อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายผูกหัวใจ บทพิเศษ : วาเลนไทน์กับเธอที่รัก [14/02/2018] หน้า 6  (อ่าน 29403 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
«ตอบ #30 เมื่อ12-10-2017 08:38:03 »

โอย ลุ้นสุด แต่น้องปลาก็ลืมได้ลืมดี ฮา

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
«ตอบ #31 เมื่อ12-10-2017 09:06:50 »

อ่านเพลินมากค่ะ ชอบ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
«ตอบ #32 เมื่อ12-10-2017 13:45:59 »

สนุกกกกกก   :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: อุบายผูกหัวใจ บทที่ 6 [12/10/2017]
«ตอบ #33 เมื่อ12-10-2017 15:18:37 »

 o13

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อุบายผูกหัวใจ บทที่ 7 [16/10/2017]
«ตอบ #34 เมื่อ16-10-2017 06:37:36 »

07



พฤทธิกรกลับมาถึงคอนโดเมื่อนาฬิกาบอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ตัวของเขาอบอวลด้วยกลิ่นสุราที่ไม่ว่าจะมียี่ห้อดังราคาแพงแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกฉุนจมูก สมัยที่ยังวัยรุ่นกว่านี้ก็มีบ้างที่เคยดื่มจนเมาหัวราน้ำเพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้นอบายมุขทั้งหลายจึงลดลงไปตามกาลเวลา และดื่มเมื่อจำเป็นต้องดื่ม

ครั้งนี้ก็นับได้ว่าถึงคราวจำเป็น ประธานบริษัทของฝ่ายนั้นตั้งใจมาเมืองไทยเพื่อเที่ยวชมสถานเริงรมย์โดยเฉพาะ การจับมือกันทำธุรกิจเป็นแค่เป้าหมายรอง แต่พฤทธิกรเล็งเห็นประโยชน์หลายอย่างจากการร่วมมือนี้จึงไม่ขัดขวางและตามน้ำไปกับคนอื่น เขาดื่มแต่น้อยและปล่อยหน้าที่รับรองแขกให้กับชายหนุ่มอีกสองคนซึ่งยังเยาว์กว่าคอยรับหน้าไป กระนั้นปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้การตัดสินใจผิดเพี้ยนไปจากเดิม

พฤทธิกรหยุดยืนหน้าประตูห้องของปภินวิช เขาวางมือบนลูกบิดประตูพลางยืนนิ่งด้วยความลังเล ก่อนจะบอกตัวเองว่า แค่เข้าไปดูว่าอีกฝ่ายนอนหลับสบายดีไหม เช่นนั้นถึงได้เปิดประตูเข้าไปด้วยความเงียบเชียบ แสงไฟด้านนอกสาดส่องเข้าไปในห้องทำให้เขาเห็นร่างบนเตียงนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้โดยเปิดประตูแง้มๆทิ้งไว้อย่างนั้น อาศัยความสว่างซึ่งลอดผ่านเข้ามาพาตัวเองไปถึงเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ไม่กล้าทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนั้นเพราะกลัวจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัวตื่นจึงคุกเข่าลงกับพื้น มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่โผล่พ้นจากผ้าห่ม

ปภินวิชนอนตะแคงและดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนเกือบถึงปลายจมูก เขาอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางยามหลับของอีกฝ่ายไร้ความกังวล อดไม่ได้ที่จะใช้หลังมือสัมผัสแก้มขาวเนียนตรงหน้าก่อนจะแตะปลายจมูกของตนอย่างผิวแผ่วบนหน้าผากของอีกฝ่าย

“ราตรีสวัสดิ์”เขากระซิบบอกก่อนจะลุกขึ้นและถอยเท้าออกไป

ทว่าทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ปภินวิชก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งในทันใด หัวใจของเขายังเต้นโครมครามอันเกิดจากความหวั่นระแวง

เด็กหนุ่มเป็นมนุษย์จำพวกรู้สึกตัวไวดังนั้นจึงรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ที่ประตูถูกเปิดเข้ามา แต่เขายังแกล้งหลับเพื่อสังเกตการณ์ ประเด็นสำคัญคือเขาหวั่นวิตกว่าจะโดนทำมิดีมิร้ายตอนที่ไม่รู้สึกตัว ถึงจะคาดเดาเอาว่านายท่านอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน แต่ยอมให้คนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ด้วยง่ายๆมันต้องเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน เขาไม่อยากพลาดท่าโดนทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ปภินวิชจึงคิดว่าตนควรต้องระวังตัวไว้ก่อน

เขาลุกขึ้นจากเตียง จรดปลายเท้าลงกับพื้นและค่อยๆย่องไปที่ประตู หมุนสลักบิดล็อกประตูด้วยความเชื่องช้าระมัดระวังด้วยกลัวเสียงที่เกิดขึ้นนั้นจะปลุกให้นายท่านย้อนกลับมายังห้องนอนของตนอีกครั้ง ครั้นสำเร็จแล้วจึงเดินกลับไปล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ

เช้ารุ่งขึ้น ปภินวิชตื่นเช้ามากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากสังเกตเห็นว่า ครั้งก่อนๆเขาไม่เคยตื่นทันนายท่านเลย เมื่อเปิดประตูห้องออกไปและพบว่าแสงไฟสำหรับทางเดินไปห้องน้ำยังปิดสนิท จึงกระหยิ่มอยู่ในใจเพราะได้มีโอกาสตื่นก่อนนายท่านเสียที หลังล้างหน้าล้างตาและจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย เขาจึงเดินออกไปยังโถงกว้างด้านนอก

แสงสลัวรางของรุ่งอรุณสาดส่องผ่านบานหน้าต่างกระจกใสเข้ามาในห้องขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน เด็กหนุ่มทอดสายตามองสวนสนามหญ้าและสระน้ำด้านนอก นึกอยากออกไปเดินดูอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่า นี่ไม่ใช่บ้านของตนจึงยั้งเท้าไว้ทุกครั้ง

เขาเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นหยิบของสดออกมาวางบนเคาน์เตอร์ และหยิบหม้อมาวางบนเตาไฟฟ้าซึ่งถูกติดตั้งให้เรียบเสมอเป็นเนื้อเดียวกับเคาน์เตอร์หินอ่อน เด็กหนุ่มเคยเห็นครัวแบบนี้ตามห้างสรรพสินค้าที่ร้านขายของจำพวกอุปกรณ์ในบ้านเซตไว้ให้ลูกค้าดู แต่ไม่นึกว่าชาตินี้จะมีบุญวาสนาได้มาสัมผัสและใช้งานจริงๆ

เด็กหนุ่มเปิดไฟตั้งน้ำ ส่วนอีกเตาเขาตั้งกระทะเพื่อรวนหมูสับแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องหุงข้าวก่อน เขาจึงหันไปซาวข้าวเพื่อหุงในหม้อไฟฟ้า และเพราะต้องรอข้าวสุก ปภินวิชจึงกดปิดเตาไฟ ก่อนจะมานึกได้อีกรอบว่าทำน้ำซุปให้เสร็จแล้วค่อยใส่ข้าวก็ได้ เขาหัวเราะ

“เออแฮะ ป้ำๆเป๋อๆชะมัด”เด็กหนุ่มบ่นพึมกับตัวเอง ขณะจุดไฟเตาต้มน้ำอีกครั้ง

“อรุณสวัสดิ์”เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจ เมื่อหันไปมองจึงเห็นนายท่านลากเก้าอี้ออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ตำแหน่งประจำ จากนั้นประตูหน้าห้องก็ถูกเปิดออกโดยบอดี้การ์ดคนสนิทเพื่อส่งแม่บ้านเข้ามา เธอมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าซึ่งนำมาวางให้นายท่านถึงโต๊ะ

“ขอบคุณครับ”

“ค่ะ”เธอรับคำก่อนจะเดินไปยังระเบียงเพื่อรดน้ำต้นไม้ด้านนอก เป็นครั้งแรกที่ปภินวิชได้เห็นกิจกรรมยามเช้าของนายท่านเช่นนี้

เขาหันไปมองหม้อหุงข้าวพลางคิด คงอีกพักใหญ่กว่าข้าวจะสุก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัว

“นายท่านครับ ผมมีเรื่องจะถาม”

“อืม”พฤทธิกรขานเสียงรับแต่ไม่ได้เงยหน้ามองคู่สนทนา เด็กหนุ่มจึงลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่า กระทั่งนายท่านส่งเสียงตามมาอีกคำทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่กับหน้าหนังสือพิมพ์

“มีอะไรเหรอ”

“นายท่านชอบผู้ชายหรือเปล่าครับ”

“หือ”คนฟังคงตกใจกับคำถามถึงได้ขานเสียงถามย้ำและเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม “อะไรนะ”

“นายท่านชอบผู้ชายหรือครับ”

คำถามนั้นทำให้หัวใจในอกหวิวโหวงเต้นระรัว ชายหนุ่มพับเก็บหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัวก่อนจะประสานมือกุมกันไว้ และมองหน้าคู่สนทนาด้วยความจริงจัง ขณะคิดชั่งใจกับคำตอบ

“มีอะไรหรือเปล่า”พฤทธิกรถามกลับเพราะยังไม่แน่ใจกับคำตอบของตัวเอง ทั้งที่เคยได้ยินจากปากหลานชายว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าชอบตน แต่ความรู้สึกนี้คงเป็นความหวาดกลัวของการเป็นผู้ใหญ่ เขาเคยมีความรักมาแล้วถึงสองครั้ง และการเลิกราทั้งสองครั้งไม่ได้นำพาความสุขมาให้ ทั้งยังจดจำได้ดีถึงความรู้สึกผิดหวังเหมือนโดนหลอกลวง เพียงแต่เขาไม่เคยปล่อยให้ความผิดหวังมาทำลายชีวิตส่วนอื่น เขาทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไรก็จริงแต่ความเจ็บปวดจากการเลิกรายังคงอยู่ไม่จางหายไปไหน

“ก็เมื่อคืนก่อนนั้น...”ปภินวิชก้มหน้าลงต่ำพลางตอบเสียงเบา พานให้เข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงกังวลเรื่องที่เขามีทีท่าปฏิเสธ

“อ้อ... อืม... นั่นเพราะเธอยังเด็ก ให้สักยี่สิบก่อนก็คงดี”

“ยี่สิบ!!!”เด็กหนุ่มร้องอุทานออกมา “นี่ผมต้องอยู่กับนายท่านอีกนานขนาดนั้นเลยหรือครับ ไหนในสัญญาบอกว่าแค่ใช้หนี้หมดไง จู่ๆมาเพิ่มเวลาแบบนี้ไม่แฟร์เลยนะ”

“สัญญา? สัญญาอะไร”

“ก็สัญญาที่คุณกลอนเอามาให้ผมเซ็นยอมรับยอดหนี้ที่ช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาของน้องสาวผมแลกกับการที่ผมต้องมาเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่านไงครับ”

“อ้อ”พฤทธิกรขานเสียงพยักหน้ารับรู้แต่ในหัวใจกลับรู้สึกเหมือนมีมีดมาแทงกระหน่ำซ้ำๆ มันเจ็บปวดวูบไหว เขาสำนึกขึ้นมาได้ในนาทีนั้น ตนได้ถลำลึกไปไกลอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า อายุปาเข้าไปป่านนี้ยังอ่อนไหวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่อีก

ชายหนุ่มลวงหยิบโทรศัพท์ออกมากระเป๋ากางเกง กดโทรออกหาหลานชาย เขาขบกรามแน่นพยายามข่มความแปลบปลาบที่กำลังปะทุในอก พลางลุกขึ้นยืนหันหน้าหนีจากอีกฝ่ายเพื่อฝืนกลั้นความร้อนผ่าวที่กระบอกตา

“แกอยู่ไหน แวะมาหาฉันที่คอนโดก่อน”เขาเอ่ยปากสั่งทันทีที่ปลายสายกดรับ จากนั้นจึงกดวางโดยไม่รั้งรอให้ฝ่ายนั้นปฏิเสธ ก่อนจะกดโทรออกหาเลขาเป็นสายถัดไป

“เช้านี้ผมจะเข้าสาย คุณก้อยช่วยเลื่อนประชุมให้หน่อยนะครับ ...ยังไม่แน่ใจครับ ถ้าตอนบ่ายผมไม่เข้าไป จะโทรบอกอีกทีแล้วกันครับ อ้อ ผมลางานให้กลอนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

ปภินวิชเห็นแค่แผ่นหลังของนายท่านกับได้ยินแต่เสียงยังรู้สึกเสียวสันหลัง ปะติดปะต่อเรื่องได้ในทันทีว่าสัญญานั่น คงเป็นกวีวัธน์ที่ริทำขึ้นมาโดยพลการและดันเผลอคิดไปว่า ไม่ใช่ว่าจะเกิดพลิกล็อกอีกรอบ กลายเป็นนายท่านไม่ได้อยากให้ทำสัญญา แต่ฝ่ายนั้นอยากจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาตามแต่พอใจโดยไม่สนใจเรื่องการลงลายลักษณ์อักษรหรอกนะ ...หรือควรหนีก่อนดี

อย่างไรก็ ปภินวิชยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน นายท่านก็หันกลับทรุดตัวลงนั่งที่เดิม

“สัญญายังอยู่กับตัวหรือเปล่า ขอดูหน่อยได้ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก็จริงแต่เต็มไปด้วยความแคลงใจ ไม่ใช่ว่าจะเอาสัญญาของเขาไปฉีกทิ้งล่ะ เขายังคงนั่งนิ่งเพราะฉุกคิดได้เช่นนั้น ทว่าเสียงดุห้วนของชายหนุ่มกลับทำให้เขารีบลุกขึ้นทันควัน

“บอกว่าให้ไปเอามาดู!!!”

