07
พฤทธิกรกลับมาถึงคอนโดเมื่อนาฬิกาบอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ตัวของเขาอบอวลด้วยกลิ่นสุราที่ไม่ว่าจะมียี่ห้อดังราคาแพงแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกฉุนจมูก สมัยที่ยังวัยรุ่นกว่านี้ก็มีบ้างที่เคยดื่มจนเมาหัวราน้ำเพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้นอบายมุขทั้งหลายจึงลดลงไปตามกาลเวลา และดื่มเมื่อจำเป็นต้องดื่ม
ครั้งนี้ก็นับได้ว่าถึงคราวจำเป็น ประธานบริษัทของฝ่ายนั้นตั้งใจมาเมืองไทยเพื่อเที่ยวชมสถานเริงรมย์โดยเฉพาะ การจับมือกันทำธุรกิจเป็นแค่เป้าหมายรอง แต่พฤทธิกรเล็งเห็นประโยชน์หลายอย่างจากการร่วมมือนี้จึงไม่ขัดขวางและตามน้ำไปกับคนอื่น เขาดื่มแต่น้อยและปล่อยหน้าที่รับรองแขกให้กับชายหนุ่มอีกสองคนซึ่งยังเยาว์กว่าคอยรับหน้าไป กระนั้นปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้การตัดสินใจผิดเพี้ยนไปจากเดิม
พฤทธิกรหยุดยืนหน้าประตูห้องของปภินวิช เขาวางมือบนลูกบิดประตูพลางยืนนิ่งด้วยความลังเล ก่อนจะบอกตัวเองว่า แค่เข้าไปดูว่าอีกฝ่ายนอนหลับสบายดีไหม เช่นนั้นถึงได้เปิดประตูเข้าไปด้วยความเงียบเชียบ แสงไฟด้านนอกสาดส่องเข้าไปในห้องทำให้เขาเห็นร่างบนเตียงนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้โดยเปิดประตูแง้มๆทิ้งไว้อย่างนั้น อาศัยความสว่างซึ่งลอดผ่านเข้ามาพาตัวเองไปถึงเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ไม่กล้าทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนั้นเพราะกลัวจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัวตื่นจึงคุกเข่าลงกับพื้น มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่โผล่พ้นจากผ้าห่ม
ปภินวิชนอนตะแคงและดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนเกือบถึงปลายจมูก เขาอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางยามหลับของอีกฝ่ายไร้ความกังวล อดไม่ได้ที่จะใช้หลังมือสัมผัสแก้มขาวเนียนตรงหน้าก่อนจะแตะปลายจมูกของตนอย่างผิวแผ่วบนหน้าผากของอีกฝ่าย
“ราตรีสวัสดิ์”เขากระซิบบอกก่อนจะลุกขึ้นและถอยเท้าออกไป
ทว่าทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ปภินวิชก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งในทันใด หัวใจของเขายังเต้นโครมครามอันเกิดจากความหวั่นระแวง
เด็กหนุ่มเป็นมนุษย์จำพวกรู้สึกตัวไวดังนั้นจึงรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ที่ประตูถูกเปิดเข้ามา แต่เขายังแกล้งหลับเพื่อสังเกตการณ์ ประเด็นสำคัญคือเขาหวั่นวิตกว่าจะโดนทำมิดีมิร้ายตอนที่ไม่รู้สึกตัว ถึงจะคาดเดาเอาว่านายท่านอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน แต่ยอมให้คนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ด้วยง่ายๆมันต้องเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน เขาไม่อยากพลาดท่าโดนทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ปภินวิชจึงคิดว่าตนควรต้องระวังตัวไว้ก่อน
