ภูสอยเดือน [Chapter 58 : ชื่นมื่นกันทั่วหน้า][END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภูสอยเดือน [Chapter 58 : ชื่นมื่นกันทั่วหน้า][END]  (อ่าน 612086 ครั้ง)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ huskyhund

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1093/-4


Chapter 3 : ภูพิงค์และผองเพื่อน


หลังจากฝึกซ้อมวิ่งตลอดช่วงบ่าย ภูพิงค์ก็ซมซานกลับมานอนอ้าซ่าในบ้านเช่าข้างนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาเช่าอยู่ด้วยกันกับเพื่อนอีกสี่คน เพื่อนสามคนจากคณะเดียวกัน ชื่อว่า ขิง ซันและดิว พวกเขาเรียนปีสาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเหมือนกัน แต่ละคนล้วนมาจากกรุงเทพฯ ส่วนเพื่อนอีกคนมาจากคณะวิจิตรศิลป์ ชื่อว่า แสนดี เขาเป็นคนเดียวที่มาจากจังหวัดในภาคเหนือ และที่จริงบ้านเช่าแห่งนี้เป็นของญาติของแสนดีอีกที พวกเขาจึงได้เช่าอยู่กันในราคาพิเศษ

“อีแสนดี~ อีแสนดีไปไหนวะ หิวแล้วเนี่ย~ ไส้กูจะขาดแล้ว โอยยย~” ดิวโวยวาย

“มึงเรียกมันแสนดี เดี๋ยวก็โดนด่าหูชาอีกหรอก” ภูพิงค์หันไปขัด

“เออๆ นังแซนดี้ก็ได้”

“มันบอกเมื่อเช้าไงว่าช่วงนี้กลับดึก จะขึ้นดอยแล้ว คณะมันต้องทำดอกไม้เตรียมของอะไรเนี่ยแหละ งานเยอะมาก”

“แล้วใครจะหาข้าวให้กูกินเนี่ย” สามหนุ่มคร่ำครวญ

“พวกมึงไม่มีตีนรึไงวะ อีแซนดี้ก็ตามใจพวกมึงซะจนง่อย”

“พวกกูไม่ได้ง่อยป่ะวะ แต่วันนี้ทั้งวิ่งทั้งฝึกแบกเสลี่ยง พวกกูจะเหลือเรี่ยวแรงที่ไหนไปหาข้าวกิน”

ภูพิงค์ลุกขึ้นนั่ง ตัวเขาก็เหนื่อยคือกัน ยังไม่อยากลุกออกไปไหน “สั่งพิซซ่าแดกกันเหอะ”

“เออดีๆ มึงโทรเลย”

เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนอีกสามชีวิตที่ยังนอนอ้าซ่าอยู่ในท่าเดิม ไอ้พวกเวรนี่ ถ้าขาดเขากับอีแซนดี้ไป คงนอนรอให้มดแมลงมาตอมแล้วจับแดกแทนข้าวแหงๆ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรสั่ง ก่อนจะเอนหลังลงนอน รอเวลาพิซซ่ามาส่ง


ภูพิงค์ วงศ์เมือง หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า พิงค์ เฉยๆ เป็นหนุ่มน้อยอายุยี่สิบปี ครอบครัวของเขามีพื้นเพมาจากทางเหนือ เขาเกิดและโตขึ้นมาที่เชียงใหม่ เรียนอยู่ที่นี่จนถึงจบชั้นประถม จากนั้นบิดามารดาจึงพาย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ในช่วงแรกๆ ก็กลับมาอยู่เชียงใหม่ทุกปิดเทอม จนกระทั่งครอบครัวขายบ้านที่เชียงใหม่ไป

เด็กหนุ่มมีผิวขาวเหมือนชาวเหนือทั่วไป แต่เพราะชอบเล่นกีฬา ทำกิจกรรมออกแดดอยู่บ่อยๆ จึงคล้ำไปบ้างเป็นส่วนๆ ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเข้ากับใบหน้ารูปไข่ หน้าตาจัดอยู่ในระดับดูดีพอไปวัดไปวาได้ หากก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไรเป็นพิเศษในสายตาของเพื่อนๆ เพราะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปด้วยไรหนวดและเคราบางๆ กับผมที่ยาวจนถึงหัวไหล่ซึ่งเขาใช้หนังยางมัดไว้เป็นประจำ แต่ก็ยุ่งชี้ไปคนละทิศละทางเมื่อโดนลมพัดและเจ้าของศีรษะนั้นไม่คิดจะแกะหนังยางออกมารัดใหม่ เขามีรูปร่างสูงโปร่งและขายาว แบบที่ไม่ต้องเอากางเกงยีนไปตัดขาให้ลำบากเลย

เมื่อตอนอยู่ปีหนึ่ง ภูพิงค์ก็อยู่หอของมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ นั่นล่ะ หากพอจะขึ้นปีสอง เขากับเพื่อนอีกสามคนจากกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้วคิดจะหาบ้านเช่าเล็กๆ อยู่ด้วยกัน เอาที่มีเนื้อที่พอให้ล้มลงนอนกลิ้งเกลือก มีครัวให้ทอดไข่กินสบายๆ อ่านหนังสือได้เงียบๆ มีที่จอดรถในรั้วบ้านปลอดภัยกับมอเตอร์ไซค์แบบบิ๊กไบค์รุ่นเล็กๆ ของพวกเขา และมีอิสระมากกว่าอยู่หอในหรือหอนอก

แต่บ้านเช่าเป็นหลังนั้นหายาก สี่หนุ่มขี่บิ๊กไบค์วนกันจนยางล้อแทบสึกก็ยังหาไม่ได้ พวกเขาเริ่มจะถอดใจ คิดว่าคงต้องไปอยู่หอเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะแน่แล้ว

ขณะที่พักจอดมอเตอร์ไซค์ไปนั่งกินข้าวมันไก่กันอย่างเซ็งๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ดังลั่น ตามมาด้วยเสียงคนทะเลาะกัน พอพวกเขาหันมองไปยังต้นเสียง แวบแรกก็เห็นว่ากลุ่มเด็กแว้นกำลังรุมทำร้ายคนคนหนึ่งอยู่ แถมยังทั้งผลักทั้งตวาดใส่เสียงดัง

สี่หนุ่มลุกขึ้นพรวด แม้พวกเขาอยู่ในสภาพซอมซ่อ ดูเหมือนกุ๊ยที่ใส่แค่เสื้อกล้าม กางเกงขาสามส่วนกับรองเท้าแตะ แต่ภายในใจเป็นเจนเทิลแมนแบบใส่สูทสามชิ้นและสวมหมวกแถมด้วย

“เฮ้ย! ทำไรวะ!” ภูพิงค์ตะโกนลั่นพร้อมชี้หน้าด้วย เขาและทีมเพื่อนอีกสามคนตัวโตและท่าทางนักเลงกว่าเด็กแว้นกลุ่มนั้นหลายขุม ทำให้อีกฝ่ายถอยกรูด

หนึ่งในกลุ่มเด็กแว้นชี้ไปยังคนที่ถูกพวกเขารุมในตอนแรก จากนั้นก็ชิงฟ้องภูพิงค์ก่อนว่าพวกเขาเป็นผู้เสียหาย “อีนี่มันหลอกพวกผมอะ!”

“ทำไมเรียกเขาแบบ...นี้” สี่หนุ่มหันมองไปตามที่อีกฝ่ายชี้ แล้วเกิดอาการอ้ำอึ้ง “เขาหลอกอะไรพวกคุณวะ”

“ก็พวกผมนึกว่ามันเป็นผู้หญิง แต่มันเป็นตุ๊ดอะพี่!”

สี่หนุ่มนิ่งค้าง ผู้ถูกกล่าวถึงคนที่ว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา อยู่ในชุดของหญิงสาวก็จริง หากไม่ว่าจะมองตรงๆ ตีลังกามอง หรือว่ามองจากดวงจันทร์ก็ยังรู้เลยว่าเป็นตุ๊ดแน่นอน แบบนี้ยังเรียกว่าหลอกได้อีกเหรอวะ

“มันหลอกให้พวกผมพาไปแว้นมาสามวันแล้วเนี่ย! หลอกแดกไปตั้งเท่าไหร่!”

“กูไม่ได้หลอกแดกป่ะวะ พวกมึงเลี้ยงกูเอง จ๊าดง่าว(โคตรโง่)!” เด็กหนุ่มในชุดของหญิงสาวเถียง

สี่หนุ่มทึ่งหนักกว่าเดิม ตั้งสามวัน! พวกมึงใช้เวลาตั้งสามวันถึงจะรู้ว่าเป็นตุ๊ดเหรอวะ? พวกเขามองด้วยหางตาก็รู้แล้ว เด็กอนุบาลยังดูรู้เลยโว้ย!