“ครับ ครับ”เด็กหนุ่มลุกลี้ลุกลน เสียงตวาดนั้นทำให้ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นายท่านยามโกรธน่ากลัวอย่างที่คุณกลอนเคยบอกไว้จริงๆด้วย

คล้อยหลังปภินวิชไปแล้ว ชายหนุ่มถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ นอกจากความเพ้อเจ้อคิดไปเองจนถลำใจไปไกลแล้ว ยังรู้สึกกรุ่นโกรธเจ้าหลานชายตัวดีที่ปั้นเรื่องมาต้มเขาเสียเปื่อย เขาระแวงแต่ก็ยังชะล่าใจไม่ระมัดระวังให้ดี แล้วจะโทษใครได้เมื่อใจเจ้ากรรมมันเอนเอียงไปแล้ว

เสียงฝีเท้าทำให้เขาเงยหน้ามองตรง ตั้งสติให้มั่นอีกครั้ง เขาเหลือบสายตาเห็นแม่บ้านที่จ้างไว้เดินอ้อมเก้าอี้ที่เขานั่งเข้าไปดูหม้ออาหารบนเตาและปิดไฟให้

“พี่ชะเอมครับ วันนี้พี่กลับไปก่อนละกัน เดี๋ยวผมจ่ายค่าจ้างให้ปกติ”

“ได้ค่ะ ถ้าคุณฤทธิ์มีอะไร โทรเรียกได้ตลอดนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

หลังจากนั้นคนที่เดินออกมาจากห้องอีกคนคือเด็กหนุ่มที่เป็นผู้อาศัย ฝ่ายนั้นวางเอกสารขนาดเอสี่ไว้บนโต๊ะก่อนจะถอยห่างออกไปสองสามก้าว

“หิวไหม เห็นเหมือนเธอทำอะไรไว้บนเตา”

“เฮ้ย!!!”เด็กหนุ่มร้องและรีบวิ่งไปดู

“ไม่ต้องตกใจไป พี่ชะเอมเขาปิดไฟให้แล้ว”น้ำเสียงของพฤทธิกรยังเรียบนิ่งขณะกวาดสายตามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ส่วนปภินวิชก็โล่งใจที่ไม่ได้ทำให้ห้องของนายท่านเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องตามชดใช้อีกมากโข

“แล้วนายท่านจะรับอาหารเช้าไหมครับ”

“ไม่ล่ะ ฉันยังไม่ค่อยหิว”ที่จริงเพราะเขาตื้อจนทานอะไรไม่ลงทั้งในสมองยังทึบตันคิดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นหน้าเด็กหนุ่มยิ่งเหมือนตอกย้ำ การที่อีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้เพราะเล่ห์คำลวงของหลานชายทั้งนั้น ชายหนุ่มอยากได้เวลาตริตรองใคร่ครวญจึงเอ่ยปากไปว่า

“ช่วยออกไปบอกธนากับพุฒิที ว่าเช้านี้ฉันไม่เข้าบริษัท เธอจะเอากับข้าวที่ทำไว้ไปทานด้วยก็ได้หรืออยากจะโทรสั่งอาหารอื่นก็ตามใจ สองคนนั้นมีเบอร์อยู่”

ถึงจะได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเพียงไม่กี่วันแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่าครั้งนี้นายท่านช่างเย็นชาห่างเหิน ซ้ำนัยน์ตายังแห้งผากไร้ชีวิต ปภินวิชถึงได้ชะงักเท้าอย่างลังเลอึกอักคล้ายทำอะไรไม่ถูก มองนายท่านที่ทำเป็นก้มหน้าสนใจแต่เนื้อหาในเอกสาร กระทั่งเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังอุตส่าห์ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเสียเอง ปภินวิชใจหายเมื่อโดนเมินผ่านโดยสิ้นเชิง

“น้าฤทธิ์”กวีวัธน์ส่งเสียงเรียกชื่อน้าชายด้วยความแปลกใจเพราะคนเปิดประตูไม่ใช่แม่บ้านเช่นปกติ มองสีหน้าอีกฝ่ายและสังเกตเห็นบรรยากาศมาคุให้ห้องแล้ว ในหัวได้แต่ร้องอุทานว่า ‘ฉิบหายแล้ว’

“เข้ามาก่อนสิ”พฤทธิกรพูดบอกพลางพยักพเยิดให้เดินตามมานั่งยังชุดโซฟา เมื่อหลานชายทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยถึงได้โยนเอกสารสามสี่แผ่นส่งไปให้ มันหล่นปุตรงหน้ากวีวัธน์พอดิบพอดี

“นี่อะไร”

“ก็ตามที่น้าเข้าใจ”กวีวัธน์สารภาพออกไปตามตรง เขารู้อยู่แล้วว่าต้องโดนจับได้ในสักวันเพียงแต่ถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัวจะไม่ยอมรับผิดง่ายๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้อง “ปลาออกไปก่อน”

“ทำไมต้องไป ครั้งก่อนๆคุณก็ทำอย่างนี้ บอกกับผมอีกอย่าง คุยกับนายท่านอีกอย่าง”พอเห็นว่ากวีวัธน์เป็นคนออกคำสั่งปภินวิชจึงไม่ยอมปฏิบัติตามง่ายๆ เพราะความขุ่นเคืองไม่ชอบใจส่วนตัวที่โดนหลอกโดนข่มขู่มาเยอะ เลยตั้งใจว่าครั้งนี้จะเล่นงานคู่กรณีแก้แค้นคืนเสียบ้าง

“เหอะ!!!”คนฟังพ่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงหันไปคุยกับน้าชาย “น้าฤทธิ์รู้หรือเปล่าผมเจอเด็กนี่ที่ไหน ตอนที่ผมเจอ เขากำลังยืนขายตัวอยู่ริมถนน ผมเห็นว่าไหนๆเขาก็ขายอยู่แล้วเลยอยากจะเสนอเงินดีๆให้ แต่คนมันเนรคุณรับเงินแต่ไม่ยอมทำงานน่ะครับ”

ปภินวิชหน้าม้านก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธผสมความอับอาย คิดอยากจะแก้แค้นแต่กลับโดนเล่นงานเสียก่อน

“ม... มันใช่ความผิดผมเสียที่ไหน คืนนั้นนายท่านมาถึงก็อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย”เขาตะเบ็งเสียงเถียง

“อ้าว แล้วเด็กขายอย่างคุณมันไม่มีมารยามาใช้มัดใจลูกค้าหรือไง หรือที่จริงแค่แกล้งทำเป็นขายตัวแต่เป้าหมายที่จริงคือการรูดทรัพย์”

“บ้า!!! บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกนะ”

“พอ!!! พอได้แล้ว หยุดเถียงกันซะที”พฤทธิกรตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธจัด “ใครอนุญาตให้มาเถียงกันไปเถียงกันมาอย่างนี้ฮะ”จากนั้นจึงไล่เรียงจัดการทีละคน เขาไม่สนใจแล้วว่าทั้งสองคนเคยคุยอะไรกันไว้บ้างทั้งไม่สนใจเรื่องที่หลานกุขึ้นมาหลอกเขาด้วย เพียงแต่ถ้าไม่กำราบเสียบ้างอนาคตข้างหน้าคงก่อเรื่องไม่หยุด

“เจ้ากลอน ฉันเคยบอกแล้วว่าถ้าก่อเรื่อง ฉันจะย้ายแกไปเป็นพนักงานส่งเอกสาร”

“น้าฤทธิ์ไม่เอานะ”หลานชายทรุดตัวลงนั่งกับพื้นออดอ้อนทันทีพร้อมพล่ามเรื่องโทษครั้งแรก “ผมเพิ่งทำผิดครั้งเดียวเอง น้าจะลงโทษผมเลยเหรอแล้วความดีที่ผมเคยทำมาทั้งหมดล่ะ เรื่องนี้ถ้าน้าไม่พอใจน้าก็แค่ไล่ ‘ไอ้เด็กขาย’ นี่ไปก็เท่านั้น”

ปภินวิชได้ฟังคำกล่าวว่าก็โกรธขึ้งขึ้นมาในฉับพลัน

“เรื่องเงินที่น้าให้มาผมก็เอาไปจ่ายค่าโรงพยาบาลให้น้องสาวมันหมดแล้ว ถ้าน้าอยากเห็นรายการผมเอาบัญชีรายรับรายจ่ายพร้อมใบเสร็จมาให้ก็ได้”

“ฉันเคยบอกว่าไม่ชอบให้แกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของฉัน”

“ผมก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกแต่คุณยายฝากมา น้าจะให้ผมทำยังไง ถ้าน้าไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายก็กลับบ้านใหญ่บ้างดิ น้ารู้ปะ เป็นคนที่ต้องรับหน้าแบบผมมันลำบากนะเว้ย”กวีวัธน์แสร้งตีสีหน้าหงุดหงิดให้รู้ว่าที่ทำไปเพราะเขาจำใจจริงๆ พฤทธิกรนึกหมั่นไส้จึงตบศีรษะหลานชายแก้อาการมันเขี้ยว คนเป็นหลายร้องอูยก็จริงแต่รับรู้ได้ว่าน้าชายหายโกรธแล้ว งานนี้จึงเล็งเห็นว่าตนคงพ้นโทษใสๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย กวีวัธน์จึงเอี้ยวคอกลับไปส่งสายตาเยาะเย้ยให้คนที่โดนผลกระทบเข้าเต็มๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งหัวร้อนขนาดเห็นช้างตัวเท่ามด

“อยากได้เงินมากเลยหรือ”

ปภินวิชหันมาให้ความสนใจกับคำถามของผู้สูงวัยตรงหน้า “ทำไมล่ะครับ งานง่ายๆสบายๆใครก็ชอบ”เขาพูดประชดออกไปอย่างไม่คิดอยากแก้ตัว เพราะนึกเห็นเอาว่าเป็นญาติพี่น้องพวกพ้องเดียวกันคงไม่มีทางยอมฟังคำของคนนอก พูดไปก็เท่านั้น

“ถ้าอยากได้เงินฉันจะจ่ายให้”

“น้าฤทธิ์”กวีวัธน์ส่งเสียงขัดออกมาทันควัน “ทำไมต้องไปเสียเงินเปล่าๆปลี้ๆกับคนพรรค์นี้ด้วย”

“คนพรรค์นี้แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณเหรอ”เด็กหนุ่มตะคอกเสียงถามกลับไปทันที ยิ่งพูดคุยกันไปนานเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเกลียดกวีวัธน์มากขึ้นเท่านั้น

“กลอน เงียบเถอะน่า ไม่สั่งก็ห้ามพูด ไม่อย่างนั้นฉันจะเห็นว่าเป็นความผิดครั้งที่สอง”พฤทธิกรปราม จากนั้นจึงกลับมาพูดเรื่องที่บอกเด็กหนุ่มค้างไว้

“อยากได้งานสบายๆเงินดีๆไม่ใช่หรือ ฉันจะจ้างเธอเอง ก็งานแม่บ้านทั่วไปแต่ฉันจะให้ไปทำที่สำนักงาน ส่วนของห้องนี้แค่ทำอาหารสองมื้อ เช้ากับเย็น เรื่องค่าใช้จ่ายรักษาน้องสาวฉันจะเป็นคนออกให้ ฉันอนุญาตให้อยู่ห้องนี้ได้เหมือนเดิม ส่วนระยะเวลาแค่ปีเดียว แค่น้องสาวของเธอได้เข้ารับกระบวนการรักษาจนหมดภาวะกำเริบของโรค เป็นอย่างไรข้อเสนอนี้”

ดีจนอดระแวงไม่ได้เชียวล่ะ เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ

พฤทธิกรถอนหายใจเมื่อคู่สนทนาทำท่าคิดนานเหลือเกิน “ฉันไม่นึกพิศวาสเด็กผู้ชายคราวลูกอย่างเธอหรอกน่า”ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อย้ำเตือนกับตัวเองด้วย ทุกสิ่งอย่างที่ปภินวิชแสดงออกมาให้เขาเห็นก่อนหน้านี้ ก็แค่การแสดงที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข คงไม่มีใครที่ไหนตกหลุมรักชายแก่คราวพ่อภายในวันสองวันทั้งที่เพิ่งได้เจอกันหรอก

“และก็ไม่นิยมการใช้กำลังกับคนที่ไม่เต็มใจด้วย แต่ถ้าคิดว่าข้อเสนอนี้ไม่ดีจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร”

“ผมตกลงครับ”สีหน้าของปภินวิชเหมือนต้องจำยอมอย่างช่วยไม่ได้

“ที่แท้ก็หน้าเงินแหละว้า”

“กลอน”

