Chapter 3 : ภูพิงค์และผองเพื่อนหลังจากฝึกซ้อมวิ่งตลอดช่วงบ่าย ภูพิงค์ก็ซมซานกลับมานอนอ้าซ่าในบ้านเช่าข้างนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาเช่าอยู่ด้วยกันกับเพื่อนอีกสี่คน เพื่อนสามคนจากคณะเดียวกัน ชื่อว่า ขิง ซันและดิว พวกเขาเรียนปีสาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเหมือนกัน แต่ละคนล้วนมาจากกรุงเทพฯ ส่วนเพื่อนอีกคนมาจากคณะวิจิตรศิลป์ ชื่อว่า แสนดี เขาเป็นคนเดียวที่มาจากจังหวัดในภาคเหนือ และที่จริงบ้านเช่าแห่งนี้เป็นของญาติของแสนดีอีกที พวกเขาจึงได้เช่าอยู่กันในราคาพิเศษ
“อีแสนดี~ อีแสนดีไปไหนวะ หิวแล้วเนี่ย~ ไส้กูจะขาดแล้ว โอยยย~” ดิวโวยวาย
“มึงเรียกมันแสนดี เดี๋ยวก็โดนด่าหูชาอีกหรอก” ภูพิงค์หันไปขัด
“เออๆ นังแซนดี้ก็ได้”
“มันบอกเมื่อเช้าไงว่าช่วงนี้กลับดึก จะขึ้นดอยแล้ว คณะมันต้องทำดอกไม้เตรียมของอะไรเนี่ยแหละ งานเยอะมาก”
“แล้วใครจะหาข้าวให้กูกินเนี่ย” สามหนุ่มคร่ำครวญ
“พวกมึงไม่มีตีนรึไงวะ อีแซนดี้ก็ตามใจพวกมึงซะจนง่อย”
“พวกกูไม่ได้ง่อยป่ะวะ แต่วันนี้ทั้งวิ่งทั้งฝึกแบกเสลี่ยง พวกกูจะเหลือเรี่ยวแรงที่ไหนไปหาข้าวกิน”
ภูพิงค์ลุกขึ้นนั่ง ตัวเขาก็เหนื่อยคือกัน ยังไม่อยากลุกออกไปไหน “สั่งพิซซ่าแดกกันเหอะ”
“เออดีๆ มึงโทรเลย”
เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนอีกสามชีวิตที่ยังนอนอ้าซ่าอยู่ในท่าเดิม ไอ้พวกเวรนี่ ถ้าขาดเขากับอีแซนดี้ไป คงนอนรอให้มดแมลงมาตอมแล้วจับแดกแทนข้าวแหงๆ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรสั่ง ก่อนจะเอนหลังลงนอน รอเวลาพิซซ่ามาส่ง
ภูพิงค์ วงศ์เมือง หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า พิงค์ เฉยๆ เป็นหนุ่มน้อยอายุยี่สิบปี ครอบครัวของเขามีพื้นเพมาจากทางเหนือ เขาเกิดและโตขึ้นมาที่เชียงใหม่ เรียนอยู่ที่นี่จนถึงจบชั้นประถม จากนั้นบิดามารดาจึงพาย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ในช่วงแรกๆ ก็กลับมาอยู่เชียงใหม่ทุกปิดเทอม จนกระทั่งครอบครัวขายบ้านที่เชียงใหม่ไป
เด็กหนุ่มมีผิวขาวเหมือนชาวเหนือทั่วไป แต่เพราะชอบเล่นกีฬา ทำกิจกรรมออกแดดอยู่บ่อยๆ จึงคล้ำไปบ้างเป็นส่วนๆ ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเข้ากับใบหน้ารูปไข่ หน้าตาจัดอยู่ในระดับดูดีพอไปวัดไปวาได้ หากก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไรเป็นพิเศษในสายตาของเพื่อนๆ เพราะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปด้วยไรหนวดและเคราบางๆ กับผมที่ยาวจนถึงหัวไหล่ซึ่งเขาใช้หนังยางมัดไว้เป็นประจำ แต่ก็ยุ่งชี้ไปคนละทิศละทางเมื่อโดนลมพัดและเจ้าของศีรษะนั้นไม่คิดจะแกะหนังยางออกมารัดใหม่ เขามีรูปร่างสูงโปร่งและขายาว แบบที่ไม่ต้องเอากางเกงยีนไปตัดขาให้ลำบากเลย