เขาลุกขึ้นจากเตียง จรดปลายเท้าลงกับพื้นและค่อยๆย่องไปที่ประตู หมุนสลักบิดล็อกประตูด้วยความเชื่องช้าระมัดระวังด้วยกลัวเสียงที่เกิดขึ้นนั้นจะปลุกให้นายท่านย้อนกลับมายังห้องนอนของตนอีกครั้ง ครั้นสำเร็จแล้วจึงเดินกลับไปล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ
เช้ารุ่งขึ้น ปภินวิชตื่นเช้ามากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากสังเกตเห็นว่า ครั้งก่อนๆเขาไม่เคยตื่นทันนายท่านเลย เมื่อเปิดประตูห้องออกไปและพบว่าแสงไฟสำหรับทางเดินไปห้องน้ำยังปิดสนิท จึงกระหยิ่มอยู่ในใจเพราะได้มีโอกาสตื่นก่อนนายท่านเสียที หลังล้างหน้าล้างตาและจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย เขาจึงเดินออกไปยังโถงกว้างด้านนอก
แสงสลัวรางของรุ่งอรุณสาดส่องผ่านบานหน้าต่างกระจกใสเข้ามาในห้องขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน เด็กหนุ่มทอดสายตามองสวนสนามหญ้าและสระน้ำด้านนอก นึกอยากออกไปเดินดูอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่า นี่ไม่ใช่บ้านของตนจึงยั้งเท้าไว้ทุกครั้ง
เขาเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นหยิบของสดออกมาวางบนเคาน์เตอร์ และหยิบหม้อมาวางบนเตาไฟฟ้าซึ่งถูกติดตั้งให้เรียบเสมอเป็นเนื้อเดียวกับเคาน์เตอร์หินอ่อน เด็กหนุ่มเคยเห็นครัวแบบนี้ตามห้างสรรพสินค้าที่ร้านขายของจำพวกอุปกรณ์ในบ้านเซตไว้ให้ลูกค้าดู แต่ไม่นึกว่าชาตินี้จะมีบุญวาสนาได้มาสัมผัสและใช้งานจริงๆ
เด็กหนุ่มเปิดไฟตั้งน้ำ ส่วนอีกเตาเขาตั้งกระทะเพื่อรวนหมูสับแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องหุงข้าวก่อน เขาจึงหันไปซาวข้าวเพื่อหุงในหม้อไฟฟ้า และเพราะต้องรอข้าวสุก ปภินวิชจึงกดปิดเตาไฟ ก่อนจะมานึกได้อีกรอบว่าทำน้ำซุปให้เสร็จแล้วค่อยใส่ข้าวก็ได้ เขาหัวเราะ
“เออแฮะ ป้ำๆเป๋อๆชะมัด”เด็กหนุ่มบ่นพึมกับตัวเอง ขณะจุดไฟเตาต้มน้ำอีกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์”เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจ เมื่อหันไปมองจึงเห็นนายท่านลากเก้าอี้ออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ตำแหน่งประจำ จากนั้นประตูหน้าห้องก็ถูกเปิดออกโดยบอดี้การ์ดคนสนิทเพื่อส่งแม่บ้านเข้ามา เธอมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าซึ่งนำมาวางให้นายท่านถึงโต๊ะ
“ขอบคุณครับ”
“ค่ะ”เธอรับคำก่อนจะเดินไปยังระเบียงเพื่อรดน้ำต้นไม้ด้านนอก เป็นครั้งแรกที่ปภินวิชได้เห็นกิจกรรมยามเช้าของนายท่านเช่นนี้
เขาหันไปมองหม้อหุงข้าวพลางคิด คงอีกพักใหญ่กว่าข้าวจะสุก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัว
“นายท่านครับ ผมมีเรื่องจะถาม”
“อืม”พฤทธิกรขานเสียงรับแต่ไม่ได้เงยหน้ามองคู่สนทนา เด็กหนุ่มจึงลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่า กระทั่งนายท่านส่งเสียงตามมาอีกคำทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่กับหน้าหนังสือพิมพ์
“มีอะไรเหรอ”
“นายท่านชอบผู้ชายหรือเปล่าครับ”
“หือ”คนฟังคงตกใจกับคำถามถึงได้ขานเสียงถามย้ำและเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม “อะไรนะ”