กวีวัธน์หุบปากฉับเมื่อโดนเรียกชื่อเตือนอีกรอบ ขณะที่ปภินวิชทำได้แค่ถลึงตาใส่

“น้องสาวเธออยู่โรงพยาบาลไหน ฉันอยากไปเยี่ยมแล้วจะคุยกับหมอเรื่องการรักษาด้วย”พฤทธิกรพูดพลางลุกขึ้นยืน หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงรีบขันอาสา

“ผมพาไปเองครับน้าฤทธิ์”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเลยครับ น้องสาวผมตอนนี้เริ่มจะแข็งแรงดีแล้ว อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้”ปภินวิชพูดขัดเพราะถ้าสองคนนี้ไป ปุ้ยต้องนึกสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของคนทั้งคู่แน่ๆ

“ฉันเป็นคนจ่ายเงิน เป็นเจ้าของไข้ ฉันไม่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมคนป่วยที่ฉันให้การอุปถัมภ์หรือ ไม่ใช่ว่าน้องสาวเธออาการร่อแร่แต่ยังตื๊อหมอให้พยุงอาการต่อไป”

“ทำไมถึงได้ปากเสียแบบนี้”

“เธอเองก็ยังมองฉันไม่ดีเลย มันก็ไม่ต่างนักหรอก เธอเองก็ไม่น่าไว้ใจสำหรับฉันเหมือนกัน”

“ถ้าผมไม่น่าไว้ใจก็ไม่เห็นจะต้องมายุ่งวุ่นวายด้วยนี่นา”

“แล้วปล่อยให้เธอไปยืนขายตัวอยู่ริมถนนต่อไปน่ะหรือ เป็นเธอ เห็นคนเดือดร้อนอยู่ตรงหน้าแล้วตัวเธอเองมีกำลังมากพอที่จะช่วยเขาได้ เธอจะช่วยเขาไหม อันที่จริงฉันจะให้เงินไปสักก้อนหนึ่งแล้วให้เธอไปจัดการเอาเองก็ย่อมได้ แต่ฉันเห็นด้วยกับกลอน ทำไมฉันต้องให้เงินกับคนอย่างเธอไปเปล่าๆปลี้ๆ โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนด้วย”พฤทธิกรขยับเท้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มขณะที่พูดประโยคนั้น ด้วยความสูงที่แตกต่างกันให้สายตาที่มองกดลงมาดูคล้ายตนกำลังถูกเหยียดหยามในความคิดของปภินวิช ชายหนุ่มไม่ได้สัมผัสส่วนใดในร่างกายของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ร่างกายใหญ่โตนั่นกลับเหมือนคุกคามเขาอยู่กลายๆ

ร่างกายของปภินวิชสั่นสะท้านแต่เขาไม่คิดอ่อนข้อแสดงความอ่อนแอ “คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่รับเงินของคุณมาฟรีๆแน่ จะทำงานชดใช้ให้ทุกบาททุกสตางค์ แต่ถ้าพวกคุณมายุ่งกับน้องสาวผม ผมไม่เอาพวกคุณไว้แน่”

พฤทธิกรโคลงศีรษะรับรู้ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระกับคำขู่นั้นก่อนหมุนตัวสาวเท้าเดินนำออกไป พ้นสายตาน้าชาย กวีวัธน์จึงลอยหน้าลอยตาขยับปากล้อเลียนเด็กหนุ่มเสียงเบา

“ผมไม่เอาพวกคุณไว้แน่”ซ้ำร้ายยังแสร้งกวาดสายตามองปภินวิชตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตานึกสมเพช คนโดนมองถึงกับเต้นเร่าๆ ทว่ามีเสียงเรียกชื่อคู่กรณีดังมาจากหน้าประตูเสียก่อน เจ้าตัวถึงเผ่นแผล็วไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มกระทืบเท้าด้วยความโกรธเคือง คิดแค้นอยู่ในใจว่าอย่าให้ถึงทีเขาบ้าง ก่อนจะรีบสาวเท้าตามน้าหลานคู่นั้นไป



เพราะเคยมาเยี่ยมปวันรัตน์ครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งตนยังเป็นคนจัดการดูแลเรื่องค่ารักษา กวีวัธน์จึงเดินนำน้าชายไปยังห้องไอซียูที่เด็กหญิงพักฟื้นได้อย่างคล่องแคล่ว

ร่างกายของเด็กหญิงฟื้นตัวแข็งแรงได้รวดเร็วสมกับที่อายุยังน้อย วันที่พวกเขามาเยี่ยมจึงไม่เห็นอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆห้อยระโยงระยางอย่างในละครทีวีที่กวีวัธน์เคยดู แต่เด็กหญิงเพิ่งสะลึมสะลือลืมตาตื่นเมื่อเธอได้ยินเสียงจากประตูเหมือนมีคนเข้ามาให้ห้อง

ชายหนุ่มสองคนที่เข้ามาก่อนทำให้เธอย่นคิ้วมองด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อเห็นพี่ชายจึงร้องเรียกออกไป

“พี่ปลา มาอีกแล้ว ไม่ทำงานหรือคะ”เธอถาม

พี่ชายเคยบอกเธอว่ามีคนใจดีช่วยออกค่าโรงพยาบาลให้และตอนนี้เขาก็ย้ายไปทำงานกับคนใจดีคนนั้น กระนั้นตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา พี่ชายกลับมาเยี่ยมและอยู่เฝ้าไข้เธอตลอด

“นี่คุณฤทธิ์กับคุณกลอน คนใจดีที่พี่เคยบอกว่าช่วยออกค่ารักษาให้”

พฤทธิกรสะดุดหูกับคำว่าคนใจดี ทั้งที่มีท่าทางไม่วางใจเขาแต่กลับโกหกน้องสาวเสียดิบดีเชียว ชายหนุ่มนึกอย่างเอ็นดู

เด็กหญิงตาโต เธอยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณพี่ทั้งสองคนมากค่ะที่ช่วยหนูกับพี่ชาย”

“ไม่เป็นไร ขอหายไวๆนะ”เขาตอบกลับพร้อมกล่าวอวยพร ขณะที่หลานชายเหล่ตายิ้มแซวเพราะน้าชายโดนเด็กสาววัยมัธยมเรียกด้วยสรรพนามที่เด็กกว่าอายุจริงไปหลายสิบปี

จากนั้นพฤทธิกรจึงสอบถามเรื่องการดูแลจากพยาบาลและอาหารการกินของปวันรัตน์อีกสามสี่ประโยค เมื่อเห็นเวลาสมควรเขาจึงบอกลาเด็กหญิงขอตัวกลับ โดยหันไปบอกฝั่งพี่ชายว่าจะอยู่เฝ้าน้องสาวต่อก็ได้ พฤทธิกรมีแผนว่าจะไปคุยกับหมอเจ้าของไข้หลังจากนี้

คล้อยหลังพฤทธิกรไปแล้ว ปวันรัตน์จึงหันไปถามกับพี่ชายต่ออีกว่า

“คนนี้ใช่เจ้านายพี่ปลาหรือเปล่าคะ”

“อืม ก็ทำนองนั้น”เขาตอบพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ความกังวลและร่างกายที่ตื่นเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลง เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวาดหวั่น เด็กหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองกลัวอะไร เพียงแต่ตอนที่นายท่านบอกว่าจะมาเยี่ยมน้องสาว เขาก็วิตกจริตไปว่าจะต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“หล่ออะ เหมือนท่านชายเลย พี่เขาอายุเท่าไหร่แล้วคะ มีแฟนหรือยัง”

ปวันรัตน์อายุสิบห้าแล้ว ไม่แปลกถ้าเธอจะเริ่มสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ

“ไม่รู้สิ แต่น่าจะแก่มาก เขาเป็นน้าชายคุณกลอน”

“แล้วพี่กลอนอายุเท่าไหร่ล่ะคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”ปภินวิชบอกปัดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก

“แหม พี่ปลาก็... ได้ทำงานกับเจ้านายหล่อๆทั้งที ไม่หัดถามเรื่องประมาณนี้มาบ้างล่ะคะ พี่เป็นผู้ชายพี่อาจจะไม่สนใจแต่ปุ้ยสนใจนะ”

“อยากรู้ก็ไว้รอถามเจ้าตัวเอาเองเถอะ พอปุ้ยหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ก็ต้องย้ายไปอยู่กับนาย...คุณฤทธิ์”

“จริงหรือคะ ดีใจจัง อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆจังเลย”ปวันรัตน์ตื่นเต้นเสียจนไม่นึกสงสัยเลยว่าพวกเขาสองพี่น้องจะเข้าไปอยู่กับพฤทธิกรด้วยฐานะอะไร ถ้าบอกน้องสาวว่า เขาเปลี่ยนอาชีพไปเป็นพ่อบ้านแล้ว เธอจะแปลกใจไหมนะ ปภินวิชนึกสงสัยอยู่ครามครัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

จินตนาการภาพนายท่านแล้วแอบกรี๊ดเบาๆ มาดท่านชายเย็นชาปากหนักโผล่วาบเชียว

ขอยืมอิมเมจที่คุณเคยเขียนคอมเมนต์ไว้มาให้น้องปุ้ยใช้หน่อยนะคะคุณมาม่าหมูสับ ขอกราบขอบพระคุณงามๆค่ะ



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โธ่ ชักจะสงสารหัวใจคนแก่อย่างคุณฤทธิ์เสียแล้วสิ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
กลอนนี่เกเรจริง ๆ สร้างเรื่องให้คนอื่นแล้วยังไม่สำนึกผิดอีก น่าตีจริง ๆ ดูสิ เขาเข้าใจผิดกันไปหมด อยากให้ทำผิดอีกครั้งจริง ๆ ให้คุณน้าย้ายแผนกซะให้เข็ด

คุณน้าไม่ต้องน้อยใจน้า น้องปลาเป็นเด็กดี แบบที่เคยไปเฝ้าดูนั่นแหละ  :o8:

ส่งเสียน้องเรียนหน่อยค่าาาาา  :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สูงวัยอ่อนไหว

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
กลอนพูดจาไม่ดีเลย

ขอให้คุณฤทธิ์กับน้องปลาสวีทกันไวๆนะคะ

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ  :mew2:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
แล้วจะทำไงต่อล่ะทีนี้  :hao5:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สนุกค่ะ ไม่โอเว่อร์ประโลมโลกเกินไป แต่ก็ไม่ real จนแห้งแล้งจนขาดอรรถรสของนิยาย รอมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
08



พฤทธิกรนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกเป็นครู่ใหญ่กว่าจะสลัดเรื่องราวในหัวและลงมือทำงานอย่างจริงจังได้เสียที ทว่าเพิ่งก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานจากแผนกบัญชีได้ไม่กี่บรรทัด เสียงเคาะประตูหน้าห้องได้ดังขึ้นรบกวนเสียก่อน กวีวัธน์เดินเข้ามาพร้อมเอกสารฉบับหนึ่ง

“รายงานตรวจประเมินห้างครับ”

“สุ่มครบแล้วเหรอ”พฤทธิกรรับมาพร้อมทั้งพลิกหน้าเปิดดู

“ผมไม่ได้เอาแต่เล่นนะ มีงานก็ต้องทำงานสิครับ”ตอบกลับมาเช่นนั้นแล้วคนพูดยังดึงเก้าอี้มานั่งคล้ายมีเรื่องให้พูดคุย

“มีอะไร”พฤทธิกรเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม

“เรื่องปลา ถ้าน้าฤทธิ์ไม่ชอบใจก็ไล่เด็กนั่นออกไปก็ได้นี่ครับ”

“อะไรกัน นี่คือสิ่งที่แกอยากได้ไม่ใช่เหรอถึงได้ปั้นคำพูดโกหกมาหลอกฉันตั้งมากมาย”

“มัน...ก็ใช่ครับ แต่แบบ...”กวีวัธน์อึกอักลังเล

“ถามจริงคำพูดที่แกเคยพูดกับฉัน มีเรื่องไหนที่พูดจริงบ้าง”

คำถามนี้ทำให้กวีวัธน์ตีหน้ามึน เพราะพูดโกหกไปเยอะมากจึงจำไม่ค่อยได้ว่าตัวเองโกหกอะไรบ้าง

“เอางี้เรื่องที่แกชอบปลา”

“โกหก”

“สารภาพรัก”

“โกหก เรื่องที่เขาชอบน้าด้วย”

พฤทธิกรฉุนกึก อุตส่าห์ไม่ถามกลับเอ่ยปากย้ำออกมาเสียได้ “มีอะไรอีกไหม ฉันจะทำงาน”

“ทำไมน้าต้องช่วย แต่ก่อนที่น้าฤทธิ์ไม่อยากให้ยุ่งเพราะไม่อยากให้มีคนที่สองคนที่สามหาเหตุมาอ้างไม่ใช่เหรอ”

พฤทธิกรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมาว่า “เพราะฉันชอบเขา”

“ฮั่นแน่”หลานชายออกอาการดี๊ด๊าขึ้นมาทันที “ตกลงผมเดาถูก ที่น้าฤทธิ์ไปนั่งอยู่ร้านกาแฟตั้งนานสองนานเพราะน้องปลา รู้ปะ ตอนที่น้องเขามาบอกว่าน้าไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมงี้จิตตกเลยนึกว่าเดาผิดซะอีก คืนนั้นน้าน่าจะรวบหัวรวบหางไปซะ”