“ปากดี! เดี๋ยวกระทืบแม่งไส้แตก!” กลุ่มเด็กแว้นทำท่าจะเข้ามารุมอีก ขิงจึงวิ่งเข้าไปขวาง

“ใจเย็นเว้ยคุณ”

เด็กหนุ่มในชุดหญิงสาวโยนเงินคืนให้ “มึงอยากได้เงินคืนก็เอาไปเลย เลี้ยงกูแค่ไอติมเซเว่นกับก๋วยเตี๋ยวในตลาด ยังจะทวงอีก ไอ้งัว บ่าห้าปั๊ก(งี่เง่า)!”

ครั้งนี้ซันสุดจะสงสัย จำเป็นต้องถามออกไป “เดี๋ยวนะ แล้วพวกคุณจับได้ได้ไงวะ ว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงอะ”

กลุ่มเด็กแว้นหยุดกึก จากนั้นจึงหันมองหน้ากัน

“มันล้วงเข้ามาในกระโปรงแล้วจั๊บขลำฮา!” เด็กหนุ่มในชุดแซกกระโปรงบานตะโกนลั่น

“อ้าว ไม่ได้แต๊บไว้เหรอวะ” ดิวหลุดปากถามต่อ

“แต๊บแล้วโว้ย อันสก็อตเตปมันหลุดก่อ!”

ก่อนที่เรื่องราวจะออกทะเลไปกันใหญ่ ภูพิงค์ก็รีบหันไปคุยกับกลุ่มเด็กแว้น “อ้าว เดี๋ยวเว้ย พวกคุณลวนลามเขานี่หว่า นี่เขาแจ้งตำรวจได้นะเว้ย”

พอได้ยินเข้าแบบนั้น กลุ่มเด็กแว้นก็หน้าเสีย พวกเขาสบถเสียงดังพลางเข็นมอเตอร์ไซค์ถอยออกไป หากก็ยังขอไว้ลายอีกนิดเพื่อไม่ให้เสียเกียรติเด็กแว้น พวกเขามองไปที่หญิงสาวในร่างเด็กหนุ่มพร้อมกับชี้นิ้ว “จำไว้ให้ดีมึง!”

“หมู่คิงเขียนป้ายติดไว้หน้าคณะฮากะ!” (พวกมึงก็เขียนป้ายติดไว้หน้าคณะกูซิ!)

เสียงมอเตอร์ไซค์แต่งท่อเบาะปาดวิ่งห่างออกไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงฝุ่นควัน เด็กหนุ่มอีกสี่ชีวิตและตุ๊ดอีกหนึ่งคน

เด็กหนุ่มในชุดกระโปรงบานหายใจฟืดฟาด “แม่ง โมโหจนลืมตัว อู้กำเมืองเป็นพรืดเลยกู” เขายกมือขึ้นปัดฝุ่นตามตัว ปัดจริตหญิงสาวออกไปพร้อมกับเสียงที่บีบให้แหลมเล็กในตอนแรก แล้วหันไปตบไหล่ภูพิงค์เบาๆ อย่างเป็นกันเอง “ขอบใจที่ช่วยเว้ย”

“เออ ทีหลังไปกับใครก็ระวังด้วย” ภูพิงค์หันไปตอบ เขากำลังจะเดินกลับไปร้านข้าวมันไก่ แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายที่ชุดแซกยับเยินหลุดลุ่ย สองมือหิ้วรองเท้าส้นสูงที่ยาวกว่าหน้าเขาแล้วก็สงสาร “อยู่ไหนเนี่ย เดินไหวรึเปล่าวะ เดี๋ยวไปส่งให้”

คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เพราะสี่หนุ่มตรงหน้านี่ ถึงจะดูโคตรเถื่อนและซอมซ่อ หากมาดแมนแสนดี แถมยังมีน้ำใจให้กับเขาด้วย “อยู่บ้านเช่าในซอยตรงนั้นเอง”

“บ้านเช่าเหรอ!” สี่หนุ่มพูดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาขี่รถวนตั้งหลายรอบ ไม่ยักสังเกตเห็น “มีด้วยเหรอวะ ขี่มอไซค์วนหาตั้งหลายรอบไม่เห็นป้าย”

“เออ ไม่มีป้ายหรอก บ้านของญาติน่ะ ไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนดูแล แม่กูก็เลยขอเช่าให้กูอยู่ไปก่อน”

“มีห้องว่างมั้ยวะ พวกกูกำลังหาบ้านเช่าเนี่ย”

คราวนี้พวกเขาทำให้อีกฝ่ายงงมากกว่า อันที่จริงก็ไม่คิดว่าตุ๊ดกับผู้ชายห่ามๆ จะอยู่ร่วมกันได้ด้วย แต่ก็ไม่แน่... สี่คนนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อการพรางตัวของเขา “ห้องว่างอะมี จะไปดูบ้านมั้ยล่ะ”

“ไป!” สี่หนุ่มตอบอย่างพร้อมเพรียง

จากถนนใหญ่เข้าซอยไปจะเจอซอยเล็กน้อยทั้งด้านซ้ายขวา ตลอดซอยมีตึกแถวซึ่งชั้นล่างเป็นร้านต่างๆ มากมาย มีคลินิกสำหรับทั้งคนและสัตว์ คลินิกหมอฟัน ร้านสะดวกซื้อ ร้านซักรีด ร้านถ่ายเอกสาร มีร้านสารพัดร้าน หลังจากวิ่งต่อไปสักพัก ถึงซอยยี่สิบกว่าๆ เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้วก็พบกับบ้านเช่าที่ว่าซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น ภายในซอยนั้นมีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ตั้งอยู่ห่างๆ กัน
ในพื้นที่ใต้หลังคาหน้าบ้านมีรถ BMW รุ่นเล็กสุดแต่งไว้ซะสวย ขัดจนเป็นเงาวาบทั้งคันจอดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีที่ว่างให้จอดรถคันโตๆ ได้อีกสองคันเลยทีเดียว

“เข้ามาเลย เชิญๆ”

“นี่รถใครเหรอ”

“รถกูเอง”

“มีรถเจ๋งๆ แบบนี้แล้วไปแว้นมอไซค์ทำไมวะ”

“ก็บางทีกูก็อยากเป็นสก๊อยมั้ยวะ” หญิงสาวในร่างเด็กหนุ่มเถียง “กูก็อยากเป็นพริตตี้ถือธงตอนเขาซิ่งมอไซค์แข่งกันบ้างไรบ้าง”

“แล้วใส่กระโปรงบานแบบนี้ไปแว้นเนี่ยนะ แต๊บก็ไม่ดีอะ”

“แดดออกเหงื่อมันก็ออก กาวมันก็หลุดป่ะวะ”

“คราวหน้าก็ใช้สก็อตเทปกันน้ำสิวะ”

“เออๆ พวกมึงเลิกบ่นเป็นพ่อกูได้แล้วโว้ย”

จากประตูบ้านเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่นกว้างขวาง มีชุดโซฟาและโทรทัศน์จอแบนเครื่องเบ้อเริ่มกับเครื่องเสียงพร้อม พื้นห้องสะอาดสะอ้าน แถมยังมีเครื่องปรับอากาศด้วย

พอเข้ามานั่งในบ้านกันแล้ว หลานเจ้าของบ้านก็เอาน้ำอัดลมกับเฉาก๊วยใส่น้ำแข็งมาเสิร์ฟให้ จากนั้นจึงนั่งลงแล้วแนะนำตัว “กูชื่อแซนดี้ อยู่วิจิตรศิลป์ปีหนึ่ง พวกมึงชื่อไร”

สี่หนุ่มหันขวับ แสกนเจ้าหล่อนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า “ขอชื่อจริงได้ป่ะวะ”

เจ้าหล่อนถลึงตาใส่ “พวกมึงจะรู้ไปทำไมวะ!” จากนั้นจึงพูดเสียงค่อย “แสนดี”

“อ่ะๆ กูนี่ชื่อพิงค์ ไอ้นั่นขิง ดิว แล้วก็ซัน อยู่วิดวะไฟฟ้าปีหนึ่งเหมือนกัน”

“แล้วทำไมพวกมึงไม่ไปอยู่หอนอกเหมือนคนอื่นวะ ทำไมถึงอยากอยู่บ้านเช่าอะ”

“ทีมึงอยู่ปีหนึ่งยังไม่อยู่หอในกับคนอื่นเลยป่ะวะ”

“กูไม่ชอบความลำบากไง อยากอยู่สบายๆ มีห้องส่วนตัว แล้วพวกมึงล่ะ จะบอกได้ยังวะ”

“ก็อยากอยู่ที่กว้างๆ มีครัว มีที่เงียบๆ ให้อ่านหนังสือ มีอิสระ มีที่จอดมอไซค์อะดิ”

แซนดี้จ้องเพื่อนใหม่ทั้งสี่คนบ้าง ดูๆ แล้วก็น่าจะเป็นคนดี นิสัยดี คงจะพออยู่ร่วมกันได้ ถ้า... “ถ้าพวกมึงไม่รังเกียจ มีห้องว่างชั้นบนอีกสองห้อง มีห้องอาบน้ำในตัวด้วยเว้ย”

“รังเกียจอะไรวะ นี่มันสวรรค์ชัดๆ!”