เมื่อตอนอยู่ปีหนึ่ง ภูพิงค์ก็อยู่หอของมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ นั่นล่ะ หากพอจะขึ้นปีสอง เขากับเพื่อนอีกสามคนจากกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้วคิดจะหาบ้านเช่าเล็กๆ อยู่ด้วยกัน เอาที่มีเนื้อที่พอให้ล้มลงนอนกลิ้งเกลือก มีครัวให้ทอดไข่กินสบายๆ อ่านหนังสือได้เงียบๆ มีที่จอดรถในรั้วบ้านปลอดภัยกับมอเตอร์ไซค์แบบบิ๊กไบค์รุ่นเล็กๆ ของพวกเขา และมีอิสระมากกว่าอยู่หอในหรือหอนอก
แต่บ้านเช่าเป็นหลังนั้นหายาก สี่หนุ่มขี่บิ๊กไบค์วนกันจนยางล้อแทบสึกก็ยังหาไม่ได้ พวกเขาเริ่มจะถอดใจ คิดว่าคงต้องไปอยู่หอเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะแน่แล้ว
ขณะที่พักจอดมอเตอร์ไซค์ไปนั่งกินข้าวมันไก่กันอย่างเซ็งๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ดังลั่น ตามมาด้วยเสียงคนทะเลาะกัน พอพวกเขาหันมองไปยังต้นเสียง แวบแรกก็เห็นว่ากลุ่มเด็กแว้นกำลังรุมทำร้ายคนคนหนึ่งอยู่ แถมยังทั้งผลักทั้งตวาดใส่เสียงดัง
สี่หนุ่มลุกขึ้นพรวด แม้พวกเขาอยู่ในสภาพซอมซ่อ ดูเหมือนกุ๊ยที่ใส่แค่เสื้อกล้าม กางเกงขาสามส่วนกับรองเท้าแตะ แต่ภายในใจเป็นเจนเทิลแมนแบบใส่สูทสามชิ้นและสวมหมวกแถมด้วย
“เฮ้ย! ทำไรวะ!” ภูพิงค์ตะโกนลั่นพร้อมชี้หน้าด้วย เขาและทีมเพื่อนอีกสามคนตัวโตและท่าทางนักเลงกว่าเด็กแว้นกลุ่มนั้นหลายขุม ทำให้อีกฝ่ายถอยกรูด
หนึ่งในกลุ่มเด็กแว้นชี้ไปยังคนที่ถูกพวกเขารุมในตอนแรก จากนั้นก็ชิงฟ้องภูพิงค์ก่อนว่าพวกเขาเป็นผู้เสียหาย “อีนี่มันหลอกพวกผมอะ!”
“ทำไมเรียกเขาแบบ...นี้” สี่หนุ่มหันมองไปตามที่อีกฝ่ายชี้ แล้วเกิดอาการอ้ำอึ้ง “เขาหลอกอะไรพวกคุณวะ”
“ก็พวกผมนึกว่ามันเป็นผู้หญิง แต่มันเป็นตุ๊ดอะพี่!”
สี่หนุ่มนิ่งค้าง ผู้ถูกกล่าวถึงคนที่ว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา อยู่ในชุดของหญิงสาวก็จริง หากไม่ว่าจะมองตรงๆ ตีลังกามอง หรือว่ามองจากดวงจันทร์ก็ยังรู้เลยว่าเป็นตุ๊ดแน่นอน แบบนี้ยังเรียกว่าหลอกได้อีกเหรอวะ
“มันหลอกให้พวกผมพาไปแว้นมาสามวันแล้วเนี่ย! หลอกแดกไปตั้งเท่าไหร่!”
“กูไม่ได้หลอกแดกป่ะวะ พวกมึงเลี้ยงกูเอง จ๊าดง่าว(โคตรโง่)!” เด็กหนุ่มในชุดของหญิงสาวเถียง
สี่หนุ่มทึ่งหนักกว่าเดิม ตั้งสามวัน! พวกมึงใช้เวลาตั้งสามวันถึงจะรู้ว่าเป็นตุ๊ดเหรอวะ? พวกเขามองด้วยหางตาก็รู้แล้ว เด็กอนุบาลยังดูรู้เลยโว้ย!
“ปากดี! เดี๋ยวกระทืบแม่งไส้แตก!” กลุ่มเด็กแว้นทำท่าจะเข้ามารุมอีก ขิงจึงวิ่งเข้าไปขวาง
“ใจเย็นเว้ยคุณ”
เด็กหนุ่มในชุดหญิงสาวโยนเงินคืนให้ “มึงอยากได้เงินคืนก็เอาไปเลย เลี้ยงกูแค่ไอติมเซเว่นกับก๋วยเตี๋ยวในตลาด ยังจะทวงอีก ไอ้งัว บ่าห้าปั๊ก(งี่เง่า)!”
