ตอนที่ 10
By moggy
-----------------------
สายๆ ของวันถัดมาในห้องโถง นายแม่นั่งคุยอยู่กับแม่พิมพ์ ผมก็เลยไปนั่งร้อยพวงมาลัยกับป้าสายที่ชานบ้าน ตอนนี้ผมร้อยเก่งแล้วนะครับ นายแม่ยังชมเลย
“ขอบคุณครับ” แหววเอาชมพู่กับน้ำหวานเข้ามาให้ เห็นแล้วอยากกินขึ้นมาทันที อืม...หวาน กรอบ ชอบจัง
“อร่อยจัง แหวว”
“ค่ะ นายหัวเอามาให้ค่ะ”
“อ้าว พี่ภูกลับมาแล้วหรอ”
“ค่ะ แต่เห็นเดินไปทางห้องโถงนะคะ”
คนตัวเล็กขมวดคิ้ว ห้องโถงหรอ...แม่พิมพ์กับนายแม่กำลังคุยกันอยู่นิ พี่ภูเข้าไปทำอะไรหว่า แต่ช่างเถอะ ชมพู่แสนอร่อยตรงหน้าน่าสนใจกว่าเยอะ สักพักใหญ่พี่ภูก็เดินเข้ามา ป้าสายกับแหววก็เลี่ยงออกไป
“ทำอะไรอยู่ ข้าว”
“หืม...พี่ภู” ลูกข้าวเงยหน้าจากมาลัยที่ร้อยอยู่
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อกี้นี้เอง”
“อ่อ...ข้าวร้อยพวงมาลัยถวายพระอยู่ สวยไหม” คนตัวเล็กแอบโชว์ผลงานตัวเอง
“สวยดี” ภูธิปมองร่างเล็กที่นั่งยิ้มกับผลงานตัวเองอยู่ เป็นภาพที่สวยงามจริงๆ
“เอ้อ...ทำไมพี่ภูกลับเร็วจังวันนี้”
“พี่เข้ามาหาแม่น่ะ”
“อ่อ” ลูกข้าวพยักหน้ารับรู้
“ข้าว วางไว้ก่อนแล้วขึ้นไปบนห้องกับพี่หน่อยสิ”
“ทำไมหรอครับ” ผมสงสัย
“ไปช่วยพี่หาของหน่อย”
“อื๋อ...ได้ครับ” ผมยิ้มให้แล้วลุกขึ้นโดยมีพี่ภูประคองเอวไว้อยู่
ในห้องนอน
“พี่ภูจะหาอะไรอ่ะ” ผมถามขึ้น จะได้ช่วยหาถูก
“นาฬิกาน่ะ”
“เรือนไหนครับ” ที่พี่ภูใส่บ่อยๆ เจ้าตัวก็ใส่อยู่นะ จะหาเรือนไหนหว่า
“เรือนที่หน้าปัดสีน้ำเงิน”
“อ่อ ได้ๆ เดี๋ยวข้าวช่วยหา” ผมจำนาฬิกาพี่ภูได้ครับ มีอยู่ไม่กี่เรือนหรอกครับ
“อืม” ระหว่างนั้นภูธิปก็เฟสตัวเองออกมาเพื่อไปเตรียมตัว เป็นครั้งแรกเลยที่นายหัวภูคิดที่จะทำ เพราะไม่ใช่นิสัยของตัวเองเลย แต่กับคนสำคัญก็ต้องพิเศษหน่อย
ภูธิปกลับมานั่งที่เตียงพร้อมกีต้าร์โปร่งตัวหนึ่ง ลูกข้าวยังนั่งหน้าลิ้นชักเปิดหานาฬิกาอยู่
“ข้าว” ภูธิปเรียกคนที่มัวแต่หาของอยู่
“หืม...” ผมหันมาพร้อมความแปลกใจ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ภูเล่นกีต้าร์เป็น
เสียงกีต้าร์นำขึ้นก่อนที่พี่ภูจะร้องเพลงตาม >>
https://www.youtube.com/watch?v=mDROwyebpUU<<
…Baby life was good to me
ที่รัก ชีวิตผมมันก็ดีอยู่แล้วนะ
…But you just made it better
แต่คุณทำให้มันดียิ่งขึ้นไปอีก
เสียงทุ้มนุ่มของพี่ภูเพราะมาก ครั้งแรกเลยที่พี่ภูร้องเพลงให้ฟัง
…I love the way you stand by me
ผมรักที่คุณยืนเคียงข้างกัน
…Through any kind of weather
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ผมนั่งฟังเงียบๆ พี่ภูมองผมอยู่ตลอด สื่อความหมายออกมาทางสายตาให้ผมได้รับรู้
…I don’t wanna run away
ผมไม่อยากจะวิ่งหนีไปเลย