“อ้อ แกเองที่ไปยุเขาอย่างนั้น”ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเอือมระอา

“ไมอะ น้องปลาเขาตั้งใจจะขายตัวจริงๆนะ ผมคิดว่าเขาคงเตรียมใจมาแล้ว เลยกะว่าถ้าน้าเสียท่าให้ ยังไงน้าฤทธิ์ก็คงไม่ปล่อยเขาไปหรอก”

“คิดตื้นๆ ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบ”

“แต่แพ้เด็ก”คู่สนทนาไม่วายพูดแซว พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแต่หน้าตาคล้ายเบื่อหน่ายหลานชายเต็มทน

“แล้วจะเอาไงต่อครับ”กวีวัธน์ถามด้วยความอยากรู้โดยไม่คิดปิดบังความใคร่รู้นี้สักนิด

“ยังไม่รู้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันเท่าไหร่ด้วย”เขาพูดพร้อมเหล่ตามองกวีวัธน์เพื่อให้รู้ว่าเป็นความผิดของเจ้าตัว คนถูกมองจึงหัวเราะแห้งๆพลางทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

“แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องคุณยายแก”

“คุณยาย? ทำไมเหรอ”กวีวัธน์ถามซ้ำด้วยความสงสัยจริงๆ

“เอ้า ถ้าเกิดฉันไปตกลงปลงใจกับเด็กผู้ชาย เขาไม่ช็อกหัวใจวายเหรอ”

“โธ่ เรื่องนั้นน้าไม่ต้องเป็นห่วง ผมไปแย็บๆถามคุณยายมาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกล้าสร้างเรื่องขนาดนี้เหรอ ถ้าเกิดน้าฤทธิ์กับน้องปลาได้ลงเอยกันจริงๆแล้วต้องมีปัญหากับบ้านใหญ่ที่หลัง ผมคงรู้สึกผิดมากๆ แต่แหมๆ ขนาดยังไม่เริ่มจีบเลยยังกล้าพูดขนาดนี้”อย่าเผลอให้มีช่องว่าง กวีวัธน์พร้อมพูดแซวเสมอ เห็นน้าชายอมยิ้มสีหน้าคลายความเคร่งเครียดกังวลแล้ว หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงลุกขึ้นยืนคล้ายบ่งบอกว่าหมดธุระที่ต้องการมาคุยแล้ว

“มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ ผมพร้อมเสมอ”เขาพูดก่อนจะเปิดประตูเดินออกจากห้อง

“ช่วยให้เขาเกลียดฉันมากขึ้นนะสิไม่ว่า”พฤทธิกรพูดบ่นกับตัวเองเสียงเบา

การพูดคุยกับหลานชายทำให้พฤทธิกรอารมณ์ดีขึ้นมากและทำให้เขารู้สึกขี้เกียจทำงานด้วยเช่นกัน ช่วงบ่ายวันนั้น เขาจึงหมดเวลาไปกับการนั่งเล่นและปล่อยให้จิตใจเหม่อลอย ก่อนจะออกจากห้องทำงานตรงตามเวลาเลิกงาน

“คุณก้อย วันนี้ผมกลับก่อนนะ”พฤทธิกรแวะบอกเลขาหน้าห้อง ก่อนเดินไปเคาะประตูเรียกบอดี้การ์ดทั้งสองคน และเดินนำไปกดลิฟต์รอ เมื่อทั้งสองคนตามมาสมทบแล้วจึงเอ่ยชวนคุย

“วันนี้ไปเล่นเทนนิสกันไหม”

บอดี้การ์ดทั้งสองส่งเสียงหัวเราะ ก่อนที่ชายหนุ่มซึ่งชื่อพุฒิพงศ์จะพูดขึ้นมา “ทุกวันนี้พวกผมไม่ค่อยเหมือนบอดี้การ์ดแล้วนะครับ”

“นี่ไง ไปออกกำลังซะบ้าง เส้นจะได้ไม่ยึด”พฤทธิกรพูด

ชายหนุ่มเริ่มมีบอดี้การ์ดเดินตามหลังเมื่อสามปีก่อนตอนที่บิดากำลังจะยกตำแหน่งประธานบริษัทคนต่อไปให้เขารับผิดชอบ ซึ่งช่วงแรกๆเขาก็ไปกลับที่ทำงานโดยอาศัยคนขับรถบ้าง ขับรถเองบ้างเช่นพนักงานคนอื่น แต่เผอิญช่วงนั้นนอกจากเพิ่งรับตำแหน่งใหม่แล้ว เขายังมีปัญหาเรื่องที่ดินที่หมายตาสำหรับการสร้างสาขาห้างสรรพสินค้ากับพวกผู้มีอิทธิพล และปมปัญหาขัดแย้งเรื่องธุรกิจอีกสองสามอย่างจนถึงขั้นมีคนตามมาดักยิง บิดามารดาจึงบังคับให้จ้างบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน แต่ก่อนเขาเคยมีบอดี้การ์ดประจำตัวสี่คน จำนวนสามทีมคอยสับเปลี่ยนยี่สิบสี่ชั่วโมง

มันเป็นภาวการณ์ที่สร้างความงุนงงให้เขาไม่น้อย

จำได้ว่าตอนเด็กๆเขาเคยมีคนดูแลอยู่บ้าง แต่นั่นเพราะทั้งบิดาและปู่ย่าเป็นห่วงเรื่องการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และพอโตมาเขาก็ใช้ชีวิตเช่นคนปกติ พอต้องมีคนมาเดินตามเลยให้ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นมาเฟียมากกว่าคนทำธุรกิจ

และเมื่อเวลาผ่านไปปัญหาขัดแย้งที่เคยมีก็คลี่คลายลง เขาจึงลดจำนวนบอดี้การ์ด จนปัจจุบันเขากำลังมีแผนจะยกเลิกคนคุ้มกันทั้งหมดเนื่องจากกลัวว่าบอดี้การ์ดจะเบื่อไปเสียก่อนเพราะวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของเขา แต่ธนาและพุฒิพงศ์อยู่กับเขามานาน เขาจึงกำลังชั่งใจเรื่องนี้อยู่ ในอีกแง่หนึ่งการมีทั้งสองคนอยู่ข้างกายก็มีประโยชน์หลายอย่าง มีคนขับรถให้ มีคู่ซ้อมเวลาเล่นกีฬา หรืออย่างกวีวัธน์หลานชายของเขาก็ชอบเรียกทั้งสองคนไปใช้งานเป็นตัวประกอบฉากอยู่บ่อยๆ

พฤทธิกรมีคอร์ทประจำที่ไปใช้บริการอยู่เสมอ ทั้งมีพวกเสื้อผ้ากีฬาเตรียมไว้ในรถ

เสื้อผ้าเหล่านี้ก็เป็นพุฒิพงศ์และธนาที่จัดเตรียมไว้ให้ แม่บ้านที่เขาจ้างมาเพื่อดูแลทำความสะอาดห้องจะเป็นคนนำเสื้อผ้าของเขาไปส่งซัก เมื่อเสื้อผ้าเหล่านั้นถูกส่งกลับมา บอดี้การ์ดหนุ่มก็จะทำหน้าที่พ่อบ้านให้ด้วย เพราะมีประโยชน์อย่างนี้จึงตัดใจเลิกจ้างคนคุ้มกันไม่ได้สักที เลยคิดเอาไว้ว่า รอให้ทั้งคู่พูดออกมาเองถ้าสองคนนั้นอยากไปทำงานอื่น

พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่สนามเทนนิสร่วมสองชั่วโมงก่อนนั่งพักให้เหงื่อแห้งและไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ถึงจะดูเหมือนเป็นการเสียเงินจ้างเพื่อนเล่นมากกว่าคนคุ้มกัน แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่อย่างดีในกรณีที่พวกเขาไปสถานที่อื่นนอกจากคอนโดและที่ทำงาน

ธนาเป็นคนเข้าไปตรวจดูในห้องน้ำก่อนจะปล่อยให้พฤทธิกรเข้าไปใช้ ระหว่างนั้นจะมีคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ส่วนอีกคนไปอาบน้ำ แต่เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูออกมาอีกครั้งกลับพบว่าทั้งคู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นอกจากนี้กระเป๋าและข้าวของต่างๆ เขาก็ไม่เคยต้องถือเอง

ระหว่างนั่งรถที่มีพุฒิพงศ์เป็นคนขับ พฤทธิกรก็เริ่มกล่อมใจตัวเองให้สงบ

เขายกยิ้มขำ เมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มย้อนเวลากลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ทั้งที่อุตส่าห์ไปออกแรงวิ่งในสนามเทนนิสอยู่นานสองนาน และยิ่งก้าวเท้าเข้าใกล้ห้องพักของตัวเองมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็เต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงต้องโทษหลานชายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะคำพูดของเจ้านั่นที่ทำให้เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมา

พฤทธิกรเดินตามธนาที่เปิดประตูห้องเข้าไป คนเดินนำหน้าถือกระเป๋าเสื้อผ้าไปวางไว้บนโต๊ะโซฟา เขากวาดสายตาไปทั่วกลับไม่พบใครอีกคนที่ควรจะอยู่ในห้อง หัวใจที่เคยเต้นโครมครามจึงค่อยๆเต้นช้าลง

“ให้โทรสั่งอาหารไหมครับ”พุฒิพงศ์เอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นเหมือนกันว่าบนโต๊ะทานอาหารว่างเปล่าซ้ำยังไม่เห็นเงาของพ่อครัวคนใหม่ในห้อง ชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะเจ้านายโคลงศีรษะพลางคิดเค้นนึกถึงรายการอาหาร พร้อมทั้งพยายามเก็บงำความวูบโหวงในหัวใจเอาไว้

“มีอะไรแนะนำไหม”เขาพูดถามกลับไป ทว่าเสียงเปิดประตูกลับเรียกความสนใจของคนทั้งสามพร้อมเสียงของปภินวิชที่ดังตามมา

“นายท่าน รับอาหารเลยไหมครับ”

ชายหนุ่มทั้งสามหันมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน จากนั้นพุฒิพงศ์กับธนาจึงมองหน้ากันก่อนก้มศีรษะให้พฤทธิกรเป็นเชิงบอกลาแล้วเดินออกจากห้องของเจ้านายไปเงียบๆ ส่วนปภินวิช เขาเดินเลยไปยังพื้นที่ครัว เปิดประตูตู้เย็นและรินน้ำใส่แก้วเดินมาส่งให้

พฤทธิกรยื่นมือไปรับด้วยความขัดเขิน ซึ่งความรู้สึกนั้นมาจากเหตุที่การกระทำทุกอย่างของเด็กหนุ่มดูเป็นธรรมชาติ ไม่คล้ายปั้นแต่งไม่เต็มใจ

เขายกน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วจึงเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะตำแหน่งประจำของตน จากนั้นกับข้าวหน้าตาธรรมดาสามอย่างถูกนำมาวางตรงหน้า แต่ละเมนูก็คล้ายกับเมื่อวันก่อน

“ผมมีความสามารถแค่นี้นะครับ”คนทำรีบออกตัว

ชายหนุ่มรับจานข้าวมาแล้วรีบหยิบช้อนกับส้อม เขาตักกับข้าวใส่ปากอย่างไม่คิดรีรอด้วยต้องการให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่มีปัญหากับเรื่องที่เด็กหนุ่มกังวล

“อร่อยดี ไม่มากินด้วยกันหรือ”ประโยคหลังเขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าปภินวิชยังยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ

“ไม่ดีกว่าครับ ผมเป็นแค่พ่อบ้าน”

พฤทธิกรย่นคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ ประโยคต่อไปเสียงของเขาจึงเข้มขึ้น “ไปตักข้าวมานั่งทานด้วยกัน”

“ผมทานแล้วครับ”

คำพูดนั้นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มเป็นเท่าตัว และรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจงใจกวนโมโห เขาวางทั้งช้อนทั้งส้อมกระแทกจานดังเพล้ง “ครั้งหน้าถ้าเธอไม่มานั่งทานด้วยก็ไม่ต้องทำมาให้ฉันกิน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าห้องนอนอย่างมีคิดสนใจพ่อบ้านคนใหม่อีก แต่เพราะนึกอะไรดีๆ ได้ จึงได้หันไปร้องเรียกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะทานอาหาร

“ปลามานี่หน่อย”

เขาเปิดประตูห้องนอนของตนทิ้งไว้แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ชั่วอึดใจต่อมาคนที่เรียกหาก็เยี่ยมหน้าเข้ามา

“ฉันจะอาบน้ำมาถอดเสื้อผ้าให้ที”

“ฮะ!?”เด็กหนุ่มส่งเสียงอุทานออกมาทันควัน

“อะไร หูตึงหรือไง ฉันบอกว่ามาถอดเสื้อผ้าให้หน่อย ฉันจะอาบน้ำ”

“นายท่านก็ถอดเองสิครับ จะต้องมาใช้ผมทำไม”

“ก็เพราะเธอเป็นพ่อบ้านและฉันจ่ายเงินจ้างเธอมาทำงาน ฉันมีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือยัง”

“อย่างนี้ก็ได้เหรอ แค่อ้างว่าจ่ายเงินจ้างมาทำงานเลยจะใช้อะไรก็ได้เนี่ยนะ”