ครั้งนี้ซันสุดจะสงสัย จำเป็นต้องถามออกไป “เดี๋ยวนะ แล้วพวกคุณจับได้ได้ไงวะ ว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงอะ”
กลุ่มเด็กแว้นหยุดกึก จากนั้นจึงหันมองหน้ากัน
“มันล้วงเข้ามาในกระโปรงแล้วจั๊บขลำฮา!” เด็กหนุ่มในชุดแซกกระโปรงบานตะโกนลั่น
“อ้าว ไม่ได้แต๊บไว้เหรอวะ” ดิวหลุดปากถามต่อ
“แต๊บแล้วโว้ย อันสก็อตเตปมันหลุดก่อ!”
ก่อนที่เรื่องราวจะออกทะเลไปกันใหญ่ ภูพิงค์ก็รีบหันไปคุยกับกลุ่มเด็กแว้น “อ้าว เดี๋ยวเว้ย พวกคุณลวนลามเขานี่หว่า นี่เขาแจ้งตำรวจได้นะเว้ย”
พอได้ยินเข้าแบบนั้น กลุ่มเด็กแว้นก็หน้าเสีย พวกเขาสบถเสียงดังพลางเข็นมอเตอร์ไซค์ถอยออกไป หากก็ยังขอไว้ลายอีกนิดเพื่อไม่ให้เสียเกียรติเด็กแว้น พวกเขามองไปที่หญิงสาวในร่างเด็กหนุ่มพร้อมกับชี้นิ้ว “จำไว้ให้ดีมึง!”
“หมู่คิงเขียนป้ายติดไว้หน้าคณะฮากะ!” (พวกมึงก็เขียนป้ายติดไว้หน้าคณะกูซิ!)
เสียงมอเตอร์ไซค์แต่งท่อเบาะปาดวิ่งห่างออกไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงฝุ่นควัน เด็กหนุ่มอีกสี่ชีวิตและตุ๊ดอีกหนึ่งคน
เด็กหนุ่มในชุดกระโปรงบานหายใจฟืดฟาด “แม่ง โมโหจนลืมตัว อู้กำเมืองเป็นพรืดเลยกู” เขายกมือขึ้นปัดฝุ่นตามตัว ปัดจริตหญิงสาวออกไปพร้อมกับเสียงที่บีบให้แหลมเล็กในตอนแรก แล้วหันไปตบไหล่ภูพิงค์เบาๆ อย่างเป็นกันเอง “ขอบใจที่ช่วยเว้ย”
“เออ ทีหลังไปกับใครก็ระวังด้วย” ภูพิงค์หันไปตอบ เขากำลังจะเดินกลับไปร้านข้าวมันไก่ แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายที่ชุดแซกยับเยินหลุดลุ่ย สองมือหิ้วรองเท้าส้นสูงที่ยาวกว่าหน้าเขาแล้วก็สงสาร “อยู่ไหนเนี่ย เดินไหวรึเปล่าวะ เดี๋ยวไปส่งให้”
คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เพราะสี่หนุ่มตรงหน้านี่ ถึงจะดูโคตรเถื่อนและซอมซ่อ หากมาดแมนแสนดี แถมยังมีน้ำใจให้กับเขาด้วย “อยู่บ้านเช่าในซอยตรงนั้นเอง”
“บ้านเช่าเหรอ!” สี่หนุ่มพูดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาขี่รถวนตั้งหลายรอบ ไม่ยักสังเกตเห็น “มีด้วยเหรอวะ ขี่มอไซค์วนหาตั้งหลายรอบไม่เห็นป้าย”
“เออ ไม่มีป้ายหรอก บ้านของญาติน่ะ ไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนดูแล แม่กูก็เลยขอเช่าให้กูอยู่ไปก่อน”
“มีห้องว่างมั้ยวะ พวกกูกำลังหาบ้านเช่าเนี่ย”
คราวนี้พวกเขาทำให้อีกฝ่ายงงมากกว่า อันที่จริงก็ไม่คิดว่าตุ๊ดกับผู้ชายห่ามๆ จะอยู่ร่วมกันได้ด้วย แต่ก็ไม่แน่... สี่คนนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อการพรางตัวของเขา “ห้องว่างอะมี จะไปดูบ้านมั้ยล่ะ”