“นายท่านชอบผู้ชายหรือครับ”
คำถามนั้นทำให้หัวใจในอกหวิวโหวงเต้นระรัว ชายหนุ่มพับเก็บหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัวก่อนจะประสานมือกุมกันไว้ และมองหน้าคู่สนทนาด้วยความจริงจัง ขณะคิดชั่งใจกับคำตอบ
“มีอะไรหรือเปล่า”พฤทธิกรถามกลับเพราะยังไม่แน่ใจกับคำตอบของตัวเอง ทั้งที่เคยได้ยินจากปากหลานชายว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าชอบตน แต่ความรู้สึกนี้คงเป็นความหวาดกลัวของการเป็นผู้ใหญ่ เขาเคยมีความรักมาแล้วถึงสองครั้ง และการเลิกราทั้งสองครั้งไม่ได้นำพาความสุขมาให้ ทั้งยังจดจำได้ดีถึงความรู้สึกผิดหวังเหมือนโดนหลอกลวง เพียงแต่เขาไม่เคยปล่อยให้ความผิดหวังมาทำลายชีวิตส่วนอื่น เขาทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไรก็จริงแต่ความเจ็บปวดจากการเลิกรายังคงอยู่ไม่จางหายไปไหน
“ก็เมื่อคืนก่อนนั้น...”ปภินวิชก้มหน้าลงต่ำพลางตอบเสียงเบา พานให้เข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงกังวลเรื่องที่เขามีทีท่าปฏิเสธ
“อ้อ... อืม... นั่นเพราะเธอยังเด็ก ให้สักยี่สิบก่อนก็คงดี”
“ยี่สิบ!!!”เด็กหนุ่มร้องอุทานออกมา “นี่ผมต้องอยู่กับนายท่านอีกนานขนาดนั้นเลยหรือครับ ไหนในสัญญาบอกว่าแค่ใช้หนี้หมดไง จู่ๆมาเพิ่มเวลาแบบนี้ไม่แฟร์เลยนะ”
“สัญญา? สัญญาอะไร”
“ก็สัญญาที่คุณกลอนเอามาให้ผมเซ็นยอมรับยอดหนี้ที่ช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาของน้องสาวผมแลกกับการที่ผมต้องมาเป็นเด็กเลี้ยงของนายท่านไงครับ”
“อ้อ”พฤทธิกรขานเสียงพยักหน้ารับรู้แต่ในหัวใจกลับรู้สึกเหมือนมีมีดมาแทงกระหน่ำซ้ำๆ มันเจ็บปวดวูบไหว เขาสำนึกขึ้นมาได้ในนาทีนั้น ตนได้ถลำลึกไปไกลอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า อายุปาเข้าไปป่านนี้ยังอ่อนไหวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่อีก
ชายหนุ่มลวงหยิบโทรศัพท์ออกมากระเป๋ากางเกง กดโทรออกหาหลานชาย เขาขบกรามแน่นพยายามข่มความแปลบปลาบที่กำลังปะทุในอก พลางลุกขึ้นยืนหันหน้าหนีจากอีกฝ่ายเพื่อฝืนกลั้นความร้อนผ่าวที่กระบอกตา
“แกอยู่ไหน แวะมาหาฉันที่คอนโดก่อน”เขาเอ่ยปากสั่งทันทีที่ปลายสายกดรับ จากนั้นจึงกดวางโดยไม่รั้งรอให้ฝ่ายนั้นปฏิเสธ ก่อนจะกดโทรออกหาเลขาเป็นสายถัดไป
“เช้านี้ผมจะเข้าสาย คุณก้อยช่วยเลื่อนประชุมให้หน่อยนะครับ ...ยังไม่แน่ใจครับ ถ้าตอนบ่ายผมไม่เข้าไป จะโทรบอกอีกทีแล้วกันครับ อ้อ ผมลางานให้กลอนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
ปภินวิชเห็นแค่แผ่นหลังของนายท่านกับได้ยินแต่เสียงยังรู้สึกเสียวสันหลัง ปะติดปะต่อเรื่องได้ในทันทีว่าสัญญานั่น คงเป็นกวีวัธน์ที่ริทำขึ้นมาโดยพลการและดันเผลอคิดไปว่า ไม่ใช่ว่าจะเกิดพลิกล็อกอีกรอบ กลายเป็นนายท่านไม่ได้อยากให้ทำสัญญา แต่ฝ่ายนั้นอยากจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาตามแต่พอใจโดยไม่สนใจเรื่องการลงลายลักษณ์อักษรหรอกนะ ...หรือควรหนีก่อนดี
อย่างไรก็ ปภินวิชยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน นายท่านก็หันกลับทรุดตัวลงนั่งที่เดิม