“ฉันยังไม่ได้สั่งให้เธอไปเสี่ยงตายอะไรเลยนะ จะโวยวายทำไม แล้วอีกอย่างเรื่องพวกนี้มันก็หน้าที่ของพ่อบ้านอยู่แล้ว อ้อ... เธอไม่เคยทำงานพ่อบ้านนี่นะ เธอเลยไม่รู้”

ปภินวิชอยากเถียงก็เถียงไม่ออก นึกอยากดื้อแพ่งไม่ทำตามคำสั่ง คำว่านายจ้างลูกจ้างก็ค้ำคออยู่ เขาได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะก่อนจะกระแทกเท้าเดินเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงอย่างไม่เต็มใจนัก

พฤทธิกรนั่งเท้าแขนเอนตัวไปด้านหลังขณะที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มปลดกระดุมเสื้อ ใบหน้าของอีกฝ่ายยับย่นงอหงิกจนเขานึกขำ

“ดูเธอไม่ค่อยพอใจนะ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเขียนจ็อบดิสคริปต์ชัน(Job Description)มาให้ดูแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกครับ นายท่านอยากใช้งานอะไรก็เชิญสั่งมาได้เลยครับ”ปภินวิชกัดฟันพูด

“อ้อ ดี”ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เขาขยับตัวเพื่อให้อีกฝ่ายถอดเสื้อได้ถนัด จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนโคลงศีรษะส่งสายตาเพื่อให้เด็กหนุ่มจัดการถอดกางเกงให้ด้วย ปภินวิชเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจกระนั้นก็ยังยื่นมือมาปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของเขา ก่อนจะหลับตาปี๋แล้วดึงกางเกงของเขาลง

พฤทธิกรยกเท้าให้เด็กหนุ่มได้เอากางเกงตัวนั้นไปใส่ตะกร้า แต่เมื่อเห็นปภินวิชหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง เขาจึงเอ่ยเรียกไว้ “จะให้ฉันอาบน้ำทั้งกางเกงในเหรอ” เขาไม่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มแต่เห็นสองมือที่กำหมัดแน่นแล้วยิ่งรู้สึกสนุกยิ่งไปกว่าเดิม

“อะไรกัน เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ เธอจะอายอะไร อ๊ะ...หรือเห็นฉันเปลือยแล้วเธอเกิดอารมณ์ เมื่อวันก่อนเธอพยายามจะปล้ำฉันด้วยนี่นะ”

“ผมไม่เกิดอารมณ์อะไรทั้งนั้นแหละครับ”ปภินวิชหันไปพูดบอกเสียงดัง พยายามโฟกัสสายตาอยู่ที่บริเวณใบหน้าของนายท่านอย่างเดียว ทั้งที่ไม่ควรอายอย่างที่ชายหนุ่มพูดแท้ๆแต่ไฉนเขาถึงได้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าก็ไม่รู้ ถึงกระนั้นเมื่อเห็นสายตาวิบวับเย้าหยอกก็ยิ่งรู้สึกหน้าบางกระดากอายมากขึ้นไปกว่าเดิม จนต้องหลุบสายตาลงมองต่ำอยู่แถวลาดไหล่กว้างเสียแทน โดยปล่อยให้มือทำหน้าที่ควานหาอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่

“อ๊า...”

ปภินวิชสะดุ้งชักมือหนีทว่าสายตาก็เหลือบมองต่ำโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะตวัดสายตามองหน้าชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ด้วยความขุ่นเคือง

“ก็มันเสียว”

ปภินวิชสบถ แค่ปลายนิ้วแตะโดนนิดเดียวเนี่ยนะ เขานึกตั้งคำถามอยู่ในใจ

ครั้งนี้จึงกลั้นใจหลุบตามองขอบบ็อกเซอร์บรีฟ และจับมันด้วยปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของทั้งสองมือ หลับตาและกลั้นใจอีกครั้งดึงพรวดพร้อมทรุดตัวลงนั่ง ทว่าไอ้ชั้นในเจ้าปัญหากลับเหมือนติดอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มจึงต้องลืมตาขึ้นมามอง เพื่อได้พบว่านายท่านยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับตัวออก

“ยกเท้าสิครับ”ปภินวิชร้องสั่งทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น จึงมองไม่เห็นว่าชายหนุ่มยกยิ้มกว้างด้วยความขบขันแค่ไหน

“อ้อ ขอโทษที”

เด็กหนุ่มรอกระทั่งให้นายท่านเดินพ้นจากหางตาไปและได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เขาถึงได้ลุกขึ้นยืนเพียงแต่นายท่านคนนั้นกลับไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ

“ปลา รีบตามเข้ามาล่ะ เธอต้องมาอาบน้ำให้ฉันด้วย”

โว้ย! นี่มันวันอาเพศอะไรเนี่ย “นายท่านชอบอาบน้ำคนเดียวไม่ใช่หรือครับ”เขาหันไปถามอย่างไม่เก็บอารมณ์ฉุนโกรธ ก่อนจะต้องหน้าเก้อแดงเถือกหมุนตัวหันหลังให้แทบไม่ทัน เมื่อชายหนุ่มยังยืนจังก้าอย่างหน้าไม่อายอยู่ตรงนั้น

“ทำไม วันนี้ฉันอยากให้มีคนช่วยขัดหลังให้ไม่ได้เหรอ นี่มันหน้าที่พ่อบ้านนะ”

ปภินวิชรู้สึกอยากได้เอกสารขอบเขตการทำงานขึ้นมาตงิดๆ อีกอย่างเมื่อเช้าบอกให้เขาทำแค่อาหาร ตอนเย็นเพิ่มหน้าที่โน่นนี่นั่นขึ้นมาอีกแล้ว

“อะไรกัน เมื่อกี้เธอยังบอกว่า อยากให้ทำอะไรก็สั่งมาได้เลยอยู่หยกๆ”พฤทธิกรยังบ่นต่อจนเด็กหนุ่มต้องจำใจรับคำ

“ครับ ครับ ครับ” เอาวะ มันจะสักแค่ไหนกันเชียว ปภินวิชบอกตัวเองก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย



ปภินวิชรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลมหมดแรง เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปทั้งตัวจนไม่กล้าก้าวเท้าไปไหน แต่เพราะโดนเจ้าของห้องไล่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจึงพยักหน้ารับ อีกใจคืออยากรีบออกจากห้องนี้เร็วๆ

“อาบน้ำเสร็จแล้วกลับมาหาฉันด้วยนะ”

ยังจะใช้อีกเรอะ!!! เขาตวัดสายตากลับไปมองพร้อมกับคำถามนั้นที่ดังขึ้นในใจ ก่อนจะสะบัดก้นเดินหนีออกมาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังยกยิ้มให้โดยไม่นึกเดือดร้อน

นี่มันงานสบายเหรอเนี่ย เด็กหนุ่มเริ่มตั้งคำถามในใจอีกครั้ง แล้วก็นึกได้ในนาทีต่อมาว่า ทุกงานก็ต้องใช้แรงกำลังแลกเงินมาทั้งนั้น อย่างงานสบายๆที่เขาเคยยกมาอ้างกับนายท่าน ปภินวิชก็คิดว่ามันคงไม่สบายจริงๆอย่างที่ใครเขาว่าหรอก คิดไปคิดมาจึงรู้สึกว่าดีแล้วที่วันนั้นได้เจอกับกวีวัธน์ ถึงจะโดนจิกกัดด้วยคำพูดจากกวีวัธน์ ถึงจะโดนโขกสับใช้งานแปลกๆจากนายท่าน แต่ใช่ว่าเขาจะโดนกดขี่จนถึงขั้นทนไม่ได้จริงๆ

แต่พอนึกถึงงานแปลกๆที่นายท่านใช้ให้เขาทำแล้ว ใบหน้าของปภินวิชก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นอีกหน

“ต้องอาบน้ำให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆแบบนั้นทุกวันเลยหรือเปล่าเนี่ย”เขาคร่ำครวญออกมา ใครว่าผู้ชายเหมือนกันไม่มีอะไรต้องอาย ทำไมหัวใจของเขายังเต้นแรงไม่หยุดสักที

“โอ้ย ถ้าพรุ่งนี้ต้องเจออีกต้องตายแน่ๆ”ว่าแล้วก็ก้มมองมือตัวเองพลันหวนคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดถึงเสียได้ “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น”เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไปมาพลางดึงสติให้มาอยู่กับการอาบน้ำในปัจจุบัน หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาแขวนเสื้อผ้าเปียกชื้นของตนไว้ในห้องน้ำ จากนั้นออกมาเดินหาถังพลาสติกที่จะนำมาใส่เสื้อผ้า

ห้องของเขาไม่มีราวตากผ้า ทั้งยังเล็งเห็นว่าถ้าตากผ้าเปียกไว้ในห้องนอนจะทำให้ทั้งห้องเหม็นอับเสียเปล่าๆ

ปภินวิชมองหาสวิตช์สำหรับไฟระเบียง สวนของนายท่านไม่มีดาวน์ไลท์ที่เปิดตลอดคืน แต่เขาคิดว่าคงไม่มีใครออกแบบให้สวนมืดตึ๊ดตื๋อตลอดเวลาด้วยเช่นกัน มองไปมองมากลับเห็นประตูห้องหนึ่งซึ่งถูกซ่อนด้วยฉากกั้นอยู่ถัดจากเคาน์เตอร์ของพื้นที่ครัว

ประตูห้องนั้นไม่ได้ล็อก และเมื่อเปิดเข้าไปภายในเป็นเพียงห้องเล็กๆสำหรับเก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด

“พอดีเลย”เด็กหนุ่มจึงหยิบไม้ถูพื้นติดมือมาด้วย จากนั้นจึงเดินย้อนกลับไปเช็ดน้ำทำความสะอาดพื้นที่ตนทำเปียกไว้

“มาสักที”เสียงร้องทักดังขึ้นเมื่อเขาถูพื้นเข้าไปถึงในห้องของนายท่าน ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งพิงหลังอยู่บนเตียง ถือแท็บเล็ตไว้ในมือ

“นายท่านจะให้ทำอะไรอีกหรือครับ”

“มานวดหลังให้หน่อย”

“ครับ”ปภินวิชรับคำด้วยความเบื่อหน่าย เนื่องจากนี่ก็สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว เขาก็อยากนอนบ้างเหมือนกัน ถึงเมื่อก่อนเขาจะเคยอยู่เล่นเกมหรือดูทีวีจนดึกจนดื่นแต่กิจกรรมเหล่านั้นมันต่างกับการทำงาน หรือช่วงที่เขาทำงานในห้างและต้องประจำกะบ่ายซึ่งเลิกงานตอนสี่ทุ่มก็เถอะ ความรู้สึกมันต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง นั่นเพราะเขาขี้เกียจแล้ว

“เดี๋ยวผมเอาไม้ถูกพื้นไปเก็บก่อน เอ้อ นายท่านครับ เสื้อผ้าผมเปียก คอนโดของนายท่านมีราวตากผ้าหรือเปล่าครับ”

“น่าจะมีอยู่ในสวน”เจ้าของห้องบอกพร้อมลุกขึ้นจากเตียง ตอนนั้นปภินวิชถึงได้เพิ่งสังเกตว่านายท่านสวมเพียงแค่ชุดคลุมอาบน้ำ เขายังมองด้วยความแปลกใจ

พฤทธิกรเดินนำไปกดสวิตช์ ไฟดาวน์ไลท์ในสวนจึงสว่างขึ้นมา จากนั้นเขาจึงชี้มือไปยังราวตากผ้าเล็กๆที่อยู่ชิดเข้ามาด้านใน เหมือนว่ามันจะถูกใช้สำหรับแค่ตากผ้าขนหนูหรือไม่ก็ผ้าผืนเล็กๆเพียงไม่กี่ผืน

เด็กหนุ่มจึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมาตาก โดยที่นายท่านยังยืนรออยู่ที่เดิมกระทั่งเขาทำธุระเสร็จแล้ว ถึงได้ก้าวเท้าเดินนำหน้าไป

“ปิดประตูห้องด้วย”

ปภินวิชทำตามอย่างไม่นึกสงสัย จนฝ่ายนั้นถอดเสื้อคลุมออกนี่ล่ะ เด็กหนุ่มหลับตาหนีแทบไม่ทัน

“นายท่านถอดเสื้อผ้าทำไมครับ”เขาร้องถามเสียงดังด้วยความตกใจ พยายามถอยเท้ากลับไปที่ประตูทั้งที่ยังหลับตาอยู่เช่นนั้น ทว่าเขากลับโดนคว้าข้อมือไว้ได้เสียก่อน

“ทีแรกก็จะให้เธอนวดให้นั่นแหละ แต่ฉันเปลี่ยนใจ นี่มันก็ดึกแล้วเลยว่าจะนอนดีกว่า”

“อย่างนั้นก็ปล่อยผมสิครับ ผมจะได้ไปนอนบ้าง”

“คงไม่ได้ล่ะ เพราะฉันอยากได้หมอนข้าง”พฤทธิกรพูดพลางดึงแขนของเด็กหนุ่มให้เดินตามไปพลาง

“ถ้าอยากได้หมอนข้างก็ไปซื้อเอาสิโว้ย”