“สวรรค์เหี้ยไร เดี๋ยวกูพาไปดูห้องก่อน มันเป็นห้องว่างๆ ไม่มีอะไรเลยนะเว้ย”

ห้องชั้นบนไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้นอย่างที่แซนดี้ว่า แต่มีขนาดกว้างขวาง มีห้องน้ำแบบฝักบัว สภาพใหม่เอี่ยมเพราะตั้งแต่เจ้าของซื้อบ้านมาก็ยังไม่เคยใช้งาน

“คือญาติกูเนี่ย ตอนแรกลูกเขาอยากจะเข้ามหาลัยที่นี่ไง พ่อแม่เลยซื้อเตรียมไว้ให้ แต่พอจบมอหกเข้าจริงๆ เสือกเกิดเปลี่ยนใจจะไปต่อนอกเว้ย บ้านเลยไม่มีใครอยู่เลย”

“ไอ้เหี้ย ญาติมึงนี่ต้องรวยขนาดไหนวะ มึงก็ด้วย กูสงสัยตั้งแต่รถมึงแล้ว”

แซนดี้ไม่ตอบ เขากวักมือเรียกให้กลับลงไปนั่งข้างล่างกันเพราะรู้สึกร้อน “คือห้องข้างบนนี่มันไม่มีอะไรเลยอ่ะ ปกติกูก็อยู่แค่ข้างล่าง ห้องกูอยู่ชั้นล่างนี่ เพราะงั้นถ้าพวกมึงอยู่กันได้ กูก็ยินดีจะแบ่งข้างบนให้เช่าเว้ย ส่วนห้องครัวห้องนั่งเล่นนี่ ถ้าใช้รวมกันได้ก็โอเค”

“แล้วมึงจะคิดค่าเช่ายังไงวะ”

แซนดี้คิดค่าเช่าพวกเขาคนละพันบาทต่อเดือน ค่าน้ำกับค่าอินเทอร์เน็ตหารกัน ส่วนค่าไฟเขาจ่ายเอง เพราะเป็นคนเดียวที่ใช้เครื่องปรับอากาศ 

“ไอ้เหี้ย ถูกไปมั้ยเนี่ย”

“เออ แม่กูเช่าบ้านนี่มาก็ไม่แพงหรอกเว้ย แต่กูมีงานอย่างนึงที่พวกมึงต้องคอยช่วยกู งานนี้สำคัญมาก...”

เสียงเคร่งขรึมของแซนดี้ทำให้สี่หนุ่มต้องรอฟังอย่างลุ้นระทึก “งานอะไรวะ”

“คือว่า... พ่อแม่กูจะมาที่นี่ทุกวันเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน มาค้างที่ห้องกูเนี่ย แล้วที่สำคัญมากคือกูจะต้องแมน! พวกมึงจะต้องเล่นบทเพื่อน โหด โฉด เถื่อนของกู กลบเกลื่อนความตุ๊ดของกูไม่ให้เหลือซากด้วย! วันธรรมดากูเป็นดอกโบตั๋น แต่วันนั้นของเดือนกูต้องเป็นมังกร พวกมึงเข้าใจมั้ย มังกรรรร~” แซนดี้รัวลิ้นแถมให้ด้วย

“สัส มึงอยากกินหมี่เหรอ” ภูพิงค์แถมให้

สามหนุ่มชะงัก ก่อนจะหัวเราะลั่น หัวเราะกันไม่หยุดจนแซนดี้อยากจะเอาน้ำร้อนสาดแม่ง

“ไม่กินเว้ย แม่งติดฟัน ในปอดกูเนี่ยจะมีแต่เส้นหมี่แล้วเว้ย”

“พอๆ อีเวร มึงไม่ต้องบรรยายให้พวกกูนึกภาพ” ขิงรีบห้าม “แล้วนี่มึงเอาเสื้อผ้ามึงไปซ่อนไว้ที่ไหนวะเนี่ย”

“นี่ชุดแม่กู เครื่องสำอางบนหน้านี่ก็ของแม่กู” แซนดี้ตอบ

“เออ ไอ้บทโหด โฉด เถื่อน พวกกูคงไม่ลำบากสักเท่าไหร่ แต่ไอ้เรื่องกลบเกลื่อนความตุ๊ดของมึงเนี่ย พวกกูจะพยายามละกันว่ะ”

และนั่นก็คือการโคจรมาพบกันของทั้งห้าหนุ่ม หลังจากพวกเขาตกลงเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ช่วงแรกๆ สี่หนุ่มก็ขึงราวเอาไว้แขวนไม้แขวนแทนตู้เสื้อผ้าในห้อง นั่งอ่านหนังสือกันบนที่นอนปิกนิกและโต๊ะญี่ปุ่น ส่วนห้องครัวมีไว้หุงข้าวกินกับไข่เจียวหรือไม่ก็ไข่ต้ม มอเตอร์ไซค์สี่คันก็จอดไว้หน้าบ้านคู่กับรถ BMW ของแซนดี้ ซึ่งนานๆ ทีจะกลายเป็นแสนดีแทน

บิดามารดาของแซนดี้มาเยี่ยมและส่งคนมาทำความสะอาดบ้านให้เป็นประจำ หากพอนานไปเริ่มถูกคอกับเพื่อนของลูกชาย เห็นว่าทั้งห้าคนสนิทสนมกันดี พวกเขาจึงซื้อที่นอน ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะหนังสือมาใส่ในห้องให้ แถมยังนำอาหาร ขนมและผลไม้มากมายมาเผื่อสี่หนุ่มด้วยเสมอๆ

งานนี้ทั้งสี่มีแต่เปรมกับเปรม

เมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า ความสนิทสนมของทั้งห้าคนก็เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างงงๆ เช่นกัน ทั้งที่แตกต่างกันไปคนละขั้ว หากเพราะพวกเขาไม่ก้าวก่ายกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เวลาไปเรียนต่างคนต่างไป แต่ก็มักจะกลับมานั่งกินมื้อเย็นที่แซนดี้ทำให้เป็นประจำ จากนั้นก็นั่งทำการบ้านด้วยกัน และคอยถามไถ่ทุกข์สุขกันเสมอ

สำหรับแซนดี้นั้น ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมากหลังจากที่มีสี่หนุ่มเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย พวกเขาเป็นเพื่อนกลุ่มแรกของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะเขาไม่สนิทกับใครในคณะเลยสักคน ด้วยความที่เมื่อสมัยเป็นนักเรียนถูกคนอื่นๆ ในโรงเรียนรังแกบ่อยๆ เขาจึงไม่ค่อยเปิดใจให้กับใครนัก

หากการพบกันของพวกเขาแตกต่างออกไป แซนดี้คิดว่าเขาไว้ใจเพื่อนทั้งสี่คนนี้ได้ คงเป็นเพราะพวกเขายอมรับในตัวเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน

อาห์... พูดซะดูหรูดูดี 

ความจริงน่ะหรือ... ไอ้พวกนี้ทำให้เขาปวดหัวแม่งทุกวัน


อย่างเช่นเมื่อวันก่อน

“ไอ้พวกเหี้ย ใครเอาสติ๊กเกอร์ไปติดหลังรถกูวะ!” แซนดี้โวยวาย

“อ๋อ กูเอง” ภูพิงค์ยิ้มรับ “ดูแมนดีนะเว้ย พ่อแม่มึงต้องภูมิใจแน่”

“เขียนว่า ไม่อยากเจ็บจิ๋มอย่ายิ้มให้พี่ เนี่ยนะ! พ่อแม่กูคงภูมิใจมากเลยสัส!”


แล้ววันถัดๆ มา

“อีแซนดี้ มีพาราฯ มั้ยวะ” ภูพิงค์พูดขึ้นขณะนั่งทำการบ้านส่งอาจารย์รวมกับทุกคนในห้อง

“พาราฯ เหี้ยไร พาราณสีเหรอ มึงคิดว่ากูเป็นนางสีดารึไง” คนถูกถามจีบปากจีบคอตอกกลับไปทันใด เขารอโอกาสปะทะคารมกับไอ้พิงค์มานานแล้ว

“นางสีดานั่นมันกรุงลงกาป่ะวะอีเหี้ย” ซันหันไปตอบให้

ภูพิงค์ยกมือขึ้นกุมขมับ อยากจะเถียงกับไอ้พวกเวรนี่ด้วย แต่ตอนนี้สภาพหัวไม่อำนวย “กูปวดหัวโว้ย ยาพาราฯ น่ะพาราเซตตามอล”

“อยู่บนโต๊ะในห้องอะ ไปหยิบเอา”

เด็กหนุ่มลุกเดินเข้าไปในห้อง พอไปถึงโต๊ะ หยิบขวดยาขึ้นมาดู สายตาก็ไปสังเกตเห็นมุมโต๊ะที่มันมู่ทู่ ไม่แหลมเหมือนมุมโต๊ะทั่วไป เขาจึงตะโกนถาม “อีแซนดี้ มึงแทะมุมโต๊ะเหรอวะ”

“พูดอะไรของมึงเนี่ย” เจ้าของห้องตอบกลับมา

ซันเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงของภูพิงค์จึงชะโงกหน้าเข้าไปดู “มีอะไรวะมึง”

ภูพิงค์กวักมือเรียกเพื่อนให้เข้ามาดูใกล้ๆ “เหี้ยซัน มึงดูมุมโต๊ะอีแซนดี้ดิ”

ซันทำหน้าตกใจ พร้อมกับยกมือขึ้นทาบอก “เฮ้ย! กูรู้! กูเคยอ่านในการ์ตูน! ใช่แน่!”