“สัญญายังอยู่กับตัวหรือเปล่า ขอดูหน่อยได้ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก็จริงแต่เต็มไปด้วยความแคลงใจ ไม่ใช่ว่าจะเอาสัญญาของเขาไปฉีกทิ้งล่ะ เขายังคงนั่งนิ่งเพราะฉุกคิดได้เช่นนั้น ทว่าเสียงดุห้วนของชายหนุ่มกลับทำให้เขารีบลุกขึ้นทันควัน
“บอกว่าให้ไปเอามาดู!!!”“ครับ ครับ”เด็กหนุ่มลุกลี้ลุกลน เสียงตวาดนั้นทำให้ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นายท่านยามโกรธน่ากลัวอย่างที่คุณกลอนเคยบอกไว้จริงๆด้วย
คล้อยหลังปภินวิชไปแล้ว ชายหนุ่มถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ นอกจากความเพ้อเจ้อคิดไปเองจนถลำใจไปไกลแล้ว ยังรู้สึกกรุ่นโกรธเจ้าหลานชายตัวดีที่ปั้นเรื่องมาต้มเขาเสียเปื่อย เขาระแวงแต่ก็ยังชะล่าใจไม่ระมัดระวังให้ดี แล้วจะโทษใครได้เมื่อใจเจ้ากรรมมันเอนเอียงไปแล้ว
เสียงฝีเท้าทำให้เขาเงยหน้ามองตรง ตั้งสติให้มั่นอีกครั้ง เขาเหลือบสายตาเห็นแม่บ้านที่จ้างไว้เดินอ้อมเก้าอี้ที่เขานั่งเข้าไปดูหม้ออาหารบนเตาและปิดไฟให้
“พี่ชะเอมครับ วันนี้พี่กลับไปก่อนละกัน เดี๋ยวผมจ่ายค่าจ้างให้ปกติ”
“ได้ค่ะ ถ้าคุณฤทธิ์มีอะไร โทรเรียกได้ตลอดนะคะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
หลังจากนั้นคนที่เดินออกมาจากห้องอีกคนคือเด็กหนุ่มที่เป็นผู้อาศัย ฝ่ายนั้นวางเอกสารขนาดเอสี่ไว้บนโต๊ะก่อนจะถอยห่างออกไปสองสามก้าว
“หิวไหม เห็นเหมือนเธอทำอะไรไว้บนเตา”
“เฮ้ย!!!”เด็กหนุ่มร้องและรีบวิ่งไปดู
“ไม่ต้องตกใจไป พี่ชะเอมเขาปิดไฟให้แล้ว”น้ำเสียงของพฤทธิกรยังเรียบนิ่งขณะกวาดสายตามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ส่วนปภินวิชก็โล่งใจที่ไม่ได้ทำให้ห้องของนายท่านเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องตามชดใช้อีกมากโข
“แล้วนายท่านจะรับอาหารเช้าไหมครับ”
“ไม่ล่ะ ฉันยังไม่ค่อยหิว”ที่จริงเพราะเขาตื้อจนทานอะไรไม่ลงทั้งในสมองยังทึบตันคิดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นหน้าเด็กหนุ่มยิ่งเหมือนตอกย้ำ การที่อีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้เพราะเล่ห์คำลวงของหลานชายทั้งนั้น ชายหนุ่มอยากได้เวลาตริตรองใคร่ครวญจึงเอ่ยปากไปว่า
“ช่วยออกไปบอกธนากับพุฒิที ว่าเช้านี้ฉันไม่เข้าบริษัท เธอจะเอากับข้าวที่ทำไว้ไปทานด้วยก็ได้หรืออยากจะโทรสั่งอาหารอื่นก็ตามใจ สองคนนั้นมีเบอร์อยู่”
ถึงจะได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเพียงไม่กี่วันแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่าครั้งนี้นายท่านช่างเย็นชาห่างเหิน ซ้ำนัยน์ตายังแห้งผากไร้ชีวิต ปภินวิชถึงได้ชะงักเท้าอย่างลังเลอึกอักคล้ายทำอะไรไม่ถูก มองนายท่านที่ทำเป็นก้มหน้าสนใจแต่เนื้อหาในเอกสาร กระทั่งเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังอุตส่าห์ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเสียเอง ปภินวิชใจหายเมื่อโดนเมินผ่านโดยสิ้นเชิง