“ปลา พูดไม่เพราะเลย ฉันไม่ชอบ”ชายหนุ่มดุเสียงเข้ม

“อย่างนี้มันเข้าข่ายคุกคามทางเพศแล้วรู้หรือเปล่า”

“คุกคามอะไร ก็แค่ให้เธอมานอนด้วย”

“แต่คุณแก้ผ้า”

“นอนโดยไม่ใส่อะไรเลยสบายดีออก”พฤทธิกรพูดออกไปหน้าตาเฉย ทั้งที่ชีวิตประจำวันตามปกติเขาเคยชินกับการใส่ชุดนอนแท้ๆ

“อย่าดื้อน่า ผู้ชายด้วยกันไม่เสียหายอะไรหรอกน่า”

บ๊ะ!!! ไม่เสียหายอะไร นี่มันเหตุการณ์เสี่ยงเสียตัวเลยล่ะ “ไหนคุณเคยบอกว่าไม่พิศวาสผู้ชายไง” เด็กหนุ่มพยายามขืนแรงต้านไว้ แต่อย่างว่า เขาตัวเล็กกว่าชายหนุ่มตั้งเยอะจึงโดนจับเหวี่ยงขึ้นเตียงและถูกโถมทับกอดรัดโดยง่ายดาย เมื่อลืมตาด้วยอารามตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาก็มาประชิดอยู่ตรงหน้าซ้ำยังลอยหน้าลอยตาพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ

“อือ ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”

แต่เนื้อตัวของปภินวิชถูกบดเบียดจนแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกับอีกฝ่ายแล้ว ความอุ่นร้อนที่โอบรัดทั้งร่างทำให้หัวใจของเขากระเด้งกระดอนเต้นโครมครามเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ซ้ำจะวางมือไปตรงไหนก็ไม่ได้ เพราะจะพานให้สัมผัสเนื้อตัวเปล่าเปลือยของชายหนุ่มอยู่ร่ำไป

“ถ้าไม่ได้จะทำอะไรก็ปล่อยเลยครับ ผมจะไปนอนแล้ว”

“อ้าว งั้นถ้าจะทำก็ไม่ต้องปล่อยก็ได้ใช่ไหม”พฤทธิกรผละตัวยกศีรษะออกห่าง จ้องหน้าเจ้าของคำพูดนั้นพลางถามหน้าซื่อตาใส

“เปล่าครับ ผ...ผมไม่ได้ความว่าอย่างนั้น”เขาฉุนเฉียวทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำเช่นเดิม “ยังไงก็เถอะ ปล่อยผม ผมง่วงแล้ว จะไปนอน”

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”ชายหนุ่มพูดบอกพร้อมปล่อยศีรษะลงแนบหมอนและหลับตาลงไปง่ายๆ ปภินวิชอ้าปากค้าง นี่ไม่เข้าใจคำพูดของเขาเลยใช่ไหม เด็กหนุ่มพยายามขยับตัวทว่าแรงกอดรัดกลับเพิ่มมากขึ้นจนเขาแทบจะกระดิกตัวไม่ได้

“นายท่าน ผมหายใจไม่ออก”กระนั้นเมื่อพูดบอกไปอีกฝ่ายก็ยังนอนนิ่งสนิท เขาพยายามสะบัดตัวดิ้นรนอีกรอบแต่ว่ามันก็เท่านั้น เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างปลงตก ถ้าไม่นึกถึงส่วนที่สัมผัสเสียดสีกับไออุ่นร้อนจากร่างกายของชายหนุ่ม ปภินวิชก็ยอมหลับตาและปล่อยให้ตัวเองดิ่งลงสู่นิทราโดยง่าย

ดังนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมา พฤทธิกรจึงได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากเด็กหนุ่มในอ้อมแขน เขาคลายวงแขนออก ประคองยกตัวอีกฝ่ายเพื่อดึงผ้าห่มซึ่งถูกทับอยู่ด้านล่างขึ้นมาคลุมห่มร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ แตะริมฝีปากที่หน้าผากมนเนียนเพื่อบอกฝันดีอีกครั้ง ก่อนล้มตัวลงนอนอยู่เคียงข้างพร้อมกับค่ำคืนที่จบลง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*// เหมือนน้าฤทธิ์จะไม่ใช่น้าฤทธิ์รึเปล่า//*



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คุณฤทธิ์ผู้สุขุมไปอยู่หนายยยยย

นี่มันคุณฤทธิ์เวอร์ชั่นหัวงูแล้ววว

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
สนุกกกกกกกกกก อ่านเพลินเลยค่ะ
ไม่อยากให้หมด555555555
กลอนนี่ไม่น่าใช่ปากร้ายนะคะ
น่าจะเรียกปากเสียมากกว่า
เลี้ยงหมาไว้ในปากรึเปล่า
ลุ้นให้ปลาตกหลุมพรางคุณฤทธิ์เร็วๆ
อยากให้มีคนกินเด็ก คริ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
จีบแบบลวนลามเด็กนะคะ ฮ่าๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ทำไมเป็นคนแก่ขี้แกล้งแบบนี้คะ นายท่าน  :hao7:
นี่อัดอั้นจากตอนแรก ๆ หรือเปล่า

:hao3:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
09


“ตื่นเถอะ เช้าแล้ว”

เสียงพูดนั้นทำให้เขารู้สึกตัว เมื่อปรือตามองจึงเห็นแผ่นอกเปลือยและปลายคางในระยะใกล้ สติความรู้ตัวกลับคืนสู่ร่างในฉับพลัน เขายันตัวลุกขึ้นเด้งตัวออกห่างทันควัน สายตามองเจ้าของเตียงที่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ไปช่วยฉันอาบน้ำหน่อยนะ”

คำพูดประโยคนั้นทำให้ปภินวิชรีบกระโดดผลุงลงจากเตียง “ผมต้องไปทำอาหารเช้าครับ คงไม่มีเวลาพอที่จะอาบน้ำให้นายท่าน”

“ไม่ต้อง ก็ฉันบอกแล้วไง ถ้าเธอไม่คิดจะนั่งทานอาหารกับฉัน ก็ไม่ต้องทำหรอก”

“ไม่ครับ ผมรับรองว่าเช้านี้จะร่วมโต๊ะด้วย”

“แน่ใจนะ”พฤทธิกรถามย้ำ

“ครับ แน่ใจมาก”

“ดี แต่เช้านี้ไม่ต้องทำอาหารหรอก”

“อ้าว!”เด็กหนุ่มหน้าเหลอหลา

“ฉันสั่งอาหารมาแล้ว เธอแค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปนั่งรอที่โต๊ะ วันนี้ฉันจะพาเข้าไปที่บริษัท”

“ไปทำไมครับ”

“ลืมไปแล้วเหรอ ว่าเธอต้องไปทำหน้าที่พ่อบ้านที่สำนักงานด้วย”

“ฮะ!”

“หน้าแดงอีกแล้ว คิดอะไรลามกอยู่หรือเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย”เด็กหนุ่มรีบตอบปฏิเสธพลางยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ทั้งยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะมัวแต่ครุ่นคิดกังวลว่าจะโดนใช้ให้ทำงานอะไรแผลงๆอีก กับคิดว่าจะมีเวลาว่างมากพอให้เขาแว็บไปเยี่ยมน้องสาวหรือเปล่า

“ยังไม่ไปอีก หรืออยากรอส่งฉันเข้าห้องน้ำ”ชายหนุ่มพูดพร้อมขยับชายผ้าห่ม ปภินวิชถึงฉุกคิดขึ้นได้ว่านายท่านนอนเปลือยทั้งคืน เขาขานเสียงรับก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไป

พ้นสายตาของเด็กหนุ่มแล้ว พฤทธิกรจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวและแต่งกายอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมงจึงเดินออกไปด้านนอก เมื่อเดินไปถึงปรากฏว่าปภินวิชมานั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว แม่บ้านที่ชื่อชะเอมก็มาถึงแล้วเช่นกัน เธอนำหนังสือพิมพ์มาให้เขาก่อนถามว่า

“คุณฤทธิ์จะรอคุณกลอนไหมคะ เอมเห็นอาหารเช้ามีสามที่”

พฤทธิกรยกนาฬิกาขึ้นดูก่อนจะเอ่ยตอบออกไปว่า “รอครับ” จากนั้นเขาจึงเปิดหนังสือพิมพ์และให้ความสนใจแต่กับเนื้อหาด้านใน ทั้งห้องกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง ขณะที่แม่บ้านออกไปรดน้ำต้นไม้ในสวนที่ระเบียง ปภินวิชได้แต่นั่งว่างๆมองโน่นมองนี่ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมากดดูบ้าง ตอนที่ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้น เขาจึงนึกดีใจขึ้นมาที่คู่ปรับมาถึงเสียทีอย่างน้อยก็มีคนคุยด้วย ถึงเขาจะไม่ใช่พวกช่างพูดช่างคุย แต่การนั่งอยู่เงียบๆเฉยๆก็น่าเบื่อเช่นเดียวกัน

ปภินวิชเป็นคนลุกไปเปิดประตู

“อะไร หน้าบานเหมือนหมาเห็นกระดูก”

“ปากหมาแต่เช้าเหมือนกันนะ”เด็กหนุ่มว่าโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่พอโดนมองด้วยหางตาขึ้นมาก็รู้สึกฉุนโกรธถึงขั้นเหวี่ยงปิดประตูเสียงดัง เสียงปังดังขึ้นแล้วเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนพาลพาโลไม่เข้าเรื่อง ซ้ำเดินกลับมายังโต๊ะอาหารยังโดนเจ้าของห้องซักไซ้

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ผมไม่รู้ครับ แม่บ้านคนใหม่ของน้าฤทธิ์ไม่รู้จักมารยาทมั้ง”

โดนกวีวัธน์ชิงตัดหน้าพูดใส่ไคล้ให้เขาเป็นคนผิดอีกแล้ว เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจก่อนจะหันไปชี้แจงด้วยคำโกหกว่า “เปล่านะครับ ผมเผลอไม่ได้จับประตูไว้เท่านั้นเอง” ก่อนเดินเลี่ยงไปยกถ้วยข้าวต้มมาเสิร์ฟด้วยต้องการเอาใจ แต่ไม่วายพูดกระทบกระเทียบคนที่เพิ่งมาถึง

“ทานข้าวดีกว่าครับ นายท่านต้องหิ้วท้องรอคุณกลอนตั้งนานคงหิวแย่แล้ว”

“ครั้งหน้าผมจะมาเช้าๆหน่อยแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้อยากให้น้าต้องมานั่งรอเหมือนกันแต่ผมกลัวว่า น้าฤทธิ์จะเหงาถ้าต้องกินข้าวคนเดียว”

“ละเมออยู่เหรอคุณกลอน มีผมทานข้าวด้วยทุกวันนายท่านจะเหงาได้ยังไง ใช่ไหมครับ”คำสุดท้ายยังหันไปถามคนกลางเพื่อหาเสียงสนับสนุน

“อืม จะดีกว่านี้ถ้าจะได้เริ่มกินข้าวสักที”พฤทธิกรพูดอย่างเอือมระอา กระนั้นทั้งปภินวิชและกวีวัธน์ก็ยังคงส่งสายตากัดกันอีกรอบ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะยกอาหารมาเสิร์ฟให้หลานชายของนายท่านด้วยอาการกระแทกกระทั้น อย่างไรก็ตามอาหารเช้ามื้อนั้นก็ผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อต่างคนต่างทานอาหารในส่วนของตัวเอง ก่อนที่พวกเขาจะยกขบวนตามกันไปทำงาน

พฤทธิกรพาเด็กหนุ่มไปฝากไว้กับสุธาณี โดยแจ้งบอกว่าต่อไปปภินวิชจะมาเป็นคนทำความสะอาดและดูแลความเรียบร้อยสามชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน

“ไปไงมาไง น้องปลาถึงได้มาทำงานนี้ได้ แล้วเคยทำงานจำพวกงานทำความสะอาดมาก่อนใช่ไหมคะ”

“งานทำความสะอาดมันต้องใช้ความรู้ขนาดนั้นเลยหรือครับ”เด็กหนุ่มถามกลับแทนที่จะตอบคำถาม

“เปล่าค่ะ แต่มันเหนื่อยนะ”หญิงสาวพูดบอกขณะที่พาปภินวิชไปดูสองชั้นที่ถัดลงมา “สองชั้นนี้เป็นชั้นเก็บเอกสารของบริษัท ชั้นหนึ่งสำหรับเอกสารทั่วไป อีกชั้นสำหรับเอกสารสำคัญ แต่ถึงจะเป็นเอกสารทั่วไปก็ต้องแจ้งขออนุญาตเข้าใช้งานก่อนทั้งนั้น”

เขาได้แต่ฟังอย่างเดียวเพราะไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบทำงาน จึงทำเพียงพยักหน้ารับ

“ถ้าเกิดอนาคตข้างหน้า มีใครมาขอให้เอาเอกสารอะไรออกไปให้ ก็อย่าทำตามง่ายๆนะคะ”

“นายท่านกับคุณกลอนด้วยหรือครับ”

“นายท่าน?”เธอทวนคำอย่างสงสัย

“เอ่อ... คุณฤทธิ์น่ะครับ”

