณก้อยไปก่อนก็ได้ครับ ผมขอเวลาคุยกับปลาสักครู่”ว่าจบ ชายหนุ่มจึงรีบดึงข้อมือปภินวิชให้หายเข้าไปในห้องทำงาน เมื่อไม่มีจากสายตาบุคคลที่สามแล้ว เขาจึงเอ่ยต่อประโยคที่ตั้งใจจะบอกอีกฝ่าย

“ฉันรักเธอนะ เรารักกันและเราไม่จำเป็นต้องเลิกกันเพราะคนอื่นบอกว่าเราทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน”

เด็กหนุ่มหัวเราะเนื่องด้วยบางครั้งเขาก็คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับพฤทธิกรเอาเสียเลย กระนั้นเขาก็พยักหน้ารับ “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจำคำที่คุณบอกได้แม่นเลย ไม่ต้องกังวลนะ ดูสิคิ้วขมวดอีกแล้ว”พูดพลางยื่นมือออกไปนวดคลายปมที่หัวคิ้ว พฤทธิกรจึงจับมือข้างนั้นไว้และแนบจูบลงไปที่กลางฝ่ามือ

“คุณฤทธิ์รีบไปเถอะ เดี๋ยวเข้าประชุมสายนะ”ปภินวิชพูดเร่งพร้อมเปิดประตูออกไปด้านนอก เมื่อเปิดประตูออกมาถึงเห็นว่ากวีวัธน์ยืนรีรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อพฤทธิกรก้าวเท้าเดินนำไป หลานชายจึงเดินตามไปสมทบทั้งยังหยุดรอเมื่อน้าชายแวะคุยกับบอดี้การ์ด กระทั่งเขาทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้ว กวีวัธน์ถึงเอ่ยขึ้นว่า

“มีอะไรหรือครับ อยากให้ผมช่วยอะไรไหม”

พฤทธิกรเหล่มองคนพูดที่ยิ้มทะเล้น ทว่าหลานชายยังพูดต่อ “เรื่องที่คุณยายไม่ชอบน้องปลา ผมคุยให้ได้นะ แต่ผมขอนาฬิกาสักเรือนเป็นค่าแรง”

“กลอน”น้าชายเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม กวีวัธน์จึงหน้าซีดลงและอ้อมแอ้มพูดว่า “ไม่เอาค่าแรงก็ได้ครับ”

“ถ้าทำได้ฉันจ่ายให้เต็มที่”

คนฟังหน้าบานขึ้นทันควัน “รุ่นที่ผมกำลังอยากได้แพงมากนะ”

ชายหนุ่มจึงทำเสียงชิชะเหมือนหงุดหงิดไม่พอใจ “ฉันให้รางวัลตามผลงาน เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ”กวีวัธน์จึงยิ้มร่า ออกอาการดี๊ด๊าจนแม้แต่น้าชายยังหมั่นไส้



พอใกล้เที่ยง ปภินวิชจึงออกเดินทางโดยมีพุฒิพงศ์ บอดี้การ์ดหนุ่มของพฤทธิกรเป็นคนขับรถไปให้ เขาอยู่ในชุดฟอร์มของพนักงานทำความสะอาดเฉกเช่นทุกวัน แต่เมื่อเห็นสถานที่ที่มารดาของชายคนรักนัดเขามาทานข้าวแล้ว เด็กหนุ่มถึงกับนึกอยากกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น

ทำไมไม่กินที่ร้านอาหารธรรมดา ๆ บ้างนะ เขาคิดในใจ ก่อนผ่อนลมหายใจออกและสูดลมหายใจอีกเฮือกเพื่อเรียกกำลังใจ

เด็กหนุ่มเดินตามการนำทางของพุฒิพงศ์ไปยังห้องอาหารของโรงแรมซึ่งตั้งอยู่พื้นที่ชั้นล่าง เมื่อบอดี้การ์ดหนุ่มแจ้งชื่อของเขา พนักงานจึงเดินนำไปยังโต๊ะที่นั่งริมระเบียงติดกับสวนซึ่งสามารถมองเห็นสระน้ำที่อยู่ไม่ไกล ปภินวิชไม่มีโอกาสได้กวาดสายตามองรอบตัวเนื่องจากเขาเห็นว่ามารดาของพฤทธิกรมานั่งรออยู่แล้ว

“ขอโทษครับที่มาสาย”เขายกมือไหว้ทักทายพร้อมกล่าวคำนั้น เมื่อสายตาเหลือบเห็นหญิงสาวอีกสองคนซึ่งน่าจะมีอายุมากกว่าตนนั่งอยู่ จึงประนมมือไหว้เธอทั้งสองด้วย และยืนนิ่งรอกระทั่งทิพปภาบอกให้เขานั่งลง ส่วนบอดี้การ์ดหนุ่มที่มากับเขานั่งห่างออกไปอีกสองช่วงโต๊ะ

“นี่ใครหรือคะ”คำถามนั้นถูกเอ่ยขึ้นหลังจากที่บริกรนำเมนูมาให้และถอยห่างออกไปแล้ว

“เด็กที่ตาฤทธิ์เขาอุปการะเลี้ยงดูไว้นะคะ  ดิฉันชวนเขามาทานข้าวด้วยเพื่อแนะนำให้คุณจันทร์กับหนูแขรู้จักไว้ ตอนหนูแขแต่งงานกับลูกชายป้าจะได้ไม่ตกอกตกใจว่าเด็กที่ไหน”

ปภินวิชตกใจกับประโยคที่ได้ยินถึงกับหันมองคนพูดหน้าตาตื่น พฤทธิกรไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขามาก่อน ความคิดในสมองจึงสับสนปนเปกันไปหมด ใจหนึ่งเขาเชื่อว่าชายหนุ่มย่อมไม่มีทางปิดบังหรือโกหกเขา แต่กระนั้น ถ้าเรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องจริง ทิพปภาจะกล้าพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำหรือ

“ค่ะ แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ”ประโยคหลังนัยน์ภัคหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ปภินวิชยังคุมสติตัวเองไม่ได้ เขาเตรียมใจมาว่า อาจจะโดนว่าค่อนขอดแต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาจึงขาวซีด เขากุมมือที่สั่นระริกของตัวเองไว้ เงยหน้าขึ้นเมื่อผู้ร่วมโต๊ะยังนิ่งเงียบรอคำตอบของเขา

“เอ่อ... ขอโทษครับ เมื่อครู่ผมไม่ทันฟัง คุณถามว่าอะไรหรือครับ”

“อ้อ แขถามว่าทำไมใส่ชุดพนักงานทำความสะอาดแบบนี้ล่ะคะ”

“คุณฤทธิ์ให้ผมไปทำงานเป็นพ่อบ้านที่บริษัท”เด็กหนุ่มตอบกลับไปเสียงเบาซ้ำยังก้มหน้าลงเรื่อย ๆ

“แล้วไม่ไปเรียนหรือ”เธอยังถามต่อ

“ผมกำลังลงเรียนกศน.เพื่อเอาวุฒิไว้สอบเข้ามหาวิทยาลัยครับ”

“ดีค่ะ ยังใฝ่ดีอย่างนี้ก็น่าสนับสนุน”

“พวกเราสั่งอาหารกันก่อนดีไหมคะ จะได้นั่งคุยไปทานกันไป”จรัสวรรณเอ่ยแทรก ทิพปภาจึงพยักพเยิดเออออ ยกมือเรียกพนักงานก่อนจะพูดกับปภินวิชด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู

“หนูปลาสั่งได้ตามสบายเลยนะจ๊ะ ถ้าหนูกินไม่อิ่มเดี๋ยวตาฤทธิ์จะมาว่าป้าได้”

เจ้าชื่อจึงเงยหน้าขึ้นไปกล่าวตอบรับด้วยรอยยิ้มเจื่อน และนั่งเงียบไม่ออกเสียงพูดคุยกับใครจนกระทั่งจบมื้ออาหาร ซ้ำร้ายอาหารมื้อนั้นยังเฝื่อนคอจนแทบกลืนไม่ลง

“แล้วหนูแขคิดรูปแบบงานแต่งไว้บ้างหรือยังจ๊ะ”ทิพปภาเอ่ยถามชวนคุยคล้ายไม่อยากให้การพบปะพูดคุยของพวกเขาจบลงง่าย ๆ

“แขอยากได้งานแต่งแบบไทยค่ะ ถ้าพี่ฤทธิ์ใส่ชุดไทยคงจะหล่อน่าดู”เธอยิ้มตอบรับ วงสนทนาคงจะสนุกสนานชื่นมื่นต่อไปถ้าปภินวิชไม่พูดแทรกขึ้นว่า

“คุณฤทธิ์จะแต่งงานกับคุณจริง ๆ หรือครับ”หลังจากตั้งสติ ควบคุมอาการตระหนกของตนทั้งมีเวลาให้นั่งคิด เด็กหนุ่มเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาว่า ไม่มีทางที่พฤทธิกรจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนง่าย ๆ

“ทำไมหรือคะ”

“คุณฤทธิ์เป็นเกย์ เขาไม่แต่งงานกับผู้หญิงหรอกครับ คุณไม่รู้เหรอครั้งก่อนที่เขาล้มเลิกงานแต่งเพราะว่ารู้รสนิยมตัวเอง”เด็กหนุ่มพูดบอกออกไปโดยไม่สนใจมารยาทและเสียงห้ามปรามที่ดังมาจากทิพปภา

“เธอเอาอะไรมาพูด ลูกชายฉัน ฉันเลี้ยงมากับมือ เขาเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ฉันรู้ดี”

“แต่คุณฤทธิ์เขาบอกกับผม”

“แล้วเธอไม่คิดบ้าง ที่ตาฤทธิ์พูดบอกกับเธอก็แค่พูดหลอกให้เธอตายใจเท่านั้น ลูกชายฉันเป็นใคร เขาต้องเอาชีวิตมาผูกติดกับเธอหรือ ตอนนี้เขาก็แค่สนุกกับบทคุณพ่อขายาวเท่านั้นล่ะ”จากนั้นทิพปภาจึงหันไปพูดกับสองแม่ลูกที่เป็นแขกของเธอว่า “คุณจันทร์กับหนูแขอย่าไปสนใจเด็กขี้โกหกแบบนี้เลยนะคะ แย่จริง ๆ ตาฤทธิ์อุตส่าห์เลี้ยงดูอุปการะทั้งพี่และน้องอย่างดี ยังมาพูดจาว่าร้ายผู้มีพระคุณแบบนี้อีก”

นัยน์ภัคเหมือนรอเวลานี้มานาน ครั้งก่อนพฤทธิกรพาเธอไปกินข้าวแต่เขากลับมีท่าทีเมินเฉยมองผ่าน ดังนั้นหญิงสาวจึงกำลังหาโอกาสเอาคืนเขา เธอดูออกว่าเด็กหนุ่มที่ทิพปภาพามาแนะนำคงไม่ใช่แค่เด็กในอุปการะ ไม่อย่างนั้น คงไม่หน้าเปลี่ยนสีออกอาการทันทีที่ทิพปภาพูดถึงเรื่องแต่งงาน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า ที่จริงแขไม่ถือหรอกค่ะว่าคุณฤทธิ์จะเป็นเกย์หรือเปล่า พวกรักชอบเพศเดียวกันหาที่คบกันยืดได้น้อยยิ่งกว่าน้อย แล้วดูคุณฤทธิ์กับน้องเขา อายุก็ต่างกันมาก หน้าที่การงานเอย สถานะทางสังคมเอยราวกับอยู่กันคนละโลก อีกไม่นานคุณฤทธิ์ก็คงบอกเลิกเองแหละค่ะ”นัยน์ภัคปรายมองเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงอย่างหวั่นไหวและเสียความมั่นใจตั้งแต่ที่เธอพูดถึงกลางประโยค ก่อนจะหันไปพูดแนะนำด้วยท่าทางคล้ายหวังดี

“พี่แนะนำอะไรให้นะคะน้อง ถ้าน้องริจะชอบผู้ชายด้วยกันเองเนี่ย หาที่รุ่น ๆ เดียวกันดีกว่าหรือไม่ก็ห่างกันไม่กี่ปี อย่างน้อยก็คุยภาษาเดียวกัน จะไปไหนด้วยกันก็ไม่มีคนมาจ้องจับผิด หรือถ้าเขาแปลกเพราะมีคนอื่น อย่างน้อยน้องก็จะเจอพิรุธให้จับได้ คบคนที่อายุเยอะกว่ามากเขาก็มีชั่วโมงบินสูงกว่าน้องนะคะ พี่คิดว่าน้องจับโกหกเขาไม่ได้หรอกค่ะ”พูดจบเธอจึงหันไปหยิบกระเป๋า

“กลับกันเถอะค่ะคุณแม่ แขลาก่อนนะคะคุณป้า”หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือไหว้ซึ่งทิพปภาได้ยกมือรับไหว้และยิ้มรับอย่างดีคล้ายถูกใจไม่น้อย

“เอาล่ะ ป้าก็คงต้องขอตัวกลับเสียที วันนี้ขอบใจหนูปลามากนะจ๊ะที่มาทานข้าวเป็นเพื่อน”ทิพปภาพูดพร้อมวางมือไว้บนบ่าของเด็กหนุ่มและตบเบา ๆ เธอลุกออกไปจากโต๊ะแล้วแต่ปภินวิชยังนั่งอยู่กับที่ จนพุฒิพงศ์ต้องมาสะกิดเรียก

“คุณปลา กลับกันเถอะครับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาลุกขึ้นยืนเดินตามทั้งที่ภายในใจยังคงหนักอึ้ง สมองตื้อตันคิดอะไรไม่ออก มีแต่คำพูดที่นัยน์ภัคและทิพปภาพูดไว้วนเวียนอยู่เต็มพื้นที่ กระนั้นเมื่อก้าวเท้าเข้าไปนั่งอยู่ในรถยนต์ที่บอดี้การ์ดเปิดประตูไว้ให้ คำพูดก็ออกมาจากปากของเขาทันที

“พี่พุฒิ ไปส่งผมที่คอนโดนะครับ”

ชายหนุ่มรับคำโดยไม่มีคำถาม ปภินวิชทิ้งตัวลงพิงเบาะหลับตานั่งนิ่งด้วยอาการไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะลืมตาเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าหากเขากลับไปที่คอนโดก่อน พฤทธิกรจะต้องเฉลียวใจกับมื้ออาหารเที่ยงของเขากับทิพปภาแน่ ๆ

“พี่พุฒิ ผมขอโทษครับ กลับไปที่บริษัทนั่นแหละ”

ปภินวิชใช้สองมือกุมหน้าตัวเองไว้ จากนั้นขยับนวดเพื่อให้สีหน้าของตนกลับกลายเป็นปกติเหมือนเดิม พร้อมสูดลมหายใจเข้าปอด เขามีเรื่องติดค้างสงสัยซึ่งความสงสัยนั้นมีแค่พฤทธิกรเท่านั้นที่สามารถให้ความกระจ่าง



เด็กหนุ่มเปิดประตูลงจากรถเมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิทในที่จอดรถ เขาก้าวเท้าเดินลิ่ว ๆ เข้าไปในล็อบบี้ชั้นล่าง ตอนที่กดเรียกลิฟต์ ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่บอดี้การ์ดพ่วงตำแหน่งคนขับรถได้ก้าวตามมาทันก่อนประตูลิฟต์จะเปิดออกเช่นกัน

“ขอโทษครับ รอด้วย ขอผมไปด้วย”

เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียก ทว่าเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปทันควัน ปภินวิชจำใบหน้านั้นได้แม่น ผู้ชายที่เป็นสาเหตุให้พ่อแม่ของเขาและอีกหลายคนต้องเสียชีวิต

“ขอโทษครับ ลิฟต์นี่สำหรับผู้บริหารเท่านั้น คนนอกกรุณาติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแข็งกระด้าง และเมื่อเขาพูดประโยคนั้นจบ อีกฝ่ายกลับปรายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“อย่างน้องก็คงไม่ใช่ผู้บริหารหรอกมั้ง”

นั่นยิ่งทำให้ปภินวิชโมโหขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้นไปอีก เขากัดฟันถามเสียงกร้าวกลับไป“แล้วน้ำหน้าอย่างคุณมาทำอะไรที่นี่หรือครับ”

“โห้”คนฟังถึงกลับหัวเราะไม่ออก แม้จะแปลกใจกับความกร่างของพนักงานทำความสะอาด แต่เขาก็อดยวนกลับไปไม่ได้ “พี่จะมาทำอะไรที่นี่ก็คงไม่เกี่ยวกับน้องนี่”

“อ้อ”ปภินวิชขานเสียงรับอย่างไม่มีความหมาย “พี่พุฒิครับ รบกวนแจ้งรปภ.ให้มาลากผู้ชายคนนี้ออกไปข้างนอกด้วย แล้วก็ห้ามไม่ให้เข้ามาเหยียบที่นี่อีก”

“ครับ”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อรับคำ ก้าวเท้าไปยืนเบื้องหน้าชายหนุ่มคนนั้น ผายมือพร้อมพูดเชิญ คู่กรณียังอึกอักยึกยักสีหน้าคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จนพุฒิพงศ์ร้องตะโกนเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย คนตรงหน้าถึงร้องเออเสียงดังกระแทกส้นเท้าเดินออกไป พลางล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ต้องรอสายอยู่ครู่ใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะกดรับ

“พี่ฤทธิ์ บริษัทพี่มันอะไรกันเนี่ย เมื่อกี้ผมเจอพนักงานทำความสะอาดมันทำกร่างใส่ผมใหญ่เลย เฮ้ย... ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเป็นลูกค้าผู้มาติดต่อคนอื่นโดนแบบนี้เข้าไป เขาจะรู้สึกยังไง”เขากรอกเสียงพูดรัวฟ้องพี่ชายด้วยความฉุนเฉียว ขณะนั้นคิดอยู่แค่ว่า เขามารยาทแย่แล้ว ยังมีคนมารยาทแย่กว่าเขาอีกเหรอวะ พี่ชายไม่รู้บ้างเลยหรือไงว่ามีพนักงานแบบนั้นอยู่ในบริษัท ถ้าไม่ติดว่าเขาโดนทัณฑ์บนห้ามก่อเรื่องอีก เขาไม่มีทางยอมถอยออกมาง่าย ๆ แบบนี้หรอก

ทว่า พี่ฤทธิ์ที่เขาโทรศัพท์หา กลับตอบมาแค่ “อืม แกกลับไปรอที่บ้านก่อนแล้วกัน แล้วฉันจะโทรหา”พร้อมสายการเชื่อมต่อที่ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว เขามองหน้าจอโทรศัพท์ ชะงักงันนิ่งอึ้งความคิดขาดหายว่างเปล่า เหมือนจะได้ยินคำว่า ‘เฮ้ย อะไรวะ’ หลุดมาแค่คำเดียวเท่านั้น


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ร่วมตอบคำถามของเราเมื่อตอนที่แล้วค่ะ แต่เนื่องจากเป็นรักใส ๆ ของที่น้องปลาซื้อมาจึงยังไม่ได้ใช้ต่อไป แต่เนื้อเรื่องเหมือนจะเข้าสู่โหมดอึมครึมอีกแล้ว อืมมมมมม แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ หลานกลอนจัดการได้//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 22 [24/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-12-2017 08:11:44
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 22 [24/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-12-2017 08:45:24
ถ้าทำขนาดนี้ก็แต่งเองไปเลยไหมคุณแม่ เฮ้อ
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 23 [28/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-12-2017 05:47:52
23



“คุณฤทธิ์ อ๊ะ... ขอโทษครับ”ปภินวิชชะงักหยุดยืนรอหลังเปิดประตูเข้าไปและพบว่าชายหนุ่มผู้นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกำลังถือโทรศัพท์แนบหู

“อืม แกกลับไปรอที่บ้านก่อนแล้วกัน แล้วฉันจะโทรหา”เมื่อชายหนุ่มตัดสายจึงหันมาหาเขา เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ”

เด็กหนุ่มเดินตรงเข้าไปนั่งยังที่ประจำของตนบนตักของอีกฝ่าย ส่วนปากก็ขยับพูดฟ้อง “ถ้าผู้ชายที่ชื่อชัญชกร  มาศแคล้ว มาสมัครงานที่นี่ห้ามรับเข้าทำงานนะครับ”

หัวใจของพฤทธิกรเต้นสะดุด ปะติดปะต่อเรื่องราวไว้ทันควันกระนั้นเขายังมีสีหน้าปกติ ก่อนแสร้งปั้นหน้าเหมือนสงสัยที่มาที่ไปเรื่อง “ทำไมล่ะ”

“ก็ผู้ชายคนนี้นิสัยไม่ดี”ปภินวิชตอบเสียงเบาเนื่องจากลังเลว่าควรบอกออกไปตามตรงดีหรือไม่ “ผมเจอเขาข้างล่างตอนกำลังจะขึ้นลิฟต์ เลยบอกไปว่านี่ลิฟต์ผู้บริหาร ให้ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อน แต่เขากลับพูดเป็นทำนองดูถูกว่า ผมก็ไม่ใช่ผู้บริหารเหมือนกัน ผ่านไปตั้งหลายปีแล้วยังนิสัยเสียเหมือนเดิมไม่มีผิด”

“ตกลงเคยมีเรื่องกันมาก่อนหน้าหรือไง”

“ครับ ผู้ชายคนนี้แหละที่เมาขับรถฝ่าไฟแดงไปชนรถคันอื่นจนทำให้พ่อกับแม่เสียชีวิต ตอนแรกเขายอมรับผิดทุกอย่าง ยอมชดใช้ให้เต็มที่ ผมก็ไม่ค่อยอะไรนะ แต่มีคืนหนึ่งที่เขามาฟังพระสวดงานศพพ่อกับแม่ ผมเห็นเขาชักสีหน้ารำคาญแบบไม่ค่อยอยากจะมาเสียเท่าไหร่ แล้วเหมือนไม่ได้สำนึกผิดจริง ๆ ด้วย แถมยอดเงินชดเชยที่บอกว่าจะจ่ายกับที่จ่ายให้จริง ๆ ก็ไม่เท่ากันอีก อ๊ะ...”เด็กหนุ่มชะงักคำพูดเพราะเหมือนฉุกคิดขึ้นได้

พฤทธิกรขมวดคิ้ว “ยอดเงินที่ต้องจ่ายกับจ่ายจริงไม่เท่ากัน”

“เรื่องนี้คงไม่ใช่หรอกครับ”

ชายหนุ่มจึงได้โอกาสถามต่อ “เมื่อกี้เธอบอกว่า เขายอมจ่ายให้เต็มที่แล้วเงินหายไปไหนหมด”

ปภินวิชถอนหายใจ และเล่าเรื่องหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตให้ชายหนุ่มฟัง “ผมคิดว่าที่ได้เงินไม่ครบเพราะฝั่งนั้นตั้งใจจะเบี้ยว ป้ากับลุงก็บอกว่า เดี๋ยวจัดการให้เพราะไม่อยากให้ผมเสียการเรียน สองสามวันหลังจากนั้นป้าก็กลับมาบอกว่า เขาไม่มีเงินแล้ว ถ้าอยากได้เงินเพิ่มก็ไปฟ้องเอา ตอนนั้นโคตรโมโห รวมกับท่าทางของนายชัญชกรเมื่อตอนวันสวดด้วยแล้ว ผมยิ่งโคตรเกลียดมัน”

ทั้งเล่าต่อไปอีกว่า โดนลุงกับป้าหลอกให้ขายบ้านเพื่อจะได้เอาเงินไปจ่ายค่ารักษาให้ปวันรัตน์ ตอนที่หมอบอกว่าตรวจพบเนื้องอกในสมอง กระทั่งบังเอิญไปได้ยินว่าญาติแท้ ๆ อย่างลุงกับป้าจะส่งพวกเขาสองพี่น้องไปขัดดอกกับเจ้าหนี้ พวกเขาถึงหนีออกมา

“ผมมาคิดได้ทีหลัง ถ้าพวกเขาติดพนันจริง เงินผมคงโดนโกงไปแน่ ๆ เพราะผมไว้ใจไง ไม่เคยขอใบเสร็จเอกสารอะไรเลย ได้เงินมาเท่าไหร่ก็เท่านั้น เขาบอกว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ก็เท่านั้น”

“อยากได้เงินคืนไหม เดี๋ยวฉันจัดการให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ”เด็กหนุ่มพูดตอบหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “คุณฤทธิ์ต้องไปลำบากตามตัวลุงกับป้าชั่ว ๆ นั่นอีก แล้วพวกเขาก็เอาเงินของพวกผมไปลงบ่อนหมดแล้ว อย่าไปตามรีดเงินกลับมาให้เหนื่อยเลย คนแบบนี้แม่งไม่ได้ตายดีหรอก”

“ก็น่าจะมีโฉนดที่บ้านเหลืออยู่”

ปภินวิชสั่นศีรษะ “บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่าครับ แต่ถ้าเป็นบ้านของพวกเขาเองผมว่าก็ไม่มีทางเหลือมาถึงป่านนี้ได้หรอก”

ชายหนุ่มจึงต้องจำใจพยักหน้ารับ

“แต่เรื่องนายชัญชกร  มาศแคล้วนี่ผมเอาจริงนะ คุณฤทธิ์ห้ามรับเข้าทำงานเด็ดขาดนะครับ ผมสั่งให้ยามดูไว้แล้วด้วย ไม่ให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาในบริษัทเด็ดขาด”

“เขาอาจจะกลับใจสำนึกได้แล้วก็ได้ จะไม่ให้โอกาสเขาหน่อยเหรอ”พฤทธิกรลองหยั่งเชิงดูท่าที

“จากที่คุยกันเมื่อกี้ผมว่าคงยังไม่สำนึกหรอกครับ พวกที่ชอบกดสายตาดูถูกคนอื่นแบบนั้น พ่อแม่คงเลี้ยงมาแบบตามใจน่าดู และพวกเมายันเช้ายังสะเหล่อมาขับรถอีก ผมว่าสำนึกของเขาคงหายากมากแน่ ๆ”

ชายหนุ่มจึงได้แต่ฝืนยิ้ม ถามต่อไปอีกว่า “แล้วถ้าเขาเป็นพวกลูกค้าหรือซัปพลายเออร์ล่ะ”

“ถ้าเป็นพนักงานก็บอกให้เขาเปลี่ยนตัวคนมาติดต่อ”ปภินวิชตอบเสียงขุ่น ก่อนจะหรี่ตาจับสังเกต “คุณฤทธิ์รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือครับ”

“ก็ทำนองนั้น”

“เลิกคบไปเลยคนพรรค์นี้ เขาไม่มีวันทำให้คุณฤทธิ์เจริญขึ้นหรอก”

“เขาอาจจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเธอยึดแต่อคติ มันก็เหมือนที่แม่ของฉันมีอคติต่อตัวเธอนั่นแหละ”

ปภินวิชมีท่าทางไม่ยอมรับ “มันไม่เหมือนกันตรงที่ผมรู้สึกอคติเพราะเขาทำให้คนหลายสิบคนต้องเสียชีวิตครับ ทำให้หลายครอบครัวต้องเสียพ่อ แม่ หรือลูก แต่แม่ของคุณรังเกียจผมเพราะเขาคิดว่าผมจะทำให้ชีวิตคุณตกต่ำ”



ตกเย็นวันนั้นเมื่อหมดเวลาทำงาน กวีวัธน์ตรงดิ่งไปทานข้าวที่บ้านคุณยายทันทีด้วยเพราะอยากได้นาฬิกาเรือนใหม่ใจจะขาดแล้ว ขับรถออกจากบริษัทที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไปยังหมู่บ้านชานเมืองใช้เวลาเดินทางไปสองชั่วโมง กระนั้นชายหนุ่มกลับไม่ได้คิดย่อท้อ และเมื่อไปถึงก็ได้เวลาทานอาหารเย็นพอดี

“มาแล้วรึ พ่อตัวดี”หญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านทักเขาเสียงขุ่น กวีวัธน์จึงรี่เข้าไปกอดประจบ “คุณยายอย่าเพิ่งโมโหนะ เนี่ยพอเลิกงานปุ๊บผมก็ตรงมาที่นี่ปั๊บ หิวข้าวจะตายแล้วครับ เราไปกินข้าวกันก่อนนะหรือแบบกินไปคุยไปก็ได้”

เมื่อโดนหลานชายพูดเสียงหวานออดอ้อน ทิพปภาก็ยอมใจอ่อนอย่างรวดเร็วแม้ยังหน้าเชิดคอแข็งอยู่ก็ตาม เธอเดินนำหลานชายเข้าไปด้านในพลางร้องบอกแม่บ้านให้ตั้งโต๊ะและให้คนไปตามคุณท่านของบ้านมาทานข้าว

ดรัสพงศ์เดินเข้าห้องอาหารมาเห็นหลานชายจึงยกยิ้มพร้อมส่งเสียงถามไปว่า “วันนี้เอาเรื่องอะไรมารายงานยายเขาล่ะ เห็นตอนกลางวันออกไปกินข้าวกับแฟนเจ้าฤทธิ์ กลับเข้ามาหน้าชื่นตาบานเชียวล่ะ”เมื่อเขาทรุดตัวลงนั่งที่หัวโต๊ะ แม่บ้านที่ยืนรออยู่จึงตักข้าวใส่จาน

กวีวัธน์นั่งฝั่งเดียวกับคุณยายเพราะจะได้เอาใจได้เต็มที่

“น้องปลาเขาน่ารักไหมครับ”

“น่ารักอะไร ปากคอเราะร้ายก้าวร้าวขี้โกหกเป็นที่สุด”ทิพปภาตอบคำถามอย่างใส่อารมณ์

“อ้าว เขาก้าวร้าวขี้โกหกยังไงหรือครับ”คนถามละช้อนที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก เงยหน้าถามด้วยความอยากรู้

“ก็บอกว่าตาฤทธิ์เป็นเกย์ แล้วมาพูดเถียงฉอด ๆ”

“น้าฤทธิ์เขาเป็นจริง ๆ นี่ครับ”

ไฮ้!!! เรานี่!!! น้าเราเป็นซะที่ไหน ยายเลี้ยงมากับมือ”ทิพปภายืนยันเสียงแข็ง

“แต่น้าฤทธิ์เขาชอบน้องปลาที่เป็นผู้ชายนี่ครับ แบบนี้แหละเขาเรียกว่าเป็นเกย์ แถมยังตั้งใจจีบน้องเขาจริงจังด้วย”กวีวัธน์พูดจบก็ตักข้าวเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ ปล่อยให้ผู้เป็นยายทำท่าฮึดฮัดขัดใจทั้งไม่คิดลงมือทานอาหารเสียที

“เรื่องนี้ก็เพราะเรานะแหละ”

ชายหนุ่มรีบกลืนอาหารในปาก หน้าตาเหลอหลาหันไปถามคุณยาย “ทำไมมาว่าผมล่ะครับ”

“คุณจันทร์เขาเล่าว่าฝากหนูแขให้ไปทำงานกับตาฤทธิ์แล้ว แต่โดนหลานชายกันท่าโยนงานอะไรไม่รู้มาให้ทำ ตอนนั้นน่ะมันก่อนที่น้าเราจะมาบอกยายเรื่องเด็กคนนั้นอีกไม่ใช่เหรอ”

ชายหนุ่มกลัวว่าคุณยายจะมุ่งความสนใจแต่เรื่องที่คุยกันจนไม่ยอมทานข้าวจริง ๆ เขาจึงตักกับข้าวใส่จานให้ ก่อนพูดตอบ “อ้อ ก็คุณแขอะไรนั่นเขาโง่เองนี่ครับ”

“ไปว่าพี่เขา”คำว่ามาพร้อมฝ่ามือซึ่งฟาดผลัวะเข้าที่ไหล่ กวีวัธน์จึงตักกับข้าวใส่จานคุณยายเพิ่มไปอีกพลางคะยั้นคะยอให้หญิงสูงวัยจับช้อนมาไว้ในมือ

“ผมให้เขาลงตำแหน่งประสานงานโครงการครับ ดูโปรเจกต์ร่วมทุนกับเกาหลีที่จะเปิดค่ายหนัง แล้วโปรเจกต์นี้น้าฤทธิ์ลงไปดูเองตลอด แต่เขาปฏิเสธ คุณยายก็รู้ว่าน้าฤทธิ์เขาไม่ชอบผู้หญิงจงใจตามตื๊อ ต่อให้มาเป็นผู้ช่วยหรือเลขาถ้าน้าฤทธิ์ไม่อยากเห็นหน้าก็ไม่ได้เจออยู่ดีแหละ ผมช่วยเขาสุด ๆ แล้วนะ”กวีวัธน์พยายามแก้ต่างให้ตัวเอง

“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ ปล่อยให้มาเจอกับตาฤทธิ์ได้ยังไง”

กวีวัธน์ตักกับข้าวใส่จานทิพปภาเพิ่มให้อีกจนหญิงสูงวัยต้องร้องปรามบอกให้พอแล้ว

“คุณยายบอกให้ผมช่วยหาแฟนให้น้าฤทธิ์ไม่ใช่เหรอ น้าฤทธิ์จะได้เพลา ๆ เรื่องทำงานลงมาบ้าง”

“แต่ไม่ใช่ให้หาแฟนเป็นเด็กผู้ชายนี่ยะ”

“โน่นเลยครับ วนกลับไปที่คุณสมบัติข้างบนเลยครับ”พูดจบเขาก็ส่งเสียงเรียกแม่บ้านให้เติมข้าว “กับน้องปลานี่ก็ยากนะครับ ไม่ใช่น้าฤทธิ์จะยอมรับง่าย ๆ ผมต้องหลอกล่อสารพัด แถมเสี่ยงโดนน้าฤทธิ์ปลดไปเป็นพนักงานส่งเอกสารตั้งหลายครั้ง”

“เรานี่น่ะ จะหาใครมาให้น้าชายทำไมไม่มาถามความเห็นยายก่อน”

“โธ่ คุณยายครับ คุณสมบัติที่คุณยายอยากได้มันห่างจากสเปกผู้หญิงที่น้าฤทธิ์เขาชอบนะครับ ผู้หญิงที่ชาติตระกูลดี มีทรัพย์สมบัติไม่ตัวเปล่าเล่าเปลือย มารยาทงาม พวกนี้หัวสูงทั้งนั้นแหละ อีกอย่างนะเขาอยู่ต่อหน้าคุณยายก็ทำเป็นเรียบร้อยน่ารัก แต่พออยู่ต่อหน้าผู้ชายก็ทำตัวอีกอย่าง”

“พูดจาอย่างนั้นผู้หญิงเขาเสียนะกลอน”ดรัสพงศ์ที่นั่งเงียบฟังอยู่นานเอ่ยปราม “แล้วใช่ว่าทุกคนที่วงศ์ตระกูลดีจะเป็นอย่างนั้น”

“ผมขอโทษครับคุณตา ผมทราบครับ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบที่ผมกล่าว แต่ผู้หญิงที่ตรงตามคุณสมบัติของคุณยายและตรงสเปกน้าฤทธิ์ ผมว่าป่านนี้แต่งงานมีลูกไปหมดแล้วล่ะครับ”

“แล้วเด็กคนนั้นตรงสเปกตาฤทธิ์หรือไง”ทิพปภาพูดถาม

“ถ้าเมื่อก่อนก็ใช่ครับ ใส ๆ ไม่เยอะ เฮฮาปาร์ตี้ อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย”

“แล้วตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วเรอะ”ดรัสพงศ์เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

“ก็... ที่ช่วงนั้นน้าฤทธิ์เขาไม่ไปข้องแวะอีก เพราะพ่อแม่ของน้องปลาเขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุนั่นนะครับ หลังจากนั้นน้องเขาก็เจอมรสุมชีวิตหลายอย่าง นิสัยอื่น ๆ เปลี่ยนไปยังไงบ้าง ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจแต่ที่ผมรู้ ตอนนี้เขาขี้ระแวงสุด ๆ เลยครับ”

“อุ๊ย! ไม่ใช่ว่าเด็กนั่นมาตีสนิทเพราะวางแผนจะแก้แค้นอะไรหรอกเรอะ”

“คุณก็คิดอะไรเป็นละครไปได้”ชายสูงวัยผู้เป็นสามีเอ่ยแซวพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ไม่หรอกครับ ป่านนี้น้องปลาเขายังไม่รู้เลยว่า ผมกับน้าฤทธิ์เป็นญาติของผู้ก่อเหตุ”

“นั่นก็ไม่แน่ เขาอาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ได้ ไม่รู้ล่ะ ยังไงยายก็ไม่ยอมรับเด็กคนนี้เด็ดขาด”

กวีวัธน์จึงรีบกวาดกับข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยว ๆ กลืนและดื่มน้ำตาม จากนั้นจึงหันไปถามคุณยายว่า “ที่คุณยายไม่ชอบน้องปลา เพราะน้องเขาเป็นผู้ชายหรือครับ”

“ก็รวมทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องนั้นเรื่องเดียว”

“อย่างนั้น ถ้าผู้ชายที่จะมาเป็นแฟนน้าฤทธิ์เขาตรงตามคุณสมบัติของคุณยายทุกอย่าง ไม่ว่าชาติตระกูลการศึกษา คุณยายจะยอมรับไหมครับ”

“โอ๊ย! แบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ผู้หญิงมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่รู้จักเลือกคบมาสักคน”

กวีวัธน์นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ รอจนกระทั่งคุณตาคุณยายทานอาหารเสร็จและแม่บ้านเก็บจาน เปลี่ยนมาเสิร์ฟของหวานแล้ว เขาจึงพูดขึ้นอีกว่า

“เมื่อก่อนตอนที่ผมเอาเรื่องที่น้าฤทธิ์เป็นเกย์มาบอก คุณยายยังไม่ต่อต้านมากขนาดนี้เลย ที่คุณยายไม่ยอมรับเรื่องที่น้าฤทธิ์เขาชอบเพศเดียวกันเพราะว่ามีผู้หญิงที่แสดงออกว่าอยากจะแต่งงานกับน้าฤทธิ์แล้วใช่ไหมครับ”