“ไป!” สี่หนุ่มตอบอย่างพร้อมเพรียง
จากถนนใหญ่เข้าซอยไปจะเจอซอยเล็กน้อยทั้งด้านซ้ายขวา ตลอดซอยมีตึกแถวซึ่งชั้นล่างเป็นร้านต่างๆ มากมาย มีคลินิกสำหรับทั้งคนและสัตว์ คลินิกหมอฟัน ร้านสะดวกซื้อ ร้านซักรีด ร้านถ่ายเอกสาร มีร้านสารพัดร้าน หลังจากวิ่งต่อไปสักพัก ถึงซอยยี่สิบกว่าๆ เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้วก็พบกับบ้านเช่าที่ว่าซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น ภายในซอยนั้นมีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ตั้งอยู่ห่างๆ กัน
ในพื้นที่ใต้หลังคาหน้าบ้านมีรถ BMW รุ่นเล็กสุดแต่งไว้ซะสวย ขัดจนเป็นเงาวาบทั้งคันจอดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีที่ว่างให้จอดรถคันโตๆ ได้อีกสองคันเลยทีเดียว
“เข้ามาเลย เชิญๆ”
“นี่รถใครเหรอ”
“รถกูเอง”
“มีรถเจ๋งๆ แบบนี้แล้วไปแว้นมอไซค์ทำไมวะ”
“ก็บางทีกูก็อยากเป็นสก๊อยมั้ยวะ” หญิงสาวในร่างเด็กหนุ่มเถียง “กูก็อยากเป็นพริตตี้ถือธงตอนเขาซิ่งมอไซค์แข่งกันบ้างไรบ้าง”
“แล้วใส่กระโปรงบานแบบนี้ไปแว้นเนี่ยนะ แต๊บก็ไม่ดีอะ”
“แดดออกเหงื่อมันก็ออก กาวมันก็หลุดป่ะวะ”
“คราวหน้าก็ใช้สก็อตเทปกันน้ำสิวะ”
“เออๆ พวกมึงเลิกบ่นเป็นพ่อกูได้แล้วโว้ย”
จากประตูบ้านเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่นกว้างขวาง มีชุดโซฟาและโทรทัศน์จอแบนเครื่องเบ้อเริ่มกับเครื่องเสียงพร้อม พื้นห้องสะอาดสะอ้าน แถมยังมีเครื่องปรับอากาศด้วย
พอเข้ามานั่งในบ้านกันแล้ว หลานเจ้าของบ้านก็เอาน้ำอัดลมกับเฉาก๊วยใส่น้ำแข็งมาเสิร์ฟให้ จากนั้นจึงนั่งลงแล้วแนะนำตัว “กูชื่อแซนดี้ อยู่วิจิตรศิลป์ปีหนึ่ง พวกมึงชื่อไร”
สี่หนุ่มหันขวับ แสกนเจ้าหล่อนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า “ขอชื่อจริงได้ป่ะวะ”
เจ้าหล่อนถลึงตาใส่ “พวกมึงจะรู้ไปทำไมวะ!” จากนั้นจึงพูดเสียงค่อย “แสนดี”
“อ่ะๆ กูนี่ชื่อพิงค์ ไอ้นั่นขิง ดิว แล้วก็ซัน อยู่วิดวะไฟฟ้าปีหนึ่งเหมือนกัน”
“แล้วทำไมพวกมึงไม่ไปอยู่หอนอกเหมือนคนอื่นวะ ทำไมถึงอยากอยู่บ้านเช่าอะ”
“ทีมึงอยู่ปีหนึ่งยังไม่อยู่หอในกับคนอื่นเลยป่ะวะ”
“กูไม่ชอบความลำบากไง อยากอยู่สบายๆ มีห้องส่วนตัว แล้วพวกมึงล่ะ จะบอกได้ยังวะ”
“ก็อยากอยู่ที่กว้างๆ มีครัว มีที่เงียบๆ ให้อ่านหนังสือ มีอิสระ มีที่จอดมอไซค์อะดิ”
แซนดี้จ้องเพื่อนใหม่ทั้งสี่คนบ้าง ดูๆ แล้วก็น่าจะเป็นคนดี นิสัยดี คงจะพออยู่ร่วมกันได้ ถ้า... “ถ้าพวกมึงไม่รังเกียจ มีห้องว่างชั้นบนอีกสองห้อง มีห้องอาบน้ำในตัวด้วยเว้ย”
“รังเกียจอะไรวะ นี่มันสวรรค์ชัดๆ!”