“กรณีคุณกลอนเธอจะลงมาหาเอกสารที่เธอต้องใช้เองค่ะ แต่สำหรับคุณฤทธิ์ก็เป็นพี่เนี่ยแหละที่จะมาหยิบให้”สุธาณีพาเดินชมห้องเก็บเอกสารแต่ละห้อง พร้อมทั้งชี้แจงหน้าที่ที่ต้องเช็ดถูทำความสะอาด

“ปกติแม่บ้านจะขึ้นมาทำความสะอาดทุกสองหรือสามวันค่ะ แต่สำหรับน้องปลาคงต้องกลับไปถามคุณฤทธิ์ดูอีกที”เมื่อคนนำทางพูดเช่นนั้นจึงตกลงกันว่าจะกลับขึ้นไปถามนายจ้างให้ชัดเจนอีกรอบ

“วันนี้แค่นี้ก็ได้ เดี๋ยวให้คุณก้อยเตรียมยูนิฟอร์มกับอุปกรณ์ให้ก่อน”

เมื่อได้รับคำชี้แจงเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงคิดที่จะไปหาน้องสาวที่โรงพยาบาล

“น่าเสียดายจัง เลยไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลย”สีหน้าของสุธาณีบ่งบอกว่าเสียดายจริงๆอย่างที่ปากว่า หลังจากที่เดินออกมาจากห้องของท่านประธานใหญ่แล้ว จังหวะนั้นกวีวัธน์เดินผ่านมาแถวนั้นพอดีจึงเอ่ยปากแซวคุณเลขาคนสวยว่า

“จะเสียดายทำไมครับ คุณก้อยก็กินข้าวกับผมทุกวันอยู่แล้ว หรือเพราะปลาเขาเอ๊าะกว่าถึงได้จะทิ้งน้ำพริกถ้วยเก่าอย่างผม”

เด็กหนุ่มที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นด้วยถึงกับเบ้หน้า

“แหม คุณกลอนพูดอะไรไม่รู้ เดี๋ยวใครมาได้ยินจะเสียหายนะคะ”

“ผมนะหรือครับ”

“ตัวก้อยเองสิ ก้อยจะห่วงคุณทำไม”

“แหม ใช่สินะ เรามันเก่าแล้วนี่”

ปภินวิชได้ยินเสียงหยอดออดอ้อนของกวีวัธน์แล้วหมั่นไส้จนอยากจะอาเจียน เขาจึงหันไปกล่าวขอตัวลากับเลขาสาวพร้อมยกมือไหว้ โดยไม่สนใจเรื่องมารยาทเกี่ยวกับการพูดแทรกขัดจังหวะการสนทนาของผู้ที่มากวัยกว่า

“ผมไปก่อนนะครับพี่ก้อย”โดยเลี่ยงการกล่าวลากับกวีวัธน์อย่างจงใจ เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้ว สุธาณีจึงพูดว่า “ท่าทางคุณกลอนจะโดนน้องปลาเกลียดขี้หน้ามากเลยนะคะ”

คนฟังถึงกับชะงัก แล้วตอบกลับพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ “รู้ตัวครับ ไม่ต้องบอก”



สายๆเพลๆวันนั้นที่ปภินวิชไปเยี่ยมน้องสาว เขาบอกเรื่องที่คงจะมาหาบ่อยๆไม่ได้อีกแล้ว เธอกลับยิ้มแล้วบอกว่าควรเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว

“ไม่ต้องห่วงปุ้ยนะ ปุ้ยอยู่คนเดียวได้ แต่ถ้าปุ้ยออกจากโรงพยาบาลแล้วพาไปกินไอศกรีมหน่อยนะ”เธอว่าสำทับ รอยยิ้มกระจ่างบนหน้ายังไม่จางหายแต่คนเป็นพี่เหมือนจะน้ำตาซึม ทั้งที่เด็กสาวอย่างเธอต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆและต้องทนอยู่กับความทรมานมากกว่าเขาแท้ๆ แต่เธอกลับเข้มแข็งกว่าเขาเสียอีก

“อือ กินข้าวเยอะๆและหายเร็วๆล่ะ”เขารับปาก นั่งคุยอยู่กับเธอกระทั่งถึงเวลาที่ควรกลับไปเตรียมอาหารเย็น

พูดถึงอาหารเย็น ช่างเป็นอะไรที่ลำบากและยุ่งยากสำหรับเด็กหนุ่มอย่างปภินวิชจริงๆ ไหนจะต้องคิดเมนู ไหนจะต้องหาสูตร คิดได้อย่างนั้นเขาจึงแวะเข้าร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าเสียหน่อย โดยตั้งใจว่าจะซื้อตำราอาหารสักสามสี่เล่ม แล้วไล่ทำกับข้าวตามนั้นเสียเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคิด

เด็กหนุ่มแวะกดเงินจากตู้เอทีเอ็มก่อนเพราะเหลือเงินติดอยู่ในกระเป๋าเพียงไม่กี่ร้อยบาท เขาไม่ค่อยเก็บเงินไว้กับตัวอย่างมากแค่มีพอใช้ระหว่างหนึ่งอาทิตย์ด้วยกลัวเผอเรอทำหาย อีกอย่างคือถ้ามีมาก เห็นอะไรก็จะนึกอยากได้ไปเสียหมด

อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นหน้าจอแสดงยอดเงินคงเหลือปภินวิชถึงกับออกอาการตกใจ เมื่อยอดเงินมันมากกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเคยตรวจสอบ เขากดยกเลิกการทำรายการ จากนั้นลองเสียบบัตรและกดรหัสซ้ำ ปรากฏว่ายอดเงินยังเท่ากับเมื่อสักครู่ซึ่งแสดงว่ามันไม่ได้มาจากความผิดพลาดของระบบ เขานึกสงสัยถึงที่มาของเงิน แต่คงต้องนำสมุดมาปรับยอดซ้ำเพื่อยืนยันรายการ

ปภินวิชกดเงินออกมาจำนวนหนึ่งและสั่งให้เครื่องเอทีเอ็มพิมพ์ใบสลิป ยอดตัวเลขยังสูงลิ่วจนน่าประหลาดใจพลันคิดไปว่า ไม่ใช่ว่ามีคนโอนเงินผิดบัญชีมาหรอกนะ ยอดเงินขนาดนี้ควรโอนคืนให้ก่อนหรือต้องรอฝ่ายนั้นมาทวงถามดีล่ะเนี่ย เด็กหนุ่มย่นคิ้วด้วยความสงสัย

กระนั้น เขาก็แวะเข้าร้านหนังสือตามความตั้งใจเดิมและเลือกหยิบหนังสือทำอาหารโดยเปิดดูหน้าสารบัญที่เมนูไม่ซ้ำกัน จ่ายเงินเดินออกจากร้านมาแล้วก็เริ่มคิดอีกว่า เงินที่จ่ายซื้อหนังสือไปจะขอเบิกคืนได้ไหมนะ

เด็กหนุ่มทำอาหารตามสูตรในตำราที่ซื้อมาแต่เลือกเมนูที่ทำง่ายๆและใช้วัตถุดิบที่ไม่ยุ่งยาก และถึงแม้จะพยายามปรุงตามสูตร รสชาติที่ได้ก็แปร่งๆอยู่ดีจึงต้องปรับรสกันอีกพักใหญ่ ตอนที่ยกหม้อลงจากเตา เขาก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพอดี ถึงได้หันไปกดดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ ตัวเลขที่แสดงให้เห็นบ่งบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะสองทุ่ม ทำให้ปภินวิชเข้าใจว่า นี่คงเป็นเวลาเลิกงานปกติของนายท่านผู้เป็นเจ้าของห้องละมั้ง

“รับอาหารเลยไหมครับ”ปภินวิชรินน้ำเย็นเดินถือไปเสิร์ฟ เขาเตรียมน้ำเย็นมาให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนด้วย แต่ทั้งคู่มือวางของที่ถือมาแล้วก้มศีรษะและเดินออกจากห้องไป

“ทานอาหารกันเลยก็ได้ เพราะหลังจากนี้ฉันมีธุระจะคุยกับเธอด้วย”

แม้จะนึกสงสัยถึงธุระที่ว่า แต่เพราะโดนเอ่ยเร่งย้ำเรื่องสำรับอาหาร ทั้งตอนที่ทานข้าวนายท่านยังชวนคุยไปเรื่องอื่น ปภินวิชจึงต้องเก็บความกังขาไว้กระทั่งทานอาหารเสร็จ นายท่านถึงได้ลุกเดินนำไปที่โซฟายาวซึ่งหุ้มเบาะด้วยผ้าสีเทานวล ส่วนตัวเขาก็นั่งลงบนเบาะทรงกลมอีกตัว

พฤทธิกรขยับเข้าไปหาพร้อมยื่นเอกสารให้อ่าน “สัญญาจ้างงาน”

มีสัญญาอีกแล้ว แล้วฉบับก่อนล่ะ ทว่าคำถามของปภินวิชได้รับคำตอบโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม “ส่วนของฉบับก่อนให้เป็นโมฆะ”คนพูดยกสัญญาฉบับนั้นมาให้ดูแล้วฉีกมันทิ้งต่อหน้าต่อตา

“สัญญาฉบับนี่เกี่ยวกับการจ้างงานและเงินเดือนที่ได้รับ ไม่มีเรื่องการระบุยอดหนี้ที่ต้องชดใช้”

เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเงินเดือน เด็กหนุ่มจึงกวาดตามองหาตัวเลขนั้นทันใด ยอดตัวเลขเท่ากับสัญญาฉบับก่อนหน้าที่กวีวัธน์ให้เขาเซ็นเลยทีเดียว

“อ๊ะ”เด็กหนุ่มร้องออกมาเมื่อฉุกใจคิดขึ้นมาได้ “นายท่านเอาเงินเข้าบัญชีให้ผมหรือครับ”

“ใช่”

ใช่จริงๆด้วย เขาพึมพำอยู่ในใจ เพราะยอดเงินที่จะได้แต่ละเดือนบวกรวมกับยอดเงินเดิมที่มีอยู่ในบัญชี มันพอๆกับยอดเงินในปัจจุบัน

“จะดีหรือครับ ให้เงินเดือนผมเยอะขนาดนี้”ปภินวิชเอ่ยถาม “ผมทำงานเป็นแค่พ่อบ้านเอง ที่จริงแค่นายท่านช่วยออกค่ารักษาให้ปุ้ยโดยไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ก็ได้ ส่วนเรื่องงานผมทำงานที่อื่นก็ได้”

“อยากทำงานสบายๆไม่ใช่หรือ”

“ฮึ”เด็กหนุ่มย่นคิ้วนึกเคืองใจที่อีกฝ่ายย้อนเอาคำพูดของเขากลับมาเล่นงาน “นั่นผมแค่พูดประชดด้วยความโมโห โดนคุณกลอนพูดว่าเสียหายขนาดนั้น นายท่านยังไม่ยอมจัดการอะไรให้ผมเลย...” ผมก็เหมารวมไปหมดแหละ ประโยคหลังเขาพูดกับตัวเองอยู่ในใจ

“อย่าคิดมากเลย นี่ก็เรตเงินเดือนพ่อบ้าน”

เด็กหนุ่มทำหน้าไม่เชื่อถือแต่พฤทธิกรไม่อยากขยายความ เพราะความจริงอัตราเงินเดือนสำหรับการจ้างงานมันขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้จ่ายและผู้รับ

“อย่าคิดมากเลย คิดซะว่ามันเป็นค่าความอึดอัดใจ”

ข้อความประโยคนี้ทำให้คนฟังขมวดคิ้วฉับ ชายหนุ่มจึงพูดต่อไปว่า “เผื่อจะมีงานแบบเมื่อวานอีกไง”

“งั้นผมไม่ทำได้ไหมครับ”

“ไม่ได้ เพราะสัญญาจ้างงานมันผูกพันกับความช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาล”

ปภินวิชรู้สึกทะแม่งๆ

“เรื่องค่ารักษามันเป็นสัญญาใจน่ะ แต่ฉันไม่คิดเบี้ยวรับรองได้”คนพูดยกยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มล่อลวงของพวกต้มตุ๋นมากกว่ารอยยิ้มของประธานเจ้าของบริษัทใหญ่ บางครั้งนายท่านก็ดูจริงใจมากกว่าคุณกวีวัธน์แต่บางคราวน้าหลานคู่นี้ก็นิสัยเหมือนกันราวกับโขกกันมา

“ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรก็เซ็นซะ”พฤทธิกรยื่นปากกาไปให้

“ไม่เซ็นได้ไหมครับ”ปภินวิชอ้อมแอ้มถามออกไป

“อืม... ทำไมล่ะ การเขียนสัญญาก็มีส่วนดีนะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆทองๆ หรืออะไรก็ตามที่เราต้องมีส่วนได้ส่วนเสีย หากมีปัญหาจะได้หยิบขึ้นมายืนยันกันได้ แต่ถ้ากลัวสัญญานี้จะผูกมัดเธอเกินไป ไม่ต้องเซ็นให้ฉันก็ได้”ดังนั้นชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปขอสัญญาทั้งสอง เขาวางกระดาษชุดนั้นลงบนโต๊ะอะคริลิกสีขาวตัวเตี้ยด้านหน้าแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปทั้งสองฉบับ ก่อนส่งคืนกลับไปฉบับหนึ่ง