ทิพปภาปรายตามองคนถาม “ย่ะ แล้วยายก็เชื่อว่าตาฤทธิ์ไม่ใช่เกย์ ตอนคบกับแฟนสมัยมหาวิทยาลัยก็เห็นรักกันจะเป็นจะตาย ตอนที่เลิกกันยังบ้าบอไปตั้งพักใหญ่”

“อ้าว แล้วตอนนั้นคุณยายไปกีดกันน้าฤทธิ์กับแฟนทำไมล่ะ”

“ใครว่ายายกีดกัน แค่อยากให้รออีกสักสามสี่ปีแล้วค่อยแต่งต่างหาก ยัยเด็กนั่นก็ชิงบอกเลิกน้าเราไปก่อน”

“งั้นครั้งนี้ก็ทำแบบนั้นแล้วกันนะครับ”

“ทำแบบนั้นอะไร”ทิพปภาหันไปถามหลานชายอย่างกังขา

“ก็ปล่อยให้เขาคบกันไป เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็เลิกไปเองนั่นแหละ”

“อย่ามาหลอกยายง่าย ๆ เลย ยายไม่หลงกลหรอก ปล่อยให้เขาคบกันแล้วเมื่อไหร่ตาฤทธิ์จะมีลูก น้าเราจะสี่สิบอยู่แล้วนะ เราคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”

“อ้อ คุณยายอยากเลี้ยงหลานนี่เอง งั้นถ้าน้าฤทธิ์มีหลานมาให้คุณยายเลี้ยงได้ ทุกอย่างก็โอเคใช่ไหมครับ”

“ย่ะ แต่ต้องเป็นหลานที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตาฤทธิ์เท่านั้นนะ ไม่ใช่เด็กที่ขอมาเลี้ยง”ทิพปภาเอ่ยบอก เธอคิดว่าตั้งเงื่อนไขแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรลูกชายก็คงไม่สามารถหาเด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองมาได้นอกจากต้องแต่งงานกับผู้หญิง

“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตนะครับ”กวีวัธน์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา กดเข้าแอปพลิเคชันบันทึกเสียงและนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ

“อะไร นี่ไม่เชื่อใจยายรึ”ทิพปภาถามหน้าตื่น ส่วนดรัสพงศ์กลับส่งเสียงหัวเราะพร้อมพูดสนับสนุน “ไม่แปลกนี่คุณ ทำธุรกิจมันต้องรู้จักระมัดระวัง”

“ใช่ครับคุณตา ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจคุณยายนะ แต่กลัวคุณยายเบี้ยวถ้าเกิดน้าฤทธิ์เขาหาลูกมาได้ แล้วผมต้องเอาไปรายงานน้าฤทธิ์ด้วยครับ”

“อ้อ... รับเงินฝั่งโน้นมาเจรจาฝั่งนี้”ดรัสพงศ์พยักหน้าทำท่ารับรู้ แล้วหันไปยุภรรยาว่า “คุณก็จ่ายเงินเกทับไปสิ ให้เจ้ากลอนไปกล่อมเจ้าฤทธิ์ให้ยอมแต่งกับผู้หญิงที่คุณเลือก”

“ผมยอมรับงานนะครับ”หลายชายตอบรับอย่างกระตือรือร้นพร้อมจะกลายร่างเป็นนกสองหัวเปลี่ยนข้างทันที “แต่คุณยายต้องจ่ายเยอะนิดนึง เพราะน้าฤทธิ์บอกว่าถ้าผลงานของผมเข้าตา ผลตอบแทนไม่อั้น”

“ฉันไม่จ่ายหรอกย่ะ”ทิพปภาพูดยืนยัน แล้วเร่งบอกหลานชายว่าจะบันทึกอะไรก็รีบ ๆ ทำซะ กวีวัธน์จึงทวนข้อตกลงและให้คุณยายกล่าวยืนยันอีกครั้ง เมื่อบันทึกเสียงทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว กวีวัธน์จึงพูดกับคุณยายว่า

“คุณยายรู้ไหมครับว่าสมัยนี้ทำเด็กหลอดแก้วได้”

“แล้วยังไงคะ ทำเด็กหลอดแก้วก็ต้องมีแม่อุ้มบุญ แล้วจะไปหาแม่อุ้มบุญมาจากไหน แล้วแม่อุ้มบุญจะไปจ้างผู้หญิงทั่วไปมาเป็นก็ไม่ได้ ผิดกฎหมายอีก อย่าคิดว่ายายไม่รู้เรื่อง ข่าวพวกนี้ออกจะดัง”ทิพปภาพูดพลางตีสีหน้าว่ารู้ทัน

“คร้าบ”กวีวัธน์ขานรับแต่คิดในใจว่าจะไปทาบทามพี่สาวของตนให้มาเป็นแม่อุ้มบุญให้น้าฤทธิ์ คราวนี้น้าชายต้องประทับใจผลงานของเขามากแน่ ๆ

“งั้นวันนี้ผมขอตัวลากลับแล้วครับ”ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือไหว้ สองตายายรับไหว้ก็จริงแต่คุณผู้ชายของบ้านยังเดินตามไปส่งถึงหน้าประตูเพื่อพูดคุยถามข่าวคราวเกี่ยวกับงานที่บริษัท ซึ่งกวีวัธน์ได้รายงานทุกอย่างไปตามตรง



“ฉันถามมาแล้ว แกไปทำท่าดูถูกเขาไม่ใช่เหรอ”พฤทธิกรพูดบอกปลายสาย มองท้องฟ้าด้านบนเป็นสีดำมืดมิดไร้แสงดาวแต่บนพื้นด้านล่างเต็มไปด้วยแสงไฟสว่าง ระเบียงของห้องพักบนคอนโดมิเนียมที่เขาอาศัยอยู่มีสายลมพัดแรงกระนั้นเขายังได้ยินเสียงจากปลายสายชัดเจน

“ดูถูกอะไร ผมแค่พูดว่าอย่างน้องก็คงไม่ใช่ผู้บริหารหรอกมั้ง ซึ่งผมคิดว่าเขาก็ไม่ใช่จริง ๆ”

“แต่ลิฟต์นั่นไม่ให้คนนอกใช้ แม้แต่พนักงานก็ไม่มีสิทธิ์ใช้”

“แต่พนักงานทำความสะอาดมีสิทธิ์ใช้ มันเป็นใครเนี่ยพี่ฤทธิ์ พี่ถึงให้อภิสิทธิ์มันนัก”

เขาหมุนตัวพิงสะโพกเข้ากับราวระเบียงขณะสายตามองตามการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มคนรัก ได้ยินเสียงลูกพี่ลูกน้องสบถกลับมาเมื่อเขาตอบคำถามนั้น

“แฟนฉันเอง”

ปภินวิชพยายามไม่หันไปมองทางชายหนุ่มซึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงด้านนอก ด้วยเพราะระหว่างพวกเขาทั้งคู่กำลังอยู่ในช่วงมึนตึงจากทัศนคติที่ไม่ตรงกัน 

เด็กหนุ่มบอกปวันรัตน์ว่าจะไปอาบน้ำก่อนเดินผลุบหายเข้าไปในห้องของเด็กสาว ถึงจะไปนอนกับพฤทธิกรทุกคืน แต่เสื้อผ้าข้าวของส่วนใหญ่ของเขาก็ยังอยู่ในห้องของเธอ

ทว่าหลังอาบน้ำเสร็จแล้วเขายังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของน้องสาวจนกระทั่งเธอกลับเข้ามา

“พี่ปลา น้าฤทธิ์เขาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วนะ”

“อืม”เขาขานเสียงตอบรับอย่างไม่ค่อยอยากรับรู้มากนัก จนเด็กสาวแปลกใจแต่ก่อนที่จะเธอจะเอ่ยถาม เขากลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“เราสองคน... ย้ายกลับไปอยู่หอเดิมกันดีไหม”

“พี่ปลาทะเลาะกับน้าฤทธิ์เหรอ”

เด็กหนุ่มไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงรู้ เพราะจู่ ๆ เขาพูดออกไปแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงต้องเดาได้ “ก็ไม่เชิงทะเลาะ แต่พี่กับคุณฤทธิ์โคตรต่างกันเลย เขาเป็นประธานบริษัท พี่เป็นแค่เด็กที่เรียนไม่จบต้องทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด เงินก็ไม่มี หาเงินด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ความรู้อะไรก็ไม่มีสักอย่าง แถมเป็นผู้ชายอีก”

“คิดอะไรมากขนาดนั้นเนี่ย”ปวันรัตน์พาตัวเองมานั่งบนเตียงข้าง ๆ พี่ชาย เมื่อรู้สึกว่าวาระนี้คงต้องคุยกันอีกยาว

“เรื่องเรียนอะ เดี๋ยวปีหน้าพี่ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เหรอ พอเรียนจบก็หางานทำ ทีนี้ก็มีเงินแล้วและมีความรู้ด้วย แล้วถ้าอยากเป็นผู้หญิงก็ไปผ่าตัดแปลงเพศ”

ปภินวิชเหล่มองน้องสาวด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ก่อนจะส่งเสียงเฮอะออกมา “เธอไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่เข้าใจอะไร พี่น่ะคิดเยอะเกินไป ขนาดปุ้ยเป็นผู้หญิงยังไม่คิดอะไรให้มันยุ่งยากเลย”

“ปุ้ยไม่ได้มาเจออย่างพี่ ปุ้ยไม่เข้าใจหรอก”

“ถ้าพี่ปลาพูดคำนี้ก็จบเลย”เด็กสาวพูด นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “เอางี้ สมมติปุ้ยมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียนพี่ปลาจะทำยังไง”

“ปัญหาอะไรล่ะ”

เด็กสาวนิ่งคิดไปอีกครู่ “เพื่อนในกลุ่มค่ะ เหมือนไม่อยากให้ปุ้ยอยู่ในกลุ่มด้วย แบบ... เห็นหน้าแล้วเกลียดขี้หน้าอะไรทำนองนี้ ชอบจิกชอบกัดค่อนแคะปุ้ยตลอด แล้วก็เอาปุ้ยไปด่าในเฟซ”

“เพื่อนคนไหน เปิดหน้าฟีดให้พี่ดูหน่อยดิ”

“สมมติค่ะ สมมติ”ปวันรัตน์พูดย้ำ “เนี่ยสมมติว่าปุ้ยเจอปัญหาแบบนี้ พี่ปลาจะแนะนำยังไง”

“ถ้าเพื่อนเอาปุ้ยไปด่าในเฟซ พี่จะเข้าไปดูก่อนว่าร้ายแรงแค่ไหน พูดชื่อปุ้ยออกมาหรือเปล่า มีชื่อปุ้ยออกมาพี่จะแค็ปหน้าจอเอาไปแจ้งอาจารย์ที่โรงเรียน แต่ถ้าไม่... ก็ปล่อยเขาไป ส่วนเรื่องที่เพื่อนในกลุ่มเกลียดขี้หน้า ก็ไปคบกลุ่มอื่นสิ”

“พี่ปลาไม่เข้าใจหรอก พี่ไม่ได้มาเจออย่างปุ้ย พี่ไม่มีวันเข้าใจ”คนพูดใช้โทนเสียงฉุนเฉียวขุ่นเคืองผสมกลับมาด้วย

ปภินวิชถึงกับชะงักค้างนิ่งอึ้ง ปวันรัตน์จึงส่งเสียงหัวเราะ “อืมก็ประมาณนี้แหละ ปุ้ยไม่ได้ว่าพี่ปลานะ แต่พอเป็นปัญหาของคนอื่นทำไมคนเราถึงให้คำแนะนำได้ง่ายเชียว แต่ปัญหาของตัวเองถึงคิดไม่ออกล่ะคะ แถมยังว่าคนที่ให้คำแนะนำด้วย”

ถึงน้องสาวจะพูดอ้างมาก่อนหน้าว่า ไม่ได้เจาะจงว่าเขา แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนว่ากระทบกลาย ๆ อยู่ดี กระนั้นเมื่อเห็นพี่ชายยังดูหม่นหมอง ปวันรัตน์จึงเข้าไปกอดปลอบ

“โอ๋ ๆ ไม่โกรธนะ ปุ้ยแค่ล้อเล่น พี่ปลาก็รู้ว่าปุ้ยยังไม่เคยมีแฟน ให้คำปรึกษาไม่ได้หรอกค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรคาใจก็ถามน้าฤทธิ์สิคะ เหมือนที่แม่ทำอะ เจอข้อความที่ผู้หญิงส่งมาชวนพ่อไปกินข้าวในโทรศัพท์ ก็ถือสากเอาไปถามพ่อเลย”

ปภินวิชหัวเราะออกมาบ้าง เพราะเรื่องราวนั้นนับว่าเป็นเรื่องตลกอมตะของบ้าน เนื่องจากแม่ของพวกเขาต้องลงทุนไปยืมไม้ตีพริกจากเพื่อนบ้านเพื่อเอามาเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากยามที่ไปถามเค้นผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับข้อความในโทรศัพท์

อย่างไรก็ดี เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา ตามด้วยเสียงพูดของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องพักในคอนโดหรู

“นี่น้าเอง น้าเข้าไปได้หรือเปล่า”

“เปิดเข้ามาเลยค่ะ”ปวันรัตน์ร้องตะโกนบอกออกไป พฤทธิกรเปิดประตูเข้ามาแต่หยุดยืนอยู่ที่กรอบประตู

“พอดีน้ามาดูว่าพี่ชายของปุ้ยจะนอนห้องนี้หรือเปล่า”

เด็กสาวเบ้ปากทำหน้าตาแปลกประหลาดจากนั้นจึงหันไปมองหน้าพี่ชาย “แยกห้องนอนเป็นอาการเริ่มต้นของรักร้าว”

“ไหนบอกไม่เคยมีแฟนทำไมรู้ดีจัง”เด็กหนุ่มกระซิบพูดกับน้องสาวทั้งยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ปวันรัตน์จึงกระซิบตอบกลับไปว่า “พี่ปลาไม่รู้จักโซเชียลเน็ตเวิร์กเหรอ อยากรู้อะไรก็ถามอากู๋สิ”หลังจบประโยคนั้นเธอลุกขึ้นยืนพลางฉุดมือพี่ชายให้ลุกขึ้นเดินตาม แล้วขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งมาดันหลังให้พี่ชายเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม

“นี่ค่ะ ปุ้ยพาพี่ปลามาส่งคืน”

ถึงกระนั้นปภินวิชได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น พฤทธิกรมองตามท่าทางนั้นของคนรักก่อนจะหันไปยกยิ้มขอบคุณให้เด็กสาว จากนั้นจึงบอกราตรีสวัสดิ์พร้อมทั้งพาปภินวิชเดินออกมา

เข้ามาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวแล้วพฤทธิกรจึงเอ่ยว่า “ถ้าฉันทำให้เธอโกรธก็ขอโทษด้วย” ทว่าเด็กหนุ่มกลับสะบัดหน้าหนีปีนขึ้นเตียงและสอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนหันหลังให้โดยไม่แม้แต่ส่งเสียงตอบกลับมา ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจ เขาเดินไปหยิบรีโมตขึ้นมาปิดไฟ ก้าวเท้าขึ้นเตียงนอนซึ่งปภินวิชก็ขยับตัวออกห่างทันที เขามองการแสดงออกนั้นด้วยอาการวูบโหวงในอก กระนั้นก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่แม้แต่จะขยับเขาไปหาอีกฝ่าย

นี่เป็นคืนแรกที่เขาและเด็กหนุ่มนอนห่างกันคนละฟากของเตียงนับตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งคู่ตกลงปลงใจคบหากัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ก่อนอื่นขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ค่ะ ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่เป็นคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับนิยาย ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่ทำให้เรารู้ว่าคุณชื่นชอบนิยายเรื่องนี้
นิยายเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วค่ะ แต่ยังไม่ขอกำหนดจำนวนตอนที่แน่นอนนะ ขอฝากให้ทุกท่านติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ บทที่ 24 จะได้พบกันวันที่ 4 มกราคม 2561 ค่ะ
สุดท้าย ขอให้ทุกท่านเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลโดยสวัสดิภาพค่ะ ขับขี่อย่างระมัดระวัง สวมหมวกกันน็อก/คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ถ้าเมาก็กลับรถทัวร์นะคะ ขอให้โชคดีค่ะ//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 23 [28/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-12-2017 11:25:31
เอาใจช่วยน้องปลา :hao5: งานหนักทั้งนั้นเลย

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 23 [28/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-12-2017 11:43:21
ปลาโดนพร้อมกันหลายเด้ง อาการน่อยเลยออก
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 23 [28/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-12-2017 11:53:48
ทรมานใจ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 23 [28/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-12-2017 14:53:53
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 23 [28/12/2017] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-12-2017 15:23:42
คนที่เจ้าเล่ห์ที่สุดก็คือกวีวัธน์ สินะ  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วันสิ้นปีเมื่อนานมาแล้ว [31/12/2017] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 31-12-2017 05:13:59
บทพิเศษ วันสิ้นปีเมื่อนานมาแล้ว



วันนั้นเป็นวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม ในปีที่พฤทธิกรมีอายุยี่สิบสองปีและกำลังจะอายุยี่สิบสามในปีหน้า เขามาเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้ากับแฟนสาวเพื่อเลือกซื้อของขวัญสำหรับงานปีใหม่ซึ่งมีการจัดขึ้นที่บ้านในค่ำคืนที่กำลังมาถึง

ครอบครัวของเขามีสมาชิกแค่สามคน แต่คุณทิพปภาผู้เป็นมารดาอยากจัดงานเลี้ยงปีใหม่เพื่อเอาใจหลาน ๆ เขาในฐานะที่เป็นบุตรชายซึ่งอายุมากที่สุดในหมู่เด็ก ๆ จึงต้องรับหน้าที่มาหาของขวัญเพื่อนำไปประเคนให้น้องชายและหลานอีกสามคน กับชา น้องชายที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน เขายังพอคิดออกว่าจะซื้ออะไรให้ แต่กับหลานคนอื่น ๆ ไอเดียในหัวมีแต่ความว่างเปล่า

“ของน้องกาพย์ก็ซื้อตุ๊กตาให้นั่นแหละ”แฟนสาวของเขาเอ่ยแนะนำ “ส่วนน้องกลอนก็ซื้อพวกของซูเปอร์ฮีโร่ ฤทธิ์พอจะรู้ไหมล่ะ ว่าน้องเขาชอบฮีโร่ตัวไหน”

“ไม่รู้สิ คงเป็นพวกซูเปอร์แมน หรือไม่ก็แบตแมนมั้ง”เขาตอบอย่างไม่แน่ใจ ตัวเขาเองก็เลิกดูการ์ตูนมาตั้งหลายปีแล้วจึงนึกไม่ออกว่าตอนนี้หลานชายกำลังติดตามฮีโร่ตัวไหน

“เฮ้อ...”เธอถอนหายใจแล้วเหล่มองเขา “ถ้างั้นก็เดินดูไปเรื่อย ๆ ก่อนแล้วกัน เอาเป็นว่าถ้าฤทธิ์ชอบชิ้นไหนก็ซื้อชิ้นนั้นเลยดีไหม”

“โธ่! ถ้าเรารู้ว่าควรจะซื้ออะไร เราคงจะไม่ชวนลิลินมาด้วยหรอก”

“ฮึ แค่อยากใช้งานเราเท่านั้นเหรอ ลินไม่น่าหลวมตัวตอบตกลงมาด้วยเลยสิเนี่ย”เห็นแฟนสาวทำหน้าตูม พฤทธิกรจึงรีบคว้ามือของเธอขึ้นกุมไว้ กะพริบตาปริบ ๆ พร้อมส่งเสียงออดอ้อนเอาใจ

“ไม่ใช่นะ ที่ฤทธิ์ชวนลิลินเพราะคิดถึงหรอก ตั้งแต่เริ่มทำงานพวกเราเจอกันน้อยมาก”

“ถ้าแม่ของฤทธิ์รู้ว่าลินช่วยเลือกของอาจจะโกรธขึ้นมาก็ได้นะ”

“ลินนะคิดมากไป คุณแม่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย”เขาพยายามพูดประนีประนอม ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมแฟนสาวกับมารดาของเขาถึงไม่ถูกชะตากันไปเสียได้

“คืนนี้ ลินก็ไปที่บ้านด้วยกันนะ”

“เดี๋ยวงานกร่อยเพราะระเบิดลงหรอก”

“ไม่มีทาง คนอื่นอยู่เยอะ”เขาบอกตามที่คิด และไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่เขาพาแฟนสาวไปที่บ้านจะต้องมีเหตุปะทะฝีปากกับมารดาจนคล้ายเกิดระเบิดลูกย่อม ๆ ทุกครั้ง

“ถ้าแต่งงานกันแล้ว ฤทธิ์จะได้ออกมาอยู่ข้างนอกไหมเนี่ย”

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นสิ”เขาจับมือของเธอไว้ ขณะที่พาเดินดูของไปรอบ ๆ  ประเด็นเรื่องแต่งงานถูกยกขึ้นมาพูดบ่อยครั้งนับตั้งแต่ที่พวกเขาเรียนจบ “เห็นคุณพ่อฤทธิ์บอกว่า เขาจะไปซื้อบ้านแถวชานเมืองอยู่หลังเกษียณแล้วยกบ้านหลังปัจจุบันให้อาธร ฤทธิ์ก็ต้องหาที่อยู่ในเมืองของตัวเองแหละ”

“ลินไม่ได้หมายถึงตอนคุณลุงเกษียณ หมายถึงตอนที่เราแต่งงานกัน”

“อีกตั้งหลายปี ลินจะรีบคิดทำไม”เขาพูดตัดบทพลางหยิบตุ๊กตาบนชั้นขึ้นมาดู แม้ปลายหางตาจะมองเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเธอ แต่เขาก็ปล่อยมันให้ผ่านไป เขาเห็นชอบด้วยถ้าคุยว่าอนาคตเราจะแต่งงานกัน แต่มันต้องไม่ใช่อีกหนึ่งหรือสองปีนี้ เนื่องจากเขาเพิ่งเริ่มทำงาน เขาอยากมีความสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตัวเองมากกว่าพึ่งพิงทรัพย์สมบัติของพ่อแม่

จังหวะนั้นเอง เขารู้สึกว่าขากางเกงของตัวเองถูกดึง เมื่อก้มหน้าลงมองจึงได้พบกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“อุ้ม”เด็กชายคนนั้นร้องบอกพร้อมชูมือขึ้น

“ลูกใครเนี่ย”แฟนสาวของเขายิ้มร่าทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กคนนั้น “น่ารักจัง”

“อุ้ม อุ้ม”

เธออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาตามที่ถูกร้องบอก “ตัวหนักเหมือนกันนะ คุณแม่อยู่ไหนครับ ไหนบอกพี่หน่อย”คำถามของเธอถูกเมินโดยสิ้นเชิงเมื่อเด็กชายพยายามเอื้อมตัวไปหยิบตุ๊กตาซึ่งมีลักษณะเป็นเต่าตัวสีฟ้าจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดังที่อยู่บนชั้น

“วางเด็กลงไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวแม่เขามาเจอจะหาว่าพวกเราลักพาตัวลูกเขาหรอก หรือไม่พาไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ดีกว่า”

“ลินก็กำลังจะพาไปน่า แค่น้องเขาน่ารักดี และเขาก็บอกให้อุ้มด้วย”

คำพูดของแฟนสาวทำให้เขาพิศมองเด็กชายอีกครั้ง เด็กคนนั้นมีเส้นผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีดำกลมโต ผิวขาว แก้มฝาดสีระเรื่อ หน้าตาน่าเอ็นดูชนิดที่รู้ได้ทันทีว่า โตขึ้นต้องหน้าตาดีมากแน่ ๆ

“ถ้าลินอยากเล่นกับเด็ก คืนนี้น้องตามก็มาที่บ้าน ลินไปหาน้องตามกับฤทธิ์สิ”เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์

“ไม่ต้องเอาหลานมาล่อหรอกนะ”เธอพูดอย่างแง่งอนพลางอุ้มพาเด็กชายเดินห่างจากบริเวณนั้น ทว่าเสียงแผดร้องกลับดังขึ้นเสียก่อน

“โอ๋ ๆ ร้องทำไมคะ”

เด็กชายพยายามตะกายตัวลงจากตัวหญิงสาวจนน่ากลัวว่าจะร่วงตกลงมา พฤทธิกรจึงต้องเข้ามาคว้าอุ้มไว้แทน จากนั้นแฟนสาวของเขาสังเกตเห็นท่าทางอยากได้ตุ๊กตาบนชั้นของเด็กชาย และเมื่อมันถูกหยิบส่งไปให้ เสียงร้องลั่นถึงเงียบสนิททันที

“เต่า”

“อืม น้องเต่า พอแล้วเนอะ ไปหาคุณแม่กันดีกว่า”เธอพยายามดึงตุ๊กตาไปวางคืนไว้ยังที่ของมัน เพียงแต่เด็กชายกลับยึดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“เอาเต่า จะเอา”

“ฤทธิ์”หญิงสาวหันไปส่งสายตาอ้อนขอกับแฟนหนุ่ม

“ครับ ๆ เดี๋ยวผมจ่ายให้ครับ”

“ขอบคุณมากนะ”เธอยิ้มกว้าง เดินตามเกาะหลังเขาไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ เด็กชายไม่ยอมปล่อยเจ้าเต่าหางยาวตัวสีฟ้า แฟนสาวของเขาจึงต้องช่วยพนักงานหาป้ายราคาเพื่อยิงบาร์โค้ด ก่อนที่เขาจะปล่อยเด็กชายลงยืนกับพื้นเพื่อล้วงกระเป๋าออกมาจ่ายเงิน หันกลับมาอีกทีเห็นหญิงสาวกำลังทรุดตัวนั่งเล่นอยู่กับเด็กชาย

“ไปกันได้แล้ว ป่านนี้แม่ของน้องตามหาให้วุ่นแล้ว”

เธอจึงยืดตัวยืนขึ้นจับข้อมือของเด็กน้อย ทว่า “อุ้ม” เด็กชายปล่อยมือจากตุ๊กตา ชูมือขึ้นสูงแล้วร้องอุ้มหน่อยอีกครั้ง พฤทธิกรจึงพูดว่า

“เดี๋ยวฤทธิ์อุ้มให้เอง”

“น่ารักมากค่ะ คุณพ่อ”

เขายิ้มเขินเมื่อได้ยินเธอเอ่ยชมหลังจากที่เขายกตัวเด็กชายขึ้นสูง

“เต่า”เมื่อมีคนอุ้มตนตามคำขอ จึงขยับมือร้องหาตุ๊กตา ท่าทางน่ารักน่าชังจนแฟนสาวของเขาร้องชมไม่หยุด

“น่ารักอ่า ถ้ามีลูกลินขอน่ารักแบบนี้เลยนะ”

“ต้องอย่างนั้นสิ ลินน่ารักจะตาย”

“น่าลัก”เด็กชายพยักหน้าราวกำลังคุยอยู่กับพวกเขาด้วย พวกเขาทั้งคู่จึงคุยกันว่าเด็กเข้ากับคนอื่นง่ายเหลือเกิน น่ากลัวว่าถ้าไม่มาเจอพวกเขาเสียก่อนจะไปเจอกับพวกมิจฉาชีพเสียแทน แต่เด็กชายพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลู้ ๆ”

“รู้อะไรฮึ”พฤทธิกรเอ่ยถาม

“ไม่ดี เต่า”

คำตอบที่ได้รับทำให้เขาหันมองหน้าแฟนสาว “ลินก็ไม่รู้เรื่องล่ะ” จากนั้นเธอจึงหันไปถามเด็กชายอีกว่า “ชื่ออะไรครับ”

“ปา”

“น้องปาอายุเท่าไหร่แล้วเอ่ย”

“สอง”เด็กชายชูนิ้วสี่นิ้วขึ้นเป็นท่าทางประกอบ หญิงสาวหัวเราะกับท่าทางนั้น ยื่นมือออกไปพับนิ้วของเด็กชายลงสองนิ้วและพูดบอกว่าสองคือเท่านี้

เมื่อพวกเขาไปถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของห้าง พนักงานที่ประจำอยู่จุดนั้นได้แจ้งบอกว่าทางพ่อและแม่ของเด็กได้มาประกาศตามหาไปแล้วหนึ่งรอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะออกไปเดินวนหาภายในห้างอีกครั้ง

“รอสักครู่นะคะ กำลังติดต่อคุณแม่ของน้อง”

พนักงานอีกคนหาเก้าอี้มาให้เด็กชายนั่ง ทว่าเจ้าหนูน้อยกลับเกาะคอคนอุ้มไม่ยอมปล่อย พฤทธิกรจำต้องอุ้มเด็กชายไว้ต่อไป อีกครู่ใหญ่ต่อมาพวกเขาถึงได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“แม่”เด็กชายร้องเรียกทันทีที่เธอมาถึง เขาจึงส่งร่างเล็ก ๆ ในอ้อมแขนกลับคืนไปให้หญิงสาวผู้เป็นมารดา ในมือของเด็กชายยังคงจับยึดตุ๊กตาไว้แน่น

“ขอบคุณมากค่ะ ไปเจอน้องแถวไหนหรือคะ”

แฟนสาวของเขาเป็นคนตอบคำถามนั้น  และอีกไม่นานก็ปรากฏร่างผู้ชายอีกคนตามมาสมทบ เขาตรงดิ่งเข้ามาลูบศีรษะลูบหลังของเด็กชายด้วยความเป็นห่วง

“โอ๊ย ไอ้ตัวเล็กของพ่อ ให้เดินตามหาเสียทั่วเลย”

“ไม่ห่วง”เสียงเล็ก ๆ เอ่ยบอก

“ไม่เป็นห่วงได้ไง ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”

คู่รักวัยรุ่นถึงกับมองหน้ากัน ที่พ่อลูกคุยกันรู้เรื่องยาวเหยียด

“เต่า”เด็กชายพูดพร้อมชูตุ๊กตาขึ้นมาด้วย พ่อแม่ของเด็กชายถึงได้หันมาเอ่ยถามที่มาของเจ้าเต่า

“ตุ๊กตาตัวนี้ของพวกน้องหรือคะ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวพี่จ่ายเงินคืนให้”หญิงสาวที่เป็นมารดาของเด็กบอก ขณะที่ฝ่ายชายล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมายื่นให้

พฤทธิกรชะงักพร้อมโบกมือบอกปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมซื้อของขวัญปีใหม่ให้น้องเขา”

“ไม่เป็นไรเหมือนกัน แค่น้องช่วยพาลูกมาคืน พวกพี่ก็ขอบคุณมาก ๆ แล้ว”ฝั่งสามีพูด

“ผมตั้งใจซื้อให้น้องเขาจริง ๆ เหมือนกันครับ”ชายหนุ่มกล่าวยืนยันซ้ำจนคู่สามีภรรยาต้องมองหน้ากันเอง ก่อนจะยอมตอบรับตกลง

“น้องปลาขอบคุณพี่เขาหรือยังครับ”ผู้เป็นมารดาเอ่ยกับเด็กชาย “ธุจ้าพี่เขาหน่อยลูก เอ้า ธุจ้า” เจ้าตัวเล็กประกบมือส่งเสียงธุจ้าตามที่มารดากล่าวนำ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”หญิงสาวที่เป็นมารดาของเด็กน้อยเอ่ยบอก

พวกเขาแยกย้ายกันหลังจากนั้น

“ซื้อตุ๊กตาไปให้หมดเลยดีไหม”พฤทธิกรเสนอความคิดเห็น

“น้องตามอาจจะยังชอบ แต่น้องกลอนจะชอบเหรอ คุณป้าไม่จำกัดงบใช่ไหม งั้นซื้อไปหลาย ๆ อย่างให้ไปเลือกกันเองดีกว่า”

“ก็ดีนะ”ชายหนุ่มตอบตกลงอย่างเห็นด้วย

งานเลี้ยงปีใหม่คืนนั้นผ่านไปอย่างสนุกสนาน ทั้งมารดาและแฟนสาวของเขาต่างก็ดูปรองดองกันดี จนเขาคิดว่า งานเลี้ยงปีต่อ ๆ ไปก็คงเป็นดังเช่นคืนนั้น

.

.

.

พฤทธิกรเงยหน้ามองท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆทึบหนาเบื้องบน หลายวันที่ผ่านมาอากาศเย็นจัดชนิดที่นาน ๆ จะมีมาเยือนกรุงเทพสักครั้ง แต่กระนั้นแสงแดดกลับจัดจ้าราวกับอยู่ในหน้าร้อน แต่นั่นกลับช่วยทำให้อากาศอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อย

ชายหนุ่มเห็นปวันรัตน์ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่พื้นที่ซักล้างมุมระเบียง เขาจึงเดินเข้าไปหา

ตั้งแต่มีสองพี่น้องปลาปุ้ยมาอยู่ด้วย พื้นที่ตรงนี้ก็ถูกใช้งานมากขึ้นเพราะถ้าพูดถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอย ห้องพักของเขาในคอนโดมิเนียมหรูมีเพียงห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ซักล้างสำหรับตั้งราวตากผ้าอย่างชัดเจน

“ทำอะไรน่ะ”

เด็กสาวเอี้ยวคอมองเขาก่อนส่งเสียงตอบกลับมาว่า “กำลังซักตุ๊กตาอยู่ค่ะ” เธอยกตุ๊กตายัดนุ่นสีซีดด้วยเพราะผ่านกาลเวลามายาวนานขึ้นมาให้เขาดู

“ตัวนี้มันชื่ออะไร”

“มันชื่อเซนิกาเมะค่ะ เป็นตัวการ์ตูนในโปเกม่อน”

เขาพยักหน้ารับ เห็นหน้าตาของมันแล้วพานให้ความทรงจำไหลย้อนกลับไปถึงการซื้อของขวัญในวันสิ้นปีเมื่อหลายปีก่อน

“แม่ของปุ้ยบอกว่า ที่จริงมันเป็นตุ๊กตาของพี่ปลา แต่เพราะปุ้ยร้องอยากได้ พี่ปลาเลยยกให้และมันก็เป็นของปุ้ยมาถึงทุกวันนี้”เด็กสาวพูดพลางล้างน้ำทำความสะอาดฟองผงซักฟอก และยกมันขึ้นพึ่งแดด

พฤทธิกรมองใบหน้าเจ้าเต่ามีหางยาวตัวสีฟ้าจาง ๆ ที่ดูราวกับกำลังยิ้มแย้มตลอดเวลา มันทำให้เขานึกถึงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่เขาเคยเจอเมื่อนานมาแล้วพลางนึกอยู่ในใจว่า 



.....ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง



- จบบทพิเศษ -
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-01-2018 00:03:02
24



เขานอนไม่ค่อยหลับตลอดทั้งคืน นั่นทำให้รู้สึกตัวตื่นเร็วกว่าปกติแต่กระนั้นกลับเป็นเรื่องดี เนื่องจากมันทำให้เขามีโอกาสได้เห็นเด็กหนุ่มคนรักขยับมาเบียดซุกข้างกายทั้งที่ก่อนนอนอีกฝ่ายเว้นระยะพื้นที่ไว้เสียห่าง พฤทธิกรขยับตัวนอนตะแคงเพื่อให้ตนได้สามารถมองเห็นหน้าเด็กหนุ่มได้ชัด

ปภินวิชมุ่นคิ้วเป็นปมแม้จะยังหลับตาสนิทอยู่เช่นเดิม เขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะพยายามปลอบขวัญ ทว่าเมื่อนานเข้ากลับเพลินมือกับการสางเส้นผมนุ่มลื่นของเด็กหนุ่มเสียแทน

เขานอนมองอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายลืมตาตื่น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมีท่าทีชะงักลังเลจึงเอ่ยถาม

“ยังโกรธอยู่เหรอ”

“เปล่าซะหน่อย”ปภินวิชเอ่ยตอบก่อนยันตัวลุกขึ้น เขาจึงลุกตามขึ้นมาสอดวงแขนรั้งเอวไว้ไม่ให้ลุกหนีพลางแนบแก้มเข้าหา

“ไม่โกรธ แต่ทำไมเย็นชาจัง”

“แค่เคือง”

“เคืองเรื่องอะไรไหนบอกหน่อย”

“ก็ที่มาว่า”เด็กหนุ่มเอี้ยวคอกลับไปเผชิญหน้า “คุณฤทธิ์ไม่เข้าใจหรอก ผมต้องสูญเสียพ่อกับแม่เพราะขี้เมาที่มีแต่ความประมาทคนหนึ่ง และยังมีอีกหลายครอบครัวที่ต้องสูญเสียเหมือนผม อคติ ความเกลียดชังที่ผมมีต่อผู้ชายคนนั้นมันแตกต่างกับอคติที่คุณแม่ของคุณมีต่อผมอย่างสิ้นเชิง แม่ของคุณไม่ชอบผมเพราะคิดว่าผมมาเกาะคอยดูดเงินจากคุณ เขาคิดว่าพวกคุณเป็นชนชั้นที่อยู่เหนือกว่า แล้วยังไง ผมไม่ได้เป็นคนเลือกที่จะมาอยู่กับคุณสักหน่อย ผมไม่เคยคิดแบบนั้นด้วย เงินทุกบาททุกสตางค์ ผมพร้อมจะหามาใช้คืนให้อยู่แล้ว”

ได้ยินสิ่งที่ปภินวิชพูดระบายพาให้ใจของคนฟังเปราะลงอีกโข เนื่องจากฟังคล้ายคนพูดไม่ได้มีใจรักให้ตนสักเท่าไหร่ ราวกับทุกสิ่งที่ผ่านมาล้วนเกิดขึ้นจากการบังคับหรือไม่ก็เหตุการณ์พาไป

เพียงแต่เพราะเด็กหนุ่มพูดพร้อมน้ำตาคลอเบ้า พฤทธิกรจึงเลือกจะปลอบคนรักมากกว่าจะจดจ่ออยู่กับหัวใจที่แกว่งไกวหวั่นไหวของตัวเอง

“นั่นไง เรื่องที่คุณแม่พูดไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย เธอก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจใช่ไหมล่ะ”

“แต่มันเจ็บปวดนะ ทำไมผมต้องโดนพูดว่าแบบนั้นด้วย ผมทำอะไรผิด”ปภินวิชร้องไห้น้ำตาจนชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจตามไปด้วย เขาโอบกอดเด็กหนุ่มไว้พลางลูบหลังปลอบประโลม

“ฉันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฉันทำได้เพียงพูดขอโทษแทนคุณแม่ของฉันด้วย”พฤทธิกรดันร่างของเด็กหนุ่มออกห่าง ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยสองมือ “ฉันสัญญา ต่อไปเธอไม่ต้องไปเจอกับแม่ของฉันอีก เราก็อยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่ต้องสนใจพวกเขา”

“คุณฤทธิ์ทำอย่างนั้นได้ด้วยเหรอครับ ในเมื่อคุณจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”

“ท่านบอกกับเธออย่างนั้นเหรอ”

“ถ้าไม่ใช่ท่าน แล้วควรจะเป็นใครอีกล่ะครับ”ปภินวิชรวนถามกลับไป “ตอนที่ผมได้ยินทีแรก ผมก็พยายามคิดในแง่ดีว่า แม่ของคุณพูดไปเองโดยที่คุณไม่รับรู้ แต่พอลองคิดอีกที ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรด้วยซ้ำ เพิ่งรู้จักกับคุณไม่นาน ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องเลือกแม่ตัวเองอยู่แล้ว”เขาปัดมือของพฤทธิกรออก เจ็บร้าวไปทั้งอกจากความผิดหวังที่คิดว่าชายหนุ่มจะเข้าข้างเข้าใจ ทั้งจากคำพูดดูถูกที่มารดาของพฤทธิกรพูดกับตนและคำพูดบั่นทอนความเชื่อมั่นจากผู้หญิงคนนั้น

ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้สร้างความคลางแคลงให้กับปภินวิช จนเขาคิดว่า ความรักที่มีให้ชายหนุ่มอาจจะเป็นแค่ความหลงใหลเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

“เธอเข้าใจผิดแล้ว”พฤทธิกรพูดบอกด้วยท่าทางคล้ายเหนื่อยหน่าย นั่นยิ่งทำให้หัวใจของปภินวิชเจ็บปวดจนคล้ายกับกำลังจะหมดแรง เขาอ้าปากหายใจเพราะจมูกคัดแน่น เบือนหน้าหนีพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ฟังนะปลา”เขาพูดพร้อมรั้งเด็กหนุ่มให้หันกลับมาสบตา “ท่านเป็นแม่ของฉันก็จริง แต่คนที่ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปจนตายคือคนรักอย่างเธอ ฉันเป็นลูกจะให้ทอดทิ้งพวกเขา ไม่สนใจไยดีเลยก็ทำไม่ได้อีก และถ้าฉันเป็นผู้ชายแบบนั้น ฉันคิดว่าเธอคงไม่ชอบหรอกจริงไหม”

ปภินวิชทำเพียงแค่เงียบฟัง

“ส่วนเรื่องแต่งงาน ถ้าไม่ได้ออกจากปากฉัน อย่าเชื่อใครทั้งนั้น ต่อให้เป็นแม่ก็บังคับให้ฉันแต่งงานไม่ได้”

“ตอนนี้คุณอาจจะกำลังโกหกอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ฉัน...”

ทว่าเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงพูดของคนที่อยู่นอกห้อง “พี่ปลา น้าฤทธิ์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ตื่นหรือยังเดี๋ยวไปทำงานสายนะ”

“เดี๋ยว...”

พฤทธิกรยกมือขึ้นปิดปากปภินวิชไว้ทันควัน “เรายังคุยกันไม่จบ”ก่อนจะร้องตะโกนบอกเด็กสาวว่า “โทษทีปุ้ย แต่วันนี้น้ากับพี่ชายเราไม่ไปทำงาน ปุ้ยไปหาข้าวทานที่โรงเรียนนะ”

“ค่ะ งั้นปุ้ยไปนะ”

รอจนเสียงด้านนอกเงียบลงจริง ๆ แล้ว ชายหนุ่มถึงกล่าวต่อ “ถ้าเธอคิดว่าฉันพูดโกหก อย่างนั้นเดี๋ยวเราสองคนไปหาคุณแม่ของฉันด้วยกัน เรียกผู้หญิงคนนั้นมาด้วย แล้วฉันจะพูดยืนยันต่อหน้าพวกเขา ว่าฉันจะไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนเด็ดขาด”

“ไม่ ไม่ครับ”ปภินวิชรั้งข้อมือของชายหนุ่มไว้ ขนาดเขายังไม่ทำอะไรเลย ยังโดยต่อว่าค่อนแคะถึงเพียงนั้น คราวนี้ถ้าคุณฤทธิ์ทำตามที่พูดจริง ๆ เขายิ่งไม่อยากนึก

“ทำไมล่ะ”

“คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณทำแบบที่พูดจริง ๆ”

พฤทธิกรถอนหายใจ “ฉันรู้ ฉันคิดดีแล้ว ถ้าการที่ฉันรักใครแล้วพ่อแม่มีปัญหา ฉันกับพ่อแม่ก็แค่แยกกันอยู่และค่อยแบ่งเวลาไปดูแลพวกท่าน พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมาผูกติดกันทั้งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทางที่ใครจะมีความสุขขึ้นมา เธอไม่จำเป็นต้องฝืน”

“แต่โลกใบนี้ไม่ได้มีเราแค่สองคน”

“เอาจริง ๆ นะ คำพูดแบบนั้นก็แค่นิยามของพวกที่ต้องใช้ชีวิตพึ่งพาคนอื่น”พฤทธิกรพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย “ก่อนหน้าที่เราจะคบกัน ฉันก็กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่แค่เดือนละครั้งสองครั้งอยู่แล้ว จะมีพิเศษหน่อยก็วันที่พาท่านทั้งสองไปตรวจสุขภาพกับเทศกาลสำคัญ และพวกเขาก็รู้ดีว่าตำแหน่งหน้าที่ของฉันต้องทำงานหนักแค่ไหน แต่ถ้าเธอห่วงเรื่องการบริหารงานของบริษัท ฉันบอกได้ว่า บริษัทของฉันไม่มีทางขาดทุนเพียงแค่ลูกค้ารู้ว่าฉันเป็นเกย์หรอก”

ปภินวิชก้มหน้าลง คิ้วขมวดครุ่นคิดสีหน้ามีแต่ความลังเลไม่แน่ใจ จนพฤทธิกรต้องใช้สองมือช้อนใบหน้าของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมา ในเวลานั้นเขาไม่ได้กลัวปัจจัยภายนอกแต่กลัวหัวใจของปภินวิชจะรวนเรไม่หนักแน่น เพราะเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสัญญาณร้องเตือนอีกแล้ว

“ปลา ให้โอกาสฉัน ให้ฉันพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าฉันทำให้เธอมีความสุขได้ และให้ตัวเธอพิสูจน์ตัวเอง ที่เธอตกลงคบกับฉัน ไม่ใช่เพราะเธอต้องการเงิน เราสองคนแค่รักกันและเราต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ว่าความรักของเราจะคงอยู่ไปจนกว่าเธอหรือฉันจะหมดลมหายใจ”

ปภินวิชยังนิ่งมองเขาอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ ระหว่างนั้นหัวใจพฤทธิกรเต้นรัวอย่างลุ้นระทึก หลังจากเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาจึงลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หวั่นกลัวไปเหมือนกันว่า ถ้าเด็กหนุ่มคนรักตอบปฏิเสธ เขาจะเป็นเช่นไร

พฤทธิกรโน้มหน้าเข้าหาด้วยหวังจะจุมพิตคนตรงหน้า ทว่าเด็กหนุ่มกลับผละหนีพร้อมยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ อารมณ์เศร้าหมองความวิตกกังวลจางหายไปอย่างรวดเร็วนั่นอาจเป็นเพราะท่าทีและคำยืนยันอันมั่นคงของหนุ่มคนรัก

“ยังไม่ได้แปรงฟันเลยครับ”

“ไม่เห็นเป็นไร แค่เอาปากแตะกันเฉย ๆ”

“อื้อ ไม่เอาหรอก”เด็กหนุ่มร้องปฏิเสธพลางลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง “ให้ผมไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน”

“งั้นไปอาบด้วยกัน”พฤทธิกรตามไปคว้าตัวคนรักไว้ได้ทัน ใช้วงแขนคล้องเอวเกี่ยวร่างพาเด็กหนุ่มให้เดินเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน

“ไม่มีแปรงสีฟัน ผมต้องไปเอาแปรงสีฟันก่อน”

“ที่นี่มีแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมให้เธอใช้น่า”ชายหนุ่มพูดดักทางโดยไม่แม้แต่สนใจเสียงร้องตะแหง่ว ๆ ของอีกฝ่ายสักนิด




พฤทธิกรไปทำงานสายกว่าเวลาเข้างานไปร่วมชั่วโมง ทว่าสีหน้าของเขาสดชื่นกว่าเมื่อเย็นวานทั้งเด็กหนุ่มคนรักก็ไม่มีท่าทีมึนตึง เมื่อลิฟต์ถึงชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งของห้องทำงาน ทันทีที่เขาออกจากลิฟต์ สายตาก็เห็นหลานชายเกาะโต๊ะยืนคุยกับเลขาหน้าห้อง

“ได้ยินวีรกรรมของน้องปลาเมื่อวานแล้วนะ”กวีวัธน์เอ่ยแซวแต่คนถูกแซวหน้าตูมลงทันควัน ไม่คิดอธิบายแก้ตัวหรือบอกเล่าอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มอยากจะพูดต่อด้วยอาการคันปากทว่ากลับโดนน้าชายเอ่ยถามถึงธุระที่มาดักรออยู่เสียก่อน

“ผมนำความคืบหน้าเรื่องคุณยายมารายงานครับ”

ปภินวิชได้ยินประโยคนั้นจึงคว้าหมับเข้าที่แขนของท่านประธานใหญ่ทันใด ถึงจะเชื่อทุกคำพูดที่หนุ่มคนรักบอกกับตน แต่เขาก็ยังอยากรับรู้พร้อมกัน ที่สำคัญกวีวัธน์ยังมีประวัติชอบแปลงสารอีกด้วย

พฤทธิกรยกยิ้มบางโอบไหล่เด็กหนุ่มพร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวเราฟังด้วยกัน”

เขาทั้งสามคนจึงเปลี่ยนที่ย้ายเข้าไปในห้องทำงานของพฤทธิกร ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องให้คนรักนั่งที่เก้าอี้ของตน ส่วนเขายืนพิงโต๊ะอยู่ด้านข้าง หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงไม่กล้าลากเก้าอี้มานั่ง พฤทธิกรจึงพยักพเยิดเชิงออกคำสั่งให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว

กวีวัธน์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาขณะที่พูดบอกว่า “คุณยายบอกว่าเรื่องที่น้าฤทธิ์จะคบน้องปลาไม่มีปัญหาครับ แต่ต้องมีทายาทที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของน้าเอง”จากนั้นจึงเปิดข้อความเสียงที่บันทึกไว้ให้ผู้ฟังทั้งสองคนได้ยิน

“ไม่กำหนดเวลา ถ้าแม่ฉันเขาบอกว่าปีหน้าต้องมีหลาน ฉันจะไปหามาจากไหน”พฤทธิกรเอ่ยถาม

“อันนี้ผมจงใจ เวลาที่คุณยายเร่งรัดน้าฤทธิ์ก็ตอบกลับไปว่า ‘ไม่ได้กำหนดเวลานี่ครับ’ แล้วก็ชิงกำหนดไปก่อน แล้วผมก็คิดไว้แล้วด้วย ถ้าน้าฤทธิ์ไปขอให้พี่กาพย์ช่วย พี่กาพย์ต้องตกลงแน่นอน”กวีวัธน์พูดอย่างมั่นใจว่า ‘พี่กาพย์’ หรือพี่สาวแท้ ๆของตนต้องยอมช่วยน้าชาย

ชายหนุ่มฟังคำพูดของหลานชายและนิ่งคิด “มันทำได้ง่าย ๆ อย่างนั้นซะที่ไหน”

“เอ๊ะ”กวีวัธน์ทำหน้าแปลกใจ

“กฎหมายบ้านเราตอนนี้กำหนดให้เฉพาะผู้ที่เป็นสามีภรรยากันเท่านั้นที่สามารถให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนได้”

“เอ๊ะ”หลานชายร้องอุทานออกมาอีกรอบก่อนจะพูดออกมาว่า “เรื่องนั้นไม่เห็นต้องสนใจเลยนี่ครับ มีเงินซะอย่าง”

พฤทธิกรถึงกับขมวดคิ้วเหล่สายตามองคนพูด “แกไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน”

“ไม่ใช่ว่าคุณฤทธิ์เป็นคนสอนหรือครับ”

ชายหนุ่มจึงแค่นหัวเราะหันไปมองคนรักที่จู่ ๆ ก็พูดแขวะตน “โกรธอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย” ปภินวิชสั่นศีรษะ สีหน้ายามพูดประโยคถัดไปดูเรียบเฉยแต่เหมือนแอบสะใจเล็ก ๆ “เมื่อก่อนผมคิดว่า การที่หลานชายอย่างคุณกลอนมีนิสัยชั่ว ๆ น้าชายอย่างคุณฤทธิ์ก็คงต้องชั่วไม่ต่างกัน”

กวีวัธน์แยกเขี้ยวขู่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขณะที่น้าชายทำเพียงส่งเสียงชิชะ “เพราะแกเลยเนี่ย”

“อ้าว ผมผิดตรงไหน มีเงินก็ต้องใช้เงินให้เป็นประโยชน์สิครับ”คนพูดมีสีหน้าบูดบึ้งจนน้าชายยังต้องถอนหายใจจากนั้นจึงเอ่ยปากอบรมไปหนึ่งยก “ฉันไม่ได้ห้ามกับการใช้เงินกรุยทางเพื่อทำให้เรื่องบางอย่างมันง่ายขึ้น แต่มันไม่ควรผิดกฎหมายโจ่งแจ้งหรือทำให้ใครเดือดร้อน อย่างเรื่องเด็กที่จะเป็นทายาทของฉัน ถ้าเขาโตขึ้นมาแล้วมีวันหนึ่งใครก็ไม่รู้ขุดคุ้ยเรื่องของเขาออกมาแฉ ถามหน่อยแกจะบอกเด็กยังไง”

“ก็บอกไปตามตรง”

พฤทธิกรพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ออกมาบ้าง ส่วนปภินวิชเห็นสีหน้าอารมณ์เสียของชายหนุ่มร่างสูง จึงส่งสีหน้าล้อเลียนไปให้คู่อริ

กวีวัธน์ได้แต่กลอกตามองใบหน้าขุ่นเคืองของน้าชายสลับกับรอยยิ้มสมน้ำหน้าของเด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า จากนั้นต้องเอ่ยออกมาอย่างจำยอม

“ครับ ครับ ขอโทษครับ ผมสำนึกแล้ว ผมผิดเอง”

“หน้าตาคุณกลอนไม่เหมือนว่าจะสำนึกได้เลยครับ”

หุบปากน่า!!!”กวีวัธน์เอ่ยตอกกลับไปทันทีเมื่อเด็กหนุ่มพูดจาไม่เข้าหู ก่อนจะละความสนใจจากคู่กัดและหันไปคุยกับน้าชาย

“แล้วน้าฤทธิ์จะเอาอย่างไรล่ะครับ ถ้าน้าไม่มีหลานให้คุณยายผมว่าครั้งนี้น้าฤทธิ์โดนบังคับแต่งงานแน่”

“ถ้าฉันไม่แต่ง ใครจะบังคับฉันได้”พฤทธิกรตอบด้วยท่าทางไม่เดือดร้อนพลางยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งเอ่ยไล่หลานชายให้ออกจากห้อง “แกกลับไปทำงานได้แล้ว ฉันก็จะทำงานแล้วเหมือนกัน ส่วนเรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจะไปลองคิดดู”

“แล้วค่าแรงของผมล่ะครับ”คนเจรจารีบทวงถามหาค่าจ้าง

“ฉันพอใจผลงานของแกแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์ ส่งรายการมาให้ดูก่อนแล้วกัน”

“อะไรล่ะ นี่ผมทำให้ดีที่สุดแล้วนะ ไม่อย่างนั้นผมกลับข้างด้วย”กวีวัธน์งอแงต่อรองราวกับเป็นเด็กเล็ก ๆ

“ถ้ากลับข้าง แกก็ชวดทุกอย่าง เลือกเอาแล้วกัน”ชายหนุ่มพูด แม้ไม่รู้ว่าเจ้าหลานชายตัวดีจะไปคุยกับมารดาของตนอีกแบบหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ มารดาของเขาละเอียดถ้วนถี่กว่าเขา คงไม่มีทางยอมจ่ายง่าย ๆ

คนฟังอ้าปากพะงาบ ๆ นึกอยากจะงอแงอาละวาดต่ออีกเล็กน้อย แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนรักของน้าชายซึ่งเท้าคางมองด้วยใบหน้าอมยิ้มที่เตรียมล้อเลียนตนเต็มที่ จึงได้แต่บอกทิ้งท้ายไว้ว่า “น้าฤทธิ์จำไว้เลย”

กระทั่งกวีวัธน์ออกไปจากห้องและประตูปิดลงแล้ว เด็กหนุ่มผู้ซึ่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่จึงลุกขึ้น เปลี่ยนที่ให้เจ้าของตัวจริงได้นั่ง ส่วนตนเองก็นั่งซ้อนบนตักอีกฝ่าย สองมือคล้องอยู่รอบคอของพฤทธิกรอย่างเช่นทุกครั้ง

“แล้วอย่างนี้คุณฤทธิ์จะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ยังไม่รู้ เดี๋ยวไปคิดสักคืนสองคืนก่อน หรือไม่ก็คงใช้แม่อุ้มบุญในประเทศที่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องห่วงนะ”

“มันจะดีจริง ๆ เหรอ”

“หือ”เขาส่งเสียถามด้วยความสงสัยกับข้อความประโยคนั้น ทว่าเด็กหนุ่มกลับเปลี่ยนไปถามคำถามอื่นอย่างรวดเร็ว

“คุณฤทธิ์อยากมีลูกหรือเปล่าครับ”

“อืม... ไม่รู้สินะ”พฤทธิกรโคลงศีรษะครุ่นคิด “เมื่อก่อนตอนที่เห็นเด็กเล็ก ๆ ก็รู้สึกว่า เด็ก ๆ ก็น่ารักดีนะ แต่แฟนคนที่สองเขาบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะจ้างพี่เลี้ยง ให้มาเลี้ยงเองทั้งวันทั้งคืนคงไม่ไหว ตอนนั้นเลยรู้สึกเฉย ๆ กับการมีลูกไปเหมือนกัน”

คราวนี้จึงเป็นฝ่ายปภินวิชเสียเองที่มีท่าทีสงสัย

“ประมาณว่า สำหรับฉันแล้วจะมีลูกหรือไม่มีลูกก็ได้น่ะ”

“แต่คุณพ่อคุณแม่คุณอยากให้มีทายาท”

“อืม คุณพ่อของฉันมีพี่น้องแค่สองคน แล้วฉันก็เป็นลูกคนเดียว ส่วนอาธรก็มีลูกชายคนเดียวเหมือนกัน”เมื่อพูดถึงประโยคนี้ เขาก็ชะงักไปเสียเฉย ๆ ปภินวิชจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ก็นั่นแหละ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้พวกท่านคงกลัวว่าจะไม่มีใครมารับช่วงสืบทอดบริษัท”ที่ชายหนุ่มชะงักหยุดคิดเพราะกำลังใคร่ครวญว่าควรบอกฐานะที่แท้จริงของนายชัญชกร มาศแคล้วกับเด็กหนุ่มคนรักดีหรือไม่ แต่จากปฏิกิริยาของปภินวิชที่บังเอิญเจอกับนายชัญชกรเมื่อวาน มันทำให้เขาคิดว่าควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไป หรืออย่างน้อยควรรอให้มีโอกาสดีกว่านี้

ชัญชกร มาศแคล้ว หรือชื่อจริงนามสกุลจริงคือ ชัญชกร  ตัณกิติยา ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของเขาที่นอกจากจะทำตัวเอ้อระเหยลอยชายเรียนไม่จบแล้ว  ยังก่อเรื่องใหญ่ที่ถึงขั้นอาธรประกาศจะตัดพ่อตัดลูกเพราะก่อนหน้านั้นอาของเขาเคยทั้งดุปราม ทั้งลงโทษก็แล้วเรื่องเที่ยวกลางคืนและดื่มหนัก กระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง ๆ หลังจากที่เจ้าตัวยอมอดทนทำตัวดี ๆ จนได้กุญแจรถที่บิดายึดไว้กลับคืนมาเพียงแค่วันเดียว

ญาติผู้น้องของเขาแก้ตัวว่าที่ขับรถกลับตอนเช้าเพราะอุตส่าห์นอนที่ผับเพื่อรอให้ตัวเองสร่างเมา แต่บังเอิญวูบหลับในเผลอเหยียบคันเร่งฝ่าไฟแดงไปชนกับรถคันอื่น

ตอนที่พฤทธิกรได้ยินคำพูดเหล่านั้นเขาได้แต่ยกมือกุมขมับ ส่วนชยธรได้ใช้ฝ่ามือฟาดหน้าเจ้าของคำพูดเต็มแรงทั้งที่ลูกชายเพิ่งฟื้น ทำให้ทะเลาะกับอาสะใภ้เสียงดังลั่นโรงพยาบาล และตอนนั้นเองบิดาของผู้ก่อเหตุได้บอกว่า ให้ไปชดใช้กันเอาเอง นั่นหมายความว่า อาของเขาจะยอมปล่อยให้ลูกชายติดคุก

ตอนนั้นชัญชกรอายุยี่สิบเจ็ดแล้วแต่เจ้าตัวไม่ได้ทำงานอะไรสักอย่าง ที่ฝ่ายนั้นสามารถใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้เพราะมีมารดาคอยโอนเงินให้ใช้อยู่ทุกเดือน อย่างไรก็ตามมูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนั้นสูงเกินกว่าทรัพย์สินโดยรวมที่อาสะใภ้ถือครองอยู่

อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่า เหตุการณ์นั้นจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับบริษัท พฤทธิกรจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยแลกกับการที่เจ้าตัวต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยเสียใหม่ เมื่อผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายตอบรับ เขาจึงดำเนินการทุกอย่างให้คดีจบลงรวดเร็วที่สุด โดยให้น้องชายเปลี่ยนนามสกุลเพื่อไม่ให้ถูกสื่อสืบสาวเขียนข่าวโจมตี จ่ายค่าชดเชยและค่ารักษาด้วยจำนวนเงินสูงลิ่ว เมื่อเรื่องถึงชั้นศาล นายชัญชกร มาศแคล้วจึงโดนโทษแค่รอลงอาญาและบำเพ็ญประโยชน์

หลังจากนั้นความประพฤติของชัญชกรก็อยู่ในสายตาของเขา เงินรายเดือนที่ได้รับทุกบาททุกสตางค์ต้องผ่านการอนุมัติจากเขาเท่านั้น

ฝ่ายบิดาของญาติผู้น้องอย่างชยธรนั้นระงับการจ่ายเงินเพื่อให้ลูกชายเอาไปผลาญเล่นมาหลายปีแล้ว จะมีก็แต่มารดาของเจ้าตัวที่พอลูกชายบอกว่าเงินไม่พอก็พร้อมจะจ่ายให้ทันที ซึ่งชายหนุ่มได้ส่งคนให้ไปตามเก็บหนี้ทันควันเหมือนกันหากรับรู้ว่าน้องชายกำลังทำตัวบิดพลิ้ว ด้วยเหตุนั้นอาสะใภ้จึงไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามอีก

หลังจากที่เก็บชั่วโมงบำเพ็ญประโยชน์จนครบ ชัญชกรขออนุญาตเขาไปเรียนเกี่ยวกับการผลิตภาพยนตร์ที่ต่างประเทศ ซึ่งเขาได้อนุญาตแต่เขามีทุนให้ไปเฉพาะค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงผู้เป็นน้องชายจะโอดครวญแต่เมื่อเขายืนกรานเสียงแข็ง เจ้าตัวจึงต้องก้มหน้ายอมรับ

แต่อีกฝ่ายเดินทางกลับมาก่อนทั้งที่เพิ่งเริ่มเรียนไปได้ไม่นาน เพียงเพราะแค่อยากมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่กำลังจะถูกจัดขึ้น

“ทำไมไม่ได้ล่ะ พี่ฤทธิ์เปิดบริษัทนี้ให้ผมเลยไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ซะที่ไหน ฉันแค่พยายามต่อยอดธุรกิจในเครือ”

“อ้าว”

“แกน่ะ ไปถามอาธรก่อนเถอะ ว่ายอมยกหุ้นให้หรือเปล่า”

“พ่อบอกว่า ถ้าพี่ฤทธิ์อนุญาต พ่อก็ยกให้”


แค่นึกถึงน้ำเสียงระรื่นของน้องชาย เขาก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาอีกรอบ

“คุณฤทธิ์เป็นอะไรครับ ไม่สบายเหรอ”ปภินวิชเอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มคนรักหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางอังมือที่หน้าผากของอีกฝ่าย ถึงจะสัมผัสถึงความอุ่นร้อน แต่เขายังรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ชายหนุ่มดึงมือของเขาเข้าไปแตะจูบที่กลางฝ่ามือและโอบกอดซบหน้าลงมา ปภินวิชรู้สึกจั๊กจี้ในคราแรกเมื่อปลายจมูกของพฤทธิกรสัมผัสกับต้นคอของตน แต่เพราะอีกฝ่ายเอาแต่แนบใบหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น เขาจึงโอบกอดชายหนุ่มร่างสูงไว้พร้อมลูบหลังไปพลาง

พฤทธิกรยังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของญาติผู้น้อง ครั้งก่อนที่โทรศัพท์คุยกัน เขาสั่งห้ามว่าไม่ให้เข้ามาที่บริษัท แต่ไม่รู้จะเชื่อฟังเขามากน้อยแค่ไหน เขาควบคุมความประพฤติของน้องชายก็จริง แต่ควบคุมผ่านรายได้ที่ฝ่ายนั้นได้รับ แต่นี่ถึงขนาดหาตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับมาเองทั้งที่เขาไม่อนุญาต แสดงว่าหมอนั่นน่าจะมีปัญญาสามารถหาเงินมาจากทางอื่น

คงได้แต่หาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป ชายหนุ่มคิดในใจ

ครู่หนึ่งต่อมาพฤทธิกรก็ผละตัวออกห่างจากเด็กหนุ่มซึ่งตนกอดรัดไว้ “ต้องทำงานแล้ว”

“งั้นตั้งใจทำงานนะ”เด็กหนุ่มแตะจูบที่ริมฝีปากของชายคนรักเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้อง

“เข้าไปช่วยงานคุณฤทธิ์อยู่นานเลยน้า”สุธาณีเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เขายิ้มเขินแต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไป หญิงสาวจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “วันแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทใหม่น้องปลาไปด้วยหรือเปล่าคะ”

“เอ๋”ปภินวิชไม่รู้เรื่องเพราะปกติพฤทธิกรก็ไม่ค่อยได้คุยเรื่องงานกับเขาอยู่แล้ว

“อีกไม่กี่วันจะถึงงานแถลงข่าวเปิดบริษัทร่วมทุนที่คุณฤทธิ์บินไปเกาหลีเมื่อช่วงก่อนโน้นไง”เธอย้อนความให้ฟัง ก่อนจะเล่าเพิ่มเติมว่ามีปาร์ตี้ด้วย

“อืม... คุณฤทธิ์เขาไม่เห็นพูดอะไรเลย”

“น้องปลาก็ลองขอคุณฤทธิ์สิคะ ไปปาร์ตี้งานนี้ก่อนรอบหนึ่ง แล้วค่อยไปสนุกกับงานเลี้ยงสิ้นปีอีกรอบ”

“มีจัดงานเลี้ยงตอนสิ้นปีด้วยหรือครับ”เด็กหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากตัวเขาก็นับว่าเป็นพนักงานในบริษัทเหมือนกัน อย่างไรเสียต้องได้มีโอกาสเข้าร่วมอย่างแน่นอน

“มีสิจ๊ะ พี่เพิ่งทำเรื่องจองโรงแรมกับจัดอาหารไปเนี่ย รับรองว่ามีแต่ของอร่อย ๆ”

หลังจากนั้น เขาจึงยืนคุยเรื่องงานเลี้ยงวันสิ้นปีกับเลขาสาวหน้าห้องอยู่อีกนาน

และช่วงเวลาอาทิตย์กว่า ๆ ก่อนถึงวันงานแถลงข่าว ปฏิกิริยาทั้งจากทางมารดาและญาติผู้น้องต่างเงียบสนิท จนพฤทธิกรที่ก้มหน้าโหมงานช่วงใกล้สิ้นปีลืมทั้งคู่ไปสิ้น


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//เวลาในเรื่องช้ากว่าเวลาจริงค่ะ บทนี้ยังอยู่ช่วงเดือนธันวาคมอยู่เลยและก็ไม่มีดราม่าท้ายเรื่องแล้วค่ะ แค่เรื่องผู้ร้ายโรคจิตก็พอแล้ว//*

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-01-2018 00:18:34
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-01-2018 00:21:44
บางคนนิสัยก็เปลี่ยนยาก
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-01-2018 01:05:14
ระเบิดจะลงอีกเมื่อไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-01-2018 19:08:42
หวังว่าจะไม่มีมาม่าแล้วน้าา   :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 24 [04/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 04-01-2018 22:02:21
เอาใจช่วย
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 25 [08/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-01-2018 06:30:04
25



เช้าวันงานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทร่วมทุน พฤทธิกรแต่งตัวด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษ เขาสวมสูทสั่งตัดของห้องเสื้อชื่อดัง เป็นชุดสูทสามชิ้นสีเทาเข้ม สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและเนกไทสีน้ำตาล สองพี่น้องมองการแต่งตัวของเขาตาค้างยามที่เขาออกมาร่วมโต๊ะทานอาหารตอนเช้า ก่อนที่เด็กหนุ่มคนรักจะทำท่าย่นจมูกเหมือนไม่ค่อยชอบใจ

เขาแวะไปสถานที่จัดงานก่อนเดินทางไปอาคารสำนักงานเพื่อตรวจดูความพร้อมและความเรียบร้อยของงานแถลงข่าวที่จะมีขึ้นในช่วงบ่าย  เมื่อเห็นว่าบริษัทออร์กาไนซ์จัดการทุกอย่างตามแผนที่เคยพูดคุยหารือล่วงหน้ามาหลายสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นเวที  โต๊ะเก้าอี้ รวมถึงพื้นที่หลาย ๆ ส่วนซึ่งมีความพร้อมราว ๆ แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขาจึงเดินทางกลับ

“คุณฤทธิ์ ตอนบ่ายจะไปที่งานใช่ไหมครับ ผมขอไปด้วยได้ไหม”ปภินวิชเอ่ยขออนุญาต ยิ้มกว้างด้วยนัยน์ตากระตือรือร้นจนเขาคล้อยตาม กระนั้นเพราะนึกรู้อยู่ว่างานนี้เด็กหนุ่มคนรักอาจจะไปจ๊ะเอ๋กับญาติผู้น้อง เขาจึงอยากกล่าวปฏิเสธ เพียงแต่ถ้าพูดห้ามออกไปอย่างแข็งขัน มันก็อาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเรื่องอื่น

“ถ้าไปก็ได้แต่นั่งรอเฉย ๆ นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็จะไปนั่งนิ่ง ๆ อยู่กับพี่ก้อยนั่นแหละ รับรองว่าไม่รบกวนเด็ดขาด”เด็กหนุ่มยิ้มกว้างกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น

พฤทธิกรพยายามฝืนยกยิ้ม กะเกณฑ์ในใจว่าคงต้องไปกำชับเลขาให้คอยระวังไม่ให้เด็กหนุ่มคนรักได้มีโอกาสเจอกับชัญชกรอย่างเด็ดขาด  ทว่าเมื่อลิฟต์เคลื่อนที่มาถึงชั้นบน เขาทั้งคู่เพิ่งก้าวเท้ามาหยุดยืนที่โถงทางเดินพร้อมบอดี้การ์ดคนติดตาม ญาติผู้น้องก็โผล่ออกมาจากห้องอาหารพร้อมแก้วกาแฟในมือ

“พี่ฤทธิ์สวัสดีครับ”

ปภินวิชขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายเขม็ง ขณะที่พฤทธิกรได้แต่กลอกนัยน์ตากัดฟันนึกอยากจะยกมือขึ้นทึ้งศีรษะ ทั้งที่เขาสั่งห้ามไว้แล้วแท้ ๆ ชายหนุ่มรู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาเนื่องจากคิดได้ว่าคำสั่งของตนเองช่างไร้ความหมาย หรือเพราะเขาใจดีมากเกินไป ทุกคนถึงเมินคำพูดของเขาเสียหมด

“เออน้อง... วันนั้นพี่ขอโทษนะ พี่ไม่ตั้งใจจะว่าน้องแบบนั้น”ชายหนุ่มพูดกับปภินวิช ก่อนจะหันไปคุยกับญาติผู้พี่ “แล้วอย่างนี้ผมต้องเรียกน้องเขาว่าพี่สะใภ้ใช่หรือเปล่าพี่ฤทธิ์”

เด็กหนุ่มถึงกับตวัดสายตามองเขา พฤทธิกรคว้าข้อมือของคนรักไว้พร้อมกับเอ่ยบอกน้องชายด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้างว่า “หุบปากแล้วไปหาที่นั่งรออย่างสงบเสงี่ยมซะ”

เขาจูงมือพาปภินวิชเข้าไปในห้องทำงาน หันกลับไปเผชิญหน้าเมื่อบานประตูปิดลง กั้นพวกเขาให้เหลือกันเพียงสองคน

“เอ่อ...”พฤทธิกรอึกอักไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีทำให้โดนคนตรงหน้าพูดดักทางด้วยท่าทางขมึงทึง

“ครับ ผมรอฟังอยู่”

ชายหนุ่มอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยทีท่าอาการสงบราวกับปลงใจได้ “เขาเป็น... ลูกของอาธร”

ปภินวิชนิ่งงันไม่มีปฏิกิริยาตอบรับไปครู่ใหญ่

“ปลา”

“เดี๋ยวครับ เมื่อกี้เหมือนผมได้ยินว่า ‘นายชัญชกร มาศแคล้ว’ เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณฤทธิ์หรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าหลากหลาย สับสนงงงันทำอะไรไม่ถูก ตอนที่พฤทธิกรบอกว่ารู้จัก เขาคิดว่าทั้งคู่อาจจะเป็นแค่คนรู้จักธรรมดา เพราะมั่นใจว่าตัวเองจดจำใบหน้าและชื่อนามสกุลของผู้ชายคนนั้นได้แม่น

เขาขยับถอยเท้าออกห่างจนพฤทธิกรต้องรีบรั้งเอวบางเข้าหาตัว

“ใช่ คนที่เป็นต้นเหตุในอุบัติเหตุครั้งนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง”เขาเอ่ยบอกย้ำออกไป

ปภินวิชหน้าซีดไร้สีเลือด ในสมองมีแต่ความคิดที่ปะปนกันยุ่งเหยิง สัมผัสได้ถึงมือที่วางประคองอยู่ข้างแก้มแต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับเย็นเฉียบไปถึงหัวใจ รู้สึกว่าตนกำลังโดนหักหลังมากกว่าแค้นเคืองที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นญาติของผู้ชายซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต น้ำตาของเขาเอ่อคลออย่างไม่อาจห้าม

“คุณฤทธิ์ รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับว่าผมเป็นใคร”

“อืม... ฉันรู้ แต่...”

“คุณกลอนก็ด้วย”

“ใช่”

“สนุกมากหรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงเบาก่อนจะตะเบ็งสุดเสียงถามซ้ำ “ผมถามว่าสนุกมากหรือครับ” เขาฟาดมือใส่อย่างเจ็บแค้น ทว่ามือของเขากลับโดนรวบจับและร่างกายก็โดนโอบรัดทำให้ไม่อาจดิ้นหนีถอยห่าง

“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยปลา เธอเข้าใจผิดแล้ว”

“เข้าใจผิดอะไร คุณจงใจปิดบัง คุณจงใจโกหกผม”ปภินวิชพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการจับกุมแต่ร่างกายของเขาโดนกอดรัดไว้แน่น ทั้งโดนดันตัวเข้าเบียดกับผนังด้านหลัง จากนั้นพฤทธิกรได้แนบจูบลงมาบีบปลายคางให้เขายอมอ้าปาก ปลายลิ้นของอีกฝ่ายได้รุกรานเข้ามาช่วงชิงลมหายใจ จุมพิตนั้นจงใจทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง เพราะมันจ้วงโจนรุกเร้าหนักหน่วงอย่างยาวนาน ไม่ยอมปล่อยจังหวะให้เขาได้พัก ตอนที่อีกฝ่ายผละออกห่าง เขาถึงกับหน้ามืดคล้ายเป็นลม หมดแรงอาละวาดได้แต่อ้าปากหอบหายใจและปล่อยให้อีกฝ่ายลากจมูกคลอเคลียไปทั่วใบหน้า ทั้งถูกวงแขนแข็งแรงรัดรึงไว้แน่นหนา

“ฉันจงใจปิดบังโกหกเธอก็จริง แต่ไม่ได้สนุกกับการทำแบบนั้นเลย”เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยกระซิบ

 ใบหน้าของปภินวิชถูกช้อนให้เงยขึ้นเพื่อสบประสานกับนัยน์ตาที่จ้องมองมา

“ฉันรักเธอ”พฤทธิกรพูดคำนั้นออกไปด้วยความจริงใจ “และฉันเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างที่ผ่านมา มันสามารถยืนยันคำพูดของฉันได้ ครั้งนี้ก็ได้โปรดเชื่อฉัน ที่ฉันทำเพราะไม่อยากเสียเธอไปเท่านั้น”

เด็กหนุ่มหลุบตาลงเพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นับตั้งแต่ที่เขาได้พบกับพฤทธิกร ชายหนุ่มตรงหน้าได้ทำทุกอย่างเพื่อเขามามากมาย ทั้งอาการป่วยของน้องสาว ชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายอย่างทุกวันนี้ ทั้งเหตุการณ์ร้ายแรงที่เขาโชคร้ายต้องประสบพบเจอเมื่อคราวนั้น ก็ได้ชายหนุ่มตรงหน้าคอยอยู่เคียงข้าง คอยกอดปลอบดูแลเขามาตลอด

“วันนี้ คุณฤทธิ์มีงานสำคัญต้องทำนะครับ ถ้า...อย่างไร เราค่อยคุยกันอีกครั้งตอนเย็นแล้วกัน”เด็กหนุ่มพูดออกไปเมื่อไตร่ตรองจนถ้วนถี่แล้ว “ผม... จะกลับไปรออยู่ที่ห้อง”

พฤทธิกรมีสีหน้าโล่งอก กดจูบที่ริมฝีปากได้รูปอีกครั้ง ใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าของเด็กหนุ่มพร้อมพูดย้ำ “ไว้ตอนเย็นเราค่อยคุยกันนะ”

ปภินวิชพยักหน้ารับ ดันชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ให้ออกห่าง กระนั้นอีกฝ่ายกลับคว้ามือของเขาไปจับประสานไว้ เพียงแค่นั้นหัวใจของเขากลับพองฟูขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกน้อยใจคิดในแง่ลบว่าชายหนุ่มแค่ต้องการหลอกลวงเขาเป็นของเล่นได้ปลาสนาการหายไปในพริบตา

แต่เมื่อเขาทั้งคู่ได้เปิดประตูออกมาด้านนอก โลกแห่งความจริงได้ปรากฏให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว ทั้งกวีวัธน์และชัญชกรต่างยืนออรออยู่บริเวณหน้าประตู เขารู้ตัวดีว่า ยังไม่อาจให้อภัยผู้ชายคนนั้นที่มีส่วนทำให้พ่อและแม่เสียชีวิตได้ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกยาวเข้าปอด หันมองหน้าชายหนุ่มคนรักและพูดว่า “ผมกลับก่อนนะครับ”เขาอยากได้เวลาเพื่อครุ่นคิดทำความเข้าใจ ก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทางในวันข้างหน้า

พฤทธิกรพยักหน้ารับ มองตามเด็กหนุ่มคนรักที่มีธนาเดินตามไปติด ๆ กระทั่งแผ่นหลังเล็กบางหายเข้าไปในลิฟต์แล้วถึงได้หันไปหาเลขาสาว

“ถ้าคุณลีมาถึงช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ”

หลังจากสุธาณีรับคำ เขาถึงหันไปพูดกับหลานชาย “ไม่มีงานทำหรือไง” กวีวัธน์จึงได้เผ่นแผล็วเข้าห้องทำงานของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหันไปเอ่ยปากสั่งน้องชายด้วยน้ำเสียงเข้มห้วน

“เข้าไปคุยกันในห้อง”

พฤทธิกรเดินนำเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ไปหยุดยืนพิงสะโพกกับโต๊ะทำงาน สองมือยกขึ้นกอดอกมองญาติผู้น้องที่ยืนเคว้งอยู่กลางห้องด้วยสายตาเยียบเย็น

“ฉันเคยบอกว่ายังไง”

“โธ่ พี่ฤทธิ์ ผมก็แค่อยากรู้จักกับทางฝั่งเกาหลีบ้าง ต่อไปจะได้ทำงานร่วมกันได้ง่าย”

“ก่อนจะคิดถึงเรื่องทำงาน แกควรคิดถึงเรื่องเรียนให้จบก่อนดีกว่าไหม”พฤทธิกรพูด “ฉันบอกไม่ให้แกกลับมา แกก็บินกลับมา บอกไม่ให้มาที่บริษัทแกก็ขัดคำสั่งฉัน ตกลงแกอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วสิ ไม่ต้องได้เงินจากฉันแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ส่งใบแจ้งหนี้ไปให้”

“พี่ก็เอาเรื่องนี้มาขู่ผมตลอด ผมทำอะไรผิดนักหนาแค่บินกลับมาเยี่ยมบ้าน”ชัญชกรมีท่าทีฉุนเฉียว

“แกกลับมาเยี่ยมบ้านทั้งที่ยังมีชั่วโมงเรียนเนี่ยเรอะ”เขาก็รู้สึกโมโหไม่ต่างกัน “แกสามสิบแล้วนะชา ถ้าจะไม่ทำงานเอาแต่เที่ยวเล่นฉันไม่เคยคิดจะสนใจอยู่แล้ว เงินที่แกเอาไปถลุงมันของพ่อแม่แก มันไม่เดือดร้อนฉันหรอก แต่แกคงไม่ลืมว่าสองปีก่อนแกทำอะไรไว้ ฉันช่วยแกเพราะแกบอกว่าจะปรับปรุงตัวนะ”

“เออ ๆ รู้แล้ว ก็พยายามทำอยู่นี่ไงล่ะ พี่โกรธผมแค่เพราะแฟนเด็กของพี่ไม่ชอบขี้หน้าผมเนี่ยนะ มันไม่ถูกต้องเลย ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้สักนิด แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าน้องเขาจริงจังด้วยแค่แซวเล่นเอง”

“หึ ไม่ได้ทำอะไรให้งั้นเหรอ”พฤทธิกรหัวเราะขึ้นจมูกพร้อมเดินตรงเข้าไปตบศีรษะน้องชายอย่างไม่ออมแรง “ตั้งแต่แกโตมา แกก็สร้างศัตรูไว้เป็นร้อยแล้ว สมองเสื่อมจำไม่ได้หรือไง และแกควรรู้ไว้อีกอย่างว่าแฟนของฉันก็เป็นหนึ่งในศัตรูของแก”

“แล้วพี่ไปเอาคนแบบนั้นมาเป็นแฟนได้ยังไง”

“ฉันจะเลือกใครมาเป็นแฟนต้องขออนุญาตแกด้วยเรอะ”ชายหนุ่มตวาดตอบกลับไปเสียงดัง เห็นหน้าพี่ชายแล้ว คนเป็นน้องอย่างชัญชกรยังต้องถอยหลังไปอีกก้าวพลางยกมือไหว้ขอโทษปลก ๆ

“ไม่ครับไม่เลย ครั้งนี้ที่ผมขัดคำสั่งพี่ ผมขอโทษครับแต่ผมมาแล้ว พี่ฤทธิ์จะให้ผมกลับไปเฉย ๆ เหรอ”ชัญชกรทำหน้าอ้อนสุดฤทธิ์ ถ้าเป็นยามปกติเขาคงรู้สึกขบขันอยู่บ้าง แต่ยามนี้เขาเคืองขุ่นจนการข่มอารมณ์โกรธยังยากเย็น จึงขวางหูขวางตาอยากชำระแค้นเสียมากกว่า

“ฉันจะตัดเงินค่าที่พักของแกเป็นการลงโทษ”

“เฮ้ย!!! พี่ฤทธิ์”ชัญชกรร้อง “แค่นี้ผมก็ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตแล้ว”

“เรื่องของแก ออกไปได้แล้ว”เขาเอ่ยปากไล่พร้อมหมุนเท้าเดินกลับไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน แสร้งหยิบแฟ้มออกมาเปิดเมื่อญาติผู้น้องยังตามมาเกาะที่โต๊ะร้องเรียกชื่อเขาโอดครวญไม่หยุดจนน่ารำคาญ พฤทธิกรจึงพูดออกไปว่า

“ถ้าแกยังไม่รีบออกไป ฉันจะไม่จ่ายค่าอะไรให้เลยสักแดงเดียว”เสียงเข้มขุ่นจัดของญาติผู้พี่ ทำให้ชัญชกรต้องรีบสาวเท้าออกจากห้องโดยด่วน เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วเขาจึงระบายลมหายใจหนักหน่วง เอนศีรษะพิงเบาะแล้วหลับตาลง หลังลืมตาขึ้นไม่นานเสียงโทรศัพท์จากเลขาหน้าห้องได้ดังขึ้นแจ้งเรื่องที่ประธานของบริษัทหุ้นส่วนเดินทางมาถึงแล้ว

เขาลุกขึ้นยืนขยับจัดเสื้อสูทและก้าวเท้าออกไปด้านนอกเพื่อต้อนรับแขก

ตัวเขาและประธานของบริษัทต่างชาติเคยพบปะกันหลายครั้งแล้วและค่อนข้างคุ้นเคยกันดี สำหรับครั้งนี้พฤทธิกรพาอีกฝ่ายไปเลี้ยงรับรองที่ห้องอาหารในโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน นั่งพูดคุยกันจนใกล้เวลาเริ่มงาน ก่อนเดินทางไปยังห้องจัดงานแถลงข่าวพร้อมกัน

งานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทผลิตภาพยนตร์และหนังเรื่องแรกเป็นไปอย่างราบรื่น กระทั่งจบช่วงแถลงการณ์ซึ่งพวกเขากำลังจะย้ายไปทานอาหารสังสรรค์กันที่อีกห้องหนึ่ง มารดาของเขาและหญิงสาวสวยได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมช่อดอกไม้ในมือ นักข่าวจึงกรูเข้ารุมล้อมเขาอีกรอบ

พฤทธิกรถูกดันให้ถ่ายรูปคู่กับนัยน์ภัคด้วยความเจ้ากี้เจ้าการของมารดา จากนั้นคำพูดตอบคำถามนักข่าวของคุณทิพปภาผู้เป็นมารดาได้ทำให้เขาขึ้งโกรธขึ้นอีกรอบ หลังจากที่ญาติผู้น้องทำให้เขาอารมณ์เสียไปเมื่อเช้า

“ก็เล็งหนูแขไว้ให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของลูกชายค่ะ ตาฤทธิ์ก็โสดมานานแล้วอยากให้เขามีคนดูแลเสียที”มารดาของเขายิ้มระรื่นที่นักข่าวส่งคำถามถึงที่มาที่ไปของนัยน์ภัคได้อย่างตรงใจ พฤทธิกรจึงโพล่งแทรกตัดบทออกไปพร้อมยกมือเรียกทั้งน้องชายหลานชายให้มาช่วยต้อนกลุ่มนักข่าวให้เข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ก่อนกำชับให้คอยดูแลแขกเหรื่อในงานให้ดี

“พี่ ๆ น้อง ๆ นักข่าวทุกท่านครับ เดี๋ยวเชิญทานอาหารข้างในก่อนดีกว่าครับ ไว้อย่างไรเดี๋ยวค่อยมาถ่ายรูปสัมภาษณ์กันใหม่”

และรอจนแถวนั้นไม่เหลือบุคคลอื่นนอกจากพวกเขาสามคนแล้วพฤทธิกรถึงได้พูดขึ้นว่า

“จะคุยที่นี่หรือจะกลับไปคุยที่บ้านครับ”

“อย่ามาเสียงแข็งใส่แม่นะตาฤทธิ์”

“แต่คุณแม่กำลังล้ำเส้นผมอยู่”ก่อนจะตวัดสายตามองนัยน์ภัคด้วยแววตาเดียดฉันท์ “คุณก็เหมือนกัน คิดว่ายอมให้แม่ของผมลากไปโน่นไปนี่ แล้วผมจะยอมแต่งงานกับคุณเหรอ รู้ไว้เลยนะว่าไม่มีทาง”

แววตาของนัยน์ภัควาวโรจน์ท้าทายที่เขาเดาออกว่าเธอคงไม่มีทางยอมถอยง่าย ๆ ทว่าเขาต้องละสายตาจากเธอเมื่อทิพปภาออกโรงปกป้องหญิงสาวที่พามาด้วย

“อย่ามาพูดจาแบบนี้ใส่น้องต่อหน้าแม่นะ”

“คุณแม่ตกลงให้ผมกับแฟนคบกันได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”พฤทธิกรท้วงถาม

“แต่แกยังไม่มีลูก เพราะฉะนั้นตอนนี้แกก็ต้องทำตามที่แม่สั่ง”

“คุณแม่!!!”เขาเปล่งเสียงเรียก หันรีหันขวางด้วยอาการหงุดหงิดก่อนหันไปพูดกับมารดาอีกครั้งเมื่อคิดข้อต่อรองได้ “ผมจะทำตามที่คุณแม่สั่งก็ได้ แต่คุณแม่ต้องไปคุยกับคุณพ่อก่อนนะครับ ว่าจะยอมให้ผมยกเลิกเรื่องที่รับปากไว้หรือเปล่า ถ้าคุณพ่อไม่ยอม ผมก็ไม่ฟังคุณแม่เหมือนกัน”

“แล้วเรื่องที่รับปากไว้มันเรื่องอะไร”ทิพปภาถามกลับ

“ไปถามสามีของคุณแม่เองสิครับ”ผู้เป็นบุตรชายยักไหล่อย่างไม่แยแส “ผมคงต้องขอตัวก่อน ยังมีงานอื่นให้ทำ อ้อ... พาหนูแขของคุณแม่กลับไปด้วยนะครับ เพราะถ้าปล่อยให้เธอลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้ ผมไม่รับปากอะไรทั้งนั้น”พฤทธิกรยกยิ้มพร้อมยกมือไหว้กล่าวลา ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงาน

เขาเคยรับปากกับบิดาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พาปภินวิชเข้าไปแนะนำให้รู้จักว่า จะไม่ให้การคบหาของพวกเขามีสิ่งใดประเจิดประเจ้อสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูลและบริษัท ต่อหน้ากลุ่มสื่อเมื่อสักครู่เขาจึงไม่อาจพูดสิ่งใด เพราะนอกจากจะเป็นการหักหน้ามารดา ยังทำให้นักข่าวซักไซ้สืบสาวไม่จบ

พฤทธิกรปรับสีหน้าตัวเองเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยงโดยทำเหมือนว่าเรื่องโต้เถียงกับมารดานั้นไม่เคยเกิดขึ้น



เขากลับถึงห้องในเวลาดึกสงัด เพราะนอกเหนือจากงานเลี้ยง ยังต้องเดินทางไปส่งทีมผู้บริหารของบริษัทหุ้นส่วนซึ่งต้องเดินทางกลับประเทศในคืนวันนั้น

พฤทธิกรกดสวิตช์เปิดไฟที่หน้าประตู ก่อนจะเดินมาเปิดไฟที่โถงนั่งเล่นด้านใน เมื่อไฟสว่าง เขาถึงได้เห็นเด็กหนุ่มคนรักนั่งคู้ตัวอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มเดินกลับไปปิดไฟหน้าประตูก่อนเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ปลา”

เด็กหนุ่มเงยหน้าหม่นหมองขึ้นมามองเขา “เมื่อตอนเย็น แม่ของคุณฤทธิ์บอกว่า คุณกำลังจะหมั้น”

“ท่านมาที่นี่เหรอ”

ปภินวิชส่ายศีรษะ “ผมเห็นในคลิป ฟรังค์ส่งมาให้ดู”

“ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่า คุณแม่ของฉันอยากให้ฉันหมั้น”เขาตอบพร้อมเดินเข้าไปหารั้งร่างเพรียวบางเข้ามากอด “กินข้าวเย็นหรือยัง”

เด็กหนุ่มพยักหน้า “โดนปุ้ยบังคับ เริ่มไม่แน่ใจแล้วเนี่ยว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง”เขาตอบพลางสวมกอดชายหนุ่มไว้ พฤทธิกรแนบริมฝีปากลงบนศีรษะของคนรัก กระชับกอดสองแขนเข้าไปอีกนิด

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องชานะ”ชายหนุ่มพูดต่อแม้จะไม่มีเสียงตอบรับจากคนในอ้อมกอด เขารู้ว่าปภินวิชยังคงตั้งใจฟัง น้ำเสียงของเขาอ้อมแอ้มเบาลงเรื่อย ๆ “ที่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวเธอจะโกรธจนพานไม่ชอบฉันไปด้วย”

“คิดได้ยังไง”แต่ต้องชะงักฉุกคิดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน

“ตอนแรกเธอไม่ได้ชอบฉันซะหน่อย”พฤทธิกรพูดสมทบขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มเบ้ปากคิดไปคิดมาว่าไม่บอกเรื่องที่แอบใจเต้นนิด ๆ นั่นดีกว่า

“ถ้าบอกก่อน ก็แค่เพิ่มเรื่องที่ไม่ชอบคุณเข้าไปอีกเรื่อง”

“แต่ฉันอยากให้เธอมีใจให้เร็ว ๆ มีเรื่องที่ไม่ชอบขี้หน้าฉันเยอะ ๆ มันดีซะที่ไหน”

“มารู้ทีหลังผมอาจจะโกรธมากกว่าเดิมก็ได้”เด็กหนุ่มพูดเถียงหน้าง้ำ สองแขนยังเกี่ยวคล้องอยู่รอบคอของอีกฝ่าย พฤทธิกรจึงยืนหน้าเข้าไปแตะจูบพร้อมเอ่ยว่า “เดี๋ยวฉันจะทำดีไถ่โทษ”

“ไม่ได้หมั้นจริง ๆ นะ”ปภินวิชเปลี่ยนไปถามซ้ำเรื่องอื่นอย่างฉับพลัน

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มแหย แต่ก่อนที่คนรักจะได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาพูดต่อไปอีกว่า “เดี๋ยวลองหยุดงานประท้วงสักอาทิตย์ คงจะรู้คำตอบ”

“เอ๋!”คนฟังมีสีหน้าสงสัย

“ดีใจจัง พรุ่งนี้จะได้นอนตื่นสายแล้ว”เขาไม่พูดเปล่าซ้ำยังเอนตัวล้มลงนอนบนโซฟาโดยทับร่างของเด็กหนุ่มคนรักไว้ด้านล่าง

“คุณฤทธิ์อย่ามานอนตรงนี้สิ ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับไปนอนในห้องเถอะ”

“อาบด้วยกันไหม”พฤทธิกรถามตาใส ทว่าคนถูกถามสั่นศีรษะยิก ๆ “ผมอาบน้ำแล้ว”

“อาบแล้วก็อาบอีกได้ อยากแช่น้ำร้อนจัง”เจ้าของคำพูดเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนพร้อมช้อนร่างของเด็กหนุ่มให้ลอยขึ้น คนถูกอุ้มไม่ดิ้นรนขัดขืนได้แต่เอ่ยบอกว่า “ร้อนจะตายยังอยากจะแช่น้ำร้อนอีก”

“ร้อนที่ไหน ข้างนอกลมพัดฉิวอากาศเย็นจะตาย”พฤทธิกรตอบกลับพร้อมเสียงโต้เถียงของคู่รักที่เงียบหายไปเมื่อบานประตูถูกปิดลง



ชายหนุ่มนอนอืดดูรายการโทรทัศน์อยู่บนโซฟามาตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า เขายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดนอนเนื้อหนาคลุมทับร่างด้วยผ้าห่มอีกผืนเนื่องจากอุณหภูมิอากาศที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มที่ถือจานแซนด์วิชเข้ามาใกล้เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอีกฝ่าย

“มาเร็ว ๆ หนาวจะตายอยู่แล้ว”

“หนาวอะไรกันนอนห่มผ้าหนาอย่างนี้”ปภินวิชพูดบ่นก่อนร้องสั่งอีกประโยค “ลุกขึ้นมานั่งทานดี ๆ ก่อนสิครับ”

พฤทธิกรยอมชันตัวลุกขึ้นนั่ง กระนั้นก็คว้าร่างของเด็กหนุ่มเข้ามากอดและดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของพวกเขาไว้  คอยให้คนรักหยิบแซนด์วิชซึ่งเป็นอาหารมื้อกลางวันนำมาป้อนถึงปาก

“คุณฤทธิ์ไม่ไปทำงานแบบนี้จะดีเหรอ”ปภินวิชเอ่ยถามขณะที่ทานส่วนของตนตามไปด้วย

“ไม่เป็นไรหรอก โทรไปบอกคุณก้อยแล้วว่าจะโดดงานประท้วง”

“ยิ่งข้ออ้างอย่างนั้นยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่”พร้อมกับตีหน้าบึ้งพูดดุเมื่อชายหนุ่มจงใจกินนิ้วของเขาเข้าไปด้วยยามที่เขาป้อนอาหาร “ผู้บริหารก็หยุดงานประท้วงได้ด้วย”

“ก็คิดไม่ออกแล้ว”ชายหนุ่มยอมสารภาพออกไปตามตรง “มันมีทางเลือกแค่แตกหักหรือยอมทำตามเท่านั้น”

ประโยคนั้นทำให้ปภินวิชมีสีหน้าสลดลง จนพฤทธิกรต้องกล่าวปลอบใจว่า “เนี่ยแบบนี้ดีที่สุด กดดันคุณดรัสพงศ์ให้กล่อมคุณทิพปภาเพื่อให้คุณทิพปภายอมถอยกลับไปยืนที่เดิม”

กระนั้นคนฟังยังมีสีหน้าครุ่นคิดแม้เมื่อวานจะคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพฤทธิกรอยู่ตลอดทั้งวันแล้วก็ตาม ทางเลือกสำหรับเขาคงมีแค่ดึงดันคบกับชายหนุ่มต่อไป หรือเลิกราและยอมถอยออกมา เรื่องที่ชายคนรักเหมือนจะถูกคลุมถุงชนกลับเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักกว่าเรื่องที่เขาเพิ่งรู้ว่า ญาติพี่น้องของอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนั้นเสียอีก

ถึงเขาจะยังไม่สามารถให้อภัยนายชัญชกรได้ง่าย ๆ แต่กระนั้น ก็ถือได้พฤทธิกรไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น ในกรณีนี้ไม่ว่าอย่างไรคงต้องโทษนายคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังทำตัวไม่รู้จักคิดอีก ปภินวิชคิดอย่างโมโห

“ขมวดคิ้วเป็นปมเชียว คิดอะไรอยู่เหรอ”

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนถามก่อนตอบออกไปว่า “คิดว่านายชัญชกรเนี่ยโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังทำตัวไม่รู้จักคิดอีก” พฤทธิกรมีสีหน้าแปลกใจที่จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องของญาติผู้น้อง ทั้งที่ก่อนหน้ายังคุยเรื่องที่แม่ของเขาบังคับให้หมั้นอยู่เลย

ปภินวิชจึงส่งเสียงหัวเราะ “พอดีคิดว่าระหว่างเรื่องแม่ของคุณกับเรื่องน้องชาย พอมารู้เรื่องพร้อมกัน เรื่องน้องชายของคุณเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย อืม... จะว่าคุณแม่ของคุณก็เคยบอกผมเรื่องที่คุณฤทธิ์จะแต่งงานแล้วนี่นา”

พฤทธิกรมองใบหน้าสงบนิ่งของเด็กหนุ่มคนรักด้วยความปลอดโปร่ง แม้ยังไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วปภินวิชจะคิดเห็นตัดสินใจอย่างไร แต่เขาอยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น ว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมแพ้และตัดใจเลิกรากับเขาง่าย ๆ

“ฉันดีใจที่เธอไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดมาก”

“เพราะผมเชื่อคุณครับ เชื่อในการกระทำของคุณ ก่อนหน้านี้คุณยังอยู่เคียงข้างผมในช่วงเวลาที่แสนโหดร้าย ผมเลยอยากเป็นกำลังใจให้คุณเช่นเดียวกัน”

ชายหนุ่มกอดรัดคนพูดไว้แน่น คำพูดที่ได้ฟังทำให้เขาฮึกเหิมมีแรงมีกำลังผจญกับอุปสรรคทุกสิ่ง พฤทธิกรรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเหมือนกันที่มีโอกาสได้กลับมาเจอกับปภินวิชอีกครั้ง เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ความรักที่ทุ่มเทให้ไปมันถูกส่งตอบกลับมาอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน

“แต่ผมลองคิดเล่น ๆ ไว้เหมือนกันนะ”ปภินวิชพูดขึ้นอีกครั้งหลังปล่อยให้ชายหนุ่มรัดตนจนเหมือนกระดูกจะป่นเป็นผงแล้วจริง ๆ ชายคนรักคลายอ้อมกอด ผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเขา

“ผมไม่อยากให้คุณฤทธิ์ทะเลาะกับแม่ เพราะฉะนั้นคุณจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้”

“ไม่ ไม่เด็ดขาด”ชายหนุ่มเอ่ยค้านทันควัน

“คุณก็แต่งแต่ในนามก็พอ แล้วเราก็อยู่ด้วยกันอย่างนี้”เด็กหนุ่มมั่นใจว่า ต่อให้พฤทธิกรแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น เขาก็ยังเป็นที่หนึ่งอยู่ดี โดยไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน

“ไม่ไหวหรอก”คนพูดโบกมือปฏิเสธ “ผู้หญิงคนนั้นร้ายจะตาย เชื่อว่าที่อยากแต่งกับฉันคงเพราะแค่อยากเอาชนะซะมากกว่า ถ้าได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องเมื่อไหร่ต้องตามมาราวีไม่หยุดแน่”ที่สำคัญเธอมีมารดาของเขาหนุนหลัง ถ้าต้องแต่งงานกันจริง ๆ ชีวิตของเขาคงทุกข์ทรมานยิ่งกว่าอยู่ในนรก

พอลองคิดตาม เด็กหนุ่มเริ่มเห็นด้วยว่าท่าจะเป็นจริงตามที่พฤทธิกรพูด เพราะขนาดเขาบอกว่าคุณฤทธิ์เป็นเกย์ เธอยังไม่สนใจเลย

“แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณไม่ยอมจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะครับ”

พฤทธิกรคิดคำตอบของคำถามแบบนี้ไว้แล้ว จึงสามารถตอบออกไปได้อย่างรวดเร็วพลางทำหน้าทำตาให้น่าสงสารลงอีกนิด “ฉันคงต้องยอมโดนตัดออกจากกองมรดก ออกไปกัดก้อนเกลือกิน ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะอยู่กับฉันไหม”

“คุณฤทธิ์ไม่ต้องห่วงนะครับ เงินที่คุณฤทธิ์ให้ผมไว้ ผมแทบไม่ได้ใช้อะไรเลย ถ้าพวกเรากินใช้อย่างประหยัดคงอยู่สบาย ๆ ได้อีกนาน”

“ดีจัง”พฤทธิกรยกยิ้มกว้างขณะกระชับอ้อมกอดโอบรัดเด็กหนุ่มไว้อีกหน เขาดีใจที่วันนั้นตนเองตัดสินใจรั้งเด็กหนุ่มไว้และยอมทำตามหัวใจตัวเอง ก่อนจะคิดได้ว่าควรหาอะไรไปตอบแทนหลานชายจอมวุ่นวายอย่างกวีวัธน์ด้วยละมั้ง เพราะถ้าไม่ได้กลอุบายหลอกล่อของหลายชายตัวแสบ เขาคงไม่ได้พบความสุขใจจากการมีคนรักเช่นวันนี้


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//วันศุกร์ที่ 12 มกราคมเป็นบทส่งท้ายนะคะ//*

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 25 [08/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-01-2018 08:23:48
ดีค่ะ จัดการให้เด็ดขาดเสียที
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 25 [08/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2018 09:35:52
คนเป็นแม่ จะรำคาญลูก เพราะลูกพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง
เหมือนกับที่พฤทธิกร ก็รำคาญแม่เช่นกัน เอ่อ.....คนอ่านก็รำแม่  :angry2:

นอกจากรำ แม่ ก็รำ หนูแข มากกกกกกกก :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 25 [08/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-01-2018 12:23:57
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-01-2018 06:16:53
บทส่งท้าย



พฤทธิกรตั้งใจจะหยุดงานประท้วงเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ตามที่เคยพูดกับคนรักไว้ ทว่าความตั้งใจต้องเขาต้องเป็นหมัน เนื่องจากในวันที่สามที่เขาหยุดงาน หลานชายผู้อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยได้ถือแฟ้มโบนัสและปรับเงินเดือนของปีหน้ามาให้เซ็นถึงที่

ตอนนั้นเขากำลังนอนหนุนตักคนรักดูรายการโทรทัศน์อยู่ในห้องพัก

“น้าฤทธิ์จะประท้วงก็ไม่มีใครว่าครับ แต่ต้องมีความรับผิดชอบ อย่าให้พนักงานตาดำ ๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วย”

“อืม... นั่นสินะ แต่ฉันไม่มีแรงใจจะเซ็นเลย”เขาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเนือยพลางพลิกตัวซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องของปภินวิช ขณะที่คิดอยู่ในใจว่า ถ้ายอมเซ็นต่อไปคงพากันขนงานมาให้ทำถึงคอนโด ถ้าเป็นอย่างนั้นการหยุดงานประท้วงของเขาจะมีความหมายอะไร

“น้าฤทธิ์ ถ้าไม่มีมีลายเซ็นของน้า ฝ่ายบุคคลก็จ่ายเงินไม่ได้นะครับ”

“แกก็เอาไปให้พ่อของฉันเซ็นก็ได้ ฉันมันแค่ประธาน พ่อของฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของ”พฤทธิกรส่งเสียงอู้อี้ตอบกลับไป

ส่วนปภินวิชได้แต่ยกยิ้มแหย ถึงจะตีกันบ่อย ๆ แต่เรื่องแบบนี้ก็เห็นใจกวีวัธน์รวมถึงพนักงานอีกหลายคน กระทั่งชายหนุ่มตรงหน้าพูดขอร้อง เขาจึงได้เขย่าตัวชายคนรัก

“น้องปลาช่วยพูดหน่อย”

“คุณฤทธิ์ครับ ลุกขึ้นมาเซ็นชื่อให้คุณกลอนเขาหน่อยเถอะ”

กระนั้นชายเจ้าของชื่อยังนอนนิ่งไม่หือไม่อือ

“คุณฤทธิ์อย่างทำแบบนี้สิ”

ไม่ว่าปภินวิชจะเอ่ยเรียกซ้ำกี่ครั้ง พฤทธิกรก็ยังนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม จนกวีวัธน์เกิดงอแงขึ้นมาบ้าง “ผมจะไปฟ้องคุณตา” หลานชายทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะสาวเท้าออกจากห้อง เด็กหนุ่มหันมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับมาพูดกับพฤทธิกรว่า

“จะไม่เป็นไรจริง ๆ หรือครับ จะไม่โดนคุณพ่อของคุณว่าเอาเหรอ”

“ก็รอให้โทรมาว่าอยู่ คุณแม่ก็เงียบไปเลย”

ดังนั้นเมื่อวันถัดมามีสายเรียกเข้าจากบิดา พฤทธิกรจึงดีใจแทบเนื้อเต้นเพราะจะได้รู้สักที่ว่าฝั่งบุพการีจะเอาอย่างไรกันแน่

“แทนที่จะเข้ามาคุยกันดี ๆ กลับโดดงานนะไอ้เสือ”บิดาส่งเสียงล้งเล้งกลับมาทันทีที่เขารับสาย “แล้วอย่ามาบอกว่าไม่มีแรงใจเหมือนกับที่บอกเจ้ากลอนล่ะ”

คนฟังหัวเราะ “กลอนคงใส่ไฟผมไว้เยอะเลยสิท่า เพราะตอนที่คุณก้อยโทรไปแจ้งยังเห็นคุณพ่อเฉย ๆ อยู่เลย”

“หลานแกเอามาพูดว่าเยอะเชียวล่ะ บอกว่าแกไม่ยอมทำงานเอาแต่จู๋จี๋กับแฟน”เสียงปลายสายขำขันไม่ต่างกัน ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงมารดาดุแทรกเข้ามา คุณดรัสพงศ์ถึงได้เปลี่ยนโทนเสียงเสียใหม่ “กลับไปทำงานได้แล้วเจ้าฤทธิ์ อย่าให้แฟนแกมาทำให้เสียการเสียงานจนบริษัทล่มจม ส่วนเรื่องแกกับแฟน ไว้ว่างเมื่อไหร่ค่อยเข้ามาคุยกับแม่แกอีกที”

น้ำเสียงประโยคถัดมากระซิบกระซาบเบาลงอย่างชัดเจน “พ่อว่าแม่แกคงหือไม่ขึ้นแล้วล่ะ กลัวลูกชายจะกล้าแตกหักจริง ๆ”จากนั้นน้ำเสียงที่ใช้พูดจึงกลับมาดังแข็งกระด้างอย่างเดิม “เออ... ก็ตามนั้นแหละ โตแล้วอย่ามาทำตัวเป็นเด็ก ๆ เข้าใจไหมเจ้าฤทธิ์”

เขาตอบรับก่อนกดตัดสายไป จากนั้นจึงโถมตัวกอดรัดเด็กหนุ่มคนรักไว้อีกครั้ง

“ผมโดนกอดจนกระดูกเหลวไปทั้งตัวแล้วครับ”คนโดนกอดเอ่ยบ่น กระนั้นกลับยังปล่อยให้เขาคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดิม

“เริ่มขี้เกียจไม่อยากไปทำงานซะแล้ว”

ถึงแม้ว่าพฤทธิกรจะทำตัวเกเรไม่ไปทำงานเป็นระยะเวลารวมแค่สี่วัน แต่ช่วงที่หยุดติดวันอาทิตย์ด้วย นั่นเท่ากับเขาได้หยุดงานรวมห้าวันเต็ม อย่างไรก็ดีเนื่องจากการหยุดงานครั้งนี้ไม่ได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า ชายหนุ่มจึงไม่ได้มีโอกาสพาคนรักไปเที่ยวที่ไหน ได้แต่นอนกอดสร้างความอบอุ่นต้านทานอากาศหนาวกันอยู่ในห้อง

“แล้วคุณพ่อของคุณว่าอย่างไรบ้างครับ”

“ไม่ว่าอะไร ก็แค่บอกให้กลับไปทำงานนั่นแหละ แล้วค่อยเข้าไปคุยกันอีกที”พฤทธิกรพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูปฏิทิน บริษัทของเขากำหนดให้หยุดปีใหม่ตั้งแต่วันที่สามสิบธันวาคมถึงสองมกราคม

“เดี๋ยวฉันเข้าไปหาพวกท่านวันที่สามสิบเลยแล้วกัน แล้วคืนวันที่สามสิบเอ็ดเราสองคนจะได้มาเคาน์ดาวน์ข้ามปีด้วยกัน”ประโยคหลังคนพูดหันมาทำตาเจ้าชู้ใส่ แต่ปภินวิชไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อกระทั่งชายหนุ่มพูดเสริมสมทบออกมาอีกว่า “จะได้ใช้ของที่เธอซื้อมาแล้วนะ ดีใจหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มเขินหน้าแดงแต่แกล้งตีหน้าขรึมพูดตอบกลับไป “ไม่รอวันวาเลนไทน์ล่ะครับ พิเศษกว่าอีก”

“อดทนไม่ไหวแล้ว”พฤทธิกรแสร้งโอดครวญโวยวาย

“ก็ไม่ได้บอกให้อดทนซะหน่อย”เด็กหนุ่มพูดเย้าแหย่

“โอ้ย... อย่ายั่วได้ไหม”พฤทธิกรอดรนทนไม่ได้ลงมือฟัดสองแก้มของคนรักด้วยท่าทางหยอกเย้า ปลายจมูกโด่งและริมฝีปากขยับแตะรุกไล่ตรงโน้นทีตรงนี้ทีทำให้ปภินวิชสะดุ้งจั๊กจี้ ดิ้นหนีไปพลางส่งเสียงหัวเราะไปพลาง แต่เพราะโดนทับอยู่ด้านล่างจึงขยับตัวไม่ถนัด เด็กหนุ่มโดนนัวเนียเล้าโลมจนเหนื่อยหมดแรง ชายคนรักถึงยอมปล่อยให้เขาได้นอนพักหายใจหายคอ



พฤทธิกรกลับไปทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเห็นเอกสารกองโตบนโต๊ะก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

ปลายปีแต่ละแผนกจะส่งเอกสารขออนุมัติค่าใช้จ่ายในปีหน้ามาให้เขาตรวจเช็ก นอกจากนั้นยังมีเอกสารจำพวกแผนงานและแผนโครงการอีกหลายอย่าง รวมถึงยังมีรายงานสรุปการดำเนินงานของปีปัจจุบันอีก เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองจะได้หยุดปีใหม่เหมือนกับคนอื่นหรือไม่

“โอ๋ ๆ อย่าเพิ่งทำหน้าท้อแท้แบบนั้นสิ เดี๋ยวผมช่วย”ปภินวิชพูดพร้อมรอยยิ้ม ดันร่างชายหนุ่มให้ไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันได้หยิบจับอะไร หลานชายได้เปิดประตูดังผลัวะเดินเข้ามาเสียก่อน

“น้าฤทธิ์เซ็นจ่ายโบนัสก่อนเลยครับ”

“แหมเรื่องนี้สำคัญมากเลยนะ”ฝ่ายน้าชายค่อนขอด รับแฟ้มเอกสารมากวาดสายตาอ่านเนื้อหาก่อนจรดปากกาลงไป

“แน่นอนสิครับ ทำงานทั้งปีก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ขอบคุณมากนะครับ”กวีวัธน์กลับออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นปภินวิชจึงแกล้งเอ่ยถามแซวว่าจะเริ่มจากงานไหนก่อนดี เห็นรอยยิ้มให้กำลังใจบนใบหน้าใสของเด็กหนุ่มคนรักแล้ว พฤทธิกรรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงมีเต็มเปี่ยม เอกสารกองโตตรงหน้าจึงดูเหมือนลดน้อยลงไปกว่าเดิม

เขาจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จทันก่อนหยุดยาวได้ฉิวเฉียด ระหว่างนั้นมีวันที่ต้องอยู่ดึกบ้างแต่ปภินวิชก็คอยอยู่เป็นเพื่อนตลอด พอบอกให้กลับไปก่อนเด็กหนุ่มคนรักได้ตอบกลับมาว่า

“ผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณฤทธิ์ได้แค่ช่วงนี้แหละ ถ้าผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วอาจจะว่างไม่ตรงกันก็ได้”

เมื่อได้ยินเหตุผลนั้น พฤทธิกรจึงยอมพยักหน้าเออออรับคำเห็นด้วย ถ้ามีเวลาอยู่ด้วยกันก็น่าจะใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด

ด้วยเหตุนั้น บ่ายวันทำงานวันสุดท้ายของปีจึงค่อนข้างว่าง พนักงานในสำนักงานคนอื่น ๆ ก็คงตื่นเต้นอยู่กับงานเลี้ยงที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงค่ำ ไม่เว้นแม้แต่ปภินวิชที่ไปนั่งช่วยสุธาณีทำสลากจับของขวัญตั้งแต่เช้า

เห็นว่าเลขากำลังยุ่งเขาจึงกดโทรศัพท์มือถือเรียกหลานชายมาหาที่ห้องด้วยตัวเอง นั่งรอด้วยการอ่านรายงานในคอมพิวเตอร์อยู่ครู่หนึ่ง กวีวัธน์ก็เปิดประตูเข้ามา

“น้าฤทธิ์มีอะไรเหรอครับ”

เขาเปิดลิ้นชักหยิบกล่องของขวัญยื่นไปให้

“อะไรเหรอครับ”

“ของขวัญไง”

“รู้ครับ แต่น้าฤทธิ์จะให้ผมเอาไปให้ใคร หรือให้เอาไปทำอะไรล่ะครับ”

“ของแก”

“ของผม?”คนถามชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแต่กระนั้นก็ยื่นมือมาหยิบของชิ้นนั้นไป “น้าฤทธิ์กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า”

“อะไร ฉันก็ซื้อของขวัญปีใหม่ให้ทุกปี”

“ใช่ครับ ซื้อให้ทุกปีแต่น้าซื้อโปเกม่อนให้ผมทุกปีเลย ผมโตแล้วครับ ไม่ได้อยากได้ตุ๊กตา”หลานชายมีสีหน้าละเหี่ยใจ คนฟังได้ยินคำพูดตัดพ้อจึงส่งเสียงหัวเราะ “ลองเปิดดูจะได้รู้ว่าชอบชิ้นนี้หรือเปล่า”

กวีวัธน์ลงมือแกะห่อกระดาษอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นกล่องใบเล็ก ๆ ที่รู้แน่ว่าไม่ใช่ตุ๊กตาเช่นปีก่อน แต่น้าชายอาจจะแกล้งเขาด้วยการใส่พวงกุญแจมาให้ก็ได้ ทว่าทันทีที่เห็นของข้างใน เขาอยากจะเทคตัวขึ้นตีลังกาสักสามรอบและส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี นัยน์ตาเป็นประกายจ้องมองนาฬิกาสายหนังสีดำเรียบ หน้าปัดสีดำตัดกับเข็มนาฬิกาสีเงินซึ่งกำลังนอนนิ่งส่งยิ้มมาให้จากในกล่องด้วยความชอบใจ

“ไหนน้าฤทธิ์บอกว่าพอใจผลงานของผมแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์”ใบหน้าของกวีวัธน์ตื่นเต้นยินดีเสียจนผู้เป็นน้าชายยกยิ้มขำ

“พอรวมกับผลงานอื่น ๆ แล้วรู้สึกว่าก็พอได้อยู่”

กวีวัธน์ถึงกับไปลากเก้าอี้มานั่ง “ผลงานผมดีเพราะเรื่องน้องปลาใช่ม้า เห็นไหมผมมองขาด รู้อยู่แล้วว่าน้าฤทธิ์ต้องชอบน้องเขามาก”หลานชายพูดฝอยไม่หยุดตามประสาประสมรวมอาการกระตือรือร้นปลื้มปริ่ม กระทั่งเลขาสาวมาเคาะประตูแจ้งว่าจะเดินทางไปที่โรงแรมแล้วนั่นล่ะ กวีวัธน์ถึงได้ลุกขึ้นหันไปสนใจกับงานเลี้ยงในคืนนั้นเสียแทน

งานเลี้ยงสิ้นปีถูกจัดขึ้นในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ อาคารสำนักงานเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เป็นงานเลี้ยงที่ไม่ได้บังคับให้พนักงานทุกคนต้องเข้าร่วม เนื่องจากกำหนดให้ลงเวลาเข้างานแค่ช่วงเช้าเท่านั้น แต่เพราะฝ่ายบริหารมีงบของขวัญซึ่งเป็นรางวัลใหญ่อย่างสร้อยคอทองคำหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ด้วย พนักงานจึงอยู่ร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทุกปี

ตอนที่พฤทธิกรไปถึง โต๊ะที่นั่งได้ถูกพนักงานแต่ละฝ่ายจับจองไปหมดแล้ว เว้นไว้ก็แต่โต๊ะวีไอพีสำหรับครอบครัวของเขาที่เก้าอี้เพิ่งถูกจับจองไปไม่กี่ตัว หนึ่งในนั้นมีชัญชกร ญาติผู้น้องนั่งร่วมอยู่ด้วย เขาจึงกวาดสายตามองหาปภินวิช เมื่อเห็นคนรักนั่งอยู่กับเลขาสาวจึงเดินเลี่ยงเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มญาติสนิท

ชายหนุ่มยกมือไหว้อาสะใภ้ก่อนหันไปคุยกับน้องชาย

“อาธรล่ะ”

“พ่อแวะเข้าห้องน้ำครับ ผมกับแม่เลยเข้ามาก่อน”จากนั้นชัญชกรได้ขยับเข้ามากระซิบพูดเสียงเบา “คุณป้าเขาไปรับว่าที่คู่หมั้นของพี่มาด้วยนะ”

พฤทธิกรขมวดคิ้ว “แกรู้ได้ยังไง”

“เมื่อตอนเย็นผมโทรไปถามว่าจะให้ไปรับหรือเปล่า คุณลุงเลยบอกว่า คุณป้าเขาจะไปรับหนูแขด้วย”

คนฟังจึงมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมา

“ผมจัดการให้มะ”ญาติผู้น้องพูดขึ้นมาอีก ยักคิ้วพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ขอแค่พี่ฤทธิ์จ่ายค่าห้องให้ผมเหมือนเดิม เอาเหมือนกลอนก็ได้ พี่ดูผลงานก่อนแล้วค่อยตอบตกลง”

คนพูดดูมั่นใจมากจนทำให้เขามีแต่ความกังขากระนั้นก็พยักหน้าตกลงเนื่องจากเห็นว่าตนเองไม่เสียประโยชน์อะไร และเหมือนว่าชัญชกรจะคุยกับกวีวัธน์มาก่อนหน้า เพราะทันทีที่เขาตอบตกลง หลานชายได้รีบเปลี่ยนที่ย้ายมานั่งข้างเขาอีกฝั่ง

“อยากได้อะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย”เขาถามด้วยความระแวง เริ่มรู้สึกว่าทั้งน้องทั้งหลานคงเห็นเขาเป็นตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ พออยากได้อะไรถึงได้เข้ามาปะเหลาะขอ

“เปล่าครับ ผมแค่พยายามสะสมแต้มบุญไว้สำหรับของขวัญปีหน้า”กวีวัธน์ตอบหน้าทะเล้น

พวกเขานั่งคุยกันอยู่ไม่นาน บิดามารดา อาผู้ชายและหญิงสาวที่มารดาของเขาหมายมั่นปั้นมืออยากได้มาเป็นสะใภ้ก็มาถึง แน่นอนว่าที่นั่งข้างเขาถูกประกบด้วยญาติผู้น้องและหลานชาย คุณทิพปภาจึงต้องจัดที่นั่งให้นัยน์ภัคมาอยู่ข้าง ๆ ตน

หลังจากหลาน ๆ ยกมือไหว้ทักทายญาติผู้ใหญ่กันเรียบร้อย ชัญชกรได้เอ่ยทักนัยน์ภัคขึ้นมาว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณแข ผมจะทักตั้งแต่วันแถลงข่าวแล้วแต่ไม่มีโอกาส คุณสบายดีนะครับ”

“ค่ะ”หญิงสาวรับคำด้วยความงงงวย ก่อนเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าคุณ...”

“ผมชาไงครับ ‘ชัญชกร’ จำไม่ได้เหรอ เมื่อสามสี่ปีก่อนเรายังไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ อยู่เลย”

ทว่าหญิงสาวยังมีท่าทางเหมือนนึกไม่ออก ชัญชกรจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจบ้าง “คุณแขชื่อจริงว่าอะไรครับ”

“นัยน์ภัคค่ะ”

“อ้อ...”คนพูดลากเสียงยาว สีหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “งั้นต้องขอโทษด้วยครับ บางทีผมอาจจะจำผิด”การสนทนาจบลงแค่นั้นพานให้พฤทธิกรรู้สึกขัดใจเล็ก ๆ เขานึกว่าจะมีประเด็นสำคัญอะไรเสียอีก เพราะจับสังเกตได้ว่า มารดาก็ให้ความสนใจกับบทสนทนาของหลานชายและหญิงสาวเช่นกัน จะมีก็แต่ชัญชกรเท่านั้นที่อมยิ้มกรุ้มกริ่มแบบมีนัยสำคัญ

งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าเริ่มต้นโดยการกล่าวเปิดงานและคำอวยพรของดรัสพงศ์ อดีตท่านประธานใหญ่ของบริษัท จากนั้นเป็นการแสดงของพนักงานพร้อมกับอาหารถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ หลังจบการแสดงของพนักงานเป็นการแสดงของวงดนตรีมืออาชีพสลับกับกิจกรรมที่ทีมจัดงานเลี้ยงตระเตรียมกันมา สุดท้ายเป็นกิจกรรมจับของขวัญที่ทุกคนรอคอย

แต่เนื่องจากพนักงานทั้งตึกมีจำนวนหลายร้อยคน คนที่เข้าร่วมงานจึงได้จับสลากหมายเลขพร้อมลงชื่อตั้งแต่ก่อนผ่านหน้าประตูห้องจัดเลี้ยง ส่วนของขวัญได้ถูกเตรียมไว้ใต้ผ้าคลุมสีชมพูและโบว์อันใหญ่เพื่อไม่ให้รู้ว่าของขวัญชิ้นไหนติดหมายเลขอะไร

พฤทธิกรถูกเชิญให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อเปิดผ้าคลุมและมอบของขวัญชิ้นแรกซึ่งเป็นโทรทัศน์แอลอีดี หลังประกาศหมายเลข สิ่งที่ตามมาเป็นเสียงกรีดร้องยินดีของคนที่ได้รางวัล เจ้าของสลากหมายเลขเป็นหญิงร่างท้วมซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานของท่านประธานคนปัจจุบันมาก่อน ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงคว้าหมับดึงเขาเข้าไปกอดเป็นอันดับแรกและกดจมูกที่แก้มอีกข้างละทีถึงจะยอมถือเครื่องโทรทัศน์เดินกลับไป

ระดับบริหารท่านอื่นก็ถูกประกาศเชิญขึ้นไปมอบของขวัญเช่นเดียวกัน กระทั่งของรางวัลใหญ่ชิ้นสุดท้ายที่เป็นสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทซึ่งบิดาของเขาเป็นผู้สนับสนุน คนที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอีกครั้ง เจ้าตัวเป็นชายแต่ยกมือไหว้ย่อขาเกือบถึงพื้น หลังจากรับกล่องสีแดงใส่สร้อยทองมาไว้ในมือแล้ว ยังโบกไม้โบกมือทำหน้าปลาบปลื้มราวกับเจ้าตัวกำลังได้รับมงกุฎนางงาม

จบจากการแจกรางวัลใหญ่ พิธีกรจึงประกาศให้เจ้าของสลากที่เหลือมารับของขวัญซึ่งมีตั้งแต่ขนมของกินไปถึงของใช้

และแล้วงานเลี้ยงคืนนั้นก็สิ้นสุดลง

เขาตามไปส่งบิดามารดาที่รถพร้อมบอกว่าจะเข้าไปหาพรุ่งนี้ก่อนปิดประตูให้  ญาติผู้น้องของเขาที่กำลังก้าวเท้าขึ้นรถอีกคันจึงได้หันมาบอกว่าเดี๋ยวโทรหา ยืนรอมองส่งจนรถยนต์เคลื่อนที่ไปไกลแล้วจึงเดินกลับเข้าไปข้างใน

ภายในห้องจัดเลี้ยงยังคึกคักเพราะยังแจกของขวัญกันไม่หมด คนรักของเขาเองก็ไปยืนช่วยสุธาณีแจกจ่ายของตามหมายเลขสลากอย่างขยันขันแข็ง ดังนั้นอีกพักใหญ่กว่าพวกเขาจะได้เดินทางกลับ







หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-01-2018 06:27:11

วันรุ่งขึ้นพฤทธิกรออกจากบ้านแต่เช้า มีปภินวิชที่ถือกระเช้าของบำรุงและปวันรัตน์ขึ้นรถตามมาด้วย คนพี่ให้เหตุผลว่า

“ไหน ๆ จะไปเป็นเขยบ้านเขาแล้ว ต่อให้แม่ยายไม่ชอบ ยังไงก็ต้องพยายามเข้าหา”

ได้ยินเหตุผลขำ ๆ แบบนั้นแล้วเขายิ่งรู้สึกดี เพราะถึงจะเคยบอกว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ แต่ถ้าคนรักสามารถเข้ากับครอบครัวของเขาได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

ส่วนเหตุผลของคนน้องคือ “ปุ้ยอยากไปเห็นบ้านน้าฤทธิ์ เมื่อวานส่งข้อความคุยกับพี่กลอน พี่กลอนบอกว่าบ้านน้าฤทธิ์อลังการมาก”

เป็นอันว่า การกลับบ้านครั้งนี้ของเขามีลูกสมุนตามไปอีกเป็นพรวน ทั้งญาติผู้น้องที่โทรบอกไว้ก่อนหน้าและหลานชายที่เขาคิดว่า อย่างไรคงได้เห็นหน้าที่บ้านบิดามารดาแน่นอน

แต่ปรากฏว่ากวีวัธน์และชัญชกรไปนั่งคุยนั่งทานขนมกับบิดามารดาก่อนเขาจะเดินทางไปถึงเสียอีก พวกเขาจึงตามเข้าไปสมทบในห้องรับแขก

ปภินวิชมีท่าทางเกร็งเครียดอย่างเห็นได้ชัดยามที่ถือกระเช้าคลานเข่าเข้าไปมอบให้มารดาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยมีน้องสาวเกาะหลังตามไปติด ๆ และยิ่งหน้าเผือดสีเมื่อทิพปภายังเชิดหน้าคอแข็ง ผู้เป็นสามีจึงยื่นมือออกมารับไว้เสียแทน

“มา ๆ ขอบใจมากนะที่ซื้อมา เออ... รังนกยี่ห้อนี้อร่อยดีลุงชอบ”

เด็กหนุ่มยิ้มรับ และหันมาแนะนำน้องสาวให้รู้จัก “นี่น้องสาวผมครับชื่อปุ้ย” เจ้าของชื่อรีบยกมือไหว้ทันที

“ไหว้พระเถอะ”พร้อมกล่าวบอกให้เด็กทั้งสองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ พลางส่งคำถามไปให้ปวันรัตน์อีกประโยค “แล้วหนูเป็นอะไรล่ะนั่น ทำไมต้องใส่หมวกไหมพรมไว้ล่ะ”

“ปุ้ยต้องรับคีโมค่ะ ที่ใส่หมวกไว้เพราะไม่มีผม”เด็กสาวกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม ดรัสพงศ์จึงอวยพรของให้เธอแข็งแรงหายไว ๆ

ชัญชกรเห็นเป็นโอกาสดีจึงพูดเป็นทำนองชวนคุณป้าคุยว่า “ผมเห็นเมื่อวันงานแถลงข่าวคุณป้าประกาศอยากจะให้คุณแขหมั้นกับพี่ฤทธิ์หรือครับ”

“ถ้าเป็นไปได้ป้าก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่พี่ชายเราน่ะสิยึกยักท่ามากอยู่ได้ อายุก็มากขึ้นทุกวัน”ทิพปภาพูดตอบหลานแต่ปรายสายตาไม่ชอบใจไปทางคนรักของลูกชาย จนเด็กหนุ่มต้องก้มหน้าหลบ

“คุณแขเขาก็นิสัยดีนะครับ แต่จะดีหรือครับเมื่อก่อนเขาเคยกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ กับผมอยู่นะ”

“พูดอะไรของเธอ”ทิพปภาแผดเสียงถามกลับไปทันที

“ก็จะอะไรล่ะครับคุณป้า”คนพูดอึก ๆ อัก ๆ คล้ายไม่กล้าบอก “ผมกับคุณแขเคยควงกันมาก่อน ถ้าเกิดเธอได้แต่งงานกับพี่ฤทธิ์ มันจะมองหน้ากันไม่ติดนะครับ”

“อย่ามาหลอกป้าเสียให้ยากเลย เมื่อวานหนูแขเขายังดูเหมือนไม่รู้จักเราอยู่เลย”

“แหม ถ้าคุณป้ารู้ว่าเธอเคยคบผมมาก่อน คุณป้าจะยังอยากได้คุณแขมาเป็นสะใภ้หรือครับ เธอก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักผมสิ”

“จริงเรอะชา”ดรัสพงศ์เอ่ยถามซ้ำ ตัวเขากับบิดานัยน์ภัครู้จักคบหากันมานาน พอรู้กิตติศัพท์ว่าบ้านนั้นทั้งหวงทั้งดูแลลูกสาวอย่างดี คิดว่าไม่น่าจะปล่อยให้มาคบหากับชัญชกรได้ง่าย ๆ

“จริงสิครับคุณลุง ผมจะโกหกทำไม ผมมีหลักฐานด้วยนะ”คนพูดล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดหาภาพคู่ของเขาและหญิงสาวที่ตกเป็นประเด็นสนทนา ก่อนจะส่งไปให้ผู้อาวุโสทั้งสองได้ดู

“มีภาพที่เอ็กซ์คลูซีฟกว่านี้ด้วยนะครับ”ชัญชกรพูดไม่ทันจบประโยคผู้เป็นป้าก็ร้องว้ายแล้วดันโทรศัพท์หนี กวีวัธน์ถึงกับลุกพรวดเข้าไปสุมหัวดูด้วย แต่ไม่ทันดรัสพงศ์ที่มือไวกดลบอย่างรวดเร็ว

“คุณตารีบลบทำไมล่ะครับ ผมยังไม่เห็นเลย”

“เป็นเด็กเป็นเล็กมาสนใจอะไรเรื่องพรรค์นี้ฮึเจ้ากลอน แกเองก็เหมือนกันเจ้าชา มีภาพพวกนี้อีกหรือเปล่า ลบให้หมดเลยนะ อย่าให้ลุงรู้ว่ามีเก็บไว้เชียว”

“ไม่มีแล้วครับคุณลุง ผมมีเก็บไว้แค่ในไอคลาวน์เท่านั้น”

“นี่ไม่ใช่ว่ามันหลุดเผยแพร่ออกไปหมดแล้วล่ะ ไปเก็บไว้บนอินเทอร์เน็ตแบบนั้น”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้เผยแพร่เป็นสาธารณะ”

แต่ดรัสพงศ์ยังมีสีหน้าไม่เชื่อถือ “เจ้ากลอนช่วยตาดูสิ มันมีอีกหรือเปล่า” กวีวัธน์จึงรับโทรศัพท์มือถือมาด้วยอาการดี๊ด๊า เลื่อนหารูปเอ็กซ์คลูซีฟที่คุณตาได้ดูในโทรศัพท์ของน้าชาย

“ไม่เห็นเลยครับ”ใบหน้าของคนพูดแสดงอาการเสียดายอย่างชัดเจนพลางถือโทรศัพท์ไปคืนเจ้าของ

“หนูแขเคยคบกับเธอจริง ๆ หรือเนี่ย”ทิพปภาร้องหายาดมเพราะอาการหน้ามืดเริ่มถามหา พฤทธิกรต้องขยับเข้าไปช่วยประคอง ขณะที่ปภินวิชกับน้องสาวหยิบหนังสือนิตยสารแถวนั้นไปช่วยกันโบกพัด

“ถ้าแค่คบหาคุยกันเฉย ๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกใช่ไหมครับ แต่แบบ... เอิ่ม... นะ ผมเลยต้องบอกไว้ก่อน เพราะถ้าเกิดพี่ฤทธิ์หรือคุณลุงคุณป้ามารู้ทีหลัง มันจะพานให้มองหน้ากันไม่ติดซะเปล่า ๆ”ชัญชกรทำหน้าแหยพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้สุดความสามารถ

“แล้วอย่างนี้คุณยายจะเอายังไงครับ ยังอยากได้คุณแขเป็นสะใภ้อยู่หรือเปล่า”กวีวัธน์เอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าคุณยายได้ขวดยาดมโลหะสลักลายมาไว้ในมือแล้ว

“จะให้แต่งกันไปได้ยังไง ถ้าใครรู้เข้าอับอายเขาตาย สะใภ้บ้านนี้ได้ทั้งพี่ทั้งน้อง”หญิงสูงวัยพูดตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว ก่อนต้องสูดกลิ่นสมุนไพรในขวดยาดมอีกเฮือกใหญ่

“เท่ากับยอมให้น้าฤทธิ์คบกับน้องปลาแล้วใช่ไหมครับ”

“ไม่ย่ะ”ทิพปภาส่งเสียงปฏิเสธทันควัน “ถ้าน้าเราไม่มีหลานให้ยายภายในหนึ่งปี ยายจะหาผู้หญิงมาให้แต่งด้วยตามเดิม”

ว่าแล้วเชียว พฤทธิกรคิดในใจ ทว่าขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด กวีวัธน์กลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “อะไรกัน ทีแรกคุณยายยังไม่กำหนดเวลาเลย จู่ ๆ จะมาบอกว่าภายในหนึ่งปีไม่ได้หรอกครับ”

“ใช่ครับ”ชัญชกรพูดสมทบ “ถึงพี่ฤทธิ์จะแต่งงานกับผู้หญิงและตั้งใจทำการบ้านทุกวัน ก็ใช่ว่าจะท้องได้ง่าย ๆ นะครับ สี่สิบแล้วผมว่าน้ำยาคงบูดหมดแล้วล่ะ”

คนที่ได้ฟังต่างหัวเราะชอบใจ ดรัสพงศ์ถึงกับส่งเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ออกมาดังลั่น คงจะมีแค่คนที่ถูกกระทบถึงกับทิพปภาเท่านั้นที่ออกอาการหน้าดำหน้าแดง

พฤทธิกรทันเห็นปภินวิชซึ่งยังคงนั่งโบกกระดาษพัดอากาศให้มารดาของเขาทำท่าพยักหน้ารับเห็นด้วย จึงโน้มตัวไปกระซิบบอกเสียงเบา “เดี๋ยวคอยดู คืนนี้จะจัดให้ลุกไม่ขึ้นเลย”

คงเพราะสองหนุ่มนั่งสุมอยู่ข้างตัว ทิพปภาถึงได้ยินคำพูดของลูกชายไปด้วย ความเก้อกระดากวาบขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกต่อต้าน เธอจึงส่งเสียงพร้อมโบกมือไล่คนรักของลูกชาย

“ลุก ๆ ออกไปได้แล้ว มานั่งเบียดอยู่แถวนี้ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่”

สองพี่น้องรีบลุกกลับไปนั่งที่เดิม

“อย่างน้อยก็ต้องสองปีแหละครับคุณแม่”พฤทธิกรดึงให้วงสนทนากลับมาสู่เรื่องที่คุยกันค้างไว้อีกครั้ง “และอย่างที่ชาว่า ต่อให้แต่งงานกับผู้หญิงสักคน ก็ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั๊บจะท้องได้เลยก่อนการตั้งครรภ์คู่แต่งงานต้องตรวจสุขภาพและเตรียมความพร้อมของร่างกายเพื่อให้เด็กออกมามีสุขภาพแข็งแรงด้วย”

ทิพปภามองหน้าลูกชาย “ได้ สองปีก็สองปี แต่หลังจากสองปีไปแล้วแกห้ามขัดคำสั่งแม่นะ”

“ครับ แน่นอน”พฤทธิกรหันไปคว้าจับมือของคนรักไว้ “ตอนนั้น ถ้าแม่อยากให้ผมเลิกกับปลา ผมก็จะตามใจแม่ทุกอย่าง”

“โอเคดีล”กวีวัธน์ส่งเสียง

“ดีลอะไรฮึไอ้ตัวแสบ”ดรัสพงศ์ถาม

“คุณยายกับน้าฤทธิ์ตกลงกันได้ ก็โอเคดีลไงครับคุณตา คุณตาไม่เข้าใจหรือครับ คุณตาไม่คูลเลยอะ”

ชัญชกรจึงเสริมความคูลของหลานชายด้วยการตบศีรษะเบา ๆ ไปอีกทีข้อหาทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ กวีวัธน์จึงหันไปโวยวายกับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ”พฤทธิกรพูดบอกผู้เป็นบิดามารดา ทว่าก็โดนทิพปภาออกปากค้านทันควัน “อะไร หยุดยาวทั้งที ไม่คิดกลับบ้านมาอยู่กับพ่อกับแม่บ้างเหรอ อยู่มันแต่ที่คอนโดนั่นแหละ ไหนตอนแรกบอกเพราะมันใกล้ เดินทางไปทำงานสะดวก หยุดปีใหม่ไม่ต้องไปทำงานก็กลับมาอยู่ที่บ้านสิ ที่พ่อแม่ซื้อบ้านเนี่ยก็ซื้อไว้เผื่อเรานะ ไม่ใช่ซื้อให้ปลวกอยู่... ”

“ครับ ครับ ผมไม่กลับไปนอนคอนโดแล้วครับ”คนเป็นลูกชายต้องรีบตอบรับเพราะกลัวว่ามารดาจะบ่นไม่หยุด “แต่ผมขอไปส่งปลากับปุ้ยก่อนนะครับ”

“ทำไมต้องขับรถไปส่ง...”

“ครับ ไม่ไปส่งครับ”ชายหนุ่มรีบพูดตัดบท “แกสองคนจะกลับหรือยัง ฉันจะฝากขับรถไปส่งสองพี่น้องด้วย”เขารีบลุกขึ้นยืน รุนหลังให้ปภินวิชและปวันรัตน์เดินออกไปด้านนอกจนทั้งคู่ยกมือไหว้ลาผู้สูงวัยแทบไม่ทัน

พ้นสายตาคู่สามีภรรยาเจ้าของบ้านมาแล้ว ปวันรัตน์จึงแอบบ่นเบา ๆ “ถ้าปุ้ยอายุเท่าคุณยาย ปุ้ยจะพูดเยอะเท่าคุณยายไหมเนี่ย”

“ไม่ต้องเท่าหรอก แม่เราก็ขี้บ่นนะ”ปภินวิชพูดถึงมารดาที่ล่วงลับไปแล้ว น้องสาวจึงพยักหน้ารับเห็นด้วย

การมาหาบิดามารดาที่บ้านครั้งนี้ พฤทธิกรขับรถมาเองไม่มีสองบอดี้การ์ดตามมาด้วย ตอนขากลับจึงต้องฝากฝังหลานชายให้พาสองพี่น้องไปส่ง

ชัญชกรและกวีวัธน์เดินตามมาไม่ห่าง

“น้าชาถ่ายรูปกับคุณแขมาจริงหรือเปล่า”กวีวัธน์เอ่ยถามเพราะเขาไม่มีโอกาสได้เห็นรูป จึงไม่รู้ว่าเรื่องที่น้าชายรู้จักนัยน์ภัคจริงเท็จแค่ไหน

“รูปตัดต่อ”ตอบคำถามเสร็จก็เร่งฝีเท้าไปหาพี่ชาย “พี่ฤทธิ์พอใจผลงานของผมหรือเปล่าครับ”

“อืม... ถือว่าดี”

“งั้นข้อตกลงของเราเป็นอันว่าโอเคเนอะ”

“เออ”พฤทธิกรรับคำ พลางพาสองพี่น้องไปส่งถึงรถยนต์ของกวีวัธน์ เอ่ยกำชับด้วยความเป็นห่วงว่า “ถ้าเกิดมีอะไรให้รีบไปบอกพุฒิกับธนาเลยนะ หรือไม่ก็ให้สองคนนั้นมาอยู่ด้วยก็ได้”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ การรักษาความปลอดภัยของคอนโดเป็นเลิศขนาดนั้น”ปภินวิชพูดบอกให้ชายหนุ่มคลายความกังวล

“น้องปุ้ยขึ้นรถก่อนเลยค่ะ ปล่อยให้คู่รักเขาร่ำลากันหน่อย”กวีวัธน์ตะโกนร้องเรียกหลังสตาร์ตเครื่องยนต์เรียบร้อย ปวันรัตน์จึงขานรับ รีบวิ่งไปขึ้นรถตามที่ชายหนุ่มบอก

“เสียดายจัง หยุดตั้งสี่วัน”พฤทธิกรแสร้งส่งเสียงร้องกระซิก ๆ คลอไปด้วย ทว่าประโยคตอบกลับของคนรักทำให้เขาต้องเปลี่ยนจากอาการทีเล่นทีจริงเป็นการตอบกลับไปอย่างจริงจัง

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ เรามีเวลาคบกันอีกตั้งสองปี”

“ไม่ใช่แค่สองปี เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันจนเบื่อขี้หน้ากันไปเลย ฉันสัญญา”เสียงของคนพูดอบอุ่นและมั่นคงในความตั้งใจของตน “เธออย่าเบื่อหน้าฉันไปก่อนล่ะ”

“ถ้าคุณฤทธิ์ไม่เบื่อผม ผมก็จะไม่เบื่อคุณเหมือนกัน”ปภินวิชตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

พฤทธิกรอยากแนบจูบลงไปที่บนริมฝีปากคู่นั้น แต่เพราะพวกเขาอยู่ในที่สาธารณะจึงทำได้แค่ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด กระชับอ้อมแขนดังเช่นเสียงที่ดังขึ้นในใจ

ไม่ว่าอีกกี่สิบปีเขาจะกอดปภินวิชไว้เช่นนี้....



-จบ-




หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-01-2018 07:44:56
ขอบคุณค่ะ
อยากรู้จังว่าคุณฤทธิจะจัดการยังไงเรื่องลูก
ว่าแต่น้องปลาให้อภัยชาแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-01-2018 09:09:09
 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-01-2018 10:33:33
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-01-2018 20:38:15


มีมีลูกกันตอนไหนนะ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 26 บทส่งท้าย [12/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-01-2018 04:53:19
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-01-2018 06:52:58
บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา



โทรศัพท์มือถือของเขาส่งเสียงแจ้งเตือนรัว ๆ มาจากหลานชาย  หน้าต่างข้อความระบุว่ากวีวัธน์ส่งภาพมาให้ เขาเหล่มองกำลังจะเลื่อนกดดูแต่โดนมารดาดุเสียก่อน

“ทานข้าวอยู่นะตาฤทธิ์ ยังจะเล่นโทรศัพท์อีกเหรอ”

พฤทธิกรอยากเบะปากแต่เพราะจะสี่สิบแล้ว ชายหนุ่มจึงทำเพียงปิดเสียงการเตือนของโทรศัพท์โดยไม่ได้แม้แต่เปิดดูข้อความที่หลานชายส่งมาก่อนเก็บมันใส่กระเป๋า กระทั่งทานข้าวเสร็จเขาถึงปลีกตัวออกมาเช็กโทรศัพท์มือถือ

ภาพที่กวีวัธน์ส่งมานับสิบภาพนั้นเป็นภาพบรรยากาศการทานมื้อค่ำในวงสุกี้ของหลานชาย แต่สถานที่เป็นระเบียงคอนโดของเขา ผู้ร่วมโต๊ะมีทั้งปภินวิช ปวันรัตน์และบอดี้การ์ดสองหนุ่ม ตามด้วยข้อความว่า

“คืนนี้ผมขออนุญาตอยู่เคาน์ดาวน์กับน้องปลานะครับ”พร้อมตัวสติ๊กเกอร์ที่ส่งสายตาวิ๊ง ๆ มาให้

พฤทธิกรแค่นหัวเราะกดโทรศัพท์หาคนรัก ถือสายรออยู่ครู่หนึ่งปลายสายถึงกดรับ

“สวัสดีครับ”

“กินกันเสร็จหรือยัง”

“ยังครับ คุณกลอนบอกว่า ค่อย ๆ ทานกันไปเรื่อย ๆ”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปหา”

“คุณฤทธิ์บอกว่าจะมาแล้วคุณกลอน”เสียงของปลายสายดังลอดเข้ามาให้เขาได้ยิน แต่ฟังเหมือนปภินวิชจะพูดกับหลานชายมากกว่าพูดกับเขา ส่วนเสียงของหลานชายก็ฟังเหมือนกำลังกรึ่มได้ที่

“น้าฤทธิ์ฝากหยิบไวน์ของคุณตาติดมาด้วยนะครับ”

“ดื่มกันด้วยเหรอ”เขาถามขณะเดินไปหยิบกุญแจรถ และเดินกลับเข้าห้องอาหารเพื่อไปหยิบไวน์ตามที่หลานชายร้องสั่ง

“มีแค่คุณกลอน พี่ธนา พี่พุฒิเท่านั้นครับที่ดื่ม”

“น้าฤทธิ์ ปุ้ยขอลองหน่อยไม่ได้เหรอ”เด็กสาวร้องตะโกนแทรกเข้ามา พี่ชายจึงหันไปพูดดุ “ปุ้ยยังต้องรับยาอยู่เลย จะมาอยากกินได้อย่างไร ไว้โตก็ได้ลองเองแหละ ขับรถระวัง ๆ นะครับ”ประโยคสุดท้ายเด็กหนุ่มคนรักหันมาพูดกับเขา

แม้จะแปลกใจอยู่บ้างเนื่องจากช่วงนี้ชัญชกรกลับมาอยู่ที่เมืองไทย กวีวัธน์น่าจะชวนน้าชายอีกคนไปเที่ยวมากกว่าไปสังสรรค์ที่คอนโดของเขา แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่าญาติผู้น้องไม่อยากออกจากบ้านเพื่อไปหาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม นั่นก็เป็นไปได้ อีกทั้งจะให้กวีวัธน์ชวนชัญชกรไปเยี่ยมคนรักของเขาที่คอนโด ต่อให้เป็นเจ้าหลานจอมยุ่งอย่างกวีวัธน์ก็คงไม่ใจกล้าพอ

เมื่อวานตอนที่ปภินวิชเจอกับชัญชกร เจ้าตัวทำเฉย ๆ ไม่แสดงอาการอะไรก็จริงแต่นั่นคงเพราะเกรงใจเขาและบิดามารดาที่เป็นเจ้าของบ้าน และแม้จะขำไปกับมุกตลกของชัญชกรแต่สองพี่น้องกลับไม่เอ่ยพูดคุยกับอีกฝ่ายซ้ำยังไม่ยกมือไหว้อย่างที่เคยทำต่อผู้ที่มีอายุมากกว่าเช่นปกติ เขาถึงคิดว่าสองพี่คงจงใจเมินผ่านชัญชกร

“นั่นเราจะไปไหน”เสียงถามของมารดาดังขึ้นทำให้เขาต้องละความสนใจจากโทรศัพท์และหันไปมองแต่เพราะเป็นช่วงจังหวะที่การสนทนากับอีกฝั่งจบลงพอดีเขาจึงกดตัดสายไป

“พอดีกลอนชวนผมไปเคาน์ดาวน์นะครับ”

“ดึกป่านนี้แล้วยังจะออกไปไหนอีกเหรอ อันตรายจะตายโทรไปบอกหลานว่าไม่ไปสิ”

“แต่ผมรับปากไปแล้ว”

“แล้วนั่นอะไร หิ้วไวน์ไปด้วย ถ้าดื่มแล้วคืนนี้จะกลับมาไหวเหรอ อย่าไปเลยแม่เป็นห่วง”

“ถ้าผมเมาผมก็ค้างกับหลานนั่นแหละ”

“แล้วจะปล่อยพ่อกับแม่อยู่บ้านกันสองคนเหรอ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาอย่างไฟไหม้ โจรขึ้นบ้านอะไรอย่างนี้จะทำอย่างไร”

“คงไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นหรอกมั้งครับ เราจ่ายค่าส่วนกลางไปตั้งเยอะ ถ้าปล่อยให้ไฟไหม้ ขโมยขึ้นบ้านอย่างนั้นบริษัทเขาคงใกล้เจ๊งแล้วล่ะ อีกอย่างมีแม่บ้านอยู่ตั้งเยอะ ไหนจะคนสวนคนขับรถอีก”พฤทธิกรพูดพลางหมุนตัวเดินนำออกไปหน้าบ้าน เด็กรับใช้คนหนึ่งถือรองเท้ามาวางให้เขาเปลี่ยนที่หน้าประตู เขาเอ่ยปากบอกขอบใจพร้อมเอ่ยบอกว่าไม่ต้องรอเปิดประตูเพราะคืนนี้เขาไม่กลับ

“ฤทธิ์อย่าไปเลยแม่เป็นห่วง”มารดาพูดขึ้นมาอีกครั้ง “คืนสิ้นปีแบบนี้มีแต่คนเมาขับรถกันเต็มถนน ถึงเราไม่ไปชนคนอื่น คนอื่นก็อาจจะมาชนเรา”

“แหม... คุณทิพย์ ลูกกำลังออกจากบ้านพูดจาซะเป็นมงคลเชียว”ดรัสพงศ์ส่งเสียงดังมาก่อนตัว

“ก็ฉันพูดความจริงนี่คะคุณพงศ์”

“รัฐเขารณรงค์เรื่องเมาไม่ขับกันโครม ๆ มีด่านตรวจตั้งทุกจุด กฎหมายเอาผิดก็รุนแรงขึ้น คงไม่มีคนเมาอยู่เต็มถนนอย่างที่คุณว่าหรอก”

“ประมาทได้เสียที่ไหนเรื่องพรรค์นี้”

“ผมจะขับรถอย่างระมัดระวังครับ”พฤทธิกรกล่าวบอกพร้อมยกมือไหว้ลา

“อืม... ไปดีมาดี คุณพระคุ้มครอง”บิดาของเขาพูดอวยพรแต่ก็ถูกมารดาพูดดุว่าปล่อยให้ลูกออกไปได้อย่างไร ถึงกระนั้นเขาก็เดินตรงไปขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องขับออกมาจากบ้านโดยไม่สนใจเสียงห้ามปราม

ถนนในช่วงกลางคืนของวันหยุดยาวมีรถราน้อยกว่าปกติ เขาจึงใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาถึงซอยที่ตั้งคอนโด เลี้ยวเข้าซอยมาระยะทางไม่ไกลก็ต้องชะลอความเร็วรถจอดต่อท้ายรถยนต์คันข้างหน้า ปล่อยคันเร่งให้รถเคลื่อนที่ช้า ๆ ไปสักพักถึงได้เห็นสาเหตุที่ทำให้รถติด

เขากดกระจกลงเมื่อเห็นรถคันหน้าผ่านนายตำรวจในเครื่องแบบไปแล้ว

“สวัสดีครับ กำลังจะไปไหนครับ”

“กลับบ้านครับ”

“เดินทางปลอดภัยครับ”เมื่อตำรวจนายนั้นโบกมือให้เขาผ่านไปได้ ชายหนุ่มจึงเร่งความเร็วรถขึ้นอีกนิด ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นก็เปิดไฟเลี้ยว รอจนรถยนต์อีกเลนที่สวนมาว่างลงจึงเลี้ยวเข้าคอนโด หลังจอดรถเรียบร้อยจึงกดปุ่มเรียกลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน

ตอนที่พฤทธิกรเปิดประตูห้องเข้าไป เขายังไม่เห็นวงสุกี้ต้องเดินพ้นเหลี่ยมกำแพงไปอีกนิดถึงจะเห็นแผ่นหลังของหลานชาย และใบหน้าของคนรักที่นั่งหันมาทางนี้ และเมื่อเปิดประตูออกไปถึงได้ยินเสียงอึกทึกดังลั่นจากเครื่องเสียง ทั้งเสียงเฮฮาที่เหมือนกำลังเล่นเกมกันอยู่

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชลุกเดินเข้ามาหา หลานชายของเขาจึงส่งเสียงเรียกตามมาด้วย “น้าฤทธิ์ มาเร็ว ๆ ไหนไวน์ของผม”

“ทานอะไรมาหรือยังครับ เดี๋ยวผมไปเอาถ้วยมาให้”

“ไม่ต้องหรอก”เอ่ยบอกพลางโอบไหล่เด็กหนุ่มคนรักให้เดินกลับไปนั่งด้วยกัน “ฉันทานมาแล้ว”

“ผมต้องไปเอาแก้วและจะไปยกของอื่นมาด้วย คุณฤทธิ์ไปนั่งก่อนเถอะครับ”ปภินวิชพูดก่อนผละออกไปหยิบของตามที่บอกไว้ พฤทธิกรเดินต่อไปที่โต๊ะวางขวดไวน์ที่ถือมาตรงหน้าหลานชาย ปวันรัตน์จึงลุกย้ายที่มานั่งหัวโต๊ะเว้นที่ว่างไว้ให้พี่ชายกับแฟนได้นั่งข้างกัน

“เมาอย่างนี้จะกลับได้เหรอ ในซอยมีด่านตำรวจนะ”

“ไม่กลับครับ เดี๋ยวผมไปนอนห้องโน้น”

พฤทธิกรเข้าใจว่า ‘ห้องโน้น’ ของกวีวัธน์คงหมายถึงห้องนอนอีกห้องในห้องพักของบอดี้การ์ด

“ปกติไม่มีคนอยู่ จะนอนได้เหรอ”

“น่าจะไม่มีปัญหาครับ พี่ชะเอมเขาทำความสะอาดให้ประจำ”คำตอบนี้ธนาเป็นคนพูด พฤทธิกรพยักหน้ารับและหันไปส่งอีกคำถามให้หลายชาย ฝ่ายกวีวัธน์ก็ยกแก้วดื่มเบียร์จนหมดแล้วเปิดขวดเทไวน์แดงลงไป เด็กสาวคนเดียวในโต๊ะยังร้องแซวว่า ไวน์ของน้าฤทธิ์ดูราคาถูกขึ้นมาทันที

“แล้วไม่ไปเคาน์ดาวน์กับเพื่อนหรือไง”

“ผมเห็นน้าฤทธิ์กลับไปอยู่บ้าน เลยมาเฝ้าน้องปลาให้ไงครับ”

“จำเป็นด้วยเหรอพี่กลอน”ปวันรัตน์ถามขึ้นมาทันที

“จำเป็นสิ ถ้าพี่ไม่มาป่านนี้พี่ปลาของน้องปุ้ยออกไปเที่ยวกับเด็กฟรังค์แล้ว”

“ไม่ใช่ซะหน่อย”คนที่ถูกพาดพิงถึงซึ่งกลับมาทันได้ยินประโยคของกวีวัธน์พอดีร้องปฏิเสธทันควัน

ปภินวิชวางแก้วใสก้านยาวเรียวสำหรับใส่ไวน์จำนวนสี่ใบลงกับโต๊ะ อีกมือเขาถือกล่องของสดจำพวกหมู กุ้ง หมึกซึ่งหมักซอสไว้ก่อนหน้า เด็กสาวก็ช่วยแจกจ่ายแก้วทั้งสี่ใบนั้นไปให้ชายหนุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย พุฒิพงศ์จึงลุกขึ้นมาหยิบขวดไวน์จากตรงหน้ากวีวัธน์ ถือไปรินให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายจ้างก่อนเป็นอันดับแรก

“ฟรังค์โทรมาชวนก็จริงแต่ผมตั้งใจจะตอบปฏิเสธไปอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณกลอนจะมาที่ห้องหรือไม่ก็ตาม”

“ตกลงมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่กี่โมง”หลังจบคำบอกเล่าของคนรัก พฤทธิกรจึงเอ่ยถามหลานชายพลางหรี่ตาจ้องจับผิด

“ทำไมน้าฤทธิ์ทำตาแบบนั้นล่ะ ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”

“คุณกลอนมาตั้งแต่สาย ๆ แน่ะครับ”เด็กหนุ่มเห็นคู่อริไม่ยอมตอบคำถาม เลยพูดบอกออกไปเสียแทนพานให้กวีวัธน์ร้อนตัวยกใหญ่

“ไม่มีอะไรจริง ๆ นะน้าฤทธิ์ ไม่ได้คิดอะไรเลย สาบานได้”

“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

“แล้วทำไมต้องทำตาแบบนั้นด้วย”กวีวัธน์บ่นย้ำพลางยกเครื่องดื่มสีแดงในแก้วขึ้นจิบแก้เก้อ

“แล้วมาทำไมตั้งแต่เช้า”พฤทธิกรถามอีกซึ่งคนถูกถามไม่ทันได้อ้าปาก เด็กสาวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็พูดตอบให้เสียแทนทั้งยังรายงานจนครบ “พี่กลอนมาชวนกินสุกี้รอเวลาเคาน์ดาวน์ค่ะ มาชวนไปซื้อของแล้วก็ช่วยเตรียมของด้วยนะ แล้วบอกว่าถ้าส่งรูปไปให้น้าฤทธิ์ดู น้าฤทธิ์ต้องรีบเหาะมาแน่ ๆ ทีแรกชวนพี่ปลาพนันว่าน้าฤทธิ์จะมาหรือไม่มาด้วย แต่พี่ปลาไม่เล่นค่ะ”

“ก็คุณกลอนจะเล่นข้างที่ ‘คุณฤทธิ์มา’ นี่นา”ปภินวิชพูดพลางคีบอาหารสดลงหม้อเพิ่มไปอีกเมื่อเสร็จแล้วจึงปิดฝารอให้มันเดือด

“แล้วจะพนันด้วยอะไร”

“พี่กลอนยังไม่ทันได้บอกค่ะเพราะพี่ปลารีบปฏิเสธเสียก่อน”ปวันรัตน์พูด

“หืม”พฤทธิกรลากเสียง

กวีวัธน์จึงยกแก้วขึ้นมาพลางชวนคุยไปเรื่องอื่น “น้าฤทธิ์ชนแก้วหน่อย พี่พุฒิเขารินให้ตั้งนานแล้ว เดี๋ยวมันชืดหมด น้องปลาตักสุกี้ให้น้าฤทธิ์หน่อยสิ ปล่อยให้น้าชายของพี่เขาหิวได้ยังไง เอ้า! ชนครับทุกคน”ชายหนุ่มชูแก้วขึ้นสูงพลางร้องขอชนแก้วไปรอบโต๊ะ

เห็นหลายชายพยายามเปลี่ยนเรื่องถึงขนาดนั้น ผู้เป็นน้าชายจึงไม่คิดซักไซ้อีก เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

พวกเขานั่งคุยนั่งดื่มกันอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเสียงตึงของพลุฉลองดังขึ้น กวีวัธน์จึงพาร่างโซเซไปเกาะที่ราวระเบียง เขาให้สองบอดี้การ์ดตามไปยืนคุมเพราะกลัวว่าหลานชายจะหัวทิ่มร่วงลงไป ทั้งปวันรัตน์เองก็เดินตามไปยืนชมดอกไม้ไฟที่ริมระเบียงพลางยกมือส่งเสียงชี้ชวนพูดคุยกับกวีวัธน์

ระเบียงห้องพักของพฤทธิกรอยู่บนอาคารสูงจึงทำให้เห็นพลุดอกไม้ไฟปรากฏขึ้นจากหลายทิศทาง

พฤทธิกรมองจนแน่ใจแล้วว่าสี่คนนั้นคงสนใจแต่ประกายแสงไฟบนท้องฟ้า เขาจึงหันไปหาคนข้างตัวพร้อมแนบจูบลงไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย กดย้ำขบเม้มเบา ๆ และผละออกมา

“สวัสดีปีใหม่”

“สวัสดีปีใหม่เหมือนกันครับ”ปภินวิชตอบกลับไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“ขอให้ทุกปีต่อจากนี้ไปให้เราสองคนได้มาฉลองปีใหม่ด้วยกันอีก”

“อืม”เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม เอนศีรษะซบไหล่ชายคนรักและหันเหสายตาไปมองดอกไม้ไฟหลากสีที่ปรากฏอวดโฉมอย่างต่อเนื่อง

เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีกว่าพลุดอกไม้ไฟจะหมดลง จากนั้นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องจึงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปนอน ปภินวิชหันไปเก็บขวดและแก้วเครื่องดื่มโดยมีน้องสาวและหนึ่งหนุ่มบอดี้การ์ดเข้ามาช่วย ส่วนพวกหม้อ ถ้วยชามถูกทยอยนำไปเก็บตั้งช่วงที่เพิ่งทานกันอิ่ม

“ไปอาบน้ำได้เลยนะ เดี๋ยวฉันแวะไปดูเจ้ากลอนก่อน”พฤทธิกรเอ่ยบอกก่อนเดินตามสองบอดี้การ์ดที่กำลังช่วยพยุงกวีวัธน์พาไปนอนที่ห้องข้าง ๆ โดยเจ้าตัวร้องบอกออกมาว่าไม่เมา แต่ดูทรงแล้วหลานชายวัยยี่สิบต้น ๆ คนนี้ก็น่าจะเมาไม่มากอย่างที่เจ้าตัวพูดบอก

อย่างไรก็ตาม พฤทธิกรได้เดินตามเข้าไปในห้องพักของบอดี้การ์ดทั้งสอง ทั้งเดินตามกวีวัธน์เข้าไปในห้องที่เจ้าตัวจะใช้เป็นที่หลับนอนคืนนี้

“แกจะนอนทั้งอย่างนี้เลยเหรอ”เขาเอ่ยทักเมื่ออีกฝ่ายเดินตรงเข้าไปหาเตียงอย่างเดียว

“เฮ้ย!!! น้าฤทธิ์ตกใจหมด”หลานชายร้องอุทานเสียงดัง เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นเขาจึงลูบอกไปพลาง

“ตกใจอะไร แล้วแกไม่รอผ้าปูที่นอนหรือไง”ประโยคหลังเขาพูดเมื่อเห็นว่าเตียงถูกผ้าขาวคลุมไว้ และก่อนหน้านี้ ธนาได้บอกว่าจะเอาผ้าปูเตียงมาให้

“รอครับ ผมจะมาดึงผ้าคลุมเตียงออก”

“แล้วมีเสื้อผ้ามาหรือเปล่า”

“มีครับ อยู่ในตู้แล้ว”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจให้พฤทธิกรหันไปมอง บอดี้การ์ดหนุ่มยื่นผ้าปูที่นอนมาให้ผ่านช่องประตูที่เปิดค้างไว้ เขารับมันมาส่งต่อให้หลานชายจากนั้นจึงได้ยินเสียงประตูปิดงับลงเบา ๆ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เรื่องปลา”

“ผมไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาจริง ๆ ครับ”กวีวัธน์รีบตอบอย่างรวดเร็ว “ที่มาวันนี้เพราะอยู่บ้านเบื่อ ๆ เลยหาเรื่องมาแกล้งเฉย ๆ”

“หาเรื่องมาแกล้ง?”

“เอ้ย! ไม่ใช่ ๆ เอาเป็นว่าผมไม่คิดเกินเลยกับน้องเขาแน่นอน น้าฤทธิ์เชื่อใจได้”

“ฮึ...แกจะคิดอะไรก็เรื่องของแก แต่อย่ามาทำอะไรรุ่มร่ามกับแฟนของฉันแล้วกัน”พฤทธิกรพูดเตือนก่อนหมุนตัวหันหลังกลับ ทว่าประโยคถัดมาที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองคนพูดอีกหน

“นึกว่าจะพูดเป็นทำนองว่า ‘ถ้าแกยอมสารภาพออกมา ฉันจะหลีกทางให้’ ซะอีก”

“จะยอมรับว่าคิดไม่ซื่อกับแฟนฉันหรือไง”

“อุย! เปล่าครับ”กวีวัธน์สั่นศีรษะพลางโบกมือระรัว น้าชายจึงพยักหน้ารับและเดินออกจากห้องไป

เมื่อกลับไปถึงห้องพักปรากฏว่าปภินวิชอาบน้ำเสร็จแล้วทั้งล้มตัวนอนไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังกลับออกมาก็ปรับความสว่างของไฟในห้องเป็นเพียงแสงสลัวและปีนขึ้นเตียง โน้มหน้ามองเด็กหนุ่มคนรักที่นอนตะแคงหันหลังให้ แล้วพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย

“ทำไมรีบนอนจัง”เขาบ่นพลางขยับตัวนั่งชันเข่าใช้ความคิดอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอีกรอบและเอื้อมมือไปปิดไฟพร้อมเอนตัวลงนอน ทว่าทันทีที่แสงไฟมืดสนิทลง ปภินวิชได้พลิกตัวกลับมาขยับเข้ามาเบียดเช่นทุกครั้ง

พฤทธิกรจึงพลิกตัวคร่อมร่างของเด็กหนุ่ม

“คุณฤทธิ์”

อีกฝ่ายเอ่ยเรียก ดวงตาที่เขามองสบประสานในความมืดนั้นใสแจ๋วไม่คล้ายคนเพิ่งตื่นหรือง่วงงุนสักนิด

“แกล้งหลับเหรอ”

“เปล่าครับ แค่นอนพักสายรอคุณเท่านั้น”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดไฟอีกครั้ง แสงสีส้มนวลค่อย ๆ สว่างเรืองขึ้น ทำให้ได้เห็นสีหน้าแปลกใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาแนบริมฝีปากลงไปกดย้ำขยับเม้มหยอกเย้าพร้อมแทรกปลายลิ้มเข้าไปคลุกเคล้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วผละออกมา

“นัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”พฤทธิกรพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายน้อยใจ

“ผมแค่เห็นว่ามันดึกแล้ว”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

เห็นนัยน์ตาเว้าวอนอ้อนขอของชายหนุ่มแล้ว ปภินวิชจำต้องพยักหน้าตอบตกลงแม้จะเตรียมใจไว้แล้วเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ความทรงจำเลวร้ายผุดแทรกเข้าในความคิดยามที่ชายหนุ่มตรงหน้าแนบริมฝีปากลงกับแอ่งชีพจรบริเวณต้นคอ เขาพยายามตั้งสติและปล่อยร่างกายไปกับสัมผัสอ่อนโยนของชายหนุ่ม เพียงแต่เขาอาจจะเกร็งมากเกินไป

“เป็นอะไรหรือเปล่า”พฤทธิกรเอ่ยถาม

“เปล่าครับ”เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ กระนั้นคนตรงหน้าก็คว้ามือของเขาไปแนบบนแผ่นอกซึ่งสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่หนักหน่วงไม่ต่างกัน

“คุณฤทธิ์ยังไม่เคยหรือครับ”

คนโดนปรามาสขมวดคิ้วฉับอ้าปากงับริมฝีปากของคนพูดราวกับจะกลืนกินเข้าไปจริง ๆ ขบขย้ำซ้ำ ๆ จนริมฝีปากคู่นั้นบวมเจ่อกว่าจะได้ฤกษ์สอดลิ้นเข้าไปกลืนกินด้านใน เรียวลิ้นของชายหนุ่มกวาดสำรวจไปทั่วเลาะเล็มเข้าพันเกี่ยวกับปลายลิ้นของปภินวิช ดูดดึงจนพอใจถึงได้ผละออก

ปภินวิชหอบหายใจ ความหวิววาบที่บริเวณท้องน้อยเพิ่มมากขึ้นจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย ชายหนุ่มคนรักจึงลุกขึ้นปลดเสื้อผ้าและกางเกงนอนให้ เมื่อเขาเปลือยเปล่าอีกฝ่ายก็ทำให้ตัวเองเปลือยเปล่าด้วยเช่นกัน ทว่าเมื่อได้เห็นร่างกายกำยำตรงหน้า เด็กหนุ่มต้องเบือนหน้าหลบสายตาด้วยความเขินอายเพราะแม้จะเคยอาบน้ำด้วยกันหลายครั้ง แต่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะเคยชิน

“เบือนหน้าหนีทำไม”พฤทธิกรโน้มหน้าเข้าไปชิดพลางรั้งคนรักให้หันกลับมา

“ใครจะหน้าไม่อายเหมือนคุณ”ปภินวิชย่นจมูก

ชายหนุ่มยกยิ้มกดจมูกบนแก้มเนียน “เรื่องปกติออกจะเมกเลิฟก็ต้องถอดเสื้อผ้าสิ”เขาพูดไปพลาง มืออีกข้างก็ลูบไล้ปลุกเร้าส่วนอ่อนไหวของเด็กหนุ่มไปพลาง “แถมคนแถวนี้ยังคิดว่าฉันไม่เคยด้วย”

“อ๊ะ... อึก... คุณฤทธิ์... เคยทำกับผู้ชาย.. อย่างนั้นหรือครับ”เสียงถามของปภินวิชกระท่อนกระแท่นเพราะอีกฝ่ายขยับมือรูดรั้งไม่หยุด ก่อนจะพักอยู่นิ่งเพื่อตอบคำถามของเขา

“ไม่เคย แต่เคยทำกับผู้หญิง”หลังพูดจบ เขาก็แนบริมฝีปากลงกับยอดอกของปภินวิช ลากลิ้นเลียสลับกับการขบเบา ๆ ด้วยฟัน คนที่ถูกกระทำกระตุกสะดุ้ง พอ ๆ ส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวที่แข็งตั้งขึ้น พฤทธิกรย้ายไปขบกัดเย้าหยอกกับตุ่มไตบนหน้าอกอีกข้างจนมันฉ่ำเยิ้มบวมแดง เขาจึงลากปลายลิ้นลงต่ำไปเรื่อย ๆ พร้อมพาตัวเองไปนั่งแทรกอยู่กลางหว่างขาของร่างซึ่งนอนอ่อนระทวยอยู่บนเตียง มองปลายยอดที่มีน้ำไหลซึมออกมาจากนั้นจึงลองแตะลิ้นลองชิมก่อนจะครอบปากลงไป

ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ทำรักด้วยปากให้กับผู้ชายด้วยกันแต่พฤทธิกรกลับไม่รู้สึกรังเกียจซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารัก แต่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายของปภินวิชมีแรงดึงดูดเรียกร้องให้เขาสัมผัส ยิ่งประกอบกับท่าทางที่มองดูคล้ายพยายามอดกลั้นกับแรงปรารถนา เขายิ่งอยากกระตุ้นเร้าให้เด็กหนุ่มหมดความอดทน

“อ๊ะ”ปภินวิชยกมือปิดปากกันเสียงน่าอาย ความวาบหวามเสียวซ่านที่ชายหนุ่มปรนเปรอให้กระหน่ำโจมตีเขาไม่หยุด มืออีกข้างของเขาขยำขยุ้มอยู่บนศีรษะของชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่า เหมือนจะห้ามปรามผลักดันให้อีกฝ่ายหยุดกระทำแต่ก็เหมือนจะเร่งเร้าให้ช่วยพาเขาไปสู่อีกปลายฝั่งของความสุขสม

ช่วงจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังมัวเมาอยู่กับความปรารถนา พฤทธิกรได้พยายามนวดคลึงปากทางเข้าด้านหลังไปด้วย ทว่ามันฝืดคับจนเขาไม่กล้ากดนิ้วลงไป เขาผละตัวออกเพื่อไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ปภินวิชซื้อมาตั้งแต่ปลายเดือนก่อน ขณะที่ปภินวิชยันตัวลุกขึ้นนั่งเพราะส่วนกลางลำตัวปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว ทว่าเมื่อเห็นส่วนที่แข็งขืนกลางลำตัวของชายคนรัก ความรู้สึกกลัวกลับปรากฏขึ้นมาเสียแทน

ชายหนุ่มหันกลับมาพร้อมกับชโลมเจลที่นิ้วมือและถึงปภินวิชจะยอมแยกขาแต่ใบหน้านั้นก็ซีดลงอย่างชัดเจน เขาจึงใช้วงแขนโอบร่างซึ่งเครียดขึงด้วยความหวั่นกลัวพลางกล่าวปลอบ

“ฉันจะค่อย ๆ ทำ ไม่ต้องกลัวนะ”

ปภินวิชสูดลมหายใจเข้าปอด พยักหน้ารับจดจ้องอยู่แต่กับใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม

พฤทธิกรแต้มเจลเข้ากับปากทางเข้าด้านนอก นวดคลึงรอเวลาให้เด็กหนุ่มคลายอาการเกร็งเครียด และเมื่อเหลือบมาเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองตน เขาจึงกดริมฝีปากลงไป

“แลบลิ้นออกมาหน่อย”

เด็กหนุ่มคนรักส่งสายตาฉงนสงสัยกลับมาให้กระนั้นกลับยอมทำตามที่บอก เขาแลบลิ้นออกไปแตะแล้วขบด้วยริมฝีปาก ใช้ช่วงเวลาที่ปภินวิชสนใจอยู่กับการจูบกดนิ้วกลางเข้าไปช่องทางด้านหลัง ช่องทางนั้นบีบรัดนิ้วของเขาไว้แน่นจนขยับไม่ได้ ทว่าเขาก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายละจากจูบและมืออีกข้างที่เคยวางอยู่บนหัวไหล่มนก็ลากลูบลงไปเคล้นคลึงอยู่ที่ยอดอก ปภินวิชโดนเล้าโลมจนยอมให้เขาขยับนิ้วมือโดยง่าย

หลังเตรียมความพร้อมให้เด็กหนุ่มอยู่ครู่ใหญ่ พฤทธิกรดันตัวร่างของปภินวิชให้นอนลง ใช้หมอนใบหนึ่งรองสะโพกของเด็กหนุ่มไว้และสวมถุงยางให้กับตัวเองชโลมเจลจนชุ่ม จับท่อนขาเรียวข้างหนึ่งของร่างที่นอนอยู่พาดกับไหล่ของตน เท้าแขนคร่อมตัวเด็กหนุ่มคนรัก

“มองหน้าฉันไว้ คนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือฉัน”

ปภินวิชแปลกใจที่พฤทธิกรราวกับรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกอย่างไร

ต่อให้ทุกวันนี้เหตุการณ์ที่เจอกับไอ้คนร้ายโรคจิตนั่นจะไม่มีผลต่อชีวิตเขาแล้ว แต่ร่างกายของเขากลับจดจำความเจ็บปวดจากการถูกกระทำได้เป็นอย่างดี และเขาได้แค่ฝืนเกร็งข่มอาการสั่นสะท้านไม่ให้แสดงออกมา

ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาจูบเขาอีกครั้ง มือข้างขวาถูกอีกฝ่ายจับประสานไว้ขณะที่รู้สึกได้ว่าช่องทางด้านหลังกำลังถูกชำแรกเข้ามา

“ไม่เป็นไรนะ”คนด้านบนพูดปลอบพร้อมดึงมืออีกข้างของปภินวิชไปวางไว้บนไหล่ “ถ้าเจ็บทนไม่ไหวก็จิกได้เลย”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับจดจ้องสบนัยน์ตาของชายคนรักอยู่ตลอดเวลา และแล้วก็ถูกดึงความสนใจให้ไปอยู่กับจุมพิตอีกครั้ง กระนั้นใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงความใหญ่โตที่แทรกเข้ามา แต่เพราะมันปะปนกันหลายความรู้สึก ทั้งหวิววาบปั่นป่วนจนแทบไม่อาจสัมผัสถึงความเจ็บปวด

พฤทธิกรลากมือเข้ากระตุ้นเร้าจุดไวสัมผัสบนร่างกายของเด็กหนุ่มสลับการขยับกายกดลึกเข้าไปในช่องทางอ่อนไหวอย่างเชื่องช้า แม้ยังไม่สามารถเข้าไปจนสุดทาง เขาก็ถอนสะโพกออกมาและกดย้ำเข้าไปอีกครั้งพลางขยับด้วยจังหวะตื้น ๆ อดทนต่อความต้องการของตัวเองที่ปรารถนาสอดแทรกเข้าไปจนสุดในช่องทางอุ่นร้อนคับแน่น

ปภินวิชรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ ร่างกายอึดอัดทรมาน เขาส่งเสียงครางเครือในลำคอชายคนรักจึงละริมฝีปาก

“คุณฤทธิ์”เขาส่งเสียงเรียก ความสุขสมซ่านเสียวแผ่กระจายจากจุดที่อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามา เขาแอ่นสะโพกตอบรับการขยับโยกตอดรัดเพื่อเร่งเร้าอีกชายหนุ่มเร่งจังหวะ

ด้วยเหตุนั้น จังหวะการร่วมรักของพวกเขาจึงร้อนแรงขึ้น พฤทธิกรกระทั้นกายเข้าหาด้วยความหนักหน่วงพาให้ปภินวิชหลุดเสียงครางอย่างไม่นึกอาย กำหนัดอารมณ์ถูกกระหน่ำเร่งไต่ขึ้นสูงก่อนทุกอย่างจะแตกพร่างพรายเป็นประกายระยิบระยับ

ชายหนุ่มร่างสูงยังสาวตัวต่อเนื่อง ช่องทางอุ่นร้อนขมิบตอดรัดจนไม่นานเขาก็ปลดปล่อยออกมา จากนั้นจึงขยับตัวซ้ำอีกสองสามครั้ง ก่อนจะถอนกายออกลุกขึ้นถอดถุงยางเดินหาถังขยะและกระดาษทิชชู ถือมันมาวางไว้ข้างเตียง

บนหน้าท้องของปภินวิชเต็มไปด้วยคราบน้ำสีขาวแต่เจ้าตัวยังหลับตาพริ้มหอบหายใจ พฤทธิกรเช็ดทำความสะอาดคราบนั้นให้ เสร็จแล้วจึงหยิบถุงยางมาแกะฉีกสวมให้ตัวเองอีกครั้ง

“ปลา”

“หือ”เจ้าของชื่อขานรับแต่ยังไม่ยอมลืมตา

“อีกรอบนะ”

“อื้อ”

ชายหนุ่มตีความว่านั่นคือคำตอบรับจึงจับร่างเด็กหนุ่มนอนคว่ำ รั้งสะโพกให้ลอยสูงก่อนจะสอดใส่เข้าไป และเพราะช่องทางเพิ่งผ่านการร่วมรักมาหมาด ๆ ครั้งนี้เขาจึงล่วงผ่านเข้าไปโดยง่าย

ปภินวิชรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นทันที “คุณฤทธิ์ ผมเหนื่อยแล้ว ง่วงด้วย”

“แต่มันเข้าไปสุดแล้วนะ”เขาเอ่ยเสียงอ้อน กอดรัดเอวคนรักไว้และขยับเบียดสะโพกไปพลาง “อีกแค่รอบเดียว... นะ”ถึงพฤทธิกรจะพูดเป็นทำนองขออนุญาตแต่กลับขยับสะโพกปลุกเร้าเขาไม่หยุดพร้อมกดจมูกขบฟันกับผิวเนื้อกระตุ้นตัณหาให้ลุกโชนอีกครั้ง เด็กหนุ่มอย่างปภินวิชจึงไม่อาจต้านทานได้

หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-01-2018 06:53:37


เมื่อเห็นว่าคนรักไม่มีอากัปกิริยาขัดขืน ชายหนุ่มจึงเดินเครื่องเต็มที่แต่ครั้งนี้เขาค่อนข้างนิ่มนวลเชื่องช้ากว่ารอบแรก ลากจมูกดอมดมผิวกายหอมกรุ่นรัญจวนพร้อมขย้ำเบา ๆ อย่างอดใจไม่ไหว ปภินวิชได้แต่ส่งเสียงครางหอบหายใจ ยามที่โดนกระตุ้นรูดสาวส่วนอ่อนไหวด้านหน้าทั้งยังถูกกระทำจากด้านหลัง

เมื่อนิ้วมือกร้านหนาสะกิดส่วนปลายเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปถึงปลายเท้า ปภินวิชคิดว่าอีกไม่ช้าไม่นานตนเองคงต้องปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ทว่าขณะที่คิดอย่างนั้นชายหนุ่มคนรักกลับถอนกายออก เขาโดนพลิกตัวให้นอนหงายทั้งที่ยังมึนงง สองมือของเขาถูกจับรวบไว้เหนือศีรษะพร้อมกับที่คนด้านบนโน้มตัวละเลงลิ้นลงบนแผ่นอกของเขา

เขารับรู้ได้ว่าช่องทางด้านหลังและส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวปรารถนาการเติมเต็มจากชายหนุ่มจึงเอ่ยเรียกออกไปพลางขยับตัวเสียดสี

“คุณฤทธิ์”

กระนั้นชายหนุ่มกลับไม่มีทีท่าสนใจ คงแต่ขบกัดอยู่แถวบริเวณหน้าอก ถึงมันจะทำให้เขารู้สึกดีเช่นกันแต่มันยังคงไม่เพียงพอ

“คุณฤทธิ์”เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกซ้ำด้วยน้ำเสียงวิงวอนร้องขอ

“รู้แล้วครับ”พฤทธิกรตอบรับด้วยรอยยิ้มทะเล้น  ยันตัวลุกขึ้นนั่งจรดปลายหัวของท่อนเอ็นที่แข็งเป็นลำเข้ากับช่องทางที่กระตุกถี่เรียกร้อง จากนั้นจึงเหยียดสะโพกเดินหน้าพลางดันต้นขาเรียวของคนรักไปแนบกับแผ่นอกเพื่อขยายช่องทางนั้นให้มากขึ้นกระทั่งหน้าท้องของเขาเบียดเข้าชิดแนบสนิท พฤทธิกรจึงปล่อยให้ต้นขาของปภินวิชพาดคร่อมต้นขาของตนไว้

เขาถอนกายจนเกือบสุดความยาวจากนั้นสวนกายเข้าหาจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน ร่างกายของปภินวิชจึงขยับไหวไปตามแรงกระทำนั้น ขณะที่กระแทกกระทั้นกายด้วยจังหวะเนิบนาบหนักหน่วง พฤทธิกรได้รั้งต้นขาเรียวขึ้นมาไล้เลียด้วยปลายลิ้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งบีบรัดช่องทางนุ่มอย่างไม่รู้ตัว

แม้ว่าสมองจะพร่ามัวเพราะม่านหมอกแห่งราคะกามารมณ์ กระนั้นปภินวิชกลับนึกรู้ขึ้นมาว่า รอบที่สองซึ่งชายคนรักร้องขอคงอีกยาวนานกว่าจะจบลง




พฤทธิกรหยุดที่สองรอบตามที่เอ่ยปากบอกคนรักไว้ แต่กว่าที่พวกเขาจะได้นอนก็ใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จวนเจียนโผล่พ้นขอบฟ้าเต็มทน ชายหนุ่มกดข้อความส่งหาบอดี้การ์ดให้จัดการเรื่องอาหารเช้าและมาคอยกันท่าไม่ให้ปวันรัตน์มาเคาะประตูรบกวน จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนข้างเด็กหนุ่มคนรักที่หลับสนิทไปก่อนหน้า เนื้อตัวและผ้าปูเตียงยังเหนียวเหนอะหนะทว่าความอิ่มเอมในการร่วมอภิรมย์กับเด็กหนุ่มคนรักกลับทำให้เขาดิ่งสู่นิทราได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเตือนของโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นครืด ๆ ไม่หยุด เขาเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาดูหน้าจอเห็นเป็นชื่อมารดาปรากฏอยู่บนนั้น เหลือบมองดูเวลาก่อนกดรับสาย

“ฮัลโหลครับ”ถึงจะเก้าโมงแล้วแต่พฤทธิกรก็ยังอยากนอนต่อ จึงได้แต่วางโทรศัพท์แนบหูและหลับตาลงเช่นเดิม

“เมื่อไหร่จะกลับบ้านฮึ”

“บ่าย ๆ ได้ไหมครับ”

“ทำไมต้องบ่าย ๆ นาน ๆ จะกลับบ้านมาอยู่กับพ่อกับแม่ซะที ยังตะลอนออกไปเที่ยวไม่หยุด ไม่อยากอยู่กับแม่ขนาดนั้นเชียว”

“ไปกันใหญ่แล้วครับ”พฤทธิกรไม่อยากหาข้ออ้างพูดแก้ตัวอย่างเด็ก ๆ เขาจึงบอกออกไปว่า “เดี๋ยวผมกลับไปทานข้าวเที่ยงด้วยแล้วกันนะครับ”จากนั้นจึงกดตัดสายไปทันที ปิดเสียงเตือนและวางโทรศัพท์คว่ำหน้าลงกับหลังตู้หัวเตียง ลุกขึ้นสวมกางเกง เดินไปเปิดน้ำอุ่นลงอ่างระหว่างนั้นก็แปรงฟันไปพลาง กลับออกมาด้านนอกเมื่อน้ำเริ่มใกล้เต็มเพื่อปลุกปภินวิช

“ตื่นก่อน ไปอาบน้ำล้างตัวกัน”

ปภินวิชซึ่งนอนคว่ำตะแคงหน้าแนบแก้มอยู่กับหมอนใต้ผ้าห่มผืนหนาปรือตาง่วงงุนขึ้นมอง พลิกตัวชูแขนเรียกให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัวช่วยฉุดดึง ลุกขึ้นนั่งได้ก็พาดคางไว้กับไหล่หนาพร้อมบ่นอุบ

“ระบมไปหมดเลย”

พฤทธิกรจึงลูบหลังลูบไหล่นวดสะโพกไปพลาง “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่ครับ”ปภินวิชตอบ เพราะมันแค่หน่วงปวดเมื่อยขัดยอก “แต่ครั้งหน้าทำแค่รอบเดียวพอ”

“ถ้ารอบเดียวงั้นทำทุกวัน”

พอได้ยินอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ผละตัวออกห่าง ขมวดคิ้วหน้าหงิกมองหน้าคนพูดอย่างไม่พอใจ พฤทธิกรยกยิ้ม “จะได้ชิน”คนฟังจึงยิ่งย่นจมูก

“ไปอาบน้ำกันก่อนเดี๋ยวฉันต้องกลับบ้านแล้ว”

“รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเมียน้อยยังไงก็ไม่รู้”ปภินวิชพูดขณะเกี่ยวแขนคล้องคอพร้อมเกี่ยวขาเข้าเอวชายหนุ่ม ปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เขาโดนปล่อยให้ลงไปยืนในอ่างน้ำที่มีน้ำอุ่นร้อนอยู่เกือบเต็ม เมื่อทรุดตัวนั่งลงแช่พฤทธิกรก็ก้าวเท้าตามลงมา และโดนดึงไปนั่งซ้อนบนตักกว้างโดยมีชายหนุ่มคอยบีบนวดให้

เห็นชายหนุ่มเงียบไปไม่ตอบคำ ปภินวิชจึงพูดอีกว่า “ผมแค่ล้อเล่นนะ พูดแซวขำ ๆ”

“อืมฉันรู้ เดี๋ยวหลังเปิดงานคุณแม่ของฉันก็คงไม่มีข้ออ้างแล้วล่ะ”

“คุณฤทธิ์กลับไปอยู่บ้านบ้างก็ได้ คุณแม่คุณอาจจะเหงา ถึงอย่างไรผมก็ได้เจอคุณอาทิตย์ละห้าวันอยู่แล้ว”

“ฉันต้องทำงานวันเสาร์ด้วย อย่าลืมสิ”

“งั้นเราก็ได้อยู่ด้วยกันห้าวันครึ่ง เยอะกว่าคุณแม่ของคุณตั้งเยอะ”คนพูดเอี้ยวคอกลับมาส่งรอยยิ้มกว้าง

พฤทธิกรได้ฟังแล้วรู้สึกเต็มตื้นในอก เพราะต่อให้ระหว่างคนรักกับครอบครัวมีปัญหากันจนเขาจำต้องตัดสินใจเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาอาจจะเลือกคนรักอย่างที่เคยบอกกับปภินวิชแต่เขาก็คงไม่อาจตัดขาดจากบุพการีได้จริง ๆ อย่างที่ปากพูด หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเขาได้คบหากันอย่างมีเงื่อนไข พฤทธิกรก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนรักรังเกียจรังงอนมีอคติกับมารดา เพราะถึงอย่างไร มารดาก็เป็นผู้เลี้ยงดูหล่อหลอมเขามา การที่คนรักปฏิเสธครอบครัวบุพการีของเขา มันก็คล้ายว่าคู่ชีวิตปฏิเสธตัวตนส่วนหนึ่งของเขาด้วยเช่นกัน

เขาถึงดีใจที่ไม่ว่าปภินวิชจะโดนว่ากล่าวดูถูกจนทำให้โกรธเคืองเสียใจแค่ไหน ส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดอยากให้เขาเลิกติดต่อกับครอบครัวจริง ๆ

“ขอบคุณนะ ที่ไม่โกรธคุณแม่ของฉัน”ชายหนุ่มสอดแขนกอดรัดคนรักจากทางด้านหลัง ปภินวิชจึงยกยิ้มบางแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตามพร้อมบอกตอบกลับ “ท่านไม่ทำอะไรผิด ท่านแค่ห่วงคุณเท่านั้นเอง”

พฤทธิกรหลับตาค่อย ๆ ซึมซับความรักความอบอุ่นจากคนรักผู้มีอายุน้อยกว่าเข้าสู่หัวใจ


-จบบทพิเศษ-



*//ที่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนจบเพราะเราอยากเขียนเรื่องหลักแบบใสๆ อิอิ
ส่วนเรื่องลูกอีกเดี๋ยวน้าฤทธิ์ก็ไปทำแล้ว กว่าน้องจะคลอดก็ปีถัดไป//*


หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-01-2018 10:08:41
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-01-2018 10:27:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-01-2018 18:15:28
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-01-2018 19:33:54
แม่ โทร ตามจิกลูกชายวัยสี่สิบ ยังกับลูกยังวัยรุ่น  o22 o22 o22
หวงลูกชายขนาดหนักจริงๆ

คุณฤทธิ์ ปลา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ฟิทเจอริ่งกันเรียบร้อยแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: JanLec ที่ 16-01-2018 20:17:40
รู้สึกว่าบางฉากบางตอนสมควรจะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ปลาโดนหลอกโดนว่าแรงๆอยู่หลายครั้ง และก็เจอเรื่องแย่ๆมาตลอดไหนจะเรื่องน้องยังมาเจอคนที่โกหกเอารัดเอาเปรียบ ปริ้นปร้อนตอแหลอย่างกลอนอีก แต่เป็นว่าก็โดนหายโกรธง่ายๆ หรือเปลี่ยนเป็นว่าปลารู้สึกหัวร้อนแทนที่จะรู้สึกจะร้องไห้แทน เราอ่านเรายังร้องเลย คนอะไรนิสัยห่วยแตกสิ้นดี ุเรศ นี่ว่าจะไม่พิมพ์ละนะ แต่เหมือนนิสัยนี่จะอยู่จนจบเรื่องเลยรึป่าวคะ จะได้เลิกอ่าน ถ้าเน้นไปที่ คุณพฤษกับน้องปลา นี่เราจะโอเคมากค่ะ รำคาญกลอน รำคาญตัวปัญหาค่ะ ดูเหมือนนักเขียนจะชอบตัวละครตัวนี่มากมองว่ามันน่าเอ็นดูรึยังไง?  เรามองว่าห่วยค่ะนิสัยแย่ 
พล็อตเรื่องดีนะคะ ถ้าจะเน้นไปที่พระเอกเลี้ยงเด็กเลยก็ดีค่ะ น่าตื่นเต้นดี
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 17-01-2018 13:50:50
รู้สึกว่าบางฉากบางตอนสมควรจะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ปลาโดนหลอกโดนว่าแรงๆอยู่หลายครั้ง และก็เจอเรื่องแย่ๆมาตลอดไหนจะเรื่องน้องยังมาเจอคนที่โกหกเอารัดเอาเปรียบ ปริ้นปร้อนตอแหลอย่างกลอนอีก แต่เป็นว่าก็โดนหายโกรธง่ายๆ หรือเปลี่ยนเป็นว่าปลารู้สึกหัวร้อนแทนที่จะรู้สึกจะร้องไห้แทน เราอ่านเรายังร้องเลย คนอะไรนิสัยห่วยแตกสิ้นดี ุเรศ นี่ว่าจะไม่พิมพ์ละนะ แต่เหมือนนิสัยนี่จะอยู่จนจบเรื่องเลยรึป่าวคะ จะได้เลิกอ่าน ถ้าเน้นไปที่ คุณพฤษกับน้องปลา นี่เราจะโอเคมากค่ะ รำคาญกลอน รำคาญตัวปัญหาค่ะ ดูเหมือนนักเขียนจะชอบตัวละครตัวนี่มากมองว่ามันน่าเอ็นดูรึยังไง?  เรามองว่าห่วยค่ะนิสัยแย่ 
พล็อตเรื่องดีนะคะ ถ้าจะเน้นไปที่พระเอกเลี้ยงเด็กเลยก็ดีค่ะ น่าตื่นเต้นดี

ขอตอบว่า กลอนเป็นตัวละครที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องค่ะ ซึ่งเรากำหนดให้มีนิสัยขี้เผือก สอดรู้ และชอบจุ้นจ้านค่ะ จะว่าเราชอบน้องกลอนก็กึ่ง ๆ นะ คือถ้าไม่ตัวละครตัวนี้  นิยายเรื่องนี้ก็ไม่เกิดเหมือนกัน จริง ๆ เราไม่ได้ตั้งใจเขียนให้กลอนเป็นตัวร้ายนะแต่ผู้อ่านส่วนใหญ่เกลียดหลานกลอนทั้งนั้น  ปลื้มใจเลยค่ะ 

เราไม่แน่ใจว่าคุณ JanLec อ่านถึงไหนแล้ว แต่เหมือนเพิ่งเริ่มอ่าน (หรือเปล่านะ) ขอให้ลองอ่านดูค่ะและขอบคุณค่ะที่เปิดเข้ามา
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ ปีใหม่แรกของสองเรา [16/01/2018] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 17-01-2018 20:48:54
คือคุณแม่นี่หวงมากเกินไปรึเปล่า
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ สองเราใต้สายนที [12/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-02-2018 07:07:07
บทพิเศษ สองเราใต้สายนที



“น้าฤทธิ์ ผมได้เด็กมาใหม่พาไปไว้ที่ห้องน้าแล้วนะครับ”

พฤทธิกรขมวดคิ้วฉับกับคำพูดแปลกๆของหลานชาย “เด็กอะไรของแก”

“ผมเห็นช่วงนี้น้าเครียด ๆ เลยหาเด็กมาให้ช่วยคลายเครียดไง อย่ารุนแรงมากนะครับ น้องเขายังใหม่”

“ไอ้...”อีกฝ่ายตัดสายไปก่อนที่เขาจะได้ส่งเสียงด่า ครั้นโทรกลับเจ้าหลานชายตัวดีก็ชิงปิดเครื่องไปอีก เขาจึงต้องเปลี่ยนแผนกลับไปที่คอนโด ยกนาฬิกาขึ้นดูถึงได้รู้ว่านี่มันห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว กว่าเขาจะถึงห้องคงสักเที่ยงคืน ซึ่งนั่นคงดึกเกินไปที่จะไล่เด็กคนนั้นกลับบ้าน

สงสัยคืนนี้คงต้องให้นอนค้างที่ห้องไปก่อน พฤทธิกรคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

ทว่าเมื่อได้เปิดประตูห้องพักคอนโดเข้าไป กลับพบคนที่ไม่คาดว่าจะได้เจอเสียอย่างนั้น ความรู้สึกที่ได้เห็นเด็กหนุ่มในที่พักของตัวเองมันสับสนปนเปไปหมด เขาชะงักขณะที่ในสมองพยายามทำความเข้าใจ เหมือนได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจนัก สองเท้าก้าวไปหาอีกฝ่ายเพื่อมองหน้าให้ชัด

“เด็กของกลอน?”

เขาเห็นเด็กหนุ่มทำท่าไม่เข้าใจคำถามจึงเอ่ยขยายความต่อไปว่า “ฉันหมายถึง... กวีวัธน์เป็นคนพาเธอมา”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะส่งเสียงตอบตามมา

“เจ้าบ้านั่น!!!”เขาอยากจะบีบคอเจ้าหลานชายตัวแสบนั่นนักที่ยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่อง จากนั้นจึงหันไปถามเด็กหนุ่มเมื่อนึกขึ้นได้

“ทานอะไรมาหรือยัง”

“คุณกวีวัธน์พาไปทานมาแล้วครับ”

เออ... ยังดี ยังคิดดูแลไม่ใช่ปล่อยให้หิ้วท้องรอเขาสามสี่ชั่วโมง

“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำแล้วตามเข้าไปในห้อง”เขาเอ่ยบอกก่อนสาวเท้าเดินตรงเข้าไปในห้อง ยืนนิ่งหมุนไปหมุนมาพยายามทำใจให้สงบอยู่พักใหญ่กว่าจะตัดใจเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ทว่าตอนที่เปิดประตูออกมา หัวใจของเขากลับต้องเต้นโลดขึ้นอีกครั้ง เขาอยากหมุนตัวหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ แต่โชคยังดีที่ตั้งสติทันจึงยังรักษามาดไว้ได้

“ไม่มีชุดนอนเหรอ”ชายหนุ่มพยายามถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด

“ไม่มีครับ”

เมื่อได้รับคำตอบ เขาจึงบังคับร่างกายให้ก้าวเดินเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เลือกหยิบชุดนอนที่ซักสะอาดแล้วส่งไปให้

“เอาไปเปลี่ยน”

คล้อยหลังเด็กหนุ่ม เขากลับเข้าไปในห้องที่เพิ่งเดินออกมาอีกครั้งเพื่อหยิบเครื่องนอนอย่างผ้าห่ม นำกลับมาวางไว้บนเตียง ขณะเดียวกันก็ผ่อนลมหายใจยาวเพื่อระงับอาการหัวใจเต้นรัว

พฤทธิกรไม่ได้เจอเด็กหนุ่มมาสองปี ไม่คาดคิดว่าอาการเช่นนี้จะยังมีอยู่พลางใช้ผ้าขนหนูขยี้ศีรษะเช็ดผมที่เปียกชื้นอย่างรุนแรงเนื่องจากหวังว่าการกระทำนั้นจะดึงความสนใจของตนไปได้บ้าง

เมื่อเขาก้าวเท้าขึ้นเตียงนอน เด็กหนุ่มที่หลานชายพามาก็กลับเข้ามาเช่นเดียวกัน

“นั่นผ้าห่มของเธอ”เขาพูดและต้องเอ่ยปากเร่งเมื่ออีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่กับที่ “รีบขึ้นมาสิ ฉันจะปิดไฟแล้ว”

พฤทธิกรรีบปิดไฟทันทีที่เด็กหนุ่มพาร่างมาอยู่บนเตียงด้วยเพราะกลัวว่าใบหน้าของตัวเองจะออกอาการให้ฝ่ายนั้นเห็นพิรุธ กระนั้นเขากลับสัมผัสได้ว่าปภินวิชยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่

“จะนั่งอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม ถ้าไม่อยากนอนในห้องก็ออกไปข้างนอก”

ไม่รู้ว่าเสียงพูดของเขากระด้างห้วนเกินไปหรือเปล่า เด็กหนุ่มถึงยอมล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว พฤทธิกรนอนฟังเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายกระทั่งมันทอดยาวสม่ำเสมอ จึงพลิกตัวหันกลับไปมองปภินวิชซึ่งนอนหงายหลับตานอนนิ่ง เขาเท้าแขนข้างหนึ่งยันตัวให้สูงขึ้น ในห้องมืดสนิทแต่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าเห็นใบหน้าของคนที่นอนอยู่ข้างกันได้อย่างชัดเจน

“จำกันไม่ได้เลยเหรอเนี่ย”

เขาบ่นพึมพำด้วยความเสียดาย มองใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่นานจนเริ่มง่วงจึงได้วางศีรษะลงกับหมอนและหลับตาลงบ้าง
.
.
.


พฤทธิกรพยายามปั้นหน้านิ่งขณะมองเด็กหนุ่มซึ่งใบหน้าแดงเถือกกำลังเดินตัวแข็งทื่อผ่านหน้าเขาไป “เปิดน้ำลงอ่างเลย ฉันจะแช่น้ำสักหน่อย” เขาพูดสั่งพลางเดินตามไปหยุดยืนใต้เรนชาวเวอร์ เห็นฝ่ายนั้นเปิดน้ำลงอ่างแล้วยังมีทีท่ารีรออยู่ด้านนอกห้องฝักบัว ชายหนุ่มจึงต้องเอ่ยปากเร่งอีกรอบ

“รีบเข้ามาสิ”

ห้องน้ำส่วนตัวของพฤทธิกรถูกออกแบบให้แยกส่วนระหว่างอ่างอาบน้ำและห้องฝักบัวแต่ทั้งสองจุดห่างกันไม่ไกล ที่เรียกว่าห้องฝักบัวเพราะมันถูกกั้นล้อมรอบด้วยกระจกใส ติดตั้งเรนชาวเวอร์ไว้ด้านบน ใช้ก๊อกน้ำเดี่ยวเป็นตัวผสมน้ำซึ่งเดินท่อน้ำร้อนจากเครื่องทำน้ำร้อนตัวเดียวกับที่ใช้สำหรับอ่างอาบน้ำ

พื้นผิวในห้องฝักบัวเป็นพื้นกระเบื้องเรียบสีน้ำตาล แต่ช่องทางเดินระหว่างห้องฝักบัวและอ่างอาบน้ำตกแต่งด้วยก้อนหินกรวด ปูสลับกับกระเบื้องทางเดิน ถัดจากพื้นที่อาบน้ำเป็นห้องกระจกและอ่างล้างหน้าที่มีประตูเชื่อมกับห้องเก็บเสื้อผ้าซึ่งเป็นประตูที่เปิดออกไปอย่างเดียว ในขณะที่ประตูที่เขาและเป็นปภินวิชเดินเข้ามาเป็นประตูที่เชื่อมกับห้องนอนเป็นประตูปกติที่ทำได้ทั้งเปิดเข้าและออก

เด็กหนุ่มยังมีอาการเก้ๆกังๆ พอเห็นแบบนั้น พฤทธิกรก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง แต่ยามที่ได้เห็นใบหน้าเขินอายนั้นกลับรู้สึกมีความสุขมากกว่า

“ตกลงวันนี้จะได้อาบไหม”เขาเอ่ยถามซ้ำทั้งที่ใจเต้นแรง ปภินวิชไม่ยอมเงยหน้ามองเขาและไม่ได้ก้มหน้ามองต่ำไปกว่าหน้าอก ใบหน้างอหงิกไม่ชอบใจยังขึ้นสีเรื่ออยู่ตลอดเวลา จากนั้นเจ้าตัวจึงหยิบฝักบัวสายอ่อนขึ้นมาเปิดน้ำ สายน้ำเย็นเฉียบราดรดตัวเขาจนขนลุกซู่

“น้ำเย็นเกินไปแล้ว”พอเขาบอกเจ้าตัวก็ปรับอุณหภูมิของน้ำ คราวนี้มันร้อนจี๋ราวกับพยายามเอาคืนที่โดนแกล้ง

“โอ้ย ร้อนเกินไปแล้ว”เขาสะดุ้งถอนตัวหนี

“อาบเองซะตั้งแต่ทีแรกก็หมดเรื่องแล้วแท้ๆ”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำออกมาให้ได้ยิน เขาจึงแสร้งถอนหายใจ

“ที่กลอนเคยว่าเกี่ยวกับนิสัยของเธอ ฉันไม่เคยเชื่อหรอกนะ แต่มาเห็นแบบนี้แล้วฉันก็เริ่มเชื่อนิดๆแล้วล่ะ”

ปภินวิชตวัดสายตามองเขาด้วยความเคืองขุ่น “ผมรู้จักบุญคุณคน และไม่ได้คิดจะเอาเงินของนายท่านไปเฉยๆด้วย”

“นั่นสิ แล้วเธอจะคิดมากอะไร ก็แค่ทำงาน คิดซะว่ากำลังอาบน้ำให้เด็กอนุบาลก็ได้”เขาพูดปลอบโน้มน้าว ทว่าเด็กหนุ่มยังพ่นลมหายใจและเบือนหน้าหนี เขาก็รู้ละนะว่าคำพูดของเขามันแปลกๆ แต่ช่วงเวลาดีๆแบบนี้เขาควรที่จะปล่อยผ่านไปอย่างนั้นเหรอ ถ้าปล่อยให้ปภินวิชใช้ชีวิตและทำงานไปตามปกติ นั่นก็เท่ากับเขาเสียเวลาหนึ่งปีนี้ไปฟรีๆนะสิ

เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูท่าว่าคงจะทำใจได้แล้วละมั้ง เพราะเขาเห็นว่าฝ่ายนั้นเริ่มสนใจกับการปรับระดับน้ำแล้ว

“ยื่นมือมาสิครับ จะได้ลองดูว่าน้ำร้อนเกินไปหรือเปล่า”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งไร้อารมณ์

“อืม ประมาณนี้แหละ”จากนั้นเขาจึงยืนนิ่งให้อีกฝ่ายใช้น้ำรดตัว และฟอกสบู่ เขามองตามท่าทางนิ่งเฉยตาไม่กะพริบ ก่อนจะยกยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อฝ่ายนั้นจงใจละเลยบางจุด

“ตรงนี้ยังไม่ได้ทำความสะอาดเลย”เขาบอกพร้อมชี้มือ เด็กหนุ่มมองตามมือของเขาก่อนจะเงยหน้าพรวดขึ้นมาถามซ้ำ ใบหน้าใสแดงเห่อไปถึงใบหู

“ทำเองไม่ได้หรือครับ”

“ตอนที่พ่อบ้านของฉันอาบน้ำให้เขาก็ทำให้ทุกจุดนะ” เรื่องนี้พฤทธิกรไม่ได้โกหก เขาเคยมีพ่อบ้านมาช่วยอาบน้ำให้จริงๆ แต่มันเป็นเรื่องก่อนที่เขาจะอายุห้าขวบ ส่วนพ่อบ้านที่ว่าก็คือพี่เลี้ยงของเขานั่นแหละ

“จะลังเลอะไรนักหนาก็แค่ติ่งเนื้อธรรมดา”พูดจบเขาก็คว้ามือของเด็กหนุ่มให้มาวางบนติ่งเนื้อที่ว่านั่น แต่ติ่งเนื้อของเขาก็แปรผันตรงตามขนาดตัวนั่นแหละ อีกฝ่ายทำท่าจะชักมือออกแต่เขายังบังคับฝืนให้ลากมือไปตามความยาว

ถึงพฤทธิกรจะเป็นผู้ชายที่อายุใกล้จะสี่สิบแล้ว แต่เมื่อโดนกระตุ้นเร้าโดยตรงแบบนี้ อารมณ์ปรารถนากลับลุกโชนขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งได้เห็นใบหน้าแดงก่ำที่จดจ้องมองติ่งเนื้อซึ่งค่อย ๆ พองตัวและแข็งแน่นด้วยอาการตะลึงงันแล้ว อารมณ์เบื้องต่ำกลับยิ่งพวยพุ่งออกมาไม่หยุด

“ชอบเหรอ มองตาไม่กะพริบเลย”

“ป... เปล่าครับ”คนตอบเสียงสั่นเหมือนได้สติรู้ตัวพยายามจะดึงมือออกให้ได้ ทั้งยังพยายามหลบเลี่ยงสายตา

พฤทธิกรไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มหนีไปได้ เขาใช้มืออีกข้างรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ แล้วช้อนใบหน้าของปภินวิชให้เงยขึ้น นึกอยากกดจุมพิตลงไปบนริมฝีปากแดงฉ่ำนั่นสักครั้ง แต่ก็ยั้งตัวเองไว้และใช้เพียงปลายนิ้วโป้งไล้ไปตามริมฝีปากได้รูป พร้อมกับขยับมือให้เร็วขึ้น ไม่ช้าไม่นาน หยาดน้ำขาวขุ่นก็ทะลักไหลพุ่งออกมาให้เลอะเปรอะเต็มฝ่ามือ

“ทำให้ไหม”ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังวางมือบนส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวของเด็กหนุ่ม

“ไม่ต้องหรอกครับ”ปภินวิชสะบัดตัวออกทันควัน เขาเปิดน้ำล้างมือด้วยท่าทีเมินเฉยมีเพียงสีผิวบนหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกจริง ๆ ของเจ้าตัว

หลังล้างตัวเสร็จ เขาก็เดินออกไปหย่อนตัวลงอ่างอาบน้ำ

อ่างอาบน้ำในห้องน้ำของพฤทธิกรทำมาจากหินอ่อน เขาไม่ได้เลือกมันเพราะคุณสมบัติพิเศษอื่นใด แต่ยกการตัดสินใจให้มัณฑนากร หลังเห็นแบบที่ส่งมาให้กับราคาของตกแต่งที่ดูสมเหตุสมผลกัน เขาจึงเซ็นอนุมัติให้หาอ่างรุ่นนี้มาติดตั้งได้

มันกว้างพอที่จะให้เขาลงไปพิงได้สบายๆ และกว้างพอที่จะดึงใครอีกสักคนให้ลงมาแช่พร้อมกัน

เพียงแต่อีกคนที่ถูกดึงลงมา ร่วงลงมาในอ่างอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำอุ่นร้อนจึงกระเซ็นออกไปเยอะ

“ทำอะไรครับเนี่ย”ปภินวิชถามเสียงขุ่น

“ก็อยากให้เธอลงมานวดให้ด้วย”

“บอกดีๆก็ได้ครับ อีกอย่างผมอยู่ข้างบนคงจะถนัดกว่า”

“เอ้าเรอะ ขอโทษทีนะ ไหนๆก็ลงมาแล้วก็นวดไปทั้งแบบนี้แล้วกัน”

เด็กหนุ่มหน้าหงิก “ขยับหันหลังมาสิครับ”

“ฉันนั่งอย่างนี้ถนัดกว่า”

“แล้วผมจะนวดให้อย่างไรล่ะครับ”

“นวดตรงนี้ก็ได้”เขาคว้าจับมือของเด็กหนุ่มให้ไปวางยังจุดเดิมที่อีกฝ่ายเคยนวดเคล้นมาก่อน

“ท...ทำเองเถอะครับ”ปภินวิชบอกเสียงสั่นก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกจากอ่างหินอ่อน เดินดุ่ยๆออกไปนอกห้องน้ำ ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ซึ่งแขวนอยู่ที่ราว นำมาพันรอบเอวแล้วเดินตามออกไป
.
.
.


“อาบน้ำพร้อมกันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”พฤทธิกรพูดบอกเมื่อดันร่างเด็กหนุ่มมาหยุดยืนที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าภายในห้องน้ำ เขาเปิดตู้เก็บของด้านบนพร้อมมองหาแปรงสีฟันให้ปภินวิช แกะด้ามใหม่ออกจากแพ็กและยื่นส่งให้

“แต่ห้องน้ำข้างนอกก็มีนี่ครับ แยกกันก็ได้เถอะ”เด็กหนุ่มรับมันมาแต่กลับวางไว้กับเคาน์เตอร์ จากนั้นจึงหยิบแปรงสีฟันของอีกฝ่ายมาบีบยาสีฟันใส่

“เนี่ยอยากมีโมเมนต์นี้มาตั้งนานแล้ว”ชายหนุ่มพูดด้วยอาการกระดี๊กระด๊าจนปภินวิชต้องเหล่ตามอง “ถ้าอยากมีโมเมนต์นี้ทำไมไม่รีบแต่งงานล่ะครับ”

“ถ้าฉันแต่งงานไป เราก็ไม่ได้มารักกันน่ะสิ”

คำพูดนั้นทำให้คนฟังแก้มร้อนจึงต้องกลบเกลื่อนด้วยการนำแปรงสีฟันใส่เข้าปาก ขยับแปรงสีฟันโดยไม่คิดจะพูดคุยกับอีกฝ่ายอีก กระทั่งเขาบ้วนน้ำล้างปากชายหนุ่มร่างสูงจึงบ้วนปากอย่างเร็วรี่เช่นเดียวกัน

“ไหนมาดมหน่อย ปากหอมหรือยัง”คำพูดของพฤทธิกรทำให้ปภินวิชยิ้มขำ กระนั้นกลับยื่นหน้าไปหาอีกฝ่ายแต่โดยดีหายจากอาการขัดเขินแง่งอนเมื่อก่อนหน้า ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างสูงกว่าแนบริมฝีปากประกบทับลงมาอย่างแผ่วเบา เผยอริมฝีปากให้คนตรงหน้าส่งปลายลิ้นเข้ามาคลุกเคล้ารุกราน อารมณ์รัญจวนแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย สองมือจึงถูกส่งขึ้นคล้องรอบคอของร่างสูงใหญ่ไว้เป็นหลักยึด

ฝ่ามือของพฤทธิกรลากสอดเข้าไปอยู่ใต้ชายเสื้อของเด็กหนุ่มคนรัก ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเนียน จากนั้นจึงพามือลงไปต่ำลอดผ่านขอบกางเกงเอวยางยืด ขยำสะโพกหนั่นเสียเต็มมือ ปภินวิชจึงสะดุ้งผละถอย

“คุณฤทธิ์”เด็กหนุ่มร้องดุตาเขียวแต่คนถูกว่ากลับยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน รูดถอดกางเกงของร่างในอ้อมกอดพร้อมถลกเสื้อยืดคอกลมที่ปภินวิชสวมอยู่ออกทางศีรษะ

เด็กหนุ่มจึงเหลือเพียงกางเกงชั้นใน

ตอนที่ชายหนุ่มเกี่ยวนิ้วกับขอบกางเกงชั้นใน เจ้าของอาภรณ์ชิ้นนั้นจึงร้องออกมาว่า “ผมจัดการเองได้ครับ” เด็กหนุ่มหมุนตัวหันหลัง ยืนทำใจอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะปลดอาภรณ์ออกได้

ปภินวิชโดนอีกฝ่ายรวมเข้ากอด แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาสัมผัสกับแผงอกตึงแน่นโดยไร้อาภรณ์ขวางกั้น หัวใจของเขาจึงเต้นดังโครมครามเมื่อรับรู้ได้ถึงผิวเนื้อร้อนผ่าวทุกสัดส่วนซึ่งกำลังแนบชิดราวกับเป็นเนื้อเดียว

“ต... ต้อง... ไป... ทำงานนะครับ”ปภินวิชเอ่ยเตือนด้วยเสียงตะกุกตะกัก และต้องย่นคอหนีเมื่ออีกฝ่ายขบกัดใบหู ก่อนจะถูกรุกรานด้วยปลายจมูกโด่งที่พานให้ขนลุกซู่

“ตกลงว่าอาบน้ำพร้อมกันเลยเนอะ”

อีกฝ่ายไม่ได้พูดแต่ปากเปล่า กลับลากมือลงไปรุกรานแถวท้องน้อยจนเขาต้องเกร็งแขม่ว เขาคว้ามือของพฤทธิกรไว้ “ถ้ายืน... อยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่จะได้อาบน้ำละครับ”ปภินวิชกลั้นใจหันไปบอก ผละออกห่างและรีบก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในห้องฝักบัว

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องเดินตามเข้ามาตอนที่เขากำลังเปิดฝักบัวราดรดตัว สายน้ำเย็นฉ่ำจนคล้ายจะดับความรู้สึกแปลกประหลาดให้จางลงได้ ทว่าเมื่อร่างกายได้สัมผัสกันอีกครั้ง ความร้อนระอุจากอารมณ์ปรารถนาพลันพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันช่วย”

คนพูดไม่ได้รอให้เขาตอบรับ มืออุ่นร้อนกระตุ้นเร้าเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงลำท่อนแข็งตัวซึ่งเสียดสีอยู่แถวสะโพกด้านหลัง เขาจึงพลิกตัวหันหน้าเข้าหา ข่มบังคับความเขินกระดาก เอื้อมมือไปจับท่อนเอ็นแข็งร้อนพร้อมกับรูดรั้งปลอบประโลมให้ดั่งที่ชายหนุ่มทำให้ตน

ปภินวิชโดนเชยใบหน้าให้รับจูบในจังหวะที่ฝ่ามือของเขาและชายหนุ่มกำลังทำหน้าที่ของมัน ความกระสันซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง เสียดเสียวและสุขสมจนต้องละจากจูบเพื่อเปลี่ยนมาหายใจทางปาก

“เร็วอีกนิด”

เด็กหนุ่มขยับมือเร่งความเร็วตามที่โดนสั่ง ทว่าปลายทางที่อีกฝ่ายมอบให้มาถึงอย่างรวดเร็วจนร่างกายชาวาบไร้เรี่ยวแรง ส่งผลให้มือข้างนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ อีกฝ่ายจึงวางมือทับบนหลังมือพร้อมบังคับให้เขาขยับ ไม่ช้าไม่นานพฤทธิกรก็คว้าจับจุดหมายได้เช่นเดียวกัน

สายน้ำที่เปิดทิ้งไว้ชำระคราบขาวขุ่นให้จางหายไปอย่างรวดเร็ว

พฤทธิกรปิดก๊อกน้ำและกดครีมอาบน้ำมาถูทำความสะอาดร่างกายให้เด็กหนุ่มซึ่งยังหลุบสายตามองแต่แผ่นอกของเขา

“มองแต่ข้างล่างเนี่ย อยากทำอะไรเหรอ”

ปภินวิชเหลือบสายตาขึ้นมามองแต่กลับไม่ได้พูดตอบอะไร พฤทธิกรจึงต่อประโยคไปว่า “ไม่ตอบแสดงว่าตกลงนะ” คนฟังถึงเบือนหน้าหนี “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”

พฤทธิกรถึงกลับชะงักงันไปชั่วครู่

“ที่อยากทำไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นหรอกนะ เพราะอยากทำกับคุณเฉย ๆ แล้ว... ก็เพราะฮอร์โมนของวัยรุ่นด้วย”ปภินวิชเหล่มองด้วยอาการอยู่ไม่สุข

ชายหนุ่มแนบจูบลงไปก่อนจะพูดว่า “รออีกนิดนะ ครั้งแรกของเรา ฉันอยากให้มันพิเศษที่สุด”

ปภินวิชพยักหน้ารับ สอดแขนกอดรัดร่างหนากว่าไว้

“แล้วยังต้องเป่ายิ้งฉุบอยู่หรือเปล่า”พฤทธิกรสัพยอก เพียงแต่คนถูกถามกลับกลอกตาคิดอย่างจริงจัง “ถ้าเจ็บ ผมจะเป็นฝ่ายกลับตำแหน่งมาทำให้คุณเอง หรือถ้าคุณเป็นฝ่ายรับก็บอกผมได้นะ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องอาย”

ชายหนุ่มถึงกลับหัวเราะแห้งแล้งออกมา
.
.
.


พื้นกระเบื้องเย็นเฉียบและอากาศเย็นยะเยือกในห้องน้ำทำให้เขาขนลุก ปภินวิชเดินไปเปิดน้ำร้อนลงอ่างแล้วหันไปบอกกับชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างว่า

“คุณฤทธิ์รีบอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวผมออกไปรอข้างนอก”

“อย่าเพิ่งไปซี ช่วยถอดเสื้อผ้าหน่อย”ชายหนุ่มกางแขนทำหน้าอ้อนยามกล่าวบอกหนุ่มคนรัก เห็นอีกฝ่ายย่นจมูกทำหน้าคล้ายหมั่นไส้จึงรีบพูดอีกว่า “เนี่ยเสื้อผ้าวันนี้ถอดยากมาก”

“เมื่อเช้ายังใส่เองได้เลย”

“เพราะตอนเช้าเธอยุ่งอยู่กับการทำอาหารหรอก ฉันเลยไม่อยากรบกวน นั่นสิเนอะใส่เองได้ก็ต้องถอดเองได้”พฤทธิกรพูดพร้อมปลดกระดุมเสื้อสูททั้งเม็ดที่กลัดไว้ด้านหน้าและที่ปลายแขน หน้าเง้าด้วยอาการงอน ส่วนปภินวิชอมยิ้มยืนมองไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ กระทั่งชายหนุ่มแกล้งทำเป็นติดแขนเสื้อถอดสูทตัวนอกไม่ได้อย่างน่าตลก

“โอ๊ย ๆ ติด ๆ ปลาช่วยหน่อย”

เด็กหนุ่มหัวเราะก่อนเข้าไปช่วยถอดสูทชิ้นนั้นออกไปแขวนไว้บนราว

“ช่วยปลดเนกไทให้หน่อยสิมองไม่เห็น”คนพูดเอียงคอจงใจยื่นอกมาหาจนปภินวิชต้องจำใจตอบรับ “ครับ เดี๋ยวผมช่วยถอดเสื้อผ้าให้นะครับนายท่าน”ได้ยินคำตอบแบบนั้นพฤทธิกรถึงกับยกยิ้มรับด้วยความชอบใจ คนตรงหน้าช่วยเขาถอดอาภรณ์ทุกชิ้นจนต้องเอ่ยแซว

“ไม่เขินแล้วเหรอ ตอนนั้นยังหลับตาปี๋อยู่เลย”

เด็กหนุ่มทำเพียงส่งเสียงฮึโดยไม่ยอมเอ่ยตอบอะไร หยิบเสื้อของพฤทธิกรมาไว้ในมือและทำท่าจะเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ ทว่าร่างกายของเขากลับถูกคว้าจับไว้ ยังไม่ทันร้องประท้วงชุดนอนที่สวมอยู่ก็ร่วงกองไปกับพื้นเสียแล้ว

“คุณฤทธิ์ทำอะไรเนี่ยผมอาบน้ำแล้วนะ”

“อาบแล้วก็อาบอีกได้ ที่พาเข้ามาเนี่ยอยากให้มาอาบน้ำเป็นเพื่อนนะ”

“เป็นเด็กหรืออย่างไรครับถึงต้องมีคนอาบน้ำเป็นเพื่อน”

ขณะที่พูดจากโต้ตอบกันอยู่นั้น ปภินวิชก็โดนดันให้เดินเข้าไปในตู้อาบน้ำ ถูกชายหนุ่มเปิดน้ำราดตัวโดยไม่ถามความคิดเห็น

“งั้นไม่ต้องอาบเป็นเพื่อนก็ได้ อาบให้ฉันหน่อยแล้วกัน”พูดพลางยื่นฝักบัวไปให้ด้วยใบหน้าระรื่นพานให้คนมองรู้สึกฉิวปนหมั่นไส้

“ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่อายบ้างหรือไง”เด็กหนุ่มพูดบ่น พอเห็นสายตาวิบวับก็หลุบตามองแผ่นอกกว้าง ยกสายฝักบัวอาบน้ำขึ้นสูง ให้น้ำรดตัวชายหนุ่มตั้งแต่หัวไหล่ลงมา ก่อนต้องขยับถอยหลังเมื่อคนตรงหน้าก้าวเท้าเขยิบเบียดเข้าหาพลางร้องเสียงหลง

“จะเข้ามาใกล้ทำไมล่ะครับ”

“แล้วจะกลัวอะไรล่ะ”

คนถูกถามอ้าปากพะงาบ ๆ ร่างกายเบียดแนบกับผนังด้านหลังถูกกักไม่ให้ขยับหนีโดยท่อนแขนของชายหนุ่ม “ไหนคุณฤทธิ์บอกว่า จะรอโอกาสพิเศษไงครับ”

“ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

คนฟังฉุนกึก รู้แล้วว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งแต่เขาเหมือนโดนหยาม เขาก็ผู้ชายเหมือนกันเหอะถึงจะอ่อนกว่ายี่สิบปี ถึงจะไม่เคยมีแฟน แต่ไอ้เรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ ปภินวิชมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าอย่างมุ่งมาด

“ไม่แช่น้ำแล้วหรือครับ”

พฤทธิกรเลิกคิ้วมองนัยน์ตาสีดำสนิทที่จ้องตอบกลับมา แววตาแฝงประกายท้าทายจนต้องอมยิ้ม เขาโคลงศีรษะรับ เปิดประตูห้องฝักบัวออกไปหย่อนเท้าลงอ่างซึ่งมีปริมาณน้ำสูงเกือบเต็ม เขาปิดก๊อกและหันไปมองร่างเพรียวบางกว่าที่เดินตามมาหย่อนตัวลงน้ำเหมือนกัน

ปภินวิชทำหน้าเฉยทั้งที่ผิวแก้มขึ้นสีแดง ขยับมานั่งซ้อนอยู่บนตักจงใจเบียดเสียดสีผิวเนื้อเปลือยเปล่าให้แนบชิดกัน พลางใช้มือวักน้ำขึ้นราดรดไหล่ของเขาพร้อมลากมือถู

“ทำแบบนี้เดี๋ยวก็หยุดไม่อยู่หรอก”พฤทธิกรเอ่ยเตือน

“ทำอะไรหรือครับผมแค่ช่วยอาบน้ำให้คุณเท่านั้นเอง”เอียงคอพูดตอบพลางทำตาใสไม่รู้เรื่อง ขยับมือบีบนวดไหล่แข็งของชายหนุ่มพร้อมกับขย่มสะโพกถูกไถจุดไวสัมผัสช่วงล่างจนน้ำในอ่างกระเพื่อมเป็นระลอก

“ผมนวดให้แบบนี้ไม่ดีหรือครับ”

พฤทธิกรต้องรีบจับยึดไม่ให้ปภินวิชขยับตัวได้อีก มือเรียวบางแสนซนก็เปลี่ยนที่มายุ่งวุ่นวายตุ่มเนื้อบนอกของเขา

“อึก!”เขากัดฟันพยายามข่มอารมณ์ “ถ้ายังไม่หยุดล่ะก็ เกิดอะไรขึ้นจะมาโทษฉันไม่ได้แล้วนะ”

“เอ๋... อะไรเหรอ แค่อาบน้ำจะเกิดอะไรขึ้นเหรอ”ปภินวิชถามกลับมาหน้าซื่อ ดูท่าเจ้าตัวจะสนุกสนานกับการยั่วอารมณ์เขาเหลือเกิน

พฤทธิกรดึงโน้มต้นคอของอีกฝ่ายเข้ามารับจูบ เด็กหนุ่มคนรักยอมเปิดริมฝีปากให้เขาส่งปลายลิ้นเข้าไปคลุกเคล้าโดยง่าย ทั้งยังโรมรันตอบสนองแต่แบบนี้เหมือนจะเข้าทางเขาเสียมากกว่า ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสนใจแต่การรุกไล่ มือของเขาก็ลากสำรวจไปทั่ว

เขารู้สึกว่าปภินวิชผอมไปหน่อยแต่ผิวเรียบเนียนลื่นไม่ต่างจากผิวผู้หญิง ซ้ำสะโพกแน่นเต็มไม้เต็มมือ

“คุณฤทธิ์!!!”เด็กหนุ่มแหวเสียงดัง ผละตัวออกห่าง “บีบเบา ๆ หน่อยสิครับ ก้มผมไม่ใช่หมอนยัดนุ่นนะ จะได้บีบแรงขนาดนั้นแล้วไม่รู้สึกอะไร”

“โอ๋ ๆ ขอโทษครับ”เขารีบกล่าวพร้อมยิ้มประจบดึงปภินวิชซึ่งยังมีสีหน้าบึ้งตึงถึงเข้ามากอด พลางลูบไล้มือเพื่อปลุกเร้าร่างกายคนรักอีกหน เด็กหนุ่มจึงตอบสนองด้วยการลดมือไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวของเขาปลุกเร้าจนต้องหอบหายใจ

พฤทธิกรจึงไม่อาจปล่อยให้คนรักคุมเกมได้ง่าย ๆ เขาแนบจูบลงไปบนริมฝีปากยั่วเย้า มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงยอดอกของปภินวิช อีกข้างบดขยี้ปลายยอดที่อยู่ใต้น้ำสลับกับการสาวรูด กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้หยุดมือ ความเร็วในการรูดรั้งเพิ่มขึ้นจนเขาต้องเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ความซ่านเสียวแล่นพล่านไปทั่วก่อนจะแตกพร่างและเต็มไปด้วยความสุขสม

เด็กหนุ่มคนรักเอนตัวนอนหอบหายใจอยู่บนอก   

เขานั่งพักอยู่ครู่หนึ่งจึงดันปภินวิชออกห่าง ลุกขึ้นจากน้ำเดินไปหยิบผ้าขนหนู พันกายตัวเองไว้ผืนหนึ่งและถืออีกผืนกลับมายังอ่างน้ำร้อน เมื่อกางผ้าออก เด็กหนุ่มคนรักก็ลุกขึ้นมาจากน้ำปล่อยให้เขาจัดการคลุมผ้าขนหนูให้

แก้มทั้งสองข้างของปภินวิชเป็นสีแดงก่ำจนเขาอดใจไม่ไหวต้องกดจมูกลงไป อีกฝ่ายจึงแตะจูบที่ริมฝีปากของเขาเช่นกัน แล้วกระโดดกอดคอเกี่ยวขาทั้งสองข้างเข้ากับเอวของเขาปล่อยให้เขาอุ้มพาออกจากห้องน้ำ

ชายหนุ่มพาร่างที่เกาะเขาไว้แน่นมายังห้องแต่งตัว “ปล่อยก่อน แต่งตัวก่อนนะ”

“เอ๋!!!”