“น้าฤทธิ์”กวีวัธน์ส่งเสียงเรียกชื่อน้าชายด้วยความแปลกใจเพราะคนเปิดประตูไม่ใช่แม่บ้านเช่นปกติ มองสีหน้าอีกฝ่ายและสังเกตเห็นบรรยากาศมาคุให้ห้องแล้ว ในหัวได้แต่ร้องอุทานว่า ‘ฉิบหายแล้ว’
“เข้ามาก่อนสิ”พฤทธิกรพูดบอกพลางพยักพเยิดให้เดินตามมานั่งยังชุดโซฟา เมื่อหลานชายทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยถึงได้โยนเอกสารสามสี่แผ่นส่งไปให้ มันหล่นปุตรงหน้ากวีวัธน์พอดิบพอดี
“นี่อะไร”
“ก็ตามที่น้าเข้าใจ”กวีวัธน์สารภาพออกไปตามตรง เขารู้อยู่แล้วว่าต้องโดนจับได้ในสักวันเพียงแต่ถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัวจะไม่ยอมรับผิดง่ายๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้อง “ปลาออกไปก่อน”
“ทำไมต้องไป ครั้งก่อนๆคุณก็ทำอย่างนี้ บอกกับผมอีกอย่าง คุยกับนายท่านอีกอย่าง”พอเห็นว่ากวีวัธน์เป็นคนออกคำสั่งปภินวิชจึงไม่ยอมปฏิบัติตามง่ายๆ เพราะความขุ่นเคืองไม่ชอบใจส่วนตัวที่โดนหลอกโดนข่มขู่มาเยอะ เลยตั้งใจว่าครั้งนี้จะเล่นงานคู่กรณีแก้แค้นคืนเสียบ้าง
“เหอะ!!!”คนฟังพ่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงหันไปคุยกับน้าชาย “น้าฤทธิ์รู้หรือเปล่าผมเจอเด็กนี่ที่ไหน ตอนที่ผมเจอ เขากำลังยืนขายตัวอยู่ริมถนน ผมเห็นว่าไหนๆเขาก็ขายอยู่แล้วเลยอยากจะเสนอเงินดีๆให้ แต่คนมันเนรคุณรับเงินแต่ไม่ยอมทำงานน่ะครับ”
ปภินวิชหน้าม้านก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธผสมความอับอาย คิดอยากจะแก้แค้นแต่กลับโดนเล่นงานเสียก่อน
“ม... มันใช่ความผิดผมเสียที่ไหน คืนนั้นนายท่านมาถึงก็อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย”เขาตะเบ็งเสียงเถียง
“อ้าว แล้วเด็กขายอย่างคุณมันไม่มีมารยามาใช้มัดใจลูกค้าหรือไง หรือที่จริงแค่แกล้งทำเป็นขายตัวแต่เป้าหมายที่จริงคือการรูดทรัพย์”
“บ้า!!! บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกนะ”
“พอ!!! พอได้แล้ว หยุดเถียงกันซะที”พฤทธิกรตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธจัด
“ใครอนุญาตให้มาเถียงกันไปเถียงกันมาอย่างนี้ฮะ”จากนั้นจึงไล่เรียงจัดการทีละคน เขาไม่สนใจแล้วว่าทั้งสองคนเคยคุยอะไรกันไว้บ้างทั้งไม่สนใจเรื่องที่หลานกุขึ้นมาหลอกเขาด้วย เพียงแต่ถ้าไม่กำราบเสียบ้างอนาคตข้างหน้าคงก่อเรื่องไม่หยุด
“เจ้ากลอน ฉันเคยบอกแล้วว่าถ้าก่อเรื่อง ฉันจะย้ายแกไปเป็นพนักงานส่งเอกสาร”
“น้าฤทธิ์ไม่เอานะ”หลานชายทรุดตัวลงนั่งกับพื้นออดอ้อนทันทีพร้อมพล่ามเรื่องโทษครั้งแรก “ผมเพิ่งทำผิดครั้งเดียวเอง น้าจะลงโทษผมเลยเหรอแล้วความดีที่ผมเคยทำมาทั้งหมดล่ะ เรื่องนี้ถ้าน้าไม่พอใจน้าก็แค่ไล่ ‘ไอ้เด็กขาย’ นี่ไปก็เท่านั้น”
ปภินวิชได้ฟังคำกล่าวว่าก็โกรธขึ้งขึ้นมาในฉับพลัน
“เรื่องเงินที่น้าให้มาผมก็เอาไปจ่ายค่าโรงพยาบาลให้น้องสาวมันหมดแล้ว ถ้าน้าอยากเห็นรายการผมเอาบัญชีรายรับรายจ่ายพร้อมใบเสร็จมาให้ก็ได้”
“ฉันเคยบอกว่าไม่ชอบให้แกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของฉัน”