“สวรรค์เหี้ยไร เดี๋ยวกูพาไปดูห้องก่อน มันเป็นห้องว่างๆ ไม่มีอะไรเลยนะเว้ย”
ห้องชั้นบนไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้นอย่างที่แซนดี้ว่า แต่มีขนาดกว้างขวาง มีห้องน้ำแบบฝักบัว สภาพใหม่เอี่ยมเพราะตั้งแต่เจ้าของซื้อบ้านมาก็ยังไม่เคยใช้งาน
“คือญาติกูเนี่ย ตอนแรกลูกเขาอยากจะเข้ามหาลัยที่นี่ไง พ่อแม่เลยซื้อเตรียมไว้ให้ แต่พอจบมอหกเข้าจริงๆ เสือกเกิดเปลี่ยนใจจะไปต่อนอกเว้ย บ้านเลยไม่มีใครอยู่เลย”
“ไอ้เหี้ย ญาติมึงนี่ต้องรวยขนาดไหนวะ มึงก็ด้วย กูสงสัยตั้งแต่รถมึงแล้ว”
แซนดี้ไม่ตอบ เขากวักมือเรียกให้กลับลงไปนั่งข้างล่างกันเพราะรู้สึกร้อน “คือห้องข้างบนนี่มันไม่มีอะไรเลยอ่ะ ปกติกูก็อยู่แค่ข้างล่าง ห้องกูอยู่ชั้นล่างนี่ เพราะงั้นถ้าพวกมึงอยู่กันได้ กูก็ยินดีจะแบ่งข้างบนให้เช่าเว้ย ส่วนห้องครัวห้องนั่งเล่นนี่ ถ้าใช้รวมกันได้ก็โอเค”
“แล้วมึงจะคิดค่าเช่ายังไงวะ”
แซนดี้คิดค่าเช่าพวกเขาคนละพันบาทต่อเดือน ค่าน้ำกับค่าอินเทอร์เน็ตหารกัน ส่วนค่าไฟเขาจ่ายเอง เพราะเป็นคนเดียวที่ใช้เครื่องปรับอากาศ
“ไอ้เหี้ย ถูกไปมั้ยเนี่ย”
“เออ แม่กูเช่าบ้านนี่มาก็ไม่แพงหรอกเว้ย แต่กูมีงานอย่างนึงที่พวกมึงต้องคอยช่วยกู งานนี้สำคัญมาก...”
เสียงเคร่งขรึมของแซนดี้ทำให้สี่หนุ่มต้องรอฟังอย่างลุ้นระทึก “งานอะไรวะ”
“คือว่า... พ่อแม่กูจะมาที่นี่ทุกวันเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน มาค้างที่ห้องกูเนี่ย แล้วที่สำคัญมากคือกูจะต้องแมน! พวกมึงจะต้องเล่นบทเพื่อน โหด โฉด เถื่อนของกู กลบเกลื่อนความตุ๊ดของกูไม่ให้เหลือซากด้วย! วันธรรมดากูเป็นดอกโบตั๋น แต่วันนั้นของเดือนกูต้องเป็นมังกร พวกมึงเข้าใจมั้ย มังกรรรร~” แซนดี้รัวลิ้นแถมให้ด้วย
“สัส มึงอยากกินหมี่เหรอ” ภูพิงค์แถมให้
สามหนุ่มชะงัก ก่อนจะหัวเราะลั่น หัวเราะกันไม่หยุดจนแซนดี้อยากจะเอาน้ำร้อนสาดแม่ง
“ไม่กินเว้ย แม่งติดฟัน ในปอดกูเนี่ยจะมีแต่เส้นหมี่แล้วเว้ย”
“พอๆ อีเวร มึงไม่ต้องบรรยายให้พวกกูนึกภาพ” ขิงรีบห้าม “แล้วนี่มึงเอาเสื้อผ้ามึงไปซ่อนไว้ที่ไหนวะเนี่ย”
“นี่ชุดแม่กู เครื่องสำอางบนหน้านี่ก็ของแม่กู” แซนดี้ตอบ
“เออ ไอ้บทโหด โฉด เถื่อน พวกกูคงไม่ลำบากสักเท่าไหร่ แต่ไอ้เรื่องกลบเกลื่อนความตุ๊ดของมึงเนี่ย พวกกูจะพยายามละกันว่ะ”
และนั่นก็คือการโคจรมาพบกันของทั้งห้าหนุ่ม หลังจากพวกเขาตกลงเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ช่วงแรกๆ สี่หนุ่มก็ขึงราวเอาไว้แขวนไม้แขวนแทนตู้เสื้อผ้าในห้อง นั่งอ่านหนังสือกันบนที่นอนปิกนิกและโต๊ะญี่ปุ่น ส่วนห้องครัวมีไว้หุงข้าวกินกับไข่เจียวหรือไม่ก็ไข่ต้ม มอเตอร์ไซค์สี่คันก็จอดไว้หน้าบ้านคู่กับรถ BMW ของแซนดี้ ซึ่งนานๆ ทีจะกลายเป็นแสนดีแทน
บิดามารดาของแซนดี้มาเยี่ยมและส่งคนมาทำความสะอาดบ้านให้เป็นประจำ หากพอนานไปเริ่มถูกคอกับเพื่อนของลูกชาย เห็นว่าทั้งห้าคนสนิทสนมกันดี พวกเขาจึงซื้อที่นอน ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะหนังสือมาใส่ในห้องให้ แถมยังนำอาหาร ขนมและผลไม้มากมายมาเผื่อสี่หนุ่มด้วยเสมอๆ
งานนี้ทั้งสี่มีแต่เปรมกับเปรม
เมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า ความสนิทสนมของทั้งห้าคนก็เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างงงๆ เช่นกัน ทั้งที่แตกต่างกันไปคนละขั้ว หากเพราะพวกเขาไม่ก้าวก่ายกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เวลาไปเรียนต่างคนต่างไป แต่ก็มักจะกลับมานั่งกินมื้อเย็นที่แซนดี้ทำให้เป็นประจำ จากนั้นก็นั่งทำการบ้านด้วยกัน และคอยถามไถ่ทุกข์สุขกันเสมอ
สำหรับแซนดี้นั้น ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมากหลังจากที่มีสี่หนุ่มเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย พวกเขาเป็นเพื่อนกลุ่มแรกของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะเขาไม่สนิทกับใครในคณะเลยสักคน ด้วยความที่เมื่อสมัยเป็นนักเรียนถูกคนอื่นๆ ในโรงเรียนรังแกบ่อยๆ เขาจึงไม่ค่อยเปิดใจให้กับใครนัก
หากการพบกันของพวกเขาแตกต่างออกไป แซนดี้คิดว่าเขาไว้ใจเพื่อนทั้งสี่คนนี้ได้ คงเป็นเพราะพวกเขายอมรับในตัวเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน
อาห์... พูดซะดูหรูดูดี
ความจริงน่ะหรือ... ไอ้พวกนี้ทำให้เขาปวดหัวแม่งทุกวัน
อย่างเช่นเมื่อวันก่อน
“ไอ้พวกเหี้ย ใครเอาสติ๊กเกอร์ไปติดหลังรถกูวะ!” แซนดี้โวยวาย
“อ๋อ กูเอง” ภูพิงค์ยิ้มรับ “ดูแมนดีนะเว้ย พ่อแม่มึงต้องภูมิใจแน่”
“เขียนว่า
ไม่อยากเจ็บจิ๋มอย่ายิ้มให้พี่ เนี่ยนะ! พ่อแม่กูคงภูมิใจมากเลยสัส!”
แล้ววันถัดๆ มา
“อีแซนดี้ มีพาราฯ มั้ยวะ” ภูพิงค์พูดขึ้นขณะนั่งทำการบ้านส่งอาจารย์รวมกับทุกคนในห้อง
“พาราฯ เหี้ยไร พาราณสีเหรอ มึงคิดว่ากูเป็นนางสีดารึไง” คนถูกถามจีบปากจีบคอตอกกลับไปทันใด เขารอโอกาสปะทะคารมกับไอ้พิงค์มานานแล้ว
“นางสีดานั่นมันกรุงลงกาป่ะวะอีเหี้ย” ซันหันไปตอบให้
ภูพิงค์ยกมือขึ้นกุมขมับ อยากจะเถียงกับไอ้พวกเวรนี่ด้วย แต่ตอนนี้สภาพหัวไม่อำนวย “กูปวดหัวโว้ย ยาพาราฯ น่ะพาราเซตตามอล”
“อยู่บนโต๊ะในห้องอะ ไปหยิบเอา”
เด็กหนุ่มลุกเดินเข้าไปในห้อง พอไปถึงโต๊ะ หยิบขวดยาขึ้นมาดู สายตาก็ไปสังเกตเห็นมุมโต๊ะที่มันมู่ทู่ ไม่แหลมเหมือนมุมโต๊ะทั่วไป เขาจึงตะโกนถาม “อีแซนดี้ มึงแทะมุมโต๊ะเหรอวะ”
“พูดอะไรของมึงเนี่ย” เจ้าของห้องตอบกลับมา
ซันเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงของภูพิงค์จึงชะโงกหน้าเข้าไปดู “มีอะไรวะมึง”
ภูพิงค์กวักมือเรียกเพื่อนให้เข้ามาดูใกล้ๆ “เหี้ยซัน มึงดูมุมโต๊ะอีแซนดี้ดิ”
ซันทำหน้าตกใจ พร้อมกับยกมือขึ้นทาบอก “เฮ้ย! กูรู้! กูเคยอ่านในการ์ตูน! ใช่แน่!”
“ใช่อะไรของมึง”
ซันขยับเข้าไปกระซิบ ก่อนภูพิงค์จะอุทาน “โอ้โห อะเมสซิ่ง!”
ขณะเดียวกันเจ้าของห้องเดินเข้ามาสมทบด้วย “พวกมึงมามุงดูอะไรกันเนี่ย”
สองหนุ่มหันขวับไปทางแซนดี้ “อีแซนดี้! มึงเอาจู๋ถูขอบโต๊ะเวลาน้ำเดินใช่มะ! นี่มึงต้องน้ำเดินวันละกี่รอบวะ ขอบถึงทู่ขนาดนี้!”
“ไอ้สัส! กูเอากระดาษทรายถูเพราะขอบมันแหลมทิ่มเจ็บโว้ย!”
“อ๋อ! เอากระดาษทรายถูก่อนแล้วมึงค่อยเอาจู๋ถูใช่มะ!” ภูพิงค์สรุปให้
“ไอ้เหี้ย ไม่ปวดหัวแล้วเหรอ แดกยาทั้งขวดไปเลยนะกูขอร้อง!”