…Just wanna make your day
อยากจะทำให้วันคืนของคุณมีแต่ความสุข
…When you feel the world is on your shoulders
ในยามที่คุณรู้สึกเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า
…Don’t wanna make it worse
ผมก็ไม่อยากจะทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม
…Just wanna make us work
แค่อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นไปด้วยดี
น้ำตาผมเริ่มคลอที่เบ้าตา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมัน เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่ามาก
…Baby tell me I will do whatever
ที่รัก บอกผมสิ และผมจะทำให้ทุกอย่างเลย
…It feels like nobody ever knew me until you knew me
…Feels like nobody ever loved me until you loved me
…Feels like nobody ever touched me until you touched me
…Baby nobody, nobody, until you
รู้สึกเหมือนว่าไม่มีใครรู้จักผมดี จนกระทั่งคุณมารู้จักผม
รู้สึกเหมือนไม่มีใครเคยรักผม จนกระทั่งคุณรักผม
รู้สึกเหมือนไม่เคยมีใครสัมผัสผมมาก่อน จนกระทั่งคุณสัมผัสผม
ที่รัก ไม่มีใครเลย จนกระทั่งคุณเข้ามา
น้ำตาที่กักเก็บไว้ เริ่มกลั้นไม่อยู่ ไหลออกมาเป็นสาย แต่ผมก็ยังยิ้มให้พี่ภู
…Baby it just took one hit of you now I’m addicted
ที่รัก แค่คุณเข้ามาในชีวิตผม ก็ทำให้ผมหลงใหลจนแทบบ้า
…You never know what’s missing
…Till you get everything you need, yeah
คุณไม่รู้หรอกว่าอะไรที่มันขาดหายไป
จนกระทั่งคุณได้ทุกๆ สิ่งที่คุณต้องการ
…I don’t wanna run away
…Just wanna make your day
…When you feel the world is on your shoulders
…Don’t wanna make it worse
…Just wanna make us work
…Baby tell me, I’ll do whatever
ผมไม่อยากจะวิ่งหนีไปเลย
อยากจะทำให้วันคืนของคุณมีแต่ความสุข
ในยามที่คุณรู้สึกเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า
ผมก็ไม่อยากจะทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม
แค่อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นไปได้ด้วยดี
ที่รัก บอกผมสิ และผมจะทำให้ทุกอย่างเลย
…It feels like nobody ever knew me until you knew me
…Feels like nobody ever loved me until you loved me
…Feels like nobody ever touched me until you touched me
…Baby nobody, nobody, until you
รู้สึกเหมือนว่าไม่มีใครรู้จักผมดี จนกระทั่งคุณมารู้จักผม
รู้สึกเหมือนไม่มีใครเคยรักผม จนกระทั่งคุณรักผม
รู้สึกเหมือนไม่เคยมีใครสัมผัสผมมาก่อน จนกระทั่งคุณสัมผัสผม
ที่รัก ไม่มีใครเลย จนกระทั่งคุณเข้ามา
…See it was enough to know
…If I ever let you go
