ฝ่ายทันตแพทย์หนุ่มนั้น เมื่อภูพิงค์ไม่ว่างเขาก็ต้องไปกินข้าวตามลำพัง จะตามไปกินกับพี่สิงหา อีกฝ่ายก็กินจนเสร็จกลับมาคลินิกเรียบร้อยแล้ว ครั้นจะขอให้พี่สิงหาไปกินด้วยก็ละอายใจนิดหน่อย ในเมื่อเขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายไปกินข้าวแบบเหงาๆ เช่นกัน
ช่างแม่ง รีบกินรีบกลับละกัน
รวินท์เลือกไปกินข้าวมันไก่ที่ร้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคลินิกนัก ตอนเดินเข้าร้านไปก็ไม่ได้สังเกตอะไร หลับหูหลับตาไปนั่ง สั่งอาหารแล้วก็ก้มหน้าก้มตากิน ด้วยความหงุดหงิดจึงกินมันคนเดียวสามจาน ไม่รู้แม่ค้าแกล้งอะไรหรือเปล่า ทำไมจานนึงมันน้อยนักวะ! เห็นเขาเป็นศาลพระภูมิเหรอ!
ขณะตักข้าวใส่ปากไปเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอรวินท์ชำเลืองมองเห็นว่าเป็นเตชิต เขาก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ว่าไง แดกอยู่”
“แดกกับใครวะ พี่สิงหาเหรอ”
“แดกคนเดียว” คนถูกถามตอบเสียงเรียบ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เขาพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด แม้จะรู้สึกถึงกำแพงที่ตนเองสร้างขึ้นไว้กั้นระหว่างกันก็ตามที “มึงล่ะ แดกไรยัง”
“เพิ่งแดกเมื่อกี้ อาหารโรงบาลก็อร่อยดี ซื้อมาเต็มโต๊ะเลย แล้ว... พี่สิงหาไปไหนวะ”
“พี่สิงหากินเสร็จกลับไปก่อนแล้ว”
“อ่อ มึงอยากกินไรมั้ย เดี๋ยวหิ้วไปฝาก”
“ไม่อะ เดี๋ยวอยากกินไรก็ไปเซนทรัลก็ได้ ขอบใจเว้ย... กูแดกต่อก่อนนะ”
“เออ แล้วกูจะโทรมาใหม่”
“มึงไม่ต้องโทรถี่นักก็ได้ กูไม่ได้เหงาอะไรขนาดนั้น ไปใช้เวลากับที่บ้านเหอะ”
“กูแค่ห่วงมึง”
รวินท์คิ้วกระตุก ห่วงเหี้ยอะไร! ห่วงมากจนต้องปิดบังเขาเรื่องตัวมันกับขวัญข้าวเนี่ยนะ! “ไม่ต้องห่วง กูอยู่คนเดียวได้ วางสายไปได้แล้วโว้ย กูจะแดก”
“อือ” เตชิตตอบกลับมาเสียงเศร้า จากนั้นจึงวางสายไป
ทันตแพทย์หนุ่มหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปสั่งข้าวมันไก่มาเพิ่มอีกจาน แล้วก้มหน้ากินต่อ กินแม่งให้หายโมโห
พอจานที่สี่หมดเกลี้ยงเขาก็เงยหน้าขึ้น กำลังคิดอยู่ในใจว่าจะสั่งต่ออีกจานดีไหม หากเพิ่งสังเกตว่าโต๊ะข้างๆ ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังมีกลุ่มหญิงสาวที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือเต็มไปหมด
ฉิบหาย! เมื่อกี้แดกแบบไม่เกรงใจสายตาใครซะด้วย! รวินท์เหงื่อตก
“พี่วิน~”
“ครับ” ทันตแพทย์หนุ่มหันไปตามเสียงเรียก
“กินน่าอร่อยมากเลยค่า”
รวินท์หัวเราะแหะๆ “ครับ ก็อร่อยจริงๆ”
“ขอไปนั่งถ่ายรูปด้วยแป๊บสิคะ”
“เอาสิ มาๆ” ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มการค้าต้อนรับตามความเคยชิน แถมอ้าแขนออกกว้างเตรียมโอบไหล่สาวๆ เสียด้วย