“ฉันให้เธอ หากวันไหนฉันเบี้ยวให้เธอเอามันมาเรียกร้องได้เลย”

เด็กหนุ่มมองลายเซ็นบนกระดาษนิ่ง ตั้งแต่ที่พ่อแม่เสียไป มุมมองต่อโลกใบนี้ของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เขาไม่เชื่อว่าคนเราจะช่วยเหลือกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากพลั้งพลาดก็จะโดนสูบเลือดสูบเนื้อจนเหลือแต่กระดูก แม้แต่ญาติพี่น้องคนที่เขาเรียกว่าลุงกับป้ายังทำแบบนั้น

“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยครับ”เขาพูดด้วยเสียงเครือสั่น ยกมือขึ้นปาดน้ำมูกและสูดจมูก

“นั่นสินะ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้”อีกฝ่ายกลับพูดเสริมสำทับกับคำพูดของตนซะงั้น ปภินวิชมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ

“อยากรู้ไหม”พฤทธิกรยกยิ้ม พอโดนถามด้วยคำถามนั้นเด็กหนุ่มเกิดนึกรู้สึกลังเลขึ้นมา ซ้ำนัยน์ตาพราวระยับยังทำให้หัวใจของเขาเต้นแปลกๆ ปภินวิชหลุบตาลงมองกระดาษในมือ ก่อนจะสั่นศีรษะยิกๆเมื่อโดนถามซ้ำว่าไม่อยากรู้เหรอ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆดังลอยมาก็เหมือนว่าใบหน้าจะร้อนผ่าวขึ้นด้วย

“ผ...ผมไปล้างจานก่อนนะครับ”ปภินวิชโพล่งออกไปพร้อมทั้งพรวดพราดลุกขึ้นด้วยเพราะอยากหนีจากสถานการณ์นี้เต็มทน ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ได้เอ่ยห้ามปฏิเสธ เขาเพียงแค่พูดออกไปอีกประโยคว่า

“ล้างจานเสร็จแล้วก็อาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วมานอนที่ห้องฉันล่ะ”

“ม..”

“ห้ามขัดคำสั่งนายจ้างนะคุณพ่อบ้าน”

ชายหนุ่มร่างสูงไม่ยอมให้เขาท้วงติง ฝ่ายนั้นเดินลิ่วๆ หายเข้าไปในห้องตัวเองโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรสักคำ

“มัน ม... มันใช่หน้าที่พ่อบ้านที่ไหนกัน”เด็กหนุ่มพูดบ่นตามหลังไป



เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนผ่านลูกระนาด เบาะที่นั่งข้างคนขับถูกจับจองโดยธนา อีกหนึ่งบอดี้การ์ดที่เป็นคู่หูทำงานร่วมกับเขา มีพฤทธิกรผู้เป็นเจ้านายนั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนด้านนอกรถยนต์แสงแดดร้อนจัดทั้งที่ค่ำคืนที่ผ่านมาสายฝนเพิ่งเทกระหน่ำ คงมีแค่แอ่งน้ำขังบางจุดบนถนนเท่านั้นที่พอจะยืนยันได้ว่ากรุงเทพฯ เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว

จุดหมายปลายทางเป็นบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่บริษัทบ้านจัดสรรออกแบบมาเพื่อดึงดูดลูกค้าระดับไฮเอนด์ (High-end Market) สวนรอบบ้านมีพื้นที่กว้างพื้นปูด้วยผืนหญ้าสีเขียวมีต้นชาฮกเกี้ยนปลูกกั้นเขตแนว มีไม้ใหญ่อย่างปีบและกระจงปลูกแซมกับปาล์ม ฟากหนึ่งเป็นไม้พุ่มมีดอกซึ่งแข่งกันชูช่อเพราะความชุ่มฉ่ำจากน้ำฝน มีลานน้ำพุอยู่หน้าบ้านตามหลักฮวงจุ้ย ถัดมาเป็นบ่อน้ำที่มีปลาคาร์ฟตัวโตหลายสีแหวกว่ายเป็นเครื่องประดับ

ตัวบ้านก่อสูงขึ้นไปมองคล้ายตึกอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีเทาเนื่องเพราะมุมโครงหลังคาซึ่งมุงด้วยกระเบื้องสีแดงค่อนข้างเตี้ย แต่การออกแบบหน้าต่างทรงโค้งสีขาวและเพิ่มความสว่างของบ้านด้วยกระจกใสบานใหญ่กลับเป็นที่ดึงดูดสายตา นอกจากนี้ตัวบ้านยังอ้างอิงการออกแบบตามสถาปัตยกรรมดังในต่างประเทศ

พฤทธิกรเปิดประตูลงจากรถเมื่อมันจอดนิ่งสนิท ก้าวเท้าขึ้นบันไดก็เห็นสาวใช้รีบเดินเข้ามาหา เธอมาพร้อมรองเท้าที่ให้เขาผลัดเปลี่ยน

“คุณแม่ล่ะ”

“คุณทิพย์อยู่ในห้องนั่งเล่นเล็กค่ะ”

เขาพยักหน้ารับพร้อมกล่าวขอบคุณ

ห้องนั่งเล่นเล็กเป็นสถานที่ที่มารดาของเขาจะใช้เวลาอยู่ภายในนั้นเป็นประจำ นอกจากดูละครดูทีวี ก็มักจะนำงานฝีมือเล็กๆน้อยๆไปนั่งทำอยู่ที่นั่น

“มาให้เห็นหน้าได้แล้วเหรอพ่อคุณ”คุณทิพปภาส่งเสียงถามประชดประชันทันทีที่เขาโผล่หน้าเข้าไป

พฤทธิกรเดินเข้านั่งบนโซฟาตัวเดียวกันพร้อมกับยกมือไหว้ เขาโตเกินกว่าจะกอดประจบอย่างเด็กๆจึงทำแค่คว้ามือมารดามาจับไว้ “ผมต้องทำงานนี่ครับ แล้วบ้านหลังนี้ก็อยู่ไกลด้วย”

“จ้า พ่อคนขยัน ต่างกับหลานจังนะ รายนั้นไม่เห็นบอกว่าบ้านยายไกล”

“แหม... ก็มันมาประจบรอสมบัติ บ้านคุณยายจะไกลได้อย่างไร”

“ปากคอเราะร้าย ว่าแต่มานี่มาเยี่ยมหรือมาธุระ”

“ก็ทั้งสองอย่างครับ”

“นั่นปะไร”เธอตบเขาของลูกชายเสียงดังฉาด “ไม่มีธุระคงไม่เห็นหน้าอย่างที่หลานกลอนบอกไว้จริงๆ”

พฤทธิกรถึงกับพ่นลมด้วยความขุ่นใจปนความระอิดระอา “กลอนมาฟ้องอะไรอีกหรือครับ”

“ฟ้องที่ไหน เขาเรียกเอาข่าวมาบอก”

ชายหนุ่มฟังคำพูดของมารดาแล้วนึกกังขา ไม่รู้ว่าความเจ้าเล่ห์บิดเบือนเล่นลิ้นเป็นมารดาของเขาเสี้ยมสอนให้หลานชาย หรือคุณทิพปภาติดวิธีการเล่นคำมาจากกวีวัธน์กันแน่

“ผมจะมาถามยืนยันเรื่องนั้นแหละครับ ฟังเจ้ากลอนมันพูดแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อถือ”

“เรื่องนั้นน่ะเรื่องไหน”ทิพปภาถามกลับด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ คนเป็นลูกชายถึงกับชะงัก ไม่ใช่ว่าเขาโดนหลานชายหลอกอีกแล้ว

“เอ่อ...เรื่องคนที่ผมจะจีบ”

“หือ มันทำไมหรือ”มารดาของเขามีสีหน้าใคร่รู้จริง ๆ เห็นเช่นนั้นพฤทธิกรจึงยิ่งอึกอักด้วยไม่รู้ว่าควรเกริ่นบอกเช่นไร อีกใจคือนึกคาดโทษเจ้าหลานชายตัวดี

ทิพปภาเห็นสีหน้าพิพักพิพ่วนของลูกชายแล้วจึงหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา “เรื่องที่เราไปถูกใจเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าเป็นยี่สิบปีน่ะเหรอ”ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงักงันอีกรอบ

“คุณแม่ไม่ว่าอะไรหรือครับ”

“น้อยไปสิ”เธอกล่าวด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนเป็นฉุนโกรธในฉับพลัน “แต่แม่เป็นลมไปแล้วเมื่อคราวที่กลอนเอามาบอก”

“แต่กลอนบอกว่าแย็บ ๆ”

“แย็บจนแม่เข้าใจผิดเอาไปบอกบ้านโน้นว่ากลอนอาจจะเป็นเกย์ เจ้าตัวถึงได้โพล่งออกมาว่าหมายถึงน้าฤทธิ์”บ้านโน้นที่มารดาพูดถึงคงจะเป็นยายๆแท้ของเจ้าตัวรวมทั้งญาติผู้พี่ของเขา “แม่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร หลังจากที่ฤทธิ์ล้มงานแต่งไปคราวนั้น แม่ไปทาบทามลูกสาวบ้านอื่น เขาก็พลอยจะปฏิเสธเสียหมด”

พฤทธิกรพอจะรู้ว่ามารดาคงอยากอุ้มหลานบ้าง

“ตอนนั้นเจ้ากลอนมันน่าจะโตเหมือนตอนนี้ แม่จะได้ส่งให้ไปสืบได้ว่าฤทธิ์ล้มงานเพราะอะไร”

เขาไม่เคยพูดบอกสาเหตุที่แท้จริงกับมารดา เพราะไม่อยากให้ฝ่ายหญิงโดนขุดคุ้ยจนเสียหายไปด้วย เขาแค่บอกว่าไม่อยากแต่งแต่เพราะทั้งการ์ดก็แจกแล้วทั้งงานต่างก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว เขาจึงเป็นคนจัดการโทรไปยกเลิกเองทั้งหมด

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงอีกเลยครับ”เขาพูดปลอบ

ทิพปภาถอนหายใจก่อนจะวกเข้าเรื่องที่คุยค้างไว้ “เอาจริงหรือเรื่องเด็กคนนั้น”

“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ผมยังจีบไม่ติดเลย”

“ลูกแม่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้มันจะไปยากอะไร”เธอกล่าวอวยเข้าข้างลูกชาย จากนั้นจึงวกกลับไปถามอีกว่า “แล้วไม่เจอผู้หญิงคนอื่นที่ถูกใจบ้างหรือ แม่เลขาหน้าห้องนั่นล่ะ หน้าตาก็สวยดีไม่ถูกใจบ้างหรือไง”

“คุณก้อยเขาจะแต่งงานอยู่แล้วนะครับแม่”เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ กับสุธาณี ถ้าเขาจะนึกรักชอบพอ มันคงไม่มีเหตุการณ์ล้มงานแต่งคราวนั้น เขารู้จักกับเลขาสาวมาก่อนแฟนคนที่สองเสียอีก

“เอาเถอะ จะรักชอบใครก็ตามใจเถิดพ่อ”เธอบอกอย่างนึกปลงพร้อมกล่าวสำทับ “แต่แม่ไม่ชอบใจผู้ชายที่ทำตัวตุ้งติ้ง ถ้าเขามีใจเป็นหญิงก็ให้ไปผ่าตัดเสียก่อนมาเจอแม่นะ”

“เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ แต่เป็นเด็กนิสัยดีใช้ได้เชียวล่ะ”พฤทธิกรบอกมารดาอย่างมั่นใจ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*// สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุกการติดตามค่ะ
ตามกำหนดแล้ว จะต้องลงนิยายบทที่ 10 วันที่ 28 ตุลาคม แต่เนื่องด้วยวันดังกล่าวยังอยู่ในช่วงพิธีถวายพระเพลิงฯ
ดังนั้นจะขออนุญาตงดการลงนิยายนะคะ ส่วนบทต่อไปพบกันวันที่ 4 พฤศจิกายน ขอบคุณค่ะ
ปล. คุณ namngern ค่ะ น้องปลาก็คิดเหมือนคุณเช่นเดียวกัน//*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 19:17:18 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
เราชอบเรื่องนี้ตรงที่ ตัวละครมีทางเลือกแบบชีวิตจริงบ่างที่เรื่องอื่นไม่มีเช่น การผ่าตัด รพ.รัฐ เวลาอ่านเรื่องอื่นจะขัดใจมาก เฮ้ยยย มีบัตรทองไปใช้สิทธิสิว่ะะะ อินไปนิดเพราะใช้สิทธินี้อยู่5555 แต่การที่กลอนยกเลิกการผ่าตัดนี่เราว่าเลวมากๆๆๆ สำหรับคนที่พกความหวัง เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว มันแย่มากๆเลยนะ เราไม่ชอบเลยรู้สึกแย่ (อินมาก55 ) ปากหมามากๆๆๆ ด้วย เราอยากให้กลอนได้บทเรียนนะ

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เอาเลยค่ะคุณฤทธิ์ เดินเครื่อง!!!

 :hao7:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :z3: นี่จีบน้องแล้วใช่มั้ยย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์

พุฒิพงศ์ <<< เป็นใคร

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด