“ไอ้เพลิงเป็นไงบ้าง อ้วกไปกี่รอบ” โย่งพูดกลั้วหัวเราะ “เมารถเฉย อ่อนจริงๆเลยมึง”
คนฟังหน้าบึ้ง ตอบเสียงห้วน
“กูนอนน้อยโว้ย นี่ก็ดีขึ้นมากแล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกเซ็งที่ตัวเองดันมาป่วยซะงั้น เหลียวมองซ้ายขวาสายตาก็ดันบังเอิญไปเห็นเด็กชาวเขาหิ้วสตรอเบอร์รี่มาเป็นถุงๆ เพลิงกัลป์กวักมือเรียกโดยไม่ต้องคิด “ถุงละเท่าไหร่”
“หาของกินได้คงหายแล้วล่ะมั้ง” เมืองแมนพูดลอยๆ
“เออ อูอ๋ายแอ้ว” คนพูดมีสตรอเบอร์รี่สีแดงสดอยู่เต็มปาก
แชะ!
เสียงลั่นชัตเตอร์ดังขึ้น หวานเดินมาสมทบด้วยใบหน้าสดใสและกล้องตัวใหญ่ในมือ
“ภาพสวยจัง” เธอบอก ก้มลงดูภาพในกล้อง “ไปหาที่ถ่ายรูปกันต่อดีกว่า”
“เตรียมที่หลับที่นอนก่อนมั้ยครับคุณ ใจคอจะถ่ายรูปอย่างเดียวเลยหรือไง” โย่งขัดคอ “เย็นนี้กินอะไรดี”
“เหมือนพวกเราคิดแต่เรื่องกินเลยเนอะ” ตุ๊กตาพูดขึ้นบ้าง “มาเที่ยวแบบนี้ไม่น่าถาม ก็ต้องเมนูประจำชาติอยู่แล้ว”
“ข้าวเหนียวส้มตำ” เมืองแมนกับหวานพูดขึ้นพร้อมกันแล้วก็หัวเราะ
พวกเขาแยกย้ายกันไปเดินซื้อของกินของใช้เพิ่ม จากนั้นก็ออกเดินหาที่ถ่ายรูปเล่นตามจุดชมวิวต่างๆข้างบน วันนี้มีหมอกค่อนข้างหนา อากาศก็เลยขมุกขมัวชวนให้หนังตาหนักกว่าปกติ
“ง่วงล่ะสิ” เสียงห้าวๆทักขึ้นข้างตัว
เมืองแมนเหลียวไปมองก็เห็นเพลิงกัลป์เดินมาหยุดยืนเยื้องไปทางข้างหลัง สองมือล้วงกระเป๋าเอาไว้
“หายดีแล้วหรอมึงอ่ะ”
“ดีขึ้นมากแล้ว” เพลิงกัลป์ตอบเรียบๆ ลอบดึงหน้ากากอนามัยลงนิดหนึ่งจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆของอีกฝ่ายที่พัดมาตามลม ชายหนุ่มเผลอสูดหายใจเอากลิ่นนั้นเข้าไปเต็มปอด
ความรู้สึกคลื่นเหียนที่เป็นมาทั้งวันก็พลันจางลงไปราวกับมีมนต์วิเศษ กลายเป็นความรู้สึกสงบอย่างประหลาด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าที่ตรงนี้มีเพียงเขากับเมืองแมนยืนอยู่ด้วยกันสองคน ส่วนตุ๊กตากำลังยืนแอ็คท่าให้หวานถ่ายรูปอยู่ข้างล่างโดยมีโย่งคอยแซ็วเป็นระยะ
“แล้วไป นึกว่าจะต้องมาให้น้ำเกลือกันบนเขาซะแล้ว”
“เวอร์ไปนะ กูไม่ได้เป็นขนาดนั้นซักหน่อย” เพลิงกัลป์ตอบ หยิบสตรอเบอร์รี่ที่ยังเหลือในถุงส่งให้เพื่อน “กินมั้ย จะหมดแล้วนะ”
เมืองแมนรับมาใส่ปาก รสเปรี้ยวนำทำเอาเขานิ่วหน้า
“นึกว่าหวาน เห็นมึงกินเอาๆ”
“กินแล้วหายคลื่นไส้ดี” เพลิงกัลป์ตอบ
“อีกนิดกูจะนึกว่ามึงแพ้ท้องแล้วนะ ฮ่าๆ” เขาพูดแล้วหัวเราะ “ขาดแต่ลุกมาอ้วกตอนเช้าเนี่ยล่ะ”
“มึงรู้ได้ไง”
“ห้ะ?” คนฟังอุทาน
“เมื่อเช้ากูก็ลุกมาอ้วก” เพลิงกัลป์รับหน้าตาเฉย “กูว่าอาหารเป็นพิษแน่ๆ พอมาเจอทางโค้งอีกเลยเกือบตายเลย สงสัยหมูกระทะแหงๆ”
“พวกกินไม่เลือก เอ๊ย กินไม่ล้างมือก็เป็นแบบนี้ล่ะ คนอื่นเขากินกันไม่เห็นเป็นอะไร”
“เห็นแบบนี้กูก็เลือกนะครับ”
“เลือกอะไรกันคะ เพลิง.. แมน” เสียงใสๆดังขึ้นข้างหลัง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร เมืองแมนส่งยิ้มให้หญิงสาวกับเพื่อนอีกสองคนที่เดินตามขึ้นมา “จะชวนไปดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน ไปกันเถอะค่ะเพลิง เดี๋ยวไม่ทันนะ”
เจ้าตัวพูดจบก็ควงแขนคนรักพาออกเดินไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกทันที โย่งกับหวานเดินตามหลังไปโดยมีเมืองแมนเดินปิดท้าย ที่จุดชมวิวมีนักท่องเที่ยวมานั่งรอยืนรอกันค่อนข้างแน่น แต่โย่งบอกว่าวันนี้คนน้อยกว่าทุกที
“มุมนี้เลยครับ วิวสวยสุด หวานถ่ายเราให้หล่อๆนะ”
“เราคงไม่สามารถพอน่ะ” หวานตอบ
“มึงแน่ะแมน ถ่ายให้กูกับหวานหน่อย” โย่งโยนให้เพื่อนหน้าตาเฉย เมืองแมนเลยต้องรับกล้องตัวใหญ่มาถือเอาไว้ เล็งไปที่เพื่อนทั้งสองคนที่คนนึงยิ้มกว้างปากแทบฉีก ส่วนอีกคนหน้าตึงเหมือนฉีดโบทอกซ์มา
“ถ่ายให้เรากับเพลิงบ้างสิแมน” ตุ๊กตาพูดขึ้นบ้าง เธอควงแขนเพลิงกัลป์เอาไว้ ส่งยิ้มหวานมาให้กล้อง “เพลิงยิ้มหน่อยสิคะ” เธอหันไปบอกคนข้างกายที่ยืนนิ่ง “เอาหน้ากากลงด้วย เปิดหน้าหน่อยสิคะ”
ชายหนุ่มยอมถอดหน้ากากอนามัยออกเพราะขี้เกียจโดนเซ้าซี้ เขาหันไปส่งยิ้มเบื่อๆให้ตากล้องที่ยกกล้องขึ้นเล็งมาที่พวกเขาสองคน
ร่างผอมบางนั้นก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อหาระยะที่พอดี กล้องบดบังดวงหน้าอ่อนใสไว้เกือบครึ่ง เห็นเพียงริมฝีปากสีสดที่มีรอยยิ้มนิดๆแต้มอยู่เท่านั้น
เพลิงกัลป์มองไปที่เลนส์ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสบตาสีน้ำตาลของคนหลังกล้องอยู่ รอยยิ้มของคนถ่ายเพิ่มมากขึ้น แล้วเขาก็เผลอยิ้มตาม
“สวยมาก” เมืองแมนพูด ลดกล้องลงดูรูปข้างใน “แสงกำลังสวยพอดี”
“มึงไปยืนบ้างไป เดี๋ยวกูถ่ายให้” โย่งคว้ากล้องของหวานมาถือเอาไว้ ไล่เมืองแมนให้ไปยืนตรงตำแหน่งถ่ายรูปนั้น
ชายหนุ่มยืนล้วงกระเป๋า ทำท่าที่คิดว่าเท่สุดๆให้กล้อง โย่งถ่ายให้สองสามรูป รูมเมทของเขาก็เดินมาหยุดเคียงข้างด้วย
“ถ่ายด้วยคนดิ”
เมืองแมนไม่ได้ตอบ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนี เขายืนนิ่งๆส่งยิ้มให้กล้อง รับรู้ได้ว่าคนข้างตัวก็อมยิ้มนิดๆในหน้าอยู่เหมือนกัน
ภาพสุดท้ายเพลิงกัลป์เหลียวไปดูวิวเลยเอื้อมแขนไปเท้าระเบียงเอาไว้ ขณะที่เมืองแมนหันไปมองข้างๆเพราะกลัวหงายหลังลงไปพอดี ภาพที่ได้ออกมาเลยดูผิดเพี้ยนจากความจริงไปสักหน่อย
“รูปนี้เหมือนพวกมึงเป็นแฟนกันเลยว่ะ ไอ้เพลิงก้มนิดๆเหมือนกำลังจะหอมแก้มไอ้แมนเลย โคตรโรแมนติกไปอีก” คนถ่ายพูดแล้วหัวเราะ ส่งให้หวานกับตุ๊กตาดู
“เพลิงวางแขนแบบนี้เหมือนโอบเอวแมนอยู่เลยนะ” หวานออกความเห็น
“อยากได้แบบนี้บ้าง โย่งถ่ายให้เรากับเพลิงอีกรูปนะ” แฟนตัวจริงของเพลิงกัลป์ลุกขึ้นยืนเดินฉับๆเข้าไปหาคนรัก ส่วนเมืองแมนก็เดินกลับเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อน
“ตุ๊กตาเป็นอะไร”
“หึงมั้ง”
“หึงอะไร” เมืองแมนงง โย่งไม่ตอบแต่กลับอมยิ้ม มองรูปในกล้องที่เขาไม่ได้พูดออกไปว่าความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้คนสองคนในภาพดูเหมือน ‘แฟน’ กันมากที่สุด หาใช่ท่าทางของคนทั้งสองไม่ แต่กลับเป็นสายตาของผู้ชายตัวสูงที่ก้มลงมองคนตัวเล็กกว่าต่างหาก
สายตาแบบที่ผู้ชายอย่างเขาเห็นแล้วรู้สึกจักจี้ยังไงไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะแสงหรือว่าอะไรกันแน่ ยังไม่รวมรอยยิ้มมุมปากที่เปลี่ยนผู้ชายหน้าหล่อร้ายให้ดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
“โย่งถ่ายให้หน่อยค่ะ”
โย่งสะดุ้ง หันไปเล็งกล้องถ่ายรูปหนุ่มสาวทั้งสอง ....สายตาเมื่อกี้เขาคงดูผิดไปแน่ๆ เพราะตอนนี้เพลิงกัลป์กำลังโอบเอวคนรักเข้ามาแนบชิดแทบจะสนิทเป็นเนื้อเดียวแบบอายใคร แถมยังมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงบอกอารมณ์ชัดเจน
“ไอ้เพลิงใจเย็น นี่มันที่สาธารณะโว้ย” เขาตะโกนบอกเพื่อน
อีกฝ่ายหันมายักคิ้วให้ชนิดที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆจากกลุ่มเด็กสาวที่อยู่ใกล้ๆกันเลยทีเดียว
เมืองแมนเคยเห็นพระอาทิตย์ตกดินมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกประทับใจกับพระอาทิตย์ตกดินครั้งไหนมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย แสงสีส้มที่สะท้อนกับไอหมอกและท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตที่ค่อยๆลอยลับหายไปในกลีบเมฆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าให้กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจะกลายเป็นดำสนิทราวกับกำมะหยี่
“ดาวสวยจังเลยค่ะเพลิง” เสียงตุ๊กตาดังขึ้นถัดไปจากที่เมืองแมนนั่งอยู่โดยมีเต็นท์บังตัวเขาเอาไว้จากคนทั้งคู่
“ผมว่ามีสิ่งที่สวยกว่าดาวคืนนี้อีกนะ” เสียงห้าวๆตอบกลับไป
คนลอบฟังเบ้ปาก....มุขเก่าชิบเป๋ง ฟังแล้วเลี่ยนจริงๆ
“อะไรหรอคะ” หญิงสาวแกล้งถามต่อราวกับเดาไม่ถูก
“..............” เขาไม่ได้ยินคำตอบเพราะอีกฝ่ายคงกระซิบข้างหูคนรัก
เมืองแมนย่นหน้า เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำชาอุ่นๆมากุมเอาไว้ในฝ่ามือ พอดวงอาทิตย์ลับหาย อากาศที่เย็นอยู่แล้วก็ลดอุณหภูมิลงเฉียบพลัน โชคดีที่เขาเตรียมเสื้อกันหนาวมาพร้อม ขาดก็แต่ถุงมือที่ลืมเอามาเนี่ยแหละ
เขาหมดความสนใจกับคู่รักที่นั่งพลอดรักกันหลังเต็นท์ หันไปมองครอบครัวเล็กๆพ่อแม่ลูกที่กำลังนั่งทานข้าวกันในเต็นท์ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปแทน เหลือบมองนาฬิกานิดหนึ่ง...เกือบห้าทุ่มแล้ว พวกโย่งกับหวานที่บอกจะไปซื้อของข้างล่างยังไม่กลับมาเลย
ไปด้วยกันคงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง...
เขายกถ้วยชาในมือขึ้นจิบ
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นเบาๆแทนสัญญาณว่ามีสายเรียกเข้า เมืองแมนหยิบขึ้นมาดู...พอเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่ที่หน้าจอ หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติมาเนิ่นนานก็หยุดเต้นไปวูบหนึ่ง
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเต้นรัวแรง
...เจมส์
“ทำไมไม่กดรับล่ะ” เสียงห้าวๆของคนที่นั่งคุยกับแฟนอยู่หลังเต็นท์เมื่อกี้ดังขึ้น ทำเอาเมืองแมนสะดุ้ง ฝ่ายนั้นเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สนามตรงข้ามกับเขา
เมืองแมนเม้มปาก กดตัดสายทิ้ง
“โทรผิด” เขาพูด
มีสายเรียกเข้ามาอีก ชื่อเดิมปรากฏขึ้นบนหน้าจอ โทรศัพท์มือถือสั่นเป็นเจ้าเข้าในมือของเขา เมืองแมนเหลือบตาขึ้นมองคนที่นั่งนิ่งไม่ขยับนั้นแล้วตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหล”
“ไอ้แมนเพื่อนรัก หายหัวไปเลยนะมึง รับโคตรช้าเลย คุยได้หรือเปล่าเนี่ย หรือว่ายุ่งๆอยู่” เสียงเพื่อนสนิทดังมาตามสาย
“คุยได้” เขาตอบกลับไปสั้นๆ
“โคตรคิดถึงมึงเลยแมน กูว่าจะโทรมาคุยหลายทีแล้วแต่มัวยุ่งๆ มึงคิดถึงกูบ้างมั้ยหรือว่าได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่าอย่างกู” เสียงคนในสายดังออกมาจากโทรศัพท์ท่ามกลางความเงียบที่ได้ยินเพียงแค่เสียงไฟปะทุจากกองฟืนที่สุมไฟอยู่
“กูก็คิดถึงมึง” เมืองแมนตอบหลังจากเงียบไปนาน
ดวงตาสองคู่สานสบกันโดยมีเปลวไฟกั้นกลาง
“งั้นก็ตอบไลน์เพื่อนบ้างสิครับ นี่กูโทรมาถามเรื่องนัดรวมตัวที่กรุงเทพฯเดือนหน้า มึงลงไปได้หรือเปล่า ลาได้มั้ย มึงเล่นอ่านไม่ตอบนี่หว่า”
“กูยังไม่รู้เลย ตารางเวรเดือนหน้ายังไม่ออก” เมืองแมนตอบกลับไป เบือนหลบสายตาคมเข้มคู่นั้น
“งั้นมึงรับปากกูก่อนว่ามึงจะมา”
“ไว้ใกล้ๆกูจะบอกอีกที”
“มาเจอกันเถอะแมน ไม่เจอมึงเป็นเดือนๆกูจะลงแดงตายแล้ว” ประโยคนั้นทำให้คนฟังเม้มปากแน่น “ขาดมึงกูเหมือนคนขาดออกซิเจน”
“เลิกพูดเล่นซะทีเหอะ” แมนตัดบท “แล้วน้ำไปไหน”
“น้ำเหรอ..” เสียงของเพื่อนผิดปกติไปนิดหนึ่ง ต่อให้เล็กน้อยแค่ไหน ทว่าเมืองแมนก็จับหางเสียงนั้นได้ “น้ำกลับบ้าน ไม่ได้อยู่เวร”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มี จะมีอะไรได้” เพื่อนปฏิเสธตามที่แมนคาดเอาไว้ “กูวางสายก่อนนะ โดนเรียกตัวล่ะ ไว้โทรคุยกันใหม่ คิดถึงมึงนะแมน”
“อืม ไว้คุยกัน”
เมืองแมนตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป
ลมพัดมาวูบหนึ่ง หอบเอากลิ่นไอดินและหญ้ามาด้วย เมืองแมนถอนหายใจแผ่วเบา เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง คนตรงข้ามยังคงนั่งมองเขาอยู่เงียบๆ ไม่ได้ขยับตัวไปไหน
“แฟนเก่าหรอ”
“เพื่อน”
คนฟังเลิกคิ้ว
“อกหัก?”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง” เมืองแมนสวนกลับ
ฝ่ายนั้นหัวเราะเบาๆ
“อ่อนหัดจังนะ คนอย่างมึงเก็บความรู้สึกเป็นบ้างหรือเปล่า” เพลิงกัลป์พูด แค่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ต่อให้เขาไม่ได้ยินบนสนทนานี้เลยก็เดาได้ว่าคนปลายสายคงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาแน่ๆ
แต่ความสัมพันธ์จะเป็นถึงขั้นไหนนั้น...ทำไมเขาจะต้องไปสนใจด้วยล่ะ
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของคนอื่นหรอก”
“เพื่อนมึงใช้ทุนที่ไหน ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ”
“ภาคใต้”
“ขอเดาว่าเค้าไปใช้ทุนกับแฟน” หางเสียงของฝ่ายนั้นมีแววเยาะนิดๆ
“ใช่...พูดจบหรือยัง” เมืองแมนผุดลุกขึ้นยืน วางถ้วยชาอุ่นๆเอาไว้บนขอนไม้ตามเดิม บรรยากาศสุขสงบในตอนแรกถูกอีกฝ่ายทำลายจนไม่มีเหลือ
“จะไปไหน”
“..............” เขาไม่ตอบ แต่ก้าวเร็วๆไปบนพื้นดินปนกรวดทราย
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามหลังมา ชายหนุ่มเลยเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ก้อนหินก้อนใหญ่ๆขรุขระที่ฝังอยู่ในพื้นทรายร่วนๆทำให้ยากแก่การเดิน ยิ่งเขาเดินเร็วๆแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็
“ระวังสะดุด” คนข้างหลังเตือน แต่ตอนนี้เมืองแมนอารมณ์พลุ่งพล่านเกินกว่าจะสนใจ
แล้วเขาก็ก้าวพลาดจนได้ ข้อเท้าพลิกตัวเอียงวูบเสียหลัก เมืองแมนใจหายวาบ ความรู้สึกเจ็บปลาบที่ข้อเท้าพุ่งขึ้นมาพร้อมกับเนื้อตัวที่คะมำลงไป
คนข้างหลังก้าวพรวดเดียวเข้ามาช้อนรับเขาเอาไว้ วงแขนแข็งแรงโอบรัดรอบเอวพยุงไม่ให้ลงไปกองกับพื้น เมืองแมนสะเทือนไปทั้งตัว ไออุ่นที่แนบชิดทางด้านหลังทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว
“ปล่อยกู” เขาพูดเสียงสั่น
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับกดปลายจมูกและริมฝีปากลงมาที่ซอกคอของเขาโดยไม่บอกกล่าว
............................................................................................
มาอัพต่อแล้วจ้า
รู้สึกตกใจกับคอมเม้นท์5555 มีคนอ่านด้วยเหวย ดีใจๆๆ ไปๆเขียนต่อค่ะ มีกำลังใจ55555
เรื่องนี้อาจจะแปลกๆหน่อย เนื้อเรื่องแปลกๆ บทสนทนาแปลกๆ เป็น Mpreg แบบแปลกๆ
เวลาเขียนฉากผีตอนกลางคืนนี่เขียนไม่ได้เพราะคนเขียนก็กลัวผี555
เจอกันตอนหน้า
#แฟนหมอแมน