…I would be no one
…Cause I never thought I’d feel
…All the things you made me feel
…Wasn’t looking for someone until you
มันก็เพียงพอแล้วที่จะรู้
ว่าหากผมยอมปล่อยคุณไป
ผมคงไร้ความหมาย
เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรู้สึก
ทุกๆ สิ่งที่คุณทำให้ ผมรู้สึกได้
ผมไม่เคยมองหาใครมาก่อน จนกระทั่งผมเจอคุณ
…It feels like nobody ever knew me until you knew me
…Feels like nobody ever loved me until you loved me
…Feels like nobody ever touched me until you touched me
…Baby nobody, nobody, until you
รู้สึกเหมือนว่าไม่มีใครรู้จักผมดี จนกระทั่งคุณมารู้จักผม
รู้สึกเหมือนไม่มีใครเคยรักผม จนกระทั่งคุณรักผม
รู้สึกเหมือนไม่เคยมีใครสัมผัสผมมาก่อน จนกระทั่งคุณสัมผัสผม
ที่รัก ไม่มีใครเลย จนกระทั่งคุณเข้ามา
…It feels like nobody ever knew me until you knew me
…Feels like nobody ever loved me until you loved me
…Feels like nobody ever touched me until you touched me
…Baby nobody, nobody, until you
รู้สึกเหมือนว่าไม่มีใครรู้จักผมดี จนกระทั่งคุณมารู้จักผม
รู้สึกเหมือนไม่มีใครเคยรักผม จนกระทั่งคุณรักผม
รู้สึกเหมือนไม่เคยมีใครสัมผัสผมมาก่อน จนกระทั่งคุณสัมผัสผม
ที่รัก ไม่มีใครเลย จนกระทั่งคุณเข้ามา
ตลอดเพลง ผมกับพี่ภูเรามองหน้ากันตลอด ความรู้สึกทั้งหมดมันสื่อออกมาทางสายตา ผมรับรู้ได้ เรื่องราวของเรามันเป็นไปตามเพลงที่พี่ภูร้องให้ฟังทุกอย่าง
พี่ภูวางกีต้าร์ลงข้างตัวแล้วขยับลงมานั่งกับผม
“ร้องไห้ทำไมครับ หื้ม...” พี่ภูถามแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้
“…” ผมยังไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้ มันพูดอะไรไม่ออกครับ
“พี่ให้...” พี่ภูยื่นช่อดอกมะลิที่ห่อด้วยใบตองแล้วใช้ไม้กลัดเอาไว้ยื่นมาให้ผม “แต่งงานกับพี่นะ”
“…” ผมยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก ใครใช้ให้ทำซึ้งขนาดนี้เนี่ย...คนบ้า ผมรับช่อดอกมะลิเอาไว้ แล้วพยักหน้าเร็วๆ
“หึหึ ตกลงแต่งนะ”
“อื้อ...” ผมตอบรับและพยักหน้าอีกครั้ง
“รักนะครับ เด็กดื้อของพี่” พี่ภูเช็ดน้ำตาให้แล้วดึงผมเข้าไปกอด
“อื้อ...รักเหมือนกัน” ผมซุกหน้าอยู่ที่อกพี่ภู มันอบอุ่นไปถึงหัวใจจริงๆ ครับ
หลังจากที่พี่ภูขอผมแต่งงานก็ผ่านมาอาทิตย์นึงได้แล้ว คุณแม่กับแม่พิมพ์ก็รับรู้และยินดีกับเรา เห็นว่ารู้ก่อนผมอีกนะ พี่ภูได้เข้าไปคุยด้วยนานแล้ว คุณแม่ไปขอฤกษ์ดีกับพระอาจารย์ที่คุณแม่นับถือได้แล้ว แต่ตอนนี้ยังติดเที่ยวกับแม่พิมพ์อยู่ พี่ภูก็เร่งยิกๆ ไม่รู้ว่าจะรีบอะไรนักหนา ยังไงก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แม่พิมพ์เห็นว่าจะกลับหลังจัดงานเสร็จ ส่วนพี่ภูช่วงนี้เร่งงาน เพราะมีออเดอร์มาเยอะ และเดี๋ยวจะเข้าหน้าฝนแล้ว ปีนี้เห็นว่าน้ำจะเยอะกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา พี่ภูเลยต้องรีบจัดการงานให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมาก
วันนี้ก็บ้านเงียบตามเคย นายแม่กับแม่พิมพ์อยู่ในเมือง พี่ภูเข้าไร่ตั้งแต่เช้ามืด ผมลงครัวครับ ทำอาหารไปให้พี่ภูสักหน่อย เมื่อเช้าก็ไม่ได้กิน
“คุณข้าว ทำอะไรคะ ป้าช่วย” ป้าสายเดินเข้ามาในครัว เพราะเห็นลูกข้าววุ่นกับข้าวของบนโต๊ะครัว
“จะทำกับข้าวให้พี่ภูครับ ป้าสาย”
“ค่ะ มาเดี๋ยวป้าช่วย”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วคุณข้าวจะทำอะไรคะ” ระหว่างล้างผัก ป้าสายก็สอบถามถึงเมนู
“แกงส้มสัปปะรดปลาอินทรีย์กับใบเหลียงผัดไข่ครับ” คนตัวเล็กตอบอย่างยิ้มแย้ม
ระหว่างรอพริกแกงละลายและสัปปะรดสุกในน้ำเดือด ลูกข้าวก็ไปหั่นกระเทียมเพื่อเตรียมผัด ส่วนอย่างอื่นป้าสายเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าอาการมันหายไปแล้ว แต่พอได้กลิ่นกระเทียมอีก ก็รู้สึกเหม็นและเวียนหัวขึ้นมา จนลูกข้าวเซและจับขอบโต๊ะไว้
“คุณข้าวเป็นอะไรคะ”
“เวียนหัวครับ เหม็นกระเทียม”
“แต่ไม่เป็นไรครับป้าสาย ข้าวไม่ได้เป็นไรมาก แต่รบกวนป้าสายปอกกระเทียมและผัดให้หน่อยนะครับ” ลูกข้าวเอ่ยต่อ
“ได้ค่ะๆ แต่คุณข้าวไหวแน่นะคะ”
“ครับ ข้าวไม่เป็นไร”
สักพักก็ดีขึ้น ลูกข้าวกลับมาทำแกงส้มต่อ เมื่อเห็นน้ำเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่ปลาลงไป แล้วปิดฝาหม้อ ระหว่างนั้นป้าสายก็ผัดผักให้ ผมจึงรบกวนป้าสายทำต่อจนเสร็จ แล้วจึงขอออกไปก่อน เพราะทนต่อกลิ่นกระเทียมไม่ไหวจริงๆ
ผมจะขับรถไปหาพี่ภูเองแต่ลุงยิ้มแกบอกไม่ได้ พี่ภูสั่งไว้ พี่ภูนะ...พี่ภู สุดท้ายลุงยิ้มก็ขับรถให้ - -* มาถึงออฟฟิศในไร่ ผมก็บอกให้ลุงยิ้มกลับได้เลย วันนี้ผมจะกลับพร้อมพี่ภู ก็อยู่บ้านมันเบื่ออ่า...
“พี่ภู” ผมเอ่ยเรียกคนที่ก้มหน้าดูเอกสารอยู่
“ข้าว มาได้ยังไง” พี่ภูถามพร้อมลุกขึ้นมารับข้าวของที่ผมถืออยู่
“ลุงยิ้มมาส่ง”
“เอาข้าวมาให้ครับ”
“ฟอด...”
“พี่ภู เดี๋ยวมีคนมาเห็น เดี๋ยวเถอะ” ผมเอ็ดคนประเจิดประเจ้อ
“มากินข้าวก่อนครับ เมื่อเช้าก็ไม่ได้กิน” ผมพูดต่อ
“กินแล้ว”
“กินอะไรครับ”
“กาแฟ” พี่ภูตอบหน้าตาย อยากจะหยิกให้สักที
ระหว่างจัดโต๊ะอาหารให้พี่ภูที่โซฟาชุด ผมพยายามกลั้นหายใจเมื่อต้องเปิดกล่องใบเหลียงผัดไข่ เพราะกลิ่นกระเทียมตอนผัดเสร็จมันรุนแรงกว่าปกติ ผมเริ่มเวียนหัวอีกรอบ แต่พยายามไม่ให้ผิดสังเกต เดี๋ยวพี่ภูจะเป็นห่วง อีกอย่างพี่ภูยังไม่ได้กินข้าวเลย
ระหว่างพี่ภูกินข้าว ผมก็พยายามเลี่ยงโดยการนั่งดูเอกสารบนโต๊ะทำงานพี่ภู แต่กลิ่นกระเทียมมันก็ยังรุนแรงอยู่สำหรับผม รู้อย่างนี้ไม่น่าทำเลย T^T
“พี่ภู ข้าวไปห้องน้ำนะ” ผมพยายามเลี่ยงกลิ่น แต่คงไปไม่รอดจริงๆ เวียนหัวมาก พอลุกปุ๊บ ล้มพับเลย
“ข้าว” เสียงเรียกอย่างตกใจที่ผมได้ยินก่อนที่จะหมดสติไป
ภูธิปรีบอุ้มลูกข้าวขึ้นรถเพื่อพากลับบ้าน แต่ระหว่างทางนั้นคุณหญิงจันทร์ก็โทรเข้ามาพอดีว่ากำลังจะกลับแล้ว จะเอาอะไรหรือเปล่า แต่พอได้ยินเสียงร้อนรนของผู้เป็นลูก จึงสอบถามให้รู้ชัด ดอกเตอร์พิมพ์พิกาที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยเป็นห่วงไปด้วย เมื่อรู้ว่าลูกข้าวเป็นลม ก็รีบบอกให้พี่ภูพาน้องไปโรงพยาบาลเลย เดี๋ยวไปเจอกันที่นั่น ถ้าตอนปกติลูกข้าวไม่ยอมไปโรงพยาบาลอย่างแน่นอน เพราะเป็นเด็กที่กลัวเข็มขึ้นสมอง เธอจึงถือโอกาสนี้พาไปตรวจเสียเลย จึงปรึกษากับคุณหญิงจันทร์ก่อน
“คุณพี่คะ พอจะมีหมอที่ไว้ใจได้ไหมคะ”
“ก็มีนะ เป็นน้องสาวของพี่เอง แต่เป็นหมอสูติฯ ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะคุณพิมพ์”
“คือถ้าพิมพ์บอกอะไรไป ถ้าคุณพี่รับไม่ได้ ให้บอกพิมพ์ตรงๆ เลยนะคะ” คุณหญิงจันทร์พยักหน้าให้ดอกเตอร์พิมพ์พิกาจึงเริ่มเล่าเรื่องของลูกชายตัวเองให้คุณหญิงจันทร์ฟัง
“พ่อของลูกข้าวและพิมพ์เป็นนักวิจัยทั้งคู่ ตอนนั้นเราทั้งคู่อยากมีลูกมาก แต่ไม่มีสักที พอท้องลูกข้าวได้ พ่อของลูกข้าวก็เลยคิดค้นสกัดยาตัวหนึ่งขึ้นมา ฉีดเข้าที่พิมพ์เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวแน่นขึ้น แต่เราไม่รู้ผลที่ตามมาจะทำให้ลูกข้าวมีสภาพภายในเป็นผู้หญิง เราเพิ่งมารู้ตอนที่ลูกข้าวเกิดมาแล้ว ตอนแรกพิมพ์แค่เห็นหน้า ก็นึกว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่พยาบาลบอกเป็นเด็กผู้ชาย พอเช้ารุ่งขึ้นคุณหมอที่ทำคลอดก็เข้ามาคุยกับพิมพ์เรื่องของลูกข้าว พิมพ์รู้สึกผิดมากที่ทำให้ลูกข้าวเป็นอย่างนี้ ผ่านไป 2 เดือนคุณหมอที่ทำคลอดให้ก็โทรมาหาเพื่อเจรจาอยากได้ยาตัวนั้น แต่พ่อของลูกข้าวปฏิเสธไป แต่แล้วคุณหมอก็ยังโทรมาเรื่อยๆ เพื่อเจรจา จนพ่อของลูกข้าวจะไปแจ้งความ ระหว่างทางนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น พิมพ์เชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของคุณหมอคนนั้นแน่ๆ เพราะพ่อของลูกข้าวได้ลองสืบก่อนหน้านั้นแล้วว่าคุณหมอที่ทำคลอดให้มีการร่วมมือกับนักค้ามนุษย์ด้วย พอพ่อของลูกข้าวเสีย พิมพ์ก็ย้ายบ้าน ย้ายงาน เก็บตัวเพื่อรักษาชีวิตลูกเอาไว้ ตอนนั้นมันมืดแปดด้าน ไม่รู้จะไปทางไหนดี รู้อยู่อย่างเดียวต้องดูแลลูก ต้องให้เขามีชีวิตต่อให้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะกลับมากันอีกไหม พิมพ์ก็เลยบอกให้ลูกระวังตัวตลอด เรื่องนี้ลูกข้าวไม่เคยรู้มาก่อน ต้องขอโทษคุณพี่ด้วยนะคะที่ต้องปิดบัง” ดอกเตอร์พิมพ์น้ำตารื้นพร้อมกราบขอโทษ
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ พี่เข้าใจ” คุณหญิงจันทร์กุมมือปลอบ
“ถ้าคุณพี่จะยกเลิกงานตะ...” ยังไม่ทันพูดจบดี คุณหญิงจันทร์ก็พูดแทรกขึ้น
“งานแต่งยังคงเดิมค่ะ ถ้ายกเลิกตอนนี้เจ้าลูกชายมาเด็ดหงอกพี่แน่ๆ”
“ขอบคุณนะคะ คุณพี่” ทั้ง 2 คนยิ้มให้กัน ด้วยความเป็นแม่เหมือนกันจึงเข้าใจกันได้ดี
“ตอนนี้พิมพ์สงสัยว่าลูกข้าวจะท้องค่ะ” ดอกเตอร์พิมพ์พูดขึ้นอีกครั้ง
“คะ!!” คุณหญิงจันทร์ตกใจ “เรื่องภายในร่างกายที่เหมือนผู้หญิง นี่รวมกับเรื่องท้องได้ด้วยหรอคะ”
“ค่ะ คุณพี่” ดอกเตอร์พิมพ์ยิ้มรับกลายๆ
“อย่างนี้น่าจะเป็นเรื่องยินดีสินะ” คุณหญิงจันทร์พอหายจากตกใจ ก็ยินดีและดีใจแทน
“คุณพี่รับได้หรอคะ”
“พี่ดีใจมากกว่าค่ะ”
“แต่พี่ภูจะรับได้หรือเปล่านี่สิคะ” แม่ทั้ง 2 ไม่อาจคาดเดาความคิดของภูธิปได้เลย
“เดี๋ยวพี่สายตรงด่วนเลยค่ะ หลานพี่ทั้งคน ฮิฮิ”
คุณหญิงจันทร์กับดอกเตอร์พิมพ์พิกามาถึงก่อน จึงไปนั่งรอ ระหว่างนั้นแพทย์หญิงวิชุดาก็เดินเข้ามาหา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่จันทร์ โทรตามด่วนขนาดนี้”
“ยัยวิ”
“นี่แพทย์หญิงวิชุดา น้องสาวพี่เอง แล้วก็นี่ดอกเตอร์พิมพ์พิกาแม่ของลูกข้าวจ้ะ ว่าที่ลูกสะใภ้พี่เอง”
“สวัสดีค่ะ” ทั้งคู่เอ่ยทักทายกัน
คุณหญิงจันทร์จึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ เรื่องลูกข้าวให้แพทย์หญิงวิชุดาฟัง ตอนแรกก็ตกใจ พอสอบถามไปๆมาๆ ก็เข้าใจ
“แม่” ภูธิปเห็นแม่นั่งรออยู่ก่อนเลยร้องเรียก
“ตาภู”
“พี่ภู ลูกข้าว” ดอกเตอร์พิมพ์เห็นลูกนอนหมดสติหน้าซีด ก็รู้สึกสงสาร
“เข็นเข้าไปในห้องเลยค่ะ” แพทย์หญิงวิชุดาบอกกับบุรุษพยาบาล
“ฝากด้วยนะ ยัยวิ”
“ค่ะ พี่จันทร์”
เรา 3 คนนั่งรออยู่หน้าห้อง ภูธิปเป็นห่วงลูกข้าวจนนั่งไม่ติด
“ตาภู มานั่งนี่สิลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยเรียก
“ครับ”
“น้องถึงมือหมอแล้ว ไม่เป็นไรแล้วลูก”
“ครับ แม่”
“ตาภู ถ้าแม่ถามอะไร ให้ตอบตามตรงนะ” คุณหญิงจันทร์มองหน้าดอกเตอร์พิมพ์นิดนึง แล้วพยักหน้าให้กัน
“ภูเคยคิดอยากมีลูกหรือเปล่า” คุณหญิงจันทร์เริ่มถาม
“…” ภูธิปมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างแปลกใจที่อยู่ๆ ก็ถามเรื่องอย่างนี้ขึ้นตอนนี้
“บอกตามตรงนะครับ ผมไม่เคยคิดเรื่องลูกเลย”
“แล้วถ้าลูกกำลังจะเป็นพ่อคนล่ะ”
“หึหึ แม่พูดอะไรน่ะ ผมจะไปเป็นพ่อคนได้ยังไง ผมรักน้องคนเดียวนะครับแม่”
“ถ้าพี่ภูกำลังจะเป็นพ่อคนล่ะคะ พี่ภูจะทำยังไง” ดอกเตอร์พิมพ์พูดขึ้นอีกคน
“…” ภูธิปกำลังจมกับความคิดของตัวเอง ลูกหรอ...
“ถ้ามีลูก ผมจะมีกับน้องคนเดียว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ครับแม่” คำตอบของลูกชายทำให้ทั้ง 2 แม่ ยิ้มออกมาได้
สักพักใหญ่หมอวิก็ออกมา
“เป็นยังไงบ้างยัยวิ”
“ก็...” น้าหมอยังพูดไม่จบ ภูธิปก็ถามขึ้น
“น้าหมอ ผมเข้าไปหาน้องได้ไหมครับ”
“ไปหาที่ห้องพักได้เลยจ้ะ เดี๋ยวพยาบาลจะพาไปแล้ว”
“แล้วน้องเป็นยังไงบ้างครับ”
“แค่เป็นลมน่ะ น้าให้วิตามินแล้ว”
“ขอบคุณครับ น้าหมอ” ภูธิปเบี่ยงตัวเพื่อไปรอลูกข้าว จะได้ขึ้นไปพร้อมกัน
“เป็นยังไง ยัยวิ”
“2 เดือนแล้วค่ะ พี่จันทร์”
“จริงหรอ โอ๊ย ชั้นดีใจ”
“พิมพ์ก็ดีใจค่ะ”
“2 เดือนอะไรครับแม่” ภูธิปกำลังจะเดินมาบอกแม่เรื่องห้องพักน้อง ก็ได้ยินทัน แต่ภูธิปจับใจความไม่ได้จึงเอ่ยถามมารดา
เมื่อเห็นทุกคนอึกอัก ภูธิปจึงสงสัยเข้าไปอีก แม่พิมพ์จึงเอ่ยขึ้น
“พี่ภู ไปคุยกับแม่สักครู่ได้ไหมคะ”
“ครับ”
“คุณพิมพ์” คุณหญิงจันทร์เอ่ยเรียก
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพี่ พิมพ์อธิบายเองดีกว่า”
หลังจากแยกมานั่งคุยกัน
“คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“แม่จะเล่าทุกอย่างให้พี่ภูฟัง ถ้าพี่ภูรับได้ ต่อไปให้เรียกแม่ว่าแม่นะลูก”
ดอกเตอร์พิมพ์พิกาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภูธิปฟังเสร็จ ก็เอ่ยถึงเรื่องที่ภูธิปคาใจ
“แล้วก็ข้าว...น้องท้องได้ 2 เดือนแล้วค่ะ”
“ครับ!!” หลังจากที่ภูธิปฟังเรื่องทั้งหมดก็เข้าใจ แต่ที่ตกใจคือน้องท้องได้ 2 เดือนแล้ว ในหัวสมองเขาว่างเปล่าไปเลย
“น้องรู้เรื่องนี้หรือเปล่าครับ”
“ข้าวไม่รู้เรื่องค่ะ แม่ไม่เคยบอก แม่ขอโทษนะคะพี่ภู”
“ครับ”
ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่จมอยู่กับความคิดตัวเอง หัวสมองมันขาวโพลนไปหมด เป็นเรื่องที่เกินคาดและไม่นึกไม่ฝันมาก่อน เพราะตอนที่มีลูกข้าว ก็ไม่เคยคิดเรื่องลูกอีกเลย...
******************
TBC.
**คำผิดแจ้งได้เลยค่ะ//
สวัสดีปีใหม่ 2561 นะคะ