เมื่อเขาตอบรับ กลุ่มเด็กสาวท่าทางใสๆ ห้าคนก็ถาโถมเข้ามาถ่ายรูปด้วยทันที พอถ่ายเสร็จพวกเธอก็หันไปถาม
“พี่พิงค์ไปไหนล่ะคะ”
“เขาไม่ว่างน่ะ”
เด็กสาวหันไปวี้ดด้วยกันก่อนจึงหันมาตอบ “น่าสงสารพี่วินอะ ต้องมากินคนเดียวเลย”
“นั่นสิ ผมเหงาเลยเนี่ย”
“ไม่เป็นไรน้า เดี๋ยวพวกเรานั่งเป็นเพื่อน พี่วินจะกินอะไรอีกดี”
รวินท์อมยิ้มแล้วส่ายหน้า “แย่จัง ผมอิ่มซะแล้ว ทำไมไม่เรียกผมให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
“ก็เห็นพี่วินกำลังกินอย่างมีความสุขน่ะสิ กินแบบไม่เงยหน้าเลย”
“โห น่าอายชะมัดเลยอะ” ทันตแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอยพลางหัวเราะแหะๆ
“น่ารักจะตายไปค่า” เด็กสาวพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ขอถ่ายรูปด้วยบ้างได้มั้ยคะ” เสียงเรียกจากโต๊ะอีกฝั่งดังแทรกขึ้น พวกเธอดูโตกว่าเด็กสาวกลุ่มแรกอยู่ไม่น้อย พอเบียดสาวๆ กลุ่มเดิมออกไปได้ก็ควงแขนทันตแพทย์หนุ่มแล้วถ่ายรูปทันที “คลินิกพี่วินอยู่แถวนี้เหรอคะเนี่ย พอดีเลย พวกเราอะ ปวดฟัน ปวดเหงือก อยากให้พี่วินช่วยดู”
รวินท์ยังไม่ทันได้พูดอะไร เพราะมัวแต่แสกนดูเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่พวกเธอสวมใส่ หากในขณะเดียวกันเด็กสาวกลุ่มแรกก็พูดเสียงแหวขึ้นมา เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของพวกเธอคืน
“นี่ พวกเรามาก่อนนะ”
“ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ออกไปสิ!”
“ยังไม่เสร็จ ดูดีๆ สิป้า! แก่แล้วตาฟ้าฟางรึไง!”
“พวกแกเรียกใครป้าฮะ!” หญิงสาวอีกกลุ่มตวาดเสียงดัง
ทันตแพทย์หนุ่มสะดุ้งโหยง เห็นท่าไม่ค่อยจะดี ถ้าขืนยังมัวแต่นั่งแจกยิ้มต่อไป เขาอาจจะโดนลูกหลงคางเหลืองได้ ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นพรวด “อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า วันนี้ทำคลินิกทั้งวัน เหนื่อยจัง” เขารีบเดินไปจ่ายเงินแล้วก้าวฉับๆ ออกจากร้านไป
ระหว่างที่เดินกลับไปยังคลินิก รวินท์ก็หันไปเห็นว่าพวกหญิงสาวทั้งสองกลุ่มและกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้ามาคุยเดินตามมาห่างๆ เขาจึงจำใจต้องเดินเลยคลินิกไปก่อน เพราะกลัวว่าถ้าหากพวกเธอรู้ว่าเขาทำงานที่คลินิกนี้ พวกเธอจะมายืนออกันที่หน้าร้านตอนกลางวัน เดี๋ยวเจ้าของร้านจะด่าเอา เขายังต้องทำงานหาเงินที่คลินิกนี้อยู่นะ
เดินไปไกลแล้วพวกเธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะท้อ แต่ตัวเขาเนี่ยหอบแฮ่กๆ แวบหนึ่งเขานึกถึงภูพิงค์ อยากจะโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือ หากอีกฝ่ายก็ไม่ว่างเสียอีก
แย่ชะมัด... ถ้าเป็นช่วงอื่นภูพิงค์คงซิ่งบิ๊กไบค์มาช่วยเขาแล้ว
ขณะที่ทันตแพทย์หนุ่มเดินหมดอาลัยตายอยากไปเรื่อยๆ แซนดี้ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี เขาจอดมอเตอไซค์ถาม “ฮ้าย พ่อหนุ่มสุดหล่อ ดึกๆ เปลี่ยวๆ มาทำอะไรคนเดียวค้า”
รวินท์หันขวับ “แซนดี้! มาพอดีเลย!” แล้วกระโจนเข้าไปหาอีกฝ่าย “ช่วยผมหน่อย เดินมาไกลแล้วเนี่ย พวกเขายังตามมาไม่เลิกเลย” พลางพยักพเยิดไปทางด้านหลัง
แซนดี้ยิ้มพลางหันมองตามไป “เอ๊า... ไม่ชอบเหรอพี่หมอ น่ารักๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลยน้า~”
“ก็น่ารักอยู่ แต่ผมไม่อยากให้คนรู้จักคลินิกที่ผมทำงานมากนัก เดี๋ยวเจ้าของเขาเห็นว่าผมทำให้วุ่นวาย แล้วไม่จ้างผมต่อล่ะซวยเลย”
แซนดี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ “บางทีคนหล่อก็แอบมีกรรมเหมือนกันเว้ยเฮ้ย มาๆ ขึ้นมาซ้อนท้าย เดี๋ยวผมพาขี่ไปหลบที่บ้านก่อนละกัน”
ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มพร้อมกับขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายอย่างรวดเร็ว “ขอบใจ”
ภายในบ้านเช่ามีเพียงรวินท์กับแซนดี้สองคนเท่านั้น พวกเขานั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ในห้องนั่งเล่น แซนดี้เอาขนมหวานที่ซื้อมาไว้ให้เพื่อนสนิทอีกสี่คนมาให้รวินท์กินไปพลางๆ ก่อน
“เขาไปไหนกันหมดเนี่ย ไปช่วยงานคณะกันหมดเลยเหรอ”
“ใช่พี่ งานใหญ่ก็งี้ คณะนี้แม่งบ้าพลังด้วย”
“อือ...” รวินท์พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหันขวับไปทางโทรทัศน์เมื่อได้ยินเสียงเพลงเริ่มต้นรายการตลก แล้วเขากับแซนดี้ก็นั่งหัวเราะท้องแข็งไปด้วยกัน
แต่จนจบรายการแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าสี่หนุ่มจะกลับมา ทันตแพทย์หนุ่มหันมองไปยังนาฬิกาบนผนังพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“ไม่ต้องรอมันหรอกพี่หมอ นู้น เที่ยงคืนตีหนึ่ง กว่าจะซมซานกลับกันมา”
“งั้นผมกลับก่อนดีกว่า” จะอยู่รอก็เกรงใจอีกฝ่าย เผื่อว่าอยากจะเข้านอน
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง จะไปซื้อของกินไว้ให้ไอ้พวกนั้นกินมื้อดึกด้วยน่ะ เดี๋ยวพวกมันกลับมาอย่างหิวโซสุดแล้วจะงอแง”
“ของกินเหรอ...” รวินท์กัดริมฝีปากเบาๆ “งั้นผมไปซื้อด้วยแล้วแซนดี้ค่อยไปส่งผมได้มั้ย”
“ได้สิค้า ปะๆ ไปกัน”
แล้วทันตแพทย์หนุ่มก็นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของแซนดี้ออกไป พวกเขาไปหยุดซื้ออาหารกันที่ร้านแถวหลังมหาวิทยาลัยนั่นล่ะ มีเป็นสิบๆ ร้านให้เลือก รวินท์ซื้อหมูสะเต๊ะมาสองถุง ถุงเล็กกะว่าจะเอาไปนั่งกินเล่นที่หอ ส่วนถุงใหญ่...
“โห พี่หมอกินจุนะเนี่ย”
“เปล่าๆ ของผมถุงเดียว ผมฝากอีกถุงไว้ให้ เอ่อ... น้องๆ สี่คนด้วยละกัน ทำงานกันเหนื่อยๆ คงจะหิว”
“อ๋อ ฝากให้ไอ้พิงค์”
“เอ้อ... ก็แบ่งๆ กัน”
แซนดี้หรี่ตามอง “แหม พี่หมอใจดีจัง ไม่รู้จะให้มันทำไมเนี่ย”
“ก็พิงค์ช่วยเหลือผมบ่อยๆ”
“อ้อ สรุปให้ไอ้พิงค์”
“นั่นแหละ ก็แบ่งกันไง!” รวินท์เท้ากระตุก ไอ้แก๊งนี้นี่ เขารู้แล้วว่าทำไมถึงคบกันได้ “แล้วคุณซื้อเสร็จยัง”
“เสร็จแล้วค่า!” แซนดี้ยิ้มกรุ้มกริ่ม
หลังจากนั้นแซนดี้ก็ขี่มอเตอร์ไซค์พาทันตแพทย์หนุ่มไปส่งที่คลินิก ระหว่างทางก็เม้ามอยกันไป
“ทำไมวันนี้ขี่มอไซค์มาได้ล่ะเนี่ย รถคุณไปไหน”
“นี่มอไซค์ของไอ้ดิวน่ะพี่หมอ วันนี้ผมให้พวกมันเอารถไป กลับดึกๆ เหนื่อยๆ ง่วงๆ ขี่มอไซค์อันตราย”
“ใจดีจัง ครั้งก่อนก็ให้พิงค์ยืมรถขับมาหาผม ขอบใจมากนะ”
“ค่า นิดๆ หน่อยๆ น่าพี่หมอ” ไม่นานรถมอเตอร์ไซค์ก็ขับเข้าไปจอดที่หน้าคลินิก
รวินท์ก้าวลงมาจากมอเตอร์ไซค์ แล้วหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย“ผมได้ยินจากพี่นิ้งมาอีกที ตึ๋งเล่าว่าที่บ้านคุณช่วยหางานกับที่พักให้เพื่อนเขา ทำให้เพื่อนเขาได้เรียนต่อ แซนดี้นี่น่ารักจริงๆ เลย”
แซนดี้ยกมือขึ้นลูบหมวกกันน็อกที่สวมอยู่อย่างเขินๆ “อะไรที่พอช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยๆ กันไปน่ะพี่ ผมโชคดี ก็เลยอยากแบ่งความโชคดีให้คนอื่นบ้าง”
“ขอบใจมากนะ ขี่รถกลับบ้านดีๆ”
“ค่า ช่วงนี้ไอ้พิงค์มันอาจจะไม่ว่างมาเป็นไม้กันหมาให้ มีอะไรให้ช่วยก็โทรเรียกผมได้นะพี่หมอ”
“ขอบใจๆ” รวินท์หัวเราะ เขายืนส่งให้อีกฝ่ายขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป แล้วจึงเดินเข้าไปในคลินิก
ฝ่ายภูพิงค์นั้น หลังจากพ่อครูกับคณะกลับไปสักพักแล้ว เขากับเพื่อนๆ ก็ยังอยู่ฝึกซ้อมกันต่ออีก พอฝึกซ้อมเสร็จก็ไปช่วยเพื่อนอีกกลุ่มเตรียมของตกแต่งรถซึ่งจะทำเป็นเวทีสำหรับการตีกลองต่อ
“ไอ้พิงค์ๆ ดูดิๆ พี่หมอของมึงไง” จู่ๆ รุ่นพี่ในคณะก็ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ดู “ไปกินข้าวมันไก่กับสาวๆ เพียบเลยเว้ย”
คนที่กำลังทาสีบนผืนผ้าหยุดกึก เขาหันไปมองรูปแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปทาสีต่อ “ไม่ใช่ของกู!”
เหอะ พออยู่คนเดียวก็ขี้อ่อยเหมือนเคย
ไหนว่าจะปรับปรุงตัวเองไง! เชื่อถือไม่ได้เลยแม่ง!
“ไอ้พิงค์ ทาเบาๆ ก็ได้ สีกระเด็นเลอะเทอะไปหมดแล้วเนี่ย!” เพื่อนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นโวยวาย
ภูพิงค์เลิกคิ้วขึ้น “โทษๆ”
“มึงไปพักเหอะไอ้พิงค์ เต้นแร้งเต้นกามาตลอดบ่ายแล้ว ไม่เหนื่อยเหรอวะ มึงจะถึกไปไหนเนี่ย”
“เออ กลับกันเหอะ มึงเริ่มบ่าย แต่กูเนี่ย ทำงานขาขวิดแต่เช้า” ซันพยักหน้าเห็นด้วย เพราะดูไอ้พิงค์มันหงุดหงิดงุ่นง่านชอบกล เขาเดินไปสะกิดเรียกดิวและขิง จากนั้นก็รีบขับรถกลับไปที่บ้านเช่ากัน
แซนดี้ยังนั่งทำการบ้านอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่เดิมนั่นล่ะ พอเห็นเพื่อนๆ กลับมาถึงบ้านก็เอ่ยทัก “เฮ้ย ทำไมกลับเร็ววะ”
“เร็วพ่องส์ ห้าทุ่มนี่เร็วเหรอวะ! มีไรกินบ้างอะ”
“ซื้อราดหน้าไว้ให้ในครัว แล้วก็... มีหมูเต๊ะพิเศษของไอ้พิงค์”
“เฮ้ย ทำไมมึงลำเอียงแบบนี้วะ” สามหนุ่มหันไปต่อว่าแซนดี้อย่างพร้อมเพรียง
“กูไม่ได้ลำเอียงโว้ย แต่มีคนเขาฝากมา~” แซนดี้ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน
ภูพิงค์ขมวดคิ้ว “ใครวะ”
“พี่หมอของมึงไง”
เด็กหนุ่มหันขวับ “เจอพี่วินเหรอ”
“เออ เจอพี่หมอหนีสาวอยู่ เห็นว่าอยู่คนเดียวท่าจะไม่รอด กูเลยพามาหลบที่บ้านเนี่ยเป็นชั่วโมง พี่หมอก็ตั้งใจจะรอมึงแหละ แต่ดึกแล้ว กูเลยเพิ่งไปส่งก่อนมึงกลับมาครึ่งชั่วโมงได้”
อยู่คนเดียว? หนีสาว? งั้นไอ้พี่วินคงไม่ได้ไปกินข้าวโปรยปรายกับสาวๆ อาจจะเจอกันที่ร้านนั่นล่ะ แต่ที่สำคัญคือพี่วินมานั่งรอเขาอยู่ในบ้านเช่า แล้วยังซื้อหมูสะเต๊ะไว้ให้ด้วย
ขิงมองหน้าเพื่อนรักแล้วเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ยๆ ยิ้มว่ะ ยิ้มเว้ย”
“แหม หน้าบูดเป็นตูดหมาตลอดเย็น จู่ๆ ก็ยิ้มได้ว่ะ เหวยยย~ เหวยยย~” หนุ่มๆ อีกสองหน่อร่วมเห่าหอนเสียงขรม
ภูพิงค์ส่งนิ้วกลางให้รายตัว “ไอ้พวกเหี้ย กูเห็นของกินแล้วยิ้ม แปลกตรงไหนวะ”
“อ้อ เหรอ เออๆ จ้าๆ ยิ้มให้ของกินเว้ย”
สามหนุ่มอุ่นอาหารแล้วนั่งกินกันในครัว ส่วนภูพิงค์พออุ่นอาหารเสร็จก็แบ่งหมูสะเต๊ะให้เพื่อน ก่อนจะเอาส่วนที่เหลือมานั่งกินข้างๆ แซนดี้ เขาอยากรู้น่ะแหละว่าอีกฝ่ายกับพี่วินคุยอะไรกัน แต่ไม่อยากถามให้เสียฟอร์ม
“มานั่งแดกอะไรตรงนี้”
“เห็นมึงนั่งคนเดียว เดี๋ยวเหงา”
แซนดี้เบะปากกลอกตามองบน นึกว่าเขามองจุดประสงค์มันไม่ออกเหรอ ขึ้นเป็นไฟแวบๆ บนหน้าผากขนาดนั้น “ไม่ได้คุยอะไรกันเว้ย แค่นั่งดูโทรทัศน์แล้วก็พาไปส่ง”
“พี่วินยังไม่รู้เรื่องกลองสะบัดชัยเหรอวะ”
“รู้ว่ามึงแสดงในงานน่ะเหรอ ยังมั้ง ไม่เห็นพูดถึง”
พอได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ดีที่ยังมีหมูสะเต๊ะอยู่ ทำให้เขาไม่ห่อเหี่ยวมากนัก
แซนดี้ชำเลืองมองอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าพลางนึกในใจ
เห็นมะ ที่กูเคยบอกไว้น่ะ ผิดเพี้ยนซะที่ไหน! เมื่อไหร่จะรู้ตัวกันสักทีโว้ย!
*TBC*พอไม่ได้เจอกัน มันก็จะเหงาๆ หน่อยแบบเนี้ยยยย
พี่หมอก็ดันไม่ติดโซเชียลเน็ตเวิร์คอี้กกกก สงสารเด็กเขานะคะ อุตส่าห์จะหล่อจะเท่อวดพี่ทั้งที /กอดปลอบน้องพิงค์
ปล. หนูพิงค์เขาว่าเขาจะเก็บซิกแพ็กไว้อวดแฟน แร้วๆๆๆ คุ้นๆ ว่าเพิ่งถอดผ้าอวดใครไปกันนะ เด็กบร้าาาา~
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ
ตอนหน้าน้องพิงค์จะออกอาการหนักกว่านี้ บอกเรยยย เกียมจิกหมอน 