ในคืนที่มีแข่งฟุตบอล ห้าหนุ่มจะนั่งดูฟุตบอลด้วยกันเสมอ ซึ่งแซนดี้ก็จะเตรียมอาหารและขนมไว้อุดปาก ไม่ให้ไอ้สี่คนนี่โวยวายกับผลบอลมากจนน่ารำคาญ
แซนดี้กวาดสายตามองเพื่อนร่วมบ้านเช่าทั้งสี่ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเป็นเทอมแล้ว ทว่าเขาไม่เคยเห็นพวกมันโกนหนวดหรือเปลี่ยนทรงผมกันเลย “นี่ พวกมึงไม่คิดจะตัดผมโกนหนวดกันบ้างเลยเหรอวะ”
“ทำไมวะ ทีมึงยังไม่เลิกหาเด็กแว้นแดกเลยอ่ะ”
“แหม เด็กแว้นมันแซ่บนะเว้ย ไม่เอาดิ กูถามจริง ทำไมไม่ตัดผมโกนหนวดกันวะ”
“เก็บไว้ว้ากน้องไง” ภูพิงค์ตอบให้ “นี่กูไว้มาตั้งแต่รู้ว่าเข้ามหาลัยได้เลยนะเว้ย”
ขิงพูดแทรก “คือพวกกูอะ ต่อให้โกนหนวดก็ยังดูเถื่อน แต่ไอ้พิงค์นี่ ถ้าโกนหนวดมึงต้องตกใจ พวกกูเคยเห็นรูปมันสมัยมอปลายมาแล้ว แม่งหน้าหวานฉิบหาย ไหนๆ ก็ไหนๆ พวกกูเลยไว้หนวดเป็นเพื่อนมัน”
“จริงอะ ความจริงมึงสวยกว่ากูใช่มะ” แซนดี้หันไปถาม
“ผู้ชายทั้งคณะกูสวยกว่ามึงหมดอะสัส” ภูพิงค์ตอบ
“มึงมาแต่งหญิงแข่งกับกูเลยดีกว่า”
“แค่นั่งข้างกูนี่มึงยังเสียความมั่นใจไม่พออีกเหรอ”
แซนดี้เบะปากใส่ “ทำไม มึงเป็นมิสยูนิเวิร์สรึไง อีสลิด!”
“อ้าว บ่าจ๊าดหมานี่! ไอ้ผีเบื่อ สลิดดก ง่าวใบ้ง่าวง่าว บ่าฮ่ากิ๋นตับ!” ภูพิงค์ตอกกลับไปชุดใหญ่ ถึงเขาจะอู้กำเมืองบ่ได้ แต่ด่าได้โว้ย!
แซนดี้อ้าปากค้าง “โอ้โห! ไอ้พิงค์ กูขอร้อง อย่าปากจัดกว่ากูได้มะ เสียสถาบันตุ๊ดหมด บ่าฮ่า”
“พวกมึงหยุดเถียงกันทีได้โปรด” ขิงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดไล่หารูปเมื่อตอนมัธยมปลายของภูพิงค์ให้อีกฝ่ายดู “เอ้า ดูๆ”
“ทำไมมึงมีรูปกูวะ” เจ้าของรูปคิ้วกระตุก
“เซฟมาจากเฟซมึงโดยเฉพาะ เอาไว้แบล็กเมลมึงไง”
“สัส!”
แซนดี้เบิกตากว้าง “ไอ้พิงค์เป็นเด็กกางเกงน้ำเงินเหรอวะเนี่ย ไอ้เหี้ย โอปป้ามากมึง โหย ถ้ามึงตัดผมโกนหนวดนี่ เป็นเดือนคณะได้เลยเว้ย”
“เดือนคณะพ่องส์ มึงไปแหกตาดูผู้ชายคณะกูก่อน มีเป็นล้าน ละลานตาจนมึงเลือกไม่ถูกแน่”
“กูไม่สนเด็กวิดวะอ่ะ”
ซันพยักหน้าหงึกหงัก “มึงก็รู้ เสป็กมันต้องเด็กแว้น”
“นี่เด็กแว้นทั้งเชียงใหม่ไม่รู้จักมึงหมดแล้วเหรอวะ อีแซนดี้”
“เออ กูก็ว่าอยู่ ว่าจะขยายพื้นที่หากินไปจังหวัดข้างๆ บ้างละ”
สี่หนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ นึกสงสารเด็กแว้นขึ้นมาก็คราวนี้แหละ “มึงไม่กระอักกระอ่วนใจบ้างเหรอวะ ไปไหนก็เจอแต่อดีตผัว ลดๆ จำนวนผัวลง เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบบ้างนะเว้ย”
“ความจริงอะ ในทางปฏิบัติจำนวนผัวกูลดลงแล้วเว้ย”
“ลดลงห่าไร กูเห็นมึงเปลี่ยนหน้าควงทุกอาทิตย์”
“เออ แต่จำนวนเมียในร่างผัวเพิ่มขึ้นไงค้า~”
สี่หนุ่มแทบจะพ่นขนมในปากออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
ภูพิงค์ร้องลั่น “อีเหี้ย! อะไรของมึงวะเนี่ย มึงอย่าบอกนะว่า...”