ได้ยินเสียงร้องด้วยความแปลกใจจึงเลิกคิ้วถาม ทว่าเด็กหนุ่มคนรักกลับร้องว่า “โธ่” ออกมาเพียงคำเดียว


-จบบทพิเศษ-

   
หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-02-2018 19:15:21
บทพิเศษ วาเลนไทน์กับเธอที่รัก



เขามีนัดกับคนรักที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปีไปทานข้าวฉลองวันวาเลนไทน์ปีแรกด้วยกัน หลังจองโรงแรมสั่งอาหารล่วงหน้าเรียบร้อยจึงโทรแจ้งเลขาว่าวันรุ่งขึ้นเขาจะหยุดงาน จากนั้นอีกประมาณไม่ถึงนาที เด็กหนุ่มคนรักก็เปิดประตูห้องทำงานของเขาเข้ามาหน้าตาตื่น

“คุณฤทธิ์”ร้องเรียกพร้อมเดินตรงเข้าไปหา

“ทำไมต้องบอกพี่ก้อยไว้ก่อนว่าจะหยุดล่ะครับ”

“ก็พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องโทรบอกไง และเผื่อมีแจ้งนัดหมายอะไรเข้ามา คุณก้อยจะได้ปฏิเสธไปเลยด้วย”

“แต่ไปบอกพี่ก้อยแบบนั้น พี่เขาก็รู้หมด”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“ก็คุณฤทธิ์ไม่ใช่คนที่โดนแซวนี่นา”ปภินวิชหน้างอ

“งั้นเดี๋ยวฉันเรียกคุณก้อยเข้ามาคุยให้แล้วกัน เอาไหม”

“นั่นก็ไม่ดีเหมือนกัน ไม่รู้ไม่สน คืนนี้กินข้าวเสร็จแล้วก็รีบกลับเลยด้วย”พูดจบก็สะบัดหน้าเดินกระแทกส้นเท้ากลับออกไป พฤทธิกรยังยกยิ้มมองตามแผ่นหลังเล็กบางที่ลับสายตาไปเมื่อประตูถูกปิดลงพร้อมคิดอยู่ในใจว่า ไม่มีทางได้กลับง่าย ๆ แน่

ชายหนุ่มไม่ได้จองโต๊ะในร้านอาหารแต่จองห้องสวีตของโรงแรมพร้อมอาหาร ตอนไปถึงที่หมายปภินวิชถึงกับตวัดสายตามองเขาตาเขียว พฤทธิกรรีบโอบเอวกอดประจบไม่อยากให้คนรักขุ่นเคืองจนเสียบรรยากาศ

“ก็จองไปแล้วก่อนที่เธอจะเข้ามาบอก ถ้ายกเลิกก็น่าเสียดาย อีกอย่างมันค่อนข้างเป็นส่วนตัว ฉันไม่ได้คิดปิดบังการคบหาของเราหรอกนะ แต่ถ้าคนรู้จักหรือนักข่าวสังคมมาเห็นมันจะมีแต่เรื่องวุ่นวาย”

เมื่อบอกเหตุผลออกไปเด็กหนุ่มก็ยินดีพยักหน้ารับ “แต่ทานเสร็จ กลับเลยนะครับไม่ค้าง”

“แต่นี่วันพิเศษทั้งที แล้วไม่ได้ทำทุกวันอย่างที่เคยพูดด้วย”

“ช่วยไม่ได้ คุณฤทธิ์ไม่ว่างเองนี่นา”ปภินวิชลอยหน้าลอยตาพูดตอบ ชายหนุ่มร่างสูงจึงงับจมูกที่เชิดขึ้นด้วยความมันเขี้ยว ทำให้คนโดนกัดฟาดมือใส่ทันควันพร้อมกระซิบพูดเสียงเบา “อายพี่พนักงานเขาบ้าง”

“เขาไม่เอาไปพูดหรอกน่าไม่ต้องห่วง”พฤทธิกรกระซิบบอก โอบประคองพาปภินวิชไปนั่ง

โต๊ะทานอาหารสองที่นั่งตั้งอยู่ริมระเบียง  ข้างหน้าต่างกระจกใสทั้งบาน ทิวทัศน์ด้านนอกเป็นกรุงเทพยามค่ำคืนที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตา ดังนั้นพฤทธิกรจึงสั่งให้บริการปิดม่านไปเสีย

“มีแต่ให้เปิดม่านไว้ ดูวิวไปทานไปจะได้เจริญอาหาร”

“ก็ไม่อยากให้คนตรงหน้าหันไปมองทางอื่น”

เด็กหนุ่มทำสีหน้าไม่ถูก ไม่ใช่แค่คำเกี้ยวพานที่ทำให้เขาเก้อเขินแต่ยังมีนัยน์ตาประกายระยับนั่นด้วย จึงได้ทำเหมือนแสลงแสร้งกลบเกลื่อนอาการหน้าร้อนผ่าว หลุบสายตาสำรวจมองจานช้อน แก้วเทียนซึ่งมีเปลวไฟเต้นระริกอยู่บนโต๊ะและพูดว่า

“เมื่อไหร่จะได้กินเนี่ยเริ่มหิวแล้วนะ”

พฤทธิกรยกมือขึ้นเรียกบริกรให้เสิร์ฟอาหาร

ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแจ็กเกตสีดำและกางเกงผ้าขายาวสีดำจึงวางตะกร้าขนมปังลงบนโต๊ะ ตามด้วยเนยสีเหลืองในถ้วยเล็ก ๆ ถัดมาเป็นจานสีขาวที่มีอาหารถูกวางตกแต่งอย่างสวยงามอยู่ตรงกลางอีกใบ

“อะไรน่ะครับ”ปภินวิชเอ่ยถาม ของในจานมองคล้ายเนื้อบดวางอยู่ใต้ผักตกแต่งซึ่งถูกหั่นเป็นเส้นและไข่ปลาสีส้ม

พฤทธิกรจึงพยักพเยิดให้บริกรกล่าวอธิบาย ชายคนนั้นจึงแนะนำชื่ออาหารและส่วนประกอบซึ่งมันคือเนื้อปลาแซลมอนรมควันบดละเอียด ด้านบนเป็นสลัดปนไข่ปลาแซลมอน

“ถ่ายรูปได้ไหมครับ”เด็กหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งด้วยอาการเก้ ๆ กัง ๆ  หันมองทั้งบริกรหนุ่มและชายคนรักที่เป็นเจ้ามือ เมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพยักหน้า เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปอาหาร เสร็จเรียบร้อยก็ยังนั่งนิ่งรอ

“หิวไม่ใช่เหรอ ทานสิ”

“คุณฤทธิ์ทานก่อนสิครับ”

เมื่อโดนเกี่ยงกลับมา ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้ามือจึงหยิบมีดและส้อมขึ้นมาเริ่มทานอาหาร บริกรหนุ่มถอยห่างออกไปอีกเว้นระยะไม่ให้พวกเขารู้สึกอึดอัดจนเกินไปนัก

หมดจานแรก ก็มีจานที่สองตามมาแต่คราวนี้ปภินวิชไม่ได้ถามชื่อหรือขอถ่ายรูปแล้ว เพราะรู้สึกว่าการทำอย่างนั้นมันดูน่าประหลาดเนื่องจากเขาไม่ได้ตั้งใจรีวิวอาหารเสียหน่อยแต่ที่ถ่ายรูปไว้ เขาต้องการเก็บเป็นที่ระลึกเท่านั้น หลัง ๆ จึงมีความสุขกับการกินเสียมากกว่า อาหารแต่ละจานนั้นมีปริมาณน้อย ไม่ทำให้อิ่มตื้อจนทานจานต่อไปไม่ได้ และเมื่อหมดจานของหวาน ปภินวิชคิดว่ายังทานต่อได้อีกนิดหน่อยด้วยซ้ำ

บริกรออกจากห้องไปพร้อมจานเปล่า บนโต๊ะเหลือแค่เครื่องดื่มสองแก้วและตะกร้าขนมปัง ระหว่างมื้อนั้น พฤทธิกรไม่ได้ชวนคุยมากมายนอกจากถามว่าอร่อยไหม หรือรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง

“ไม่ดื่มเหรอ”พฤทธิกรพูดถาม เพราะบนโต๊ะมีแก้วไวน์ตั้งอยู่แต่เด็กหนุ่มเอาแต่ดื่มน้ำเปล่า

ปภินวิชสั่นศีรษะ

“ดื่มเถอะ ฉลองไง”ยกแก้วชูขึ้นเป็นเชิงเชิญชวน คนตรงหน้ายอมยกแก้วขึ้นจิบแต่เขามีแผนที่จะมอมเหล้าจึงคะยั้นคะยอให้ดื่มอีก

“กลับกันหรือยังล่ะครับ”

“จะรีบกลับไปไหนล่ะ บ้านไม่หนีไปไหนหรอก”

เด็กหนุ่มย่นจมูกและหลบตาหนีอีกแล้ว แสงไฟสีส้มนวลทำให้มองเห็นไม่ชัดว่าอีกฝ่ายหน้าแดงหรือเปล่า แต่ท่าทางนั้นดูขัดเขินชัดเจน เขามองดูด้วยรอยยิ้ม

“มองอะไรเล่า ไม่เคยเห็นหรือไง”ปภินวิชถามเสียงเบาที่แฝงไปด้วยความแง่งอน

พฤทธิกรไม่ตอบ มองใบหน้าคนถามต่ออีกครู่หนึ่งจึงได้ส่งเสียงพูดชวนคุยเนื่องจากปภินวิชรบเร้าให้กลับคอนโดอีกแล้ว ถึงจะอยู่ด้วยกันตลอดแต่บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ เสียหน่อย ที่สำคัญเขาอุตส่าห์แจ้งเลขาบอกลาหยุดไว้แล้วด้วย

“มาเล่นเกมกันดีกว่า”

ปภินวิชเลิกคิ้วมอง


“เกมถามตอบคล้าย ๆ ทรูออร์แดร์ (True or Dare) แต่ถ้าคำถามไหนไม่อยากตอบก็ให้ดื่มไวน์แทน”

“ฮึ ไม่เห็นน่าเล่นเลย”ปภินวิชตอบออกมาทันควันก่อนจะอุบอิบพูดประโยคถัดไป “แล้วผมก็นึกคำถามอะไรไม่ออกด้วย”โดนจ้องด้วยแววตาแบบนั้น ใครจะคิดอะไรออกแค่ปั้นหน้าไม่ให้เขินก็ลำบากแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่คิดอยู่ในใจ

“แต่ไวน์ขวดนี้ยังไม่หมด งั้นนั่งรอจนกว่าฉันจะดื่มหมดก่อนแล้วกัน”พูดจบพฤทธิกรก็ยกแก้วขึ้นจิบ ซึ่งเท่าที่ปภินวิชเห็น ชายหนุ่มยกขึ้นจิบแบบจิบนิดเดียวจริง ๆ อย่างนี้เขาอาจจะต้องนั่งรอจนเช้ากว่าจะได้กลับไปนอน

“อย่างนี้ผมไปนอนรอแล้วกัน”ปลายเสียงสะบัดเหมือนเริ่มไม่ค่อยพอใจ

“ถ้าเธอขึ้นไปนอนรอบนเตียง ฉันจะถือว่าเธอให้ท่าและฉันจะใช้บริการห้องนี้ให้คุ้ม”

คำขู่ของชายคนรักทำให้เขาอ้าปากค้าง จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมา เบือนหน้าหนีไปพักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปหา “ผมเล่นก็ได้”ยกขวดสีชาซึ่งของเหลวภายในพร่องลงไปเล็กน้อย เทใส่แก้วของอีกฝ่ายจนเกือบเต็ม ส่วนแก้วของตนเทเครื่องดื่มไปแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น

“ของคุณฤทธิ์เต็มแก้ว ของผมครึ่งแก้ว โอเคไหมครับ”เด็กหนุ่มเคยดื่มเหล้าและเคยเมาหัวราน้ำมาแล้ว เขาจึงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนคอแข็ง ที่ไม่อยากดื่มเพราะไม่อยากเมาให้ชายคนรักได้เห็น แล้วก็ไม่คิดว่าตอนที่เมาตัวเองจะดูน่ารักแบบในละครหรือนิยายด้วย แล้วถ้าเกิดเมาแล้วอ้วกเรี่ยราด ความทรงจำในวันวาเลนไทน์คงจะเป็นอะไรที่น่าอนาถ

“ได้ ให้เธอถามก่อน”

“อืม”ปภินวิชนิ่งคิด มันควรเป็นคำถามที่ยาก ๆ หรือจะถามเรื่องวิชาการความรู้รอบตัวดีนะ

“อย่าถามคำถามที่เน้นความรู้นักนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะถามเธอเกี่ยวกับข้อกฎหมาย การบริหารหรือไม่ก็หลักการการตลาด”

โดนพูดดักทางเสียก่อน เด็กหนุ่มถึงกับทำหน้าตูม “คุณฤทธิ์เคยมีอะไรกับผู้หญิงมาแล้วกี่คนครับ”

“ถามเรื่องผู้หญิงในอดีตเธอจะไม่เสียใจเหรอ”

“ผมนับเป็นคำถามนะ”

“ได้”

“ไม่เสียใจหรอก มันก็แค่อดีต”ปภินวิชยักคิ้วพร้อมรอยยิ้ม “แต่ถ้าอนาคตข้างหน้าผมจับได้ว่าคุณนอกใจ ไปยุ่งกับผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่น ผมไม่เอาไว้แน่ ผมจะเอามีดไปเจี๋ยนตอนที่คุณหลับแล้วก็สับให้เป็ดกิน”

ชายหนุ่มหัวเราะ ไม่ได้นึกกลัวนักเพราะเหตุการณ์นอกใจอย่างนั้นมันจะไม่มีเกิดขึ้น เขาเองต่างหากที่ควรจะกลัวว่า ถ้าเด็กหนุ่มคนรักเติบโตและมีอายุมากขึ้นกว่านี้ อาจจะไปตกหลุมรักผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่น

“งั้นบ้านเราต้องไม่เลี้ยงเป็ด”

“ใช่ประเด็นซะที่ไหน คุณฤทธิ์ตอบมาได้แล้วครับ”

พฤทธิกรทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะแปดเก้าคน”

“โหเยอะอะ คุณฤทธิ์มีแฟนกี่คนกันเนี่ย”

“สอง แต่สองคนที่เป็นแฟนกลับไม่เคยทำอะไรเลย”

“นอกใจอย่างงั้นเหรอ”

“ถึงตาฉันถามแล้ว”

เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย

“แล้วเธอล่ะ มีแฟนมาแล้วกี่คน”

“ไม่เคยมีครับ ผมยังเด็กอยู่”

“สิบเก้าจะยี่สิบแล้ว ไม่เด็กแล้ว”พฤทธิกรรีบบอกอย่างร้อนตัว คนฟังจึงหัวเราะเสียงดังออกมา “ถ้าพ่อแม่ของผมยังอยู่คุณไม่ได้แอ้มผมหรอก”

“ถ้าพ่อแม่เธอยังอยู่เธออาจได้เป็นแฟนฉันมาตั้งนานแล้วก็ได้”

“หือ”ปภินวิชมีสีหน้าแปลกใจ

“ตกลงเราสองคนเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่ครับ”

“ฉันนับเป็นคำถามนะ”เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเขาจึงบอกว่า “ประมาณสามปีก่อนที่ร้านกาแฟ”

“ที่ผมเคยไปทำงานพิเศษนะเหรอ”

“ถ้าอยากรู้คำตอบก็ดื่มให้หมด”ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังแก้วทรงสูงที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเจ้าของคำถาม

“งั้นคุณฤทธิ์ก็ถามมาสิครับ”

“ตอนที่ฉันจูบเธอครั้งแรกรู้สึกยังไง”

“อ๊ะ เรื่องตั้งนานแล้ว ใครจะไปจำได้กัน ตกลงคุณฤทธิ์หมายถึงร้านที่ผมไปทำงานพิเศษนะเหรอ”ปภินวิชเปลี่ยนไปถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยอย่างรวดเร็ว

“ใช่”

“คุณกลอนเล่าว่า ผมเคยเก็บกระเป๋าเงินไปคืนคุณ จริงหรือเปล่าครับ”

“ดื่มสิ”

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจพร้อมยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด “ตอบมาได้แล้วครับ”

“จริง”พฤทธิกรพูดตอบพร้อมยกขวดเติมเครื่องดื่มลงในแก้วที่ว่างเปล่า

“ผมไม่เห็นจำได้เลย”

“ถามฉันหรือเปล่า”เขาเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มบาง เจ้าของใบหน้าใสจึงย่นคิ้วและยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม

“คงเพราะเมื่อก่อนฉันใส่แว่นมั้ง”

คิ้วของปภินวิชยังขมวดเป็นปมอยู่เช่นเดิม ใส่แว่นกับไม่ใส่แว่นหน้าตาจะต่างกันจนจำไม่ได้เชียวเหรอ

“ตอนนั้นเราเคยคุยกันไหมครับ”

พฤทธิกรเทของเหลวสีแดงลงในแก้วของคนช่างสงสัยอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจก่อนจะยกมันขึ้นดื่ม

“คุย เราคุยกันถูกคอมากด้วย”

“จริงดิ”เขาไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายหล่อเหลาดูดีขนาดพฤทธิกร ถ้ามาที่ร้านและสนิทถึงขั้นคุยกันถูกคอ เขาควรต้องจำได้สิ

“นี่เป็นคำถามหรือเปล่า”

“ขี้งกจัง”เด็กหนุ่มบ่น “คุณฤทธิ์ก็ถามมาบ้างสิครับ”

“ระหว่างการที่ฉันใช้ปากทำให้กับแบบสอดใส่ อย่างไหนเธอรู้สึกดีกว่ากัน”

คนถูกถามหน้าแดงเพราะเผลอคิดถึงช่วงเวลานั้นอย่างไม่อาจห้าม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า มันควรจะเอามาถามโต้ง ๆ แบบนี้เหรอ “ฮึ่ย!!! คุณฤทธิ์! ทะลึ่ง! ถามออกมาได้ยังไง”

“นับเป็นคำถามนะ”

คนฟังตีสีหน้าบึ้งตึง ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดอีกครั้ง “ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”

เมื่อปภินวิชลุกขึ้นยืน พิษของแอลกอฮอล์ในร่างกายจึงออกอาการทันทีทั้งที่ดูเหมือนว่าจะดื่มไปไม่เยอะ แต่อาจจะเป็นเพราะยกดื่มรวดเดียวติด ๆ กันหลายแก้ว เขาทรงตัวไม่อยู่จนต้องใช้มือเท้ากับโต๊ะกันตัวเองล้ม พฤทธิกรก็รีบลุกขึ้นมาช่วยพยุงเขาไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เพราะคุณฤทธิ์แหละ”ทั้งที่โดนพูดพาลใส่แต่ชายหนุ่มร่างสูงกลับหัวเราะออกมา “เดี๋ยวช่วยพาไปเข้าห้องน้ำ”พร้อมพาคนรักเดินตรงไปยังห้องน้ำ เมื่อถึงจุดหมายยังถามซ้ำว่า

“ให้เข้าไปช่วยประคองไหม”

“ไม่ต้องเลยครับ”ปภินวิชรีบปิดประตู หลังทำธุระเสร็จเปิดประตูออกมาด้านนอก ยังเห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนรออยู่

“กลับบ้านกันเถอะ”ปภินวิชเอ่ยชวนเสียงอ้อน

“ไวน์ยังไม่หมดเลย”พฤทธิกรโอบร่างเด็กหนุ่มเข้าหาตัว ก้มหน้าใช้จมูกแตะหน้าผากพลางประคองให้กลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน คราวนี้เขารั้งร่างคนรักให้ทรุดนั่งบนตัก พยักพเยิดให้เห็นว่ายังเหลืออีกตั้งเกือบครึ่งขวด

“เอากลับบ้านไม่ได้หรือครับ เก็บไว้ดื่มวันหลัง”

“ทำไมวันนี้งอแงจัง”

“ผมไม่อยากหยุดงานพรุ่งนี้ ถ้าหยุดละก็ต้องโดนแซวแน่ ๆ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย เรื่องปกติของคนรักกัน”

“ก็ผม... เขิน”ปภินวิชพูดเสียงเบา

“เพราะน่ารักอย่างนี้สิถึงโดนแซว”ชายหนุ่มยืดตัวพลางเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ แตะจูบที่ริมฝีปากสีอ่อนหยอกเย้าล่อลวง ทว่าเด็กหนุ่มคนรักกลับผละตัวออกห่าง แล้วเอี้ยวตัวไปดึงแก้วเครื่องดื่มมาส่งให้

“ดื่มสิครับ จะได้หมดเร็ว ๆ”

“หยิบแก้วของเธอมาด้วย ถ้าอยากให้หมดเร็ว ๆ ต้องช่วยกันดื่ม”

ปภินวิชหน้างออีกแล้ว หยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาเทเครื่องดื่มใส่จนเกือบเต็ม งานนี้มันต้องเมากันไปข้าง ถึงแม้ดีกรีของไวน์จะน้อยกว่าเหล้ากลั่น แต่ถ้าให้ซัดโฮกแบบนี้อย่างไรก็ต้องเมา เด็กหนุ่มคิด ก่อนยกแก้วขึ้นดื่มเขาจึงถามว่า

“คุณฤทธิ์เรียกให้พี่พุฒิกับพี่ธนามารับหรือยัง”

“หมดขวดแล้วค่อยโทรตามก็ได้ ดื่มแค่นี้ฉันไม่เมาหรอก”

คนฟังพยักหน้า “หมดแก้วนะครับ”

“ได้”พฤทธิกรยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดอย่างที่เด็กหนุ่มต้องการ จากนั้นจึงบ่นพึมพำ “เสียรสชาติ”

ปภินวิชเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย

“ดื่มไวน์ให้อร่อยมันต้องค่อย ๆ จิบ”เขาพูดพร้อมยื่นแก้วให้เด็กหนุ่มเติมเครื่องดื่ม ร้องบอกว่าพอเมื่อเห็นว่าปภินวิชเติมเครื่องดื่มลงไปประมาณหนึ่งในสามของแก้ว แกว่งแก้วไวน์เบา ๆ เพื่อให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ จากนั้นสูดกลิ่นหอมของไวน์และยกขึ้นจิบทีละนิด

“ถ้าอย่างนั้นก็นำกลับไปดื่มที่บ้านสิครับ จะได้ค่อย ๆ ละเลียดดื่ม”

“ก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ พอเปิดขวดไวน์แล้วมันก็อยู่ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น”

ปภินวิชถอนหายใจเฮือก

“ฉันมีวิธีดื่มอีกวิธี เธออยากรู้ไหม”

“ครับ?”เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมอาการสงสัย

พฤทธิกรยกแก้วขึ้นดื่มและโน้มศีรษะของคนรักลงมาหา แนบริมฝีปากประกบทับพลางดันตัวให้อีกฝ่ายเอนลงเพื่อรับของเหลวในปาก เขาผละออกห่างจากริมฝีปากคู่นั้นเพื่อไล้เลียดูดซับเครื่องดื่มสีแดงซึ่งไหลเป็นทางไปตามคอเรียวระหง

“เป็นยังไง อร่อยไหม”

เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบคำถาม ริมฝีปากที่เผยอเอ่ยเรียกชื่อเขาเสียงระทวย ซบศีรษะเข้ากับซอกคอพร้อมจับมือของเขาไปวางแปะอยู่ที่กึ่งกลางลำตัว “รับผิดชอบเลยด้วย”

“ได้สิ”พฤทธิกรยิ้มรับคำ ปลดตะขอกางเกงของคนบนตักเพื่อสอดมือเข้าไปเคล้นคลึงส่วนอ่อนไหวที่แข็งตัว เขาลูบไล้บดขยี้ส่วนปลายยอดจนเริ่มมีน้ำไหลเยิ้ม

“ไปที่เตียงดีกว่า”

ถึงอยากเอ่ยขัดแต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางสงบอารมณ์ปรารถนาของตัวเองลงได้ถ้าไม่ได้รับการปลดปล่อย ปภินวิชจำต้องเออออปล่อยเลยตามเลย กระนั้นก็ไม่วายเอ่ยย้ำขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงกำลังช่วยเขาถอดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ ก่อนถูกพาเดินมาที่เตียง “รอบเดียวพอนะครับ”

“ก็ได้ แต่เธอต้องอยู่ข้างบน”พฤทธิกรดึงให้ปภินวิชนั่งคร่อมอยู่บนตัก “และต้องขยับเอง”

ปภินวิชหน้าง้ำ

“ไม่อย่างนั้นต้องตามใจฉัน”ชายหนุ่มกระตุ้นด้วยการใช้มือคลึงที่ส่วนอ่อนไหวของคนรัก

“คุณฤทธิ์อะ”

“นี่วันวาเลนไทน์นะ ต้องทำกิจกรรมที่คนรักกันเขาทำกันสิ”ไม่พูดแต่ปากเปล่ายังยื่นหน้าไปขบกัดติ่งเนื้อบนแผ่นอกตรงหน้า มืออีกข้างก็เริ่มนวดคลึงปากทางเข้าด้านหลัง

“ถ้าไม่มีเจลผมไม่ทำนะ”

พฤทธิกรจึงดันตัวปภินวิชให้นั่งลงกับเตียง ลุกเดินไปหยิบถุงยางและเจลหล่อลื่นในลิ้นชักของตู้ซึ่งตั้งอยู่ในห้อง

“โห เตรียมพร้อมขนาดนี้ยังมาหลอกล่ออย่างโน้นอย่างนี้อีก”

“เพราะฉันไม่อยากฝืนใจเธอต่างหาก”เขาวางของทั้งหมดลงข้างตัวเด็กหนุ่มคนรัก จากนั้นจึงปลดกระดุมถอดเสื้อของตัวเองออก ทรุดตัวลงนั่งแล้วใช้วงแขนรั้งร่างคนรักเข้ามาชิด

“ถ้าไม่อยากฝืนใจ งั้นวันนี้ก็ต้องไม่ทำสิครับ”

“เธอไม่ชอบเมกเลิฟกับฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”น้ำเสียงที่ใช้พูดเศร้าสร้อยลงอย่างเสแสร้ง

“อย่ามาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จหน่อยเลย”ปภินวิชพูดดุ

คนโดนจับได้จึงส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะเงียบเสียงจ้องใบหน้าเนียนใส เด็กหนุ่มจึงเบ้ปากและโถมตัวเข้ากอด “ถ้าผมอยู่ข้างบน พอเสร็จรอบนึงแล้วต้องกลับเลยด้วย”

“อืม”

หลังจากได้ยินคำตอบรับ ปภินวิชจึงก้มหน้าปลดตะขอกางเกงของชายหนุ่ม หัวใจเริ่มเต้นแรงตึกตักขณะคว้าจับแท่นเอ็นอุ่นร้อนของชายคนรักด้วยมือข้างหนึ่ง ขยับเพียงไม่กี่ครั้งมันก็แข็งตัว เขาใช้ปากทำให้อย่างที่อีกฝ่ายเคยทำให้เขาแต่เพราะขนาดของมันและความไม่คุ้นชิน เด็กหนุ่มจึงไอสำลักออกมาหลังจากทำให้ไปได้ไม่นาน

“ขอโทษครับ”ปภินวิชพูดหลังจากที่พฤทธิกรพยุงรั้งเขาขึ้นมาพร้อมช่วยลูบหลังจนเป็นปกติ

“ไม่ต้องคิดมาก”จบคำพูดปลอบแล้ว ตามมาด้วยจุมพิตนุ่มนวลอ่อนโยนที่ราวกับกำลังบ่งบอกว่าเพียงแค่เด็กหนุ่มคิดอยากทำให้เขามีความสุข ตนก็ดีใจมากแล้ว

ปภินวิชหยัดตัวยืนด้วยเข่ากางขาคร่อมร่างของชายคนรักไว้ ปล่อยให้อีกฝ่ายสอดนิ้วเพื่อเตรียมความพร้อมของช่องทางด้านหลัง

“อ๊ะ!”หลุดเสียงครางออกมาเมื่อถูกกระตุ้นจากภายในซ้ำ ๆ ครู่หนึ่งต่อมาชายคนรักก็ถอนนิ้วมือออกพร้อมช่วยประคองสะโพกให้เขาหย่อนตัวลงทับแท่งเอ็นที่แข็งตัวชูชัน เด็กหนุ่มช่วยจับท่อนลำเพื่อจรดส่วนปลายเข้ากับช่องทางร่วมรัก ก่อนจะต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงอาการจุกแน่นที่กำลังเผชิญ

“ค่อย ๆ ขยับ”พฤทธิกรเอ่ยบอก พลางช่วยกระตุ้นที่จุดไวสัมผัสบนแผ่นอก เด็กหนุ่มจึงกดตัวลงอย่างเชื่องช้ากระทั่งท่อนลำอุ่นร้อนเข้าไปได้จนหมด บั้นท้ายกดทับกับหัวเข็มขัดเนื่องจากอีกฝ่ายยังสวมอาภรณ์ชิ้นล่างไว้ กระนั้นเมื่อชายหนุ่มคนรักย้ายมือมาเคล้นขยำที่ส่วนกลางลำตัว บดขยี้อย่างหนัก ความซ่านเสียวก็กระตุ้นร้องให้เขาขยับตัว

เขายกตัวขึ้นและกดสะโพกลงไป แม้จะสัมผัสถึงความเย็นของโลหะทุกครั้งที่ขยับตัวแต่ความเร่าร้อนของร่างกายดูเหมือนจะมีผลมากกว่า ปภินวิชเร่งความเร็วการควบขยับด้วยหวังคว้าจับปลายทางความสุขสมอันพร่างพรายที่เคยพบเจอ ร่างกายเครียดขึงขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เคลื่อนผ่าน จนในที่สุดเด็กหนุ่มก็ถึงจุดหมายปลายทางตามที่หวัง

เขาเอนตัวพิงร่างชายคนรักปล่อยให้อีกฝ่ายดอมดมขบกัดผิวเนื้อกระทั่งความเหนื่อยล้าเบาบางลงแล้วถึงได้รู้สึกตัว เขาถูกจับพลิกให้นอนหงาย มองส่วนที่เครียดแข็งชูชันถูกถอนออกจากร่างกาย ชายหนุ่มลุกขึ้นถอดกางเกงและสวมถุงยาง ก่อนจะหันกลับมาหาอีกครั้ง

“คุณฤทธิ์”ปภินวิชเรียกเสียงอ่อนพร้อมเอ่ยบอก “ไม่ต้องรอบเดียวก็ได้ครับ” เพราะรอบเดียวของชายคนรักคือการเร่งเร้าจนเกือบถึงจุดหมาย ก่อนหยุดชะงักให้ได้พักและกระตุ้นซ้ำอีกครั้ง แม้มันจะปะปนไปด้วยหลากหลายความรู้สึกทั้งสุขสมและทรมาน แต่ที่สำคัญคือเหนื่อยมาก

“เธอพูดเองนะ”อีกฝ่ายพูดพร้อมจรดส่วนปลายสอดใส่เข้ามา

ปภินวิชพยักหน้ารับอย่างทำใจ ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้เขาและท่านประธานก็คงต้องหยุดงานอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ไว้ครั้งหน้าเขาวางแผนใหม่ ไม่ว่าวาเลนไทน์ปีต่อ ๆ ไปจะตรงกับวันอะไร เขาจะบอกให้ชายคนรักพาไปฉลองในคืนวันเสาร์เท่านั้น!!!

ถึงกระนั้น ในเช้าถัดมาปภินวิชยังคงต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียงของโรงแรมพร้อมอาการปวดเมื่อยอยู่ดี



-จบบทพิเศษ-

*//แจ้งข่าวค่ะ
คาดว่า E-Book จะวางจำหน่ายที่ Meb ประมาณวัน 1 มีนาคม 2018 ค่ะ อย่างไรต้องขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับการสนับสนุนค่ะแต่ถ้าสนใจเฉพาะตอนพิเศษบทอื่น ๆ สามารถติดตามได้ที่ Readawrite ค่ะ//*
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-02-2018 22:11:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-02-2018 22:31:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 15-02-2018 07:24:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 23-02-2018 05:27:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-02-2018 16:00:09
 :haun4:
นายท่านครึมๆนี่ก็หื่นเาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 21-03-2018 17:22:55
นายท่านผู้เงียบขรึม...ที่ไหนล่ะ เจ้าเล่ห์มาก55 อยากรู้เรื่องลูกจังอยากเห็นเขาช่วยกันดูแลลูก ส่วนเรื่องลูกของชานี่ยังไงอยากรู้ แลเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเลยเรา ขอบคุณผลงานดีๆนะคนเขียน
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:11:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 15-03-2024 18:55:08
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)