“ใช่อะไรของมึง”

ซันขยับเข้าไปกระซิบ ก่อนภูพิงค์จะอุทาน “โอ้โห อะเมสซิ่ง!”

ขณะเดียวกันเจ้าของห้องเดินเข้ามาสมทบด้วย “พวกมึงมามุงดูอะไรกันเนี่ย”

สองหนุ่มหันขวับไปทางแซนดี้ “อีแซนดี้! มึงเอาจู๋ถูขอบโต๊ะเวลาน้ำเดินใช่มะ! นี่มึงต้องน้ำเดินวันละกี่รอบวะ ขอบถึงทู่ขนาดนี้!”

“ไอ้สัส! กูเอากระดาษทรายถูเพราะขอบมันแหลมทิ่มเจ็บโว้ย!”

“อ๋อ! เอากระดาษทรายถูก่อนแล้วมึงค่อยเอาจู๋ถูใช่มะ!” ภูพิงค์สรุปให้

“ไอ้เหี้ย ไม่ปวดหัวแล้วเหรอ แดกยาทั้งขวดไปเลยนะกูขอร้อง!”


ในคืนที่มีแข่งฟุตบอล ห้าหนุ่มจะนั่งดูฟุตบอลด้วยกันเสมอ ซึ่งแซนดี้ก็จะเตรียมอาหารและขนมไว้อุดปาก ไม่ให้ไอ้สี่คนนี่โวยวายกับผลบอลมากจนน่ารำคาญ

แซนดี้กวาดสายตามองเพื่อนร่วมบ้านเช่าทั้งสี่ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเป็นเทอมแล้ว ทว่าเขาไม่เคยเห็นพวกมันโกนหนวดหรือเปลี่ยนทรงผมกันเลย “นี่ พวกมึงไม่คิดจะตัดผมโกนหนวดกันบ้างเลยเหรอวะ”

“ทำไมวะ ทีมึงยังไม่เลิกหาเด็กแว้นแดกเลยอ่ะ”

“แหม เด็กแว้นมันแซ่บนะเว้ย ไม่เอาดิ กูถามจริง ทำไมไม่ตัดผมโกนหนวดกันวะ”

“เก็บไว้ว้ากน้องไง” ภูพิงค์ตอบให้ “นี่กูไว้มาตั้งแต่รู้ว่าเข้ามหาลัยได้เลยนะเว้ย”

ขิงพูดแทรก “คือพวกกูอะ ต่อให้โกนหนวดก็ยังดูเถื่อน แต่ไอ้พิงค์นี่ ถ้าโกนหนวดมึงต้องตกใจ พวกกูเคยเห็นรูปมันสมัยมอปลายมาแล้ว แม่งหน้าหวานฉิบหาย ไหนๆ ก็ไหนๆ พวกกูเลยไว้หนวดเป็นเพื่อนมัน”

“จริงอะ ความจริงมึงสวยกว่ากูใช่มะ” แซนดี้หันไปถาม

“ผู้ชายทั้งคณะกูสวยกว่ามึงหมดอะสัส” ภูพิงค์ตอบ

“มึงมาแต่งหญิงแข่งกับกูเลยดีกว่า”

“แค่นั่งข้างกูนี่มึงยังเสียความมั่นใจไม่พออีกเหรอ”

แซนดี้เบะปากใส่ “ทำไม มึงเป็นมิสยูนิเวิร์สรึไง อีสลิด!”

“อ้าว บ่าจ๊าดหมานี่! ไอ้ผีเบื่อ สลิดดก ง่าวใบ้ง่าวง่าว บ่าฮ่ากิ๋นตับ!” ภูพิงค์ตอกกลับไปชุดใหญ่ ถึงเขาจะอู้กำเมืองบ่ได้ แต่ด่าได้โว้ย!

แซนดี้อ้าปากค้าง “โอ้โห! ไอ้พิงค์ กูขอร้อง อย่าปากจัดกว่ากูได้มะ เสียสถาบันตุ๊ดหมด บ่าฮ่า”

“พวกมึงหยุดเถียงกันทีได้โปรด” ขิงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดไล่หารูปเมื่อตอนมัธยมปลายของภูพิงค์ให้อีกฝ่ายดู “เอ้า ดูๆ”

“ทำไมมึงมีรูปกูวะ” เจ้าของรูปคิ้วกระตุก

“เซฟมาจากเฟซมึงโดยเฉพาะ เอาไว้แบล็กเมลมึงไง”

“สัส!”

แซนดี้เบิกตากว้าง “ไอ้พิงค์เป็นเด็กกางเกงน้ำเงินเหรอวะเนี่ย ไอ้เหี้ย โอปป้ามากมึง โหย ถ้ามึงตัดผมโกนหนวดนี่ เป็นเดือนคณะได้เลยเว้ย”

“เดือนคณะพ่องส์ มึงไปแหกตาดูผู้ชายคณะกูก่อน มีเป็นล้าน ละลานตาจนมึงเลือกไม่ถูกแน่”

“กูไม่สนเด็กวิดวะอ่ะ”

ซันพยักหน้าหงึกหงัก “มึงก็รู้ เสป็กมันต้องเด็กแว้น”

“นี่เด็กแว้นทั้งเชียงใหม่ไม่รู้จักมึงหมดแล้วเหรอวะ อีแซนดี้”

“เออ กูก็ว่าอยู่ ว่าจะขยายพื้นที่หากินไปจังหวัดข้างๆ บ้างละ”

สี่หนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ นึกสงสารเด็กแว้นขึ้นมาก็คราวนี้แหละ “มึงไม่กระอักกระอ่วนใจบ้างเหรอวะ ไปไหนก็เจอแต่อดีตผัว ลดๆ จำนวนผัวลง เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบบ้างนะเว้ย”

“ความจริงอะ ในทางปฏิบัติจำนวนผัวกูลดลงแล้วเว้ย”

“ลดลงห่าไร กูเห็นมึงเปลี่ยนหน้าควงทุกอาทิตย์”

“เออ แต่จำนวนเมียในร่างผัวเพิ่มขึ้นไงค้า~”

สี่หนุ่มแทบจะพ่นขนมในปากออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน

ภูพิงค์ร้องลั่น “อีเหี้ย! อะไรของมึงวะเนี่ย มึงอย่าบอกนะว่า...”

“เออ... ก็เพราะพวกมึงแหละ แพร่เชื้อแมนมาให้กู หลังๆ มานี่ กูเลยรุกบ้าง รับบ้าง แล้วแต่อารมณ์”

“อีซัสสสส~ ไม่ต้องบอกพวกกูทุกเรื่องก็ด้ายยย~” พวกเขาร้องเสียงหลง “นี่หมายความว่าเด็กแว้นที่มารับมึงเนี่ย บางคนก็เป็นเมียในร่างผัวของมึงเรอะ!”

“ช่ายยย ยังมีอีกนะ คือบางคนก็เป็นทั้งผัวทั้งเมียในร่างเดียว ทูอินวันอะมึง”

“เย้ย~”

“พวกมึงไม่ต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีก็ได้ป่ะวะ กูมีของดี กูก็อยากใช้บ้างไรบ้าง ยุคนี้แล้ว บทบาทมันต้องสลับกันได้เว้ย แฟร์ๆ อะเข้าใจปะ นี่ความลับสุดยอด บอกพวกมึงเท่านั้นเลยนะเนี่ย”

“โอ้โห ซึ้งฉิบห้าย~ ถามพวกกูบ้างมั้ยว่าอยากรู้รึเปล๊า!”

สี่หนุ่มวิศวะได้เปิดโลกทัศน์กว้างขึ้นก็ครั้งนี้นี่แหละ!


แล้ววันดีคืนดี แซนดี้ก็เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาใส่เองแต่อ้างว่าจะซื้อมาให้มารดามาใส่อวดสี่หนุ่ม “เป็นไงบ้างพวกมึง~” เขาจับชายกระโปรงโบกสะบัดไปมา

“สลิด”

“แฮ่น”

“ไค่ฮาก (อยากอาเจียน)”

“พวกมึงนิ อยากเป็นเมียกูอ่อ ด่าได้ด่าดี เดี๋ยวกูปล้ำแม่ง!”

ภูพิงค์อ้าปากกำลังจะเอ่ยปากชื่นชมต่อจากเพื่อน แต่โดนอีกฝ่ายสั่งให้หยุดไว้ก่อน

“ไอ้พิงค์ มึงหยุด แค่นี้กูก็เจ็บช้ำพอแล้วมะ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะปะทะคารมกับมึงเว้ย!” แซนดี้ขึงตาใส่ แล้วเดินสะบัดตูดกลับเข้าห้องไป

หากสักพักสี่หนุ่มก็ตามไปง้อ ชมว่าสวยเลิศสารพัด เพื่อให้เจ้าหล่อนยอมกลับมาทำมื้อเย็นให้กิน

กิจวัตรประจำวันทั่วไปของพวกเขาก็มีแค่นี้ล่ะ จนถึงตอนนี้ก็อยู่ร่วมกันมาปีกว่าแล้ว ทั้งห้าคนขึ้นปีสาม สี่หนุ่มเป็นพี่ว้าก และจะร่วมหามเสลี่ยงขึ้นดอยในปีนี้ด้วย ส่วนแซนดี้นั้นก็ยังคงไล่ล่าเด็กแว้นเป็นกิจวัตร และก็ยังคงตบตาบิดามารดา สร้างภาพไว้ว่าว่าบุตรชายสุดที่รักของพวกเขานั้น สุดแสนจะแมนแฮนซัมจริงๆ


*TBC*


พาน้องภูพิงค์มาให้รู้จักแล้วค่า น้องน่ารักชิมิ๊~ กับเพื่อนยังพากันป่วนจนปวดหัวขนาดนี้ แล้วเจอพี่หมอ พี่หมอจะปวดกบาลขนาดไหนเนี่ย 55555555

ตอนนี้เป็นชีวิตน้องพิงค์กับผองเพื่อน ให้พี่วินพักเตรียมขึ้นดอยก่อนนะคะ

แล้วตอนหน้าเรามาขึ้นดอยกัน ซอยเท้ารอกันไปพลางๆ นะคะ 555555

ฮัสกี้จะไปต่างจังหวัด แต่คิดว่าน่าจะเอาตอนขึ้นดอยมาลงได้วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ล่ะมั้ง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า จุ๊บๆ
:impress2:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ป๊าดดดด แซนดี้อย่างฮาาา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ภูพิงค์นี่ใคร 5555 กลายเป็นว่าตอนนี้แซนดี้แย่งซีนนายเอกเราแล้วค่าาา :laugh:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แสนดีนี่แซ่บจริงๆ ครบรสสุดๆ
แต่ว่าน้องพิงค์หน้าหวาน แล้วกะคุณหมอนี่ จะแบ่งโพสิชั่นยังไง
รึจะเดินตามรอยแซนดี้ สลับไปมางี้เหรอ ม่ายยยยยย :ling1:

ออฟไลน์ FiZZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
โอ้โห ปากเดอะแก๊งแต่ละคน ยอมอะ 555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แซ่บ แซ้บ แซ่บ  :ling1: :ling1: :ling1:

ภูพิงค์ ผองเพื่อน กับแซนดี้
แซนดี้  น่าฮักขนาด แต๊บดีแล้วใช่ก่อ
(ว่าแต่สี่หนุ่มทำไมรู้เรื่องแต๊บดีขนาดนี้ สงสัยเคยแต๊บกันมาก่อนแน่ๆ)

แซนดี้ ได้เพื่อน เถื่อน โหด โฉด มาเพื่ม
เดี๋ยวนี้เลยพัฒนา ได้ทั้งรุกทั้งรับ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

หมอวิน ไม่ออกฉากเลย คิดถึง  :mew2: :mew2: :mew2:
กะ กะ ก็ สงสัยเหมียนกันเน้าะ ว่าพิงค์ วิน หรือ พิงค์ วิน หรือจะเหมือนแซนดี้  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
มีความเอ็นดูภูพิงค์ แค่ชื่อก้อปริ่มมากกกกกก :heaven :heaven

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เรื่องนี้แซนดี้เป็นนางเอกใช่ไหมคะ นางเริ่ดมาก

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
ชอบแซนดี้กะภูพิงค ปะทะคารมกัน ตลกดี  :m20:

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
น่ารักค่ะะะ 555555555555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พิงค์และผองเพื่อนฮามากอ่ะ 55555

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เพื่อนๆแต่ล่ะคนน่ารักทั้งนั้น มาลุ้นค่ะว่าจะเจอคุณหมอในแบบไหนนน  :mew1:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
แซนดี้ฮาดี ชอบๆ :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ huskyhund

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1093/-4


Chapter 4 : ขึ้นดอย (ครึ่งแรก)


รวินท์


เช้ามืดของวันรับน้องขึ้นดอย รวินท์ตื่นมารอตึ๋ง ลูกชายของพี่ผู้ช่วยทันตแพทย์ด้วยความตื่นเต้น หากเขาไม่ได้นั่งรอเด็กหนุ่มอยู่ตามลำพัง ไอ้เต้เพื่อนรักก็ตื่นมาบ่นให้เขาฟังต่อจนหูชาแล้วชาอีก มันบ่นมาตั้งแต่เขาบอกมันเรื่องจะไปขึ้นดอยนี่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บ่นตลอดสัปดาห์มาจนถึงวันนี้ หาว่าเขาทิ้งให้มันทำงานแล้วไปสนุกคนเดียว

“ไอ้เต้ มึงกลับไปนอนเลยไป๊ กูรำคาญจะฟังเสียงแมลงหวี่แมลงวันของมึงแล้วโว้ย”

“มึงใจร้ายกับกูอ่ะ มีอย่างที่ไหนวะ ไปขึ้นดอยคนเดียว กูก็อยากดูมะ”

“เอ๊า ก็กูว่างคนเดียวรึเปล่าวะ ถ้ามึงไม่ได้ทำงานกูก็ต้องไปดูกับมึงอยู่แล้ว” รวินท์มองเพื่อนซึ่งทำหน้าบึ้งเบ้ปากใส่เขาอย่างปลงๆ “คิดว่าทำแล้วน่ารักเหรอมึงอะ เดี๋ยวกูถ่ายรูปมาฝากน่ะ ถ่ายวิดีโอด้วย”

“อย่าตากแดดจนไม่สบายล่ะ มึงยิ่งโง่ๆ อยู่”

“เออๆ กูมีหมวกนี่ไง น้ำก็มี ขนมก็มี แหกตาดูซะ พอใจยัง พ่อกูฝากมึงให้ดูแลกู ไม่ได้ฝากให้มึงเป็นพ่อแทนพ่อกูนะเว้ย”

ระหว่างนั้นก็มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าคลินิก คนขับเป็นเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ได้รับเค้าโครงหน้าของพี่นิ้งมาแบบเต็มๆ เขายกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับพี่หมอ”

สองหนุ่มยกมือขึ้นรับไว้ ก่อนเตชิตจะบ่นต่อ “จะรับมือไอ้วินไหวมั้ยเนี่ย น้องยังเด็กอยู่เลย”

“โห ผมมอหกแล้วนะพี่หมอ ปีหน้าจะไปวิ่งขึ้นดอยแล้ว” ตึ๋งยิ้มกว้าง “ไว้ใจไอ้ตึ๋งเถอะ”

ทันตแพทย์หนุ่มผลักเพื่อนออกไปเบาๆ “มึงไปนอนต่อไป กูจะไปแล้ว”

“ช่วยน้องดูทางด้วยนะมึง ขี่รถกันระวังๆ”

“เออๆ กูไปแล้วครับพ่อ” รวินท์หันไปยกมือไหว้ประชด แต่พอตึ๋งเห็นอย่างนั้นก็รีบยกมือไหว้บ้าง จากนั้นทันตแพทย์หนุ่มก็รับหมวกกันน็อกมาสวม ขึ้นนั่งซ้อนหลังอีกฝ่าย แล้วรถมอเตอร์ไซค์ก็เคลื่อนออกไป


ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงมืดสนิท แต่ภายในตัวเมืองเชียงใหม่เปิดไฟไว้สว่างไสว ตึ๋งขี่รถออกไปหามุมดีๆ ก่อนจะปักหลักร่วมกับตากล้องอีกหลายชีวิตอยู่ที่ข้างหน้าประตูมหาวิทยาลัย

“เดี๋ยวดูพี่ๆ แบกเสลี่ยงออกจากมหาลัยก่อนนะพี่หมอ แล้วเราจะไปหยุดดูต่อที่ครูบาศรีวิชัย”

“ตามใจตึ๋งเลย พี่ไม่รู้จักหรอกว่ะ”

“พี่หมอเพิ่งมาดูครั้งแรกเหรอ”

“อือ ข้างในมหาลัยนั่นยังไม่เคยเข้าไปเลย”

“เอาไว้วันหลังพี่หมอเดินเข้าไปดูสิ สวยดี สาวๆ ก็สวย อย่างพี่หมอนี่ เข้าไปแล้วต้องได้ติดมือออกมาเป็นพวงแหงๆ”

“ติดมือเป็นพวงนี่คนหรือปลาดุกวะน้องตึ๋ง”

ขณะที่พูดคุยกันก็ได้ยินเสียงเฮดังแว่ว ตึ๋งยืนไม่อยู่สุขเลยทีเดียว เขายิ้มกว้างพลางหันมองไปที่ประตู “เดี๋ยวขบวนเสลี่ยงจะออกมาแล้ว!”

สักพักก็มีนักศึกษากลุ่มใหญ่แบกเสลี่ยงที่ประดับประดาไว้ด้วยดอกไม้สวยงามวิ่งออกมาจากประตูมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวินท์ยังไม่ทันโฟกัสชัตเตอร์ในโทรศัพท์มือถือได้ ขบวนเสลี่ยงก็วิ่งผ่านไปเรียบร้อยแล้ว

“อะไรวะเนี่ย จะรีบไปไหนกัน!”

“วิดวะเขาต้องวิ่งนะพี่หมอ เขาวิ่งกันทุกปี วิ่งเร็วบ้างช้าบ้าง แต่วิ่งตลอดจนถึงดอยสุเทพนู่นเลย อย่าเผลอไปยืนขวางขบวนล่ะ ไม่งั้นพี่หมอโดนเหยียบแบนแน่ๆ”

“โห มิน่า เห็นซ้อมวิ่งกันแบบเอาเป็นเอาตาย”

“ไปๆ ขึ้นมอไซค์ต่อเหอะพี่หมอ ไปดักรอที่ครูบาศรีวิชัยกัน”

รถมอเตอร์ไซค์วิ่งออกไปไม่นานก็ทันกลุ่มนักศึกษาที่กำลังแบกเสลี่ยงอยู่ลิบๆ รวินท์อยากจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้ให้ไอ้เต้เพื่อนรักดู แต่เห็นแค่ไกลๆ เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขาเลยช่างแม่ง

หลังจากหยุดดูเหล่านักศึกษากันที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยแล้ว ตึ๋งก็พาขี่รถขึ้นไปบนเขาต่อ เขาขี่ไปช้าๆ ผ่านโค้งสูงชันโค้งแล้วโค้งเล่า ทำให้รวินท์เสียวสันหลังวาบๆ อยู่บ่อยๆ

“ตึ๋งขี่รถเก่งว่ะ ไม่น่าเชื่อ”

“ผมขี่ขึ้นดอยมาเป็นร้อยรอบแล้วพี่หมอ เป็นละอ่อนเจียงใหม่ ขี่รถขึ้นดอยบ่ไหวก็แย่แล้ว”

สักพักตึ๋งก็พาขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปถึงหัวโค้งหนึ่งซึ่งมีคนยืนรออยู่เต็มไปหมด ทั้งที่ยังเช้ามาก ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้ามานิดเดียว

ทันตแพทย์หนุ่มชะเง้อมองพลางขมวดคิ้ว “นี่เขามารอดูวิดวะแบกเสลี่ยงกันหมดเลยเรอะ”

“พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วน่ะพี่หมอ พวกเขามาให้กำลังใจรุ่นน้องกัน” ตึ๋งพูดพร้อมกับจูงแขนพาทันตแพทย์หนุ่มไปหาที่ยืนมุมเหมาะๆ ที่เขามายืนดูอยู่ทุกปี “ตรงนี้เขาเรียกว่าโค้งขุนกัณฑ์ เดี๋ยวพวกพี่ๆ เขาขึ้นมาถึงก็จะมาหยุดตั้งหลัก จัดแถวใหม่กันตรงก่อนถึงหัวโค้งนั่น แล้วก็กอดคอวันวิ่งขึ้นไปจนถึงข้างบนนู่น เจ๋งสุดๆ ไปเลยแหละพี่”

รวินท์หันมองไปรอบๆ จะว่าไปหลายคนก็ใส่ชอปสีน้ำเงินกับยีนเหมือนกัน บางคนก็ใส่เสื้อยืดของคณะ บนศีรษะผูกผ้าคาดสีดำ บ้างก็คล้องไว้ที่คอ แต่ทุกผืนเขียนคำว่า SOTUS ไว้ทั้งนั้น “รุ่นพี่จบไปแล้ว แต่ยังกลับมาให้กำลังใจรุ่นน้องเยอะมาก ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ”

“มาตั้งแต่รุ่นแรกเลยแหละครับ รุ่นพี่คณะนี้สุดยอดแล้ว พี่หมอดูผ้าที่เขียนว่า SOTUS อ่ะ ผ้าสีน้ำเงินคือปีสอง สีขาวปีสาม สีแดงปีสี่ ถ้าจบไปแล้วก็สีดำ”

ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักอย่างสนใจ บรรยากาศตอนนี้น่าสนุก โคตรคึกคัก และยังน่าสนใจสุดๆ ไปเลย ยืนไปไม่นานก็เห็นขบวนนักศึกษาแบกเสลี่ยงขึ้นมาลิบๆ แต่เสียงเฮโลเรียกพลังกันดังกระหึ่มพื้นที่ ฟังแล้วอดขนลุกไปกับความบ้าพลังด้วยไม่ได้
เสียงบูมจากรุ่นพี่ที่รออยู่ดังก้องไปทั่วโค้งขุณกัณฑ์เพื่อต้อนรับขบวนเสลี่ยง ก่อนทีมแบกเสลี่ยงจะหยุดตั้งหลักกันตรงก่อนถึงหัวโค้งขุนกัณฑ์

“แล้วทำไมต้องกอดคอกันวิ่งที่โค้งนี้ด้วยอ่ะตึ๋ง” รวินท์หันไปถามอีก

เด็กหนุ่มหันขวับมาจะตอบ แต่ไม่ทันคนที่ยืนอยู่แถวนั้น

“พี่น้องวิศวะรวมใจร่วมวิ่งไปด้วยกัน กอดคอกันไว้ ลากกันไปให้ถึงยอดดอย มันคือสปิริตของเราไงล่ะ โค้งนี้เลยชื่อว่าโค้งสปิริต เป็นตัว S สุดท้ายของคำว่า SOTUS ของเรา” 

“อ่อ ขอบคุณนะครับ” ทันตแพทย์หนุ่มโปรยยิ้มพร้อมกับผงกศีรษะขอบคุณหญิงสาวที่ช่วยตอบให้

“คุณวินคะ”

“ครับ”

“ตอบให้แล้ว ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยนะคะ”

“หือ รูปผมเนี่ยเหรอ” รวินท์ชี้ไปที่ตัวเองอย่างงงๆ เพราะไม่นึกว่าที่นี่จะมีคนรู้จักตนเองด้วย แต่ไหนๆ ตรงนี้นี่ก็เป็นโค้งสปิริต เขาเองก็มีสปิริตที่จะตอบแทนหญิงสาวเช่นกัน “เอาๆ มาเลยครับ”

หญิงสาวในเสื้อชอปสีน้ำเงิน ผ้าคาดศีรษะสีดำหันไปโบกมือเรียกเพื่อนๆ ของเธอ “พวกแก๊~ คุณวินไง คนที่ถือธงมหาลัยงานบอลคนนั้นไงเว้ย! ตัวจริงเสียงจริงเล้ย! เขาให้ถ่ายรูปด้วยเว้ย มาเร้ว!” สิ้นคำเรียก เพื่อนๆ ทั้งหญิงแท้และไม่แท้ก็กรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ถ่ายรูปคู่รูปหมู่รูปเดี่ยวจนคุ้มกับคำตอบที่ตอบไปหลายประโยค

ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มซะจนปากแห้ง เมื่อยปากมากแล้วด้วย เขาหันไปหาตึ๋งเพื่อจะใช้เด็กหนุ่มในการตัดบทเอาตัวรอดสักหน่อย ทว่าอีกฝ่ายกำลังกระดี๊กระด๊า ลืมสนใจเขาไปเลย เพราะได้พูดคุยกับรุ่นพี่วิศวะจากคณะที่ชื่นชมมากมาย

กรรมของกูแท้!

“คุณวินขึ้นไปดูข้างบนด้วยกันเปล่า เดี๋ยวเป็นไกด์ให้ วงในสุดเลยนะเนี่ย ปกติคนนอกไม่ได้เข้าไปดูหรอกน้า~”

“ผมจะเข้าไปได้จริงๆ เหรอ ไม่ใช่พอเข้าไปแล้วก็โดนไล่ออกมานะ”

“ได้สิ เนียนๆ เป็นรุ่นพี่ไป อย่าเกะกะก็พอ อ่ะ เปลี่ยนเสื้อซะหน่อย นี่เป็นเสื้อกับหมวกคณะค่ะ ให้คุณวินไว้เป็นที่ระลึกด้วย”

เจ้าของชื่อยังไม่ทันได้อ้าปาก ไอ้น้องตึ๋งก็ตอบแทนไปด้วยความเร็วแสง “ต้องให้ผมไปด้วยนะ ไม่งั้นพี่หมอไม่ไปหรอก เดี๋ยวไม่มีคนพาพี่หมอกลับ”

“ไปสิไป น้องตึ๋งมาเอาเสื้อไปอีกตัวเลย มาๆ” สาวๆ รีบเอาอกเอาใจ

ตึ๋งถลาไปเกาะแขนรวินท์ไว้ “ไปกันนะพี่หมอ จะได้ไปดูวิดวะทำกิจกรรมกันข้างบนไง”

คุ้มเลยนะมึง ไอ้น้องตึ๋ง!