“เออ... ก็เพราะพวกมึงแหละ แพร่เชื้อแมนมาให้กู หลังๆ มานี่ กูเลยรุกบ้าง รับบ้าง แล้วแต่อารมณ์”
“อีซัสสสส~ ไม่ต้องบอกพวกกูทุกเรื่องก็ด้ายยย~” พวกเขาร้องเสียงหลง “นี่หมายความว่าเด็กแว้นที่มารับมึงเนี่ย บางคนก็เป็นเมียในร่างผัวของมึงเรอะ!”
“ช่ายยย ยังมีอีกนะ คือบางคนก็เป็นทั้งผัวทั้งเมียในร่างเดียว ทูอินวันอะมึง”
“เย้ย~”
“พวกมึงไม่ต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีก็ได้ป่ะวะ กูมีของดี กูก็อยากใช้บ้างไรบ้าง ยุคนี้แล้ว บทบาทมันต้องสลับกันได้เว้ย แฟร์ๆ อะเข้าใจปะ นี่ความลับสุดยอด บอกพวกมึงเท่านั้นเลยนะเนี่ย”
“โอ้โห ซึ้งฉิบห้าย~ ถามพวกกูบ้างมั้ยว่าอยากรู้รึเปล๊า!”
สี่หนุ่มวิศวะได้เปิดโลกทัศน์กว้างขึ้นก็ครั้งนี้นี่แหละ!
แล้ววันดีคืนดี แซนดี้ก็เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาใส่เองแต่อ้างว่าจะซื้อมาให้มารดามาใส่อวดสี่หนุ่ม “เป็นไงบ้างพวกมึง~” เขาจับชายกระโปรงโบกสะบัดไปมา
“สลิด”
“แฮ่น”
“ไค่ฮาก (อยากอาเจียน)”
“พวกมึงนิ อยากเป็นเมียกูอ่อ ด่าได้ด่าดี เดี๋ยวกูปล้ำแม่ง!”
ภูพิงค์อ้าปากกำลังจะเอ่ยปากชื่นชมต่อจากเพื่อน แต่โดนอีกฝ่ายสั่งให้หยุดไว้ก่อน
“ไอ้พิงค์ มึงหยุด แค่นี้กูก็เจ็บช้ำพอแล้วมะ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะปะทะคารมกับมึงเว้ย!” แซนดี้ขึงตาใส่ แล้วเดินสะบัดตูดกลับเข้าห้องไป
หากสักพักสี่หนุ่มก็ตามไปง้อ ชมว่าสวยเลิศสารพัด เพื่อให้เจ้าหล่อนยอมกลับมาทำมื้อเย็นให้กิน
กิจวัตรประจำวันทั่วไปของพวกเขาก็มีแค่นี้ล่ะ จนถึงตอนนี้ก็อยู่ร่วมกันมาปีกว่าแล้ว ทั้งห้าคนขึ้นปีสาม สี่หนุ่มเป็นพี่ว้าก และจะร่วมหามเสลี่ยงขึ้นดอยในปีนี้ด้วย ส่วนแซนดี้นั้นก็ยังคงไล่ล่าเด็กแว้นเป็นกิจวัตร และก็ยังคงตบตาบิดามารดา สร้างภาพไว้ว่าว่าบุตรชายสุดที่รักของพวกเขานั้น สุดแสนจะแมนแฮนซัมจริงๆ
*TBC*พาน้องภูพิงค์มาให้รู้จักแล้วค่า น้องน่ารักชิมิ๊~ กับเพื่อนยังพากันป่วนจนปวดหัวขนาดนี้ แล้วเจอพี่หมอ พี่หมอจะปวดกบาลขนาดไหนเนี่ย 55555555
ตอนนี้เป็นชีวิตน้องพิงค์กับผองเพื่อน ให้พี่วินพักเตรียมขึ้นดอยก่อนนะคะ
แล้วตอนหน้าเรามาขึ้นดอยกัน ซอยเท้ารอกันไปพลางๆ นะคะ 555555
ฮัสกี้จะไปต่างจังหวัด แต่คิดว่าน่าจะเอาตอนขึ้นดอยมาลงได้วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ล่ะมั้ง
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า จุ๊บๆ 