“ผมก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกแต่คุณยายฝากมา น้าจะให้ผมทำยังไง ถ้าน้าไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายก็กลับบ้านใหญ่บ้างดิ น้ารู้ปะ เป็นคนที่ต้องรับหน้าแบบผมมันลำบากนะเว้ย”กวีวัธน์แสร้งตีสีหน้าหงุดหงิดให้รู้ว่าที่ทำไปเพราะเขาจำใจจริงๆ พฤทธิกรนึกหมั่นไส้จึงตบศีรษะหลานชายแก้อาการมันเขี้ยว คนเป็นหลายร้องอูยก็จริงแต่รับรู้ได้ว่าน้าชายหายโกรธแล้ว งานนี้จึงเล็งเห็นว่าตนคงพ้นโทษใสๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย กวีวัธน์จึงเอี้ยวคอกลับไปส่งสายตาเยาะเย้ยให้คนที่โดนผลกระทบเข้าเต็มๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งหัวร้อนขนาดเห็นช้างตัวเท่ามด
“อยากได้เงินมากเลยหรือ”
ปภินวิชหันมาให้ความสนใจกับคำถามของผู้สูงวัยตรงหน้า “ทำไมล่ะครับ งานง่ายๆสบายๆใครก็ชอบ”เขาพูดประชดออกไปอย่างไม่คิดอยากแก้ตัว เพราะนึกเห็นเอาว่าเป็นญาติพี่น้องพวกพ้องเดียวกันคงไม่มีทางยอมฟังคำของคนนอก พูดไปก็เท่านั้น
“ถ้าอยากได้เงินฉันจะจ่ายให้”
“น้าฤทธิ์”กวีวัธน์ส่งเสียงขัดออกมาทันควัน “ทำไมต้องไปเสียเงินเปล่าๆปลี้ๆกับคนพรรค์นี้ด้วย”
“คนพรรค์นี้แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณเหรอ”เด็กหนุ่มตะคอกเสียงถามกลับไปทันที ยิ่งพูดคุยกันไปนานเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเกลียดกวีวัธน์มากขึ้นเท่านั้น
“กลอน เงียบเถอะน่า ไม่สั่งก็ห้ามพูด ไม่อย่างนั้นฉันจะเห็นว่าเป็นความผิดครั้งที่สอง”พฤทธิกรปราม จากนั้นจึงกลับมาพูดเรื่องที่บอกเด็กหนุ่มค้างไว้
“อยากได้งานสบายๆเงินดีๆไม่ใช่หรือ ฉันจะจ้างเธอเอง ก็งานแม่บ้านทั่วไปแต่ฉันจะให้ไปทำที่สำนักงาน ส่วนของห้องนี้แค่ทำอาหารสองมื้อ เช้ากับเย็น เรื่องค่าใช้จ่ายรักษาน้องสาวฉันจะเป็นคนออกให้ ฉันอนุญาตให้อยู่ห้องนี้ได้เหมือนเดิม ส่วนระยะเวลาแค่ปีเดียว แค่น้องสาวของเธอได้เข้ารับกระบวนการรักษาจนหมดภาวะกำเริบของโรค เป็นอย่างไรข้อเสนอนี้”
ดีจนอดระแวงไม่ได้เชียวล่ะ เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ
พฤทธิกรถอนหายใจเมื่อคู่สนทนาทำท่าคิดนานเหลือเกิน “ฉันไม่นึกพิศวาสเด็กผู้ชายคราวลูกอย่างเธอหรอกน่า”ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อย้ำเตือนกับตัวเองด้วย ทุกสิ่งอย่างที่ปภินวิชแสดงออกมาให้เขาเห็นก่อนหน้านี้ ก็แค่การแสดงที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข คงไม่มีใครที่ไหนตกหลุมรักชายแก่คราวพ่อภายในวันสองวันทั้งที่เพิ่งได้เจอกันหรอก
“และก็ไม่นิยมการใช้กำลังกับคนที่ไม่เต็มใจด้วย แต่ถ้าคิดว่าข้อเสนอนี้ไม่ดีจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร”
“ผมตกลงครับ”สีหน้าของปภินวิชเหมือนต้องจำยอมอย่างช่วยไม่ได้
“ที่แท้ก็หน้าเงินแหละว้า”
“กลอน”
กวีวัธน์หุบปากฉับเมื่อโดนเรียกชื่อเตือนอีกรอบ ขณะที่ปภินวิชทำได้แค่ถลึงตาใส่
“น้องสาวเธออยู่โรงพยาบาลไหน ฉันอยากไปเยี่ยมแล้วจะคุยกับหมอเรื่องการรักษาด้วย”พฤทธิกรพูดพลางลุกขึ้นยืน หลานชายอย่างกวีวัธน์จึงรีบขันอาสา
“ผมพาไปเองครับน้าฤทธิ์”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเลยครับ น้องสาวผมตอนนี้เริ่มจะแข็งแรงดีแล้ว อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้”ปภินวิชพูดขัดเพราะถ้าสองคนนี้ไป ปุ้ยต้องนึกสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของคนทั้งคู่แน่ๆ
“ฉันเป็นคนจ่ายเงิน เป็นเจ้าของไข้ ฉันไม่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมคนป่วยที่ฉันให้การอุปถัมภ์หรือ ไม่ใช่ว่าน้องสาวเธออาการร่อแร่แต่ยังตื๊อหมอให้พยุงอาการต่อไป”
“ทำไมถึงได้ปากเสียแบบนี้”
“เธอเองก็ยังมองฉันไม่ดีเลย มันก็ไม่ต่างนักหรอก เธอเองก็ไม่น่าไว้ใจสำหรับฉันเหมือนกัน”
“ถ้าผมไม่น่าไว้ใจก็ไม่เห็นจะต้องมายุ่งวุ่นวายด้วยนี่นา”
“แล้วปล่อยให้เธอไปยืนขายตัวอยู่ริมถนนต่อไปน่ะหรือ เป็นเธอ เห็นคนเดือดร้อนอยู่ตรงหน้าแล้วตัวเธอเองมีกำลังมากพอที่จะช่วยเขาได้ เธอจะช่วยเขาไหม อันที่จริงฉันจะให้เงินไปสักก้อนหนึ่งแล้วให้เธอไปจัดการเอาเองก็ย่อมได้ แต่ฉันเห็นด้วยกับกลอน ทำไมฉันต้องให้เงินกับคนอย่างเธอไปเปล่าๆปลี้ๆ โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนด้วย”พฤทธิกรขยับเท้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มขณะที่พูดประโยคนั้น ด้วยความสูงที่แตกต่างกันให้สายตาที่มองกดลงมาดูคล้ายตนกำลังถูกเหยียดหยามในความคิดของปภินวิช ชายหนุ่มไม่ได้สัมผัสส่วนใดในร่างกายของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ร่างกายใหญ่โตนั่นกลับเหมือนคุกคามเขาอยู่กลายๆ
ร่างกายของปภินวิชสั่นสะท้านแต่เขาไม่คิดอ่อนข้อแสดงความอ่อนแอ “คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่รับเงินของคุณมาฟรีๆแน่ จะทำงานชดใช้ให้ทุกบาททุกสตางค์ แต่ถ้าพวกคุณมายุ่งกับน้องสาวผม ผมไม่เอาพวกคุณไว้แน่”
พฤทธิกรโคลงศีรษะรับรู้ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระกับคำขู่นั้นก่อนหมุนตัวสาวเท้าเดินนำออกไป พ้นสายตาน้าชาย กวีวัธน์จึงลอยหน้าลอยตาขยับปากล้อเลียนเด็กหนุ่มเสียงเบา
“ผมไม่เอาพวกคุณไว้แน่”ซ้ำร้ายยังแสร้งกวาดสายตามองปภินวิชตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตานึกสมเพช คนโดนมองถึงกับเต้นเร่าๆ ทว่ามีเสียงเรียกชื่อคู่กรณีดังมาจากหน้าประตูเสียก่อน เจ้าตัวถึงเผ่นแผล็วไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มกระทืบเท้าด้วยความโกรธเคือง คิดแค้นอยู่ในใจว่าอย่าให้ถึงทีเขาบ้าง ก่อนจะรีบสาวเท้าตามน้าหลานคู่นั้นไป
เพราะเคยมาเยี่ยมปวันรัตน์ครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งตนยังเป็นคนจัดการดูแลเรื่องค่ารักษา กวีวัธน์จึงเดินนำน้าชายไปยังห้องไอซียูที่เด็กหญิงพักฟื้นได้อย่างคล่องแคล่ว
ร่างกายของเด็กหญิงฟื้นตัวแข็งแรงได้รวดเร็วสมกับที่อายุยังน้อย วันที่พวกเขามาเยี่ยมจึงไม่เห็นอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆห้อยระโยงระยางอย่างในละครทีวีที่กวีวัธน์เคยดู แต่เด็กหญิงเพิ่งสะลึมสะลือลืมตาตื่นเมื่อเธอได้ยินเสียงจากประตูเหมือนมีคนเข้ามาให้ห้อง
ชายหนุ่มสองคนที่เข้ามาก่อนทำให้เธอย่นคิ้วมองด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อเห็นพี่ชายจึงร้องเรียกออกไป
“พี่ปลา มาอีกแล้ว ไม่ทำงานหรือคะ”เธอถาม
พี่ชายเคยบอกเธอว่ามีคนใจดีช่วยออกค่าโรงพยาบาลให้และตอนนี้เขาก็ย้ายไปทำงานกับคนใจดีคนนั้น กระนั้นตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา พี่ชายกลับมาเยี่ยมและอยู่เฝ้าไข้เธอตลอด
“นี่คุณฤทธิ์กับคุณกลอน คนใจดีที่พี่เคยบอกว่าช่วยออกค่ารักษาให้”
พฤทธิกรสะดุดหูกับคำว่าคนใจดี ทั้งที่มีท่าทางไม่วางใจเขาแต่กลับโกหกน้องสาวเสียดิบดีเชียว ชายหนุ่มนึกอย่างเอ็นดู
เด็กหญิงตาโต เธอยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณพี่ทั้งสองคนมากค่ะที่ช่วยหนูกับพี่ชาย”
“ไม่เป็นไร ขอหายไวๆนะ”เขาตอบกลับพร้อมกล่าวอวยพร ขณะที่หลานชายเหล่ตายิ้มแซวเพราะน้าชายโดนเด็กสาววัยมัธยมเรียกด้วยสรรพนามที่เด็กกว่าอายุจริงไปหลายสิบปี
จากนั้นพฤทธิกรจึงสอบถามเรื่องการดูแลจากพยาบาลและอาหารการกินของปวันรัตน์อีกสามสี่ประโยค เมื่อเห็นเวลาสมควรเขาจึงบอกลาเด็กหญิงขอตัวกลับ โดยหันไปบอกฝั่งพี่ชายว่าจะอยู่เฝ้าน้องสาวต่อก็ได้ พฤทธิกรมีแผนว่าจะไปคุยกับหมอเจ้าของไข้หลังจากนี้
คล้อยหลังพฤทธิกรไปแล้ว ปวันรัตน์จึงหันไปถามกับพี่ชายต่ออีกว่า
“คนนี้ใช่เจ้านายพี่ปลาหรือเปล่าคะ”
“อืม ก็ทำนองนั้น”เขาตอบพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ความกังวลและร่างกายที่ตื่นเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลง เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวาดหวั่น เด็กหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองกลัวอะไร เพียงแต่ตอนที่นายท่านบอกว่าจะมาเยี่ยมน้องสาว เขาก็วิตกจริตไปว่าจะต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น
“หล่ออะ เหมือนท่านชายเลย พี่เขาอายุเท่าไหร่แล้วคะ มีแฟนหรือยัง”
ปวันรัตน์อายุสิบห้าแล้ว ไม่แปลกถ้าเธอจะเริ่มสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ
“ไม่รู้สิ แต่น่าจะแก่มาก เขาเป็นน้าชายคุณกลอน”
“แล้วพี่กลอนอายุเท่าไหร่ล่ะคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”ปภินวิชบอกปัดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก
“แหม พี่ปลาก็... ได้ทำงานกับเจ้านายหล่อๆทั้งที ไม่หัดถามเรื่องประมาณนี้มาบ้างล่ะคะ พี่เป็นผู้ชายพี่อาจจะไม่สนใจแต่ปุ้ยสนใจนะ”
“อยากรู้ก็ไว้รอถามเจ้าตัวเอาเองเถอะ พอปุ้ยหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ก็ต้องย้ายไปอยู่กับนาย...คุณฤทธิ์”
“จริงหรือคะ ดีใจจัง อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆจังเลย”ปวันรัตน์ตื่นเต้นเสียจนไม่นึกสงสัยเลยว่าพวกเขาสองพี่น้องจะเข้าไปอยู่กับพฤทธิกรด้วยฐานะอะไร ถ้าบอกน้องสาวว่า เขาเปลี่ยนอาชีพไปเป็นพ่อบ้านแล้ว เธอจะแปลกใจไหมนะ ปภินวิชนึกสงสัยอยู่ครามครัน
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
จินตนาการภาพนายท่านแล้วแอบกรี๊ดเบาๆ มาดท่านชายเย็นชาปากหนักโผล่วาบเชียว
ขอยืมอิมเมจที่คุณเคยเขียนคอมเมนต์ไว้มาให้น้องปุ้ยใช้หน่อยนะคะคุณมาม่าหมูสับ ขอกราบขอบพระคุณงามๆค่ะ