“อยากได้เสื้ออะดิ”

“แหงสิครับ อยากดูพี่ๆ เขาทำกิจกรรมด้วยอ่ะ นะ นะ น้า~ พี่หมอคนดี”

“เออๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว” รวินท์หันไปแจกยิ้มมหาเสน่ห์ให้สาวๆ อีกรอบพร้อมกับรับเสื้อมา “ขอบคุณมากนะครับ ผมต้องขอรบกวนทุกคนด้วยละกัน”

ชายหนุ่มกล่าวขอตัวชั่วครู่ เขาเดินไปหลบมุมเพื่อถอดเสื้อเปลี่ยน แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่พ้นสายตาสาวๆ กับตากล้องหรอก เขาแค่ไม่อยากประเจิดประเจ้อก็เท่านั้น

ถ้ารู้ว่าจะมาถอดเสื้อโชว์สาวๆ และอาจจะถูกถ่ายรูปด้วย เขาจะฟิตหุ่นมาก่อนสักหน่อย ตอนนี้มีแต่ก้าง ไม่รู้ลงพุงรึเปล่าด้วย


ในขณะที่เปลี่ยนเสื้ออยู่ก็มีรถคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดไม่ไกลออกไปนัก จากนั้นพวกรุ่นพี่คณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลก็ค่อยๆ พยุงรุ่นน้องชั้นปีหนึ่งที่ขาใส่เฝือกลงมา ตามมาด้วยรถเข็นอีกหนึ่งคัน สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่ค่อยดีนัก เขาถูกพยุงไปนั่งลงบนรถเข็น มีรุ่นพี่รายล้อมและใช้พัดช่วยพัดให้ ส่วนตัวเด็กหนุ่มเองนั่งนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่นพลางทอดสายตามองไปยังตรงที่รุ่นพี่ปีสี่กำลังทยอยนำขบวนน้องๆ ขึ้นมารวมตัวกัน

รวินท์หันไปมองอย่างสนใจ เด็กหนุ่มคนนั้นแต่งตัวเหมือนกลุ่มปีหนึ่ง ดูจากสีหน้าก็คงอยากจะเดินขึ้นดอยกับเพื่อนๆ หากเพราะบาดเจ็บที่ขาจึงไม่อาจทำได้ดังใจ

รุ่นพี่ที่จบไปแล้วเข้ามารุมล้อมเป็นวงกลมเพื่อบูมต้อนรับเด็กหนุ่ม ทว่าสีหน้าเขาก็ยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย สักพักน้ำตาก็ไหลออกมาเปื้อมแก้ม รุ่นพี่จึงใช้กระดาษทิชชูช่วยซับน้ำตาให้

“พี่หมอ ทำไมเหรอ” ตึ๋งสะกิด เพราะเห็นทันตแพทย์หนุ่มจ้องไปทางนั้นเขม็ง

เสียงพวกรุ่นพี่คุยกันดังแว่ว “เฮ้ย แถวนี้มีหมอหรือพยาบาลมั้ยวะ! น้องน่าจะเจ็บแผลที่ขา แต่น้องยังไม่อยากลง อยากดูเพื่อนก่อน!”

แล้วจู่ๆ สาวๆ ที่ให้เสื้อยืดคณะกับรวินท์ก็หันมาทางชายหนุ่มกันอย่างพร้อมเพรียง

ทันตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “คือผมเป็นหมอฟัน... เฮ้ย! เดี๋ยวครับ!” หากไม่ทันไรเขาก็โดนลากเข้าไปหาเด็กปีหนึ่งคนนั้นแล้ว

“พาหมอมาแล้วค่ะ!”

รวินท์ยืนอึ้งอยู่ที่หน้าเด็กหนุ่มบนรถเข็น เขาหันมองซ้ายที ขวาที สายตาของทุกคนดูจะฝากความหวังไว้ที่เขากันเหลือเกิน ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มแห้งๆ จากนั้นจึงค่อยๆ ค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วทำท่าขรึมให้สมกับเป็นหมอสักหน่อย  “เอ่อ มีอาการยังไง เจ็บแบบไหน ตรงไหนครับ” 

ตึ๋งวิ่งตามมาด้วย เขาย่อตัวลงนั่ง สองมือเกาะบนที่เท้าแขนของรถเข็น “พี่เป็นไรอ่ะ ร้องไห้ทำไม ถ้าเจ็บขาตรงไหนก็บอกพี่หมอสิ พี่หมอช่วยได้นะ”

เฮ้ย ไอ้น้องตึ๋ง! ช่วยถามกูก่อนด้วยว่าจะช่วยได้ไหม กูเป็นหมอฟันโว้ย! รวินท์ด่าอยู่ในใจ แต่ยังคงเก๊กหน้าไว้ให้ดูน่าเชื่อถือ

พวกรุ่นพี่ที่ล้อมอยู่มีสีหน้าเป็นกังวลกันทุกคน “นั่นสิ เจ็บตรงไหนบอกหมอสิครับ/คะน้องโจ้”
 
เด็กหนุ่มบนรถเข็นซึ่งนิ่งเงียบอยู่นานยิ้มบาง แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ได้เป็นไรครับ แค่เสียใจเฉยๆ”

ตึ๋งขมวดคิ้ว “พี่คงอยากวิ่งขึ้นดอยสินะ ให้เพื่อนหรือพี่ๆ ช่วยเข็นขึ้นไปก็ได้นี่”

“โธ่ เรื่องนั้นให้พวกพี่เข็นก็ได้ ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย” พวกรุ่นพี่ช่วยกันปลอบโยน

เด็กหนุ่มบนรถเข็นส่ายหน้า “ผมเกรงใจเพื่อนๆ กับพี่ๆ ผมอยากให้ทุกคนได้กอดคอกันวิ่งขึ้นไปมากกว่าต้องมาคอยพะวงกับผม”

“โอ๊ย ไม่เห็นเป็นไรเลย พวกพี่เคยวิ่งขึ้นด้วยกันมาแล้ว แต่ของปีหนึ่งสำคัญกว่านะ พี่อยากให้โจ้ได้มีประสบการณ์ดีๆ พร้อมกันกับเพื่อนๆ นะ”

“ไม่เอาครับ” ปากตอบปฏิเสธ แต่น้ำตากลับยิ่งไหลเป็นเขื่อนแตก

ตึ๋งวางมือลงบนแขนอีกฝ่ายแล้วบีบเบาๆ “เฮ้ย ไม่เห็นยากเลย ก็ให้คนอื่นเข็นขึ้นไป แล้วพี่ก็จับมือเพื่อนกับรุ่นพี่ไว้แทนสิ”

“แล้ว...ใครจะเข็นผม”

“พี่หมอไง”

“ฮะ!?” รวินท์หันหน้าขวับไปทางคนพูด

ถามกูก่อนมั้ยไอ้น้องตึ๋ง! แล้วทำไมไม่ไปเข็นซะเองล่ะวะ!

ทันตแพทย์หนุ่มยังไม่ทันได้ตอบตกลง ทุกคนในที่นั้นก็หันมาทางเขากันรัวๆ สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าอยากให้เขารับหน้าที่นี้

ตึ๋งยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ “ไหนๆ พี่หมอก็ใส่เสื้อคณะเขาแล้ว ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยน่า”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมน้องตึ๋งไม่ไปซะเองวะครับ เสื้อก็ใส่เหมือนกันนี่”

“โธ่ ผมอะ เดี๋ยวปีหน้าก็ได้วิ่ง แต่พี่หมอน่ะ ไม่มีโอกาสแล้วนา ครั้งอื่นคงไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้”

“นี่เรียกโชคดีเหรอวะ!”

“ผมรู้ว่าพี่หมอแก่แล้ว แต่พี่หมอน่าจะยังพอวิ่งไหว แค่โค้งเดียวเอง” ตึ๋งจงใจพูดเสียงดังให้ทุกๆ คนในบริเวณนั้นได้ยิน

โห ไอ้เด็กเปรต แก่ผีอะไร กูเพิ่งเรียนจบเว้ย!

“คุณวินไหวมั้ยคะ โค้งมันชันเหมือนกัน ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ออกกำลังมานานอาจจะลำบาก” รุ่นพี่สาวๆ หันไปถามย้ำ หากแทงใจทันตแพทย์หนุ่มอย่างแรง

“ผม...” รวินท์ก้มหน้าลงหลบสายตา หากเสือกไปประสานสายตากับเด็กหนุ่มบนรถเข็นเข้าเต็มๆ นัยน์ตาอีกฝ่ายเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทำให้เขาจนใจต้องจำยอม เอาก็เอาวะ วิ่งแค่นี้คงไม่ถึงกับตาย “ก็ได้ครับ แต่อย่าบอกใครนะว่าผมเป็นคนนอก ให้คิดว่าเป็นรุ่นพี่ในคณะก็แล้วกัน”

“ขอบคุณมากครับพี่หมอ ผมสัญญาเลย” โจ้ยกมือไหว้พร้อมยิ้มกว้าง

“เดี๋ยวผมถ่ายคลิปเก็บไว้ให้นะพี่หมอ” ตึ๋งหัวเราะร่วน โดยไม่สนว่าทันตแพทย์หนุ่มจะอยากถีบเขาตกดอยจะแย่แล้ว

“ไม่ต้องถ่ายเว้ย เกิดวิ่งๆ แล้วเป็นลมล้มพับไปก่อน อายเขาตาย”

“โธ่ ต่อให้ผมไม่ถ่าย คนอื่นๆ ก็ถ่ายน่ะ อีกอย่างวิ่งแบบนี้เด่นแน่ๆ ไหนจะหน้าตาแบบพี่หมอด้วย ดังระเบิดระเบ้อแน่นอน”

“ฉิบหาย พี่ไม่ได้อยากดังเว้ย” รวินท์พึมพำ ก่อนจะหันไปทางรุ่นพี่วิศวกรรมศาสตร์ที่รับหน้าที่เป็นพยาบาล “มีผ้าปิดจมูกมั้ยครับ ขอสักชิ้นนะ เอามาปิดหน้าหน่อย”

“โธ่ หน้าตาอย่างพี่หมอจะปิดทำไมกันคะ เสียดาย” หญิงสาวบ่น แต่ก็ส่งผ้าปิดจมูกให้

ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มแหยๆ แล้วรีบใส่ผ้าปิดจมูกไว้ทันที โชคดีที่วันนี้เขาใส่ยีนสีบ้านๆ ไม่ต่างคนอื่นๆ มากนัก พอใส่เสื้อยืดของคณะวิศวะแล้วก็พอดูกลมกลืนเป็นเด็กวิศวะกับเขาได้ จากนั้นจึงแก้ตัวออกไป “ให้ผมปิดหน้าไว้น่ะดีแล้วครับ มันเป็นการวิ่งของคณะวิศวะ ผมอยากให้ทุกคนคิดว่าผมเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งเท่านั้น” แต่ความจริงน่ะหรือ เผื่อว่าถ้าหากเขาสะดุดล้มหน้าคว่ำกลิ้งตกดอยไป ตอนเข้าโรงพยาบาลจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าตัวเองเด่นหราบนข่าวหน้าหนึ่งน่ะสิ

“คุณวินน่ารักจริงๆ เลย” พวกสาวๆ เอ่ยชื่นชมกันไม่ขาดปาก “พวกเราสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับค่ะ”

พวกรุ่นพี่พารวินท์และโจ้ไปส่งท้ายแถวเด็กปีหนึ่ง ซึ่งพอพวกเพื่อนๆ เห็นก็พากันดีใจ โบกมือโบกไม้เรียก

“เดี๋ยวพี่เขาจะช่วยเข็นโจ้ขึ้นไปให้เป็นแถวสุดท้ายก่อนรุ่นพี่ปีที่เหลือจะขึ้นตาม” รุ่นพี่ช่วยแนะนำให้เสร็จสรรพ “ฝากพี่เขากับเพื่อนเราด้วยนะ”

“ได้ครับพี่” พวกเด็กปีหนึ่งพยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันไปพูดกับเพื่อนตนที่นั่งอยู่บนรถเข็น “ไอ้โจ้ ในที่สุดมึงก็ยอมมา พวกกูรออยู่รู้ป่ะ”

“พวกกูบอกแล้วว่าพวกกูเข็นมึงจากตีนดอยขึ้นมาก็ยังได้ เพื่อนคนเดียวแค่นี้ทำไมจะช่วยกันไม่ได้วะ”

“กูก็บอกพวกมึงแล้วไงว่ากูอยากให้พวกมึงได้กอดคอกันวิ่ง อีกอย่าง ถ้าเข็นกูตลอดทางแล้วพวกมึงจะเหลือแรงที่ไหนมาวิ่งอีก” โจ้เถียงกับเพื่อนๆ

“แล้วทิ้งมึงให้นั่งดูคนเดียวเนี่ยนะ แบบนี้จะเรียกว่า Unity ได้ไงวะ ไอ้ดื้อ” คนพูดตบศีรษะโจ้ไปอีกฉาด

ใช่ ตบหลายๆ ทีเลย ดื้อฉิบหาย ลำบากกูเนี่ย... รวินท์พยักหน้าหงึกๆ เขาแอบเห็นด้วยอยู่ในใจ

“แล้วพี่เป็นใครเหรอครับ อยู่เกียร์ไหนเหรอ”

ทันตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเมื่อจู่ๆ พวกเด็กปีหนึ่งก็เบนคำถามมาที่เขา “เอ่อ... ผม...”

“พี่เขาชื่อวิน เกียร์ตะกั่ว พี่เขามาช่วยเข็นกูให้จะได้ขึ้นพร้อมกับพวกมึงได้ไง” 

พวกปีหนึ่งตรงนั้นพร้อมใจกันยกมือไหว้ “ขอบคุณพี่วินมากนะครับ ไอ้โจ้มันฝึกวิ่งกับพวกเราไม่เคยขาด เราสัญญาว่าจะวิ่งกอดคอกันขึ้นดอย แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันโดนรถเฉี่ยวจักรยานล้มน่ะครับ”

“ไม่เป็นไร ผมก็อยากให้น้องๆ ได้ทำตามความตั้งใจนะ อุตส่าห์ฝึกซ้อมกันมานาน” โอ้โห... ตอบได้พระเอกจังเลยกู ทันตแพทย์หนุ่มแอบทึ่งกับคำตอบของตัวเอง

ไม่นานเสียงสัญญาณจากรุ่นพี่ก็ดังขึ้น พวกเด็กปีหนึ่งจึงหันไปตั้งแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบด้วยความรวดเร็ว เสียงร้องเพลงประจำคณะดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนร้องได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ฟังดูมีมนต์ขลัง เป็นผลให้หัวใจของทันตแพทย์หนุ่มเต้นระรัว

..

...

(ตัดจบซะงั้น)

..

*TBC*


คริคริ เอามาลงช้าแล้วยังลงแค่ครึ่งตอนอีก /นอนแผ่รอให้เหยียบ 555555

ฮัสกี้หนีไปเที่ยวมาาาา เพิ่งกลับมาเมื่อคืน Edit ก็ไม่ทัน เพราะงั้นเลยตัดครึ่งตอนดื้อๆ กรั่กๆ ลงแค่พี่วินขึ้นดอยก่อนเนอะ

มาพูดถึงวิดวะขึ้นดอยกันดีก่า ถ้าใครติดตามเพจฮัสกี้ก็คงจะได้เห็นบ่อยๆ ว่าฮัสกี้ติ่งวิดวะขึ้นดอยมากๆ 5555555 ติ่งทั้งผู้ชายและการขึ้นดอยด้วย แบบว่าชอบบบ รู้สึกว่ามันมีพลัง มันคือความสามัคคีที่แม้แต่คนนอกอย่างฮัสกี้ก็ยังสัมผัสได้นะคะ

ฮัสกี้เองก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชาวมชนะคะ เชียงใหม่ก็...เคยไปเมื่อหลายปีมากแล้ว จำอะไรไม่ได้แล้ว 555555 (ทุกวันนี้รักและสนิทสนมกลมเกลียวกับกูเกิลมาก แทบทุกอย่างเขียนออกมาจากภาพ คลิป และการมโน) แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเขียนค่ะ เพราะงั้นถ้าหากมีอะไรผิดพลาดก็ขอโทษด้วยนะคะ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่เขียนจากใจรัก(ผู้ชาย)จริงๆ ค่ะ  :mew1:

อันที่จริงฮัสกี้ก็มั่นใจว่าจากเหตุการณ์ในเรื่อง ถ้าเป็นเหตุการณ์จริงน้องๆ ก็เข็นขึ้นดอยกันเองได้แหละ แต่ถ้าเข็นกันเองแล้วพี่วินจะมามีส่วนร่วมได้ไงเนอะ เดี๋ยวไม่ได้เจอน้องพิงค์

เกียร์ของวิดวะมชมีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ในเรื่องนี้ฮัสกี้ตั้งขึ้นมาเองนะคะ ไม่อยากให้ไปซ้ำกับของจริงค่ะ (แฮร่)

โห โม้ยาวกว่าเนื้อเรื่องอีกมั้ง... 5555555 เดี๋ยวเอาครึ่งตอนหลังมาลง เป็นตอนของภูพิงค์และการพบกันแบบจะจะครั้งแรกของสองหนุ่มนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่าาาาาา



ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หลงพี่วินอ่ะ พี่วินออร่าจับมาก  :o8:

ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
รออ่านตอนพี่วินกับน้องพิงค์เจอกัน

สนุกดี ขอบคุณไรท์มากๆ

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
หมอวินเนียนเลย วิ่งเสร็จได้เกียร์เลยด้วยมั้ย อิอิ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ares

  • .....
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
โห หมอวินเนียนเลยน้าาา รอดูหมอวินวิ่งละกัน

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ความเกี่ยวดองกับคุณหมอกับวิศวะ  :hao7:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
หมอวินสู้ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด